ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 57 58 59 ... 103
‘เอพี ไทยแลนด์’ รุกตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ เปิดตัวคฤหาสน์หรู THE PALAZZO ศรีนครินทร์ รับตลาดอสังหาฯ โค้งสุดท้ายสดใส

‘เอพี ไทยแลนด์’ รุกตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ เปิดตัวคฤหาสน์หรู THE PALAZZO ศรีนครินทร์ รับตลาดอสังหาฯ โค้งสุดท้ายสดใส

เอพี ไทยแลนด์ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมืองมั่นใจตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยโค้งสุดท้ายยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เผยแผนธุรกิจไตรมาส 4/2561 เปิดเกมรุกตลาดบ้านเดี่ยวซูเปอร์ลักชัวรี่ อีกหนึ่งกลยุทธ์สู่การเติบโตในระยะยาว ด้วยโครงการ ‘THE PALAZZO ศรีนครินทร์’ คฤหาสน์หรูบนที่ดินล้ำค่าผืนสุดท้ายที่ดีที่สุดบนถนนศรีนครินทร์ แตกต่างด้วยการผสานเสน่ห์งานศิลป์เข้ากับการออกแบบสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่า เพียง 52 ยูนิต เริ่ม 29 ล้านบาท เตรียมเปิดตัว 18 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 31,230 ล้านบาท ด้านผลงาน 9 เดือนที่ผ่านมามียอดขายแล้วกว่า 30,700 ล้านบาท คิดเป็น 77% ของเป้ายอดขายที่ปรับขึ้นใหม่เป็น 39,800 ล้านบาท   THE PALAZZO ศรีนครินทร์ มาพร้อมคอนเซปต์ ‘Masterpiece for Generations’ สุนทรียะแห่ง การอยู่อาศัยเหนือระดับ ใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งอยู่บนพื้นที่รวม 31 ไร่ แวดล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เป็นความสง่างามบนถนนศรีนครินทร์ ประหนึ่งของขวัญล้ำค่าที่พร้อมส่งมอบให้กับคนรุ่นถัดไป ด้วยความ-พิเศษเพียง 52 ยูนิตเท่านั้น พร้อมเปิดให้เข้าชมโครงการตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ราคาเริ่มต้น 29 - 60 ล้านบาท นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กร และการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “ตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้ายมีแนวโน้มการเติบโตดี กำลังซื้อในธุรกิจอสังหาฯ ยังมีอยู่ สถานการณ์โดยรวมของตลาดมีสัญญาณการตอบรับที่ดีโดยเฉพาะเซกเมนต์สินค้าระดับกลางบนที่โฟกัสทำเลใจกลางเมือง ยังคงได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าครอบครัวคนเมือง สะท้อนได้จากยอดขาย 9 เดือนที่ผ่านมาของเอพี มียอดขายแล้วกว่า 30,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากทั้งการเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ คอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Existing Projects) รวมถึงโครงการแนวราบซึ่งมีสัดส่วนการเติบโตทางยอดขายที่ดีขึ้นเช่นกัน” “ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี บริษัทฯ ยังคงสานต่อกลยุทธ์การดำเนินงานสู่ความสำเร็จที่วางไว้ ด้วยการรุกตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ ในกลุ่มสินค้า THE PALAZZO ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าระดับบน ที่มองหาที่อยู่อาศัยพรีเมี่ยมในทำเลศักยภาพ ด้วยการออกแบบภาพลักษณ์โครงการใหม่ที่สอดรับกับพฤติกรรมลูกค้าในปัจจุบัน โดยพร้อมเปิดตัวคฤหาสน์หรูโมเดลใหม่เป็นโครงการแรก ที่ ‘THE PALAZZO ศรีนครินทร์’ โครงการแฟล็กชิพระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ที่ได้รับการออกแบบให้เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย ภายใต้คอนเซปต์ Masterpiece for Generations ที่พร้อมส่งมอบเป็นมรดกล้ำค่าแก่สมาชิกในครอบครัวทุกเจนเนอเรชั่น” นายวิทการกล่าว “ทั้งนี้ จุดต่างของแบรนด์ THE PALAZZO คือการผสานความงดงามของศิลปะสไตล์ American Neo Classic เข้ากับการพัฒนาโครงการ จนเกิดเป็นงานสถาปัตยกรรมที่สวยงามข้ามกาลเวลา ภายใต้แนวคิด ‘แอนทีเบลลัม (Antebellum Architectural)’ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะทาง ด้วยงานสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ทั้งรูปร่างอาคารที่สมมาตร (Symmetrical Shape) สามเหลี่ยมจั่วด้านหน้าอาคาร (Triangular Pediment) เสาที่สูงขึ้นไปจนเต็มความสูงอาคาร (Tall Column) แนวระเบียงรอบตัวอาคาร (Balcony) และจุดเด่นที่สำคัญที่งานสถาปัตยกรรมส่งผลไปสู่การออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในคือ การมีบานหน้าต่างที่อยู่รายล้อมบ้าน ส่งผลให้ทุกห้องภายใน THE PALAZZO เชื่อมต่อกับพื้นที่ภายนอกผ่านบานหน้าต่างหรือช่องแสงได้ทุกพื้นที่บ้าน” นายวิทการกล่าวเสริม   นอกจากนั้นแล้ว โครงการยังได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด Landscape within Landscape ซึ่งหมายถึงนอกจากความตั้งใจในการจัดวางงานภูมิสถาปัตยกรรมภายในให้ร่มรื่น เป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตเพียง 52 ยูนิตแล้ว ที่ตั้งของโครงการยังถือเป็นที่ดินผืนเดียวและผืนสุดท้ายที่แวดล้อมด้วยปอดขนาดใหญ่ กับพื้นที่สีเขียวจากสวนหลวง ร.9 โครงการแก้มลิงตามพระราชดำริฯ บึงหนองบอน สวนวนธรรม และสนามกอล์ฟศรีนครินทร์ THE PALAZZO ศรีนครินทร์ ได้รับการออกแบบให้เป็นมาสเตอร์พีซจากรุ่นสู่รุ่น เพียงแห่งเดียวบนถนนศรีนครินทร์ (Land of Longevity) มอบความสงบและเป็นส่วนตัว ปลีกตัวจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่แก่ 52 ครอบครัวเท่านั้น สะดวกสบายด้วยทำเลที่เข้าถึงได้ทุกการเดินทาง เชื่อมต่อกับตัวเมืองทั้งถนนสุขุมวิท ถนนพัฒนาการ และถนนบางนา-ตราด อีกทั้งยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) ที่จะสร้างเสร็จในปี 2564 โดยยังรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน ทั้งแหล่งช้อปปิ้ง สถานศึกษา สถานพยาบาล และเดินทางสะดวกสู่สนามบินสุวรรณภูมิ   คฤหาสน์หรู THE PALAZZO ศรีนครินทร์ เอกสิทธิ์พิเศษสำหรับ 52 ครอบครัวเท่านั้น ทุกพื้นที่ใช้สอยภายในโครงการล้วนได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงการพักผ่อนที่เป็นส่วนตัวสูงสุด (Ultimate Retreat) ด้วยแบบบ้าน 3 Type ที่สอดรับกับจำนวนสมาชิกในครอบครัวที่แตกต่างกัน 1) ANTONIO คฤหาสน์ 2 ชั้น 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 391 ตารางเมตร พื้นที่ 102 ตารางวา  2) MONTICELLO คฤหาสน์ 2 ชั้น 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 528 ตารางเมตร พื้นที่ 125 ตารางวา 3) LORENZO คฤหาสน์ 2 ชั้น 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 547 ตารางเมตร พื้นที่ 160 ตารางวา  พร้อม Clubhouse สระว่ายน้ำระบบเกลือ ฟิตเนส และ Social Club ขนาดใหญ่ รองรับกิจกรรมสำหรับครอบครัวตลอด 365 วัน เอกสิทธิ์ของการใช้ชีวิตเหนือระดับ เริ่มต้น 29 – 60 ล้านบาท ทั้งนี้ ณ 9 เดือนแรก บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายมูลค่า 30,700 ล้านบาท คิดเป็น 77% ของเป้ายอดขายใหม่ ที่ปรับขึ้นใหม่เป็น 39,800 ล้านบาท ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2561 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการอีก 18 โครงการ มูลค่า 31,230 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 14,000 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่า 7,840 ล้านบาท และทาวน์โฮม 10 โครงการ มูลค่า 9,390 ล้านบาท พร้อมโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Existing Projects) อีกกว่า 90 โครงการ ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้เกินเป้าหมายใหม่ที่ตั้งไว้   “โดยเอพียังคงมุ่งสานต่อเป้าหมายในการรักษาความเป็นผู้นำตลาดอย่างต่อเนื่อง เราพร้อมเปิดตัวสินค้าใหม่ เน้นย้ำจุดแข็งทั้ง ‘การเป็นหนึ่งเดียวเรื่องทำเลที่ตั้ง’ ‘การพัฒนานวัตกรรมดีไซน์และแบบบ้านโมเดลใหม่ๆ’ ความโดดเด่นด้านแนวคิดของ ‘การดีไซน์พื้นที่’ ที่สร้างความแตกต่างให้กับการอยู่อาศัย พร้อมการออกแบบ ที่สอดรับกับพฤติกรรมลูกค้าครอบครัวเมือง รวมถึงรูปลักษณ์และฟังก์ชั่นการใช้งานภายใน ซึ่งเอพีเชื่อมั่นว่าทั้งหมดนี้จะได้รับการตอบรับที่ดี และเราจะสามารถบรรลุยอดขายเป้าหมายใหม่ที่ตั้งไว้ โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้เอพียังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการที่จับกลุ่มเป้าหมายระดับกลางถึงระดับบน ด้วยแพคเกจราคาขายที่ครอบคลุมความสามารถในการซื้อของคนเมืองในปัจจุบัน ที่เริ่มตั้งแต่ 2 ล้านบาท จนถึงกลุ่มสินค้าระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ที่เริ่มต้นในราคา 29 ล้านบาทเป็นต้นไป” นายวิทการกล่าวสรุป   สรุปในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ สร้างยอดขายรวมได้แล้วถึง 30,700 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียม มูลค่า 15,080 ล้านบาท แนวราบมูลค่า 15,620 ล้านบาท มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ามากถึง 55,240 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 10,035 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 45,205 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) โดยจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566
บจก.สิรยศ รับสัญญาณบวกภาคธุรกิจอสังหาฯ ปักหมุดผุด “โดว์เช่ ลาซาล” (DOLCE LASALLE) บูทีคคอนโดใกล้บีทีเอสแบริ่ง เน้นตอบโจทย์กลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ในราคาที่เอื้อมถึง

บจก.สิรยศ รับสัญญาณบวกภาคธุรกิจอสังหาฯ ปักหมุดผุด “โดว์เช่ ลาซาล” (DOLCE LASALLE) บูทีคคอนโดใกล้บีทีเอสแบริ่ง เน้นตอบโจทย์กลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ในราคาที่เอื้อมถึง

บริษัท สิรยศ จำกัด เห็นแนวโน้มภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ส่งสัญญาณบวก พร้อมลุยตลาดไตรมาสสุดท้าย เล็งทำเลกรุงเทพฯ โซนฝั่งตะวันออก เปิดตัวโครงการ “โดว์เช่ ลาซาล” (DOLCE LASALLE) บูทีคคอนโดมิเนียม บนทำเลเด่นใกล้บีทีเอสแบริ่ง มูลค่า 450 ล้านบาท ชูจุดเด่น ดีไซน์ ฟังก์ชั่น พร้อมเพิ่มสัดส่วน พื้นที่ส่วนกลาง หวังตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าวัยทำงาน ด้วยราคาเริ่มเพียง 75,000 บาท/ตารางเมตร มั่นใจในคุณภาพและราคา ตั้งเป้าโกยยอดขายได้ 50% ภายในต้นปีหน้านี้ คาดสามารถปิดการขายทั้งโครงการในอีก 2 ปี นายวิจาร คุปติพงศ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิรยศ จำกัด เปิดเผยว่า “ในปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทฯ เล็งเห็นสัญญาณที่ดีของตลาดอสังหาริมทรัพย์ตามแน้วโน้มเศรษฐกิจ ซึ่งมีความคล่องตัวเพิ่มขึ้นกว่าช่วงปี 2559 โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สร้างแคมเปญต่างๆ เพื่อกระตุ้นยอดขายออกมาอย่างคึกคัก ขณะที่ตลาดของผู้ประกอบการรายย่อยนั้น เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ผู้บริโภคมีกำลังซื้อที่พักอาศัย ทั้งเพื่ออยู่อาศัยและการลงทุน ซึ่งนับเป็นผลดีกับทางผู้ประกอบการรายย่อย เพราะบริษัทฯ สามารถพัฒนาโครงการด้วยรายละเอียดที่พิถีพิถันได้มากกว่ารายใหญ่ที่ต้องพัฒนาหลากหลายโครงการออกมาพร้อมๆ กัน เหมือนกับการทำงานศิลปะที่ต้องใช้ความใส่ใจและความเข้าใจในผลงาน ซึ่งเราให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ทำให้ผลประกอบการที่ผ่านมา ได้รับผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ดังเช่นโครงการ โดว์เช่ อุดมสุข (DOLCE UDOMSUK) โดยบริษัทฯ มียอดขายกว่า 95% ทั้งยังได้รับรางวัลการันตี PEAT AWARDS 2018 (Property Export Awards Thailand 2018 by NIDA) ซึ่งเป็นโครงการเดียวที่ได้รับ 2 รางวัล คือ Best Luxury Low Rise Condominium และ Best Boutique Low Rise Condominium”   “ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์เดียวกันคือ โดว์เช่ ลาซาล (DOLCE LASALLE)  ที่ยังคงเน้นความใส่ใจในรายละเอียด ตั้งแต่การเลือกที่ดินที่มีศักยภาพทางทำเลที่สะดวกสบาย ครบครัน การเดินทางที่ห่างจากบีทีเอสสถานีแบริ่งเพียง 700 เมตร และใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมถึงคุณภาพชีวิตที่ดี รายล้อมไปด้วยความเจริญทั้งห้างสรรพสินค้า โรงเรียนนานาชาติ และโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ ตลอดจนการออกแบบดีไซน์ที่ลงรายละเอียด สามารถตอบโจทย์ความต้องการผู้อยู่อาศัยได้อย่างแท้จริง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการคำนึงถึงกำลังจ่ายเพื่อการซื้อที่พักอาศัยของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งยังคงเน้นความหรูหราและคุณภาพที่ดีเพื่อชีวิตที่ดีกว่า ในราคาที่เหมาะสมเริ่มต้นไม่เกิน 2 ล้านบาทเท่านั้น” ขณะที่ นายวรพจน์ ลิ้นกนกรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิร์คสเปซอาร์คิเทกเจอร์สตูดิโอ จำกัด กล่าวถึงคอนเซ็ปต์การตกแต่งออกแบบโครงการโดว์เช่ ลาซาล ว่า “สไตล์การออกแบบยังคงเป็น Modern Classic ที่นับว่าเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ โดว์เช่ (DOLCE) โดยครั้งนี้เราได้ใส่กลิ่นอายสถาปัตยกรรมแบบ French Classical เพื่อให้สอดคล้องกับสถานที่ตั้งซอยลาซาล สามารถอยู่ได้จริงในชีวิตประจำวัน โดยใช้วัสดุธรรมชาติจริง เช่น หินธรรมชาติบน top ครัว หรือ top ในห้องน้ำ พร้อมเติมเต็มพื้นที่ส่วนกลางที่ครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือยาวกว่า 20 เมตร, Stream แยกชาย-หญิง, Lobby, Library, Game Room, Work-Place เพื่อตอบสนองคนทำงานที่สามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา ฯลฯ ด้วยคำนึงถึงไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยเป็นปัจจัยหลัก ทำให้เป็นการออกแบบของเราเน้นที่การให้สัดส่วนพื้นที่ส่วนกลางมากกว่าโครงการที่ผ่านมา โดยเฉพาะที่จอดรถ ที่สูงถึง 50% นับว่าสูงมากกว่าคอนโดในย่านนี้เป็นส่วนใหญ่” “โครงการ โดว์เช่ ลาซาล (DOLCE LASALLE) มูลค่ารวมกว่า 450 ล้านบาท มีจำนวนยูนิตไม่มากนักเพียง 178 ยูนิต ราคาเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวอยู่ที่ 75,000 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น ซึ่งโครงการฯ มีห้องหลากหลายขนาดให้เลือกตั้งแต่แบบสตูดิโอ (Studio) ขนาดพื้นที่ 24.6 ตารางเมตร, แบบ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 30.4 ตารางเมตร และแบบ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 45.4 ตารางเมตร เพื่อตอบสนองทุกๆ ความต้องการของลูกค้า ซึ่งรองรับได้ทั้งกลุ่มคนโสด และกลุ่มที่กำลังสร้างครอบครัว โดยเบื้องต้นบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขาย 50 % ภายในต้นปี 2562 และคาดว่าจะปิดการขายโครงการภายในปี 2563” นายวิจาร คุปติพงศ์กุล กล่าวในที่สุด ทั้งนี้ บริษัทฯ จะเปิดพรีเซลในวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้  โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือ กลุ่มคนทำงานยุคใหม่อายุเฉลี่ยตั้งแต่ 25 – 40 ปีที่มีกำลังซื้อคอนโดฯ ในราคาเริ่มต้นไม่เกิน 2 ล้านบาท คาดว่าในวันเปิดพรีเซลจะมียอดขายกว่า 40% สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dolcecondo.com  หรือโทร. 0-2117-3463-4

"ยิปซัมตราช้าง" แนะเคล็ดลับรีโนเวทบ้านสร้างความสุขให้กับผู้สูงอายุ

ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยเฉพาะประเทศไทยซึ่งกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในปี 2564 โดยจะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปในสัดส่วนสูงถึง 20%  ทำให้สัดส่วนของผู้สูงอายุต่อประชากรวัยทำงานสูงถึง 1 ต่อ 4 คน (ข้อมูลอ้างอิงจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของคนในสังคมที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการอยู่อาศัยและที่อยู่อาศัยที่ต้องสามารถตอบสนองการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุให้มีความเหมาะสม สะดวกสบาย และปลอดภัยมากขึ้น  “ยิปซัมตราช้าง”  ตระหนักถึงความสำคัญนี้ จึงขอนำเสนอเคล็ดลับ “การรีโนเวทบ้านเพื่อผู้สูงอายุ” เพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่มาพร้อมกับมาตรฐานความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น สำหรับพื้นที่ใช้งานของผู้สูงอายุที่มีการใช้งานในชีวิตประจำวันบ่อยครั้ง เช่น ห้องนอน ห้องน้ำ และพื้นที่ใช้สอยส่วนกลาง ควรจัดให้อยู่บริเวณชั้นล่าง เพื่อความสะดวกและปลอดภัยไม่ต้องเดินขึ้นลงบันได เริ่มที่ ห้องนอน ขนาดพื้นที่ห้องนอนควรกว้างขวางพอสำหรับพักผ่อนและทำงานอดิเรก ควรอยู่ใกล้ห้องน้ำหรือมีห้องน้ำในตัว มีหน้าต่างในขนาดและระดับที่เหมาะสมให้มองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกชัดเจนและรับแสงธรรมชาติได้ เพิ่มความปลอดภัยด้วยการติดตั้งไฟอัตโนมัติพร้อมเซ็นเซอร์บริเวณเตียงและตามทางเดิน เพื่อช่วยนำทางให้ผู้สูงอายุลุกเดินไปห้องน้ำในเวลากลางคืนได้สะดวกยิ่งขึ้น ห้องน้ำ ไม่ควรมีพื้นต่างระดับ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุกับผู้สูงอายุหากเกิดอาการกล้ามเนื้อหรือแขนขาอ่อนแรง พื้นผิวกระเบื้องต้องไม่ลื่นและมีค่าความฝืดที่เหมาะสม ควรติดตั้งราวจับทรงตัวบริเวณที่นั่งอาบน้ำเพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัย   นอกจากนี้ควรติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือด้วย หากเกิดการล้มและเหตุฉุกเฉินเพื่อคนในบ้านจะสามารถช่วยเหลือได้ทันท่วงที พื้นที่ทั่วไปภายในบ้าน ควรติดตั้งราวจับทรงตัวไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อช่วยพยุงตัวระหว่างเดิน และลดความเสี่ยงในการหกล้ม   วัสดุปูพื้นควรเลือกใช้ที่พื้นผิวเรียบแต่ไม่ลื่น มีความนุ่มแต่ไม่ยวบจะช่วยลดแรงกระแทกได้ และยังช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถทรงตัวได้ดีขณะเดิน ประตูควรเป็นประตูบานเลื่อนระบบรางแขวนด้านบน เพื่อไม่ให้มีธรณีประตูหรือรางกีดขวางด้านล่าง ช่วยลดโอกาสการสะดุดหกล้มและควรมีความกว้างที่มากพอหากต้องรองรับการใช้งานของรถเข็น มือจับประตูต้องมีขนาดที่เหมาะสม ใช้แรงน้อยในการเปิดปิด ไม่ลื่นมือ และไม่มีเหลี่ยมมุมที่อาจทำให้เกิดอันตรายจากการล้มกระแทกหรือเกี่ยวเสื้อผ้า พื้นที่ภายนอก สามารถจัดสรรพื้นที่ทำสวน เพื่อสร้างความรู้สึกผ่อนคลายและกระตุ้นให้ผู้สูงอายุรู้สึกมีชีวิตชีวาได้ด้วยการทำกิจกรรมเบาๆ อย่างเช่น รดน้ำต้นไม้ พื้นทางเดินภายนอกควรเป็นพื้นระดับเดียวและมีความเรียบสม่ำเสมอกันทั้งผืน ควรเลือกใช้วัสดุพื้นที่ไม่ลื่นและช่วยลดแรงกระแทก หากเกิดการล้มก็จะช่วยบรรเทาความรุนแรงได้ นอกจากนี้ยังควรติดตั้งราวจับทรงตัวและเตรียมพื้นที่สำหรับนั่งพักด้วย สำหรับการปรับปรุงและขยายห้องกรณีที่ภายในบ้านมีผู้สูงอายุที่ต้องนั่งวีลแชร์ ทำให้ห้องเดิมกลายเป็นห้องที่เล็กเกินไปจะขยับไปทางไหนก็ติดและกลับตัวไม่สะดวก ในกรณีแบบนี้เราสามารถติดตั้งผนังยิปซัมเพื่อช่วยขยายพื้นที่ได้ ด้วยการรื้อผนังเดิมและขยับแนวผนังเพื่อขยายห้อง โดยควรเลือกใช้ผนังยิปซัมที่มีความหนา12มม. เพราะจะสามารถทนทานต่อแรงกระแทกได้ดี   นอกจากเคล็ดลับด้านบนแล้ว “ยิปซัมตราช้าง” ขอนำเสนอนวัตกรรมระบบปิดผิวผนังอีซี่ฟินิช ตราช้าง (EASYFINISH™ System) “นวัตกรรมเพื่อผิวผนังที่สมบูรณ์แบบ” ช่วยให้ผนังสวยเรียบเนียน ปราศจากรอยร้าว ทำให้ผนังได้ระนาบช่วยให้การติดตั้งเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินเรียบเนียนสวยงาม ทำงานได้งานเร็วขึ้น ช่วยลดมลภาวะจากฝุ่นละออง เหมาะสำหรับบ้านที่มีผู้อยู่อาศัยและต้องการรีโนเวทบ้านให้รองรับกับการใช้งานของผู้สูงอายุได้อย่างครบถ้วน   สำหรับท่านใดที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลการใช้งานเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนยิปซัมตราช้าง โทร. 02-555-0000 หรือ www.siamgypsum.com หรือ facebook fanpage:@GypsumTraChangTH
โฮมโปร ชี้กลยุทธ์พัฒนาสินค้า Private Brand ชูจุดต่าง ดีไซน์ ฟีเจอร์  ฟังก์ชัน ตอบโจทย์ทุกกลุ่ม Segment เชื่อสัดส่วนเพิ่ม  25% ในอนาคต

โฮมโปร ชี้กลยุทธ์พัฒนาสินค้า Private Brand ชูจุดต่าง ดีไซน์ ฟีเจอร์ ฟังก์ชัน ตอบโจทย์ทุกกลุ่ม Segment เชื่อสัดส่วนเพิ่ม 25% ในอนาคต

โฮมโปร เผยกลยุทธ์การพัฒนาสินค้ากลุ่ม Private Brand หลังพบแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่อง ชูกลยุทธ์ 3 จุดต่างด้าน ดีไซน์ ฟีเจอร์ และฟังก์ชัน ในระดับคุณภาพดี ราคาย่อมเยา เพื่อตอบโจทย์ทุกกลุ่ม Segment ลูกค้า ที่มีความต้องการแตกต่างกัน เชื่อมั่นจะสามารถเพิ่มสัดส่วนการเติบโตเป็น 25% ในอนาคต นางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือโฮมโปร ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร  เปิดเผยว่า จากการเปลี่ยนแปลงของตลาดและพฤติกรรมการเลือกซื้อ เลือกใช้สินค้าของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยเทคโนโลยี และความหลากหลายของสินค้าที่มีให้เลือกเพิ่มมากขึ้น โฮมโปร ในฐานะธุรกิจ Retail ที่ดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 22 ปี ได้ศึกษา วิจัย และนำไปสู่การปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับตลาด และเข้าถึงความต้องการภายใน (Insight) ของผู้บริโภค โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาสินค้ากลุ่ม ไพรเวทแบรนด์ (Private Brand) ที่ปัจจุบันสามารถสร้างสัดส่วนรายได้ได้ถึง 20%   และเพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โฮมโปรได้พัฒนาสินค้ากลุ่ม ไพรเวทแบรนด์ (Private Brand)  ใหม่พร้อมยกระดับสินค้าจาก Good เป็น Better  และ Best ตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า,เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน, ห้องน้ำ, ห้องครัว, เครื่องมือช่าง และอุปกรณ์เกี่ยวกับการทำความสะอาด ด้วยกลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง (Differentiation) ที่ต้องมีคุณค่ากับผู้บริโภคทั้งในด้านดีไซน์ ฟีเจอร์ และฟังก์ชั่น โดยต้องคำนึงถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณภาพของสินค้าต้องดีเยี่ยม ได้มาตรฐานในราคาที่จับต้องได้ และหาซื้อได้ที่เดียวคือที่โฮมโปร หรือ Exclusive @ HomePro เท่านั้น   เนื่องจากผู้บริโภคในยุคนี้จะเลือกสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด บวกกับการฉีกกฎแบบแผนทางการตลาดด้วยวิธีการนำเสนอผ่านช่องต่างๆ ผ่านการสร้างประสบการณ์ในรูปแบบ Inspiration video content เพื่อเข้าถึงปัญหา และการแก้ไขได้จริงในเรื่องบ้านด้วยวิธีง่ายๆ ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจมากยิ่งขึ้นขึ้น อีกทั้งยังเลือกใช้กลยุทธ์ในการเข้าถึงง่ายในตัวผลิตภัณฑ์  ด้วยวิธีการกระจายสินค้าให้มากที่สุดทั้งทางหน้าร้านในประเทศ และสาขาต่างประเทศ และบนแพลตฟอร์มดิจิทัล หรือ อีคอมเมิร์ซ ที่สามารถเลือกซื้อสินค้าได้ทั้งทาง Website และ Line ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีในการผลักดันสินค้ากลุ่มไพรเวทแบรนด์ (Private Brand) ให้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 25% ในอนาคต “การให้ความสำคัญกับการเดินหน้าสร้างสินค้าไพรเวทแบรนด์ระดับพรีเมี่ยมของโฮมโปรนั้น ใช้เวลาและทุ่มเทกันหนักมาก โดยชิ้นงานแต่ละชิ้นที่จะออกสู่ตลาดและวางจำหน่ายได้นั้น ต้องใช้ความประณีตเป็นอย่างมาก  โดยมีเกณฑ์ชี้วัดที่สำคัญคือในเรื่องงบประมาณและคุณภาพที่เท่าเทียมกัน   ลูกค้าเห็นสินค้าแล้วตัดสินใจเลือกซื้อกลับบ้าน ที่สำคัญที่สุดเมื่อใช้แล้วมีการบอกต่อและมีการซื้อซ้ำ นั่นสะท้อนให้เห็นว่าไพรเวทแบรนด์ของเราได้เข้าไปครองใจผู้บริโภค และเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันที่อยู่ในบ้านของลูกค้าอีกด้วย”  นางสาวสิริวรรณ กล่าวเพิ่มเติม   สำหรับกลุ่มสินค้า ไพรเวทแบรนด์ (Private Brand)  ที่มีอัตราการเติบโตเป็นอันดับหนึ่ง คือกลุ่ม Home Textile ภายใต้แบรนด์ HLS – Home Living Style เน้นกลุ่มผ้าเป็นหลักทั้ง ผ้าม่าน หมอน พรม ผ้าปูที่นอน Wallpaper  และของตกแต่งภายในบ้าน ซึ่งสามารถตอบโจทย์ให้กับคนรักบ้านที่มีความต้องการ และไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายได้เป็นอย่างดี ด้วยจุดเด่นในด้านความละเอียดอ่อนของกระบวนการผลิต ออกแบบ และสำคัญที่สุดคือนวัตกรรมที่คำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าเป็นหลัก โดย Product Line ในกลุ่มของ HLS เกือบทั้งหมดได้ผ่านรับการรับรอง หรือ Certificate จากหลากหลายสถาบัน ที่สามารถเชื่อมั่นได้ว่าปลอดภัยกับผู้ใช้งาน การันตีว่าสินค้ามีคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ อาทิเช่น ผ้าม่าน HLS ถูกคัดสรรมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันที่มีความกังวลเรื่องแสงแดด และสุขภาพผิว โดยได้แบ่งผ้าม่านออกเป็น 2 ชนิด คือ ผ้าม่าน Black out ช่วยป้องกันแสง ป้องกันรังสี UVA/UVB ได้ถึง 99% ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงาน และลดอุณหภูมิภายในห้องได้ประมาณ 3-5 องศา และผ้าม่าน Dim out มีคุณสมบัติช่วยลดแสงเพียงอย่างเดียว  แสงแดดบางส่วนสามารถลอดเข้ามาได้บ้าง ซึ่งผ้าม่านทั้ง 2 ชนิด มีคุณสมบัติโดดเด่นที่ผ่านการรับรองระดับประเทศ ในด้านความปลอดภัยในการใช้งาน และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม การันตีด้วยฉลาก  Smart Fabric UV Protection หรือ เนื้อผ้าอัจฉริยะ จากสถาบันอุตสาหกรรมพัฒนาสิ่งทอ (THTI) เพื่อการันตีในเรื่องมาตรฐานและทำความสะอาดง่าย และที่สำคัญใช้การวิธีการย้อมสีที่ปลอดสารก่อมะเร็ง พรม HLS ไม่ได้เน้นแค่ฟังก์ชัน สิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องคุณภาพ และความปลอดภัย (Safety) ได้รับการรับรองว่าการผลิตไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม หรือ Confidence in Textile สามารถซักทำความสะอาดได้  กันลื่นได้ดี ด้วย Thermoplastic rubber ที่จะช่วยเรื่องความปลอดภัย Microfiber เส้นใยอ่อนนุ่ม ซับน้ำได้ดี และ Antibacterial ป้องกันเชื้อโรคเกาะบนเส้นใยของพรม และไม่มีผลต่อสุขภาพซึ่งผ่านการทดสอบแล้ว จากสถาบันอุตสาหกรรมสิ่งทอ (THTI) หมอน HLS มีหลากหลายฟังก์ชั่น ที่คัดสรรมาเพื่อตอบโจทย์ปัญหาของลูกค้าที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องสุขภาพ ปวดต้นคอ ภูมิแพ้  หรือเป็นหวัด เพราะใช้วัสดุผ้าหุ้มที่ป้องกันแบคทีเรีย รวมถึงไลฟ์สไตล์การนอนที่แตกต่างกัน ซึ่งได้นำเทคโนโลยี เข้ามาช่วยในการผลิต เพื่อให้ลูกค้าสามารถได้สินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม เช่น  หมอนขนเป็น ขนห่าน , หมอนชาโคล , หมอนยางพารา , หมอนสำหรับเด็ก และหมอนเมมโมรี่โฟม   นอกเหนือจากกลุ่มสินค้า Home Textile แล้ว ยังมีแบรนด์อื่นๆที่ได้รับความนิยมภายใต้ Private Brand ของโฮมโปร อาทิ Furdini (กลุ่มเฟอร์นิเจอร์) , Moya  และ TARA (กลุ่มห้องน้ำและกระเบื้อง) , Carini และ Elektra (โคมไฟ) , Cabin (เคาน์เตอร์ครัว) เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์ทุกๆพื้นที่ภายในบ้านให้ครบจบในที่เดียว ที่โฮมโปรเท่านั้น นางสาวสิริวรรณ กล่าวปิดท้าย
จิม ทอมป์สัน เปิดตัว เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่นใหม่ ออกแบบโดย Ed Tuttle

จิม ทอมป์สัน เปิดตัว เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่นใหม่ ออกแบบโดย Ed Tuttle

จิม ทอมป์สัน ร่วมกับมิสเตอร์ เอ็ด ทัตเทิล สถาปนิกชื่อดังระดับโลกจากกรุงปารีส เปิดตัว “จิม ทอมป์สัน เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่น ออกแบบโดย Ed Tuttle” (Ed Tuttle Furniture Collection) อย่างเป็นทางการ   มิสเตอร์เอ็ด ทัตเทิล (Ed Tuttle) คือสถาปนิกที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายถึงการเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานระดับลักชัวรี่ให้กับโรงแรมและที่พักอาศัยสุดเอ็กซ์คลูซีฟทั่วโลก โดยผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักมากที่สุด ได้แก่ ผลงานการออกแบบให้กับโรงแรมพาร์คไฮแอท ปารีส – วองโดม (Park Hyatt Paris-Vendome) โรงแรม พาร์ค ไฮแอท มิลาน (Park Hyatt Milan) และโครงการต่างๆ ของเครืออมัน (Aman Resorts Hotel) ที่ไว้วางใจให้เขาเป็นสถาปนิกผู้ออกแบบโรงแรมและรีสอร์ทสุดลักชัวรี่ที่ดำเนินกิจการอยู่ทั่วโลก โดยในหลายต่อหลายโครงการ เขาได้เจาะจงเลือกใช้ผ้าของจิม ทอมป์สัน ในการสร้างสรรค์ผลงานแสนสง่างามมากมาย แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดีและแน่นแฟ้นระหว่าง จิม ทอมป์สัน และ เอ็ด ทัตเทิล ที่มีมาอย่างยาวนาน และได้ถูกสานต่อจนเป็นแรงผลักดันในการสร้างสรรค์เฟอร์นิเจอร์สุดพิเศษร่วมกันในครั้งนี้     สำหรับ จิม ทอมป์สัน เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่น ออกแบบโดย Ed Tuttle นี้นำเสนอเฟอร์นิเจอร์ไว้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่เก้าอี้แบบมีที่เท้าแขนดีไซน์โก้หรู (Armchair) ไปจนถึงโซฟารูปทรงโดดเด่นตามสไตล์ของศิลปะเชิงนามธรรม และโต๊ะโมเสคฝังประดับพลอยเนื้ออ่อน โดยทั้งหมดนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพเงา (Silhouettes) ที่มีรูปทรงแปลกตาเกินคาดเดา ผสานกับความดูดีในแบบมินิมัลลิสต์ ที่ดูภูมิฐานและทันสมัย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเอกลักษณ์ในการสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมและออกแบบภายในของเอ็ด นอกจากนี้ยังมีผลงานไอคอนนิคพีซอย่าง เก้าอี้ผ้าใบ “พัฒศรี” (Patsri) ที่โดดเด่นด้วยโครงเก้าอี้เนื้อไม้สักแท้ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากงานดีไซน์ต้นฉบับที่เขาเคยสร้างสรรค์ไว้ให้กับเรือมหาเภตรา เรือยอชท์ของครอบครัวเพื่อนรักอย่างคุณพัฒศรี บุนนาค อดีตนางแบบและสไตล์ไอคอนผู้มีชื่อเสียงของเมืองไทย   นอกจากเฟอร์นิเจอร์ที่กล่าวมาแล้ว สินค้าอื่นๆ ทุกชิ้นในคอลเลคชั่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นของประดับบ้านชิ้นเล็กอย่าง โต๊ะข้าง (Side Table) และโคมไฟ ก็ล้วนแต่เลือกใช้วัสดุชั้นเลิศและมีความโดดเด่นด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะข้างอย่าง “ออร์แกนิก แพร์ เทเบิ้ล” (Organic Pair Table) ที่เป็นโต๊ะหินแกรนิตแอฟริกันตกแต่งผิวด้วยโลหะทองแดงในลุคแอนทีคอย่างมีรสนิยม ในขณะที่โต๊ะ “เกอริดอน” (Geuridon) ได้นำไม้มะฮอกกานีของไทยมาทำเป็นส่วนขาโต๊ะผสานเข้ากับหน้าโต๊ะที่ทำจากกระจกนิรภัย (Tempered Glass) สีดำตกแต่งรายละเอียดด้วยสแตนเลสสตีล สำหรับโคมไฟแบบต่างๆ ถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากผ้าไหมไทยทอมือสุดประณีตในเฉดสีที่แตกต่างกัน โดยตั้งอยู่บนฐานไม้มะฮอกกานีตกแต่งขอบด้วยทองแดงอย่างบรรจง และเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนถึงการใช้งานเฟอร์นิเจอร์ชิ้นต่างๆ จาก จิม ทอมป์สัน   เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่น ออกแบบโดย Ed Tuttle มากยิ่งขึ้น เอ็ดยังได้ออกแบบและจัดแสดงสไตล์การใช้งานไว้ 4 รูปแบบ ณ โชว์รูมสินค้าตกแต่งบ้าน จิม ทอมป์สัน บนถนนสุรวงศ์ กรุงเทพมหานคร (Jim Thompson Home Furnishings Showroom) โดยนำเสนอทุกผลงานที่เขาได้ออกแบบให้กับ จิม ทอมป์สัน ครบทั้งคอลเลคชั่น โดยได้จัดวางอย่างลงตัวกับผ้าตกแต่งผนังและบานกรุสิ่งทอ ตลอดจนผลงานศิลปะร่วมสมัยจากภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ที่เขาเป็นผู้เลือกสรรมาด้วยตนเอง ซึ่งผลงานศิลปะเหล่านี้ล้วนเป็นของหายาก ทรงคุณค่า และเป็นของสะสมของครอบครัวของคุณเอริค บุนนาค บู๊ทซ์ รวมถึงมาจากแกลเลอรี่ส่วนตัวของบุคคลท่านอื่นๆ ในประเทศไทย ที่ได้อนุญาตให้ จิม ทอมป์สัน ยืมใช้จัดแสดงในครั้งนี้ อาทิ ‘Offering Vessel’ โดย คุณพินรี สัณฑ์พิทักษ์ ‘Already There’ โดย คุณคามิน เลิศชัยประเสริฐ และ ‘Untitled’ โดยนักออกแบบระดับไอคอนของเมืองไทยอย่าง คุณนคร สัมพันธารักษ์ ซึ่งเอ็ด ได้บอกเล่าความรู้สึกที่ได้จัดแสดงครั้งนี้ว่า “งานศิลปะเหล่านี้ช่วยส่งเสริมและเติมเต็ม ทำให้ห้องดูมีชีวิตอย่างแท้จริง” นอกจากเฟอร์นิเจอร์แล้ว ในคอลเลคชั่นนี้ จิม ทอมป์สัน ยังได้เปิดตัวผ้าตกแต่งบ้านดีไซน์ใหม่ ภายใต้ชื่อ “ไรซ์ (Rice)” ซึ่งมีให้เลือกถึง 22 เฉดสี โดย คุณเอ็ด ทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดแนวคิด และ จิม ทอมป์สัน ได้บรรจงถักทอขึ้นเป็นผ้าไหมทอมือเนื้อผสม ซึ่งผ้าผืนนี้ได้ทำหน้าที่เพิ่มความสมบูรณ์แบบให้กับเฟอร์นิเจอร์ในคอลเลคชั่น จิม ทอมป์สัน เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่น ออกแบบโดย Ed Tuttle โดยเฉพาะ ด้วยผิวสัมผัสสวยงามสว่างสุกใสและลักษณะของผ้าที่ดูเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยรสนิยม รวมถึงเส้นใยธรรมชาติที่ใช้เป็นด้ายยืนและด้ายพุ่ง จนทำให้ “ไรซ์” เป็นองค์ประกอบสำคัญ ที่ทำให้เกิดโครงสร้างอันซับซ้อนสวยงามเหนือคำบรรยาย ที่ปรากฏอยู่ในงานดีไซน์เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ   ความผูกพันกันระหว่าง เอ็ด ทัทเทิล และ แบรนด์สินค้าตกแต่งบ้าน จิม ทอมป์สัน (Jim Thompson Home Furnishings) ก่อตัวขึ้นจากความชื่นชอบในสิ่งเดียวกัน คือวัสดุธรรมชาติที่แสนหรูหรา จนทำให้วันนี้ ความรักความหลงใหลดังกล่าวได้นำมาซึ่งความร่วมมือครั้งสำคัญครั้งใหม่ ที่เต็มไปด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง   ผู้ที่สนใจสามารถเลือกชม “จิม ทอมป์สัน เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่น ออกแบบโดย Ed Tuttle (Ed Tuttle Furniture Collection)” ได้ที่โชว์รูมผ้าตกแต่งบ้าน จิม ทอมป์สัน (Jim Thompson Home Furnishings Showroom) ชั้น 3 ร้านจิม ทอมป์สัน สาขาสุรวงศ์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-632-8110 และอีเมล: showroom@jimthompson.com
โฮมโปร เปิด

โฮมโปร เปิด "HomePro S" สาขา “Market Place นางลิ้นจี่ สโตร์แนวคิดใหม่ สาขา 3 ปลายปี 61 5 ตุลาคมนี้ !!! ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองแบบ Urban Life และ Condo Living

โฮมโปร ตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองแบบ Urban Life และ Condo Living เปิดสโตร์แนวคิดใหม่ สาขา 3 ปี 2561 “HomePro S สาขา Market Place นางลิ้นจี่ ” ชูจุดเด่น 3S ‘Smart Select Service’ พบสินค้าเรื่องบ้านแบบครบครัน เดินทางสะดวก ใกล้ทางด่วน เข้าถึงได้หลายช่องทาง พร้อมบริการครอบคลุมทุกความสะดวกสบาย ด้วยช่องทางการช้อปออนไลน์รูปแบบใหม่ Click & Collect บริการเลือกกำหนดช่วงเวลารับสินค้า และสาขาได้ด้วยตนเอง ทุกสาขาทั่วประเทศ พร้อมเสิร์ฟความสุขด้วยโปรโมชั่นพิเศษ ลดราคาสูงสุด 60%!! ตั้งเป้าเพิ่มฐานลูกค้าคนเมือง มุ่งกวาดรายได้กว่า 10 ล้านบาท นางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” เปิดเผยว่า การขยายสาขาของ ‘HomePro S’ เป็นอีกหนึ่งการตอบสนองแนวคิด เรื่องการใช้ชีวิตของคนเมือง ที่เน้นเปิดรับการช้อปสินค้าที่สะดวกสบายมากขึ้น ทั้งยังตอบโจทย์แนวทางแต่งบ้านที่สร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเพื่อซ่อมแซม ต่อเติม ตกแต่งบ้าน อุปกรณ์จัดเก็บ และ DIY ซึ่ง HomePro S จะใช้จุดเด่นในเรื่อง 3S มาตอบโจทย์ทุกทางเลือกของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น “SMART” สะดวก ช้อปง่าย สบาย ใกล้บ้าน ในศูนย์การค้าใจกลางเมืองเข้าถึงง่าย “SELECT” คัดสรรสินค้าเพื่อคุณ ตรงทุกความต้องการเรื่องบ้าน ทั้งซ่อมแซม ต่อเติม ตกแต่ง และ DIY “SERVICE” ครบครันทุกบริการเพื่อคนรักบ้าน สะดวกสบายเหมือนสโตร์ใหญ่ โฮมโปรเดินหน้าตอบสนองความต้องการของคนรักบ้านอย่างต่อเนื่อง สำหรับ HomePro S สาขา ‘Market Place นางลิ้นจี่’ เป็นสาขาที่ 3 ของปี 2561 ต่อจากสาขา ‘The Paseo Park’ กาญจนาภิเษก และสาขาบิ๊กซี บางนา และจะยังเดินหน้าเปิดสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าทุกพื้นที่สามารถเข้าถึงบริการที่สะดวกสบาย และครบครันไปด้วยสินค้าเรื่องบ้าน ตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตให้ดียิ่งขึ้น   HomePro S สาขา Market Place นางลิ้นจี่ ตั้งอยู่ที่ชั้น B1 ในคอมมูนิตี้มอลล์ใจกลางเมือง ทำเลทองที่รายล้อมด้วยที่อยู่อาศัยใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา และยังเดินทางสะดวกใกล้ทางด่วน เข้าถึงได้หลายช่องทาง ท่ามกลางแสงสีและความเจริญของเมืองกรุง เพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ ทั้งกลุ่มบ้าน รวมไปถึงคอนโดที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการตอบสนองแนวการใช้ชีวิต Urban Life และ Condo Living ได้ครอบคลุม พร้อมตอกย้ำความสะดวกสบายได้ทุกไลฟ์สไตล์ เข้าถึงได้ง่ายด้วยประสบการณ์การช้อปรูปแบบใหม่ อย่าง Shop Online , Click & Collect ช้อปของตกแต่งบ้านออนไลน์ สามารถเลือกกำหนดช่วงเวลารับสินค้าและสาขาที่สะดวกใกล้บ้านได้ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือบริการจัดส่งถึงบ้านแบบ Delivery   นอกเหนือจากประสบการณ์ช้อปรูปแบบใหม่แล้ว โฮมโปรยังเสิร์ฟความสุขที่ HomePro S สาขา Market Place นางลิ้นจี่ ผ่านกองทัพโปรโมชั่นฉลองเปิดสาขาใหม่ สุดโดนใจอีกมากมาย ด้วยสินค้าเรื่องบ้านลดราคาสูงสุดกว่า 60% สุขใจรับวันหยุดในวันเสาร์ที่ 6 ต.ค. วันเดียวเท่านั้น!!! สิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกบัตรโฮมการ์ด ที่ลงทะเบียนกับ HomePro Line Connect 300 ท่านแรก รับสิทธิ์เล่นเกมหมุนวงล้อ ลุ้นซื้อสินค้า Special list จำนวนจำกัด ลดราคาสูงสุดถึง 65% ทั้ง SAMSUNG LED TV 43”, ไมโครเวฟ SAMSUNG, เครื่องดูดฝุ่นแบบกล่อง NESCO, เตาบาร์บีคิว พร้อมหม้อสุกี้ SMART HOME, ปิ่นโตเก็บอาหาร 3 ชั้น และลุ้นรับคูปองส่วนลดมูลค่า 100 บาท จำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย!!   นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าบัตรโฮมการ์ด ช้อปครบ...รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่าสูงสุด 24,000 บาท เมื่อช้อปครบ 400,000 บาทขึ้นไป ช้อปครบ 200,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญ โฮมโปร 10,000 บาท ช้อปครบ 100,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่า 4,000 บาท ช้อปครบ 40,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปรมูลค่า 1,000 บาท ช้อปครบ 20,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญ    โฮมโปรมูลค่า 400 บาท  และพิเศษยิ่งขึ้น เมื่อช้อปสินค้าครบ 3,000 บาทขึ้นไปต่อใบเสร็จ รับเพิ่มทันที คูปองส่วนลดท้ายใบเสร็จ มูลค่า 100 บาท   และเพื่อเป็นการฉลองเปิดสาขาใหม่ มอบสิทธิพิเศษมากยิ่งขึ้น ให้กับลูกค้าบัตรโฮมการ์ด รับสิทธิ์สมัครบัตรโฮมการ์ดฟรี พร้อมรับฟรี 100 คะแนน SHOP WEEKDAY FIN VERR เมื่อช้อปวันธรรมดา รับเลยคะแนน X3* เท่า เมื่อช้อปสินค้าครบ 1,500 บาท และช้อปสนุกทุกเสาร์ – อาทิตย์ ลุ้นรับของรางวัลมากมายเพียงช้อปสินค้าครบ 2,500 บาท  และ Happy Point เพียงแลกคะแนนสะสมโฮมการ์ดเท่ายอดซื้อ ลดเพิ่มสูงสุด 15% ยิ้มรับความฟินต่อเนื่อง กับสิทธิพิเศษที่ส่งตรงมาจากสถาบันการเงินชั้นนำมากมาย อาทิ ลูกค้าบัตรเครดิตโฮมโปร วีซ่า แพลทินัม จัดเต็มคอมโบ 3 คุ้ม คุ้มที่ 1 ลดราคาทันที 3% คุ้มที่ 2 แลกคะแนนเท่ายอดชำระ ลดเพิ่มสูงสุดอีก 13% หรือแลกส่วนลด 100 บาทต่อ 1,000 คะแนน คุ้มที่ 3 รับเครดิตเงินคืนเพิ่ม 2% เมื่อรูดเต็มจำนวน  และสำหรับลูกค้าบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 40,000 บาท เมื่อชำระเต็มจำนวนและผ่อนชำระ และเติมเต็มความสุขยิ่งขึ้น กับสิทธิพิเศษผ่อน 0% ทุกชิ้น ทั้งร้าน กับบัตรเครดิตชั้นนำมากมาย   สำหรับการขยายสาขา HomePro S ที่ “Market Place นางลิ้นจี่”  โฮมโปรมั่นใจว่าจะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าและกลุ่มคนรักบ้าน ให้พบกับความสุข Style ใหม่ สะดวกสบาย ใกล้บ้านคุณ ในรูปแบบ Urban Life และ Condo Living พร้อมเสิร์ฟความฟินกับประสบการณ์การช้อปสินค้าเรื่องบ้าน และกองทัพโปรโมชั่นจัดเต็มในที่เดียว  ตั้งเป้ายอดขายกว่า10 ล้านบาท เตรียมพบกันได้ตั้งแต่วันที่ 5 - 31 ตุลาคม 2561 พร้อมเปิดบริการทุกวัน 10.00 - 22.00 น โทร. 02-079-5448 หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Call Center หมายเลข 1284 และ www.homepro.co.th  FB : homeprothailand นางสาวสิริวรรณ กล่าวปิดท้าย
สวรรค์ชั้น 38 เผยวิวบนตึกสูง The Zea ศรีราชา เพนท์เฮ้าส์ Luxury Zen ที่เน้นทุกรายละเอียด มีทั้งหมด 6 ห้องเท่านั้น

สวรรค์ชั้น 38 เผยวิวบนตึกสูง The Zea ศรีราชา เพนท์เฮ้าส์ Luxury Zen ที่เน้นทุกรายละเอียด มีทั้งหมด 6 ห้องเท่านั้น

สถิติมีไว้ถูกทำลาย แต่จนถึงนาทีนี้ก็ไม่ยังไม่มีใครทำลายได้ กับคอนโดวิวสวยที่สุด สูงที่สุดในศรีราชา เชื่อว่าใครที่ผ่านไปมาบนเส้นสุขุมวิทฯ ก่อนเข้าตัวเมืองศรีราชา ช่วงที่ถนนมีความบางที่สุด ระหว่างซ้ายภูเขา ขวาทะเล มีคอนโดติดถนนสุขุมวิท ด้านหลังติดชายหาดเลย ตั้งตระหง่านอยู่เพียงแห่งเดียว แน่นอนว่าบนชั้นสูงสุดของที่นี่น่าจะพูดได้ว่าเป็น “เพนท์เฮ้าท์หรูบนตึกที่ได้ชื่อว่าสูงที่สุดในศรีราชา” อย่างแน่นอน หลังจากรอคอยมาเกือบสามปี หลังเปิดขายและส่งมอบเกือบเสร็จสิ้น ถึงเวลาส่อง “เพชรเม็ดงาม” เผยโฉมห้องที่สวยสุด วิวดีที่สุด  ในโครงการ The Zea ศรีราชา โดย  บริษัท เวลธ์ ดีเวลลอปเปอร์  จำกัด คุณวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ กรรมการผู้จัดการบริษัท นักธุรกิจที่ผันตัวมาจากการเล่นที่ดินและเห็นแปลงที่สวยที่สุด ไม่ขาย จับจองไว้และได้ขึ้นโครงการฯ เอง ซึ่งบริษัทฯ เดิมที่ทำอยู่เป็นบริษัทฯ ก่อสร้างอาคาร สำนักงาน รวมถึงคอนโดมิเนียมต่างๆ อยู่แล้ว นัยว่านี่คือการขยายไลน์ แน่นอนว่านอกจาทำเลที่โดดเด่นชนิดเล็งมานานแล้ว แผนผังในการออกแบบ, สเปควัสดุต่างๆ ที่ใช้  เจ้าของโครงการฯ การันตีว่าจัดให้คุ้มค่า คุ้มราคา โอกาสพิเศษนี้ เรามีโอกาสได้คุยกับทีมตกแต่งห้องจาก Abacus Design ให้รายละเอียดว่า   สิ่งที่เห็นครั้งแรกเมื่อมาถึงห้องเพนท์เฮาส์คือความโอ่โถง ความสูงของฝ้าและเมื่อมองออกไปเห็นวิวเห็นวิวได้ 360 องศาซึ่งหาที่ไหนไม่ได้แล้ว  เคยเห็นห้องเพนท์เฮาส์ที่อื่นบ้างเหมือนกัน ซึ่งส่วนใหญ่การที่ได้ชื่อว่าเป็นเพนท์เฮาส์คือห้องอยู่ที่ชั้นสูงที่สุดของตึกแต่ห้องจะไม่ต่างจากชั้นอื่นๆเท่าไหร่นัก  แต่ที่ the zea ตั้งแต่โถง lift ก็สูงกว่าชั้นอื่นๆ ประตูทางเข้าห้องก็เป็นบานคู่ ภายในunit ครัวก็เป็นครัวดีไซน์ขึ้นพิเศษ มี island ทำอาหารไปดูวิวไป ห้องรับแขกเป็นแบบ double volume ทำให้มีความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านแต่มีวิวทะเลที่มองไปสุดลูกหูลูกตา การดึงจุดเด่นของเพนท์เฮ้าส์ที่นี่ มาใช้ในการตกแต่ง หลักการ คือ ที่โดดเด่น ต้องโดดเด่น เราเน้นความสูง โดยใช้เส้นสายแนวคั้งทำให้ดูโปร่ง วัสดุที่ใช้บนผนังตกแต่งเป็นหินธรรมชาติต่อลายแบบ book match ส่วนอีกฝั่งเป็น lazer cut ติดแผ่นทอง เพิ่มความหรูหราสมกับการเป็นเพนท์เฮาส ห้องต่างๆ เราสั่งทำเฟอร์นิเจอร์เป็นพิเศษ ให้เหมาะกับห้องนั้น สีสรรที่ใช้ก็แตกต่างกันสำหรับแต่ละห้องเพื่อสร้างเอกลักษณ์ของห้องนั้นๆ เช่น มีบริเวณนั่งทำงานซึ่งนั่งอยู่ก็เห็นวิวทะเล, Nook เล็กๆ ให้นั่งนอนอ่านหนังสือ, ห้อง master มีหัวเตียงที่เล่นไม้ลายตั้งเพื่อให้ห้องแลดูสูงขึ้น มีเฟอร์นิเจอร์พร้อมลูกค้าเข้าอยู่ได้เลย, มีห้องเสื้อผ้าแบบwalk in closet สำหรับทั้งคุณผู้หญิงและผู้ชาย และยังมีตู้หน้าบานกระจก เพื่อใส่กระเป๋าแบรนด์เนมต่างๆ, ห้องน้ำมีอ่างล้างมือ his and her Shower ใหญ่สามารถอาบได้สองคน สร้างความ romantic ให้ผู้ที่มาอยู่, โถปัสสาวะเป็นของ Toto แบบ washless การเลือกใช้สี โทนห้อง ใช้โทนสีอบอุ่น ครีมเทาให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านและ accent ด้วย rose gold เพิ่มความหรูหรา ในส่วนของวัสดุ ความใส่ใจ พิถีพิถัน ในการเลือกวัสดุแต่ละชนิดมาก เห็นเพนท์เฮาส์มาเยอะนะคะ ที่นี่วิวทะเลสวยที่สุดแล้วค่ะ เห็น 360 องศา ไม่มีอะไรมาบัง เวลาบ่ายๆพระอาทิตย์เริ่มตก แสงอาทิตย์กระทบกับคลื่นจะเงินเป็นสีเงินวิบวับสวยมากค่ะ   ร่วมชีวิตเหนือระดับกับ Penthouse ที่ดีที่สุด ทำเลดีที่สุด บนคอนโดที่สูงที่สุดในศรีราชา พบกับการออกแบบห้องสไตล์ Luxury, Duplex การตกแต่งหรูหรา เรียบง่ายในแบบ Luxury Zen ที่เน้นทุกรายละเอียด มีทั้งหมด 6 ห้อง ที่มีความแตกต่างกัน แต่ยังถูกโอบล้อมด้วยวิวทะเลและภูเขา ให้ได้สัมผัสวิวที่คุณชื่นชอบ เริ่มต้นที่ ห้องตกแต่งพร้อมอยู่ Fully Furnished แบบ Luxury zen วิวทะเลแบบพาโนรามา ตรม.ละ 195,000 บาท  ห้อง Fully Fitted สัมผัสวิวทะเลแบบเต็มอิ่ม ตรม.ละ 159,000 บาท  ห้อง Bareshell สัมผัสวิวทะเลแบบเต็มอิ่ม ตรม. ละ 145,000 บาท  Fully Furnished สัมผัสวิวเขา ธรรมชาติของเมืองศรีราชา ตรมละ 129,000 บาท ** สนใจติดต่อฝ่ายขาย 091-736-9999 ด้านเจ้าของโครงการฯ คุณวันเพ็ญ ธนธรรมสิริ กรรมการผู้จัดการบริษัท เวลธ์ ดีเวลลอปเปอร์  เผยว่า   โครงการ “เดอะซี” คอนโดหรูในทำเลดีที่สุดของศรีราชา สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ในปี 2560  ยอดขายเกิน 80%  แล้ว ทั้งนี้โครงการฯ เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน  โดนใจตลาดที่มีความต้องการชัด ทั้งซื้อเพื่ออยู่เองและเพื่อการลงทุน รวมถึงกลุ่มนักธุรกิจในนิคมฯ กว่า 20 แห่งทั้งชลบุรีและระยอง กลุ่มเป้าหมายหลักทั้ง 2 กลุ่มคือ กลุ่มนักธุรกิจที่ต้องการบ้านพักตากอากาศสำหรับวันพักผ่อน  และกลุ่มผู้บริหารระดับสูงที่ต้องการบ้านพักสำหรับวันทำงาน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักธุรกิจชาวไทยและญี่ปุ่นที่ทำงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกซึ่งมีมากกว่า 20 แห่งในจังหวัดชลบุรีและระยอง เหตุผลที่ “เดอะซี” เป็นที่สนใจของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเพราะเป็นโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว ลูกค้าจึงใช้เวลาตัดสินใจไม่นานเนื่องจากได้เห็นโครงการจริงตั้งอยู่ในทำเลเด่นด้านหน้าโครงการติดโค้งอ่าวทะเล ด้านหลังเป็นวิวภูเขาทอดตัวยาวเรียงกันถึงสามลูก เสมือนบัลลังค์ขุมทรัพย์  เป็นสุดยอดฮวงจุ้ยที่หาไม่ได้อีกแล้ว ตัวอาคารสูงยังออกแบบด้วยแนวคิด  Modern Zen สร้างบรรยากาศการอยู่อาศัยสไตล์ญี่ปุ่น ท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบลูกค้าสามารถสัมผัสได้ถึงคุณภาพของการก่อสร้าง การเลือกใช้วัสดุคุณภาพดี  ได้เห็นรูปแบบและการตกแต่งห้องชุด  รวมทั้งสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการอย่างครบครันที่พร้อมมอบบริการด้วยคุณภาพมาตรฐานเป็นไปตามที่โครงการได้ระบุไว้ อีกปัจจัยคือ “เดอะซี ” เสนอราคาขายที่เหมาะสม ทำให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่าสูงสุดไม่ว่าจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือเพื่อการลงทุนโดยผู้เช่าอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมียมจะเป็นกลุ่มผู้บริหารชาวญี่ปุ่น สำหรับโครงการ เดอะ ซี ศรีราชา เป็นคอนโด High-Rise 39 ชั้น 1 อาคาร พื้นที่โครงการ 3-2-9 ไร่ ห้องพักอาศัยรวม 585 ยูนิต มีห้องพักให้เลือกแบบ 1 ห้องนอน, 2 ห้องนอน และ 3 ห้องนอน ขนาดเริ่มต้น 31.70-111.10 ตร.ม. สร้างเสร็จพร้อมอยู่ปี 2560 สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ อาทิ โถงต้อนรับ, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, ออนเซ็นแบบญี่ปุ่น, สวนพักผ่อน, Jogging Track, สวนริมทะเลสไตล์ Zen, ร้านอาหารวิวทะเลมุมมอง 270 องศา, ลิฟท์โดยสาร, ที่จอดรถ, ประตูคีย์การ์ด และ รปภ. 24 ชม. ราคาเริ่มต้น 2.17 ล้านบาท  โครงการ The Zea ศรีราชา ตัวอาคารรูปทรงเหลี่ยมๆ ใช้สีเทาเป็นพื้นตัดด้วยสีแดงเลือดหมู  ตัวตึกจะเป็นรูปตัว L วิวโครงการ จะมี 3 แบบ คือ วิวภูเขาด้านหน้าโครงการ วิวทะเลด้านหลังโครงการ และวิวถนนสุขุมวิท ที่มองเห็นทั้งภูเขาและทะเล ระยะจากโครงการถึงหาดประมาณ 80 ม.  มีทางเดินลงไปที่ชายหาด สระว่ายน้ำอยู่ชั้น 7 ชั้นดาดฟ้าทำเป็นจุดชมวิวแบบ Waterscape สระว่ายน้ำแบบ Infinity Edge ระบบเกลือ ชั้น 7 ขนาด 30 ม. ลึก 1.2 ม. พร้อมสระเด็ก, ห้องฟิตเนสอยู่ชั้น 7 วิวมองเห็นสระว่ายน้ำและทะเล และ Onzen แบบญี่ปุ่นชั้น 7 แยกชายหญิง  ล่าสุดเตรียมเปิดเพนท์เฮ้าส์บนชั้น 38 โชว์วิวอลังการณ์ ซึ่งมีผู้ครอบครองได้เพียง 6 ยูนิตเท่านั้น  ** สนใจติดต่อฝ่ายขาย 091-736-9999
แม่น้ำเรสซิเดนท์ จับมือ JLL ทำการตลาดเพนท์เฮาส์เชิงรุก เผยยูนิตสินค้าเพิ่มน้อย แต่ระยะ 5 ปี ราคาปรับขึ้นถึง 30%

แม่น้ำเรสซิเดนท์ จับมือ JLL ทำการตลาดเพนท์เฮาส์เชิงรุก เผยยูนิตสินค้าเพิ่มน้อย แต่ระยะ 5 ปี ราคาปรับขึ้นถึง 30%

แม่น้ำเรสซิเดนท์ และเจแอลแอล รุกทำตลาดเพนท์เฮาส์ เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะระดับลักชัวรี่ เพราะเห็นโอกาสตลาดที่ซัพพลายมีน้อย ยูนิตเพนท์เฮาส์โตขึ้น 6-7% ต่อปี ทำให้โอกาสของราคาปรับเพิ่มขึ้นทุกปี เฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมาราคาปรับขึ้น 30% จับตา Branded Residence พลิกโฉมอสังหาริมทรัพย์ริมน้ำเจ้าพระยาเป็นซุปเปอร์ลักชัวรี่ ดึงเศรษฐีไทยและต่างประเทศเข้ามาจับจองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย   นายเดชา ตั้งสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม่น้ำเรสซิเดนท์ จำกัด ผู้พัฒนาโครงการแม่น้ำเรสซิเดนท์คอนโดมิเนียมหรูบนทำเลโดดเด่นที่สุดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เปิดเผยว่า การพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ริมแม่น้ำเจ้าพระยากลับมามีความคึกคักอีกครั้งอย่างมีนัยยะสำคัญ และจะเปลี่ยนโฉมการอยู่อาศัย วิถีชีวิต การท่องเที่ยว อย่างเห็นได้ชัด ภายหลังการเปิดตัวของโครงการระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่ริมน้ำเจ้าพระยาซึ่งจะมีกำหนดแล้วเสร็จปลายปีนี้ ส่งผลให้ตลาดคอนโดฯ ริมน้ำกลับมามีสีสันอย่างมาก และมูลค่าทรัพย์สินปรับตัวสูงขึ้นเทียบเท่าตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ในเขตศูนย์กลางธุรกิจ ดึงดูดกำลังซื้อทั้งในประเทศและต่างประเทศไหลเข้าพื้นที่ริมแม่น้ำ     “โดยเฉพาะโครงการแม่น้ำเรสซิเดนท์ ซึ่งใช้ห้องเพนท์เฮาส์ของโครงการ เป็นธงนำในการทำการตลาด ด้วยมองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นตลาดลักชัวรี่จนถึงซุปเปอร์ลักชัวรี่ การเจาะกลุ่มเป้าหมายจึงมีความพิเศษ ด้วยกิจกรรมที่สร้างความชอบให้กับคนเฉพาะกลุ่ม เช่น การจัดงานศิลปะบนเพนท์เฮาส์ แม่น้ำเรสซิเดนท์ จึงได้จัดงาน PENTHOUSE IS ART BY MENAM RESIDENCES ซึ่งเป็นการจัดแสดงผลงานศิลปะจากศิลปินระดับประเทศบนห้องเพนท์เฮาส์เป็นครั้งแรกของประเทศไทย เพื่อทำการตลาดที่มุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชอบหรือเป็นนักสะสมงานศิลปะ และสะสมห้องเพนท์เฮาส์ ไปในคราวเดียวกัน ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากทำเลที่ตั้งของโครงการอยู่บนวิวโค้งน้ำที่สวยงามที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยา บวกกับการนำศิลปะมาตกแต่งห้อง นอกจากจะช่วยเพิ่มความสวยงามและเอกลักษณ์ให้กับห้องแล้ว ยังสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับห้องในระยะยาว การลงทุนแบบนี้เรียกว่า Passion Investment ซึ่งสร้างคุณค่าทางจิตใจและมูลค่าที่เพิ่มขึ้นในอนาคต” นายเดชากล่าว   ด้านศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไทยของบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เปิดเผยว่า ระหว่างปี 2556-2560 ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ โดยรวม มีห้องสูทเพนท์เฮาส์ขยายตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 77 ยูนิต หรือประมาณ 6% ต่อปี ส่วนในปีนี้ จะสร้างเสร็จเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วราว 7% หรือ 104 ยูนิต ซึ่งในจำนวนนี้เป็นของโครงการระดับหรู (ลักชัวรี่และซูเปอร์ลักชัวรี่) 43 ยูนิต โดย ณ สิ้นปี ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ จะมีห้องสูทเพนท์เฮาส์รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,590 ยูนิต แบ่งเป็นยูนิตในโครงการระดับหรูรวม 440 ยูนิต โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพนท์เฮาส์ในโครงการคอนโดมิเนียมระดับหรูในกรุงเทพฯ มีราคาปรับขึ้นไปแล้วกว่า 30% และยังคงมีแนวโน้มปรับสูงขึ้นต่อไป โดยเฉพาะในโครงการใหม่       นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล กล่าวว่า ห้องสูทเพนท์เฮาส์ เป็นห้องชุดยูนิตพิเศษที่มักพบเห็นได้เพียงไม่กี่ยูนิตอยู่บนชั้นบนสุดของอาคารคอนโดมิเนียม โดยมักมีขนาดใหญ่พิเศษ และได้รับการออกแบบตกแต่งด้วยวัสดุที่มีความหรูหรากว่ายูนิตอื่นๆ ในอาคารเดียวกัน ซึ่งด้วยข้อจำกัดนี้ ทำให้ห้องสูทเพนท์เฮาส์มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ไม่มากนัก ความพิเศษที่กล่าวมานี้ ทำให้ห้องสูทเพนท์เฮาส์มีราคาต่อยูนิตสูง โดยปัจจุบัน เพนท์เฮาส์มีราคาขายอยู่ระหว่าง 60-300 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง ขนาดยูนิต และชื่อเสียงของโครงการ โดยราคาต่อยูนิตที่สูง จึงทำให้เพนท์เฮาส์มีฐานผู้ซื้อที่แคบกว่าเมื่อเทียบกับผู้ซื้อยูนิตกลุ่มอื่นๆ ส่งผลให้ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมหลายโครงการไม่มีการทำเพนท์เฮาส์ จึงเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จำกัดการเพิ่มจำนวน   ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า เพนท์เฮาส์สร้างเสร็จใหม่ในช่วงเมื่อไม่นานมานี้และที่มีกำหนดจะสร้างเสร็จในอนาคต ส่วนใหญ่จะอยู่ในโครงการระดับหรู รวมถึงคอนโดที่บริหารโดยแบรนด์โรงแรมที่มีชื่อเสียง (Branded Residence) โครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีกำหนดจะสร้างเสร็จในปลายปีนี้ ได้แก่ โครงการ Four Seasons Private Residences Bangkok, โครงการ Banyan Tree Residences Riverside Bangkok และโครงการ The Residences at Mandarin Oriental (ICONSIAM) ซึ่งด้วยต้นทุนและคุณภาพที่สูงขึ้นของโครงการเหล่านี้ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะผลักดันให้ราคาเพนท์เฮาส์เฉลี่ยโดยรวมขยับตัวสูงขึ้นต่อไปอีก     “เชื่อว่าโครงการใหม่ๆ เหล่านี้ จะมีผลทำให้ตลาดคอนโดมีเนียมระดับหรูของกรุงเทพฯ ได้รับความสนใจของผู้ซื้อต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการซื้อเพนท์เฮาส์ระดับหรูไว้เป็นของสะสมด้วยคุณสมบัติพิเศษและจำนวนที่จำกัด ในขณะเดียวกัน คาดว่า เพนท์เฮาส์ในโครงการคอนโดฯ ที่สร้างเสร็จแล้วจะมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้นเช่นกัน จากความได้เปรียบของต้นทุนการพัฒนาที่ต่ำกว่าโครงการที่จะเปิดใหม่ในอนาคต” นางสุพินท์กล่าว       นางสาวนนท์รภัส พรสินคุณานนท์ หัวหน้าฝ่ายบริการธุรกิจที่พักอาศัย เจแอลแอล กล่าวว่า กลุ่มผู้ซื้อเป็นคนไทยที่มีฐานะดีที่ต้องการที่พักอาศัยในเขตศูนย์กลางธุรกิจสำหรับใช้ในช่วงระหว่างวันทำงาน หรือให้บุตรหลานพักอาศัย ส่วนผู้ซื้อชาวต่างชาติ เป็นผู้ที่ชื่นชอบการเดินทางเข้ามาพักผ่อนช่วงวันหยุดยาวที่กรุงเทพฯ โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ซื้อจากเอเชีย อาทิ ฮ่องกง และจีน โดยเฉพาะชาวจีนที่มีการซื้อไว้ไม่เฉพาะสำหรับใช้เองเท่านั้น แต่ยังมีไว้สำหรับให้ญาติมิตรเข้ามาพักเมื่อเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในกรุงเทพฯอีกด้วย     “ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ พบว่า การลงทุนซื้อเพนท์เฮาส์ไว้สำหรับปล่อยเช่าไม่ได้รับความนิยม เนื่องจากราคาซื้อขายที่สูง ทำให้ผู้ซื้อไม่อาจคาดหวังผลตอบแทนการลงทุนในระดับที่คุ้มค่าได้ เพนท์เฮาส์ที่มีเสนอให้เช่าอยู่ในขณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นยูนิตในโครงการเก่าที่เจ้าของซื้อมาในราคาไม่สูงดังเช่นที่เสนอขายในปัจจุบัน จึงสามารถเสนอค่าเช่าในระดับที่ผู้เช่ามีกำลังในการจ่าย ซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลที่อธิบายว่า เหตุใดผู้ซื้อเพนท์เฮาส์ใหม่ๆ ส่วนใหญ่ ซื้อไว้เพื่อใช้เอง” นางสาวนนท์รภัสกล่าว   สำหรับลูกค้าที่ต้องการเข้าชมงาน PENTHOUSE IS ART และห้องเพนท์เฮาส์ แม่น้ำเรสซิเดนท์ฯ ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอย 270-280 ตารางเมตร เสนอขายในราคาปัจจุบันที่ 60-80 ล้านบาท สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร 06-2796-0101
เครือ พี.เอ็ม.กรุ๊ป เปิดตัว “The Nest สุขุมวิท 71” คอนโดฯใหม่รองรับไลฟ์สไตล์คนเมืองในแบบ “คนสุขุมวิท”

เครือ พี.เอ็ม.กรุ๊ป เปิดตัว “The Nest สุขุมวิท 71” คอนโดฯใหม่รองรับไลฟ์สไตล์คนเมืองในแบบ “คนสุขุมวิท”

“สุขุมวิท” ได้ชื่อว่าเป็นทำเลทองที่ดีเวลลอปเปอร์ต่างแย่งชิงที่ดินผืนงามมาพัฒนาเพิ่มมูลค่าจนแทบจะไม่เหลือพื้นที่ว่างให้พัฒนาอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้การพัฒนาจึงได้ขยับขยายออกไปตามแนวรถไฟฟ้า และ ทำเล “พระโขนง” เป็นอีกทำเลหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจจากนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มองเห็นโอกาสใหม่ที่น่าลงทุนด้วยความพร้อมของศักยภาพทําเลและ Demand ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นางสาวอุษณา มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัดผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในเครือ พี.เอ็ม.กรุ๊ป เปิดเผยว่า ย่านพระโขนงหรือสุขุวิท 71 ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพที่เชื่อมระหว่างในเมืองและนอกเมือง มีความหนาแน่นของประชากรค่อนข้างสูง ซึ่งนอกจากจะเป็นชุมชนเก่าแก่ขนาดใหญ่ที่คนไทยอยู่อาศัยแล้วยังพบว่าในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาชาวต่างชาติก็ได้เข้ามาอยู่อาศัยในทำเลดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้ง บริษัทฯ จึงได้ต่อยอดความสำเร็จในการพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์ The Nest (เดอะเนสท์ ) จากโครงการแรก The Nest เพลินจิต มาถึงโครงการใหม่ล่าสุด The Nest สุขุมวิท 71 (เดอะเนสท์ สุขุมวิท 71) โครงการที่สี่ อยู่ซอยปรีดีพนมยงค์ 2 (สุขุมวิท 71) บนเนื้อที่กว่า 5 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารชุดพักอาศัยสูง 8 ชั้น 5 อาคาร คลับเฮ้าส์ 2 ชั้น 1 อาคาร รวมจำนวน 515 ยูนิต มีขนาดห้อง 3 แบบ ดังนี้ แบบ 1 ห้องนอน ( 1 Bedroom ) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 24.69-33.35 ตารางเมตร (ตร.ม.), แบบ 1 ห้องนอน ( 1 Bedroom plus) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 41.52 ตร.ม. และแบบ 2 ห้องนอน (2 Bedroom ) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 44.51-47.22 ตร.ม.ราคาขายเริ่มต้น 92,500 – 110,000 บาท ต่อตร.ม.หรือราคาเริ่มต้น.2.39 ล้านบาทต่อยูนิต รวมมูลค่าโครงการ1,700 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างประมาณไตรมาส 4/2561 คาดว่าแล้วเสร็จประมาณไตรมาส 4/2563 เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคนทำงานในเมืองที่มองหาบ้านหลังที่สองที่มีระดับรายได้ 30,000 บาทต่อเดือน และกลุ่มนักลงทุน “โครงการ The Nest สุขุมวิท 71” เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ทที่ออกแบบเพื่อความสมบูรณ์ในการใช้ชีวิตให้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น ด้วยการออกแบบให้การอยู่อาศัยที่รายล้อมด้วยร่มไม้ใจกลางเมืองมีความโดดเด่นทั้งตัวอาคารภายนอกและลงตัวด้วยพื้นที่ใช้สอยที่ออกแบบตอบโจทย์ลงตัวทุกพื้นที่เพื่อความสุข และการใช้ชีวิตการอยู่อาศัยที่แท้จริงในทุกแบบห้อง ทุกขนาดพื้นที่สามารถใช้สอยได้จริง เฟอร์นิเจอร์และวัสดุตกแต่งที่มีคุณภาพ โดยทุกยูนิตจะตกแต่งแบบ fully furnished มีชุดครัวแบบปิด และ walk-in closetในทุกรายละเอียดการออกแบบดีไซน์นั้นสามารถตอบรับการใช้ชีวิตทันสมัยสไตล์คนเมืองตั้งแต่เริ่มตื่น ทำงาน พักผ่อน จนถึงการนอนหลับ ด้วยการตกแต่งแบบเรียบๆโทนสีอบอุ่นลงตัวเพื่อให้สอดรับกับความต้องการของกลุ่มคนที่ทำงานในเมือง หรือกลุ่มคนที่ต้องการซื้ออสังหาฯเพื่อการลงทุนนอกจากนี้ภายใน“โครงการ The Nest สุขุมวิท 71” ก็พร้อมสรรพไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ดังนี้ มีที่จอดรถ 50 % (รวมจอดรถซ้อนคัน) ล็อบบี้ ,สวนและพื้นที่นั่งเล่นภายนอกอาคาร, สระว่ายน้ำพร้อมด้วยสระเด็ก, ห้องออกกำลังกาย/ลานโยคะ, เลานจ์และห้องสมุด , พื้นที่ซักรีด, ระบบอินเตอร์เน็ตไร้สาย (WIFI) ในพื้นที่ส่วนกลาง รวมถึงมีบริการอื่นๆ อาทิ พนักงานรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. พร้อมระบบคีย์การ์ด ระบบโทรทัศน์วงจรปิด ( CCTV) และบริการรถรับส่ง เป็นต้น “ลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มนักลงทุนและผู้มีรายได้ในระดับกลางที่ทำงานในเมืองที่ต้องการซื้อเป็นบ้านหลังแรกหรืออาจจะมีบ้านอยู่แล้ว ต้องการคอนโดฯ เป็นบ้านหลังที่สองเพื่อความสะดวกสบายในการเดินทางหรือซื้อเพื่อการลงทุนไว้ปล่อยเช่า” นางสาวอุษณา กล่าว พร้อมกับย้ำว่าจากฐานข้อมูลกลุ่มลูกค้าที่ซื้อคอนโดฯแบรนด์ “เดอะเนสท์” จากสามโครงการที่ผ่านมาทั้งจากโครงการ The Nest เพลินจิต,โครงการ The Nest สุขุมวิท 22 และ โครงการ The Nest สุขุมวิท 64 ลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่กว่า.70.% เป็นลูกค้าที่ซื้ออยู่เอง และอีก 30 %เป็นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อการลงทุน โดยสัดส่วนระหว่างกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติ ตาม Demand ของสถานการณ์ทั้งนี้ลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อจะซื้อด้วยเงื่อนไขการเปรียบเทียบ “ราคา” กับ “คุณภาพ” และความ “สะดวก” ในการเดินทางที่อยู่แนวรถไฟฟ้าและใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ นอกจากความโดดเด่นในเรื่องการออกแบบดีไซน์ดั่งที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว “โครงการ The Nest สุขุมวิท 71”ยัง มีจุดเด่นด้าน “ทำเลที่ตั้ง”ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีพระโขนง ซึ่งเป็นทำเลทั้งชาวไทยและต่างชาติอาศัยอยู่จริง “การคมนาคมสะดวก” ทั้งการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าและรถยนต์ส่วนตัว เพราะถนนสุขุมวิท 71 เป็นถนนใหญ่ที่เชื่อมต่อไปยังรามคำแหง,พระราม 9 จะเข้าตัวเมืองย่านอโศกหรือสยามฯก็สามารถนั่งรถไฟฟ้าได้ภายในไม่กี่นาทีก็ถึงจุดหมายหรือหากขับรถส่วนตัววิ่งไปเส้นพระราม 4 ก็สามารถไปยังสีลมได้ด้วยเช่นกัน อีกทั้งที่ตั้ง “โครงการ The Nestสุขุมวิท 71” อยู่ฝั่งเลขคู่ซอยปรีดีฯ 2 ที่สามารถลัดไปขึ้นทางพิเศษฉลองรัช (รามอินทรา-อาจณรงค์)   ซึ่งก็สะดวกมากเช่นกันนอกจากนี้ “โครงการ The Nest สุขุมวิท 71” ยังอยู่ใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆรองรับชีวิตคนเมืองและชาวต่างชาติ สถานที่สำคัญใกล้เคียง W District ตั้งอยู่บริเวณปากซอย สุขุมวิท 71 / Summer Hill /Gateway Ekamai /รพ.สุขุมวิท / ม.กรุงเทพ กล้วยน้ำไท เป็นต้น กล่าวได้ว่า ทำเล “พระโขนง” หรือ “สุขุมวิท71” เป็นอีกทำเลตัวเลือกหนึ่งที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการซื้อ “เพื่ออยู่อาศัย” ตอบสนองไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในแบบ “คนสุขุมวิท”   สำหรับท่านที่สนใจสอบถามข้อมูลได้ที่ สำนักงานขายโครงการ The Nest สุขุมวิท 71 เบอร์โทร 089-999-5181 หรือ www.thenestproperty.co.th
โอกาสในตลาดที่พักอาศัยให้เช่าใจกลางกรุงเทพฯ

โอกาสในตลาดที่พักอาศัยให้เช่าใจกลางกรุงเทพฯ

ซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลกเผยตลาดที่พักอาศัยให้เช่าในย่านใจกลางกรุงเทพมหานครเป็นตลาดที่ขับเคลื่อนโดยผู้เช่าชาวต่างชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทย ซึ่งต้องการเช่าที่พักอาศัยในไม่กี่ทำเลเท่านั้น และมักจะเลือกเช่าอพาร์ตเมนต์ คอนโดมิเนียม หรือเซอร์วิส อพาร์ตเมนต์เป็นหลักจำนวนชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทยนั้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอย่างช้าๆ และงบประมาณโดยเฉลี่ยต่อเดือนที่ผู้เช่ายินดีที่จะจ่ายเพื่อเช่าที่พักอาศัยไม่ได้มีการปรับเพิ่มขึ้นมาเป็นระยะเวลาหลายปีแล้ว หากพิจารณาในด้านปริมาณที่พักอาศัยให้เช่านั้น แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี พบว่า อพาร์ตเมนต์ใหม่ที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างมีจำนวนไม่มากนักต่างจากคอนโดมิเนียมใหม่ที่มีจำนวนมาก ที่พักอาศัยให้เช่ามีปริมาณเพิ่มขึ้นมากแต่ความต้องการกลับเพิ่มขึ้นในปริมาณที่จำกัด ทำให้เกิดการแข่งขันในตลาด  ทว่ายังคงมีโอกาสสำหรับผู้พัฒนาโครงการอพาร์ตเมนต์และนักลงทุนที่ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อปล่อยเช่า  ปัจจัยสำคัญก็คือการเข้าใจในความต้องการของผู้เช่า เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการปล่อยเช่าและได้รับค่าเช่าในอัตราที่สูง การหมุนเวียนของผู้เช่าชาวต่างชาติเกิดขึ้นอยู่เสมอ เพราะระยะเวลาเฉลี่ยในการทำงานในไทยอยู่ที่ประมาณ 3 ปี ซึ่งหมายถึงว่าจะมีผู้เช่ารายใหม่ตัดสินเลือกว่าอยากจะพักอาศัยในทำเลใดอยู่เสมอ จากการสำรวจโดยแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี ณ ไตรมาส 2 ปี 2561 พบว่า มีอพาร์ตเมนต์ราว 10,000 ยูนิตในย่านที่เป็นที่นิยมสำหรับผู้เช่าต่างชาติอย่างสุขุมวิท ลุมพินี และสาทร  ขณะที่คอนโดมิเนียมมีอยู่ราว 76,000 ยูนิตในย่านเดียวกัน โดยแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี ประเมินว่าคอนโดมิเนียมราว 25,000 - 30,000 ยูนิตเป็นของนักลงทุนที่ซื้อไว้เพื่อปล่อยเช่า ผู้เช่าโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นนิยมพักอาศัยในอพาร์ตเมนต์ที่มีเจ้าของเพียงผู้เดียวมากกว่าเช่าคอนโดมิเนียม เพราะสามารถพูดคุยกับตัวแทนเจ้าของห้องได้ในทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาต่างๆ ในขณะที่ถ้าเป็นคอนโดมิเนียม ผู้จัดการอาคารมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลรักษาเฉพาะพื้นที่ส่วนกลาง และเจ้าของห้องจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดูแลพื้นที่ภายในห้อง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ยากกว่าสำหรับผู้เช่าในการซ่อมแซมสิ่งต่างๆ ภายในห้องพักในกรุงเทพฯ มีเจ้าของคอนโดมิเนียมเพียงไม่กี่แห่งที่ว่าจ้างตัวแทนเพื่อดูแลห้อง รวมถึงการเจรจาในเรื่องต่างๆ กับผู้เช่า   โดยทั่วไปผู้เช่าคอนโดมิเนียมจะต้องติดต่อกับเจ้าของห้องโดยตรงในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับภายในห้องพัก และเจ้าของห้องก็มีความสามารถในการจัดการเรื่องการบำรุงรักษาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประสบการณ์แต่ละคน และจะเป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีกหากเจ้าของห้องไม่ได้อาศัยอยู่ในไทย  เฉพาะในกรณีที่คอนโดมิเนียมนั้นบริหารจัดการโดยเครือโรงแรมและมีส่วนงานบริการลูกค้าแยกออกมาโดยเฉพาะ ซึ่งเจ้าของห้องจะต้องจ่ายค่าบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลางสูงเป็นพิเศษ ฝ่ายบริหารอาคารก็จะดูแลในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาภายในห้องควบคู่ไปด้วยด้านเจ้าของอพาร์ตเมนต์ที่ตั้งอยู่ในย่านยอดนิยมของผู้เช่าชาวต่างชาติและมีความเข้าใจในความต้องการของผู้เช่าจะยังคงประสบความสำเร็จในการปล่อยเช่า มีอัตราการเข้าพักในระดับสูง และได้รับค่าเช่าในอัตราที่ดี นายธีราธร ประพันธ์พงศ์ หัวหน้าแผนกให้เช่าที่พักอาศัย ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ได้เป็นที่ปรึกษาให้แก่เจ้าของอพาร์ตเมนต์ใหม่ 2 แห่งในเรื่องการออกแบบและการเลือกใช้วัสดุในการพัฒนาโครงการ รวมทั้งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนแต่เพียงผู้เดียวในการปล่อยเช่า โครงการแรกคือ ปิยะ เรสซิเดนซ์ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 28 และ 30 สร้างแล้วเสร็จเมื่อไตรมาส 1 ปี 2561 เจ้าของโครงการได้ปรับผังห้องและขนาดห้องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานและเพื่อให้ได้รับค่าเช่าต่อตารางเมตรสูงสุด โดยปัจจุบันสามารถปล่อยเช่าได้แล้วกว่า 60% อีกโครงการคือ ฌาณิ เรสซิเดนซ์  ในซอยทองหล่อ 13 สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2560 โครงการนี้ได้รับการออกแบบให้ตรงกับความต้องการของผู้เช่าชาวญี่ปุ่นและปัจจุบันสามารถปล่อยเช่าได้แล้วมากกว่า 70% ทั้งสองโครงการ ส่วนใหญ่เป็นยูนิตขนาด 2 และ 3 ห้องนอน ซึ่งเป็นขนาดห้องที่มีความต้องการอยู่มากในตลาด เพราะคอนโดมิเนียมใหม่ที่นำมาปล่อยเช่านั้นส่วนใหญ่มักเป็นขนาด 1 ห้องนอน   นอกจากนี้ นายธีราธรยังเป็นที่ปรึกษาให้แก่โครงการอพาร์ตเมนต์แห่งใหม่ล่าสุด จิติมนต์ เรสซิเด้นซ์ ในซอยทองหล่อ 16 ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ในช่วงต้นปี 2562 อพาร์ตเมนต์ใหม่แห่งนี้สูง 8 ชั้นประกอบด้วยยูนิตขนาดตั้งแต่ 1 - 3 ห้องนอน และจุดเด่นที่สำคัญคือมีความหนาแน่นน้อย และมีสวนขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แตกต่างจากโครงการอื่นๆ ในตลาดที่เจ้าของอพาร์ตเมนต์ส่วนใหญ่ต่างต้องการใช้พื้นที่ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด ปัจจัยที่สำคัญมากที่สุดประการหนึ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการปล่อยเช่าอพาร์ตเมนต์ คือ การพัฒนาโครงการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าทั้งในเรื่องขนาดห้อง ผังห้อง วัสดุอุปกรณ์ ทำเลที่ตั้ง และสิ่งอำนวยความสะดวก   “การที่ซีบีอาร์อีสามารถให้คำแนะนำที่นำไปปรับใช้ได้จริงให้กับเจ้าของอพาร์ตเมนต์ได้นั้นมาจากฐานข้อมูลจริงที่บริษัทรวบรวมจากการปล่อยเช่าให้กับผู้เช่าชาวต่างชาติมากกว่า 1,000 คนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทำให้รู้ว่าผู้เช่าต้องการอะไรจริงๆ และมีงบประมาณมากเพียงใด” นายธีราธรกล่าวเพิ่มเติม ตลาดที่พักอาศัยให้เช่าในย่านใจกลางกรุงเทพฯ จะยังคงมีการแข่งขันที่สูงอย่างต่อเนื่อง ทั้งเจ้าของอพาร์ตเมนต์และเจ้าของคอนโดมิเนียมให้เช่าจำเป็นต้องรักษาและปรับปรุงห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางให้ดีอยู่เสมอ เพื่อทำให้ห้องพักของตนนั้นมีความน่าสนใจและดึงดูดผู้เช่าได้

"CHEWA" รุกเปิดโครงการ “ชีวาทัย เรสซิเดนซ์ ทองหล่อ” โชว์คอนโด Low Rise 8 ชั้น 130 ยูนิต มูลค่ารวม 950 ล้านบาท

"CHEWA" รุกเปิดโครงการ “ชีวาทัย เรสซิเดนซ์ ทองหล่อ” โชว์คอนโด Low Rise 8 ชั้น 130 ยูนิต มูลค่ารวม 950 ล้านบาท “ชีวาทัย” เดินหน้าเปิดโครงการใจกลางทองหล่อ “ชีวาทัย เรสซิเดนซ์ ทองหล่อ” คอนโด Low Rise 8 ชั้น 130 ยูนิต มูลค่ารวม 950 ล้านบาท พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยว่า โครงการ ชีวาทัย เรสซิเดนซ์ ทองหล่อ ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 1-0-94 ไร่ เป็นโครงการ 8 ชั้น จำนวน 130 ยูนิต โดยมีมูลค่าโครงการประมาณ 950 ล้านบาท รวมถึงมีสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ สระว่ายระบบน้ำเกลือขนาดใหญ่ท่ามกลางธรรมชาติ และยังมี KID'S POOL ที่ออกแบบเพื่อให้เด็กเล่นได้อย่างสนุกสนานและปลอดภัยที่จะทำให้รู้สึกสดชื่นในทุกวัน ประกอบกับโครงการยังมีห้องฟิตเนส ห้องสตรีมชาย หญิง สวนลอยฟ้า และสวนเล่นระดับ พร้อมกรีนพัตต์กอล์ฟ สำหรับโครงการ ชีวาทัย เรสซิเดนซ์ ทองหล่อ แบ่งเป็น ชั้น B1-B2 จะเป็นพื้นที่จอดรถ ขณะที่ชั้น 1 จะเป็นห้องพักอาศัย , โถงล็อบบี้, ห้องนิติบุคคล, ห้องประชุม, สวน, สระว่ายน้ำ, สระว่ายน้ำเด็ก, ห้องออกกำลังกาย, ห้องสตีม ส่วนชั้น 2-8 จะเป็นห้องพักอาศัย และชั้น Rooftop จะเป็นสวน, กรีนพัตต์กอล์ฟ และลานกิจกรรม โดยมีแนวคิดโครงการคือ MAXIMIZE COMFORT IN URBAN LIVING “ความสุขสมบูรณ์พร้อมสุดของชีวิตเมือง” เพื่อพลังของชีวิตเมือง ผสานกับธรรมชาติสีเขียวและอากาศบริสุทธิ์ ที่แวดล้อมไว้ด้วยบรรยากาศที่รื่นรมย์ในความเป็นส่วนตัวที่สุด ใจกลางทองหล่อ พร้อมการออกแบบพื้นที่ใช้สอยอย่างชาญฉลาดใส่ใจในทุกรายละเอียดทั้งภายในและภายนอก ตัวอาคารสูง 8 ชั้น สีขาวสะดุดตา มีระเบียงรอบอาคารพร้อมต้นไม้เขียวชอุ่ม อีกทั้งยังเป็นการสร้างมุมมองพิเศษที่มีเอกลักษณ์ และบรรยากาศอันรื่นรมย์ พร้อมความสมดุลของชีวิต เติมเต็มความรู้สึกส่วนตัวด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ได้แก่ Co-Working Space สระว่ายน้ำ Salt Water Chlorinator Poll System , Fully Equipped Fitness, Vertical Garden Lobby และ Rooftop Garden & Sundeck พื้นที่สีเขียวที่ให้คุณใกล้ชิดธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ พร้อมกับ Concierge Service และระบบรักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชม. ที่ให้คุณอุ่นใจและใช้ชีวิตเมืองได้อย่างสมบูรณ์ “การพัฒนาคอนโดมิเนียมครั้งนี้จะเป็นการพัฒนาคอนโดแบบ Low Rise และมีสถานที่ใกล้เคียง เช่น ห้างสรรพสินค้าเมเจอร์เอกมัย, เกตเวย์ เอกมัย, เจ อเวนิว ทองหล่อ และ เค วิลเลจ รวมถึงยังใกล้กับโรงพยาบาลคามิลเลียนแค่ 500 เมตร และห่างจากโรงพยาบาลกรุงเทพเพียง 2 กิโลเมตร โครงการนี้คาดว่าจะสร้างเสร็จและรับรู้รายได้ภายในปี 2020” นายบุญ ชุน เกียรติ กล่าว   นอกจากนี้บริษัทยังคงมั่นใจเป้ารายได้ปี 2561 จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 2,400 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 20% จากปี 2560 ที่มีรายได้อยู่ที่ 2,043.37 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีรายได้อยู่ที่ 1,456.38 ล้านบาท และบริษัทยังมียอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 800 ล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง
แอคคอร์โฮเทล เปิดคอนเซ็ปต์ 2 แบรนด์โรงแรม ในตึกเดียวกัน โนโวเทล และไอบิส สไตล์

แอคคอร์โฮเทล เปิดคอนเซ็ปต์ 2 แบรนด์โรงแรม ในตึกเดียวกัน โนโวเทล และไอบิส สไตล์

แอคคอร์ (AccorHotels) เปิดโรงแรมโนโวเทล และโรงแรมไอบิส สไตล์ คอนเซ็ปต์ 2 แบรนด์ ในตึกเดียวกันใจกลางเมือง ย่านสุขุมวิท เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคมศกนี้ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักเดินทางภาคธุรกิจและนักท่องเที่ยว อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส นานาและเพลินจิต เดินทางสะดวก และใกล้ทางด่วนที่สามารถเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองได้อย่างสะดวกอีกด้วย นายแพทริค บาสเซ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ แอคคอร์โฮเทล ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือและมัลดีฟส์ กล่าวว่า "เป็นโรงแรมแบรนด์รวมแห่งที่สองในกรุงเทพฯ ที่เปิดตัวร่วมกับ ดิเอราวัณกรุ๊ป สำหรับคอนเซ็ปต์ 2 แห่งในตึกเดียว นำความโดดเด่นของสองแบรนด์มาไว้บนตึกเดียว เพื่อให้ผู้ใช้บริการมีทางเลือก ระหว่างโรงแรมโนโวเทล ดีไซน์อย่างทันสมัยในสไตล์ที่เรียบหรู และไอบิสสไตล์แบรนด์ โดดเด่นในความคิดสร้างสรรค์ ราคาประหยัด" ด้าน นายยูเซฟ เอลคอมริ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการโรงแรม บริษัท ดิเอราวัณกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เผยว่า "เป็นการเปิดตัวโรงแรมสองแบรนด์ในตึกเดียวกัน แห่งที่ 2 หลังจากที่เราได้ร่วมงานกับแอคคอร์ โฮเทล ในการเปิดคอนเซ็ปต์ 2 แบรนด์ในตึกเดียวกันมาแล้ว จึงพร้อมจะมอบประสบการณ์การบริการที่แตกต่าง และเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับการบริการของเรา โดยคาดหวังส่วนแบ่งการตลาดที่มากขึ้น ด้วยทีมงานที่แข็งแกร่งและช่วยเพิ่มประสบการณ์ทรงคุณค่าให้กับผู้ใช้บริการตลอดการเข้าพัก" โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สุขุมวิท 4 เป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว ประกอบด้วยห้องพัก 185 ห้อง ออกแบบในสไตล์ไทยสมัยใหม่ มีห้องพักที่เป็นเอกลักษณ์ คือ ห้อง N 'Room (เอ็นรูม) ห้องพักแนวคิดใหม่เรียบง่ายและใช้ประโยชน์ได้ดีจากแสงธรรมชาติ ตกแต่งศิลปะผนังห้องที่สะท้อนความเป็นตัวตน สมาร์ททีวี 49 นิ้วและแผงเชื่อมต่อพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นอกจากนี้ทุกห้องพักตกแต่งภายใต้ระบบ LIVE N DREAM เตียงนอนที่ออกแบบโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม พร้อมผ้าปูที่นอนคุณภาพสูงผลิตจากขวดรีไซเคิล 100% และฐานเตียงผลิตจากไม้ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยการออกแบบที่ทันสมัยเตียง LIVE N DREAM ช่วยให้หลับสบายตลอดคืน   โรงแรมไอบิสสไตล์ กรุงเทพ สุขุมวิท 4 มอบประสบการณ์การพักผ่อนอย่างคุ้มค่ากับโรงแรมระดับ 3 ดาว อย่างมีสีสัน ห้องพักและห้องสวีทมาตรฐาน 133 ห้อง ทีวี 42 นิ้ว ตู้เย็นขนาดย่อม ไวไฟ เครื่องชงชา-กาแฟ พร้อมอาหารเช้า นอกจากนี้ยังมีห้องอาหารให้ผู้ใช้บริการได้เลือกอิ่มอร่อย อิ่มตา อิ่มใจกับทัศนียภาพเมืองที่งดงามบนห้องอาหารเรดสแควร์รูฟท็อปบาร์ บนชั้นดาดฟ้า 25 ที่บริการอาหารรสเลิศพร้อมกับความบันเทิงและชมทัศนียภาพเมือง ที่งดงาม และสระว่ายน้ำแบบพาโนรามา หรือห้องอาหารนานาชาติ ฟู้ดเอ็กซ์เชนจ์ เปิดบริการตลอดวันบริเวณ ล็อบบี้โรงแรม โรงแรมโนโวเทลไอบิสสไตล์กรุงเทพสุขุมวิท 4 ตั้งอยู่ที่สุขุมวิทซอย 4 เดินเพียง 5 นาทีจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีนานาหรือเพลินจิตห่างจากสนามบินนานาชาติดอนเมืองประมาณ 24.6 กิโลเมตรและสนามบินสุวรรณภูมิประมาณ 29.2 กิโลเมตร   โปรโมชั่นพิเศษ! สำหรับสมาชิกเลอ คลับ แอคคอร์โฮเทล รับส่วนลดห้องพักเป็น 15% พร้อมออนท็อป 10% สำหรับแอคคอร์พลัส ข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองห้องพัก ที่ www.accorhotels.com, email: Novotel.Erawan@accor.com โทร 0-2659-2888
เสนาฯ ปลื้ม

เสนาฯ ปลื้ม "นิช โมโน เจริญนคร" กวาดยอดขาย 770 ล้านบาท

ขายดีเทน้ำเทท่า ก็งานนี้แหละจ้า!! การันตีความสำเร็จจากยอดขายคอนโดมิเนียม ริมแม่น้ำเจ้าพระยาครั้งแรก ภายใต้การร่วมทุนระหว่าง เสนา ฮันคิว นำทัพโดยผู้บริหารหญิงแกร่งแห่งวงการอสังหา ดร.ยุ้ย เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่ออกมาบอกว่า โครงการ นิช โมโน เจริญนคร คอนโดหรูวิวโค้งน้ำที่สวยที่สุด เพิ่งเปิดขายเพียงเดือนเศษเท่านั้นก็กวาดยอดขายเกินครึ่ง ตีเป็นมูลค่ากว่า 770 ล้านบาท นี่แว่วๆมาว่า ชั้นบนสุดขายหมดแล้วนะจ๊ะ เพราะนอกจากจะได้รับวิวพาโนราม่าแบบ 360 องศา มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์แบบ Fully furnished ใส่ใจทุกดีเทลของชีวิตผ่านคอนเซปต์ Made From Her ผลตอบรับดีแบบนี้ ใครที่สนใจรีบจับจองเป็นเจ้าของด่วน ถ้าพลาดแล้วจะเสียใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1775 กด 76 ได้เลยจ้า
ตลาดอาคารสำนักงานคาดแข่งขันเดือด อุปทานใหม่เตรียมจ่อเข้าตลาดอีกกว่า 3.5 แสน ตร.ม.

ตลาดอาคารสำนักงานคาดแข่งขันเดือด อุปทานใหม่เตรียมจ่อเข้าตลาดอีกกว่า 3.5 แสน ตร.ม.

เน็กซัสเผย ตลาดอาคารสำนักงานในย่านธุรกิจมีแนวโน้มในการแข่งดุ ปัจจุบันพบว่าตลาดอาคารสำนักงานในย่านธุรกิจมี อัตราว่างของพื้นที่เช่า อยู่ในระดับต่ำ ค่าเช่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในอีก 3-4 ปีข้างหน้า การแข่งขันจะดุเดือดยิ่งขึ้น เนื่องจากมีอุปทานใหม่เกิดขึ้นในตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าอุปทานที่เพิ่มขึ้นจะสูงขึ้นกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ จาก 1.175 ล้านตารางเมตร แนะเจ้าของอาคารเก่าควรปรับปรุงอาคารให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่ออัตราค่าเช่าที่ดีขึ้น นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด กล่าวว่า “หากเรามองย้อนกลับไปในช่วง 10 ปีที่ที่ผ่านมา จะพบว่าอัตราว่างเฉลี่ยของพื้นที่เช่าสำนักงานอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 10% ซึ่งถือว่าเป็นอยู่ในระดับที่ต่ำแล้ว แต่ในปัจจุบันพบว่าอัตราว่างกลับน้อยลงไปอีก คือ มีอัตราว่างเพียง  7-8% เท่านั้น และยังมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมดเป็นผลมาจากการเกิดขึ้นของบริษัทต่างๆ มีมากขึ้น มีการลงทุนของต่างชาติที่เข้ามาเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานมากขึ้น และการเติบโตของธุรกิจของไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่ออุปทานในตลาดมีอยู่อย่างจำกัดทำให้อัตราว่างของอาคารสำนักงานมีน้อยลงนั่นเอง” แต่สถานการณ์ดังกล่าว จะคงอยู่อีกไม่นานนัก เนื่องจากในปัจจุบันมีการเปิดตัวเมกกะโปรเจกต์มากมาย โดยเฉพาะบริเวณถนนพระรามที่ 4 ที่จะมีอาคารสำนักงานเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 โครงการ คือ สามย่านมิตรทาวน์ วัน แบงคอก และเดอะ ปาร์ค โดยทั้ง 3 โครงการนี้ คาดว่าจะมีพื้นที่เช่ารวมประมาณ 350,000 ตารางเมตร หรือคิดเป็นประมาณ 30% ของพื้นที่เช่าสำนักงานเกรดเอ ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ โดยแต่ละโครงการจะถูกสร้างเสร็จในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ซึ่งจะ ส่งผลให้อุปสงค์ในตลาดอาคารสำนักงานจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอีก 3-4 ปีข้างหน้า นั่นจะส่งผลกระทบให้ตัวเลขอัตราว่างของพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานอาจสูงขึ้นมากกว่า 10% เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี   แต่อย่างไรก็ตาม ตัวเลขของอัตราการว่างของอาคารสำนักงานเกรดเอที่มีอัตราเฉลี่ยสิบกว่า เป็นตัวเลขระดับค่าเฉลี่ยมาตรฐานที่เมื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขของทั้งภูมิภาคเอเชีย จากการสำรวจของ Cushman & Wakefield ซึ่งเป็นบริษัทพันธมิตรของเน็กซัสฯ พบว่า อัตราว่างของพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานเกรดเอ ในย่านธุรกิจของไตรมาสที่ 2 ยังคงอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน และอัตราว่างของกรุงเทพฯ อยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น สิงคโปร์ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ หรือแม้กระทั่งปักกิ่ง เมื่อพิจารณาด้านราคาค่าเช่าอาคารสำนักงานเกรดเอ ในกรุงเทพ พบว่าในไตรมาสที่ 3 อัตราค่าเช่าของอาคารสำนักงานเกรดเอ ทั้งในและนอกย่านศูนย์กลางธุรกิจนั้น ยังคงสร้างสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยที่ค่าเช่าสูงสุดในปัจจุบันอยู่ที่ 1,500 บาท/ตารางเมตร/เดือน และราคาเฉลี่ยที่ 980 บาท/ตารางเมตร/เดือน นอกจากนี้ยังพบว่า อายุเฉลี่ยของอาคารสำนักงานเกรดเอ ในย่านศูนย์กลางธุรกิจจะอยู่ที่ประมาณ 17 ปี ดังนั้นบางอาคารเริ่มมีแผนปรับปรุงอาคารที่ชัดเจน หรือมีแผนสร้างอาคารใหม่ทดแทนของเดิม เพื่อเพิ่มศักยภาพและยกระดับอาคารให้ตอบสนองกับความต้องการที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะอายุของอาคารสำนักงานจะส่งผลต่อราคาค่าเช่าด้วย โดยเราพบว่าอาคารสำนักงานใหม่ที่อายุไม่เกิน 5 ปี สามารถทำราคาค่าเช่าเฉลี่ยได้สูงถึง 1,200 บาท/ตารางเมตร/เดือน ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มปรับปรุงพื้นที่เพื่อให้ได้ค่าเช่าที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอาคารเกรดบี โดยเฉพาะในย่านสีลม ซึ่งในอนาคต โดยเราคาดว่าในย่านสีลมจะมีการพัฒนาอาคารสำนักงานเกรดเอให้เห็นเพิ่มมากขึ้นจากปัจจุบัน    
อารียา พรอพเพอร์ตี้ นำ 3 โครงการไฮไลท์ ชูระบบ Home Intelligent ร่วมมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39  พร้อมอัดโปรฯ แรง “Happy X 3” กระตุ้นยอดขายรับไฮซีซั่น

อารียา พรอพเพอร์ตี้ นำ 3 โครงการไฮไลท์ ชูระบบ Home Intelligent ร่วมมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 พร้อมอัดโปรฯ แรง “Happy X 3” กระตุ้นยอดขายรับไฮซีซั่น

บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ยกทัพบ้าน และคอนโด กว่า 15 โครงการ ชู 3 โครงการไฮไลท์ทำเลทอง อารียา บุษบา ลาดพร้าว-เสรีไทย, เดอะวิลเลจ บางนา-วงแหวนฯ และ เดอะ คัลเลอร์ส เปอตี บางนา-วงแหวนฯ, วงแหวนฯ-ราชพฤกษ์ โครงการให้ที่ยกระดับการอยู่อาศัยด้วยระบบ Home Intelligent สอดรับเทรนด์รักสุขภาพ ให้ลูกค้าได้สัมผัส “ความสุข มีตัวตน” พร้อมจัดแคมเปญเด่น “Happy X 3” ฟรีโอนทุกรายการ ฟรีเฟอร์นิเจอร์ ฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้า แถมรับส่วนลดเพิ่มสูงสุดถึง 20,000 บาท และพบกับโปรโมชั่นสุดพิเศษ สำหรับคอนโดมิเนียม A Space ID ดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปี กับธนาคารยูโอบี แบบไม่ต้องกังวลกับดอกเบี้ยขาขึ้น และ คอนโดมิเนียม A Space me ผ่อน 2,500 บาท/เดือน นาน 3 ปี กับธนาคารธนชาติ ช่วยกระตุ้นยอดขายประเดิมช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พบข้อเสนอสุดพิเศษนี้ได้ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 ระหว่างวันที่ 4 - 7 ตุลาคม นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์   นายวิวัฒน์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการอาวุโส บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อารียาฯ ได้คัดสรรโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนบราบและแนวสูงจำนวน 15 โครงการ เข้าร่วมงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 39 ระหว่างวันที่ 4-7 ตุลาคม 2561 ณ บูท G35-44 โซน CG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นอกจากนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายรับไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ เตรียมส่งแคมเปญสุดพิเศษ “Happy X 3” ต่อที่ 1 ฟรีค่าโอนทุกรายการ ฟรีเฟอร์นิเจอร์ ฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้า ต่อที่ 2 รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 20,000 บาท และต่อที่ 3 ลุ้นรับรางวัล Apple Watch Series 4 จำนวน 4 รางวัล และพิเศษสำหรับคอนโดมิเนียม A Space ID อโศก-รัชดา ดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปี กับธนาคารยูโอบี แบบไม่ต้องกังวลกับดอกเบี้ยขาขึ้น และ คอนโดมิเนียม A Space me สุขุมวิท 77, บางนา, รัตนาธิเบศร์ ผ่อนสบาย ๆ เพียง 2,500 บาท/เดือน นาน 3 ปี กับธนาคารธนชาติ   ภายในงาน ยังพบกับ 3 โครงการไฮไลท์ ที่ยกระดับการอยู่อาศัยด้วยระบบ Home Intelligent สอดรับเทรนด์รักสุขภาพ ให้ลูกค้าได้สัมผัสถึง “ความสุข มีตัวตน” คาดว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยในแง่ของทำเลเด่น เดินทางสะดวก ได้แก่ โครงการ อารียา บุษบา ลาดพร้าว-เสรีไทย ราคาเริ่มต้น 14 ล้านบาท บ้านหรูระดับ Hi-end บนถนนเสรีไทย เดินทางสะดวกใกล้โรงเรียนและแหล่งไลฟ์สไตล์ชั้นนำ เน้นความเป็นส่วนตัว เพียง 27   ยูนิต พื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ ถึง 305 ตร.ม. 1 Exclusive Master Bedroom พร้อม walk-in closet ขนาดใหญ่ 2 ห้องนอน พร้อมห้องน้ำในตัวทุกห้อง 1 multi – function room ที่สามารถรองรับทุกกิจกรรมของทุกคนในครอบครัว ยกระดับการอยู่อาศัยด้วยระบบ Home Intelligent สุดล้ำ 2 ที่จอดรถ โครงการ เดอะ วิลเลจ บางนา-วงแหวนฯ 3 ราคาเริ่มต้น 4.29 ล้านบาท สมาร์ทโฮมสไตล์ American Cottage หลังใหญ่สบายทุกการอยู่อาศัย ด้วยระบบ Home Intelligent ทั้งหลัง 1 Master Bedroom ด้านหน้าเพื่อรับแดดอ่อนยามเช้า และรับอากาศบริสุทธิ์ถ่ายเทได้ดีขึ้น 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ อุ่นใจตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าสู่โครงการ ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยระดับมาตรฐานสูง ที่ทำงานร่วมกับระบบ Home Intelligent สามารถส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังสมาร์ทโฟนของคุณ บรรยากาศร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ตลอด 2 ข้างทาง เดินทางสะดวกใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน 2 สาย ใกล้อิเกีย, เมกา บางนา โครงการ เดอะ คัลเลอร์ส “เปอตี” บางนา-วงแหวนฯ  ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท และ วงแหวนฯ – ราชพฤกษ์ ราคาเริ่มต้น 1.79 ล้านบาท ทาวน์โฮมซีรี่ส์ใหม่ ใช้ชีวิตอิสระทุกตารางเมตร ตอบโจทย์ทุกฟังก์ชั่นการใช้งานคุ้มค่าทุกพื้นที่ในบ้านด้วย 2 Master Bedroom เพิ่มความเป็นส่วนตัวและเป็นสัดส่วนมากขึ้น 1 multi-function room ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ทุกไลฟ์สไตล์การใช้งาน 1 flexi kitchen พื้นที่ครัวลงตัวทุกความถนัด ช่วยเพิ่มความคล่องตัว และต่อเนื่องในการใช้งาน   นายวิวัฒน์ เลาหพูนรังษี กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับข้อเสนอพิเศษที่ทางอารียาฯ จัดให้ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งนี้ ถือเป็นความพิเศษที่ Happy แบบคูณ 3 นอกจากจะได้พบกับที่อยู่อาศัยที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์แล้ว ยังพบกับโปรโมชั่นสุดพิเศษถึง 3 ฟรี หรือแม้แต่ดอกเบี้ย 0% นาน 2 ปี โดยคาดว่าจะมียอดจองซื้อภายในงานนี้ไม่ต่ำกว่า 395 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนบราบ 293 ล้านบาท และโครงการแนวสูง 102 ล้านบาท”
เพอร์เฟค เปิดตัวโครงการบ้านหรูแบรนด์ใหม่ “เพอร์เฟค เรสซิเดนซ์” เผยยอดขายกลุ่มบริษัท 9 เดือน เติบโตถึง 50%

เพอร์เฟค เปิดตัวโครงการบ้านหรูแบรนด์ใหม่ “เพอร์เฟค เรสซิเดนซ์” เผยยอดขายกลุ่มบริษัท 9 เดือน เติบโตถึง 50%

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ขยายฐานลูกค้ากลุ่ม 10-15 ล้าน  ด้วยโครงการบ้านเดี่ยวหรูแบรนด์ใหม่ “เพอร์เฟค เรสซิเดนท์” ชูคอนเซ็ปท์บ้านสไตล์คลาสสิกในสังคมส่วนตัว มาพร้อมนวัตกรรมการอยู่อาศัย ประเดิมเปิด 2 โครงการแรกทำเลสุขุมวิท 77 และ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา เผยยอดขายกลุ่มบริษัทเติบโตต่อเนื่อง ไตรมาส 3 คาดทำได้ 5,300 ล้าน รวม 9 เดือนทำได้ 13,250 ล้าน เติบโต 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  มีแผนเปิดโครงการใหม่ส่งท้ายปลายปีอีก 9 โครงการ มูลค่า 14,316 ล้าน     นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ล่าสุด  “เพอร์เฟค เรสซิเดนท์”  ซึ่งเป็นโครงการที่พัฒนาขึ้นในกลุ่มเซ็กเม้นท์ของบ้านไฮคลาส  จุดเด่นอยู่ที่รูปแบบโครงการที่เน้นความเป็นส่วนตัว ด้วยจำนวนยูนิตไม่มาก และแบบบ้านสไตล์ Classic Revival ที่ผสมผสานความสวยงามคลาสสิกและความทันสมัย มาพร้อมนวัตกรรมแห่งการอยู่อาศัยในรูปแบบบ้านอัจฉริยะ Smart Living Solution อาทิ Smart IP Camera กล้องวงจรปิดที่ดูภาพได้จากมือถือ, Smart Air Condition Controller IR Transmitter ระบบควบคุมเครื่องปรับอากาศ, Smart Motion Sensor อุปกรณ์ตรวจจับความเคลื่อนไหว เพื่อเปิดปิดไฟอัตโนมัติ, Power Monitoring ระบบตรวจติดตามการใช้พลังงานไฟฟ้า ประปา ในบ้านแบบเรียลไทม์, Amazon ระบบควบคุมและสั่งการอุปกรณ์ในบ้านด้วยเสียง เป็นต้น โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายในระดับราคา 10-15 ล้านบาท ที่ต้องการสังคมที่เป็นส่วนตัวและชื่นชอบเทคโนโลยี     “เพอร์เฟค เรสซิเดนท์” เปิดตัวพร้อมกันใน 2 ทำเลบนฝั่งตะวันออกของกรุงเทพ คือ สุขุมวิท 77  พื้นที่ 33 ไร่  จำนวน 108  ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,050 ล้านบาท และ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา พื้นที่ 16 ไร่  จำนวน 39 ยูนิต มูลค่าโครงการ 430 ล้านบาท  ทั้งนี้ โครงการบ้านหรูทำเลพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพ มีการขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อมีการก่อสร้างถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ (ถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า) ถนนเส้นนี้กลายเป็นทำเลที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นใหม่ที่ได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเดินทางได้สะดวก สามารถเชื่อมต่อกับ ถ.ศรีนครินทร์ รามคำแหง และเดินทางไปย่านธุรกิจถ.พระราม 9 เพชรบุรี ได้โดยตรง  โดยปัจจุบัน พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มีโครงการภายใต้การพัฒนาบนทำเลถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ รวม 6 โครงการ เป็นพื้นที่รวม 312 ไร่ รวมมูลค่าโครงการ 10,050 ล้านบาท  และยังมีแลนด์แบงค์อีก 100 ไร่     นายวงศกรณ์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สำหรับยอดขายของกลุ่มบริษัทในไตรมาส 3 ของปี คาดจะทำได้ประมาณ 5,300 ล้านบาท เติบโตขึ้น 35%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 โดยเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ 3,500 ล้านบาท และ โครงการคอนโดมิเนียม 1,800 ล้านบาท  เมื่อรวมยอดขาย 9 เดือนแรกของปี  จะมียอดขายรวม 13,250 ล้านบาท  เติบโตขึ้นถึง 50% เทียบกับช่วง 9 เดือนของปี 2560  ในส่วนของการเปิดโครงการใหม่ส่งท้ายปลายปี ในช่วงไตรมาส 4 ยังจะมีการเปิดโครงการใหม่อีก 9 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ 7 โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 14,316 ล้านบาท     สำหรับโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรจากต่างประเทศ ทั้ง 3 แห่ง มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยความร่วมมือกับ ฮ่องกง แลนด์ ในการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวไฮเอนด์ทำเลแจ้งวัฒนะ ขนาด 130 ไร่  มูลค่าโครงการ 4,800 ล้านบาท  ได้ดำเนินการขายที่ดินเข้าบริษัทร่วมทุนเสร็จสิ้นเรียบร้อย และจะมีการบันทึกรายได้จากการขายที่ดินในไตรมาส 3 ประมาณ 800 ล้านบาท  ในส่วนความร่วมมือกับ เซกิซุย เคมิคอล เพื่อพัฒนาบ้านระบบโมดูลาร์ ในโครงการ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ กรุงเทพกรีฑา, รามคำแหง, แจ้งวัฒนะ และรัตนาธิเบศร์ รวมมูลค่า 2,230 ล้านบาท กำหนดเปิดตัวในต้นปี 2019  ด้านความร่วมมือกับ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี ในโครงการไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ คอนโดมิเนียมไฮเอนด์จำนวน 319 ยูนิต มูลค่าโครงการ 6,000 ล้าน  กำหนดเปิดขายปลายเดือนพฤศจิกายนนี้  
บีทีเอส แสนสิริ ชูความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการร่วมกัน คาดโกยกำไรตามเป้าหมาย  ล่าสุดเตรียมบุ๊กกำไรโอนจากอีก 2 โครงการใหญ่ มูลค่าโอนรวม 5,300 ลบ.

บีทีเอส แสนสิริ ชูความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการร่วมกัน คาดโกยกำไรตามเป้าหมาย ล่าสุดเตรียมบุ๊กกำไรโอนจากอีก 2 โครงการใหญ่ มูลค่าโอนรวม 5,300 ลบ.

บีทีเอส-แสนสิริ เผยความสำเร็จจากการร่วมมือกันพัฒนาคอนโดมิเนียมแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชน โดยพัฒนาร่วมกันไปแล้วถึง 12 โครงการ มูลค่ารวม 43,000 ล้านบาท ล่าสุดปีนี้เตรียมโกยกำไรจากโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุน บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป อีก 4 โครงการ ดันกำไรจากบริษัทร่วมทุนแตะ 700 ล้านบาท ขณะที่ SIRI ยังมีรายได้จากการบริหารโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนเพิ่มเติมอีก 6,000 ล้านบาท ไตรมาสสุดท้ายเตรียมรับรู้กำไรจากการโอนอีก 2 โครงการใหญ่ เดอะไลน์ อโศก - รัชดาและเดอะ เบส การ์เดน - พระราม 9 มูลค่าโอนรวม 5,300 ล้านบาท คาดกำไรโอนเข้าเป้าจากความโดดเด่นของทั้ง 2 โครงการและที่ตั้งโครงการในทำเลศักยภาพ อโศก-พระราม 9 ซึ่งเป็นNew CBD ขณะที่ยังทยอยรับรู้กำไรต่อเนื่องจากอีก 2 โครงการที่ทยอยโอนตั้งแต่ครึ่งปีแรก เชื่อมั่นจุดแข็งด้านผู้นำการพัฒนาที่อยู่อาศัยของแสนสิริผนึกศักยภาพของบีทีเอส กรุ๊ป ส่งผลให้ประสบความสำเร็จในทุกโครงการต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าต่อตามแผนเตรียมจ่อคิวเปิดตัวโครงการใหม่ ภายใต้ บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป “เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค” มูลค่าโครงการ 4,900 ล้านบาท ปลายเดือนพฤศจิกายนนี้   นางสาววรางคณา  อัครสถาพร ผู้จัดการทั่วไป บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป เปิดเผยว่า หลังจากบีทีเอส และแสนสิริ ประกาศความร่วมมือในแผนระยะยาวในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในแนวเส้นทางระบบขนส่งมวลชน ภายใต้บริษัทร่วมทุน บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นระหว่างกลุ่มบีทีเอส และบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) 50 : 50 ล่าสุดด้วยความแข็งแกร่งในด้านเงินทุนของกลุ่มบริษัทบีทีเอสที่เตรียมพร้อมไว้เพื่อรองรับการลงทุนในการขยายธุรกิจรถไฟฟ้าและความพร้อมด้านบุคลากร รวมถึงการมีที่ดินที่พร้อมพัฒนาในมือของกลุ่มบริษัท ผสานกับความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริ ส่งผลให้ทั้งสองบริษัทพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมกันไปแล้วจำนวนรวมทั้งสิ้น 12 โครงการ มูลค่ารวม 43,000 ล้านบาท ซึ่งหลายโครงการประสบความสำเร็จปิดการขายได้ทันทีในวันพรีเซลล์ โดยล่าสุดในปี 2561 นี้ บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง กรุ๊ป มีแผนการโอนคอนโดมิเนียมอีก 4 โครงการ มูลค่าการโอนรวมประมาณ 13,000 ล้านบาท ประกอบด้วย เดอะไลน์ราชเทวี มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ที่เริ่มรับรู้กำไรตั้งแต่ไตรมาส 2/2561 โครงการเดอะไลน์ วงศ์สว่างคอนโดมิเนียมพร้อมโอนสร้างเสร็จก่อนขายมูลค่าโครงการ 4,800 ล้านบาท ที่เริ่มรับรู้กำไรตั้งแต่ไตรมาส 1/2561 เป็นต้นมา นอกจากนี้ยังมีคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนอีก 2 โครงการใหญ่ ที่จะเริ่มโอนและรับรู้กำไรทันทีในปลายเดือนกันยายนนี้ ได้แก่ โครงการ เดอะไลน์ อโศก – รัชดา มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท และโครงการเดอะเบส การ์เด้น - พระราม 9 มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท รวมถึงแสนสิริยังมีรายได้รายได้จากการบริหารโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนกับบีทีเอสในปีนี้เพิ่มเติมอีก 6,000 ล้านบาทอีกด้วย     “บริษัทคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากการโอน 2 โครงการใหม่ในช่วงไตรมาสสุดท้าย คือ เดอะ ไลน์ อโศก – รัชดา และ เดอะ เบส การ์เด้น-พระราม 9 จากความโดดเด่นของทั้ง 2 โครงการ รวมถึงศักยภาพของโครงการ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเล อโศก-พระราม 9 ซึ่งเป็นย่านธุรกิจแห่งใหม่ที่น่าจับตามอง เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูง รองรับการเติบโตและขยายตัวของเมืองชั้นใน นับเป็นทำเลศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) ที่รวมการคมนาคมที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่ย่านศูนย์กลางธุรกิจจากการรายล้อมด้วยโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ซึ่งหากพิจารณาในแง่ของการลงทุน ทั้งจากการปล่อยเช่าและการถือครองระยะยาว ทำเลนี้นับว่ามีศักยภาพในแง่การลงทุนสูงจากความต้องการใหม่ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ย้ายมาอยู่อาศัยตามแหล่งงาน โดยเฉพาะชาวจีนและชาวญี่ปุ่นที่เริ่มเห็นเพิ่มขึ้นในทำเลนี้” นางสาววรางคณา กล่าว โครงการเดอะ ไลน์ อโศก – รัชดา (THE LINE Asoke-Ratchada) มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท ชูคอนเซ็ปต์ “Balance is Everything, Location is Everything” ตอบสนองการใช้ชีวิตที่สมดุลย์ให้กับคนเมือง บนทำเลศักยภาพศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) ใกล้ MRT พระราม 9 เพียง 300 เมตร นอกจากนี้ยังนับเป็นอาคารที่พักอาศัยอัจฉริยะ (Smart Building) แห่งแรกของแสนสิริที่สร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมอยู่แล้วในวันนี้ พร้อมเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ (Complete Your Living Experience) ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ที่ครอบคลุมทุกมิติของการใช้ชีวิตของลูกบ้านในยุคดิจิทัล พร้อมมอบโปรโมชั่นโอนกรรมสิทธิ์ในเดือนตุลาคมนี้ อาทิ ฟรีค่าธรรมเนียมโอน ฟรีค่าส่วนกลาง 12 เดือน และฟรีค่าติดตั้งและประกันมิเตอร์ไฟฟ้า เป็นต้น     โครงการ เดอะ เบส การ์เด้น – พระราม9 มูลค่าโครงการ 2,300 ล้านบาท ยกระดับความพรีเมียม คัดสรรวัสดุที่ใช้อย่างบรรจงทุกรายละเอียด ด้วยการนำหินจากประเทศอิตาลีมาตกแต่งห้องฟิตเนสและ Lobby และปรับดีไซน์ ให้สะท้อนความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ในแนวคิด GARDEN OF CREATION นำพื้นที่สีเขียวมารวมกันก่อเกิดเป็นสวนขนาดใหญ่ที่ให้มากกว่าการพักผ่อน เดินทางสะดวกใกล้แอร์พอร์ตลิงค์สถานีรามคำแหงเพียง 3 นาที และใกล้ทางด่วนศรีรัชเพียง 5 นาที พร้อมมอบโปรโมชั่นโอนกรรมสิทธิ์ ฟรีเครื่องใช้ไฟฟ้า ฟรีค่าส่วนกลาง 2ปีเมื่อโอนภายในเดือนกันยายน และฟรีค่าส่วนกลาง 1 ปี เมื่อโอนภายในเดือนตุลาคมนี้*   “ในปี้นี้เราได้เห็นอีกก้าวหนึ่งของความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นการผนวกพลังระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจระยะยาวที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กันและกันอย่างยั่งยืน สำหรับความร่วมมือในช่วงที่เหลือของปีนี้ บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง ยังเตรียมเปิดคอนโดมิเนียมใหม่ ร่วมกันอีก 1 โครงการ คือ โครงการเดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค มูลค่าโครงการ 4,900 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการด้านที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่เตรียมเปิดให้บริการในปี 2563 โดยจุดเด่นของโครงการคืออยู่ติดรถไฟฟ้า 2 สาย เพียง 300 เมตรจากสถานีห้าแยกลาดพร้าว พร้อมสวนขนาดใหญ่ กว่า 8 ไร่ และส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 3,000 ตร.ม.ที่พัฒนาภายใต้คอนเซป‘Green is a new luxury’ จะเปิดการขายในเดือนพฤศจิกายนนี้” นางสาววรางคณา กล่าว
แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด พร้อมเปิดตัวโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ สร้างมูลค่าของการพักอาศัยระดับโลก

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด พร้อมเปิดตัวโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ สร้างมูลค่าของการพักอาศัยระดับโลก

ในยามที่ความต้องการเรสซิเดนซ์ระดับไฮเอนด์กลางเมืองกรุงเทพฯ มีแต่พุ่งสูงขึ้น แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) โครงการห้องชุดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่กลางย่านธุรกิจหลักของเมือง นำเสนอการลงทุนแบบ Leasehold ให้นักลงทุนได้เก็บเกี่ยวผลกำไรยาว ๆ ไปอีก 50 ปี พร้อมประกาศเปิดตัวโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ภายในโครงการ เพื่อเพิ่มมูลค่าของการพักอาศัยและมอบไลฟ์สไตล์สุดหรูด้วยบริการมาตรฐานระดับโลกจากเครือฮิลตัน   สำหรับปี พ.ศ. 2561 นี้ถือเป็นปีแห่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเชิงบวกเมื่อเปรียบเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมาจากอัตราการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งช่วยชดเชยอัตราการบริโภคในประเทศที่ซบเซา รวมถึงการอัดฉีดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น บริษัทต่าง ๆ ในเอเชียต่างมองประเทศไทยเป็นฐานภูมิศาสตร์ด้านกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อการดำเนินธุรกิจที่คุ้มค่าต่อการลงทุน ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ซื้ออสังหาฯ ต่างกำลังมองหาทรัพย์สินในเมืองไทยที่มีมูลค่าสัมพัทธ์ที่ดีเยี่ยมและมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง   ความต้องการของนักลงทุนในเอเชียต่างมุ่งไปที่อสังหาริมทรัพย์ระดับสูง ซึ่งก็คือโครงการเรสซิเดนซ์ใจกลางย่างธุรกิจหลักของกรุงเทพฯ (CBD) นั่นเอง ตลาดอสังหาฯ ระดับนี้นับวันจะมีราคาถีบตัวสูงขึ้นตลอดเวลา เนื่องจากทำเลทองเริ่มหายากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสวนทางกับความต้องการจากนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะนักลงทุนจากฮ่องกงที่เริ่มผละจากฮ่องกงไปมองหาทำเลใหม่ๆ ในต่างประเทศ ขณะที่นักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่ยังรู้สึกกังวลในการกลับไปลงทุนในบ้านเกิดและบ่ายหน้าหาทางเลือกอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะฟองสบู่ในประเทศ และในเมื่อราคาห้องชุดหรูในกรุงเทพฯ มีราคาเพียงครึ่งเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับห้องชุดระดับเดียวกันในสิงคโปร์และมีราคาเพียง 1 ใน 5 เมื่อเปรียบเทียบกับฮ่องกง ทำให้กรุงเทพฯ คือเป้าหมายสำคัญของนักลงทุนจากทั่วภูมิภาค   หนึ่งในโครงการที่กำลังเป็นที่จับตามองของนักลงทุนคือแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ซึ่งมีความพิเศษหลายด้าน ทั้งที่ตั้งโครงการซึ่งเป็นทำเลทองผืนสุดท้ายบนถนนราชดำริ รวมถึงคุณภาพการก่อสร้างและการตกแต่งระดับโลก อีกทั้งในปัจจุบัน ยังขยายสัญญา Leasehold จาก 30 ปีเป็น 50 ปี เพื่อให้นักลงทุนสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์กันได้แบบระยะยาว นอกจากนี้ หลังจากมีงานเปิดตัวโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ แบรนด์โรงแรมระดับไฮเอนด์แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของวอลดอร์ฟในเครือฮิลตันโฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท ไปเมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้เจ้าของห้องชุดหรูของ MRB ได้รับเอกสิทธิ์ระดับวีไอพีเพิ่มเติมอีกด้วย โดยเจ้าของห้องพักทุกท่านสามารถใช้บริการบาร์ และห้องอาหารชั้นนำจากเครือฮิลตันได้เช่นเดียวกับแขกของโรงแรม นับเป็นการยกระดับไลฟ์สไตล์สู่มาตรฐานสากลอย่างแท้จริง   อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า “เศรษฐกิจไทยกำลังกระเตื้องขึ้นจากการเติบโตของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว โดยในปีที่ผ่านมา ไทยมีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่ 3.9% ซึ่งเกิดจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในตลาดหลักแห่งอย่างมีนัยสำคัญที่ 9.9% ส่วนภาคการท่องเที่ยวมีอัตราส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่ 20% โดยในปี 2560 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนประเทศไทยมากถึง 35.4 ล้านคน และคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในปี 2561 นี้”   เหล่านี้คือสภาพการณ์ที่ดีเยี่ยมต่อการเลือกทำเลในการลงทุน หรือแม้แต่การใช้ประโยชน์จากความพร้อมของเมืองไทยทั้งในด้านวัฒนธรรม ความบันเทิง และมูลค่าทรัพย์สินสำหรับผู้ซื้อที่ต้องการอยู่อาศัย ซึ่งทำให้การซื้อมีความสมเหตุสมผลอย่างมากหากต้องการหวังผลในช่วงเวลานั้น   ตลาดอสังหาฯ ระดับบนยังคงให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีมาก และสำหรับประเทศไทย ผลตอบแทนล้วนขึ้นอยู่กับทำเลและมาตรฐานของโครงการ ซึ่งซีบีอาร์อีเห็นพ้องกับเรื่องนี้ “ราคาที่ดินในย่านธุรกิจหลักจะเพิ่มสูงขึ้นต่อไปโดยเฉพาะในกลุ่มทำเลชั้นเยี่ยมที่ใกล้กับสถานีขนส่งมวลชนต่าง ๆ ซึ่งการขาดแคลนโครงการที่ให้กรรมสิทธ์แบบซื้อขาดในย่านธุรกิจหลัก จะยิ่งทำให้ราคาถีบตัวสูงขึ้นไปอีก” อลิวัสสา กล่าว   สำหรับบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ถือเป็นหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาโครงการระดับคุณภาพที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดของประเทศไทยและมีผลงานโครงการชั้นเลิศมากมาย โครงการแรกที่สร้างชื่อเสียงคือแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด โดยเป็นอาคารรูปกลีบดอกไม้ที่อ่อนช้อยและสง่างาม ด้วยทุนก่อสร้างถึง 1,100 ล้านบาท โครงการนี้เป็นอาคาร 60 ชั้นความสูง 242 เมตร ทีมสถาปนิกได้แรงบันดาลใจมาจาก “กลีบดอกแมกโนเลีย” ที่หมุนวนจากฐานขึ้นไปสู่ส่วนยอดของอาคาร ทำให้โครงการในภาพรวมแลดูโดดเด่นสมกับเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งของกรุงเทพฯ   เนื่องจาก MRB ตั้งอยู่บนถนนราชดำริ ใกล้แยกราชประสงค์ ซึ่งเป็นย่านธุรกิจสำคัญของเมืองไทยและแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ ช็อปปิ้งมอลล์ โรงแรม 5 ดาว ร้านอาหารชั้นนำ ศูนย์กลางธุรกิจ และสถานบันเทิงที่เหนือระดับและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ทำให้โครงการแห่งนี้ตอบสนองความต้องการด้านพักอาศัยและไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรี่ได้อย่างลงตัว ซึ่งรวมไปถึงการดำเนินธุรกิจ การสร้างเครือข่าย และการติดต่อพบปะสังสรรค์ ตลอดจนการท่องเที่ยวของนักเดินทางที่หลั่งไหลมาจากประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนและทั่วโลก อีกทั้งสามารถเดินทางในกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส และเหนือสิ่งอื่นใด ความหรูหราสะดวกสบายในการใช้ชีวิตจากบริการระดับโลกของเครือฮิลตันจากโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ที่จะทำให้ไลฟ์สไตล์การพักอาศัยใน MRB คือที่สุดของความหรูหราระดับโลก     วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “โครงการแมกโนเลียส์ฯ ปิดการขายห้องชุดไปแล้วกว่า 80% ปัจจัยหลักที่ทำให้เรามียอดขายที่น่าพอใจ เกิดจากทำเลที่ตั้งโครงการซึ่งถือเป็นหนึ่งในทำเลทองชั้นนำของเมืองไทย (ศูนย์กลางธุรกิจย่านราชประสงค์) ทั้งยังเป็นโครงการแบบมิกซ์ยูสที่ตอบสนองความต้องการของผู้พักอาศัยได้ดีเยี่ยมเพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สมบูรณ์แบบไว้บริการตลอดเวลา และนอกเหนือจากการได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดสุดหรู คือการได้รับสิทธิพิเศษเมื่อใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากร้านค้าภายในโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ”   “สำหรับปีนี้ เรายังได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราจึงอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมด้วยการประสานงานกับธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงเทพ เพื่อนำเสนอระบบเงินกู้สูงสุดถึง 70% และยังขยายสัญญา Leasehold ไปจนถึง 50 ปี (30+20 ปี) โดยสามารถขายสิทธิ์ Leasehold แก่ผู้อื่นได้ ทำให้กรรมกสิทธิ์การครอบครองและการใช้ประโยชน์จากห้องชุดมีความสมบูรณ์และคล่องตัวมากขึ้น”   นอกเหนือจาก “ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่เหนือระดับ” เมื่อมองในแง่การลงทุน MRB ยังให้ผลตอบแทนจากการเช่าที่คุ้มค่าราว 4.5 – 5% ซึ่งสูงกว่าโครงการอื่น ๆ ในย่านเดียวกันมาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ที่ดินของแมกโนเลียส์ฯ ยังมีราคาสูงขึ้นทุกปี โดยเริ่มต้นอยู่ที่ 170,000 บาทต่อตารางเมตรในช่วงพรีเซล และขึ้นมาถึง 270,000 บาทต่อตารางเมตร ในปัจจุบัน   หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ ซีบีอาร์อี ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด 083-095-5054 หรือ sales@magnolias-ratchadamri.com
เผยโฉม “เดอะ เมโทรโพลิส สำโรง อินเตอร์เชนจ์”  สร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมส่งมอบ

เผยโฉม “เดอะ เมโทรโพลิส สำโรง อินเตอร์เชนจ์” สร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมส่งมอบ

ว๊าวสุดนาทีนี้ ขอเสนอโครงการฯ นี้เลย “เดอะ เมโทรโพลิส สำโรง อินเตอร์เชนจ์”  ดำเนินการโดยบริษัท เมโทรโพลิส พรอพเพอร์ตี้ส์ จำกัด บริษัทในเครือ ว่องไววิทย์ อุตสาหกรรมจักรกล จำกัด โดย คุณเฉลิมชัย ว่องไววิทย์ กรรมการผู้จัดการ  จัดงาน  “เปิดบ้านครั้งแรก”โครงการ คอนโดมิเนียม Hi rise 30 และ 39 ชั้น และ Low rise 7 ชั้น  พร้อมจุดขายเพียง  0 ก้าว สู่สองสถานีด้วยกัน  บนพิกัดเหนือกว่าทุกโครงการฯ “ติด” สถานี BTS สำโรงและสถานี MRT สำโรง-ลาดพร้าว ล่าสุดสร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมส่งมอบห้องชุดให้ลูกค้ากลุ่มแรกแล้ว  โดย บิ๊กบอส คุณเฉลิมชัย ที่มีดีกรีพ่วงท้ายเป็นวิศวกร  ลงสนามเองควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอน อาสาพาลูกบ้านตรวจรับด้วยตัวเอง  โชว์สเปควัสดุที่ให้แบบเกินมาตรฐาน โครงสร้างแข็งแกร่ง พร้อมเตรียมของแถมนอกโปรแกรมทุ่มไปรวมๆ กว่า 150 ล้านบาท  เนรมิต “Sky Lounge/Sky deck พร้อม Onsen และสวนลอยฟ้า” บนชั้นดาดฟ้าให้กับลูกบ้านในโครงการฯ เพื่อขึ้นไปชมวิวรอบทิศที่ไม่มีใครเทียบได้  ย้ำจุดเด่น ให้ความสำคัญกับ  “เอ็นจิเนียริ่ง”  มากกว่า “คอสเมติค” เพราะทรัพย์สินต้องวัดกันระยะยาว คนซื้อต้องได้กำไร     สำหรับโครงการ The Metropolis Samrong Interchange (เดอะเมโทรโพลิส สำโรง อินเตอร์เชนจ์) เป็นคอนโดมิเนียม High Rise  โครงการฯ แรกของบริษัทฯ มูลค่าโครงการ 5,700 ล้านบาท เปิดขายตั้งแต่เดือน เมษายน 2558 ทั้งหมดประกอบด้วย  3 อาคาร  รวม 1,721 ยูนิต ปัจจุบันสร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมส่งมอบ เหลือขายเพียง 200 ยูนิตสุดท้ายเท่านั้น จากราคาเริ่มต้น  1 Bedroom 35 – 45 ตารางเมตร ,  2 Bedrooms 52 – 53 ตารางเมตร และขนาดเล็กสุด  Studio 28 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 2.8 ล้านบาท  โครงการฯ ได้รับความสนใจอย่างยิ่งจากกลุ่มคนในพื้นที่ ซื้อที่อยู่อาศัยรองรับครอบครัวขยาย รวมถึงกลุ่มคนทำงาน-นักลงทุน  ที่ส่วนใหญ่เงินเดือนประมาณ 50,000 บาทเป็นต้นไป เข้ามาจับจอง เนื่องด้วยพิกัดโครงการฯ จูงใจ ชนิดหาไม่ได้อีกแล้ว เพราะตั้งอยู่ติดกับสถานีสำโรง ซึ่งในอนาคต สถานีสำโรงจะเป็นสถานี อินเตอร์เชนจ์ (Interchange)  เชื่อมต่อการเดินทางกับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (เทพารักษ์ – ลาดพร้าว) จัดเป็นทำเลที่ดีมากติดรถไฟฟ้าเพียง 0 ก้าว  ประหยัดเวลา สู่ใจกลางเมืองอย่างสะดวกสบายใช้เวลาเดินทางไปทองหล่อแค่ 16 นาที   "ผมให้ความสำคัญกับ  “เอ็นจิเนียริ่ง”  มากกว่า  “คอสเมติค” ด้วยแบ๊คกราวน์ที่ทั้งครอบครัวเป็นวิศวกร เราคิดว่าถ้าโครงสร้างแข็งแรง ระบบดีได้มาตรฐานสูง จะทำให้อาคารมีค่าบำรุงรักษาที่ถูกลงในระยะยาว อาคารอยู่ได้นานหลายๆสิบปี ทำให้มูลค่าทรัพย์สินของลูกค้าทุกท่านมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในระยะยาว เราคิดเสมอว่าลูกบ้านของเราน่าจะเหมือนได้อยู่ฟรี เพราะราคาน่าจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ  ด้วยศักยภาพของทำเลอย่างเดียวก็กินขาดแล้ว  และหากอาคารมีสภาพที่ดีในระยะยาว มีการดูแลสังคมที่ดี ผมก็เชื่ออีก 5-10 ปี ราคาจะขึ้นไปอีกมากพอสมควร " คุณเฉลิมชัย กล่าวและว่า     ตึกของเราจึงสร้างด้วยมาตรฐานที่สูงมากครับ  ยกตัวอย่าง โครงสร้างของอาคารแข็งแรงมาก ผู้รับเหมายังบอกว่าเราอาจจะ overdesign มากเกินไปเพราะใช้เหล็กเกินมาตรฐานทั่วๆไป  แต่เรากลับคิดว่าอาคารที่โครงสร้างแข็งแรง อาจจะแพงหน่อยในวันนี้ แต่ในระยะยาวย่อมจะมีคุณค่ามากกว่า เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องสร้างอาคารที่ดี ที่แข็งแรงให้กับลูกค้า ไม่ว่าลูกค้าจะเห็นหรือให้ความสำคัญหรือไม่  ส่วนวัสดุที่เรานำมาเป็นหน้าต่าง เราใช้กระจกลามิเนตหนาถึง 8 มม. และใช้เฟรม upvc ของบริษัท Deceuninck จาก Belgium ซึ่งเราน่าจะเป็นโครงการอาคารสูงรายแรกในประเทศไทยที่ใช้ของมาตรฐานสูงขนาดนี้  มีการทดสอบในอุโมงค์ลมว่าทนแรงลมได้ประมาณ 180 กม/ชม พายุมาเต็มๆเรายังสบายๆ น้ำไม่เข้าห้องแน่นอน และ upvc นี้จะเป็นสีขาวเหมือนใหม่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่สิบปีก็ตาม แม้กระทั่งระบบไฟฟ้าโดยรวม เราได้ถึงขนาดเผื่อกำลังไฟฟ้าอาคารให้พอใช้หากรถยนต์ในอนาคตจะเป็นรถใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก  ส่วนเรื่องน้ำท่วมเราได้ยกระดับ 0.0 เหนือถนนสุขุมวิทไว้เกือบ 80 ซม. ถ้าน้ำท่วมโครงการ ข้างนอกก็คงต้องพายเรือแล้วครับ  รับประกันความปลอดภัยและความสะดวกสูงที่สุด   ส่วนเรื่อง cosmetics เป็นเรื่องรองเพราะสามารถแก้ไข เปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก  แต่จะว่าไป เราใช้concept ว่าของเราเป็น affordable luxuryซึ่งเรารับประกันได้ว่าในราคาที่เราขาย ไม่มีโครงการไหนสู้เราได้ในเรื่องการออกแบบห้อง และการตกแต่งโดยใช้เฟอร์นิเจอร์ของ Modernform ระดับluxury และวัสดุเกรดดีทุกชิ้นที่เราเลือกเข้ามาใส่ให้ห้องหรูหราเป็นที่ภูมิใจของเจ้าของห้อง ด้านกลยุทธ์การตลาด หรือ การสร้างแบรนด์ เนื่องจากเราเพิ่งจะทำสองโครงการฯ คนรู้จักเราไม่เยอะ งบการตลาดใช้ไม่มาก ของดีไม่ต้องโฆษณามาก เอางบโฆษณามาใส่ของเพิ่มให้ลูกค้าดีกว่า ลูกค้าเห็นแล้วอดซื้อไม่ได้ ดีกว่าของที่เสียค่าโฆษณาเยอะแต่อาจจะไม่ดีจริง ลูกค้ามาเยอะแต่ไม่ซื้ออยู่ดี ก็ไม่ประโยชน์อันใด คิดว่าทำสินค้าดีๆให้กับลูกค้า เกิดความประทับใจแบบปากต่อปากดีกว่า เราให้มากกว่าที่พูดเยอะเลย  ผมใช้นโยบายที่ว่าเราต้องสามารถทำให้เหนือความคาดหมายของลูกค้าให้ได้ เราถึงจะมีความสำเร็จในด้านการตลาด เราเชื่อว่าที่ผ่านมาทั้งในโครงการที่เคยทำมากับโครงการนี้ เราสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าของเราได้พอสมควร     โครงการ The Metropolis Samrong Interchange (เดอะเมโทรโพลิส สำโรง อินเตอร์เชนจ์) ประกอบด้วย   3 อาคาร  รวม 1,721 ยูนิต  รายละเอียดแบ่งเป็น  อาคาร A  สูง 39 ชั้น รวม 1,035 ยูนิต, อาคาร B สูง 30 ชั้น รวม  542 ยูนิต และ Low Rise อาคาร C สูง 7 ชั้น จำนวน 144ยูนิต รวมอาคารจอดรถ 5 ชั้น 1 อาคาร รวมที่จอดรถไม่รวมซ้อนคันประมาณ  43 เปอร์เซ็นต์) สำหรับรูปแบบห้อง แบ่งเป็น Studio 28 ตารางเมตร, 1 Bedroom 35 – 45 ตารางเมตร , 2 Bedrooms 52 – 53, ฝ้าเพดานสูง 2.55 เมตร  นอกจากนี้สิ่งอำนวยความสะดวกครบ ประกอบด้วย   โถงล็อบบี้ขนาดใหญ่ บริเวณ ชั้น 6,  สระว่ายน้ำระบบเกลือ 2 สระ ขนาด 12 x 28 เมตร(อาคารA), 12 x 30 เมตร(อาคารB)  และสระเด็กลึก 0.6 เมตร สระผู้ใหญ่ลึก 1.3 เมตร, ห้องออกกำลังกาย, สวนหย่อมรอบโครงการ, สนามแบดมินตัน 2 สนาม, ห้องไดร์ฟกอล์ฟ, ห้องอเนกประสงค์, ลิฟท์โดยสารความเร็วสูง ที่อาคาร A,B 4 ตัว/อาคาร และที่อาคาร C,D 2 ตัว/อาคาร, Service Lift 1 ตัว/อาคารระบบความปลอดภัย CCTV / Face recognition building access/ Smart digital Kevo door lock /License plate reader parking system   ปัจจุบันสร้างเสร็จสมบูรณ์ 100% พร้อมส่งมอบในเดือน ต.ค. นี้เป็นต้นไป  นอกจากนี้ยังเผยไฮไลท์ เตรียมเปิด Sky lounge/ Sky deck บนชั้น39 ให้เป็นของขวัญปีใหม่ให้ลูกบ้านอีกด้วย
เอสซีฯ รุกบ้านแบรนด์เพฟ ตอบโจทย์ครอบครัวเริ่มต้น เจาะโซนทำเลศักยภาพ  เปิดใหม่ 2 โครงการ มูลค่า 2,750 ลบ

เอสซีฯ รุกบ้านแบรนด์เพฟ ตอบโจทย์ครอบครัวเริ่มต้น เจาะโซนทำเลศักยภาพ เปิดใหม่ 2 โครงการ มูลค่า 2,750 ลบ

นายมงกุฎ เตโชฬาร รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวราบ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SC ได้ขยายฐานบ้านเดี่ยวรองรับกลุ่มลูกค้าครอบครัวเริ่มต้น ภายใต้แบรนด์เพฟให้ครอบคลุมครบทุกโซนศักยภาพ โดยที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี พร้อมเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่า 2,750 ล้านบาท   ล่าสุดได้เปิดพรีเซลส์ โครงการเพฟ มอเตอร์เวย์-ฉะเชิงเทรา พื้นที่โครงการกว่า 45 ไร่ มูลค่า 800 ล้านบาท จำนวน 252 ยูนิต เป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นรูปแบบใหม่ ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 79-150 ตร.ม. เริ่ม 2.29 ล้านบาท ภายใต้บรรยากาศร่มรื่นด้วย Clubhouse ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ, Co-Working Space และสวนส่วนกลางขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่บนทำเลศักยภาพ โดยเชื่อมต่อถนนหลักได้หลายเส้นทาง เชื่อมสู่กรุงเทพ-ชลบุรี ด้วย ถ.สุขุมวิท 314, กรุงเทพ-บางประกงตัดมอเตอร์เวย, ถ.อ่อนนุชลาดกระบัง (เทพราช), ถ.สุขุมวิท 304 และ ถ.บางนาตราด ตัด บางประกง-ท่าสะอ้าน     อีกโครงการที่เตรียมเปิดในสัปดาห์นี้ ได้แก่ โครงการเพฟ ปิ่นเกล้า-ศาลายา พื้นที่โครงการกว่า 95 ไร่ มูลค่า 1,950 ล้านบาท จำนวน 374 ยูนิต เป็นบ้านเดี่ยวสไตล์ Modern Iconic ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 171-214 ตร.ม. ราคาเริ่ม 4 ล้านต้น บรรยากาศร่มรื่นด้วยสวนส่วนกลาง Clubhouse ที่ครบครัน อาทิ ฟิตเนส, สระว่ายน้ำ, Co-Working Space และ Kid Zone พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยระดับพรีเมี่ยม 24 ชม. รายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และโรงเรียนชั้นนำ เชื่อมต่อการเดินทางเข้าเมืองหลากหลายเส้นทาง ด้วยทางพิเศษศรีรัช-วงแหวนรอบนอก ใกล้สถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีแดงอ่อน (ตลิ่งชัน-ศาลายา)       นอกจากนี้ยังพัฒนาควบคู่ในโซนอื่นๆ ที่อยู่ในทำเลศักยภาพ ได้แก่ โครงการเพฟ รังสิต, ประชาอุทิศ 90, รามอินทรา-วงแหวน, บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา เพื่อมุ่งสู่การเป็น Top 5 ในตลาดบ้านเดี่ยวในระดับราคา 3 – 5 ล้านบาท สำหรับผู้ที่สนใจโครงการสามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษได้ที่ www.scasset.com หรือ โทร.1749
‘LIFE อโศก ไฮป์’ คอนโดฯ ใจกลางย่านธุรกิจใหม่แห่งอนาคต ผสานความต่างอย่างลงตัว สะท้อนตัวตนที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

‘LIFE อโศก ไฮป์’ คอนโดฯ ใจกลางย่านธุรกิจใหม่แห่งอนาคต ผสานความต่างอย่างลงตัว สะท้อนตัวตนที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

จะซื้อคอนโดฯ ทั้งที...หลายคนคงจะมองหาทำเลที่มีศักยภาพทั้งเพื่อการอยู่อาศัยเอง และเพื่อการลงทุนไปในเวลาเดียวกัน ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อก็ต้องเป็นทำเลที่เดินทางสะดวก มีสิ่งอำนวยความสะดวก ครบครันส่งเสริมทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ที่สำคัญต้องมีดีไซน์ที่โดนใจ...เอพีพร้อมส่งมอบที่พักอาศัยใจกลางเมืองในราคาที่จับต้องได้แล้วกับโครงการไลฟ์ อโศก ไฮป์ ด้วยการออกแบบที่โดดเด่นสะดุดตาเสมือนเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์กในย่านธุรกิจใหม่แห่งนี้     บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง เปิดตัว ‘ไลฟ์ อโศก ไฮป์ (LIFE Asoke Hype)’ คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด บนทำเลศักยภาพอโศก-พระราม 9 ที่มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางแบบจัดเต็ม รองรับทุกการใช้ชีวิตแบบดิจิตอลกับนวัตกรรมล้ำสมัย เพียง 300 เมตรจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีพระราม 9     ไลฟ์ อโศก ไฮป์ ลักชัวรี่คอนโดมิเนียมใจกลางย่านธุรกิจแห่งอนาคต เปิดมิติใหม่ของการยกระดับการใช้ชีวิตในคอนโดย่านใจกลางเมืองอย่างแท้จริงที่จะมาต่อยอดโอกาสในการอยู่อาศัย และการลงทุนที่คุ้มค่าในอนาคต ตั้งอยู่บนที่ดินขนาดกว่า 5 ไร่ บนถนนอโศก-ดินแดง ซึ่งจะเปิดจองรอบแรกผ่านระบบ  AP i-Booking ในวันอังคารที่ 2 ตุลาคมนี้ เวลา 19.00 - 21.00 น. และมีกำหนดเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการพร้อมกันทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศในวันที่ 6-7 ตุลาคมนี้ ราคาเริ่มต้นเพียง 2.89 ล้านบาท (หรือเฉลี่ยเพียง 135,000 บาท/ตร.ม.)     ไลฟ์ อโศก ไฮป์ ภายใต้แนวคิดการดีไซน์ The Supremacy of Both Worlds ที่เลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดมาผสมผสาน เพื่อให้เกิดมิติใหม่ของการพักอาศัยใจกลางเมืองที่ตอบสนองทั้งไลฟ์สไตล์การทำงาน และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพไม่เหมือนใคร โดยเน้นเรื่องการสร้างความแตกต่าง ตั้งแต่การพลิกโจทย์การดีไซน์พื้นที่ส่วนกลาง (Privacy in Connected Space) เพื่อให้ตอบเทรนด์การใช้ชีวิตร่วมกันในพื้นที่ส่วนกลางได้อย่างเป็นส่วนตัว การตีความคำว่าการอยู่อาศัยแบบลักชัวรี่รูปแบบใหม่ (SUPREME LUXURY IN ECLECTIC DESIGN) เข้ามาตอบโจทย์ความลุ่มลึก และความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการใช้ชีวิต การพัฒนานวัตกรรมสเปซดีไซน์ภายในยูนิตพักอาศัย และโครงสร้างพื้นฐานในโครงการให้สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตระยะยาวของลูกค้า (SUPREME SPACE IN TOMORROW’S FUNCTIONALITY) และรองรับการใช้ชีวิตที่มุ่งสนับสนุนความสำเร็จของผู้อาศัยในทุกมิติ ท้ายสุด คือการนำเสนอทำเลที่ดีที่มาพร้อมกับแพ็คเกจราคาขายที่ลูกค้าสามารถจับต้องได้ (SUPREME LOCATION AT SUPREME PRICE) เอพี ไทยแลนด์ กับความใส่ใจในการออกแบบทุกตารางนิ้วภายในโครงการ เพื่อให้ ไลฟ์ อโศก ไฮป์ เป็นคอนโดมิเนียม ที่ครอบคลุมทุกความต้องการที่หลากหลายของคนในย่านนี้     เริ่มต้นด้วย Scarlet Foyer ส่วนต้อนรับด้านหน้าที่โดดเด่นด้วย Eclectic Lobby ล็อบบี้ด้านในขนาดใหญ่ที่จัดสรรพื้นที่โถงต้อนรับและมุมเพื่อพบปะพูดคุยและมุมสงบไว้ได้อย่างลงตัว ตอบเทรนด์การใช้ชีวิตของ Young Achiever ที่เป็นเจ้าของธุรกิจ Start Up หรือพนักงานออฟฟิศ ที่ต้องการปลีกตัวจากความวุ่นวายได้แม้อยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง ต่อมา คือ การดีไซน์พื้นที่ส่วนกลางแนวใหม่ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตร่วมกันในพื้นที่ส่วนกลาง หากแต่ยังคงความเป็นส่วนตัว และยังเพิ่มพื้นที่สีเขียวด้านหน้าโครงการให้เป็น The Circle Running Garden ลู่วิ่งเล่นระดับ 2 ชั้น พื้นที่ออกกำลังกาย พักผ่อน หรือนั่งทำงานภายนอกที่ยังสามารถเชื่อมต่อ Internet ได้ตลอดเวลา อัพเดททุกความเคลื่อนไหวของสังคมภายนอกได้อย่างไม่ตกเทรนด์ และพื้นที่พักผ่อนสำหรับชื่นชมธรรมชาติภายนอกที่ยังคงความสงบให้ผู้ใช้งานในส่วนต่างๆ ได้สัมผัสถึงความเป็นส่วนตัว       เพิ่มพื้นที่ที่พร้อมสนับสนุนทุกความสำเร็จของผู้อาศัยด้วย Co-working Business Lounge บนชั้น Mezzanine ซึ่งสามารถเปิดพื้นที่ใช้งานแบบส่วนตัวได้ทุกเวลาด้วยระบบ Reservation Service ที่สามารถทำการจองพื้นที่การใช้งานแบบส่วนตัวในพื้นที่ส่วนกลางได้ตามต้องการ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบจัดเต็มที่รองรับชีวิตดิจิตอลกับนวัตกรรมล้ำสมัย ยกระดับคุณภาพชีวิตไปอีกขั้นด้วยพื้นที่พักผ่อนบนชั้น 7 อย่าง Hover Bay สระว่ายน้ำที่ถูกออกแบบมาให้ยกตัวสูงขึ้นเพื่อเพิ่มสุนทรียภาพ และความเงียบสงบเป็นส่วนตัว นอกจากนี้ผู้อยู่อาศัยสามารถนักพักผ่อนชมวิวสระว่ายน้ำโดยปราศจากความวุ่นวายใน The Muted Garden สวนสีเขียวลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่ถูกจัดวางเสมือนมีอีกหนึ่งโซนส่วนตัวแยกออกจากตัวสระว่ายน้ำอย่างชัดเจน   เหนือกว่าด้วย Eclectic Design ผลงานความร่วมมือระหว่างทีม AP Design Lab และ World Class Color Designer ในการดีไซน์เฉดสีพิเศษเฉพาะโครงการ ไลฟ์ อโศก ไฮป์ ที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นเพียงหนึ่งเดียวของตัวโครงการในย่านอโศก-พระราม 9 ตั้งแต่ชั้น 40 จนถึงชั้น Rooftop ประกอบไปด้วย Duplex Sky Fitness ฟิตเนสลอยฟ้า 2 ชั้น ในห้องกระจกสะกดทุกลมหายใจด้วยขอบฟ้าของเมืองแบบพาโนรามา Top of the Hype พื้นที่พักผ่อนแบบ Sky Lounge ส่วนตัว เชื่อมต่อกับ Lunar Balcony พื้นที่พักผ่อนภายนอกรับบรรยากาศวิวเมืองสุด Exclusive รวมไปถึง The Astro Deck จุดชมวิว และพักผ่อนที่รายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียว ราวกับจำลองท้องฟ้า และหมู่ดาวมาไว้ตรงหน้า พร้อมผ่อนคลายด้วย L-Shape Sky Pool สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือรูปตัวแอลขนาดใหญ่ และ Mirage Sky Path สะพานพื้นกระจกใสให้ความรู้สึกเหมือนเดินบนท้องฟ้า     เอพีพร้อมรังสรรค์สิ่งอำนวยความสะดวกล้ำสมัยสำหรับผู้อยู่อาศัย อาทิ ล็อคเกอร์อัจฉริยะ (Smart Pod) จะทำให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถเข้าถึงการใช้งานด้วยตนเองได้ตลอดเวลา ผู้อยู่อาศัยสามารถรับของได้ในเวลาที่ตนเองสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง รวดเร็ว ง่าย สะดวกสบาย รวมทั้งมั่นใจได้ในความปลอดภัย 100% และยังมี สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในคอนโดมิเนียมเอพี (AP Charging Pod) ที่ทำให้การอยู่อาศัยในคอนโดเอพีสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น   ความพิเศษยิ่งไปกว่านั้นคอนโดมิเนียม ไลฟ์ อโศก ไฮป์ เลือกใช้วัสดุที่แตกต่างกันในการตกแต่ง แต่นำมาผสมผสานกันให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์และลงตัว เช่น การใช้หินอ่อนกับผ้าทอพิเศษและพื้นกระจก มาผสมผสานกันให้เกิดเป็นมิติการอยู่อาศัยแบบใหม่ รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ที่ถูกออกแบบพิเศษเพื่อไลฟ์ อโศก ไฮป์ โดยเฉพาะ     ไลฟ์ อโศก ไฮป์ (LIFE Asoke Hype) คอนโดฯ ใจกลางย่านธุรกิจแห่งอนาคต โดดเด่นด้วยดีไซน์   ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ประกอบด้วยอาคารที่พักอาศัยสูง 40 ชั้น จำนวนห้องชุดทั้งสิ้น 1,253 ยูนิต และ 4 ร้านค้า ประกอบด้วยห้องชุดแบบ 1) สตูดิโอ ขนาด 25.50 ตารางเมตร 2) ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 30 – 32.00 ตารางเมตร 3) ห้องชุด 1 ห้องนอน (แบบพิเศษ) ขนาด 35.00-40.00 ตารางเมตร 4) ห้องชุด 2 ห้องนอน ขนาด 48.50 – 64.00 ตารางเมตร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในชั้น 1 ชั้น 7 ชั้น 40 และชั้น Rooftop โดยโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 5-0-10 ไร่ ทำเลศักยภาพย่านธุรกิจแห่งอนาคตอโศก-พระราม 9 พรั่งพร้อมด้วยห้างสรรพสินค้าและแหล่งชอปปิ้ง โรงเรียน อาคารสำนักงาน ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการคมนาคม สะดวกทั้งการใช้รถยนต์ส่วนตัว และระบบขนส่งสาธารณะ ตั้งอยู่บนทำเลเชื่อมต่อที่สำคัญและดีที่สุดบริเวณอโศก-พระราม 9 เพียง 300 เมตรจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีพระราม 9 และจุดขึ้น-ลงทางด่วน ตอบโจทย์ทั้งความสะดวกสบายในการเดินทางและสีสันการใช้ชีวิต
“เรียลแอสเสทฯ” โชว์ห้องหรูดีไซน์โดดเด่น “ AESTIQ Thonglor” เผยผลตอบรับดีเกินคาดกวาดยอดขายแล้ว 50%

“เรียลแอสเสทฯ” โชว์ห้องหรูดีไซน์โดดเด่น “ AESTIQ Thonglor” เผยผลตอบรับดีเกินคาดกวาดยอดขายแล้ว 50%

เอสทีค ทองหล่อ (AESTIQ Thonglor) Ultimate Luxury คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุดของบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดตัวห้องตัวอย่างที่สำนักงานขายโครงการ ภายในซอยสุขุมวิท55 พร้อมเผยยอดพรีเซลล์ที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าตัวจริงกวาดยอดขายไปแล้วถึง 50% พร้อมแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะสร้าง Iconic Landmark ใหม่บนทำเลทองหล่อ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “A Reflection of you” สุนทรียะที่สะท้อนความเป็นตัวคุณและเชื่อมั่นว่ารูปแบบโครงการที่กล้านำเสนอ Product ที่แตกต่าง รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่โครงการมอบให้ จะตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ ที่มองหาโครงการระดับ Ultimate Luxury ใจกลางทองหล่อได้เป็นอย่างดี นายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์ธุรกิจ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า โครงการ AESTIQ Thonglor พร้อมแล้วสำหรับการเปิดสำนักงานขายและห้องตัวอย่างให้ลูกค้าทั่วไปและผู้ที่สนใจโครงการเข้าชม ตั้งแต่เมื่อวันเสาร์ที่ 15-16 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งโครงการได้จัดงานพรีเซลล์ขึ้น โดยบรรยากาศภายในงานมีลูกค้าเข้ามาชมสำนักงานขายและห้องตัวอย่างกันอย่างคึกคัก ซึ่งลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ ได้แสดงถึงความพอใจกับสิ่งที่โครงการนำเสนอ ทั้งในเรื่องของรูปแบบงานออกแบบสถาปัตยกรรมอาคารที่โดดเด่นจากผลงานการออกแบบของบริษัท สถาปนิก 49 และด้วยจำนวนยูนิตเพียง 203 ยูนิตพร้อมไพรเวท ลิฟท์ทุกห้อง ที่สุดของความเป็นส่วนตัว การมีที่จอดรถเกิน 100 % หรือประมาณ 220 คัน(รวมที่จอดรถซุปเปอร์คาร์ 3 คัน) ก็เป็นสิ่งที่หาได้ยากในคอนโดมิเนียมใหม่ๆยุคปัจจุบันโดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในกลางเมืองแบบนี้ จึงทำให้ AESTIQ Thonglor ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ ที่ชื่นชอบ Lifestyle การใช้ชีวิตสนุกสนานในแบบคนทองหล่อ แต่ก็ยังคงต้องการความสะดวกสบายและเป็นส่วนตัวเมื่อเข้าสู่ที่พักอาศัยได้เป็นอย่างดี   โครงการ เอสทีค ทองหล่อ มีห้องให้เลือก 4 แบบคือ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 33-52 ตารางเมตร(ตร.ม.) แบบ 2 ห้องนอนพื้นที่ใช้สอย 76-119 ตร.ม. แบบ 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 131-158 ตร.ม.และแบบเพนท์เฮ้าส์ พื้นที่ใช้สอย 292-301 ตร.ม. พร้อมขายในรูปแบบ Fully Fitted ที่เลือกวัสดุชั้นดีมาเป็นองค์ประกอบภายในห้อง อาทิ พื้นไม้ Engineering Wood สีคลาสิคโอ็ค สำหรับห้องนั่งเล่นและห้องนอน , พื้นปูด้วยมาเบิ้ล พอชเลน สำหรับห้องครัว ห้องน้ำ พร้อมอุปกรณ์ครัวซีรี่ย์ใหม่จาก Gorenje ในแบบครบชุด   จุดเด่นของโครงการอยู่ที่การออกแบบเพื่อฉีกแนวการใช้ชีวิตแบบเดิมด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่ทันสมัย อาทิ ที่จอดรถ Super Car & Super Bike and Bicycle , Luxury Car Sharing Service , Shuttle Service , EV Charging Station , Golf &Bike Simulator , Private Theater , Private Onsen , Panoramic Gym , Sky Social Club , Reflection Pool , Aquatic Treadmill ฯลฯ รวมทั้งยังมีบริการเสริมอื่น ๆที่ดูแลโดย Concierge Service คอยให้บริการเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย และ floorplan เองได้ถูกออกแบบให้เป็น Cluster ซึ่งการออกแบบลักษณะนี้จะเกิดห้องมุมในสัดส่วนที่มากกว่าปกติ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ในเรื่องของมุมมองจากภายในห้องพักที่กว้างและเป็นการเปิดรับการระบายอากาศธรรมชาติให้การอยู่อาศัยนั้นมีความแตกต่างจากการพักอาศัยภายในคอนโดมิเนียมทั่วไป โดยออกแบบให้ฝ้าเพดานภายในสูงสุด 3 เมตร และเน้นพื้นที่กระจกบริเวณหน้ากว้างของห้องพัก ซึ่งบางยูนิตมีลักษณะเหมือนห้องที่ยื่นออกไปในอากาศ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถชื่นชมทัศนียภาพที่งดงามของทิวทัศน์เมืองได้เต็มที่ที่สุด   โครงการเปิดราคาขายเริ่มต้นที่ 269,000 บาทต่อตร.ม. หรือราคาเริ่มต้นที่ 8.99 ล้านบาทต่อยูนิต โดยคาดจะแล้วเสร็จไตรมาส 4 ปี 2564
ณุศาศิริ ส่งท้ายปี Bergh Apton สไตล์อังกฤษในทำเลทองเขาใหญ่ พร้อมโปรโมชั่นจัดเต็มที่

ณุศาศิริ ส่งท้ายปี Bergh Apton สไตล์อังกฤษในทำเลทองเขาใหญ่ พร้อมโปรโมชั่นจัดเต็มที่

ณุศา มายโอโซน เขาใหญ่ ดินแดนในฝันบนพื้นที่แหล่งโอโซนอันดับ 7 ของโลก ที่ได้ผลตอบรับจับจองกันมาอย่างล้นหลาม จัดโปรแรงส่งท้ายปีกับคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ Bergh Apton (เบิร์ช แอ็ฟตัน) ซึ่งณุศาศิริได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ในการรองรับความต้องการของทุกท่าน จึงได้มีการเปิดตัว Low Rise คอนโดมิเนียม 3 ชั้น จำกัดเพียง 86 ยูนิต บนพื้นที่ 1,300 ไร่ ใน ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท!!! ภายใต้แนวคิด English Modern Country ที่ให้กลิ่นอายความเป็นหมู่บ้านชนบทของอังกฤษ ผสมผสานกับความโมเดิร์นในสไตล์เรียบง่ายแบบมินิมอลที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายท่ามกลางวิวพาโนรามาของเขาใหญ่ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตั้งแต่คลับเฮาส์ สนามกอล์ฟ 18 หลุม ศูนย์สุขภาพพานาซี สวนสัตว์ณุศาแอนนิมอลคลับ และสวนผักออแกนิกปลอดสารพิษ รวมถึงสนามบินเจทส่วนตัวที่เตรียมเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ Bergh Apton ยังเน้นเรื่องโครงการเพื่อการลงทุนที่มอบโปรโมชั่นสุดพิเศษที่เรียกได้ว่าคุ้มค่าต่อการลงทุนเพื่อประสบการณ์ชีวิตอันสมบูรณ์แบบในระยะยาวกันเลยทีเดียว     นอกจากจะได้เป็นเจ้าของที่พักสุดหรูในบรรยากาศชั้นเลิศแล้ว ยังได้รับ ผลตอบแทนสูงถึง 5% รับประกันนาน 6 ปี และมีบริการดูแลความเรียบร้อยของห้องให้อย่างสม่ำเสมอที่คุณสามารถมาเข้าพักได้อย่างสะดวกสบายได้ทุกเมื่อ พร้อมทั้งสิทธิพิเศษอีกมากมาย อาทิ   · ผลตอบแทน 36% พร้อมวันที่เข้าพักฟรีที่ My Ozone 90 วัน พิเศษเฉพาะในงาน รับส่วนลดเพิ่ม 5% เมื่อซื้อ My Ozone Building C · ผลตอบแทน 30% พร้อมวันเข้าพักฟรี 15 วัน เมื่อซื้อ Bergh Apton · พิเศษ ฉลองเปิดโครงการ Bergh Apton รับฟรี Samsung Galaxy Note 9 128GB ทุกยูนิต เมื่อจองและทำสัญญาภายในงาน พบกับโปรแรงส่งท้ายปีกับโครงการ Bergh Apton ที่พร้อมมอบประสบการณ์อันเหนือระดับ บนทำเลมหัศจรรย์ที่สุดในเขาใหญ่จากณุศาศิริ ตั้งแต่วันที่ 3-7 ตุลาคม 2561 ที่ศูนย์การค้า The Emporium ชั้น M Emporium Gallery     พิเศษ! ลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลดถึง 20,000 บาทได้ที่ http://www.nusasiri.com/wealthdestination/
“เฮเฟเล่” บุกตลาดครึ่งปีหลัง ทุ่มงบกว่า 10 ล้าน ดึง “คิมเบอร์ลี่” เป็นแบรดน์แอมฯ ชูจุดเด่น “เฮเฟเล่ ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น”

“เฮเฟเล่” บุกตลาดครึ่งปีหลัง ทุ่มงบกว่า 10 ล้าน ดึง “คิมเบอร์ลี่” เป็นแบรดน์แอมฯ ชูจุดเด่น “เฮเฟเล่ ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น”

“เฮเฟเล่” โหมตลาดครึ่งปีหลัง ทุ่ม 10 ล้าน บุกตลาดออนไลน์ภายใต้ แคมเปญ “Idea For Living by Häfele” เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำตลาดด้านอุปกรณ์ครบจบทุกเรื่องงานอาคาร หรือ Complete Building Solutions และสินค้าคุณภาพ เทคโนโลยีเยอรมนี ที่ทำให้ชีวิตทุกคนง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และมีความปลอดภัยสูงสุด ผ่านการสื่อสารผ่านไลฟ์สไตล์ของ “คิมเบอร์ลี่” ที่เป็นหนึ่งในลูกค้าของ “เฮเฟเล่” ที่ใช้ผลิตภัณฑ์จริง ภายใต้สโลแกน “เฮเฟเล่ ทำให้ชีวิตคิมง่ายขึ้น” ด้วย Key message ที่ง่ายในการสื่อสารให้ตรงประเด็น ประกอบกับสื่อสนับสนุนต่างๆ ภายใต้แนวคิดเดียวกัน พร้อมเตรียมทุ่มงบกว่า 400 ล้านบาท ลงทุนขยายแวร์เฮ้าส์ บนพื้นที่กว่า 32 ไร่ ตั้งเป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง   นายโฟลเคอร์ เฮลสเติร์น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ อุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและครัวเรือน พร้อมทั้งสุขภัณฑ์และอุปกรณ์ในห้องน้ำ คุณภาพมาตรฐานเยอรมนี เปิดเผยว่า เนื่องในปีหน้าเฮเฟเล่จะครบรอบ 25 ปี ตั้งแต่เฮเฟเล่ก่อตั้งขึ้นที่ประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2537 เรายึดถือคุณภาพ การบริการที่ดีและราคายุติธรรม นอกจากนี้เรายังตระหนักถึงการพัฒนาการบริการที่ดีต่อลูกค้าอย่างต่อเนื่องในอนาคต เพื่อเป็นการตอกย้ำภาพลักษณ์ด้านผู้นำตลาดด้านอุปกรณ์ครบจบทุกเรื่องงานอาคาร ในกลุ่มอุปกรณ์ ทั้ง4 กลุ่ม ซึ่งเฮเฟเล่ได้ผลิตวีดีโอโฆษณาชุด Idea For Living by Häfele ที่มีเรื่องราวการใช้ชีวิตของแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ที่มีชื่อเสียง คุณคิมเบอร์ลี่ แอน โวลเทมัส ซุปเปอร์สตาร์ชาวไทย เชื้อสายเยอรมนีจากคุณพ่อของเธอ ที่ทางทีมงานจะใช้ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้เฮเฟเล่ สินค้าคุณภาพ เทคโนโลยีเยอรมนี ให้เป็นที่รู้จักกับกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ซึ่งจะเริ่มออนแอร์ในไตรมาสที่ 3 นี้ การโฆษณาแคมเปญนี้จะใช้เครื่องมือของการทำการตลาดออนไลน์ เช่น Facebook, Line official, YouTube เว็บไซต์เฮเฟเล่ (hafelethailand)และสื่อออนไลน์ต่างๆ รวมทั้งสื่อ ณ จุดขาย (Point of purchase) เช่น แผ่นพับ, โปสเตอร์ และแบนเนอร์สำหรับติดหน้าร้าน เป็นการเชื่อมต่อไปถึงวีดีโอโฆษณาและแบรนด์เฮเฟเล่     จากการเลือกสื่อเหล่านี้เพื่อให้ตอบรับจากการทำแคมเปญโฆษณา เฮเฟเล่ จึงได้มีการเพิ่มศูนย์ Customer Service และ Line@ เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการติดต่อสื่อสารระหว่างลูกค้า และเฮเฟเล่ เพื่อเป็นช่องทางสำหรับการให้ข้อมูล การติดตามผลและให้ตอบคำถามสำหรับข้อสงสัยเกี่ยวกับสินค้าและบริการ นอกจากนี้ Customer Service สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่อยู่ใกล้กับพื้นที่ของลูกค้าในเขตนั้นๆ ทั่วประเทศไทย อีกทั้งร้านค้าตัวแทนจำหน่ายและผู้ใช้บริการสามารถติดต่อสอบถามเกี่ยวกับคำสั่งซื้อสินค้าและการให้บริการของบริษัทอย่างครบวงจรในจุดเดียว (One Stop Service Centre)     ยิ่งไปกว่านั้น เฮเฟเล่ ยังให้ความสำคัญกับคู่ค้าและตัวแทนจำหน่ายจากการใช้สื่อต่างๆ ในแคมเปญโฆษณาและ Customer Service ในการระบุถึงตัวแทนจำหน่ายที่มีสัญลักษณ์ของเฮเฟเล่ทั่วประเทศ และยังพร้อมที่จะพัฒนาในความร่วมมือให้มากยิ่งขึ้น เช่น การพัฒนาและปรับปรุงหน้าร้าน จุดขาย การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับตัวแทนจำหน่าย เช่น กิจกรรม Häfele Day, Häfele Big Thanks การทำ In-store Promotion ตลอดจนการฝึกอบรมสินค้าและบริการให้กับพนักงานของคู่ค้าและตัวแทนจำหน่าย เพื่อให้ร้านค้าและตัวแทนจำหน่ายมั่นใจในผลิตภัณฑ์และศักยภาพของเฮเฟเล่ ในการพัฒนาและร่วมมือซึ่งเปรียบเสมือนหุ้นส่วนการทำกิจการที่พร้อมจะเติบโตไปพร้อมๆ กันอย่างยั่งยืน     นายโฟลเคอร์ กล่าวต่อไปว่า ความเป็นมาของแคมเปญนี้เกิดขึ้นจากการสำรวจและการทำวิจัยทางการตลาด ซึ่งผลสำรวจออกมาว่า ผู้บริโภค อาทิเช่น เจ้าของบ้าน เจ้าของคอนโดหรือผู้ที่กำลังจะสร้างบ้านใหม่ ยังไม่รู้จักว่าแบรนด์เฮเฟเล่ คืออะไร? ขายอะไร? หรือมีสินค้าอะไรบ้าง? จากผลสำรวจนี้เฮเฟเล่จึงเห็นโอกาสทางการตลาดกับกลุ่ม End-consumer ในการเพิ่มยอดขายและเพื่อจะสร้างความคุ้นเคยให้กับแบรนด์และกลุ่มเป้าหมายที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงและขยายไปสู่กลุ่มสินค้าอื่นๆ อาทิเช่น อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและครัวเรือน อุปกรณ์สุขภัณฑ์ ฯลฯ เฮเฟเล่จึงพัฒนาและปรับปรุงเพื่อให้เกิดการรับรู้และจดจำแบรนด์ โดยผ่านเครื่องมือต่างๆ ของการตลาด จึงเกิดแคมเปญ Idea For Living by Häfele เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์ของการเป็นผู้นำการตลาดด้านอุปกรณ์ครบจบทุกเรื่องงานอาคาร หรือ Complete Building Solutions และ สินค้าคุณภาพ เทคโนโลยีเยอรมนี ที่ทำให้ชีวิตทุกคนง่ายขึ้น สะดวกขึ้น และมีความปลอดภัยสูงสุด ผ่านการสื่อสารผ่านไลฟ์สไตล์ของ “คิมเบอร์ลี่” ที่เป็นหนึ่งในลูกค้าของเฮเฟเล่ ที่ใช้สินค้าเฮเฟเล่จริง ภายใต้สโลแกน “เฮเฟเล่ ทำให้ชีวิตคิมง่ายขึ้น” ด้วย Key message ที่ง่ายในการสื่อสารให้ตรงประเด็น ประกอบกับสื่อสนับสนุนต่างๆ ภายใต้แนวคิดเดียวกัน     โดยเลือกกลุ่มสินค้าที่มีจำหน่ายทั้ง 4 กลุ่ม คือกลุ่มสินค้าอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ อุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ สุขภัณฑ์และอุปกรณ์ในห้องน้ำ และเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว โดยมุ่งสื่อสารไปยังลูกค้าและร้านค้าตัวแทนจำหน่ายของเฮเฟเล่ โดยใช้คิมเบอร์ลี่ในการเล่าเรื่อง     นายโฟลเคอร์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีแนวโน้มเชิงบวก โดยเฉพาะอสังหาฯประเภทสำนักงาน ศูนย์การค้า และโรงแรม เนื่องจากยังมีดีมานด์เติบโตต่อเนื่องส่งผลให้แนวโน้มค่าเช่ายังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นอยู่ อย่างไรก็ดี พบว่ากลุ่มคอนโดฯจะค่อนข้างแตกต่างจากกลุ่มอื่นๆ เพราะยังมีซัพพลายมากกว่าดีมานด์และยังต้องใช้ระยะเวลาการขายในตลาดสักระยะหนึ่ง กลุ่มสินค้าของเฮเฟเล่ส่วนใหญ่ตอบสนองการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน โดยเฮเฟเล่มุ่งเน้นการนำเสนอไอเดียในการเพิ่มพื้นที่ในทุกตารางเมตรให้กับผู้ประกอบการ รวมถึงผู้บริโภค ในการใช้อุปกรณ์ต่างๆของเฮเฟเล่ จากผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำ ในสไตล์ที่ลูกค้าต้องการ ในทุกกลุ่มสินค้าดังวิสัยทัศน์ที่ว่า เฮเฟเล่ อุปกรณ์ครบ จบทุกเรื่องงานอาคาร และในปีนี้ เฮเฟเล่มุ่งเน้นสินค้าที่ครบทุกกลุ่มสินค้าสำหรับโรงแรม และระบบสำหรับการช่วยจัดการภายในโรงแรม เช่น ระบบควบคุมการเข้าออกด้วยระบบไดอะล็อค โดยควบคุมได้ทั้งอาคาร ระบุผู้ใช้งาน เช่นผู้เข้าพัก เจ้าหน้าที่ รวมถึงการออกเอกสารทางการเงิน เชื่อมต่อด้วยระบบ HMS (การเข้าถึงระบบการบริหาร) แสดงสถานะของทุกห้องพักตลอดเวลา รวมถึงการควบคุมแสงสว่างภายในห้อง การเปิดปิดเปลือกอาคารหรือ Façade ที่ทันสมัยและสวยงาม การบริหารจัดการน้ำภายในห้องพักที่ช่วยประหยัดน้ำ ปรับอุณหภูมิ และประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้ท่อสมาร์ไปป์ ดัดโค้งงอได้ มีความทนทานใช้งานได้กว่า 50 ปี ซึ่งผลิตภัณฑ์เฮเฟเล่ พร้อมที่จะเติมเต็มทุกความต้องการ เพื่อสร้างประสบการณ์สุดว้าวให้กับคู่ค้าและลูกค้าของเรา     ส่วนในเรื่องของตลาดปี 2561 น่าจะดีขึ้น จากข่าวการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น สร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนต่างชาติ สำหรับเฮเฟเล่ตั้งเป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง โดย เฮเฟเล่ ประเทศไทย เติบโต มียอดขายเป็นอันดับที่สามของโลก เมื่อเทียบกับเฮเฟเล่ประเทศอื่นๆ และเป็นอันดับที่ 1 ของเอเชีย รองลงมาคือเฮเฟเล่ อินเดีย และเฮเฟเล่ เวียดนาม และนอกจากนี้ เฮเฟเล่ ประเทศไทย ได้ขยายโชว์รูม ออกไปถึง 6 แห่ง ทุกแห่งพร้อมให้บริการด้วยคุณภาพที่เป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ ทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษา กับลูกค้าและคู่ค้า ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมสินค้ามากมายในบรรยากาศ ที่ตกแต่งเสมือนจริง และบริการครบวงจรที่พร้อมตอบโจทย์ ความต้องการของลูกค้า ได้อย่างสมบูรณ์แบบพร้อมระบบโลจิสติกส์ที่รวดเร็วและทันสมัย สั่งสินค้าภายในวัน (ไม่เกิน 16.00 น.) รอรับสินค้าวันรุ่งขึ้นได้เลยทันที นี่คือเป้าหมายของเฮเฟเล่   ตลอดระยะเวลา 24 ปี ที่เฮเฟเล่ ประเทศไทย เติบโตอย่างแข็งแรงและรวดเร็ว มีผลประกอบการที่ดีเยี่ยมเป็นหลักประกัน โดยมียอดขายที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 3,450 ล้านบาท มีพนักงานเพิ่มขึ้นถึง 1,500 คน รวมมูลค่าสินค้าคงคลังสูงถึง 1,250 ล้านบาท และมีสต็อคสินค้ามากกว่า 25,000 รายการ และมีสินค้ามากกว่า 45,000 รายการ พร้อมส่งจากสำนักงานใหญ่ที่เยอรมนี ด้วยแนวคิด Thinking Ahead หรือ “ก้าวล้ำนำสมัย” เฮเฟเล่ ประเทศไทย จะมุ่งมั่นพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งตามสโลแกนของเราที่ว่า “อุปกรณ์ครบ จบทุกเรื่องงานอาคาร” ตอบสนองโลกแห่งการก่อสร้างและการอยู่อาศัยให้สมบูรณ์แบบยิ่งๆขึ้น ด้วย สินค้าคุณภาพ เทคโนโลยีเยอรมนี และบริการที่เหนือชั้น พร้อมสานสัมพันธ์อย่างยั่งยืนกับ ลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน พันธมิตรทางธุรกิจ และตลอดจนสังคมไทยตลอดไป   “เฮเฟเล่ได้พัฒนาสร้างสรรค์อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์สำหรับติดตั้งและระบบควบคุมการเข้าออกประตูแบบอิเล็กทรอนิกส์โดยมีโรงงานซึ่งเป็นฐานการผลิตจำนวน 5 แห่ง ทั้งในประเทศเยอรมนีและฮังการี ในปีงบประมาณ 2017 กลุ่มบริษัทเฮเฟเล่มีสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ 80% มีพนักงานปฏิบัติงานอยู่ทั่วโลกกว่า 7,600 คน จากกลุ่มบริษัทในเครือ 37 แห่ง มีตัวแทนมากมายทั่วโลก และมีรายได้ 1.38 พันล้านยูโร” นายโฟลเคอร์ กล่าวสรุปในตอนท้าย

1 ... 57 58 59 ... 103