ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 2 3 4 ... 103
เสนา นำร่องแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เปิดตัว “เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู”

เสนา นำร่องแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เปิดตัว “เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู”

เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ชูแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เตรียมส่ง “เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู” ทาวน์โฮม ฟังก์ชันใหม่ ติดตั้งโซลาร์เซลล์ ช่วยประหยัดค่าไฟสูงสุด 25 ปี พร้อมแนวคิด geo fit+ จากญี่ปุ่นที่นำมาปรับใช้ให้เหมาะกับการอยู่อาศัยของคนไทย และนวัตกรรมประหยัดพลังงาน มุ่งสู่การสร้างบ้านพลังงานเป็นศูนย์ ลดค่าไฟ ลดคาร์บอน     ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวคิดบ้านพลังงานเป็น 0 รายแรกของประเทศไทย เปิดเผยว่า เสนามุ่งมั่นในการนำพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวคิด “The Essential Lifelong Trusted Partner” เพื่อสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีให้ลูกค้าในทุกช่วงชีวิต ควบคู่ไปกับการดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ส่วนหนึ่งของแนวคิดนี้สะท้อนผ่านการเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง ที่จะมุ่งสู่การสร้างสังคมแบบ Decarbonized Lifestyle   โดยในส่วนโครงการแนบราบ เสนาพัฒนาบนแนวคิด “บ้านพลังงานเป็น 0” ที่คิดละเอียดและใส่ใจทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง และสุขภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงการติดตั้งโซลาร์รูฟ เพื่อผลิตพลังงานสะอาดใช้เอง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมามีงานวิจัยร่วมกับ Chula Unisearch เพื่อทำการศึกษาทดลองบ้านพลังงานเป็น 0 ที่เหมาะสำหรับประเทศไทย และผลการวิจัยพบว่าบ้านขนาดใหญ่ของเสนา สามารถลดการใช้พลังงานได้สูงสุดถึง 38% ล่าสุดเตรียมเปิดโครงการ “เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู” พัฒนาบนแนวคิด “บ้านพลังงานเป็น 0” พร้อมนำแนวคิด “SMART CITY” ไม่ว่าจะเป็น Smart Energy, Smart Mobility, Smart Living ,Smart Environment เป็นต้น มาปรับใช้ในโครงการเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ง่าย ๆ ผ่านการอยู่อาศัยภายในบ้าน   โครงการประกอบด้วย ทาวน์โฮมอิสระ 2 ชั้น และบ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 170 ยูนิต แบ่งเป็น ทาวน์โฮมอิสระ จำนวน 156 ยูนิต ที่ดินเริ่มต้น 27 ตร.วา 4 ห้องนอน 1 ห้องอเนกประสงค์ 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และบ้านแฝด จำนวน 14 ยูนิต ที่ดินเริ่มต้น 36 ตร.วา 4 ห้องนอน 1 ห้องครัว 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้กว้างเทียบเท่าบ้านเดี่ยว และมีพื้นที่สีเขียว  พร้อมด้วยนวัตกรรมโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน ช่วยประหยัดค่าไฟสูงสุดตลอดอายุการใช้งาน 25 ปี พื้นที่ส่วนกลาง สระว่ายน้ำระบบเกลือ คลับเฮ้าส์บริเวณกลางโครงการ ฟิสเนต สวนย่อมส่วนกลาง ระบบกล้อง CCTV พร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ราคาเริ่มต้นที่ 4.59 ล้านบาท   นอกจากนี้ โครงการยังถูก​ออกแบบด้วยแนวคิด geo fit+ (จีโอฟิต พลัส) จากพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่น เน้นการออกแบบและตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัย 3 ด้าน ได้แก่ geo fit+ itsumo เปลี่ยนช่วงเวลาธรรมดาให้แสนพิเศษ geo fit+ tsunagu การสร้างความยั่งยืนในอนาคต และ geo fit+ mamoru ใส่ใจคนที่คุณรักในทุกมิติของการใช้ชีวิต ที่มุ่งเน้นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด #ที่เยอะจะทำอะไรก็ได้ ใส่ใจต่อผู้อยู่อาศัย สะท้อนความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัย เพื่อนำมาปรับปรุง ออกแบบพัฒนาในทุกมิติ รองรับครอบครัวใหญ่ ครอบครัวขยาย ด้วยราคาที่คุ้มค่า โครงการตั้งอยู่บนทำเล ต.บางปูใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ เดินทางสะดวก มีรถสาธารณะผ่าน ติดถนนสุขุมวิท-บางปู อยู่ใกล้แหล่งชุมชนและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล และห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกสบาย และความปลอดภัยให้กับคุณและทุกคนในครอบครัว ซึ่งบริษัทได้เตรียมจัดงานพรีเซลล์ครั้งแรก วันที่ 26 – 27 กรกฎาคม 2566  นี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาฯ เปิดโมเดล​ บ้านพลังงานเป็นศูนย์ เดินหน้าสู่บริษัท ด้านความยั่งยืน
เพอร์เฟค สรุปผลงานครึ่งปีแรกปรับตัวดีทุกพอร์ต ลุยเปิด 9 โครงการใหม่ ดันรายปีกลุ่มบริษัท​ 13,000 ล้าน​   

เพอร์เฟค สรุปผลงานครึ่งปีแรกปรับตัวดีทุกพอร์ต ลุยเปิด 9 โครงการใหม่ ดันรายปีกลุ่มบริษัท​ 13,000 ล้าน​  

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค สรุปผลงานครึ่งปีแรก ปรับตัวดีขึ้นทุกพอร์ต รายได้เติบโต 17.2% กำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 35.7% ครึ่งปีหลังแนวโน้มเติบโตกว่าครึ่งปีแรก ลุยเปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่า 13,250 ล้านบาท หนุนรายได้รวมทั้งปีให้อยู่ที่ 13,000 ล้านบาท ด้านธุรกิจโรงแรมยอดจองคึกคักจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพ ช่วง 6 เดือนแรกมีอัตราเข้าพักสูง 70%   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในครึ่งปี 2566 ปรับตัวดีขึ้น มีการฟื้นตัวในทุกหมวดธุรกิจ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 4,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  โดยเป็นผลจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโต 0.3% ธุรกิจโรงแรมซึ่งเติบโต 125.2%  จากธุรกิจให้เช่าและบริการอีก 56.0% ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้น ปรับตัวแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 35.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 25.5% โดยครึ่งปีแรกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีกำไรขั้นต้น 33.3% เทียบกับปีก่อนที่ 29.4%  ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวอย่างชัดเจนที่ระดับ 48.2% เทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อนที่ 6.3% และธุรกิจให้เช่าและบริการ ทำได้ 9.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ติดลบ 1.1% อีกทั้งยังมีส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมทุนเข้ามาอย่างมีนัยยะ เป็นจำนวน 116 ล้านบาท เป็นบวกเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2565 ที่มีผลขาดทุนที่ 42 ล้านบาท   สำหรับรายได้จากการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 13,000 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 9,600 ล้านบาท ธุรกิจโรงแรม 2,850 ล้านบาท และธุรกิจเช่าและบริการ 550 ล้านบาท นอกจากนี้ยังจะมีรายได้จากโครงการร่วมทุนอีก 5,000 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังมีความพร้อมในการเปิดโครงการใหม่ได้อย่างเต็มที่ โดยจะเดินหน้าเปิด 9 โครงการ มูลค่ารวม 13,250 ล้านบาท ซึ่งยังคงเน้นตลาดแนวราบและกระจายในทุกเซกเม้นต์ ขณะเดียวกัน ยังเน้นทำการตลาดสินค้ากลุ่มลักซ์ชัวรี่ที่อยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ ซึ่งบริษัทมีโครงการบ้านหรู 6 โครงการในแบรนด์ “เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ” และ “เลค เลเจนด์” ที่สามารถรองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลใกล้โรงเรียนนานาชาติ ซึ่งมีดีมานด์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน  พร้อมกันนี้ยังมีการพัฒนาแบบบ้านรุ่นใหม่ในโครงการเดิม รวมทั้งมีแผนการตลาดและส่งเสริมการขายอย่างเข้มข้น   สำหรับธุรกิจโรงแรมของกลุ่มบริษัทมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพ ซึ่งมีอัตราเข้าพักเพิ่มสูงขึ้น โดย 6 เดือนแรกของปีนี้อัตราเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 70% เทียบกับปีก่อนที่อยู่ในระดับ 35% ขณะที่โรงแรมในต่างจังหวัดยังคงได้รับความนิยมจากคนไทยที่ท่องเที่ยวในประเทศ โดยอัตราเข้าพักเฉลี่ย 6 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 50% อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่ารายได้จากธุรกิจโรงแรมทั้งปีนี้ จะมากกว่าปีก่อนถึง 57% โดยเป็นผลพวงมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ส่วนหนึ่งของโครงการใหม่ ที่กำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในครึ่งปีหลัง     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟคลุยพัฒนา 6 โครงการบ้านหรู จับตลาดใกล้โรงเรียนนานาชาติ
[PR News] กลุ่มบริษัทรีโว่ เปิด “ไอเจ้นท์ พระราม 9” พรีเมียมทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น

[PR News] กลุ่มบริษัทรีโว่ เปิด “ไอเจ้นท์ พระราม 9” พรีเมียมทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น

กลุ่มบริษัทรีโว่ เปิด “ไอเจ้นท์ พระราม 9” พรีเมียมทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น  เริ่ม 4.99 ล้าน ต่อยอดความสำเร็จ โครงการ ไอเจ้นท์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม พัฒนาการ   นางสาวสุทธิสินี อยู่สวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รีโว ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กลุ่มบริษัท รีโว  ที่ร่วมทุนระหว่าง รีโวกรุ๊ป, บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ PREB และ เค.อาร์.ซี. เอ็นจิเนียริ่ง เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทประสบความสำเร็จอย่างดี จากการพัฒนาโครงการ ไอเจ้นท์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม พัฒนาการ จึงได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ “ไอเจ้นท์ พรีเมียมทาวน์โฮม พระราม 9” ทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น จำนวน 72 ยูนิต เรามีนโยบายที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจมากที่สุด จึงมีความมุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยให้ความสำคัญในเรื่องของนวัตกรรม และสิ่งแวดล้อมของที่อยู่อาศัยสำหรับชีวิตเมืองในปัจจุบัน นอกจากนี้ จากความต้องการของตลาดบ้านแนวราบ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง เป็นกลุ่มลูกค้าในตลาดระดับกลางถึงระดับบนที่มีกำลังซื้อ ประกอบกับพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนไปหลังเกิดการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อาทิ การทำงานที่บ้าน (Work from home) ทำให้มีความต้องการบ้านแนวราบมากกว่า บริษัทจึงเล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ เพราะมีพื้นที่ใช้สอยที่มา และมีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต   สำหรับโครงการ ไอเจ้นท์ พรีเมียมทาวน์โฮม พระราม 9  พรีเมียมทาวน์โฮม 3 ชั้น โครงการใหม่ บนทำเลใหม่ ย่านพระรามเก้า กับแบบบ้านที่ขายดีที่สุดเพียง 72 หลัง โดยมีจุดเด่นห้อง Master Bedroom ขนาดใหญ่ 3 ห้อง พร้อมห้องน้ำในตัวทุกห้อง และห้องอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย ด้วยฟังก์ชันและดีไซน์ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี มีความเป็นส่วนทุกพื้นที่ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ส่วนกลางที่ออกแบบในสไตล์ Mid Century ที่มีทั้งคลับเฮ้าส์, ลานนวดเท้าเพื่อสุขภาพ, ฟิตเนส, Co-Working Hall พร้อม Library Room และพื้นที่สีเขียว รองรับกิจกรรมการอยู่อาศัย นอกจากนี้ ทางโครงการยังมีระบบ Smart Life Security สร้างความอุ่นใจด้วยระบบแจ้งเตือน Triple Active Alert เพื่อความสุขและอุ่นใจของทุกคนในครอบครัว โครงการตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ใกล้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์สถานีบ้านทับช้าง ใกล้รถไฟฟ้า MRT สายสีเหลืองสถานีหัวหมาก อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อถนนหลักได้หลายเส้นทาง ทั้งถนนอ่อนนุช ถนนพัฒนาการ ถนนมอเตอร์เวย์ เชื่อมเข้าถนนพระราม 9 และทางด่วนศรีรัช   โครงการ​ไอเจ้นท์ พระราม 9 พร้อมเปิดจองทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น รอบพิเศษสำหรับคนพิเศษ VIPday วันที่ 19-20 สิงหาคมนี้  ด้วยบ้านโซนพิเศษในราคาเริ่มต้นที่ 4.99 ล้านบาท จองวันนี้ กู้ 100% พร้อมรับโปรโมชั่นฟรี เฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน เครื่องปรับอากาศ  Smart Home Gadget ค่าใช้จ่าย ณ วันโอน และพิเศษยิ่งขึ้น เมื่อลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลด 50,000 บาท อีกด้วย ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์พร้อมส่วนลดพิเศษได้ที่ https://www.eigen-rama9.com/ (เงื่อนไขต่าง ๆ เป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พรีบิลท์ ปั้นแบรนด์ “พรรณนา” ลุยตลาดบ้านลักชัวรี่ราคา 15 ล้านอัพ !!
เอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตท 10 ปีกับผลงานชิ้นโบว์แดง 24 โครงการร่วมทุน มูลค่ากว่า  1 แสนล้านบาท

เอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตท 10 ปีกับผลงานชิ้นโบว์แดง 24 โครงการร่วมทุน มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท

เอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตท เอพี ไทยแลนด์ และ มิตซูบิชิ เอสเตท แถลงความสำเร็จ  ของ 2 บริษัทชั้นนำผู้พัฒนาอสังหาฯ ในประเทศไทย และบริษัทพัฒนาอสังหาฯ เบอร์ต้นที่มากด้วยประสบการณ์ในอุตสาหกรรมยาวนานกว่า 130 ปีจากประเทศญี่ปุ่น เดินหน้าความร่วมมือในโอกาสครบรอบ 10 ปี ประกาศแผนโรดแมป “FROM STRENGTH TO STRENGTH” ขับเคลื่อนการร่วมทุนที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น สู่การเติบโตที่ไม่สิ้นสุด ด้วยเม็ดเงินลงทุนผ่านทุนจดทะเบียนบริษัทร่วมทุนที่มากถึง 12,619,408,010 บาท ขยายการลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทย รับการฟื้นตัวของตลาดคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าใจกลางเมืองที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง พร้อมผลักดันภารกิจเชื่อมต่อความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ มุ่งยกระดับคุณภาพการพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับกลาง - บน ในไทย   นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ในวาระครบรอบ 10 ปี ความสำเร็จการร่วมมือทางธุรกิจ ระหว่างมิตซูบิชิ เอสเตท และเอพี ไทยแลนด์ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับเอพี ไทยแลนด์ ตลอดจนยังถือเป็น Milestone สำคัญที่สะท้อนได้ถึงความเชื่อมั่นของพันธมิตร ต่อการทำงานของเอพี ไทยแลนด์ ความแข็งแกร่งทั้งนัยยะความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยของประเทศไทย ที่เทียบเคียงนานาประเทศ   ทั้งนี้ มิตซูบิชิ เอสเตท และเอพี ไทยแลนด์ ถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจรายแรกและรายเดียวที่มีโมเดลร่วมทุนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในไทย ภายใต้ชื่อ “บริษัท พรีเมี่ยม เรสซิเดนท์ จำกัด” สัดส่วนถือหุ้น 51:49  เพื่อทำหน้าที่เป็นบริษัทหลักในการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นระยะยาว ด้วยทุนจดทะเบียนมูลค่า ณ ปัจจุบันที่ 12,619,408,010 บาท (หนึ่งหมื่นสองพันหกร้อยสิบเก้าล้าน สี่แสนแปดพันสิบบาท)   เหนือสิ่งอื่นใด ความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้ยังได้มีส่วนร่วมสร้างคุณูปการให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ทั้งในมิติ ด้านเม็ดเงินลงทุน ที่ร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ก่อให้เกิดการจ้างงานกับคู่ค้ามากกว่า 100 บริษัท ที่อยู่ในระบบ Ecosystem ของอุตสาหกรรม การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งในมุมมองการดำเนินธุรกิจและคืนกลับสู่สังคม ซึ่งถือเป็นเรื่องยากมากที่บริษัทร่วมทุนแบบระยะสั้นจะดำเนินการสร้างคุณูปการเช่นนี้มอบคืนให้กับสังคม     “มิตซูบิชิ เอสเตท มีความพิเศษไม่เพียงแต่ในแง่ของขนาดบริษัท และประสบการณ์ระดับโลกเท่านั้น แต่ยังมีผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกล ที่พร้อมสนับสนุนความก้าวหน้าของภาคอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยไปด้วยกัน อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญในการให้แรงบันดาลใจกับทีมเอพี ไทยแลนด์ สู่การสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัย ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อยกระดับให้สินค้าและบริการตอบโจทย์ชีวิตดีๆ ที่ลูกค้าเลือกเองได้” นายอนุพงษ์ กล่าวเสริม   นายอะซึชิ นากาจิมะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจในต่างประเทศของมิตซูบิชิ เอสเตทเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว จากการพัฒนาอสังหาฯ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ถึงวันนี้มิตซูบิชิ เอสเตทมีธุรกิจอสังหาฯ อยู่ในหลายประเทศและหลายภูมิภาค ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกาและเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศเอเชีย ซึ่งประเทศไทยนับเป็นฐานการลงทุนที่สำคัญ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีตลาดอสังหาฯ เติบโตอย่างมีศักยภาพ และเอื้ออำนวยต่อการลงทุนทำธุรกิจ รวมถึงการได้ร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งและยอดเยี่ยมอย่างเอพี ไทยแลนด์ ตลอดระยะเวลา 10 ปีความร่วมมือทางธุรกิจกับเอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตทได้พัฒนาความเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรและปรัชญาองค์กรซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง ช่วยให้มิตซูบิชิ เอสเตทสามารถแลกเปลี่ยน องค์ความรู้ และแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจผ่านมุมมองระยะยาว ซึ่งคงไม่สามารถเป็นไปได้ หากความร่วมมือของทั้งสองบริษัทเป็นความร่วมมือระยะสั้นจบเป็นรายโครงการ     ทั้งนี้ ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการทำงานร่วมกับเอพี ไทยแลนด์ ตลอดจน “ความเชื่อมั่น” ที่มิตซูบิชิ เอสเตทมีต่อเอพี ไทยแลนด์ ทั้งองค์ความรู้ที่ลึกซึ้งถึงแก่นในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ความใส่ใจในทุกกระบวนการทำงาน การวางแผนงานต่างๆ ของเอพี การได้ทำงานกับเอพี ไทยแลนด์ในฐานะบริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่เชี่ยวชาญเช่นเดียวกัน ทำให้มิตซูบิชิ เอสเตทได้เรียนรู้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เราทั้งสองบริษัทฯ ยังมีความมุ่งหมายตั้งใจที่จะสร้างคุณูปการให้กับธุรกิจร่วมทุนของเราและต่อสังคมไทย ด้วยการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญของเราในประเทศญี่ปุ่น ผ่านกิจกรรมต่างๆ ของเอพี ไทยแลนด์  และขณะนี้ ทั้งสองบริษัทฯ กำลังทำงานอย่างทุ่มเทในด้านการนำแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคนมาใช้เป็นหลักในการพัฒนาโครงการ   “มิตซูบิชิ เอสเตท มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่สามารถร่วมสร้างคุณูปการให้กับสังคมไทย ผ่านธุรกิจร่วมทุนกับพันธมิตรที่ดีและแข็งแกร่งอย่างเอพี ไทยแลนด์ และจะยังคงจับมือเดินหน้าร่วมกันไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบคุณค่าในฐานะบริษัทญี่ปุ่นให้กับสังคมไทยต่อไปในอนาคตข้างหน้าต่อจากนี้” ครบรอบหนึ่งทศวรรษความร่วมมือ เอพี ไทยแลนด์ - มิตซูบิชิ เอสเตท ได้พัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมทุน เจาะที่ดินแนวรถไฟฟ้าใจกลางกรุงเทพฯ ทั้งสิ้น 24 โปรเจกต์ มูลค่ารวมกว่า 116,300 ล้านบาท ทุกโครงการ มีผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทั้งมิติด้านการขายและโอนกรรมสิทธิ์ โดยสร้างผลงานปิดการขาย (Sold Out) ไปแล้วทั้งสิ้น 13 โครงการ คงเหลือโปรเจกต์ร่วมทุนที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและเปิดขาย 11 โครงการ (มูลค่ารวม 55,650 ล้านบาท) มียอดขายเฉลี่ยทุกโครงการรวมกันประมาณ 60% หรือคิดเป็นมูลค่าสินค้าพร้อมขายที่ 20,375 ล้านบาท    บทความน่าสนใจ เอพี ไทยแลนด์ ประกาศรายได้ครึ่งปีแรก 23,856 ล้าน เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ทั่วไทย เอพี ไทยแลนด์ เผยผลงานปี 65 ทำรายได้ 49,388 ล้าน พร้อมกวาดกำไรเติบโตกว่า 23% เอพี ไทยแลนด์ ขนบ้าน-คอนโด ขายกว่า 1.65 แสนล้าน ลุยตลาดด้วยแผน INCLUSIVE GROWTH
บริทาเนีย ใช้กลยุทธ์การร่วมทุนพันธมิตร ปั้นโปรเจ็กต์ 5 จังหวัด กว่า 8,700 ล้าน

บริทาเนีย ใช้กลยุทธ์การร่วมทุนพันธมิตร ปั้นโปรเจ็กต์ 5 จังหวัด กว่า 8,700 ล้าน

บริทาเนีย เสริมแกร่งธุรกิจเดินหน้ากลยุทธ์ร่วมทุนพันธมิตร ทั้งด้านการเงินและเจ้าของที่ดิน  พัฒนาบ้านจัดสรร 10 โครงการ กระจายตัวใน 5 จังหวัด มูลค่ากว่า 8,700 ล้าน ในไตรมาส 2 ทำรายได้ 1,554 ล้าน พร้อมกำไรสุทธิ 348 ล้าน ขณะที่บอร์ดเคาะจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.115 บาท  ส่วนครึ่งปีหลังโหมเปิด 16 โครงการใหม่ รวม 17,500 ล้าน  ช่วยหนุนยอดขาย-ยอดโอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่อง   นายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ผู้พัฒนาบ้านจัดสรรภายใต้แนวคิด “CRAFT a life you love” ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2/2566 ที่ผ่านมาบริษัทได้เดินหน้าร่วมทุน (Joint Venture หรือ JV) กับพันธมิตรด้านการเงินการลงทุน (Financial Partner) และพันธมิตรเจ้าของที่ดิน (Landlord) เพื่อพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม จำนวน 10 โครงการ กระจายตัวใน 5 จังหวัด อาทิ นนทบุรี นครปฐม ชลบุรี นครราชสีมา และอุบลราชธานี คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 8,700 ล้านบาท ครึ่งปีแรกของปี 2566 เป็นช่วงเวลาที่เราให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานเพื่อการเติบโตสู่อนาคต การจับมือกับเหล่าพันธมิตรหลากหลายกลุ่มพัฒนาโครงการ จะเป็นบันไดก้าวสำคัญให้เรามีที่ดินแปลงศักยภาพเข้ามาอยู่ในพอร์ตฟอลิโออย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะเปิดตัวโครงการใหม่อย่างก้าวกระโดดในช่วงหลังจากนี้ สำหรับช่วงไตรมาส 2/2566 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 1,554 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 348 ล้านบาท มีอัตรากำไรสุทธิ​ (Net Profit Margin หรือ NPM) อยู่ที่ราว 22% โดยโครงการสำคัญที่มีส่วนหนุนยอดโอนกรรมสิทธิ์ รายได้ และกำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าว ได้แก่ แกรนด์บริทาเนีย ราชพฤกษ์-พระราม 5 (Grand Britania Ratchaphruek-Rama 5) เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ พูลวิลล่า บางนา-พระราม 9 (Belgravia Exclusive Pool Villa Bangna-Rama 9) แกรนด์บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา (Grand Britania Wongwaen Ramintra) แกรนด์บริทาเนีย พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา (Grand Britania Rama 9-Krungthep Kreetha) และบริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ (Britania Bangna-Suvarnabhumi) ขณะเดียวกัน สามารถปิดการขาย (Sold Out) โครงการบริทาเนีย คูคต สเตชั่น (Britania Khukhot Station) ได้ ซึ่งถือเป็นอีกเครื่องตอกย้ำการได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง จนสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว   นายสุรินทร์ กล่าวอีกว่า จากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญจ่ายปันผลสำหรับกำไรสะสมและผลการดำเนินงานของบริษัทงวด 1 ม.ค.-30 มิ.ย.66 ในอัตรา 0.115 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินปันผลจ่ายเป็นเงินสดทั้งสิ้นไม่เกิน 98.1 ล้านบาท โดยขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่  25 สิงหาคม 2566 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 11 กันยายน 2566   สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 16 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 17,500 ล้านบาท กระจายตัวอยู่ใน 5 จังหวัด ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม 4 แบรนด์ แบ่งเป็น เบลกราเวีย (Belgravia) 2 โครงการ แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) 4 โครงการบริทาเนีย (Britania) 8 โครงการ และไบรตัน (Brighton) 2 โครงการ โดยถือเป็นการเปิดโครงการเพิ่มอย่างก้าวกระโดดในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกที่เปิดตัวเพียง 4 โครงการ   นอกจากนี้ เป็นเพราะช่วงครึ่งปีหลังถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และปัจจัยภายนอกด้านการเมืองและเศรษฐกิจน่าจะมีความชัดเจนขึ้น ซึ่งจะช่วยส่งผลผลักดันทั้งยอดขาย ยอดโอนกรรมสิทธิ์ และรายได้รวมของบริษัทให้สูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยจะนำร่องเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3/2566 ก่อนจำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 5,900 ล้านบาท ได้แก่ แกรนด์บริทาเนีย วงแหวน – ประชาอุทิศ (Grand Britania Wongwaen-Parchauthit) แกรนด์บริทาเนีย ทวีวัฒนา (Grand Britania Thawi Watthana) บริทาเนีย บางนา-เทพารักษ์ (Britania Bangna Thepharak)   ทั้งนี้ บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 2,260 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2566 นี้ เมื่อประกอบกับการเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง และแผนการตลาด การจัดแคมเปญเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพิ่มเติม เชื่อว่าจะช่วยสร้างยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ใหม่ และรักษาระดับการเติบโตของบริษัทอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนได้ สำหรับ BRI เป็นผู้พัฒนาบ้านจัดสรรภายใต้คอนเซปต์ CRAFT a life you love ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก พัฒนาทั้งบ้านเดี่ยว บ้านซีรีส์ใหม่ ทาวน์โฮม ครอบคลุมผู้บริโภคทุกเซ็กเมนท์ ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1.เบลกราเวีย (Belgravia) บ้านเดี่ยวลักชัวรี ระดับราคา 20-50 ล้านบาท 2.แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับ High-End ราคา 8-20 ล้านบาท 3.บริทาเนีย (Britania) บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับ Mid-end ราคา 4-8 ล้านบาท และ 4.ไบรตัน (Brighton) บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับเริ่มต้น (Entry) ราคา 2.5-4 ล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 พัฒนาโครงการมาแล้วทั้งสิ้น 34 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการสะสม 41,456 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -บริทาเนีย ผนึกเจ้าของ ม.เกษมบัณฑิต ปั้นโปรเจ็กต์ 34 ไร่ บนถนนร่มเกล้า -บริทาเนีย วางเป้า 3 ปี ติดTop 5 ตลาดบ้าน พร้อมลุยต่างจังหวัดจับคนระดับท็อป
แสนสิริ โชว์กำไรครึ่งปี 66 โตก้าวกระโดด 162%  ครึ่งปีหลัง เปิดโครงการใหม่ กว่า 56,700 ล้าน

แสนสิริ โชว์กำไรครึ่งปี 66 โตก้าวกระโดด 162% ครึ่งปีหลัง เปิดโครงการใหม่ กว่า 56,700 ล้าน

แสนสิริ ย้ำความแข็งแกร่งผู้นำอสังหาฯ โชว์ผลประกอบการครึ่งปีแรก 66 ด้วยกำไรสุทธิ 3,203 ล้าน โตก้าวกระโดดถึง 162% ขณะที่กวาดรายได้รวมครึ่งปี 18,493 ล้านบาท โต 42% และรายได้รวมไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 9,988 ล้านบาท โต 27% เผยผลงานมาจากแนวราบเติบโตทุกเซกเมนต์ และคอนโดพร้อมอยู่ได้รับการตอบรับดีและ นับเป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีของตลาดคอนโด รุกต่อครึ่งปีหลัง เปิด 39 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 56,700 ล้าน     นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ผลประกอบการรอบ 6 เดือน ปี 2566 แสนสิริมีกำไรสุทธิ 3,203 ล้านบาท เติบโต 162% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ เฉพาะไตรมาสที่ 2/2566 อยู่ที่ 1,621 ล้านบาท เติบโตขึ้น 77% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา อัตรากำไรสุทธิรอบ 6 เดือนสูงถึง 17.3% ของรายได้รวม ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากจากอัตรากำไรสุทธิ 9.3% ของรายได้รวมจากช่วงเดียวกันของปีก่อน   ขณะที่รายได้รวมรอบ 6 เดือน อยู่ที่ 18,493 ล้านบาท เติบโต 42% จากรอบ 6 เดือนของปีก่อน แบ่งเป็นรายได้รวมในช่วงไตรมาสแรก 8,505 ล้านบาท และรายได้รวมไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 9,988 ล้านบาท เติบโต 27% เป็นผลมาจากรายได้จากการขายโครงการที่เติบโตในทุกกลุ่มที่อยู่อาศัย อาทิ นาราสิริ พหล – วัชรพล บ้านเดี่ยวระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี และ เศรษฐสิริ ดอนเมือง โดยแบรนด์ “เศรษฐสิริ” ในปีนี้มีการพัฒนา 10 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 21,900 ล้านบาท  รวมถึงแบรนด์สราญสิริ โครงการสราญสิริ ราชพฤกษ์ – 345 ระดับราคา 5 – 10 ล้านบาท ที่กลุ่มลูกค้าให้การตอบรับที่ดีเช่นกัน นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในรอบครึ่งปี ยังมาจากโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ที่ได้รับการตอบรับที่ดี และเป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีของตลาดคอนโด โดยคอนโดพร้อมอยู่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในทุกเซกเมนต์เช่นเดียวกัน อาทิ โครงการเอ็กซ์ที พญาไท, เอ็กซ์ที ห้วยขวาง, โอกะ เฮาส์, เดอะ เบส เพชรบุรี – ทองหล่อ, ดีคอนโด พนา และ เดอะ มูฟ บางนา เป็นต้น   แสนสิริยังสร้างยอดขายรวมไปได้ถึง 27,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 50% จากเป้าหมายยอดขาย 55,000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีหลัง แสนสิริยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 39 โครงการ มูลค่ารวม 56,700 ล้านบาท ไฮไลท์โครงการที่เตรียมเปิดตัวในไตรมาส 3 อาทิ “บูก้าน พัฒนาการ” บ้านเดี่ยวรูปแบบ Luxury Private Villa จำนวน 17 ยูนิต ราคา 65 - 115 ล้านบาท* เตรียมเปิดตัวในช่วงปลายเดือนกันยายน และการเปิดตัว New Luxury Condominium หนึ่งในโครงการไฮไลท์ของแสนสิริในปีนี้ ทำเล “ราชเทวี” เตรียมเปิดตัวเดือนสิงหาคมนี้ แสนสิริยังมุ่งเดินหน้าสร้างรายได้และผลกำไร เพื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกส่วนรวมถึงผู้ถือหุ้น โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล (Interim dividend) จากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2566 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 สิงหาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 12 กันยายน 2566 นี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แสนสิริ ตุนยอดโอน 4 เดือนแรก โต 28% กวาดรายได้แล้ว 9,200 ล้าน  -แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด
เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ประกาศรายได้การให้บริการ-โรงแรมโตรับท่องเที่ยวฟื้นตัว ชูดิจิทัล-กลยุทธ์บริหาร RevPar สู่เป้ากว่า 10,000 ล้าน

เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ประกาศรายได้การให้บริการ-โรงแรมโตรับท่องเที่ยวฟื้นตัว ชูดิจิทัล-กลยุทธ์บริหาร RevPar สู่เป้ากว่า 10,000 ล้าน

เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรกปี 2566 รายได้จากการให้บริการโต 28%  ที่ 4,821 ล้าน ขณะที่ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัว รับทั่วโลกเปิดประเทศ เฉพาะตลาดไทยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่ม 76% ส่วน ADR เพิ่มขึ้นถึง 72% เฉลี่ยอยู่ที่ 8,431 บาท พร้อมเดินหน้าใช้เทคโนโลยีดิจิทัลรองรับพฤติกรรมลูกค้า ดันเป้าหมาย 10,000 ล้าน   นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR  บริษัทในเครือสิงห์ เอสเตท เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีรายงานรายได้จากการให้บริการที่ 4,821 ล้านบาท เติบโตขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมรายงานกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำจากการดำเนินงานปกติ (Adjusted EBITDA) ที่ 1,112 ล้านบาทพุ่งขึ้น 74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน   ผลประกอบการที่เติบโตขึ้น เกิดจากอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (Occupancy Rate) ของทั้งพอร์ตโฟลิโอ ที่สูงขึ้นจาก 54% ในครึ่งปีแรกของปี 2565 เป็น 69% ในครึ่งปีแรกของปีนี้ และอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ที่ปรับตัวขึ้นถึง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ธุรกิจรร.ฟื้นตัว รับทั่วโลกเปิดประเทศ ส่วนผลประกอบการของกลุ่มโรงแรมในประเทศไทย ฟื้นตัวเข้าใกล้สภาวะปกติของการท่องเที่ยว ภายหลังทั่วโลกเปิดประเทศเต็มรูปแบบได้อย่างชัดเจน สะท้อนจากอัตราการเข้าพักเฉลี่ย ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายนที่ระดับ 76% ซึ่งสูงกว่าของปี 2565 ที่ 48% จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเพิ่มขึ้น ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เลือกจุดหมายปลายทางเป็นชายหาดในประเทศไทย ขณะที่ในครึ่งปีแรกของปี 2566 ADR เฉลี่ยอยู่ที่ 8,431 บาท เพิ่มขึ้นถึง 72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน การทำการตลาดที่มุ่งเป้าเจาะจงในแต่ละพื้นที่ ประกอบกับช่องทางการขายที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้โรงแรมของ SHR เป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ของนักเดินทางหลายคน นับเป็นปัจจัยที่หนุนขีดความสามารถในการผลักดัน ADR ให้เติบโตได้อีกด้วย ปัจจัยท้าทายทางเศรษฐกิจของภูมิภาคยุโรปในปัจจุบัน ส่งผลต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเห็นได้จากการที่ชาวยุโรป เลือกที่จะท่องเที่ยวภายในประเทศหรือภูมิภาคมากขึ้น ปัจจัยดังกล่าว ทำให้โรงแรมของ SHR ในสหราชอาณาจักร ยังรักษาโมเมนตัมเชิงบวกไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากฐานลูกค้าหลักประมาณ 90% เป็นนักท่องเที่ยวจากในประเทศ ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มสูงถึง 70% ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายนของปี 2566 เมื่อเทียบกับ 54% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อุปสงค์ของโรงแรมในสหราชอาณาจักรยังเป็นที่น่าพอใจ   ทั้งนี้ เกิดจากการปรับตัวให้สอดรับกับความต้องการในตลาด และการปรับปรุงห้องพักอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น ADR เฉลี่ยในครึ่งปีแรกของปี 2566 ปรับตัวสูงขึ้น 10% โดยอยู่ที่ 83 ปอนด์ท่ามกลางความระมัดระวังในการใช้จ่ายสำหรับสินค้าฟุ่มเพือยของลูกค้าที่เป็นผลมาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นพอร์ตโฟลิโอของสหราชอาณาจักรยังมีอัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA margin) ทั้งในไตรมาส 2 และรอบครึ่งปีแรกของปีนี้เติบโตขึ้นจากงวดเดียวกันในปีก่อนจากการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพขึ้น   อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าทั้งอัตราการเข้าพักเฉลี่ยและ ADR จะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 3 สอดคล้องกับปริมาณการจองล่วงหน้าในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว สะท้อนความเชื่อมั่นในการเดินทางทั้งในและต่างประเทศของภาคธุรกิจและภาคการท่องเที่ยว ปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อเนื่องมายังผลประกอบการของโรงแรมในโครงการครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ (CROSSROADS Maldives) ซึ่งมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย ในไตรมาส 1 ปีนี้ ที่ไต่ระดับสูงถึงกว่า 87% สำหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอ่อนตัวลงในไตรมาส 2 ของปีนี้เมื่อเข้าสู่ช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวซึ่งเป็นผลมาจากนักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่เดินทางระหว่างภูมิภาคน้อยลง ผนวกกับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนที่ช้ากว่าคาด ส่งผลให้ภาพรวมของอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในครึ่งปีแรกไม่แตกต่างจากช่วงเดียวกันในปีก่อนมากนัก ทั้งนี้ SHR มองภาพครึ่งปีหลังของมัลดีฟส์ว่าจะค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2565 และอัตราการเข้าพักเฉลี่ยยังมีความอ่อนไหวจากการเปิดประเทศในหลายพื้นที่ทั่วโลกซึ่งกระตุ้นการกระจายตัวไปสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ของนักท่องเที่ยว   โรงแรมในมอริเชียสได้ปิดตัวชั่วคราวเพื่อปรับปรุงระบบบริหารน้ำอย่างเต็มรูปแบบและจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในไตรมาส 4 ปีนี้ ทั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างจำกัดต่อผลการดำเนินงานโดยรวมของ SHR ในปีนี้เนื่องจากรายได้จากการให้บริการของโรงแรมในมอริเชียสคิดเป็นเพียง 3% ของรายได้ทั้งหมด ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขทางสถิติที่โดดเด่นของกลุ่มโรงแรมในประเทศไทยและสหราชอาณาจักร แสดงถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โรงแรมในภูมิภาคอื่น ๆ ทั้งในมัลดีฟส์และฟิจิก็มีแนวโน้มสดใส โดยฐานลูกค้าในฟิจินอกเหนือจากกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์แล้ว เราเห็นตลาดใหม่ที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวจากทวีปอเมริกาเหนือโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวแคนาดา ทำให้มั่นใจได้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะแข็งแกร่งได้ต่อเนื่องโดยได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ โรงแรม แคสอะเวย์ ไอส์แลนด์ที่ฟิจิมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเกินกว่า 93% ในไตรมาส 2   ในขณะที่โรงแรมในโครงการครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ มีผลการดำเนินงานที่มั่นคงอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังส่งสัญญาณบวกในเกือบทุกพื้นที่ที่โรงแรมของบริษัทฯ ตั้งอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจการบินฟื้นตัวได้ดีด้วยการประกาศเพิ่มเที่ยวบินพร้อมการเปิดเส้นทางบินใหม่ในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารได้มากยิ่งขึ้นหนุนการเติบโตของภาคการให้บริการเพิ่มอีกทางหนึ่ง SHR ใช้ดิจิทัลดันเป้า 10,000 ล้าน​​ SHR เดินหน้าพัฒนาและนำเทคโนโลยีดิจิทัลบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ มาใช้เพื่อให้สอดรับกับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในตลาด สิ่งเหล่านี้ประกอบกับความมุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารพอร์ตโฟลิโอโดยใช้กลยุทธ์บริหาร RevPar ที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการปรับปรุงห้องพักในหลายโรงแรมทั้งในประเทศไทย ฟิจิ และสหราชอาณาจักร โดยพร้อมเปิดให้บริการห้องพักรูปแบบใหม่ในปลายปี 2566 ผนวกกับมาตราการคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการบรรลุเป้าหมายรายได้ที่เกินกว่า 10,000 ล้านบาทให้ได้สำเร็จ เราจะพยายามให้ถึงที่สุดเพื่อผลักดันผลการดำเนินงานให้ถึงเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความมั่งคั่งให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกคนของบริษัทฯ ในปี 2566 นี้   SHR มีความพร้อมในการเผชิญต่อความท้าทายต่าง ๆ โดยมีสถานะทางการเงินอันแข็งแกร่งด้วยการรักษาระดับหนี้สินให้ต่ำอยู่เสมอและการจัดการด้านเงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ บริษัท ทริสเรทติ้งได้ประเมินระดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของ SHR ที่ระดับ BBB+ ระดับความน่าเชื่อถือนี้จะเพิ่มขีดความสามารถของ SHR ในการลดต้นทุนทางการเงินโดยรวม ในปัจจุบันการออกหุ้นกู้กำลังดำเนินไปตามแผนที่วางไว้ และ SHR พร้อมขับเคลื่อนสู่การเติบโตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น   ท้ายที่สุด SHR มุ่งเน้นที่การเติบโตแบบยั่งยืนเป็นหัวใจหลักในการดำเนินงาน โดยโรงแรม 5 แห่ง และ เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ ได้รับมาตรฐาน Green Globe สะท้อนถึงการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และแขกที่มาพักว่า การดำเนินงานในโรงแรมของ SHR ได้มาตรฐานตามหลักสากลและสามารถตอบรับต่อความคาดหวังของผู้ที่มาเข้าพักได้ โดยในปี 2566 SHR ได้เริ่มวางแผนเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutral company) ภายในปี 2573  เพิ่มกิจกรรมต่างๆที่ให้ความสำคัญต่อการรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากสภาวะโลกร้อน พร้อมอนุรักษ์ธรรมชาติอันสวยงามส่งต่อให้กับนักท่องเที่ยวรุ่นต่อไป กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่าง SHR และชุมชน แต่ยังเป็นการสร้างสถานะที่แตกต่างโดยเป็นโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์จากที่ต่าง ๆ ทั่วโลกอีกด้วย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -สิงห์ เอสเตท รุกตลาดบ้าน Ultra Luxury ปักหมุด SMYTH’S Ramintra เริ่ม 120 ล้าน -เอสโฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กางแผนธุรกิจปี 66 ชู 3 กลยุทธ์สู่รายได้หมื่นล้าน
โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ โชว์ครึ่งปีแรกโกยกำไร 990% ครึ่งปีหลังลุยเปิด 6 โครงการ

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ โชว์ครึ่งปีแรกโกยกำไร 990% ครึ่งปีหลังลุยเปิด 6 โครงการ

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์  ประกาศผลงานครึ่งปีแรกของปี 66 กวาดรายได้รวม 4,478 ล้านบาท เติบโต 76% และกำไรสุทธิทะยาน 184 ล้านบาท เติบโต 990%  ประกาศเดินหน้าลุยเปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 17,900 ล้านบาทในครึ่งปีหลังนี้ พร้อมแจกข่าวดีจ่อปันผลระหว่างกาล 0.081 บาทต่อหุ้น เตรียม XD 24 สิงหาคม 2566 นี้ ส่งซิก Q3/66 นี้ จ่อบุ๊กกำไรพิเศษขายเงินลงทุนใน 2 โครงการร่วมทุนให้กับ PROUD   นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการเดินหน้าธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 สวนกระแสความท้าทายจากการฟื้นตัว ของสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ ที่ทยอยฟื้นตัวตามลำดับ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีรายได้รวมที่ 4,478 ล้านบาท เติบโต 76% และกำไรสุทธิอยู่ที่ 184 ล้านบาท เติบโต 990% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน   แม้ว่าบริษัทจะไม่มีโครงการคอนโดมิเนียม ที่สร้างเสร็จพร้อมโอนในครึ่งปีแรกของปี 2566 แต่บริษัทยังคงรักษาการเติบโตของผลประกอบการไว้ได้ดี  โดยโครงการที่รับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีแรก ที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นหลัก ๆ มาจากการส่งมอบโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) อาทิ โครงการโนเบิล บี19 สุขุมวิท โครงการโนเบิล สเตท สุขุมวิท 39 โครงการนิว โนเบิล ศรีนครินทร์–ลาซาล โครงการโนเบิล อราวน์ อารีย์ โครงการนิว โนเบิล งามวงศ์วาน และโครงการนิว โคฟ นอร์ธ ราชพฤกษ์ เป็นต้น สำหรับยอดขาย (Pre-sale) ในไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 4,040 ล้านบาท และยอดขายช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านมา อยู่ที่ 9,706 ล้านบาท  (รวมโครงการ นิว ดิสทริค อาร์ 9 และโครงการ นิว ครอส คูคต สเตชัน ซึ่งทางบริษัทยังคงเป็นผู้บริหารโครงการในบทบาทเดิม) โดยยอดขาย 7 เดือนแรกของปี 2566 มาจากโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่เป็นจำนวน 2,808 ล้านบาท และโครงการเปิดใหม่และอยู่ระหว่างการก่อสร้างเป็นจำนวน 6,898 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2566  รวมมูลค่า 17,940 ล้านบาท (ไม่รวมโครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 และโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน ) ซึ่งจะทยอยรับรู้ใน 2-3 ปีข้างหน้า   ช่วงไตรมาส 2​ บริษัทเริ่มมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงธุรกิจตัวแทนและนายหน้าและบริการหลังการขายภายใต้บริษัท เซิร์ฟ โซลูชั่น จำกัด ซึ่งธุรกิจดังกล่าวถือเป็นการต่อยอดจากธุรกิจหลัก และเป็นผู้ให้บริการหลังการขายครบวงจรเต็มรูปแบบ ทั้งบริการการฝากขาย-ปล่อยเช่า บริหารนิติบุคคล บริการจัดหาเฟอร์นิเจอร์ ทำให้มีการรับรู้รายได้ประจำอย่างต่อและเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้     นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมาได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกประจำปี 2566 จำนวน 0.081 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 111 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) ที่ 60.1% โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 และคาดว่าจะทำการจ่ายเงินปันผลภายในต้นกันยายนนี้   สำหรับสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมองเชิงบวก อย่างต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของตลาดทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งเห็นการฟื้นตัวของตลาดอย่างชัดเจน ตั้งแต่ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าลูกค้าต่างชาติจากประเทศจีนจะยังเข้ามาได้ไม่เต็มที่ก็ตาม แต่บริษัทได้มีการปรับพอร์ตกระจายฐานลูกค้าต่างชาติให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง และเมียนมาร์ เป็นต้น และยอมรับว่าพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าชาวต่างชาติในปัจจุบันเปลี่ยนไป โดยจะเน้นซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองมากขึ้น แต่ก็ยังมีกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน   โดยปี 2566 บริษัทได้มีการปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงเหลือ  9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า22,200 ล้านบาท จากแผนเดิมที่จะเปิดตัวจำนวน 10 โครงการ มูลค่ารวม 23,300 ล้านบาท ซึ่งในครึ่งปีหลังนี้เตรียมเปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 17,900 ล้านบาท โดยเริ่มจากโครงการโนเบิล เทอร์รา พระราม 9-เอกมัย เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับ High-End  และโครงการ โนเบิล เอควา ริเวอร์ฟร้อนท์ ราษฎร์บูรณะ เป็นโครงการทาวน์โฮมระดับ High-End ติดแม่น้ำเจ้าพระยา คาดว่าจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนนี้ นอกจากนี้ ยังมีโครงการคอนโดมิเนียนมขนาดใหญ่ที่ร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ บนถนนวิทยุ อีก 1 โครงการด้วย   นายธงชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทได้บรรลุข้อตกลงกระบวนการขายเงินลงทุนและโอนหุ้นดีล 2 โครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 และโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน ให้กับ PROUD เป็นอันเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยได้รับกระแสเงินสดกว่า 1,400 ล้านบาทเข้าบริษัททันที พร้อมบันทึกเป็นกําไรพิเศษในไตรมาส 3/2566 นี้ ช่วยเสริมผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทให้แข็งแกร่งขึ้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -บอร์ด โนเบิล ขาย 2 เงินลงทุนใน 2 โครงการ 867.57 ล้าน ให้ พราว เรียล เอสเตท
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ MAJOR Pet Family Residences ผู้นำที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้ 100% ทุกโครงการ

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ MAJOR Pet Family Residences ผู้นำที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้ 100% ทุกโครงการ

บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  ผู้นำคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ ต่อยอดแนวคิด Major Petscape สู่การยกระดับมาตรฐานการพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ร่วมกันของคนและสัตว์เลี้ยง ผนึกพันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 60 แบรนด์ ดีไซน์พื้นที่ทั้งภายในและภายนอกโครงการให้เป็นมิตรต่อคนและสัตว์เลี้ยง เน้นย้ำเรื่อง Non-Toxic และ Zero VOCs พร้อมมอบ สิทธิพิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยง ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับการสร้างชุมชนคนรักสัตว์ พร้อมบัญญัติคำนิยามใหม่ “MAJOR Pet Family Residences” ครั้งแรกและแบรนด์แรกที่ให้คุณและสัตว์เลี้ยงได้ใช้ชีวิตและเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยร่วมกันอย่างเท่าเทียม ภายใต้พันธสัญญา “สัญญา ว่าจะดูแลกันตลอดไป” คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในมิติของแบรนด์ที่มุ่งมั่นสู่การเป็น LifeScape Developer ที่ไม่ใช่แค่การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตที่เข้าใจและครอบคลุมในทุกบริบท เพื่อสร้างคุณค่าในการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน พร้อมได้เชื่อมโยงความใส่ใจทุกรายละเอียดของมาตรฐานของที่อยู่อาศัยแบบ MAJOR Craft & Quality สู่ไลฟ์สไตล์อย่าง Pet Humanization กับจุดยืนของแบรนด์ที่แตกต่างในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทุกโครงการ ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมระดับคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยร่วมกับสัตว์เลี้ยงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยมุมมองที่เท่าเทียม เพราะ “สัตว์เลี้ยง คือ สมาชิกสำคัญในครอบครัวที่ไม่ควรถูกแบ่งแยก” ทั้งนี้ เมเจอร์ฯ ถือเป็นผู้บุกเบิก และผู้นำที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้โดยลงมือทำอย่างจริงจังมานานกว่า 20 ปี จากจุดเริ่มต้นสู่การสร้างสรรค์ Major Petscape แนวคิดที่ออกแบบเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการอาศัยร่วมกันของคนและสัตว์เลี้ยง บน 4 มิติหลัก ได้แก่ Petscape Guide ข้อปฏิบัติในการอยู่อาศัยร่วมกัน Petscape Design ความมุ่งมั่นในการออกแบบ และเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง Petscape Privilege สิทธิพิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยง รวมถึงการสร้างชุมชนคนรักสัตว์ Petscape Community”   “ข้อมูลการศึกษาวิจัยจาก Euromonitor และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยงโต สวนกระแส Covid-19 โดยคาดว่าในปี 2569 ตลาดสัตว์เลี้ยงของโลกเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.2% (CARG - Compound Annual Growth Rate) โดยเฉพาะตลาดภาคพื้นเอเชีย เช่นเดียวกับมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยจะเติบโตจากปี พ.ศ. 2564 ปีละ 8.4% (CARG) มาอยู่ที่ 66,748 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2569 นอกจากนี้ข้อมูลการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณของวิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล หรือ CMMU จากกลุ่มตัวอย่าง 1,046 คน พบว่า 80.7% ของผู้ที่เลี้ยงสัตว์ มีสถานะโสด ขณะที่ 19.3 มีสถานะสมรสแล้ว โดย 18% ของกลุ่มตัวอย่างบอกว่าเลี้ยงสัตว์เพื่อช่วยเหลือ และช่วยบำบัดรักษา (Pet Healing) เนื่องจากสัตว์เลี้ยงบำบัดมีประโยชน์ อาทิ เพิ่มความสุข เพราะช่วยเพิ่มระดับสาร Oxytocin ได้ 20% และทำให้สภาพจิตดี ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดความดันโลหิต รวมถึงช่วยเยียวยาจิตใจหรือร่างกาย”   คุณเพชรลดา กล่าวต่อไปว่า “คำจำกัดความของ ‘MAJOR Pet Family Residences’ จะถูกสะท้อนให้เห็นเป็นรูปธรรมในทุกมิติตั้งแต่การวางรูปแบบการดีไซน์ Petscape Design เพื่อที่จะขยายพื้นที่ความสุขร่วมกันของคนและสัตว์เลี้ยงในแต่ละโครงการ ยกตัวอย่าง โครงการ เมทริส ดิสทริค ลาดพร้าว คอนโดมิเนียม (Metris District Ladprao Condominium) ที่ได้รับการออกแบบดีไซน์เน้นเรื่อง Craft & Quality ควบคู่กับ Pet-Friendly และด้วยความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีความชื่นชอบที่หลากหลาย และทลายข้อจำกัดของประเภทสัตว์เลี้ยงตามความชื่นชอบที่แตกต่างจึงดีไซน์พื้นที่ส่วนกลางใหม่ๆ อาทิ Multi-Pet Playroom พื้นที่พิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยงทางเลือกอย่าง กระต่าย ชินชิลล่า เม่นแคระ เป็นต้น Cat Haus พื้นที่สำหรับน้องแมวโดยเฉพาะ และ Pet Park พื้นที่ออกกำลังกายขนาดใหญ่ที่ให้น้องหมาได้ทำกิจกรรมกลางแจ้งกับเจ้าของ อีกทั้งยังมีการวางมาตรการเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างและตกแต่งภายใต้มาตรฐาน เรื่อง Non-Toxic และ Zero VOCs ที่เป็นมิตรต่อคนและสัตว์เลี้ยง การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้บ้านเย็นและยับยั้งเชื้อโรคต่างๆทั้ง Solar Attic, Organic Care, Duraclean A+, Nanoe™ X air & odor purifier, UV Care254 Airflow เป็นต้น   นอกจากนี้ ยังมีการจัดเตรียมสิทธิพิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยง หรือ Petscape Privilege ตั้งแต่แรกเริ่มเข้ามาเยี่ยมชมโครงการฯ กับ PET-kit และ Petscape Welcome Package ต้อนรับสู่การร่วมเป็นครอบครัวเมเจอร์ฯ ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย รวมถึง การเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสัตว์เลี้ยงได้ตลอดทั้งปี อาทิ กิจกรรมเวิร์กช้อปสำหรับสัตว์เลี้ยง กิจกรรมคอนเสิร์ต รวมถึงงานแฟร์ หรืองานอีเว้นต์พิเศษนอกสถานที่ เป็นต้น โดยปัจจุบัน มีพาร์ทเนอร์สำหรับสัตว์เลี้ยงมากกว่า 60 แบรนด์ อาทิ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ โรงพยาบาลสัตว์คชาเว็ท LION Pet Care Royal Canin PETClub Bake n Bone Doquabistro Mellow Pet Shop PAWxPAW MEWRE เป็นต้น   โดยในปี 2566 นี้ เมเจอร์ฯ ได้รวบรวมประสบการณ์และความประทับใจจากลูกบ้านกลุ่ม Pet lover ตัวจริงมาสร้างสรรค์เป็นแคมเปญสื่อสารการตลาด เพื่อถ่ายทอดมุมมองเกี่ยวกับ ‘MAJOR Pet Family Residences’ ผ่านภาพยนตร์โฆษณา “สัญญา ว่าจะดูแลกันตลอดไป” PetFamilyResidences เพื่อสร้างการรับรู้ถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์และย้ำภาพผู้นำตัวจริงที่สร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้ ‘ทุกโครงการ’ ‘MAJOR Pet Family Residences’ จะเป็นมาตรฐานสำคัญครั้งใหม่ของวงการอสังหาฯ กับการจับจุดยืน ทางการตลาดที่แตกต่าง แต่จับใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง และความเป็นตัวจริงคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ของเมเจอร์ฯ ที่ทำด้วยหัวใจของคนรักสัตว์ ทุกโครงการของเมเจอร์ฯ สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ 100% พร้อมเดินหน้าพัฒนาฟังก์ชั่นเพื่อการอยู่อาศัยร่วมกับสัตว์เลี้ยงเต็มรูปแบบ ยกระดับความสุขในการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ร่วมกัน จนเกิดเป็นคอมมูนิตี้เพื่อคนรักสัตว์คุณภาพเพื่อความสุขในการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน   บทความน่าสนใจ เมเจอร์ รุกเปิดแบรนด์ใหม่ “10 & Only” ครั้งแรกของบ้านหรู 100 ล้าน กับที่จอดรถหรูกลางบ้าน เมเจอร์ฯ ปั้นฐานลูกค้า Pet Lovers โต 30% รับไลฟ์สไตล์ “คนโสด-ไม่มีลูก” เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ลุยจัด “MEET & MINGLE” งานสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงครั้งยิ่งใหญ่
แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ทำผลงาน Q2/66 รายได้-กำไรโตก้าวกระโดด​ ครึ่งปีหลังเดินหน้า​เพิ่มห้องพักและกระแสเงินสด

แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ทำผลงาน Q2/66 รายได้-กำไรโตก้าวกระโดด​ ครึ่งปีหลังเดินหน้า​เพิ่มห้องพักและกระแสเงินสด

แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2566 รายได้รวม 4,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด กำไรสุทธิ 1,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 32% ทำรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก 3,356 บาท สูงขึ้น 82.1% เดินหน้าเพิ่มโครงการ เพิ่มจำนวนห้องพัก เพิ่มกระแสเงินสดพร้อมเติบโตก้าวกระโดด   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 ตามงบการเงินรวมมูลค่ายุติธรรมว่า มีรายได้รวมกว่า 4,518 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตแบบก้าวกระโดดมากกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 อีกด้วย   ทั้งนี้ AWC ยังคงมุ่งพัฒนาโครงการในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ เปลี่ยนทรัพย์สินกำลังพัฒนา (Developing Asset) เป็นทรัพย์สินดำเนินงาน (Operating Asset) ควบคู่การยกระดับโครงการในพอร์ตโฟลิโอ (Assets Enhancement) ของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) สอดคล้องกลยุทธ์ GROWTH-LED เพื่อสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไตรมาส 2 นี้ บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงานรวม 120,307 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้น 36,996 ล้านบาท คิดเป็น 44.4% เทียบกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 ผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2566 ของ AWC มีการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) อยู่ที่ 2,472 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการกลับมาของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น   รวมถึงเทศกาลสงกรานต์ในช่วงเดือนเมษายนที่มีการกลับมาจัดอย่างยิ่งใหญ่เป็นปีแรกหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพฯ และโรงแรมกลุ่มประชุมสัมมนา (MICE) ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าพักโรงแรมในเครือ AWC เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้อัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักในภาพรวม (RevPAR) สูงถึง 3,356 บาท เพิ่มขึ้น  82.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 อยู่ที่ประมาณ 10% รวมถึงมีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate: ADR) เท่ากับ 5,367 บาทต่อคืน เติบโต 25.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังสูงกว่าปี 2562 ด้วยเช่นกัน   สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) AWC ยังคงมุ่งเพิ่มศักยภาพในการสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดในระยะยาว โดยบริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ด้านไลฟ์สไตล์ ตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าและนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน ธุรกิจโรงแรม AWC ทำกำไรเพิ่ม 200% ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการมีกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) อยู่ที่ 660 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะโรงแรมในกลุ่มประชุมสัมมนา และกลุ่มโรงแรมในกรุงเทพฯ ซึ่งมีค่า Revenue Generation Index (RGI) ในภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ โรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ มีค่า RGI เท่ากับ 218 เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งพัฒนาทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการพัฒนาให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) อย่างต่อเนื่อง พร้อมเสริมความแข็งแกร่งพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มโรงแรมที่ตั้งอยู่ในทําเลยุทธศาสตร์ เพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ การเปิดตัวโรงแรม 'INNSiDE by Meliá Bangkok Sukhumvit' แห่งแรกในประเทศไทยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อมอบประสบการณ์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์ให้กับกลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่ และเป็นโรงแรมที่ได้มีการออกแบบและก่อสร้างตามกรอบการรับรองของมาตรฐานอาคาร Excellence in Design for Greater Efficiency (EDGE)   รวมถึงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ Nobu Hospitality ร่วมสร้างโรงแรมระดับอัลตร้า ลักชูรี่ 2 แห่งภายใต้แบรนด์ Plaza Athenee ได้แก่ โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก (Plaza Athenee Nobu Hotel and Spa New York) และโรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก (The Plaza Athenee Nobu Hotel and Spa Bangkok) เชื่อม 2 มหานคร นิวยอร์กและกรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด River Journey Project พร้อมเชื่อมต่อหลากหลายโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาของ AWC สร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวทางสายน้ำให้แก่นักเดินทาง   ปัจจุบัน AWC มีจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้นจำนวน 22 โรงแรม รวมจำนวนห้องพักรวม 5,794 ห้อง และจะเพิ่มขึ้นเป็น 23 โรงแรม ภายในสิ้นปี 2566 รวม 6,034 ห้อง คิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 76 เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ที่จำนวน 3,432 ห้อง ประกอบกับอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ที่สูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าปีก่อนและก่อนสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้มีรายได้ 2,287 ล้านบาท เติบโตขึ้น 76.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ บริษัทมุ่งเพิ่มศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งให้กับบริษัท พร้อมตอบสนองความต้องการนักท่องเที่ยวคุณภาพและจำนวนกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย High-to-Luxury ที่เพิ่มมากขึ้น เอเชียทีค ผู้ใช้บริการเพิ่ม 47% กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานยังคงสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการยกระดับอาคารให้เป็นไลฟ์สไตล์สเปซแห่งใหม่ที่ตอบโจทย์การทำงานและไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ อาทิ การเปิดตัว “Co-Living Collective: Empower Future” ของอาคารเอ็มไพร์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ผสานรูปแบบการใช้ชีวิตในบ้านมาเชื่อมต่อกับการทำงานอย่างลงตัว สร้างความแตกต่างจากอาคารสำนักงานรูปแบบเดิม ซึ่งช่วยรักษาฐานผู้เช่าเก่า พร้อมดึงดูดผู้เช่าใหม่ที่มองหาอาคารสำนักงานคุณภาพ ที่มีพื้นที่ตอบรับเทรนด์การทำงานในรูปแบบไฮบริดที่เพิ่มสูงขึ้น AWC ได้ร่วมมือกับพันธมิตรผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลก เพื่อสร้างดิจิทัลอีโคซิสเต็มที่อาคารเอ็มไพร์ให้เป็นคอมมูนิตี้ดิจิทัลรูปแบบใหม่ เชื่อมต่อผู้เช่าในอุตสาหกรรมดิจิทัลเข้าด้วยกันอีกด้วย ในขณะที่กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการค้า (Retail and Wholesale) สามารถเติบโตได้ดี ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวเติบโตของดัชนียอดขายของร้านค้า และบริษัทได้พัฒนาพื้นที่เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวและกลุ่มลูกค้าอยู่เสมอ โดยโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น มีจำนวนผู้มาใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นถึง 47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากกิจกรรม Disney100 Village at Asiatique พร้อมเสริมความแข็งแกร่งในการเป็นจุดหมายปลายด้านการท่องเที่ยวและด้านอาหารเครื่องดื่มระดับโลกที่ช่วยดึงดูดจำนวนผู้เช่าและจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ   รวมถึงการเปิดตัวโครงการ THE PANTIP LIFESTYLE HUB ที่เชียงใหม่ ภายใต้แนวคิด “EVERY HAPPINESS FOR EVERYONE” มุ่งสร้างแลนด์มาร์คไลฟ์สไตล์สำหรับครอบครัวใจกลางเมืองเชียงใหม่ และโครงการ THE PANTIP AT NGAMWONGWAN โฉมใหม่ภายใต้แนวคิด “TREASURE HUNT” สู่การเป็นศูนย์พระเครื่อง และศูนย์รวมอาหารและไลฟ์สไตล์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุด สำหรับธุรกิจค้าส่ง AWC ได้ร่วมรวมพลังผู้นำธุรกิจอาหารทั้งภาครัฐและเอกชน ขับเคลื่อนประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” ที่ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM ตอบโจทย์การค้าส่งอาหารครบวงจร พร้อมเชื่อมผู้ค้าส่งอาหารทั่วโลกกับผู้ซื้อในเขตเศรษฐกิจอาเซียน   AWC มุ่งมั่นสร้างการเติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน โดยบริษัทได้ลงนามสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) รวมถึงสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จำนวน 20,000 ล้านบาท กับ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เพื่อรองรับแผนการพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์เสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอที่มุ่งเน้นการลดการใช้ทรัพยากร และส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ ร่วมสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวยั่งยืน โดย AWC ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อระยะยาวซึ่งเป็นสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนและสินเชื่อสีเขียวเป็น 100% เพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับสังคมองค์รวม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน   AWC มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยล่าสุดบริษัทได้รับรางวัลที่สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมาตรฐานสากลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในปีนี้ AWC ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประเมินองค์กรด้านความยั่งยืน ในกลุ่มดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) พร้อมได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P Global ESG Score 2022” รวมถึงยังคงรักษาการประเมินจาก MSCI ESG Rating ในระดับ "AA" เป็นต้น สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และสร้างมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยั่งยืนของไทยตามพันธกิจ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” (Building a Better Future)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม
DRT โชว์ผลงานไตรมาส 2/66 สูงกว่าเป้า  มีรายได้รวม 1,519.43 ล้าน โต 10.78%

DRT โชว์ผลงานไตรมาส 2/66 สูงกว่าเป้า มีรายได้รวม 1,519.43 ล้าน โต 10.78%

DRT เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 ทำรายได้รวม 1,519.43 ล้าน เติบโต 10.78% สูงกว่าเป้าหมาย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 166.87 ล้าน​ ตอกย้ำขีดความสามารถการแข่งขัน ภายใต้แบรนด์ “ตราเพชร” ที่แข็งแกร่ง พร้อมบริหารจัดการความเสี่ยงด้านต้นทุน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หนุนอัตราการทำกำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ครึ่งปีแรกทำกำไรสุทธิ 344.22 ล้าน​ พร้อมเร่งเครื่องครึ่งปีหลัง วางแผนเชิงรุกดันยอดขายเติบโตตามแผน   นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 ว่า  บริษัททำรายได้รวม 1,519.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.78% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีกำไรสุทธิ 166.87 ล้านบาท ซึ่งมาจากขีดความสามารถการแข่งขันของบริษัท ที่มีความแข็งแกร่งของแบรนด์สินค้า และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ “ตราเพชร” รวมถึงช่องทางจัดจำหน่าย ที่ครอบคลุมความต้องการลูกค้าได้ดี ทั้งร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อย ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ ลูกค้าโครงการผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ รวมถึงการบริหารจัดการ ด้านการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ย 80-90% สามารถบริหารจัดการความเสี่ยง จากปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบได้ดีขึ้น เป็นผลให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นในไตรมาส 2 เพิ่มเป็น 25.16% ดีขึ้นจากไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 24.70% ตอกย้ำถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัท​ ที่แข็งแกร่งเอาชนะความท้าทาย และความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงาน ในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน) ของปีนี้ มีรายได้รวม 3,071.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 344.22 ล้านบาท ผลงานในไตรมาส 2 สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินงานของบริษัท และการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นผลให้มีอัตราการทำกำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้ปรับตัวดีขึ้น และขับเคลื่อนการเติบโตของผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้เช่นกัน   สำหรับแผนงานครึ่งปีหลัง บริษัทจะมุ่งทำงานเชิงรุกโดยมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถการแข่งขัน การทำตลาดภายใต้แบรนด์ "ตราเพชร"​ และตอกย้ำจุดแข็งด้านความหลากหลายผลิตภัณฑ์ ที่สามารถนำไปก่อสร้างบ้านได้ทั้งหลัง รองรับความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างของลูกค้าในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย ควบคู่กับการบริหารจัดการด้านการผลิต ให้มีประสิทธิภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันเป้ายอดขายเติบโต 5% และรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 25-27% ได้ตามแผน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -DRTโชว์ผลงาน Q1 ยังทำกำไร แม้รายได้ลดลงกว่า 7%
[PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม

[PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม

AWC จับมือกับ Ant Group AWC จับมือกับ Ant Group มุ่งยกระดับเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม สําหรับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ของไทย สร้างโอกาสการทำตลาดร่วมกัน ส่งเสริมการเติบโตอย่างไร้ขีดจํากัด ในการสร้างนวัตกรรมและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้วย omnichannel ช่องทางการตลาดที่เชื่อมออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ เพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงช่องทางการชําระเงินดิจิทัลระดับโลกสําหรับผู้ซื้อและผู้ขาย   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า ได้เซ็นสัญญาความร่วมมือกับ Ant Group ผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลก ร่วมสร้างความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม (Digital Technology Ecosystem) ในกลุ่มธุรกิจของ AWC พร้อมยกระดับโซลูชันการชําระเงินดิจิทัลในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยความร่วมมือกับ Ant Group นี้ จะสร้างประสบการณ์การทําธุรกรรมที่สะดวกสบายอย่างไร้รอยต่อแก่ผู้ซื้อและผู้ขายทั่วโลก นับเป็นก้าวสําคัญในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย ความร่วมมือในครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นของ AWC ในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีดิจิทัลในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นไลฟ์สไตล์ของไทย พร้อมพัฒนาอีโคซิสเต็มทางธุรกิจที่ยั่งยืนให้กับกลุ่มธุรกิจค้าส่ง กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน และกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ โดยโซลูชันนี้ จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงการบริการชําระเงินดิจิทัล และสร้างประสบการณ์ Omnichannel ให้กับผู้ซื้อและผู้ขายทั่วโลก ได้แก่ โซลูชันทางการเงินดิจิทัล (Payment Solution) สําหรับกลุ่มธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ และบริการของ AWC รวมถึง 'PhenixBox' ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Omnichannel ที่เชื่อมโยงการซื้อขายจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ และ Pikul แพลตฟอร์มดิจิทัลอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ของ AWC ซี่งการร่วมมือกันนี้ยังส่งเสริมให้ AWC สามารถขยายอีโคซิสเต็มสำหรับกลุ่มธุรกิจค้าส่งด้วยระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ (Cross-Border Payment Solution) เพื่อสร้างโซลูชันการชําระเงินแบบครบวงจรสําหรับศูนย์กลางการค้าส่งของ AWC และแพลตฟอร์ม PhenixBox ที่จะช่วยให้การชําระเงินระหว่างผู้ค้าส่งและผู้ซื้อทั่วโลกในสกุลเงินต่าง ๆ เป็นไปได้อย่างราบรื่น”Thai translation. นอกจากนี้ AWC มุ่งพัฒนาอาคาร เอ็มไพร์ ให้มี ดิจิทัลอีโคซิสเต็ม (Digital Eco-System) ที่ครอบคลุม ส่งเสริมให้เป็นพื้นที่สำนักงานไลฟ์สไตล์สําหรับบริษัทเทคโนโลยีและดิจิทัล เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจด้านเทคโนโลยี ซึ่งความร่วมมือกับ Ant Group นี้ จะส่งเสริมการทำตลาดร่วมกัน (Cross-Marketing) กระตุ้นการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยาว พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้และความเชี่ยวชาญ เปิดโอกาสทางธุรกิจ และขยายฐานลูกค้า ด้วยจุดแข็งที่แข็งแกร่งของ AWC ในการเป็นเจ้าของพอร์ตโฟลิโอที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการไลฟ์สไตล์ และเครือข่ายสํานักงานที่มีผู้เช่าเป็นบริษัทเทคโนโลยีและดิจิทัล สนับสนุนให้ความร่วมมือกับ Ant Group นี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  ผลักดันการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็มสําหรับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ในระยะยาว   นางวัลลภา กล่าวอีกว่า AWC เดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างโอกาสในการยกระดับประสบการณ์การทําธุรกรรมที่ราบรื่นให้แก่ลูกค้าและผู้ประกอบการทั่วโลก พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจในวงกว้างด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลของ Ant Group ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ตรงกันเพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า เพื่อร่วมกันส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนในธุรกิจด้วยการนําเสนอโซลูชันเทคโนโลยีดิจิทัลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย   นางสาวคลารา ชิ รองประธาน Ant Group และ Head of WorldFirst กล่าวว่า การเป็นพันธมิตรกับ AWC ตอกย้ำถึงความสำคัญของระบบการชำระเงินที่มีความคล่องตัวที่ช่วยสนับสนุนการทำธุรกรรมทั่วโลก และเป็นกลไกสู่ความสำเร็จในโลกปัจจุบันที่เชื่อมต่อถึงกันด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทาง ​​Ant Group ได้พัฒนาโซลูชันการชำระเงินข้ามพรมแดนอย่างครอบคลุมเพื่อเพิ่มความคล่องตัวของระบบการทำธุรกรรมข้ามประเทศ Ant Group มุ่งมั่นในการส่งเสริมธุรกิจต่างๆ ให้สามารถเข้าถึงและมอบประสบการณ์ที่ดีกับทั้งพันธมิตร ผู้ขาย และลูกค้าในแต่ละประเทศผ่านช่องทางการชำระเงินแบบ Omnichannel และการบริการทางการเงินต่างๆ ขององค์กรมากมาย 4 กลุ่มธุรกิจภายใตความร่วมมือ การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่าง AWC และ Ant Group นี้ จะสร้างความร่วมมือในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ได้แก่: กลุ่มธุรกิจค้าส่ง ได้ร่วมมือกับ 'WorldFirst' แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการชำระเงินและบริการทางการเงินแบบครบวงจรสำหรับ SME ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระดับโลกหรือการค้าข้ามพรมแดน ภายใต้ Ant Group มีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจค้าส่งโดยนําเสนอบริการชําระเงินข้ามประเทศ อํานวยความสะดวกสำหรับทุกขั้นตอนการใช้จ่ายจากทางออนไลน์สู่ออฟไลน์ (O2O) พร้อมขยายเครือข่ายผู้ซื้อและผู้ขายในการเป็นแพลตฟอร์ม Business-to-Business (B2B) ที่ทำให้การเข้าถึงบริการทางการเงินของซัพพลายเชนง่ายขึ้น อีกทั้ง AWC วางแผนที่จะเปิดใช้งานโซลูชันการชําระเงินข้ามประเทศในแพลตฟอร์ม  PhenixBox ที่ช่วยส่งเสริมช่องทางการชําระเงินของผู้ซื้อ การค้าขาย และการตลาด ภายในปี 2566 กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และกลุ่มธุรกิจศูนย์การค้า ความร่วมมือกับ 2C2P ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการชำระเงินเต็มรูปแบบและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ Ant Group มีเป้าหมายที่จะยกระดับช่องทางการชําระเงิน วิธีการ และประสบการณ์ของผู้ใช้ให้มีประสิทธิภาพสําหรับนักเดินทางและผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน ด้วยจุดแข็งของ Ant Group ในเทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยสร้างการเชื่อมต่อระหว่างองค์กร ผู้คน และสังคม เพื่อสร้างอีโคซิสเต็มในอาคาร ‘เอ็มไพร์’ ให้เป็นคอมมูนิตี้ดิจิทัลรูปแบบใหม่ เชื่อมต่อผู้เช่าในอุตสาหกรรมดิจิทัลเข้าด้วยกัน กลุ่มธุรกิจในด้านดิจิทัล (Digitalization Business) การทำงานร่วมกับ 2C2P เพื่อเสริมศักยภาพของช่องทางการชําระเงินและโซลูชัน e-wallet บัตรเติมเงิน และโปรแกรมระบบสมาชิกที่ปรับเพื่อการใช้งานอย่างลงตัวใน  Pikul แพลตฟอร์มดิจิทัลอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ของ AWC ที่กําลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC
เอพี ไทยแลนด์ ประกาศรายได้ครึ่งปีแรก 23,856 ล้าน เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ทั่วไทย

เอพี ไทยแลนด์ ประกาศรายได้ครึ่งปีแรก 23,856 ล้าน เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ทั่วไทย

เอพี ไทยแลนด์ เผยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 66 เติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยแรงส่งจากสินค้าทุกเซกเมนต์ในเครือ ดันครึ่งปีแรกรายได้รวมมากถึง 23,856 ล้าน กำไรสุทธิ 3,023 ล้าน ผลจากสินค้าแนวราบที่ยังคงรักษาสถานะการเติบโตได้อย่างคงที่ ประกอบกับรายได้จากสินค้ากลุ่มคอนโดที่ปรับตัวกลับคืน ครึ่งปีหลังเตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 55,940 ล้าน  ​   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยมีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 23,856 ล้านบาท กำไรสุทธิเท่ากับ 3,023 ล้านบาท   ทั้งนี้ ณ ไตรมาส 2 ที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 12,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้รวมเท่ากับ 11,805 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิ 1,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 1,478 ล้านบาท เท่ากับ 4.5% โดยในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สินค้ากลุ่มแนวราบอย่างทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวยังถือเป็นคีย์ไดรฟ์สำคัญในการเติบโตทางรายได้และกำไรอย่างแข็งแกร่ง โดยรายได้ที่เกิดขึ้นมาจากสินค้าแนวราบคิดเป็นมูลค่า 17,358 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73% ของสัดส่วนรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งมีบ้านเดี่ยวแบรนด์ THE CITY, CENTRO และบ้านกลางเมือง เป็นกำลังหลักหนุนสร้างรายได้รวมในกลุ่มแนวราบ   สำหรับสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม ภาพรวมธุรกิจเริ่มมีแนวโน้มเป็นบวก ประกอบกับสัญญาณการโอนกรรมสิทธิ์เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ รับรู้รายได้จาก ASPIRE รัตนาธิเบศร์ เวสต์ตัน, ASPIRE เอราวัณ ไพร์ม และคอนโดมิเนียมร่วมทุนอย่าง RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน ที่ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องในไตรมาสที่ผ่านมา ณ 31 กรกฎาคม บริษัทฯ มียอดขายรวมกว่า 46,819 ล้านบาท และในครึ่งปีหลังบริษัทฯ เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 55,940 ล้านบาท โดยเป็นทาวน์โฮม 19 โครงการ มูลค่า 19,550 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 14 โครงการ มูลค่า 24,750 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 8,300 ล้านบาท และต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,340 ล้านบาท ส่งผลให้ตลอดครึ่งปีหลังเอพีจะมีโครงการพร้อมขายทั้ง กทม. และต่างจังหวัดมากกว่า 179 โครงการ มูลค่ากว่า 143,367 ล้านบาท   ทั้งนี้ ในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ DIVE DEEPER IN PROPERTY BUSINESS ด้วยการทำงานแบบเจาะลึก เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียม กลุ่มธุรกิจพัฒนาบ้านเดี่ยว และกลุ่มธุรกิจพัฒนาทาวน์โฮม   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ จบครึ่งปีแรกทำยอดกว่า 39,500 ล้าน เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ครึ่งหลังอีก 40 โครงการ -เอพี ไทยแลนด์ 4 เดือนแรก ตุนยอดกว่า 14,264 ล้าน เปิด 16 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2
ศุภาลัย โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 14,346 ล้าน  ลุยเปิดใหม่ครึ่งปีหลัง 27 โครงการ

ศุภาลัย โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 14,346 ล้าน ลุยเปิดใหม่ครึ่งปีหลัง 27 โครงการ

ศุภาลัย เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก ​สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง โกยรายได้รวม 14,346 ล้าน​ กำไรสุทธิ 2,781 ล้าน​ เดินหน้าลุยตลาดอสังหาฯ เต็มกำลัง ครึ่งปีหลังเปิดโครงการใหม่อีก 27 โครงการ มูลค่ารวม 28,610 ล้าน ขยายโปรดักส์ใหม่ทุกเซกเมนต์ มุ่งสู่เป้าหมายรายได้ 36,000 ล้าน   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2566 บริษัทฯ ยังคงรักษาการเติบโตที่มั่นคงต่อเนื่องและอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยสามารถสร้างรายได้รวม 14,346 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค โดยแบ่งเป็นรายได้กลุ่มสินค้าแนวราบ 65% ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ และรายได้กลุ่มคอนโดมิเนียม 35% โดยตลาดคอนโดเริ่มกลับมามีส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น และลูกค้าให้ความสนใจซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรกมีโครงการศุภาลัย ลอฟท์ สาทร - ราชพฤกษ์ มูลค่า 1,465  ล้านบาท ซึ่งเป็นคอนโดที่สร้างเสร็จส่งมอบโครงการให้ลูกค้าไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่บริษัทฯ สามารถทำยอดขายรวม 6 เดือน อยู่ที่ 17,285 ล้านบาท มาจากการตอบรับที่ดีของลูกค้าในทุกทำเลโครงการที่มีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ รวมถึงเปิดตัวโครงการใหม่แล้ว 10 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค   สำหรับด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 2,781 ล้านบาท และอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 50% ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 2.30% ต่อปี ณ วันที่ 30 มิ.ย. 66 โดยมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 19,804 ล้านบาท  ณ วันที่ 30 มิ.ย. 66 โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าและรับรู้เป็นรายได้ในปี 2566 อีกจำนวน 11,606  ล้านบาท พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังเดินหน้าสรรหาที่ดินในทุกทำเล สำหรับรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และยังเตรียมส่งมอบคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าสามารถทำผลงานถึงเป้ายอดขายและรายได้ที่ตั้งไว้เช่นเดิม   ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิเงินปันผล (XD) 22 ส.ค. 66 และจ่ายเงินปันผล วันที่  6 ก.ย. 66   อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มั่นใจครึ่งปีหลัง 2566 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยบวกโดยเฉพาะการเติบโตของสภาพเศรษฐกิจและการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้บริษัทฯ เตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ รวม 27 โครงการ มูลค่ารวม 28,610 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้า พร้อมนำเสนอสินค้าสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมในทุกทำเล ด้วยการบริหารจัดการอย่างครบวงจร เพื่อให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่ดีมีคุณภาพ ทำเลที่ดีที่สุด ในราคาที่เหมาะสม และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากที่สุด สามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืนในระยะยาว เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ปรับธุรกิจและเตรียมพร้อมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศุภาลัย กวาดยอดขายครึ่งปี 17,285 ล้าน ลุยเปิด 27 โครงการใหม่
PROUD  โชว์งบครึ่งปีแรก โต 984%  กวาดยอดขาย 1,192 ล้าน

PROUD โชว์งบครึ่งปีแรก โต 984% กวาดยอดขาย 1,192 ล้าน

PROUD โชว์ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้ 1,192 ล้าน โต 984% กำไรสุทธิ 147 ล้าน  แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง เร่งโอนกรรมสิทธิ์ เตรียมปิดโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน อัดโปรฯ กระตุ้นยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมเวหา หัวหิน โครงการรมย์คอนแวนต์ คาดยอดขายทั้งปีตามเป้าหมาย 1,705 ล้าน เล็งขยายธุรกิจต่อ เตรียมลงทุนที่ดินเพิ่ม   นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เปิดเผยว่า ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้รวม 1,192 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,082 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 110  ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 984% และมีกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 58 ล้านบาท ขณะที่ ผลประกอบการไตรมาส 2/66 มีรายได้รวม 288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 178 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 110  ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 162% และมีกำไรสุทธิ 9 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 20  ล้านบาท   ทั้งนี้ ผลประกอบการในส่วนของรายได้และกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการขายและทยอยส่งมอบโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน อีกทั้ง บริษัทฯ เร่งโอนกรรมสิทธิ์เตรียมปิด (Sold Out) โครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน มูลค่า 3.84 พันล้านบาท จำนวน 238 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 92% หรือมูลค่ารวม 3,515 ล้านบาท มียอดขายรอโอน (Backlog) 229 ล้านบาท  คาดการโอนเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 3/2566   อีกทั้ง บริษัทเดินหน้าจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย โครงการคอนโดมิเนียม ‘เวหา หัวหิน’(VEHHA)  คอนโดมิเนียมลักชัวรี่ที่สูงที่สุดบนทำเลศักยภาพในหัวหิน มูลค่าโครงการ 2,290 พันล้านบาท จำนวน 364 ยูนิต ปัจจุบัน มียอดขาย (Pre-Sale) แล้ว 33% โครงการ ‘รมย์ คอนแวนต์’ (ROMM Convent) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ใจกลางเมือง บนทำเลศักยภาพที่หาได้ยากที่สุดแห่งหนึ่งบนถนนคอนแวนต์ -สาทร มูลค่าโครงการรวม 4,150 ล้านบาท  ปัจจุบัน มียอดขาย (Pre-Sale) แล้ว 32%  ภาพรวมยอดขายของบริษัทฯ ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนการดำเนินงานที่วางไว้ คาดยอดขายทั้งปีเป็นไปตามเป้าหมาย 1,705 ล้านบาท สำหรับ ทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2566 มีทิศทางที่ดี บริษัทฯ มองหาโอกาสในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายฐานการสร้างรายได้ให้กว้างขึ้น วางแผนซื้อที่ดินแปลงใหม่เพิ่ม รวมถึง มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุม   ทั้งนี้ การเข้าซื้อ 2 โครงการจาก บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) หรือ NOBLE และ บริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จำกัด ได้แก่ นิว ดิสทริค อาร์ 9 (NUE District R9 ) มูลค่าโครงการ 6,519 ล้านบาท และ "นิว ครอส คูคต สเตชัน (NUE Cross Khu Khot)" มูลค่าโครงการ 2,104 ล้านบาท ซึ่งมียอดขายแล้ว 100% คาดว่าเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดได้ในต้นปี 2567 เป็นต้นไป ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 9,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงปี 2569   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -VI ARI บ้านเดี่ยวระดับ Ultra Luxury เริ่ม 82 ล้าน หนึ่งเดียวในย่านอารีย์      -บอร์ด โนเบิล ขาย 2 เงินลงทุนใน 2 โครงการ 867.57 ล้าน ให้ พราว เรียล เอสเตท  
ณวรางค์ แอสเซท ได้แรงหนุนสายสีชมพูสร้างใกล้เสร็จ  ส่ง “ณ รีวา รามอินทรา” รับลูกค้าย่านลาดปลาเค้า

ณวรางค์ แอสเซท ได้แรงหนุนสายสีชมพูสร้างใกล้เสร็จ ส่ง “ณ รีวา รามอินทรา” รับลูกค้าย่านลาดปลาเค้า

ณวรางค์ แอสเซท ชี้โซนลาดปลาเค้า กลายเป็นทำเลทองการอยู่อาศัย ดีมานด์พุ่งทั้งกลุ่มคนทำงาน-นักเรียนนักศึกษา รับอานิสงส์แผนเปิดใช้รถไฟฟ้า สายสีชมพู สายแคราย-มีนบุรี หลังการก่อสร้างคืบหน้ากว่า 97% เตรียมส่งโครงการ ณ รีวา รามอินทรา รองรับเทรนด์การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยคนยุคปัจจุบัน เลือก “ทำเล” มาเป็นอันดับ 1 ชูจุดเด่นโครงการ เพียง 10 นาทีถึง ม.ศรีปทุม 18 นาทีถึง ม.เกษตรศาสตร์   นายอภิภู พรหมโยธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ออกแบบโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัย เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญของการเลือกที่อยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นคนเจเนอเรชั่นไหน ยังคงให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งมาเป็นอันดับแรก เพราะต้องการใช้ชีวิตอยู่ในโครงการที่สามารถเดินทางไปยังจุดต่าง ๆ ได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปทำงาน  เรียนหนังสือ การจับจ่ายใช้สอย หรือการพักผ่อน ซึ่งปัจจัยการเลือกอยู่อาศัยดังกล่าว ทำให้ผู้บริโภคจะเลือกโครงการที่อยู่ใกล้กับระบบการคมนาคมขนส่งที่สะดวกสบายมากที่สุด โดยเฉพาะอยู่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้า ทั้งเส้นทางรถไฟฟ้าเดิมที่เปิดให้บริการแล้ว เส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และมีแผนการเปิดให้บริการในเร็ว ๆ นี้   สำหรับรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีความคืบหน้าไปมาก และพร้อมจะเปิดให้บริการในเร็ว ๆ นี้ คือ รถไฟฟ้า สายสีชมพู เส้นทางแคราย-มีนบุรี ซึ่งเป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว หรือโมโนเรล ที่มีระยะทางยาว 34.5 กิโลเมตร จำนวน 30 สถานีหลัก โดยความคืบหน้าล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2566 มีการก่อสร้างงานโยธา อยู่ที่ 96.97% งานระบบไฟฟ้า อยู่ที่ 97.34% มีความก้าวหน้าโดยรวมอยู่ที่ 97.15% มีการวางแผนเตรียมทดสอบเดินรถเสมือนจริงช่วงปลายปี 2566 และมีแผนเปิดให้บริการเป็นระยะ ๆ รวมถึงการเปิดให้บริการเต็มรูปแบบเชิงพาณิชย์ภายในเดือนมิถุนายน 2567 นายอภิภู กล่าวว่า จากแผนการพัฒนาและเปิดใช้บริการ เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่มีความคืบหน้าและชัดเจน ส่งผลให้ตลอดเส้นทางรถไฟฟ้ากลายเป็นทำเลทองสำคัญของการอยู่อาศัย เกิดความต้องการเข้ามาอยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลลาดปลาเค้า เนื่องจากเป็นถนนที่สามารถเชื่อมต่อไปยังจุดสำคัญ ๆ ของกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ใกล้เคียงได้สะดวก เป็นทำเลที่ตั้งของสถานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม สถานที่ราชการทางทหาร การเชื่อมต่อไปยังถนนสำคัญ อาทิ ถนนลาดพร้าว ถนนรามอินทรา ถนนเลียบทางด่วน-รามอินทรา ถนนเกษตร-นวมินทร์ และถนนพหลโยธิน   "ย่านลาดปลาเค้า เป็นจุดศูนย์กลางสำคัญแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลซีจีเอช สถานศึกษา หน่วยงานราชการมากมาย ศูนย์กีฬาต่าง ๆ ของกองทัพบก แหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร การใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์กลางคืน เพื่อการกิน ดื่ม หรือแม้แต่การทำบุญหรือปฏิบัติธรรม อาทิ วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร เรียกได้ว่ามีครบทุกความต้องการ และทุกไลฟ์สไตล์ของคนกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้​"  จากเทรนด์การเลือกที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่มุ่งเน้นในเรื่องทำเลที่ตั้งมาเป็นอันดับแรก บริษัทจึงวางนโยบายการดำเนินธุรกิจ ด้วยการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ให้ความสำคัญกับเรื่องทำเลที่ตั้ง และออกแบบโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในทุกเจเนอเรชั่น ซึ่งที่ผ่านมามีโครงการต่าง ๆ มากมายที่พัฒนาออกมาและได้รับการยอมรับด้วยดีจากกลุ่มลูกค้า อาทิ โครงการคอนโดมิเนียมหรูบนถนนหลังสวน ใกล้เซ็นทรัลชิดลม และคอนโดมิเนียมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ณ รีวา เจริญนคร ซึ่งเป็นโครงการที่มีคุณภาพ ที่สำคัญตอบโจทย์ความต้องการอยู่อาศัยของลูกค้าที่ต้องการในทำเลนั้น ๆ ด้วย   นายอภิภู กล่าวอีกว่า จากการศึกษาและวิจัยตลาด ประกอบกับศักยภาพทำเลลาดปลาเค้า ที่ตั้งอยู่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู จึงได้เตรียมเปิดตัวโครงการ ณ วีรา รามอินทรา เป็นโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อการอยู่อาศัย ที่จับกลุ่มเป้าหมายทั้งกลุ่มผู้เริ่มต้นวัยทำงาน กลุ่มนักเรียนนักศึกษา และกลุ่มนักลงทุน ที่ต้องการซื้อเพื่อปล่อยเช่า ด้วยจุดเด่นของทำเลที่ตั้งอยู่ในซอยลาดปลาเค้า 72 ถนนลาดปลาเค้า ใช้เวลาเดินทางเพียง 3 นาทีถึงรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีลาดปลาเค้า ใช้เวลาเพียง 10 นาทีถึงมหาวิทยาลัยศรีปทุม และ 18 นาทีถึงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นอกจากนี้ ยังใกล้ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลรามอินทรา The Jas รามอินทรา โดยบริษัทกำหนดเปิดการขายโครงการ ณ วีรา รามอินทรา ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้   โครงการ ณ วีรา รามอินทรา มีแนวคิดการออกแบบในสไตล์ Modern Minimal ห้องสไตล์โมเดิร์น กว้าง โปร่งสบาย แบ่งสัดส่วนอย่างลงตัวระหว่างห้องนอนกับ Living Area ภายในโครงการยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อการอยู่อาศัย อาทิ คลับเฮ้าส์ส่วนกลาง 2 ชั้น Co-working space เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ Work from home สระว่ายน้ำ และห้องฟิตเนสที่มาพร้อมกับวิวธรรมชาติ ทำให้การออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่ Rooftop เพื่อการชมบรรยากาศที่สวยงามของวิวกรุงเทพฯ ซึ่งชมวิวได้ทั้งช่วงเวลากลางวันและกลางคืน เพิ่มความอุ่นใจในการอยู่อาศัย ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งระบบ CCTV & Security Guard   นายอภิภู กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทตั้งใจและมุ่งมั่นในการพัฒนา โครงการ ณ วีรา รามอินทรา เพื่อให้การอยู่อาศัยของลูกค้าสะดวกสบาย มีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงเลือกทำเลลาดปลาเค้า เพราะมีศักยภาพการเติบโตทั้งในปัจจุบัน และอนาคต เนื่องจากกรุงเทพฯ มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และอนาคตอันใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพูจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ จะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพให้ทำเลลาดปลาเค้าน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งโครงการ ณ วีรา รามอินทราเหมาะสำหรับผู้ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือกลุ่มนักลงทุนที่มองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนด้วยการปล่อยเช่า เพราะเป็นทำเลที่เดินทางไปยังสถานศึกษา และแหล่งงานสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย สามารถปล่อยเช่าให้กับนักเรียน นักศึกษา และกลุ่มคนทำงานได้มหาศาล   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] ณวรางค์ แอสเซท ปั้น “ณ รีวา เจริญนคร” รับเทรนด์ Well-being -ณวรางค์ แอสเซท เปิดคอนโด “ณ วรา พหลโยธิน 8” 300 ล้าน ลุยตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย
ตลาดอสังหาฯ  ปี 66 เจอปัจจัยลบรอบด้าน  แอล ดับเบิลยู เอส ปรับลดคาดการณ์โตไม่เกิน 5%

ตลาดอสังหาฯ  ปี 66 เจอปัจจัยลบรอบด้าน แอล ดับเบิลยู เอส ปรับลดคาดการณ์โตไม่เกิน 5%

แอล ดับเบิลยู เอส ปรับลดการคาดการณ์ตลาดอสังหาฯ กรุงเทพ-ปริมณฑล ปี 2566 ลงมาอยู่ที่ 0-5% จากเดิม 10-15% เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าที่คิด ภาระหนี้ครัวเรือน และอัตราดอกเบี้ยสูง รวมทั้งการยกเลิก LTV ที่กระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อ   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ว่า ถึงแม้เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2565 ที่ผ่านมา แต่อัตราการเติบโตมีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากเป็นการเติบโตกระจุกอยู่ในภาคธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว ในขณะที่ภาคการส่งออกติดลบต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ผนวกกับภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นมาแตะระดับ 90.6% อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง   คาดว่าสิ้นปี 2566 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 2.25-2.5% ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทยได้ยกเลิกมาตรการผ่อนคลายอัตราส่วนการอนุมัติสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน(Loan-to-Value: LTV) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ผนวกกับความไม่แน่นอนทางการเมืองภายหลังการเลือกตั้ง ส่งผลให้กำลังซื้อที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2566   โดย “แอล ดับเบิลยู เอส” คาดว่าตลาดอสังหาฯ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลปี 2566 จะใกล้เคียงกับปี 2566 หรือเติบโตไม่เกิน 5% โดยคาดว่าจะมีจำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่ 105,000-108,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 474,000-488,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีจำนวนการเปิดตัว 103,000 หน่วยคิดเป็นมูลค่า 457,000 ล้านบาท 6 เดือนแรกปี 66 เปิดตัว 179 โครงการ   ขณะที่จากการสำรวจการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ของ “แอล ดับเบิลยู เอส” พบว่า  ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์การเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ทั้งสิ้น 179 โครงการ เพิ่มขึ้น 9.81% จากระยะเดียวกันของปี 2565 คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวรวมทั้งสิ้น 45,162 หน่วยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ลดลงจาก 13% จากจำนวนหน่วยเปิดตัวรวมที่ 51,946 หน่วย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ในขณะที่มูลค่าการเปิดตัวโครงการรวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 อยู่ที่ 203,016 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากมูลค่าการเปิดตัวที่ 188,373 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 โดยมีอัตราการขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวโครงการอยู่ที่ 18% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ลดลงจาก 25% ในระยะเดียวกันของปี 2565   จำนวนโครงการที่เปิดตัวเพิ่มขึ้นแต่จำนวนหน่วยเปิดตัวลดลงส่วนมูลค่าสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มีการเปิดตัวโครงการเพิ่มขึ้นโดยที่แต่ละโครงการมีจำนวนหน่วยการเปิดตัวลดลงและมีราคาขายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยที่เน้นตลาดบ้านราคาสูงมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อ ในขณะที่การเปิดตัวอาคารชุดพักอาศัยมีการเปิดตัวจำนวนโครงการ หน่วยเปิดตัว และราคาลดลง จากการสำรวจของ “แอล ดับเบิลยู เอส” พบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จากจำนวนการเปิดตัวโครงการทั้งหมด 179 โครงการ แบ่งเป็น 1.โครงการอาคารชุดพักอาศัย (คอนโดมิเนียม) มีโครงการเปิดตัวจำนวน 45 โครงการ ลดลง 6.2% (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เปิดตัวจำนวน 48 โครงการ มีจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 24,167 หน่วย ลดลง 21%(YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 30,579 หน่วย มีมูลค่าเปิดตัว 68,561 ล้านบาท ลดลง 12% (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าเปิดตัว 78,078 ล้านบาท   โดยที่เดือนมิถุนายน 2566 มีจำนวนและมูลค่าการเปิดตัวโครงการสูงสุด มีจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 6,372 หน่วย เพิ่มขึ้น 58.9% คิดเป็นมูลค่า 18,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.77% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2566  ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีอัตราการขาย ณ วันเปิดตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 28% ลดลงจาก 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่   3 ทำเลที่มีการเปิดตัวโครงการมากที่สุด ได้แก่ บางขันใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ รัชดา-ห้วยขวาง พัฒนาการ โดยราคาขายที่ได้รับความสนใจเป็นอาคารชุดที่ระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ที่ผู้ซื้อมีทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุน 2.โครงการบ้านพักอาศัย -มีการเปิดตัวทั้งสิ้น 134 โครงการ แบ่งเป็น โครงการบ้านพักอาศัยที่ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท มีจำนวน 92 โครงการ เพิ่มขึ้น 2.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่มีจำนวนการเปิดตัว 90 โครงการ มีจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 18,467 หน่วย ลดลง 4.52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 19,343 หน่วย มีมูลค่า 75,203 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.18% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2565 ที่มีมูลค่าการเปิดตัวอยู่ที่ 73,597 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีราคาบ้านขายเฉลี่ยอยู่ที่ 4.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% จากราคาเฉลี่ยที่ 3.8 ล้านบาทต่อหน่วยในช่วงครึ่งแรกของปี 2565   3 ทำเลที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท สูงสุด  ได้แก่ รังสิต-นครนายก ประชาอุทิศ-พุทธบูชา นวนคร โดยมีราคาขายเฉลี่ยไม่เกิน 5 ล้านบาท โครงการบ้านพักอาศัยระดับราคาเกิน 10 ล้านบาท มีการเปิดตัวจำนวน 42 โครงการ เพิ่มขึ้น 68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 25 โครงการ จำนวน 2,528 หน่วย เพิ่มขึ้น 24.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 2,024 หน่วย มูลค่ารวม 59,252 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีมูลค่ารวม 36,698 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีอัตราการขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวที่ 12% ลดลง15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  ราคาขายเฉลี่ยของบ้านพักอาศัยระดับราคาเกิน 10 ล้านบาทอยู่ที่ 23.43 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 29.23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 18.13 ล้านบาทต่อหน่วย เนื่องจากจำนวนและมูลค่าโครงการที่เพิ่มขึ้น 3 ทำเลที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านราคาเกิน 10 ล้านบาทสูงสุดได้แก่ สรงประภา-ดอนเมือง พหลโยธิน-รังสิต และ วัชรพล โดย มีอัตราการขายเฉลี่ยสูงสุดที่ 19% นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า จากข้อมูลการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้มีการปรับกลยุทธ์เปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยที่มีระดับราคาสูงเพิ่มขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกำลังซื้อที่มีอยู่ในตลาดนี้ ในขณะเดียวกันตลาดที่อยู่อาศัยราคาเกิน 10 ล้านบาทเป็นตลาดที่มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ หรือ Rejection Rate ต่ำสุดเมื่อเทียบกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท   ทั้งนี้ จากสถานการณ์ในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารชุดพักอาศัย ทำให้ แอล ดับเบิลยู เอส คาดการณ์ว่าการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จะยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากครึ่งแรกของปี โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 ที่ทิศทางการเมืองยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ น่าที่จะชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 3 โดยเฉพาะโครงการอาคารชุดพักอาศัย แต่จะไปเร่งเปิดตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ถ้าทิศทางการเมืองมีความแน่นอนมากยิ่งขึ้น จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้เราคาดการณ์ว่าตลาดอสังหาฯ ในปี 2566 ทั้งปีจะมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับปี 2565 หรือไม่ก็เติบโตไม่เกิน 5% ซึ่งปรับลดจากที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าว่าจะเติบโตที่ 10-15% อย่างไรก็ตาม  ผู้ประกอบการอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีแนวโน้มที่จะขยายการเปิดตัวโครงการไปในทำเลต่างจังหวัดมากขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขาย หลังจากที่เผชิญกับสถานการณ์ที่กำลังซื้อในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลชะลตัว เราจะเห็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด มีการเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัด ที่ไกลกว่าทำเลปริมณฑลมากขึ้น ทั้งพื้นที่ EEC และพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต เพื่อสร้างยอดขายและสร้างฐานรายได้ใหม่     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -LWS วิสดอม ชี้ “ราชพฤกษ์” แหล่งบ้านขายดีราคา 5.5-6 ล้าน ได้ระบบคมนาคมหนุน ทั้งถนน-รถไฟฟ้า-ทางด่วน -5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้  โชว์ผลงานรายได้-กำไร Q3/66  พร้อมรายได้ 9 เดือนกว่า 11,598 ล้าน

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ผลงานรายได้-กำไร Q3/66 พร้อมรายได้ 9 เดือนกว่า 11,598 ล้าน

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ผลงานไตรมาส 3 ทำรายได้ 4,468 ล้าน พร้อมกำไรสุทธิ 396 ล้าน​ หลังธุรกิจที่อยู่อาศัยได้รับแรงตอบรับดี ได้บ้านเดี่ยวเซกเมนต์ระดับบนหนุน ขณะที่ธุรกิจอุตสาหกรรม – พาณิชยกรรมสร้างรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการเติบโตสูง รับอานิสงส์การย้ายและขยายฐานการลงทุนมาไทย รวมถึงการท่องเที่ยวที่ขยายตัวเต็มที่ ส่วนผลประกอบการ 9 เดือนตุนรายได้ 11,598 ล้านบาท     นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาส 3 ปีงบประมาณ 2566 (เมษายน – มิถุนายน 2566) บริษัทสามารถสร้างรายได้รายได้รวม 4,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2566 (มกราคม – มีนาคม 2566) มี จาก 3,424 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 396 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไร 318 ล้านบาท   บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนธุรกิจอย่างรอบคอบ โดยให้ความสำคัญในการบริหารจัดการเงินทุน เพื่อรักษาเสถียรภาพและคงสภาพคล่องทางการเงิน รองรับโอกาสการฟื้นตัวของตลาด ภายใต้กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นในการรับมือสภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงเสริมความพร้อมเข้าลงทุนธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกิจการควบคู่กับการบริหารจัดการองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานตามเป้าหมาย สำหรับไตรมาส 3 กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยสร้างรายได้ 2,708 ล้านบาท เป็นผลมาจากการออกแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่อง และสามารถสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงสามารถกวาดยอดขายได้ 6,134 ล้านบาท โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปได้รับการตอบรับดี ซึ่งไตรมาส 3 ได้เปิดโครงการอัลพีน่า พระราม 2 บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ราคา 20 – 35 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท   ขณะที่สิ้นไตรมาสบริษัทมีโครงการดำเนินการอยู่ 78 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 108,700 ล้านบาท  ส่วนในไตรมาส 4 ของปีงบประมาณ 2566 (กรกฎาคม - กันยายน 2566) บริษัทเตรียมเปิดตัวบ้านและทาวน์โฮมเพิ่มอีก 2 โครงการ รวมมูลค่า 2,830 ล้านบาท  ปัจจุบันบริษัทมีแบ็กล็อกอีกกว่า 1,000 ล้านบาทที่จะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง   ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมสามารถทำรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการได้ถึง 710 ล้านบาท แรงหนุนมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากยุทธศาสตร์ China Plus One และภูมิศาสตร์การเมืองโลกที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติย้ายฐานและขยายการลงทุนมายังประเทศไทย ซึ่งมีที่ตั้งบนทำเลยุทธศาสตร์พร้อมด้วยศักยภาพที่เหมาะกับการเป็นฐานการผลิต ทำให้โรงงานและคลังสินค้าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เช่า โดยบริษัทได้ส่งมอบอาคารคลังสินค้าแบบสร้างตามความต้องการ (Built-to-Suit) ให้กับผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่อันดับต้นของเอเชียแปซิฟิก มีพื้นที่ใช้สอยรวม 20,000 ตร.ม. ในโครงการเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (บางพลี 7) เฟส 2 จังหวัดสมุทรปราการ และสามารถรักษาอัตราการเช่าของพอร์ตโฟลิโอได้สูงถึง 86%   ด้านกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม พอร์ตโฟลิโอของอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอในพื้นที่ CBD และโครงการมิกซ์ยูสมีอัตราการเช่าสูงถึง 93% ด้วยความสามารถในการบริหารจัดการที่รองรับการใช้งานของผู้เช่า ผู้ใช้อาคาร และลูกค้าได้อย่างครอบคลุม   ล่าสุด อาคารที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการทั้งปาร์คเวนเชอร์ เอฟวายไอ เซนเตอร์ และสามย่านมิตรทาวน์ผ่านการรับรองจาก WiredScore มาตรฐานระดับโลกการันตีความสามารถด้านการเชื่อมต่อและโครงสร้างด้านสาธารณูปโภคดิจิทัลของอาคารเทียบเท่าในระดับสากล ส่วนศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์และสีลมเอจมีทราฟฟิกสูงต่อเนื่อง เป็นผลจากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในไทยมากขึ้น ซึ่งจากการขยายตัวของภาคท่องเที่ยวได้ส่งผลบวกต่อธุรกิจโรงแรมด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ จากรายได้ของธุรกิจโรงแรมที่เติบโตขึ้น รวมถึงรายได้ค่าบริหารจัดการ การขายที่ดิน และการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท ย่อยที่ดำเนินธุรกิจด้านดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของ FPT ที่ปรับการใช้เงินลงทุนในอนาคตเพื่อมุ่งเน้นการลงทุนในกลุ่มธุรกิจหลัก ส่งผลให้ในไตรมาสนี้ บริษัทรับรู้รายได้อื่น ๆ รวม 1,050 ล้านบาท สำหรับโครงการในอนาคต FPT มีแผนพัฒนาสินทรัพย์โครงการเมย์แฟร์ แมริออท เอ็กเซกคิวทีฟ อพาร์ตเมนต์ (Mayfair Marriott Executive Apartment)  เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ เพื่อเป็นการต่อยอดทางธุรกิจ และเพิ่มผลตอบแทนให้กับบริษัทในระยะยาว   สำหรับผลประกอบการรอบระยะเวลา 9 เดือนของปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2565 – มิถุนายน 2566) FPT มีรายได้รวม 11,598 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 7,691 ล้านบาท รายได้ค่าเช่าและค่าบริการ 2,061 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ 1,846 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,031 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ปรับแผนธุรกิจปี 65 เพิ่มพอร์ต บ้านหรู ปูทางโตอย่างยั่งยืน เล็งรายได้คอนโด 20% -เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ​โชว์กำไร 6 เดือน เฉียดพันล้าน หลังใช้ธุรกิจเชิงรุก -ผลดีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
เปิด 5 ทำเล ราคาที่ดินปรับสูงใน Q2/66  บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ขยับมากสุด 54.9%

เปิด 5 ทำเล ราคาที่ดินปรับสูงใน Q2/66 บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ขยับมากสุด 54.9%

ราคาที่ดิน REIC เผย ราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2566​ ชะลอตัวลง​มีค่าดัชนีเท่ากับ 376.5 จุด เพิ่มขึ้น​ 6.2% จากปีก่อน​ แต่ลดลง​ 2.4%​ จากไตรมาสก่อนหน้า ​เหตุเริ่มมีการชะลอตัวของตลาดจากปัจจัยลบต่าง ๆ     ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เปิดเผยว่าดัชนีราคาที่ดิน เปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2566 มีค่าดัชนีเท่ากับ 376.5 จุด เพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ลดลง 2.4% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนายังคงมีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่มีการชะลอตัวจากไตรมาสแรก   โดยอัตราการเพิ่มของดัชนีราคาที่ดินในไตรมาสนี้ ยังเป็นการเพิ่มที่ไม่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราค่าเฉลี่ย 5 ปี ในช่วงก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 (ปี 2558 – 2562) ซึ่งมีอัตราเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 14.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565 (YoY) อีกทั้งยังมีอัตราเฉลี่ยของอัตราการเปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ที่เพิ่มขึ้นถึง 4.1% แสดงให้เห็นอัตราเร่งของดัชนีราคาที่ดินในช่วงดังกล่าวที่สูงกว่าปัจจุบัน ปัจจัยที่ทำให้ราคาที่ดินเปล่ามีการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง เนื่องจากการที่เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปี 2566 มีการขยายตัวลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งการยกเลิกการผ่อนคลายมาตรการ LTV ของ ธปท. และภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงมีอัตราส่วนที่สูงถึง 90% ของ GDP  อีกทั้งเป็นช่วงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่จะทำให้ความสามารถในการซื้อและการผ่อนชำระที่อยู่อาศัยของประชาชนลดลง ส่งผลให้กำลังซื้อที่อยู่อาศัยชะลอตัว ผู้ประกอบการจึงชะลอแผนในการเปิดขายโครงการใหม่ในปีนี้ถึงปี 2567 มีผลให้เกิดการชะลอการซื้อที่ดินเปล่าเพื่อรองรับการพัฒนาลงบ้างในหลายทำเล ประกอบกับรัฐบาลได้ประกาศจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเต็มอัตราในปี 2566 จึงทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับแผนการซื้อที่ดินสะสมเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต  ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่ดินสะสมในตลาดเพื่อเป็น Land Bank ลดลง เพื่อควบคุมภาระต้นทุนจากการถือครองที่ดิน โดยภาระภาษีที่ดินฯ ซึ่งเป็นต้นทุนในการพัฒนาโครงการในระยะต่อไป 5 ทำเล ราคาที่ดินเพิ่มสูงสุด ในไตรมาส 2 ปี 2566 REIC พบว่าโซนที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) มีดังนี้ อันดับ 1 ได้แก่ ที่ดินในโซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง มีอัตราการเปลี่ยนราคามากถึง 54.9% อันดับ 2 ได้แก่ ที่ดินในโซนสมุทรสาคร มีอัตราการเปลี่ยนราคา  26.1% อันดับ 3 ได้แก่ ที่ดินในโซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคา 17.6% อันดับ 4 ได้แก่ ที่ดินในโซนราษฎร์บูรณะ-บางขุนเทียน-ทุ่งครุ-บางบอน-จอมทอง มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคา 17.5% อันดับ 5 ได้แก่ ที่ดินในโซนเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคา 11.4% จากภาวะราคาที่ดินที่มีการเปลี่ยนแปลงข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าที่ดินที่อยู่บริเวณพื้นที่ชานเมืองของกรุงเทพฯและปริมณฑลมีการเปลี่ยนแปลงของราคามาก เนื่องจากที่ดินที่อยู่บริเวณพื้นที่ชานเมืองมีราคาไม่แพงและยังสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบได้ ซึ่งทำให้สามารถควบคุมต้นทุนของราคาที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยได้ ทั้งนี้ โซนเหล่านี้เป็นโซนที่มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญเป็นโซนที่มียอดขายในระดับต้น ๆ อีกด้วย 5 ทำเลรถไฟฟ้ารถไฟฟ้าราคาเพิ่มสูง สำหรับราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในแนวเส้นทางที่มีรถไฟฟ้าผ่านในไตรมาสนี้ พบว่าเส้นทางรถไฟฟ้า 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY)  ส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่มีโครงการรถไฟฟ้าเปิดให้บริการแล้ว และเป็นโครงการในอนาคตที่มีการเชื่อมต่อกับพื้นที่สำคัญด้านพาณิชยกรรมและเป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาโครงการอยู่ในปัจจุบัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ อันดับ 1 ได้แก่ สายสีเขียว (สมุทรปราการ-บางปู) และ สายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) เป็นโครงการในอนาคตและโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 256.6 จุด และ 252.8 จุด ตามลำดับ และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 11.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตเมืองสมุทรปราการและพระสมุทรเจดีย์ เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อันดับ 2 ได้แก่ สายสีม่วง (บางใหญ่-เตาปูน) เป็นโครงการในอนาคต ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 415.1 จุด และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 4.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตเมืองนนทบุรี บางใหญ่ และบางบัวทอง เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อันดับ 3 ได้แก่ MRT และสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-หัวลำโพง) เป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้วและโครงการในอนาคต ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 474.4 จุด และ 467.0 จุด ตามลำดับ และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น  3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตจตุจักร ห้วยขวาง และพญาไท เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อันดับ 4 ได้แก่ สายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) และ สายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-มธ.รังสิต)  ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 443.4 และ 436.6 จุด ตามลำดับ และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตบางเขน หลักสี่ ดอนเมือง และคลองหลวง เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อันดับ 5 ได้แก่ สายสีแดงเข้ม (หัวลำโพง-มหาชัย) เป็นโครงการในอนาคต ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 440.4 จุด และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตจอมทอง บางบอน และบางขุนเทียน เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -REIC เปิด 5 ทำเลราคาที่ดินยังพุ่งสูง​​ ท่ามกลางโควิด-19 ระรอกใหม่ -ทำเลส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ราคาที่ดินก่อนการพัฒนาเพิ่มกว่า 21%
กทม.ออกคำสั่งให้แอชตันอโศกกลับไปแก้ไขข้อผิดพลาด เพื่อกลับมายื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างใหม่

กทม.ออกคำสั่งให้แอชตันอโศกกลับไปแก้ไขข้อผิดพลาด เพื่อกลับมายื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างใหม่

แอชตันอโศก จากบัลลังก์ศาลปกครองสูงสุดที่ยืนตามบันทึกของศาลปกครองกลาง ซึ่งรวมถึงใบรับแจ้งการก่อสร้างคอนโดฯ แอชตันอโศกของ บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ ออสเตรเรีย อโศก จำกัด (บริษัท ร่วมทุนระหว่างกันขอรับ.อนัน ดาดีเวลลอปเม้นท์เปรียบเทียบ 51% และบริษัทมิตซุยฟุโดซังจากประเทศญี่ปุ่น 49%) โครงการแอชตันอโศกนั้น    แอชตันอโศก นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า สำหรับประเด็นคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีแอชตัน อโศกที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างนั้น สำนักการโยธา กรุงเทพมหานครจะมีหนังสือแจ้ง สำนักงานเขตวัฒนา พิจารณาออกคำสั่งให้เจ้าของอาคารดำเนินการแก้ไขอาคารให้ถูกต้องตามกฎหมายควบคุมอาคาร โดยใช้อำนาจตามมาตรา 40 มาตรา 41  และมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 แล้วแต่กรณี   นายวิศณุ  กล่าวอย่างไรก็ตาม การเพิกถอนใบรับแจ้งการก่อสร้างดังกล่าว ไม่ได้หมายความว่าอาคารชุดแอชตัน อโศก จะต้องมีการรื้อถอนอาคาร บริษัทผู้เป็นเจ้าของโครงการ สามารถยื่นขอใบแจ้งก่อสร้างใหม่ได้ที่สำนักการโยธา​ กรุงเทพมหานคร โดยบริษัทจะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามที่ศาลสั่ง ซึ่งก็คือเพิ่มทางเข้า-ออกโครงการให้มีความกว้างของถนน 12 เมตร และอยู่ติดกับถนนสาธารณะที่มีความกว้าง 18 เมตร ซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมายควบคุมอาคารและกฎหมายผังเมืองกำหนด หากบริษัทเจ้าของโครงการสามารถปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางเข้า-ออกแล้วเสร็จ ก็สามารถยื่นขอใบแจ้งก่อสร้างได้   "สำหรับกรณีนี้ขอเวลาให้ทีมกฎหมายของกรุงเทพมหานครพิจารณารายละเอียด ตามคำพิพากษาอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากมีผลกระทบกับพี่น้องประชาชนอย่างสูง”         ข่าวที่เกี่ยวข้าง อนันดา ขีดเส้น 14 วันพบผู้ว่ากทม.-รฟม.หาทางแก้ปัญหา แอชตัน อโศก หลังศาลปกครองสูงสุด สั่งยกเลิกใบอนุญาตก่อสร้าง ​ศาลปกครอง ออกคำสั่งให้แอชตัน-อโศกใน 90 วัน เฉพาะส่วนที่สูงกว่าถนนไม่เกิน 6.40 ไมโครเมตร ถอดคำพูดเปิดใจ CEO อนันดากรณี ASHTON Asoke
อนันดา ขีดเส้น 14 วันพบผู้ว่ากทม.-รฟม.หาทางแก้ปัญหา แอชตัน อโศก หลังศาลปกครองสูงสุด สั่งยกเลิกใบอนุญาตก่อสร้าง​

อนันดา ขีดเส้น 14 วันพบผู้ว่ากทม.-รฟม.หาทางแก้ปัญหา แอชตัน อโศก หลังศาลปกครองสูงสุด สั่งยกเลิกใบอนุญาตก่อสร้าง​

อนันดา ออกโรงแจงด่วน หลังศาลปกครองสูงสุด พิพากษายืน ตามคำพิพากศาลปกครองกลาง กรณี แอชตัน อโศก ใช้ที่ดินของรฟม.มาเป็นทางเข้า-ออกโครงการได้ เหตุเป็นที่ดินเวนคืนของรฟม. ให้เอกชนใช้ประโยชน์ไม่ได้ ส่งผลให้ใบอนุญาตก่อสร้างก่อนหน้าไม่ชอบด้วยกฎหมาย “ชานนท์” ขีดเส้นภายใน 14 วันเข้าพบ ผู้ว่ากทม.-รฟม.จี้ให้รับผิดชอบ หามาตรการเยียวยา ระบุ อนันดา คือ หนึ่งในผู้เสียหาย ร่วมกับลูกบ้าน 580 ครอบครัว   เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้ออก Company Statement (หนังสือชี้แจงของบริษัทฯ) กรณีที่ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษาในคดีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กับพวก (ผู้ฟ้องคดี ได้ยื่นฟ้องผู้อำนวยการเขตวัฒนา ที่ 1 , ผู้อำนวยการสำนักการโยธา ที่ 2 , ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ 3 , ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่ 4 , คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน ที่ 5 (ผู้ถูกฟ้องคดี และบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด "บริษัทฯ" ซึ่งไม่ใช่ผู้ถูกฟ้องคดีโดยตรง แต่ถูกเรียกเข้ามาในฐานะเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากผลแห่งคดี ในฐานะผู้ร้องสอด ในคดีหมายเลขดำที่ อส 67/2564 หมายเลขแดงที่ อส.188/2566 โดยศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษา ยืนตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอน้อมรับและเคารพในคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดตามที่ได้วินิจฉัยไว้กรณีที่ศาลปกครองสูงสุด ได้วินิจฉัยไว้ แต่ไม่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นแบบนี้ขึ้น โดยบริษัทได้ออก Company Statement เพื่อขอควาเมเป็นธรรม เนื่องจากบริษัทเป็นภาคเอกชน ทำงานด้วยความสุจริต มีการขออนุญาตหน่วยงานอย่างถูกต้องมาโดยตลอด โดยเห็นว่าศาลปกครอง ถือว่าไม่ใช่ศาลยุติธรรม เป็นศาลระหว่างประชาชนกับรัฐ ถ้ารัฐเอาเปรียบประชาชน สามารถฟ้องได้ กรณีภาครัฐทำบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้อง   "สถานการณ์มาถึงตรงนี้ ภาครัฐจะช่วยหาทางออกซึ่งกันและกันได้อย่างไร ทางออกมันเป็นปัญหากฎหมาย เราก็ไม่ได้ expert ด้านกฎหมาย เราก็เป็นหนึ่งบริษัทที่ทำตามขั้นตอนกฎหมายแล้ว ก็สงสัยเหมือนกันว่าจะมีทางออกอย่างไร หรือจะต้องทุบตึกเลยหรือ หรือมีวิธีใด ถ้าเป็นปัญหากฎหมาย จะมีการออกกฎหมายใหม่ให้รฟม.เอาที่มาทำทางเข้าออกได้หรือไม่ ก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมยังเกาหัวเหมือนกัน ยังคิดไม่ออก ขอให้หน่วยงานภาครัฐ หลัก ๆ ทางกทม. รฟม.ต้องหาทางออกช่วยเราและลูกค้าของเรา ต้องด่วนเร็วที่สุด เราอยากไปพบผู้ว่ากทม. ผู้ว่ารฟม. จะช่วยเราหาทางออกร่วมกันอย่างไร เพราะนี่เป็นปัญหาสังคม นี่เป็นความยากลำบากของเรามาก"   จากผลแห่งคำพิพากษาที่เกิดขึ้นดังกล่าว หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ในความเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ต่อเจ้าของร่วมอาคารชุด และบริษัทฯ เพราะหากหน่วยงานราชการผู้มีอำนาจหน้าที่ไม่เห็นซอบ และอนุมัติแล้วโครงการนี้จะไม่สามารถก่อสร้างได้ตั้งแต่แรก ซึ่งจะไม่เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงอย่างที่เป็นอยู่   ทั้งนี้ บริษัทฯจะเร่งรีบดำเนินการ ในการเรียกร้องค่าเสียหายกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อเยียวยาความเสียหายแก่เจ้าของร่วมอาคารชุดและบริษัทฯ โดยเร็ว รวมทั้ง บริษัทฯ จะดำเนินการประสานงานคณะกรรมการนิติบุคคลแอชต้น อโศก และท่านเจ้าของร่วมบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด เพื่อขอเข้าพบผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเพื่อทวงถามความรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น ภายใน 14 วัน นับแต่วันนี้   บริษัทฯ ใคร่ขอยืนยันว่า การทำโครงการแอชตัน อโศก นั้น ได้มีการตรวจสอบประเด็นทางกฎหมายรวมทั้งข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตต่าง ๆ รวมทั้งสภาพที่ดินของโครงการอย่างรอบคอบรัดกุม อีกทั้งการพิจารณาอนุมัติในการทำโครงการต่าง ๆ ยังได้ผ่านการพิจารณาอนุมัติ และภายใต้การกำกับ ควบคุมจากหน่วยงานของรัฐไม่ต่ำกว่า 8 หน่วยงาน จึงเป็นที่เห็นประจักษ์และยืนยันได้ว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการไปด้วยความสุจริต และชอบด้วยกฎหมายอย่างชัดแจ้งแล้วทุกประการเท่าที่บริษัทฯ จะทำได้ด้วยความเชื่อถือโดยสุจริตว่าการอนุมัติของหน่วยงานราชการทุกฝ่ายนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว บริษัท ฯ จึงใคร่ขอความเป็นธรรมจากทุกภาคส่วนที่จะร่วมกันแก้ไขป้องกันมิให้ปัญหาที่เกิดขึ้นดังเช่นคดีนี้ได้เกิดขึ้นอีก และเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐได้เยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยเร็วด้วย ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ปรากฎการณ์นี้เป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมนี้ที่ตึกที่พักอาศัยสร้างเสร็จแล้วและมีศาลปกครองมาพิพากษาเช่นนี้ แต่บริษัทฯ ต้องเคารพคำพิพากษา อนันดาฯ หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบนี้ ร่วมกับเจ้าของ 580 ครัวเรือน จำนวน 668 ยูนิต ที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว ทุกยูนิตมีหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดหมดแล้ว แบ่งเป็นชาวไทย 438 ยูนิต ต่างชาติ 142 ยูนิต จาก 20 ประเทศ ​โดยโครงการมีมูลค่า 6,481 ล้านบาท ส่งมอบแล้ว 87% หรือคิดเป็นมูลค่า 5,653 ล้านบาท มีมูลค่าคงเหลือ 828 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้บริษัทฯ ถือหุ้น 51% ในบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ส่วนที่เหลืออีก 49% เป็นกลุ่มมิตซุย ฟูโดซัง จากประเทศญี่ปุ่น ถือหุ้น เคสนี้เรายืนยันว่าเราทำด้วยความถูกต้องและสุจริต เพราะเราผ่านการขออนุญาตมาจาก 8 หน่วยงาน โดยมี 9 ใบอนุญาต และเรายังขอความเห็นก่อนดำเนินการด้วย อย่างน้อย 7 หน่วยงานในเคสนี้ และผ่าน 5 คณะกรรมการก่อนจะออกมาเป็นใบอนุญาตและใบอ.ช. สิ่งสำคัญ มีโครงการที่คล้ายคลึงกันอีก 13 โครงการ ยังไม่นับรวมโครงการที่ใกล้เคียงอีกเป็นร้อยในการขอเชื่อมทางกับหน่วยงานราชการ และเรายังมีการจ่ายค่าเชื่อมทางเกือบร้อยล้านบาทให้กับรฟม.ไม่ใช่ขอเชื่อมทางฟรี ขณะที่นายพิสิษฐ เดชไชยยาศักดิ์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย กล่าวว่า กรณีศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนคำพิพากษาตามศาลปกครองกลาง มีประเด็นสำคัญมีเพียงประเด็นเดียว คือ ที่ดินของรฟม. มาจากการเวนคืนทำให้ไม่สามารถนำมาให้เอกชนประกอบการได้ และศาลจึงพิจารณาว่าการที่หน่วยงานภาครัฐมาออกใบอนุญาตในการก่อสร้างขัดต่อกฎหมาย ขัดกับกฎกระทรวงฉบับที่ 33 และฉบับที่ 50 เป็นประเด็นสำคัญ ส่วนประเด็นอื่น ๆ ไม่มีนัยยะต่อความเสียหายครั้งนี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศาลปกครอง สั่งรื้อ แอชตัน-อโศก ใน 90 วัน เฉพาะส่วนที่สูงเกินกว่าความกว้างถนน 6.40 เมตร -ถอดคำแถลงฯ CEO อนันดา กรณี ASHTON Asoke
[PR News] อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ หนุนโครงการ “DIPROM PATHFINDER”

[PR News] อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ หนุนโครงการ “DIPROM PATHFINDER”

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรเพื่อพิชิตพันธกิจ ในการร่วมสานฝันและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ที่รักงานออกแบบ ผ่านโครงการ “DIPROM PATHFINDER” กับการประกวด CRAFT INNOVATION AWARDS เพื่อเฟ้นหาดีไซน์เฟอร์นิเจอร์แนวใหม่ จากนักออกแบบบุคคลทั่วไปที่มีไฟและความฝัน มาร่วมประลองไอเดียงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ผสานงานหัตถศิลป์เข้ากับนวัตกรรมแห่งอนาคต ในคอนเซ็ปต์ “โต๊ะ WORK TO DINE” Work hard, Eat harder     นางสาวพิชพิมพ์ ปัทมสัตยาสนธิ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท  อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM ​ เปิดเผยว่า  ได้ร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรกับ “กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม” โดย ดร.วรวิทย์ จิรัฐิติเจริญ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่ และนางสาวฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ กรรมการผู้จัดการ  บริษัท โซเชียลแล็บ จำกัด ในโครงการ “DIPROM PATHFINDER” การประกวด ‘CRAFT INNOVATION AWARDS’ เพื่อสนับสนุนไอเดียผู้ที่รักงานดีไซน์สู่การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ผสานนวัตกรรมแห่งอนาคต  และต่อยอดการสร้างโอกาสทางธุรกิจด้วย DESIGN THINKING โดยการผลิตจริงและจำหน่ายจริงที่ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์   ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำพันธกิจด้านความยั่งยืน (ESG) ในฐานะผู้ส่งต่อโอกาสให้แก่สังคมอย่างยั่งยืน ในขณะเดียวกันก็สามารถนำเฟอร์นิเจอร์แนวใหม่มาเพิ่มประสบการณ์ช้อปให้กับผู้บริโภค อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ตอบโจทย์ เทรนด์การใช้ชีวิตยุคใหม่อย่างลงตัว  ซึ่งการประกวดภายใต้โครงการ “DIPROM PATHFINDER” ถือเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักออกแบบบุคคลทั่วไปที่  แม้ไม่ได้เป็นดีไซน์เนอร์ก็สามารถร่วมส่งผลงานเข้าประกวดได้อย่างเท่าเทียม โดยโจทย์การออกแบบภายใต้ คอนเซ็ปต์ “โต๊ะ WORK TO DINE” Work hard, Eat harder (โต๊ะอาหารที่ทำงานได้สะดวก - โต๊ะทำงานที่กินข้าวได้สบาย) เป็นการผสานไอเดียหัตถศิลป์เข้ากับนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี เช่น แสง, เสียง ฯลฯ เพื่อให้ได้โต๊ะที่โดดเด่นด้านดีไซน์ควบคู่ฟังก์ชันการใช้งานแบบมัลติฟังก์ชั่น รวมทั้งต้องเลือกวัสดุที่ให้ความปลอดภัยกับการใช้งาน  มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า และราคาที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้   โดยการเฟ้นหานักออกแบบและเวิร์คช้อปได้ดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 6 เดือน โดยมีคณะกรรมการ 7 ท่านจากแวดวงการออกแบบและอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ ดร.วรวิทย์ จิรัฐิติเจริญ จาก กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, นางสาวพิชพิมพ์ ปัทมสัตยาสนธิ รองกรรมการผู้จัดการสายการค้า และทีม Index Design Center จาก อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์, นายกิตติรัตน์ ปิติพานิช รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้และผู้อำนวยการสถาบันอุทยานการเรียนรู้ (TK Park), ผศ.ดร.สุภชัย วงศ์บุณย์ยง  รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี, นางสาวฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ ผู้ก่อตั้งเพจ Ceemeagain และนายสาธิต กาลวันตสานิช ผู้ก่อตั้งบริษัท Phenomena และ Propagenda เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการตั้งแต่การคัดเลือกนักออกแบบผู้เข้ารอบ พร้อมให้คำแนะนำ-เสริมแนวคิด และองค์ความรู้เพื่อพัฒนาดีไซน์และเลือกวัสดุเพื่อผลิตผลงานจริง   ล่าสุดได้คัดเลือกผู้ชนะเลิศในโครงการ “DIPROM  PATHFINDER” ร่วม 3 ทีม ดังนี้ ผู้ชนะเลิศอันดับ 1 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “LAYER WORKING SPACE KHANOM CHAN” ใช้ไอเดียการเล่นเลเยอร์ไม้แบบขนมชั้น พร้อมฟังก์ชันจัดเก็บและปลั๊กไฟ เหมาะกับบ้านยุคใหม่ ในสไตล์มินิมอลโทนไม้สบายตา เรียบง่าย สะดวกทั้งกินข้าวและทำงาน  ผลงานโดย  ปรีชา แตงเล็ก ผู้ชนะเลิศอันดับ 2 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “การเพิ่ม-ปรับ-ขยับ-เปลี่ยน” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและฟังก์ชันการใช้งานของทุกคนได้อย่างลงตัว โดยทีม Big : Bear : Book Theteam ประกอบด้วย นางสาวปรียศรี พรหมจินดา, นางสาวสันทิตา พยุงพงศ์ และนายพงษ์พันธ์ สุริยภัทร ผู้ชนะเลิศอันดับ 3 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Ma” การออกแบบโต๊ะตอบโจทย์ฟังก์ชันจัดเก็บการใช้งานรูปแบบโต๊ะอาหารและทำงาน โดยซ่อนจุดจัดเก็บอเนกประสงค์ส่วนขาโต๊ะ ทั้งเครื่องครัว-ช้อนส้อม, เครื่องเขียน โดย Ma Team ประกอบด้วย นางสาวนิรินธนา คุมมณี, นายสุชนม์ พรหมปัญญา และนางสาวสิชล พรหมปัญญา ในขณะนี้ทีม Index Design Center จาก Index Living Mall  ได้ร่วมกับทีมผู้ชนะ เพื่อพัฒนาแบบ&ดีไซน์ผลงาน ให้ลงตัวกับภาคการผลิตก่อนทำ Prototype  นอกจากผลงานของผู้ชนะการประกวดจะเข้าสู่กระบวนการผลิตจริงแล้ว ผู้ชนะเลิศอันดับ 1  ยังจะได้ส่วนแบ่งจากการจำหน่ายสินค้า 5% โดยมีระยะเวลาจำหน่าย 1 ปี ที่ ILM  (วางจำหน่ายราวปลาย Q4 / 2566)  สำหรับผลงานของผู้ชนะเลิศอันดับ 2 และอันดับ 3 สามารถพรีออเดอร์ได้ผ่านทาง www.goodgeek.com ก่อนดำเนินการผลิตและจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ต่อไป อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เชื่อมั่นในพลังความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย  พร้อมเข้าร่วมสนับสนุน และมอบโอกาสเพื่อต่อยอดการสร้างรายได้ให้สังคมอย่างรอบด้าน  ตามนโยบายการขับเคลื่อนธุรกิจหลักควบคู่พัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน       อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อินเด็กซ์ฯ ปรับตัวสู้โควิด ลุยออนไลน์ สร้างยอดโต 150% เดินหน้าปรับโฉมสาขาจับลูกค้าไฮเอนด์
[PR News] ฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้ สนับสนุนบัตรห้องพักโรงแรมในเครือฯ ในงานพัทยามาราธอน 2566

[PR News] ฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้ สนับสนุนบัตรห้องพักโรงแรมในเครือฯ ในงานพัทยามาราธอน 2566

บริษัท ฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้ จำกัด บริษัทในเครือ ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ร่วมสนับสนุนรางวัลบัตรห้องพักโรงแรมในเครือ 2 วัน 1 คืน จำนวน 6 รางวัล   ในงาน “ การแข่งขันวิ่งพัทยา มาราธอน 30  (พัทยา มาราธอน 2023) ”  อาทิ บัตรห้องพัก โรงแรม เบย์เฟียร์ โฮเทล พัทยา (Bayphere Hotel Pattaya) 4 รางวัล, บัตรห้องพัก โรงแรม ครอส ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ (Cross Vibe Pattaya Seaphere) 2 รางวัล สำหรับผู้ชนะการแข่งขันวิ่ง   โดยมี นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เป็นผู้มอบรางวัล พร้อมด้วย นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา ให้เกียรติร่วมมอบรางวัลครั้งนี้ ที่ เทอร์มินอล 21 พัทยา เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา   ซึ่งภายในงานยังมีทีมพนักงานจากโรงแรมในเครือบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม เบย์เฟียร์ โฮเทล พัทยา (Bayphere Hotel Pattaya), โรงแรม ครอส พัทยา โอเชียนเฟียร์ (Cross Pattaya Oceanphere) และโรงแรม ครอส ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ (Cross Vibe Pattaya Seaphere) ร่วมเป็นกำลังใจให้กับเหล่านักวิ่ง และผู้ร่วมแข่งขันทุกท่าน โดยการมอบของที่ระลึกภายในงาน ด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานครึกครื้น   บทความ ฮาบิแทท ร่วมสนับสนุนงาน PATTAYA INTERNATIONAL BIKINI BEACH RACE 2022 7 เหตุผล “ฮาบิแทท กรุ๊ป” ฝาก “เฮนตระกูล” ปั้นไฮแลนด์ลงทุนพูลโฮสเทล 1,700 ล้าน
เสนา ฮันคิว ฮันชิน เปิดศึกตลาด “ทาวน์โฮม” ส่ง “เสนา เวล่า” ชิงแชร์ย่านบางบัวทอง

เสนา ฮันคิว ฮันชิน เปิดศึกตลาด “ทาวน์โฮม” ส่ง “เสนา เวล่า” ชิงแชร์ย่านบางบัวทอง

เสนา ฮันคิว ฮันชิน  รุกตลาดทาวน์โฮมย่านบางบัวทอง ขานรับดีมานด์ตลาดที่อยู่อาศัยชานเมืองแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่มีการเติบโตสูง ล่าสุดลงสนามชิงแชร์ดีมานด์ตลาดทาวน์โฮมกับโครงการใหม่ล่าสุดแบรนด์ เสนา เวล่า รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง ทาวน์โฮม แนวคิดบ้านพลังงานเป็น “0” ครั้งแรก สร้างไลฟ์สไตล์ช่วยลดคาร์บอน พร้อมฟังก์ชันครบตอบรับทุกการอยู่อาศัย ราคาเริ่มเพียง 3.79 ล้านบาท พบกัน 5 -6 สิงหาคมนี้      ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เตรียมเปิดตลาดทาวน์โฮมแนวคิดบ้านพลังงานเป็น 0  โครงการใหม่ล่าสุด แบรนด์ เสนา เวล่า รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง ด้วยมูลค่าโครงการ 700 กว่าล้านบาท พัฒนาเป็นทาวน์โฮมอิสระ 2 ชั้น บนเนื้อที่โครงการ 22 ไร่เศษ มีให้เลือก 2 แบบ คือ แบบ THEE พื้นที่ใช้สอย 128 ตรม. และแบบ THEE PLUS ทาวน์โฮมแนวใหม่ หน้ากว้าง 7.7 เมตร พื้นที่ใช้สอย 140 ตรม. ฟังก์ชันภายในแบ่งเป็น 4+1 ห้องนอน และ 3 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน รวมทั้งหมด 180 ยูนิต ราคาเริ่ม 3.79 ล้านบาท*   จุดเด่นตัวบ้านกว้างขวาง ผนังแยกเป็นสัดส่วนไม่ติดเพื่อนบ้าน และมีพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชั่นการใช้งานมี 4+1 ห้องนอน (สามารถปรับเปลี่ยนได้ เป็นห้องทำงาน หรือห้องผู้สูงอายุ)  เหนือกว่าทาวน์โฮมทั่วไปเสมือนอารมณ์ได้บ้านเดี่ยว เสนา เวล่า รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง ถือเป็น “ทาวน์โฮม” ทางเลือกสำหรับกลุ่มลูกค้าที่กำลังซื้อไม่มากพอ หรืออีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจและตอบสนองความต้องการเบื้องต้นของผู้ซื้อบ้านหลังแรกได้เป็นอย่างดี สำหรับโครงการ เสนา เวล่า รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง ทาวน์โฮมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ไม่ว่าวัยทำงานและกลุ่มคนที่ต้องการขยับขยายเพื่อสร้างครอบครัวใหม่ ด้วยบ้านดีไซน์สไตล์โมเดิร์นหรูหราผสมผสานความทันสมัย พร้อมปลูกฝังสร้างไลฟ์สไตล์ช่วยลดคาร์บอนเริ่มต้นจากบ้านและวิถีชีวิตประจำวัน (Decarbonization lifestyle) ด้วยเทคโนโลยีมาตรฐานใหม่ EV Ready ที่นี่ จึงเป็นทาวน์โฮมแห่งแรก ที่เตรียมระบบสำหรับรองรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าไว้ให้เป็นมาตรฐานในทุกหลังคาเรือน ชาร์จได้เต็มประสิทธิภาพ พร้อมสร้างแนวคิดบ้านพลังงานเป็น “0” (Zero Energy House : ZEH) ด้วยการเลือกใช้วัสดุและองค์ประกอบของตัวบ้านที่ช่วยประหยัดพลังงาน และการออกแบบเพื่อกันความร้อน เช่น เลือกใช้บุฉนวนหลังคาบ้าน และกระจกป้องกันรังสี เพื่อป้องกันความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ตัวบ้าน และเลือกโถชักโครก แบบ Dual Flush เพื่อช่วยประหยัดน้ำ มีระบบ Emergency Light ระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉิน รองรับกรณีไฟดับกระทันหัน โดยติดตั้งบริเวณชั้น 2   เสนาเป็นอสังหาฯ รายแรกของไทยที่พัฒนาโครงการติดโซลาร์เซลล์แบบครบวงจร  และเป็นครั้งแรกกับการพัฒนาอีกขึ้นด้วยการนำแนวคิดบ้านพลังงานเป็น 0 ปรับใช้ใส่โซลูชั่นดีไซน์ภายในทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และอาคารพาณิชย์ ให้ลูกบ้านได้ประโยชน์สูงสุดทั้งประหยัดค่าใช้จ่าย ช่วยลดโลกร้อน ช่วยลดคาร์บอน พร้อมการบริการ SENA 360 Application ดูแลหลังการขายและแจ้งช่อมให้ลูกบ้านได้สะดวกสบายตลอด 24 ชั่วโมง สาธารณูปโภคภายในโครงการครบครัน แบ่งออกเป็น 2 โซน ได้แต่ “Circle Of Nature” พื้นที่กิจกรรมกลางแจ้งในแบบ Universal Design ตอบสนองการใช้งานของคนทุกช่วงวัยในครอบครัว พร้อมกับ Play Ground” Adventure Theme Park พื้นที่ที่ถูกจัดสรรไว้สำหรับเด็กๆ ได้ทำกิจกรรม วิ่งเล่น ปล่อยพลังได้อย่างสุดเหวี่ยง และ Basket Ball Court สำหรับกลุ่มวัยรุ่นวัยทำงาน ได้ใช้ออกกำลังกายกับกีฬาสุดโปรด ซึ่งกิจกรรมทั้งหมด ผสานต่อเนื่องกลมกลืนไปกับสวนขนาดใหญ่และลู่ Jogging Track เชื่อมต่อสู่สวนริมน้ำภายในโครงการ และยังมี Bicycle Lane Link ช่องทางปั่นจักรยานที่จะเชื่อมต่อไปยังส่วนกลางอีกโซนที่สำคัญคือ “Circle Of Wellness” ซึ่งเป็นคลับเฮ้าส์ที่รวมกิจกรรมแอคทีฟต่างๆ ไว้ให้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นฟิตเนสหรือสระว่ายน้ำ และพื้นที่รับรองแขกและ Co-Working Space   ด้วยศักยภาพ “ถนนบางกรวย-ไทรน้อย” ทำเลสุดยอดโลเคชั่นในวันนี้ ด้วยเส้นทางที่มีศักยภาพมีผู้คนใช้สัญจรไปมาเป็นอันดับต้นๆ เดินทางสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า ใกล้กับรถไฟฟ้าถึง 2 สาย สถานีคลองบางไผ่และสถานีบางพลู เพียง 5 นาที สะดวกทุกการเดินทางใกล้แยกบางบัวทอง-ไทรน้อย ถนนราชพฤกษ์-ชัยพฤกษ์ ถนนรัตนาธิเบศร์  เป็นต้น และแวดล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ เช่น เซ็นทรัล พลาซ่า เวสต์เกต สถานศึกษา และโรงพยาบาลต่าง ๆ อีกหลากหลายแห่ง

1 2 3 4 ... 103