ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 62 63 64 ... 105
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้คอนโดโลว์ไรส์ทำเลใจกลางเมืองมาแรง จ่อ Sold Out แบรนด์มาเอสโตร 2 โครงการ ขายหมดเกือบ 100% รวมมูลค่า 1,200 ลบ.

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ชี้คอนโดโลว์ไรส์ทำเลใจกลางเมืองมาแรง จ่อ Sold Out แบรนด์มาเอสโตร 2 โครงการ ขายหมดเกือบ 100% รวมมูลค่า 1,200 ลบ.

  เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ชี้จับตาคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ทำเลใจกลางเมืองกำลังบูม จ่อปิดการขายคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์แบรนด์ MAESTRO (มาเอสโตร) 2 โครงการ มาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39 ยอดขายพุ่งถึง 95% และมาเอสโตร 02 ร่วมฤดี ยอดขายถึง 93% รวมมูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ระบุลูกค้าชื่นชอบโครงการเพราะจุดแข็งของแบรนด์ที่แตกต่าง ดีไซน์โดดเด่น แบรนด์แรกของไทยที่นำแนวคิด Classic inspired with modern twist ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและความโมเดิร์นได้อย่างลงตัว ทำเลใจกลางเมือง และจุดเด่นคอนโดฯ Pet Friendly เลี้ยงสัตว์ได้ทุกยูนิต เผยทำเลสุขุมวิท 39 ราคาที่ดินพุ่งสูงถึง 40% ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จาก 183,000 บาท/ตร.ม. เป็น 255,000 บาท/ตร.ม. ขณะที่ร่วมฤดี ติดอันดับ 1 ใน 5 ราคาที่ดินสูงสุดในกรุงเทพฯ ระบุคอนโดฯ โลว์ไรส์ดีมานด์พุ่ง ลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยมากกว่าลงทุน คาดอนาคตดีมานด์เติบโตต่อเนื่อง   คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมปิดการขายคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น แบรนด์ MAESTRO (มาเอสโตร) ทำเลใจกลางเมือง จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ มาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39 มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท มียอดขายไปแล้ว 95% หรือเหลือเพียง 5 ยูนิต จากทั้งหมด 107 ยูนิต และมาเอสโตร 02 ร่วมฤดี มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท มียอดขายไปแล้ว 93% หรือเหลือเพียง 10 ยูนิต จากทั้งหมด 138 ยูนิต     “มาเอสโตรเป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ลูกค้าชื่นชอบโครงการเพราะ จุดแข็งของแบรนด์ที่แตกต่างจากคู่แข่ง ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น เป็นแบรนด์แรกของไทยที่นำแนวคิด Classic inspired with modern twist ผสมผสานระหว่างความคลาสสิกและความโมเดิร์นได้อย่างลงตัว ทำเลใจกลางเมือง และคอนโดฯ Pet Friendly ที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ทุกยูนิต โดยมาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39 มีลูกค้าชาวต่างชาติให้ความสนใจมาก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น เนื่องจากทำเลสุขุมวิท 39 เป็นแหล่งไลฟ์สไตล์ที่ ชาวญี่ปุ่นอาศัยกันอยู่มาก และเหมาะกับการลงทุน ให้ผลตอบแทนดี ซึ่งทำเลสุขุมวิท 39 ในช่วง 5 ปีที่ ผ่านมา มีการปรับตัวสูงขึ้นมากที่สุดจาก 183,000 บาท/ตร.ม. เป็น 255,000 บาท/ตร.ม. หรือปรับเพิ่มสูงถึง 40% ขณะที่ มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี ตั้งอยู่ร่วมฤดีซอย 2 ซึ่งเป็นทำเลอันดับ 1 ใน 5 ที่มีราคาสูงที่สุดเมื่อเทียบกับทำเลอื่นในกรุงเทพฯ นับเป็นพื้นที่ไข่แดงที่คนส่วนน้อยมีโอกาสจะได้ครอบครอง ทำให้โครงการขายดีมาก ส่วนใหญ่ลูกค้าซื้อเพื่ออยู่อาศัยมากกว่าลงทุน คิดเป็นสัดส่วน 70% และ 30% ตามลำดับ ทั้งนี้ทั้ง 2 โครงการคาดว่าจะปิดการขายภายในงานอีเวนต์ใหญ่ประจำปีที่บริษัทกำลังจะจัดขึ้นในปลายเดือนกันยายนนี้แน่นอน ซึ่งเป็นงานที่รวบรวมคอนโดฯ ที่ดีที่สุด มอบส่วนลดราคาพิเศษ และเป็นงานที่ไม่ควรพลาด “สำหรับดีมานด์ของคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์นั้น สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมือง ที่สามารถเดินทางสะดวก และมีความสงบ เป็นส่วนตัว เนื่องจากไม่ได้ติดถนนใหญ่ อยู่ในซอย หลีกหนีจากความวุ่นวายในเมือง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนเมือง รวมถึงปล่อยเช่าได้ง่าย เพราะจำนวนห้องน้อยกว่าคอนโดมิเนียมไฮไรส์ เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยและการลงทุนเพื่อปล่อยเช่า จึงคาดว่าอนาคตคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์จะมีแนวโน้มดีมานด์เติบโตอย่างต่อเนื่อง” คุณเพชรลดา กล่าว
เร็น สุขุมวิท 39 คอนโดระบบ

เร็น สุขุมวิท 39 คอนโดระบบ "รูเนะสุ" ปรากฎการณ์จอยเวนเจอร์ชินวะ กรุ๊ป - พรีบิลท์

ปรากฏการณ์จอยท์เวนเจอร์ระหว่างประเทศ ระหว่างยักษ์ใหญ่อสังหาฯไทย – ญี่ปุ่น เพื่อดำเนินโครงการ เร็น สุขุมวิท 39 ( REN Sukhumvit 39 ) คอนโดหรูใจกลางสุขุมวิท ด้วยนวัตกรรม“รูเนะสุ” ทั้งโครงการ มูลค่า 2,600 ล้านบาท ที่สร้างสรรค์เพื่อผู้อยู่อาศัยที่นิยมที่อยู่อาศัยแบบ Functional และนักลงทุนไทยและต่างชาติที่สนใจคอนโดคุณภาพบนพื้นที่ศักยภาพ โดยเมื่อเร็วๆนี้ ผู้บริหาร บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทจอยท์ เวนเจอร์ ได้เข้าพบผู้บริหารระดับสูงของชินวะ กรุ๊ป ที่สำนักงานใหญ่ชินวะ กรุ๊ป เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เพื่อหารือเรื่องการนำนวัตกรรม Runesu เข้ามาติดตั้งในโครงการ เร็น สุขุมวิท 39 และยังได้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพในอนาคตของประเทศไทยอีกด้วย เร็น สุขุมวิท 39 ดำเนินงานโดย บริษัท ชินวะ เอส 39 จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท ซึ่งเป็นการร่วมทุน ระหว่าง บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) : บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด-ในเครือ ชินวะ กรุ๊ป : พรีแซงค์ คอร์ปอเรชั่น (Pressance Corporation) จากญี่ปุ่น ด้วยสัดส่วน 49:26:25
ออลล์ อินสไปร์ฯ เปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ “ไรส์ เวนเจอร์” ตัวจริงด้านการจัดการอสังหาฯ การันตีคุณภาพด้วยศักยภาพทีมงานการตลาด - การขาย ทั้งในและต่างประเทศ

ออลล์ อินสไปร์ฯ เปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ “ไรส์ เวนเจอร์” ตัวจริงด้านการจัดการอสังหาฯ การันตีคุณภาพด้วยศักยภาพทีมงานการตลาด - การขาย ทั้งในและต่างประเทศ

  ออลล์ อินสไปร์ฯ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ ดิ เอ็กเซล ไรส์ และอิมเพรสชั่น โชว์ศักยภาพธุรกิจอสังหาฯ มองเห็นโอกาส และช่องว่างทางการตลาด ประกาศเปิดตัวธุรกิจใหม่ “ไรส์ เวนเจอร์” ตัวจริงด้านการจัดการอสังหาริมทรัพย์ โดยการเข้าลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายอื่นที่สร้างเสร็จแล้ว นำมาเพิ่มมูลค่าให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าที่มีอยู่ ด้วยการบริหารจัดการของทีมงานการตลาดและการขายทั้งในและต่างประเทศ ที่มีคุณภาพ ทีมออกแบบตกแต่งภายใน และทีมดูแลลูกค้าหลังการขายที่แข็งแกร่ง เป็นการใช้ความชำนาญที่มีอยู่สร้างโมเดลธุรกิจที่มีความแตกต่าง ตั้งเป้ายอดรายได้ 500 - 1,000 ลบ. มั่นใจดีมานด์ยังมีอย่างต่อเนื่อง ทั้งลูกค้าไทยและต่างชาติ   นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ มีแผนในการรุกตลาดอสังหาฯ มากขึ้น โดยเพิ่มช่องทางธุรกิจในรูปแบบใหม่ๆ เพื่อมาเป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลัก ที่เดิมจะใช้วิธีการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ขาย และรอรับรู้รายได้เมื่อโอน แต่พบว่ายังมีช่องว่าง ซึ่งมองเห็นเป็นโอกาสทางธุรกิจ เกิดเป็นบริษัท ไรส์ เอสเตท จำกัด ภายใต้ชื่อ “ไรส์ เวนเจอร์” เป็นบริษัทในเครือ บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจโมเดลใหม่เข้าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ระยะสั้น เพื่อสร้างโอกาสทำกำไรให้มากขึ้น เร็วขึ้น แต่มีความเสี่ยงน้อยลง โดยที่ผ่านมานั้น ออลล์ อินสไปร์ฯ มีทีมขายในประเทศ และมีบริษัท ไทย ดี เรียลเอสเตท จำกัด ซึ่งทำหน้าที่ในการขายโครงการของ ออลล์ อินไสปร์ ในต่างประเทศที่มีคุณภาพ และทีมการตลาดที่แข็งแกร่ง มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ เพราะจากการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศทำให้ทราบว่ายังมีช่องว่างทางการตลาดของลูกค้าที่ต้องการอสังหาฯ สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ในทำเลต่างๆ อยู่อีกมากมาย ดังนั้น บริษัทฯ จึงต้องการตอบสนองดีมานด์ดังกล่าว ได้อย่างทันท่วงที จึงลงทุนในทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างแล้วเสร็จจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นที่ต้องการระบายสต๊อก โดยเลือกสรรเป็นรายห้อง เลือกห้องที่มีศักยภาพทำเลดี และต่อรองราคา หลังจากนั้นนำมาเพิ่มมูลค่า เช่น ตกแต่งเพิ่มเติม เพิ่มเฟอร์นิเจอร์ และฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ให้ตรงกับความต้องการ และนำมาเสนอให้กับลูกค้าในราคาที่คุ้มค่า ภายในเวลาที่ลูกค้าต้องการเข้าพักอาศัย ซึ่งทางบริษัทฯ มีทีมงานที่มีประสบการณ์สูง คลุกคลีอยู่กับข้อมูลของวงการธุรกิจนี้มานาน จึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุด และคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีอย่างแน่นอน   ซึ่งลูกค้าที่ซื้ออสังหาฯ จาก “ไรส์ เวนเจอร์” การันตีได้เลยว่า นอกจากจะได้ของที่มีคุณภาพในราคาที่คุ้มค่าแล้วนั้น ยังได้รับบริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพในการแนะนำทั้งเรื่องการขายต่อและการปล่อยเช่า นอกจากนี้ในเรื่องของผลประโยชน์ สิทธิพิเศษยังเทียบเท่ากับลูกค้าที่ซื้อโครงการของ ออลล์ อินสไปร์ฯ ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือลูกค้า “ไรส์ เวนเจอร์” จะได้รับสิทธิ์เป็นสมาชิก “อินสไปร์ ฮับ” สามารถร่วมกิจกรรม รับสิทธิพิเศษ ใช้บริการเลาจน์ที่สยามพารากอนได้ เป็นต้น เรียกว่าเป็นมืออาชีพในการนำเสนออสังหาริมทรัพย์ ให้แก่ลูกค้าที่ต้องการที่จะอยู่อาศัยบนทำเลต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด อาทิ พัทยา ภูเก็ต เป็นต้น โดยลูกค้าจะมีทางเลือกที่หลากหลายและมั่นใจได้ว่าจะได้อสังหาริมทรัพย์ตามความต้องการอย่างแน่นอน ซึ่งในปัจจุบันมีโครงการต่างๆ ที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่เป็นจำนวนมาก   ขณะนี้ “ไรส์ เวนเจอร์” มีอสังหาริมทรัพย์ทั้งที่พร้อมขายและที่นำมาพัฒนาใหม่แล้วประมาณ 130 ล้านบาท อยู่ในทำเลที่ลูกค้าต้องการ อาทิ โครงการคอนโดพร้อมอยู่ตามเส้นรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 500 - 1,000 ล้านบาท   “ปัจจัยที่ทำให้ ออลล์ อินสไปร์ฯ ประสบความสำเร็จในธุรกิจจนถึงปัจจุบันคือการเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง โดยมีแนวคิดที่ต้องการตอบโจทย์ทั้งเรื่องแบรนด์ดิ้งและความเป็นแมสพรีเมียม ในการสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าในราคาที่สามารถจับต้องได้ ซึ่งการเปิดตัว “ไรส์ เวนเจอร์” ในวันนี้ จึงถือว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งที่สำคัญของการดำเนินธุรกิจของ ออลล์ อินไสปร์ฯ ที่ต้องการตอบโจทย์ลูกค้าให้ตรงใจมากที่สุด เพื่อที่จะครองใจลูกค้าที่ต้องการอสังหาริมทรัพย์ที่ดีมีคุณภาพ ในราคาสมเหตุผล” นายธนากร กล่าวตอนท้าย   สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.allinspire.co.th หรือโทร 02 029 9999
LPN เปิดซิตี้คอนโดย่านพัฒนาการ Expand Project แห่งที่ 4 ตอกย้ำ Affordable Segment  เกาะเทรนด์ Sport Lover เด่นด้วยฟิตเนสเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ เริ่ม 1.69 ลบ. พรีเซล 25 ส.ค.

LPN เปิดซิตี้คอนโดย่านพัฒนาการ Expand Project แห่งที่ 4 ตอกย้ำ Affordable Segment เกาะเทรนด์ Sport Lover เด่นด้วยฟิตเนสเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่ เริ่ม 1.69 ลบ. พรีเซล 25 ส.ค.

LPN เดินตามแผน Year Of Chang ชู Fighting Brand แห่งที่ 4 ของปี ตอกย้ำ Affordable Segment เปิดซิตี้คอนโด แนว ไฮไรส์ “ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-ศรีนครินทร์” คาดยังมีดีมานด์จากเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยคึกคัก ใกล้แหล่งงานและสถานศึกษา กอรปกับเป็น Expand Project ของย่านพัฒนาการที่ LPN เคยเปิดมากว่า 3 โครงการ นำเทรนด์ Sport Lover ในยุคปัจจุบันดีไซน์พื้นที่ส่วนกลางเสมือนยกฟิตเนสเซ็นเตอร์แทรกไว้ทุกอณูในโครงการ ด้วยคอนเซปต์ “Sports park, smart place” ผสานการออกแบบ Façade สไตล์โมเดิร์นทันสมัย รวมถีง News LPN Design ฟังก์ชั่นลงตัว เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยทำงานและนักศึกษา การันตีความสุขในบ้านหลังใหญ่ด้วย “Livable Community” เปิดขายวันเสาร์ที่ 25 สิงหาคมนี้ ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท   นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า “บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ย่านพัฒนาการซึ่งเป็นโครงการลำดับที่ 4 แห่งปีตามแนวทาง Affordable Segment ภายใต้ชื่อ “ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-ศรีนครินทร์” คอนโดแนวสูง 32 ชั้น มูลค่า 1,460 ล้านบาท ตั้งอยู่บนถนนพัฒนาการ ระหว่างซอยพัฒนาการ 33 และ 35 ด้วยศักยภาพของทำเลและแหล่งที่อยู่อาศัยหนาแน่น จึงมีดีมานด์สูงจากแหล่งงานที่ตั้งตรงข้ามโครงการ ได้แก่ อาคาร True และสำนักงานใหญ่แม็คโคร โดยวางเป้าหมายเป็นกลุ่มคนเริ่มทำงานรุ่นใหม่ และยังเจาะกลุ่มนักศึกษาในย่านนี้ ทั้งสถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตและมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งบริษัทยังคงรักษากลุ่มเป้าหมายระดับกลางถึงกลาง-ล่าง ด้วยการเปิดราคาขายเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท เดินตามเจตนารมณ์บ้านที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายด้วยราคาที่เอื้อมถึง (Affordable Price) และอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญคือ มองว่าทำเลแห่งนี้มีอนาคต ใกล้ห้างสรรพสินค้า เช่น Tesco Lotus, Max Value, Makro, London Street และเดอะ นาย พระราม 9 ใกล้สถานพยาบาล คือ โรงพยาบาลวิภารามและโรงพยาบาลรามคำแหง ทั้งยังเดินทางเข้า-ออกเมืองอย่างสะดวกสบาย เพราะใกล้ทางด่วนและมอเตอร์เวย์ที่เชื่อมต่อกับถนนเส้นสำคัญหลายสาย ตั้งแต่ถนนเพชรบุรี ถนนรามคำแหง ถนนพระราม 9 และถนนประชาอุทิศ นอกจากนี้ ถนนพัฒนาการยังมีซอยที่ลัดเลาะเพื่อเลี่ยงรถติดที่ถนนศรีนครินทร์และถนนอ่อนนุชได้ด้วย โดยที่ผ่านมา LPN เคยประสบผลสำเร็จในทำเลย่านนี้มาแล้วจากโครงการคุณภาพและบริการหลังการขายภายใต้แนวคิด “ชุมชนน่าอยู่” (Livable Community) ได้แก่ ลุมพินี วิลล์ อ่อนนุช-พัฒนาการ ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-เพชรบุรีตัดใหม่ และลุมพินี วิลล์ ศรีนครินทร์-หัวหมาก สเตชั่น เรียกได้ว่าเป็นโครงการส่วนต่อขยาย (Expand Project) ที่น่าจับตามอง   “ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-ศรีนครินทร์” เป็นโครงการแนวสปอร์ตแห่งแรกของบริษัทที่ได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์เทรนด์คนรักสุขภาพและการออกกำลังกายในยุคปัจจุบัน ตามคอนเซ็ปต์ “Sports Park, Smart Place” เสมือนมีฟิตเนสเซ็นเตอร์ที่ตรงใจคนรุ่นใหม่ แทรกอยู่ในพื้นที่ส่วนกลางทุกส่วนอย่างครบครัน ประหยัดเวลาในการเดินทางและไม่ต้องใช้จ่ายกับค่าสมาชิกฟิตเนสอีกต่อไป โดยสามารถออกกำลังกายในบ้านของตนเองได้ทุกเวลาที่สะดวก ทั้งลู่วิ่ง (Jogging Track) สระว่ายน้ำ สนามสตรีท บาส ห้องโยคะ ห้องฟิตเนส สวนรวมใจ ลานฟิตแอนด์เฟิร์มและฟิตเนสโซน โดยหยิบไอเดียเส้นสายลู่วิ่งของโครงการมาออกแบบในพื้นที่ส่วนกลางให้มีสีสันเด่นสะดุดตา คุมโทนและสร้างบรรยากาศการออกกำลังกายให้ตื่นเต้น รวมถึงปรับปรุงห้องอเนกประสงค์ให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยมากขึ้น สำหรับในห้องชุดพักอาศัยบริษัทนำความเชี่ยวชาญของ New LPN Design มาออกแบบให้ครบทุกฟังก์ชันการอยู่อาศัย นอกจากการให้ความสำคัญกับเทรนด์สุขภาพแล้ว LPN ยังให้ความสำคัญกับความรื่นรมย์ในโครงการ จึงกระจายพื้นที่สีเขียวไว้บนชั้น 7 และชั้น 29 เพื่อเป็นจุดพักผ่อนยามเหนื่อยล้าที่ดีเยี่ยม ทั้งยังปรับรูปลักษณ์ Façade ให้ทันสมัยด้วยการออกแบบโทนสีเทาเข้มและสีขาวให้ดูโมเดิร์น” นายโอภาสทิ้งท้าย   “ลุมพินี วิลล์ พัฒนาการ-ศรีนครินทร์” แบ่งพื้นที่เป็น 2 ส่วนสำคัญ ได้แก่ ส่วนอาคารสำนักงานสูง 5 ชั้น ด้านหน้าโครงการ และส่วนอาคารชุดพักอาศัย สูง 32 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 795 ยูนิต บนพื้นที่ทั้งหมด 6 ไร่ เปิดขายอย่างเป็นทางการวันเสาร์ที่ 25 สิงหาคมนี้ ณ สำนักงานขายโครงการ ตั้งแต่เวลา 8.30 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร LPN Call Center 02-689-6888
เจ.เอส.พี. โชว์รายได้ไตรมาส 2 โต 16% กวาดยอดรายได้รวมครึ่งปีแรก กว่า 2,257 ลบ.  พร้อมลุยเปิดเพิ่มอีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 703 ลบ.

เจ.เอส.พี. โชว์รายได้ไตรมาส 2 โต 16% กวาดยอดรายได้รวมครึ่งปีแรก กว่า 2,257 ลบ. พร้อมลุยเปิดเพิ่มอีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 703 ลบ.

บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เผยผลงานไตรมาส 2/2561 ทำรายได้แตะ 1,212 ล้านบาท หรือโตเพิ่ม16% โดยกวาดยอดรายได้รวมครึ่งปีแรกแล้วกว่า 2,257 ล้านบาท พร้อมลุยเดินเครื่องธุรกิจครึ่งปีหลังเปิดใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวมราว 703 ล้านบาท มั่นใจยอดขายรวมสิ้นปีนี้ 6,800 ล้านบาท ตามนัด นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล ประธานคณะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP แจงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2561 ของบริษัทว่า รายได้ทั้งหมดเท่ากับ 1,212 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีรายได้จากการขายอสังหาฯอยู่ที่ 1,176ล้านบาท มียอดโอนกรรมสิทธิ์ 626 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 140 ล้านบาท “จากการเข้ามาบริหารงานพร้อมวางกลยุทธ์ใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้น ประกอบกับผลงานเริ่มต้นในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ทำให้มั่นใจว่าบริษัทฯ จะก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงแข็งแรง จากการกำหนดเป้าหมายธุรกิจระยะสั้น คือปีแรกจะปรับฐานให้มีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น ส่วนเป้าหมายในระยะ 3 ปี ก็จะสร้างอัตราการเติบโตให้บริษัทไม่ต่ำกว่า 25-30% ซึ่งสำหรับในปี 2561 ตั้งเป้ายอดขายรวมสิ้นปีนี้ 6,800 ล้านบาท โดยเน้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบเป็นหลักเพื่อชิงผู้นำตลาดบ้านแนวราบ ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท” ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 703 ล้านบาท ได้แก่ โครงการเจซิตี้ ติวานนท์-บางกะดี บ้านเดี่ยว-บ้านแฝด จำนวนรวม 79 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 3.6 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการ 316 ล้านบาท, อาคารพาณิชย์ 1 ทำเล คือ โครงการเจซิตี้ รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง มูลค่าโครงการ 70 ล้านบาท และโครงการ เจอเวนิวรัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท ส่วนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้แก่ โซนบางปะกง-บ้านโพธิ์ คือ โครงการเจ ทาวน์ เอ็กซ์คลูซีฟ ที่เป็นทาวน์เฮาส์ มูลค่าโครงการ 117 ล้านบาท รวมทั้งอาคารพาณิชย์ที่โครงการเจซิตี้ ศรีราชา-อัสสัมชัญ มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าใกล้จะแล้วเสร็จและสามารถเปิดตัวได้ในช่วงปลายปีนี้ สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ของปี 2561 นี้น่าจะกลับมาสดใสมากขึ้น เนื่องจากผ่านความผันผวนจากช่วงครึ่งปีแรกมาแล้ว อีกทั้งเศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวได้ดีขึ้นและคาดว่าทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจน่าจะเพิ่มขึ้นถึง 4% เนื่องจากความต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยหรือการซื้อเพื่อการลงทุนยังโตต่อเนื่อง นายลิขิตกล่าวสรุป
แสนสิริผนึกบีซีพีจี ล้ำหน้าเปิดโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนไฟฟ้าสะอาดแบบเรียลไทม์ ด้วย Blockchain ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ววันนี้ที่ T77

แสนสิริผนึกบีซีพีจี ล้ำหน้าเปิดโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนไฟฟ้าสะอาดแบบเรียลไทม์ ด้วย Blockchain ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ววันนี้ที่ T77

แสนสิริ จับมือ บีซีพีจี ประกาศความสำเร็จในการเริ่มใช้ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้ารูปแบบใหม่แบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) ด้วยการทำธุรกรรมโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ในโครงการที่พักอาศัยที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำร่องระบบแลกเปลี่ยนพลังงานจริงแล้ววันนี้ที่โครงการทาวน์สุขุมวิท 77 หรือ T77 ก่อนจะเริ่มมีการซื้อขายอย่างเป็นทางการภายในเดือนกันยายนปีนี้ ซึ่งนับเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างพันธมิตรในระดับกลยุทธ์ในการผสานความเชี่ยวชาญข้ามอุตสาหกรรมของภาคเอกชนในระดับมหภาคระหว่างผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และพลังงานทดแทนของไทย ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการพลังงานเพื่ออนาคต (Energy management for the future) ด้วยการสร้างปรากฏการณ์เปลี่ยน Consumerเป็น “Prosumers” ยุคแห่งการผลิตโดยผู้บริโภคซึ่งคนไทยสามารถเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคพลังงานสะอาดจากพลังงานไฟฟ้าทดแทน   อีกทั้งยังสามารถขายพลังงานส่วนเกินที่ผลิตได้ให้กับสมาชิกในชุมชน พร้อมมุ่งเดินหน้าสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการพัฒนาแนวทางการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Green Sustainable Living) รวมทั้งการความยั่งยืนในการใช้พลังงานทดแทนในประเทศไทยไปอีกขั้น คาดว่าจะสามารถลดต้นทุนค่าไฟฟ้า และลดการส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการลดคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าการปลูกป่าถึง 400 ไร่ ตามแนวคิด Low Cost-Low Carbon ด้วยกำลังการผลิตพลังงานสะอาดถึง 20% ของปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมดในโครงการ T77 ซึ่งคาดว่าไฟฟ้าสะอาดทุกหน่วยที่ผลิตได้จะช่วยประหยัดค่าไฟต่อหน่วยให้ลูกบ้านแสนสิริได้ถึง 15% พร้อมเผยแผนการระยะยาวในการนำไปใช้ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริกว่า 20 โครงการภายในปี 2018 ภายใต้แผนพัฒนาชุมชนพลังงานสีเขียวอัจฉริยะ (Smart Green Energy Community) นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริมุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับการสร้างชุมชนที่พักอาศัยอย่างยั่งยืนภายใต้แนวทางที่ชาญฉลาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และประหยัดพลังงาน (Green Sustainable Living) ด้วยการแสวงหาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นวาระสำคัญในการดำเนินธุรกิจของแสนสิริมาอย่างยาวนาน โดยหนึ่งในเป้าหมายของแสนสิริคือการนำพลังงานทดแทนมาใช้ในทุกโครงการ ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการพลังงานเพื่ออนาคต(Energy management for the future) ประกอบกับในปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคากำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย   เราจึงได้ริเริ่มนำระบบการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ไปติดตั้งในหลาย ๆ โครงการที่กำลังก่อสร้างอยู่ การจับมือกับบีซีพีจีในฐานะพันธมิตรระดับกลยุทธ์ (Strategic partnership) ในครั้งนี้นับเป็นการผลักดันวาระ Green Sustainable Living ของแสนสิริให้ก้าวล้ำไปอีกระดับ ด้วยการวางระบบพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์แบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) โดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในที่พักอาศัย ที่เราคัดสรรระบบที่เหมาะสำหรับแต่ละคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวกว่า 20 โครงการ โดยนับเป็นครั้งแรกของอีกขั้นในการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานสำหรับโครงการที่พักอาศัยทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นการแลกเปลี่ยนพลังงานผ่านระบบบล็อคเชนที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งการปฏิวัติระบบการจัดจำหน่ายพลังงานในครั้งนี้จะช่วยสร้างประสบการณ์ในการพักอาศัยที่มีความยั่งยืนให้กับลูกบ้านของแสนสิริ โดยมีไฮไลท์สำคัญคือการที่ลูกบ้านจะได้เป็นผู้ผลิตและผู้บริโภคในเวลาเดียวกันในฐานะ Prosumer เป็นครั้งแรก ทำให้เราสามารถสร้างระบบการแลกเปลี่ยนใหม่ในตลาดพลังงานที่ก้าวข้ามข้อจำกัดเดิมๆ โดยประโยชน์ที่จะเกิดอย่างชัดเจนแก่ลูกบ้านแสนสิริที่อาศัยในโครงการที่มีการวางระบบนี้คือสามารถประหยัดค่าไฟฟ้า โดยไฟฟ้าสะอาดทุกหน่วยที่ผลิตได้จะช่วยประหยัดค่าไฟต่อหน่วยได้ถึง 15% และยังสร้างความภูมิใจให้ลูกบ้านจากการมีส่วนร่วมในดูแลสิ่งแวดล้อมโดยการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ จากกำลังการผลิตพลังงานสะอาดถึง 20% ของปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้ทั้งหมดในโครงการ T77 ช่วยลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 530 ตันต่อปีโดยประมาณ หรือเท่ากับการปลูกป่า จำนวน 400 ไร่   บีซีพีจีและแสนสิริได้ติดตั้งระบบแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนแล้ววันนี้ที่โครงการทาวน์สุขุมวิท 77 (Town Sukhumvit 77) หรือที 77 (T77) ซึ่งเป็นโครงการเมกะโปรเจ็ค (Mega Project) ของแสนสิริที่ประกอบด้วยที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบและไลฟ์สไตล์ฮับที่สมบูรณ์แบบบนพื้นที่กว่า 50 ไร่ในใจกลางสุขุมวิท 77 ก่อนจะเริ่มมีการซื้อขายอย่างเป็นทางการภายในเดือนกันยายนของปีนี้   โดยระบบพลังงานเซลแสงอาทิตย์บนหลังคามีกำลังการผลิตติดตั้ง 635 กิโลวัตต์ แบ่งสัดส่วนการใช้เป็น 54 กิโลวัตต์สำหรับฮาบิโตะมอลล์ (Habito Mall) ซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์ภายในโครงการ 413 กิโลวัตต์สำหรับโรงเรียนนานาชาติบางกอกเพรพ (Bangkok Prep International School) และ 168 กิโลวัตต์ สำหรับพาร์ค คอร์ท คอนโดมิเนียม (Park Court Condominium) รวมถึงโรงพยาบาลฟันที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกในการแลกเปลี่ยนพลังงานภายในโครงการ นอกจากนั้น ยังติดตั้งระบบนี้ในโรงงานผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปของแสนสิริด้วยกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้า 150 กิโลวัตต์ โดยภายในปี 2564 แสนสิริมีแผนที่ติดตั้งระบบแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ผ่านอินเทอร์เน็ตในโครงการใหม่ ๆ กว่า 31 โครงการ และมีกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้ารวม 2 เมกะวัตต์ นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในฐานะผู้นำ ในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิค บีซีพีจีมุ่งมั่นสร้างอนาคตที่ยั่งยืนทางพลังงานร่วมกับพันธมิตรต่าง ๆ โดยนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ชาญฉลาด มาใช้ในการบริหารจัดการไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เริ่มต้นจากโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าทางอินเตอร์เน็ตที่โครงการที 77 (T77) ร่วมกับแสนสิริ และพาวเวอร์ เล็ดเจอร์ ผู้บุกเบิกแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนพลังงานทดแทนระดับโลกจากออสเตรเลีย ซึ่งเราคาดว่าจะพร้อมซื้อขายจริงในเดือนกันยายนหลังจากช่วงนำร่อง   ถือเป็นก้าวแรกของเราในโครงการที่พักอาศัยของประเทศไทย และเป็นการเปิดใช้แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้ลูกบ้านแสนสิริกลายเป็นทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตไฟฟ้า หรือ Prosumers สามารถซื้อขายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดที่เหลือใช้ผ่านอินเทอร์เน็ตให้แก่ผู้ร่วมโครงการ โดยจะช่วยประหยัดค่าไฟได้ประมาณ 15% ของค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน” ข้อดีของการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้คือช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนซื้อขายพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดแบบเรียลไทม์ผ่านเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer) ผ่านแพลตฟอร์มที่มีความปลอดภัย รวดเร็ว โปร่งใส และปราศจากข้อผิดพลาดในการทำธุรกรรมโดยไม่ต้องมีคนกลาง ด้วยราคาที่ถูกลงและช่วยลดมลภาวะด้วยการใช้พลังงานสะอาด ตามแนวคิด Low Cost, Low Carbon   ในโครงการนำร่องที่ T77 นี้ มีผู้ร่วมโครงการ 4 อาคาร โดยมีระบบกักเก็บพลังงานหรือแบตเตอรี่ภายในโครงการ และการเชื่อมโยงกับสายส่งของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ซึ่งแต่ละรายมีพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า (load profile) และศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่แตกต่างกันโดยในเบื้องต้น ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโซลาร์รูฟท็อปในแต่ละอาคาร จะนำไปใช้ภายในอาคาร เพื่อให้แต่ละอาคารสามารถใช้ไฟฟ้าในต้นทุนที่ต่ำกว่าไฟฟ้าที่เคยซื้ออยู่ ในกรณีที่มีไฟฟ้าส่วนเกินจากการผลิตใช้ภายในอาคาร แต่ละอาคารสามารถนำไฟฟ้านั้นแลกเปลี่ยนกันภายในแพลตฟอร์ม โดยภายในหนึ่งเสี้ยววินาทีนั้น สามารถเกิดสถานการณ์การใช้และการผลิตไฟฟ้าได้หลายรูปแบบ ทั้งอาคารก็จะผลิตได้เกินความต้องการ หรืออาคารที่ผลิตได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ   สำหรับในกรณีที่ไฟฟ้าที่ผลิตได้มีมากกว่าความต้องการที่ใช้เอง ระบบก็จะนำไฟส่วนเกินขายให้ผู้ใช้รายอื่นด้วยระบบ P2P หากยังมีเหลืออีก ก็จะขายให้ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) เพื่อเก็บไว้ขายในเวลาอื่นๆ และหากระบบกักเก็บเต็ม ไฟฟ้าก็จะถูกส่งขายเข้าระบบของกฟน. ทั้งนี้ ในกรณีที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงกว่าที่สามารถผลิตได้ ระบบก็จะทำการซื้อจากระบบ P2P จากระบบกักเก็บพลังงาน และจากกฟน. ตามลำดับ   การดำเนินการทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นได้โดยเทคโนโลยีบล็อกเชนที่นำมาใช้เพื่อประมวลผลถึงความเหมาะสมในการกำหนดผู้ซื้อและผู้ขายในความถี่ระดับเสี้ยววินาที โดยสามารถใช้แอพพลิเคชั่นของบีซีพีจี ได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือโครงการนำร่องแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าที่ T77 นี้ ถือเป็นหนึ่งในโครงการขนาดใหญ่ที่สุดของโลกทั้งยังเป็นโครงการอันดับแรก ๆ ของโลก อีกด้วย ในเบื้องต้นคาดว่าโครงการนำร่องนี้จะสามารถผลิตไฟฟ้าให้กับ Community นี้ได้ถึงร้อยละ 20 ของความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยรวม ซึ่งนอกจากจะเป็นการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้ด้วยตนเอง และสามารถแลกเปลี่ยนซื้อขายได้ด้วยระบบ P2P แล้ว การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับแต่ละอาคารหรือแต่ละบ้าน เพิ่มโอกาสในการจัดหาสินเชื่ออีกด้วย” นายบัณฑิต อธิบายเพิ่มเติม มร.เดวิด มาร์ติน กรรมการผู้จัดการและหนึ่งในผู้ก่อตั้งพาวเวอร์ เล็ดเจอร์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีการแลกเปลี่ยนและซื้อขายพลังงานไฟฟ้าในระบบบล็อกเชนเสริมว่า “วิสัยทัศน์ของเรา คือการนำเอาอำนาจในการบริหารจัดการด้านพลังงานมาสู่มือผู้บริโภคทั่วโลก (Democratization of Energy) โดยที่ยังคงไว้ซึ่งคุณค่าของเครือข่ายการกระจายพลังงานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เรามุ่งมั่นที่จะปฎิรูปอุตสาหกรรมพลังงานโดยนำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถประหยัดค่าไฟฟ้า จำหน่ายพลังงานเหลือใช้ในราคาที่ดี และใช้พลังงานที่สะอาดมากขึ้น   การนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในระบบการแลกเปลี่ยนและซื้อขายพลังงานจะช่วยสร้างแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนและซื้อขายแบบอัตโนมัติสำหรับทั้งอาคารที่พักอาศัยและอาคารเพื่อการพาณิชย์ในการขายพลังงานที่เหลือใช้ให้กับลูกค้าที่สามารถเลือกได้ในราคาที่พอใจ การร่วมมือกับแสนสิริและบีซีพีจีนับเป็นก้าวแรกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ส่งเสริมให้เกิดการรวมพลังกันระหว่างผู้บริโภคชุมชนและผู้ผลิตพลังงานเพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ยั่งยืนทางด้านพลังงาน”     สำหรับการแลกเปลี่ยนซื้อขายไฟฟ้าระหว่างอาคารนั้น ทุกฝ่ายสามารถเป็นได้ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ผ่านการตกลงกันไว้ล่วงหน้าด้วย smart contract โดยผู้ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าจะซื้อไฟฟ้าจากผู้ที่ผลิตได้เหลือใช้ด้วยราคาที่ต่ำที่สุด ส่วนผู้ที่ผลิตได้เกินจากความต้องการก็จะขายให้กับผู้ซื้อที่ให้ราคาสูงที่สุด ทั้งนี้ในการทำธุรกรรมจะใช้ Sparkz Token ซึ่งเปรียบเสมือนกับคูปองในศูนย์อาหาร และเป็นเพียงสัญลักษณ์ในการแลกเปลี่ยนไฟซื้อขายในระบบเท่านั้น   ไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการ cryptocurrency และไม่มีผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนใดๆ นับเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบของแพลตฟอร์มของเราที่สามารถแยกระดับการเข้าถึงและการแลกเปลี่ยน เป็น 2 ขั้นตอน คือระหว่างผู้บริโภคกับบีซีพีจี และระหว่างบีซีพีจีกับพาวเวอร์ เล็ดเจอร์เพื่อปิดความเสี่ยงต่อผู้บริโภคในเรื่อง cryptocurrency ความสำเร็จที่ผ่านมาของเราในระบบ P2P Energy Trading มีตัวอย่างเช่นการร่วมมือกับกับเวสเทิร์นพาวเวอร์และมหาวิทยาลัยเคอร์ตินในออสเตรเลีย และการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์นในชิคาโก สหรัฐอเมริกา ซึ่งเรามั่นใจว่าแพลตฟอร์มนี้จะประสบความสำเร็จอย่างดีในประเทศไทยเช่นกัน” มร.เดวิด กล่าวเสริม   “เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของแสนสิริในการนำเทคโนโลยีระดับโลกในด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาดเพื่อการประหยัดพลังงานมานำร่องทดลองใช้ครั้งนี้ไม่ใช่การมุ่งหวังถึงรายได้จากการขายไฟฟ้า แต่เรามุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ในการพักอาศัยที่เหนือชั้นและสร้างชุมชนที่พักอาศัยที่มีความยั่งยืนในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้เรามุ่งหวังให้เป็นกรณีศึกษาถึงความสำเร็จในการใช้ระบบแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าในโครงการที่พักอาศัยหรือภายในชุมชนในระดับมหภาค ที่จะช่วยสนับสนุนการเดินหน้าประเทศไทยสู่ประชาธิปไตยทางพลังงานอย่างเช่นความสำเร็จที่เกิดขึ้นแล้วในหลาย ๆ ประเทศ รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการช่วยลดภาระของภาครัฐในการลงทุนสร้างโรงผลิตไฟฟ้าขนาดใหญ่เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น แสนสิริยังคงมุ่งมั่นที่จะสรรหาพันธมิตรเพื่อร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมและนวัตกรรมด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อเดินหน้าสู่การพัฒนาแนวทางการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืนต่อไป” นายอุทัย กล่าวปิดท้าย
เสนา ฮันคิว  เปิดชมคอนโดหรู “ปีติ เอกมัย”

เสนา ฮันคิว เปิดชมคอนโดหรู “ปีติ เอกมัย”

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ที่ 2 จากขวา) บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ (ที่ 2 จากซ้าย) บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จํากัด เปิดตัว ‘ปีติ เอกมัย’ คอนโดลักชูรี่แห่งแรก ภายใต้การร่วมทุนบริษัท เสนา ฮันคิว จำกัด บนทำเลศักยภาพสูงสุดย่านเอกมัย ด้วยหลักปรัชญาแนวคิดจากญี่ปุ่น “IKIGAI (อิคิไก)” เข้ามาใช้ผสมผสานทุกรายละเอียดของงาน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Good LIVING is the new luxury” เน้นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่พรั่งพร้อมด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานอันหลากหลายตามไลฟ์สไตล์ของคนไทย ราคา Pre sales เริ่ม 4.45 ล้านบาท* มูลค่าโครงการรวม 5,000 กว่าล้านบาท โดยเริ่มก่อสร้างในปี 2562 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2564 พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างแล้ววันนี้ ณ Sale Gallery โครงการ ปีติ เอกมัย หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 1775 กด 63
ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ปลื้มยอดผู้เช่าสูงถึง 95% พร้อมเดินหน้าบุกตลาดสำนักงานย่านสุขุมวิท-บางนา

ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ปลื้มยอดผู้เช่าสูงถึง 95% พร้อมเดินหน้าบุกตลาดสำนักงานย่านสุขุมวิท-บางนา

  กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี ผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ระดับคุณภาพอย่างครบวงจร ปลื้มหลังเผยอาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ได้รับผลตอบรับจากกลุ่มผู้เช่าอาคารสำนักงานทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติดีเกินคาด โดยปัจจุบันมีอัตราการเช่าอาคารสำนักงานสูงถึง 95%   หลังจากที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อไตรมาสที่ 1 ในปีพ.ศ. 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเวลาไม่ถึง 2 ปี อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค อาคารสำนักงานเกรดเอให้เช่าแห่งแรกในย่านสุขุมวิท-บางนา เผยตัวเลขผู้เช่าอันน่าประทับใจ ด้วยอัตราการเช่าอาคารสำนักงานสูงถึง 95% โดยมีผู้ประกอบการรายใหญ่จากหลากหลายธุรกิจ อาทิเช่น บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ฮอนด้า แอคเซส (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ฮอนด้า ลีสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้เช่ารายใหญ่ใหม่ล่าสุด ย้ายที่ตั้งสำนักงานใหญ่ ส่วนการขายและบริการต่างๆ มาประจำที่อาคาร บริษัท บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาขน) บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ รีจัส(ประเทศไทย) ผู้ให้บริการสถานที่ทำงานระดับโลก และ ศูนย์บริการลูกค้าแห่งใหม่ ของธนาคารไทยพาณิชย์   นายปิติภัทร บุรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภิรัชแมนเนจเม้นท์ จำกัด ภายใต้กลุ่มบริษัทภิรัชบุรี กล่าวว่า “ในฐานะผู้พัฒนาและบริหารโครงการภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่อาคารแห่งนี้ได้รับผลตอบรับจากผู้เช่าเป็นอย่างดี จนปัจจุบันมีอัตราการเช่าสูงถึง 95% ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี ถือเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจ ซึ่งเกิดจากองค์ประกอบหลายอย่าง อาทิ ทำเลศักยภาพของที่ตั้งของอาคาร กลยุทธ์ในการสรรหาผู้เช่าคุณภาพ การออกแบบที่ตอบสนองความต้องการของผู้เช่า และ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ กลุ่มบริษัทฯมีเป้าหมายในการสร้างสรรค์ย่านสุขุมวิท-บางนา เพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพด้านที่ดิน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนโดยรอบให้คนมีงานมีอาชีพ ตามหลักการ Place Making ในการพัฒนาคุณภาพที่ดิน ผลตอบรับดังกล่าวไม่เพียงเป็นตัวเลขที่การันตีความสำเร็จของอาคารเท่านั้นแต่ยังเป็นข้อพิสูจน์ถึงความต้องการอาคารสำนักงานในย่านนี้ และสะท้อนความสำเร็จของกลุ่มบริษัทฯในการสร้างสรรค์ย่านสุขุมวิท-บางนา จึงเป็นแรงจูงใจสำคัญให้กลุ่มบริษัทฯเดินหน้าพัฒนาโครงการซัมเมอร์ ลาซาล โครงการอาคารสำนักงานแนวราบแห่งใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ออฟฟิศแคมปัส ซึ่งประกอบด้วย อาคารสำนักงาน ห้างค้าปลีก และโรงแรมตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกัน เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอาคารสำนักงานอย่างครบวงจรต่อไป”   อาคารภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค เป็นอาคารสำนักงานเกรดเอสูง 29 ชั้น ตั้งอยู่ภายในอาณาบริเวณของศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) เชื่อมต่อตรงกับสถานีรถไฟฟ้าบางนา มีขนาดพื้นที่สำนักงานให้เช่า 32,000 ตารางเมตร โดยมีพื้นที่สีเขียวส่วนกลาง (Roof Garden) และเส้นทางวิ่ง (Jogging Track) ขนาด 2,200 ตารางเมตร ที่ชั้น 29 นอกจากนี้ยังสามารถมองเห็นทัศนียภาพของกรุงเทพมหานครจากมุมสูง ทั้งแม่น้ำเจ้าพระยา และ บางกระเจ้า ซึ่งถือเป็นพื้นที่ปอดสีเขียวของกรุงเทพมหานคร โดยอาคารสำนักงานแห่งนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมิกซ์ยูส ที่สมบูรณ์พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน
โฮมโปร ฉลองยิ่งใหญ่ครบ 22 ปี ครั้งเดียวในรอบปี  22 สิงหาคมนี้ รับ 2 ต่อ ลดเพิ่ม 2 เท่า สูงสุด 40% วันเดียวเท่านั้น!  ที่โฮมโปรทุกสาขาทั่วประเทศ

โฮมโปร ฉลองยิ่งใหญ่ครบ 22 ปี ครั้งเดียวในรอบปี 22 สิงหาคมนี้ รับ 2 ต่อ ลดเพิ่ม 2 เท่า สูงสุด 40% วันเดียวเท่านั้น! ที่โฮมโปรทุกสาขาทั่วประเทศ

โฮมโปรฉลองครบรอบ 22 ปี พุธที่ 22 สิงหาคมนี้ วันเดียวเท่านั้น! จัดแคมเปญ “Anniversary Day” ตอบแทนลูกค้าคนสำคัญ มอบสิทธิพิเศษ 2 ต่อ ส่วนลด 22% เมื่อใช้คะแนนในบัตรโฮมการ์ดเท่ายอดใช้จ่าย พร้อมรับคอมโบสุด Special!! ลด + รับเพิ่ม อีก 22% สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ, บัตรเครดิตโฮมโปร วีซ่า แพลทินัม และบัตรเครดิต KTC และสินค้าลด 5-10% พร้อมผ่อน 0% 4 เดือน เมื่อช้อปสินค้าที่หน้าร้านทุกสาขา หรือช้อปสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ www.homepro.co.th ครบ 1,000 บาทขึ้นไป รับส่วนลดทันที 22%   พร้อมแลกคะแนนโฮมการ์ด 22 คะแนน รับส่วนลดทันที 100 บาท เมื่อช้อปสินค้าตั้ง 6,000 บาทขึ้นไป และรับคะแนนโฮมการ์ดเพิ่มสูงสุด 222 คะแนน เพียงคุณมีเลข 22 ในชีวิต ทั้ง วันเกิด ปีเกิด หมายเลขโทรศัพท์ลงท้าย หมายเลขบัตรประชาชนลงท้าย และหมายเลขบัตรโฮมการ์ดลงท้าย พิเศษสุดขนาดนี้ วันเดียวเท่านั้น 22 สิงหาคม พลาดแล้ว!! พลาดเลย!! สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1284
‘ภัทรนันท์ แอสเซท’ เปิดตัว ‘ไฮป์ สาทร-ธนบุรี’ มูลค่า 2 พันล้านบาท เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ตอบสนอง Demand วัย Millennial

‘ภัทรนันท์ แอสเซท’ เปิดตัว ‘ไฮป์ สาทร-ธนบุรี’ มูลค่า 2 พันล้านบาท เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ตอบสนอง Demand วัย Millennial

บริษัท ภัทรนันท์ แอสเซท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ย่านกรุงเทพมหานคร ที่มีประสบการณ์ยาวนานมากว่า 30 ปี สบช่องเจาะตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อคนรุ่นใหม่วัย Millennial ทำเลสาธร-ธนบุรี พื้นที่ที่มีโอกาสและอัตราการเติบโตในอัตราที่สูง จากอภิมหาโปรเจคขนาดใหญ่ เตรียมเปิดคอนโดมิเนียม Low rise 8 ชั้น โครงการ ‘ไฮป์ (HYPE) สาทร-ธนบุรี’ ชูแนวคิด ‘Urban Playground’ เริ่มจองระหว่างวันที่ 1-2 กันยายนนี้ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท     นายพรชัย กฤษฎาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ภัทรนันท์ แอสเซท จำกัด ผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ย่านกรุงเทพมหานครมานานกว่า 30 ปี เปิดเผยว่า จากประสบการณ์การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาหลายโครงการและทราบถึงพฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละกลุ่ม ทั้งจากการศึกษาโอกาสการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ และศักยภาพทำเลของสาทร-ธนบุรี พบว่าทำเลย่านนี้มีการเปลี่ยนแปลงจากที่อยู่แนวราบสู่ที่อยู่แนวสูงอย่างมีนัยยะสำคัญ และทิศทางจะกลายเป็นสังคมแนวสูงอย่างเต็มตัว     โดยเฉพาะพื้นที่ธนบุรี บริเวณสะพานสาทร-เจริญนคร-คลองสาน พื้นที่ในย่านนี้มีอภิมหาโปรเจคขนาดใหญ่เกิดขึ้น อาทิ ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ โรงแรมระดับหกดาว ในโครงการ ไอคอน สยาม และโครงการรถไฟฟ้าสายสีทอง ซึ่งมีเส้นทางที่เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี รวมถึงเส้นทางเชื่อมต่อกับเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ และสายสีแดง ที่ได้เริ่มก่อสร้างแล้วในปีนี้ เช่นเดียวกันกับพฤติกรรมผู้อยู่ในทำเลย่านนี้ซึ่งเริ่มปรับเปลี่ยนสู่สังคมคนรุ่นใหม่และมีการปรับรูปแบบวิถีชีวิตแบบคนเมืองอย่างชัดเจน เนื่องจากความสะดวกด้านคมนาคมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะเป็นพื้นที่ที่กลุ่มคนรุ่นใหม่มองหาที่อยู่อาศัยในทำเลใกล้ศูนย์กลางธุรกิจ การขยายตัวของดีมานด์จะลดแออัดของย่านศูนย์กลางเศรษฐกิจย่านสาทร สีลม รวมถึงเขตเจริญกรุง ฯลฯ และด้วยทำเลที่ตั้งของโครงการ คือสาทร-ธนบุรี ก็น่าจะตอบโจทย์ด้วยทำเลและราคาที่เอื้อมถึงนั่นเอง     นางสาวศราริน เรืองปัญญาวุฒิ กรรมการบริหาร บริษัท ภัทรนันท์ แอสเซท จำกัด กล่าวว่า ด้วยพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงสู่สังคมคนรุ่นใหม่ บริษัทฯ จึงปรับกลยุทธ์ธุรกิจและขยายกลุ่มตลาดสู่กลุ่มผู้บริโภคคนรุ่นใหม่วัย Millennial โดยเปิดขายโครงการไฮป์ (HYPE) สาทร-ธนบุรี คอนโดมิเนียมขนาด 8 ชั้น มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ถือเป็นคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตคนรุ่นใหม่ ที่มีความกระฉับกระเฉงรวดเร็ว เพราะใกล้รถไฟฟ้าสถานีกรุงธนบุรี เพียง 600 เมตร ทั้งยังใกล้รถไฟฟ้าสายสีทองและ ดิ ไอคอนสยาม ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ เจริญนคร ให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น (HYPE) สาทร-ธนบุรี มาพร้อมแนวคิด ‘Urban Playground’ เปลี่ยนทุกวันธรรมดา (Basic Day) ให้เป็นวันแห่งความสนุก (Play Day) เพราะชีวิตมีหลากหลายด้าน “บ้าน” จึงเป็นที่ผ่อนคลายในแบบของผู้อยู่ ตัวถูกออกแบบอย่างโดดเด่น ด้วยแนวคิด “GO WITH THE FLOW” แรงบันดาลใจการออกแบบจากความโปร่ง โล่ง สบาย ให้ความรู้สึกเหมือนบ้าน ขยายทางเดิน (Corridor) ในอาคารให้กว้างสูงสุดถึง 5 เมตร เพื่อปลูกต้นไม้ใหญ่ในทางเดิน และเปิดรับแสงแดดและลมเข้าสู่ภายในอาคารอย่างเต็มที่ ให้สัมผัสธรรมชาติได้อย่างแท้จริง   ไฮป์ (HYPE) สาทร-ธนบุรี ยังตอบสนองวิถีคนเมือง ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ภายใต้แนวคิด “PLAYHOUSE” ให้ Play Harder กับห้องออกกำลังกาย ‘H Boxing Gym’ ออกกำลังกายอย่างอิสระ ทั้งการต่อยมวยหรือการเล่นโยคะเบาๆ ห้อง ‘Fitness room’ ที่มีเครื่องเล่นมากมายพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก และ Work Hard กับ Co-Workspace ที่นั่งทำงานได้สะดวก แถมสบายใจกับการทำงานอย่างอิสระ กับพื้นที่ที่เป็นสัดส่วนและสิ่งอำนวยความสะดวก ครบครันตลอด 24 ชั่วโมง หรือจะเลือกสนุกกับ Co-Recipe หรือ Co-Kitchen Space พื้นที่ครัวส่วนกลางสำหรับโชว์ฝีมือการปรุงอาหาร นอกจากนี้ยังมี ‘H Lobby’ ที่ตอบสนองชีวิตที่ต้องการพื้นที่เล็กๆ ไว้เก็บของลับ หรือพื้นที่ส่วนกลางสำหรับเก็บของโดยไม่ต้องหิ้วของรุงรัง ‘H Swimming’ สระว่ายน้ำส่วนกลางขนาดใหญ่ และ ‘H Garden’ พื้นที่สวนพักผ่อน สำหรับรูปแบบโครงการ ไฮป์ (HYPE) สาทร-ธนบุรี คอนโดมิเนียมขนาด 8 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 7 ไร่ มีจำนวน 5 อาคาร ชั้นล่างเป็นที่จอดรถ รวมจำนวน 914 ยูนิต แบ่งเป็นอาคาร A จำนวน 158 ยูนิต อาคาร B จำนวน 161 ยูนิต อาคาร C จำนวน 160 ยูนิต อาคาร D จำนวน 224 ยูนิต และอาคาร E จำนวน 211 ยูนิต และมีขนาดห้องเริ่มต้น ห้อง Studio พื้นที่ 25.2 ตารางเมตร ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ 29-43 ตารางเมตร และขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ 45-51.36 ตารางเมตร เตรียมเปิดจองระหว่างวันที่ 1-2 กันยายน 2561 ในราคาเริ่มต้น เพียง 1.79 ล้านบาท ลงทะเบียนออนไลน์ เพื่อรับชุดเฟอร์นิเจอร์และส่วนลด 50,000 บาท ได้ที่ www.hype-condo.com หรือสอบถามข้อมูล โทร.065-209-8888
‘เอพี ไทยแลนด์’ ปิดฉากสวยกับแคมเปญ  ULTIMATE PRIZE ดันยอดขายรวมแคมเปญกว่า 4,100 ล้านบาท  เร่งเดินสายคืนกำไรลูกบ้าน ประเดิมแจกแล้ว “เบนซ์ป้ายแดง”

‘เอพี ไทยแลนด์’ ปิดฉากสวยกับแคมเปญ ULTIMATE PRIZE ดันยอดขายรวมแคมเปญกว่า 4,100 ล้านบาท เร่งเดินสายคืนกำไรลูกบ้าน ประเดิมแจกแล้ว “เบนซ์ป้ายแดง”

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง นำโดย นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว สร้างปรากฏการณ์การันตีความคึกคักของตลาดบ้านเดี่ยวครั้งใหญ่ กับกระแสการตอบรับและความสำเร็จของแคมเปญ ULTIMATE PRIZE สิทธิพิเศษแบบจัดหนักจัดเต็มโดนใจลูกค้าครอบครัวคนเมืองรุ่นใหม่ ที่มองหาบ้านเดี่ยวดีไซน์โมเดิร์นทำเลในเมือง โดยกวาดยอดขายจากแคมเปญทั้งสิ้นกว่า 4,100 ล้านบาท ส่งผลดันยอดขายรวม 7 เดือนแรกของกลุ่มธุรกิจแนวราบพุ่งเกินเป้าแตะ 12,175 ล้านบาท โตกว่า 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ล่าสุดเร่งเดินสายคืนกำไรลูกบ้าน ประเดิมแจกแล้วรางวัลใหญ่รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ GLA ป้ายแดง ให้กับผู้โชคดี คุณอัครฤทธิ์ จันทร์จำรัสกุล ผู้ซื้อบ้านเดี่ยวเอพี ในแคมเปญ ‘ULTIMATE PRIZE’
RML ประกาศศักดาลงทุนในสินทรัพย์ “เคพีเอ็น แลนด์” ต่อยอดธุรกิจ เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน

RML ประกาศศักดาลงทุนในสินทรัพย์ “เคพีเอ็น แลนด์” ต่อยอดธุรกิจ เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน

RML ประกาศศักดาลงทุนในสินทรัพย์ “เคพีเอ็น แลนด์” โครงการ S19 และโครงการ S28 มูลค่า 7,700 ล้านบาท แล้วเสร็จในปี 2566 นอกจากนี้ยังได้เข้าครอบครองยูนิตที่เหลือของโครงการ Diplomat 39 และ Diplomat สาทร ซึ่งพร้อมโอน และจะก่อให้เกิดรายได้เข้ามาในปีนี้“เอเดรียน ลี” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “ไรมอน แลนด์” มั่นใจช่วยต่อยอดธุรกิจ เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ขยายฐานลูกค้า หนุนผลกำไรที่งดงามให้กับบริษัทได้ในอนาคต นายเอเดรียน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML บริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่าคณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติให้บริษัทฯ เข้าลงทุนในทรัพย์สินของบริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จำกัด (KPNL) ประกอบด้วย โครงการ S19 ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เนื้อที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 1 ไร่ 0 งาน 8 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ถนนสุขุมวิท ซอย19 และ โครงการ S28 ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา เนื้อที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 2 ไร่ 0 งาน 16.4 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ ถนนสุขุมวิท ซอย 28 ซึ่งทางบริษัทคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้เชิงพาณิชย์ได้ในปี 2566 นอกจากนี้ทางคณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้อนุมัติในการเข้าซื้อยูนิตที่เป็นยอดขายรอโอนและยูนิตที่ยังเหลืออยู่จากโครงการ Diplomat 39 และ Diplomat สาทร ตีเป็นมูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ส่วนใหญ๋ในปี 2561 “เมื่อได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว ทาง KPNL จะส่งตัวแทนของบริษัทฯ จำนวน 2 ท่าน เข้ามาเป็นกรรมการในไรมอน แลนด์ ซึ่งตัวแทนของ KPNL ดังกล่าวจะไม่ใช่ผู้มีอำนาจควบคุมการดำเนินงาน โดยผู้บริหารชุดปัจจุบันของไรมอน แลนด์ ยังคงบริหารงานและควบคุมการดำเนินงานเฉกเช่นเดิม แต่เพื่อการเติมเต็มการดำเนินงานซึ่งกันและกันเท่านั้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ทั้ง 2 บริษัทเดินไปข้างหน้า พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพดีๆ ให้กับผู้บริโภค สร้างผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่องให้กับบริษัทฯ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนที่ดี” นายเอเดรียน กล่าว ทั้งนี้การมีพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่นี้จะเป็นการต่อยอดธุรกิจของบริษัทฯ และช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจในการขยายตลาดคอนโดมิเนียมระดับบน อาทิเช่นกลุ่มลูกค้า ซึ่งกว่า 50% ของฐานลูกค้า ไรมอน แลนด์ เป็นชาวต่างชาติ ในขณะที่ KPNL มีฐานลูกค้ากว่า 90% เป็นคนไทย ทำให้เรามีฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งเป็นการเพิ่มโอกาสเข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น การออกหุ้นเพิ่มทุนให้กับ KPNL ในครั้งนี้ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงโดยไม่นับส่วนของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงต้องได้รับอนุมัติจาก กลต. ด้วยเช่นกัน
“พฤกษาวิลล์ รามคำแหง-วงแหวนฯ” (มิสทีน) ทาวน์โฮมหรู สไตล์ยุโรป  จัดเต็ม Clubhouse ครบวงจร บนทำเลศักยภาพกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้า เริ่ม 1.99 ลบ.

“พฤกษาวิลล์ รามคำแหง-วงแหวนฯ” (มิสทีน) ทาวน์โฮมหรู สไตล์ยุโรป จัดเต็ม Clubhouse ครบวงจร บนทำเลศักยภาพกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้า เริ่ม 1.99 ลบ.

พฤกษา เปิด โปรเจคไฮไลท์ “พฤกษาวิลล์ รามคำแหง-วงแหวนฯ” (มิสทีน) ทาวน์โฮมหรู สไตล์ยุโรป จัดเต็มอินโนเวชั่น พร้อม Clubhouse ครบวงจร บนสุดยอดทำเลทองย่านรามคำแหง ใกล้รถไฟฟ้าสีส้ม ทางด่วน มอเตอร์เวย์ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท เปิดพรีเซล 25-56 ส.ค. นี้     นายธีรเดช เกิดสำอางค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ย่านรามคำแหง นับว่าเป็นย่านหนึ่งที่มีจำนวนประชากรอาศัยอยู่มาก และมีการขยายตัวต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นแหล่งงาน แหล่งการศึกษา โดยเฉพาะย่านรามคำแหงตอนปลาย ในทำเลตามแนวถนนราษฎร์พัฒนา หรือ “ซอยมิสทีน” เป็นทำเลที่สามารถเชื่อมต่อกับเส้นทางอื่นๆ ได้สะดวก สามารถเชื่อมต่อโดยตรงกับถนนรามคำแหง ถนนพระราม 9 ถนนวงแหวนกาญจนาภิเษกฝั่งตะวันออก ที่สามารถเดินทางสู่ย่านใจกลางเมือง และฝั่งตะวันออกได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งในอนาคตเมื่อเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มเปิดให้บริการ จะมีสถานีราษฎร์พัฒนามาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางให้กับคนในระแวกนี้อีกด้วย พฤกษา เล็งเห็นถึงศักยภาพทำเล และการเติบโตของที่อยู่อาศัยที่จะเกิดขึ้นในย่านดังกล่าว จึงพัฒนาโครงการ “พฤกษาวิลล์ รามคำแหง-วงแหวนฯ” (มิสทีน) ทาวน์โฮม และบ้านแฝด 2 ชั้น มูลค่าโครงการ 1,642 ล้านบาท จำนวน 482 ยูนิต ภายใต้คอนเซ็ปต์ European Classic รูปแบบสถาปัตยกรรมที่ดูอบอุ่น หรูหรายิ่งใหญ่ มีเอกลักษณ์เฉพาะ ผสานเข้ากับดีไซน์ในยุคปัจจุบันอย่างลงตัว บนพื้นที่ 18 ตร.วาขึ้นไป พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 98-140 ตร.ม. มีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ ดีไซน์ฟังก์ชันพื้นที่ใช้สอยได้กว้างขวาง โปร่งสบาย รองรับได้ถึง 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 1-2 คัน จัดแบ่งพื้นที่ใช้สอย อย่างเป็นสัดส่วน ทั้ง Master Kitchen และ Home Entertainment และห้องชั้นล่าง สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องอเนกประสงค์ได้ตามไลฟ์สไตล์   โครงการ “พฤกษาวิลล์ รามคำแหง-วงแหวนฯ” (มิสทีน) ใส่ใจทุกรายละเอียดการออกแบบ ช่วยประหยัดพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น หลังคา Sky Light ช่วยให้บ้านไม่มืดทึบ ให้ผู้อยู่อาศัยภายในบ้านรู้สึกมีชีวิตชีวาจากแสงธรรมชาติมากขึ้น นวัตกรรมบ้านหายใจได้ หรือ ออกแบบระบบไหลเวียนอากาศภายในบ้าน โดยใช้แนวคิดการดึงอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้าสู่ตัวบ้าน ทำให้อากาศภายในบ้านถ่ายเทได้ดีขึ้น ส่งผลให้ความร้อนในตัวบ้านลดลง หรือการนำระบบ Home Automation ที่สามารถควบคุมและสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่าน Smart Phone ตลอดจนการใช้เสาเข็มมาตรฐาน มอก. พร้อมเสริมความแข็งแรงของพื้นที่หลังบ้านด้วยเสาเข็มขนาดยาวลึกเท่าตัวบ้าน เพื่อรองรับการใช้งานเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ของลูกค้า” โครงการจัดเต็มสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน เต็มอิ่มกับวันพักผ่อนด้วย Clubhouse หรู สไตล์ยุโรเปียนคลาสิค ครบวงจร ขนาดใหญ่ ใส่ใจสุขภาพผู้สูงอายุ สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ ฟิตเนส Bike Lane พร้อมห้องรับรองกับพื้นที่มุมพักผ่อน ใกล้ชิดธรรมชาติด้วย Strip Park และสวนส่วนกลางพื้นที่สีเขียว ร่มรื่น ที่ช่วยเพิ่มออกซิเจนได้อย่างเต็มที่ พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง สะดวกสบายในการเดินทางด้วย รถไฟฟ้าสายสีส้ม และทางด่วนมอเตอร์เวย์ ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการ ไม่ว่าจะเป็น โรงพยาบาล สถานศึกษา และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท สำหรับทาวน์โฮม และ เริ่ม 4.69 ล้านบาท สำหรับบ้านแฝดโซน Clubhouse เปิดพรีเซล 25-26 ส.ค. นี้ ลงทะเบียนจองออนไลน์ รับส่วนลดทันที 10,000 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 1739  
ทาวน์โฮม เดอะคิวบ์ ทาวน์ ลำลูกกา เปิดโซนใหม่เริ่มเพียง 1.89 ล้านบาท*

ทาวน์โฮม เดอะคิวบ์ ทาวน์ ลำลูกกา เปิดโซนใหม่เริ่มเพียง 1.89 ล้านบาท*

เดอะคิวบ์ ทาวน์ ลำลูกกา (The Cube Town Lamlukka) โครงการทาวน์โฮมพรีเมียม 2 ชั้น ลำลูกกา คลอง 3 (ซอยเปียร์นนท์) พัฒนาและบริหารงานโดย บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดโซนใหม่พร้อมข้อเสนอพิเศษ ราคาเริ่มเพียง 1.89 ล้านบาท ฟรี! ค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์ (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) ทาวน์โฮมหน้ากว้างตั้งแต่ 4 - 5.70 เมตร และมีพื้นที่ใช้สอยรวม 100-130 ตร.ม./หลัง ดีไซน์สวยทันสมัย ใช้วัสดุคุณภาพดี เหมาะสำหรับครอบครัวใหม่แบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และครอบครัวที่อยู่ร่วมกันทุกวัย แบบ 4 ห้องนอน มีที่จอดรถในบริเวณบ้านทุกหลัง หน้าบ้านทุกหลังรับวิวมุมกว้าง (ไม่มีบ้านบังวิว) และติดถนนเมนของโครงการที่กว้างถึง 12 เมตร ให้ความเป็นส่วนตัวทุกแปรง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางภายในโครงการ อาทิ เลนปั่นจักรยาน (Bike Zone) และลู่วิ่งออกกำลังกาย (Outdoor Jogging Track) ห้องฟิตเนต สวนหย่อมบรรยากาศร่มรื่น สนามเด็กเล่น ระบบรักษาความปลอดภัยและกล้องวงจรปิด CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง ชุมชนโดยรอบมีความเจริญ ปลอดภัย บรรยากาศน่าอยู่ เดินทางสะดวกในอนาคตใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีคูคต (สร้างเสร็จปี 2563) เข้า/ออกโครงการได้หลายเส้นทาง อาทิ ถนนลำลูกกา ถนนเชื่อมต่อคลองลำลูกกาและถนนรังสิต-นครนายก ถนนลำลูกกาเชื่อมต่อถนนพหลโยธินและวิภาวดีรังสิต และถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนฝั่งตะวันออก) ใกล้แหล่งงาน หน่วยงานราชการ สถาบันการศึกษา โรงพยาบาล สนามบินดอนเมือง วัดสายไหม และห้างสรรพสินค้า ชมทาวน์โฮมจริงและห้องตัวอย่างได้ทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุด) เว็บไซต์ www.thecube -condo.com และติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ได้ทางเฟสบุ๊คแฟนเพจ www.facebook.com/TheCubeCondominium และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ของโครงการฯ สอบถามเพิ่มเติมโทร. 1246
Knightsbridge Phaholyothin Interchange บนทำเลที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดของกรุงเทพฯ โซนเหนือ

Knightsbridge Phaholyothin Interchange บนทำเลที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดของกรุงเทพฯ โซนเหนือ

หากพูดถึงย่านเศรษฐกิจในบ้านเราที่มีความเจริญรุดหน้าด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่ดี ขณะเดียวกันก็เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ก็คงจะหนีไม่พ้น CBD เดิมอย่างสีลม-สาทร และ New CBD ที่พระราม 9 แต่นับจากนี้ต่อไปในอนาคตอีกเพียง 4-5 ปี เริ่มมีหลายคนพูดถึงกันแล้ว นั่นคือบริเวณกรุงเทพฯ โซนเหนืออย่างบางซื่อ-พหลโยธินช่วงห้าแยกลาดพร้าวไปจนถึงช่วงสะพานใหม่ ซึ่งทุกวันนี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนเป็นที่น่าจับตามองว่าจะกลายเป็น New CBD ต่อไปถัดจากพระราม 9     ถนนพหลโยธิน (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1) เป็นถนนสายสำคัญสายหนึ่งในประเทศไทยก็ว่าได้ เพราะมีจุดเริ่มต้นจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เป็นกม. ที่ 0 ยาวขึ้นไปทางภาคเหนือจรดด่านชายแดนไทย-พม่าที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย รวมระยะทางแล้วก็เกือบ 1,000 กิโลเมตร โดยความน่าสนใจจะเริ่มตั้งแต่จตุจักร ตรงไปผ่านห้าแยกลาดพร้าว แยกรัชโยธิน แยกเกษตร วงเวียนหลักสี่ สะพานใหม่ไปจนบรรจบกับถนนวิภาวดีรังสิต ด้วยความเติบโตของเมืองอย่างไม่หยุดยั้ง โดยเฉพาะช่วงห้าแยกลาดพร้าวเป็นต้นไปนั้น กลายเป็นทำเลทองแห่งหนึ่งที่มีราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเกือบ 100% แถมที่ดินติดริมถนนใหญ่ยังค่อนข้างหาได้ยากขึ้น เพราะหลายจุดจะเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นช่วงถนนที่สามารถเชื่อมต่อไปยังถนน และสถานที่สำคัญได้มากมาย   เรามาเริ่มดูจากถนนพหลโยธินช่วงห้าแยกลาดพร้าว เพราะถือเป็นด่านสำคัญที่เปรียบเสมือนเป็นสัญญาณว่านี่คือจุดเริ่มต้นของความเป็นเมืองอย่างกรุงเทพฯ ซึ่งมีถนนหลายสายตัดกันทั้งวิภาวดีรังสิต ถนนสายสำคัญที่เชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯ ออกปริมณฑลสู่ต่างจังหวัดทางภาคเหนือ-ตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีทางพิเศษอุตราภิมุข (โทลเวย์) พาดผ่านตลอดทั้งสาย ถนนลาดพร้าว แหล่งที่อยู่อาศัยสำคัญสายหนึ่งของกรุงเทพฯ ซึ่งกำลังจะมีรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเกิดขึ้น และถนนพหลโยธิน ถัดมาที่แยกรัชโยธินตัดกับถนนรัชดาภิเษก เป็นถนนที่เชื่อมต่อกับถนนสายอื่นๆ จนคล้ายวงกลมระหว่างกรุงเทพฯ กับฝั่งธนบุรี ซึ่งแต่ละช่วงของวงกลมนี้ต่างก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ส่วนแยกเกษตรจะตัดกับถนนประเสริฐมนูกิจและถนนงามวงศ์วาน ก็เป็นแหล่งไลฟ์สไตล์ของเหล่านักศึกษา แน่นอนว่าจะตามมาด้วยอาหารอร่อยๆ ราคาไม่แพงอยู่มากมาย สุดท้ายที่ช่วงวงเวียนหลักสี่ไปจนบรรจบกับถนนวิภาวดีรังสิต มีทั้งถนนแจ้งวัฒนะ ถนนรามอินทราตัดผ่าน และยังเป็นจุดที่ใกล้กับสนามบินดอนเมืองมากที่สุดของถนนเส้นนี้ ทำให้ตามกฏหมายแล้วจะมีอาคารสูงได้ไม่เกิน 45 เมตร ซึ่งการเดินทางจากช่วงนี้ไปสนามบินดอนเมืองหากใช้แยกคปอ. เข้าสู่ถนนธูปะเตมีย์ จะใช้เวลาไม่เกิน 20 นาที     ด้านระบบขนส่งสาธารณะอันสะดวกสบาย ใช้เวลาในการเดินทางน้อยที่สุด คงจะหนีไม่พ้นรถไฟฟ้าที่ใครหลายคนรอคอยให้มาถึงใกล้กับที่อยู่อาศัยของตัวเอง เพื่อเป็นทางเลือกการเดินทางได้ง่ายที่สุด ซึ่งสิ่งสำคัญสำหรับการมาของรถไฟฟ้าคือการนำพาความเติบโตของเมืองมาด้วย เพราะเมื่อการเดินสะดวกแล้วก็จะนำพาคนให้เข้าถึงได้ง่าย จึงเกิดสิ่งอำนวยความสะดวกตามมาด้วยไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ไฮเปอร์มาร์เกต ร้านขายสินค้า-บริการต่างๆ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการดำรงชีวิตประวัน รวมถึงที่อยู่อาศัยใหม่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสถานีรถไฟฟ้าที่เป็นจุด Interchange ก็จะยิ่งเป็นตัวเลือกในการเดินทางได้หลากหลายยิ่งขึ้น   รถไฟฟ้าที่กำลังเกิดขึ้นในเส้นทางนี้ หลักๆ ก็คือสถานีกลางบางซื่อ (คาดว่าเริ่มเปิดให้บริการปี 2567 และเสร็จสมบูรณ์ปี 2577) ศูนย์กลางโลจิสติกส์ครบวงจรบนพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ ซึ่งจะมีรถไฟฟ้า, รถไฟความเร็วสูงหลายสายมาอยู่เป็นจุดเริ่มต้นสายที่นี่ รวมถึงเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ ศูนย์การค้า แหล่งบันเทิงต่างๆ ศูนย์กีฬาขนาดใหญ่ ศูนย์ประชุมนานาชาติ ศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟความเร็วสูง แหล่งสำนักงาน ฯลฯ และอีกสายหนึ่งที่ก็มีความสำคัญเช่นกัน คือรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต (คาดว่าเปิดให้บริการปี 2563) โดยเป็นการเชื่อมต่อมาจากสายสีเขียว สถานีหมอชิตในปัจจุบัน ซึ่งสายสีเขียวส่วนต่อขยายนี้จะมีเส้นทางผ่านห้าแยกลาดพร้าวตรงยาวไปผ่านแยกรัชโยธิน แยกเกษตร วงเวียนหลักสี่จนถึงสะพานใหม่ แล้วเบี่ยงขวาเข้าสู่ถนนลำลูกกาช่วงต้น สำหรับสถานีที่เป็นจุด Interchange ในเส้นทางส่วนต่อขยายนี้ก็จะมีตั้งแต่สถานีห้าแยกลาดพร้าวกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีพหลโยธินในปัจจุบัน แยกรัชโยธินกับรถไฟฟ้าสายสีเหลืองส่วนต่อขยาย สถานีพหลโยธิน 24 แยกเกษตรกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล แคราย-ลำสาลี (คาดว่าเปิดให้บริการปี 2567) และวงเวียนหลักสี่ กับสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี (คาดว่าเปิดให้บริการปี 2564)         ในบรรดาจุด Interchange ของรถไฟฟ้าสายนี้ที่กล่าวกันไปแล้ว จุดที่น่าสนใจมากที่สุดเห็นจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกเสียจากบริเวณวงเวียนหลักสี่ ซึ่งเป็น Interchange ระหว่างสายสีเขียว สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ กับสายสีชมพู สถานีวงเวียนหลักสี่ เพราะทั้ง 2 สายจะวิ่งผ่านสถานที่สำคัญหลากหลาย โดยสายสีชมพูจะวิ่งผ่านถนนรามอินทราที่เป็นแหล่งชุมชนเดิม รวมถึงหมู่บ้านแนวราบเสียส่วนใหญ่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ อย่างเซ็นทรัลรามอินทรา แฟชั่นไอซ์แลนด์ รวมถึงคอมมูนิตี้อยู่ 2-3 แห่ง เชื่อมต่อไปยังถนนแจ้งวัฒนะที่เป็นแหล่งออฟฟิศของทั้งเอกชน รัฐวิสาหกิจ และราชการอยู่หลายแห่งเกือบตลอดเส้นทาง ไปจนถึงปากเกร็ดแหล่งชุมชนดั่งเดิมและของกินอร่อยๆ มากมาย และยังมีจุด Interchange กับรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม บางซื่อ-รังสิต (คาดว่าเปิดให้บริการปี 2563) บริเวณไอทีสแควร์ ที่จะวิ่งตรงเข้าสู่สถานีกลางบางซื่อ HUB แห่งการเดินทางระดับอาเซียน ส่วนสายสีเขียวหากเรามองจุดสำคัญตลอดสองข้างทางของรถไฟฟ้าเส้นนี้ตั้งแต่สยาม-หมอชิต เข้าสู่ส่วนต่อขยายตั้งแต่ห้าแยกลาดพร้าว ซึ่งเมื่อไล่เรียงสิ่งอำนวยความสะดวกรวมทั้งสถานที่สำคัญ เช่น เซ็นทรัลลาดพร้าว ยูเนี่ยนมอลล์ เมเจอร์รัชโยธิน ตลาดบางเขน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม ตลาดยิ่งเจริญ โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช และสถานที่ราชการหลายแห่ง เป็นต้น ไปจนถึงถนนลำลูกกา สถานีคูคต ก็จะเห็นได้ชัดว่าเป็นสายสำคัญมากสายหนึ่งในบ้านเรา ซึ่งทุกวันนี้ทั้งสายสีเขียวส่วนต่อขยาย กับสายสีชมพูกำลังดำเนินการก่อสร้างกันอยู่ เป็นรถไฟฟ้าในอนาคตที่ไม่ได้มีเพียงแค่ความคาดหวังจะให้เกิดขึ้นเท่านั้น แต่เป็นสายที่จะเกิดขึ้นจริงแน่นอนในอนาคตอันใกล้เข้ามาทุกขณะ   ปัจจัยหลายสิ่งหลายอย่างตามที่เล่ามาทั้งหมดนี้ประกอบกันจนส่งให้ทำเลนี้เป็นที่หมายปองของการอยู่อาศัยสำหรับใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาในสถาบันใกล้เคียง คนทำงานย่านรามอินทรา-แจ้งวัฒนะ ใช้รถไฟฟ้าสายสีชมพูแคราย-มีนบุรี ได้อย่างสะดวก หรือกลุ่มคนทำงานในเมืองที่ขยับออกมาจากคอนโดมิเนียมในตัวเมืองที่มีราคาสูง แต่การเดินทางยังคงสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายหมอชิต–สะพานใหม่–คูคต แม้กระทั่งคนที่อยู่อาศัยในย่านเดิมแล้วต้องการขยับขยาย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากความคุ้นเคยเดิม       Knightsbridge Phaholyothin Interchange   คอนโดมิเนียม High Rise 15 ชั้น 726 ยูนิต 1 อาคาร ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ทาวเวอร์  ลิฟท์ 6 ตัว แยกลิฟท์เซอร์วิช 2 ตัว ที่จอดรถ 40% มาแบบ Fully Furnished เฟอร์นิเจอร์ครบพร้อมเข้าอยู่ บนเนื้อที่ทั้งหมดกว่า 5 ไร่ ตัวโครงการ Knightsbridge Phaholyothin Interchange ตั้งอยู่บนถนนพหลโยธินขาออก ก่อนถึงซอยพหลโยธิน 57 เยื้องกับเทสโก้โลตัส สาขาหลักสี่ประมาณ 100 เมตร ซึ่งจะอยู่ห่างจากจุด Interchange ของรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ กับสายสีชมพู สถานีวงเวียนหลักสี่ โดยไม่ต้องข้ามถนนก็สามารถเดินได้เพียง 250 เมตร อยู่ในระยะที่เดินได้สบายๆ ซึ่งมาในราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท     Floor Plan  โครงการจะมีลักษณะคล้ายรูปตัว C กับตัว I เชื่อมต่อกันเป็นอาคารเดียวกัน แต่จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ทาวเวอร์  คือ ทาวเวอร์ A ด้านหน้าโครงการ และทาวเวอร์ B ล้อมรอบส่วนกลาง     ชั้น 3 จะเป็นชั้นเริ่มต้นของยูนิตพักอาศัย   ชั้น 4-5 เป็นศูนย์กลางของ Facility กลางโครงการ ซึ่งมีการวางอาคารให้ตรงส่วนกลางนี้สามารถรับลมธรรมชาติเข้ามาได้อย่างทั่วถึง     Unit Plan   ความพิเศษอย่างหนึ่งตรงที่แบบห้องมีให้เลือกมากมายถึง 20 แบบ ขนาดห้องมีตั้งแต่ 1 Bedroom 23.3 ไปจนถึง Duplex 51.20 ตร.ม. แต่ละขนาดก็จะมีมาให้เลือกต่างกัน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย เช่น   ยูนิตขนาดเริ่มต้นของโครงการ 23.30 ตร.ม. มีให้เลือก 2 แบบ ทั้งแบบแนวลึก Living Room กับ Bedroom อยู่ในโซนเดียวกัน และแบบ Duplex ยก Bedroom ขึ้นไปไว้ที่ชั้นลอย เพิ่มความเป็นส่วนตัวยิ่งขึ้น       เป็น Type ที่แยกทุกห้องออกจากกันอย่างเป็นสัดส่วน โดยมีพื้นที่กลางห้องมากขึ้น ซึ่งจะมีการ Built in โต๊ะทำงานเพิ่มมาให้ตามไปด้วย     ยูนิตที่มี 1 Bedroom อยู่ชั้นบน แต่เพิ่มห้องอเนกประสงค์มาให้อีก 1 ห้อง ที่ชั้นล่างเชื่อมต่อกับระเบียง ซึ่งเราสามารถดัดแปลงห้องได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงาน ห้องชมภาพยนตร์ หรือแม้แต่ห้องนอนอีกห้องก็ยังได้     ยูนิตแบบ Penthouse 2 Bedroom ขนาด 48.90 ตร.ม. ก็มีมาให้เลือกทั้ง 2 แบบ คือ แบบชั้นเดียว กับ Duplex     ยูนิตขนาดใหญ่ที่สุดของโครงการ 51.20 ตร.ม. ที่จัดมาให้ถึง 3 ห้องนอน แบ่งเป็นชั้นล่าง 2  ห้องนอน และชั้นบนอีก 1 ห้องนอน แต่ละห้องนอนก็จะมีความพิเศษแตกต่างกันอย่างห้องนอนแรก จะมีระเบียงส่วนตัว ห้องนอนที่ 2 มีห้องน้ำในตัว และห้องนอนชั้นบนจะกั้น Walk In Closet    บรรยากาศภายในห้อง   Living Room โปร่งด้วยกระจกใสที่สามารถมองทะลุผ่านห้องนอนออกไปด้านนอก และยังช่วยเพิ่งแสงสว่างทำให้ห้องดูไม่อึดอัด   Space แนวลึก ได้พื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน   ห้องนอนส่วนตัว พร้อม Built in ตู้เสื้อผ้า   มุมโต๊ะเครื่องแป้ง หรือโต๊ะทำงาน Built in มาให้พร้อมใช้งาน   ห้องน้ำได้สุขภัณฑ์ทุกอย่างมาครบเซตตามที่เห็นพร้อมฉากกั้นกระจก   ห้องครัวปิดแยกออกเป็นสัดส่วน และยังเชื่อมต่อกับระเบียงห้อง ทำให้มีการระบายอากาศ และความชื้นภายในครัวได้ดี     Facility รวมพื้นที่แล้ว 3,700 ตร.ม. เริ่มตั้งแต่หน้าโครงการเข้าไปที่ชั้น G ภายในอาคาร สิ่งอำนวยความสะดวกหลักชั้น 4-5 และ Rooftop ที่เราจะได้เห็นมุมมองเส้นขอบฟ้าของกรุงเทพฯ โซนเหนืออย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สำหรับโครงการนี้รวมแล้วจะแบ่งโซน Facility เอาไว้มากถึง 30 โซน เช่น Grand Lobby, Co-working space, Business room, Swimming pool, Curve Jacuzzi, Sunken lounge, Coin operate vending machine, Yoga room, Fit club, The Excited Sky bridge, Sky lounge, Sky sunset party, Sky BBQ area ฯลฯ         เปิดมุมมอง Sky Bridge เห็นสนามบินดอนเมืองโดยไร้อาคารสูงบดบัง ทำให้ Knightsbridge Phaholyothin Interchange สามารถสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ บนทำเลที่หาได้ยากเต็มที ด้วยระยะ 250 เมตรถึงสถานีรถไฟฟ้าที่เป็น Interchange ระหว่างสายสีเขียวกับสายสีชมพู แต่ราคาเริ่มต้นเพียง  2.49 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าคอนโดมิเนียมจะแล้วเสร็จปี 2563 พร้อมๆ กับรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายจะเปิดให้ใช้บริการพอดี   คลิกลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดพิเศษ >>> https://bit.ly/2v2rFH3 เบอร์โทรศัพท์ติดต่อ 061-401-7000
มั่นคงเคหะการ โชว์ฟอร์มครึ่งปีแรก 61 กวาดรายได้รวมกว่า 2,600 ลบ.

มั่นคงเคหะการ โชว์ฟอร์มครึ่งปีแรก 61 กวาดรายได้รวมกว่า 2,600 ลบ.

  นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยถึงผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2561 ว่า ตลอด 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอย่างมากโดยสามารถสร้างรายได้รวม 2,646.86 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 90 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นผลจากรายได้ในส่วนธุรกิจการขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 1,221.42 ล้านบาท ตลอดจนการปรับแผนโครงสร้างรายได้ในช่วง 2-3 ปี ด้วยการเพิ่มการลงทุนในธุรกิจให้เช่าและบริการ โดยเริ่มทยอยรับรู้รายได้จากธุรกิจให้เช่าและบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้สูงถึง 119.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30.18% และมีกำไรสุทธิของทุกกลุ่มบริษัทกว่า 170.92 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นถึง 237.54% นับเป็นบทสะท้อนความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์ที่วางไว้ได้เป็นอย่างดี และมีแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มขึ้นในอนาคตอีกด้วย   ทั้งนี้ ผลประกอบการในไตรมาส 2 ของปี 2561 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการรวม 1,331.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 656.88 ล้านบาท หรือคิดเป็น 97.35% จากรายได้ของบริษัทฯและบริษัทย่อย ประกอบด้วย ธุรกิจการขายอสังหาริมทรัพย์ 1,235.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากโครงการแนวราบจำนวน 673.29 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 33.2% จากภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น รวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่ของบริษัทฯ ซึ่งมีความโดดเด่นด้านทำเลที่มีศักยภาพ การพัฒนาการออกแบบบ้านและโครงการ ทั้งรูปแบบ การเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวก แต่ยังคงรักษาระดับราคาให้เหมาะสมกับกำลังซื้อของผู้บริโภค   ในส่วนของรายได้จากธุรกิจให้เช่าและบริการของบริษัทฯ ในไตรมาส 2 นั้น นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กล่าวเสริมว่า “บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจดังกล่าว 62.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.95 ล้านบาท หรือคิดเป็น 26.34% ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากการให้เช่าและบริการพื้นที่คลังสินค้าและโรงงาน ในโครงการบางกอกฟรีเทดโซน ของบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด บริษัทย่อยในเครือ โดยมีการพัฒนาพื้นที่ให้เช่าเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาพื้นที่ปล่อยเช่ารวม 115,000 ตร.ม. และอยู่ในระหว่างดำเนินการพัฒนาเพิ่ม อีกกว่า 39,000 ตร.ม.ในปีนี้ นอกจากนี้ ยังรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นจากค่าเช่าและบริการในโครงการพาร์ค คอร์ท อพาร์ทเมนต์และคอนโดมิเนียมใจกลางสุขุมวิท ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจให้เช่าและบริการ (Recurring Income) เพิ่มขึ้น   สำหรับธุรกิจการบริการสนามกอล์ฟ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ ที่ได้ทำการปรับโฉมและปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพื่อยกระดับมาตรฐานการให้บริการ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้ 26.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 18.48 ล้านบาท หรือคิดเป็น 41.80% รวมถึงธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ในเครือที่สามารถสร้างรายได้รวม 7.51 ล้านบาทในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา   “ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าตามแผนธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทั้งเพื่อขาย เพื่อเช่า และเพื่อการบริการ ล่าสุดบริษัทฯมีแผนส่งโครงการที่อยู่อาศัยบนทำเลศักยภาพอีก 1 โครงการ ได้แก่ โครงการ ‘ชวนชื่น ทาวน์ ราชพฤกษ์-345’ พรีเมียม ทาวน์โฮม ตัวใหม่ล่าสุด ที่จะเปิดพรีเซลในวันที่ 25 - 26 สิงหาคมนี้ ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องด้วยตัวโครงการตั้งอยู่บนทำเลใกล้ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล เวสต์เกต, ทางด่วนศรีรัช และรถไฟฟ้า พร้อมรองรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคปัจจุบัน ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.39 ล้านบาท’’ นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ กล่าวสรุป
‘สุขเต็มบ้าน แถมเต็มหลัง’ ในงาน ‘Home Buyers’ Expo 2018’  พบกันที่บูธลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ระหว่างวันที่ 16-19 สิงหาคมศกนี้

‘สุขเต็มบ้าน แถมเต็มหลัง’ ในงาน ‘Home Buyers’ Expo 2018’ พบกันที่บูธลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ระหว่างวันที่ 16-19 สิงหาคมศกนี้

บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” ยกขบวนโครงการพร้อมอยู่คุณภาพ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแนวคิดใหม่ ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม บนใจกลางทำเลยุทธศาสตร์ ทั่วทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด อาทิ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และนครราชสีมา รวมกว่า 40 โครงการ เข้าร่วมแคมเปญ ‘สุขเต็มบ้าน แถมเต็มหลัง’ จัดขึ้นภายในงาน ‘Home Buyers’ Expo 2018’ พิเศษสุด! จองในงานรับ Samsung S9 Plus, TV Samsung 4K และเฟอร์นิเจอร์ มูลค่ารวมกว่า 200,000 บาท โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ณ บูธลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เลขที่ G 31 โซน CG ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายในงาน Home Buyers’ Expo 2018 ระหว่างวันที่ 16-19 สิงหาคม 2561 หรือโทร Call Center 1778 หรือ www.lalinproperty.comhttp://www.lalinproperty.com
SC โชว์ครึ่งปีแรกเติบโต 44 % ครึ่งปีหลังรุกเปิด 15 โครงการใหม่ กว่า 15,000 ลบ.พร้อมมุ่ง re-invent สู่การเป็น Living Solutions Provider

SC โชว์ครึ่งปีแรกเติบโต 44 % ครึ่งปีหลังรุกเปิด 15 โครงการใหม่ กว่า 15,000 ลบ.พร้อมมุ่ง re-invent สู่การเป็น Living Solutions Provider

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ สรุปผลการดำเนินงานที่ดีที่ผ่านมาว่า “ ในช่วงครึ่งปีแรก SC เติบโตทั้งรายได้และกำไรสุทธิ สรุปดังนี้ 1. มีรายได้รวม 6,652 ล้านบาท เติบโต 44% (yoy) โดยรายได้หลักมาจากโครงการเพื่อขาย 6,223 ล้านบาท คิดเป็น 94% ของรายได้รวม ประกอบด้วย 1.1 รายได้จากการขายแนวราบ 4,522 ล้านบาท เติบโต 49% (yoy) ทั้งนี้เมื่อเทียบกับกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา การเติบโตของแนวราบมีความโดดเด่นใน 3 กลุ่ม ได้แก่ • บ้านหรูราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป เติบโต 67% • บ้านราคา 8-20 ล้านบาท เติบโต 512% • ขณะที่ราคาน้อยกว่า 5 ล้านบาท เติบโต 132% 1.2 และเป็นรายได้จากการขายคอนโดฯ 1,701 ล้านบาท เติบโต 49% (yoy) เช่นกัน ส่วนใหญ่มาจากการโอนโครงการ SALADAENG ONE (ศาลาแดง วัน) 1,119 ล้านบาท และที่เหลือ 582 ล้านบาท มาจากคอนโดฯ สร้างเสร็จพร้อมอยู่จากโครงการ CHAMBERS (แชมเบอร์ส), CENTRIC (เซ็นทริค) และ THE CREST (เดอะเครสท์)     2. สำหรับกำไรสุทธิ 704 ล้านบาท เติบโต 107% (yoy) ด้วย 2 สาเหตุหลัก คือ 2.1 มีรายได้เติบโตทั้งแนวราบและแนวสูง โดยเริ่มโอนคอนโดฯ SALADAENG ONE (ศาลาแดง วัน) ในไตรมาส 2     2.2 การบริหารค่าใช้จ่ายมีประสิทธิภาพดีขึ้น ทั้งด้านการตลาด ด้วยรายได้ที่เติบโต 49% แต่มีค่าใช้จ่ายการตลาดลดลง 13% โดยได้มีการทำ JBP (Joint Business Partner) กับ Google และใช้การตลาดออนไลน์สูงกว่าปีที่ผ่านมาเกือบ 100% พร้อมกับค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการแนวราบเฉลี่ยลดลง 15%     สำหรับยอดขายรวมครึ่งปีแรกเท่ากับ 7,235 ล้านบาท โดยมาจากแนวราบและแนวสูงในสัดส่วน 70% และ 30%โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมและหนี้สินรวมเท่ากับ 41,711 ล้านบาท และ 26,583 ล้านบาทตามลำดับ     ในครึ่งปีหลัง SC จะมีโครงการเปิดขายรวมทั้งสิ้น 51 โครงการ มูลค่ารวม 47,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 15 โครงการใหม่ มูลค่า 15,000 ล้านบาท และโครงการต่อเนื่อง 36 โครงการ มูลค่า 32,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดขาย รอโอนหรือ Backlog เท่ากับ 10,730 ล้านบาท โดย 45% จะรับรู้รายได้ในปี 2561 ทำให้มั่นใจว่า SC จะทำได้ตามเป้ายอดขายและรายได้ของปีนี้ที่ 17,000 ล้านบาท ”     โดยแผนเปิด 15 โครงการใหม่ แบ่งเป็น คอนโดฯ 1 โครงการ คือ แชมเบอร์ส อ่อนนุช สเตชั่น มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ราคา 3-5 ล้านบาท พร้อมกับโครงการแนวราบทุกระดับราคา จำนวน 14 โครงการ มูลค่ารวม 13,300 ล้านบาท ดังนี้ บ้านราคา 3-60 ล้านบาท จำนวน 10 โครงการ ได้แก่ 1. เดอะ เจนทริ เอกมัย-ลาดพร้าว 2. แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย 3. บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์-บางนา 4. บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม 9-2 5. บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย 6. เวนิว ติวานนท์-รังสิต 7. เวนิว เวสต์เกต 8. เวนิว พระราม 9 9. เพฟ ปิ่นเกล้า-ศาลายา 10. เพฟ มอเตอร์เวย์-ฉะเชิงเทรา ทาวน์โฮม 2 โครงการ และ โฮมออฟฟิศ 1 โครงการ ราคา 2-10 ล้านบาท ได้แก่ 11. เวิร์ฟ ติวานนท์-รังสิต 12. เวิร์ฟ พระราม 9 13. เวิร์คเพลส เพชรเกษม 81-2 พร้อมกับแบรนด์ใหม่ชื่อ “V Compound” เป็นบ้านและทาวน์โฮม ราคา 3-7 ล้านบาท 14. โครงการวี คอมพาวด์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า     ด้วยกลยุทธ์ Re-invention 2020 ที่มุ่งสู่การเป็น Living Solutions Provider มีความคืบหน้าไปแล้วตามแผน ดังนี้ 1. ร่วมพัฒนา Baan Rue Jai Application กับบริษัท ไฟร์ วัน วัน จำกัด เพื่อสร้างประสบการณ์การสื่อสารที่ใกล้ชิดระหว่าง SC และ ชาว SC Family พร้อมให้ดาวน์โหลดทั้งระบบ iOS และ Android ไตรมาส 4 นี้ โดย 2 feature สำคัญเป็นการแจ้งซ่อม และ One-on-One Conversation ที่ชาว SC Family สามารถติดต่อ SC และติดตามสถานะงานซ่อมได้ทุกที่ตลอด 24 ชม. และหลังจากนี้จะมี feature ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาทุก ๆ ไตรมาส ผ่านวิธีคิดอย่างเข้าใจและรู้ใจผู้ใช้ (human-centric) 2. มีการร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจหลากหลายใน ecosystem นำร่องโดยการจัดสรรพื้นที่จำนวน 6 ไร่ บริเวณด้านหน้าของที่ดินบางกะดี จ.ปทุมธานี ขนาด 240 ไร่ เพื่อพัฒนาพื้นที่สาธารณะให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้อยู่อาศัยและชุมชนในย่าน 3. เริ่มปรับปรุงพื้นที่กว่า 1,500 ตร.ม. บริเวณชั้น 14 ณ อาคารชินวัตร 3 สำนักงานใหญ่ เป็น co-working space เพื่อส่งเสริมการทำงาน (co-creation) ร่วมกับ Startup หรือกลุ่มพันธมิตรธุรกิจต่างๆ พร้อมเปิดใช้ไตรมาส 2/2562 4. ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ Slingshot Group ปรับวัฒนธรรมองค์กร เพื่อรองรับการเติบโตในบริบทใหม่ สำหรับทุกคนในองค์กร และ คนรุ่นใหม่ที่จะเข้าร่วมงานกับ SC ในอนาคต     นายณัฐพงศ์กล่าวสรุปว่า “ บริบทใหม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของ landscape ในการทำธุรกิจ SC จะเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน โดยเป็น Living Solutions Provider ผสานนวัตกรรมเข้ากับที่อยู่อาศัย เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบันและอนาคต เราพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ เรียนรู้พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอของมนุษย์ผู้อยู่อาศัย แต่ 2 สิ่งที่จะไม่เปลี่ยนแปลง คือ คุณภาพสูง และ ความจริงใจจาก SC ”
“อภิมหกรรมบ้าน – คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี 2018”  งานดี 4 วันรวด 16 – 19 สิงหาคมนี้ ที่ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  โอกาสที่คนเล็งบ้าน-คอนโดฯ ไม่ควรพลาด!!

“อภิมหกรรมบ้าน – คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี 2018” งานดี 4 วันรวด 16 – 19 สิงหาคมนี้ ที่ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โอกาสที่คนเล็งบ้าน-คอนโดฯ ไม่ควรพลาด!!

  สมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ร่วมกับ บริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัด จัดงาน “อภิมหกรรมบ้าน-คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี 2018” ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 16 – วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม 2561 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระดมบ้านจัดสรร-คอนโดฯ มาลดสูงสุด พร้อมด้วยสินเชื่อบ้าน สุดร้อนแรงจากธนาคารชั้นนำ พลิกโฉมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในยุคดิจิทัลด้วยระบบ “Home event” สมาร์ทโฟนเครื่องเดียวได้ครบทั้งงาน พบนวัตกรรม Home VR ให้เลือกชมบ้านตัวอย่างเสมือนจริง 360 องศา พร้อมลุ้นรับรางวัลทองคำหนัก 4 บาท เมื่อจองและทำสัญญาภายในงาน โดยได้รับเกียรติจาก คุณวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานเปิดงาน ณ เวทีกลาง โซนเอเทรียม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์   นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Mr.Kitti Patpongpibul Chairman, Housing Finance Association, Thailand) กล่าวว่า อภิมหกรรมบ้าน-คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี เป็นโอกาสดีๆ ของคนที่กำลังมองหาบ้านหรือคอนโดฯ ในทำเลที่ดี ที่มาพร้อมสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบ้านใหม่ บ้านมือสอง หรือบ้าน NPA พร้อมขายจากสถาบันการเงินชั้นนำในราคาสุดพิเศษ ซึ่งในส่วนของงาน NPA Grand Sale มี 8 สถาบัน ที่เข้าร่วม ได้แก่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (BAM), บมจ.กรุงไทย, ธนาคารออมสิน, ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), ธนาคารอาคารสงเคราะห์, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM), ธนาคารธนชาติ จำกัด (มหาชน) ที่เตรียมนำสินทรัพย์ดีบนทำเลเด่นมาให้เลือกซื้ออย่างมากมาย และที่ขาดไม่ได้คือ งาน Home Loan บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยจาก 6 สถาบันการเงินชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน), ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) จำกัด (มหาชน) ที่เตรียมข้อเสนอด้านดอกเบี้ย และโปรโมชั่นดีๆ มาให้ผู้บริโภคที่กำลังมองหาทรัพย์สินทั้งที่เพื่ออยู่อาศัย และเพื่อการลงทุนอีกด้วย “ภายในงานยังมีโซนพิเศษ Aging Society บริเวณโซนซี ชั้น 2 ซึ่งโครงการนี้ได้เดินตามแนวทางคณะทำงานประชารัฐเพื่อสังคม (E6) ซึ่งมีเป้าหมายในการขับเคลื่อนให้ผู้สูงอายุมีที่อยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อมเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีและเป็นการให้ความร่วมมือกับภาครัฐบาลในการเผยแพร่ข้อมูลและประชาสัมพันธ์โครงการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุอีกด้วย” นายบริสุทธิ์ กาสินพิลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัด ( Mr. Borisud Kasinpila Chief Executive Officer Home Buyers Guide Co., Ltd.) กล่าวเพิ่มเติมว่า “งาน Home Buyers Expo 2018 ในปีนี้ คอนเซ็ปต์การจัดงาน “พลิกโฉมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย” ด้วยสมาร์ทโฟนเครื่องเดียว ได้ครบทั้งงาน ไม่ว่าจะเป็น ลงทะเบียน เก็บโบรชัวร์ โดยในปีนี้ได้รวบรวมโครงการที่อยู่อาศัยในหลากหลายทำเล อาทิ ซีเอ็มซี กรุ๊ป, บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน), บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน), บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน), บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน), บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เป็นต้น สำหรับผู้ที่จองพร้อมทำสัญญาภายในงานยังมีสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลทองคำหนัก 1 บาททุกวัน พบกับ Digital Exhibition อัพเดทโครงข่ายรถไฟฟ้าที่กำลังจะเกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร, เทคโนโลยีดูบ้าน-คอนโดฯ เสมือนจริงผ่าน VR 360 ซึ่งทั้งหมดได้รวบรวมมาไว้ในงาน ทั้งยังมีสัมมนาดีอีกมากมายในแต่วัน อาทิ คลีนิคแก้หนี้, เลือกซื้อบ้านยังไงให้ได้อยู่ยันแก่ เป็นต้น เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้เข้าชมงานและเพื่อให้ผู้บริโภคได้ศึกษาก่อนตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยอย่างดีที่สุด ตลอดระยะเวลาของการจัดงานทั้ง 4 วัน นอกจากจะมีกิจกรรมและโปรโมชั่นมากมายแล้ว ปีนี้ยังมีโซนพิเศษ Hot Deal สำหรับเสนอขายสินค้าราคาพิเศษที่มีเฉพาะภายในงานเท่านั้น! และโซน IoT Smart Home การนำเทคโนโลยีมาพัฒนาช่วยให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้นจากกลุ่มสตาร์ทอัพ อาทิ Fixzy แอพหาช่างล้างแอร์, Somjai แอพกู้ซื้อบ้าน, Icon แอพตรวจรับบ้าน เป็นต้น ซึ่งรับรองว่ามาเดินงานนี้งานเดียวจะได้ครบทุกอย่างอย่างแน่นอน”   สำหรับโปรโมชั่น บ้าน คอนโดฯ และสินเชื่อพิเศษจากธนาคาร ที่เข้าร่วมงาน อาทิ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) พบกับ บัวหลวง ทรัพย์สินพร้อมขายทำเลดี เพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุน ทั้งในเขตกรุงเทพ-ปริมณฑล และต่างจังหวัดกว่า 120 รายการ มูลค่า 600 ล้านบาท ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮ้าส์, ห้องชุดพักอาศัย, อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่าลดราคาพิเศษ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) โปรโมชั่นต่อที่ 1 Sam Smile Home ฟรีค่าโอน 1% สำหรับลูกค้าที่ซื้อทรัพย์ตามที่ บสส. กำหนด และต่อที่ 2 Sam จัดให้รับ Gift Voucher จากร้านค้าชั้นนำ มูลค่าสูงสุด 50,000 บาท ธนาคารออมสิน จัดเต็มแคมเปญ นำทรัพย์เด่น (NPA) ลดราคาพิเศษสูงสุด 20% ทุกที่ ทุกทำเล ทั่วประเทศจำนวนกว่า 400 โครงการ มูลค่าเกือบ 450 ล้านบาท พร้อมเงื่อนไขการจองง่ายๆ พร้อมรับของ Premium พิเศษจาก บูธธนาคารออมสินเมื่อวางเงินจองซื้อทรัพย์สิน ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) พบอัตราดอกเบี้ยพิเศษจากสินเชื่อบ้านกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) - สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย, บ้านใหม่, บ้านมือสอง, ปลูกสร้างบ้าน อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 0% นาน 3 เดือน + ฟรีค่า จดจำนอง ทั้งแบบทำประกันและไม่ทำประกัน - สินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 0.99% คงที่ 1 ปี + ฟรีค่าทำประเมิน, ฟรีค่าจดจำนอง - สินเชื่อเพื่อปลูกสร้างบ้าน วงเงินกู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป รับฟรีบัตรกำนัล Home Pro มูลค่า 4,000 บาท และของสมนาคุณจากธนาคารอีกมากมาย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) โปรโมชั่นดอกเบี้ย 0% (ออกรายละเอียดใกล้ๆ ช่วงงาน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จัดโปรโมชั่นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยปีแรก 0% และหลังปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MLR-2% – จัดโปรโมชั่น NPA ลดสูงสุด 30% ตั้งแต่วันที่ 14 ส.ค. - 14 ต.ค.2561 ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดโปรโมชั่นให้คนรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/ เดือน ผ่อนดาวน์ 0% ยาว 60 เดือน บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) จอง 1 บาท* ทำสัญญา 9,999 บาท โอนภายใน 31 สิงหาคม 2561 รับแพ็กเกจทัวร์พาแม่เที่ยว (2 ที่นั่ง ประเทศฮ่องกง ท่องเที่ยวในเดือนกันยายน 2561) All Free *ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน (ฟรีค่าส่วนกลาง 10 ปี, แต่งครบพร้อมเข้าอยู่)* บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด คัดทรัพย์สวยทำเลดี มีอัตราดอกเบี้ยพร้อมขาย เริ่มผ่อนขั้นต่ำ 3,000 บาท พร้อมโปรโมชั่น Home Loan โดนใจ รับของที่ระลึกมากมาย
พฤกษาสร้างปรากฎการณ์ใหม่แห่งวงการอสังหา เปิดจองออนไลน์ “เดอะทรี ดินแดง ราชปรารภ”  SOLD OUT 100% ภายใน 10 นาที ขึ้นแท่นคอนโดสุดฮอตแห่งปี 2018

พฤกษาสร้างปรากฎการณ์ใหม่แห่งวงการอสังหา เปิดจองออนไลน์ “เดอะทรี ดินแดง ราชปรารภ” SOLD OUT 100% ภายใน 10 นาที ขึ้นแท่นคอนโดสุดฮอตแห่งปี 2018

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ร่วมฉลองความสำเร็จในการปิดขายโครงการ “เดอะทรี ดินแดง ราชปรารภ” หลังเปิดให้ชมห้องตัวอย่างและเปิดขายเพียงไม่กี่วัน โดยล่าสุดเปิดให้ลูกค้าจองผ่านช่องทางออนไลน์ (Online Booking) ทำให้สามารถปิดการขายทั้งโครงการได้ภายใน 10 นาที !! ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นจากการเปิดขายทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ กวาดยอดขายไป 558 ล้านบาทได้ตามเป้าที่วางไว้ “เดอะทรี ดินแดง ราชปรารภ” เป็นโครงการที่อยู่ในกระแสอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนเปิดขายทั้งในส่วนของยอดลงทะเบียนของลูกค้าทางหน้าเว็บไซต์ อีกทั้งยังมีลูกค้าขอจ่ายเงิน 100% เพื่อขอจองก่อน ด้วยคอนเซ็ปต์การออกแบบ สิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้มากกว่า และทำเลที่อยู่ใจกลางเมืองแต่มีความใกล้ชิดธรรมชาติ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท ทำให้โครงการ “เดอะทรี ดินแดง ราชปรารภ” ประสบความสำเร็จจนขึ้นแท่นเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ฮอตที่สุดในปี 2018
ซีคอน โฮม  เปิดตัว 8 แบบบ้านล่าสุด ในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ  Home Builder & Materials Expo 2018

ซีคอน โฮม เปิดตัว 8 แบบบ้านล่าสุด ในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Expo 2018

นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน โฮม จำกัด พร้อมด้วย นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ กรรมการบริษัท และทีมตลาด-ขาย นำแบบบ้านใหม่ล่าสุด  8 แบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Next Series ภายในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Expo 2018 พร้อมมอบส่วนลดสูงสุดถึง 20%  และข้อเสนอพิเศษสุดๆ เลือกรับ 1 สิทธิ์จาก 2 ข้อเสนอพิเศษสุด ได้แก่ รับ evo HOME ระบบบ้านอัจฉริยะไร้สาย หรือ IphoneX พร้อม NETFLIX ใช้ฟรี 1 ปี เฉพาะภายในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Expo 2018  ระหว่างวันที่ 16-19  สิงหาคม 2561 ณ  บูธ ซีคอน โฮม เพลนารี ฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยได้รับความสนใจจากผู้ชมงานอย่างคับคั่ง
‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ จัดหนักจัดเต็มโปรโมชั่น Mid-Year Sale มอบข้อเสนอสุดคุ้มที่ดีที่สุดแห่งปี รับ Privilege Package สูงสุดถึง 1 ล้านบาท!!

‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ จัดหนักจัดเต็มโปรโมชั่น Mid-Year Sale มอบข้อเสนอสุดคุ้มที่ดีที่สุดแห่งปี รับ Privilege Package สูงสุดถึง 1 ล้านบาท!!

ฮาบิแทท กรุ๊ป ยกทัพ 3 โครงการคุณภาพสุดพรีเมี่ยมบนทำเลทองของกรุงเทพฯ และพัทยา ราคาเริ่มต้น 3.5 – 9.79 ล้านบาท มอบข้อเสนอพิเศษแบบจัดหนักจัดเต็ม เข้าร่วมใน 2 งานใหญ่ Home Buyer Expo 2018 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และ Luxury Property Showcase 2018 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อการลงทุนของไทย ได้จัดโปรโมชั่น Mid-Year Sale โดยมอบข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะกับ 3 โครงการที่อยู่อาศัยระดับพรีเมี่ยมเพื่อการลงทุนบนทำเลทองทั้งในกรุงเทพฯ และพัทยา ทั้งโครงการวาลเด้น อโศก (Walden Asoke) ราคาเริ่มต้น 6.9 ล้านบาท, โครงการ วินด์แฮม แอทลาส วงศ์อมาตย์ พัทยา (Wyndham Atlas Wongamat Pattaya) ราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาท และโครงการ ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์ (X2 Pattaya Oceanphere) ราคาเริ่มต้น 9.79 ล้านบาท เฉพาะ 2 งานสุดยิ่งใหญ่ Home Buyer Expo 2018 และงาน Luxury Property Showcase 2018   พบกับโปรโมชั่นพิเศษสุดคุ้มของฮาบิแทท กรุ๊ป กับ 3 โครงการโดนใจกับโครงการวินด์แฮม แอทลาส วงศ์อมาตย์ พัทยา ใกล้หาดวงศ์อมาตย์เพียง 200 เมตร มอบ Privilege Package มูลค่าสูงสุดถึง 300,000 บาท* โครงการครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์ พูลวิลล่าลักชัวรี่สุดหรูห่างจากชายหาดเพียง 500 เมตร มอบแพ็คเกจล่องเรือยอช์ทสุดหรู และส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท* และพิเศษสุดกับโครงการ วาลเด้น อโศก คอนโดหรูใจกลางอโศก ตกแต่งครบทั้งเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า พร้อมรับ Privilege package มูลค่า 1 ล้านบาท พลาดไม่ได้กับโอกาสดีๆ ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมบูธ ฮาบิแทท กรุ๊ป ในงาน Home Buyer Expo 2018 ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 19 สิงหาคมนี้ ณ บูธ G33 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และงาน Luxury Property Showcase 2018 ในวันที่ 23 สิงหาคม - 2 กันยายน 2561 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน เท่านั้น!! ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.habitatgroup.co.th หรือโทร. 02-168-8266 เฟสบุ๊ค www.facebook.com/HabitatGroupProperties ไลน์ @habitatgroup อินสตาแกรม habitatgroup.th
‘เอพี ไทยแลนด์’ เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก รายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 17,910 ล้านบาท

‘เอพี ไทยแลนด์’ เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก รายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 17,910 ล้านบาท

  เอพีสร้างนิวไฮครั้งใหม่ประกาศความสำเร็จครึ่งปีแรก 2561 สร้างรายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 17,910 ล้านบาท ผลจากสินค้าแนวราบและคอนโดร่วมทุนที่โตอย่างต่อเนื่อง ด้านกำไรสุทธิโตขึ้น 72% หรือกว่า 1,980 ล้านบาท ยิ้มรับยอดขาย 7 เดือนแรกกว่า 2,500 ล้านบาท มั่นใจตลาดอสังหาฯ ระดับกลางถึงไฮเอนด์ดีมานด์ให้การตอบรับดี เตรียมเปิดตัวโครงการไฮไลต์ระดับ Super Luxury ในสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว THE ADDRESS สยาม - ราชเทวี และ THE PALAZZO ศรีนครินทร์ มั่นใจจะสามารถสร้างยอดขายและยอดรับรู้รายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน   นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยทัศนะต่อแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า “ตลาดมีแนวโน้มการเติบโตดีขึ้นจากปัจจัยบวกหลายประการ กำลังซื้อในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีอยู่มากโดยเฉพาะตลาดระดับกลางบนถึงไฮเอนด์ ซึ่งยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งสินค้าแนวราบและคอนโดมิเนียม ถือเป็นตัวชี้วัดให้เห็นถึงกำลังซื้อที่ยังคงมีอยู่ของสินค้าระดับกลางบนได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เอพีมีอัตราการเติบโตที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ โดยสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ และกลุ่มคอนโด (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 17,910 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวมเท่ากับ 12,125 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิ (Net Profit) สูงถึง 1,988 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% หากเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2560 ที่มีกำไรเท่ากับ 1,157 ล้านบาท “ภาพรวมตลาดในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งอายุของคนซื้อที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ รวมถึงต้นทุนในการสรรหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่ถือเป็นตัวกรองสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นในตลาดเหลือน้อยลง ซึ่งที่ผ่านมาสินค้าทั้งแนวราบ และคอนโดมิเนียมของเอพีถือว่าประสบความสำเร็จในสัดส่วนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้รวมในครึ่งปีแรกมาจากสินค้าแนวราบมากถึง 8,677 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 53% และจากสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมจำนวน 8,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 43% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า”   สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 7 เดือนแรก ณ วันที่ 5 สิงหาคมนี้ บริษัทฯ สร้างยอดขายรวมได้แล้วถึง 25,030 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียมมูลค่า 12,855 ล้านบาท แนวราบมูลค่า 12,175 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้แล้วราว 75% ของเป้ายอดขายปี 2561 ที่ตั้งไว้ (เป้ายอดขาย 33,500 ล้านบาท) หากบริษัทฯยังคงรักษาระดับการขายในปัจจุบันเชื่อว่าจะสามารถ ทำยอดขายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ หนึ่งใน Key Success ของการพัฒนาโครงการเอพีคือ การมีสินค้าที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของคนเมือง ทั้งในเรื่องของโมเดลสินค้าและจำนวนโครงการในทุกทำเลรอบกรุงเทพ โดยในครึ่งปีหลังนี้เอพีเตรียมเปิดตัว 2 โครงการไฮไลต์ระดับ Super Luxury ในสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว ด้วยแบรนด์ที่ครองใจผู้บริโภคนั่นคือ THE ADDRESS ในทำเลใจกลางเมืองอย่างราชเทวี ภายใต้ชื่อโครงการ THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี มูลค่า 8,300 ล้านบาท และคฤหาสน์หรู THE PALAZZO ศรีนครินทร์ มูลค่า 1,750 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะพร้อมเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 “บริษัทฯ ยังคงมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ในการนำพาเอพีก้าวขึ้นสู่การเป็น 1 ใน 3 ของผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ภายใต้พันธกิจสำคัญ คือ การส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีในการอยู่อาศัย ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการคิดค้นนวัตกรรมดีไซน์ใหม่ๆ ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย และวางแผนจัดตั้งหน่วยงานพิเศษ เพื่อทำหน้าที่ค้นหา คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมที่ส่งเสริมและยกระดับรูปแบบการดำเนินชีวิตสู่ประสบการณ์อยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์สู่วิถีใหม่ๆ อย่างครบถ้วนด้วยคุณภาพ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย เข้าถึงความหมายของคำว่าคุณภาพชีวิตที่ลูกค้าต้องการอย่างแท้จริง และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น” นายอนุพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย ทั้งนี้ สรุปปี 2561 บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 38 โครงการมูลค่า 59,580 ล้านบาท โดยเปิดตัวในครึ่งปีหลังจำนวน 30 โครงการ มูลค่า 49,210 ล้านบาท แบ่งเป็นเปิดตัวในไตรมาส 3 จำนวน 12 โครงการ มูลค่า 17,980 ล้านบาท และในไตรมาส 4 จำนวน 18 โครงการ มูลค่า 31,230 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ประกอบกับการปรับแผนธุรกิจรุกตลาดแนวราบมากยิ่งขึ้น และคอนโดมิเนียมไฮไลต์ จะสามารถสร้างยอดขายและยอดรับรู้รายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้   ณ 5 สิงหาคม 2561 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ามากถึง 49,580 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 6,595 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 42,985 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) โดยจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566

1 ... 62 63 64 ... 105