ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 54 55 56 ... 106
นีโอ เนรมิตพื้นที่ 6 หมื่นตร.ม. เตรียมจัดงาน สถาปนิก’ 62 เวทีหนึ่งเดียวระดับภูมิภาค ดึงผู้ร่วมงานนานาชาติ 850 แบรนด์ดังทั่วโลก เปิดโอกาสจับคู่เจรจาธุรกิจครั้งใหญ่ในรอบปี รับผู้ชมงานกว่า 5 แสนคน

นีโอ เนรมิตพื้นที่ 6 หมื่นตร.ม. เตรียมจัดงาน สถาปนิก’ 62 เวทีหนึ่งเดียวระดับภูมิภาค ดึงผู้ร่วมงานนานาชาติ 850 แบรนด์ดังทั่วโลก เปิดโอกาสจับคู่เจรจาธุรกิจครั้งใหญ่ในรอบปี รับผู้ชมงานกว่า 5 แสนคน

“บริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์” ร่วมกับ สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงานสถาปนิก’ 62 ชูแนวคิด “กรีน อยู่ ดี : Living Green” ชี้โอกาสใหญ่ของผู้ร่วมแสดงสินค้า ก้าวสู่เวทีนานาชาติ ร่วมขยายตลาดทั้งใน และต่างประเทศครั้งสำคัญ   นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็น.ซี.ซี. เอ็กซิบิชั่น ออกาไนเซอร์ จำกัด (นีโอ) เปิดเผยว่า นีโอได้รับเกียรติจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ให้เป็นผู้บริหารงาน “สถาปนิก’ 62-63” อย่างเป็นทางการ  โดยบริษัทฯ ได้ผ่านกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่โปร่งใส ด้วยศักยภาพ และประสบการณ์ จากผลงานต่างๆ ในระดับประเทศ ที่ทาง เอ็น.ซี.ซี. ได้เคยจัดมา   สำหรับการจัดงานสถาปนิก’ 62 ครั้งนี้ เตรียมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 เมษายน ถึงวันที่ 5 พฤษภาคม 2562 ณ อาคารชาแลนเจอร์ฮอลล์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี  ซึ่งเป็นการจัดขึ้นครั้งที่ 33 ภายใต้แนวคิด “กรีน อยู่ ดี : Green Living” ที่ได้มีการนำภูมิปัญญาที่อยู่ใกล้ตัวเข้ามาใช้ในกระบวนการออกแบบ การวางผัง การใช้วัสดุก่อสร้าง รวมถึงการใช้งาน การบำรุงรักษา การปรับปรุง หรือการจัดการเมื่อหมดอายุ มาผนวกใช้กับนวัตกรรม เทคโนโลยีในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดสถาปัตยกรรมชุมชน และเมืองในด้านบวก ทั้งสิ่งแวดล้อม และผู้ใช้งาน ต่อการใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า “บริษัทฯ วางเป้าหมายที่จะยกระดับให้งานสถาปนิก’62 เป็นงานระดับภูมิภาคครั้งใหญ่แห่งปี ซึ่ง ผู้ร่วมแสดงสินค้านอกจากจะได้เจรจาการค้าจับคู่ทางธุรกิจต่อธุรกิจแล้ว ผู้แสดงสินค้ายังมีโอกาสได้พบปะเจรจาการค้ากับผู้ชมงานกลุ่มต่างๆ ทั้งในประเทศ และอาเซียน อาทิ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมก่อสร้างและอาคาร ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ นักลงทุน สถาปนิก นักออกแบบ นักตกแต่งภายใน วิศวกร ผู้รับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนผู้ส่งออก และเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งคาดว่าผู้ชมงานในปีนี้จะมีประมาณ 5 แสนคน เพิ่มขึ้นจากการจัดงานครั้งก่อน 25%” นายศักดิ์ชัย กล่าว   ทั้งนี้ บริษัทฯ จะนำจุดแข็งจากการเป็นเครือข่ายพันธมิตรผู้จัดงานในกลุ่มวัสดุก่อสร้างในภูมิภาคเอเชีย นำผู้ประกอบการในแต่ละประเทศทั้งรายเก่าและรายใหม่เข้าร่วมแสดงสินค้า บนพื้นที่กว่า 60,000 ตร.ม. เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่จัดบนพื้นที่ 31,000 ตร.ม. และปีนี้ยังมีเป้าหมายที่จะเพิ่มพื้นที่สำหรับผู้แสดงสินค้าจากต่างประเทศเป็น 3,000 ตร.ม. จากปีก่อนที่จัดบนพื้นที่ 2,500 ตร.ม. ซึ่งในเบื้องต้นได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการจากอเมริกา เยอรมนี อิตาลี ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย และเวียดนาม โดยคาดว่าจะมีบริษัทต่างๆ เข้าร่วมแสดงสินค้าประมาณ 850 บริษัท ซึ่งขณะนี้ ผู้ประกอบการได้จองพื้นที่ไปแล้ว ประมาณ 80% สำหรับผู้สนใจที่ต้องการเข้าร่วมแสดงสินค้าในงานสถาปนิก’ 62   สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.asa.or.th/architectexpo หรือโทรสอบถามได้ที่ 02-203-4299, E-mail: architect@nccexhibition.com หรือ Facebook : ASACREW or NCCEXHIBITIONORGANIZER      
ฟินน์ อโศก คอนโดโลว์ไรส์ใหม่ใจกลาง CBD ตอบทุกโจทย์การใช้ชีวิต ใกล้ชิดธรรมชาติมูลค่ากว่า 1,800 ล้าน

ฟินน์ อโศก คอนโดโลว์ไรส์ใหม่ใจกลาง CBD ตอบทุกโจทย์การใช้ชีวิต ใกล้ชิดธรรมชาติมูลค่ากว่า 1,800 ล้าน

ฟินน์ ดิเวลลอปเม้นท์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ลุยตลาดนิชพรีเมียมรับปีใหม่ เอาใจคนเมืองที่รักธรรมชาติ ด้วยการตอบโจทย์การใช้ชีวิตครบ 360 องศา ในโลเคชั่นที่ใช่ คุ้มค่าเกินราคา เปิดตัว ฟินน์ อโศก (FYNN Asoke) ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 10 คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สไตล์โมเดิร์น ทรอปิคอล บนทำเลทองผืนใหญ่ใจกลางอโศก แวดล้อมด้วยสวนสาธารณะ และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ผสมผสานการใช้ชีวิตคนเมือง และสโลว์ไลฟ์ได้อย่างลงตัว ตกแต่งพร้อมอยู่ ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.5 ล้านบาท หรือ 185,000 บาทต่อตารางเมตร   นายพงศธร จอม สาลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฟินน์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ประกาศแผนดำเนินธุรกิจปี 2562 เตรียมรุกอสังหาฯ เต็มสูบ หลังประสบความสำเร็จกับการเปิดตัวคอนโดโลว์ไรส์ 2 แห่ง ภายใต้แบรนด์ ‘ฟินน์’ พร้อมชูไฮไลท์โครงการใหม่ล่าสุด ‘ฟินน์ อโศก’ มูลค่าโครงการกว่า 1,800 ล้านบาท ตึกคู่สุดหรูแบบ Affordable Luxury บนทำเลทองเกือบสองไร่ บนสุขุมวิทซอย 10 ห่างจาก BTS อโศก เพียง 550 เมตร พร้อมต้นจามจุรียักษ์ อายุกว่า 60 ปีแผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอย่างงดงามใจกลางโครงการ คำตอบที่ใช่สำหรับไลฟ์สไตล์ชีวิตคนเมือง ไม่เพียงแต่พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก แต่ยังตอบโจทย์ชีวิตที่อยากใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น และใส่ใจสุขภาพ รักในการออกกำลังกายกลางแจ้ง เพราะสามารถเดินเชื่อมต่อไปยังสวนเบญจกิตติ ด้วยระยะทางเพียง 200 เมตร และเส้นทางเดินรอบทะเลสาบซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาพื้นที่เป็นสวนป่าเบญจกิตติ สวนที่ใหญ่ที่สุดใจกลางกรุงเทพมหานคร ด้วยพื้นที่ถึง 450 ไร่ ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.5 ล้านบาทเท่านั้น อีกทั้งยังมีรูปแบบห้องให้เลือกมากถึง 6 ประเภท คาดได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และสามารถปิดการขายได้ภายในครึ่งปีแรก สำหรับสองโครงการแรก คือ ‘ฟินน์ อารีย์’ มูลค่าโครงการกว่า 350 ล้านบาท ปัจจุบันปิดการขาย และโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดแล้ว และโครงการที่สอง ‘ฟินน์ สุขุมวิท31’ มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท สามารถปิดการขายแล้วกว่า 90% โดยอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และคาดว่าจะแล้วเสร็จ และทำการโอนกรรมสิทธิ์ภายในไตรมาสที่ 4 ปีนี้   นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนเดินหน้าพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อีก 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการประเภทคอนโดมิเนียมและโรงแรม   นายไพทยา บัญชากิติคุณ Partner บริษัท อะตอม ดีไซน์ ผู้ออกแบบโครงการ ฟินน์ อโศก กล่าวว่า ได้ออกแบบในแนวคิดโมเดิร์น ทรอปิคอล ฟื้นฟูสมดุลย์ของการใช้ชีวิตใจกลางเมือง ด้วยการเชื่อมหนึ่งในศูนย์กลางธุรกิจที่หนาแน่นที่สุดเข้ากับความร่มรื่นของธรรมชาติ แรงบันดาลใจในการออกแบบ ฟินน์ อโศก เปรียบดั่งโอเอซิสแห่งความสงบร่มรื่นใจกลางความเร่งรีบของย่านธุรกิจ CBD โดดเด่นที่เส้นโค้งเว้าของอาคารรับวิวสวนสวยได้ทุกห้อง ตัวอาคารโอบล้อมต้นจามจุรียักษ์ อายุกว่า 60 ปี ที่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอย่างงดงาม และสร้างบรรยากาศการหลอมรวมกับพื้นที่สีเขียวอย่างน่าประทับใจ ฟินน์ อโศก เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ตกแต่งพร้อมอยู่สูง 8 ชั้น 2 อาคาร ห้องชุดรวมทั้งหมด 263 ห้อง โดยแบ่งเป็น อาคาร A จำนวน 144 ห้อง และอาคาร B จำนวน 119 ห้อง พิถีพิถันในการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ และสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งภายในและภายนอกอาคารอย่างครบครัน อาทิ ห้องรับรองแขก พื้นที่ทำงานรวม ห้องฟิตเนส ห้องขี่จักรยานจำลอง ห้องโยคะ ห้องดูหนัง ศาลาจามจุรี สระว่ายน้ำความยาว 25 เมตร สระเด็กและถ้ำจำลอง และไฮไลท์สิ่งอำนวยความสะดวกบนชั้นดาดฟ้า พื้นที่กว่า 1,000 ตารางเมตร อาทิ สวน และทางออกกำลังกาย แปลงปลูกผัก ระเบียงชมพระอาทิตย์ตก ฟอเรส เลานจ์ ครัวกลางแจ้ง เตาบาร์บีคิว เป็นต้น ด้านรูปแบบห้องพัก ประกอบด้วย 6 ประเภท ได้แก่ 1 ห้องนอน ขนาด 24-49 ตารางเมตร, 1 ห้องนอนพลัส ขนาด 40-62 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาด 48-57 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาด 46-68 ตารางเมตร, 3 ห้องนอน ขนาด 104 ตารางเมตร และห้องดูเพล็กซ์ขนาด 120 ตารางเมตร นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัทซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าสำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะโซนสุขุมวิท ต่อ CBD อื่นๆ ปลายปีที่ผ่านมา เทียบกับปี 2562 และ ทำเลทอง คอนโด Demand vs Supply โซนสุขมวิทยังคงเป็นทำเลที่นิยมของตลาดที่อยู่อาศัย และตลาดเช่า เนื่องจากใกล้เส้นรถไฟฟ้า และราคาของคอนโดมิเนียมในสุขุมวิทปัจจุบันสูงมาก หลายๆโครงการเปิดตัวที่ราคากว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตร จากที่มีโครงการเปิดใหม่หลายแห่งในเส้นสุขุมวิท โดยเฉพาะโซนสถานีบีทีเอสพร้อมพงษ์ และทองหล่อ ทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกในทำเลเดียวกันจำนวนมาก ผู้บริโภคจึงจำเป็นต้องหาทำเลที่มี Supply น้อยลง และอยู่ในราคาที่จับต้องได้เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาในการตัดสินใจเลือกซื้อ   สำหรับตลาดที่อยู่อาศัย ที่จะมาแรงในปี 2562 คืออสังหาริมทรัพย์แนวราบ ได้แก่ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม โดยเน้นไปในโซน mid-town และชานเมืองมากขึ้น เนื่องจากราคาที่ดินที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในใจกลางเมือง ทำให้ทำเลใน CBD ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมระดับซุเปอร์ลักชัวรี่ และ Branded Residence ซึ่งมีราคาสูง แนวโน้มของอสังหาฯ ปี 2562 นั้น ราคา ทำเล และรูปแบบของโครงการ คือสิ่งที่ผู้พัฒนาจะต้องปรับให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภค คอนโดมิเนียมประเภท Low-rise จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยในเมือง และราคาไม่สูงมากนัก ด้านราคาที่ดินยังคงสูงขึ้น โดยเฉพาะตามเส้นรถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ที่กำลังก่อสร้าง และอาจมีโอกาสเห็นการซื้อขายที่ดินราคาเกินสามล้านบาทต่อตารางวาในทำเลเดิม คือ ใจกลางลุมพินี เนื่องจากมีที่ดินแบบ Freehold เหลือไม่มากแล้ว   สำหรับพฤติกรรมของผู้บริโภค ผู้บริโภคมีตัวเลือกในตลาดมากขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการเปรียบเทียบ ผู้บริโภคมองคอนโดมิเนียมมากกว่าการซื้อเพื่ออยู่อาศัยเท่านั้น แต่ต้องเป็นการลงทุนที่ดีด้วย เน้นเรื่องมูลค่าเพิ่มในอนาคต ซึ่งต่างจากเดิมที่จะมองแยกสองด้าน คือ มองว่าคอนโดมิเนี่ยมที่จะซื้อนั้นเหมาะกับอยู่เอง หรือ มองว่าจะซื้อเพื่อปล่อยเช่าหรือขายต่อ ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร ทางด้านผู้พัฒนาอสังหาฯ ก็ต้องปรับเปลี่ยนมาขายไลฟ์สไตล์มากขึ้น เพื่อชูความแตกต่างของแต่ละโครงการเพื่อตอบสนองความต้องการที่มากขึ้นของผู้บริโภค โครงการ ฟินน์ อโศก จะเปิดขายอย่างเป็นทางการ (พรีเซล) ในวันที่ 19-20 มกราคมนี้ ที่สำนักงานขายในสุขุมวิท ซอย 10 พร้อมห้องตัวอย่าง พบโปรโมชั่นพิเศษในงาน อาทิ ชุดเฟอร์นิเจอร์ พร้อมรับส่วนลดในวันจองสูงสุด 300,000 บาท สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถลงทะเบียนเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.fynnasoke.com หรือ 092-201-9999          
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เผยตัวเลขรายได้ปี 61 เติบโตตามเป้า ประกาศแผนงานปี 62 หวังขึ้นแท่นผู้นำตลาดอสังหาฯ แนวราบ  เตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติม 8-10 โครงการ  ตั้งเป้าเติบโต 15% ยอดขาย 5,300 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 4,650 ล้านบาท

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เผยตัวเลขรายได้ปี 61 เติบโตตามเป้า ประกาศแผนงานปี 62 หวังขึ้นแท่นผู้นำตลาดอสังหาฯ แนวราบ เตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติม 8-10 โครงการ ตั้งเป้าเติบโต 15% ยอดขาย 5,300 ล้านบาท ยอดรับรู้รายได้ 4,650 ล้านบาท

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เผยตัวเลขผลประกอบการปี 2561 ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ พร้อมประกาศแผนงานปี 2562 ขยายตัวต่อเนื่อง เน้นรุกตลาดแนวราบ ตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้ประกอบการแนวหน้าของตลาด หลังมองเห็นกำลังซื้อ Real Demand ชัดเจน และมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ  เตรียมทุ่มงบซื้อที่ดิน 1,000 ล้านบาท พร้อมเปิดตัว 8-10 โครงการใหม่ บนทำเลศักยภาพสูง รองรับการขยายตัวของเมืองทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ยึด กลยุทธ์ Lifestyle Marketing เจาะกลุ่มลูกค้า พร้อมอัดแคมเปญตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ตั้งเป้าการเติบโตปี 2562 ขยายตัว 15% กวาดยอดขาย 5,300 ล้านบาท นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) (Mr.Chaiyan Chakarakul (CEO , Lalin Property Plc.) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปีกล่าวว่า ในปี 2561 ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย มีการขยายตัวได้จากปีก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมที่คาดว่าทั้งปีจะขยายตัวได้ราว  4.0-4.3%  ตัวเลขการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ตลอดจนผลบวกจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ โดยเฉพาะด้านคมนาคม ที่ขยายเส้นทางรองรับการขยายตัวของเมือง ทั้งโครงการที่ดำเนินการแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง รวมทั้งโครงการที่อยู่ในแผนแม่บท ทำให้เกิดทำเลใหม่ๆ ของโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ในปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่ไปทั้งสิ้น 7 โครงการ โดยสามารถทำยอดขาย และยอดรับรู้ได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยมีกำลังซื้อหลักจากกลุ่ม real demand ที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริง ซึ่งมีทั้งกลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่และกลุ่มคนวัยทำงาน สำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2562 จะเป็นปีสำหรับผู้ประกอบการที่เป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง มองว่าตลาดโดยรวมยังคงเติบโตได้ แต่อาจเติบโตในอัตราที่ชะลอลง แม้เศรษฐกิจโดยรวมน่าจะขยายตัวได้จากปี 2561 ราว 4.0-4.3%  ประกอบกับปัจจัยบวกจากการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี ตลอดจนการลงทุนของภาครัฐที่เป็นงบผูกพันต่อเนื่องมาจากปีก่อนหน้า อย่างไรก็ดีในปี 2562 นี้ก็มีปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัย ที่อาจเข้ามากระทบ ไม่ว่าจะความเสี่ยงจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก  ความเสี่ยงจากสงครามทางการค้า ความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ตลอดจนความเสี่ยงจากผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการควบคุม LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2562 นี้ได้ ทั้งนี้สำหรับเกณฑ์ LTV ใหม่ที่จะเริ่มใช้ในวันที่ 1 เมษายนที่จะถึงนี้ นั้น ในแง่ของบริษัทเน้นทำตลาดในกลุ่ม Real Demand และลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าที่ซื้อบ้านหลังแรก ดังนั้นจึงได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวไม่มาก   สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2562 นี้ จะให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มทาวน์โฮม บ้านแนวคิดใหม่ และบ้านเดี่ยว โดยมีแผนขยายโครงการใหม่ทั้งสิ้น 8-10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,000-4,500 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 5,300 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 4,650 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นราว 15% จากปี 2561 นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) (Mr. Churat Chakarakul, Deputy Managing Director, Lalin Plc.) กล่าวถึง แผนงานด้านการตลาด ว่า “ในปีนี้ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จะดำเนินธุรกิจเชิงรุก แสดงศักยภาพขององค์กรต้นแบบผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน ยาวนานกว่า 30 ปี รวมถึงการสร้างศักยภาพองค์กรให้เติบโตในตลาดทุนอสังหาริมทรัพย์อย่างมั่นคง โดยในปีนี้ บริษัทฯ วางเป้าหมายขึ้นเป็นผู้ประกอบการแนวหน้าของตลาด ภายใต้โครงการมิกซ์ยูส แบรนด์ ลลิล ทาวน์ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ภายใต้ทำเลยุทธศาสตร์ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดหัวเมืองใหญ่ เมืองท่องเที่ยว และแหล่งงานสำคัญ มูลค่ารวมประมาณ 4,000 – 4,500 ล้านบาท โดยวางกลยุทย์การตลาด ภายใต้แนวคิด The Urban Destination For Living สร้างฐานลูกค้าใหม่ในกลุ่มอายุ 25-40 ปี ในขณะที่ยังรักษาฐานลูกค้าเก่าของลลิล และถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นเพื่อต่อยอด Brand Loyalty ในส่วนของการพัฒนาบ้านให้ตอบโจทย์ในยุค 4.0 นายชูรัชฎ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ความทันสมัย และการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่แท้จริง คือแนวคิดของบ้านที่บริษัทฯ พัฒนาในรูปแบบ ลลิล เพอร์เซอร์นัลไลซ์ สไตล์ (Lalin Personalized Style) ที่สามารถออกแบบและปรับฟังก์ชั่น เพื่อตอบโจทย์การใช้งานทุกความต้องการของลูกค้า การอยู่ร่วมกันทั้งแบบครอบครัวเดี่ยวและครอบครัวขยาย (Lalin Universal Society) อีกทั้งยังมีการใช้แนวคิด Eco Green ในการออกแบบและเลือกใช้วัสดุในโครงการ รวมถึงเน้นเรื่องการมีบริการหลังการขาย(CRM) ในรูปแบบ Lalin 4.0 Connectivity ที่ลูกค้าสามารถรับทราบข่าวสารข้อมูล สื่อสารกับลลิล แบบทูเวย์คอมมิวนิเคชั่นอย่างรวดเร็วผ่าน Line@ LalinSociety ซึ่งทั้งหมดคือการต่อยอดมาตรฐานของลลิลที่มุ่งเน้นเรื่อง Quality of Living ที่ให้กับลูกค้าของโครงการ ทั้งนี้บริษัทฯ วางงบประมาณด้านการตลาดปีนี้ประมาณ 3-4% ในส่วนของการลงทุน บริษัทฯ วางงบซื้อที่ดินไว้ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ที่ได้มาจากการโอนโครงการต่างๆ และอีกส่วนจากการออกหุ้นกู้ ซึ่งจะพิจารณาออกในจำนวนและช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้สอดรับกับการขยายธุรกิจ และการเติบโตในระยะยาวของบริษัททั้งนี้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ของบริษัทในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่มาก ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงทางด้านการเงินที่ต่ำ และยังคงมีศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อีกมากโดยไม่ติดปัญหาเรื่องของแหล่งเงินทุน ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้แนวคิด “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” ได้รับรางวัลจดทะเบียนด้านผลการดำเนินงานยอดเยี่ยม Best Company Performance Awards และรางวัลผู้บริหารสูงสุดดีเด่น Best CEO Awards จากงาน SET Awards 2018 รางวัลที่การันตีคุณภาพการบริหารงานยอดเยี่ยมระดับประเทศ สะท้อนความมุ่งมั่นของลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ในการสร้างมาตรฐานการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ตลอดระยะเวลา 30 ปี และความเป็นมืออาชีพของการบริหารงานอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะตลาดเรียล ดีมานด์ ตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยจริงโดยมีผลประกอบที่เติบโตต่อเนื่อง และยั่งยืน (Sustainable Growth)        
Gateway Bangsue ปลุกบางซื่อให้มีชีวิตชีวา

Gateway Bangsue ปลุกบางซื่อให้มีชีวิตชีวา

"บางซื่อ" ย่านนี้แม้ว่าจะมีทั้งรถไฟฟ้าสายสีม่วงผ่าน คอนโดมิเนียมขึ้นอยู่หลายโครงการ แถมในอนาคตก็ยังเป็น HUB แห่งการเดินทางที่ใหญ่ที่สุดในระดับอาเซียนอีกด้วย แต่ก็ยังคงขาดห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะมาอำนวยความสะดวก และปลุกให้เกิดความคึกคักมากขึ้นด้วย จนเมื่อวันที่  30 พ.ย. ที่ผ่านมาก็มี Gateway Bangsue เป็นคุณลุงซานต้ามาเปิดกล่องของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับชาวบางซื่อ เราเลยหาโอกาสไปเดินชมกันสักหน่อยค่ะ   การเดินทางไปยัง Gateway Bangsue เราเลือกใช้รถไฟฟ้าใต้ดินไปลงที่สถานีเตาปูน ลงทางออกที่ 1 ต่อวินมอเตอร์ไซต์ไปอีก 20 บาท หรือจะเลือกดักรอรถตู้ของ Gateway Bangsue ที่จะคอยให้บริการรับ-ส่งฟรี ทุก 15 นาที ในอนาคตถ้ารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเตาปูน-ท่าพระ เปิดให้บริการเมื่อไหร่ก็สามารถลงที่สถานีบางโพ แล้วเดินย้อนมาได้เลยค่ะ     จุดจอดรถตู้ที่คอยบริการรับ-ส่ง ฟรี จะอยู่ด้านหน้าของ Big C เลยค่ะ หาไม่ยากเลย   ความพิเศษของ Big C Food Place คือการเป็นแพลตฟอร์มใหม่แห่งแรกของ Big C เน้นจำหน่ายอาหารสดใหม่ และมีเชฟที่พร้อมปรุงอาหารให้ได้เลยทันที ซึ่งหลังจากนี้เราจะได้เห็น Big C Food Place ขยายตัวออกไปอีกในหลายๆ สาขาค่ะ   ออกมาจากโซน Big C ที่ชั้น G นี้จะเป็นร้านอาหาร และด้านในสุดเป็นโซน Food Court   ส่วนชั้นอื่นๆ ก็จะมีทั้งร้านสินค้าประเภทแฟชั่นอย่าง H&M, uniqlo, MC jeans ฯลฯ มีร้านอาหาร ร้านเซอร์วิชต่างๆ รวมถึง Home Pro ด้วยค่ะ     มาว่ากันด้วยของ Entertainment กันบ้างค่ะ ที่นี่ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะคะ เพราะมีทั้งโซน Funfesta ชั้น 5 ที่มีเกมส์ให้เล่นทั้งโซนเด็ก โซนผู้ใหญ่ และ Harbor Land ชั้น 6 ที่เป็นสวรรค์ของเด็กๆ เลยค่ะ และที่ขาดไม่ได้เลยคือโรงภาพยนตร์ Major Cineplex ชั้น 7 ซึ่งในอนาคตจะมี jetts fitness มาเปิด 24 ชม. ด้วย   SKY GARDEN บริเวณชั้น 6 เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของที่นี่ค่ะ เพราะถ้าเมื่อเทียบกับห้างสรรพสินค้าในย่านใจกลางเมืองคงไม่มีพื้นที่เปิดโล่ง เห็นวิวกว้างๆ ให้ได้นั่งชิลกันขนาดนี้   แม้ว่า Gateway Bangsue จะยังมีบางส่วนที่ยังคงเป็นพื้นที่ว่างอยู่ แต่โดยภาพรวมแล้วก็ทำให้ย่านนี้มีบรรยากาศที่คึกคักขึ้นมาได้ดีเลยล่ะค่ะ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมรอบๆ อยู่หลายโครงการที่สามารถเดินมาได้เลย เห็นได้ชัดว่าห้างสรรพสินค้าที่รวมสิ่งอำนวยความสะดวกเอาไว้ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เกต และเซอร์วิชต่างๆ ก็ยังคงดึงดูดผู้คนในละแวกนั้นเข้ามาได้อยู่เสมอค่ะ                
เจริญกรุง-สาทร ตอบโจทย์การทำงานและการอยู่อาศัยเหนือระดับ

เจริญกรุง-สาทร ตอบโจทย์การทำงานและการอยู่อาศัยเหนือระดับ

เจริญกรุง-สาทร ย่านที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก สอดคล้องกับการเติบโตในทุก ๆ ด้านของทำเลแห่งนี้ ก่อเกิดความลงตัวของการใช้ชีวิตที่ไม่จำเจ ด้วยการเดินทางที่สามารถเชื่อมต่อได้หลากหลายเส้นทางทั้ง รถ เรือ และรถไฟฟ้า นอกเหนือจากอยู่ในย่านธุรกิจ (CBD) สำคัญอย่างสาทร และใกล้กับย่านสีลม ซึ่งแวดล้อมไปด้วยอาคารสำนักงาน โรงเรียนชื่อดัง และโรงพยาบาลแล้ว ยังสามารถเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นจุดหมายปลายทาง(Destination) สำคัญ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา สร้างความเหนือระดับของการอยู่อาศัยกับชีวิตทันสมัยได้อย่างลงตัว   เจริญกรุง-สาทร นับเป็นย่านที่สำคัญทางเศรษฐกิจตั้งแต่อดีต เนื่องจากถนนเจริญกรุงนั้นเป็นถนนที่ขนานไปกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีการขนส่งสินค้าทางเรือ เกิดการค้าขาย 2 ริมฝั่งแม่น้ำ ส่งผลให้เกิดการอยู่อาศัยมาแต่ดั้งเดิม จวบจนปัจจุบันกลายเป็นชุมชนเก่าแก่ที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ในแบบดั้งเดิมอยู่จำนวนไม่น้อย อีกทั้ง มีร้านอาหารชื่อดังในตำนานหลายร้าน อาทิ ร้านเป็ดย่างประจักษ์ ร้านโจ๊กปริ้นเซส ตรงแยกบางรัก หรือร้านข้าวต้มปลาเจ้าอร่อยตรงแยกถนนจันทน์ ขณะเดียวกัน มีความทันสมัยคืบคลานเข้ามาทำให้ย่านนี้เกิดการผสมผสานกันทางวัฒนธรรม มีร้านอาหารทันสมัยเกิดขึ้นมาจำนวนไม่น้อย นั่นก็เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของการใช้ชีวิตทันสมัยของผู้คนในปัจจุบัน การเติบโตของย่านเจริญกรุง-สาทร จึงมีพัฒนาการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา มีการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับ 5 ดาว ต่อยอดความเป็นจุดหมายปลายทางริมแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งผลให้ทำเลแห่งนี้เป็นย่านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในความหรูหรา เหนือระดับ มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย โดยเฉพาะการเดินทางที่แสนจะสะดวกสบาย   การเดินทางเชื่อมต่อได้หลากหลายรูปแบบ โดยสามารถเชื่อมต่อการเดินทางได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นทางรถ เชื่อมต่อเข้าออกถนนสายหลักได้หลายเส้นทาง อาทิ ถนนเจริญกรุง ถนนสาทร ถนนจันทน์ ถนนเจริญราษฎร์ และถนนพระราม 3 อีกทั้งยังอยู่ใกล้กับทางด่วนพิเศษศรีรัช ยังมีรถไฟฟ้า BTS สายสีลมมุ่งหน้าเข้าสาทร และข้ามฝั่งไปกรุงธนบุรี ทำให้การเดินทางเข้าสู่ย่านธุรกิจใจกลางเมืองอื่นๆ เช่น ย่านสีลม สยาม สุขุมวิท หรือแม้แต่รัชดาภิเษกได้ด้วยการใช้ระยะเวลาเดินทางไม่นานนัก รวมทั้งเส้นทางน้ำ มีทั้งเรือโดยสารไปยังสถานที่สำคัญ ๆ และเรือข้ามฟาก ก็มีไว้ให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกทั้งการเดินทางท่องเที่ยวทางน้ำ และการเดินทางที่ต้องการหลีกหนีความคับคั่งจากตัวเมือง   สิ่งอำนวยความสะดวกครบ-ชีวิตไม่จำเจ หากไม่นับอาคารสำนักงานของธุรกิจขนาดใหญ่ของประเทศ ซึ่งเรียงรายอยู่ตลอดเส้นทางถนนสาทรแล้ว ย่านเจริญกรุง-สาทร ยังรายล้อมไปด้วยสถานศึกษาชื่อดัง อาทิ โรงเรียนนานาชาติ โชรส์เบอรี่ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน และโรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก ส่วนโรงพยาบาลในย่านนี้ เช่น โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ ยังมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ริมน้ำเจ้าพระยา อาทิ เอเชียทีค และจุดหมายแห่งใหม่นั่นคือ ไอคอนสยาม   ตลอดจนแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ที่สามารถให้เวลาในวันว่าง ๆ กับการท่องเที่ยวในแบบดั้งเดิม คือการท่องเที่ยวในย่านชุมชนเก่าแก่ หรือชื่นชมกับความทันสมัยที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาได้อย่างลงตัว ซึ่งจะทำให้การใช้ชีวิตในย่านนี้ไม่มีความจำเจ   ตลาดคอนโดหรูยังเติบโต-หนุนราคาขยับ ในแง่การเติบโตของคอนโดมิเนียมริมสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยานั้น ขยายตัวต่อเนื่องในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ที่เข้ามาตอบสนองชีวิตทันสมัย เหนือระดับ มาพร้อมบรรยากาศความมีชีวิตชีวาของสายน้ำ เจาะกลุ่มตลาดคนมีกำลังซื้อซึ่งเป็นกลุ่มที่ยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง เห็นได้จากราคาคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำเจ้าพระยาขยับสูงขึ้นทุก ๆ ปี เช่นเดียวกับราคาคอนโดมิเนียมในย่านเจริญกรุง-สาทร ที่ปัจจุบันมีราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรสูงกว่า 200,000 บาท และคาดว่ายังคงมีแนวโน้มเติบโตดีต่อไป เนื่องจากความต้องการของกลุ่มคนมีกำลังซื้อที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง   ที่สำคัญ จุดเด่นของทำเลนี้ นอกจากจะเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ แล้ว ยังอยู่ใกล้กับย่านธุรกิจสำคัญ (CBD) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่หลายแห่ง คือย่านสีลม และสาทร การเดินทางสะดวกและใช้เวลาไม่มากนัก ขณะเดียวกันปัจจุบันพื้นที่สำหรับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในย่านนี้มีค่อนข้างจำกัด นั่นเป็นเหตุผลที่ผลักดันให้ราคาคอนโดมิเนียมในย่านนี้มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น   ชีวิตทันสมัยกับ “อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง-สาทร” “อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง-สาทร” (Altitude Symphony Charoenkrung-Sathorn) โครงการคอนโดมิเนียม Luxury River View Condominium ในกลางเมืองในย่านธุรกิจ (CBD) พัฒนาโดยบริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด อีกหนึ่งโครงการที่สะท้อนท่วงทำนองของการใช้ชีวิตเหนือระดับ ผ่านการเลือกสรรที่บ่งบอกถึงตัวตนของผู้อยู่อาศัย ออกแบบพื้นที่เพื่อให้การใช้เวลาอันมีค่าร่วมกับครอบครัว และเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของชีวิตในเมือง   โครงการ อัลติจูด ซิมโฟนี เจริญกรุง สาทร ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพ ถนนจันทน์ 44 เข้าซอยเพียง 60 เมตร เนื้อที่ 369 ตารางวา ความกว้างถนนหน้าที่ดินกว้างกว่า 15 เมตร จำนวนเพียง 99 ยูนิต 1 อาคาร 21 ชั้น พร้อมสวนบนชั้นดาดฟ้า และที่จอดรถแบบระบบอัตโนมัติในชั้นใต้ดิน 4 ชั้น ห่างจากรถไฟฟ้า BTS สถานีตากสิน 1.3 กิโลเมตร และสถานีสุรศักดิ์ 1.8 กิโลเมตร ห่างจากท่าเรือด่วนเจ้าพระยา 800 เมตร และห่างจากโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี่ เพียง 400 เมตร โครงการออกแบบในสไตล์โคโลเนียล คอนเทมโพรารี่ (Colonial Contemporary Design) มีสิ่งอำนวยความสะดวก ล็อบบี้ที่โอ่โถง ห้องเด็ก สระว่ายน้ำแบบชมวิว 360 องศา ที่ชั้น 18 และ ห้องฟิตเนส บนชั้น 21 ห้องสกายเล้าจ์ บน Roof floor ซึ่งสามารถมองเห็นวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาที่สวยงาม และทางโครงการยังจัดให้มีพื้นที่จอดรถสูงถึง 83% พร้อมบริการ Door Man และ Valet service   รูปแบบห้องมี 6 ขนาด สนนราคาเริ่มต้น 4.9 - 29 ล้านบาท ประกอบดัวย รูปแบบ A ขนาด 1 ห้องนอน เริ่มต้นที่  30.01 – 30.10  ตารางเมตร, รูปแบบ B ขนาด 1 ห้องนอน เริ่มต้นที่  39.35 ตารางเมตร, รูปแบบ C ขนาด 2 ห้องนอน เริ่มต้นที่   61.90 - 73.66 ตารางเมตร, รูปแบบ Loft 42.17 - 125.55 ตารางเมตร, รูปแบบ Duplex  95.62 ตารางเมตร และ รูปแบบ Penthouse ขนาดห้อง 104.24 – 147.95 ตารางเมตร          
ดูลักซ์ ประกาศ “สไปซ์ ฮันนี่” เป็นสีแห่งปี 2019 เติมความหวานให้กับชีวิต

ดูลักซ์ ประกาศ “สไปซ์ ฮันนี่” เป็นสีแห่งปี 2019 เติมความหวานให้กับชีวิต

บริษัท อั๊คโซ่ โนเบล (AkzoNobel) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีทาอาคารชั้นนำระดับโลกภายใต้แบรนด์สี “ดูลักซ์” ประกาศให้ “สไปซ์ ฮันนี่” (Spiced Honey) เป็นสีแห่งปี 2019 หรือที่รู้จักกันในรหัสสี (Creme Brulee 00YY 26/220)  จากการวิจัยเทรนด์ และพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกทำให้ได้ธีมหลักในปีนี้คือ “การปล่อยให้แสงสว่างเข้า"(let the light in) “สไปซ์ ฮันนี่” คือสีกลางโทนอบอุ่นในเฉดสีน้ำตาลที่ได้แรงบันดาลใจมาจากประกายสีทองของน้ำผึ้ง เป็นเฉดสีที่มีความอเนกประสงค์และทันสมัย เข้ากับไลฟไสตล์และการการตกแต่งภายในได้หลากหลาย สะท้อนถึงความรู้สึกใหม่ของการมองโลกในแง่ดีที่พบได้จากการศึกษาเทรนด์ต่าง ๆ ทั่วโลกของเรา คุณ ฮีเลน เวน เจ็นท์ ผู้อำนวยการศูนย์สร้างสรรค์สีระดับโลกของอั๊คโซ่โนเบล (Akzo Nobel’s Global Aesthetic Center) กล่าวว่า “สีสันของเราเกิดจากการทำงานที่ศูนย์สร้างสรรค์สีระดับโลกของอั๊คโซ่โนเบล ซึ่งมีบทบาทในการวิเคราะห์เทรนด์ ศึกษาเรื่องสีสัน และทิศทางของศิลปะมากว่า 25 ปี การประกาศให้ “สไปซ์ ฮันนี่” (Spiced Honey) เป็นสีแห่งปี 2019  ในวันนี้ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าสามารถเลือกผลิตภัณฑ์สีทาอาคารด้วยความมั่นใจมากยิ่งขึ้น” ในแต่ละปี นักออกแบบมืออาชีพชั้นนำจากทั่วโลกได้รับเชิญให้เข้าร่วมศึกษาเทรนด์และโมเมนต์สำคัญต่างๆ คุณฮีเลน กล่าวเสริมว่า “ในปีที่ผ่านมามีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มากมายเกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้พวกเราหลายคนรู้สึกสับสน ฉะนั้นเราจึงจำเป็นต้องกลับมาให้ความสำคัญกับตัวเองเพิ่มมากขึ้น และตอนนี้เราพร้อมแล้วที่จะเปิดต้อนรับแสงสว่างให้เข้ามาสู่ภายใน ผลการศึกษาเทรนด์บอกว่าผู้คนทั่วโลกต่างรับรู้ถึงพลังใหม่ ๆ ความมุ่งหวัง และการมองโลกในแง่ดีเพิ่มมากขึ้น เราต้องการเข้าถึงและมีปฎิสัมพันธ์กับผู้คนเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดียิ่งขึ้น “สไปซ์ ฮันนี่” สะท้อนถึงสิ่งเหล่านี้ได้ดี และเป็นเฉดสีที่ให้ความรู้สึกสงบ ความทะนุถนอม การกระตุ้น หรือให้พลังงาน ขึ้นอยู่กับแสงและคู่สีที่เลือกใช้ ปีนี้เป็นปีที่ 16 แล้ว ที่ทางสีดูลักซ์ โดยบริษัทอั๊คโซ่โนเบล ได้มีการประกาศสีแห่งปี เพื่อช่วยสร้างสีสันและเพิ่มทางเลือกในการเลือกสีให้กับลูกค้า พร้อมความช่วยเหลือในทุกขั้นตอนตั้งแต่การสร้างแรงบันดาลใจไปจนถึงการออกแบบสี การแนะนำผลิตภัณฑ์และระบบการทาสี รวมถึงเครื่องมือที่หลากหลายและดิจิตอลโซโลชั่นใหม่ๆ เช่น แอปพลิเคชั่น  Dulux Visualizer เป็นต้น นอกจากการประกาศให้ “สไปซ์ ฮันนี่” เป็นสีแห่งปี 2019 แล้ว เรายังได้แนะนำพาเลทท์สีสำหรับการตกแต่งภายในทั้งหมด 4 ธีม ประกอบด้วย สีกลางโทนอบอุ่น สีพาสเทลอ่อน สีสดเข้ม และสีสว่างสดใส แต่ละธีมได้แรงบันดาลใจมาจากโทนสีต่างๆ รวมถึงความโดดเด่นของสีน้ำตาลประกายน้ำผึ้งที่มีความเป็นธรรมชาติ เหนือกาลเวลา ทนทาน สื่อถึงการปกป้อง ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า โดยคาดว่าพาเลทท์สีนี้จะได้รับความนิยมในวงการแฟชั่น สถาปัตยกรรม และดีไซน์ 1.สถานที่ผ่อนคลายแห่งความคิด (A soothing place to THINK) พาเลทท์สีนี้มีสีโทนอบอุ่นอย่างสีแห่งปี 2019 - สไปซ์ ฮันนี่ เป็นหัวใจหลัก พร้อมกับผสมผสานระหว่างโทนสีกลางอันน่าดึงดูดและมีสัมผัสของโทนสีชมพูอ่อนเบอร์กันดี และความพิถีพิถันของสีน้ำเงินเข้มเข้าไว้ด้วยกัน พาเลทท์สีนี้เข้ากันได้ดีกับการตกแต่งด้วยงานไม้ขัดเงา เฟอร์นิเจอร์สไตล์ยุคกลางศตวรรษ (mid-century furniture) พรมปูพื้นลายกราฟิก และงานผ้าทอที่เน้นรูปลักษณ์ที่เก๋แต่คงไว้ซึ่งความสบายตา 2.สถานที่สงบเงียบแห่งความฝัน (A calming place to DREAM) พาเลทท์สีแห่งความฝันนี้ให้ความรู้สึกเงียบสงบและเป็นผู้ใหญ่แต่คงไว้ซึ่งความนุ่มนวลและอบอุ่น เป็นการผสมผสานกันอย่างอ่อนโยนของสีชมพูและสีฟ้าทีมีความโรแมนติก เสริมด้วย “สไปซ์ ฮันนี่” สีแห่งปี 2019 ช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความสงบและลุคที่มีความพิถีพิถันได้อย่างลงตัว พาเลทท์สีนี้เหมาะกับการตกแต่งด้วยงานไม้สีอ่อน ของประดับจำพวกงานเซรามิกทำมือ และผ้าท้อที่สวยงาม ลุคนี้จะช่วยเสริมความรู้สึกนึกคิดให้เป็นศูนย์กลางของบ้านหลังนี้ 3.สถานที่อบอุ่นแห่งความรัก (A cosy place to LOVE) พาเลทท์สีนี้คือกลุ่มสีโทนอบอุ่นที่สุดของเราในปี 2019 เต็มไปด้วยเฉดสีโทนเข้ม รวมถึงสีเขียวธรรมชาติของป่าลึก สีเขียวเข้มนกเป็ดน้ำ และสีแดงเข้มของดินเผา ซึ่งเข้ากันได้ดีกับสีน้ำตาลโทนอบอุ่นอย่าง “สไปซ์ ฮันนี่” สีแห่งปี 2019 และสีกลางโทนอ่อน พาเลทท์สีแห่งความรักนี้สามารถตกแต่งร่วมกับเฟอร์นิเจอร์ไม้และภาพวาดลายพฤกษศาสตร์ ซึ่งจะช่วยสร้างบรรยากาศบ้านที่ผ่อนคลายแต่อบอุ่นสบาย เหมาะสำหรับการแบ่งปันกับคนที่คุณรัก 4.สถานที่สดใสแห่งการลงมือทำ (A vibrant place to ACT) พาเลทท์สีที่มีความขี้เล่นและสดใสนี้ผสมผสานไปด้วยสีแดงและสีเขียวสดใสเข้ากับสีชมพูอ่อนและสีน้ำเงินโดยเน้นสีเทาและสีขาว โดยมีโทนสีน้ำตาลทองอย่าง “สไปซ์ ฮันนี่” สีแห่งปี 2019 ยิ่งช่วยเสริมให้พาเลทท์สีนี้มีความอบอุ่นและให้บรรยากาศแห่งการต้อนรับ สามารถตกแต่งร่วมกับด้วยเฟอร์นิเจอร์หลากสไตล์ที่นำมาตกแต่งทาสีใหม่เพื่อเสริมความมีเอกลักษณ์ของเจ้าของห้อง เล่นกับรูปทรงกราฟิก ตกแต่งด้วยงานไม้ก๊อกและไม้อัดสีอ่อน และพรมสไตล์วินเทจช่วยให้บ้านหลังนี้กลับมามีชีวิตชีวา เป็นพื้นที่ที่เกิดแรงบันดาลใจและสร้างไอเดียเพื่อการลงมือทำ คุณ ออสการ์ วีเซนบีค กรรมการผู้จัดการ บริษัท อั๊คโซ่โนเบล เดโคเรทีฟ เพ้นท์ส ภูมิภาค เอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ กล่าวว่า “พวกเรา อั๊คโซ่โนเบล มีความภูมิใจในการช่วยเหลือให้ลูกค้าสามารถเลือกสีสันได้อย่างมั่นใจด้วยการให้ข้อมูลเทรนด์สีและธีมการตกแต่งภายในล่าสุด ทีมงานของเราทำงานตลอดทั้งปีเพื่อถ่ายทอดไอเดียเหล่านี้ให้กลายเป็นพาเลทท์สีต่าง ๆ ที่มีสีสันสวยงาม เราส่งมอบผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยเครื่องมือดิจิตอลที่มีความทันสมัย ลูกค้าจะสามารถสัมผัสประสบการณ์การออกแบบสีห้องผ่านหน้าจอมือถือ ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถตัดสินใจเลือกเฉดสีได้ตรงกับความต้องการมากที่สุด ”   ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสีแห่งปี 2019 ได้ที่ www.dulux.co.th/cf2019 หรือ www.facebook.com/dulux นอกจากนี้ สามารถสั่งซื้อสีขนาดทดลอง Dulux Colour Play™ Tester ในเฉดสี “สไปซ์ ฮันนี่” เพื่อนำมาทดลองดูเฉดสีได้ก่อนใครได้ทาง www.lazada.co.th        
ORI-KBank เปิดดีลร่วมทุน “BUTLER” แอปแรกของเมืองไทยที่รวมทุกงานบริการให้ชีวิตง่ายในแอปเดียว

ORI-KBank เปิดดีลร่วมทุน “BUTLER” แอปแรกของเมืองไทยที่รวมทุกงานบริการให้ชีวิตง่ายในแอปเดียว

“ออริจิ้น” จับมือ “กสิกรไทย” เปิดดีลร่วมทุนบริษัทในเครือ “ดิจิตอล บัตเลอร์” ผู้พัฒนาแอปและแพลทฟอร์ม BUTLER ที่รวมทุกพันธมิตรด้านงานบริการไว้ในแอปเดียว ทั้งแม่บ้าน-ดูแลรักษาบ้าน-ซักอบรีด และการเชื่อมโยงนิติบุคคล-ลูกบ้าน เตรียมยกระดับรูปแบบการชำระเงินและช่องทางการให้บริการหลังร่วมทุน พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ตอบโจทย์ผู้บริโภคครบวงจร นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า บริษัทและธนาคารกสิกรไทย หรือ KBank ได้ลงนามสัญญาร่วมทุนในบริษัท ดิจิตอล บัตเลอร์ จำกัด บริษัทย่อยในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาแอปพลิเคชันและแพลทฟอร์ม BUTLER แอปและแพลทฟอร์มแรกของเมืองไทยที่รวมทุกงานบริการให้ชีวิตง่ายในแอปเดียว   “เราและธนาคารกสิกรไทยต่างมีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้บริโภคอย่างครบวงจร ความร่วมมือระหว่างกันในครั้งนี้ จึงถือเป็นการผสานจุดแข็งระหว่างผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ มาต่อยอดให้เกิดดิจิทัล แพลทฟอร์มที่อำนวยความสะดวกผ่านบริการต่างๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ” นายพีระพงศ์ กล่าว ทั้งนี้ BUTLER เป็นแอปพลิเคชันและแพลทฟอร์มด้านการจัดการชุมชนและสังคม (Community Management Platform) ที่รวบรวมทุกงานบริการเอาไว้อย่างครบวงจร เช่น บริการแม่บ้าน บริการดูแลรักษาบ้าน บริการซักอบรีด ผ่านการรวบรวมและร่วมมือกับบริการจากหลากหลายพันธมิตรไว้ในแอปเดียว อาทิ Seekster, Fixzy, Helpdee, Betagro, JP Insurance นอกจากนี้ BUTLER ยังพัฒนาแพลทฟอร์มเชื่อมโยงนิติบุคคลกับผู้อยู่อาศัยในโครงการ พนักงาน ตลอดจนบริการของพันธมิตร มีฟังก์ชันตั้งแต่การดูและจัดการตารางกิจกรรมภายในของนิติบุคคล การใช้พื้นที่ส่วนกลาง ภาพรวมแผนงบประมาณ แจ้งค่าน้ำค่าไฟพร้อมทำการชำระผ่านระบบชำระเงินออนไลน์ได้ทันที รับแจ้งซ่อมและปัญหาการบริการต่างๆ พร้อมทั้งติดตามสถานะได้ทันที แชทคุยกับผู้จัดการนิติโดยตรง บริหารจัดการพนักงาน ตลอดจนดูตารางงานของพันธมิตรที่เข้ามาทำงานในพื้นที่โครงการ ช่วยแก้ไขปัญหาและอำนวยความสะดวกให้แก่ทั้งนิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัยและผู้อยู่อาศัย   ภายหลังการดำเนินการซื้อ-ขายหุ้นของบริษัท ดิจิตอล บัตเลอร์ จำกัด เสร็จสิ้น บริษัทจะมีสัดส่วนการถือหุ้นในดิจิตอล บัตเลอร์ ประมาณ 52% ผ่านบริษัท พรีโม พร็อพเพอร์ตี้ โซลูชั่น จำกัด บริษัทย่อยที่ดูแลธุรกิจบริการทั้งหมดในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ขณะที่กลุ่มผู้ก่อตั้งดิจิตอล บัตเลอร์ จะถือหุ้นในสัดส่วนประมาณ 35% และธนาคารกสิกรไทย ถือหุ้นในสัดส่วน 10% ด้านนายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBank กล่าวว่า ธนาคารยังคงเดินหน้ากลยุทธ์ในการร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำในแต่ละธุรกิจ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Better Together ด้วยการผสานจุดแข็งของแต่ละฝ่าย เพื่อร่วมกันนำเสนอบริการที่ดีที่สุดให้กับการใช้ชีวิตของผู้บริโภคในทุกๆ วัน สำหรับ BUTLER ภายใต้เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ถือเป็นแพลทฟอร์มศักยภาพที่ช่วยเชื่อมโยงระหว่างผู้ให้บริการเข้ากับผู้ใช้บริการ และเชื่อมโยงผู้อยู่อาศัยเข้ากับนิติบุคคล ขณะเดียวกัน BUTLER ยังรวบรวมทุกบริการความสะดวกของการใช้ชีวิตไว้ในแอปเดียว และสามารถชำระเงินค่าใช้บริการและค่าสาธารณูปโภคผ่านช่องทางออนไลน์ได้ทันที ตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุคดิจิทัล จึงเป็นสาเหตุสำคัญให้บริษัทตัดสินใจเข้าร่วมทุนในครั้งนี้   เบื้องต้น ธนาคารกสิกรไทย จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและรูปแบบการชำระเงินให้มีความสะดวกและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มช่องทางการเข้าถึงบริการของ BUTLER ให้ลูกค้าธนาคารผ่านช่องทางต่างๆ ของทางธนาคาร อาทิ K Plus เป็นต้น นอกจากนี้ ในอนาคตมีแผนที่จะพิจารณาความร่วมมือต่างๆ เพิ่มขึ้น ต่อไป หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา BUTLER มีนิติบุคคลโครงการต่างๆ สนใจลงชื่อเข้าร่วมใช้งานแล้วมากกว่า 500 โครงการ และยังมีแผนจะพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ เพิ่มอย่างต่อเนื่อง การเชื่อมโยงการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเข้ากับสตาร์ทอัพและร้านค้าในชุมชนของตัวเอง การสร้าง Community Media ที่ให้บุคคลในโครงการที่อยู่อาศัยเดียวกันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้สะดวกยิ่งขึ้น   ผู้สนใจบริการของ BUTLER สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้แล้ววันนี้ทั้งใน App Store และ Play Store หรือคลิก www.digitalbutler.co.th สำหรับนิติบุคคลที่สนใจบริการของ BUTLER สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.butlerjuristic.com        
SINGHA COMPLEX ครบทุกไลฟ์สไตล์คนเมือง

SINGHA COMPLEX ครบทุกไลฟ์สไตล์คนเมือง

เมื่อไม่นานมานี้ SINGHA COMPLEX  จัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการอย่างยิ่งใหญ่อลังการสมกับเป็น Luxury Mixed Use Complex ใจกลางอโศก ซึ่ง SINGHA COMPLEX แห่งนี้ได้เปิดให้ใช้บริการอย่างเต็มรูปแบบในส่วนของ Office Building กับ Retail 4 ชั้น ที่เราจะพาไปเดินเล่นชมบรรยากาศกันในบทความนี้ค่ะ อย่ารอช้า นั่ง MRT ไปลงที่สถานีเพชรบุรี ทางออกที่ 2 แล้วไปเดินเล่นกันค่ะ   SINGHA COMPLEX จะประกอบไปด้วย Office Building 42 ชั้น, Retail 4 ชั้น ที่เราจะพาไปเดินเล่นกันในครั้งนี้ และอาคารสูงด้านหลังที่ยังก่อสร้างกันอยู่จะเป็นคอนโดมิเนียมที่ชื่อว่า THE ESSE @SINGHA COMPLEX รวมทั้งหมดแล้วมีพื้นที่ประมาณ 11 ไร่ และด้วยเหตุที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมสี่แยกพอดี(เดิมคือสถาณฑูตญี่ปุ่น) จึงมีทางเข้า-ออก อยู่ 2 ทางค่ะ คือฝั่งถ.เพชรบุรี กับถ.อโศกมนตรี ซึ่งการออกแบบทางสถาปัตยกรรมนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากสีสัน เส้นสายตามธรรมชาติของรวงข้าวบาเล่ย์สีทอง กลายเป็นอาคารที่ดูทันสมัย สง่างาม โอ่งโถ่งสมกับเป็นอาคารออฟฟิศเกรดพรีเมี่ยมอย่างที่ทางสิงห์เองตั้งใจเอาไว้     ฝั่งอาคารที่เป็น Retail เราจะเห็นต้นจามจุรี 3 ต้นใหญ่วางตัวเรียงกันอยู่ริมสี่แยกอโศก-เพชรบุรี แบบที่เห็นนี้มีมาตั้งแต่ยังเป็นสถาณฑูตญี่ปุ่น ซึ่งทางสิงห์ตั้งใจเก็บรักษาเอาไว้ เพื่อให้อยู่คู่กับสถานที่แห่งนี้ต่อไป   The Bistro @SINGHACOMPLEX ลานเบียร์เป็นของคู่กันกับฤดูหนาว ซึ่งตรงนี้จะมีไปจนถึงวันที่ 13 ม.ค. 62 เวลา 17.00-24.00 น.   เรามาเริ่มเข้าไปสำรวจด้านในกันค่ะ ที่นี่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 9.00-23.00 น. ก้าวแรกที่เข้าไปเลยก็จะพบกับ Top Daily ที่มีทั้งของสด ขนม ผลไม้ เครื่องดื่ม เบเกอร์รี่ เวชภัณฑ์ ฯลฯ เรียกได้ว่าครบครันใช้ได้ทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ในบริเวณชั้น G ก็จะมีทั้งร้านกาแฟ ขนม อาหารแบบเบาๆ และธนาคารค่ะ   ขึ้นไปกันที่ชั้น L1 ค่ะ ก็จะมีทั้งธนาคาร ร้านอาหารญี่ปุ่น ร้านขนม และโซน Beauty&Health Care เช่น Kazan By Sushi Yanma, Gyu Kaku, King Kong Sweets, ปั้นคำหอม, Cut&Curl, SCB ฯลฯ   L2 เป็นร้านอาหารไทย อาหารฟิวชั่น เช่น bangkok bold kitchen, กล่องชา 24, คาเฟ่อเมซอน ฯลฯ  และยังเป็นโซนเริ่มต้นของ Amphitheatre สถานที่สำหรับนั่งพักผ่อน หรือหลบมุมทำงาน ซึ่งเป็นไฮไลท์ของ SINGHA COMPLEX แห่งนี้ค่ะ   สุดท้ายที่ชั้น L3 ค่ะ จะขาดไปไม่ได้เลยคือร้าน EST.33 จากสิงห์ทางเอง ร้านซาลาเปาโกอ้วนเจ้าดังจากหาดใหญ่ และโซน Amphitheatre ที่เป็น Co-Working Space ในบรรยากาศร่มรื่นสบายตาแบบที่แทบไม่น่าเชื่อเลยว่ากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่อันแสนจะวุ่นวายภายนอก มาพร้อม Free Super Wifi ชาวฟรีแลนซ์เห็นแล้วจะต้องชอบค่ะ     SINGHA COMPLEX แม้จะมีพื้นที่ในส่วนของ Retail ไม่มากเหมือนห้างสรรพิสินค้าใหญ่ๆ แต่ข้อดีก็คือความไม่วุ่นวายนี่แหละค่ะ ทำให้เป็นอีกหนึ่งใน Co-Working Space ที่น่าสนใจ(ฟรีด้วยนะ) ได้เปลี่ยนบรรยากาศนั่งทำงาน เดินทางสะดวกไม่ว่าจะด้วยรถไฟฟ้าหรือรถยนต์ส่วนตัว ถ้าหิวก็มีอะไรให้เลือกทานหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละชั้นสามารถจัดโซนได้ดีทีเดียวค่ะ เรียกได้ว่าครบทุกไลฟ์สไตล์คนเมืองจริงๆ              
KOHLER Design Forum 2018 ชูแนวคิด “ALL THINGS CONNECTED” ร่วมสรรค์สร้างอนาคตแห่งอุตสาหกรรมการออกแบบ และวงการสถาปัตย์ในเมืองไทยและทั่วโลก

KOHLER Design Forum 2018 ชูแนวคิด “ALL THINGS CONNECTED” ร่วมสรรค์สร้างอนาคตแห่งอุตสาหกรรมการออกแบบ และวงการสถาปัตย์ในเมืองไทยและทั่วโลก

โคห์เลอร์ ผู้นำระดับโลกด้านการออกแบบนวัตกรรมและการผลิตผลิตภัณฑ์สำหรับห้องครัวและสุขภัณฑ์ จัดงาน KOHLER Design Forum เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้ธีม “All Things Connected” เพื่อนำเสนอเวทีสำหรับผู้ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมสถาปัตย์และการออกแบบในประเทศไทย ในการร่วมพูดคุยถึงการสร้างสรรค์อนาคตของอุตสาหกรรมด้านการอยู่อาศัย ผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ องค์ความรู้เชิงลึก และแนวคิดที่เน้นความสำคัญในเรื่องอนาคตของเทคโนโลยีอัจฉริยะภายในบ้าน สำนักงาน และอาคารประเภทต่าง ๆ การประชุมครั้งนี้ประกอบด้วยการนำเสนอข้อมูลเชิงลึก การพูดคุยสัมมนา และการถกประเด็นสำคัญในหัวข้อที่น่าสนใจโดยเหล่าผู้นำอุตสาหกรรม พร้อมมอบโอกาสให้เหล่าสถาปนิก นักออกแบบ และผู้ปฏิบัติงานในสาขาที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมสรรค์สร้างแรงบันดาลใจในการพัฒนาอุตสาหกรรมระหว่างกัน “อนาคตของวงการสถาปัตย์และการออกแบบจะเห็นได้จากงานในวันนี้ และถือเป็นสิ่งสำคัญมากที่ผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดและผู้สร้างแรงบันดาลใจในอุตสาหกรรมจะร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งที่เราจะได้เห็นในอีก 10 หรือ 15 ปีข้างหน้า” ลารี่ หยวน ประธานกลุ่มบริหาร ฝ่ายเครื่องครัวและสุขภัณฑ์ กล่าว “งาน KOHLER Design Forum” สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อเป็นเวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแนวคิดที่ให้ความสำคัญในเรื่องอนาคตของเทคโนโลยีอัจฉริยะสำหรับที่อยู่อาศัย  ซึ่งปีนี้จัดขึ้นภายใต้ธีม All Things Connected โดยเน้นที่การเติบโตและการเชื่อมต่อเทคโนโลยีที่รวดเร็วเข้ากับชีวิตของเรา รวมถึงผลกระทบที่มีต่อการสรรค์สร้างและการสร้างความแตกต่างให้แก่โลกของการออกแบบในอนาคต” ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โคห์เลอร์จัดการประชุมตามศูนย์กลางการออกแบบหลายแห่งทั้งในเอเชียและยุโรป และมีการนำเสนอองค์ความรู้โดยนักออกแบบและสถาปนิกที่ทรงอิทธิพลและเจ้าของรางวัลทั่วโลก สำหรับงาน KOHLER Design Forum ครั้งนี้ ถือเป็นการจัดงานครั้งแรกของประเทศไทย มีผู้บรรยายซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานด้านการออกแบบจากหลากหลายสาขามาร่วมกันนำเสนอข้อมูล อาทิ ฌอน แอฟเฟล็ก สถาปนิกและผู้อำนวยการโครงการจาก เมก อาร์คิเทคส์ สถาปนิกผู้มีชื่อเสียงระดับนานาชาติจากฮ่องกง วิลเลียม ลิม กรรมการผู้จัดการแห่งซีแอล3 บริษัทสถาปนิกชื่อดังในฮ่องกงและยังเป็นศิลปินและนักสะสมงานศิลป์ที่มีชื่อเสียงผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จงานตกแต่งภายในอันเลื่องชื่อของอาคารมารีน่าเบย์แซนด์ที่สิงคโปร์ อู้-นพปฎล พหลโยธิน ประธานผู้บริหารฝ่ายสร้างสรรค์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  นักออกแบบชาวไทยชื่อดังระดับโลก และมาร์ก บิกเกอร์สตาฟฟ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ฝ่ายเครื่องครัวและสุขภัณฑ์ ผู้ควบคุมการพัฒนางานออกแบบผลิตภัณฑ์โคห์เลอร์ในภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียแปซิฟิก การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือกับ Monocle นิตยสารแนวไลฟ์สไตล์ระดับโลก และดำเนินรายการโดย จอช เฟห์เนิร์ต บรรณาธิการอำนวยการ Monocle การพูดคุยสัมมนาภายในงานจะให้ความสำคัญในเรื่อง เทคโนโลยีอัจฉริยะจะสามารถช่วยสร้างสรรค์อนาคตของโลกที่เราอาศัยอยู่ได้อย่างไร และกิจกรรมการสัมมนาแบบอินเตอร์แอ็คทีฟในเรื่องการบูรณาการงานออกแบบและเทคโนโลยีเข้ากับการอยู่อาศัยในปัจจุบันของเรา รวมถึงหัวข้อที่น่าสนใจอื่น ๆ  อาทิ “เมืองที่รองรับการเชื่อมต่อ (Responsive Cities)” และการพูดคุยถึงการใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะบนแนวทางที่มีผู้คนเป็นศูนย์กลาง และความเป็นไปได้ที่ปัญญาประดิษฐ์จะนำไปสู่การบรรลุผลสำเร็จในเรื่องนี้ งาน KOHLER Design Forum จัดขึ้นหลังจากที่โคห์เลอร์ประสบความสำเร็จจากการเปิดตัวระบบบ้านอัจฉริยะ KOHLER Konnect™ ที่ใช้กับผลิตภัณฑ์กระจกแต่งหน้ารุ่น Verdera Voice mirror with Amazon Alexa รวมถึงผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่รองรับ ได้แก่ ระบบฝักบัว DTV+, ระบบโถสุขภัณฑ์อัจฉริยะ Numi, ก๊อกน้ำครัว Sensate และอีกมากมาย  ระบบและชุดผลิตภัณฑ์สำหรับห้องครัวและห้องน้ำล่าสุดจากโคห์เลอร์นำเสนอฟังก์ชั่นการควบคุมด้วยเสียงเพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานในชีวิตประจำวันที่สะดวกสบายและการเชื่อมต่อที่ง่ายดายมากยิ่งขึ้น ฝ่าย แองเจิล หยาง ประธานบริหาร ฝ่ายเครื่องครัวและสุขภัณฑ์ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวเสริมว่า “เนื่องจากโคห์เลอร์มุ่งมั่นขยายเครือข่ายการดำเนินงานในเอเชียแปซิฟิก เราจึงแสวงหาแนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพและเพิ่มพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอนวัตกรรมโซลูชั่นให้แก่ผู้บริโภคทั้งในภูมิภาคนี้และทั่วโลกต่อไป”      ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชุดผลิตภัณฑ์โคห์เลอร์ได้ที่เว็บไซต์ www.kohler.co.th    
เน็กซัสสรุปภาพรวมตลาดอสังหากรุงเทพปี 61 ตลาดคอนโดเริ่มมีการปรับตัวเพื่อตอบสนองเรียลดีมานด์ ในขณะที่ตลาดเช่าเพื่อการพาณิชย์ค่าเช่าทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์

เน็กซัสสรุปภาพรวมตลาดอสังหากรุงเทพปี 61 ตลาดคอนโดเริ่มมีการปรับตัวเพื่อตอบสนองเรียลดีมานด์ ในขณะที่ตลาดเช่าเพื่อการพาณิชย์ค่าเช่าทำสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์

เน็กซัสสรุปปีนี้ราคาเฉลี่ยคอนโดในกรุงเทพเพิ่มขึ้น 7.6% ในขณะที่ราคาคอนโดใจกลางเมืองเพิ่มถึง 10% คาดในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ผู้ประกอบการควรเน้นการพัฒนาเพื่อเรียลดีมานด์ ส่วนราคาค่าเช่าสำนักงานเกรดเอในย่านศูนย์กลางธุรกิจเฉลี่ยทะลุ 1,000 บาท/ตารางเมตร/เดือน ในขณะที่ราคาค่าเช่าพื้นที่ศูนย์การค้าเฉลี่ยสูงถึง 3,900 บาท/ตารางเมตร/เดือน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอีก ในปีหน้าตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าและตลาดศูนย์การค้ามีการแข่งขันสูงขึ้นแน่นอน ถือว่าเป็นแนวโน้มที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง   ตลาดคอนโดมิเนียม นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (Mrs. Nalinrat Chareonsuphong, Managing Director of Nexus Property Marketing Company Limited)  เผยว่า ปี 2561 ยังคงเป็นปีที่มีอุปทานของคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นในตลาดในจำนวนที่ค่อนข้างสูง จากทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อย โดยมีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นใหม่ 60,900 หน่วย จาก 138 โครงการ ซึ่งทำให้คอนโดมิเนียมมีหน่วยสะสมทั้งสิ้น 610,900 หน่วย ทำเลที่นิยมในการพัฒนาโครงการอันดับหนึ่งยังคงเป็นพญาไท รัชดา และ พหลโยธิน (21,100 หน่วย, 35%) ตามมาด้วย พระโขนง สวนหลวง (13,500 หน่วย, 22%) และ ธนบุรี เพชรเกษม (8,500 หน่วย, 14%) ตามลำดับ และในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาทั้ง 3 ทำเลนี้ก็มีอัตราการเพิ่มของอุปทานมากที่สุดโดยมากกว่า 65-70% เลยทีเดียว ซึ่งก็มีสาเหตุมาจากกระแสการอยู่อาศัยคอนโดใกล้รถไฟฟ้าที่มีมาอย่างต่อเนื่องนั่นเอง และในทำเลเหล่านี้ก็ยังคงหาที่ดินที่จะพัฒนาได้มากกว่าทำเลที่อยู่ในใจกลางเมือง   นอกจากนี้  หากจะวิเคราะห์ถึงอุปทานใหม่ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาจะพบว่า 41% ของจำนวนหน่วยทั้งหมดจะมาจากตลาดไฮเอนด์ ที่มีระดับราคาอยู่ที่ 110,000 -190,000 บาทต่อตารางเมตร ราคาต่อหน่วย 4-8 ล้านบาท ตามมาด้วยตลาดระดับกลาง (mid market) 27% และตลาดซิตี้คอนโด 21% ซึ่งสัดส่วนดังกล่าว อาจดูไม่สอดคล้องกับรายได้และฐานเงินเดือนของคนกรุงเทพมากนัก โดยจากปัจจัยที่ดินที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องหันมาพัฒนาสินค้าในระดับราคาที่สูงขึ้นนั่นเอง   ในปี 2561 ยอดขายคอนโดมิเนียมในตลาดกรุงเทพรวมทั้งสิ้นจำนวน 52,000 หน่วย โดยแบ่งเป็นห้องชุดที่เปิดใหม่ในปี 2561 จำนวน 31,800 หน่วย (คิดเป็นยอดขายเฉลี่ยของห้องชุดที่เปิดใหม่อยู่ที่ 52%) และห้องชุดที่เปิดขายก่อนปี 2561  มียอดขายเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20,300 หน่วย ทั้งนี้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในปีนี้และที่เปิดมาก่อนหน้านี้ทำให้อัตราขายรวมในตลาดอยู่ที่ 90% และยังคงมีห้องชุดเหลือขายในตลาดอยู่อีก 62,700 หน่วย   ในปี 2561 ราคาขายคอนโดมิเนียมเฉลี่ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น 7.6% จาก 130,600 บาทต่อตารางเมตร เป็น 140,600 บาทต่อตารางเมตร โดยตลาดใจกลางเมืองปรับตัวเพิ่มสูงสุดอยู่ที่ 10% ไปอยู่ที่ 231,000 บาทต่อตารางเมตร ตลาดรอบใจกลางเมือง 7% ไปอยู่ในระดับราคา 113,200 บาทต่อตารางเมตร ในขณะที่ตลาดรอบนอกปรับราคาเพิ่มเฉลี่ยเพียง 1% เป็น 73,500 บาทต่อตารางเมตร เท่านั้น สำหรับแนวโน้มการปรับตัวขึ้นของราคาคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ เริ่มเห็นการปรับตัวขึ้นในอัตราที่ลดลงบ้าง ซึ่งก็น่าจะเกิดจากการที่ผู้ประกอบการเริ่มเห็นแนวโน้มราคาที่ปรับตัวสูงมากในตลาดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เช่นในปี 2561 ทำเลหลังสวนปทุมวัน ราคาปรับขึ้นเพียง 3% หรือในโซนธนบุรี เพชรเกษมเองซึ่งเป็นทำเลที่มีขอบเขตค่อนข้างกว้างมาก ราคาก็ปรับเพิ่มเพียง 1% แต่ไม่ได้หมายความว่าสินค้าคุณภาพดีขึ้นที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้นั้นราคาจะไม่มีโอกาสขยับตัวสูงขึ้นได้ ในตลาดคอนโดมิเนียมกรุงเทพฯ สำหรับการคาดการณ์แนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2562 นั้น นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ เชื่อว่า ในส่วนของอุปทานใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปี 2562 น่าจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกับตัวเลขเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาที่ประมาณ  53,000 หน่วย ในขณะที่ความต้องการยังคงอยู่ในช่วงระหว่าง 50,000-55,000 หน่วย จากตัวเลขประมาณการดังกล่าว อัตราการขายรวมและห้องเหลือในตลาดก็น่าจะอยู่ในปริมาณใกล้เคียงกับตัวเลขปีนี้ สำหรับรูปแบบของการพัฒนาสินค้าก็จะปรับให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายย่อยมากขึ้น เช่นคอนโดสำหรับคนรักการออกกำลังกาย สำหรับผู้สูงอายุ หรือ คนรักสัตว์ เป็นต้น นอกจากนี้ คอนโดมิเนียมเช่าสิทธิระยะยาวในทำเลที่ดีก็จะมีออกมาในตลาดเพิ่มขึ้น รวมถึงโครงการ mixed used ที่ผสมผสานคอนโดมิเนียมเข้ากับพื้นที่เชิงพาณิชย์ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ ไลฟ์สไตล์คนรุนใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายก็จะเปิดตัวมากขึ้นเช่นกัน   นอกจากนี้ ในมุมมองของ เน็กซัส สัดส่วนของห้องชุดที่ผู้ประกอบการควรจะพัฒนา น่าจะเพิ่มสัดส่วนไปที่กลุ่มซิตี้คอนโด และตลาดระดับกลาง (mid market) ที่เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของกรุงเทพมากขึ้นเพื่อจะได้ตอบสนองกับความต้องการอยู่อาศัยจริง ซึ่งจะเป็นตลาดที่มีเสถียรภาพและยั่งยืนมากกว่าตลาดต่างชาติเพื่อการลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ไม่ได้มองข้ามการลงทุนจากต่างชาติเลย สำหรับตลาดการลงทุนจากต่างชาติที่เป็นที่จับตามองในช่วงที่ผ่านมานั้น การลงทุนจากนักลงทุนรายใหญ่หรือนักลงทุนสถาบันจะยังคงเห็นได้อย่างต่อเนื่อง ในปี 2562 สัดส่วนจำนวนห้องชุดที่นักลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น และบางส่วนจากฮ่องกงและสิงคโปร์ ที่เข้ามาลงทุนน่าจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 30% จาก 26% (15,820  หน่วย ใน 24 โครงการ ในปี 2561) นอกจากนี้ นักลงทุนรายย่อยจากประเทศจีนก็น่าจะยังคงเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยอย่างต่อเนื่องในทำเลที่ขยายออกไปจากทำเลเดิม ตลาดฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน ก็น่าจะยังรักษาระดับการลงทุนที่ไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา ในขณะที่ตลาด CLMV เป็นตลาดใหม่ที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก   หากจะวิเคราะห์ถึงการปรับตัวของราคาคอนโดมิเนียมในกรุงเทพในช่วง 1-3 ปีข้างหน้านั้น เน็กซัสมองว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้นในอัตราที่ลดลง ราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นน่าจะไม่สามารถขึ้นได้ในอัตราที่มากเหมือนเมื่อหลายปีก่อน ดังนั้น ผู้ประกอบการเองก็น่าจะพัฒนาโครงการในราคาที่ไม่ต้องปรับตัวสูงขึ้นมากนัก ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าราคาคอนโดมิเนียมจะปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยอยู่ในระดับ 6-7% ต่อปี   นอกจากนี้ ในส่วนของทำเลการพัฒนาโครงการนั้น มีปัจจัยเรื่องภาพลวงตาของทำเลการอยู่อาศัย (Illusion of location) เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาเลือกซื้อที่อยู่อาศัย พร้อมพงษ์ ทองหล่อ เอกมัย ยังคงเป็นทำเลยอดนิยมสำหรับผู้ประกอบการ ที่มองหาที่ดินเพื่อเข้ามาพัฒนาโครงการ แต่ในทำเลนี้ ราคาคอนโดมิเนียมที่ควรเป็น น่าจะเป็นราคาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายจริงๆ  ในขณะที่ทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาและฝั่งธนบุรี ที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรถไฟฟ้าสายสีทองที่กำลังก่อสร้าง และก็เช่นเดียวกัน คอนโดมิเนียมที่เกิดขึ้นใหม่ราคาก็จะต้องสูงขึ้นมากอย่างแน่นอน จริงๆ แล้ว ทำเลอย่าง ติวานนท์ ที่ผู้ประกอบการหลายรายยังคงมีคำถามจากอุปทานที่ยังมีขายอยู่นั้น ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ราคาคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วในบริเวณนี้ก็จะน่าสนใจ เพราะเป็นคอนโดที่ราคาจับต้องได้มากที่สุดในตลาด สุดท้าย รัชดา พระราม 9 ทำเลทองของชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวจีน ถ้าจะยังคงเป็นทำเลที่ครองใจลูกค้ากลุ่มนี้ได้ การตั้งราคาและการทำการตลาดจะต้องเป็นไปอย่างเหมาะสมและมีบริการหลังการขายที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าต่างชาติกลุ่มนี้ได้จริง   จากนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนการให้กู้ยืมเงินเพื่อการซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้น จะส่งผลต่อการพัฒนาสินค้าในตลาดที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียม โดยบ้านอาจจะมีการขายระหว่างก่อสร้างมากขึ้นเพื่อให้ผู้ซื้อได้ผ่อนชำระเงินดาวน์บางส่วนก่อน คอนโดมิเนียมก็อาจจะต้องเน้นขายช่วงพรีเซลมากขึ้น ที่มีระยะเวลาการผ่อนยาวขึ้น และท้ายที่สุด เศรษฐกิจและการเมืองที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงจากการเลือกตั้งก็น่าจะมีผลต่อทิศทางของตลาดเช่นกัน   ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่า นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทเน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด (Mr. Teerawit Limthongsakul, Managing Director of Nexus Real Estate Advisory) กล่าวว่า ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่า เกรด เอ และ เกรดบี ในกรุงเทพ มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 4.1 ล้านตารางเมตร พบว่า ยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องของราคาค่าเช่าที่มีการปรับตัวสูงขึ้นและอัตราว่างของพื้นที่ที่อยู่ในระดับต่ำ จากข้อมูลในไตรมาส 4 ปีนี้ เห็นได้ว่าอุปทานของอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพ ลดลงเล็กน้อย เนื่องมาจากมีบางอาคารอยู่ระหว่างการปิดปรับปรุงให้มีความทันสมัย ปลอดภัย สะอาด และสะดวกสบายมากขึ้น เพื่อดึงดูดผู้เช่าในตลาด สำหรับตลาดพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่านั้นยังคงมีความต้องการสูงจากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ทำงานร่วม (co-working space) และสำนักงานพร้อมบริการ (serviced-office) ที่กำลังได้รับความนิยม ทำให้อัตราว่างของพื้นที่เช่าในช่วงไตรมาสนี้ลดลงเหลือเพียง 4% เท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาคารสำนักงานเกรดเอใหม่ๆ จะได้รับความสนใจจากผู้เช่าเป็นอย่างมาก   ในส่วนของราคาค่าเช่าอาคารสำนักงานในกรุงเทพ เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 800 บาท/ตารางเมตร/เดือน แต่หากพิจารณาเฉพาะอาคารสำนักงานเกรดเอที่อยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจเท่านั้น พบว่า ค่าเช่าเฉลี่ยสูงกว่า 1,000 บาท/ตารางเมตร/เดือน นับเป็นสถิติใหม่ในตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าของกรุงเทพ ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับบางอาคารที่ตั้งอยู่บนถนนวิทยุหรือเพลินจิต อย่างเช่น อาคารเกษร ทาวเวอร์ และปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ ที่สามารถทำราคาค่าเช่าได้สูงถึง 1,500 บาท/ตารางเมตร/เดือน ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงที่สุด ณ ขณะนี้ แต่อย่างไรก็ตาม ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีพื้นที่อาคารสำนักงานใหม่ให้เช่าเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 ล้านตารางเมตร หรือประมาณ 25% ของพื้นที่ที่มีอยู่ในตลาด ณ ปัจจุบัน อาจส่งผลให้มีอัตราว่างของพื้นที่ให้เช่าสูงขึ้นจากเดิมถึง 2 เท่า โดยจะมีอัตราว่างของพื้นที่ประมาณ 10% จากเดิมที่มีเพียง 4-5% เท่านั้น ถือว่าเป็นอัตราว่างที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี และอาจส่งผลให้อัตราการขึ้นราคาค่าเช่ามีการปรับตัวช้าลงอีกด้วย   หากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าในกรุงเทพ จะมีการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้นอย่างแน่นอน อาจส่งผลให้ตลาดเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยจำนวนอุปทานที่มีมากขึ้นในตลาดจะทำให้ผู้เช่ามีอำนาจในการต่อรองที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าอัตราว่างของพื้นที่เช่าจะสูงถึง 10% ก็จริง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เกิดอุปทานล้นตลาด เนื่องจากอัตราว่างของพื้นที่ประมาณ 10% ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองสำคัญอื่นๆ ทั่วโลก   จากการสำรวจของ Cushman & Wakefield ซึ่งเป็นบริษัทพันธมิตรของเน็กซัสฯ พบว่า ในประเทศกลุ่ม APAC มีอัตราว่างของพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 10% หรือแม้แต่ในสหรัฐอเมริกาก็ยังมีอัตราว่างของพื้นที่ถึง 13.3% ดังนั้น หากกรุงเทพมีอัตราว่างของพื้นที่ให้เช่าที่ประมาณ 10% ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ปกติ   ตลาดศูนย์การค้า   สำหรับตลาดศูนย์การค้า จากการสำรวจพบว่า ตลาดยังคงมีแนวโน้มเติบโตอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากตลาดศูนย์การค้านั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ การบริโภคของภาคเอกชน รวมไปถึงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว   ส่วนราคาค่าเช่าพื้นที่ศูนย์การค้าในย่านศูนย์กลางทางการค้าอย่างบริเวณถนนพระราม 1 และพร้อมพงษ์ ที่มีการแข่งขันสูงนั้น ทำให้อัตราค่าเช่าพื้นที่เฉลี่ยอยู่ที่ 3,900 บาท/ตารางเมตร/เดือน ในขณะที่ราคาเสนอให้เช่าพื้นที่สูงที่สุดของย่านนี้สูงทะลุถึง 5,000 บาท/ตารางเมตร/เดือน จากการเสนอราคาพื้นที่บริเวณชั้น G ของห้างสยามพารากอน นอกจากนี้โซนนอกศูนย์กลางการค้าอย่างไอคอนสยามซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็มีราคาเสนอเช่าพื้นที่ที่สูงเช่นเดียวกัน โดยสูงมากกว่า 5,000 บาท/ตารางเมตร/เดือน นับว่าเป็นสถิติใหม่ของอัตราค่าเช่าพื้นที่สำหรับตลาดศูนย์การค้าในกรุงเทพ   การสำรวจของเน็กซัสฯ พบว่าพื้นที่ศูนย์การค้าให้เช่าที่เกิดขึ้นใหม่ของไตรมาสนี้ มาจากไอคอนสยามและเกตเวย์ แอท บางซื่อ ที่เพิ่งมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และคาดว่าจำนวนพื้นที่ของศูนย์กลางการค้าให้เช่าในปีหน้าจะมีมากถึง 240,000 ตารางเมตร จากการคาดการณ์ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยและการท่องเที่ยวในปีหน้านั้นยังคงมองเป็นปัจจัยบวก โดยทางสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีการคาดการณ์ว่าจำนวนนักท่องเที่ยว ณ สิ้นปี 2561 จะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 5.08% หรือคิดเป็นจำนวนทั้งสิ้น 37.2 ล้านคน   เนื่องจากลักษณะนิสัยของคนไทยที่นิยมไปซื้อของที่ร้านค้าด้วยตัวเองและสภาพอากาศที่ร้อน ทำให้ศูนย์การค้าได้รับความนิยมเป็นอย่างมากสำหรับคนไทย แต่สำหรับตลาดในปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูง ผู้ประกอบการมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตัวเอง ให้สามารถดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น เช่น การออกแบบ ไลฟ์สไตล์ สิ่งอำนวยความสะดวก ความปลอดภัย และแพลตฟอร์ม จะมีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถยืนหยัดอยู่ในตลาดได้        
SC เปิดตัวพันธมิตรยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ‘Nishitetsu’ ผู้นำในภูมิภาคคิวชู ตั้งบริษัทร่วมทุนในไทยชื่อ เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน (SC NNR1 Co.,Ltd.) เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในปี 62 นำร่องเปิดคอนโดใหม่แบรนด์ The Crest โดดเด่นสุดบนทำเลห้าแยกลาดพร้าว

SC เปิดตัวพันธมิตรยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น ‘Nishitetsu’ ผู้นำในภูมิภาคคิวชู ตั้งบริษัทร่วมทุนในไทยชื่อ เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน (SC NNR1 Co.,Ltd.) เพื่อพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในปี 62 นำร่องเปิดคอนโดใหม่แบรนด์ The Crest โดดเด่นสุดบนทำเลห้าแยกลาดพร้าว

การผนึกกำลังครั้งสำคัญระหว่าง SC Asset อสังหาฯ ชั้นนำของไทย กับ Nishitetsu Group (NNR) บริษัทยักษ์ใหญ่และผู้นำในภูมิภาคคิวชู ซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ประเทศญี่ปุ่น และมีผลประกอบการแข็งแกร่งกวาดรายได้เกือบ 380,000 ล้านเยน ในปี 2561 ล่าสุดได้จับมือเปิดบริษัทร่วมทุนชื่อ บริษัท เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน จำกัด (SC NNR1 Co.,Ltd.)   เพื่อพัฒนาอสังหาฯ ของ NNR ครั้งแรกในไทย และมีแผนเปิดคอนโดมิเนียมใหม่ในปี 2562 นำร่องด้วยโครงการ The Crest บนทำเลห้าแยกลาดพร้าว หนึ่งในทำเลสำคัญที่สุดของกรุงเทพฯ ศูนย์รวมเส้นทางคมนาคมแห่งอนาคต นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงยุทธศาสตร์เชิงรุกจากโรดแมป SC-Reinvention 2020 เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนว่า “เราได้ร่วมทุนกับ Nishitetsu Group (NNR) ทั้งนี้ด้วยเหตุผลหลัก 3 ประการ คือ 1.วิสัยทัศน์ด้วยวิธีคิดแบบเดียวกัน ภายใต้การส่งมอบคุณค่าด้านคุณภาพสินค้าและบริการที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับลูกค้า 2.ความแข็งแกร่งทางธุรกิจของทั้งสองบริษัท 3.โอกาสสำหรับอนาคต เพื่อการลงทุนธุรกิจอสังหาฯ รูปแบบอื่น ๆ ตามโรดแมป ที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับ SC ”  สำหรับบริษัท Nishitetsu Group (NNR) ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1948 และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ Fukuoka ตั้งอยู่ในเขต  prime commercial zone ปัจจุบันมีสำนักงานอยู่ 85 แห่งทั่วโลก และ ดำเนิน  5 ธุรกิจหลักสำคัญได้แก่ คมนาคม, โลจิสติกส์, ค้าปลีก, อสังหาริมทรัพย์ และอื่น ๆ โดย นายฮิโรชิเกะ โฮริเอะ (Mr. Hiroshige Horie) Senior Executive Officer  General Manager of the housing Business Division บริษัท นิชิ นิปปอน เรลโรด จำกัด เป็นผู้แทนบริษัทเดินทางมายังประเทศไทย กล่าวถึงการร่วมทุนกับ SC  อย่างมั่นใจในศักยภาพและความแข็งแกร่งว่า  “ประเทศไทยมีการเติบโตที่โดดเด่นทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม อีกทั้งมีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่น ที่ผ่านมาได้ขยายการลงทุนทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา พร้อมกับประเทศในแถบอาเซียน ได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น ดังนั้นความร่วมมือครั้งนี้  จึงเป็นการผสานจุดเด่นของสองบริษัท ทั้งด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง ความรวดเร็วในการส่งมอบสินค้าและบริการคุณภาพ  เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับอนาคต” บริษัท เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน จำกัด (SC NNR1 Co.,Ltd.)  บริษัทร่วมทุนใหม่นี้มีทุนจดทะเบียนรวม 1,200 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนถือหุ้นระหว่าง  SC  55% และ NNR  45% พร้อมกับแต่งตั้งนายมานิจ บรรจงธนกิจ ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ โดยโครงการนำร่องที่จะพัฒนาในปี 2562   เป็นคอนโดฯ ใหม่ ภายใต้แบรนด์เดอะเครสท์ (The Crest)   บนพื้นที่กว่า 1.9 ไร่ ทำเลโดดเด่นสุดในย่านห้าแยกลาดพร้าว ศูนย์รวมคมนาคมแห่งอนาคตที่แวดล้อมด้วยแหล่ง ช้อปปิ้งชั้นนำอย่าง เซ็นทรัล ลาดพร้าว ยูเนียนมอลล์ และอยู่ใกล้กับ Interchange Station ของ MRT และ BTS สายสีน้ำเงินและสายสีเขียว ที่สำคัญ คือ ใกล้สวนจตุจักร และสวนรถไฟ ซึ่งได้วิวสวนสาธารณะบนพื้นที่กว่า 700 ไร่   อีกทั้งโครงการยังตั้งอยู่ใจกลาง North CBD แวดล้อมด้วยอาคารสำนักงานชั้นนำ ศูนย์การค้า  และ Mega Project มากมาย      
ต้อนรับปี 2562 กับ “ยิปซัมตราช้าง” ด้วยเคล็ดไม่ลับกับการจัดบ้านเสริมสิริมงคล

ต้อนรับปี 2562 กับ “ยิปซัมตราช้าง” ด้วยเคล็ดไม่ลับกับการจัดบ้านเสริมสิริมงคล

ต้อนรับปีใหม่ 2562 “ยิปซัมตราช้าง” แนะเคล็ดไม่ลับกับการจัดบ้านใหม่เสริมสิริมงคล เป็นการนำหลักศาสตร์ทาง “ฮวงจุ้ย” ผสมผสานเข้ากับการตกแต่งและจัดบ้านใหม่ เพื่อต้อนรับพลังงานบวก และสิ่งดีๆ ที่จะเข้ามาสู่สมาชิกในครอบครัว เสริมสิริมงคล โชคลาภ เงินทอง เจ้าของบ้านที่ต้องการรีโนเวทบ้านใหม่ เรามาเตรียมความพร้อมจัดบ้านใหม่เพื่อต้อนรับสิ่งดีๆ ในปี 2562 นี้กัน   จุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดสำหรับการลงมือจัดตกแต่งบ้านสิ่งแรกที่ควรทำคือ การทำความสะอาดบ้านให้หมดจด เริ่มตั้งแต่ด้านหน้าทางเข้าบ้าน โดยนอกจากจะต้องเก็บกวาดข้าวของที่ไม่ได้ใช้ออกให้หมด ไม่ขวางทางเข้าบ้านเพื่อเตรียมบ้านรับทรัพย์แล้ว ก็ควรที่จะจัดหาที่เก็บข้าวของให้เป็นระเบียบเรียบร้อย  เพื่อช่วยเสริมในเรื่องของโชคลาภ เงินทอง ให้ไหลมาเทมา ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะถ้าคุณอยากให้เงินทองเข้าบ้าน เข้าหาคนในบ้านและครอบครัว พื้นที่ภายในบ้านก็ไม่ควรแออัด หรือยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ เฟอร์นิเจอร์ควรจัดวางให้เป็นที่เป็นทาง ไม่เกะกะสำหรับการเดินภายในบ้าน การนำต้นไม้หรือน้ำพุมาตั้งไว้ในบ้านก็ถือเป็นปัจจัยเสริมที่จะช่วยทำให้โชคลาภลื่นไหล บ้านร่มรื่นอยู่เย็นเป็นสุข   การจัดการกับพื้นที่ภายในบ้าน เจ้าของบ้านลองสำรวจว่ามีมุมไหนควรปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบ้าง อีกสิ่งสำคัญที่จะช่วยเสริมในเรื่องของโชคลาภและเงินทอง ก็คือโทนสีที่จะนำมาเลือกใช้ในการออกแบบและตกแต่งพื้นที่ใช้สอยต่างๆภายในบ้านควรเลือกใช้สีโทนขาว ครีม หรือพาสเทล อาทิ ห้องนอน ซึ่งเปรียบเสมือนปอดของบ้าน เพื่อให้สามารถใช้ช่วงเวลาในการพักผ่อนในทุกค่ำคืนเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย  หรือห้องทานอาหารที่เปรียบเสมือนแหล่งเสบียง ถือเป็นหัวใจหลักของบ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่จะใช้เวลาร่วมกันและแบ่งปันเรื่องราวของความสุขให้กับทุกคนภายในบ้าน เราควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งบ้านที่มีโทนสีที่เข้ากันด้วย สำหรับฝ้าเพดาน ถือเป็นอีกจุดสำคัญที่สามารถทำให้บ้านดูโปร่งสบายตา ไม่ว่าเราจะเลือกใช้ฝ้าเรียบสีพื้น หรือจะเลือกฝ้าที่มีลวดลายตามที่เราต้องการ โดยเฉพาะลายที่จะช่วยเสริมวาสนาให้กับบ้าน เพื่อรับทรัพย์รับโชคลาภในปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง กับแผ่นฝ้าทีบาร์ เปเปอร์ทัช ตราช้าง ลายใหม่ “เรืองทรัพย์” มาพร้อมกับความเป็นมงคลด้วยใบของต้นกวักเงินกวักทองลักษณะคล้ายใบรูปหัวใจ โดยออกแบบให้เข้ากับพื้นหลังลายหินอ่อนสีขาว ผสมผสานความงามที่กลมกลืนกับธรรมชาติอย่างลงตัว เสริมความเป็นสิริมงคลให้ที่อยู่อาศัยเกิดโชคลาภ กิจการรุ่งเรือง และร่ำรวย  ทั้งนี้แผ่นทีบาร์ เปเปอร์ทัช ตราช้างมาพร้อมคุณสมบัติไม่แอ่นตัว คงทน และยังได้ฝ้าสวยสดใส มาตรฐานมอก 219-2552 แถมยังช่วยสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้ร่มเย็นอีกด้วย สำหรับเจ้าของบ้านที่ยึดหลักฮวงจุ้ยยังต้องคำนึงถึงแสงแดดจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานที่มีความแข็งแกร่งที่สุดซึ่งส่งผลกับชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมาก เพราะแสงธรรมชาติจะทำให้เรารู้สึกสบายและผ่อนคลาย การสร้างบ้านตามหลัก   ฮวงจุ้ยต้องอาศัยแสงจากด้านนอกเพราะช่วยให้เกิดการระบายอากาศที่ดีและช่วยดึงดูดโชคลาภมาสู่บ้านได้ และเจ้าของบ้านที่รักการอ่าน  จึงมีชั้นหนังสือภายในบ้านซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นการพอกพูนความรู้ความก้าวหน้าให้กับผู้อยู่อาศัย แต่ต้องไม่ลืมด้วยว่าการจัดเก็บที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อยนั้นก็ส่งผลกับฮวงจุ้ยของเราด้วยเช่นกัน   สำหรับท่านใดที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนยิปซัมตราช้าง โทร. 02-555-0000 หรือ www.siamgypsum.com หรือ facebook fanpage:@GypsumTraChangTH              
สัมผัสจิตวิญญาณอันเหนือระดับแบบฉบับอังกฤษ “อเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส์” ผ่านเฟอร์นิเจอร์สไตล์อิเคล็กทิก สร้างมิติใหม่ให้ความงามที่แตกต่าง

สัมผัสจิตวิญญาณอันเหนือระดับแบบฉบับอังกฤษ “อเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส์” ผ่านเฟอร์นิเจอร์สไตล์อิเคล็กทิก สร้างมิติใหม่ให้ความงามที่แตกต่าง

เคยไหม! กับการเข้าไปสัมผัสและซึมซับบรรยากาศในสถานที่ต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ร้านอาหาร หรือคาเฟ่หลากหลายสไตล์ อาทิ โรงแรมลักซ์ชัวรี่สัญชาติอังกฤษในกลุ่มโซโห เฮาส์ (Soho House) ที่รังสรรค์พื้นที่ด้วยการจัดวางองค์ประกอบอันมีเอกลักษณ์อย่างลงตัว สะดุดตา อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของอารยธรรมอันน่าชื่นชมโดดเด่นด้านความแปลกใหม่และไอเดียการมิกซ์ & แมทช์เฟอร์นิเจอร์ที่ยากจะหาใครทัดเทียม ร้านอาหารเก๋ๆ อย่างเอล บูด้า เฟลิส (EL Buda Feliz) ก็เป็นอีกหนึ่งร้านที่สะท้อนรสนิยมที่ล้ำสมัย ด้วยทุกวันนี้การตกแต่งบ้านที่อยู่อาศัยไม่ได้มีเพียงแค่รูปแบบหรือเทรนด์เฉกเช่นในอดีต รสนิยมของแต่ละบุคคลได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของผู้คนเปลี่ยนไป ผู้คนให้ความสำคัญกับประสบการณ์การท่องเที่ยว การได้ไปสัมผัสสิ่งแวดล้อมใหม่ๆที่สามารถสะสมความทรงจำ ห้วงเวลาแห่งความสุขในช่วงต่างๆ เพื่อมาตีความและเนรมิตบ้านให้กลายเป็นผลงานศิลปะอันทรงคุณค่า หล่อหลอมแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ ความสง่างาม และรสนิยมเข้ารวมกันอย่างลงตัว “อเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส์” (Alexander & James)”  แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำสัญชาติอังกฤษ ที่มาพร้อมกับดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น ชวนหลงใหล พร้อมหลอมรวมกับเทรนด์ล้ำสมัยในปัจจุบันให้เข้ากันอย่างลงตัว เพื่อสะท้อนรสนิยมแห่งการอยู่อาศัยอย่างมีระดับ  สร้างตัวตนที่ใช่ในสไตล์ที่เป็นคุณ เปิดตัวครั้งแรกอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.2013 ก่อตั้งขึ้นโดย “มาร์ค อเล็กซานเดอร์ สมิทธ์” (Mark Alexander Smith) ดีไซเนอร์ผู้เติมเต็มรสชาติใหม่ๆ ให้กับงานออกแบบผ่านการรังสรรค์เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้านอันเหนือระดับ โดยมีจุดเริ่มต้นจากการเดินทางไปรอบโลกเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และค้นหาแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานอันล้ำค่า ถ่ายทอดวัฒนธรรมชาวอังกฤษตอนเหนือที่มีความเรียบง่ายแต่แฝงด้วยมนต์เสน่ห์ชวนหลงใหลของงานฝีมือชั้นสูง  ผ่านผลงานการออกแบบที่ให้ความสำคัญทุกรายละเอียด โดยเน้นรังสรรค์ให้ทุกชิ้นงานเป็นดั่งผลงานศิลปะที่ถูกรังสรรค์ผ่านการร่างแบบด้วยมือของ มาร์ค อเล็กซานเดอร์ สมิทธ์ เพื่อให้ได้รูปทรงที่สมดุล ก่อนที่จะพัฒนาร่วมกันกับทีม ครีเอทีฟจนกลายเป็นชิ้นงานที่สมบูรณ์แบบที่สุด สะท้อนรสนิยมและแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตเหนือระดับอันเป็นเอกลักษณ์ กลายเป็นนิยามแห่งการออกแบบเฟอร์นิเจอร์ภายใต้แบรนด์ อเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส์ปัจจุบันมีวางจำหน่ายในร้านเฟอร์นิเจอร์ชั้นนำทั่วโลกมากกว่า 50 ร้าน เฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นเกิดขึ้นจากความใส่ใจในทุกรายละเอียด รวมถึงความพิถีพิถันในกระบวนการผลิต ที่โดดเด่นหลากสไตล์ทั้งแนวคลาสสิค(Classic) คอนเทมโพรารี(Contemporary) และแนวอิเคล็กทิก(Eclectic) อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ดึงเอาความหลากหลายขององค์ประกอบทั้งรูปทรง สีสัน  ความคลาสสิกและเทรนด์ล้ำสมัยมาผสมผสานเพื่อสร้างมิติใหม่ให้การอยู่อาศัยไร้ขีดจำกัด ชิ้นงานศิลปะที่สะท้อนอุดมการณ์ของมาร์ค อเล็กซานเดอร์ สมิทธ์ ได้อย่างชัดเจนคือ โซฟา ผลงานหัตกรรมอันชดช้อยจากช่างฝีมือที่มีความชำนาญเชี่ยวชาญในการผลิต  ซึ่งคัดสรรวัตถุดิบสิ่งแปลกใหม่ชั้นเลิศจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อสร้างสรรค์ผลงานให้ลูกค้าคนพิเศษ อาทิ หนังแท้ 100% ที่ได้รับคัดเลือกอย่างละเอียดจากบราซิลและยุโรปให้ผิวสัมผัสที่นุ่มสบาย ผ่อนคลาย โดยหนังแต่ละผืนสะท้อนคาแรคเตอร์ที่มีความโดดเด่น นอกจากนั้นยังมีผ้ากำมะหยี่จากแบรนด์วิลเลียม มอร์ริส (William Morris) ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ดีที่สุดในโลก ด้านโครงสร้างของชิ้นงานโดยรวมทำมาจากยางพาราในแหล่งผลิตซึ่งได้มาตรฐานและการรับรองว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยคุณสมบัติพิเศษที่มีความคงทน และยืดหยุ่น พร้อมทั้งยังรองรับสรีระของร่างกายได้เป็นอย่างดี รวมไปจนถึงการจัดวางผสมผสานองค์ประกอบโซฟา การดึงกระดุม และการตอกหมุดด้วยมือเพื่อเพิ่มดีเทลให้กับชิ้นงาน โดดเด่นด้วยการใช้เฉดสีที่มีความเด่นชัดและตัดกันได้อย่างลงตัวเป็นเสนห์อันน่าดึงดูดใจคืออัตลักษณ์เฉพาะของแบรนด์อเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส์ ของแบรนด์ เอาใจเหล่าคนรักการแต่งบ้านที่ต้องการความโดดเด่นและแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร ด้วยการฉีกทุกกฎแห่งการตกแต่งเนรมิตงานดีไซน์ในสไตล์ที่เป็นตัวเองลงไปในเฟอร์นิเจอร์ได้อย่างอิสระ  ไม่ว่าจะเป็นมิกซ์แอนด์แมตช์จับคู่สีที่ใช่ หรือการเลือกวัสดุในแบบที่ชอบ เพื่อชิ้นงานที่สมบูรณ์แบบอันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลก สะท้อนคาแรกเตอร์ของผู้ครอบครอง รอบรับทุกไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิต  ขอเชิญสัมผัสจิตวิญญาณความรุ่งโรจน์ทางวัฒนธรรมอันหลากหลายของเฟอร์นิเจอร์สุดยูนีค อเล็กซานเดอร์ แอนด์ เจมส์ ได้ที่แฟลกชิปสโตร์แห่งแรกในเอเชีย ซึ่งจะเปิดในเดือนมกราคมนี้ บริเวณซอยสุขุมวิท 39 เท่านั้น!          
อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ แกร่ง!! 3 ไตรมาส โตเข้าเป้า 4.6% กวาดรายได้ 7,258 ลบ. ประกาศผนึกพันธมิตร ดึงนวัตกรรมใหม่เสริมทัพ อัดแคมเปญใหญ่ ดันยอดปลายปี

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ แกร่ง!! 3 ไตรมาส โตเข้าเป้า 4.6% กวาดรายได้ 7,258 ลบ. ประกาศผนึกพันธมิตร ดึงนวัตกรรมใหม่เสริมทัพ อัดแคมเปญใหญ่ ดันยอดปลายปี

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ แกร่ง!! 3 ไตรมาส โตเข้าเป้า 4.6% กวาดรายได้ 7,258 ลบ. ประกาศผนึกพันธมิตร ดึงนวัตกรรมใหม่เสริมทัพ อัดแคมเปญใหญ่ ดันยอดปลายปี ปีหน้าทุ่มเม็ดเงินลงทุนกว่า 165 ลบ. พลิกโฉมใหม่ 6 สาขา พร้อมกางแผนขยาย อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ 4 สาขา รวมถึงรุกตลาดต่างประเทศผ่านรูปแบบแฟรนไชส์   อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (Index Living Mall) ตอกย้ำผู้นำค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านไทย โชว์รายได้ 3 ไตรมาสปิดที่ 7,258 ลบ. พร้อมวางหมากโหมทำการตลาดจากนี้แบบเข้มข้น  ทั้งประกาศผนึกกำลังพันธมิตรชั้นนำในแต่ละแคมเปญ รวมถึงดึงนวัตกรรมใหม่เสริมทัพสินค้า เจาะตลาด Customization รายคน ตลอดจนจัดซีซั่นนอลแคมเปญใหญ่ช่วงเทศกาลฉลองปีใหม่ รุกสื่อทุกช่องทางครบทุกแพลตฟอร์ม ยึดปรับตัวตามสถานการณ์ ชูของดีมีคุณภาพในราคาจับต้องได้ พร้อมประกาศแผนเดินหน้าขยายสาขาอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ 4 สาขา ปูพรมทั้งในกรุงเทพฯ และตจว.   รวมถึงขยายแฟรนไชส์ในต่างประเทศอย่างอินโดนีเซีย เพราะมีศักยภาพในทิศทางที่ดี นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (Miss Kridchanok Patamasatayasonthi, Managing Director of Index Living Mall) กล่าวถึงภาพรวมตลาดเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านปีนี้ว่าเติบโตแบบทรงตัว  และเมื่อพิจารณาเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และในกลุ่มหัวเมืองใหญ่และจังหวัดท่องเที่ยวยังถือว่าอยู่ในทิศทางที่ดี ทั้งจากผู้ซื้อชาวไทยและชาวต่างชาติ คาดว่าจะมียอดขายประมาณ 480,000 ลบ. แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 46% และคอนโดมิเนียม 54% ขณะที่ยอดเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งปี ประมาณ 430,000-440,000 ลบ. ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา (ที่มาจาก www.area.co.th) ขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เองมีการแข่งขันที่ดุเดือด โดยพยายามงัดกลยุทธ์ด้านโปรโมชั่นตลอดจนกิจกรรมการตลาด เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงไตรมาสสุดท้าย ซึ่งคาดว่ามูลค่าตลาดรวมเฟอร์นิเจอร์ในประเทศ สิ้นปี 2561 ประมาณการอยู่ที่ 80,000 ลบ.   “สำหรับผลประกอบการของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ในช่วง 9 เดือนของปี 2561 ที่ผ่านมานั้น สามารถทำยอดขายได้ 7,258 ลบ. มีอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales Growth) อยู่ที่ 4.6% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 20%  ของตลาดรวมเฟอร์นิเจอร์ในประเทศ ขณะที่ยอดสมาชิกบัตร JOY CARD ของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ มีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 1 ล้านราย”   “ทั้งหมดนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างเข้มข้นทั้งแคมเปญ ส่วนลด ตลอดจนโปรโมชั่นต่างๆ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงการเปิดสาขาใหม่  ได้แก่ สาขาบางกรวย-ไทรน้อย  ใน อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี  ซึ่งเป็นสาขาลำดับที่ 29  เมื่อ ส.ค.ที่ผ่านมา บนพื้นที่รวมกว่า 7,000 ตร.ม. ภายในเทสโก้ โลตัส สาขาบางกรวย-ไทรน้อย  และนับเป็นแห่งที่ 4 ที่ร่วมกับเทสโก้ โลตัส  หลังจากเปิดสาขามหาชัย, สาขานครสวรรค์ และสาขาแจ้งวัฒนะ ไปแล้วตามลำดับ ประกอบกับปัจจัยเรื่องความร่วมมือกับบิสิเนสพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่ง ในการเสริมศักยภาพทางธุรกิจ ทั้งสายบัตรเครดิต ธนาคารและสถาบันทางการเงินชั้นนำ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง เพื่อเข้ามาเป็นคู่ค้าในฐานะโฮสต์ใหญ่แต่ละแคมเปญทางการตลาด อันเป็นผลดีทั้งกับ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ และทางพันธมิตรเอง นอกเหนือจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการนำนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาปรับใช้กับสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ทั้งวัสดุ ฟังก์ชัน ดีไซน์ ในการนำเสนอสินค้าและบริการตามความพึงพอใจและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้า เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่อาศัยในเมืองมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ของผู้บริโภคในยุคตลาด 4.0 ไม่เพียงเน้นในเรื่องราคาเป็นตัวตัดสินใจซื้อเท่านั้น หากยังให้ความสำคัญในด้านฟังก์ชันการใช้งานและดีไซน์ที่ไม่เหมือนใคร รวมทั้งชื่นชอบสินค้าที่เป็นการ Customize แบบรายบุคคล”   “ที่สำคัญ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ยังได้เลือก “คิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส” ดารานักแสดงสาวชื่อดัง มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรก ด้วยเหตุผลในแง่ของการเป็นที่รู้จักและมีภาพลักษณ์ที่ดี อีกทั้งดู Premium Mass หากแต่ลูกค้ายังรู้สึกจับต้องได้  โดยได้เปิดตัวไปแล้วผ่านภาพยนตร์โฆษณา Ital Smart จากแนวคิด “ของมันต้องมี ที่เก็บดีๆ ต้องมีด้วย” ถ่ายทอดเรื่องราวการใช้ชีวิตสมาร์ทผ่านนวัตกรรมใหม่ ให้ตู้เสื้อผ้าเป็นมากกว่าที่จัดเก็บเสื้อผ้า จับกลุ่มลูกค้าอายุ 24-50 ปี รายได้ 1 แสนบาทขึ้นไปต่อเดือน กำหนดออนแอร์ TVC 90 วินาที ทางทีวีรวมถึงทางสื่อโซเชียลดิจิทัลทุกแพลตฟอร์มพร้อมกันเมื่อ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา”   ขณะเดียวกัน ในไตรมาส 4 อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ยังลุยกิจกรรมการตลาดต่อเนื่อง โดยเน้นหนักการจัดแคมเปญและโปรโมชั่น บวกของดีมีคุณภาพ ผ่านบิ๊กแคมเปญ “ไทม์ ทู เซเลเบรท 2019” (Time to Celebrate 2019) ที่จัดต่อเนื่องทุกสิ้นปี ซึ่งปีนี้ได้เชิญ อาจารย์ช้าง-ทศพร ศรีตุลา มาแนะนำ 4 ชุดของขวัญเสริมสิริมงคล หรือ Gift Baskets ได้แก่  ชุดสมบูรณ์พูนสุข ราคา 590 บาท, ชุดรุ่งโรจน์โชติช่วง ราคา 990 บาท, ชุดสำเร็จสมหวัง ราคา 1,290 บาท และชุดรวยทรัพย์รวยสุข  ราคา 1,590 บาท พร้อมชุดของขวัญและของแต่งบ้านที่คัดพิเศษอื่นๆ รวม 30 แบบ ภายใต้แนวคิด “Share a Wish, Share a Gift” แชร์ความสุขด้วยหัวใจ เริ่มวันนี้ - 9 ม.ค. 2562   ปีหน้าทุ่มเม็ดเงินลงทุนกว่า 165 ลบ. พลิกโฉมใหม่ 6 สาขา   บริษัทฯ ยังคงนโยบายมุ่งเน้นทำการตลาดเชิงรุกในประเทศชัดเจน นอกจากปีนี้จะเปิดสาขาใหม่แล้ว 1 สาขาข้างต้น ยังได้มีแผนรีโนเวทสาขา ประเดิมที่สาขาบางนา  และอีก 6 สาขา ต่อเนื่องในปีหน้า ได้แก่ สาขาราชพฤกษ์, สาขาเกษตร-นวมินทร์, สาขารังสิต, สาขาพัทยา, สาขาภูเก็ต และสาขาอุดรธานี  ทั้งนี้ ได้เริ่มต้นที่สาขาบางนา เพราะถือเป็นสาขาหนึ่งที่มีกำลังซื้อ ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายระดับกลางถึงสูง การปรับโฉมใหม่จึงได้เพิ่มการโฟกัสกลุ่มลูกค้าระดับสูงมากขึ้น มีการผลิตสินค้าลักชัวรี่ ที่มีดีไซน์สวย วัสดุพรีเมียม เน้นการใช้พื้นที่และฟังก์ชันการใช้งาน  ด้วยพื้นที่ที่ชัดเจน สวยงาม และสะดวกขึ้น นำร่อง 11 โซนดีไซน์ใหม่ ได้แก่ Trend Design, The Luxury Edition, Ital Smart, Ital Living, Natural Living,  Space Saving, Kitchen 4.0, Real House, Sofa Studio, Bedding Studio และท้ายสุดกับ Perfect Sleep  ที่แรกในไทย กับ One Stop Service รวมศาสตร์ความรู้ บริการ และนวัตกรรมสินค้าครบไลน์ทุกเรื่องการนอน  เพื่อสุขภาพการนอนที่สมบูรณ์แบบ  ทั้งผ้าปูที่นอน หมอน ที่นอน รวมถึงอุปกรณ์การนอนอื่นๆ มากมาย รวมกว่าร้อยรายการ พร้อมมีการนำเข้าสินค้าจากแบรนด์นวัตกรรมเรื่องการนอนชั้นนำของโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างแบรนด์ PureCare มาจำหน่ายเป็นรายแรกและรายเดียวในไทยด้วย     กางแผนปีหน้าลุยขยาย 4  สาขาทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงรุกตลาดต่างประเทศผ่านรูปแบบแฟรนไชส์   ปัจจุบัน อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ มีสาขาทั้งสิ้น 29 แห่งทั่วประเทศ และ Furniture Center อีก 6 สาขา, ร้าน Trend Design 4 สาขาที่อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาบางนา สาขาเกษตร-นวมินทร์ สาขาภูเก็ต และสาขาพัทยา ร้าน Momentous มัลติลิฟวิ่งสโตร์เฟอร์นิเจอร์ 3 สาขาที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาภูเก็ต และสาขาพัทยา และร้าน BoConcept 2 สาขาที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน  และ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาพัทยา รวมเป็นทั้งหมด 44 แห่ง  ขณะที่ในปี 2562 มีแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 4 แห่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ได้แก่ สาขาชัยพฤกษ์, สาขาจันทบุรี, สาขารามอินทรา และสาขาสุขาภิบาล 3 ขณะที่ในต่างประเทศเตรียมวางแผนเดินหน้าขยายสาขาผ่านแฟรนไชส์อีก 2 แห่ง ที่ประเทศอินโดนีเซีย ในเมืองจาการ์ตาร์ และบาหลี ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่าศักยภาพของตลาดค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านในอินโดนีเซีย ยังมีอัตราการเติบโตในทิศทางที่ดี โดยปัจจัยสำคัญมาจากฐานประชากรขนาดใหญ่ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของอินโดนีเซีย รวมถึงรายได้ของประชากร และพฤติกรรมผู้บริโภค  สำหรับการขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ คาดว่าตลาดสามารถเติบโตได้ดี ผ่านการทำรูปแบบแฟรนไชส์ให้แก่ผู้ประกอบการท้องถิ่น อีกทั้งบริษัทฯ มีการศึกษาตลาดต่างประเทศ ตลอดจนศักยภาพการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศนั้นๆ เพื่อลดอัตราเสี่ยงในด้านต่างๆ ทั้งนี้ กลุ่มประเทศที่ให้ความสนใจและมีศักยภาพค่อนข้างสูง ได้แก่ กลุ่มประเทศในอาเซียนนั่นเอง “เราพร้อมปรับตัวตามสถานการณ์ ไม่หยุดนิ่ง  โดยยึดของดีมีคุณภาพ ในราคาจับต้องได้ เป็นทิศทางธุรกิจที่  อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จะเดินหน้าเต็มตัวในปี 2561 จากนี้ไป โดยนำ  Pain Point ของลูกค้ามาแก้ไขอย่างตรงจุด เพื่อตอบโจทย์ตลาด Customization ตามใจผู้บริโภคทุกรูปแบบ พร้อมเน้นจุดแข็งเรื่อง Space Utilization  ผ่าน  “ยูนีค” (Younique) Customized Furniture 4.0 เฟอร์นิเจอร์สั่งตัดตามใจคุณ ที่เป็นมากกว่าแค่ Personalize แต่ Customize ตรงตามความต้องการแบบเฉพาะรายคน ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใครแน่นอน ปัจจุบัน “ยูนีค” ทำยอดขายได้กว่า 255 ลบ. หลังจากเปิดตัวไปอย่างเป็นทางการเมื่อปีก่อน สะท้อนถึงการตอบรับอย่างดีจากตลาด Customization ขณะที่ทิศทางปีหน้าเชื่อว่ายุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทย (ปี 2558- ปี 2565)  โดยเฉพาะโครงข่ายพัฒนารถไฟฟ้าสายสีต่างๆ รวมถึงการจัดให้มีการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นต้นปี 2562 นี้  จะเป็นสัญญาณทางการตลาดที่ดี ทั้งเป็นปัจจัยหนุนตลาดเฟอร์นิเจอร์ และตลาดอสังหาริมทรัพน์ให้เติบโตยิ่งขึ้นแน่นอน”  นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กล่าวปิดท้าย   หัวใจหลักที่ทำให้ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เป็นหนึ่งใน Top of Mind  ในใจผู้บริโภค คือ การศึกษาตลาดในประเทศและศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคในเชิงลึกระดับอินไซด์ เพื่อพัฒนาต่อยอดแบรนด์สินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างแท้จริง เป็นวันสต็อปช้อปปิ้ง ตามสโลแกนมาที่เดียว “ครบ จบ คุ้ม” ทุกความต้องการเรื่องบ้าน สื่อสารทางการตลาดครอบคลุม IMC 360 ทุกด้าน หลากหลายครบทุกแพลตฟอร์มทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ตลอดจนสร้าง Content Stories ที่โดนใจ ผ่านแนวคิด “4i” Inspiration, Information, Interaction และ Influencer โดยมีสินค้าและบริการให้เลือกมากกว่า 30,000 รายการ นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มความสะดวกในการช้อปทางออนไลน์ หรือ e-commerce ผ่านช่องทาง  www.indexlivingmall.com สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ลูกค้ายุค 4.0 จึงกล่าวได้ว่าภาพรวมธุรกิจของ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์  เติบโตมั่นคงและต่อเนื่องอย่างแข็งแกร่งและมีศักยภาพสูงสุดในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไทย        
แสนสิริ ผนึกพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์เฝ้าระวังอัจฉริยะจากส่วนกลาง แจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน 24/7 แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ

แสนสิริ ผนึกพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์เฝ้าระวังอัจฉริยะจากส่วนกลาง แจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน 24/7 แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ

แสนสิริ ผนึกพลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์เฝ้าระวังอัจฉริยะจากส่วนกลาง แจ้งเตือนเหตุฉุกเฉิน 24/7 แห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ ยกระดับความปลอดภัยและระบบวิศวกรรมอาคารจากศูนย์ควบคุมส่วนกลางตลอด 24 ชม. ต่อยอดเทคโนโลยี IoT ที่เชื่อมต่อข้อมูลเรียลไทม์จาก 4 โครงการนำร่อง   แสนสิริ จับมือพลัส พร็อพเพอร์ตี้ บริษัทในเครือ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดตัว “Smart Command Centre” ศูนย์ควบคุมสังเกตการณ์จากส่วนกลางเต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ณ อาคารสิริภิญโญ ภายใต้การลงทุนรวมกว่า  20 ล้านบาท เพื่อบริหารจัดการความปลอดภัยในพื้นที่ส่วนกลาง (Security Monitoring) และระบบวิศวกรรมอาคารส่วนกลาง (IoT Facility Management) ของโครงการที่พักอาศัย มายังศูนย์ควบคุมส่วนกลาง พร้อมผู้เชี่ยวชาญคอยเฝ้าระวัง สั่งการ และประสานงานตลอด 24 ชั่วโมงเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการบริการ ทั้งด้านการดูแลความปลอดภัย และระบบภายในอาคารให้ทุกระบบทำงานรวดเร็ว แม่นยำ จัดการปัญหาได้ตรงจุด พร้อมเสริมขีดความสามารถในการบริหารโครงการแบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Preventive Maintenance) นำร่อง 4 โครงการส่งท้ายปี 61 เป็นของขวัญปีใหม่ให้ลูกบ้านแสนสิริ เผยแผนเตรียมเชื่อมต่อ Smart Command Centre เข้ากับ 11 โครงการแนวราบและกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้การบริหารโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ที่จะแล้วเสร็จใหม่ ในปี 2562 ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเข้าใจลึกซึ้งถึงความต้องการของลูกค้าและไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาการบริการในโครงการที่อยู่อาศัย ล่าสุดจึงประกาศความพร้อมในการเดินหน้าต่อเนื่องในการนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีมาพัฒนายกระดับการบริการหลังการขายให้แก่ลูกบ้าน เพื่อสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ ภายใต้แนวคิดที่เป็นหัวใจหลักของแสนสิริและตอบโจทย์เทรนด์การใช้ชีวิตในยุคที่เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัล มีบทบาท สำคัญในชีวิตประจำวัน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ บริษัทประสบความสำเร็จในกระแสตอบรับการเปิดตัว Sansiri Security System หรือระบบรักษาความปลอดภัยภายในโครงการ (พื้นที่ส่วนกลาง) ที่แข็งแกร่งด้วยเทคโนโลยีอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยผสานกับการทำงานของทีมงานที่ได้รับการฝึกอบรมจากครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับการอยู่อาศัยของลูกบ้านในด้านความปลอดภัยอย่างรอบด้าน รวมถึงการเป็นผู้นำในการพัฒนา สมาร์ท คอนโด โดยการเดินหน้าใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ในทุกโครงการคอนโดมิเนียมที่จะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562เป็นต้นไป “ในวันนี้ แสนสิริได้ต่อยอดการให้บริการด้านการอยู่อาศัยให้ล้ำหน้าไปอีกขั้นด้วยการร่วมมือกับพลัส พร็อพเพอร์ตี้ จัดตั้ง “Smart Command Centre” ศูนย์ควบคุมสังเกตุการณ์จากส่วนกลาง เต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมกว่า 20 ล้านบาท เพื่อสร้างความมั่นใจในการให้บริการที่ดีที่สุดให้กับลูกบ้านแสนสิริในโครงการที่บริหารจัดการโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ทั้งด้านบริหารจัดการความปลอดภัย (Security Monitoring) ที่เพิ่มความอุ่นใจแก่ผู้อยู่อาศัยเป็น 2 เท่า และด้านการบริหารจัดการระบบวิศวกรรมอาคาร (IoT Facility Management) ด้วยเทคโนโลยี IoT อันล้ำสมัยที่สามารถช่วยในเรื่องของการบริหารจัดการ Facility และลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางของโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ดร.ทวิชา กล่าว สำหรับศูนย์ควบคุมสังเกตุการณ์จากส่วนกลางเต็มรูปแบบแห่งแรกของวงการอสังหาฯ ไทย (Smart Command Centre) ตั้งอยู่ที่อาคารสิริภิญโญ ได้รับการพัฒนาและวางระบบจากผู้นำในธุรกิจและเทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัยมาตรฐานสากลที่มีประสบการณ์มากว่า 40 ปี ได้แก่ บริษัท กัทส์ อินเวสติเกชั่น จำกัด ร่วมพัฒนาและวางระบบในการปฏิบัติการทั้งหมด โดย Smart Command Centre มีหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการ เฝ้าระวัง สังเกตุการณ์เหตุผิดปกติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ส่วนกลาง รวมถึงแจ้งเตือนเมื่ออุปกรณ์ใกล้ถึงเวลาบำรุงรักษาแบบเรียลไทม์ พร้อมสั่งการเพื่อดำเนินการตรวจสอบความผิดปกติต่าง ๆ จากศูนย์ควบคุมฯ ได้ทันที นอกจากนี้ยังช่วยประสานงาน กับหน่วยงานต่างๆ เช่น ตำรวจ โรงพยาบาล หรือช่างผู้เชี่ยวชาญได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการต่อเหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด โดยภายในศูนย์ควบคุมฯ จะมีเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการ 2 ทีมประจำ 24 ชั่วโมง ตลอดทั้ง 7 วัน ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์คมชัดระดับ HD จำนวน 12  จอที่จะรับสัญญาณตรงมาจากโครงการแบบเรียลไทม์ นายชาญ ศิริรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายบริหารทรัพยากรอาคารและวิศวกรรม บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือกับแสนสิริในการจัดตั้ง Smart Command Centre จะช่วยสร้างความอุ่นใจและสบายใจให้กับลูกบ้านแสนสิริในโครงการที่พลัส พร็อพเพอร์ตี้บริหารจัดการ ทั้งในด้านการเฝ้าระวัง (Preventive Monitoring) และการดูแลรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance ) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการที่อยู่อาศัยให้โดดเด่นด้านมูลค่าเหนือคู่แข่งในทำเลเดียวกัน จากระดับความปลอดภัยในการอยู่อาศัยและความสามารถในการดูแลรักษาโครงการให้มีประสิทธิภาพสวยงามอยู่เสมอ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจเช่าและการซื้อขายเปลี่ยนมือ รวมถึงช่วยบริหารค่าส่วนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย “ในปลายปี 2561 นี้ Smart Command Centre จะเริ่มเชื่อมต่อข้อมูลจาก 4 โครงการ ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียม เดอะ เทอร์ทีไนน์ สุขุมวิท 39, โครงการ เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา, โครงการ เดอะ ไลน์ ราชเทวี และโครงการบ้านเดี่ยวคณาสิริ พระราม 2 – วงแหวน นอกจากนี้ในปี 2562 เรามีแผนที่จะเชื่อมต่อ Smart Command Centre เข้ากับโครงการแนวราบ 11 โครงการ และโครงการแนวสูงที่จะแล้วเสร็จทั้งหมด ในอนาคต แสนสิริ และพลัสฯ ยังมีแผนการต่อยอดขอบข่ายการทำงานของ Smart Command Centre ทั้งในด้านของการบริหารความปลอดภัย ที่จะเพิ่มการเชื่อมต่อข้อมูลจากระบบ Visitor Management System ที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลของผู้มาติดต่อทั้งหมด และระบบ Face Recognition ที่สามารถจัดเก็บภาพใบหน้า ลายนิ้วมือ และข้อมูลของผู้รับเหมา และในส่วนของ IoT Facility Management จะนำมาใช้ในการบริหารจัดการซื้อขายพลังงานไฟฟ้าแสงอาทิตย์ (Smart Grid) และการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) เพิ่มเติม   “นอกเหนือจากความสามารถด้านการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย และการดูแลระบบวิศวกรรมอาคารส่วนกลาง แสนสิริและพลัสฯ ยังมีแผนขยายขีดความสามารถของ Smart Command Centre ไปยังการใช้งานระบบ Touch Points & Intelligent ซึ่งเป็นเครื่องมือในการรับฟังและตอบรับ ความต้องการของลูกค้าทั่วประเทศผ่านทั้งช่องทางโซเชียลมีเดียและ คอลล์เซ็นเตอร์ รวมถึง Sansiri Infrastructure ที่จะสร้างความมั่นใจในความพร้อมเรื่อง CRM, Salesforce, Data Warehouse ต่าง ๆ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดูแลลูกบ้านตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งทั้งหมดนี้ คือบริการจากแสนสิริและพลัสฯ ที่พัฒนาด้วยความใส่ใจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการให้บริการและสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบให้แก่ลูกบ้านแสนสิริครอบคลุมไปถึงในปี 2562” ดร. ทวิชากล่าว          
‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ เปิดเกมขยายตลาดต่างประเทศ ลุยโรดโชว์จีน-ฮ่องกง เชื่อศักยภาพตลาดยังแกร่ง

‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ เปิดเกมขยายตลาดต่างประเทศ ลุยโรดโชว์จีน-ฮ่องกง เชื่อศักยภาพตลาดยังแกร่ง

‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ เปิดเกมรุกขยายตลาดต่างประเทศเต็มสูบ ขน 2 โครงการพรีเมี่ยม วาลเด้น สุขุมวิท 39 และ วาลเด้น สุขุมวิท 31 เดินหน้าจัดกิจกรรมโรดโชว์ 3 เมืองเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว หลังประสบความสำเร็จในตลาดฮ่องกง มั่นใจคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมในกรุงเทพฯ ยังเติบโตได้อีกมาก จากกลุ่มลูกค้าชาวจีนมีศักยภาพสนใจซื้อและลงทุน แย้มกลยุทธ์ปีหน้าจับมือพันธมิตรรายใหญ่จ่อลุย ตลาดอื่นทั้งในเอเชียและตะวันออกกลาง นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อการลงทุนของไทย เปิดเผยว่า “ตลาดคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมของผู้ซื้อชาวต่างชาติยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยบริษัทฯมีแผนขยายตลาดลูกค้าชาวต่างชาติให้มากขึ้น ซึ่งเริ่มจากตลาดลูกค้าชาวจีนและฮ่องกงที่มีความใกล้ชิด ก่อนขยายไปยังตลาดอื่น ๆ ต่อไป โดยจะรุกทำกิจกรรมการตลาด ในทุกช่องทาง ทั้งการจัดกิจกรรมการตลาดในต่างประเทศด้วยตัวเอง และการร่วมมือกับพันธมิตรในการเจาะตลาดตรงเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าต่างชาติได้เพิ่มมากขึ้น”   ทั้งนี้ ฮาบิแทท กรุ๊ป ได้เริ่มจัดทำโร้ดโชว์ที่ฮ่องกงในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ และในช่วงเดือนธันวาคม 2561 ถึง มกราคม 2562 นี้ ยังได้จับมือกับพันธมิตรจีนในการจัดกิจกรรมการตลาดใน 3 เมืองที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้แก่ ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว เพื่อเจาะตลาดลูกค้าชาวจีนโดยเฉพาะ ส่วนโครงการที่นำไปเสนอขายในการจัดกิจกรรมการตลาดในจีนครั้งนี้ จะเป็นโครงการที่บริษัทกำลังเปิดขายอยู่ขณะนี้คือ โครงการวาลเด้น สุขุมวิท 39 ซึ่งมีโควต้าสำหรับลูกค้าชาวต่างชาติเหลืออยู่ราว 50 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 400 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถขายได้หมดในช่วงไตรมาส 1 - 2 ของปีหน้า และในต้นปี 2562 จะมีนำเอาโครงการใหม่ที่จะไปเจาะตลาดลูกค้าชาวต่างชาติ ได้แก่ โครงการ วาลเด้น สุขุมวิท 31 เป็นโควต้าสำหรับลูกค้าชาวต่างชาติ มูลค่าประมาณ 400 ล้านบาท “แม้การเติบโตของการซื้อขายโครงการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ของลูกค้าชาวจีนและฮ่องกงจะชะลอตัว เนื่องจากยังมีปัจจัยความกังวลต่อสถานการณ์ไม่แน่นอนจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน แต่ยังมีกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่มีกำลังซื้อและยังให้ความสนใจคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมที่มีราคาตั้งแต่ 5 - 10 ล้านบาทอยู่ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดเป้าหมายของฮาบิแทท กรุ๊ป เรามั่นใจและเชื่อมั่นว่าสินค้าที่ออกไปนำเสนอจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และคาดว่ากำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าชาวจีนน่าจะเติบโตขึ้นอีกช่วงหลังเทศกาลตรุษจีนในปีหน้า” นายชนินทร์ กล่าว   นอกจาก ฮาบิแทท กรุ๊ป จะให้ความสำคัญในการจัดกิจกรรมการตลาดในจีน และฮ่องกงแล้ว ยังให้ความ สำคัญกับตลาดอื่นด้วยเช่นกัน โดยมองหากลุ่มตลาดใหม่ ๆ เช่น ตะวันออกกลาง และตลาดในเอเชียอย่างญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์ และมาเลเซีย   “แม้เราจะมีกลุ่มตลาดเป้าหมายที่ชัดเจนอย่างจีนกับฮ่องกงก็ตาม แต่ฮาบิแทท กรุ๊ป ก็ยังมองหาโอกาสในตลาดเกิดใหม่เพิ่มเติม พร้อมขยายฐานลูกค้า ด้วยการจับมือกับพันธมิตร ใช้กลยุทธ์และขยายช่องทางไปสู่ตลาดใหม่ ๆ มากขึ้น โดยถือเป็นกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจตลอดปี 2562 รวมถึงการมีโปรดักส์ใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มเติมขึ้นด้วย” “ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังเชื่อมั่นต่อตลาดผู้ซื้อต่างประเทศว่าจะมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นในปีหน้า เพราะประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีเมืองท่องเที่ยวที่ติดอันดับเมืองท่องเที่ยวของโลกซึ่งได้แก่ กรุงเทพฯ และพัทยา โดยมียอดนักท่องเที่ยวเติบโตขึ้นทุกปี ส่งผลให้การลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มเติบโต ทั้งฝั่งของผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าไปลงทุนในเมืองท่องเที่ยวเหล่านี้ และฝั่งของผู้ลงทุนรายบุคคลที่เห็นประโยชน์จากการเติบโตของการท่องเที่ยว ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่ และที่สำคัญเมื่อโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC เข้ามา ก็จะทำให้แหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ภาคตะวันออกอย่าง พัทยา เติบโตอย่างก้าวกระโดดอีกด้วย" นายชนินทร์ กล่าวปิดท้าย   สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ของฮาบิแทท กรุ๊ป ได้ที่เว็บไซต์ www.habitatgroup.co.th หรือโทร. 02-168-8266   เฟสบุ๊ค www.facebook.com/HabitatGroupProperties ไลน์ @habitatgroup อินสตาแกรม habitatgroup.th          
“สิงห์ คอมเพล็กซ์” โครงการลักชัวรีมิกซ์ ยูส แห่งแรกในย่านอโศก-เพชรบุรี พร้อมเปิดอย่างเป็นทางการ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านการผสมผสานแนวคิดในทุกมิติอย่างลงตัว

“สิงห์ คอมเพล็กซ์” โครงการลักชัวรีมิกซ์ ยูส แห่งแรกในย่านอโศก-เพชรบุรี พร้อมเปิดอย่างเป็นทางการ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ผ่านการผสมผสานแนวคิดในทุกมิติอย่างลงตัว

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดตัว ‘สิงห์ คอมเพล็กซ์’ เดอะ ลักชัวรี มิกซ์ ยูส คอมเพล็กซ์ โครงการลักชัวรี มิกซ์ ยูส บริเวณหัวมุมถนนอโศก-เพชรบุรีอย่างเป็นทางการ โครงการตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 11 ไร่ ประกอบไปด้วย อาคารสำนักงานเกรดเอ “ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” 42 ชั้น ที่มีโซนพื้นที่ค้าปลีกรวมร้านค้าและร้านอาหารชื่อดังกว่า 30 ร้าน และคอนโดมิเนียมลักชัวรี “ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” สูง 39 ชั้น จำนวน 319 ยูนิต โดดเด่นด้วยแนวคิดในการออกแบบอย่างพิถีพิถัน ใส่ใจในทุกรายละเอียด พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ จากทำเลที่ตั้งเดิมของสถานทูตญี่ปุ่น ณ บริเวณหัวมุมถนนอโศก-เพชรบุรี สู่ทำเลศักยภาพในย่านเขตธุรกิจใหม่ของกรุงเทพมหานคร การเป็นจุดศูนย์กลางคมนาคม ติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีเพชรบุรี ใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ท่าเรืออโศกคลองแสนแสบ และทางพิเศษศรีรัช ทำให้ สิงห์ เอสเตท บริษัทชั้นนำ ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนในประเทศไทยและต่างประเทศ นำโดยนายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทฯ เล็งเห็นศักยภาพของทำเลที่ตั้งดังกล่าว จึงตัดสินใจพัฒนาโครงการ “สิงห์ คอมเพล็กซ์” (SINGHA COMPLEX) โครงการลักชัวรี มิกซ์ ยูส แห่งแรกของย่านอโศก-เพชรบุรี บนพื้นที่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานแห่งนี้ นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าว “สิงห์ คอมเพล็กซ์ สะท้อนให้เห็นวิสัยทัศน์ที่ต้องการเพิ่มมูลค่าให้กับพื้นที่ประวัติศาสตร์ รวมถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อเจาะตลาดพรีเมียมของบริษัทฯ ผ่านการพัฒนาและออกแบบอย่างพิถีพิถัน ใส่ใจในทุกรายละเอียด มีการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยในส่วนของอาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีให้สามารถรองรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อการจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด บนพื้นฐานของความตั้งใจของ สิงห์ เอสเตท ที่จะนำเสนอสิ่งใหม่ในการใช้ชีวิต (Premier Lifestyle Developer) ส่งมอบคุณภาพที่ดีที่สุดทั้งสินค้าและบริการ และที่สำคัญคือการส่งเสริมสังคมและสภาพแวดล้อมให้ยั่งยืน” โดย สิงห์ คอมเพล็กซ์ มุ่งเน้นการสร้างประสบการณของผู้คนเพื่อให้ทุกวินาทีของการใช้ชีวิตครบถ้วน ด้วยการจัดพื้นที่ได้อย่างลงตัว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตได้อย่างสมบูรณ์แบบ ระหว่างการทำงาน พักผ่อน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกและการบริการระดับมืออาชีพ ผ่านมิติการใช้ชีวิตทั้ง 4 ด้าน คือ การเดินทางและการเชื่อมโยงทุกการใช้ชีวิต (Life Associated) เชื่อมโยงทุกการเดินทางอย่างสะดวกเพื่อคืนเวลาในการใช้ชีวิต สร้างสมดุลทั้งทำงาน พักผ่อน และสังสรรค์กับเพื่อนฝูงภายในที่เดียว การตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่มีเอกลักษณ์เพื่อสะท้อนตัวตนของคนยุคใหม่ (Life Characteristics) ค้นหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการทำงาน ใช้ชีวิตกับสังคมคุณภาพ พร้อมรับพลังงานจากสิ่งดี ๆ รอบตัว การใช้ชีวิตทุกวันให้เป็นโอกาสพิเศษ (Life Exclusivity) สีสันใหม่ของชีวิต ถูกสร้างจากความพิถีพิถันในรายละเอียด และบริการที่เป็นเลิศ เพื่อมอบประสบการณ์และโอกาสที่พิเศษยิ่งกว่า และการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ (Life Dimension) แสงแดดที่พอเพียง อุณหภูมิที่พอเหมาะ และมีเวลาที่มีคุณภาพ ก่อเกิดเป็นความสุขในทุกมิติ   สิงห์ คอมเพล็กซ์ ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมลักชัวรี “ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” (THE ESSE at SINGHA COMPLEX) ความสูง 39 ชั้น จำนวน 319 ยูนิต ซึ่งจะมีการส่งมอบให้กับลูกค้าในช่วงปลายปี 2562 และอาคารสำนักงานให้เช่าพร้อมพื้นที่ค้าปลีกให้เช่า ความสูง 42 ชั้น แบ่งเป็น อาคารสำนักงานเกรดเอ “ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” (THE OFFICE at SINGHA COMPLEX) สมาร์ทออฟฟิศแห่งใหม่บนถนนอโศก เพชรบุรี โดดเด่นออกแบบด้วยการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาช่วยการใช้ชีวิตทำงาน และส่วนพื้นที่ค้าปลีก ซึ่งเป็นศูนย์รวมร้านค้าและร้านอาหารชื่อดังกว่า 30 ร้าน พร้อมมีพื้นที่สำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ พื้นที่ออกกำลังกายลู่วิ่งจ็อกกิ้งบนดาดฟ้า (Rooftop Jogging Track) และพื้นที่ทำงานแบบ Co-working space ซึ่งอยู่ในส่วนของ “Amphitheatre” เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจที่เปิดให้ผู้มาใช้บริการสามารถทำงานและพักผ่อนได้ตามอัธยาศัย รวมทั้งการบริการระดับมืออาชีพตามมาตรฐานโรงแรมห้าดาว นอกจากนั้นเพื่อรองรับการใช้ชีวิตในยุคดิจิตอล พร้อมเติมเต็มประสบการณ์ด้านการใช้ชีวิตแบบ SMART LIFE มีบริการ Super WIFI ความเร็วสูงถึง 1GB/Sec. ให้บริการฟรี เรียกได้ว่าเชื่อมโยงทุกแง่มุมของการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นแง่มุมการทำงาน การพักผ่อน หรือการพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง ทั้งนี้ สิงห์ คอมเพล็กซ์ ยังได้รับการออกแบบมาให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชน ตามหลักกลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืนของ สิงห์ เอสเตท ที่ให้ความสำคัญกับศักยภาพของทำเลที่ตั้ง และการสร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะรายละเอียดที่จะสร้างความยั่งยืนให้แก่สิ่งแวดล้อมและชุมชนรอบข้าง นายนริศกล่าว “โครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ สะท้อนให้เห็นแนวคิดในด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) อย่างชัดเจน เริ่มตั้งแต่การเลือกที่จะรักษาต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่ในพื้นที่แต่เดิมไว้เพราะต้นจามจุรีสามต้นนี้เป็นสัญลักษณ์ของอโศก และการออกแบบพื้นที่สีเขียวทั้งภายในและภายนอกอาคารภายใต้แนวคิด Urban Sanctuary นอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญเรื่องความสวยงามควบคู่ไปกับการเลือกใช้นวัตกรรมอัจฉริยะ เช่น การออกแบบฟินสีทองที่สร้างความโดดเด่นสวยงามให้ตัวอาคารภายนอก ในขณะเดียวกันได้เลือกติดตั้งกระจก Double Glazed ทั้งอาคารเพื่อช่วยในเรื่องลดความร้อน ป้องกันแสงยูวี กันเสียงจากภายนอก และสามารถนำแสงธรรมชาติมาใช้ในอาคาร รวมถึงการออกแบบที่ได้การรับรองมาตรฐาน LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) ซึ่งเป็นมาตรฐานอาคารเพื่อสิ่งแวดล้อมระดับสากล” ร่วมสัมผัสประสบการณ์การใช้ชีวิตอันสมบูรณ์แบบที่ สิงห์ คอมเพล็กซ์ โครงการลักชัวรี มิกซ์ ยูส แห่งแรกในย่านอโศก-เพชรบุรี ที่รวบรวมทุกรายละเอียดเพื่อเติมเต็มทุกความต้องการของไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ไว้อย่างลงตัวได้แล้ววันนี้ ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook.com/SinghaComplex          
“เลคซีรีน”

“เลคซีรีน” "สัมผัสบรรยากาศใกล้ชิดธรรมชาติ สงบ และปลอดโปร่ง สร้างสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ"

เลคซีรีน บ้านสไตล์ นอร์ท อเมริกัน สุดหรูหราพร้อมทะเลสาบส่วนตัว แรงบันดาลใจจากต้นกำเนิดของสถาปัตยกรรมอเมริกันโมเดิร์นแบบ “Prairie house” ในแถบชานเมืองของชิคาโก ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดัง Frank Lloyd Wright  ผสานความเป็นเอกลักษณ์ของเส้นสายระนาบแนวนอนและรูปทรงเรขาคณิตในทุกรายละเอียดของการดีไซน์บ้าน ผสานกับการออกแบบบนคอนเซ็ปที่เน้นความเรียบง่าย บ่งบอกถึงความตั้งใจที่ต้องการให้ผู้อยู่อาศัยเข้าถึงธรรมชาติมากขึ้น และสัมผัสถึงสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อนได้อย่างสมบูรณ์แบบ โครงการบ้านเดี่ยวโอบล้อมริมทะเลสาบส่วนตัวสุดพิเศษพร้อมพื้นที่พักผ่อนส่วนตัวรอบบ้านที่ให้ผู้อยู่อาศัยสัมผัสถึงบรรยากาศการพักผ่อน กับความงดงามของธรรมชาติ สายลม แสงแดดอ่อนๆ และบรรยากาศของโครงการที่พาคุณดื่มด่ำกับบ้านพักอาศัยให้ความรู้สึกราวกับบ้านพักตากอากาศในทุกวัน พื้นที่ใช้สอยที่ลงตัว ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ พร้อมทัศนียภาพการชีวิตที่สวยงานกับระบบสายไฟฟ้าใต้ดินทั้งโครงการ เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้ชีวิตด้วยเทคโนโลยี smart home & smart security ทั้งในพื้นที่ภายในบ้านและพื้นที่ส่วนกลาง บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 100 -150 ตร. วา พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 220-429 ตร. ม. ด้วยราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาทออกแบบสไตล์ยุโรป ฟังก์ชั่นการใช้งานสุดลงตัว ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย เชื่อมส่วนต่างๆ ด้านล่างของตัวบ้านด้วยห้องโถงขนาดใหญ่กลางบ้าน เพดานสูง 7 เมตร ให้ความรู้สึกหรูหราสไตล์คฤหาสน์  โปร่ง โล่งสบายตา พร้อมรองรับการมาเยี่ยมเยือน การสังสรรค์และการพักผ่อนในวันหยุด ห้องนอนขนาดใหญ่และห้องน้ำภายในที่ถูกจัดวางอย่างลงตัวตอบรับการใช้งาน เพิ่มเติมห้องครัวไทยให้เป็นอีกทางเลือกของผู้อยู่อาศัย บริเวณรอบตัวบ้านมีสวนและพื้นที่ใช้สอยให้ได้มีกิจกรรมร่วมกันของทุกคนในบ้าน ทุกส่วนของบ้านเปิดรับลมโชยที่มีกลิ่นอายของทะเล ทะเลสาบ และแมกไม้จากรอบโครงการ วิวสวยสไตล์บ้านตากอากาศ พื้นที่ส่วนกลางของโครงการขนาดใหญ่ คลับเฮาส์ สวนพักผ่อน ฟิสเนต สนามเด็กเล่น และพื้นที่ริมทะเลสาบช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายยามเย็น สะดวกสบายหากต้องการเดินทางไปพักผ่อนในวันหยุด หรือเดินทางเข้าไปทำงานใจกลางกรุงเทพเพียง 15 นาทีถึงทางด่วนเฉลิมมาหานคร เข้าถึงย่านสาทร พระราม 3 พระราม 9 ได้อย่างสะดวก และ 10 นาทีถึงวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันตก มุ่งสู่บางนาได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังแวดล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้งและสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ โรงเรียนนานาชาตินอริช โรงเรียนเลิศหล้า โรงเรียนอัสสัมชัญ โรงเรียนสารสาสน์วิเทศบางบอน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ห้างสรรพสินค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ เซ็นทรัล พระราม 2 บิ๊กซี พระราม 2 เซ็นทรัล มหาชัย พอร์โต้ ชิโน่  โรงพยาบาลพานาซี โรงพยาบาลนครธน โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล โรงพยาบาลบางมด   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ 0 2026 2132 หรือ  www.lakeserene-rama2.com          
คว้าโอกาสสุดท้าย! กู้เต็ม 100% ก่อนโดนมาตรการเข้มปีหน้า

คว้าโอกาสสุดท้าย! กู้เต็ม 100% ก่อนโดนมาตรการเข้มปีหน้า

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมี “บ้าน” เป็นของตัวเอง คือความฝันของทุกคน โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่ต้องการสร้างครอบครัว และขยายพื้นที่แห่งความสุขกับคนที่ตัวเองรัก หลายๆ คน อาจจะมีบ้านหลังแรกแล้ว ซึ่งคนรุ่นใหม่มักจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมซึ่งอยู่ในย่าน CBD ใกล้แหล่งงาน หรือตามแนวเส้นรถไฟฟ้า เน้นเรื่องความสะดวกสบายในการเดินทางเป็นหลัก แต่ถ้าในวันหนึ่งที่เราต้องการขยับขยายพื้นที่อยู่อาศัย “บ้านหลังที่ 2” อาจเป็นคำตอบสำหรับคนที่ต้องการสเปซที่มากขึ้น เพื่อรองรับสมาชิกครอบครัวที่เพิ่มขึ้น มีพื้นที่ให้เราทำกิจกรรมดีๆ ร่วมกับสมาชิกในครอบครัว และให้เราได้ออกแบบชีวิตตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง และที่สำคัญต้องอยู่ในทำเลที่เดินทางเข้าเมืองสะดวก ใกล้ทางด่วน และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อตอบสนองรูปแบบการใช้ชีวิตยุคใหม่เช่นเดียวกับการอยู่อาศัยในคอนโดในเมือง         ที่ผ่านมา การซื้อบ้านสักหลังอาจจะไม่ใช่เรื่องยาก เนื่องจากแบงก์ได้ปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยแนวราบถึง 95% ทำให้ผู้ซื้อวางเงินดาวน์เพียงแค่ 5% ของมูลค่าหลักทรัพย์ เช่น ถ้าคุณซื้อบ้านเดี่ยวราคา 5 ล้าน คุณวางเงินดาวน์เพียงแค่ 250,000 บาทเท่านั้น และยิ่งถ้าเป็นคุณซื้อบ้านจากดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ๆ ที่น่าเชื่อถือแบงก์อาจปล่อยกู้ถึง 100% โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องมีเงินออมเลยก็ได้ แต่หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ได้ประกาศกฏเหล็ก “เกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่” โดยออกมาตรการ LTV (Loan to Value = อัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน) คุมเข้มการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารพาณิชย์ เพื่อป้องกันการเกิดหนี้เสีย โดยมีผลบังคับใช้ 1 เมษายน 2562 ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวจะไม่กระทบคนที่กู้ซื้อที่อยู่อาศัยหลังแรกที่ราคาต่ำกว่า 10 ล้าน เพราะว่ายังคงใช้ใช้เกณฑ์ LTV เดิม คือวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ 0-10% แต่กระทบคนที่ซื้อบ้านหลังที่ 2 ที่ยังผ่อนสัญญาแรกไม่หมด ซึ่งทำให้ผู้ซื้อต้องวางเงินดาวน์ถึง 20% ในการกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยจากเดิมที่คุณวางเงินดาวน์เพียงแค่ 250,000 บาท (5%) คุณจะต้องวางเงินดาวน์ถึง 1,000,000 บาท (20%) สำหรับการกู้ซื้อบ้านหลังละ 5 ล้าน!! สำหรับใครที่อยากซื้อบ้านหลังที่ 3 (แต่ยังผ่อนสัญญาที่ 1-2 ไม่หมด) ไม่ว่าราคาเท่าไหร่ก็ตาม จะต้องวางเงินดาวน์ 30%!!!   แน่นอนว่า มาตรการ LTV ใหม่นี้ทำให้ผู้ที่ต้องการจะซื้อบ้านต้องมีเงินออมก้อนใหญ่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนมีรายได้น้อย-ปานกลาง ซึ่งอาจจะมีฐานเงินเดือนอยู่ระหว่าง 15,000-30,000 บาท ลองคิดดูว่าคุณต้องใช้เวลานานแค่ไหน กว่าจะมีเงินออม 1,000,000 บาท สำหรับวางเงินดาวน์ มาตรการใหม่นี้จึงทำให้โอกาสที่คุณจะมีบ้านเป็นของตัวเองลดลง หรืออาจจะไม่มีโอกาสเลย!!! นอกจากนี้ เกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่ยังกำหนดให้มีการนับรวมสินเชื่อ Top-up รวมในวงเงินขอกู้สินเชื่อบ้านทุกประเภทที่อ้างอิงหลักประกันเดียวกันในวงเงินที่ขอกู้ เช่น สินเชื่อเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ เพื่อตกแต่งบ้าน ยกเว้นสินเชื่อเพื่อจ้ายเบี้ยประกันชีวิตผู้กู้ (MRTA) ประกันวินาศภัย และสินเชื่อที่ให้กับธุรกิจ SMEs       สำหรับใครที่กำลังวางแผนซื้อบ้านในอนาคต นี่คือโอกาสสุดท้ายที่คุณต้องเร่งตัดสินใจ ก่อนเจอมาตรการเข้มแบงก์ชาติปีหน้าจะเห็นได้ว่าช่วงนี้บรรดาผู้ประกอบการต่างพร้อมใจกันปล่อยของพร้อมโปรโมชั่นเด็ด แบบจัดเต็ม จัดหนักส่งท้ายปี   หนึ่งในแบรนด์บ้านคุณภาพที่น่าจับตามองในตอนนี้ คือ บริทาเนีย (Britania) จากบริษัท ออริจิ้น เฮาส์ จำกัด ในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการเปิดตัวโครงการแรก “บริทาเนีย ศรีนครินทร์” บ้านเดี่ยว-บ้านแฝดสไตล์อังกฤษ เมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งทั้งโครงการ SOLD OUT 90% โดยแบรนด์ “บริทาเนีย” เกาะทำเลที่มีการแข่งขันไม่สูงมาก แต่มีความต้องการอยู่อาศัยจริง (Real Demand) และมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง เดินทางสะดวก ใกล้ทางด่วนใกล้รถไฟฟ้า และรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย และกลางเดือนธันวาคม 61 นี้ ออริจิ้นมอบของขวัญสุดเซอร์ไพรส์ส่งท้ายปี เปิดจองบ้านบริทาเนีย “3 โครงการใหม่ บน 3 ทำเลที่ดีที่สุด” รอบพิเศษก่อนพรีเซลในราคาเริ่มต้นเพียงแค่ 1.99 ล้าน*!!! มาพร้อม facilities ครบครัน ออกแบบอย่างทันสมัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุค 4.0 โดยการผสานเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้าไปในที่อยู่อาศัยพร้อมบริการระดับโรงแรม มอบความสะดวกสบายให้กับชีวิตคุณ ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน ช่างซ่อมบำรุง บริการซักรีด หรือคนสวนโดดเด่นด้วยดีไซน์และเลย์เอาท์ที่ออกแบบอย่างแตกต่างให้ผู้อยู่อาศัยได้ดีไซน์ชีวิตตัวเองได้มากขึ้นบนพื้นฐานของความครบ สะดวกสบาย ตามไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และที่สำคัญมาพร้อม “ข้อเสนอที่ดีที่สุดแห่งปี” ที่คุณไม่ควรพลาด!!!     1. โครงการ บริทาเนีย เมกะทาวน์-บางนา (Mega Town Bangna) ทาวน์โฮม-บ้านซีรีย์ใหม่สไตล์อังกฤษ (บางนา-ตราด กม.5) ออกแบบภายใต้แนวคิด “Live Cheerful with Brit Charm”เชื่อมต่อถนนหลักหลายสาย อาทิ ถ.บางนา-ตราด, ถ.ศรีนครินทร์ และ ถ.เทพารักษ์ ใกล้เมกะบางนา ใกล้ทางด่วน ใกล้วงแหวนกาญจนาภิเษก ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง และสีเขียว เป็นโครงการขนาดใหญ่ มีสาธารณูปโภคครบครัน เปิดจองรอบพิเศษ: 15 ธ.ค. 61 ราคาเริ่มต้น : 2.29 ล้าน* (ทาวน์โฮม) | 4.7 ล้าน* (บ้านซีรีย์ใหม่) ลงทะเบียนรับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท คลิก http://bit.ly/2Eec5gT   2. โครงการ บริทาเนีย บางนา กม.12 (Britania Bangna KM.12) บ้านเดี่ยวติดถนนใหญ่ ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ใกล้ทางด่วน และใกล้รถไฟฟ้า เปิดจองรอบพิเศษ: 22 ธ.ค. 61 ราคาเริ่มต้น : 4.59 ล้าน ลงทะเบียนรับส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท คลิก http://bit.ly/2Pr9diF   3. โครงการ บริทาเนีย วงแหวน-หทัยราษฏร์ ทาวน์โฮม-บ้านซีรีย์ใหม่ ใกล้ 2 ทางด่วน และ 1 สถานีรถไฟฟ้า ออกแบบภายใต้แนวคิด “Live in Brit Style, Live Inspired” อยู่อย่างมีสไตล์ดีไซน์ที่เป็นคุณ ที่ผสมผสานความเป็น Modern British Luxury และ ความ Creative Living ได้อย่างลงตัว เปิดจองรอบพิเศษ: 22 – 23 ธ.ค. 61 ราคาเริ่มต้น: 1.99 ล้าน* (ทาวน์โฮม) | 3.99 ล้าน* (บ้านซีรีย์ใหม่) ลงทะเบียนรับส่วนลดสูงสุด 400,000 บาท คลิก http://bit.ly/2ROnR5n   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 020 300 000      
ช.การช่าง ใช้ “BIM” จำลองแบบก่อสร้างเสมือนจริง เพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบก่อสร้าง เดินหน้ายกระดับ “อินฟราเทค” ของประเทศไทย นำร่องโครงการแรก “รถไฟฟ้าสายสีส้ม”

ช.การช่าง ใช้ “BIM” จำลองแบบก่อสร้างเสมือนจริง เพิ่มประสิทธิภาพการออกแบบก่อสร้าง เดินหน้ายกระดับ “อินฟราเทค” ของประเทศไทย นำร่องโครงการแรก “รถไฟฟ้าสายสีส้ม”

ในยุคที่ “ไทยแลนด์ 4.0” ถูกนำไปเป็นบริบทสำคัญในการนำ “เทคโนโลยี” เข้าไปเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนและปฏิรูปในทุกอุตสาหกรรรม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนพลิกโฉมอุตสาหกรรมในหลายวงการ เช่น การเงิน อสังหาริมทรัพย์ โทรคมนาคม ฯลฯ บางอุตสาหกรรมนั้นอยู่ในช่วงเริ่มต้นในการนำเทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ามาช่วยบริหารจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เช่นเดียวกันกับ “อุตสาหกรรมก่อสร้าง” ซึ่งในภาพรวมทั่วโลกนั้น ก็เป็นอุตสาหกรรมที่ยังมีโอกาสให้เทคโนโลยี-นวัตกรรมเข้ามามีบทบาทขับเคลื่อนอีกมาก ช.การช่าง ในฐานะผู้พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยได้เล็งเห็นโอกาสนี้ จึงนำเทคโนโลยีการออกแบบและก่อสร้างด้วยระบบ BIM (Building Information Modeling) หรือ ระบบการทำงานแบบจำลองสารสนเทศอาคาร ที่ช่วยออกแบบงานโครงสร้างและประสานการทำงานในส่วนต่างๆได้อย่างแม่นยำมาใช้ในโครงการ ทำให้การดำเนินงานก่อสร้างเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และลดต้นทุนในการดำเนินงาน โดยช.การช่าง ได้ประเดิมเทคโนโลยีนี้กับการก่อสร้าง “โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม” เป็นโครงการแรก ดร.สุภามาส ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในฐานะบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างและพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม (Engineer Expertise) เป็นแกนหลักของธุรกิจ ทำให้ในการทำงานแต่ละโครงการมีขั้นตอนที่ซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่าย เพื่อให้การบริหารและดำเนินการในส่วนต่างๆเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เราจึงทั้งสรรหาเทคโนโลยีและสร้างนวัตกรรมที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาขั้นตอนการทำงานเหล่านี้อยู่เสมอ โดยก่อนหน้านี้ ช.การช่างประสบความสำเร็จจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี สปป.ลาว ที่ใช้คอนกรีตทั้งโครงการกว่า 4.3 ล้านลบ.ม.  โดยได้นำฝุ่นหินละเอียดจากการโม่หินเพื่อผลิตทรายซึ่งตามมาตรฐานทั่วไปนั้นต้องล้างทิ้งมาศึกษาและทดลองปรับส่วนผสมจนสามารถนำฝุ่นหินและทรายโม่มาใช้ทดแทนทรายแม่น้ำซึ่งมีปริมาณไม่เพียงพอได้  ทำให้ลดการใช้ทรายแม่น้ำลงได้ถึง 80% นอกจากนี้ยังลดการใช้น้ำ ลดมลภาวะจากการล้างฝุ่นหิน รวมถึงประหยัดพลังงานและเวลาในการเตรียมวัสดุจนได้รับรางวัล TCA Practice Award: Silver Medal จากสมาคมคอนกรีตแห่งประเทศไทย”   “เช่นเดียวกันกับการนำเทคโนโลยี  Building Information Modelling (BIM) หรือ ระบบการทำงานแบบจำลองสารสนเทศอาคารซึ่งช.การช่างได้เล็งเห็นประโยชน์ของระบบดังกล่าวกับงานก่อสร้างโครงการ ที่จะพลิกโฉมงานก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพในหลายๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแม่นยำในการออกแบบและการทำแบบจำลองก่อสร้างเสมือนจริงเพื่อประสานงานในส่วนต่างๆตั้งแต่ออกแบบจนถึงการก่อสร้าง  เราจึงได้เริ่มศึกษาข้อมูล และเตรียมงานตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2560 เพื่อนำมาใช้เป็นครั้งแรกกับการออกแบบก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม - ตะวันออก สัญญาที่ 1 (ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-รามคำแหง12) และ สัญญาที่ 2 (ช่วงรามคำแหง12 – หัวหมาก) จำนวน 3 สถานีจากทั้งหมด 7 สถานี เพื่อให้เจ้าของโครงการรวมไปถึงผู้โดยสารทุกท่านวางใจได้ว่าโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มมีความมั่นคงปลอดภัยและจะแล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด”   สำหรับระบบ Building Information Modelling (BIM) เป็นการออกแบบอาคารหรือโครงสร้างด้วยแบบจำลอง 3 มิติ พร้อมกับมีข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวข้องอยู่ภายใน เช่น ขนาด สเปคและราคาวัสดุ จำนวนการใช้งานจริง การทำงานจะสร้างแบบจำลองเสมือนจริงในคอมพิวเตอร์ โดยผู้ที่ออกแบบทุกฝ่าย ทั้งงานโครงสร้าง งานสถาปัตยกรรม งานระบบ สามารถทำงานบนโมเดลเดียวกันได้ ทำให้ประสานงานระหว่างทีมออกแบบและบริหารต้นทุนโครงการได้อย่างมีประสิทธิภาพ นายวัชระ แสงหัตถวัฒนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานวิศวกรรม บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้ผลักดันการใช้เทคโนโลยี BIM ในช.การช่าง กล่าวว่า “ในช่วง 4-5 ปีทีผ่านมา เทคโนโลยี BIM ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ออกแบบและจำลองอาคารสูง ส่วนอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานในเมืองไทย เพิ่งเริ่มมีการตื่นตัวใช้ BIM อย่างกว้างขวางในช่วง 1-2 ปีนี้ โดยสภาวิศวกร สภาสถาปนิก และวิศวกรรมสถานแห่งชาติ ได้เข้ามาให้การสนับสนุนด้วยการออก BIM Guide ฉบับแรกเพื่อเป็นคู่มือการใช้งานซอฟต์แวร์ดังกล่าวเมื่อปลายปี พ.ศ. 2560 ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่วงการก่อสร้างไทยจะได้นำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างแพร่หลายในอนาคต”   การออกแบบโมเดล 3 มิติ มีความเที่ยงตรงและเห็นภาพโครงสร้างจริงรวมถึงปัญหาที่อาจจะเกิดในการก่อสร้างได้ชัดเจนมากกว่าทำงานด้วยแบบ 2 มิติแบบเดิมๆ ซึ่งต้องทำเป็นรูปด้าน รูปตัดประกอบกันหลายแผ่นจึงจะเห็นภาพ ในแบบ2มิติก็จะเป็นเพียงการเขียนชิ้นงานที่เป็นเส้น ไม่สัมพันธ์กัน ส่วนข้อมูลที่แสดงก็จะเป็นเพียงสี ความหนาเส้น เส้นประ หากต้องการแก้จุดใดจุดหนึ่ง จะต้องแก้แบบแผ่นอื่นๆที่ต่อเนื่องกันตามไปด้วย ทำให้การประสานงานจะมองเห็นเพียงส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานที่กำลังเขียนอยู่เท่านั้น ต่างจากการเขียนแบบด้วยโมเดล 3 มิติที่สามารถแก้จุดเดียวแล้วแบบแผ่นอื่นๆจะปรับแก้ตามอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถตรวจจับโครงสร้างที่ชนกัน (Clash Check) ระหว่างทีมเขียนแบบได้อีกด้วย ซึ่งทำให้ลดเวลาในการตรวจแบบลงมาก การประสานงานด้วยโมเดล 3 มิตินี้ มีความแม่นยำสูงตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบก่อนลงมือก่อสร้างจริง ทำให้ทุกฝ่ายออกแบบได้สอดคล้องกันและลดการแก้ไขปัญหาข้อขัดแย้งหน้างาน ทั้งนี้ ภาพ 3 มิติยังทำให้ผู้ที่ไม่ชำนาญด้านการอ่านแบบ เช่น ผู้ปฏิบัติงานหน้างาน เจ้าของงาน สามารถมองเห็นภาพโครงการได้ชัดเจนยิ่งขึ้น   “นอกเหนือจากการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินงานแล้วนั้น ช.การช่างก็มุ่งที่จะพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะด้านเทคโนโลยีไปพร้อมๆกัน โดยได้คัดเลือกวิศวกร สถาปนิก และช่างเขียนแบบที่มีความสามารถไปฝึกอบรมการใช้โปรแกรมกับสถาบันตัวแทน Autodesk เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มและโครงการอื่นๆในอนาคต ทั้งยังได้ปรับปรุงระบบคอมพิวเตอร์พร้อมโครงข่ายการทำงานในฝ่ายวิศวกรรมเพื่อให้รองรับการทำงานด้วย BIM บนโครงการคอมพิวเตอร์ของบริษัท โดยในอนาคต ช.การช่าง ยังตั้งเป้าที่จะพัฒนาเทคโนโลยี BIM ให้สามารถวิเคราะห์การใช้พลังงาน และการบำรุงรักษาโครงสร้างส่วนต่างๆ (Facility Management) ของโครงการอีกด้วย” นายวัชระเสริม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณวัชระมีส่วนร่วมในการปรับเปลี่ยนทิศทางด้านเทคโนโลยีของ ช.การช่าง เมื่อย้อนกลับไปถึงช่วงเวลากว่า 3 ทศวรรษก่อน คุณวัชระถือเป็นผู้ผลักดันในการนำคอมพิวเตอร์เครื่องแรกเข้ามาใช้ในบริษัท ช.การช่าง โดยได้รับการสนับสนุนจากคุณปลิว ตรีวิศวเวทย์ ในการเริ่มใช้งานกับโครงการ “ในเวลานั้น คอมพิวเตอร์ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับเมืองไทย เครื่องหนึ่งจะมีมูลค่าหลายหมื่นบาท ถือว่ามีมูลค่าที่สูงมาก เราได้นำมาใช้กับระบบบัญชีและการจัดซื้อเป็นจุดประสงค์แรก ซึ่งเดิมทีมีขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน จำเป็นที่ต้องนำคอมพิวเตอร์เข้ามาจัดการระบบและย่นระยะเวลาการทำงานได้หลายเท่า การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ของช.การช่างในตอนนั้นจึงไม่ได้มองที่ความทันสมัย แต่เราคำนึงถึงประโยชน์ที่เทคโนโลยีที่เราจะนำมาใช้นั้นเหมาะสมกับงานแค่ไหน จะสร้างความคุ้มค่าทั้งในเชิงการทำงาน การบริหารเวลา และประสิทธิภาพของได้อย่างไรบ้าง ซึ่งถือเป็นแนวทางการพัฒนาเทคโนโลยีของช.การช่างในปัจจุบัน”   อย่างไรก็ตาม หัวเรือใหญ่แห่งสายงานวิศวกรรมของ ช.การช่าง มองว่า หัวใจสำคัญของการใช้เทคโนโลยีในองค์กรนั้นอยู่ที่ “คน” “การพัฒนาเทคโนโลยีขององค์กรนั้น ส่วนที่ท้าทายที่สุดไม่ได้อยู่ที่ตัวเทคโนโลยี เพราะผมเชื่อว่าเทคโนโลยีถูกสร้างมาเพื่อการใช้งานที่สะดวกและง่ายดาย แต่กลับอยู่ที่ ‘คน’ ซึ่งทัศนคติการเปิดใจและยอมรับที่จะเรียนรู้แนวทางการทำงานใหม่ๆจากเทคโนโลยีถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะคนเรามักยึดถือความคุ้นชินกับแนวทางที่เคยทำมา เราจึงพยายามที่จะผลักดันให้บุคลากรทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ให้ตื่นตัวที่จะเรียนรู้และใช้เทคโนโลยีในการทำงาน ด้วยการชี้ให้เห็นถึงประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับว่าคุ้มค่ามากแค่ไหน การก้าวไปข้างหน้าขององค์กรและเทคโนโลยี ผมจึงมองว่า ‘การเปิดใจเรียนรู้’ นี้แหละถือเป็นสิ่งสำคัญมาก” นายวัชระกล่าว      
CI กางแผนปี 62 รุกพัฒนาอสังหาฯ ไฮเอนด์ ทุ่ม 6 พันล้าน ผุด 6 โปรเจค เสริมทัพขยายธุรกิจ

CI กางแผนปี 62 รุกพัฒนาอสังหาฯ ไฮเอนด์ ทุ่ม 6 พันล้าน ผุด 6 โปรเจค เสริมทัพขยายธุรกิจ

ชาญอิสสระ เผยแผนขับเคลื่อนธุรกิจปี 62 ผุด 6 โปรเจค มูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท ทั้งส่วนต่อขยายโรงแรม บาบา บีช คลับ, วาเคชั่น คลับ สร้างทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่รักการท่องเที่ยวกับที่พักระดับไฮเอนด์ เดินหน้าผุดโครงการใหม่คอนโดหรูย่านสาทร เตรียมนำ  บาบา บีช คลับ หัวหิน เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมศรีพันวา (“กองรีท”) มูลค่าไม่เกิน 550 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าลุยโครงการร่วมพัฒนาและบริหารโรงแรม เสริมทัพการเติบโต   นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่าการแข่งขันด้านการตลาดอาจจะมีความคึกคักลดลงเมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยกระทบจากภาคการท่องเที่ยวที่ตัวเลขตกลงในช่วง 2- 3 เดือนมาแล้ว ส่งผลให้รายได้จากภาคการท่องเที่ยวของประเทศลดลงตามไป ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการท่องเที่ยวจากภูเก็ต พัทยา เชียงใหม่ รวมถึงกรุงเทพฯ ที่มีอัตราจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะชาวจีน ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลทำให้สภาพหมุนเวียนทางการเงินลดลง ประกอบกับนโยบายสงครามการเงินระหว่างจีนกับสหรัฐฯซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคการค้าที่จะมีการวางกฎเกณฑ์เรื่องของการนำเงินออกนอกประเทศมากขึ้น   “ปกติ 2-3 ปีที่แล้วมีการซื้อขายกับชาวจีนเยอะ ชาวจีนมาซื้อคอนโดเมืองไทยค่อนข้างมาก ตอนนี้ลดน้อยลง ซึ่งก็เป็นปัจจัยที่เห็นได้ชัดว่า ในช่วงปลายปีนี้ตลาดอสังหาฯ อาจจะไม่ได้คึกคักมาก สำหรับกำลังการซื้ออสังหาฯ ที่ผ่านมา มีทั้งชาวไทย และต่างชาติ โดยในส่วนของชาวจีนก็ถือเป็นสัดส่วนที่ช่วยดึงกำลังซื้อได้พอสมควรในการเข้ามาจับจ่ายใช้สอย โครงการหลายๆ โครงการอาจจะมีผลเยอะ จากเหตุการณ์สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่ต้องมีการคุมเข้มเรื่องการเอาเงินออกจากประเทศจีน มันก็มีผลส่วนหนึ่งต่อสภาพการหมุนเวียนทางการเงิน ขณะเดียวกันในส่วนของบ้านเราเองมาตรการคุมเข้มของแบงก์ชาติในการปล่อยสินเชื่อ ก็จะมีผลกระทบต่อโครงการที่อยู่ในระดับล่าง-ระดับกลางที่อาจจะได้รับการอนุมัติการกู้จากแบงก์ที่ยากขึ้น โดยในส่วนของการดำเนินธุรกิจของชาญอิสสระ ในช่วงที่ผ่านมา เรามีการทำการตลาดเพื่อระบายสต็อกสินค้าในกลุ่มระดับกลาง-ล่าง มาตลอดทั้งปี อีกทั้งโครงการต่างๆ ของบริษัทเน้นสินค้าระดับไฮเอนด์ จึงส่งผลให้มาตรการดังกล่าวของแบงก์ชาติที่ออกมาไม่ได้มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจมากนัก” นายสงกรานต์ กล่าว   สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 62 บริษัทเตรียมทุ่มงบประมาณกว่า 6 พันล้านบาท ในการพัฒนาโครงการใหม่ และโครงการส่วนต่อขยาย ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียมหรูย่านถนนจันทร์ - สาทร มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท, ส่วนต่อขยายโรงแรมบาบา บีช คลับ หัวหิน เมนโฮเทล อาคารสูง 12 ชั้น จำนวน 50 ห้อง มูลค่าโครงการ 1.5 พันล้านบาท, โครงการบ้านพักตากอากาศ พูลวิลล่า 7 หลัง   ภายในโครงการทิวทะเลเอสเตท มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท, วาเคชั่น คลับ อาคารสูง 10 ชั้น 80 ยูนิต ภายในโครงการทิวทะเลเอสเตท มูลค่าโครงการ 1.5. พันล้านบาท รวมไปถึงส่วนต่อขยายของโรงแรม ศรีพันวา ภูเก็ต คอนเวนชั่นฮอลล์ขนาดจุ 400 คน พร้อมห้องพักแบบพูลสวีท จำนวน 20 ห้อง มูลค่าโครงการ 1 พันล้านบาท และโครงการบ้านพักตากอากาศ พูลวิลล่าอีกจำนวน 4 หลัง มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท   “ทั้ง 6 โปรเจค ถือเป็นโครงการที่จะมาช่วยเติมเต็ม และรองรับการขยายธุรกิจของบริษัทในอนาคต โดยเฉพาะในส่วนของการพัฒนาส่วนต่อขยายของโรงแรมไม่ว่าจะเป็นโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต โรงแรมบาบาบีช คลับ หัวหิน โรงแรมบาบา บีช คลับ ภูเก็ต รวมถึงโครงการวาเคชั่นคลับ ซึ่งถือเป็นแนวคิดใหม่ในการพัฒนาที่พักตากอากาศสำหรับกลุ่มคนที่สนใจเป็นเจ้าของห้องพักในงบประมาณที่ไม่ถึงหนึ่งล้านบาท แต่ได้พักในอาคารที่มีการออกแบบและบริการระดับโรงแรม 5 ดาว” นายสงกรานต์ กล่าว   นอกจากนี้ในส่วนของความคืบหน้างานที่ปรึกษา และบริหารงานโรงแรมที่ไฮหนาน มณฑล ยูนนานประเทศจีน กับกลุ่มจุนฟาเรียลเอสเตท มีมูลค่าโครงการกว่า 18,000 ล้านบาท ปัจจุบันก่อสร้างไปแล้วกว่า 40 % ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนตุลาคม ปี 2562  ซึ่งที่ผ่านมาเราได้รับรายได้จากค่าที่ปรึกษาและจะได้บริหารงานโรงแรม ซึ่งจะเป็นรายได้ระยะยาวให้กับบริษัทต่อไปด้วย และเมื่อไม่นานมานี้กลุ่มจุนฟาก็ได้เชิญทีมพัฒนาโครงการของชาญอิสสระเข้าไปดูพื้นที่และศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโรงแรมต่อที่ สิบสองปันนา ประเทศจีน เพื่อลงทุนพัฒนาในปีหน้าอีกด้วย ด้านนายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจในส่วนของโครงการทิวทะเลเอสเตท โครงการ Mixed Use เต็มรูปแบบแห่งแรกในหัวหิน ด้วยคอนเซปต์โครงการบ้านพักตากอากาศแบบครบวงจร ที่มีทั้ง คอนโดมิเนียม โรงแรม พูลวิลล่า ร้านอาหาร รวมถึงพื้นที่รองรับการจัดกิจกรรม อีเว้นท์ และงานสันทนาการต่างๆ ปัจจุบันมีโครงการแล้วเสร็จรวม 4 โครงการ ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม ได้แก่ โครงการบ้านทิวทะเล อความารีน (Aquamarine), โครงการบ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ (Blue Sapphire), โครงการบลู (Blu) นอกจากนี้ยังมีโครงการ Baba Beach Club Hotel & Residences Hua Hin และ “บ้านโชค” ซึ่งเป็นบ้านพักตากอากาศเก่าแก่ของตระกูลโชควัฒนา ในสไตล์หัวหินโคโลเนียล ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างดี ประกอบกับเราได้มีการทำกิจกรรมทางการตลาดเพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นยอดขายมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีอีกด้วย   “จากกระแสตอบรับของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาพัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย, จีน,  อเมริกา, ไต้หวัน, สหราชอาณาจักร, เกาหลี, ฮ่องกง, แคนาดา, รัสเซีย, สวิตเซอร์แลนด์ ทำให้ในปีหน้าเราเตรียมที่จะทุ่มงบประมาณในการสร้างส่วนต่อขยายของโรงแรมเพื่อเป็นการรองรับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมตึกสูง (Main Hotel) ซึ่งเป็นอาคารสูง 12 ชั้น จำนวน 50 ห้อง ที่มาพร้อมห้องบอลรูม ขนาดใหญ่, บ้านพักตากอากาศ พูลวิลล่า จำนวน 7 หลัง 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ รวมถึงวาเคชั่นคลับ  อาคารสูง 10 ชั้น จำนวน  80 ยูนิต ” นายดิฐวัฒน์ กล่าว   สำหรับโครงการส่วนต่อขยายในส่วนของพูลวิลล่า (บาบา บีช คลับ เรสซิเดนซ์ เฟส 2) สุดหรู จำนวน 7 ยูนิต ออกแบบดีไซน์ในสไตล์นีโอโคโลเนียลโดย บริษัท ฮาบิต้า จำกัด ประกอบด้วยวิลล่า 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 167.50 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้น 31.9 ล้าน มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท โดยมีทีมงานบริหารจากโรงแรมศรีพันวา เข้ามาช่วยบริหารจัดการด้านการลงทุนปล่อยเช่าให้กับลูกค้าอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินงานก่อสร้าง นอกจากนี้ในส่วนของการพัฒนาโปรเจคที่เรียกว่าวาเคชั่นคลับ เป็นอาคารสูง 10 ชั้น 80 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1.5 พันล้านบาท ถือเป็นโปรเจคใหม่ที่น่าสนใจสำหรับการสร้างประสบการณ์การวางโปรแกรมการพักผ่อนสำหรับนักเดินทางยุคใหม่ อีกทั้งยังเป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ ของการพัฒนาที่พักตากอากาศ สำหรับกลุ่มคนที่สนใจเป็นเจ้าของในงบประมาณที่ไม่ถึง 1 ล้านบาท แต่ได้พักในอาคารที่บริการระดับโรงแรม 5 ดาว โดยในระยะเริ่มต้นจะนำโรงแรมในเครือไม่ว่าจะเป็นโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต, โรงแรม บาบา บีช คลับ ภูเก็ต และ โรงแรม บาบา บีช คลับหัวหิน  เข้าร่วมนำร่องก่อน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในปี 2562 นอกจากนี้ในปีหน้าเราได้เจรจากับพันธมิตรในการพัฒนาปั้มน้ำมัน และแหล่งช้อปปิ้ง บริเวณด้านหน้าโครงการ ซึ่งมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 20 ไร่ โดยจะแบ่งพื้นที่ดังกล่าวออกมาจำนวน 6 ไร่ ในการพัฒนาเติมเต็มรูปแบบความเป็นโครงการ Mixed Use ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ขณะที่นายวรสิทธิ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีพันวา แมเนจเมนท์ จำกัด  เปิดเผยถึงภาพรวมการดำเนินธุรกิจโรงแรมที่ผ่านมายังได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีปัจจัยด้านการท่องเที่ยว และการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวจากเหตุการณ์ต่างๆ เข้ามากระทบ แต่ภาพรวมของอุตสาหกรรมโรงแรมก็ยังเติบโตได้ดี โดยในส่วนของอัตราการเข้าพักอาจจะมีการปรับตัวลดลงไปบ้าง แต่ในด้านของการเข้าใช้บริการของร้านอาหาร การใช้สถานที่จัดงาน ยังได้รับการตอบรับที่ดีโดยตลอดทั้งปีที่ผ่านมา มีกิจกรรมอีเว้นทั้งหมด 87 งาน   ทั้งนี้จากภาพรวมการเติบโตของการจัดกิจกรรมอีเว้นท์ ในปีหน้าเราเตรียมพัฒนาส่วนต่อขยายในโครงการโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต ในรูปแบบคอนเวนชั่นฮอลล์ เพื่อให้เป็นแหล่งรองรับการจัดกิจกรรม อีเว้นท์ ได้มากถึง 400 คน พร้อมพัฒนาห้องพักในรูปแบบของพูลสวีทเพิ่มอีกจำนวน 20 ห้อง เพื่อรองรับกลุ่มผู้เข้ามาร่วมกิจกรรมอีเว้นท์ได้มีที่พักผ่อน มูลค่าโครงการรวม 1 พันล้านบาท   อย่างไรก็ตามในปัจจุบันยังได้พัฒนาพูลวิลล่าโซนใหม่ ดีไซน์ในสไตล์ทรอปิคอลคอนเทมโพรารี่ ออกแบบโดยบริษัท แฮบบิต้า จำกัด  ผู้ออกแบบโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต ประกอบด้วยพูลวิลล่า 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ จำนวน 4 หลัง พื้นที่ใช้สอย 150 ตารางเมตร และพื้นที่ส่วนกลางอีกกว่า 1,000 ตารางเมตร มีสระว่ายน้ำและพูลบาร์ มูลค่าโครงการรวม 200 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จในปลายปี 2562   นอกจากนี้ในปีปลาย 2561 เราเตรียมนำโรงแรม บาบา บีช คลับ หัวหิน เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา หรือกองทรัสต์ SRIPANWA มูลค่าไม่เกิน 550 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอมติจากผู้ถือหน่วยลงทุน ที่จะมีการประชุมในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ โดยหากผู้ถือหน่วยมีมติเห็นชอบการเข้าลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมในครั้งนี้จะส่งผลให้ขนาดมูลค่าทรัพย์สินรวมของกองทรัสต์โตขึ้นจากเดิมที่ประมาณ 3,700 ล้านบาท เป็นมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท        
‘จระเข้’ เปิดโกดังใหม่ ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมวัสดุเพื่อที่อยู่อาศัย พร้อมการันตีมาตรฐานและคุณภาพด้วย มอก. คุณภาพชั้นสูงในกลุ่มกาวซีเมนต์จระเข้เงิน

‘จระเข้’ เปิดโกดังใหม่ ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมวัสดุเพื่อที่อยู่อาศัย พร้อมการันตีมาตรฐานและคุณภาพด้วย มอก. คุณภาพชั้นสูงในกลุ่มกาวซีเมนต์จระเข้เงิน

จระเข้พร้อมก้าวสู่ผู้นำด้านวัสดุก่อสร้าง เปิดโกดังใหม่รองรับการขยายกำลังการกระจายสินค้า พร้อมเสริมทัพด้วยนวัตกรรมวัสดุเพื่อที่อยู่อาศัย การันตีตรามอก.(คุณภาพขั้นสูง) ในกลุ่มกาวซีเมนต์จระเข้เงินเป็นกลุ่มแรกในไทย นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2561 ที่ผ่านมา แบรนด์จระเข้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงจากการดำเนินธุรกิจภายใต้ 2 แบรนด์หลักคือ จระเข้ และ ชาละวัน โดยได้ขับเคลื่อนธุรกิจผ่านแผนและกลยุทธ์ทางการตลาดคือ การโฟกัสกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก จัดกิจกรรมเชิงรุกให้เข้าถึงและเกิดการมีส่วนร่วมโดยเฉพาะการได้ใช้ผลิตภัณฑ์จริง ทำให้ในปีที่ผ่านมาจระเข้นั้น มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ดี จากมูลค่าตลาดรวมทั้งหมดของอุตสาหกรรมและกลุ่มธุรกิจบ้านและการก่อสร้าง พร้อมด้วยรางวัลการันตีคุณภาพมากมาย อย่างเช่น ได้รับการรับรองมาตรฐาน มอก.2703-2559 ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมกาวซีเมนต์ เป็นกลุ่มแรกในไทยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา และล่าสุดได้รับการรับรองมาตรฐานมอก. 2703-2559 คุณภาพชั้นสูง ในสินค้ากาวซีเมนต์จระเข้เงิน จากกระทรวงอุตสาหกรรม ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดกาวซีเมนต์ทั้งด้านยอดขายอันดับหนึ่งและการมีมาตรฐานรองรับ โดยมาตรฐานมอก. 2703-2559 คุณภาพชั้นสูง เพิ่งมีเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และจระเข้ถือเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับมาตรฐานการันตีดังกล่าว ด้วยคุณสมบัติเด่นคือให้การยึดเกาะสูงสำหรับงานปูกระเบื้องขนาดใหญ่ ทั้งงานภายนอกและภายในอาคาร โดยไม่ต้องแช่กระเบื้องในน้ำก่อนการปู ปูผนังหินอ่อน แกรนิต โดยไม่ต้องใช้ตะขอยึด และสามารถปูทับพื้นเดิมได้ สำหรับงานภายในอาคารได้ จากความสำเร็จดังกล่าว เพื่อความเชื่อมั่นของผู้ซื้อที่มีต่อสินค้าในเครือจระเข้ ทางจระเข้จึงได้ขยายกำลังการกระจายสินค้าตามความต้องการของลูกค้าที่ส่งถึงแบรนด์ที่มากขึ้น ด้วยการสร้างโกดังแห่งใหม่ (warehouse) บนพื้นที่ 4,500 ตรม.และออกแบบพิเศษเป็นแนวตั้งเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการใช้พื้นที่เก็บสินค้าได้มากพอต่อการสั่งซื้อที่เพิ่มมากขึ้น ทุกอุปกรณ์ได้รับการออกแบบในแนวสูงเพื่อรองรับการใช้งานในโกดังใหม่แห่งนี้ เช่น Folk Lift ที่สูงเป็นพิเศษ และติดกล้องถ่ายภาพเพื่อให้เห็นภาพเมื่อหยิบสินค้าจากชั้นวางสูง และการบรรทุกสินค้าเข้ารถบรรทุกจะมีเครนพิเศษที่เรียกว่า "Folk-Crane" ซึ่งเป็นเครนรางที่มีแท่นวางเพื่อยกพาเลท เพื่อลดระยะเวลาในการรอสินค้าจัดส่ง และป้องกันของขาดตลาด ทั้งในประเทศ และการส่งออกไปต่างประเทศ โดยโกดังแห่งใหม่นี้ อยู่ในเขตพื้นที่ อำเภอวิหารแดง จังหวัดสระบุรีและจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปลายปี 2561 นี้ นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า จระเข้มีความมุ่งมั่นและตั้งใจที่ดีที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมของวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างเพื่อต่อยอดให้คนไทย มีคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อเป็นการตอบแทนความไว้วางใจ และเชื่อมั่นของคนไทยที่มีต่อแบรนด์มาอย่างต่อเนื่อง และเชื่อว่าด้วยกลยุทธ์ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพของจระเข้อย่างไม่หยุดนิ่งเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างรอบด้าน จะทำให้จระเข้ไปถึงจุดที่จะเติบโตมากขึ้นตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน          
จัดบ้านให้ ถูกทิศ ถูกทาง อยู่แล้วสบาย สไตล์ “บ้านนวัต รามคำแหง 118”

จัดบ้านให้ ถูกทิศ ถูกทาง อยู่แล้วสบาย สไตล์ “บ้านนวัต รามคำแหง 118”

ดั่งคำโบราณว่าไว้ การสร้างบ้านต้องโปร่ง โล่ง รับลม อยู่สบาย การสร้างบ้านระดับลักชัวรี ราคาเริ่มต้น 29 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยว บ้านนวัต รามคำแหง 118 โดย พรีเมียร์ แอสเซ็ทส์ จึงออกแบบอย่างละเอียดให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ ตัวบ้านถูกจัดวางให้สอดคล้องกับทิศทางลมและแดด ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Thoughtful Design for Every Step of Life” บ้านสำหรับคนทุกเจเนอเรชั่น อยู่อาศัยอย่างเป็นส่วนตัวและยั่งยืนพร้อมประหยัดพลังงานเต็มรูปแบบ สอดคล้องกับ Lifestyle ของผู้พักอาศัยทุกช่วงวัย และอยู่อาศัยได้อย่างสบายใจยันรุ่นโหลน โดยหลักการสร้างบ้านตามแบบฉบับโครงการ บ้านนวัต รามคำแหง 118 มีด้วยกัน 4 ข้อ   1.หันตัวบ้านให้ถูกทิศถูกทาง ตามคำโบราณบอกไว้ว่าบ้านที่ดีควรหันไปทางทิศใต้และทิศเหนือ แต่ บ้านนวัต รามคำแหง 118 ได้วิจัยทิศทางลมพบว่า...ลมเปลี่ยนทิศทุกๆ 6 เดือน ซึ่งหกเดือนแรกจะพัดที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ อีก 6 เดือนหลังพัดทิศตะวันตกเฉียงใต้ ถ้าหากสร้างบ้านตั้งฉากกับลม ลมจะโชยเข้าบ้าน เย็นสบาย โดยไม่ต้องพึ่งแอร์แม้แต่น้อย 2. หลังคาบ้านต้องมีชายคายื่นออกมาบล็อคแดด อย่างที่รู้กันคือเมืองไทยเป็นเมืองร้อนชื้น แดดเปรี้ยง บอกเลยว่าบรรพบุรุษเราคิดมาดีแล้ว เพราะบ้านคนไทยส่วนใหญ่มักมีชายคาขนาดกว้างยื่นออกมาเพื่อกันแดด กันฝนสาด โดย บ้านนวัต รามคำแหง 118 ได้ศึกษาทิศทางการเคลื่อนตัวของดวงอาทิตย์พบว่า...พระอาทิตย์บ้านเราขึ้นแบบเฉียงอ้อมทิศใต้มา เพราะฉะนั้นการออกแบบชายคาบ้านต้องเฉียงหักมุม องศาได้ และกว้างกำลังดี เพื่อบล็อคแดดไม่ให้เข้าในบ้าน และบ้านก็จะเย็นสบาย 3.จัดให้สระว่ายน้ำอยู่หน้าบ้านชั้น 2 เพราะชั้น 2 เป็นตำแหน่งที่ลมพัดดี เวลาลมร้อนพัดผ่านสระว่ายน้ำ ไอน้ำนี่แหละที่จะช่วยลดอุณหภูมิอากาศลง ส่งผลให้ไอเย็นพัดเข้ามาในบ้านอย่างทั่วถึง และการที่สระว่ายน้ำอยู่ชั้น 2 ยิ่งเพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้นอีกด้วย 4.ห้องทุกห้องจัดให้อยู่หัวมุมทั้งหมด ห้องนอนทุกห้องต้องอยู่มุม เพราะต้องติดตั้งหน้าต่าง อย่างน้อย 2 ด้าน และหน้าต่างต้องวางให้ถูกทิศ เพื่อมีทางให้ลมเข้า-ออกเสมอ ที่สำคัญคือได้แสงธรรมชาติทั่วทุกพื้นที่ ทำให้ทุกห้องในบ้านไม่ต้องเปิดไฟตอนกลางวัน ช่วยประหยัดพลังงานได้เป็นอย่างดี ด้านห้องครัวและห้องน้ำ บ้านนวัต รามคำแหง 118 ก็จัดไปอยู่มุมที่รับแดดได้ดีเพื่อกำจัดเชื้อโรค ซึ่งการทำครัวไทยของโครงการเน้นตอบโจทย์เหล่าแม่บ้าน ที่ต้องกว้าง อากาศถ่ายเท และเหมาะสำหรับผัดเผ็ด แกง ทอด ได้อย่างสบายๆ ด้วยแนวคิดในการออกแบบเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน โดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างประโยชน์ใช้สอยกับความงามทางสถาปัตยกรรม จนกลายเป็นบ้านที่อยู่สบาย บำรุงรกษาง่าย ประหยัดพลังงาน และมีประโยชน์ใช้สอยบนพื้นที่อย่างเต็มรูปแบบเหมาะสำหรับการใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและยั่งยืน ล่าสุด บริษัท พรีเมียร์ แอสเซ็ทส์ จำกัด นำโดย ทิพย์ชยา พงศธร กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธุรกิจโรงแรมกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ และ สาทิต สืบสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ แอสเซ็ทส์ จำกัด ขึ้นรับรางวัล “บ้านจัดสรรอนุรักษ์พลังงานดีเด่น ปี 2561 จำนวน 3 รางวัลรวด ได้แก่ แบบบ้าน โครงการบ้านนวัตพระราม 9 แปลงที่ 17 และ แบบบ้าน โครงการบ้านนวัตรามคำแหง Type B และ Type C จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) โดยได้รับเกียรติจาก นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล เมื่อวันพุธที่ 28 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา   ทั้งนี้ โครงการ บ้านนวัต รามคำแหง 118  (BAAN NAWAT RAMKHAMHAENG 118) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ที่พร้อมรองรับความสุขของครอบครัวใหญ่ที่ชอบความสงบ เรียบง่ายและยั่งยืน  โดยโครงการเริ่มเปิดขายพรีเซลแล้ว ในราคาเริ่มต้นที่ 29 ล้านบาท สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.premierassets.co.th หรือ โทร.02 301 2888          
เอสซี แอสเสทฯ เปิดจองครั้งแรก บ้านเดี่ยวและโฮม ออฟฟิศ โครงการใหม่ 2 ทำเล พร้อมรับสิทธิพิเศษ 15-16 ธ.ค.นี้

เอสซี แอสเสทฯ เปิดจองครั้งแรก บ้านเดี่ยวและโฮม ออฟฟิศ โครงการใหม่ 2 ทำเล พร้อมรับสิทธิพิเศษ 15-16 ธ.ค.นี้

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ขอแนะนำ 2 โครงการใหม่ บ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์น โครงการ VENUE (เวนิว) พระราม9 และ โฮม ออฟฟิศ โครงการ WORKPLACE (เวิร์คเพลส)  เพชรเกษม 81-2 เปิดจองพร้อมกันครั้งแรก พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย 15-16 ธ.ค.นี้ โครงการ  VENUE (เวนิว) พระราม 9  บนพื้นที่โครงการกว่า 34 ไร่   จำนวน 143 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท  บ้านเดี่ยว 2 ชั้นสไตล์ Modern  ด้วยแนวคิด Organic Living ซึ่งออกแบบภายในและภายนอกอย่างมีเอกลักษณ์  โดยพื้นที่ใช้สอยใช้งานได้จริง และตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ เพิ่มบรรยากาศแห่งการพักผ่อน ด้วยฟังก์ชั่นที่ลงตัว ราคา 6-10 ล้านบาท มีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ ได้แก่   1.HAZEL  : พื้นที่ใช้สอย 163 ตร.ม. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ , Living Area , Dining Area , Kitchen ,และ 2 ที่จอดรถ 2.ROWAN : พื้นที่ใช้สอย 213 ตร.ม.  4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ , Living Area , Dining Area , Kitchen , Family Area , และ 2 ที่จอดรถ 3.WILLOW : พื้นที่ใช้สอย 234 ตร.ม.  4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ , Foyer , Living Area , Dining Area , Kitchen , Family Area , และ 2 ที่จอดรถ โครงการ VENUE (เวนิว) พระราม 9 ตั้งอยู่ทำเลศักยภาพ ติดถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก และถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า (กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่) เชื่อมต่อทุกการเดินทาง ใกล้ย่าน NEW CBD พระราม 9 ใกล้ทุกความสะดวกสบาย รายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ใกล้สถาบันการศึกษา และใกล้ศูนย์การแพทย์ ผ่อนคลายไปกับ Clubhouse ขนาดใหญ่ที่ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมสระว่ายน้ำระบบเกลือ, ฟิตเนส, สวนส่วนกลางขนาดใหญ่, Kid’s Club เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวได้พักผ่อนและออกกำลังไปด้วยกัน สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร.063-197-4666 หรือ Line : @vnpr9  ลงทะเบียนรับสิทธิ์ : http://bit.ly/2NMobyJ ส่วนอีกโครงการคือ WORKPLACE  (เวิร์คเพลส)  เพชรเกษม 81-2 โฮมออฟฟิศ 4 ชั้น สไตล์ Loft   พื้นที่โครงการกว่า 11 ไร่ จำนวน 112 ยูนิต   มูลค่าโครงการ 630 ล้านบาท  ด้วยที่สุดของทำเลย่านเพชรเกษม ตั้งอยู่ห่างถนนเพชรเกษม เพียง 1.2 กิโลเมตร โครงการติดถนนใหญ่ ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน(โครงการในอนาคต) รายล้อมด้วย Community Mall และ สถานศึกษาชั้นนำมากมาย พร้อมการเดินทางที่สะดวกสบายทั้งรถยนต์ส่วนตัว หรือ รถประจำทาง พร้อมเชื่อมต่อถนนเส้นหลักหลายสายทั้งเข้าเมือง และ ออกเมือง ได้แก่ ถนนเพชรเกษม,ถนนเอกชัย,ถนนพุทธสาคร,ถนนพุทธมณฑลสาย 3-4 และ ถนนกาญจนาภิเษก ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 163 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท  พร้อมสิทธิพิเศษในวันงาน ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษมูลค่า 100,000 บาท* ได้ที่ www.scasset.com รายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 080-604-5660 หรือ Line@ : @wpp81-2          

1 ... 54 55 56 ... 106