ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 2 3 ... 103
[PR News] โครงการ “Arom Jomtien” จัดงาน “Jomtien Mood by Arom” ขอบคุณลูกค้า พร้อมฉลองความสำเร็จยอดขาย 70%

[PR News] โครงการ “Arom Jomtien” จัดงาน “Jomtien Mood by Arom” ขอบคุณลูกค้า พร้อมฉลองความสำเร็จยอดขาย 70%

Jomtien Mood by Arom โครงการ “Arom Jomtien”จัดงาน “Jomtien Mood by Arom” ภายใต้แนวคิด “The great escape an emotive discovery of home” ให้ช่วงเวลาของการพักผ่อนเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุด รังสรรค์บรรยากาศเฉลิมฉลองสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจเป็นเจ้าของโครงการอารมณ์ จอมเทียน อีกหนึ่งความภาคภูมิใจใน “AROM COLLECTION ” (อารมณ์ คอลเลคชั่น) ร่วมฉลองยอดขายทะลุ 70%   นายเฉลิมพล โขนแจ่ม กรรมการผู้จัดการ และผู้พัฒนาโครงการอารมณ์ จอมเทียน กล่าวว่า งาน “Jomtien Mood by Arom” จัดเพื่อร่วมกันฉลองยอดขายโครงการ อารมณ์ จอมเทียน ทะลุ 70% งานได้รับการจัดขึ้นอย่างพิถีพิถันและใส่ใจเพื่อขอบคุณลูกค้าที่ไว้วางใจเลือกซื้อโครงการอารมณ์ จอมเทียน และเพื่อนำเสนอความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ AROM COLLECTION ให้กับลูกค้าสัมผัสถึงการความเหนือกว่าในทุกมิติของการเป็นลูกค้าภายใต้คอลเลคชั่นนี้ มีกิจกรรมมากมายให้ได้สัมผัสกับช่วงเวลาที่แสนพิเศษอย่างสุนทรีย์ตลอดทั้งวันด้วย Arom Jomtien SOUL CLUB เพลิดเพลินกับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินของหาดจอมเทียนพร้อมความเป็นส่วนตัวกับอาหารท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพัทยา ให้ลูกค้าคนสำคัญได้สัมผัสถึงความสนุก กับแสง เสียงของหาดจอมเทียนที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงกิจกกรรมทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็น เจ็ตสกี บานานาโบ๊ต บีชปิกนิก และกิจกรรม Therapist นวดผ่อนคลายริมชายหาด ลิ้มลองไวน์และคราฟต์เบียร์ที่ดีที่สุดของพัทยา รับสิทธิพิเศษและประสบการณ์มากมายตลอดทั้งงานที่จัดเตรียมไว้เพื่อลูกค้าคนสำคัญของ “AROM JOMTIEN” เหนือระดับด้วย Butler ดูแลส่วนตัวตลอดการร่วมงาน และ Exclusive Privilege Offer สำหรับลูกค้าจองซื้อโครงการ ด้วยที่พักสไตล์วิลล่าที่ดีที่สุดในพัทยา 2วัน 1 คืน ที่ Andaz Pattaya Jomtien Beach – a Concept by Hyatt สร้างความบันเทิง และสนุกสนานไปด้วยกันกับดนตรีฟังสบาย บรรยากาศผ่อนคลาย และเสียงเพลงเพราะๆจากนักร้องและนักดนตรีชื่อดัง คุณบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์   โครงการคอนโดมิเนียม “AROM JOMTIEN” คือความงดงามของการออกแบบที่ได้รวบรวมจิตวิญญาณและพลังของหาดจอมเทียนเอาไว้ในที่เดียวภายใต้ AROM COLLECTION แนวคิดการออกแบบ SENSE THE SOULFULNESS ที่ได้ผสมผสานสีสันของหาดจอมเทียนและสีสันของธรรมชาติเข้าด้วยกัน สุดพิเศษด้วย Private living เพียง 314 ยูนิต รูปแบบ Direct sea view ผสมผสานอย่างลงตัวกับ POOL VILLA UNITเพื่อมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยสุดเอ็กซ์คลูซีฟ บนพื้นที่หาดจอมเทียน ความสมบูรณ์แบบที่จะช่วยให้ทุกชีวิตที่นี่ได้พักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางบรรยากาศสวนหน้าบ้าน และเติมเต็มช่วงเวลาพิเศษกับทะเล สายลม แสงแดด ทุกกิจกรรมสุดพิเศษ ริมชายหาดภายใต้บรรยากาศรื่นรมย์ริมหาดจอมเทียนที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกใฝ่ฝัน AROM COLLECTION (อารมณ์ คอลเลคชั่น) เปิดตัวด้วยโครงการ “AROM WONGAMAT” คอนโดมิเนียม Hi-Rise 55 ชั้น 319 ยูนิต บนทำเลที่ดีทีสุดบนพื้นที่หาดวงศ์อมาตย์ มนต์เสน่ห์แห่งความเงียบสงบ และความเรียบง่ายบนหาดส่วนตัว ภายใต้แนวคิด SENSE THE MASTERPIECE จุดเริ่มต้นของปรัชญาการใช้ชีวิตในแบบของ AROM เพื่อให้คุณได้สัมผัสทุกอารมณ์ความรู้สึก ทุกช่วงขณะของชีวิต และล่าสุดกับโครงการ “AROM JOMTIEN” โครงการคอนโดมิเนียมแนบชิดหาดจอมเทียน สูง 45 ชั้น พร้อม Direct sea view ทุกยูนิต ที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน และใส่ใจ ทำให้ทั้งนี้ 2 โครงการภายใต้ AROM COLLECTION ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งแง่ยอดขาย และความพึงพอใจของลูกค้า พบกับประสบการณ์ความรู้สึกที่เหนือกว่าการได้พักอาศัยในพื้นที่แห่งสุนทรียะแห่งการพักผ่อนได้ที่ AROM COLLECTION    สนใจสัมผัส ทุกอารมณ์ความรู้สึกกับ สามารถลงทะเบียนเพื่อนัดหมายเข้าชมได้ที่ AROM COLLECTION    บทความน่าสนใจ “พัทยา” ทางเลือกเพื่อการลงทุนอสังหาฯ  กับโปรเจ็กต์ Lifestyle Mix Use  แห่งใหม่ “ONCE PATTAYA” คุ้มค่าทั้งการอยู่อาศัยและปล่อยเช่า : รีวิวคอนโด พัทยา ฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้ สนับสนุนบัตรห้องพักโรงแรมในเครือฯ ในงานพัทยามาราธอน 2566
[PR News] 14 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวฯ สนับสนุน นโยบายเร่งด่วนขับเคลื่อน Soft Power

[PR News] 14 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวฯ สนับสนุน นโยบายเร่งด่วนขับเคลื่อน Soft Power

14 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวฯ ยื่นหนังสือหนุนรัฐบาลคลอดนโยบายเร่งด่วนขับเคลื่อน Soft Power กระตุ้นท่องเที่ยวไทยทุกมิติ มั่นใจช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจส่งท้ายปี ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคนเที่ยวไทยเข้าไทยปีหน้า สร้างเงินสะพัด 3.3 ล้านล้านบาท หนุนจ้างงานสร้างรายได้กว่า 4.56 ล้านคน วอนเร่งแก้ไขปลดล็อกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงนักร้องและนักแสดง รวม 14 กลุ่มองค์กร นำโดย นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย และนางสาวเขมิกา รัตนกุล นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลร่วมกันยื่นหนังสือถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เรื่อง “ข้อเสนอเพื่อส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน ขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เติบโตครอบคลุมในทุกมิติอย่างสมดุลและยั่งยืน” โดยมีนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองเป็นผู้รับหนังสือ   Soft Power นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจ ถนนข้าวสาร กล่าวว่ากลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว บริการ โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร และการบันเทิง 14 องค์กร และ 258 ร้านค้าสถานประกอบการมีความยินดีและพร้อมให้การสนับสนุนรัฐบาลที่มีนโยบายเร่งด่วนที่จะผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเพื่อการกระตุ้นการฟื้นฟูการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน โดยตั้งเป้าหมายด้านรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2567 ไว้ที่ 3.3 ล้านล้านบาทจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคน และนักท่องเที่ยวชาวไทย 200 ล้านคน/ครั้งนั้น โดยจะมีการบูรณาการการขับเคลื่อนการฟื้นฟูและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งระบบและครอบคลุมในทุกมิติเพื่อการเติบโตเป็นฮับการท่องเที่ยวของโลกอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงความสอดคล้องต่อบริบทที่หลากหลายของการท่องเที่ยวทั้งภาคกลางวันและภาคกลางคืน ตลอดจนธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องรวมถึงอาหารและเครื่องดื่ม อย่างไรก็ตาม ในการนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภาครัฐจำเป็นต้องทบทวนการดำเนินงานเพื่อให้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ ในทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน เร่งเพิ่มขีดความสามารถและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจแก่ผู้ประกอบการ ปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค พร้อมกำหนดยุทธศาสตร์ แผนงาน และขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ประเทศไทย ซึ่งมีการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในสิบเอ็ดสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้ความร่วมมือกับภาคเอกชน นายสง่า กล่าวว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นกลไกที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการขับเคลื่อนการฟื้นฟูและการเจริญเติบโตเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน ดังนั้นจึงต้องเร่งผลักดันการขับเคลื่อน Soft Power ด้านการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้น เพื่อนำประเทศไทยสู่การเป็นประเทศจุดหมายปลายด้านการท่องเที่ยวของโลกที่ได้รับความเชื่อมั่นด้านคุณภาพ ความปลอดภัย ความหลากหลาย ความสะดวกสบาย ความคุ้มค่า สามารถตอบสนองและสร้างความพึงพอใจให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่และกลุ่มที่มีคุณภาพและมีระดับการจับจ่ายใช้สอยสูง ทั้งที่มาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจและกลุ่มไมซ์ให้กลับมาเยี่ยมเยือน อันจะส่งผลให้เกิดการฟื้นตัวและการเติบโตไม่เฉพาะในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ แต่ยังครอบคลุมถึงภาคการผลิตและบริการต้นน้ำและปลายน้ำ ตลอดจนเศรษฐกิจและการจ้างงานของประเทศโดยรวม ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวกีฬา การจ้างงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีกว่า 4.56 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 11.50 ของการจ้างงานรวมของประเทศ เมื่อพิจารณารายได้จากการท่องเที่ยวปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด 19 มีมูลค่าสูงถึง 3 ล้านล้านบาท หรือกว่าร้อยละ 18 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) นั้น พบว่าเป็นรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.91 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยว 39.9 ล้านคน โดย 5 ลำดับแรกของรายรับหรือค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายด้านโรงแรมและที่พัก จำนวน 5.44 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28.5 ค่าใช้จ่ายด้านการซื้อสินค้าและของที่ระลึก จำนวน 4.64 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.3 ค่าใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 4.04 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21.2 ค่าใช้จ่ายในการเดินทางภายในประเทศ จำนวน 1.86 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.8 และค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิง จำนวน 1.73 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.0 ซึ่งค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงยามค่ำคืนในสถานบันเทิง ผับ บาร์ (Night Entertainment) มีสัดส่วนถึงร้อยละ 30 ของค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงทั้งหมด หรือคิดเป็นรายรับจำนวน 51.8 พันล้านบาท จะเห็นได้นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงความบันเทิงยามค่ำคืนสูงถึงกว่าหนึ่งในสี่ของค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย   “ในนามกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงนักร้องและนักแสดง ดังมีรายนามที่ปรากฏในหนังสือฉบับนี้ ใคร่ขอชื่นชมรัฐบาลที่มีความเข้าใจในความต้องการและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป และได้จัดทำแคมเปญ Amazing Thailand, Amazing New Chapters ซึ่งนำเสนอภาพลักษณ์ใหม่ด้านการท่องเที่ยววิถีปกติใหม่ ซึ่งมีความหลากหลาย ครอบคลุมในทุกมิติด้านการท่องเที่ยวและการบริการ ทั้งภาคกลางวันและยามค่ำคืนสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าประทับใจ สะดวกสบาย และปลอดภัย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มใหม่ กลุ่มที่มีศักยภาพและกำลังซื้อสูงให้เข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นและมีระยะเวลาการพำนักนานขึ้น” นางสาวเขมิกา รัตนกุล นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทยกล่าว นางสาวเขมิกา กล่าวเสนอด้วยว่าขอให้รัฐบาลกำหนดพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวยามค่ำคืนเพื่อเป็น “Soft Power” ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการสังสรรค์และความบันเทิงยามค่ำคืนและเป็นชาติผู้นำด้านการท่องเที่ยวที่ครบวงจรและปลอดภัยในระดับโลก ได้แก่   กรุงเทพมหานคร พื้นที่ถนนข้าวสาร ถนนสีลม (ซอยพัฒน์พงษ์ และซอยธนิยะ) ถนนรัชดาภิเษก ถนนสุขุมวิท (ซอยสุขุมวิท 11 ซอยคาวบอย ซอยนานา) จังหวัดภูเก็ตพื้นที่ซอยบางลา เมืองพัทยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีพื้นที่หาดเฉวง เกาะสมุย และหาดริ้น เกาะพะงัน พังงาพื้นที่เขาหลัก กระบี่พื้นที่อ่าวนาง ประจวบคีรีขันธ์พื้นที่เมืองหัวหิน จังหวัดสงขลาพื้นที่เมืองหาดใหญ่ เมืองสะเดา จังหวัดเชียงใหม่พื้นที่ถนนนิมมานเหมินทร์   พร้อมปรับปรุงแก้ไขมาตรการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจสำหรับพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวยามค่ำคืน ได้แก่ 1.อนุญาตให้สถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษสามารถเปิดดำเนินการจนถึงเวลา 4.00 น. 2.กำหนดเวลาจำหน่ายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่พิเศษตั้งแต่เวลา 11.00 – 4.00 น. 3.พิจารณายกเลิกคำสั่งห้ามมิให้มีสถานที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษาหรือหอพักในบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษา 4.กำหนดมาตรการอำนวยความสะดวก และเฝ้าระวังความปลอดภัยเชิงรุก 5.บังคับใช้กฎหมายการห้ามมิให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่ผู้ที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์หรือผู้ที่ครองสติไม่อยู่ รวมถึงการห้ามการเมาแล้วขับอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันการดื่มสุราในกลุ่มเด็กและเยาวชนและปัญหาอุบัติเหตุจราจรจากการเมาแล้วขับ 6.ตรวจสอบมาตรฐานการให้บริการและมาตรฐานความปลอดภัยของสถานประกอบการ มาตรฐานความปลอดภัยรอบพื้นที่พิเศษ รวมถึงการเป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติดและอาวุธอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้กลุ่มตัวแทนดังกล่าวได้แนบเอกสารสำคัญ 3 เรื่องด้วยเพื่อประกอบการพิจารณา คือ 1. หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร 0913/320 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2564 2. บันทึกคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สร้างสมดุลกับนโยบายอื่นของภาครัฐ (เรื่องเสร็จที่ 1673/2564) 3.รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) โครงการศึกษาวิเคราะห์ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบข้อบังคับและกระบวนงานที่เกี่ยวกับการอนุญาต เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการและการอนุญาตที่ไม่จำเป็นหรือเป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน เล่มที่ 2 “เรื่อง ผลการทบทวน: ใบขออนุญาตขายสุรา ประเภทที่ 1 และใบขออนุญาตขายสุรา ประเภทที่ 2 และผลการทบทวน: การกำหนดวันและเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงนักร้องและนักแสดง 14 องค์กรดังกล่าว ประกอบด้วย กลุ่มผู้ประกอบการสถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ, ชมรมสถานบันเทิงหาดป่าตอง, ไร่องุ่นมอนซูนแวลลีย์และมอนซูนแวลลีย์ ไวน์บาร์, สมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหาร, สมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหารกลางคืน, สมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่, สมาคมบาร์เทนเดอร์ไทย, สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย, สมาคมผู้ประกอบการร้านอาหาร, สมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสารสมาคมโรงแรมไทย, สมาคมสุราท้องถิ่นไทย, สมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา และสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงอาชีพแห่งประเทศไทย   บทความน่าสนใจ AWC จับมือ ททท. มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จับมือร่วมสร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เปิดตัวโครงการ “AWC Stay to Sustain”   ส่องกำลังซื้อ ต่างชาติใน 5 เมืองท่องเที่ยว ช่วงครึ่งแรกปี 66 ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวแค่ไหน?
ESTAR ลุยทำเลทอง  บ้านฉาง - ระยอง เปิดโครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

ESTAR ลุยทำเลทอง บ้านฉาง - ระยอง เปิดโครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

  บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดความสำเร็จ 5 โครงการฝั่งตะวันออก ทำนิวไฮ อัพเดท กวาดรายได้รวมแล้วกว่า 700 ล้านบาท พร้อมเร่งเครื่องท้ายปีเตรียมเปิดตัว โครงการน้องใหม่ ‘เวลาน่า ไฮด์’ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท ทำเลติดสนามกอล์ฟ ใกล้สนามบิน อู่ตะเภา   ESTAR นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ สามารถคว้าความสำเร็จในการปิดยอดขายโครงการพื้นที่ฝั่งระยอง – บ้านฉาง อาทิ โครง การบ้านสินทวี การ์เด้นท์ 2 โครงการแฮมเล็ต 3 โครงการเวลาน่า กอล์ฟ เฮ้าส์ ที่ปัจจุบันปิดโครงการเป็นที่เรียบร้อย แล้ว เช่นเดียวกันกับโครงการ บรีซ แอท อีสเทอร์น สตาร์ ฟอเรสโต้ ที่ตอนนี้ยอดขายอยู่ที่ 99% ซึ่งคาดว่าจะปิดได้ สำเร็จภายในสิ้นปีนี้ สำหรับโครงการเวลาน่า อะโมด้า อู่ตะเภา - บ้านฉาง ยอดขายตอนนี้ขึ้นมาที่ 96% และในส่วน ของโครงการแกรนด์ เวลาน่า ยอดขายตอนนี้อยู่ที่ 80% นอกจากนี้ จากที่ทราบกันในปีนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการที่เปิด ใหม่ โครงการเธร่า พรีม่า บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ที่ตอนนี้ทำยอดขายได้แล้ว 75% ของ เฟสแรก เช่นเดียวกับโครงการบรีซ ชาเล่ต์ บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ที่ตอนนี้ยอดขายแตะ อยู่ที่ 80% ของเฟสแรก   จากการสำรวจพื้นที่ทำเลในบริเวณรัศมีรอบโครงการอีสเทอร์น สตาร์ พบว่า โซนระยอง - บ้านฉาง มีศักยภาพทำเลสูง เนื่องจากมีนิคมอุตสาหกรรมและประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น อีกทั้งยังมีเส้นทางคมนาคมที่หลากหลาย โดย เฉพาะสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาที่ตอนนี้กำลังจะมีโปรเจกต์ในการสร้างส่วนต่อขยาย อีกทั้งยังมีโครงการใน อนาคตที่เป็นเมกะโปรเจกต์ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เชื่อม กทม. สู่ EEC คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2029 การเดินทางที่สะดวก ทันสมัย จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น การจ้างงานในอุตสาหกรรมต่อเนื่องกว่า 1 แสนตำแหน่ง เกิดเมืองใหม่ที่เป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ตามสองข้างทางที่ รถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่าน หากมีเมกะโปรเจกต์เหล่านี้มาก็จะสร้างแหล่งงานมากในพื้นที่ ทำให้ความต้องการ อสังหาริมทรัพย์มีอย่างต่อเนื่อง     ในปีนี้ โครงการฝั่งระยอง - บ้านฉาง ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ โดยให้ความสนใจเข้ามา เยี่ยมชมโครงการอีสเทอร์น สตาร์ เพิ่มขึ้น เห็นได้จากกระแสตอบรับสำหรับโครงการเปิดใหม่อย่าง โครงการบรีซ ชาเล่ต์ บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท บ้านเดี่ยว 2 ชั้น หน้ากว้าง พื้นที่โครงการ 27-0-66.3 ไร่ จำนวนบ้าน 134 หลัง สไตล์ Modern English Garden Home ในราคาเริ่มต้น 3.89 ล้านบาท ซึ่งกำลังเป็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากสามารถทำ ยอดจองได้สูง พร้อมกับโครงการบ้านในสนามกอล์ฟที่เป็นไฮไลท์ โครงการอะโมด้า อู่ตะเภา - บ้านฉาง บ้านเดี่ยว พร้อมอยู่ 2 ชั้น จำนวน 104 ยูนิต บนที่ดินกว่า 27-1-55.80 ไร่ ในสนามกอล์ฟ สไตล์โมเดิร์นคลาสสิค รูปแบบ Timeless Design ราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาท ที่ตอนนี้ยอดขายกระโดดมาสูงเกือบจะ 100% ภายในระยะเวลาเพียง ไม่กี่เดือน และใกล้ปิดการขายโครงการได้ในเร็วๆ นี้   ซึ่งจากปัจจัยบวกต่างๆ ตลอดปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุผลให้ บริษัทฯ ลงทุนขยายโครงการใหม่เพิ่มในพื้นที่เดียวกัน เพื่อตอบรับความต้องการผู้อยู่อาศัย ในชื่อ โครงการเวลาน่า ไฮด์ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 128 ยูนิต มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท บนคอนเซ็ปต์ Modern Classic สะท้อนความงดงาม สมบูรณ์แบบของการใช้ชีวิต โดยการออกแบบตัวบ้านและโครงการได้รับแรงบันดาลใจจาก สถาปัตยกรรมยุโรป และยังคงเน้นกลุ่มเป้าหมาย เป็นกลุ่มผู้บริหาร บริษัทในนิคมฯ มาบตาพุด กลุ่มหมอ และพนักงานสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ตั้งแต่ช่วงวัยทำงาน อายุ 30-55 ปี รายได้เดือนละ 7 หมื่น - 3 แสนบาท ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่ามี กำลังซื้อศักยภาพสูง และโอกาสรีเจ็กต์เรตอยู่ในเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก ทั้งนี้ปัจจุบัน โครงการเวลาน่า ไฮด์ อู่ตะเภา - บ้านฉาง อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ดำเนินการแล้วกว่า 60% โดยคาดว่า แล้วจะเสร็จพร้อมเปิดตัวในช่วงต้นปีหน้า ไตรมาส 1/2024     อย่างไรก็ตาม ภาพรวมสำหรับโครงการอีสตาร์ในพื้นที่ระยอง ปีนี้คาดว่าจะทำนิวไฮของบริษัทฯ กว่า 700 ล้านบาท นอกจากนี้ในปีหน้าบริษัทฯ ยังมีการลงทุนเพิ่มสำหรับขยายโครงการ เพื่อตอบรับผู้อยู่อาศัย ในทุกเซกเมนท์โดยมีจะการออกโปรดักส์ในราคาเริ่มตั้งแต่ 2 ล้านบาทต้นๆ ไปจนถึง 12 ล้านบาท ซึ่งตามคาดการณ์ จะสามารถรับรู้รายได้ อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท นายไพโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย   บทความน่าสนใจ ESTAR  เปิดชม ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39  ยอดนิยมในย่าน ขายแล้วกว่า 70% ESTAR เปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ ไพโรจน์ วัฒนวโรดม ปรับใหญ่รุกตลาดบ้าน
[PR News] เสนาฯ และ ฮันคิว ฮันชิน ร่วมสนับสนุนวิจัย “สภาวะน่าสบาย”

[PR News] เสนาฯ และ ฮันคิว ฮันชิน ร่วมสนับสนุนวิจัย “สภาวะน่าสบาย”

เสนาดีเวลลอปเม้นท์  พร้อมด้วย ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ลงนามความร่วมมือสนับสนุนการนำนวัตกรรม “สภาวะน่าสบาย” ผลงานวิจัยของพานาโซนิค และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เข้าทดลองภายในบ้านที่พักอาศัยจริงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่โครงการเสนา แกรนด์ โฮม บางนา กม.29 เพื่อค้นหาสภาวะน่าสบายสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์  83078     สภาวะน่าสบาย ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า เพื่อร่วมกันพัฒนาบ้านเพื่อการพักอาศัยที่ยั่งยืน โดยได้เริ่มต้นนำคอนเซปท์บ้าน Zero Energy House ของ ฮันคิว พัฒนาเป็นต้นแบบ “แนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์” ในแบบที่เหมาะกับคนไทย เพื่อให้ลูกบ้านมีบ้านที่อยู่ได้อย่างสะดวกสบาย ช่วยประหยัดเงิน ประหยัดพลังงาน และยังรักษ์โลกไปได้ด้วยพร้อมๆ กัน     “ล่าสุดทางเรา คือ เสนาฯ และฮันคิว ฮันชิน ได้รับทราบถึงการทดลองนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย สภาวะน่าสบาย ที่ได้ริเริ่มทำการวิจัยโดยพานาโซนิค ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้เกิดความสนใจ เนื่องจากมีแนวคิดในการพัฒนาการอยู่อาศัยเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงได้เกิดความร่วมมือในการสนับสนุนการทดลองนี้ จากการวิจัยในแบบบ้านจำลอง ให้มาทดลองในบ้านจริงของเรา เพื่อให้ได้ผลการวิจัยที่ตรงกับการใช้ชีวิตจริงมากที่สุด และสามารถนำไปต่อยอดนวัตกรรม หรือพัฒนาเป็นเทคโนลียีเพื่อการอยู่อาศัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทางเสนาฯ และฮันคิว ฮันชินเอง ต้องขอบคุณทางพานาโซนิค และจุฬาลงกรณ์ที่เล็งเห็นถึงความตั้งใจและแนวทางของบริษัทฯ ที่ต้องการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ลูกค้าอย่างยั่งยืน  ทำให้ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนานวัตกรรมดีๆ แบบนี้  และอาจมีโอกาสในการต่อยอดสู่ความร่วมมือด้านอื่นๆ ต่อไปในอนาคต” ดร.เกษรา กล่าว   นายมิสึฮิโระ นากาซาว่า ผู้จัดการทั่วไป บ. ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ในฐานะพาร์ทเนอร์ของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า ทุกวันนี้ เราอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องพิจารณามาตรการป้องกันภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง ฮันคิว ฮันชิน ในฐานะหนึ่งในนักพัฒนา เราตระหนักอย่างยิ่งถึงความจำเป็นในการเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยฮันคิว ฮันชิน ในประเทศญี่ปุ่นได้ ได้เร่งดำเนินการติดตั้งบ้านพลังงานเป็นศูนย์ (Zero Energy House -  ZEH) สำหรับที่พักอาศัยและยังคงเร่งดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อรับมือกับลดภาวะโลกร้อนอย่างเต็มที่   “เราเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คือการพัฒนาที่อยู่อาศัยบนพื้นฐานของความเข้าใจ ดูแล และสร้างความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตของลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งการศึกษา“สภาวะน่าสบาย” ผ่านบ้านแบบจำลองโดยพานาโซนิค และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะศึกษาเพื่อค้นหาโซลูชั่นและนวัตกรรมใหม่ๆที่ให้ความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตของผู้พักอาศัย รวมถึงเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของวิศวกรรมระบบ สอดคล้องกับแนวคิดในการพัฒนาที่พักอาศัยของเราเช่นกัน โดยคาดหวังว่าการร่วมมือในการสนับสนุนงานวิจัยในครั้งนี้ จะสามารถตอบโจทย์ ได้ทั้งในด้านประหยัดพลังงาน และความสะดวกสบายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัย”   มร.ฮิเดคาสึ อิโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พานาโซนิค โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวว่าตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี ที่พานาโซนิคได้เข้ามามีส่วนร่วมในประเทศไทย ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ในขณะเดียวกันเรายังได้มีการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในหลากหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยมุ่งเน้นเพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืน  อันเป็นที่มาในการวิจัยร่วมกับสถาบันการศึกษาอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืนและประหยัดพลังงานในประเทศไทย (Sustainable and Energy-Efficient Housing Technologies in Thailand) รวมไปถึง การค้นคว้าเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการใหม่ๆ อย่าง “สภาวะน่าสบายภายในบ้าน” สำหรับคนไทยโดยเฉพาะ     โดยได้เริ่มการวิจัย ผ่านการทดลองภายในแบบบ้านจำลอง ZEN Model ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อค้นคว้าระบบปรับอากาศที่ประหยัดพลังงาน และสร้างสภาวะน่าสบายภายในบ้าน และเพื่อขยายผลการทดลองในบ้านจำลอง จึงนำมาสู่การทำการค้นคว้าและ วิจัยร่วมกันระหว่างสี่องค์กรในครั้งนี้โดย เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ได้สนับสนุนบ้านจริงเพื่อการอยู่อาศัยใน การทดลองประสิทธิภาพการทำงานของระบบโดยหวังผลให้ระบบนี้เป็นหนึ่งในแนวทางการอยู่อาศัยที่ยั่งยืนสำหรับคนไทย ภายใต้ภาวะน่าสบาย (Comfort Zone) ปราศจากความเครียด (Stress-free) ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ (Carbon-free)  และลดการใช้พลังงาน (Energy Efficiency) เกิดเป็นเทคโนโลยีที่อยู่อาศัยในอนาคตที่เหมาะกับบริบทของประเทศไทยต่อไป”     ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สรายุทธ ทรัพย์สุข คณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือในการจัดทำการวิจัยกับพานาโซนิคในประเทศไทยครั้งนี้ เราได้นำความเชี่ยวชาญของจุฬาฯ ทั้งจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มาผนวกกับความรู้ความชำนาญทางเทคโนโลยีของพานาโซนิค ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการวิจัยไปข้างหน้าและมีส่วนช่วยในการพัฒนาโซลูชั่นและนวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยในประเทศไทยในอนาคตได้ โดยปัจจุบันความร่วมมือนี้ได้ถูกพัฒนาเป็นโมเดลที่อยู่อาศัยแบบจำลอง โดยการนำเทคโนโลยี BIM หรือ Building Information Modelling และ Digital Twin เข้ามาช่วยในการออกแบบและก่อสร้างบ้านโมดูลาร์ในชื่อ ZEN Model ขนาดพื้นที่ 36 ตารางเมตร ภายในพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจำลองบรรยากาศที่อยู่อาศัยในสภาวะน่าสบาย และร่วมทำการเก็บข้อมูลจากการให้กลุ่มตัวอย่างได้เข้ามาทดลองใช้ชีวิตในพื้นที่บ้านทดลอง ซึ่งจะขยายผลสู่การทดลองกับบ้านเดี่ยวในโครงการของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ เพื่อให้ได้ผลที่ใกล้เคียงจริงยิ่งขึ้น และสามารถนำไปต่อยอดการยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัยของผู้คนทุกระดับในเขตร้อนชื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีข้อมูลทางวิชาการรองรับ   บทความน่าสนใจ เสนา นำร่องแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เปิดตัว “เสนา เวล่า สุขุมวิท – บางปู”  เสนาเจ จับมือ NEC พลิกโฉม “Smart Living Community”    
[PR News] OPPLE Lighting ประกาศส่งสมาร์ทไลท์ติ้ง บุกตลาดไทย ตั้งเป้า 5 ปี ขึ้นแท่น 1 ใน 3 ผู้นำตลาดหลอดไฟ

[PR News] OPPLE Lighting ประกาศส่งสมาร์ทไลท์ติ้ง บุกตลาดไทย ตั้งเป้า 5 ปี ขึ้นแท่น 1 ใน 3 ผู้นำตลาดหลอดไฟ

นายหาน ซิ่งจ้าย ผู้จัดการทั่วไปของสาขาต่างประเทศ บริษัท ออปเปิ้ล ไลท์ติ้ง จำกัด กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของเราไม่เพียงแค่เน้นการเติบโตทางธุรกิจเท่านั้น ที่ออปเปิ้ล ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างศักยภาพให้กับพันธมิตรของเรา ด้วยการจัดสรรเครื่องมือ ทรัพยากร และการสนับสนุนที่จำเป็น เราไม่หยุดยั้งที่จะหาโอกาสในการขยายการสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรม การตลาด หรือการร่วมมือทางเทคโนโลยี เพื่อให้เราเติบโตและประสบความสำเร็จร่วมกัน OPPLE Lighting OPPLE Lighting นับตั้งแต่การก่อตั้ง OPPLE ในปี 2539 การเดินทางของ OPPLE เกิดจากการเติบโตและการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทและพันธมิตร รากฐานของบริษัทถูกสร้างขึ้นบนหลักการในการช่วยเหลือผู้อื่น และหลักปฏิบัตินี้มีส่วนสำคัญในวิวัฒนาการของบริษัททั้งในระดับโลก โดยปัจจุบันออปเปิ้ลเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งในประเทศจีน ความสำเร็จของออปเปิ้ลมาจากการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ให้บริการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมสำหรับลูกค้า และเป็นผู้บุกเบิกสินค้านวัตกรรมและนำเทรนด์ตลาด ปัจจุบันมีสินค้าจำหน่ายในมากกว่า 70 ประเทศ โดยตลาดหลักยังคงเน้นที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศตะวันออกกลาง   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยเราได้เข้ามาทำตลาดมาประมาณ 10 ปีแล้ว ซึ่งบริษัทจะทำงานคู่กับผู้แทนจำหน่าย และให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างศักยภาพให้กับพันธมิตรของบริษัท โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันยาวนานของ OPPLE สู่ความเป็นเลิศและความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น ความสัมพันธ์ของบริษัทกับตัวแทนในตลาดประเทศไทยถือเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จ OPPLE ความร่วมมือเหล่านี้สร้างขึ้นจากความไว้วางใจ การเคารพซึ่งกันและกัน และวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันช่วยให้ OPPLE สามารถขยายฐานลูกค้า และปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น ตัวแทนของบริษัทซึ่งมีข้อมูลเชิงลึกในตลาดท้องถิ่นและความเข้าใจถึงความแตกต่างในท้องถิ่นถือเป็นปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญในการช่วย OPPLE ปรับข้อเสนอแนะ เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทไม่เพียงตอบสนองได้ แต่ยังเกินความคาดหวังของลูกค้า การทำงานร่วมกันนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนผลการดำเนินงานเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำชื่อเสียงของ OPPLE อีกด้วย     ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทมีแผนจะนำสินค้าให้กลุ่มสมาร์ทไลท์ติ้งหรือหลอดไฟอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ โดยแต่งตั้งให้บริษัท เกาอาน จำกัด ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายระบบไฟฟ้าในไทยมากว่า 70 ปีเป็นตัวแทนจำหน่ายในร้านขายอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าของพันธมิตรที่มี 700 รายทั่วประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดหลอดไฟในประเทศไทย ที่ปัจจุบันมูลค่า 20,000 ล้านบาท เติบโตปีละ 3-5% และเทรนด์การใช้งานหลังจากนี้กำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากหลอดแอลอีดีไปสู่สมาร์ทไลท์ติ้ง พร้อมตั้งเป้าหมายใน 5 ปี เป็น 1 ใน 3 ของผู้นำตลาดหลอดไฟในไทย   อุตสาหกรรมแสงสว่างของประเทศไทย: ภูมิภาคที่มีการเติบโตสูง อุตสาหกรรมแสงสว่างของไทยมีความโดดเด่นด้วย •ศักยภาพตลาดที่สูง •การพัฒนาการค้าที่รวดเร็ว •โอกาสมากมาย โดยเฉพาะในงานโครงการที่เฉพาะเจาะจง การเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศไทย นโยบายของ OPPLE ในประเทศไทยประกอบด้วย: •การส่งเสริมการขายส่ง ,การปรับปรุงการแสดงสินค้าในร้าน,และแนะนำร้านค้าต้นแบบของ OPPLE (OPPLE Model Shop) •การเน้นการพัฒนางานโครงการ •การขยายช่องทางการจัดจำหน่าย     นางสาวดวงสมร ตะล่อมสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกาอาน จำกัด กล่าวว่า เกาอาน ดำเนินธุรกิจเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าประเภทอุปกรณ์ด้านไฟฟ้า ได้แก่ สายไฟ สายเคเบิ้ล ปลั๊กไฟฟ้า อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อย่างครบวงจรมาตั้งแต่ปี 2490 ซึ่งมากกว่า 70 ปี เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย กลุ่มผลิตภัณฑ์หลอดไฟและอุปกรณ์แสงสว่างของออปเปิ้ลไลท์ติ้งรายเดียวในประเทศไทย เพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าหลอดไฟและอุปกรณ์แสงสว่าง OPPLE LIGHTING ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ   ทั้งนี้ สินค้าของ OPPLE  LIGHTING เกาอานได้เลือกหลอด LED BULB OPPLE มาทำการตลาด เพราะมั่นใจในสินค้า และคุณภาพ เนื่องจาก OPPLE มีโรงงานเป็นของตัวเอง มีการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ของตัวเอง จึงได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ แสงสวย ถนอมสายตา ปลอดภัยต่อการใช้งาน มีค่าแสงสว่าง ตรงตามความต้องการของลูกค้า มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานเดียวกันกับที่ส่งออกไปต่างประเทศ ด้วยความเป็นบริษัทหลอดไฟ อันดับ 1 ของจีน เกาอานจึงเลือกที่จะเป็นพาร์ทเนอร์กับทาง OPPLE “ถ้าเรื่องของ Lighting หรือแสงสว่าง ต้องนึกถึงเกาอาน เพราะเกาอาน มีทีมขาย ทีมขนส่ง ครอบคลุม ทั่วประเทศ มีความเชี่ยวชาญ และเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี มีบริการหลังการขาย สามารถส่งของได้ตรงเวลา มีการพัฒนาบุคลากรอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่เป็นดีลเลอร์ของเกาอาน สามารถจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ทำส่วนลดรายเดือน-รายปี สามารถสะสมยอดขายได้ และที่สำคัญจะไม่เกิดการแข่งขันกันเองระหว่างดีลเลอร์ แต่มีการเติบโตต่อไปในอนาคตร่วมกันกับเกาอาน” นางสาวดวงสมร กล่าว   บทความน่าสนใจ RUARK AUDIO รุกตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ส่งความบันเทิงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รับเทรนด์ตลาดบ้านหรู เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia
[PR News] AWC จับมือ ททท. มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จับมือร่วมสร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เปิดตัวโครงการ “AWC Stay to Sustain”  

[PR News] AWC จับมือ ททท. มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จับมือร่วมสร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เปิดตัวโครงการ “AWC Stay to Sustain”  

AWC Stay to Sustain ตั้งเป้าร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม้ในแต่ละปีประมาณ 500,000 ต้น กว่า 5,000 ไร่ ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 2,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี เพื่อฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวและความหลากหลายทางระบบนิเวศ มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573 ควบคู่การสร้างรายได้ให้กับชุมชนที่ดูแลรักษาป่าอย่างยั่งยืนเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม     บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC  ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมผนึกกำลังกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมขับเคลื่อนการท่องเที่ยวยั่งยืน (Sustainable Tourism) ชวนนักท่องเที่ยวร่วมโครงการ “AWC Stay to Sustain” เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม้ในป่าชุมชน เพิ่มความหลากลายทางชีวภาพในระบบนิเวศ พร้อมดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และเพิ่มการผลิตก๊าซออกซิเจนให้กับอากาศบนโลกใบนี้  ควบคู่การสร้างรายได้ในชุมชนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจประเทศในระยะยาว ตอกย้ำความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์กรอบการดำเนินงานการพัฒนาที่ยั่งยืน 3BETTERS ของ AWC ทั้ง BETTER Planet BETTER PEOPLE และ BETTER Prosperity ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ ททท. ที่มุ่งสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำการสร้างการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก ร่วมส่งต่อคุณค่ากับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก     นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า “ททท. รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ AWC ซึ่งมีพอร์ตโรงแรมที่หลากหลายทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองหลักทั่วประเทศที่ได้ริเริ่มโครงการเพื่อความยั่งยืนให้เป็นต้นแบบกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ผ่านโครงการ “AWC Stay to Sustain” รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่มอบประสบการณ์สุดพิเศษให้นักท่องเที่ยวที่นอกจากจะได้รับความประทับใจจากการท่องเที่ยวประเทศไทยแล้ว ยังได้ร่วมสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและสังคมให้ประเทศไทยอีกด้วย โดย ททท. สนับสนุนผู้ประกอบการให้ก้าวสู่การท่องเที่ยวที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ตามแผนพัฒนา BCG Model และยังสนับสนุนให้ผู้ประกอบการกำหนดมาตรวัดผลลัพธ์การดำเนินการที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐานระดับสากล ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของ ททท. ที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยสู่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระดับโลก เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของภาคท่องเที่ยวไทย และดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวยั่งยืนจากทั่วโลกที่มีเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน”   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า  โรงแรมทั้ง 22 แห่งของ AWC ทั่วประเทศ ร่วมกันที่จะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดปัญหาภาวะโลกร้อน และร่วมสร้างการท่องเที่ยวยั่งยืนให้ประเทศไทย ช่วยเหลือชุมชนในพื้นที่ที่เข้าไปท่องเที่ยว เราจึงริเริ่มโครงการ “AWC Stay to Sustain” ในวันที่ 10 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันครบรอบการเข้าตลาดหลักทรัพย์ครบ 4 ปี ของ AWC เปิดโอกาสให้แขกผู้เข้าพักโรงแรมในเครือได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชนในประเทศไทย โดยทุกการเข้าพัก 1 คืน ภายในโรงแรมเครือ AWC จะร่วมดูแลต้นไม้ 1 ต้น อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชน เพื่อสนับสนุนโครงการของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และรักษาผืนป่าในระยะยาว พร้อมส่งเสริมรายได้ให้ชุมชนที่จะเป็นผู้ดูแลป่า สอดคล้องกับแนวทางของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการส่งเสริมการท่องเที่ยวยั่งยืนที่ครอบคลุมมิติของสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคมองค์รวม”   หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้สืบสานพระราชปณิธาน “ปลูกป่า ปลูกคน” มาเป็นเวลาเกือบสี่ทศวรรษ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผนึกกำลังกับ AWC ร่วมสืบสานเจตนารมณ์การฟื้นฟูระบบนิเวศและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ จึงนำประสบการณ์มาขยายผลเพื่อร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชนในป่า พร้อมร่วมแก้ปัญหาสภาพแวดล้อมของไทยและโลกไปในคราวเดียวกัน ซึ่งการสร้างผืนป่าและอนุรักษ์ป่าไม้เป็นปัจจัยสำคัญในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในระดับองค์กร และในระดับประเทศ รวมถึงการลดภาวะโลกร้อนและลดอัตราการเกิดไฟป่า โดยทางมูลนิธิฯ จะนำรายได้สนับสนุนจากโครงการ “AWC Stay to Sustain” ไปใช้ในการพัฒนาระบบประเมินคาร์บอนเครดิต และจัดตั้งกองทุนเพื่อชุมชนสองประเภท คือ กองทุนดูแลป่า และกองทุนเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน ในขณะเดียวกันปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ” “AWC Stay to Sustain” เป็นหนึ่งในโครงการตามกรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ AWC (3BETTERs) ผ่านความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เพื่อร่วมฟื้นฟูดูแลผืนป่าในระยะยาว โดย AWC ตั้งเป้าสนับสนุนการอนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม้ในแต่ละปีประมาณ 500,000 ต้น รวมกว่า 5,000 ไร่ สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 2,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี หรือเท่ากับการเข้าพัก 1 คืน ร่วมดูแลต้นไม้ 1 ต้น จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 5 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี สอดรับกับเป้าหมายระยะยาวของ AWC ในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573   นอกจากนี้ AWC จะร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ สนับสนุนการสร้างรายได้ชุมชนด้วยการสรรหาผลิตภัณฑ์งานฝีมือจากชุมชนทั่วประเทศมาตกแต่งในโรงแรมแบรนด์พันธมิตรชั้นนำระดับโลกเครือ AWC รวมถึงการนำผลผลิตทางการเกษตรคุณภาพจากชุมชนมาปรุงอาหารและเสิร์ฟให้นักท่องเที่ยวที่เข้าพักในโรงแรมได้ลิ้มรส เปิดโอกาสให้คนไทยได้มีโอกาสแสดงผลงานสู่สายตาของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ควบคู่การสนับสนุนความยั่งยืนเพื่อสังคมที่มั่นคงรุ่งเรืองด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม “AWC ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก สร้างสรรค์กิจกรรมภายใต้แนวคิด ‘AWC Be Better’ เพื่อมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวยั่งยืนให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความยั่งยืนแก่โลกใบนี้ร่วมกัน อาทิ    BETTER Planet โรงแรม บันยันทรี สมุย และโรงแรม บันยันทรี กระบี่ จัดโครงการชวนนักท่องเที่ยวเก็บขยะริมชายหาด สามารถเก็บขยะได้ปริมาณกว่า 7 ตัน และโรงแรมในเครือ AWC 9 โรงแรม ได้ร่วมโครงการส่งต่ออาหารส่วนเกินคุณภาพดีให้แก่ชุมชน จำนวน 186,880 มื้อ ช่วยลดปริมาณขยะจากการดำเนินงานสู่บ่อฝังกลบ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 112 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพื่อปกป้องระบบนิเวศทางธรรมชาติ (Safeguarding Natural System)    BETTER PEOPLE โรงแรม มีเลีย เชียงใหม่ จัดโปรแกรมครัว 360 องศา เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เลือกรับประทานอาหารที่ใช้ผลผลิตจากฟาร์มออร์แกนิคของโรงแรมมาปรุงอาหาร และเยี่ยมชมฟาร์มเพื่อเรียนรู้วิธีการเกษตรแบบยั่งยืนและสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น โดยเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานอาหารยังถูกส่งกลับไปที่ฟาร์มเพื่อทำเป็นปุ๋ยหมัก ช่วยลดปริมาณขยะของโรงแรมและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และโครงการวิสาหกิจเพื่อสังคม ‘เดอะ GALLERY’ ศูนย์กลางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากชุมชนท้องถิ่นภายในเครือโรงแรมของ AWC รวมถึง BETTER PROSPErity ที่ร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์โรงแรมสร้างสรรค์กิจกรรมวัดผลความยั่งยืนที่ช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม พร้อมส่งเสริมการบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน (Sustainable Consumption and Production) ตลอดจนพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่ทุกภาคส่วนจะได้รับประโยชน์และคุณค่าร่วมกัน (Sustainable and Resilience Supply Chain) ทั้งนี้ AWC เชื่อมั่นว่าการรวมพลังความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและชุมชน จะช่วยสร้างพลังขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก พร้อม “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” ให้กับทุกภาคส่วนไปพร้อมกัน” นางวัลลภา กล่าวสรุป AWC ยังตั้งเป้าให้ทุกโรงแรมและศูนย์การค้าในเครือได้รับประกาศนียบัตร โครงการ STAR “ดาวแห่งความยั่งยืน” ของ ‘การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย’ ตามเป้าหมาย STGs (Sustainable Tourism Goals) ของ ททท. สะท้อนความมุ่งมั่นของ AWC ที่ดำเนินงานตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติของธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการมีธรรมาภิบาลที่ดีของสถานประกอบการ ควบคู่การสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนในระยะยาวให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่คุณค่า และร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก   บทความน่าสนใจ AWC จับมือ 2C2P แพลตฟอร์มชำระเงินระดับโลก ปักหมุดที่เอ็มไพร์ทาวเวอร์ AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC
RUARK AUDIO รุกตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ส่งความบันเทิงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รับเทรนด์ตลาดบ้านหรู

RUARK AUDIO รุกตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ส่งความบันเทิงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รับเทรนด์ตลาดบ้านหรู

RUARK AUDIO แบรนด์ดังจากอังกฤษ เปิดตัวลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะอัจฉริยะ 5 รุ่นใหม่ R1S, R2, R3S, MR1 และ R410 รุกตลาดเครื่องเสียงระดับลักซ์ชัวรี่เมืองไทย รับเทรนด์ตลาดบ้านหรูโตแรง เตรียมส่งนวัตกรรมแห่งพลังเสียง พร้อมสัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงเหนือระดับ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ครอบครัวยุคใหม่     RUARK AUDIO นายลักษณ์วัตร์ เหรียญเจริญสุข ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและพัฒนาธรุกิจ บริษัท โคแอน จำกัด เปิดเผยว่า เทรนด์การเลือกที่อยู่อาศัยของครอบครัวยุคใหม่เน้นมองหาบ้านที่สะท้อนความสำเร็จของชีวิต และใส่ใจในการออกแบบที่หรูหรา เรียบง่าย และโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่งผลให้ดีมานด์ในตลาดบ้านหรูเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โดยการขยายตัวดังกล่าวมา สะท้อนจากตัวเลขการเติบโตของตลาดบ้านหรู   RUARK AUDIO แบรนด์ลำโพงและเครื่องเสียงชั้นนำระดับโลกจากประเทศอังกฤษ ผู้นำนวัตกรรมและความบันเทิงภายในบ้านในครั้งนี้ นำโดยลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะอัจฉริยะรุ่นใหม่ R1S, R2,R3S, MR1 และ R410 ที่มาพร้อมสโลแกน Ruark Audio - A passion for sound ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ชูจุดเด่นด้วยความมินิมอล คลาสสิก เน้นโทนสีเรียบง่าย เรียบหรู ดูทันสมัย เหมาะกับทุกการออกแบบภายในบ้าน ให้ความรู้สึกลักซ์ชัวรีเป็นเสมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเด่นรับกับเทรนด์ตลาดบ้านหรูที่เติบโตอย่างมากในประเทศไทย   โดยในปีนี้ เราจะเน้นสื่อสารการตลาดให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจสินค้า และเห็นความโดดเด่นของสินค้า อีกทั้งยังจะพัฒนาระบบการซื้อขายหรือบริการหลังการขายให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภครักที่ในเสียงเพลงได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่และเกิดความพึงพอใจมากที่สุด” นายลักษณ์วัตร์ กล่าว   สำหรับความพิเศษของ Ruark Audio แบรนด์ลำโพงชั้นนำจากประเทศอังกฤษ ที่เดินทางมายาวนานถึง 38 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1985 โดยแบรนด์เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของครอบครัว O’Rourke ที่มีใจรักต่อเสียงดนตรี จากนั้นในปี 2006 ได้เปิดตัว “the R1” ที่ถือได้ว่าเป็นลำโพงตั้งโต๊ะตัวแรก ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ที่ชื่นชอบการฟังเพลง และต่อมาได้มีการวิจัยและพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด   นายริชาร์ด แมคคินนีย์ Ruark Audio Sale Director กล่าวว่า แผนการตลาด RUARK AUDIO ในประเทศไทย ตั้งเป้าสร้างการรับรู้แบรนด์และภาพลักษณ์ผ่านการประชาสัมพันธ์ โดยชูจุดขายด้วยลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะรุ่นใหม่ R1S, R2, R3S, MR1 และ R410 ที่ได้รับการอัปเกรดฟังก์ชันการทำงานให้ตอบโจทย์การใช้งาน พร้อมกำหนดมาตรฐานคุณภาพของเสียงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังมีแผนที่จะทำคอนเทนต์และถ่ายทอดประสบการณ์การใช้งานสินค้าจริงผ่านทาง Social Media พร้อมชูกลยุทธ์ทำการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์   โดยร่วมกับพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำมากมาย อาทิ dotlife, iStudio, Asavasopon, Central Department Store, Power Buy, Power Mall, Munkong Gadget และร้านค้าอื่น ๆ เพื่อทำให้แบรนด์ขยายตลาดสู่กลุ่มผู้บริโภคได้รวดเร็วขึ้น ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างและลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าของ Ruark Audio ได้มากขึ้น  สำหรับไฮไลต์ผลิตภัณฑ์จาก Ruark Audio ที่เปิดตัวภายในงาน เป็นลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะอัจฉริยะ 5 รุ่นใหม่ ดังนี้   รุ่น R1S มาพร้อมการดีไซน์สุดคลาสสิก ออกแบบด้วยโทนสีไม้และเฉดสีเทาแบบใหม่เพื่อให้ความรู้สึกหรูหรา จึงทำให้กลมกลืนเข้ากับการตกแต่งของบ้านในทุกสไตล์ ผสานกับพลังเสียงสมจริงเหนือระดับ พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth ยังมีฟังก์ชันจดจำอุปกรณ์ได้สูงสุด 6 เครื่อง และอีกหนึ่งคุณสมบัติเด่นของ R1S คือจอแสดงผล TFT สีเต็มรูปแบบ ที่แสดงเวลา การเตือน และข้อมูลรายการอย่างชัดเจน พร้อมมีเซ็นเซอร์วัดแสงที่ช่วยปรับหน้าจอให้เหมาะกับระดับแสงแบบอัตโนมัติ ทำให้สามารถวางไว้ข้างเตียงได้โดยไม่รบกวนการพักผ่อน    รุ่น R2 มาพร้อมระบบเสียงสเตอริโอที่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก สามารถใช้งานผ่านตัวควบคุม RotoDial และหน้าจอ LCD รองรับการสตรีมเพลงผ่านแอปพลิเคชัน Spotify, Deezer และ Amazon Music พร้อมสามารถเชื่อมต่อ Bluetooth กับเครื่องรับวิทยุ DAB, FM และอินเทอร์เน็ตได้ ส่วนด้านการดีไซน์รุ่นนี้มีรูปทรงเพรียวบางหรูหรา ทำให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีเพื่อใช้สำหรับการตกแต่งพื้นที่ภายในบ้านของทุกคน    รุ่น R3S ด้านการดีไซน์ยังคงรักษามาตรฐานและเอกลักษณ์เฉพาะแบบดังเดิมไว้ เน้นความเรียบหรู ทันสมัย พร้อมมีการปรับปรุงคุณภาพของเสียงให้ดีขึ้น และยังเพิ่มการประมวลผลเสียง STEREO+  ซึ่งจะทำให้การถ่ายทอดทุกรายละเอียดเสียงมีความคมชัด นุ่มลึก และสมจริง นอกจากนี้ R3S ยังมีตัวรับสัญญาณ Bluetooth 5 รุ่นใหม่ที่ใช้เฟิร์มแวร์ 5.2 ล่าสุด ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนฟังก์ชัน Bluetooth ยังสามารถทำงานร่วมกับการควบคุมระดับเสียงบนสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตได้อย่างราบรื่นอีกด้วย    รุ่น MR1 เป็นรุ่นที่เปิดตัวในปี 2013 โดยระบบลำโพงสเตอริโอ Bluetooth MR1 ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นระบบที่ดีที่สุด พร้อมชูจุดขายด้วยดีไซน์ที่กะทัดรัด ทำให้ดึงดูดลูกค้าที่ใส่ใจในการออกแบบมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสี Rich Walnut สุดคลาสสิกหรือสีเทา Soft Grey ที่ได้รับการออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์ร่วมสมัยและเสียงที่ยอดเยี่ยมในการใช้งาน พร้อมเหมาะจะตั้งไว้ในหลากหลายสถานที่   รุ่น R410 มีหัวใจหลักเป็นโปรเซสเซอร์ที่ทรงพลัง สามารถรองรับไฟล์เสียงที่มีความละเอียดสูง รวมถึงการสตรีมมิ่งในตัวผ่าน Spotify, Tidal Connect, Apple Airplay 2 และ Chromecast สามารถเชื่อมต่อ aptX HD Bluetooth กับเครื่องรับวิทยุ DAB, DAB+, FM และอินเทอร์เน็ต ด้านการดีไซน์เน้นความมินิมอลเรียบง่าย ด้วยโทนสีสบายตา ทำให้รู้สึกถึงความผ่อนคลาย พร้อมออกแบบจัดวางหน้าจอแสดงผลในแนวตั้ง เพื่อเลียนแบบวิธีการดูรายการเพลงบนสมาร์ตโฟน จึงทำให้ใช้งานง่ายและสะดวกสบาย ผู้ที่สนใจสามารถเป็นเจ้าของลำโพงและเครื่องเสียงคุณภาพระดับพรีเมียมจาก RUARK AUDIO ได้แล้ววันนี้ โดยราคาเริ่มต้นที่รุ่น R1S ราคา 16,990 บาท, รุ่น R2 และ MR1 ราคา 20,990 บาท, รุ่น R3S ราคา 39,990 บาท และ รุ่น R410 ราคา 67,900 บาท (ยังไม่มีวางจำหน่าย) โดยทุกรุ่นจะมีการรับประกันทุกชิ้นส่วน นานสูงสุด 2 ปีเต็ม* มีจัดจำหน่ายที่ร้าน dotlife จำนวน 5 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, สยามพารากอน, ไอคอนสยาม, เมกาบางนา และเซ็นทรัล ภูเก็ต และที่ Showroom Asavasopon จำนวน 4 สาขา ได้แก่ สยามพารากอน, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลอีสต์วิลล์ และรามคำแหง หรือสามารถสั่งซื้อได้ผ่านช่องทางออนไลน์ ได้ที่ www.dotlife.store หรือ www.asavasopon.co.th   บทความน่าสนใจ KEF เผยโฉม LS50 Meta และ LS50 Wireless II ลำโพงสองรุ่นแรกที่พ่วงเทคโนโลยีดูดซับเสียงสะท้อนแบบใหม่ล่าสุด เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia  
ทอสเท็ม เปิดโรงงาน 400 ไร่ โชว์ศักยภาพการผลิต และชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ (TOSTEM Innovation Center)

ทอสเท็ม เปิดโรงงาน 400 ไร่ โชว์ศักยภาพการผลิต และชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ (TOSTEM Innovation Center)

TOSTEM เปิดให้ชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม (TOSTEM Innovation Center) ที่โชว์จุดเด่นของการดีไซน์ ออกแบบ ประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ พร้อมเปิดโรงงานโชว์นวัตกรรมและแทคโนโลยีในการผลิต นวัตกรรมที่ทันสมัยของผลิตภัณฑ์ ที่มีศักยภาพการผลิตประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมครบวงจร ตั้งแต่การขึ้นรูปอะลูมิเนียม ไปจนถึงการชุบเคลือบผิวด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ที่เป็นหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมการชุบสีอะลูมิเนียมด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD   TOSTEM Innovation Center นายวิชา วรสายัณห์ ลีดเดอร์ กลุ่มธุรกิจเฮาส์ซิ่งเทคโนโลยี บริษัท แอล เอช ที เอเซีย เซลส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมแบรนด์ ทอสเท็ม (TOSTEM) เปิดเผยว่า ศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม (TOSTEM Innovation Center) เป็นศูนย์นวัตกรรมที่จัดสร้างขึ้นเพื่อแสดงผลิตภัณฑ์ของ TOSTEM โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอจุดเด่นของการออกแบบ ประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการติดตั้งบานประตู-หน้าต่างของ TOSTEM ไว้ภายใน TOSTEM Innovation Center แห่งนี้   โดยผลิตภัณฑ์ที่จัดแสดงภายใน มีทั้งประตู หน้าต่าง รั้ว ประตูรั้วที่ผลิตจากอะลูมิเนียมภายใต้แบรนด์ TOSTEM ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในตลาดอาเซียน นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นให้ลูกค้าโครงการ สถาปนิก ได้สัมผัสก่อนใคร เพื่อให้ผู้รับชมมีความเข้าใจ พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ให้พนักงานทุกคนของ TOSTEM และตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม สามารถเข้ามาเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้อีกด้วย   ภายใน Innovation Center แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.Material Board (Disassemble) เป็นบอร์ดสำหรับอธิบายคุณสมบัติ และส่วนประกอบต่างๆ ของประตูและหน้าต่างจากทอสเท็มแต่ละซีรีส์ ทำให้ลูกค้าสามารถเห็นรายละเอียดแต่ละชิ้นได้อย่างชัดเจน นำไปสู่การเลือกบานประตูและหน้าต่างที่เหมาะสมกับโครงการ และเลือกประตู-หน้าต่างที่เหมาะสมกับผู้อยู่อาศัย     2.ส่วนตรงกลางโชว์รูม ซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น โดย TOSTEM ภูมิใจนำเสนอ Panoramic Door ที่ได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงโปร่งสบาย สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้ในมุมกว้าง มาพร้อมกับฟังก์ชันมือจับที่สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย     นอกจากนี้ภายใน TOSTEM Innovation Center ยังมีผลิตภัณฑ์ประตูหน้าต่างรุ่นต่างๆ ที่วางจำหน่ายในตลาดอาเซียน และยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของประเทศญี่ปุ่นที่จัดแสดงอยู่ภายในเพื่อให้เข้าถึงนวัตกรรมและเป็นไอเดียให้กับผู้เข้าชม เช่น GIESTA Door Smart Lock ซึ่งเป็นประตูที่มีความพิเศษกว่ารุ่นที่วางจำหน่ายในตลาดอาเซียน โดยสามารถปิด – เปิดผ่านสมาร์ทโฟน หรือ รีโมทได้ และบานเกล็ดอัตโนมัติที่ควบคุมการปิด-เปิดได้ด้วยรีโมทคอนโทรล และภายใน ยังมีห้องฝึกอบรมการติดตั้งผลิตภัณฑ์ TOSTEM สำหรับอบรมตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ TOSTEM ให้สามารถติดตั้งผลิตภัณฑ์ของทอสเท็มได้อย่างถูกต้อง และเกิดประสิทธิภาพในการใช้งานสูงสุด โดยผู้อบรมเป็นทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากทอสเท็ม   สำหรับ ศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม  ตั้งอยู่ภายในพื้นที่โรงงานของบริษัท ทอสเท็ม ไทย จำกัด (TOSTEM THAI CO., LTD.) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม และผลิตภัณฑ์สำหรับอาคารที่อยู่อาศัยและบานประตูหน้าต่างชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ด้วยกระบวนการผลิตแบบครบวงจรตั้งแต่การรีดขึ้นรูปอะลูมิเนียมผ่านแม่พิมพ์ หรือที่เรียกว่า ALUMINIUM EXTRUSION ไปจนถึงการชุบเคลือบผิวด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD   อีกทั้งยังมีระบบ PRE ENGINEERED การผลิตผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปพร้อมประกอบจากโรงงานโดยตรง ซึ่งทำให้ประตูหน้าต่างของทอสเท็มมีคุณภาพสม่ำเสมอกันทุกชุด สามารถผลิตได้ตามขนาดที่ลูกค้าต้องการ และศูนย์ปฎิบัติการทดสอบประสิทธิภาพทอสเท็มไทย หรือ Quality Performance Test Center (QPTC) ในการทดสอบวัสดุอะลูมิเนียมสำหรับอุตสาหกรรม โดยให้ความใส่ใจในเรื่องของมาตรฐาน รวมถึงความปลอดภัยต่อทุกชิ้นงาน และส่วนสำคัญของการส่งต่อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ที่มาจากการใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต จนถึงทุกกระบวนการจนกว่าจะส่งมอบให้ลูกค้า     ทอสเท็ม ไทย โรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี บนพื้นที่กว่า  539,000 ตารางเมตร หรือราว 400 ไร่ มีพนักงานกว่า 6,000 คน นับว่าเป็นโรงงานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของทอสเท็มจากทั่วโลกและมีกำลังการผลิตสูงที่สุด  7,000 ตันต่อเดือน มีการผลิตงานตลอด 24 ชั่วโมง มีสินค้าว่างจำหน่ายในประเทศไทย 52% และส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น 48%   สำหรับประเทศไทยว่างจำหน่ายผ่านตัวแทนที่ผ่านการอบรมจากผู้เชี่ยวชาญจาก ทอสเท็ม เท่านั้น ปัจจุบันมี 150 ตัวแทนอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ และพัฒนาต่อเนื่องเพื่อก้าวสู่ผู้นำธุรกิจผู้ผลิตประตูหน้าต่างอะลูมิเนียม ที่ทันสมัยด้วยศักกยภาพของเครื่องจักรและกำลังคน พร้อมมาตรฐานที่ดีก่อนสินค้าถึงมือผู้บริโภค บทความน่าสนใจ ทอสเท็มเปิดตัว “ATIS” นวัตกรรมประตูหน้าต่างรวม 2 ฟังก์ชั่นในหนึ่งบาน ‘ทอสเท็ม’ นำเสนอ ‘บานประตูและประตูรั้วอะลูมิเนียมสำเร็จรูป’ รุ่นใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการหลากหลายของผู้อยู่อาศัย วินด์เซอร์ เปิดตัวระบบประตูหน้าต่างรุ่น “Smart Series”
บางกอกแลนด์ ฉลองครบรอบ 50 ปี สร้างประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ

บางกอกแลนด์ ฉลองครบรอบ 50 ปี สร้างประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ

นายปีเตอร์ กาญจนพาสน์  ประธานกรรมการ บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโครงการจัดตั้งประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ประดิษฐาน ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี มีวัตถุประสงค์จัดสร้างขึ้นในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปี บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) และเพื่อรำลึกถึง คุณมงคล กาญจนพาสน์ และ คุณอนันต์ กาญจนพาสน์  ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการเมืองทองธานี ซึ่งปัจจุบันถือเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความพร้อมสรรพ ทั้งอาคารสถานที่ บริการสิ่งอำนวยความสะดวก รองรับการอยู่อาศัย การดำเนินธุรกิจ และการท่องเที่ยวพักผ่อนอย่างครบวงจร บางกอกแลนด์ คือหนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2516 และในปี พ.ศ.2535 ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี ดำเนินธุรกิจมุ่งเน้นการพัฒนาส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี ผ่านการบริหารโครงการเมืองทองธานี การพัฒนาโครงการที่พักอาศัย โครงการบริหารจัดการดูแลอาคาร โครงการศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อีกทั้งการบริหารธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจสถานบริการเพื่อการท่องเที่ยวและกีฬา การบริหารสถาบันสอนประกอบอาหาร ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชุมชน รวมไปถึงเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มีการเติบโตต่อเนื่อง “เป็นที่ทราบกัน บางกอกแลนด์ ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมายาวนานและบริษัทฯ ใช้สัญลักษณ์ช้างเอราวัญหรือช้างสามเศียรมาตลอด ในโอกาสครบรอบ 50 ปี เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลยิ่งขึ้น จึงได้อัญเชิญพระอินทร์ซึ่งเป็นเทพองค์เดียวที่ทรงช้างเอราวัณมาประดิษฐาน โดยจัดตั้งโครงการประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ซึ่งได้ปรึกษาผู้ชำนาญงาน ทั้งประติมากร ทีมช่างศิลปะ ช่างสิบหมู่ รับเชิญมาร่วมงานจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะนำพาความเป็นสิริมงคล มาให้ทั้งกับผู้บริหาร พนักงาน เป็นขวัญกำลังใจในการทำงานนำพาองค์กรเติบโตอย่างมั่นคงตลอดไป” สำหรับประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ถือเป็นงานประติมากรรมโลหะผสมที่มีความสง่างาม สะท้อนคุณค่าแห่งความดี ความเปี่ยมสุข อันเกิดจากศรัทธาและความเลื่อมใส องค์เทวรูปมีขนาดความสูงรวม 265 เซนติเมตร ตั้งอยู่บนฐานรองรับขนาดความยาว 205 เซนติเมตร ความกว้าง 96 เซนติเมตร ความสูง 15 เซนติเมตร รูปลักษณะของพระอินทร์ ทรงเครื่องแต่งกายสมัยศรีวิชัย ประทับนั่งบนคอช้าง มือขวาถือวชิระเป็นอาวุธคู่กาย มือซ้ายถือขอช้างพาดอยู่บนตัก โดยมีพาหนะเป็นช้างเอราวัณสามเศียร ในลักษณะท่าทางเคลื่อนไหวไปข้างหน้าอย่างทรงพลัง แต่ใบหน้าเปี่ยมด้วยความเมตตาสมเป็นช้างของทวยเทพแห่งคุณงามความดีและความอุดมสมบูรณ์ งานประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณนี้ ถือเป็นศิลปะแห่งทวยเทพ  ใช้เวลาในการดำเนินงานในทุกขั้นตอนประมาณ 16 เดือน โดยมีประติมากร พันโท นภดล สุวรรณสมบัติ และ อาจารย์ธนิตย์ แก้วนิยม พร้อมคณะ ร่วมดูแลและควบคุมงานประติมากรรมจนสำเร็จลุล่วง เป็นผลงานสำคัญอันโดดเด่นไม่เหมือนที่ใด พร้อมเปิดให้ประชาชนนักท่องเที่ยวได้เข้าเยี่ยมชมทุกวัน นายพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ จะเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของเมืองทองธานี กลายเป็นจุดเช็คอินของนักท่องเที่ยว รวมถึงลูกค้าผู้จัดงาน ผู้มาชมงาน ที่จะได้สักการะบูชาและขอพรตามความศรัทธา ณ ที่ประดิษฐานบริเวณลานด้านหน้าอาคาร อิมแพ็ค อารีน่า ในทุกวัน นอกจากนี้ ยังได้จัดทำหน้าเว็บไซต์เฉพาะเพื่อให้ข้อมูลและรวบรวมภาพ-วีดีโอให้ได้เยี่ยมชมกันทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์บางกอกแลนด์ www.bangkokland.co.th ด้วย ในโอกาสนี้จึงอยากเชิญชวนทุกคนมาเที่ยวชมความสง่างามทั้งในช่วงกลางวันและความสวยงามยิ่งขึ้นในช่วงกลางคืนที่มีการประดับไฟแสงสีตระการตา เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีบางกอกแลนด์ไปด้วยกัน สำหรับการดำเนินธุรกิจขององค์กรปัจจุบัน แบ่งเป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.) อสังหาริมทรัพย์ เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาโครงการเพื่อขายและเช่า ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารชุด อาคารพาณิชย์ อาคารสํานักงาน ศูนย์การค้า และร้านค้าต่างๆ โครงการเหล่านี้มีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ อยู่ในทำเลที่มีความพร้อมภายใต้การดําเนินงานของบริษัท บางกอกแลนด์ จํากัด (มหาชน), บริษัท บางกอก แอร์พอร์ท อินดัสทรี จํากัด และ บริษัท สินพรชัย จํากัด 2.) ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม ธุรกิจให้บริการเช่าพื้นที่ สิ่งอํานวยความสะดวก รองรับการจัดงานและกิจกรรมไมซ์ (MICE) อีกทั้งยังมีบริการสนับสนุน เช่น โรงแรมที่พัก 2 แห่ง ร้านอาหาร 15 แบรนด์  30 ร้านสาขา สถานที่ท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งดําเนินงานโดย บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จํากัด, บริษัท อาร์เอ็มไอ จํากัด 3.) ธุรกิจค้าปลีก ดําเนินกิจการเกี่ยวกับการบริหารศูนย์การค้า ร้านค้าปลีก ศูนย์อาหาร ตลาดสด เอาท์เล็ต ที่จอดรถ ฯลฯ กิจการเหล่านี้ดําเนินงานโดย บริษัท บางกอก แลนด์ เอเจนซี่ จํากัด 4.) สาธารณูปโภคและการบริหารอาคาร ธุรกิจเกี่ยวเนื่องการบริการหลังการขาย โดยมี บริษัท เมืองทอง เซอร์วิสเซส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จํากัด และ บริษัท เมืองทอง บิลดิ้ง เซอร์วิสเซส จํากัด จัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลจัดการบริหารอาคารและบํารุงรักษาในส่วนของสาธารณูปโภค ภูมิทัศน์ และการกําจัดของเสียในชุมชนเมืองทองธานีและพื้นที่อื่นๆ และสุดท้าย 5.) บริหารจัดการโรงเรียนสอนประกอบอาหาร เลอโนท ไทยแลนด์ ถือเป็นโรงเรียนสอนประกอบอาหารแห่งแรกนอกประเทศฝรั่งเศส และได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเป็นโรงเรียนนอกระบบ ประเภทวิชาชีพ จากกระทรวงศึกษาธิการ อย่างไรก็ตาม โครงการเมืองทองธานี คาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องตอบรับกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายเข้าสู่เมืองทองธานี 2 สถานี ได้แก่ สถานี อิมแพ็ค เมืองทองธานี และ สถานีทะเลสาบเมืองทองธานี ปัจจุบันความคืบหน้าในงานก่อสร้างภาพรวมประมาณ 28% โดยยังเป็นไปตามกำหนดการที่จะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการราวต้นปี 2568 ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ การคมนาคมที่สะดวก ตลอดจนเพิ่มมูลค่าราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองทองธานีได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย  
เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia

เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia

บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (Euro Creations) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์   แบรนด์ดังระดับโลกสัญชาติยุโรป จัดงาน “An Infinite Comfortness” by Natuzzi Italia เปิดตัวนาทุซซี่  อิตาเลีย (Natuzzi Italia) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังจากประเทศอิตาลี ที่โดดเด่นในเรื่องความพิถีพิถันแห่งดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้งาน สีและวัสดุที่คัดสรรมาเป็นพิเศษเพื่อส่งมอบสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อน ผ่านการให้ความสำคัญเรื่องคอมฟอร์ต (comfort) กับโซฟาทุกชิ้น Natuzzi Italia พร้อมการจับมือร่วมกับบริษัท มิวสิคพลัส ซีนีม่า จำกัด ในเครือโซนิค วิชั่น กรุ๊ป ผู้นำเครื่องเสียงนำเข้าระดับไฮเอนด์มากว่า 26 ปี เผยโฉม The New 801 D4 Signature ลำโพงไฮเอนด์ในตระกูล 800 ซีรีย์ กับการปรับโฉมดีไซน์ที่ให้ความละเมียดละไมมากขึ้น คุณภาพในการถ่ายทอดพลังเสียงสู่ความสมจริงมากขึ้น การผสมผสานระหว่าง 2 แบรนด์สู่สัมผัสแห่งการใช้ชีวิตที่ลงตัวระหว่างสุนทรียแห่งการพักผ่อนที่สบายบนโซฟา นาทุซซี่ อิตาเลีย และสุนทรียจากการฟังเพลงระดับไฮเอนด์ซาวน์จาก Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature     คุณเควิน กัมบีร์ (Kevin Gambir) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดังระดับโลกสัญชาติยุโรป กล่าวว่า “ยูโร ครีเอชั่นส์ เราพิถีพิถันในการคัดสรรผลิตภัณฑ์และแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ด้วยความตั้งใจ จากความเชื่อที่ว่า ‘Life is better in a beautiful space’ การใช้ชีวิตที่ดีเริ่มต้นจากการอยู่ในพื้นที่ที่สวยงาม ซึ่งความสวยงามในที่นี้หมายความว่า การได้อยู่ในพื้นที่ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์และรสนิยมของผู้อยู่อาศัย ซึ่งยูโร ครีเอชั่นส์ เป็นดั่งปลายทางที่ตอบรับกับทุกไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของลูกค้า ซึ่งในปีนี้เราขอนำเสนอ นาทุซซี่ อิตาเลีย (Natuzzi Italia) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังจากประเทศอิตาลี ที่ให้ความพิถีพิถันในเรื่องดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้งาน สีและวัสดุที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ เพื่อส่งมอบสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อน ที่โซฟาทุกชิ้นของนาทุซซี่ อิตาเลีย จะถ่ายทอดความสบายด้วยวัสดุ พรีเมียมที่มีให้เลือกทั้งหนังวัวแท้ และผ้า เพื่อตอบรับความชอบและรสนิยมการตกแต่งที่แตกต่างกันโดยนาทุซซี่ อิตาเลีย มีคาเรคเตอร์งานดีไซน์แบบโมเดิร์นที่ทั้งเรียบหรู ผสานกับฟังก์ชั่นการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเอน การปรับพนักวางศีรษะและที่วางขาให้เหมาะสมกับท่านั่งพักผ่อนได้อย่างง่ายดายด้วยระบบไฟฟ้า เป็นการเติมเต็มความสุนทรียการพักผ่อน และการใช้ชีวิตในบ้านอย่างแท้จริง” และถือเป็นโอกาสพิเศษสุดที่ ยูโร ครีเอชั่นส์ ได้ร่วมกับบริษัท มิวสิคพลัส ซีนีม่า จำกัด ในการร่วมกันถ่ายทอดสัมผัสแห่งไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตผ่านสุนทรียภาพการพักผ่อนที่ครบทุกมิติทั้งความสบายจากโซฟานาทุซซี่ อิตาเลีย และการเติมเต็มด้วยบรรยากาศแห่งเสียงเพลงคุณภาพผ่าน Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature ลำโพงไฮเอนด์สัญชาติอังกฤษกับคุณภาพระดับออดิโอไฟล์ ที่เผยโฉมครั้งแรกในไทย เป็นการจับคู่ความลงตัวระหว่างสุนทรียแห่งการฟังระดับพรีเมียมกับเฟอร์นิเจอร์หรูภายใต้คอนเซปต์ “Senses of living” สัมผัสสุนทรียแห่งการพักผ่อนผ่านการมองเห็นดีไซน์ที่งดงาม และการได้ยินเสียงที่ไพเราะ ที่เราตั้งใจเนรมิตขึ้นเป็นพิเศษผ่าน living space ที่จะจำลองบรรยากาศในการอยู่บ้านผ่านสัมผัสแห่งสุนทรียความสบายของโซฟา นาทุซซี่ อิตาเลีย และสุนทรียแห่งเสียงเพลงระดับไฮเอนด์ ภายในโชว์รูม ยูโร ครีเอชั่นส์ ซีอีโอ ยูโร ครีเอชั่นส์ กล่าว   คุณเถกิงลาภ กอวัฒนา กรรมการบริหาร บริษัท มิวสิคพลัส ซีนีม่า จำกัด ในเครือโซนิค วิชั่น กรุ๊ป ผู้นำเครื่องเสียงนำเข้าระดับไฮเอนด์มากว่า 26 ปี เปิดเผยว่า “มิวสิค พลัสซีนีม่า ในฐานะผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายลำโพงไฮเอนด์แบรนด์ Bowers & Wilkins จากประเทศอังกฤษอย่างเป็นทางการ รู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ครั้งนี้ ในการนำเสนอแรงบันดาลใจสุนทรียแห่งการพักผ่อนผ่านการสัมผัสความสบาย ความสุขผ่านดีไซน์ที่สวยงาม และสัมผัสสุนทรียการพักผ่อนกับการฟังเพลงผ่านเครื่องเสียงคุณภาพ ที่ตอบโจทย์นิยามแห่งความสุขในการพักผ่อนที่บ้านได้ครบทุกมิติ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในปี 2023 นี้ มิวสิค พลัส ซีนีม่า ได้นำเข้าลำโพงรุ่นเรือธง The New 801 D4 Signature ที่ถือเป็นงานฝีมือแห่งปีที่ Bowers & Wilkins ได้รังสรรค์ให้เป็นรุ่นที่มีความพิเศษตั้งแต่กลไกภายในที่ต่อยอดความสำเร็จจากลำโพงในตระกูล 801 D4 ที่ได้รับความนิยมสูงสุดกับ 800 Series Diamond™ ที่ใช้เพชรในโดมทวีตเตอร์เป็นตัวขับเสียงให้สะอาดใส ทุ่มนุ่มลึก จนได้รับความไว้วางใจและการันตีคุณภาพจากสตูดิโอบันทึกเสียงระดับโลก Abbey Road Studio ให้เป็นลำโพงอ้างอิง โดยความพิเศษของรุ่น The New 801 D4 Signature นี้ คือการพัฒนาปรับเปลี่ยนนวัตกรรม เทคโนโลยีขั้นสูงสุด ที่แบรนด์ Bowers & Wilkins ไม่ได้ใช้คำว่า Signature กับทุกรุ่นที่ปรับปรุงใหม่ จะแต่ใช้คำนี้ให้กับรุ่นที่มีการอัพเกรดขั้นสูงสุดแห่งเทคโนโลยีจริงๆ ซึ่งนับตั้งแต่แบรนด์ก่อตั้งขึ้นในปี 1966 มีลำโพงเพียง 7 รุ่นเท่านั้นที่มีชื่อรุ่นต่อท้ายด้วย Signature ดังนั้นการนำเข้าลำโพงตระกูล 801 D4 ในโมเดลใหม่รุ่น 801 D4 Signature จึงเป็นที่สุดแห่งความเอ็กซ์คลูซีฟที่แฟน B&W และนักฟังเพลง จะได้ยลโฉมความโดดเด่นแห่งดีไซน์ที่บ่งบอกถึงรสนิยมการฟังและความพิถีพิถันในการเลือกลำโพงไฮเอนด์ที่ได้รับการออกแบบประหนึ่งเป็นงานศิลป์ที่มอบทั้งสุนทรียแห่งการฟังที่สมบูรณ์แบบ และความสุขจากดีไซน์ที่ไม่ว่าจะวางมุมไหนในบ้านก็สวยงามลงตัวบ่งบอกรสนิยมเหนือระดับในการตกแต่งกับดีไซน์สีพิเศษ Midnight Blue Metallic ที่ใช้เวลาผลิตด้วยมือจากช่างฝีมือถึง 18 ชั่วโมง ต่อลำโพง 1 คู่ จึงเปรียบเสมือนเป็นงานศิลปะที่ควรค่าแก่การเป็นเจ้าของ” โดยโซฟาแบรนด์ นาทุซซี่ อิตาเลีย (Natuzzi Italia) และลำโพง Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature เปิดตัวให้คนรักการแต่งบ้าน และแฟนเครื่องเสียงไฮเอนด์ชาวไทยได้ชมความงามและสัมผัสพลังเสียงครั้งแรกผ่าน Living space ในการจำลองพื้นที่การตกแต่งภายในบ้านให้ผู้สนใจได้ทดลองพักผ่อนบนโซฟา และสัมผัสคุณภาพเสียงจาก Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature ณ โชว์รูมยูโร ครีเอชั่นส์ ทองหล่อ ซอย 5 สามารถมาเยี่ยมชมและสัมผัสความงามแห่งเสียงและดีไซน์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2566 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 0-2712-9555        
ศุภาลัยเปิดตัว พรีเซ้นเตอร์คนแรก เคลียร์ชัดศุภาลัยบ้านไม่แคบ!

ศุภาลัยเปิดตัว พรีเซ้นเตอร์คนแรก เคลียร์ชัดศุภาลัยบ้านไม่แคบ!

ศุภาลัย เรียกได้ว่าฮอตสุดๆ กับ “โบว์ - เมลดา สุศรี” เจ้าของฉายาเจ้าแม่พรีเซ็นเตอร์ ที่ล่าสุดมงลงได้ตำแหน่ง พรีเซ็นเตอร์คนแรกของแบรนด์ “ศุภาลัย” ผู้นำวงการอสังหาฯ เป็นที่เรียบร้อย พร้อมเคลียร์ชัดตำนาน “อ้วนแล้วบ้านแคบลงไหม”     ล่าสุดโบว์ตอบแล้วจากตัวจริง เสียงจริงว่าบ้านศุภาลัยไม่แคบแน่นอน กับภาพยนตร์โฆษณาตัวใหม่ “บ้านศุภาลัย #StandardดีQualityเดียวกัน” ที่พาขึ้นเหนือล่องใต้เปิดบ้านศุภาลัยที่ไม่ว่าภาคไหนก็ไม่ธรรมดากับมาตรฐานบ้านดีทุกหลังทั่วไทย พร้อมโชว์สกิลแอคติ้งยืนหนึ่งกับภาษาถิ่นทั้งภาคเหนือ กลาง อีสาน ใต้ กับความน่ารักเกินต้านที่ไม่เหมือนใคร แจกความสดใสคว้าใจแฟนๆ ทั่วประเทศ     “โบว์ต้องขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติมากๆ ที่ได้รับความไว้วางใจจากศุภาลัยให้โบว์ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกของแบรนด์ โดยต้องบอกเลยว่าจากการที่ได้ร่วมงานกัน โบว์มองว่าแต่ละโครงการของศุภาลัยได้ใส่ใจในการออกแบบตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริงของทุกคนจริงๆ รวมไปถึงเหมาะกับการใช้ชีวิตของโบว์มาก และงานนี้โบว์ก็ได้ร่วมถ่ายทำโฆษณากับทางศุภาลัยที่อยากให้ทุกคนได้ไปติดตามดู ซึ่งโบว์บอกได้เลยว่าบ้านศุภาลัย ไม่แคบแน่นอนค่ะ” โบว์ - เมลดา สุศรี กล่าว     งานนี้ ซุปตาร์สาวเสียงใส พรีเซ็นเตอร์คนแรกและคนเดียวของศุภาลัยได้การันตีพร้อมเอ่ยปากเองเลยว่าดีจริงทุกหลัง! โดยไม่ต้องกังวลเลยว่าจะหุ่นไซส์ไหน หรือมีตัวตนแบบใด ก็ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านศุภาลัยสุดแฮปปี้ได้เหมือนกันทุกคนแบบ ‘Standard ดี Quality เดียวกัน’ พร้อมแอบกระซิบว่าความน่ารักของโบว์ยังคงไม่จบแค่นี้ แฟนๆ สามารถติดตามกิจกรรมสุดฟินกับโบว์-เมลดาและศุภาลัยได้ที่  https://www.facebook.com/supalaiplc แล้วมาดูกันว่าบ้านศุภาลัยหลังไหนกันนะที่โบว์-เมลดาจะพาไปเปิดประตูบานต่อไป!   เชิญชมภาพยนตร์โฆษณา “บ้านศุภาลัย #StandardดีQualityเดียวกัน” คลิก https://youtu.be/My5fjOop_Mo   บทความน่าสนใจ ศุภาลัย วิลล์ วงแหวน-ลำลูกกา คลอง 7 แบบบ้านใหม่ เอาใจทาสแมว ศุภาลัย เอสเซ้นส์  โครงการพรีเมี่ยมแห่งแรกในอ่างศิลา  ศุภาลัย โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 14,346 ล้าน ลุยเปิดใหม่ครึ่งปีหลัง 27 โครงการ
ESTAR  เปิดชม ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39  ยอดนิยมในย่าน ขายแล้วกว่า 70%

ESTAR  เปิดชม ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39  ยอดนิยมในย่าน ขายแล้วกว่า 70%

บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดชมโครงการ “ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39” หนึ่งในโครงการที่อยู่อาศัยของ ESTAR ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มั่นใจทำเลสุขุมวิทที่ตอบโจทย์ทั้งอยู่เองหรือลงทุน ลุยตลาดคอนโดต่อเนื่องด้วยโครงการ ควินทารา มาย'เซน พร้อมพงษ์     นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ  บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ESTAR ได้พัฒนาโครงการแนวสูงบนเส้นทำเลสุขุมวิท ได้แก่ โครงการควินทารา ทรีเฮาส์ สุขุมวิท 42, โครงการควินทารา อาเท่ สุขุมวิท 52 และโครงการควินทารา ภูม สุขุมวิท 39 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอย่างมาก โดยเห็นได้จากเป้ายอดขายของทั้ง 3 โครงการนี้ ไม่ว่าจะเป็น   โครงการควินทารา ทรีเฮาส์ สุขุมวิท 42 ที่บริษัทสามารถปิดยอดขายไปได้ 100% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เ โครงการควินทารา อาเท่ สุขุมวิท 52 ที่ตอนนี้ยอดขายไต่ระดับมาแตะถึง 98% โดยคาดว่าจะปิดการขายและพร้อมโอนภายในปีนี้ โครงการควินทารา ภูม สุขุมวิท 39 ตอนนี้ยอดขายเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก อยู่ที่ 70%   ซึ่งจากความนิยมในโปรดักส์จะสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่อยู่บนทำเลเศรษฐกิจใจกลางเมือง จึงทำให้ ESTAR มั่นใจในทำเลพร้อมกับเดินหน้าขยายโครงการมูลค่า 1,000 ล้านบาท โครงการควินทารา มาย'เซน พร้อมพงษ์ ไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา     “จากการวิเคราะห์ในศักยภาพทำเล พร้อมพงษ์ จัดอยู่หนึ่งใน 3 ของทำเลที่มีศักยภาพมากบนเส้นถนนสุขุมวิท  เป็นทำเลโซนชั้นในของเมือง อีกทั้งเส้นพร้อมพงษ์ยังเป็นย่านที่อยู่อาศัยชั้นดี เต็มไปด้วยบ้านหลังใหญ่และต้นไม้ขนาดใหญ่ จึงมีสภาพแวดล้อมที่ดี เงียบ สงบ และนับวันที่ดินจะหายาก จึงคุ้มค่าทั้งการซื้ออยู่อาศัยเองและซื้อไว้ลงทุนปล่อยเช่า ซึ่ง ณ ปัจจุบันราคาที่อยู่อาศัยย่านพร้อมพงษ์อยู่ที่ 220,000 บาท/ตร.ม.และจากความเป็นทำเลชั้นดี บริษัทจึงได้นำพื้นที่กว่า 2 ไร่ ที่ตั้งอยู่ในซอยพร้อมพงษ์ หรือซอยสุขุมวิท 39 มาพัฒนาเป็นโครงการควินทารา ภูม สุขุมวิท 39 คอนโดมิเนียมประเภท Low Rise สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 323 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โดยออกแบบให้เป็นห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ตั้งแต่ 28-38 ตร.ม. และแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ตั้งแต่ 58-64 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.99 ล้านบาท หากเมื่อคำนวณแล้วราคาขายเฉลี่ยของโครงการอยู่ที่ ประมาณ 100,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งถือว่าราคาดีและคุ้มที่สุดในทำเลนี้ เนื่องจากพร้อมพงษ์เป็นทำเลยอดนิยมของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงประชากรแฝงที่เข้ามาทำงานในย่านดังกล่าว” นายไพโรจน์ กล่าวถึงกลุ่มลูกค้าในย่านพร้อมพงษ์ หลักๆ แบ่งสัดส่วนเป็น 51% ส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทเอกชน ย่านพร้อมพงษ์-อโศก พนักงงานโรงแรม รวมถึงบุคลากรจากโรงพยาบาลชั้นนำ และ 21% คือกลุ่มเจ้าของกิจการในรัศมีรอบโครงการ รวมถึงกลุ่มผู้ปกครอง นักศึกษามหาวิทยาลัยในย่านนั้น นอกจากนี้อีก 8% จะเป็นพนักงานใน หน่วยงานภาครัฐต่างๆ และอื่นๆ อีก 20% จะเป็นลูกค้าที่ตั้งใจเข้ามาซื้อเพื่อการลงทุน โครงการควินทารา ภูม สุขุมวิท 39 ถูกวางคอนเซปต์และการออกแบบที่ให้สอดคล้องกับพื้นที่ทำเล โดยหยิบยกเอกลักษณ์ของบ้านเรือนไทย “เรือนไทยหมู่” มาสร้างเสน่ห์ความงดงามให้กับการอยู่อาศัย เชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่ชั้น 4 ที่ออกแบบให้ เสมือนชานพักผ่อนของทุกคนครอบครัว พร้อมสวนสวยที่ทอดยาวต่อเนื่องตลอดแนวอาคาร สร้างทัศนียภาพที่สวยงามและสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ขณะที่การเดินทางสัญจรเข้า-ออก โครงการนั้น แม้จะอยู่ในซอย แต่ก็ถือว่าอยู่ในทำเลที่เชื่อมต่อ เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS สถานีพร้อมพงษ์ รถยนต์ และสามารถเข้าออกได้หลากหลายเส้นทางทั้งทางอโศก สุขุมวิท ทองหล่อ และเพชรบุรี นอกจากนี้ยังรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นนำบนย่านลักชัวรี สไตล์ ได้แก่ ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียเอ็มโพเรียม อาหาร คาเฟ่ จำนวนมาก นอกจากนี้ยังใกล้กับสถาบันการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาศรีนครินทวิโรฒ ประสานมิตร โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย โรงเรียนนานาชาติเอกมัย รวมไปถึงโรงพยาบาลชั้นนำ อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ และโรงพยาบาลคามิลเลียน เป็นต้น นายไพโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมสำหรับการลงทุนพัฒนาล่าสุดที่อยู่ในทำเลพร้อมพงษ์ในจุดเดียวกันและจะพัฒนาใกล้เคียงในลักษณะเดียวกัน ซึ่งจะอยู่ในโปรดักส์ควินทารา มาย’ ซีรีย์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Creator of Life’s Pleasures” คือโครงการควินทารา มาย'เซน พร้อมพงษ์ มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 276 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่ ราคาเริ่มต้นที่คุ้มค่า เพียง 2.49 ล้านบาท มีจุดเด่น ดีไซน์สไตล์วิถีความเป็นเซน คือเรียบง่าย สบาย และลงตัว การออกแบบห้องพักที่ทั้งแบบสตูดิโอ 1 ห้องนอน และมีขนาดแบบ 1 ห้องนอนใหญ่ อีกทั้งยังมีแบบ 2 ห้องนอน ขนาดเริ่มต้น 21-65 ตร.ม. ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและพร้อมเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4/2024 อย่างไรก็ตาม ตอนนี้โครงการควินทารา มาย'เซน พร้อมพงษ์ มียอดพรีเซลแล้วกว่า 50% ทั้งนี้บริษัทฯ คาดการณ์สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งหลังต่อจากนี้ อันเนื่องจากปัญหา อันได้แก่ ภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ขณะที่ประชากรในประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัยมากขึ้น สำหรับในประชากรกลุ่ม Gen Z ก็จะมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป คือนิยมเช่าบ้านมากกว่าซื้อ อีกทั้งในส่วนของราคาที่ดินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างสูง ที่อยู่ อาศัยจึงปรับขึ้นสูงตาม จึงทำให้ผู้บริโภคหันไปอยู่ทำเลนอกเมืองมากขึ้น แต่ก็จะมีต้นทุนค่าครองชีพและเดินทางที่ตามมา ซึ่งภายใต้ข้อจำกัดเบื้องต้นจากปัจจัยดังกล่าว จึงทำให้ ESTAR มุ่งมั่นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยบนความคุ้มค่า คุ้มราคา และมีไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคให้มากที่สุด และหากทางภาครัฐมีส่วนช่วยในการสนับสนุนหรือเพิ่มนโยบายการซื้อบ้านหลังแรกอย่างอีกครั้ง พร้อมปรับเกณฑ์มาตรการ LTV ใหม่ เอื้อต่อการกู้ซื้อบ้านและคอนโดหลังแรก ก็จะเอื้อประโยชน์ให้กับลูกค้าและสร้างความคล่องตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น นายไพโรจน์ กล่าวสรุป   บทความน่าสนใจ ESTAR เปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ ไพโรจน์ วัฒนวโรดม ปรับใหญ่รุกตลาดบ้าน    
เซ็นทรัลพัฒนา เผยธุรกิจ Central Pattana Residence เติบโตต่อเนื่อง เดินหน้าตลาดลักซูรี

เซ็นทรัลพัฒนา เผยธุรกิจ Central Pattana Residence เติบโตต่อเนื่อง เดินหน้าตลาดลักซูรี

Central Pattana Residence บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาธุรกิจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล, ที่พักอาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ เผยแผนธุรกิจ Central Pattana Residence ช่วง Q3-Q4/2566 ขยายพอร์ตลักซูรี เดินหน้ารุกโครงการแนวราบ เปิดตัวบ้าน แบรนด์ใหม่ล่าสุด “BAAN NIRADA” (บ้านนิรดา) ราคาเริ่มต้นประมาณ 20-30 ล้านบาท   Central Pattana Residence ปักหมุดทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ ได้แก่ พระราม 2 , รวมถึงอุทยาน-อักษะ และเอกชัย- วงแหวน  เชื่อมั่นดีมานด์กลุ่มลูกค้าระดับบนที่ยังคงมีกำลังซื้อต่อเนื่อง โดยคาดว่าปลายปี 66 จะสามารถปิดยอดขายรวมกันทั้งปีได้ 6,000 ล้านบาท  พบกับงานใหญ่แห่งปี ‘Imagining Better Living’ วันที่ 14-17 ก.ย. 66 นี้ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 1 รวบรวมบ้าน, คอนโดฯ และทาวน์โฮมทั้งหมด 18 โครงการ หลากหลายทำเลคุณภาพทั่วไทย พร้อมโปรโมชั่นดีที่สุดแห่งปี และข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองภายในงานเท่านั้น ลดสูงสุด 6,000,000 ล้านบาท* ฟรี ทุกค่าใช้จ่ายวันโอนฯ รับคะแนน The 1 สูงสุด 100,000 คะแนน     คุณวัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “Central Pattana Residence เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง เราลงทุนทั้งเมืองหลัก และเมืองรองขยายโครงการที่อยู่อาศัยครอบคลุมกว่า 18 จังหวัด ซึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมการกระจายความเจริญ สร้างย่าน เมือง ชุมชน สังคม รวมไปถึงสร้างประเทศอีกด้วย โดยโครงการของเรามีจุดแข็งในด้านทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดในทุกย่านและเมือง อีกทั้งยังเชื่อมต่อและ Synergy กับส่วนอื่นๆ ใน The Ecosystem for All ของเรา ทั้งส่วน Retail ที่เป็นหัวใจสำคัญ และในบางทำเลยังเชื่อมกับส่วนของโรงแรม และอาคารสำนักงาน รวมกันเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่มีศักยภาพสูง ดังนั้น เราจึงสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยได้อย่างครอบคลุมทั้ง 360 องศา ไม่ว่าจะเป็นการ Shop-Eat-Work-Play-Stay-Live ตลอด 24 ชม.”   “เรามุ่งมั่นสร้างโครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำอสังหาริมทรัพย์ของเรา และการออกแบบพื้นที่ Place Making เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน เชื่อมโยงไปถึง People และ Planet ดูแลผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ทุกโครงการจึงเน้นการสร้างสังคมคุณภาพและสภาพแวดล้อมที่ดี สร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในทุกมิติ พร้อมส่งมอบบ้านและคอนโดมิเนียมที่มีคุณภาพ ด้วยฟังก์ชั่นที่ครบครันและได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย เอื้อต่อการใช้ชีวิตของทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย” คุณวัลยากล่าว คุณกรี เดชชัย President, Residential Business บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “สำหรับแผนปี 2566 นี้เราเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 7 โครงการ ได้แก่ คอนโดฯ 3 โครงการทั้ง ESCENT ที่เพชรบุรี, บุรีรัมย์ และบางนา รวมทั้งโครงการบ้าน 4 โครงการ ทั้งบ้านนิรติ นครศรีฯ, และบ้านนิรดา แบรนด์ล่าสุดใน  3 ทำเลคือ พระราม 2, อุทยาน-อักษะ, เอกชัย-วงแหวน โดยคาดว่าปลายปีนี้จะปิดยอดขายรวมกันทั้งปี 6,000 ล้านบาท ทั้งนี้มองว่าแนวโน้มไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ตลาดอสังหาฯ ยังคงมีทิศทางที่ดี โดยมีปัจจัยบวกจากความต้องการด้านที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่ยังคงมีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง”   เตรียมพบกับ “บ้านนิรดา พระราม 2” เปิดตัวในวันที่ 7-8 ตุลาคม 2566 นี้ บ้านเดี่ยวหรูสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ติดถนนพระราม 2 ทำเลศักยภาพ เชื่อมต่อย่านเศรษฐกิจ พระราม 3-ยานนาวา-สาทร ได้อย่างสะดวก และยังสามารถเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดปริมณฑลทั้งจังหวัดนครปฐม ผ่าน ถ.พุทธสาคร รวมถึงเป็น South Gate ที่จะเดินทางไปยังภาคใต้ ตอบโจทย์ทุก ไลฟ์สไตล์การใช้ชิวิตทุกรูปแบบ รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทั้ง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 2, Tops Club, เซ็นทรัล มหาชัย รวมถึงแหล่งไลฟ์สไตล์ โรงเรียนนานาชาติ และสถานพยาบาลชั้นนำ เปิดโมเดลธุรกิจและกลยุทธ์แข็งแกร่ง Central Pattana Residence จากจุดเริ่มต้นของ RESIDENCE ด้วยโครงการภายใต้แบรนด์ ESCENT คอนโดฯ ติดศูนย์การค้า ที่ได้รับการตอบรับดีทั่วประเทศ พัฒนาสู่แบรนด์ Phyll คอนโดฯ ระดับพรีเมี่ยม การผนึกกำลังกับทั้งศูนย์การค้าเซ็นทรัล และศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เรียกได้ว่ามี Insight มองเห็น Behavior และ Domestic Demand จริง ทั่วประเทศ มีความพร้อมในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ทุกระดับราคา ภายใต้ Brand และ Product ที่หลากหลายทั้งแนวราบและแนวสูง โดยพัฒนาตั้งแต่โครงการแรกจนถึงสิ้นปี 66 นี้ มีจำนวนโครงการรวมทั้งหมด 35 โครงการ ครอบคลุม 18 จังหวัด โดยมีโครงการที่ขายเสร็จสิ้นไปแล้วกว่า 12 โครงการ ทั้งนี้ในด้าน Sustainability “บ้านและคอนโดฯ เซ็นทรัล” ยังคำนึงถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตที่ดี บ้านทุกหลังเตรียมจุดรองรับ EV CHARGER สำหรับรถยนตร์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทุกรุ่น การใช้เฟอร์นิเจอร์ในพื้นที่ส่วนกลางจากวัสดุรีไซเคิล รวมถึงมีการร่วมมือกับ SCG เลือกใช้วัสดุก่อสร้าง และผลิตภัณฑ์ที่มีฉลาก SCG Green Choice มาใช้ในโครงการ ผนวกกับนวัตกรรม SCG Active AIR Quality ที่ช่วยสร้างอากาศดี ด้วยการกรองฝุ่น PM 2.5 ลดเชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัสเข้าสู่บ้าน และติดตั้งแผง Solar Cell บนหลังคาอาคารสโมสร และไฟ Solar Cell ทางเดินในพื้นที่ส่วนกลาง   บทความน่าสนใจ เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050 เซ็นทรัลพัฒนา ลงทุน 13,900 ล้าน ปั้นแลนด์มาร์ก 3 บิ๊กมิกซ์ยูส
[PR News]เอพี ไทยแลนด์ คว้ารางวัลสำคัญ CEO และ CFO

[PR News]เอพี ไทยแลนด์ คว้ารางวัลสำคัญ CEO และ CFO

IAA Awards for Listed Companies 2022 – 2023 บมจ. เอพี ไทยแลนด์  คว้า 2 รางวัลคุณภาพในหมวดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง  จาก IAA Awards for Listed Companies 2022 – 2023 จัดโดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ได้แก่ รางวัล Outstanding CEO ที่มอบให้กับ นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ รางวัล Outstanding CFO ที่มอบให้กับนางสาวกรองทอง ปลูกผลงาม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี IAA Awards for Listed Companies 2022 – 2023 สองรางวัลทรงคุณค่าดังกล่าวมาจากผลโหวตของนักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุน ที่มอบให้กับผู้นำในอุตสาหกรรมที่ร่วมขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งนับว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ตลาดทุนและประเทศไทยโดยรวม สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเอพี ไทยแลนด์ที่ทำงานแบบเจาะลึก เข้มข้น  เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ให้ทุกคนมีชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้   “เอพี ไทยแลนด์” คว้ารางวัลสำคัญ CEO และ CFO โดดเด่น จาก IAA Awards for Listed Companies สะท้อนความเป็นผู้นำธุรกิจ และความเชื่อมั่นจากนักลงทุน IAA Awards for Listed Companies 2022 – 2023 นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า “เอพี ไทยแลนด์ ขอขอบพระคุณนักวิเคราะห์ นักลงทุนไทย และสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ที่ให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นต่อกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัท เป็นรางวัลแห่งความภูมิใจและเป็นกำลังใจสำคัญให้ทีมงานเอพีทุกคนไม่หยุดที่จะพัฒนาเพื่อเอ็มพาวเวอร์ให้ทุกคนในสังคมไทย มี “ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้” ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของเอพีเรา” เอพี ไทยแลนด์ ได้รับการประเมินเครดิตองค์กรจากทริสเรทติ้ง ที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยปี 2566 บริษัทฯ ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่มากถึง 58 โครงการ มูลค่าประมาณ 77,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 57,500 ล้านบาท และในครึ่งปีหลังบริษัทฯ เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 55,940 ล้านบาท       บทความน่าสนใจ THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี “Create Your Own Etiquette วิถีแห่งที่สุดของชีวิตสุนทรียะในแบบของคุณ” 10 ปี AP Thailand – Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โปรเจ็กต์ร่วมทุน เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโด กับ มิตซูบิชิ เอสเตท
[PR] CI มอบแคมเปญ Heart Deal Feel Good ลดครั้งใหญ่ 10 โครงการ ทุกยูนิตจ่ายเพียง 70%

[PR] CI มอบแคมเปญ Heart Deal Feel Good ลดครั้งใหญ่ 10 โครงการ ทุกยูนิตจ่ายเพียง 70%

CI มอบแคมเปญ Heart Deal Feel Good ลดครั้งใหญ่ 10 โครงการ ทุกยูนิตจ่ายเพียง 70% ชาญอิสสระ นำ 10 โครงการในเครือ ร่วมแคมเปญใหญ่ “Heart Deal Feel Good” กระตุ้นยอดปลายปี อัดโปรโมชั่นแรงทุกยูนิตจ่ายเพียง 70% พร้อม On Top สูงสุด 700,000 บาท ครั้งเดียวในรอบปี ทั้งบ้านเดี่ยวสุดหรู บ้านพักตากอากาศ คอนโดมิเนียม และโรงแรม ตั้งแต่วันนี้ – 31 ต.ค. 66   นายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสร้างสรรค์สื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโต มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้น ล่าสุดบริษัทฯ เตรียมจัดแคมเปญลดครั้งใหญ่กระตุ้นการตลาด “Heart Deal Feel Good” ลดครั้งใหญ่ในรอบปี ผนึก 10 โครงการในเครือจัดโปรโมชั่นทุกยูนิตจ่ายเพียง 70% พร้อมให้On Top สูงสุดถึง 700,000 บาท ทั้งบ้านเดี่ยวสุดหรู บ้านพักตากอากาศ คอนโดมิเนียม และโรงแรม เพื่อเป็นการคืนกำไรให้กับลูกค้าได้มีโอกาสเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ในราคาสุดพิเศษ รวมถึงเข้าพักโรงแรมสุดหรู 3 โรงแรมในเครือ ในแพคเกจราคาสุดคุ้ม สำหรับโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ “Heart Deal Feel Good” ประกอบด้วย โครงการ ดิ อิสสระ สาทร ลักชัวรี่ คอนโดมิเนียม บนทำเลถนนจันทน์-สาทร ที่เชื่อมต่อการอยู่อาศัยของความเป็นเมืองและธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน  ซึ่งแล้วเสร็จพร้อมโอนตั้งแต่ ตุลาคม นี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 5.59 ล้านบาท “โครงการดิ อิสสระ สาทร เป็นคอนโดมิเนี่ยมพร้อมเข้าอยู่ โลเคชั่นรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิการเดินทางที่สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนสีลม-สาทร จุดขึ้น ลง ทางด่วน สถานศึกษา และโรงพยาบาลชั้นนำ คอมมูนิตี้มอลล์ โดยโครงการให้ความสำคัญด้านงานออกแบบที่มีความเป็นส่วนตัว และเชื่อมโยงมนต์เสน่ห์ของความเป็นเมืองเข้ากับธรรมชาติที่ลงตัวเพียง 270 ยูนิต พร้อมกับพื้นที่ส่วนกลางที่โอ่โถงให้การใช้ชีวิตทุกวันได้พักผ่อนอย่างแท้จริง” นายดิฐวัฒน์ กล่าว นอกจากนี้ยังมี โครงการ บ้านอิสสระ บางนา โครงการบ้านเดี่ยวสุดหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ บนทำเลย่านบางนา บ้านพร้อมเข้าอยู่ ที่ให้ความสำคัญด้านการออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทสถาปนิก A49  ด้วยราคาเริ่มต้น 55 ล้านบาท* ลงทะเบียนรับส่วนลดเพิ่มเติมสูงสุด 700,000 บาท* ขณะที่โครงการศศรา หัวหิน (SASARA HUA HIN) ลักชัวรี่ บีชฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ บนทำเลย่านเขาตะเกียบ หัวหิน ประกอบด้วย อาคารชุดพักอาศัย 4 ชั้น 5 อาคาร จำนวน 110 ยูนิต ด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด “The Art Of Escape” นำศิลปะเข้ามาผสมผสานการออกแบบ สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวโครงการ สะท้อนถึงการใช้ชีวิตที่หลีกหนีจากความวุ่นวาย ในราคาเริ่มต้นที่ 5.99 ล้านบาท มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายอาทิ สระว่ายน้ำ 5 แบบ 5 สไตล์ Lagoon Pool , Lap Pool, Step waterfall and Hidden Jacuzzi, Kid’s Pool และ Entertainment Pool พร้อมด้วยกิจกรรมมากมายทั้งภายในและภายนอกโครงการ ซึ่งคอนโดจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนภายในปีนี้ ขอมอบโปรโมชั่นพิเศษฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธ์, ฟรีค่าส่วนกลาง 1 ปี, ฟรี ค่ากองทุนส่วนกลาง และฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอนกรรมสิทธิ์ ด้าน Baba Beach Club Luxury Pool Villa Hua Hin พูลวิลล่าสุดหรู “ความสุข ลงทุนได้” บริหารและพัฒนาโดยโรงแรมศรีพันวา ตั้งอยู่บนทำเลใกล้หน้าหาดประมาณ 200เมตร มีการออกแบบให้มีความ “เรียบหรู” ผสานกลิ่นอายของบ้านตากอากาศสไตล์โคโลเนียลเน้นโถงกลางบ้านและระเบียงที่สูงโล่ง ซึ่งแต่ละหลังของ วิลล่า มีความเป็นส่วนตัว ประกอบด้วยสวนสีเขียว และ สระว่ายน้ำส่วนตัวด้านหลังของบ้าน พร้อมห้องนอนที่สามารถลงสู่สระว่ายน้ำได้โดยตรง (Access Pool) รวมไปถึงสวนส่วนตัวในห้องน้ำเพื่อเน้นถึงความเป็นบรรยากาศของความเป็นรีสอร์ท ในราคาเริ่มต้น 31.9 ล้านบาท พร้อมรับโปรโมชั่น Fully Furnished ฟรีเฟอร์ฯ เครื่องใช้ไฟฟ้าครบ พร้อมอยู่, ฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอน, ฟรีค่าธรรมเนียมโอน 1%, ฟรีค่าสมาชิกแรกเข้า, ฟรีค่าสมาชิกรายปี และฟรีค่า Caring Package “โครงการทิวทะเลเวิลด์ ชะอำ – หัวหิน (Thew Talay World Cha Am – Hua Hin) ถือเป็นโครงการ มิกซ์ยูส ที่ผสมผสานทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย เพื่อการพักผ่อน และเพื่อการพาณิชย์ ที่ประกอบไปด้วย พูลวิลล่าตากอากาศ คอนโดมิเนียม โรงแรม Baba Beach Club ซึ่งมีทั้งโซนบีชฟร้อนท์ และโซน Habita Seaview ร้านกาแฟ ร้านอาหารและพื้นที่จัดงานในทำเลติดชายหาด ซึ่งปัจจุบันทำเลดังกล่าวยังมีอยู่น้อยมาก ทุกโครงการสามารถตอบโจทย์การพักอาศัยให้กับทุกๆ ไลฟ์สไตล์ ที่มาพร้อมกับการให้บริการเต็มรูปแบบ” นายดิฐวัฒน์ กล่าว ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมอย่าง โครงการบ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ (Blue Sapphire) โลว์ไรส์ และไฮไรส์ คอนโดมิเนียม 4 ชั้น 2 อาคาร และ 15 ชั้น 1 อาคาร พร้อมทั้ง Clubhouse อยู่หน้าหาด จำนวน 421 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.89 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของ โครงการบลู ไดมอนด์ (Blu Diamond) ไฮไรส์ คอนโดมิเนียม วิวทะเล สูง 21 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 491 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท โดยจะมีการจัดกิจกรรมในระหว่างวันที่ 13-15 ต.ค. 66  พบกับ Workshop สุดน่ารัก อาหารถิ่นเมืองเพชรบุรี เเละเครื่องดื่มให้บริการลูกค้า ตั้งแต่เวลา09.00 - 18.00 น. ที่สำนักงานขายทิวทะเลเวิลด์ ชะอำ-หัวหิน ขณะที่ โครงการบ้านสีตวัน ปากช่อง-เขาใหญ่  โครงการบ้านพักตากอากาศ  "Discover Tranquility In Your Own Retreat” นิยามของการพักผ่อนที่เป็นตัวคุณ ในทำเลปากช่อง มีความโดดเด่นด้านการออกแบบที่คำนึงถึง Eco-Living โดยนำเทคโนโลยีการก่อสร้างบ้าน Modular จาก SCG HEIM มาผสมผสานดีไซน์จากบริษัทสถาปนิก แฮบบิตา เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และสาธารณูประโภคที่ครบครัน ด้วยราคาบ้านพร้อมอยู่ และแปลงที่ดินเปล่า เริ่มต้น 4.99 -29.99 ล้าน พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษ ฟรีค่าส่วนกลาง 24 เดือน, ฟรีค่ากองทุนสำรอง, ฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอนกรรมสิทธิ์ ลงทะเบียนรับส่วนลด 100,000 บาท ในส่วนของโรงแรมในเครืออย่าง Sri Panwa Phuket ชูแพคเกจโปรโมชั่นห้องพัก 3 วัน 2 คืน ราคาเริ่มต้นเพียง 21,000 บาท* จอง: วันนี้ - 31 ต.ค. 66 เข้าพัก : วันนี้ - 31 ต.ค.67 ด้านโรงแรม Baba Beach Club Natai ชูโปรโมชั่นแพคเกจราคาห้องพัก 3 วัน2 คืน เริ่มต้นเพียง 13,000 บาท จอง: วันนี้ - 31 ต.ค. 66 เข้าพัก: วันนี้ - 16 เม.ย. 67 ขณะที่โรงแรม Baba Beach Club Hua Hin จัดดีลสุดคุ้ม โปรโมชั่นห้องพักคืนละ 5,500 บาท เข้าพัก 2 คืนขึ้นไป เหลือราคาคืนละ 5,115 บาท จอง: วันนี้ - 31 ต.ค. 66 เข้าพัก: วันนี้ - 31 มี.ค.67 สำหรับงานแคมเปญ Heart Deal Feel Good ถือเป็นแคมเปญใหญ่ที่จัดขึ้นครั้งเดียวในรอบปี โดยจะเริ่มตั้งแต่ วันนี้ - 31 ตุลาคม 2566 โปรโมชั่นต่างๆ ของแต่ละโครงการเป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02 308 2222 หรือ www.charnissara.com, Line:@Charnissara   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง Baan Issara Bangna เปิดแบบบ้านใหม่ พร้อมโปรซื้อบ้านแถมรถ Bentley เปิดตัว Issara Easy Connect  ดูโครงการ-ซื้อขายผ่านออนไลน์ รีวิวคอนโดย่านสาทร วิวคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยา THE ISSARA SATHORN  
[PR News] สกาย กรุ๊ป ส่ง “เมทเธียร์” ลุยภารกิจใหญ่ Smart Facility Management

[PR News] สกาย กรุ๊ป ส่ง “เมทเธียร์” ลุยภารกิจใหญ่ Smart Facility Management

สกาย กรุ๊ป เปิดตัว “เมทเธียร์” รุกธุรกิจใหม่สร้าง New S-Curve ต่อยอดนวัตกรรมแห่งอนาคตสู่ธุรกิจการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อัจฉริยะ ผสานการพัฒนาโซลูชันจากขุมพลัง AI เดินหน้าเจาะโครงการอสังหาฯขนาดใหญ่ 5 กลุ่ม โครงการมิกซ์ยูส-ศูนย์การค้า-ออฟฟิศ-โครงการบ้านและคอนโด-โรงงานอุตสาหกรรม เตรียมระดมเทคโนโลยีสุดล้ำพลิกโฉมธุรกิจ Smart Facility Management       นายขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมทเธียร์ จำกัด (Metthier) ในเครือบริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ สกาย กรุ๊ป (SKY Group) เปิดเผยว่า สกาย กรุ๊ป ได้ต่อยอดความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ (Smart Security) สู่ธุรกิจใหม่ โดยเปิดตัวบริษัทย่อยภายใต้ชื่อ บริษัท เมทเธียร์ จำกัด หรือ “Metthier” เพื่อดำเนินธุรกิจการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อัจฉริยะ (Smart Facility Management) แบบครบวงจร หลังจากสกาย กรุ๊ป ได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท รักษาความปลอดภัยและบริหารธุรการ สยาม จำกัด (รักข์สยาม) หรือ SAMCO ผู้ให้บริการครอบคลุมทั้งด้านการรักษาความปลอดภัย งานธุรการ และงานดูแลความเรียบร้อยของอาคารและสถานที่ ซึ่งมีบุคลากรกว่า 6,000 คน และดูแลกลุ่มลูกค้าองค์กรภาคเอกชนชั้นนำมากกว่า 400 รายในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ อาทิ สถาบันการเงิน ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ อาคารสำนักงาน โรงงาน ผู้ให้บริการพลังงาน เมื่อ ก.ค. ที่ผ่านมา การผสานรวมจุดแข็ง (Synergy) จากทั้ง 2 บริษัท คือ ความเชี่ยวชาญของ Metthier ในด้านการพัฒนาโซลูชันจากขุมพลัง AI (AI-Empowered Solutions) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยอัจฉริยะ มารวมเข้ากับความเป็นมืออาชีพด้านงานรักษาความปลอดภัยและดูแลความเรียบร้อยของอาคาร พร้อมเครือข่ายบุคลากรขนาดใหญ่ของ SAMCO นั้น จะช่วยให้ Metthier สามารถเดินหน้าธุรกิจ Smart Facility Management ได้อย่างแข็งแกร่ง และเป็น New S-Curve ที่ช่วยสร้างการเติบโตให้กับสกาย กรุ๊ป   สกาย กรุ๊ป ส่ง “เมทเธียร์” ลุยภารกิจใหญ่ Smart Facility Management ระดมสุดยอดเทคโนโลยีขั้นสูงให้บริการเมกะโปรเจกต์อสังหา   ทั้งนี้ Metthier ให้บริการครอบคลุมทั้งด้านระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ การบริหารจัดการอาคารสถานที่ รวมถึงโซลูชันที่พัฒนาขึ้นจากเทคโนโลยี AI  พร้อมศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะเต็มรูปแบบ โดยมุ่งขยายฐานลูกค้าภาคเอกชนที่เป็นเจ้าของหรือผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ที่มีความต้องการด้านการบริหารจัดการอาคารและเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับสูงใน 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.โครงการมิกซ์ยูส (Mixed-Use) โครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน 2.ศูนย์การค้า 3.อาคารสำนักงาน 4.โครงการบ้านและคอนโด และ 5.โรงงานอุตสาหกรรม     “Metthier มุ่งมั่นที่จะพลิกโฉมธุรกิจ Smart Facility Management ให้แตกต่างจากที่เคยเป็นมา ด้วยการนำเทคโนโลยีแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็น AI CCTV, Smart Incident Management, Digital Twin, 3D Visualization, Indoor Mapping, AIoT and Robotics เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรและระบบภายในอาคาร ทำให้ปัจจุบันเรามีบริการที่พร้อมรองรับโครงการอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ ซึ่งเราจะเปิดเผยรายละเอียดภายใน ต.ค. นี้” นายขยล กล่าว   บทความน่าสนใจ HBA เร่งฟื้นกำลังซื้อครึ่งปีหลัง จัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023   
AWC จับมือ 2C2P แพลตฟอร์มชำระเงินระดับโลก ปักหมุดที่เอ็มไพร์ทาวเวอร์

AWC จับมือ 2C2P แพลตฟอร์มชำระเงินระดับโลก ปักหมุดที่เอ็มไพร์ทาวเวอร์

         บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดบ้านเอ็มไพร์ทาวเวอร์ต้อนรับบริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด (2C2P) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการชำระเงินระดับโลก เปิดสำนักงานแห่งใหม่ที่อาคาร ‘เอ็มไพร์’ อาคารสำนักงานไลฟ์สไตล์สเปซ และทำความร่วมมือของทั้งสององค์กรที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับดิจิทัลอีโคซิสเต็ม ตอบโจทย์บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก สร้างพื้นที่สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมต่อองค์กร ผู้คน และชุมชน ผ่านคอนเซ็ปต์ ‘Co-Living Collective: Empower Future’ ที่เป็นเอกลักษณ์ของอาคาร ‘เอ็มไพร์’ พร้อมนำเสนอ AWC Infinite Lifestyle (AWI) โปรแกรมสิทธิประโยชน์สำหรับผู้เช่า ตอบโจทย์ทั้งด้านการทำงานและการพักผ่อนได้อย่างลงตัว โดยอาคาร ‘เอ็มไพร์’ จะสร้างพื้นที่ Co-Living ให้เกิดการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้เช่า ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย รวมถึงการส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ผ่านการจัดกิจกรรม เวิร์คช็อป สัมมนา และการสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน AWC จับมือ 2C2P AWC จับมือ 2C2P           นายปิยชาติ รัตน์ประสาทพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด (2C2P) กล่าวว่า “วิสัยทัศน์ของ 2c2p คือพัฒนาและให้บริการระบบชำระเงินแบบครบวงจร โดยสร้างโครงสร้างพื้นฐานของการชำระเงินผ่านเครือข่ายการชำระเงินที่เป็นพันธมิตรกับเรา เพื่อให้ผู้ใช้มีทางเลือกที่หลากหลายในการชำระเงิน เพราะการชำระเงินถือเป็นส่วนหลักเพื่อสนับสนุนระบบนิเวศแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ 2C2P เราเชื่อว่าบุคลากรคือรากฐานของความสำเร็จของเรา เราดูแลพนักงานของเราและพยายามหาวิธีการเพื่อให้เกิดความสมดุลที่ดีระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว ดังนั้นเราจึงเลือก อาคาร 'เอ็มไพร์' เป็นที่ตั้งสำนักงานแห่งใหม่ของเราเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท การตัดสินใจของเรามีรากฐานมาจากความเชื่อมั่นของเราที่มีต่ออาคาร 'เอ็มไพร์' ที่มีการจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางเพื่อให้ผู้เช่าได้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น พื้นที่ทำงานแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการผสมผสานงานและชีวิตของพนักงานของเราเข้าด้วยกัน และให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน”   “อาคาร ‘เอ็มไพร์’ ยังมีพื้นที่ส่วนกลางที่สามารถใช้ทำงานร่วมกันแบบเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย บวกกับอยู่บนทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง และเพียบพร้อมด้วยสิทธิพิเศษมากมายที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการทำงานของพนักงาน 2C2P ด้วยข้อเสนอสิทธิพิเศษของ AWI (AWC Infinite Lifestyle) ที่นอกจากสามารถใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกของ อาคาร 'เอ็มไพร์’ ร่วมกันอันเป็นอภิสิทธิเฉพาะผู้เช่าเท่านั้น ทางผุ้บริหาร พนักงานของ 2C2P ยังได้สิทธิในการรับบริการพิเศษจากเครือข่ายแบรนด์และพันธมิตรของ AWC ในส่วนของโรงแรม ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงานด้วยเช่นกัน จึงทำให้ทีม 2C2P ลงตัวสำหรับการเลือกที่จะขยับขยายมาที่อาคาร 'เอ็มไพร์”                                ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “AWC และ 2C2P มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการมุ่งสร้างสถานที่ทำงานแห่งความสุขให้กับพนักงาน เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ 2C2P สู่อาคาร ‘เอ็มไพร์’ และเชื่อมั่นว่าความแข็งแกร่งด้านนวัตกรรมการชำระเงินดิจิทัลของ 2C2P ผสานกับคอนเซ็ปต์ ‘Co-Living Collective: Empower Future’ ของอาคาร ‘เอ็มไพร์’ ที่ออกแบบเพื่อรองรับเทรนด์ที่ผสานการทำงานและไลฟ์สไตล์อย่างลงตัว จะตอบโจทย์ความต้องการของคนทำงานและองค์กรรุ่นใหม่ได้อย่างดี และเป็นพื้นที่เสริมความแข็งแกร่งและการเติบโตให้ดิจิทัลอีโคซิสเต็มอย่างไม่มีขีดจำกัด นอกจากนี้ภายใต้แนวคิด Co-Living ยังสร้างพื้นที่สำหรับกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์และความคิดสร้างสรรค์เหมือนกัน มารวมตัวเพื่อสร้างคุณค่าและเติบโตไปด้วยกัน โดยผู้เช่าและพนักงานจะมีโอกาสในการทำความรู้จักและสร้างการเชื่อมต่อเพื่อสร้างการเติบโตและพัฒนาโอกาสทางธุรกิจร่วมกันกับองค์กรอื่นภายในอาคารผ่านแพลตฟอร์มทั้งออฟไลน์-ออนไลน์ รวมถึงการแบ่งปันทักษะ ความรู้ร่วมกัน ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่จัดโดย AWC อาทิ เวิร์คช็อป การสัมมนา โดยความร่วมมือระหว่าง AWC และ 2C2P ครั้งนี้ ยังตอบสนองความต้องการของพนักงานในอีโคซิสเต็มได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการเติบโตอย่างไร้ขอบเขต พร้อมร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้กับพนักงานร่วมกัน”   ทั้งนี้ สำนักงานแห่งใหม่ของ 2C2P จะเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคมปี 2567 มีพื้นที่รวมกว่า 3,000 ตารางเมตร รองรับพนักงานได้กว่า 300 คน โดยอาคาร ‘เอ็มไพร์’ เป็นสำนักงานระดับเกรดเอ ตั้งอยู่ใจกลาง CBD ย่านสาทร ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีใน Co-Living และ Collaborative Spaces ที่ใหญ่ที่สุด พร้อมด้วยการออกแบบตกแต่งที่ผสานพื้นที่ทำงานและพื้นที่ด้านไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว เชื่อมต่อผู้เช่าและพนักงานของบริษัทชั้นนำเข้าในอีโคซิสเต็ม นอกจากนี้ AWC ยังตอบสนองไลฟ์สไตล์การทำงานของผู้เช่าอาคาร ‘เอ็มไพร์’ พร้อมไลฟ์สไตล์สุดพิเศษ ผ่าน AWC Infinite Lifestyle ลอยัลตี้โปรแกรมที่มอบสิทธิประโยชน์ สินค้าและบริการในโครงการคุณภาพของ AWC ทั้งโรงแรม อาคารสำนักงานและคอมมูนิตี้ชอปปิ้งมอลล์ เพื่อส่งเสริมดิจิทัลอีโคซิสเต็มในอาคาร ‘เอ็มไพร์’ แบบครบวงจร “AWC ยังได้ร่วมมือกับ 2C2P ในการพัฒนา Pikul แอปพลิเคชันอสังหาริมทรัพย์เพื่อไลฟ์สไตล์ตัวใหม่ของเรา ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มบูรณาการแบบ Omnichannel ที่ไม่เหมือนใคร โดยจะรวมประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์สุดพิเศษต่าง ๆ ที่ดีที่สุดเข้าด้วยกัน ทั้งการขาย (Sales) การส่งของขวัญ (Gifting) และเกมมิฟิเคชั่นเพื่อแลกรางวัล (Gamification) ในแอปพลิเคชัน โดย Pikul ยังทำงานร่วมกับ 2C2P ในการพัฒนาช่องทางการชำระเงิน e-wallet และ prepaid-card แพลตฟอร์มการชำระเงินที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับ Pikul โดยเฉพาะ เพื่อเสริมศักยภาพและประสบการณ์การใช้ AWC Infinite Lifestyle”   “AWC มุ่งพัฒนาอาคาร ‘เอ็มไพร์’ เป็นอาคารสำนักงานระดับสากลที่รวมบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมาย พร้อมด้วยเครือข่ายดิจิทัลที่เป็นแกนหลักของทุกอุตสาหกรรมธุรกิจ เพื่อสร้างอีโคซิสเต็มที่รวมพลังตอบโจทย์การเติบโตทางธุรกิจ รวมถึงความสุขและไลฟ์สไตล์ของทุกคน ผ่านโมเดลรูปแบบใหม่ Co-Living ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดย AWC เชิญชวนบริษัทชั้นนำระดับโลกมาร่วมส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน ขยายเครือข่าย และสร้างความแข็งแกร่งทางด้านโซลูชั่นระหว่างอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของอีโคซิส สร้างประโยชน์และคุณค่าให้กับทุกคน” นางวัลลภา กล่าวสรุป   บทความน่าสนใจ [PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ
[PR News] การเคหะฯ จับมือพันธมิตรฉลองครบรอบ 50 ปี จัดงานใหญ่ “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023”

[PR News] การเคหะฯ จับมือพันธมิตรฉลองครบรอบ 50 ปี จัดงานใหญ่ “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023”

การเคหะแห่งชาติ จับมือพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ฉลองครบรอบ 50 ปี จัดงานใหญ่ “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023” ภายใต้แนวคิด “คิดถึงบ้าน คิดถึงการเคหะ” ในวันที่ 1-3 กันยายนนี้ พร้อมยกทัพโครงการที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและระหว่างก่อสร้างในทำเลศักยภาพทั่วประเทศจำนวน 11,492 หน่วย ให้ประชาชนร่วมจับจองเป็นเจ้าของ ในราคาจองเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท    นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานภายใต้กำกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุมชนและเมือง ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและครัวเรือนเปราะบางมาตลอดระยะเวลา 50 ปี สามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยไปแล้วกว่า 7 แสนหน่วย ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการเคหะชุมชน โครงการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด โครงการเคหะข้าราชการ โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง โครงการอาคารเช่า เป็นต้น และในวาระครบรอบ 50 ปี ของการเคหะฯ จึงได้จับมือร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนจัดงาน “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023” ภายใต้แนวคิด “คิดถึงบ้าน คิดถึงการเคหะ” ในระหว่างวันที่ 1-3 กันยายน 2566 ตั้งแต่เวลา 08.30-18.00 น. ณ สำนักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ และสำนักงานเคหะนครหลวง สำนักงานเคหะจังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.   “งานมหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023 ถือเป็นอีกหนึ่งงานสำคัญแห่งปีที่ประชาชนจะได้มีโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัยระดับคุณภาพ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดี ในราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ โดยการเคหะแห่งชาติได้จับมือร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ เครือข่ายพันธมิตรและสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อมอบโปรโมชั่นสุดพิเศษให้กับประชาชนที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็น อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เฟอร์นิเจอร์และสินค้าแต่งบ้าน ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับบ้านในราคาสุดพิเศษ เพื่อมอบเป็นของขวัญช่วงปลายปีให้กับประชาชน ตามวิสัยทัศน์ของหน่วยงานที่ว่า “สร้างบ้าน สร้างสุข เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี”นายทวีพงษ์ กล่าว   สำหรับ งาน “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023” การเคหะแห่งชาตินำโครงการที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและระหว่างก่อสร้างทั่วประเทศ จำนวน 11,492 หน่วย ประกอบไปด้วย โครงการเคหะชุมชน โครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามโครงข่ายคมนาคมโครงสร้างพื้นฐาน (TOD) และโครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ แบ่งเป็น กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 4,824 หน่วย ภาคกลาง 1,008 หน่วย ภาคเหนือ 505 หน่วย ภาคตะวันออก 2,339 หน่วย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,329 หน่วย และภาคใต้ 1,487 หน่วย ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารชุด บนทำเลศักยภาพที่มีความโดดเด่นไม่แพ้กันในแต่ละภาค มาให้ประชาชนที่สนใจได้ร่วมจับจองเป็นเจ้าของ โดยจองเริ่มต้นพียง 1,000 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ยังมอบโปรโมชั่นส่วนลดสุดพิเศษถึง 3 ต่อ ต่อที่ 1 ส่วนลดสูงสุด 10% จากมาตรการสนับสนุนการเข้าถึงที่อยู่อาศัยฯ หรือเลือกเช่าเพื่อซื้อ (Rent to buy) บ้านพร้อมที่ดิน 1,500 บาทต่อเดือน ห้องชุดขนาด 33 ตร.ม. 1,200-1,500 บาทต่อเดือน ห้องชุดขนาด 24 ตร.ม. 1,000-1,200 บาทต่อเดือน   ต่อที่ 2 เช่าซื้ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ จากโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยฯ (คบส.) กรณีไม่ผ่านสินเชื่อธนาคาร  สำหรับบุคคลทั่วไป ปีที่ 1-4 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.50% สำหรับกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือบุตรที่ซื้อบ้านในโครงการที่พ่อแม่อาศัยอยู่) ปีที่ 1-5 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.50% ผ่อนต่อเดือนเริ่มต้น 1,000 บาท หรือเช่าซื้อ กคช. อัตราดอกเบี้ยพิเศษ สำหรับบุคคลทั่วไป ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4% สำหรับกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือบุตรที่ซื้อบ้านในโครงการที่พ่อแม่อาศัยอยู่) ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4% ผ่อนต่อเดือนเริ่มต้น 1,200 บาท และส่วนลดปิดโครงการสูงสุด 10,000 บาท สำหรับโครงการที่มีอาคารคงเหลือไม่เกิน 10 หน่วย   ต่อที่ 3 จองภายในวันงานรับส่วนลดเพิ่มทันที 15,000-40,000 บาท แบ่งเป็น โครงการเชิงสังคม 15,000 บาท โครงการเชิงพาณิชย์ ราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาทต่อหน่วย ลด 20,000 บาท ราคามากกว่า 2.5 ล้านบาทต่อหน่วย ลด 40,000 บาท รวมส่วนลดสำหรับโครงการที่เข้าร่วมทุกโปรโมชั่นสูงสุด 80,000 บาท รายละเอียดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และโครงการที่เข้าร่วมเป็นไปตามที่การเคหะแห่งชาติกำหนด พร้อมพบกับกิจกรรมให้ความรู้ กิจกรรมการทำน้ำหมักจุลินทรีย์ ตรวจสอบเครดิตบูโรฟรี รับสมัครงาน สินค้าชุมชน สินค้าตกแต่งบ้าน สินค้าอุปโภคบริโภคราคาประหยัดจากโครงการธงฟ้า และบูธสถาบันการเงินต่าง ๆ อาทิ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารทีเอ็มบีธนชาติที่จะมาให้คำแนะนำและให้บริการเรื่องการยื่นขอสินเชื่อสำหรับลูกค้าภายในงานฯ   การเคหะแห่งชาติ รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีภารกิจหลักในการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ทั้งด้านกายภาพ เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม สอดรับแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) ภายใต้วิสัยทัศน์ “คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579” โดยมุ่งเน้นส่งเสริมและพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชน สนับสนุนให้มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ปัจจุบันได้พัฒนาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศแล้วกว่า 7 แสนหน่วย พร้อมขับเคลื่อนโครงการสำคัญตอบสนองนโยบายรัฐบาล และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยังดำเนินโครงการ “บ้านเคหะสุขประชา” บ้านเช่าพร้อมอาชีพ ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง และ “บ้านเคหะสุขเกษม” สร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กับคนวัยเกษียณ   บทความน่าสนใจ การเคหะฯ ออก 3 มาตรการช่วยลูกค้าเก่า-ใหม่ จัดโปรฯ ลดดอกเบี้ย-ค่างวด ปรับโครงสร้างหนี้
[PR News]HBA เร่งฟื้นกำลังซื้อครึ่งปีหลัง จัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023   

[PR News]HBA เร่งฟื้นกำลังซื้อครึ่งปีหลัง จัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023  

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) จัดเต็มกลยุทธ์เร่งฟื้นกำลังซื้อสู้ภาวะเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 66 จับตา 2 วาระใหญ่ของประเทศ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่cและภาวะดอกเบี้ยพุ่ง 2.25% ส่งสัญญาณความเชื่อมั่นผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย เร่งสยายปีกเครือข่ายสมาชิกตลาดรับสร้างบ้านในแต่ละภูมิภาค เสริมทัพตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมจัดใหญ่งานมหกรรมแห่งปี “รับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023” เริ่ม 20 – 24 ก.ย. 2566 เพื่อเพิ่มโอกาสให้คนอยากมีบ้านเข้าถึงบริการคุณภาพ ในคอนเซ็ปต์ “ครบเครื่องเรื่องสร้างบ้าน” สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน                                   นายโอฬาร จันทร์ภู่ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA : Home Builder Association) เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2566 ยังต้องจับตา 2 วาระใหญ่ของประเทศ ก็คือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ จะส่งผลทางบวกต่อภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจรับสร้างบ้านมากน้อยแค่ไหน ท่ามกลางข้อจำกัดของการทำธุรกิจที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนค่าแรงและค่าวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น และการปรับตัวของดอกเบี้ยนโยบาย อีก 0.25% ต่อปี เป็น 2.25% จากเดิม 2.00% ต่อปี ซึ่งมีผลทำให้ผู้บริโภคอาจจะชะลอการตัดสินใจสร้างบ้านออกไปเรื่อย ๆ   “ความท้าทายจากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมตลาดบ้านปลูกสร้างเองที่มีมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านบาท อาจเติบโตได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี ทางสมาคมฯ ได้เตรียมกลยุทธ์และแนวทางรับมือ เพื่อปลดล็อคข้อจำกัดที่มีและเพิ่มโอกาสให้ทั้งธุรกิจรับสร้างบ้าน รวมถึงผู้บริโภคที่กำลังวางแผนสร้างบ้าน สามารถตัดสินใจได้เร็วและง่ายขึ้น” นายโอฬาร กล่าว   ในส่วนของการเพิ่มโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจรับสร้างบ้านนั้น นายโอฬาร กล่าวว่า ปัจจุบันยอดสั่งสร้างบ้านมากกว่า 60% มาจากพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมูลค่าบ้านเฉลี่ยอยู่ที่ 5-10 ล้านบาท ขณะที่ตลาดในภูมิภาคแม้จะยังมีสัดส่วนที่น้อยกว่า แต่นับว่าเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจ และสามารถสร้างการเติบโตได้อีกมากในอนาคต   ปัจจุบันสมาคมฯ มีสมาชิก 132 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทรับสร้างบ้าน 75 บริษัท และวัสดุก่อสร้าง 57 บริษัท โดยเตรียมขยายจำนวนสมาชิกใหม่ในส่วนภูมิภาคมากขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้และการเข้าถึงตลาดความต้องการของผู้บริโภคในภูมิภาค รวมทั้งยกระดับคุณภาพงานสร้างบ้านให้มีมาตรฐานเดียวกัน   “พื้นที่ต่างจังหวัด ส่วนใหญ่ใช้บริการบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นรูปแบบบริษัทมาสร้างบ้าน ซึ่งผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยประสบกับปัญหาเรื่องคุณภาพงานที่ไม่ได้มาตรฐานและรับเงินไปแล้วทิ้งงาน ดังนั้นการเข้าไปให้ความรู้ในมาตรฐานงานก่อสร้างและการตลาด จะส่งผลดีทั้งกับบริษัทรับสร้างบ้านในภูมิภาค รวมทั้งผู้บริโภคที่จะเข้าถึงบริการที่ได้คุณภาพและไว้วางใจได้ว่าจะไม่เกิดปัญหาในภายหลัง” นายโอฬาร กล่าว   นอกจากนี้ ทางสมาคมฯ เตรียมกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นงานใหญ่ของปี “รับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 นับเป็นงานเดียวที่รวบรวมความครบเครื่องเรื่องบ้านไว้มากที่สุด พร้อมจัดเต็มสิทธิประโยชน์ ส่วนลด และของแถม จากบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ครบเครื่องเรื่องสร้างบ้าน”     ความพิเศษของงานในปีนี้ อัดแน่นไปด้วยกองทัพแบบบ้านให้เลือกกว่า 1,000 แบบ ราคาตั้งแต่ 1 – 100 ล้านบาท สิทธิพิเศษสำหรับการจองปลูกบ้านภายในงาน ลุ้นรับทองคำแท่ง 15 บาท มูลค่ารวมกว่า 500,000 บาท** รวมทั้งบริการขอสินเชื่อสร้างบ้านภายในงานกู้ได้ 100% แบบไม่มีเงินก็สร้างบ้านได้ โดยมีสถาบันการเงินเข้ามาร่วมให้บริการสินเชื่อถึง 4 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และพบกับทรัพย์พร้อมอยู่ ราคาสุดพิเศษ จาก JAM และผู้เชี่ยวชาญเรื่องสร้างบ้านที่คอยให้คำปรึกษาสำหรับคนที่กำลังวางแผนสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเอง   “ด้วยข้อเสนอที่พิเศษสุด พร้อมด้วยบริการที่ครบวงจรรวมไว้ในงานเดียว และในปีนี้ นอกจากจะมีบริษัทสมาชิกจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก มาร่วมออกงานแล้ว ยังมีบริษัทสมาชิกจากภาคใต้มาร่วมออกงานอีกด้วย นับว่าเป็นงานรับสร้างบ้านระดับประเทศอย่างแท้จริง โดยสมาคมฯ คาดหวังว่างานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023 จะสามารถดึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้กลับมา และกระตุ้นการตัดสินใจสร้างบ้านให้เร็วขึ้น ซึ่งจะส่งสัญญาณที่ดีต่อภาพรวมของตลาดรับสร้างบ้านให้ขยายตัวภายในสิ้นปีนี้” นายโอฬาร กล่าวทิ้งท้าย   พบกับงานรับสร้างบ้านที่ครอบคลุมสำหรับทุกความต้องการ เรียกได้ว่ามางานนี้ที่เดียวจบ ครบเครื่องเรื่องสร้างบ้านจริง ๆ ในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023 ระหว่างวันที่ 20 - 24 กันยายน 2566 ณ อิมแพ็ค ฮอลล์ 6 เมืองทองธานี  จัดโดยสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน   บทความนาสนใจ ไวด์เฮ้าส์ลุยตลาดรับสร้างบ้าน 2 แสนล้านประเดิมปีแรกทำรายได้ 60 ล้าน
อรสิรินโฮลดิ้ง เตรียมขาย IPO 406.5 ล้านหุ้นใน SET หลังก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง

อรสิรินโฮลดิ้ง เตรียมขาย IPO 406.5 ล้านหุ้นใน SET หลังก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง

ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง อรสิริน โฮลดิ้ง ดีเวลลอปเปอร์จากเชียงใหม่ เตรียมขายไอพีโอ 406.5 ล้านหุ้น เข้า SET ผนึก APM ที่ปรึกษาการเงิน เดินสายโรดโชว์นำเสนอข้อมูลแก่กองทุน นักลงทุนสถาบันต่างประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง พร้อมพบนักลงทุนรายย่อย 15 จังหวัดทั่วประเทศ มั่นใจพื้นฐานแกร่ง นักลงทุนตอบรับดี   ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ORN เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ หรือ ไฟลิ่ง เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ของ ORN ในวันที่ 23 สิงหาคม 2566  เป็นที่เรียบร้อยแล้ว   โดยบริษัทจะเดินหน้านำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับกองทุน นักลงทุนสถาบัน ต่างประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ในวันที่ 23-25 สิงหาคม 2566 สำหรับการนำเสนอข้อมูลในครั้งนี้คาดว่าจะได้รับความสนใจจากกองทุนต่างประเทศเป็นอย่างดี  เนื่องจาก ORN เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบและแนวสูงในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มายาวนานกว่า 17 ปี และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมั่นคง ด้านนายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APM กล่าวว่า ปัจจุบัน อรสิริน  หรือ ORN มีทุนจดทะเบียน 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 1,500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาทและมีทุนที่เรียกชำระแล้ว 1,093.50 ล้านบาท โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 406.50 ล้านหุ้น หรือ 27.10% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)   โดยหลังจากนี้ เตรียมเดินหน้านำเสนอข้อมูลธุรกิจของบริษัท พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนกลุ่มต่างๆ และผู้ที่สนใจ โดยจะทำการโรดโชว์ในประเทศทั้งหมด 15 จังหวัดในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2566  รวมถึงนำเสนอข้อมูลรายละเอียดหลักทรัพย์ แก่เจ้าหน้าที่นักวิเคราะห์ เจ้าหน้าที่การตลาด ณ ห้องค้าบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายในปีนี้   ขณะที่นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) หรือ ORN กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจของบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง เสริมสร้างศักยภาพทางการเงิน เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต   ปัจจุบัน ORN ประกอบธุรกิจการลงทุนถือหุ้นบริษัทอื่น (Holding Company) มีกลุ่มธุรกิจหลักคือ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบ แนวสูง ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย บนทำเลคุณภาพจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและการพัฒนา ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566 จำนวนรวม 18 โครงการ ภายใต้แบรนด์สินค้า ได้แก่ THE ESCAPE , HABITAT , BELIVE , ORNSIRIN , ORNSIRIN VILLE , URBAN MYX , THE ASTRA , ARISE และ THE NEXT มูลค่าขายโครงการรวมประมาณ 15,533 ล้านบาท มีมูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 2,329 ล้านบาท เป็นที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จแล้วหรือที่อยู่ระหว่างก่อสร้างที่เปิดขายแล้ว แบ่งเป็นมูลค่าคงเหลือขายโครงการแนวราบประมาณ 712 ล้านบาท และโครงการแนวสูงประมาณ 1,617 ล้านบาท รวมถึงมีที่ดินรอการพัฒนาหรืออยู่ระหว่างก่อสร้างที่ยังไม่เปิดขายรวมประมาณ 3,850 ล้านบาท บริษัทยังคงมุ่งเน้นเดินหน้าสร้างการเติบโตต่อเนื่อง เตรียมแผนขยายโครงการบนทำเลคุณภาพ ชูกลยุทธ์พัฒนาที่อยู่อาศัย ด้วยการออกแบบฟังก์ชันและนวัตกรรมการอยู่อาศัยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ลูกบ้านทุกโครงการ ตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำ ผู้พัฒนาอสังหาฯภูมิภาคอย่างแข็งแกร่ง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อรสิริน ดีเวลลอปเปอร์รายแรกของภาคเหนือ เตรียม IPO ใน SET  ปี 66
[PR News] “ณ วีรา รามอินทรา” พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างจริงครั้งแรก แถมโปรส่วนลด 200,000 บาท

[PR News] “ณ วีรา รามอินทรา” พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างจริงครั้งแรก แถมโปรส่วนลด 200,000 บาท

ณวรางค์ แอสเซท ได้ฤกษ์เปิดตัวโครงการ ณ วีรา รามอินทรา มูลค่า 550 ล้าน ภายใต้แนวคิด “ให้คุณเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ใช่ได้ทุกวัน ..CRAFT YOUR EVERYDAY” คอนโดฯ ใหม่ให้ครบเกินคุ้ม ย่านลาดปลาเค้าใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู แค่ 3 นาที พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างครั้งแรก ด้วยราคาเริ่มต้น 1.49 ล้าน แถมส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท ชูจุดเด่นทำเลทองเพื่อการอยู่อาศัย ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยจริง และลงทุนปล่อยเช่า   นายอภิภู พรหมโยธี  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด  เปิดเผยว่า ได้เตรียมเปิดตัวโครงการ ณ วีรา รามอินทรา คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ล่าสุดของบริษัทพร้อมให้ชมห้องตัวอย่างครั้งแรกในวันที่ 26 -27 ส.ค.นี้ โดยเปิดขายห้องชุดในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท และยังจัดโปรโมชั่นต้อนรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ด้วยส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท สำหรับผู้ลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์​ https://navarangasset.com/projects/naveera-ramintra/   สำหรับโครงการ  ณ วีรา รามอินทรา ตั้งอยู่บริเวณซอยลาดปลาเค้า 72 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีลาดปลาเค้า เพียง 3 นาที บนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ มูลค่า 550 ล้านบาท มีจำนวน 218 ยูนิต พัฒนาภายใต้แนวคิด “ให้คุณเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ใช่ได้ทุกวัน ..CRAFT YOUR EVERYDAY” คอนโดฯ ใหม่ให้ครบเกินคุ้ม ด้วยการดีไซน์ห้องที่ลงตัวเพื่อการอยู่อาศัยอย่างมีความสุข พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุคใหม่ อาทิ คลับเฮ้าส์สองชั้นที่มี Co-working space ฟิตเนสวิวธรรมชาติ รูฟท้อป สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ลานบาร์บีคิว   นายอภิภู กล่าวว่า โครงการ ณ วีรา รามอินทรา ตั้งอยู่บนทำเลทองย่านลาดปลาเค้า เพราะนอกจากจะอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีลาดปลาเค้า ซึ่งสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อมุ่งสู่ทุกจุดหมายในกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกสบายแล้ว ยังใกล้กับแหล่งการศึกษาชั้นนำ อาทิ มหาวิทยาลัยศรีปทุมและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียงแปดถึงสิบห้านาทีเท่านั้น ใกล้แหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ ทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ที่ใช้ระยะเวลาเดินทางเพียงไม่กี่นาที ใกล้กับสถานีราชการและแหล่งงานต่าง ๆ มากมายด้วย ความต้องการอยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน ยังคงคำนึงถึงเรื่องทำเลที่ตั้ง ซึ่งต้องเดินทางสะดวก สามารถเชื่อมต่อกับบริการรถสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน    สำหรับโครงการ  ณ วีรา รามอินทรา นับว่าเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว เพราะใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือรถไฟฟ้าบีทีเอส ในอนาคตยังจะเชื่อมต่อสายสีน้ำตาลและสีม่วงด้วย ซึ่งบริษัทตั้งใจพัฒนาดังกล่าวเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการอยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นผู้เริ่มต้นชีวิตใหม่ นักศึกษา ผู้ที่อยู่ย่านลาดปลาเค้าและต้องการขยับขยายจากบ้านเดิมแต่ยังรักในทำเลที่คุ้นเคย รวมทั้งกลุ่มนักลงทุนที่มองหาความคุ้มค่าสมราคา เพราะสามารถซื้อและปล่อยเช่าให้กับกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา หรือกลุ่มคนทำงานในบริเวณใกล้เคียงได้ด้วย โครงการมีห้องทั้งหมด 218 ห้อง โดยมีห้องทั้งหมด 5 แบบ ได้แก่ TYPE A  :  1 BEDROOM              22.07 -22.87 SQ.M. TYPE B  :  1 BEDROOM              26.42-27.34  SQ.M. TYPE C  :  1 BEDROOM PLUS   35.13-35.74   SQ.M. TYPE D1  :  2 BEDROOM            41.04            SQ.M. TYPE D2  :  2 BEDROOM            41.72            SQ.M.   โดยทุกห้องจะออกแบบในสไตล์โมเดิร์นมาพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์แบบครบครัน ภายในวันงานโครงการมีโปรโมชั่น จองพร้อมทำสัญญาในงานรับ Voucher Central มูลค่า 5,000 – 10,000 บาท พิเศษเฉพาะในงานวันที่ 26 -27 ส.ค.นี้ เท่านั้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ณวรางค์ แอสเซท ได้แรงหนุนสายสีชมพูสร้างใกล้เสร็จ ส่ง “ณ รีวา รามอินทรา” รับลูกค้าย่านลาดปลาเค้า -“ณวรางค์ แอสเซท” กางแผน 3 ปี ผุดโปรเจ็คต์ใหม่กว่า 5,000 ล้าน พร้อมเปิดตัว “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” คอนโดฯ เพื่อคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน
10 ปี AP Thailand - Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน

10 ปี AP Thailand - Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน

10 ปี AP Thailand - Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน 10 ปี AP Thailand - Mitsubishi Estate นับว่าเป็นการร่วมมือกันทางธุรกิจที่ยาวนานและแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยเลยก็ว่าได้ ด้วยผลงานร่วมทุน ร่วมพัฒนาคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า 24 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 116,300 ล้านบาท เพื่อตอบโจทย์ที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดของคนเมือง พร้อมประกาศเดินหน้าความร่วมมือภายใต้โรดแมป “From Strength to Strength”     ที่ผ่านมาเราคงเคยได้ยินการออกแบบเพื่อมวลชน หรือ Universal Design (UD) มาบ้าง ซึ่งแนวคิดการออกแบบสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน ที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเจาะจงไปที่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสที่มีข้อจำกัดในการใช้เท่านั้น แต่ปัจจุบัน Universal Design (UD) ก็เริ่มมีบทบาทและถูกนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ล่าสุด เราได้รู้จักกับคำว่า “Inclusive Living” (การออกแบบพื้นที่เพื่อทุกคน) จาก AP Thailand ยิ่งประกอบกับการได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นในวาระฉลองครบรอบ 10 ปี แห่งการร่วมมือกันทางธุรกิจระหว่าง AP Thailand – Mitsubishi Estate จึงทำให้เข้าในแนวคิดของคำว่า Inclusive Living มากยิ่งขึ้นไปอีก     หนึ่งในความท้าทายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมาในช่วงหลายปีนี้ คือการออกแบบและพัฒนา “พื้นที่ที่เข้าถึงความต้องการของทุกคน” โดยเฉพาะการออกแบบคอนโดมิเนียมสำหรับคนเมืองที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์อย่างรอบด้าน ทั้งการเดินทางที่สะดวก ติดแนวรถไฟฟ้า มีพื้นที่ส่วนกลาง และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมการไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงสเปซของคนแต่ละช่วงวัย รวมถึงการปรับเปลี่ยนสเปซเพื่อการอาศัยอยู่ร่วมกันของผู้คนได้อย่างสะดวกสบาย ดังนั้นแนวคิด “การออกแบบพื้นที่เพื่อทุกคน” หรือ Inclusive Living ในคอนโดมิเนียมแต่ละโครงการ จึงมีความซับซ้อนในการออกแบบมากกว่าการพัฒนาโครงการทั่วๆ ไป เนื่องจาก “ทุกคนล้วนมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน” ทั้งช่วงวัย ไลฟ์สไตล์ ความพิเศษทางกายภาพ หรือแม้แต่วัฒนธรรมที่หลากหลาย จึงเป็นโจทย์ที่สำคัญในการออกแบบเพื่อทุกคนที่อาศัยอยู่ร่วมกันได้รับความสะดวกสบายครบครันมากที่สุด   และเมื่อการร่วมมือกันพัฒนาที่อยู่อาศัยของ AP Thailand กับ Mitsubishi Estate จากประเทศญี่ปุ่นไม่ได้จำกัดอยู่แค่การร่วมทุน แต่หมายรวมไปถึงการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี นวัตกรรมร่วมกันชนิดที่มีทีมงานจากญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมานั่งทำงานประจำร่วมกับ AP ที่สำนักงานใหญ่ เราจึงมีโอกาสได้เห็นการออกแบบพื้นที่ในโครงการต่างๆ ที่ JV (Joint Venture) ร่วมกันต่างไปอย่างมีนัยสำคัญ   แล้ว Inclusive Living ต่างกับ Universal Design อย่างไร? ต้องยอมรับว่าญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการใส่ใจในรายละเอียดมากๆ ยิ่งในเรื่องการออกแบบที่อยู่อาศัยด้วยแล้ว ยิ่งมีรายละเอียดที่เกินความคาดหมายไปมาก เราได้เห็นการออกแบบด้วยแนวคิด Inclusive Living ผ่านโครงการ The Parkhouse Nishi Shinjuku Tower 60 คอนโดมิเนียมพร้อมเข้าอยู่ใจกลางโตเกียว ภายใต้การพัฒนาโดย Mitsubishi Estate ตัวโครงการโดดเด่นด้วยการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง (Facilities) เพื่อให้ทุกคนได้มีสภาพแวดล้อม การใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย สามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้โดยไม่เกิดอุปสรรคในการใช้ชีวิต ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใด หรือมาจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกันก็ตาม   เริ่มตั้งแต่การเลือกวัสดุปูพื้นชนิดพิเศษซึ่งกันลื่นได้อย่างดีแม้กรณีพื้นเปียก, ทางเดินแบบไร้สเตปตั้งแต่บริเวณ Drop Off พร้อมติดตั้ง Braille Block ตลอดทาง, ราวจับแบบ 2 ระดับ เพื่ออำนวยความสะดวกทั้งเด็กและคนชรา พร้อมอักษรเบรลล์บริเวณมือจับเพื่อการสื่อสารให้ผู้พิการทางสายตาทราบได้ว่าเดินอยู่ในตำแหน่งไหนและกำลังนำทางไปสู่ที่ใด ซึ่งสิ่งที่กล่าวมานี้ คุณอาจจะคุ้นชินหรือเคยเห็นมาบ้างแล้วในแนวคิด Universal Design ในขณะที่แนวคิดแบบ Inclusive Living มีรายละเอียดที่ลงลึกมากไปอีก อย่างเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะถูกมองข้ามหรือคิดไม่ถึง เช่น ระดับความสูงของปุ่มกดลิฟต์, ความหน่วงของการเปิดปิดประตูลิฟต์ สำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้งานแบบปกติ, การติดตั้งกระจกด้านในลิฟต์เพิ่ม เพื่อให้ผู้ที่ใช้รถเข็นมองเห็นพื้นที่ด้านหลังก่อนออกจากลิฟต์, รูปแบบของสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เป็นสากล สามารถเข้าใจได้ง่ายแม้จะต่างชาติ ต่างภาษากัน รวมถึงตำแหน่งการติดตั้งสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อให้เห็นได้ชัดเจน     และรายละเอียดที่เหนือกว่าของแนวคิด Inclusive Living คือ การคิดออกแบบไปถึง “Bio Living” การคำนึงการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ภายในโครงการ ไม่ว่าจะเป็นพืชในสวน ความหลากหลายของพันธุ์พืชเพื่อเกื้อกูลกันในระบบนิเวศน์ รวมไปถึงการคิดคำนึงถึงคนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่รอบๆ โครงการที่จะได้รับประโยชน์จากการอาศัยอยู่ร่วมกันในชุมชนไปพร้อมๆ กันอีกด้วย     อีกหนึ่งในฟังก์ชันที่น่าสนใจภายในโครงการคือ การนำแนวคิด ENGAWA – Multi Generation Facility มาออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อมุ่งเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันของลูกบ้านที่อาศัยอยู่ภายในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้พื้นที่ส่วนนี้ในการทำกิจกรรมร่วมกัน สามารถรองรับได้ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงคุณพ่อคุณแม่ และคนสูงวัย ได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันได้อย่างราบรื่น AP Thailand ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ ตลอดระยะเวลา 10 ปีแห่งความร่วมมือทางธุรกิจในการพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทย ผ่าน 24 โครงการที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ด้วยการนำหลากหลายแนวคิดจากพันธมิตรอย่าง Mitsubishi Estate มาพัฒนาโดยมุ่งเน้นถึง “การออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้งานของคนทุกกลุ่ม” โดยเฉพาะการดีไซน์พื้นที่สาธารณะ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงได้ง่ายอย่างเข้มข้นและจริงจัง เพื่อตอบโจทย์คุณภาพชีวิตในทุกมิติของการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง     ซึ่งเร็วๆ นี้ AP Thailand – Mitsubishi Estate พร้อมส่ง 2 โครงการ Masterpiece ร่วมทุนที่เป็นความภาคภูมิใจแห่งปี บนที่ดินแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพฯ โดยมีไฮไลต์แรก “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โครงการระดับเพรสทีจ-ลักซ์ บนทำเลใจกลางมหานคร จาก BTS ราชเทวี เพียง 150 เมตร พร้อมเผยโฉมห้องชุด  1 ห้องนอน 35 ตารางเมตร PANORAMIC CITY VIEW ราคาเริ่มต้น 8.29 ล้านบาท และเตรียมเปิดโอนในวันที่ 26 - 27 สิงหาคมนี้   และอีกหนึ่งไฮไลต์คือ การเปิดแฟล็กชิปโครงการร่วมทุนใหม่ล่าสุด “RHYTHM เจริญนคร” บนที่ดินขนาด 4 ไร่ ตรงข้ามไอคอนสยาม เพียง 100 เมตรจากรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีเจริญนคร ตอบโจทย์ลูกค้าไฮเอนด์ และเป็นต้นแบบ Super Condominium ที่รวมความเป็นที่สุดไว้ในหนึ่งเดียว โดยมีแผนเตรียมเปิดขายในเดือนพฤศจิกายนนี้   #APxMEC10YearOfPartnership #APFromStrengthToStrength #APThai #ชีวิตดีๆที่เลือกเองได้ #RHYTHMCharoennakhonIconic #TheAddressSiamRatchathewi #APThaiUpdate2023 บทความที่เกี่ยวข้อง เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี”  
[PR News] นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป พร้อมเปิดตัว “หลับดี” 3 แห่งในญี่ปุ่นและไทย

[PR News] นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป พร้อมเปิดตัว “หลับดี” 3 แห่งในญี่ปุ่นและไทย

นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เตรียมเปิด 3 ที่พักใหม่ “หลับดี” ในโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เกาะเต่าและย่านไชน่าทาวน์ (สามยอด) ใจกลางกรุงเทพฯ ประเทศไทย   นายนที นิธิวาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เปิดเผยว่า นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ผู้พัฒนาและประกอบธุรกิจที่พักแบรนด์หลับดีและโรงแรมเครือมาราสก้า ประกาศความพร้อมเปิดตัวที่พักแบรนด์หลับดี (Lub d) เพิ่มอีก 3 แห่งในปี 2566 และ 2567 ได้แก่ หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ หลับดี เกาะเต่าและหลับดี ไชน่าทาวน์  กรุงเทพฯ โดยทั้ง 3 แห่งได้ออกแบบให้มีเอกลักษณ์ รวมถึงประสบการณ์การต้อนรับอันโดดเด่นของแบรนด์หลับดี ถือเป็นที่พักแนวไลฟ์สไตล์ ดีไซน์ทันสมัย เพื่อนักเดินทางรุ่นใหม่ที่มีเป้าหมายชัดเจน และเน้นความคุ้มค่า การเปิดตัวที่พักแบรนด์หลับดีเพิ่มเติมอีก 3 แห่งถือเป็นการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ เสริมสร้างและสะท้อนความแข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทที่กำลังขยายสาขาในเอเชีย หลังจากที่บริษัทได้ดำเนินธุรกิจโรงแรมและบริการในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ โรงแรมหลับดีได้ขยายกิจการไปยังจุดหมายปลายทางยอดนิยมทั้งในไทยและประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันโรงแรมหลับดีได้เปิดให้บริการแล้วถึง 5 แห่ง ได้แก่ หลับดีในไทย 3 แห่ง เสียมราฐ กัมพูชา 1 แห่ง และกรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ อีก 1 แห่ง   สำหรับในปีนี้ หลับดีมีแผนเปิดให้บริการโรงแรมเพิ่มเติมอีก 1 แห่ง คือ หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ในช่วงเดือนกันยายน และนอกจากนี้ยังมีแผนเปิดให้บริการเพิ่มเติมในปี 2567 อีก 2 แห่ง คือ หลับดี เกาะเต่า  ในไตรมาสที่ 1 และหลับดี ไชน่าทาวน์  กรุงเทพฯ ในไตรมาสที่ 3   โดยหลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฮอนมาจิ เมืองโอซาก้า หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ถือเป็นก้าวสำคัญของแบรนด์ เนื่องจากเป็นการเปิดตัว หลับดีที่แรกในญี่ปุ่น แขกผู้เข้าพักจะได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศของเมืองที่มีสีสัน แถมยังเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก ที่สำคัญที่พักแห่งนี้ยังมอบโอกาสให้นักเดินทางจากทั่วโลกมาพบปะทำความรู้จักกันท่ามกลางกลิ่นอายวัฒนธรรมญี่ปุ่น และการต้อนรับอย่างอบอุ่นในรูปแบบเฉพาะตัวของหลับดี ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกสุดทันสมัยไว้คอยให้บริการ หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ยังเต็มไปด้วยการตกแต่งที่ทันสมัยพร้อมด้วยผลงานศิลปะจากศิลปินท้องถิ่น ที่จะทำให้บรรยากาศไม่น่าเบื่อและสนุกสนาน พร้อมเปิดให้บริการ ในเดือนกันยายน 2566 ส่วนหลับดี เกาะเต่า ตั้งอยู่ที่อ่าวโตนด ซึ่งติดอันดับ 1 ใน 20 แหล่งดำน้ำที่ดีที่สุดของโลก มีหาดหน้าที่พักอันเงียบสงบ ทรายขาวละเอียดและน้ำใสสวยงาม เนื่องจากเกาะเต่าเป็นจุดหมายปลายทางในดวงใจของนักดำน้ำลึก หลับดี เกาะเต่า จึงเปิดโรงเรียนสอนดำน้ำไว้คอยให้บริการด้วยเช่นกัน ใครที่พร้อมออกผจญภัย ทริปดำน้ำอันแสนเร้าใจอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นที่พักในฝันของผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยอย่างแท้จริง โดยหลับดี เกาะเต่ามีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาสแรกของปี 2567   ขณะที่หลับดี ไชน่าทาวน์ กรุงเทพฯ เตรียมจะเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสามยอด ที่รายล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิ เยาวราช ชุมชนชาวจีนที่เก่าแก่ วัดวาอาราม ถนนคนเดินริมคลองโอ่งอ่าง และย่านการค้าพาหุรัด ชุมชนชาวอินเดียอันมีเสน่ห์  ใครได้มาสัมผัสบรรยากาศจะได้รับประสบการณ์ดี ๆ ที่ไม่มีวันลืมเลือนอย่างแน่นอน   ด้านนางสาวนิธิดา นิธิวาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแบรนด์หลับดี กล่าวว่า หลับดีกำลังเติบโตทั่วเอเชียเพราะเราปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของนักเดินทางรุ่นใหม่ซึ่งอยากให้ที่พักที่เป็นมากกว่าที่พัก   ที่พักของเราเป็นพื้นที่สำหรับการเข้าสังคมและทำกิจกรรมเพื่อสัมพันธภาพและประสบการณ์ที่มีความหมายของนักเดินทางหนุ่มสาว หลับดีเป็นเหมือนแหล่งเติมพลังสำหรับการเดินทางสำรวจที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ของนักเดินทางเหล่านี้   นางสาวนิธิดา อธิบายด้วยว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นในปี 2551 หลับดีตั้งเป้าที่จะเปิดที่พักทั้งในเมืองและเกาะต่าง ๆ ทั่วเอเชียมาโดยตลอด เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่อยากได้ที่พักที่สะดวกสบาย ราคาจับต้องได้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สำรวจสิ่งแปลกใหม่และของแท้ดั้งเดิมอย่างเต็มที่   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ประกาศรายได้การให้บริการ-โรงแรมโตรับท่องเที่ยวฟื้นตัว ชูดิจิทัล-กลยุทธ์บริหาร RevPar สู่เป้ากว่า 10,000 ล้าน -AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ
เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โปรเจ็กต์ร่วมทุน เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโด กับ มิตซูบิชิ เอสเตท

เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โปรเจ็กต์ร่วมทุน เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโด กับ มิตซูบิชิ เอสเตท

เอพี ไทยแลนด์ พร้อมเผยโฉม THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโดมิหนึ่งเดียว ภายใต้การร่วมทุนกับ มิตซูบิชิ เอสเตท ชูจุดเด่น เพียง 150 เมตร จากสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี กับคอนเซ็ปต์ Create Your Own Etiquette - วิถีแห่งที่สุดของชีวิตสุนทรียะในแบบคุณ กับ 3 วิธีคิดในการออกแบบที่รังสรรค์จากความเข้าใจชีวิตเหนือระดับใจกลางเมือง   นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” เพรสทีจ-ลักซ์ ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ THE ADDRESS โครงการเดียวที่พัฒนา ภายใต้การร่วมทุนกับทางบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (บริษัทในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป)  มูลค่าโครงการ 8,600 ล้านบาท  อยู่ห่างเพียง 150 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี ถือเป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ในพอร์ตสินค้าระดับเพรสทีจ–ลักซ์ที่บริษัทฯ ไม่ได้เปิดตัวมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งการเฟ้นหาที่ดินใจกลางเมือง ที่ตอบโจทย์ทั้งคุณค่าและมูลค่าถือเป็นคีย์สำคัญในการพัฒนาคอนโดมิเนียมแบรนด์ THE ADDRESS โดยโครงการ THE ADDRESS สยาม–ราชเทวี พัฒนาขึ้นจากความเข้าใจถึงการใช้ชีวิตคุณภาพทุกองค์ประกอบ พร้อมส่งมอบการพักอาศัยที่สมบูรณ์ หนึ่งเดียวบนทำเลมากมูลค่า ในย่านสยามเชื่อมต่อราชเทวี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Create Your Own Etiquette - วิถีแห่งที่สุดของชีวิตสุนทรียะในแบบคุณ” กับ 3 วิธีคิดในการออกแบบที่รังสรรค์จากความเข้าใจชีวิตเหนือระดับใจกลางเมือง ได้แก่ 3 วิธีคิดปั้น “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” 1.SOPHISTICATION DESIGN ตั้งใจออกแบบตั้งแต่ภายนอก จนถึงพื้นที่ภายในทุกมิติ ด้วยการออกแบบพื้นที่ภายในห้องพักแบบพิเศษให้มีส่วน Cantilever ที่ยื่นออกมาเพื่อเปิดมุมมองได้กว้างกว่าเดิม รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 4 ไร่ สู่การรับวิวสวยของทัศนียภาพใจกลางทำเลราชเทวีได้ถึง 360 องศาจาก The Sky Facilities ชั้น 50 เพิ่มสุนทรียะแห่งการใช้ชีวิตในอาคารที่สูงที่สุดในราชเทวี ที่ให้ความรู้สึกที่พิเศษ 2.BEST QUALITY & FINEST MATERIALS วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในโครงการ ได้รับการเลือกเฟ้นจากผู้ผลิต และแหล่งที่ดีที่สุดจากทั่วโลก สะท้อนความประณีตในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น หินอ่อน Palissandro Bluette และ หินอ่อน Venice Grey ที่มีลวดลายสวยงามหรูหรา เพิ่มความพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ในพื้นที่ส่วนกลางแต่ละแห่ง  รวมถึงหิน Limestone  หินสีขาวที่มีความพิเศษ โดยนำมากรุส่วน Façade ด้านหน้าของตึก   นอกจากนี้ ยังมีหินอ่อน Statuario (สตาตูอาริโอ้) เนื้อหินสีขาวแทรกด้วยเส้นแร่หนาบางสีเทาอ่อน ซึ่งเป็นหินที่โปรดปรานของเหล่าประติมากร ที่ถูกนำมาต่อเป็นลวดลายบุ๊คแมกซ์ขนาดใหญ่ในส่วนของ The Grande Chamber ล็อบบี้ต้อนรับ การเลือกใช้ผ้าบุจากแบรนด์ระดับโลก Hermès Furnishing Fabrics and Wallpapers สะท้อนความลักชัวรีที่มีเอกลักษณ์ นำมาใช้ในงานตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางในส่วน The Sky Chamber อาทิ ชุดเฟอร์นิเจอร์ Signature Arm Chair และผนังหลักของห้อง ที่พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่หรูหราเฉพาะตัวของผู้เป็นเจ้าของได้อย่างชัดเจน 3.PRECIOUS LOCATION ตั้งอยู่ในโลเคชันมากคุณค่าและมูลค่าใจกลางเมือง บนตำแหน่งที่ดินที่ดีที่สุดในย่านสยามเชื่อมต่อราชเทวี เพียง 150 เมตร จากสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี และไม่ไกลจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีพญาไท ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจสำคัญ ใจกลางย่านชอปปิง ไลฟ์สไตล์ และศูนย์กลางย่านสถานศึกษา โดยโครงการพร้อมเปิดให้ชมทุกพื้นที่อย่างเป็นทางการในวันที่ 26 - 27 สิงหาคมนี้  ดีไซน์เพื่อชีวิตระดับเพรสทีจ - ลักซ์ ลงทะเบียนนัดหมายล่วงหน้า รับส่วนลดสูงสุด 1,000,000 บาท 1 ห้องนอน 35 ตารางเมตร พร้อมพาโนรามิควิว ราคาเริ่มต้น 8.29 ล้านบาท   สำหรับข้อมูลโครงการ THE ADDRESS สยาม–ราชเทวี ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 3-1-55 ไร่  มูลค่าโครงการ 8,600 ล้านบาท ที่พักอาศัยสูง 50 ชั้น จำนวนเรสซิเดนส์ทั้งสิ้น 880 ยูนิต ประกอบด้วยห้องทั้งหมด 5 รูปแบบ ได้แก่ 1.ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 31 - 35 ตารางเมตร 2.ห้องชุด 1 ห้องนอน (ดูเพล็กซ์) ขนาด 50 ตารางเมตร 3.ห้องชุด 2 ห้องนอน ขนาด 51.5 - 69.5 ตารางเมตร 4.ห้องชุด 2 ห้องนอน (ดูเพล็กซ์) ขนาด 65 ตารางเมตร 5.ห้องชุด 3 ห้องนอน ขนาด 86 ตารางเมตร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตท 10 ปีกับผลงานชิ้นโบว์แดง 24 โครงการร่วมทุน มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท

1 2 3 ... 103