ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 56 57 58 ... 103
ธนาแลนด์ เปิดตัวทีมบริหารรุ่นใหม่ สานต่อปรัชญาสร้างที่อยู่อาศัยคุณภาพ พร้อมตั้งเป้าโตมากกว่า 10%

ธนาแลนด์ เปิดตัวทีมบริหารรุ่นใหม่ สานต่อปรัชญาสร้างที่อยู่อาศัยคุณภาพ พร้อมตั้งเป้าโตมากกว่า 10%

ธนาแลนด์ เจ้าตลาดอาคารสูงในย่านปิ่นเกล้า ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพที่เน้นคุณค่า ใส่ใจทุกรายละเอียดในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ขยับทัพเปิดตัวทีมบริหารคนรุ่นใหม่ ปรับสัดส่วนรายได้ เพิ่มสินค้าแนวราบเป็น 40% จากเดิมที่เน้นพัฒนาตึกสูง เดินหน้าพัฒนาที่อยู่อาศัย 1-3 โครงการ ตั้งเป้าโตมากกว่า 10% พร้อมจัดกิจกรรมพิเศษ “Thank You Party : Happiness at Thana Astoria” ในวันเสาร์ที่ 3 พ.ย. 61       นายโกวิทย์ สุวาณิชย์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาแลนด์ จำกัด เปิดเผยต่อสื่อมวลชนในโอกาสแถลงข่าวเปิดตัวทีมบริหารรุ่นใหม่ว่า “บริษัท ธนาแลนด์ จำกัด เป็นผู้มีประสบการณ์เชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย มากกว่า 40 ปี ก่อตั้งโดย ประธานกรรมการ คุณปนิธิ์ สุวาณิชย์กุล ที่มีปรัชญาแนวคิดและความตั้งใจจริงในการสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ให้แก่ลูกค้า ด้วยความทุ่มเทในการดูแลบ้านและคอนโดของลูกค้าในทุกขั้นตอน ทั้งการเลือกวัสดุที่มีคุณภาพ การตรวจสอบโครงสร้างให้ได้ความแข็งแรง การใส่ใจในการให้สาธารณูปโภคที่มากกว่า จากแนวคิดความใส่ใจต่อลูกค้าได้ฝังรากลึกลงในบริษัท ธนาแลนด์ฯ และถ่ายทอดมาจนถึงทีมผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ล้วนเป็น Young Generation ที่ขอเรียกตัวเองว่าเป็น “นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพ” โดยในทีมประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากทางสายวิชาชีพ ด้านวิศวกรรมโยธา, วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม และสถาปัตยกรรม รวมถึงผู้เชี่ยวชาญทางสายบริหาร การพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงทำให้ ในปัจจุบันบริษัท ธนาแลนด์ฯ มีจุดแข็งในเรื่องความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพ มีโครงสร้างแข็งแรง มีการออกแบบที่ตอบสนองต่อการใช้งานจริง โดยมีความละเอียดอ่อนทุกแง่มุม รวมถึงมีความโดดเด่นทางสุนทรียภาพ และการดูแลลูกค้าหลังการขาย”       ธนาแลนด์ ได้พัฒนาโครงการมาแล้ว ในหลายๆ ทำเลของกรุงเทพฯ ได้แก่ ย่านลาดพร้าว บางเขน เอกมัย และสามเสน เป็นต้น ซึ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธนาแลนด์มีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมย่านปิ่นเกล้าเป็นจำนวนมาก เนื่องจากบริษัทมี Land Bank ในย่านนี้ ซี่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง จากการก่อสร้างรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินที่เป็นสายวงรอบของกรุงเทพฯ (ถนนจรัญสนิทวงศ์-รัชดาภิเษก) ส่วนผลประกอบการในปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายประมาณ 440 ล้านบาท เป้าหมายในปี 2561 บริษัทฯ ประมาณการยอดขายไว้ที่ 500 ล้านบาทคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ประมาณ 10% โดยมาจากโครงการ ธนา แอสโทเรีย ปิ่นเกล้า ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้วมากกว่า 80% คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ โครงการได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า รวมไปถึงการที่โครงการได้รับรางวัลโครงการอสังหาริมทรัพย์ดีเด่น ประจำปี 2561 จากศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทยอีกด้วย โดย ธนาแอสโทเรีย ปิ่นเกล้าเป็นคอนโดมิเนียม สูง 23 ชั้นจำนวน 497 ยูนิต โดดเด่น สง่างาม จากสถาปัตยกรรม อาร์ต เดคโค     แห่งมหานครนิวยอร์ค (New York Art Deco Inspired) สู่ความประณีตงดงามร่วมสมัยในสไตล์ โมเดิร์น อาร์ต เดคโค พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก Astoria Theater, NY Sport Room, SOHO Co-Working Space, Cortex Reading Lounge, Liberty Pool, จุดล้างรถ-เติมลมยาง, สวนสวยพร้อมสนามเด็กเล่นบริเวณชั้น 1, สวนโยคะที่ชั้น 5 และสวน High-Line Garden บนดาดฟ้า พร้อม Skyline Pavilion วิวสะพานพระราม 8 เพื่อการพักผ่อนของลูกค้า บนทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดในย่านปิ่นเกล้า บนถนนจรัญสนิทวงศ์ ระหว่างซอย 44 และ 46 ติดรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีบางยี่ขัน     ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันมีสภาพการแข่งขันที่สูงมาก โดยเฉพาะจากบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ที่พัฒนาโครงการทุกทำเล และทุกระดับราคา สำหรับตลาดคอนโดมิเนียม มีการแข่งขันสูงมากตามแนวรถไฟฟ้าเป็นหลัก ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของโครงข่ายคมนาคมของกรุงเทพฯ ซึ่งโครงการของธนาแลนด์จะพัฒนาโครงการในระดับราคาตลาด กลาง-กลางบน เป็นหลัก ดังนั้นการพัฒนาโครงการของธนาแลนด์ จึงต้องสร้างความแตกต่าง เริ่มจากการเลือกทำเลที่ดีที่สุด พัฒนาแนวคิดการออกแบบที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ใส่ใจในรายละเอียด ใช้วัสดุอย่างดี มีคุณภาพ และขายในราคาที่คุ้มค่าต่อลูกค้า โดยแผนการดำเนินงานในปี 2562 ธนาแลนด์มีแผนที่จะพัฒนาโครงการในพื้นที่อื่นๆ ที่มีศักยภาพนอกเหนือจากย่านปิ่นเกล้าด้วย เช่น ย่านสาธุประดิษฐ์ ถนนราชพฤกษ์ และถนนลาดพร้าว โดยจะเพิ่มสัดส่วนโครงการในแนวราบ เช่น Luxury Town Home และโฮมออฟฟิศ รวมถึงพัฒนาโครงการ Low Rise Condominium แบบ Exclusive จากเดิมที่ปัจจุบันรายได้เกือบทั้งหมดมาจากโครงการแนวสูง ซึ่งในปีหน้า ธนาแลนด์จะเพิ่มสัดส่วนแนวราบประมาณ 40% ของรายได้ทั้งหมด ในส่วนของที่ดินรอการพัฒนา (Land Bank) ของบริษัท มีอยู่ในย่านปิ่นเกล้า และลาดพร้าว และกำหนดวงเงินสำหรับลงทุนซื้อที่ดิน ประมาณ 300-500 ล้านบาทในการหาซื้อที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย     สำหรับแผนงานด้านการตลาด และส่งเสริมการขาย บริษัทฯ เน้นช่องทางการสื่อสารประชาสัมพันธ์ทั้งของโครงการ และการสร้างแบรนด์ของบริษัทฯ ผ่าน Social Network และผ่านสื่อต่างๆทั้ง สื่อ Online และสื่อสิ่งพิมพ์ และกิจกรรม Below the Line โดยกิจกรรมที่กำลังจะมาถึง คือ งานขอบคุณลูกค้าของโครงการคอนโดมิเนียม ธนา แอสโทเรีย ปิ่นเกล้า “Thank You Party : Happiness at Thana Astoria” ในวันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน 61 ซึ่งจะมีกิจกรรมต่างๆ มากมาย อาทิ Workshop ทำขนมคัพเค้กกับคุณเพชร กรุณพล, Workshop Cactus ปลูกต้นกระบองเพชรน่ารักๆ, บริการล้างรถ-เติมลมให้ลูกค้า, กิจกรรม Dancing Class พร้อม Trainer Dancing บนลู่วิ่ง, Boxing Class และ Yoga Class, ร่วมสนุกถ่ายภาพแบบพิเศษด้วยกล้อง Selphy 360 องศา หมุนรอบตัว และปิดท้ายงานด้วยมินิคอนเสิร์ตในบรรยากาศอบอุ่นจากคุณอะตอม ชนกันต์ พร้อมมอบของขวัญของรางวัลมากมาย ซึ่งจะเป็นวันที่ธนาแลนด์ ส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าจากใจของธนาแลนด์ รวมถึงการดูแลลูกค้าในโครงการต่างๆ ที่ผ่านมาของ ธนาแลนด์ เพื่อสานสัมพันธ์อันดีตลอดไป     “ในส่วนของการดำเนินงาน ธนาแลนด์ เน้นการพัฒนาโครงการสำหรับที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยแผนการลงทุน แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การพัฒนาโครงการเพื่อการขาย ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนหลักของธนาแลนด์ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม และการลงทุนอีกส่วน คือ พัฒนาโครงการเพื่อการเช่า ซึ่งจะทำให้มีกระแสเงินเข้ามายังบริษัทฯ ต่อเนื่องทุกเดือน ส่วนแผนการดำเนินงานในระยะยาวของบริษัท ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ยังคงเน้นพัฒนาโครงการด้านที่อยู่อาศัยเป็นหลักตามสิ่งที่ธนาแลนด์ถนัด ผสมผสานสัดส่วนโครงการแนวราบ และแนวสูง ให้เหมาะสมกันไปในแต่ละปี มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพให้ดียิ่งๆขึ้นไป ควบคู่กับการดูแลลูกค้าหลังการขาย ยึดมั่นสานต่อปรัชญาสร้างที่อยู่อาศัยคุณภาพ และแนวทางการทำงานของคุณปนิธิ์ สุวาณิชย์กุล ประธานกรรมการ บริษัท ธนาแลนด์ จำกัด ในเรื่องความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า และการพัฒนาโครงการให้ที่ดีที่สุด ตลอดระยะเวลา 40 ปี ที่ผ่านมา และในอนาคตธนาแลนด์ ยังมองถึงโอกาสของการนำบริษัทเข้าสู่ตลาดทุนอีกด้วย” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาแลนด์ จำกัด กล่าวปิดท้าย            
ศุภาลัย ลุยพัฒนาแบรนด์ ESSENCE ต่อเนื่อง กับโครงการศุภาลัย เอสเซ้นส์ สวนหลวง ชูความหลากหลายแบบบ้านและทำเลบางนา-ตราด

ศุภาลัย ลุยพัฒนาแบรนด์ ESSENCE ต่อเนื่อง กับโครงการศุภาลัย เอสเซ้นส์ สวนหลวง ชูความหลากหลายแบบบ้านและทำเลบางนา-ตราด

บมจ.ศุภาลัย เร่งเครื่องลุยพัฒนาแบรนด์แนวราบ “ESSENCE” ต่อเนื่อง เตรียมเปิดโครงการใหม่ “ศุภาลัย เอสเซ้นส์ สวนหลวง” เจาะตลาดระดับราคา 7 - 10 ล้านบาท บนทำเลคุณภาพใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว Pre-Sale 27-28 ตุลาคม 2561 นี้ ณ สำนักงานขาย นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการพัฒนาแบบบ้านรูปแบบใหม่ 3 ชั้น ทั้งบ้านเดี่ยวและบ้านรุ่นใหม่ พร้อมเปิดตัวแบรนด์แนวราบใหม่ภายใต้ชื่อ ESSENCE ประเดิมโครงการแรก ศุภาลัย เอสเซ้นส์ ลาดพร้าว ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย จนปัจจุบันสามารถกวาดยอดขายไปแล้วกว่า 65 % สำหรับไตรมาสสุดท้ายเตรียมเดินหน้าลุยแบรนด์  ESSENCE  อย่างต่อเนื่องกับ โครงการศุภาลัย เอสเซ้นส์ สวนหลวง นำผลิตภัณฑ์บ้านเดี่ยวและบ้านรุ่นใหม่ เพื่อเจาะตลาดระดับราคา 7 - 10 ล้านบาท ด้วยจุดเด่นความต่างของแบบบ้านแต่ละแบบที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้พักอาศัยได้อย่างหลากหลาย บนทำเลศักยภาพย่านบางนา - ตราด ที่มีการคมนาคมเข้าเมืองสะดวกสบาย ทำเลของการพักอาศัยที่มีคุณภาพ และสิ่งอำนวยความสะดวก ครบครัน ศุภาลัย เอสเซ้นส์ สวนหลวง สร้างสรรค์โครงการบนพื้นที่ประมาณ 15 ไร่ มูลค่าประมาณ 740 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “The Scent of Your Essence” สะท้อนทุกด้านที่เป็นตัวคุณ สัมผัสกับที่อยู่อาศัยแนวใหม่ในทำเลศักยภาพย่านบางนา - ตราด ซึ่งเป็นจุดเด่นที่น่าสนใจด้วยทำเลที่รายล้อมทั้งแหล่งธุรกิจและแหล่งช็อปปิ้งขนาดใหญ่ในอนาคต พร้อมการคมนาคมที่สะดวกสบายเชื่อมต่อหลายเส้นทาง อาทิ ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 28 ถนนวงแหวนรอบนอก และถนนบางนา - ตราด ใกล้ทางพิเศษบูรพาวิถีและทางด่วนด่านบางนา รองรับด้วยระบบรถไฟฟ้าถึง 3 สาย รถไฟฟ้า Airport Rail Link สถานีบ้านทับช้าง รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีอุดม และ LRT บางนา - สุวรรณภูมิ (ในอนาคต) แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สวนหลวง ร.9 อิเกีย / เมกา บางนา พาราไดซ์ พาร์ค โรงเรียนนานาชาติ ชาร์เตอร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางนา โรงพยาบาลไทยนครินทร์ และสนามบินสุวรรณภูมิ  การออกแบบยังคงเอกลักษณ์ความเป็นบ้านที่ให้คุณอิสระกับความเป็นตัวเอง เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จที่ผสานทั้งความหรูหรา คุ้มค่า และความทันสมัยด้วยระบบ Home Automation อย่างลงตัว กับสังคมคุณภาพและเป็นส่วนตัวกับบ้านเพียง 86 หลังในโครงการ  พบกับบ้าน 3 ชั้น ที่ผสานฟังก์ชั่น การใช้งานภายในบ้านได้อย่างลงตัว  ในทุกพื้นที่และยังคงเอกลักษณ์การประหยัดพลังงาน ในราคาเริ่มต้นเพียง 7.3 ล้านบาท        บ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอยมากถึง 321 ตร.ม. 5 ห้องนอน 1 ห้องเก็บของ หรือปรับเปลี่ยนเป็นห้องแม่บ้าน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ พร้อมดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาทิ “Grand Vertical Living Room” ห้องนั่งเล่นเพดานสูงถึง 6 เมตร  และบ้านรุ่นใหม่  พื้นที่ใช้สอย 243 ตร.ม. 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ มาพร้อมกับ “Sky Terrace” ระเบียงขนาดใหญ่ชั้น 2 สามารถปรับเปลี่ยนทั้งมุมพักผ่อนหรือมุมปาร์ตี้ตามสไตล์ที่เป็นคุณ เพียบพร้อมด้วย Facilities ต่างๆ อาทิ สวนส่วนกลางให้คุณร่มรื่นด้วยสวนสวยพร้อม Play zone สโมสร สระว่ายน้ำ (ระบบน้ำแร่) และฟิตเนส มั่นใจกับระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV ภายในโครงการ และเข้า - ออก ด้วยระบบ Easy Pass (เฉพาะลูกบ้าน) สัมผัสมิติใหม่ของที่อยู่อาศัยในสังคมคุณภาพ ความคุ้มค่าที่พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของแล้ววันนี้ พบกันในงาน Pre-Sale 27-28 ตุลาคมนี้ พร้อมรับสิทธิพิเศษมากมาย ณ สำนักขายโครงการ พิเศษ! สำหรับลูกค้าที่ลงทะเบียนและจองบ้านภายในงานรับเพิ่ม Samsung Galaxy Note 9 หรือ Gift Voucher Central มูลค่า 30,000 บาท สอบถามข้อมูลโทร. 1720 หรือดูรายละเอียดได้ที่ www.supalai.com
“บ้านนวัต” รามคำแหง 118  เรียบ หรู ประหยัดพลังงาน อยู่แล้วยั่งยืน

“บ้านนวัต” รามคำแหง 118 เรียบ หรู ประหยัดพลังงาน อยู่แล้วยั่งยืน

ในยุคที่ผู้คนโหยหาความเป็นรากเหง้าที่บรรพบุรุษสืบสานต่อๆ กันมา ทำให้คนรุ่นใหม่หันมาหลงใหลความเป็นไทยกันมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่การออกแบบ “บ้าน” ของโครงการต่างๆ ที่ประยุกต์ความโมเดิร์นและภูมิปัญญาไทยเข้าด้วยกัน จนเกิดเป็นเอกลักษณ์ที่ควรค่าแก่การลงทุน บริษัท พรีเมียร์ แอสเซ็ทส์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผ่านแนวคิดเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน เปิดโครงการใหม่ บ้านนวัต รามคำแหง 118 บ้านเดี่ยวนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “Thoughtful Design for Every Step of Life” บ้านสำหรับคนทุกเจเนอเรชั่น อยู่อาศัยอย่างเป็นส่วนตัวและยั่งยืนพร้อมประหยัดพลังงานเต็มรูปแบบ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความเป็นส่วนตัว รักความเงียบสงบ มีระบบการรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัย บนทำเลที่ลงตัวบนถนนรามคำแหง ซอย 118 แยก 33 เดินทางสะดวกด้วยการคมนาคมที่ครอบคลุมทุกเส้นทาง ในอนาคตสามารถใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) สถานีสัมมากร     บ้านนวัต รามคำแหง 118 โครงการบ้านเดี่ยวที่รองรับไลฟ์สไตล์ความเป็นส่วนตัวและเงียบสงบแก่ทุกคนในครอบครัว สามารถอยู่ร่วมกันทั้ง 3 รุ่น เพียง 23 หลัง มีมูลค่าโครงการกว่า 700 ล้านบาท บนพื้นที่กว่า 8 ไร่ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 3 ชั้น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ บนขนาดที่ดิน 72.8-166.4 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 363-576 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 29 ล้านบาท มีบ้านทั้งหมด 3 Type ได้แก่ 1.Type A พื้นที่ใช้สอย 557 ตร.ม. ขนาดที่ดิน 120.8-166.4 ตร.ว. ราคา 37 – 45 ล้านบาท 2.Type B พื้นที่ใช้สอย 576 ตร.ม. ขนาดที่ดิน 97.5-119.8 ตร.ว. ราคา 37 – 40 ล้านบาท และ 3. Type C พื้นที่ใช้สอย 363 ตร.ม. ขนาดที่ดิน 72.8-110.9 ตร.ว. ราคา 29 - 31 ล้านบาท   พรีเมียร์ แอสเซ็ทส์ ตั้งใจดีไซน์โครงการดังกล่าว ด้วยการกลั่นกรองอย่างพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการออกแบบ คำนึงถึงความสมดุลระหว่างประโยชน์ใช้สอยกับความงามทางสถาปัตยกรรม การออกแบบจัดวางผังที่ใส่ใจรายละเอียดในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วัสดุหรือการใช้นวัตกรรมที่เข้ามาสอดรับกับความต้องการในทุกรูปแบบของการใช้ชีวิตของสังคมคนเมืองในปัจจุบันและอนาคต จนกลายมาเป็นบ้านที่อยู่สบาย บำรุงรักษาง่าย ประหยัดพลังงานและมีประโยชน์ใช้สอยได้บนพื้นที่อย่างเต็มรูปแบบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย     การออกแบบผังโครงการคำนึงถึงความสุขของคนทุกช่วงวัย ให้ความสำคัญกับ ความเรียบง่ายและปลอดภัย ด้วยแนวคิดการอยู่อาศัยอย่างเป็นส่วนตัวและยั่งยืน ผ่านสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ สระว่ายน้ำและพื้นที่สีเขียวให้อยู่ภายในบริเวณบ้านทุกหลัง มีต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น พร้อมระบบการจัดการระบบการเดินสายไฟฟ้าใต้ดินรวมถึงสายใยแก้วนำแสงสำหรับระบบสื่อสาร มีระบบรักษาความปลอดภัยครบวงจร ตั้งแต่ระบบกล้องวงจรปิด ระบบเปิด-ปิดประตูทางเข้าโครงการอัตโนมัติควบคุมโดยระบบไร้สายได้จากเจ้าของบ้านทุกหลังในโครงการ รั้วไฟฟ้ารอบโครงการ และระบบรั้วไฟฟ้ารอบโครงการเพื่อป้องกันผู้บุกรุกทุกช่องทาง   ต่อด้วย สถาปัตยกรรมที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ โดยคำนึงถึงการใช้สอยจริงทุกรายละเอียด เน้นการประโยชน์สูงสุดจากธรรมชาติด้วยการวางผังให้บ้านอยู่ในทิศทางที่รับลม มีแสงธรรมชาติตลอดวันแต่ไม่ร้อน เพื่อลดการสิ้นเปลืองพลังงานอย่างแท้จริง ลดความร้อนด้วยความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่รอบบ้านและไอเย็นจากสระว่ายน้ำ มีกันสาดและแผงบังแดดเพื่อป้องกันจากแดดฝนที่รุนแรงในโซนร้อนชื้น และพิถีพิถันเรื่องการเลือกสรรวัสดุก่อสร้าง อาทิ ผนังกระจกนิรภัยสองชั้น (Laminated Glass) ติดตั้งบนกรอบบานอลูมิเนียม ที่ช่วยประหยัดพลังงาน ลดฝุ่น ความชื้น และความร้อนไม่ให้เข้ามาภายในตัวบ้าน   อีกเรื่องที่โดดเด่นคือ การจัดพื้นที่ภายในบ้านอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางพื้นที่และเฟอร์นิเจอร์ เช่น การจัดวางทิศทางการนอนที่เหมาะสม ผนังห้องนอนทุกด้านไม่ใช้ร่วมกับผนังห้องนอนอื่นเพื่อให้ความสงบเป็นส่วนตัว ส่วนห้องน้ำและห้องครัวจะหันไปทางทิศที่รับแดดเพื่อขจัดกลิ่นอับและฆ่าเชื้อโรค ยิ่งไปกว่านั้นยังใส่ใจการใช้งานห้องครัวที่เหมาะกับอาหารเมืองไทย ต้ม ผัด แกง ทอด สบายกลิ่นไม่รบกวนคนในบ้าน เพราะห้องโปร่งโล่งพร้อมเครื่องดูดควันระดับพรีเมี่ยม ยิ่งไปกว่านั้นบริเวณพื้นที่ใช้สอยชั้นล่างได้รับการออกแบบให้รองรับการเข้า-ออก ของผู้สูงอายุได้อย่างสะดวกปลอดภัยตั้งแต่ลงจากรถจนถึงห้องนอน และมีลิฟท์โดยสารส่วนตัวอยู่ในบ้าน แบบ A และ B เท่านั้น   บ้านนวัต รามคำแหง 118 พร้อมรองรับความสุขของทุกคนในครอบครัว เปิดขายแล้วอย่างเป็นทางการ สามารถเยี่ยมชมโครงการได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 9.00 น. – 18.00 น. ณ สำนักงานขายโครงการ บ้านนวัต ซ.รามคำแหง 118 ติดต่อสอบถามโทร 02-301-2888 ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมที่ได้ www.premierassets.co.th    
แสนสิริเผยโฉม “เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา” ชูโมเดลสมาร์ท  คอนโดเต็มรูปแบบแห่งแรกของแสนสิริ  ตอกย้ำผู้นำคอนโดมิเนียมอัจฉริยะผสานเทคโนโลยี IoT

แสนสิริเผยโฉม “เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา” ชูโมเดลสมาร์ท คอนโดเต็มรูปแบบแห่งแรกของแสนสิริ ตอกย้ำผู้นำคอนโดมิเนียมอัจฉริยะผสานเทคโนโลยี IoT

แสนสิริ ตอกย้ำความเป็นผู้นำในด้านผู้พัฒนานวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล เผยแผนพัฒนาสมาร์ท คอนโด ประกาศเดินหน้าใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) ในทุกโครงการคอนโดมิเนียมที่จะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป แบ่งแผนพัฒนาออกเป็น 3 ระดับตามเซ็กเมนต์โครงการ ตั้งแต่การควบคุมระบบพื้นฐานไปจนถึงอาคารอัจฉริยะเต็มรูปแบบ เน้นกลยุทธ์ในการยกระดับสมาร์ท คอนโด ของวงการอสังหาริมทรัพย์ ผ่านแนวคิด 3 ด้าน ได้แก่ iConvenience (ความสะดวกสบาย) iSafe (ความปลอดภัย) และ iGreen (ด้านประหยัดพลังงาน) ชู “เดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา” โครงการภายใต้การร่วมทุนระหว่างแสนสิริและบีทีเอส กรุ๊ปฯ เป็นโมเดลสมาร์ท คอนโดแห่งแรกของแสนสิริ พร้อมยก ดิ เอดจ์ (The Edge) อาคารอัจฉริยะที่สุดในโลกของประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นต้นแบบในการพัฒนาโครงการภายในปี 2563     ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริเล็งเห็นถึงความสำคัญในเทรนด์ผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ จึงนำแนวคิดการบริหารจัดการอาคารอัจฉริยะ ที่ใช้เทคโนโลยี IoT หรือ Internet of Things เข้าไปเชื่อมต่ออุปกรณ์กับซอฟต์แวร์และบริการที่มีภายในอาคาร ตั้งแต่ พื้นที่ส่วนกลางไปจนถึงภายในห้องพักอาศัย ยกระดับความสะดวกสบายและปลอดภัยให้แก่ลูกบ้าน และยังสามารถบริหารจัดการอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยควบคุมการทำงานเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนกลาง เช่น อุปกรณ์ดับเพลิง เครื่องปั่นไฟ ตู้ควบคุมระบบไฟฟ้าหลัก ลิฟต์ ปั๊มน้ำ ระบบท่อระบายน้ำและสระว่ายน้ำ ไปจนถึงการปรับสภาพอากาศภายในอาคาร (Heating, Ventilation and Air Conditioning : HVAC) ทำให้สามารถควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม เพื่อลดการใช้พลังงานเกินความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถช่วยคาดการณ์ความเสียหายของอุปกรณ์ต่าง ๆ (Preventive Maintenance) ให้สามารถวางแผนการซ่อมแซมได้อย่างทันท่วงที และช่วยประหยัดต้นทุนในการบริหารจัดการได้ในระยะยาว”     “จากความสำคัญดังกล่าว แสนสิริจึงได้วางแผนการพัฒนาสมาร์ท คอนโดออกเป็น 3 ระดับ ตามเซ็กเมนต์ที่แตกต่างกันของโครงการที่จะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2562 ได้แก่ ระดับพื้นฐาน คือการใช้เทคโนโลยี IoT เข้ามาควบคุมระบบส่วนกลางของโครงการ ระดับปานกลาง คือการใช้เทคโนโลยี IoT เข้ามาควบคุมระบบพร้อมด้วยระบบ Building Automation System (BAS) ในการสั่งการระบบพื้นที่ส่วนกลาง ระดับสูงสุด คือสมาร์ท คอนโด ที่นำเทคโนโลยี IoT เข้ามาร่วมบริหารจัดการอาคารในการคาดการณ์ความเสียหายของอุปกรณ์ต่าง ๆ (Preventive Maintenance) เพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”     “แสนสิริ จึงได้นำแผนพัฒนาระดับสูงสุดดังกล่าวเข้ามาใช้ที่โครงการเดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา ซึ่งเป็นโครงการภายใต้การร่วมทุนระหว่างแสนสิริและบีทีเอส กรุ๊ปฯ โครงการที่ 4 ที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่แล้ววันนี้ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Balance is Everything ที่ต้องการตอบสนองการใช้ชีวิตที่สมดุลให้กับคนเมือง ซึ่งประสบความสำเร็จจากการปิดการขายได้ทันทีในวันพรีเซลล์ และศักยภาพด้านทำเลใจกลางย่านธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ อย่างย่านพระรามเก้า โดยโครงการได้รับผลตอบรับอย่างดีจากลูกค้า มียอดโอนแล้วเกือบ 40% เพียง 2 อาทิตย์หลังจากเริ่มโอน มั่นใจถึงเป้าที่ตั้งไว้ 80% ภายในปีนี้อย่างแน่นอน และอีกหนึ่งองค์ประกอบที่โดดเด่นของเดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา คือ เทคโนโลยีสุดล้ำครอบคลุมทั้งการบริการจัดการระบบพลังงานและทรัพยากรต่าง ๆ ภายในอาคารแบบอัตโนมัติ พร้อมคาดการณ์การซ่อมบำรุง ทั้งระบบไฟฟ้า ระบบน้ำประปา ระบบระบายน้ำ ระบบการรักษาความปลอดภัย และระบบ Home Automation ภายในห้องพักอาศัยใน 3 ด้าน ได้แก่ iConvenience (ความสะดวกสบาย) iSafe (ความปลอดภัย) และ iGreen (ด้านประหยัดพลังงาน) เพื่ออำนวยความสะดวกในทุกมิติของการใช้ชีวิตของลูกบ้าน” ดร.ทวิชา กล่าว       นอกจากนี้ แสนสิริยังได้นำระบบลงทะเบียนอัจฉริยะสำหรับบุคคลภายนอกที่เข้ามาในโครงการได้เพียงใช้คิวอาร์โค้ด โดยลูกบ้านสามารถกำหนดวันและเวลา รวมทั้งบริเวณที่ผู้มาติดต่อสามารถเข้าถึงได้ (Smart Guest Registration) ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่แสนสิริสร้างสรรค์ขึ้นเข้ามาใช้ในโครงการนี้เป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังมี ศูนย์ควบคุมระบบการบริหารจัดการอาคารด้วยระบบ IoT of Building, ระบบควบคุมการใช้ไฟฟ้าส่วนกลาง (Smart Lighting Control), ระบบควบคุมการปิด-เปิดประตูหนีไฟ (Smart Door Safety Monitoring), ระบบสมาร์ทล็อคเกอร์และตู้จ่ายพัสดุอัติโนมัติเชื่อมต่อกับ iBox (Smart Delivery), แท่นชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมบริการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า Smartmove และสถานีชาร์จประจุไฟฟ้า โดยสามารถจองใช้บริการได้ง่าย ๆ บนแอพพลิเคชั่น Home Service, เครื่องซักผ้าอัจฉริยะ (Smart Wash), เครื่องรับคืนขวดพลาสติค (Refun Machine) และระบบเทเลคอมในอาคารจอดรถ     “ยิ่งไปกว่านั้น แสนสิริยังมุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดในการพัฒนาการบริหารจัดการอาคารแบบสมาร์ท คอนโดให้เหนือขึ้นไปจากแผนพัฒนา 3 ระดับดังกล่าว โดยยกให้โครงการ ดิ เอดจ์ (The Edge) ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นอาคารอัจฉริยะที่สุดในโลกให้เป็นต้นแบบในการพัฒนาโมเดลสมาร์ท คอนโดในอนาคตของแสนสิริภายในปี 2563 ซึ่งโครงการดังกล่าวโดดเด่นด้านการใช้เทคโนโลยี IoT เข้ามาเชื่อมโยงการจัดการอาคารเข้ากับผู้ใช้งานหรือผู้อาศัยที่มีความต้องการและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน (Personalization) ได้อย่างสมบูรณ์แบบในทุกมิติ โดยโครงการนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นอาคารที่โดดเด่นด้านการจัดการพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในโลก” ดร. ทวิชา กล่าวสรุป    
ไทวัสดุ บุกธุรกิจ ฟาสต์ฟิต (FAST FIT) เตรียมเปิดตัว ออโต้วัน (AUTO 1)

ไทวัสดุ บุกธุรกิจ ฟาสต์ฟิต (FAST FIT) เตรียมเปิดตัว ออโต้วัน (AUTO 1)

ซีอาร์ซี ไทวัสดุ สบช่องตลาดรถยนต์รุ่ง พร้อมแตกไลน์ธุรกิจเปิด ฟาสต์ ฟิต ภายใต้ชื่อ ออโต้วัน (AUTO 1) ประเดิมสาขาแรกที่ ไทวัสดุ ปทุมธานี ชูจุดแข็ง ในด้านบริการยานยนต์โดยช่างมืออาชีพ มีสินค้าให้เลือกหลากหลายทั้งจากในประเทศและสินค้านำเข้า ในทำเลที่ดีที่สุด สะดวกสบาย โดยพ่วงโปรโมชั่นสะสมและแลกคะแนนเพื่อรับสิทธิพิเศษหรือส่วนลดต่างๆ ผ่านบัตรเดอะวัน (THE 1) ในกลุ่มเซ็นทรัล โดยตั้งเป้าเปิดสาขาในพื้นที่ของไทวัสดุทุกสาขา เพื่อรองรับลูกค้าผู้ใช้รถทั่วประเทศ   คุณสุทธิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดรถยนต์ในปี 2560 มียอดขายรวมทั้งสิ้น 871,650 คัน และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2561 จะมียอดขายรถยนต์รวม 950,000 คัน หรือ เพิ่มขึ้น 5% ขณะที่ยอดจดทะเบียนสะสมของรถยนต์ ณ 31 ม.ค. 61 มีจำนวนทั้งสิ้น 17 ล้านคัน (ไม่รวมรถจักรยานยนต์ 20 ล้านคัน) ซึ่งเห็นได้ว่าแนวโน้มการเติบโตของตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องได้รับอานิสงส์เชิงบวก โดยเฉพาะธุรกิจบริการหลังการขายแบบ ควิกเซอร์วิส หรือ ฟาสต์ฟิต ซึ่งในปีที่ผ่านมาตลาดนี้มีมูลค่าประมาณ 34,000 ล้านบาท   “ธุรกิจศูนย์บริการประเภท ฟาสต์ ฟิต เติบโตควบคู่ไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดรถยนต์ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ 4 -7 % ซึ่งพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน มีแนวโน้มนำรถยนต์เข้ารับบริการฟาสต์ฟิตเพิ่มมากขึ้น โดยมีปัจจัยมาจากอัตราค่าบริการของศูนย์บริการรถยนต์ของค่ายต่างๆ ที่ค่อนข้างสูง ประกอบกับยังขาดความเชื่อมั่น ในมาตรฐานและการบริการของอู่ท้องถิ่นทั่วไป ซึ่งด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้เรามองเห็นโอกาสทางการตลาดที่ยังสามารถเติบโตได้อีก   คุณสุทธิสาร กล่าวเพิ่มเติมว่า การก้าวเข้ามารุกธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์แบบฟาสต์ฟิตในครั้งนี้ นอกจากจะรองรับจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในประเทศไทยแล้ว ยังเป็นการเสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ไทวัสดุและธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล ที่มีสาขาของธุรกิจต่างๆในเครือกระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะกับไทวัสดุเองที่จะไม่ได้มีแค่เพียงสินค้าและบริการเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างที่ครบวงจรเท่านั้น เรายังมองไปถึงธุรกิจที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าของไทวัสดุ ที่ขับรถยนต์เพื่อมาซื้อสินค้าอยู่แล้ว ดังนั้นการเพิ่มไลน์ธุรกิจศูนย์บริการรถยนต์แบบฟาสต์ฟิตในครั้งนี้ จะเป็นการต่อยอดธุรกิจที่เอื้อต่อกันได้เป็นอย่างดี”     สำหรับศูนย์บริการออโต้วัน สาขาแรก ตั้งอยู่ที่ไทวัสดุ สาขา ปทุมธานี ซึ่งเป็นสาขาที่อยู่ใกล้แหล่งชุมชน หมู่บ้านขนาดใหญ่ และยังเป็นถนนหลักในการเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ใกล้เคียงโดยสะดวก ซึ่งมีพื้นที่ให้บริการรวม 320 ตารางเมตร พร้อมด้วย 4 ช่องบริการ ใช้งบลงทุนเบื้องต้นประมาณ 10 ล้านบาท ส่วนรูปแบบการให้บริการหลักๆประกอบด้วย จำหน่ายยางรถยนต์ บริการตั้งศูนย์-ถ่วงล้อ บริการเช็คระยะ เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง และน้ำมันหล่อลื่นต่างๆ เช่น เกียร์-เฟืองท้าย ซ่อมบำรุงระบบเบรค ช่วงล่าง-ระบบรองรับ บริการระบบแอร์รถยนต์ ฯลฯ   คุณสุทธิสาร กล่าวเพิ่มเติมว่า ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการกับ ออโต้วัน จะได้รับสิทธิพิเศษที่เหนือกว่า จากกลยุทธ์การตลาดที่เป็นจุดแข็ง ของออโต้วัน เช่น การร่วมโปรโมชั่นกับสมาชิกผู้ถือบัตร เดอะวัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นบัตรสมาชิกที่มีฐานลูกค้านิยมสะสมคะแนนจากยอดจับจ่ายซื้อสินค้าสูงสุดบัตรหนึ่ง โดยปัจจุบันมีสมาชิกทั้งสิ้น 14 ล้านราย ซึ่งทุกการใช้บริการที่ออโต้วัน ผู้ถือบัตรเดอะวันจะสามารถเก็บคะแนนสะสมได้เพิ่มอีกหนึ่งช่องทาง และยังมีการจัดโปรโมชั่นร่วมกับธุรกิจอื่นๆ ในกลุ่มเซ็นทรัลอีกด้วย   ขณะที่เป้าหมายการขยายสาขา ออโต้วัน ต่อจากสาขาปทุมธานี ในปี 2561 มีเพิ่มอีก 2 แห่ง ได้แก่ สาขาบางบัวทอง และบางพลี โดยตามแผนงานบริษัทฯ ได้ตั้งเป้าเปิดสาขาไม่น้อยกว่า 40 แห่ง ภายในปี 2563 พิเศษสุดเพื่อเป็นการฉลองเปิด ออโต้วัน สาขาปทุมธานี ระหว่างวันที่ 19-23 ตุลาคม ได้จัดโปรแรง 1 แถม 1 เมื่อซื้อยาง Toyo Tires, Hankook และ Goodride โดยลูกค้าจะต้องมาลงทะเบียนที่สาขาในช่วงเวลา 07.00-08.00 น. เพื่อลุ้นสิทธิ์รับโปรยาง 1 แถม 1 นี้ โดยต้องเปลี่ยนยาง 4 เส้นพร้อมเทิร์นยางเก่า จำกัด 30 ท่านต่อวัน เพียง 5 วันนี้เท่านั้น สำหรับสมาชิกบัตรเดอะวัน รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติม อาทิ เปลี่ยนน้ำมันเครื่องและไส้กรอง ราคาเริ่มต้น 499 บาท เปลี่ยนแบตเตอรี่เทิร์นรุ่นเก่ารับส่วนลด 1,000 บาท คะแนนสะสมในบัตรเดอะวัน แลกรับส่วนลดสูงสุด 13% ต่อ 1 ใบเสร็จ /ครั้ง และ ทุกการใช้บริการมูลค่า 15,000 บาท รับกระบอกน้ำเก็บอุณหภูมิออโต้วันฟรี   “ออโต้วัน มีเป้าหมายการขยายสาขาสู่ไทวัสดุทั่วประเทศ เพื่อเป็นการตอบโจทย์ลูกค้าที่มีความต้องการสินค้าและบริการทั้งเรื่องบ้าน และเรื่องรถได้อย่างครบวงจรในที่ๆเดียว พร้อมด้วยคุณภาพ มาตรฐานการบริการ และความหลากหลายของสินค้าที่มีให้เลือกสรร ที่จะช่วยให้ลูกค้าของทั้งไทวัสดุและออโต้วันใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น” คุณสุทธิสาร กล่าวปิดท้าย
ไรมอน แลนด์ ประเดิมเปิดตัว 2 โครงการแรก ภายใต้การร่วมทุนกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น Tokyo Tatemono บนทำเลศักยภาพ  “ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์” (The Estelle Phrom Phong) และ “เทตต์ ทเวลฟ์” (TAIT 12) มูลค่าโครงการรวมกว่า 9 พันล้านบาท

ไรมอน แลนด์ ประเดิมเปิดตัว 2 โครงการแรก ภายใต้การร่วมทุนกับพันธมิตรยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น Tokyo Tatemono บนทำเลศักยภาพ “ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์” (The Estelle Phrom Phong) และ “เทตต์ ทเวลฟ์” (TAIT 12) มูลค่าโครงการรวมกว่า 9 พันล้านบาท

บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML บริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมชั้นนำของประเทศไทยเปิดตัว 2 โครงการร่วมทุนกับโตเกียว ทาเทโมโนะ หนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศญี่ปุ่น  สำหรับโครงการที่ไรมอน แลนด์ได้เพิ่มเข้าพอร์ต คือ “The Estelle Phrom Phong” ใกล้ BTS สถานีพร้อมพงษ์ และ “TAIT 12” ใกล้ BTS สถานีช่องนนทรี ซึ่งมูลค่ารวมโครงการกว่า 9 พันล้านบาท   คุณเอเดรียน ลี, ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ไรมอน  แลนด์ ได้ลงนามสัญญาความร่วมมือกับโตเกียว ทาเทโมโนะ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้งสองบริษัทรู้สึกยินดี และมีความภาคภูมิใจที่จะนำเสนอ 2 โครงการใหม่บนทำเลศักยภาพใจกลางเมือง คือ “The Estelle Phrom Phong” (ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์) ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 26 ใกล้ BTS สถานีพร้อมพงษ์ ในราคาเริ่มต้น 15.5 ล้านบาท  มูลค่าโครงการกว่า 5  พันล้านบาท และ “TAIT 12” (เทตต์ ทเวลฟ์) ตั้งอยู่ในซอยสาทร 12 ในราคาเริ่มต้น 7.6 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 4.2 พันล้านบาท” “การลงนามสัญญาร่วมกับโตเกียว ทาเทโมโนะ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ และเก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีวิสัยทัศน์ที่ตรงกัน  ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญมากในการทำงาน และก้าวเดินต่อไปในการพัฒนาโปรเจ็คอื่นๆในอนาคตร่วมกัน  ผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ร่วมเรียนรู้การทำงานไปพร้อมๆกับโตเกียว ทาเทโมโนะ ซึ่งมีประสบการณ์ด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มายาวนานกว่า 100 ปี เราทำงานกันอย่างใกล้ชิดเพื่อหวังให้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ในปีหน้าเราได้วางแผนเปิดตัวโครงการอย่างน้อย 1 โครงการร่วมกัน และไรมอน แลนด์ ได้วางเป้าหมายการเปิดตัวโครงการอย่างน้อย 2 โครงการต่อปี” เอเดรียน เสริม The Estelle Phrom Phong, ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 26 ผสมผสานความเป็นโมเดิร์น และเงียบสงบ ถูกออกแบบเสมือนโอเอซิสใจกลางเมือง มีพื้นที่ส่วนกลางกว่า 3 พันตารางเมตร บนพื้นที่เกือบ 2 ไร่ มีพื้นที่สีเขียว สะท้อนความเรียบหรูของเส้นขอบ ด้วยตัวตึกได้นำความรู้สึกของความสงบ หลีกหนีความวุ่นวายในย่านพร้อมพงษ์ได้อย่างยอดเยี่ยม ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ ได้มอบความเป็นตัวของตัวเองให้แก่ผู้อยู่อาศัยกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของเลย์เอ้าท์ และตัวเลือกที่ผู้พัฒนาโครงการได้มอบให้ โดยไม่สูญเสียสุนทรียภาพในเชิงสถาปัตยกรรม ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านสุขภาพ อาทิ สปาเกลือบำบัดด้วยการลอยตัวบนผิวน้ำที่ไม่มีคลอรีน ซึ่งเป็นมาตรฐานในการใช้ชีวิตที่หรูหรา และทันสมัย TAIT 12 ตั้งอยู่ในซอยสาทร 12 ใกล้ BTS สถานีช่องนนทรี ได้แรงบันดาลใจจากชีวิตของคนกรุงเทพฯ และนำมาพัฒนาให้เข้ากับโครงการได้อย่างแยบยล โปรเจ็คได้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความมีชีวิตชีวา และการพักอาศัยของคนกรุงเทพฯที่มีความคล่องแคล่วว่องไว ด้วยทัศนียภาพที่สวยงามของกรุงเทพฯ โครงการเทตต์ ทเวลฟ์ ได้มอบพื้นที่ส่วนกลางกว่า 1,500 ตารางเมตร, ห้องออกกำลังกาย, เลานจ์อัฒจันทร์, พื้นที่อเนกประสงค์, สระว่ายน้ำในร่ม ส่วนเส้นโค้งมนของสถาปัตยกรรม ที่ถูกออกแบบควบคู่ไปกับแผงกระจกขนาดใหญ่ ได้ผสมผสานความทันสมัยให้เข้ากับความงดงามของเมือง รวมทั้งพื้นที่ใช้สอยที่ออกแบบให้เปิดกว้าง และเพื่อประโยชน์ใช้สอยต่างๆ คุณเอเดรียน ลี เสริมว่า “ทั้ง 2 โครงการ ตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง และมีคุณภาพ อีกทั้งได้ 2 บริษัทที่มีแบรนด์ที่แข็งแรงในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่ละโปรเจ็คนำเสนอไอเดีย และกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน เราเชื่อว่าทั้ง 2 โครงการนี้เป็นตัวแทนที่ดีที่สุด ไม่เพียงแต่ในด้านมูลค่าเท่านั้น แต่ยังมีการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ดี และทำเลที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน ผมมั่นใจว่าโครงการจะมอบผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่หุ้นส่วนอีกด้วย”   The Estelle Phrom Phong พร้อมเปิด Pre-Sales วันที่ 28 ตุลาคมนี้ ที่โรงแรมฮิลตัน สุขุมวิท 24 และ TAIT 12 เปิดจองในวันที่ 3-4 พฤศจิกายนนี้ ที่เซลล์แกลอรี่โครงการ The Lofts Silom ซอยประมวญ ถนนสีลม ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ raimonland.com หรือ โทร 02-029-1888
‘เอพี ไทยแลนด์’ จัดแคมเปญ “21 Destiny” เดินเกมรุกบุกตลาดแนวราบไตรมาส 4 เปิดจองทาวน์โฮมใหม่ 21 ทำเลพร้อมกัน พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษแรงเกินห้ามใจ

‘เอพี ไทยแลนด์’ จัดแคมเปญ “21 Destiny” เดินเกมรุกบุกตลาดแนวราบไตรมาส 4 เปิดจองทาวน์โฮมใหม่ 21 ทำเลพร้อมกัน พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษแรงเกินห้ามใจ

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง สานต่อความสำเร็จครั้งใหญ่จากยอดขายรวมแนวราบเครือเอพี โชว์ตัวเลขยอดขายแนวราบ 9 เดือน พุ่งแตะ 15,620 ล้านบาท โตกว่า 34%  ล่าสุด จัดแคมเปญใหญ่กระตุ้นตลาดทาวน์โฮมพร้อมอยู่ไตรมาส 4 อีกครั้ง ยกทัพทาวน์โฮมเครือเอพีแบรนด์ ‘บ้านกลางเมือง’ และ ‘พลีโน’ 21 โครงการใหม่ ชูไฮไลท์ ‘นวัตกรรมดีไซน์ และ สเปซฟังก์ชั่น’ การดีไซน์พื้นที่รองรับและตอบโจทย์การขยับขยายของครอบครัวเมืองในอนาคต เปิดจองครั้งแรกในราคาพรีเซล พิเศษส่วนลดสูงสุด 21 เท่า ราคาเริ่มต้น 1.99-9 ล้านบาท พร้อมจับมือพันธมิตรธุรกิจ ‘ธนาคารกสิกรไทย’ มอบข้อเสนอพิเศษทางการเงินที่ดีที่สุดแห่งปี-ดอกเบี้ยพิเศษ นาน 2 ปี และลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 100,000 บาท รวมทั้งสิทธิพิเศษอื่นๆ มากมาย สำหรับลูกค้าทาวน์โฮมเอพีที่จองซื้อในช่วงเวลาแคมเปญ 21 Destiny ระหว่างวันที่ 27-28 ตุลาคมนี้เท่านั้น ณ เซลล์ แกลเลอรี่ ‘บ้านกลางเมือง’ และ ‘พลีโน่’ รวม 21 โครงการใจกลางเมืองทั่วกรุงเทพฯ นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจแนวราบ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนจบปี ความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่พร้อมอยู่ของครอบครัวเมืองมีอยู่มาก โดยเฉพาะตลาดทาวน์โฮมระดับกลางบนถึงไฮเอนด์ ทำเลใจกลางเมืองเครือเอพีที่ยังคงได้รับความสนใจและการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เพื่อเป็นการมุ่งสานต่อเป้าหมายในการรักษาความเป็นผู้นำตลาดทาวน์โฮมระดับกลางบนในเมือง เอพีจึงยกระดับการรุกตลาดมากขึ้น โดยคิดค้นและนำเสนอสินค้าทาวน์โฮมที่แตกต่าง ทั้งในเรื่องของโมเดลบ้านและจำนวนโครงการที่ครอบคลุมในทุกทำเลใจกลางและรอบกรุงเทพฯ เพื่อให้ทาวน์โฮมในเครือเอพีภายใต้แบรนด์ 'บ้านกลางเมือง' และ 'พลีโน่' เป็นคำตอบที่ดีที่สุดในทุกโจทย์ความต้องการของลูกค้า ทั้งในเรื่องของโลเคชั่น คุณภาพของทาวน์โฮม สังคม นวัตกรรมดีไซน์และฟังก์ชั่นการใช้งานของพื้นที่ รวมถึงการให้บริการหลังการขาย”   “สำหรับแคมเปญ 21 Destiny วางเป้าหมายสำหรับลูกค้าครอบครัวเมืองที่มองหาทาวน์โฮมใหม่พร้อมอยู่ ทั้งในทำเลใจกลางเมืองและรอบกรุงเทพฯ โดยเราได้รวบรวมทาวน์โฮมเครือเอพี 21 โครงการใหม่ แบรนด์ ‘บ้านกลางเมือง-ไฮเอนด์ทาวน์โฮม 3 ชั้น’ (9 โครงการ) และ ‘พลีโน่-พรีเมียมทาวน์โฮม 2 ชั้น’ (12 โครงการ) มาพร้อมคลับเฮ้าส์หรูบนที่สุดของทำเลศักยภาพ เชื่อมต่อรถไฟฟ้า ติดถนนใหญ่ และใกล้ทางด่วน ที่จะสามารถเติมเต็มรูปแบบชีวิตในฝันของคนเมือง นอกจากนี้ เอพียังคงเดินหน้าในการเป็นผู้นำตลาดที่ไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนาต่อยอดและนำเสนอความต่างในการพัฒนาทาวน์โฮมของเอพี กับทาวน์โฮมโมเดลใหม่ ทั้งในมิติของ ‘นวัตกรรมดีไซน์’ และ ‘สเปซฟังก์ชั่น’ ที่รองรับการขยับขยายของครอบครัวในอนาคต ให้ความสำคัญเป็นพิเศษในเรื่องของพื้นที่ที่กว้างขวาง สามารถปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับการใช้งานตามความต้องการอย่างคุ้มค่า รวมถึงสังคมรอบข้างที่ดีที่สามารถเกิดขึ้นจากพื้นที่ส่วนกลางของโครงการที่พัฒนามาอย่างครบครันและสร้างสรรค์ ซึ่งจะช่วยบ่มเพาะทักษะการเรียนรู้ และมนุษยสัมพันธ์ของสมาชิกตัวน้อยในครอบครัวได้เป็นอย่างดี” นายภมร กล่าวเสริม “นอกจากจะพัฒนาพื้นที่ให้รองรับกับความต้องการของครอบครัวขยาย ทาวน์โฮมแบรนด์ ‘บ้านกลางเมือง’ และ ‘พลีโน่’ ของเอพี ยังถูกพัฒนาเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างในแต่ละโลเคชั่น เพราะเราเข้าใจถึงความต้องการของผู้อยู่อาศัยที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน เราจึงตั้งใจพัฒนาสเปซฟังก์ชั่นให้ตรงกับความต้องการเพื่อให้พื้นที่ทุกตารางนิ้วในทาวน์โฮมเครือเอพีสามารถรองรับการใช้งานได้อย่างลงตัว และเข้ากับรูปแบบการใช้ชีวิตได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นคู่รักที่กำลังเริ่มต้นชีวิตคู่ด้วยกัน ผู้ที่รักความสงบและความเป็นส่วนตัว และผู้ที่มองหาทำเลคุณภาพเพื่อการเดินทางที่สะดวกสบาย และเพื่อความสำเร็จของธุรกิจในอนาคต” นายภมร กล่าวสรุป   พลาดไม่ได้กับแคมเปญสุดยิ่งใหญ่แห่งปี “บ้านกลางเมือง-พลีโน่ 21 Destiny” เปิดจองทาวน์โฮมใหม่ 21 ทำเลพร้อมกัน ทั่วกรุงเทพฯ กับข้อเสนอพิเศษสุด คัดเฉพาะแปลงสวย พบราคาพรีเซล พร้อมส่วนลดสูงสุด 21 เท่า ลงทะเบียนรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 100,000 บาท และดอกเบี้ยพิเศษ นาน 2 ปี จากธนาคารกสิกรไทย สำหรับผู้ที่ยื่นขอกู้สินเชื่อบ้านกสิกรไทยตั้งแต่วันนี้และจดจำนองภายใน 28 ธันวาคม 2561 เท่านั้น และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย เฉพาะลูกค้าที่จองซื้อในวันที่ 27-28 ตุลาคมนี้ ณ เซลล์ แกลเลอรี่ ‘บ้านกลางเมือง’ และ ‘พลีโน่’ รวม 21 โครงการทั่วกรุงเทพฯ ราคาเริ่มต้น 1.99-9 ล้านบาท   โครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ ’21 Destiny’ คัดสรรทาวน์โฮมบนสุดยอดทำเลที่ดีที่สุดทั่วกรุงเทพฯ จำนวน 21 โครงการ ประกอบด้วย บ้านกลางเมือง ไฮเอนด์ทาวน์โฮม 3 ชั้น รวม 9 ทำเลไฮไลท์ ได้แก่ 1) บ้านกลางเมือง วัชรพล 2) บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์ 3) บ้านกลางเมือง ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ 4) บ้านกลางเมือง THE ERA ปิ่นเกล้า-จรัญฯ 5) บ้านกลางเมือง THE EDITION บางนา-วงแหวน 6) บ้านกลางเมือง THE EDITION บางนา-วงแหวน (Business District) 7) บ้านกลางเมือง THE EDITION พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา 8) บ้านกลางเมือง พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา และ 9) บ้านกลางเมือง THE EDITION พระราม 9-พัฒนาการ พลีโน่ พรีเมียมทาวน์โฮม 2 ชั้น รวม 12 ทำเลไฮไลท์ ได้แก่ 1) พลีโน่ พหลโยธิน-วัชรพล 2 2) พลีโน่ รังสิตคลอง 4-วงแหวน 3) พลีโน่ รามอินทรา 4) พลีโน่  ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ 2 5) พลีโน่ ชัยพฤกษ์ 6) พลีโน่ เวสต์เกต 7) พลีโน่ ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ 8) พลีโน่ ปิ่นเกล้า-จรัญฯ 9) พลีโน่ บางนา-อ่อนนุช 10) พลีโน่ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา 11) พลีโน่ สุขสวัสดิ์ 70 และ 12) แกรนด์ พลีโน่ สุขสวัสดิ์-พระราม3    “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง”
อนันดาฯ เปิดตัว “ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์” ชูจุดเด่นย่านบางนา ทำเลที่น่าลงทุนที่สุด!! ใกล้รถไฟฟ้าสถานีบางนา เพียง 250 ม. มูลค่าโครงการ 5,600 ล้านบาท

อนันดาฯ เปิดตัว “ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์” ชูจุดเด่นย่านบางนา ทำเลที่น่าลงทุนที่สุด!! ใกล้รถไฟฟ้าสถานีบางนา เพียง 250 ม. มูลค่าโครงการ 5,600 ล้านบาท

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าและผู้นำนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ตอบรับไลฟ์สไตล์คนเมืองได้อย่างลงตัวที่สุด เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์ (IDEO Mobi Sukhumvit Eastpoint) คอนโดมิเนียมบนทำเลศักยภาพ ย่านบางนา ทำเลที่เติบโตแบบก้าวกระโดดมากที่สุด  ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีบางนา เพียง 250 เมตร ตอบโจทย์การเดินทางของคนเมืองได้อย่างลงตัว ล่าสุดเตรียมจัดงาน AMC Pre-Sales Day สำหรับลูกค้า Ananda Member Club ในวันที่ 27 ต.ค. นี้ และ งาน Pre – Sales สำหรับลูกค้าทั่วไป ในวันที่ 3 - 4 พ.ย. นี้ นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวล  ลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าของไทย เปิดเผยว่า เมื่อวิเคราะห์จากความเจริญของเมืองในฝั่งสุขุมวิทตอนปลายแล้ว หลังจากมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง ผู้พัฒนาโครงการจึงเห็นโอกาสการเติบโตของเมือง เข้ามาจับจองพื้นที่พัฒนาโครงการออกไปตามถนนสุขุมวิทและตามแนวรถไฟฟ้าบีทีเอสมากขึ้น เกิดเป็นความเจริญแบบก้าวกระโดด โดยมีทั้งห้างสรรพสินค้าคอมมูนิตี้มอลล์ และที่สำคัญ คือ ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม และในอนาคตจะมีการพัฒนาโครงการ Mixed-use ขนาดใหญ่เป็นแม่เหล็กที่จะสามารถดึงดูดผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยในทำเลดังกล่าว เช่น Mega City , Bangkok Mall, Whizdom 101, Forestias และศูนย์นิทรรศการ Bitec เฟส 2 รวมถึงมีแผนพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ซึ่งเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงหัวหมาก-สำโรง ที่สถานีสำโรงด้วย ทำให้ อนันดาฯ เล็งเห็นถึงความต้องการที่อยู่อาศัยในย่านนี้ ล่าสุดเตรียมเปิดตัวโครงการ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์ (IDEO Mobi Sukhumvit Eastpoint) มูลค่าโครงการ 5,600 ล้าน ในราคาเริ่มต้น 2.98 ล้านบาท โดยยังคงเน้นทำเลที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งจะเป็นทำเลที่มีระบบขนส่งคมนาคมสะดวกในการเดินทาง ใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์ และสถานที่สำคัญรายล้อม ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน   “ทำเลบางนาเป็นอีกทำเลที่มีแนวโน้มการพัฒนาในหลายด้านทั้งคมนาคม และโครงการอสังหาริมทรัพย์ ผลักดันให้ราคาคอนโดมิเนียมขยับสูงขึ้น แต่ก็ไม่สูงเทียบเท่ากับคอนโดกลางเมือง คอนโดทำเลบางนาบริเวณโดยรอบรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง จึงเป็นอีกทางเลือกของคนที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้เมือง เดินทางสะดวก ในราคาที่จับจองเป็นเจ้าของได้ พร้อมโอกาสทางด้านการลงทุนระยะยาวในอนาคต ” นายชานนท์ กล่าว โครงการ ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์ (IDEO Mobi Sukhumvit Eastpoint) เป็นคอนโดมิเนียมรูปแบบ High Rise สูง 32 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 1,165 ยูนิต ตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีบางนา เพียง 250 เมตร เชื่อมสู่แหล่งธุรกิจอย่างอโศก และสยาม พาคุณไปสู่จุดมุ่งหมายให้ง่ายขึ้นยิ่งกว่า ใกล้ทางพิเศษบูรพาวิถี ทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษกาญจนาภิเษก ตอบรับการใช้ชีวิตที่เหนือกว่าบนทำเลศักยภาพสูง พร้อมพาคุณไปสู่จุดมุ่งหมายให้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังตอบโจทย์ความต้องการในด้านการอยู่อาศัย ด้วยรูปแบบห้องที่มีให้เลือกสรรถึง 4 รูปแบบ คือ 1. แบบ Studio พื้นที่ใช้สอยขนาด 26 ตร.ม. 2. แบบ 1 Bedroom ขนาด 36 ตร.ม. และ 3. แบบ  2 Bedroom ขนาด 56 ตร.ม. 4. แบบ Duplex ขนาด 50 ตร.ม. อีกทั้งยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำ, ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์, Social Club, พื้นที่พักผ่อนบนดาดฟ้า, สวนส่วนกลาง, Panoramic Lounge, ห้องซักรีด*, ที่จอดรถยนต์, CCTV ใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์ และสถานที่สำคัญ รวมทั้งห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เช่น ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลพลาซ่า บางนา, ไบเทค บางนา, เมกะ บางนา และโครงการในอนาคตอย่าง แบงค็อกมอลล์ อีกทั้งยังใกล้โรงพยาบาลชั้นนำ อาทิ โรงพยาบาลไทยนครินทร์, โรงพยาบาลศิครินทร์, โรงพยาบาลจุฬาเวช, โรงพยาบาลกล้วยนำไทย 2 และสำโรงการแพทย์  รวมไปถึง สถานศึกษานานาชาติ อาทิ โรงเรียนเซนต์แอนดรูว์ส, โรงเรียนเบิร์กลีย์, โรงเรียนบางกอกพัฒนา ฯลฯ   ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์ นิยามใหม่ของการอยู่อาศัยที่ขยายขอบเขตให้พื้นที่และเวลาของคุณพร้อมด้วยแนวคิดการอยู่อาศัยแห่งอนาคต IDEO MOBI FUTURE – NATURE ที่สอดแทรกองค์ประกอบธรรมชาติและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ทั้งดีไซน์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆเพื่อขยายมิติแห่งการอยู่อาศัยของคุณให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ด้วยการออกแบบจาก Top 3 Designers ชื่อดังของประเทศไทย สถาปัตยกรรมจาก ATOM Design, การตกแต่งภายในจาก That’s ITH และการตกแต่งพื้นที่โดยรอบจาก Redland Scape     ล่าสุด เตรียมจัดงาน AMC Pre-Sales Day สำหรับลูกค้า Ananda Member Club ในวันที่ 27 ต.ค. 61 ตั้งแต่เวลา 09.00 – 18.00 น รับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท* ลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลด On Top อีก 50,000 บาท และ ฟรี! iPhone Xs*  สำหรับลูกค้าทั่วไปพบกันที่งาน Pre-Sales ในวันที่ 3 - 4 พ.ย. 61 รับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท* ลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลด On Top อีก 30,000 บาท และ ฟรี! iPhone Xs* ที่สำนักงานขายโครงการ ไอดีโอ   โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์  ราคาเริ่มต้น 2.98 ล้านบาท* (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 02-316-2222 หรือ www.ananda.co.th
“วี พร็อพเพอร์ตี้” รุกไตรมาสสุดท้าย ส่ง “เวอร์เทียร์” (Vertier) คอนโดฯ ระดับลักซ์ชัวรี ใจกลางเมือง เพียง 50 เมตร ถึงสถานี BTS พระโขนง

“วี พร็อพเพอร์ตี้” รุกไตรมาสสุดท้าย ส่ง “เวอร์เทียร์” (Vertier) คอนโดฯ ระดับลักซ์ชัวรี ใจกลางเมือง เพียง 50 เมตร ถึงสถานี BTS พระโขนง

บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ย่าน CBD สุขุมวิท ส่งโครงการ “เวอร์เทียร์” (Vertier) คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,800 ล้านบาท ชูจุดขายคอนโดมิเนียมไฮไรซ์คุณภาพ ที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองได้อย่างเต็มที่ ในราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท นายพรชัย เลิศอนันต์โชค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ย่าน CBD สุขุมวิท กล่าวว่า บริษัทฯ ยังคงวางแผนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรีอย่างต่อเนื่องบนทำเลแนวรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทเป็นหลัก ซึ่งให้ความสำคัญในการเป็นคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนเมืองได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ ในไตรมาสสุดท้ายบริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่อย่าง เวอร์เทียร์ (Vertier) ที่มาพร้อมความหรู ล้ำค่า และเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน   “โครงการ เวอร์เทียร์ (Vertier) เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ 31 ชั้น 1 อาคาร และที่จอดรถอัจฉริยะใต้ดิน 6 ชั้น จำนวนรวม 227 ยูนิต บนพื้นที่ 1-0-30 ไร่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,800 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพใจกลางเมือง ติดถนนสุขุมวิท ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีพระโขนง เพียง 50 เมตร ซึ่งสามารถเดินทางเชื่อมต่อกับย่านธุรกิจไม่ว่าจะเป็น โซนเพลินจิต, ชิดลม และสยามได้อย่างสะดวกสบาย  อีกทั้งอยู่ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน 2 สายคือ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร และทางพิเศษฉลองรัช รวมไปถึงยังใกล้กับจุดเชื่อมต่อโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทาในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น สถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า และสถานที่อำนวยความสะดวกแบบครบครัน อาทิ  มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, โรงเรียนนานาชาติเอกมัย, ท้องฟ้าจำลอง, สถานีขนส่งเอกมัย, โรงพยาบาลสุขุมวิท, Summer Hill, ฮาบิโตะ มอลล์ และเกตเวย์ เอกมัย เป็นต้น เวอร์เทียร์ มาพร้อมแนวคิด “Where Rarity Meets Luxury” สื่อแนวคิดของความล้ำค่า และวิสัยทัศน์ของการเลือกใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนใคร สู่จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ในใจกลางมหานคร โดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้งลักษณะที่ดินทรงสามเหลี่ยม ริมถนนสุขุมวิท ซึ่งการออกแบบตัวตึกสะท้อนถึงศิลปะตามหลักทฤษฎี Davinci Triangle Design Composition ทำให้ลักษณะการออกแบบมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ผสมผสานกับแรงบันดาลใจการออกแบบเส้น ฟาซาด (façade) ให้เป็นเส้นตรง และเอียงรับกับรูปร่างของที่ดิน ซึ่งสื่อถึงความทันสมัย   และโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร รายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวอย่าง Embraced By The Green, Tree House &  Play Court และ Green Gateway ตรงซุ้มประตูทางเข้าได้อย่างลงตัว มาพร้อมอุปกรณ์ในห้องที่ครบครันระดับ world class เช่น ชุดเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวออกแบบโดยดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศส Philippe Starck ภายในห้องถูกออกแบบโดยชูจุด zero waste และ impressive view in every units ห้องชุดมีขนาดต่าง ๆ ได้แก่ ห้อง 1 Bedroom ขนาด 28 – 42 ตร.ม. ห้อง 2 Bedroom ขนาด 48 - 52 ตร.ม. และห้อง 3 Bedroom ขนาด 86 ตร.ม. “เพื่อตอบโจทย์แนวคิด “Where Rarity Meets Luxury” เรายังเน้นสิ่งอำนวยความสะดวกในระดับพรีเมี่ยมไม่ว่าจะเป็น โถง Entrance Hall  ที่คัดสรรหินอ่อนจากหลายแหล่ง เพื่อนำมาตกแต่งเพื่อสะท้อนถึงรสนิยม  และไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย  Atelier Lobby Lounge และ Business Meeting Lounge ห้องรับรองแขกที่ใช้วัสดุตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์และมีสไตล์โดดเด่นแสดงถึงความมั่งคั่ง Sky Aquarium Pool สระว่ายน้ำหินอ่อนสีขาว เติมเต็มสุนทรียะในการพักผ่อนแสนร่มรื่น Crystal Fitness พื้นที่ออกกำลังกาย ที่สามารถชมวิวทิวทัศน์ไปพร้อมกัน Vertical Oasis & Pinnacle Pavilion โอเอซิสส่วนตัวใจกลางเมืองในบรรยากาศร่มรื่น เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจ นอกจากนี้ตัวโครงการยังออกแบบด้วย Single Loaded Corridor โดยทุกยูนิต จะไม่มีห้องฝั่งตรงข้ามให้แออัดสายตาทำให้รู้สึกโปร่งโล่ง และมีความส่วนตัวมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้พักอาศัยด้วยระบบรักษาความปลอดภัยไม่ว่าจะเป็น Digital Door Lock ที่เพิ่มความปลอดภัยสูงสุดให้เจ้าของห้องพักในแต่ละชั้น กล้องวงจรปิด และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชั่วโมง” นายพรชัย กล่าว ทั้งนี้ โครงการเวอร์เทียร์ (Vertier) จะเปิดให้จองเป็นครั้งแรก (VVIP Day) ในวันที่ 3-4 พฤศจิกายนศกนี้ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 18.00 น. ณ VERTIER Sales Gallery ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าชมห้องตัวอย่างและรับส่วนลด Online Discount Privilege มูลค่าสูงสุด 200,000 บาท ได้ที่ www.vertierbangkok.com สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ โทร. 0 2204 7900 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/VPropertyDevelopmentTH/
ปักหมุด “โดว์เช่ ลาซาล” คอนโด Low Rise ใกล้ BTS แบริ่ง คอนโดสวย ทำเลเด่น ราคาดี ตอบโจทย์คนยุคปัจจุบันยันอนาคต

ปักหมุด “โดว์เช่ ลาซาล” คอนโด Low Rise ใกล้ BTS แบริ่ง คอนโดสวย ทำเลเด่น ราคาดี ตอบโจทย์คนยุคปัจจุบันยันอนาคต

โดว์เช่ ลาซาล (DOLCE LASALLE) บูทีคคอนโดมิเนียม บนทำเลเด่นใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีแบริ่งตอบโจทย์คนวัยทำงานที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย ที่ให้ความสะดวกสบายจากปัจจุบันไปยันอนาคตในราคาที่จับต้องได้ และอัดแน่นไปด้วยคุณภาพคับเพดาน ทั้งการออกแบบที่ลงดีเทลลึกตั้งแต่ ตัวอาคาร ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ไปจนถึงล็อบบี้ และ Facilities ต่างๆ ไม่ว่าจะเดิน จะนั่ง ตรงไหนก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย สบายตัว และยังสบายตา เน้นย้ำ European Style ที่นับเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์โดว์เช่ (DOLCE) ซึ่งครั้งนี้ โดว์เช่ ลาซาล (DOLCE LASALLE)ยังได้เพิ่มกลิ่นอายสถาปัตยกรรมแบบ French Classical เพื่อให้สอดคล้องกับสถานที่ตั้งซอยลาซาลอีกด้วย ในรูปแบบคอนโด Low Rise ความสูง 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร บนพื้นที่ทั้งหมด 568 ตารางวา (2,272 ตารางเมตร) และจำกัดความเป็นส่วนตัวสูงสุดเพียง 178 ยูนิตเท่านั้น ทำเลที่ตั้งซอยลาซาลนับว่าเป็นหัวใจสำคัญที่ บริษัท สิรยศ จำกัด พิถีพิถันเลือกเป็นพิเศษ เพื่อตอบโจทย์ผู้พักอาศัยให้อยู่สะดวกสบายจากปัจจุบันไปยันอนาคต เพราะห่างจากสถานีแบริ่งเพียง 700 เมตรเท่านั้น นอกจากนี้ในอนาคตอันใกล้ กำลังจะเกิดโครงการบางกอก อารีน่า ขึ้น ซึ่งนับเป็นเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์แห่งใหม่ที่หลายคนรอคอย ทั้งในส่วนของไบเทคเอง หรือเซ็นทรัล บางนา ที่กำลังปรับปรุงใหม่ใหญ่มากๆ อีกทั้งยังใกล้โรงเรียนนานาชาติชั้นนำและโรงพยาบาลเอกชน และในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้ารถไฟฟ้ากำลังจะขยายไปถึงสมุทรปราการ เรียกว่าจะเดินทางเข้าเมืองก็ใกล้ อยากออกไปพักผ่อนนอกเมืองก็ไม่ไกล ถือเป็นทำเลที่ดีในปัจจุบันและอนาคตแน่นอน การออกแบบโครงการ โดว์เช่ ลาซาล (DOLCE LASALLE) เป็นการต่อยอดมาจาก “โดว์เช่ อุดมสุข” ที่เน้นในเรื่องคุณภาพวัสดุ และคุณภาพชีวิตผู้พักอาศัยในคอนโดให้มีความสุข และสามารถอยู่ได้จริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งนับเป็นโครงการเดียวที่ได้รับรางวัลการันตีถึง 2 รางวัลจาก PEAT AWARDS 2018 (Property Export Awards Thailand 2018 by NIDA) คือ Best Luxury Low Rise Condominium และ Best Boutique Low Rise Condominium  ซึ่งความแตกต่าง คือ โดว์เช่ อุดมสุข เป็นสไตล์ อิตาเลี่ยน โมเดิร์น แต่สำหรับ โดว์เช่ ลาซาล จะมาในสไตล์ของสถาปัตยกรรม Modern French เข้ามาผสม เพื่อให้เข้ากับชื่อโครงการลาซาล พร้อมใส่รายละเอียดของหลายๆ ส่วนให้โมเดิร์นมากขึ้น ด้วยวัสดุคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น อาทิ หินธรรมชาติบน top ครัว หรือ top ในห้องน้ำ ฯลฯ ความโดดเด่นของตัวอาคารที่นอกจากจะให้ความรู้สึก Mood & Tone อบอุ่น น่าอยู่ด้วยแล้ว การวางผังอาคาร เป็นรูปตัวยู (U) บนพื้นที่โครงการ ซึ่งมองจากหน้าถนนก็จะเห็นว่าตัวอาคารมีความสง่างาม แต่จุดเด่นเบื้องลึกเบื้องหลังจริงๆ คือ ต้องการให้เกิดความลงตัวในส่วนของ Facilities เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งในเรื่องความเป็นส่วนตัวที่ไม่มีใครมองเห็นได้จากภายนอก ขณะเดียวกันเมื่ออยู่ภายในยังให้ความรู้สึกโอ่โถง มีความ  ผ่อนคลายได้อย่างแท้จริง ทั้งนี้การวางผังเป็น Shape ตัวยู (U) ห้องที่อยู่ทางทิศตะวันตกจะเป็นห้องที่มองเห็นวิวสวยที่สุดในโครงการ ซึ่งจะมองเห็นทั้งสระว่ายน้ำและสวน โดยโครงการฯ ได้ยกระดับสวนชั้น 1 ขึ้นมาอีกระดับ เพื่อให้เชื่อมต่อกับ Facilities ระหว่างชั้น 1 กับชั้น 2 ให้ดูใหญ่และสวยงามขึ้น พื้นที่ใช้สอยภายในห้องพักต้องใช้งานได้ 100% โจทย์ของงานดีไซน์จึงต้องใช้ตำแหน่งเสา ขนาดเสา เรื่องของการวางห้องน้ำ ระยะของเสาที่วางเฟอร์นิเจอร์ได้ สามารถตกแต่งให้สวยงามและใช้เป็นฟังก์ชั่นได้ทั้งหมด ทั้งเฟอร์นิเจอร์ Built-in ที่ดูสวยงามและจุได้เยอะ เพื่อประหยัดพื้นที่ ให้การใช้สอยพื้นที่ในทุกตางรางนิ้วเกิดประโยชน์สูงสุด การดีไซน์ฝ้าเพดานทุกห้องที่สูง 2.5 เมตร ซึ่งห้องตัวอย่างถูกจำลองมาจากไซส์จริง ไม่มีการลดขนาดตู้เพื่อให้ห้องกว้างขึ้น เพดานเท่าของจริง เพื่อให้ลูกค้าได้เห็นภาพจริง หรือถ้าชื่นชอบสไตล์การตกแต่งห้องเหมือนห้องตัวอย่าง ก็สามารถนำไปตกแต่งได้เองจริงๆ การให้ความสำคัญกับรายละเอียดเหล่านี้ นับเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของโครงการฯ ขนาดห้องของโครงการฯ มี 3 ขนาด ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 75,000 บาท/ตารางเมตร เพื่อตอบสนองทุกๆ ความต้องการของลูกค้า ซึ่งรองรับได้ทั้งกลุ่มคนโสด และกลุ่มที่กำลังสร้างครอบครัวโดยแบ่งเป็น แบบสตูดิโอ (Studio) ขนาดพื้นที่ 24.6 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท เหมาะสำหรับ คนโสด หรือคนวัยทำงานที่รักความสงบ บนพื้นที่ใช้สอยของห้องที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กจนเกินไป แต่ตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสบายครบครัน แบบ 1 Bedroom ขนาดพื้นที่ 30.4 ตารางเมตร จำนวน 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ราคาเริ่มต้น 2.2 ล้านบาท เหมาะสำหรับคนที่กำลังขยับขยายครอบครัว เริ่มใช้ชีวิตหลังแต่งงาน หรือคนโสดขี้เหงา อยากพาเพื่อนมาแฮงค์เอ้าท์ปาร์ตี้ที่ห้องก็สะดวก พร้อมมุมผ่อนคลาย วิวสวยสบายอารมณ์ แบบ 2 Bedrooms ขนาดพื้นที่ 45.4 ตารางเมตร จำนวน 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ราคาเริ่มต้น 3.4 ล้านบาท ห้องขนาดใหญ่สุดของโครงการ เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็ก มีพื้นที่ส่วนกลางเพื่อใช้เป็นห้องนั่งเล่น หรือทำกิจกรรมร่วมกันในวันหยุด อาทิ ทำกับข้าว ดูหนัง ฟังเพลง ฯลฯ รวมถึงมุมวิวสวยที่วันไหนอยากจะฉีกไปปล่อยอารมณ์ชิลล์ๆ ลำพังก็ยังได้ Facilities คือจุดขายที่โดดเด่นของโครงการนี้ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ส่วนกลางได้อย่าง มีความสุขในทุกๆ วัน ไม่ว่าจะเป็น Lobby & Library เปลี่ยนบรรยากาศมาพักผ่อนหย่อนใจไปกับหนังสือเล่มโปรดในห้องล็อบบี้ที่ดีไซน์ความลักซัวรี่ โดดเด่นไม่แพ้ห้องอื่นๆ สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ 20 เมตร Workplace พื้นที่สำหรับการสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ ของคนทำงาน Fitness เอาใจคนรักสุขภาพด้วยอุปกรณ์ออกกำลังกายได้มาตรฐานที่ครบครัน นอกจากนี้ยังมีในส่วนของ Game Room, Garden, Fiber Optic System, ลิฟต์ 2 ตัว, ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม., ระบบกล้องวงจรปิด CCTV, ระบบคีย์การ์ด, Laundry และ ที่จอดรถ 50% (ประมาณ 69 คัน) โดว์เช่ ลาซาล (DOLCE LASALLE) บูทีคคอนโดมิเนียม เปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้นที่ 1.69 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเพียง 75,000 บาทต่อตารางเมตร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบโจทย์คนวัยทำงานที่มองหาที่อยู่อาศัยที่สามารถให้คำตอบในชีวิตได้ทั้งปัจจุบันและอนาคตอย่างแท้จริง ซึ่งโครงการฯ จะเปิดพรีเซล ณ สำนักงานขาย โดว์เช่ ลาซาล ในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ เริ่มก่อสร้างปลายปี 2561 นี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2563 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dolcecondo.com  หรือ โทร.0-2117-3463-4  
“เดอะ เชดด์ สาทร 1” คอนโดมิเนียมที่ออกแบบเพื่อธรรมชาติของทุกชีวิตใจกลาง CBD ย่านสาทร – พระราม 4

“เดอะ เชดด์ สาทร 1” คอนโดมิเนียมที่ออกแบบเพื่อธรรมชาติของทุกชีวิตใจกลาง CBD ย่านสาทร – พระราม 4

บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด หรือ SATHAPORN ESTATE แนะนำโครงการ “เดอะ เชดด์ สาทร 1” (The SHADE Sathon 1) หนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพ ทั้งโครงการบ้านและทาวน์โฮม ในทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี รุกตลาดคอนโดมิเนียมโครงการแรก หลังจากที่ บริษัทฯ ได้ขยายธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบเพื่อรุกตลาดในแนวสูง ที่มาพร้อมจุดเด่นในด้านคุณภาพและการให้บริการเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการออกแบบและพัฒนาโครงการให้ทันสมัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ โดยโครงการ “เดอะ เชดด์ สาทร 1” ถูกสร้างสรรค์ภายใต้แนวคิด “Shades The One You Love” คอนโดที่จะให้ร่มเงาและมีเวลาให้กับคนที่คุณรักได้  มากขึ้น สื่อถึงความโดดเด่นโครงการ ทั้งทำเลที่ตั้งบนถนนสาทร ซอย 1 ใจกลางเมืองย่านสาทร-พระราม 4 ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพ เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ หรือ Real CBD ของกรุงเทพฯ ตัวโครงการอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีลุมพินี เพียง 1.3 กิโลเมตร ในขณะที่การเดินทางบนท้องถนนก็สะดวกสบาย สามารถเชื่อมการเดินทางด้วยถนนหลากหลายสาย ทั้งถนนสาธรใต้ ถนนจันทน์ ถนนอโศก-ดินแดง ถนนพระราม 3 ถนนพระราม 4 และถนนนางลิ้นจี่ ใกล้กับทางพิเศษเฉลิมมหานคร มีสถานที่สำคัญรายล้อม ทั้งสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล นอกจากนี้ยังเป็นพื้นที่แห่งความผ่อนคลาย ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติที่แสนร่มรื่น เนื่องจากอยู่ใกล้สวนลุมพินี พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ทำให้ปัจจัยด้านการใช้ชีวิตของผู้ที่อยู่อาศัยในทำเลสาทรนั้นครอบคลุมหมดทุกมิติ พร้อมกันนั้น ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบโครงการฯ เพื่อธรรมชาติของทุกชีวิต ในทุกๆ รายละเอียด เริ่มตั้งแต่การวางผังอาคารโดยคำนวณในเรื่องทิศทางของลมและแสงแดด ทำให้สามารถช่วยลดอุณหภูมิภายในอาคารและห้องพักให้มีความเย็นสบาย พร้อมกับ Panoramic Unblock View  สามารถรับชมวิวได้โดยไม่มีสิ่งใดมาบดบัง ได้ทุกห้อง รวมถึงการระบายอากาศ Air Ventilation Design ที่โดดเด่นด้วยการคำนวนทิศทางแดด และลม รวมถึงการวางผัง แบบเหนือ - ใต้ ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกโปร่งโล่ง สบาย อีกทั้งยังได้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย Smart Home Automation โดยร่วมออกแบบกับบริษัท Panasonic ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมเครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ และแสงสว่างภายในห้องที่สามารถสั่งการผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือได้อย่างง่ายดาย พร้อมกันนั้น ยังได้ออกแบบ Behavioral Mode ที่นำผลการวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคมาออกแบบ เพื่อให้ได้ฟังก์ชั่นที่สอดคล้องกับการใช้งานจริง คือ Welcome Mode /Bye Mode/Morning Mode / และ Good Night Mode ในด้านพื้นที่ส่วนกลางของโครงการฯ ถูกแบ่งการใช้งานออกเป็น 3 ฟังก์ชั่น ได้แก่ 1.Romantic พักผ่อนท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติกด้วย Sunset Garden สวนสวยบนดาดฟ้าที่พาคุณทิ้งความเหนื่อยล้า สู่ช่วงเวลาแห่งการชาร์จพลัง Moonlight Pool สระว่ายน้ำท่ามกลางแสงจันทร์ 2.Energetic เติมพลังให้มีชีวิตชีวาสำหรับวันใหม่พร้อมกับคนที่คุณรักด้วย Panoramic Fitness เพลิดเพลินและผ่อนคลายกับการออกกำลังกายไปพร้อมกับวิวทิวทัศน์ที่แสนร่มรื่น พร้อมทั้ง Multi–Purpose Room  ห้องอเนกประสงค์เพื่อกิจกรรมสุดพิเศษ 3.Fantastic เพิ่มความสะดวกสบายให้ชีวิตไปพร้อม ๆ กับการรักษาสิ่งแวดล้อม ทั้ง Grand Lobby ล็อบบี้ขนาดใหญ่ที่พร้อมรับรองคุณและคนที่คุณรักด้วยมุมพักผ่อนริมสระท่ามกลางวิวสวนสวย Co-Inspiration Space พื้นที่การทำงานที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจที่ไม่รู้จบ Smart Locker ล็อคเกอร์อัจฉริยะสำหรับคนยุคไอที และ Recycle Vending Machine รักษ์โลกไปกับเครื่องรีไซเคิลขวดพลาสติกที่คิดค้นมาเพื่อการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง ทั้งนี้ โครงการ เดอะ เชดด์ สาทร 1 เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 282 ยูนิต และร้านค้า 4  ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาท พื้นที่โครงการ 2-1-73.4 ไร่ ประกอบด้วยห้องชุดขนาดต่าง ๆ ได้แก่  ห้อง 1 Bedroom 1 Bathroom ขนาด 28-46.5 ตร.ม. ห้อง 2 Bedroom 1 Bathroom ขนาด 52 และ 56 ตร.ม. และห้อง 2 Bedroom 2 Bathroom ขนาด 60 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ 3.69 ล้านบาท   ผู้ที่สนใจสามารถรับชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ที่สำนักงานขายโครงการเดอะ เชดด์ สาทร 1 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 087-669-1111 และทางแฟนเพจ www.facebook.com/sathapornestate  
นักธุรกิจไฟแนนซ์ผันตัวสู่ผู้ประกอบการอสังหาฯ นำที่ดินย่านทองหล่อผนึกสิงคโปร์ร่วมทุนผุด”คอนโดฯหรู”991สุขุมวิท ทองหล่อ”

นักธุรกิจไฟแนนซ์ผันตัวสู่ผู้ประกอบการอสังหาฯ นำที่ดินย่านทองหล่อผนึกสิงคโปร์ร่วมทุนผุด”คอนโดฯหรู”991สุขุมวิท ทองหล่อ”

นักธุรกิจไฟแนนซ์ที่ปรึกษาธุรกิจ ผันตัวเป็นผู้ประกอบการอสังหาฯ หลังคว้าที่ดินศักยภาพย่านทองหล่อ ดึงกลุ่มสิงคโปร์ร่วมทุนตั้งบริษัท เรชา เอสเตท จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 400 ล้านบาท ชิมลางพัฒนาโครงการซูเปอร์ลักชัวรี่ ภายใต้แบรนด์ “991 สุขุมวิท ทองหล่อ” ชูจุดขายด้านดีไซน์ –ยื่นEIAผ่านก่อนขายโครงการ สร้างความมั่นใจลูกค้า คาดพร้อมเปิดพรีเซลต้นปี 62   นายสิริอานนท์ ศรีกุเรชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรชา เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากที่จบการศึกษาด้านไฟแนนซ์ มหาวิทยาลัย University of San Francisco และทำงานเป็นที่ปรึกษาการเงินที่ Morgan Stanley สหรัฐอเมริกา จนเมื่อตัดสินใจกลับมาทำงานที่ประเทศไทย บรรดา Big company ที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซ็กเตอร์ ธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์ ล้วนเคยผ่านมือการวิเคราะห์ธุรกิจและการเงินจากตนมาแล้วแทบทั้งสิ้น โดยตลอดระยะเวลาที่คลุกคลีอยู่กับการเป็นที่ปรึกษาการเงิน วิเคราะห์ประเมินโครงการมาประมาณ 20 ปี ทำให้ตกผลึกความคิดได้ชัดเจนว่าการเป็นผู้ประกอบการที่ดี และประสบความสำเร็จได้ในยุคนี้ ต้องเป็นคนที่มีพื้นฐานความรู้ความเข้าใจด้านการเงินที่แข็งแกร่ง จึงจะสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องและต้นทุนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมาตนได้รับการติดต่อให้ไปดูที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งมีความพิเศษตรงที่ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิทติดทางขึ้น-ลงสถานี BTS ทองหล่อ ทั้งยังเป็นฝั่งถนนสุขุมวิทซอยเลขคี่ ด้วยประสบการณ์เชี่ยวชาญ จึงสามารถมองทะลุทำเลศักยภาพที่ติดถนนใหญ่สายหลัก ไม่เข้าซอยและติดสถานีรถไฟฟ้า ทั้งอยู่ในย่านเศรษฐีที่นับวันมูลค่าที่ดินจะเพิ่มสูงขึ้นมาก จึงตัดสินใจลงทุนซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวไว้เพื่อเตรียมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตทันที   โดยในเบื้องต้นแนวทางการพัฒนาที่ดินแปลงดังกล่าวมี 2 ทางเลือกคือ โรงแรมหรูโดยใช้เชนบริหาร และคอนโดมิเนียม ซึ่งได้ทำการศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านและรอบคอบ เมื่อทำประเมินโครงการโดยละเอียดแล้ว มีความมั่นใจว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเหมาะกับการพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมหรูระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี มากกว่า เพราะสามารถสร้าง Value ได้อย่างพิเศษมากที่สุด สำหรับการพัฒนาที่ดินติดถนนใหญ่ที่หาได้ยากยิ่งในย่านสุขุมวิท ทองหล่อ     ดังนั้นจึงได้ดึงนักลงทุนจากสิงคโปร์เข้ามาร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการ และตั้งบริษัท เรชา เอสเตท จำกัด ขึ้นมาด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 400 ล้านบาท พัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์“ 991 สุขุมวิท ทองหล่อ” โดยตั้งเป้าหมายให้ เรชา เอสเตทฯ เดินหน้าเป็น Listed Company ไม่เกิน 5 ปีนับจากนี้ ซึ่งธุรกิจจะเติบโตในแบบ Responsible Growth นั่นหมายถึง “ 991 สุขุมวิท ทองหล่อ” จะเป็นโปรเจกต์ นำธงสร้างชื่อและความน่าเชื่อถือแก่ลูกค้าเป้าหมายและบรรดานักพัฒนาอสังหาฯ รวมถึงกลุ่มนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และยังมีการพัฒนาโครงการระดับไฮเอนด์อีกหลายรูปแบบทั้งแนวราบ แนวสูงและโรงแรม   “เราได้คัดสรร “เบอร์หนึ่ง” ของวงการมาร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็นงานสถาปัตยกรรม งานวิศวกรรมการก่อสร้าง งานออกแบบตกแต่ง และงานตลาด-การขาย โดยการดำเนินการจะยึดหลักความถูกต้องที่ต้องมาเป็นอันดับแรก ทำงานด้วยความซื่อสัตย์ โปร่งใส ตรวจสอบได้และตรงไปตรงมา ให้อิสระในการคิดและนำเสนอไอเดียของทีม เพื่อให้มืออาชีพเหล่านั้นได้แสดงศักยภาพและผลงานของตนเองได้อย่างเต็มที่ วิธีการทำงานเช่นนี้จะทำให้เกิดผลลัพธ์ของงานสถาปัตยกรรมอาคารสูง ดีไซน์หรูทันสมัยที่ให้ฟังก์ชันลงตัวสมบูรณ์เหนือชั้นกว่าโครงการซูเปอร์ลักซ์ชัวรีที่เคยมีมา “นายสิริอานนท์ กล่าว     โดยโครงการ “ 991 สุขุมวิท ทองหล่อ” จะเปิดพรีเซลในต้นปี2562 ขณะนี้อยู่ในระหว่างการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งได้ยื่นไปเมื่อต้นปี2561 ที่ผ่านมา คาดว่าจะสามารถสรุปได้ในเดือนตุลาคมนี้ นับเป็นการสร้างอีกหนึ่งมาตรฐานใหม่ของงานพัฒนาโครงการหรูที่สามารถสร้างความมั่นใจให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ตั้งแต่เริ่มต้น และโครงการดังกล่าวจะเป็น Rare Item ในย่านสุขุมวิท ทองหล่อ ที่ใครก็ไม่อยากพลาดเป็นเจ้าของ
BMAM Expo Asia 2018 ปิดฉากด้วยความสำเร็จอีกครั้ง เผยปีหน้ามาในคอนเซ็ปต์ใหม่ รวมที่สุดเเห่งนวัตกรรมด้านอาคาร

BMAM Expo Asia 2018 ปิดฉากด้วยความสำเร็จอีกครั้ง เผยปีหน้ามาในคอนเซ็ปต์ใหม่ รวมที่สุดเเห่งนวัตกรรมด้านอาคาร

ปิดฉากงาน BMAM Expo Asia 2018 (BMAM 2018) งานแสดงสินค้าเเละการประชุมสัมมนาด้านการบำรุงรักษาอาคารและการบริหารจัดการทรัพยากรอาคารแห่งเอเชีย ครั้งที่ 11 กับความสำเร็จตามความคาดหมาย มีผู้ประกอบการเข้าร่วมแสดงสินค้ากว่า 81 บริษัท มีผู้เข้าชมงานกว่า 3,569 ราย จากกว่า 20 ประเทศ กระตุ้นธุรกิจด้าน FM ด้วยยอดนัดหมายเจรจาธุรกิจกว่า 250 นัดหมาย อิมแพ็คเดินเครื่องประกาศจัดงานปีหน้าในคอนเซ็ปต์ใหม่ในวันที่  27-29 มิถุนายน 2562 อิมแพ็ค เมืองทองธานี มร. ลอย จุน ฮาว ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า การจัดงาน BMAM Expo Asia ในปีนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี คาดการว่าจะมีมูลค่าการซื้อขายจากการเจรจาธุรกิจภายในงานกว่า 240 ล้านบาท ด้านนายวรกร วีราพัชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิจิตอล บัตเลอร์ จำกัด หนึ่งในผู้เข้าร่วมแสดงสินค้าในงาน กล่าวว่า “BMAM Expo Asia เป็นจุดนัดพบของกลุ่มผู้บริหารจัดการทรัพยากรอาคาร และเป็นงานแสดงสินค้าที่ตอบโจทย์ ช่วยให้สามารถพบปะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนในแวดวงธุรกิจเดียวกัน ทำให้สามารถนำไปต่อยอดพัฒนาทางธุรกิจได้ ซึ่งเราได้รับผลตอบรับค่อนข้างดีจากการร่วมเเสดงสินค้าในครั้งนี้” “งาน BMAM Expo Asia 2018 เป็นงานแสดงสินค้าที่ทำให้เราได้พบกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและกลุ่มผู้รับเหมา ถ้าคุณอยากเจาะตลาดในประเทศไทย ที่นี้คืองานแสดงสินค้าที่ตอบโจทย์สำหรับคุณ” นายเฮนรี่ โซ บริษัท บีไคนด์ จำกัด จากประเทศฮ่องกง กล่าวเสริม นายบรรจง สุกรีฑา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า “ภายในงาน BMAM Expo Asia 2018 กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้จัดทำแพลตฟอร์ม Factory 4.0 และสาธิตศักยภาพระบบหม้อน้ำอัจฉริยะ (Smart Boiler) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไอน้ำของหม้อน้ำด้วยระบบควบคุมอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้เชื้อเพลิง ลดการสิ้นเปลืองความร้อนและไฟฟ้า เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล โดยรัฐบาลต้องการแรงสนับสนุนจากภาคเอกชนในการพัฒนา ขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยคาดหวังว่าการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม จะใช้ความรู้จากทรัพยากรบุคคลให้น้อยที่สุดในการตัดสินใจ และจะนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาใช้มากขึ้น” นอกเหนือจากงานแสดงสินค้าและนวัตกรรมแล้ว งาน BMAM Expo Asia ยังได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการอาคารจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสมาคมต่างๆ เพื่อจัดสัมมนาวิชาการ ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เข้าฟังมากกว่า 890 คน ตลอด สามวัน หัวข้อสัมมนาประกอบด้วย กุญแจสู่การบริหารจัดการอาคารแห่งอนาคต, เมืองอัจฉริยะที่แท้ทำอย่างไร, นวัตกรรมทำความสะอาดยุค 4.0 และ อีกหลายหัวข้อที่มุ่งเน้นให้ความรู้ทางเทคนิคและเทรนด์ต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม  FM   โดยในปีหน้างาน BMAM Expo Asia กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 27-29 มิถุนายน 2562 ณ อาคาร 6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี สำหรับความคืบหน้าในการจัดงานสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.bmamexpoasia.com
LUXURY จับคอลลาเจนใส่หมอนและเครื่องนอน รายแรกในโลก

LUXURY จับคอลลาเจนใส่หมอนและเครื่องนอน รายแรกในโลก

Luxury ผู้นำทางด้านเครื่องนอน อันดับ 1 ของประเทศที่ส่งหมอนให้กับโรงแรม 5 ถึง 6 ดาวทั่วประเทศ วันนี้ Luxury ไม่ได้หยุดนิ่งในการพัฒนาธุรกิจ และผลิตภัณฑ์เพื่อให้ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคให้มากขึ้น ซึ่งได้นำนวัตกรรมที่มีความต่างต่อยอดหมอนเพื่อมองสิ่งดีดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค     คมศานต์ จิวากานนท์ ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีลักซ์ โฮเทล ซัพพลาย จำกัด กล่าวว่า "ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่บริษัทวิจัย และพัฒนา (R&D) ขึ้นมาเป็นผลลัพธ์มาจากการได้จากประสบการณ์ที่สั่งสมมาในตลาดเครื่องนอน ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาพบว่า หมอนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ว่าผู้ประกอบการรายใดก็สามารถทำได้ แบรนด์ของบริษัทของจะยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดไว้ได้อย่างไร ก็คงต้องขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของหมอนที่มีประโยชน์มากกว่าการนอน และบริการหลังการขายที่ดีซึ่งลูกค้าให้ความไว้วางใจ ตนจึงมีแนวคิดที่จะเพิ่มฟังก์ชันลงไปในหมอนให้เป็นหมอนที่ไม่ธรรมดา เพราะวันหนึ่งทุกคนจะต้องใช้เวลาอยู่บนหมอนกว่า 8 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นควรจะต้องได้อะไรที่มากกว่าการนอน ไม่ใช่มีคุณสมบัติแค่นอนดี หนุนคอสบายแล้วจบ ค้นหาวัตถุดิบที่จะนำมาเป็นส่วนประกอบของหมอนจนทำให้ได้พบกับสาร ที่เรียกว่าคอลลาเจน (Collagen) โดยเลือกใช้สารสกัดที่ได้จากปลามิลค์ฟิช (Milkfish) จากไต้หวันซึ่งเป็นปลาทะเลนํ้าลึกที่เป็นธรรมชาติล้วน โดยปลอดภัยแม้กระทั่งการใช้กับผิวเด็ก โดยนำมาทำเป็นเส้นใยฟิลาเจน (FILAGEN) ที่มีส่วนผสมของคอลลาเจน เมื่อได้คอลลาเจนแบบที่ต้องการแล้ว ประกอบกับผ้าคอตตอน (Cotton) เป็นเส้นใยจากธรรมชาติ และได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่า บอบบางและปกป้องผิวได้ดีที่สุด จึงน่าที่จะนำผ้าคอตตอนผสมกับคอลลาเจนแล้วถักทอออกมาให้เป็นผ้าหรือนำไปอยู่ในหมอน"   คอลลาเจนบนเครื่องนอน คอตตอนที่บริษัทเลือกใช้ เป็นคอตตอนจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นคอตตอนที่ดีที่สุด โดยนำมาถักทอร่วมกับเส้นใยฟิลาเจนซึ่งมีจำนวนเส้นด้ายอยู่ 1,200 เส้น เรียกได้ว่ามีความละเอียดที่สุดในวงการผ้าคอตตอน โดยนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์อย่าง ปลอกหมอน, ผ้าปูที่นอน, ปลอกผ้านวม และหมอน ภายใต้แบรนด์ “ลักษณ์ชัวรี่ คอตตอน คอลลาเจน” (LUXURY COTTON COLLAGEN) “ลักษณ์ชัวรี่ คอตตอน คอลลาเจน” นั้น อยู่ที่นวัตกรรมที่นำมาใช้ ซึ่งจะช่วยลดการสูญเสียความชุ่มชื้นของผิวในเวลานอน เนื่องจากส่วนใหญ่จะนอนในห้องแอร์ทำให้ผิวแห้ง รวมถึงเรื่องของการกำจัดกลิ่น เพราะผ้าปูที่นอนจะไม่ได้ถูกเปลี่ยนบ่อยเหมือนกับเสื้อผ้าทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรก แต่คอลลาเจนจะทำหน้าที่ทำความสะอาดให้ผ้าใหม่อยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังสามารถช่วยป้องกันรังสียูวี (UV) ที่เกิดจากโทรศัพท์มือถือ นีออน โทรทัศน์ ฯลฯ ได้ถึง 97.7% อีกทั้งคอลลาเจนยังมีคุณสมบัติอยู่แบบถาวร และเมื่อยิ่งซักผ้าก็จะยิ่งนุ่มขึ้นจากคุณสมบัติของคอตตอน     “นี่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผู้นอน ซึ่งผู้ใช้อาจจะไม่ได้คำนึงถึง ฟังก์ชันทั้งที่เป็นสิ่งที่ต้องใช้งาน และจะดีกว่าไหมหากซื้อผลิตภัณฑ์แล้วสามารถดูแลตัวเอง หรือได้มากกว่าแค่การนอนหลับ เสมือนเป็นด่านสุดท้ายที่ดูแลระหว่างนอน โดยตามปกติผิวจะสูญเสียมอยส์เจอไรเซอร์ไปจากการระเหย แต่คอลลาเจนจะช่วยดักจับให้เข้ามาอยู่ที่เส้นใย ดังนั้น เมื่อผู้ใช้ได้สัมผัสจึงเท่ากับได้รับความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา” อย่างไรก็ตามในอนาคตแบรนด์จะนำเสนอผลิตภัณฑ์เสริมประเภทอื่นเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นผ้าเช็ดตัวคอลลาเจน ซึ่งจะช่วยเรื่องความชุ่มชื้นไม่ใช่เพียงแค่ซับนํ้าได้ดี รวมไปถึงผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดผม หมอนรองคอ รองเท้าสลิปเปอร์ และแม้กระทั่งผ้าผิดตา   เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย คมศานต์ บอกอีกว่า เบื้องต้นจะมุ่งเน้นการทำตลาดที่ปลอกหมอน เพราะสามารถเปลี่ยนได้ง่ายที่สุด โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือทุกกลุ่มที่ใช้ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องนอน กลุ่มที่ต้องการฟังก์ชันเพิ่มเติมจากนวัตกรรมใหม่ โดยเลือกกำหนดราคาให้สามารถเข้าถึงได้ตั้งแต่กลุ่มผู้บริโภคระดับล่างไปจนถึงระดับบน เพราะต้องการให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ ส่วนช่องทางการจำหน่ายจะเน้นที่การออกงานแสดงสินค้า ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตีมอลล์ อาคารสำนักงาน คอนโดมิเนียม และสถานเสริมความงามต่างๆ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ทุ่มงบประมาณกว่า 20 ล้านบาท เพื่อเจาะตลาดทางด้านออนไลน์โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งทีมงานทางด้านออนไลน์ การซื้อสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ออนไลน์ทุกแขนง อีกทั้งยังมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในรูปแบบของแฟชั่นโชว์ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์วันที่ 3 ตุลาคม 2561 โดยมีนางแบบนายแบบชั้นนำอย่างใหม่-ดาวิกา และโป๊ป-ธนวรรธน์ มาร่วมเดินแฟชั่นชุดเครื่องนอนครั้งแรกในประเทศ ไทย ซึ่งจะมีสไตลิสต์อันดับต้นของประเทศมาออกแบบเครื่องแต่งกายที่ทำมาจากผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้ และช่วยให้ตัวแทนจำหน่ายของแบรนด์ทำงานได้สะดวกมากขึ้น “ในต่างประเทศบริษัทก็ได้มีการจดเครื่องหมายการค้าไว้เช่นเดียวกัน แต่จะยังไม่ทำตลาดในระยะแรก เพราะต้องการให้คนไทยได้ใช้ก่อน โดยไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศไทย หรือต่างประเทศผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ก็ถือว่าเป็นเจ้าแรกทั้งหมด ทั้งหมวดเครื่องนอนและเส้นใย”  
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ตั้งทีม International Business เร่งรุกตลาดต่างชาติวางเป้ายอดขายตลาดต่างชาติเติบโตต่อเนื่อง คาดสิ้นปีนี้โตขึ้น 30%

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ตั้งทีม International Business เร่งรุกตลาดต่างชาติวางเป้ายอดขายตลาดต่างชาติเติบโตต่อเนื่อง คาดสิ้นปีนี้โตขึ้น 30%

ณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เชี่ยวชาญโครงการที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์และพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ (Pet Friendly) เป็นแห่งแรกของประเทศไทย ได้จัดตั้งทีม International Business ขึ้น เพื่อทำการตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติโดยเฉพาะ     นำทีมโดย คุณ พิรุณินทร์ วรรณวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ และทีม International Business บริษัทฯ ได้บุกเจาะตลาดลูกค้าชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งในปี 2561 นี้ได้รุกขยายเจาะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวจีน ฮ่องกง และไต้หวันที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่มีกำลังซื้อ ตั้งเป้ายอดขายตลาดต่างชาติปีนี้ที่ 2,500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 30% จากปี 2560 ทั้งนี้บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์เชิงรุกในการขยายสู่ตลาดต่างประเทศด้วยการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับบริษัทพันธมิตรในประเทศและตัวแทนจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์นานาชาติ โดยเมื่อเร็วๆนี้ ได้จัด Meet & Greet เชิญตัวแทนจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์มาร่วมงาน เพื่อรับฟังข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ และโอกาสทางการขายโครงการเมเจอร์ฯ ที่มีจุดเด่นอยู่บนทำเล CBD ใจกลางเมือง ไม่ไกลจากรถไฟฟ้า หรือ รถไฟใต้ดิน และคุ้มค่าต่อการลงทุน ซึ่งผลตอบรับดีเกินคาด มีตัวแทนจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์เข้ามาร่วมงานกันอย่างล้นหลาม
ชินวะ เรียลเอสเตส ติดอาวุธให้คอนโดปล่อยเช่าด้วย ทริเปิลเอส โปรแกรม  ประสานลูกค้าญี่ปุ่นช่วยเอเย่นต์ เอาใจนักลงทุน

ชินวะ เรียลเอสเตส ติดอาวุธให้คอนโดปล่อยเช่าด้วย ทริเปิลเอส โปรแกรม ประสานลูกค้าญี่ปุ่นช่วยเอเย่นต์ เอาใจนักลงทุน

ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) ผู้บริหารงานคอนโดมิเนียมจิตวิญญาณญี่ปุ่นแท้ๆ เดินหน้าอีก สเต็ปเตรียมพร้อมสร้างความพึงพอใจลูกค้า ติดอาวุธให้คอนโดปล่อยเช่าด้วย ทริเปิลเอส โปรแกรม (SSS) บริหารงานหลังงานขายเพื่อประสานผู้เช่าญี่ปุ่นตัดตอนช่วยเอเย่นต์และนักลงทุน เผยเป็นกลยุทธ์จากญี่ปุ่น-ประเทศแม่ที่มีประสบการณ์บริหารงานห้องชุด และเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ในมือกว่า 5,000 ห้อง เตรียมพร้อมรองรับโครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 ที่จะแล้วเสร็จพร้อมโอนไตรมาส 3 ปีหน้า และโครงการต่อๆไป   มร.โทโมยาสุ ยามาเบะ กรรมการผู้จัดการ และ นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด “ผู้บริหารงานคอนโดมิเนียมจิตวิญญาณญี่ปุ่นแท้ๆ” เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้จัดตั้งส่วนงานทริเปิลเอส (SSS หรือ Triple S) ซึ่งเป็นโปรแกรมฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ระบบบริหารงานหลังการขาย กลยุทธ์ที่เตรียมพร้อมที่จะเข้ามาช่วยประสานงานบริการกับผู้เช่า ทั้งชาวไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายใหญ่ของผู้เช่าเป็นชาวญี่ปุ่น ในขณะเดียวกันก็เป็นการแบ่งเบาภาระการทำงานให้เอเย่นต์รวมนักลงทุนเจ้าของห้องชุด โดยเอเย่นต์ที่หาห้องพักให้ผู้เช่าชาวญี่ปุ่นในไทย ปัจจุบัน มีประมาณ 40 ราย ทั้งนี้เป็นบริการสำหรับโครงการของชินวะ กรุ๊ปเท่านั้น โดยโครงการแรก คือ โครงการ รูเนะสุ ทองหล่อ 5 กำหนดแล้วเสร็จพร้อมโอนให้ลูกค้าเข้าอยู่ประมาณไตรมาส 3 ปี 62     “ทริเปิลเอส เป็นกลยุทธ์จากชินวะญี่ปุ่น-ประเทศแม่ ซึ่งประสบความสำเร็จจากผลงานอ้างอิง โดยปัจจุบัน มีการบริหารงานห้องชุด และเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ในมือกว่า 5,000 ห้องที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นส่วนงานที่ตั้งขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้เช่า ในขณะที่ช่วยแบ่งเบาภาระของเอเย่นต์และนักลงทุน โดยตัดขั้นตอนการทำงานของเอเย่นต์ไปเลย เพราะปัจจุบันไม่ว่าลูกค้าผู้เช่าจะมีปัญหาอะไร เล็กใหญ่ขนาดไหนจะติดต่อไปที่เอเย่นต์ทุกครั้ง ทำให้เอเย่นต์ยังต้องมีภาระบริการผู้เช่าตลอดอายุสัญญาเช่า แต่ส่วนงานทริเปิลเอสของชินวะฯ ผู้เช่าสามารถติดต่อโดยตรงกับเราได้ตลอดเวลา เพราะมีเจ้าหน้าที่ที่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่น และภาษาสากลได้ รวมถึงมีซัพพรายเออร์และช่างงานระบบต่างๆในมือ ทำให้สามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้เช่าได้อย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะมีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือเรื่องใด เช่น น้ำ ไฟ อินเตอร์เน็ต แอร์ หรืออื่นๆ เพราะเรามีซัพพรายเออร์ทุกส่วนงานในมือ เป็นการให้บริการโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งขณะนี้มีความพร้อมเต็มที่เพราะที่ผ่านมาชินวะฯได้มีการทดลองระบบ ด้วยการซื้อห้องชุดในไทยจำนวนหนึ่งเพื่อบริหารงานมาประมาณ 2 ปี ซึ่งจะเป็นการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าขั้นสุด ตามเจตนารมณ์ที่ชินวะฯยึดหลักเป็นบริษัทผู้บริหารงานคอนโดมิเนียมจิตวิญญาณญี่ปุ่นแท้ๆ” นายวิชัย กล่าว   ชินวะ กรุ๊ป บริษัทแม่ของชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) สำนักงานใหญ่ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น มีรากฐานเติบโตมาจากงานคอนสตรัคชั่น มีประวัติศาสตร์การดำเนินงานมาถึง 128 ปีแล้ว กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจในเครือแตกไลน์หลายแขนง ได้เริ่มเข้ามาจอยท์ เวนเจอร์กับกลุ่มทุนไทยตั้งแต่ปี 2559 ปัจจุบันดำเนินงานคอนโดมิเนียม 2 โครงการ ได้แก่ โครงการรูเนะสุ ทองหล่อ 5 คอนโดมิเนียมโลวไรส์ 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 156 ยูนิต มีการติดตั้งระบบรูเนะสุ 2 ชั้น มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท ขณะนี้มีความคืบหน้างานก่อสร้างประมาณ 30 % คาดว่าจะแล้วเสร็จราวไตรมาส 3 ปี 62, โครงการเร็น สุขุมวิท 39 (ซอยพร้อมมิตร) เป็นอาคารสูง 7 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 298 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,600 ล้านบาท ติดตั้งระบบ รูเนะสุทุกยูนิต ทั้งนี้ระบบรุเนะสุ เป็นการกลับคานเป็นพื้น-กลับพื้นเป็นคาน เพื่อใช้พื้นที่ความต่างด้านล่างที่มีความสูง 60 เซนติเมตร เพื่อใช้ประโยชน์ในการเก็บของ ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่น การบริหารจัดการ Death Space และสามารถทำให้ผู้อยู่อาศัยมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นถึง 25-40 %
มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 ปิดฉาก ผลสำรวจชี้ยอดซื้อหลักมาจากกลุ่มเรียลดีมานด์ ไร้ผลกระทบจากมาตรการของธปท.

มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 ปิดฉาก ผลสำรวจชี้ยอดซื้อหลักมาจากกลุ่มเรียลดีมานด์ ไร้ผลกระทบจากมาตรการของธปท.

ผลสำรวจหลังงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 ชี้ความต้องการที่อยู่อาศัยจากกลุ่ม เรียลดีมานด์ยังอยู่ในระดับสูง และสินค้าประเภท คอนโดมิเนียมยังคงครองความนิยมเป็นอันดับหนึ่ง นายปิติพัฒน์ ปรีดานนท์ ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 เปิดเผยถึงผลสำรวจ หลังการจัดงานฯ ว่า ตลอด 4 วัน ตั้งแต่ 4-7 ตุลาคมมีผู้เข้าร่วมงานใกล้เคียงกับครั้งที่ผ่านมา และมียอดจองซื้อ ที่อยู่อาศัยภายในงานเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้และคาดว่าจะมียอดขายตามมาอีกไม่ต่ำกว่า 2 เท่า โดยประเภท ที่อยู่อาศัยที่มีการจองซื้อภายในงานมากที่สุด 3 ลำดับแรกได้แก่ คอนโดมิเนียม คิดเป็น 38 % รองลงมาเป็น บ้านเดี่ยว คิดเป็น 37% และทาวเฮ้าส์คิดเป็น 17% ที่เหลือเป็นสินค้าประเภทบ้านแฝดและอื่นๆ อีก 8 %  นอกจากนี้ ยังมียอดขอสินเชื่อกว่า หนึ่งหมื่นล้านบาท “ผลสำรวจยังระบุอีกว่าผู้ที่ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในงานครั้งนี้ราว 80% ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และอีก 20 % ซื้อเพื่อ การลงทุน ซึ่งอาจมองได้ว่ามาตรการคุมสินเชื่อของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เน้นไปที่บ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้าน บาท และบ้านหลังที่ 2 ยังไม่ใช่ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้บริโภคที่มาซื้อที่อยู่อาศัย ในงานมหกรรมบ้านและ คอนโด ครั้งที่ 39  สำหรับผู้เข้าชมงานกว่า 63% เป็นผู้เข้าชมงานมหกรรมฯ เป็นครั้งแรก และอีกประมาณ 37% เป็นผู้ที่เคยมางานแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ผู้เข้าชมงานกว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม Gen Y ในช่วงอายุ 21-30 ปี 38% รองลงมาจะอยู่ในช่วงอายุ 31-40 ปี คิดเป็น 32% และ 30% เป็นกลุ่ม Gen X ในช่วงอายุ 41-50 ปี ขณะที่ ผลสำรวจด้านรายได้ส่วนตัวต่อเดือนชี้ว่าผู้เดินงาน 45% มีรายได้อยู่ไม่เกิน 30,000 บาท และ 26% มีรายได้ ระหว่าง 30,000-50,000 บาท ส่วนที่มีรายได้เกิน 50,000 บาท จะอยู่ที่ 29%”  “ผลสำรวจด้านระยะเวลาที่ต้องการซื้อในอนาคต 1-2 ปี จะอยู่ที่ 31% ขณะที่ระยะเวลา 6-12 เดือน อยู่ที่ 32% และระยะเวลา 1-3  เดือน อยู่ที่ 37% ส่วนด้านงบประมาณในการซื้อที่อยู่อาศัยแต่ละประเภทระบุว่าผู้เข้าชมงาน 27% ต้องการที่อยู่อาศัยระดับ ราคา 1-2 ล้านบาท และ 29% ต้องการระดับ 2-3 ล้านบาท และอีก 32% ต้องการราคา 3-4 ล้านบาท มีเพียง 12 % ที่สนใจที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท” นายปิติพัฒน์ กล่าวสรุป สำหรับงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 21-24 มีนาคม 2562 ณ ศูนย์การ ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยมีนายณพงศ์  ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย เป็นประธานในการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 40
ศุภาลัย ปั้นแบรนด์ “ริเวอร์ วิลล์” คฤหาสน์หรู ริมแม่น้ำ เพียงหนึ่งเดียว ใจกลางเมืองระยอง

ศุภาลัย ปั้นแบรนด์ “ริเวอร์ วิลล์” คฤหาสน์หรู ริมแม่น้ำ เพียงหนึ่งเดียว ใจกลางเมืองระยอง

“ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง” คฤหาสน์หรู ริมแม่น้ำ เพียงหนึ่งเดียว ใจกลางเมือง มาพร้อมนวัตกรรม Home Automation & Security ตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุค 4.0 เปิดจองวันที่ 27-28 ตุลาคม 2561 นี้ ณ สำนักงานขาย ราคาเริ่มเพียง 6.69 ล้านบาท พร้อมพบสิทธิพิเศษมากมาย   นายบุญชัย ชัยอนันต์บวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานโครงการภูมิภาค 2 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการที่บริษัทฯ ได้เข้าไปลงทุนพัฒนาโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมในจังหวัดระยองอย่างต่อเนื่อง รวม 4 โครงการ ได้แก่ ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท ศุภาลัย พาร์ควิลล์ ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ และ  ศุภาลัย เบลล่า ที่ผ่านมาได้รับกระแสตอบรับอย่างดีเป็นที่น่าพอใจ สามารถสร้างความเชื่อมั่นใน แบรนด์ ศุภาลัย และได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเป็นอย่างดี ซึ่งจากความสำเร็จในการพัฒนาอสังหาฯ ในพื้นที่ จังหวัดระยองที่ผ่านมา ประกอบกับการผลักดันโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ของภาครัฐ ทำให้สามารถดึงดูดนักลงทุน อัตราการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคอสังหาริมทรัพย์ ก็เติบโตตามไปด้วย ล่าสุด บริษัทฯ เตรียมปั้นแบรนด์ใหม่แนวราบ “ริเวอร์ วิลล์” คฤหาสน์หรู ริมแม่น้ำ ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ที่ดูภูมิฐาน สร้างเอกลักษณ์ สะท้อนรสนิยม ให้ทุกองค์ประกอบเป็นมากกว่า ความภาคภูมิใจ เพื่อส่งต่อ เพื่อความสุข เพื่อความทรงจำ พร้อมปักหมุดโครงการที่ 5 ทำเลใจกลางเมืองระยอง ภายใต้ชื่อ “ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง” มูลค่าโครงการ 720 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการกว่า 24 ไร่ มอบความเป็นส่วนตัว ด้วยจำนวนเพียง 74 แปลง “ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง” ชูแนวคิด “The Happiness of Riverside Living ความสุขในการใช้ชีวิตริมแม่น้ำ” ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ริมแม่น้ำระยอง ใจกลางเมือง เชื่อมต่อทุกการใช้ชีวิต ให้ทุกก้าวง่ายขึ้น ใกล้ขึ้น รวดเร็วกว่าใคร แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ทั้งห้างสรรพสินค้า แหล่ง Shopping ต่างๆ โรงเรียน โรงพยาบาล อาทิ  เซ็นทรัล พลาซ่า ระยอง Passion Shopping Lotus โรงเรียนอัสสัมชัญระยอง รพ.กรุงเทพระยอง พบกับคฤหาสน์หรูขนาดใหญ่ จำนวน 5 แบบ 2 ชั้น 4 ห้องนอน 3-5 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน พื้นที่ใช้สอยเริ่ม 197-309 ตร.ม. ในราคาเริ่มเพียง 6.69-22.9 ล้านบาท พร้อมฟังก์ชั่นพิเศษตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตด้วย Luxury Privacy club house พื้นที่ส่วนกลางสุด Exclusive กับสระว่ายน้ำระบบเกลือ สวนสาธารณะ พร้อม Fitness รองรับคนรักสุขภาพถึง 2 ชั้น และให้คุณอิสระในการพักผ่อนได้ในเวลาเดียวกัน เชื่อมโยงเทคโนโลยีการอยู่อาศัยยุค 4.0 กับบ้านอัจฉริยะ ให้ทุกวินาทีของคุณสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วย Home Automation & Security ระบบอัจฉริยะที่ช่วยอำนวยความสะดวกกับระบบสั่งงาน ภายในบ้านทุกหลัง ทุกที่ ทุกเวลา ผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน อาทิ ระบบสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และระบบควบคุมการเปิดปิดประตูรั้วบ้าน อุ่นใจด้วยระบบรักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชั่วโมง ด้วยระบบการ แจ้งเตือนด้วยกล้องอัจฉริยะ พร้อม sensor ตรวจจับที่หน้าต่างประตูบ้านเมื่อมีการบุกรุก และรายงานผล Real time ปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยมาตรฐานการเข้า-ออก ระบบ Bluetooth พร้อมทั้งติดตั้งกล้อง CCTV และระบบสัญญาณกันขโมย ภายในโครงการ   “ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง” พร้อมให้คุณเป็นเจ้าของก่อนใคร บนทำเลที่ดีที่สุดหน้าโครงการริมแม่น้ำระยอง กำหนดเปิดจองในวันที่ 27-28 ตุลาคม 2561 นี้ ณ สำนักงานขาย สอบถามเพิ่มเติมโทร 1720 หรือดูรายละเอียดได้ที่  www.supalai.com
SC ต่อยอดมุมมองสำคัญของการพัฒนาพื้นที่สาธารณะ “เนเบอร์ฮูด บางกะดี” จับมือผู้กำกับชื่อดัง  ร่วมถ่ายทอดแนวคิดแบรนด์สู่โฆษณาชุดใหม่ “...ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว?”

SC ต่อยอดมุมมองสำคัญของการพัฒนาพื้นที่สาธารณะ “เนเบอร์ฮูด บางกะดี” จับมือผู้กำกับชื่อดัง ร่วมถ่ายทอดแนวคิดแบรนด์สู่โฆษณาชุดใหม่ “...ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว?”

นางสาวโฉมชฎา กุลดิลก หัวหน้าสายงานฝ่ายสื่อสารและกลยุทธ์แบรนด์ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “SC ได้สร้างสรรค์แคมเปญสื่อสารมิติใหม่ที่สุดแห่งปี เพื่อสร้างการรับรู้ถึงแนวคิดสำคัญสำหรับการพัฒนาพื้นที่สาธารณะ โมเดลต้นแบบแห่งแรกสำหรับ SC คือ “เนเบอร์ฮูด” ชุมชนที่ทุกคนมีส่วนร่วมกันออกแบบ โดยร่วมกับผู้กำกับมือหนึ่งของไทย “ต้อม เป็นเอก รัตนเรือง” ในภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ชื่อ “...ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว?” เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ของผู้คนในสังคมถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่หลากหลาย ปรับตัวให้อยู่กับปัญหาได้ในมุมมองที่แตกต่างกัน โดยบอกเล่าถึงสิ่งที่คนเมืองประสบพบเจอในชีวิตประจำวันที่ทำให้กลายเป็นสิ่งเคยชิน ” The Neighbourhood  “เนเบอร์ฮูด บางกะดี” มีจุดมุ่งหมายให้เกิดเป็นโมเดลที่อยู่อาศัยที่ตอบรับการเติบโตของชุมชนเมืองในอนาคต เกิดเป็นพื้นที่สาธารณะที่เป็นประโยชน์ต่อคนในพื้นที่ทั้งผู้อยู่อาศัยในโครงการและชุมชมในย่าน รวมถึงการระดมความคิดเพื่อหา Solutions เกี่ยวกับการอยู่อาศัยจาก Co-creators ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ผู้อยู่อาศัยในโครงการ รวมถึงชุมชนในย่าน ซึ่งโครงการนี้เป็นต้นแบบเพื่อใช้ในการพัฒนาที่ดินอื่นของบริษัทต่อไปในอนาคต   “เนเบอร์ฮูด” ชุมชนที่ทุกคนมีส่วนร่วมกันออกแบบนี้  ได้นำการศึกษาด้าน Human-Centric เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของการอยู่อาศัยในเมืองมาปรับใช้อย่างจริงจัง โดยจุดเริ่มต้นเพื่อพัฒนาพื้นที่สาธารณะด้านหน้าโครงการ บนที่ดินขนาดกว่า 200 ไร่ในย่านบางกะดี  โดยมีการทำงานร่วมกับภาคการศึกษา คือ Redek ศูนย์บริการวิจัยและออกแบบ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ทำการศึกษาวิจัยเรื่องความต้องการของมนุษย์เกี่ยวกับการใช้งานพื้นที่ส่วนกลาง ภายในโครงการบ้านจัดสรร รวมถึงศึกษาเรื่องความต้องการใช้งานของพื้นที่สาธารณะที่ผู้คนในชุมชนสามารถใช้ร่วมกันได้ ก่อนที่จะนำผลงานวิจัยที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาพัฒนาบนที่ดินจริงภายในปี 2562 ต่อไป Neighbourhood Bangkadi ย่านบางกะดี ตั้งอยู่บนเส้นทางเชื่อมต่อถนนติวานนท์และอำเภอเมืองปทุมธานี-รังสิต เป็นย่านชานเมืองทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของกทม. เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยศักยภาพต่อการเติบโตและการอยู่อาศัยในอนาคต มีโครงการพัฒนาหลากหลาย เช่น สถานีรถไฟฟ้าสายสีแดงและสีชมพูที่อยู่ระหว่างการดำเนินการคาดว่าจะแล้วเสร็จตั้งแต่ปี 2563* บวกกับความเป็นสวนอุตสาหกรรมที่มีโรงงานอุตสาหกรรมในเขตเทศบาลกว่า 60 แห่ง อันถือเป็นแหล่งงานสำคัญ ประกอบกับความเข้มแข็งของอีก 17 ชุมชนที่ร่วมกันพัฒนาท้องถิ่น ทำให้เกิดศักยภาพของทำเลขึ้น พร้อมรับชมเรื่องราว “...ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว?” https://www.youtube.com/watch?v=PHSBj8cixkw และติดตามข่าวสารข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่ “เนเบอร์ ฮูด บางกะดี” ได้ที่ www.scasset.com/theneighbourhood
“พรีเมียร์กรุ๊ป” เปิดตัวโครงการลักชัวรี่ “บ้านนวัต รามคำแหง 118”  ชูแนวคิด “นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน”

“พรีเมียร์กรุ๊ป” เปิดตัวโครงการลักชัวรี่ “บ้านนวัต รามคำแหง 118” ชูแนวคิด “นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน”

“พรีเมียร์กรุ๊ป” ส่งเจเนอเรชั่น 2 “ทิพย์ชยา พงศธร” คุมทัพพัฒนาอสังหาฯ ปั้นแบรนด์ลักชัวรี่ “บ้านนวัต” ชูแนวคิด “นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน” หวังตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่ดีควบคู่ดูแลสังคม-สิ่งแวดล้อม พร้อมเปิดตัวโครงการหรูสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “บ้านนวัต รามคำแหง 118” มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 29 ล้านบาท พร้อมพรีเซล 10 ต.ค.นี้   นางสาวทิพย์ชยา พงศธร กรรมการผู้จัดการใหญ่สายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจโรงแรม กลุ่มบริษัทพรีเมียร์ เปิดเผยว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ทางกลุ่มบริษัทพรีเมียร์มีประสบการณ์มานานหลายทศวรรษ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกวงการหมู่บ้านจัดสรรยุคแรกๆ ของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ เช่น โครงการหมู่บ้านเสรี หัวหมาก อ่อนนุช ศรีนครินทร์ รวมถึงโครงการ 99 เรสซิเดนซ์ พระราม 9 โดยมีบริษัท พรีเมียร์ แอสเซ็ทส์ จำกัด รับผิดชอบพัฒนาโครงการ     สำหรับแบรนด์ “บ้านนวัต” พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Innovation for Sustainable Living) มุ่งเน้นการออกแบบที่อยู่อาศัยที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า เพื่อดูแลระบบนิเวศให้สมดุล ที่สำคัญที่สุดคือการออกแบบสถาปัตยกรรมที่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศและลดการใช้พลังงานโดยไม่จำเป็น   “เราไม่ได้เปิดตัวโครงการปีละหลายโครงการ เพราะเราต้องการทุ่มเทให้กับรายละเอียดในการสร้างนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน เพื่อส่งมอบความเป็นอยู่ที่มีคุณภาพให้แก่ผู้บริโภค เราจึงมั่นใจว่าด้วยปณิธานประกอบกับประสบการณ์นับทศวรรษในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และโรงแรมของเรา จะทำให้โครงการภายใต้แบรนด์บ้านนวัต สามารถดูแลทั้งคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ตลอดจนสังคมและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน” นางสาวทิพย์ชยา กล่าว     ปัจจุบัน บริษัทได้พัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์บ้านนวัตแล้ว 2 โครงการ ภายใต้ชื่อ บ้านนวัต พระราม 9 ,บ้านนวัต เอกมัย-รามอินทรา และกำลังเปิดตัวโครงการใหม่อีก 1 โครงการ ภายใต้ชื่อ “บ้านนวัต รามคำแหง 118” (BAAN NAWAT RAMKHAMHAENG 118) มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท เป็นโครงการที่มอบทั้งความเป็นส่วนตัวและให้ความรู้สึกเอ็กซ์คลูซีฟ ด้วยจำนวนยูนิตภายในโครงการเพียง 23 ยูนิต ราคาเริ่มต้นที่ 29 ล้านบาท   นางสาวทิพย์ชยา กล่าวอีกว่า การเดินหน้าพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในครั้งนี้ ถือเป็นการขยายกลุ่มธุรกิจให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยนำคุณค่าหลักของกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ มาประยุกต์ใช้เพื่อการออกแบบที่พักอาศัย ที่คำนึงถึงการใช้ชีวิตจริงในทุกขั้นตอน และเหมาะสมกับทุกช่วงอายุของผู้อยู่อาศัย และคาดว่าในอนาคตโครงการบ้านนวัตจะก้าวสู่การเป็นผู้นำในการสร้างนวัตกรรมการพักอาศัยอย่างยั่งยืน     ด้าน นายสาทิต สืบสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ แอสเซ็ทส์ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแนวคิด “นวัตกรรมการพักอาศัยอย่างยั่งยืน” เกิดขึ้นจากความต้องการบ้านที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่า แต่ยังคงไว้ซึ่งความสะดวกสบาย ล้ำสมัย บำรุงรักษาง่าย เพื่อรองรับการอยู่ร่วมกันของคนทุกช่วงวัยภายในบ้าน บ้านทุกหลังผ่านกระบวนการคิดและออกแบบอย่างละเอียดให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ ตัวบ้านถูกจัดวางให้สอดคล้องกับทิศทางลมและแดด การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่ลดความร้อน อีกทั้งยังนำเทคโนโลยีพลังงานสะอาดมาประยุกต์ใช้เพื่อช่วยลดค่ากระแสไฟฟ้า และน้ำประปา ไม่ว่าจะเป็นระบบแอร์อัจฉริยะ VRV การผลิตน้ำร้อนจากแอร์ การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ พร้อมระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติจากน้ำทิ้งที่บำบัดแล้ว     “นอกจากความโดดเด่นในเรื่องของนวัตกรรมแล้ว โครงการบ้านนวัต รามคำแหง 118 ยังมีความโดดเด่นในเรื่องทำเลอีกด้วย เนื่องจากทำเลรามคำแหงถือเป็นย่านส่วนต่อขยายของเมืองที่มีจุดตัดสำคัญถึง 3 จุด ไม่ว่าจะเป็นบริเวณสี่แยกคลองตันไปจนถึงแยกลำสาลี หรือเรียกว่ารามคำแหงตอนต้น ซึ่งเป็นพื้นที่แหล่งงานและการศึกษา ต่อเนื่องมาจนถึงพื้นที่รามคำแหงตอนกลาง คือช่วงรอยต่อพื้นที่แยกลำสาลีไปจนถึงจุดตัดกับถนนเลียบกาญจนาภิเษกฝั่งตะวันออก ที่สามารถเชื่อมต่อการเดินทางไปยังสายหลักอื่นๆ เช่น ถนนลาดพร้าว ถนนกรุงเทพกรีฑา ทางด่วนพระราม 9 - ศรีนครินทร์ เป็นต้น และช่วงรามคำแหงตอนปลาย ซึ่งถือเป็นย่านที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการระดับลักชัวรี่ และในอนาคตเขตพื้นที่ดังกล่าวจะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี) เปิดให้บริการ ยิ่งช่วยเสริมศักยภาพพื้นที่มากยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ผู้ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทาง” นายสาทิต กล่าว     ทั้งนี้ โครงการบ้านนวัต รามคำแหง 118 (BAAN NAWAT RAMKHAMHAENG 118) ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 8 ไร่ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 3 ชั้น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ บนขนาดที่ดิน 72.8-166.4 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 363-576 ตารางเมตร มีบ้านทั้งหมด 3 Type ได้แก่ 1.Type A พื้นที่ใช้สอย 557 ตร.ม. ขนาดที่ดิน 120.8-166.4 ตร.ว. 2.Type B พื้นที่ใช้สอย 576 ตร.ม. ขนาดที่ดิน 97.5-119.8 ตร.ว. และ 3. Type C พื้นที่ใช้สอย 363 ตร.ม. ขนาดที่ดิน 72.8-110.9 ตร.ว. โดยจะเปิดขายพรีเซลในวันที่ 10 ตุลาคม 2561 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.premierassets.co.th หรือ โทร.02 301 2888
แอสเซท ไฟว์ เปิดบ้านตัวอย่าง โครงการ วนา เรสซิเดนซ์ บ้านเดี่ยวสุดลักซ์ชัวรี่ ตอกย้ำกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน โกยยอดขายรวมกว่า 500 ล้านบาท

แอสเซท ไฟว์ เปิดบ้านตัวอย่าง โครงการ วนา เรสซิเดนซ์ บ้านเดี่ยวสุดลักซ์ชัวรี่ ตอกย้ำกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน โกยยอดขายรวมกว่า 500 ล้านบาท

หลังจากเดินหน้า พัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์รูปแบบวิถีชีวิตสังคมเมืองที่ทันสมัย ล่าสุด บริษัท แอทเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด พร้อมพาเยี่ยมชมโครงการ วนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9-ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ภายใต้แนวคิด A New Definition of Luxury Urban Home เจาะกลุ่มผู้บริหารและเจ้าของกิจการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ และมีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว ด้วยแบบบ้านเดี่ยว 3 ชั้นพร้อมลิฟท์ส่วนตัว สามารถอยู่ได้ทั้ง 3 เจนเนอเรชั่น บนพื้นที่โครงการ 20 ไร่ จำนวน 69 ยูนิต ด้วยทำเลศักยภาพระหว่างความเจริญเติบโตของโซนพระราม 9-ศรีนครินทร์ ราคาเริ่มต้นที่ 20 ล้านบาท หลังเปิดจองเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา สามารถสร้างยอดขาย รวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอทเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวถึงความสำเร็จของโครงการ วนา เรสซิเดนซ์ ว่า ด้วยศักยภาพและทำเลถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ พระราม 9-ศรีนครินทร์ ที่มีการเติบโตและพัฒนาอย่างต่อเนื่องทำให้โครงการ วนาฯ ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทั้งเรื่องของทำเลที่ตั้งที่ติดถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ที่กว้าง 6-8 เลน สามารถเดินทางเข้าเมืองได้หลากหลายเส้นทาง และยังรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน เช่น โรงพยาบาลสมิติเวช โรงเรียนนานาชาติ สนามกอล์ฟ ห้างสรรพสินค้า และคอมมูนิตี้มอลล์  ในส่วนของการออกแบบลักษณะตัวบ้าน โครงการให้ความสำคัญกับแสงธรรมชาติจึงมีให้เลือกทั้งแบบหน้ากว้าง และแบบ L Shape ซึ่งการจัดวางตัวบ้านแต่ละหลังจะเป็นส่วนตัวที่จะมองไม่เห็นกันและกัน ภายในเน้นความโปร่งเพดานสูง 3.1 เมตร, ชุดครัว ที่พร้อม island สามารถใช้งานภายในครอบครัวได้อย่างสะดวก  และที่สำคัญ การจัดวางตำแหน่งของบ้านทุกหลังได้มาตรฐานตามหลักฮวงจุ้ย จึงอาจกล่าวได้ว่า โครงการ วนา เรสซิเดนซ์ ถือว่าเป็นโครงการแรกๆ ในโซนพระราม 9-ศรีนครินทร์ ที่เป็นโครงการบ้านเดี่ยวแบบโมเดิร์นลักซ์ชัวรี่ที่ตอบโจทย์กลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบนได้อย่างลงตัว วัดได้จากการเปิดจองรอบ Pre-Sales ในช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ภายในเดือนเดียว ก็สามารถสร้างยอดขาย รวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ด้วยพื้นที่โครงการประมาณ 20 ไร่ จำนวน 69 หลัง  อันประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 3 แบบ แบ่งเป็น Type A, Type B  และ Type C โดยมีขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่ 400 - 492 ตารางเมตร รวมมูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท กับการวางบ้านด้วยรูปแบบคลัสเตอร์ โดยแต่ละคลัสเตอร์มีเพียง 4 หลัง พร้อมที่จอดรถเริ่มต้น 4 คัน สามารถรองรับรถยนต์ซูเปอร์คาร์และรถครอบครัวขนาดใหญ่ นอกจากนี้ทางโครงการยังมอบความหรูหรา ทันสมัยให้กับบ้าน ด้วยการคัดสรรวัสดุภายในบ้านเป็นอย่างดี พร้อมจัดเตรียมลิฟท์ส่วนตัวไว้ภายในบ้าน โดยแบ่งฟังก์ชั่นไว้อย่างลงตัว และเพิ่มความร่มรื่น ด้วยการปลูกต้นไม้ใหญ่กว่า 300 ต้นบนพื้นที่โครงการ มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน กับพื้นที่ส่วนกลาง ประกอบไปด้วยสระว่ายน้ำที่มีระบบน้ำเกลือยาว 25 เมตร, สนามเด็กเล่นพร้อมบ้านต้นไม้, ฟิตเนส, ห้องอเนกประสงค์ และพื้นที่สีเขียวมีต้นไม้ใหญ่รอบโครงการ เน้นการได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างแท้จริง นายศุภโชค กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งแนวสูงและแนวราบ บนทำเลที่มีศักยภาพใจกลางเมือง ใกล้ที่ทำงาน และใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และยังมีแลนด์แบงค์ ติดถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ เตรียมไว้สำหรับโครงการในอนาคตอีกด้วย ทางด้าน นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท  ซีบีอาร์อี ประเทศไทย จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนขายโครงการ กล่าวถึงภาพรวม และการเติบโตบนพื้นที่ทำเลกรุงเทพฯ โซนฝั่งตะวันออกว่า ภายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานี้ ได้มีการเปิดขายโครงการบ้านเดี่ยวในจำนวนที่ใกล้เคียงกันคือ ปีละประมาณ 10,000 กว่ายูนิต และจำนวนค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี ซึ่งภายในครึ่งปีแรกของ ปี 2561 นี้นั้น ได้มีการเปิดขายโครงการแล้วกว่า 7,000 ยูนิต ซึ่งเป็นจำนวนที่เทียบเท่ากับช่วงไตรมาส 3 ของปีก่อนๆ ที่ได้มีการเปิดตัวการขาย ตัวเลขดังกล่าวนี้เป็นตัวบ่งชี้ได้อย่างชัดเจนว่า supply ของแนวราบกลับมามีบทบาทในตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นในปีถัดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทำเลกรุงเทพฝั่งตะวันออก ซึ่งเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากแผนการขยายการคมนาคมที่จะมีขึ้นในอนาคต เช่น รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ผู้พัฒนาโครงการต่างๆ หันมาพัฒนาโครงการเพื่อรองรับการขยายตัวของผู้อยู่อาศัยในแถบนี้มากขึ้น ซึ่งจากจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินสำหรับบ้านเดี่ยวในกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ต้นปีจนถึงไตรมาส 2 ของปี  2561 นั้น พบว่าทั้งหมดมีจำนวนการออกใบอนุญาตถึง 433 ราย โดยการออกใบอนุญาตดังกล่าวในโซนกรุงเทพฝั่งตะวันออกมีมากถึง 271 ราย ซึ่งคิดเป็น 63 % ของทั้งหมด สำหรับ วนา เรสซิเดนซ์ ซึ่งนับว่าเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่อันดับต้นๆ บนถนนศรีนครินทร์ - ร่มเกล้า ซึ่งได้เปิดขายเพียง 1 เดือนเศษ แต่สามารถทำยอดขายไปถึง 30 % หรือกว่า 500 ล้านบาท นับว่าเป็นที่น่าพอใจอย่างมากและเชื่อว่าจะยังสามารถทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งนี้ โครงการ วนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 – ศรีนครินทร์ จะจัดงาน Grand Opening ในวันที่ 13-14ตุลาคมนี้ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร 083-954-9499 ที่ตั้งโครงการ https://goo.gl/maps/REtnzi692Hp
ไซมิส แอสเสท ปั้นแบรนด์ใหม่ระดับลักชัวรี่ “เดอะ คอลเลคชั่น-THE COLLECTION” แฟลกชิพโปรเจกต์ มูลค่า 4,800 ล้านบาท สะท้อนแนวคิด

ไซมิส แอสเสท ปั้นแบรนด์ใหม่ระดับลักชัวรี่ “เดอะ คอลเลคชั่น-THE COLLECTION” แฟลกชิพโปรเจกต์ มูลค่า 4,800 ล้านบาท สะท้อนแนวคิด "Live without Compromise" เพื่อมอบสิ่งที่ดีและคุ้มค่าที่สุด

บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทยที่โดดเด่นด้วยนวัตกรรมแห่งการอยู่อาศัย เปิดพอร์ตท็อปเซกเมนต์ส่งแบรนด์ใหม่เพื่อเติมเต็มตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ ล่าสุดพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม “เดอะ คอลเลคชั่น - THE COLLECTION” แฟลกชิพโปรเจกต์มูลค่าโครงการ 4,800 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “Live without Compromise : ที่สุดของความประณีต ใส่ใจทุกรายละเอียด เพื่อสิ่งที่ดีและคุ้มค่าที่สุด” โชว์ความโดดเด่นด้วยที่สุดแห่งทำเลย่าน “สุขุมวิท-อโศก” และพื้นที่สีเขียวสวนเบญจกิติ เปิดประสบการณ์ครั้งแรกกับคอนโดมิเนียมหรู มุ่งเจาะกลุ่มตลาดที่มีศักยภาพและกำลังซื้อสูง ทั้งกลุ่มแฟมิลี่รุ่นใหม่ นักธุรกิจ นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ   นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด กล่าวว่า “บริษัทฯ ดำเนินการสร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ “ไซมิส - SIAMESE” ด้วยความใส่ใจและความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับประสบการณ์การอยู่อาศัย และการใช้ชีวิตในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ตามสโลแกน “Asset of life…สร้างกำไรให้ทุกการใช้ชีวิต” โดยแบ่งเป็นกลุ่มบ้านจัดสรร คอนโดมิเนียมและสำนักงานซึ่งในกลุ่มคอนโดมิเนียมบริษัทฯ ได้นำเสนอรูปแบบโครงการที่มีความหลากหลาย อาทิ คอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ แบรนด์ “ไซมิส เอ็กซ์คลูซีฟ-SIAMESE Exclusive” คอนโดมิเนียมระดับ Middle High แบรนด์ “ไซมิส – SIAMESE” และคอนโดมิเนียมระดับเออร์เบินแมส แบรนด์ “บลอสซั่ม - Blossom” และล่าสุดได้ดำเนินการสร้างสรรค์โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ซึ่งนับเป็นท๊อปเซกเมนต์ของบริษัทฯ ภายใต้แบรนด์ “เดอะ คอลเลคชั่น-THE COLLECTION” แฟลกชิพโปรเจกต์มูลค่าโครงการ 4,800 ล้านบาท นำเสนอประสบการณ์ครั้งใหม่กับคอนโดมิเนียมที่สุดของทำเลใจกลางสุขุมวิท-อโศก พร้อมการออกแบบตึกที่ทันสมัยรวมถึงวัสดุตกแต่งภายในระดับ World-class ที่โครงการนำเข้ามาจากอิตาลี และเยอรมันเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างมีระดับ” โครงการ “เดอะ คอลเลคชั่น-THE COLLECTION” มีพื้นที่ขนาด 2 ไร่ 57.8 ตารางวา หรือประมาณ 3,431 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 4,800 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ทำเลศักยภาพ บริเวณสุขุมวิท ซอย 16 ซึ่งสามารถเชื่อมไปยังถนนสายหลักได้หลายเส้นทางทั้งสุขุมวิท อโศก และพระราม 4 โดยใช้เวลาเดินทางจากรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอโศกเพียง 2 นาที ดำเนินการออกแบบภายใต้แนวคิด “Live without Compromise : ที่สุดของความประณีต ใส่ใจทุกรายละเอียด เพื่อสิ่งที่ดีและคุ้มค่าที่สุด” โดยควบคุมทุกขั้นตอนการก่อสร้างอย่างประณีตภายใต้มาตรฐานคอนโดมิเนียมระดับสากล แบ่งเป็น 2 อาคาร โดยอาคารหลัก สูง 41 ชั้น ห้องพักอาศัย 443 ยูนิต โดยแบ่งลักษณะห้องชุดเป็นทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ 1-Bedroom (1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ) มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 80 – 34.20 ตารางเมตร จำนวน 334 ยูนิต 2-Bedroom (2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ) มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 80 – 69.50 ตารางเมตร จำนวน 107 ยูนิต Penthouse (3 ห้องนอน) มีพื้นที่ใช้สอยขนาด 20 และ 135.35 ตารางเมตร จำนวน 2 ยูนิต   นายขจรศิษฐ์ กล่าวต่อไปว่า “บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ทั้งด้านการออกแบบและดีไซน์ อย่าง บริษัท ครีเอทีฟครูส์ จำกัด (Creative Crews Ltd.) ที่ปรึกษาด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมของโครงการที่ดึงจุดเด่นสำคัญของโครงการมาร่วมถ่ายทอดเป็นโครงสร้างของโครงการได้อย่างโดดเด่น และ บริษัท ออง แอนด์ ออง ดีไซน์ จำกัด (ONG & ONG Design Co., Ltd) รับผิดชอบด้านการออกแบบภายในผ่านการสะท้อนอัตลักษณ์ของโครงการอย่างมีชั้นเชิง ทั้งความพิถีพิถันในการออกแบบทุกรายละเอียด การเลือกใช้วัสดุนำเข้าระดับโลก อาทิ ชุดครัว แบรนด์ “ชไนเดโร-Snaidero” จากประเทศอิตาลี โดยดีไซเนอร์ผู้ออกแบบรถยนต์ Ferrari ที่ใช้กรรมวิธีปิดผิวหน้าเฟอร์นิเจอร์เช่นเดียวกับการเคลือบสีรถ Ferrari ทำให้พื้นผิวมีสัมผัสที่หรูหราเงางามและช่วยป้องกันรอยนิ้วมือ หรือ อุปกรณ์ชุดครัว แบรนด์ “คุปเปอร์สบุช-Kuppersbusch” และชุดห้องน้ำที่ตกแต่งอย่างประณีต โดยการเลือกใช้สุขภัณฑ์ระดับมาสเตอร์พีซ ผลงานนักออกแบบระดับโลกแบรนด์ “ฮันสโกรเฮอ-Hansgrohe” ซึ่งทุกชิ้นทำมาจากทองเหลือง และทางโครงการ THE COLLECTION ก็ยังสั่งทำสีพิเศษใหม่ ที่สวยเป็นเอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ยังได้นำกระเบื้องหินอ่อน คุณภาพอันดับ 1 ของโลกจากประเทศอิตาลี แบรนด์ “อารีออสเทียร์-Ariostea” จากบริษัทไอริส เซรามิก้า กรุ๊ป (Iris Ceramica Group) ที่การันตีคุณภาพระดับโลก มาใช้ในส่วนของครัวและพื้นห้องน้ำของโครงการ เป็นต้น” สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกได้สร้างสรรค์อย่างครบครัน อาทิ ฟิตเนส (Fitness) โคเวิร์คกิ้งสเปซ (Co-Working Space) มินิเธียเตอร์ (Mini Theatres) ไพรเวท มีทติ้ง รูม (Private Meeting room) สกาย จ๊อกกิ้ง (Sky Jogging) สกาย การ์เด้น (Sky Garden) เป็นต้น รวมทั้งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยและสะดวกสบาย โครงการฯ ตั้งแต่ระบบความรักษาความปลอดภัยภายในลิฟต์ด้วยระบบ CCTV Monitoring & Control ที่เชื่อมต่อกับห้องควบคุมตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้อาศัย รวมถึงที่จอดรถที่มีทั้งแบบมาตรฐาน และที่จอดรถระบบ “Automatic Parking” หรือที่จอดรถอัจฉริยะ และ Home Intelligence System ที่บริษัทฯ พัฒนาขึ้นเพื่อความสะดวกสบายของลูกบ้านในโครงการ ควบคุมทุกอย่างเพียงปลายนิ้วสัมผัส   ด้านกลยุทธ์การตลาดและสื่อสารประชาสัมพันธ์ บริษัทฯ มุ่งเน้นการสร้างความน่าเชื่อถือของโครงการผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ อาทิ แคมเปญผ่าน โซเชียลมีเดีย (Social Media) ทั้ง เฟสบุ๊ค (Facebook) บทความออนไลน์ (Content online) และอื่นๆ เจาะตลาดกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง โดยแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มนักคิดนักธุรกิจคนรุ่นใหม่ “The Thinker” กลุ่มผู้นำเทรนด์ “The Trendsetter” กลุ่มนักเดินทางและนักลงทุน “The Traveler” และกลุ่มนักสะสมและครอบครัวขนาดเล็ก - กลาง “The Collector” ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างภายในปี พ.ศ. 2562 และคาดว่าจะเสร็จสิ้นภายในปี พ.ศ. 2564 โดยราคาขายเริ่มต้นที่ 6.2 - 45 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทั้งกลุ่มนักลงทุนและผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย นายขจรศิษฐ์ กล่าวสรุป
ทอล์กไอเดียแต่งบ้านเสริมฮวงจุ้ยกับ หมอวั้ง

ทอล์กไอเดียแต่งบ้านเสริมฮวงจุ้ยกับ หมอวั้ง

หากเราต้องการจะตกแต่งห้องสักห้อง หรือบ้านสักหลัง แน่นอนว่าแทบทุกคนก็ต้องรีดไอเดียกันมาอย่างเต็มที่ บ้างก็ต้องไปเสาะแสวงหาแนวทางหรือดีไซน์เก๋ๆ เพื่อมาทำให้ที่อยู่ของเรากลายเป็นบ้านในฝันแบบ ‘โฮม สวีท โฮม’ กันอย่างแน่นอน แต่หากมองลึกเข้าไปในตัวบ้านจริงๆ แล้ว ยังมีปัจจัยเล็กๆ ที่หลายคนมองข้ามไป ซึ่งหากเพ่งมองดีๆ เรื่องนี้ก็เป็นไอเดียแต่งบ้านสุดแสนจะสำคัญที่อยู่เคียงคู่กับความเชื่อของเราๆ มาตลอด แน่นอนว่าเรากำลังพูดถึงเรื่องของ “ฮวงจุ้ย” นั่นเอง ส่วนใหญ่แล้วฮวงจุ้ยจะถูกมองว่าเป็นความเชื่อรูปแบบหนึ่ง แต่ใช่ว่าเคล็ดลับทุกอย่างในตำราจะเป็นแค่ความเชื่อเท่านั้น  หัวใจสำคัญของฮวงจุ้ยอิงจากหลักจิตวิทยา และยิ่งถ้าบวกกับความรู้ด้าน Interior Design แล้วล่ะก็ ฮวงจุ้ยจะกลายเป็นศิลปะที่น่าสนใจที่บรรดาเหล่าคนรักบ้านไม่ควรมองข้ามกันเลยทีเดียว ที่สำคัญเมื่อไม่นานมานี้ ‘หมอวั้ง’ หมอดูชื่อดังควบตำแหน่งอดีตนิสิตเอก Interior ทอล์กไอเดียแต่งบ้านผ่านแฟนเพจ Horolive.com ซึ่งเป็นเคล็ดลับแต่งบ้านแบบกูรู อย่างนี้ก็ต้องเอามาเล่าให้คนรักบ้านฟังเพื่อเสริมไอเดียใหม่ๆ แบบไม่ให้ตกหล่นกันเลยดีกว่า สิ่งแรกที่นักแต่งบ้านทุกคนต้องรู้ก็คือ คำแนะนำสั้นๆ 3 ข้อ ที่ต้องจำให้ขึ้นใจ คือ บ้านไม่ควรรก, รีบทิ้งของเน่าเสียในบ้าน และไม่ควรเก็บข้าวของที่ชำรุดแล้วไว้ในบ้าน เพราะสิ่งเหล่านี้จะส่งผลในเรื่องความเหน็ดเหนื่อยวุ่นวายในการใช้ชีวิตและการเงิน ซ้ำยังส่งผลให้คนในบ้านเกิดเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันอีกด้วย และที่สำคัญบ้านที่ไม่รก ไม่มีของเน่าของเสียก็จะดูสะอาดสะอ้าน สบายตา เสริมพลังด้านบวก พร้อมต้อนรับเรื่องดีๆ ใหม่ๆ เข้ามาในบ้าน นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดของตกแต่งอื่นๆ ที่เราอาจมองข้าม ซึ่งหมอวั้งก็ได้เล่าเคล็ดลับเสริมฮวงจุ้ยตั้งแต่หน้าบ้านยันหลังบ้าน ให้เราไปอัพเดทไม่ให้พลาดสักจุดกันเลยทีเดียว   รองเท้า เริ่มจากสิ่งที่ถูกถอดไว้ก่อนเข้าบ้านกันเลย รองเท้าไม่ควรถูกวางขวางทางเข้าบ้าน เพราะเป็นของที่เหยียบย่ำอยู่ติดเท้า และกลิ่นของรองเท้าจะทำให้บรรยากาศของบ้านไม่ดี ที่สำคัญคือเหล่าสัตว์ร้าย อย่างงู มด และแมลงต่างๆ อาจไปซ่อนตัวอยู่ในรองเท้า ซึ่งอาจเป็นอันตรายกับเราได้ วิธีแก้ง่ายๆ คือหาชั้นวางรองเท้าที่เป็นระเบียบวางไว้ข้างประตู ก็ช่วยเปิดทางให้ลมพัดเอาบรรยากาศดีๆ เข้าภายในตัวบ้านได้แล้ว   ปลั๊กไฟ เมื่อเดินผ่านประตูบ้านหรือห้องมา ด้านขวามือไม่ควรเป็นแหล่งรวมของปลั๊กไฟที่ไร้ระเบียบ เพราะด้านขวามือของบ้านคือแหล่งพลังงาน การมีปลั๊กไฟจะทำให้เกิดการขัดแย้งกัน ส่วนสายไฟจะสื่อถึงคลื่น หากไร้ความเป็นระเบียบจะแสดงถึงอาการควบคุมอารมณ์ยาก เกิดการโต้เถียงในครอบครัวบ่อยๆ และจะทำให้เกิดอันตรายอีกด้วย   นาฬิกา ห้ามวางอยู่ปลายเท้าเวลานอน เพราะจะทำให้เกิดความกังวล พักผ่อนได้ไม่เต็มที่ สำหรับนาฬิกาดิจิทัล จะเหมาะกับห้องทำงาน ห้องรับแขก ไม่เหมาะกับห้องนอน เพราะจะทำให้เกิดแสงรบกวนในห้อง และหากเป็นนาฬิกาแบบเข็ม ก็ไม่ควรได้ยินเสียงการเดินของนาฬิกา เพราะเสียงของเข็มนาฬิกาสื่อถึงเวลาชีวิตที่เดินไปหาวันสุดท้าย ที่สำคัญที่สุดคือในบ้านห้ามมีนาฬิกาเสีย เพราะจะทำให้การงานติดขัด และสื่อถึงเรื่องราวในชีวิตเราจะหยุด จะติดขัด สะดุด ไม่ราบรื่น โคมไฟ ไม่ควรซื้อดีไซน์ที่มีความแหลม เป็นปลายหอก ปลายธนู ปลายดาบ ที่ทิ่มลงมา โดยเฉพาะในห้องนอน โต๊ะทานข้าว จะส่งผลเรื่องสุขภาพ โคมไฟแบบห่วง หรือแบบกลมจะช่วยให้การทำธุรกิจรุ่งเรือง เพราะสื่อถึงสัญลักษณ์ Infinity โคมไฟสุ่ม หรือแบบตะแกรงเป็นโคมไฟที่ดี สามารถวางไว้ได้ทุกที่ในบ้าน และโคมไฟหลากสี ตามสีเบญจธาตุ แดง ขาว เขียว น้ำเงิน เหลือง จะสื่อถึงลักษณะฮวงจุ้ยที่ดี   กระจก ข้อห้ามสำคัญ คือห้ามติดกระจกตรงกับช่องบานประตู และไม่ควรติดกระจกตรงกับบันไดแนวที่เราเดินขึ้น เพราะมุมนี้แสดงถึงมุมที่เป็นอันตราย รวมทั้งไม่ควรใช้กระจกที่มีดีไซน์ของรอยต่อหลายแผ่น เพราะรอยต่อนั้นจะสื่อถึงความไม่เชื่อมโยง ไม่สมบูรณ์ ซึ่งกระจกที่ปลอดภัยและสามารถติดได้ทุกจุดของบ้านคือ กระจกทรงกลม กระจกทรงรี ไม่มีเหลี่ยม ไม่มีมุม แต่หากต้องติดกระจกที่มีเหลี่ยม ก็ไม่ควรติดหันเหลี่ยมไปทางมุมที่เราใช้ชีวิต เช่น ที่นอน ที่นั่ง ที่ทำงาน ที่เก็บเงิน   วอลล์เปเปอร์ ในยุคที่มีนวัตกรรมอันหลากหลายจึงเกิดวอลล์เปเปอร์ที่สามารถเขียนได้ ลบได้ และมีคุณสมบัติแม่เหล็กติดของโชว์ได้ ซึ่งวอลล์เปเปอร์นี้ไม่ควรติดไว้ในห้องสำคัญ เช่น ห้องรับแขก ห้องนอน ห้องนั่งเล่น เพราะด้านนั้นจะเป็นด้านผนังที่มีพลังไม่ดี เรื่องของลวดลาย วอลล์เปเปอร์ที่มีลายของสัตว์ดุร้ายหรือสัตว์มีพิษ ห้ามติดภายในบ้าน ในห้องนอนควรหลีกเลี่ยงลายที่ดูมีความแหลมคม พันไปมา ยุ่งยาก ซับซ้อน จะส่งผลในมีปัญหาคู่ครอง ผ้าม่าน นับเป็นสิ่งเสริมฮวงจุ้ยที่ดี เพราะหากหน้าต่างหรือประตูหันหน้าเก็บแสงแดดไว้จะทำให้บ้านร้อน ทำให้เราหลับพักผ่อนไม่สบาย ยิ่งถ้าเปิดเครื่องปรับอากาศ ก็จะทำให้พลังร้อนและเย็นมาปะทะกัน จนทำให้เกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยได้ ซึ่งผ้าม่านแบล็กเอาท์ที่กันแสง UV ได้ 100% ก็เป็นของตกแต่งที่ตอบโจทย์ฮวงจุ้ยได้ดี   สี แม้บางสีจะมีความเป็นมงคลสุดๆ แต่ควรคำนึงถึงความเป็นไปได้และความเหมาะสมในการใช้สีนั้นๆด้วย เช่น สีแดง ไม่ควรทาทั้งบ้าน แต่ควรใช้ในบางมุมของบ้าน เช่น มุมผนังที่เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แนวของเสาที่บังหลบเหลี่ยม ส่วนของประตู เพราะประตูบ้านส่วนใหญ่จะเป็นมุมของความมีชื่อเสียง ที่สำคัญคือตามหลักฮวงจุ้ยไม่ควรรื้อหรือทุบบ้าน การใช้สีทับเพื่อเปลี่ยนฮวงจุ้ยก็ถือเป็นทางเลือกที่ดี   การตกแต่งบ้านที่ดีนอกเหนือจากความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยที่หลากหลายแล้ว ดีไซน์เองก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน และสำหรับคนรักบ้านไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือวัยเก๋าเอง ก็ควรระมัดระวังความลงตัวเข้ากันได้ของบรรยากาศบ้าน เพราะหากเราเลือกของตกแต่งที่เป็นมงคล แต่ไม่เข้ากับแนวทางตกแต่งของบ้านเราเลย ก็จะทำให้บรรยากาศนั้นติดลบเอาเสียเปล่าๆ เพราะความเชื่อที่ดีควรตั้งอยู่ในความเหมาะสม และไม่ก่อความเดือดร้อน ที่สำคัญที่สุดคือ เชื่อแล้วต้องมีความสุข เชื่อแล้วต้องสบายใจนั่นเอง
EVER ปลื้มยอดจองบ้านเดี่ยวคึกคัก

EVER ปลื้มยอดจองบ้านเดี่ยวคึกคัก

เรียกว่าทุ่มเทสุดๆ สำหรับบอส "สวิจักร์  โลจายะ" บมจ.เอเวอร์แลนด์ (EVER) ช่วงนี้วิ่งรอกสุด ๆ  ทั้งเรียกประชุมทีมงานชนิดเกาะติดสถานการณ์ โดยเฉพาะยอดโอนโครงการแนวสูง ย่านสนามบินน้ำ "โพลิแทน บรีซ ” มูลค่า 1,900  ล้านบาท ปรากฏว่าผลออกมา ยอดโอนดี๊ดี ...ด้านโครงการแนวราบ ภายใต้แบรนด์ "มายโฮมอเวนิว "ย่านรามอินทรา-จตุโชติ ราคา 3 ล้านกว่าบาทคึกคักไม่แพ้กันเลย หลังจากเปิดขายตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมา ตอนนี้ขอบอก…ยอดขายเกินครึ่ง จากทั้งหมด 61หลัง  แถม เตรียมให้ลูกค้าทยอยเข้าตรวจบ้านได้ตั้งแต่เดือนต.ค.ถึง พ.ย.นี้ .……ผลงานดีแบบนี้ขอปรบมือให้แบบรัวๆ เลยคร้า

1 ... 56 57 58 ... 103