ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 61 62 63 ... 103
พฤกษาสร้างปรากฎการณ์ใหม่แห่งวงการอสังหา เปิดจองออนไลน์ “เดอะทรี ดินแดง ราชปรารภ”  SOLD OUT 100% ภายใน 10 นาที ขึ้นแท่นคอนโดสุดฮอตแห่งปี 2018

พฤกษาสร้างปรากฎการณ์ใหม่แห่งวงการอสังหา เปิดจองออนไลน์ “เดอะทรี ดินแดง ราชปรารภ” SOLD OUT 100% ภายใน 10 นาที ขึ้นแท่นคอนโดสุดฮอตแห่งปี 2018

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ร่วมฉลองความสำเร็จในการปิดขายโครงการ “เดอะทรี ดินแดง ราชปรารภ” หลังเปิดให้ชมห้องตัวอย่างและเปิดขายเพียงไม่กี่วัน โดยล่าสุดเปิดให้ลูกค้าจองผ่านช่องทางออนไลน์ (Online Booking) ทำให้สามารถปิดการขายทั้งโครงการได้ภายใน 10 นาที !! ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้นจากการเปิดขายทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ กวาดยอดขายไป 558 ล้านบาทได้ตามเป้าที่วางไว้ “เดอะทรี ดินแดง ราชปรารภ” เป็นโครงการที่อยู่ในกระแสอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนเปิดขายทั้งในส่วนของยอดลงทะเบียนของลูกค้าทางหน้าเว็บไซต์ อีกทั้งยังมีลูกค้าขอจ่ายเงิน 100% เพื่อขอจองก่อน ด้วยคอนเซ็ปต์การออกแบบ สิ่งอำนวยความสะดวกที่ให้มากกว่า และทำเลที่อยู่ใจกลางเมืองแต่มีความใกล้ชิดธรรมชาติ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท ทำให้โครงการ “เดอะทรี ดินแดง ราชปรารภ” ประสบความสำเร็จจนขึ้นแท่นเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ฮอตที่สุดในปี 2018
ซีคอน โฮม  เปิดตัว 8 แบบบ้านล่าสุด ในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ  Home Builder & Materials Expo 2018

ซีคอน โฮม เปิดตัว 8 แบบบ้านล่าสุด ในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Expo 2018

นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน โฮม จำกัด พร้อมด้วย นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ กรรมการบริษัท และทีมตลาด-ขาย นำแบบบ้านใหม่ล่าสุด  8 แบบภายใต้คอนเซ็ปต์ Next Series ภายในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Expo 2018 พร้อมมอบส่วนลดสูงสุดถึง 20%  และข้อเสนอพิเศษสุดๆ เลือกรับ 1 สิทธิ์จาก 2 ข้อเสนอพิเศษสุด ได้แก่ รับ evo HOME ระบบบ้านอัจฉริยะไร้สาย หรือ IphoneX พร้อม NETFLIX ใช้ฟรี 1 ปี เฉพาะภายในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Expo 2018  ระหว่างวันที่ 16-19  สิงหาคม 2561 ณ  บูธ ซีคอน โฮม เพลนารี ฮอลล์ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยได้รับความสนใจจากผู้ชมงานอย่างคับคั่ง
‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ จัดหนักจัดเต็มโปรโมชั่น Mid-Year Sale มอบข้อเสนอสุดคุ้มที่ดีที่สุดแห่งปี รับ Privilege Package สูงสุดถึง 1 ล้านบาท!!

‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ จัดหนักจัดเต็มโปรโมชั่น Mid-Year Sale มอบข้อเสนอสุดคุ้มที่ดีที่สุดแห่งปี รับ Privilege Package สูงสุดถึง 1 ล้านบาท!!

ฮาบิแทท กรุ๊ป ยกทัพ 3 โครงการคุณภาพสุดพรีเมี่ยมบนทำเลทองของกรุงเทพฯ และพัทยา ราคาเริ่มต้น 3.5 – 9.79 ล้านบาท มอบข้อเสนอพิเศษแบบจัดหนักจัดเต็ม เข้าร่วมใน 2 งานใหญ่ Home Buyer Expo 2018 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และ Luxury Property Showcase 2018 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อการลงทุนของไทย ได้จัดโปรโมชั่น Mid-Year Sale โดยมอบข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะกับ 3 โครงการที่อยู่อาศัยระดับพรีเมี่ยมเพื่อการลงทุนบนทำเลทองทั้งในกรุงเทพฯ และพัทยา ทั้งโครงการวาลเด้น อโศก (Walden Asoke) ราคาเริ่มต้น 6.9 ล้านบาท, โครงการ วินด์แฮม แอทลาส วงศ์อมาตย์ พัทยา (Wyndham Atlas Wongamat Pattaya) ราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาท และโครงการ ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์ (X2 Pattaya Oceanphere) ราคาเริ่มต้น 9.79 ล้านบาท เฉพาะ 2 งานสุดยิ่งใหญ่ Home Buyer Expo 2018 และงาน Luxury Property Showcase 2018   พบกับโปรโมชั่นพิเศษสุดคุ้มของฮาบิแทท กรุ๊ป กับ 3 โครงการโดนใจกับโครงการวินด์แฮม แอทลาส วงศ์อมาตย์ พัทยา ใกล้หาดวงศ์อมาตย์เพียง 200 เมตร มอบ Privilege Package มูลค่าสูงสุดถึง 300,000 บาท* โครงการครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์ พูลวิลล่าลักชัวรี่สุดหรูห่างจากชายหาดเพียง 500 เมตร มอบแพ็คเกจล่องเรือยอช์ทสุดหรู และส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท* และพิเศษสุดกับโครงการ วาลเด้น อโศก คอนโดหรูใจกลางอโศก ตกแต่งครบทั้งเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า พร้อมรับ Privilege package มูลค่า 1 ล้านบาท พลาดไม่ได้กับโอกาสดีๆ ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมบูธ ฮาบิแทท กรุ๊ป ในงาน Home Buyer Expo 2018 ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 19 สิงหาคมนี้ ณ บูธ G33 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และงาน Luxury Property Showcase 2018 ในวันที่ 23 สิงหาคม - 2 กันยายน 2561 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน เท่านั้น!! ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.habitatgroup.co.th หรือโทร. 02-168-8266 เฟสบุ๊ค www.facebook.com/HabitatGroupProperties ไลน์ @habitatgroup อินสตาแกรม habitatgroup.th
‘เอพี ไทยแลนด์’ เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก รายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 17,910 ล้านบาท

‘เอพี ไทยแลนด์’ เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก รายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 17,910 ล้านบาท

  เอพีสร้างนิวไฮครั้งใหม่ประกาศความสำเร็จครึ่งปีแรก 2561 สร้างรายได้รวมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 17,910 ล้านบาท ผลจากสินค้าแนวราบและคอนโดร่วมทุนที่โตอย่างต่อเนื่อง ด้านกำไรสุทธิโตขึ้น 72% หรือกว่า 1,980 ล้านบาท ยิ้มรับยอดขาย 7 เดือนแรกกว่า 2,500 ล้านบาท มั่นใจตลาดอสังหาฯ ระดับกลางถึงไฮเอนด์ดีมานด์ให้การตอบรับดี เตรียมเปิดตัวโครงการไฮไลต์ระดับ Super Luxury ในสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว THE ADDRESS สยาม - ราชเทวี และ THE PALAZZO ศรีนครินทร์ มั่นใจจะสามารถสร้างยอดขายและยอดรับรู้รายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน   นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยทัศนะต่อแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า “ตลาดมีแนวโน้มการเติบโตดีขึ้นจากปัจจัยบวกหลายประการ กำลังซื้อในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีอยู่มากโดยเฉพาะตลาดระดับกลางบนถึงไฮเอนด์ ซึ่งยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งสินค้าแนวราบและคอนโดมิเนียม ถือเป็นตัวชี้วัดให้เห็นถึงกำลังซื้อที่ยังคงมีอยู่ของสินค้าระดับกลางบนได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เอพีมีอัตราการเติบโตที่สูงมากเป็นประวัติการณ์ โดยสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ และกลุ่มคอนโด (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 17,910 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวมเท่ากับ 12,125 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิ (Net Profit) สูงถึง 1,988 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% หากเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2560 ที่มีกำไรเท่ากับ 1,157 ล้านบาท “ภาพรวมตลาดในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ทั้งอายุของคนซื้อที่ลดน้อยลงเรื่อยๆ รวมถึงต้นทุนในการสรรหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการที่ถือเป็นตัวกรองสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นในตลาดเหลือน้อยลง ซึ่งที่ผ่านมาสินค้าทั้งแนวราบ และคอนโดมิเนียมของเอพีถือว่าประสบความสำเร็จในสัดส่วนที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้รวมในครึ่งปีแรกมาจากสินค้าแนวราบมากถึง 8,677 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 53% และจากสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมจำนวน 8,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 43% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า”   สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 7 เดือนแรก ณ วันที่ 5 สิงหาคมนี้ บริษัทฯ สร้างยอดขายรวมได้แล้วถึง 25,030 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียมมูลค่า 12,855 ล้านบาท แนวราบมูลค่า 12,175 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้แล้วราว 75% ของเป้ายอดขายปี 2561 ที่ตั้งไว้ (เป้ายอดขาย 33,500 ล้านบาท) หากบริษัทฯยังคงรักษาระดับการขายในปัจจุบันเชื่อว่าจะสามารถ ทำยอดขายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ หนึ่งใน Key Success ของการพัฒนาโครงการเอพีคือ การมีสินค้าที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของคนเมือง ทั้งในเรื่องของโมเดลสินค้าและจำนวนโครงการในทุกทำเลรอบกรุงเทพ โดยในครึ่งปีหลังนี้เอพีเตรียมเปิดตัว 2 โครงการไฮไลต์ระดับ Super Luxury ในสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยว ด้วยแบรนด์ที่ครองใจผู้บริโภคนั่นคือ THE ADDRESS ในทำเลใจกลางเมืองอย่างราชเทวี ภายใต้ชื่อโครงการ THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี มูลค่า 8,300 ล้านบาท และคฤหาสน์หรู THE PALAZZO ศรีนครินทร์ มูลค่า 1,750 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการจะพร้อมเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 “บริษัทฯ ยังคงมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ในการนำพาเอพีก้าวขึ้นสู่การเป็น 1 ใน 3 ของผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ภายใต้พันธกิจสำคัญ คือ การส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีในการอยู่อาศัย ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการคิดค้นนวัตกรรมดีไซน์ใหม่ๆ ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย และวางแผนจัดตั้งหน่วยงานพิเศษ เพื่อทำหน้าที่ค้นหา คิดค้นและพัฒนานวัตกรรมที่ส่งเสริมและยกระดับรูปแบบการดำเนินชีวิตสู่ประสบการณ์อยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์สู่วิถีใหม่ๆ อย่างครบถ้วนด้วยคุณภาพ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย เข้าถึงความหมายของคำว่าคุณภาพชีวิตที่ลูกค้าต้องการอย่างแท้จริง และยั่งยืนมากยิ่งขึ้น” นายอนุพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย ทั้งนี้ สรุปปี 2561 บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 38 โครงการมูลค่า 59,580 ล้านบาท โดยเปิดตัวในครึ่งปีหลังจำนวน 30 โครงการ มูลค่า 49,210 ล้านบาท แบ่งเป็นเปิดตัวในไตรมาส 3 จำนวน 12 โครงการ มูลค่า 17,980 ล้านบาท และในไตรมาส 4 จำนวน 18 โครงการ มูลค่า 31,230 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ประกอบกับการปรับแผนธุรกิจรุกตลาดแนวราบมากยิ่งขึ้น และคอนโดมิเนียมไฮไลต์ จะสามารถสร้างยอดขายและยอดรับรู้รายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้   ณ 5 สิงหาคม 2561 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ามากถึง 49,580 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 6,595 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 42,985 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) โดยจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2566
อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” ผนึก “แสนสิริ”  เผยโฉมนวัตกรรมสุดล้ำ XT Flexible Furniture ครั้งแรกในไทย

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” ผนึก “แสนสิริ” เผยโฉมนวัตกรรมสุดล้ำ XT Flexible Furniture ครั้งแรกในไทย

  บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด นำโดย นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ จับมือ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) นำโดย นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ ซึ่งแสนสิริได้เผยโฉมนวัตกรรมสุดล้ำ XT Flexible Furniture ครั้งแรกในไทย ในงาน “XT DIMENSION” งานพรีเซลล์แนวใหม่ เปิดตัวโครงการ XT New Lifestyle Condominium นิยามใหม่ของไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียมที่มาพร้อมกับประสบการณ์การอยู่อาศัยแนวใหม่แห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Extend Your Style” พร้อมนำเสนออิสระในการใช้ชีวิตของชาวมิลเลนเนียล ให้สามารถใช้ชีวิตแบบสมาร์ท ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำในทุกโครงการ XT ได้แก่ XT เอกมัย, XT ห้วยขวาง และ XT พญาไท ผ่านการจัดแสดง XT Flexible Furniture ที่ผลิตและพัฒนาร่วมกับทาง อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เหนือชั้นกับจุดเด่นของ XT Flexible Furniture ที่สามารถปรับเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ ให้กลายเป็นพื้นที่ใช้สอยได้หลากหลายรูปแบบตามไลฟ์สไตล์ในแต่ละวันด้วยปลายนิ้วสัมผัส ผ่านการควบคุมของ Home Service Application ของแสนสิริ ให้คุณนำเทรนด์กว่าใครกับการแปลงโฉมรองรับการใช้งานแบบกั้นห้องแต่งตัวเสมือน Walk-in Closet ขยายพื้นที่รองรับการจัดปาร์ตี้ เปลี่ยนห้องนั่งเล่นให้เป็น Sofa Bed ในวันที่เพื่อนมาค้างที่บ้าน รวมทั้งยังสามารถปรับเตียงให้เป็น Super Sofa สุดสบายในวันพักผ่อน และแพทเทิร์นอื่นๆ มากมาย
1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ โชว์โปรเจ็กต์มาสเตอร์พีซ  “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ - THE STRAND THONGLOR” มูลค่า 4,800 ล้านบาท

1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ โชว์โปรเจ็กต์มาสเตอร์พีซ “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ - THE STRAND THONGLOR” มูลค่า 4,800 ล้านบาท

  บริษัท 1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (วันพ้อยท์ซิกซ์) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รุ่นใหม่ ภายใต้แนวคิด “The Smart Difference: แตกต่างอย่างชาญฉลาด” กับความมุ่งมั่นที่จะนำมาตรฐานระดับโลกมาสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ที่ดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คำมั่นสัญญา ‘for all well-being’ ร่วมลงทุนและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ - THE STRAND THONGLOR” โครงการแรก มูลค่ามากกว่า 4,800 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “Essentially More” นำเสนอประสบการณ์การอยู่อาศัยในรูปแบบ Mixed-Use บนพื้นที่ “ทองหล่อ” มุ่งเจาะคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายและชื่นชอบการใช้ชีวิตที่มีรูปแบบเฉพาะตัวของย่านทองหล่อ มั่นใจสามารถสร้างยอดขายภายในปลายปี พ.ศ. 2561 มากกว่า 50%     นางสาวธัญทิพ เจียรวนนท์ ประธานบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท 1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นที่จะนำมาตรฐานระดับโลกมาสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ด้วยมุมมองในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เปรียบดั่งการสร้างสรรค์งานศิลปะและงานฝีมือชั้นสูง ทั้งนี้ในปัจจุบัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเทศไทย ได้นำเสนอจุดเด่นของโครงการโดยเน้นความแตกต่างของทำเลที่ตั้ง เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย ดังนั้น เราจึงได้สร้างสรรค์โครงการที่เข้าใจถึงธรรมชาติและสามารถตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มคนที่นิยมการใช้ชีวิตแบบคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการมาอยู่อาศัยในย่านทองหล่อได้เป็นอย่างดี ด้วยจุดขายที่แตกต่างจากโครงการอื่นๆ ในย่านทองหล่อ ล่าสุด ได้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับมาสเตอร์พีซ “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ - THE STRAND THONGLOR” มูลค่าโครงการกว่า 4,800 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นโครงการคอนโดมิเนียมมิกซ์ยูส (Mixed-use) ในรูปแบบไฮไรส์ (High rise) ครบวงจรระดับอัลตร้าลักชัวรี่ แลนด์มาร์กแห่งใหม่บนทำเลทองหล่อ ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงสำหรับการอยู่อาศัยและการลงทุนในอนาคต โดดเด่นด้วยการออกแบบโครงการที่ผสมผสานทั้งพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่มิกซ์ยูสได้อย่างลงตัว เน้นให้ผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสไลฟ์สไตล์ที่โอบล้อมไปด้วยความมีชีวิตชีวาของย่านทองหล่อแบบออลเดย์และออลไนท์”   โครงการ “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ - THE STRAND THONGLOR” ตั้งอยู่บริเวณปากซอยทองหล่อ (สุขุมวิท 55) ห่างจากรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีทองหล่อ เพียง 30 เมตร เป็นอาคารสูง 30 ชั้น ขนาด 1 ไร่ 2 งาน 46 ตารางวา หรือ 2,584 ตารางเมตร ดำเนินการออกแบบภายใต้แนวคิด “Essentially More” ที่สามารถตอบสนองความต้องการที่แท้จริงให้กับลูกบ้านอย่างรอบด้านมากที่สุด และสามารถแบ่งปันความสุขด้วยการสร้างคุณค่าในทุกๆ ด้านของชีวิต นอกจากความเฉพาะตัวในรูปแบบคอนโดมิเนียมมิกซ์ยูสแล้ว พื้นที่อยู่อาศัยของโครงการฯ ยังได้ออกแบบเพื่อความปลอดภัยระดับสูงสุดและเน้นความเป็นส่วนตัว โดยผู้อยู่อาศัยสามารถเข้าสู่พื้นที่อยู่อาศัยได้ทั้งจากทางเข้าเฉพาะของส่วนอยู่อาศัยและพื้นที่เชิงพาณิชย์ โดยทางเข้าทั้ง 2 ทางมีระบบรักษาความปลอดภัยที่เหนือระดับ และด้วยแนวคิด Low Density Living ที่ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีความเป็นส่วนตัวสูงสุดและมีพื้นที่ใช้สอยมากที่สุด โดยจะมีความหนาแน่นของจำนวนยูนิตต่อชั้นไม่มากนัก ซึ่งโครงการฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 198 ยูนิต แบ่งเป็นห้องชุด 4 รูปแบบ ได้แก่   · 1-Bedroom (1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ) มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 48.10 – 55.00 ตารางเมตร จำนวน 124 ยูนิต · 2-Bedroom (2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ) มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 73.00 – 90.60 ตารางเมตร จำนวน 63 ยูนิต · Duplex (2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ) มอบความกว้างขวางบนพื้นที่ขนาด 110.40 ตารางเมตร จำนวน 5 ยูนิต · Penthouse (3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ) มอบความกว้างขวางบนพื้นที่ขนาด 184.20 ตารางเมตร จำนวน 6 ยูนิต   นอกจากพื้นที่อยู่อาศัยแล้ว ยังมีพื้นที่ Micro-Office & Business Lounge พื้นที่ร้านอาหารที่ให้บริการในรูปแบบ All-day dining สปีคอีซี่บาร์ (Speakeasy Bar) และพื้นที่สวนสาธารณะ “The Strand Park” บริเวณด้านหน้าโครงการฯ ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นพื้นที่ส่วนกลางของโครงการฯ และเป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ของชุมชนในบริเวณนั้น นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ใช้สอยที่ได้รับการออกแบบอย่างลงตัว เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานที่สามารถรองรับทุกไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ เพลย์ รูม (The Playroom) และ ติวเตอร์ รูม (Tutor room) บริเวณชั้น 6 เดอะ คลับเฮาส์ (The Clubhouse) ชั้น 27 ซึ่งประกอบด้วย The Living Room ส่วนบริการ Fitness และ Meditation Studio สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้ระบบน้ำเกลือความยาว 25เมตร พร้อมจากุซซี่ สำหรับผู้ใหญ่ และสระว่ายน้ำสำหรับเด็ก รวมถึงส่วนของ Rooftop terrace และ Putting green ตลอดจน เรสซิเด้นส์ ล็อบบี้ (Residential Lobby) ที่ออกแบบ มาเพื่อความเป็นส่วนตัว เป็นต้น โครงการ THE STRAND THONGLOR ราคาเริ่มต้นที่ 330,000 บาทต่อตารางเมตร หรือเริ่มต้นที่ 16.5 ล้านบาท   นางสาวธัญทิพ กล่าวต่อไปว่า “สำหรับนวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยและสะดวกสบาย โครงการฯ ได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์นำเสนอ “Intelligent Technology” อาทิ “Secured Private Lift Lobby” ให้ผู้อยู่อาศัยสามารถขึ้นตรงจากพื้นที่ส่วนกลางถึงห้องชุดเสมือนลิฟต์ส่วนตัว ด้วยเทคโนโลยีไมโครชิปเซ็นเซอร์ (Microchip Sensor Technology - RFID) ที่จะส่งผู้อยู่อาศัยไปแต่ละชั้นโดยเฉพาะ พร้อมทั้งมาตรฐานความปลอดภัยภายในลิฟต์ ด้วยระบบ “Active CCTV Monitoring & Control” เชื่อมต่อกับห้องควบคุมตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้อาศัย ระบบ “Automatic Parking” ที่จอดรถอัจฉริยะครบทุกยูนิต นอกจากนี้ เรายังได้พัฒนาแอพลิเคชั่นสำหรับสมาร์ทดีไวซ์ซึ่งผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุมการเปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องของตนได้ อีกทั้งยังสามารถใช้เรียกบริการพิเศษต่างๆ เช่น แม่บ้าน ช่างซ่อมบำรุง หรือจองพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ เช่น ห้องประชุม หรือ Living Room social lounge ได้ เป็นต้น”     นายชวิน อรรถกระวีสุนทร กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง บริษัท 1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “โครงการ “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ - THE STRAND THONGLOR” ได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในแต่ละด้านอย่างการออกแบบและดีไซน์ ได้ร่วมมือกับ “เอชบี ดีไซน์ (HB Design)” ที่ปรึกษาด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมของโครงการ “พีไอเอ อินทีเรีย (PIA Interior)” รับผิดชอบด้านการออกแบบภายใน สะท้อนความเป็น Minimal luxury เน้นคุณภาพวัสดุที่ดี ความเรียบหรูอยู่เหนือกาลเวลา (Timeless design) และ “ทร็อพ (TROP)” มาดูแลในด้านภูมิสถาปัตยกรรมของโครงการ และได้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำอย่าง “บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC)” ร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงการดังกล่าว โดย MQDC ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุน แบ่งปันองค์ความรู้ที่ยอดเยี่ยมในการออกแบบและการก่อสร้างในระดับสากล ตลอดจนให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์การตลาดและกลยุทธ์การขาย”   สำหรับกลยุทธ์ในการดำเนินงานเพื่อให้โครงการ The Strand Thonglor บรรลุเป้าหมาย เราได้กำหนดกลยุทธ์ไว้ 3 รูปแบบ คือ · กลยุทธ์การตลาด ที่มุ่งเน้นการสร้างความน่าเชื่อถือของโครงการ เจาะตลาดกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อคนไทย 75% และคนต่างชาติ 25% · กลยุทธ์การสื่อสารประชาสัมพันธ์ เน้นการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ อาทิ แคมเปญผ่าน โซเชียลมีเดีย (Social Media) ทั้ง เฟสบุ๊ค (Facebook) บทความออนไลน์ (Content online) และอื่นๆ · กลยุทธ์การขาย อาทิ กิจกรรม Private Launch โฟกัสที่กลุ่มเป้าหมายโดยตรง เพื่อให้รับทราบข้อมูลของโครงการและแผนในการพัฒนาการก่อสร้าง กิจกรรม Group Exclusive นำเสนอการขายผ่านกิจกรรมเอ็กซ์คลูซีฟปาร์ตี้ เพื่อสร้างบรรยากาศความเป็นกันเองเสมือนได้มาร่วมจัดปาร์ตี้ภายในยูนิตที่เกิดขึ้นจริงในอนาคต และการจัดกิจกรรม Exclusive Pre-Sale เรียนเชิญกลุ่มลูกค้าเพื่อรับทราบข้อมูลโครงการโดยแจ้งยืนยันเข้าชมล่วงหน้า ระหว่างวันที่ 18 และ 19 สิงหาคมนี้ ที่โรงแรมบางกอก แมริออท โฮเต็ล สุขุมวิท เป็นต้น ทั้งนี้ เราตั้งเป้าว่าจะสามารถสร้างยอดขายภายในปลายปีนี้ (พ.ศ. 2561) ได้มากกว่า 50% และโครงการมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2564 ” คุณชวินกล่าวสรุป
เปิดพรีเซลคอนโดมิเนียม The Cube Urban Sathorn-Chan อย่างเป็นทางการ

เปิดพรีเซลคอนโดมิเนียม The Cube Urban Sathorn-Chan อย่างเป็นทางการ

นายภูมินทร์ ปิยะวานิชย์ (ยืนที่ 4 จากขวา) ประธานกรรมการบริหาร และนายวิชิต อำนวยรักษ์สกุล (นั่ง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงของ บริษัท คิวบ์ เรียล พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาและบริหารงานอสังหาริมทรัพย์ จัดงานฉลองเปิดโครงการ The Cube Urban Sathorn-Chan (เดอะคิวบ์ เออร์เบิน สาทร-จันทน์) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์สูง 8 ชั้นใหม่ล่าสุด สไตล์โมเดิร์นคลาสสิค และเปิดขาย (Pre-Sale) อย่างเป็นทางการ ในบรรยากาศสนุกสนานพร้อมชมขบวนพาเหรดและโชว์ชุด ‘The Urban Kingdom เปิดประสบการณ์ใหม่สไตล์อังกฤษ by The Cube’ ภายในงานได้รับความสนใจจากผู้ที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยเองและเพื่อลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในย่านสาทรและถนนจันทน์เข้าชมห้องตัวอย่าง พร้อมทั้งจองและทำสัญญาจำนวนมาก ณ สำนักงานขายโครงการ The Cube Urban Sathorn-Chan เมื่อเร็ว ๆ นี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 1246 และติดตามความเคลื่อนไหวโครงการได้ทางเว็บไซต์ www.thecube-condo.com แฟนเพจ www.facebook.com/The Cube Condominium
รีจัส เดินหน้าสนับสนุนการเติบโตกลุ่มธุรกิจไมซ์  เปิดสาขาออฟฟิศพร้อมใช้ทำเลใหม่ที่ เชียงใหม่ไอคอนปาร์ค

รีจัส เดินหน้าสนับสนุนการเติบโตกลุ่มธุรกิจไมซ์ เปิดสาขาออฟฟิศพร้อมใช้ทำเลใหม่ที่ เชียงใหม่ไอคอนปาร์ค

Regus (รีจัส) ผู้นำด้านการให้บริการพื้นที่สำนักงานระดับโลก เปิดตัวสาขาใหม่ล่าสุดสาขาที่ 20 ในประเทศไทย ณ ชั้น 2 โรงแรมไอคอนปาร์ค ใจกลางเมืองเชียงใหม่ โดย รีจัส ยังคงเดินหน้าเพิ่มเครือข่ายสำนักงานออฟฟิศ โคเวิร์คกิ้งสเปซและห้องประชุมที่มีเอกลักษณ์ บนทำเลที่ใกล้กับศูนย์การค้าคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี “ไอคอนสแควร์” ห่างจากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่เพียง 15 นาที   สถานที่ตั้งของสำนักงานพร้อมใช้แห่งนี้เป็นศูนย์รวมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบวงจร ประกอบไปด้วย บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตมาตรฐานธุรกิจ บริการทางโทรศัพท์ พื้นที่ครัว พนักงานต้อนรับและบริการทำความสะอาด เพื่อช่วยลดภาระการบริหารจัดการด้านสำนักงานให้กับทุกธุรกิจ     เชียงใหม่ไอคอนปาร์คเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูสที่ประกอบไปด้วยโรงแรม 6 ชั้น, ร้านอาหารและร้านค้าปลีกบนถนนมณีนพรัตน์ใจกลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งห่างจากถนนนิมมานเหมินท์แหล่งรวมคาเฟ่ และร้านอาหารที่มีชื่อเสียงของเชียงใหม่เพียงไม่กี่นาที   การเปิดตัวรีจัสสาขาใหม่ในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่จะขยายธุรกิจออกไปสู่สถานที่ซึ่งสะดวกต่อการเข้าถึงการบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบวงจรได้อย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของเครือข่ายพื้นที่การทำงานที่ยืดหยุ่นและมีสาขาครอบคลุมทั่วโลกที่มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งเชียงใหม่ยังเป็นเมืองที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นอันดับต้นๆ และยังเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการจัดงานนิทรรศการและประชุมธุรกิจในระดับนานาชาติ เห็นได้จากในพ.ศ. 2555 เชียงใหม่ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดงานไมซ์มากถึง 500 งาน และมีโอกาสได้ต้อนรับนักธุรกิจต่างชาติจำนวนกว่า 47,000 ราย     คุณโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ รีจัส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี เผยว่า เราเล็งเห็นว่าเชียงใหม่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมเป็นอย่างมากในกลุ่มธุรกิจไมซ์ และด้วยทำเลที่ตั้งของ ไอคอนปาร์คนั้นใกล้กับสนามบินและย่านธุรกิจการค้า เราจึงเห็นโอกาสในการเสริมสร้างเครือข่ายของพื้นที่ทำงานทั่วโลกของเราให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น รีจัสมีพื้นที่ที่สามารถมอบพื้นที่การทำงานที่ยืดหยุ่นได้ในรูปแบบต่างๆ ด้วย ห้องรับรองทางธุรกิจ (Business lounge) และห้องประชุมที่พร้อมให้บริการแบบครบวงจร ซึ่งการเป็นศูนย์บริการธุรกิจนี้ถือเป็นโซลูชั่นที่ดีอย่างยิ่งสำหรับบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศที่กำลังมองหาสำนักงานที่มีความยืดหยุ่นและมีอุปกรณ์ครบครันที่สุดแห่งหนึ่งในเชียงใหม่   รีจัส สาขาใหม่ล่าสุดนี้ ตั้งอยู่ ณ ไอคอนปาร์ค ในใจกลางเมืองเชียงใหม่ ที่มีพื้นที่ให้บริการกว่า 644.2 ตารางเมตร ประกอบไปด้วยจำนวนสำนักงานทั้งหมด 44 ห้อง, มีพื้นที่การทำงานกว่า 133 ที่นั่ง และห้องประชุมจำนวน 1 ห้อง     รีจัส ผู้นำด้านการให้บริการพื้นที่สำนักงานระดับโลก มอบโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับธุรกิจทั่วโลก นับเป็นเครือข่ายกว้างใหญ่ที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถทำงานได้อย่างยืดหยุ่นจากทุกพื้นที่ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือลงทุนในการจัดตั้งสำนักงาน อีกทั้งผลประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับไม่ได้มีเพียงแต่การจ่ายเงินสำหรับพื้นที่ทำงานที่พวกเขาต้องการเท่านั้น แต่ลูกค้าสามารถที่จะเพิ่มหรือลดพื้นที่ทำงานตามความจำเป็นและความต้องการได้ ไม่ว่าจะต้องการพื้นที่เพียงแค่ 2-3 ชั่วโมงหรือเป็นเวลาหลายปี และยิ่งไปกว่านั้นยังมีสิทธิประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นจากบริการดูแลและจัดการสำนักงานของคุณได้อย่างเต็มรูปแบบด้วยสัญญาเพียงฉบับเดียว ทั้งการสรุปรายงานความคืบหน้าต่างๆ รวมถึงบริการดูแลและบริการลูกค้าสัมพันธ์ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง     รีจัส ณ ไอคอนปาร์ค ในใจกลางเมืองเชียงใหม่นี้ ตั้งอยู่ในทำเลที่ยอดเยี่ยม โดยห่างจากสนามบินนานาชาติเชียงใหม่เพียงไม่กี่นาทีและยังมอบสิทธิผลประโยชน์แก่ลูกค้าได้อย่างคุ้มค่าอีกด้วย สำหรับการเปิดตัวสาขาใหม่ในครั้งนี้ รีจัสมองว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักธุรกิจที่ต้องการการบริการสำนักงานพร้อมใช้ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบวงวรในไทย” คุณโนเอล โค้ก กล่าวเสริม     รีจัส พื้นที่บริการสำนักงานให้เช่านั้นมีเครือข่ายศูนย์รวมที่ครอบคลุมกว่า 21 สาขาทั่วไทย ทั้งในกรุงเทพ ภูเก็ต เชียงใหม่ และศรีราชา ซึ่งในปีนี้ได้ตั้งเป้าที่จะเปิดตัวสาขาใหม่ ณ เชียงใหม่ไอคอนปาร์ค เป็นสาขาที่ 20 และสาขาที่ 21 ณ สิงห์ คอมเพล็กซ์ตามลำดับ   สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Regus ณ เชียงใหม่ไอคอนปาร์ค สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.regus.co.th
อารียา พรอพเพอร์ตี้ เปิด The AVA Residence เฟส 2 กลางสุขุมวิท 77  ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า Luxury

อารียา พรอพเพอร์ตี้ เปิด The AVA Residence เฟส 2 กลางสุขุมวิท 77 ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า Luxury

อารียา พรอพเพอร์ตี้ ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เผยผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2561 เติบโต ด้วยยอดขายรวม 4,852 ล้านบาท โดย 65% มาจากโครงการแนวราบ และ 35% มาจากโครงการแนวสูง ซึ่งเอื้อมาจากภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีแรกที่ขยับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา มั่นใจปีนี้ทำรายได้เข้าเป้าเติบโต 10% พร้อมเดินหน้าเปิดตัวโครงการ The AVA Residence สุขุมวิท 77 เฟส 2 เพื่อรองรับความต้องการตลาดไฮเอนด์ ที่มีกำลังซื้อสูง และเป็นกลุ่มที่มีดีมานด์เติบโตอย่างต่อเนื่อง นายวิวัฒน์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการอาวุโส บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจของ อารียา พรอพเพอร์ตี้ ในครึ่งปีแรกเติบโตไปตามทิศทางเดียวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่มีปัจจัยบวกสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็น ตัวเลข GDP จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ที่เพิ่งเผยข้อมูลช่วงไตรมาสแรกไปนั้น เศรษฐกิจประเทศไทยมีการเติบโตที่ 4.8% ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 5 ปี ส่งผลให้เศรษฐกิจทุกภาคส่วนมีการเริ่มขยับปรับโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ความต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัย หรือการซื้อเพื่อการลงทุน ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในครึ่งปีแรกของปี 2561 บริษัทฯ มียอดขายรวม 4,852 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ มูลค่ารวม 3,107 ล้านบาท คิดเป็น 65% และจากโครงการแนวสูงมูลค่ารวม 1,745 ล้านบาท คิดเป็น 35% ทั้งนี้ ยังพบว่า ตลาดกลุ่ม Luxury ทั้งบ้านและคอนโดที่มีราคาตั้งแต่ 25 ล้านบาทขึ้นไปของบริษัทฯ ได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยเฉพาะทำเลในย่านใจกลางเมือง ย่านธุรกิจ อาทิ โซนสุขุมวิท โซนบางนา และโซนเกษตร-นวมินทร์ อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2/2561 บริษัทฯมีผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจโดยมีรายได้ 952.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 16.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 15.9 ล้านบาท สำหรับงวดครึ่งปี บริษัทฯมีรายได้ 2000.9 ล้านบาท ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 69.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 44.9 ล้านบาท นายวิวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “อารียา พรอพเพอร์ตี้ ยังคงมองถึงแนวโน้มตลาดกลุ่ม Luxury ที่มีการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้ทุ่มงบถึง 4,468 ล้านบาท ในการเปิดตัวโครงการระดับไฮเอนด์ขึ้น 2 โครงการ ไปเมื่อปี 2560 ได้แก่ โครงการ เฉลิมนิจ อาร์ต เดอ เมซอง สุขุมวิท 53 มูลค่า 1,968 ล้านบาท และ โครงการ The AVA Residence สุขุมวิท 77 มูลค่า 2,500 ล้านบาท โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้บริหารระดับสูง และเจ้าของกิจการ ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป ที่ชอบความสะดวกสบายในด้านโลเคชั่น ทำเลที่ตั้งที่ใกล้กับห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล โรงเรียน รวมถึงการเข้าถึงใจกลางเมืองย่านธุรกิจสำคัญได้ด้วยการเดินทางที่รวดเร็ว จากผลการตอบรับเป็นอย่างดีของโครงการ The AVA Residence สุขุมวิท 77 เฟสที่ 1 ที่สามารถปิดยอดขายได้หมดแล้วนั้น บริษัทฯ จึงได้เปิด เฟสที่ 2 ขึ้น โดยมีมูลค่ารวมโครงการเฟสนี้ 1,026 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 35 – 80 ล้านบาท ด้วยขนาดพื้นที่ 61-169.5 ตารางวา มีพื้นที่ใช้สอยรวม 402 -604 ตารางเมตร โดดเด่นด้วยคอนเซ็ปต์ Modern Tropical ในรูปแบบบ้านใหม่ หน้ากว้าง มีทั้งแบบบ้านสองชั้น และสามชั้น ที่มาในดีไซน์ใหม่ให้เลือกตามความต้องการของลูกค้า พร้อมสระว่ายน้ำและลิฟต์ ทั้งนี้ยังมีการปรับฟังค์ชั่นการใช้งานในห้องต่างๆ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น และใส่รายละเอียดเพื่อการอยู่อาศัยสำหรับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ มีระบบรักษาความปลอดภัยควบคู่กับ Home Intelligence เสาไฟฟ้าลงดิน สำหรับโครงการในเฟสนี้ ยังคงตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ที่มองหาที่อยู่อาศัยควบคู่กับการลงทุนในย่านใจกลางเมือง พร้อมทั้งยังตอบโจทย์ความชอบเฉพาะตัว และไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านเป็นปัจจัยสำคัญ นอกจากนี้ โครงการ The AVA Residence สุขุมวิท 77 ยังคงมีความโดดเด่นด้วยโลเคชั่นที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้อย่างลงตัว ติดถนนใหญ่ที่สามารถเข้าถึงถนนเส้นหลัก อย่างศรีนครินทร์ พัฒนาการ สุขุมวิท และบางนา ได้ภายใน 10 นาที ถือเป็นความพิเศษที่ลงตัวบนถนนสุขุมวิท 77 โดยเฟส 2 ได้มีการเปิดให้จองกรรมสิทธิ์อย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อ 3 เดือน ที่ผ่านมา “กลุ่ม Gen-X ที่เป็นผู้บริหารและเจ้าของกิจการรุ่นใหม่ อายุ 45 ปีขึ้นไป ซึ่งถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลที่เดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองอย่างสะดวก แต่ยังคงความเป็นส่วนตัว การเปิดตัวโครงการ The AVA Residence สุขุมวิท 77 เฟสที่ 2 จึงเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้อย่างลงตัว ส่งผลให้ล่าสุดมียอดจองแล้วถึง 20%” นายวิวัฒน์กล่าว
จะซื้อคอนโดทั้งที ทำไมต้องเลือก One9Five

จะซื้อคอนโดทั้งที ทำไมต้องเลือก One9Five

เมื่ออสังหาริมทรัพย์กลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การซื้อคอนโดมีเนียมสักแห่งไว้สำหรับอยู่อาศัยหรือปล่อยเช่าก็ถือว่าเป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่งที่จะช่วยต่อยอดให้สมบัติชิ้นนั้นมีมูลค่าสูงมากขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต แต่การซื้อคอนโดฯ ก็มีหลากหลายเรื่องให้ต้องคำนึงนะคะ บางคนอาจชั่งน้ำหนักไม่ถูกว่าระหว่างเรื่องการเดินทางสะดวกสบายใจกลางเมือง หรือดีไซน์สวยงาม ฟังก์ชั่นน่าใช้ พร้อมส่วนกลางแบบครบครัน ควรเลือกแบบไหนดีกว่ากัน แต่น่าจะดีที่สุดถ้าที่พักอาศัยหรือทรัพย์สินของเราจะรวมความต้องการเหล่านี้ไว้ได้ด้วยกันทั้งหมด ซึ่งทาง TC Development ก็ได้ rebranding ภาพลักษณ์องค์กรให้ดูหรูหรามากขึ้น ที่สำคัญยังเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุดในชื่อ “One9Five” Asoke – Rama 9 ภายใต้คอนเซ็ปต์ Luxury Life Curator รวบรวมความเป็นที่สุดของ Luxury ไว้ในสถานที่แห่งเดียว แต่จะมีความพิเศษและน่าสนใจแค่ไหน วันนี้ทีมงาน Review Your Living หาคำตอบว่าทำไมต้องเลือก One9Five มาให้แล้ว     1. ทำเลศักยภาพใจกลาง New CBD จุดเด่นของโครงการ ONE 9 FIVE อโศก-พระราม 9 คือปักหมุดบนทำเลศักยภาพ โดยที่ดินโครงการตั้งอยู่ติดถนนพระราม 9 ระหว่างแยกพระราม 9 และแยกอสมท ซึ่งโครงการจะอยู่ฝั่งมุ่งหน้าไปแยกอสมท ที่เลี้ยวขวาไปถนนเพชรอุทัยเพื่อขึ้นทางด่วนศรีรัชได้ในระยะ 600 เมตร แถมหน้าโครงการสามารถเดินมาขึ้น MRT พระราม 9 ทางออก 3 หรือทางออก G Tower เพียง 250 เมตร หรือแค่ 5 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ที่ MRT พระราม 9 ห่างออกไปเพียง 1 สถานี ที่สถานีศูนย์วัฒนธรรม ในอนาคตกำลังจะกลายเป็นจุด Interchange กับรถไฟฟ้าสายสีส้ม ซึ่งเป็นสายที่วิ่งผ่านใจกลางเมืองโดยเชื่อมกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกกับตะวันตกเข้าไว้ด้วยกัน และยังห่างจากจุด Interchange กับ BTS อโศก เพียง 2 สถานี นับว่าเป็นทำเลที่เดินทางสะดวกสบายมากทั้งคนใช้และไม่ใช้รถ นอกจากนี้ตัวโครงการยังอยู่ห่างจากแยกพระราม 9 ที่ถือว่าเป็น NEW CBD ใจกลางเมืองที่มีมูลค่าการลงทุนสูงและโดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพตอนนี้ เพราะเชื่อมต่อกับ CBD ชั้นในอย่าง อโศก และสุขุมวิท ซึ่งเป็นาจุดศูนย์รวมความเจริญและสิ่งอำนวยความสะดวกในตัวอยู่แล้ว โดยข้อได้เปรียบของทำเลคือสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวก ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีพระราม 9, แอร์พอร์ตลิงก์ และทางด่วน รวมถึงอาคารสำนักงาน, ศูนย์รวมห้างสรรพสินค้าชั้นนำอย่าง Central พระราม 9, Fortune Town และมีการลงทุนเมกะโปรเจ็คมากมาย   2. ฉีกรูปแบบงานดีไซน์ สร้างสรรค์จากทีม Designer ระดับท็อปของเมืองไทย นับว่าเป็นการสร้างปรากฏการณ์ตื่นตาตื่นใจให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ของไทยไม่ใช่น้อย ทั้งในแง่ของงานดีไซน์ที่ฉีกรูปแบบคอนโดเดิมๆ พัฒนา Re-Design ใหม่ทั้งหมด แถมยัง rebranding ภาพลักษณ์องค์กรให้ดูหรูหรามากขึ้น โดย “One9Five” อโศก – พระราม 9 เป็นโครงการที่ร่วมกันพัฒนาสร้างสรรค์จากทีม Designer ระดับแนวหน้าของเมืองไทย อย่าง Shma, LEOINTER และ PIA เรียกได้ว่าครบเครื่องทั้งเรื่องของ Architect, Interior และ Landscape จนสร้างเสียงฮือฮาให้กับวงการอสังหาฯ ตั้งแต่ยังไม่ได้ก่อสร้าง จึงทำให้มั่นใจว่าตัวโครงการจะต้องออกมาสวยงาม และโดดเด่นกว่าใครในย่าน อโศก - พระราม 9 แน่นอน   3. Spec เหนือความคาดหมาย แน่นอนว่าเหตุผลในการตัดสินใจซื้อคอนโดฯ สักแห่ง คำตอบแรกก็คงเป็นเรื่องของทำเลที่ตั้ง แต่อยากให้พิจารณาให้ดีก่อนนะคะ เพราะองค์ประกอบอื่นอย่างการออกแบบทั้งภายนอกภายใน, การจัดวาง Layout, ขนาดห้อง, ฟังก์ชั่นการใช้งาน ไปจนถึง Spec ก็ล้วนแต่มีความสำคัญทั้งสิ้น ซึ่งโครงการ “One9Five” อโศก – พระราม 9 ของ TC Development นี้ ก็ล้วนแต่ตอบโจทย์ความต้องการได้ดี ยิ่งเรื่องของงานดีไซน์ก็นับว่ามีความโดดเด่นและน่าสนใจมากที่สุด เพราะทุกพื้นที่ของโครงการในทุกตารางเมตรต่างได้รับการออกแบบจากเหล่า Designer ระดับท็อปของเมืองไทย ให้เป็นศูนย์รวม Luxury ไว้ในพื้นที่แห่งเดียวแล้ว ยังมอบวัสดุเกินมาตรฐานราคาใน Segment เดียวกันไปเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นพื้น Engineering wood, Air Conceal ฝังในฝ้า ซึ่งปกติแล้วจะมีให้เฉพาะคอนโดแบบ Super luxury segment เท่านั้น   4. จัดเต็มพื้นที่ส่วนกลาง กว่า 8.6 ไร่ ในส่วนของพื้นที่ส่วนกลางทางโครงการก็จัดเต็มแบบสุดๆ เรียกว่าครบครันมากทีเดียวค่ะ ซึ่งคอนเซ็ปต์ของพื้นที่ส่วนกลางถูกออกแบบโดยหลอมรวมความต้องการใช้ชีวิตแบบสังคมเข้ากับความเป็นส่วนตัว สู่รูปแบบของ Facility ที่มีทั้งฟังก์ชั่นการใช้งานร่วมกัน และแยกเป็นส่วนตัว เริ่มจากชั้น 1 เป็นพื้นที่ของ Grande Lobby , Private Mezzanine Lobby , Concierge Service Des , Lift Lobby , Mailbox Room , Laundry Room , Express Storage room , Public Restroom , Retails Shop Space เป็นต้น ชั้น 8 เป็นพื้นที่ของ Residential Lounge , Library Room , Game Room , Theatre Room , Golf Simulator Room , Fitness Center , Cross Fit Zone , Boxing Area , Yoga Zone , Private Spa , Locker Room , Kid’s Club ​, Pool Lounge  ซึ่งจะเชื่อมกันระหว่าง 2 ตึก  ชั้น 61 เป็นพื้นที่ของ Sky Residential Lounge , Private Sky lounge , Private Sky Meeting Room , Sky Bar   5. ราคาที่จับต้องได้ ไม่ว่าใครก็เอื้อมถึง จุดเด่นของ “One9Five” อโศก – พระราม 9 อยู่ที่การปักหมุดทำเลดีใกล้สถานีรถไฟฟ้า สรรสร้างเป็นคอนโดมิเนียมหรูในราคาคุ้มค่าให้ทุกคนสามารถจับจองได้ไม่ยาก โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 3.69 ล้านบาท เฉลี่ยทั้งโครงการที่ 165,000 บาท/ตารางเมตร  สำหรับคนที่สนใจโครงการ : http://bit.ly/2LtIDHK โทร 02 245 0999
เอสซี แอสเสท เดินหน้าพัฒนา 2 โครงการใหม่ Verve และ Venue ติวานนท์-รังสิต บนที่ดินผืนใหญ่บางกระดี จ.ปทุมธานี พร้อมเปิดพรีเซลส์ ส.ค.นี้

เอสซี แอสเสท เดินหน้าพัฒนา 2 โครงการใหม่ Verve และ Venue ติวานนท์-รังสิต บนที่ดินผืนใหญ่บางกระดี จ.ปทุมธานี พร้อมเปิดพรีเซลส์ ส.ค.นี้

นายมงกุฎ เตโชฬาร รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวราบ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ล่าสุดได้ประเดิมเปิดพรีเซลส์ 2 โครงการใหม่ มูลค่า 1,390 ล้านบาท บนที่ดินแปลงใหญ่ของบริษัทฯ ในฝั่งโซนเหนือของกรุงเทพ บริเวณบางกระดี จ.ปทุมธานี ทำเลที่มีศักยภาพติดถนนใหญ่ติวานนท์ ใกล้ทางด่วนศรีรัช (ด่านศรีสมานและด่านบางพูน) และใกล้คอมมูนิตี้มอลล์ขนาดใหญ่แห่งใหม่ (เดอะ ไนน์ เซ็นเตอร์ ติวานนท์) มีให้เลือกทั้งทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยว ” คือ โครงการ VERVE เวิร์ฟ ติวานนท์ - รังสิต ทาวน์โฮม 2 ชั้น บนพื้นที่กว่า 27 ไร่ มูลค่าโครงการรวม 730 ล้านบาท จำนวน 315 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท ประกอบไปด้วย 3 แบบ ได้แก่ Loft 2 Bedroom, Loft 3 Bedroom และ Luxe พร้อมสวนส่วนกลาง และระบบความปลอดภัย 24 ชม. แบบ Double Security กล้อง CCTV โดยเปิดพรีเซลส์วันที่ 18-19 ส.ค.นี้ กับ โครงการ VENUE เวนิว ติวานนท์-รังสิต บ้านเดี่ยวสไตล์โมเดิร์น พื้นที่กว่า 26 ไร่ มูลค่าโครงการรวม 660 ล้านบาท จำนวน 149 ยูนิต มีแบบบ้านให้เลือก 4 แบบ Birch, Linden, Redwood และ Oakwood ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 38.5-59.5 ตรว. ราคา 3.99 – 8 ล้านบาท พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน และสวนส่วนกลางขนาดใหญ่ ระบบความปลอดภัย 24 ชม. แบบ Double Security พร้อมระบบกันขโมย Magnetic sensor กล้อง CCTV จะเปิดพรีเซลส์ในวันที่ 25-26 ส.ค.นี้ ผู้สนใจสามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.scasset.com หรือสอบถามที่โทร.1749
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศผลงานครึ่งปีแรกเติบโตอย่างแข็งแกร่งเหนือตลาด กำไรเติบโตกว่า 41% พร้อมทำตลาดเชิงรุกต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลัง

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศผลงานครึ่งปีแรกเติบโตอย่างแข็งแกร่งเหนือตลาด กำไรเติบโตกว่า 41% พร้อมทำตลาดเชิงรุกต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลัง

บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) มองเศรษฐกิจไทยมีทิศทางที่ดีขึ้น รับแรงสนับสนุนจากภาคการส่งออกและท่องเที่ยวขยายตัว รวมถึงแผนการลงทุนของภาครัฐ ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลัง หลังจากทำผลงานได้อย่างโดดเด่นในช่วงครึ่งปีแรก โดยรอบ 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯ มียอดรับรู้รายได้ 2,082 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 402 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 41% จากปีก่อนหน้า นับเป็นการขยายตัวติดต่อกันมาตลอด 3 ปี พร้อมกันนี้ เตรียมประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.165 บาท โดยกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 30 สิงหาคม 2561 และจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในวันที่ 7 กันยายน 2561   นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 3 และ 4 ปี 2561 ว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยภาพรวมทั้งปี 2561 น่าจะเห็นการขยายตัวราว 4 – 4.5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดี อีกทั้งเริ่มเห็นสัญญาณการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนมีทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐเริ่มกลับมาขยายตัวในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ดีภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงต้องเฝ้าติดตามการเติบโตของเศรษฐกิจไทย เพราะแม้จะมีการขยายตัว แต่ยังคงเป็นการเติบโตที่กระจุกตัวในบางอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ทรงตัวในระดับสูงเป็นตัวฉุดกำลังซื้อในประเทศ และความเสี่ยงจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งกระทบต่อกำลังซื้อเช่นเดียวกัน ในส่วนปัจจัยเสี่ยงนอกประเทศต้องติดตามประเด็นสงครามการค้าระหว่างประเทศ หากลุกลามอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวเศรษฐกิจของโลกและไทยได้     ทั้งนี้ ในเชิงกลยุทธ์ บริษัทฯ ได้ประเมินทิศทางเศรษฐกิจไว้แล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี จึงมีแผนธุรกิจที่สอดรับกับสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลประกอบการที่เติบโตได้ดี โดยในรอบไตรมาส 2 ปี 2561 บริษัทฯ มียอดรับรู้รายได้รวม 1,119.6 ล้านบาท ขยายตัวราว 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 และมีกำไรสุทธิ 219.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 29% นับเป็นการเติบโตในอัตราที่สูงกว่า 25% ต่อเนื่องตลอดช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ทั้งนี้ในรอบครึ่งปีแรก บริษัทฯ สามารถทำยอดขายใหม่ได้กว่า 2,800 ล้านบาท ซึ่งทำได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ จึงมั่นใจว่าภาพรวมในปีนี้จะสามารถทำได้ดีกว่าเป้าที่ตั้งเอาไว้   สำหรับผลประกอบการรอบ 6 เดือนแรกของปี 2561 บริษัทฯ มียอดรับรู้รายได้ที่ 2,082 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิที่ 402 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 41% จากปีก่อนหน้า ถือเป็นการขยายตัวติดต่อกันมาตลอด 3 ปี ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.165 บาท กำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 30 สิงหาคม 2561 และจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นทุกท่านในวันที่ 7 กันยายน 2561     ในแง่โครงสร้างเงินทุน ถึงแม้ว่าบริษัทฯ มีการขยายโครงการอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงรักษาระดับ Gearing ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากการบริหารจัดการรอบการดำเนินธุรกิจได้เร็ว ทำให้มี Internal Cash Flow มาใช้ในการขยายธุรกิจ ทั้งนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2 บริษัทฯ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.76 เท่า ปรับลดลงจาก ณ สิ้นไตรมาสแรก ซึ่งอยู่ที่ 0.82 เท่า โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนดังกล่าว นับว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรม ซึ่งอยู่ที่ราว 1.40 เท่า ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง และศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อีกมากของบริษัทฯ ในอนาคต   นายชูรัชฏ์ กล่าวถึงแผนธุรกิจในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ของปี 2561 ว่าบริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 2 โครงการภายในเดือนสิงหาคมนี้ และในช่วงที่เหลือของปีคาดว่าจะเปิดโครงการใหม่อีกราว 3 - 4 โครงการ ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ที่กำหนดไว้ ที่เน้นด้าน Quality, CRM และ Service Mind นอกจากนี้เตรียมรุกไปข้างหน้าด้วยการเน้นทำตลาดเชิงรุก ทั้ง Online Marketing และ Offline Marketing โดยเลือกสื่อและเครื่องมือที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าและทำเล ตลอดจนมีการเพิ่มงบประมาณในส่วนของ e-Marketing เนื่องจากเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้เฉพาะเจาะจง ซึ่งช่วยให้การใช้งบการตลาดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ มั่นใจว่าทั้งปี 2561 บริษัทฯ จะสามารถเติบโตได้เป็นตามเป้าหมายยอดรับรู้รายได้ที่ตั้งไว้เมื่อต้นปีที่ 4,000 ล้านบาท อย่างแน่นอน
2 นักธุรกิจชั้นนำรุ่นใหม่ เปิดตัวโครงการ The Strand Thonglor

2 นักธุรกิจชั้นนำรุ่นใหม่ เปิดตัวโครงการ The Strand Thonglor

2 นักธุรกิจชั้นนำรุ่นใหม่ ธัญทิพ เจียรวนนท์ และ ชวิน อรรถกระวีสุนทร ร่วมครีเอทไอเดียสร้างสรรค์ โครงการคอนโดมิเนียม “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ - THE STRAND THONGLOR” สะท้อนนิยามและบริบทใหม่ของที่อยู่อาศัย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Essentially More” และการออกแบบดีไซน์สไตล์ Minimal Luxury พร้อมเปิดทุกรายละเอียดให้ทุกท่านได้สัมผัส ในวันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 12.00 – 15.00 น. ณ ห้องเบญจสิริ แกรนด์ บอลรูม ชั้น 3 โรงแรมบางกอก แมริออท โฮเต็ล สุขุมวิท เผยโฉมครั้งแรกในประเทศไทย กับ คอนโดมิเนียมสุดหรูต้นทองหล่อ กับ โครงการคอนโดมิเนียม “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ - THE STRAND THONGLOR” ที่ได้หนุ่มสาวคนรุ่นใหม่มากความสามารถและประสบการณ์การทำงานระดับโกลบอล อย่าง ธัญทิพ เจียรวนนท์ และ ชวิน อรรถกระวีสุนทร ผู้บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท 1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด แถมได้แบ็กอัพดี อย่างบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ร่วมทุนและให้คำปรึกษา บอกได้คำเดียวเลยว่า คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ที่ใส่ใจทุกรายละเอียดทุกขั้นตอน และตั้งอยู่บนทำเลทองที่ดีที่สุดแห่งเดียวเท่านั้น เตรียมพบการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 12.00 – 15.00 น. ณ ห้องเบญจสิริ แกรนด์ บอลรูม ชั้น 3 โรงแรมบางกอก แมริออท โฮเต็ล สุขุมวิท
“ORI” โชว์ผลงานครึ่งปีแรก กำไรนิวไฮทะยาน 267% สูงสุดในกลุ่ม

“ORI” โชว์ผลงานครึ่งปีแรก กำไรนิวไฮทะยาน 267% สูงสุดในกลุ่ม

“ออริจิ้น” เปิดผลงานครึ่งปีแรก 2561 โชว์กำไร 1,508 ล้านบาท โต 267% (YoY) เหตุโปรโมชั่นใหม่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ดันยอดขายยอดโอนพุ่งกระฉูด เร่งเดินหน้าจัดโปรต่อเนื่อง ดึงกำลังซื้อ พร้อมลุยโครงการใหม่ครึ่งปีหลังกว่า 21,000 ล้านบาท   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) ไนท์บริดจ์ (Knightsbridge) นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill) เคนซิงตัน (Kensington) และโครงการแนวราบแบรนด์บริทาเนีย (Britania) เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีแรก 2561 จะมีอัตราการเติบโตแบบทรงตัว แต่บริษัทก็สามารถสร้างผลการดำเนินงานก้าวกระโดดได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ โดยบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 6,657 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 224% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก 2560 (%YoY) และคิดเป็น 45% ของเป้าหมายรายได้รวมที่ 15,000 ล้านบาท   สาเหตุหลักมาจากบริษัทมียอดรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมต่อเนื่องจากปี 2560 และมีโครงการใหม่ที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มอีก 5 โครงการ คือ โครงการ ไนท์บริดจ์ ติวานนท์ โครงการ พาร์ค 24 (เฟส 2) , โครงการ นอตติ้งฮิลล์ แหลมฉบัง , โครงการ นอตติ้งฮิลล์ สุขุมวิท-แพรกษา และโครงการ เคนซิงตัน เกษร แคมปัส และโปรโมชั่นกระตุ้นการขายกลุ่ม Ready to move ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคภายใต้ชื่อ “โปรเหนือเมฆ” ที่ให้ลูกค้าสามารถผ่อนห้องชุดได้ในราคาพิเศษเพียงล้านละ 999 บาทต่อเดือน นานเวลา 3 ปี   ด้านกำไรสุทธิประจำไตรมาส 2/2561 อยู่ที่ 1,019 ล้านบาท เติบโตขึ้น 327% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 24.4% ในขณะที่กำไรสุทธิครึ่งปีแรกรวม อยู่ที่ 1,508 ล้านบาท เติบโตขึ้น 267% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 22.7% อันเนื่องมาจากโครงการใหม่แล้วเสร็จ และหลายโครงการสามารถสร้างเสร็จและรับรู้รายได้ได้เร็วกว่าแผน รวมถึงการรับรู้รายได้จากการบริหารโครงการที่ร่วมลงทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ได้ตามแผน ทำให้ทั้งรายได้และกำไรของบริษัทในครึ่งปีแรกนี้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง   “บริษัทยังสามารถสร้างยอดขายในไตรมาส 2/2561 ได้ 6,075 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 11,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 165% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก 2560 (%YoY) และคิดเป็น 56% ของเป้าหมายยอดขายที่ 20,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าโครงการของบริษัทเป็นที่ต้องการของลูกค้า ประกอบกับโปรโมชั่นที่จัดทำขึ้นสามารถช่วยตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อได้เป็นอย่างดี โดยในช่วงไตรมาส 3/2561 บริษัทยังคงดำเนินโปรโมชั่นดังกล่าว ภายใต้ชื่อ โปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 ควบคู่โปรโมชั่นอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้มั่นใจได้ว่าในปีนี้บริษัทจะมียอดขายทะลุ 20,000 ล้านบาท และมีรายได้รวมถึง 15,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน” นายพีระพงศ์ กล่าว   นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ในครึ่งปีหลัง 2561 นี้ บริษัทมีแผนจะเปิดโครงการใหม่มูลค่ากว่า 21,000 ล้านบาท ซึ่งรวมถึงโครงการมิกซ์ยูสภายใต้แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น 3 ทำเล ซึ่งถือเป็นโครงการไฮไลท์ของบริษัทในปีนี้ และโครงการแนวราบที่จะเปิดตัวเพิ่มอีก 3 โครงการ
ซีคอนโฮม พาเยี่ยมชมโรงงาน

ซีคอนโฮม พาเยี่ยมชมโรงงาน

บริษัท ซีคอนโฮม จำกัด บริษัทรับสร้างบ้านรายแรกในประเทศไทย จัดกิจกรรม “รู้จริง เห็นจริง ก่อนสร้างบ้าน” ที่เดียวจบ ครบทุกเรื่องสร้างบ้าน สำหรับลูกค้าและผู้สนใจที่กำลังอยากสร้างบ้านบนพื้นที่ของตัวเอง เข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูป SCS ซอยอ่อนนุช 46 ชมขั้นตอนการผลิตโครงสร้างและชิ้นส่วนของบ้านสำเร็จรูปตาม “ระบบซีคอน”ที่บริษัทได้คิดค้นและพัฒนาเป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย เพื่อควบคุมมาตรฐานความแข็งแรงของโครงสร้างและชิ้นต่างๆ จนได้รับมาตรฐาน ISO 9001:2008 รวมทั้งสามารถลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความรวดเร็วในการติดตั้ง ซึ่งเป็นที่ยอมรับด้วยประสบการณ์และผลงานการรับสร้างบ้านมานานกว่า 57 ปี รวมทั้งพาชมบ้านที่กำลังก่อสร้าง นอกจากนี้ยังให้ความรู้เกี่ยวกับวัสดุ สุขภัณฑ์ภายในบ้านพร้อมชมของจริงกันที่ Grand Home Mart ถนนบางนา-ตราด พร้อมการบรรยายเรื่อง ฮวงจุ้ยกับการสร้างบ้าน เรียกว่ามางานเดียวทำให้ทุกขั้นตอนเรื่องการสร้างบ้านจริงๆ
บ้านในคอนเซป “ใส่ใจ..เพื่อทั้งชีวิต”ฉบับพฤกษา

บ้านในคอนเซป “ใส่ใจ..เพื่อทั้งชีวิต”ฉบับพฤกษา

เมื่อพูดถึงพฤกษา เรียลเอสเตท คงไม่มีใครไม่รู้จัก บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่เจ้านี้ เมื่อกลางปีที่ผ่านมา PRUKSA รีแบรนด์ครั้งใหญ่ โดยนำเอาวิสัยทัศน์และแนวคิด ไปสู่การปฎิบัติอย่างจริงจัง จากภายในสู่ภายนอก ภายใต้ Brand Idea “PRUKSAใส่ใจ...เพื่อทั้งชีวิต” เน้นให้พนักงานทุกคน มุ่งมั่นทุ่มเทใส่ใจในทุกๆรายละเอียด ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อมอบบ้านที่มีคุณภาพให้กับทุกครอบครัว ซึ่งในเรื่องพื้นฐานของความใส่ใจนั้นมาจากความเจตนารมณ์ตั้งแต่วันแรกของผู้ก่อตั้งพฤกษา คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ นั่นคือ “อยากให้ทุกคนมีบ้านที่อยู่แล้วมีความสุขที่สุด เพราะบ้านคือการลงทุนทั้งชีวิต” และถึงแม้จะเวลาจะผ่านไปกว่า 25 ปี ความตั้งใจนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยน...     ด้วยพื้นฐานความเป็นวิศวกรของคุณทองมา จึงได้นำนวัตกรรมการก่อสร้างเข้ามาปรับใช้ในองค์กรอย่างสม่ำเสมอ โดยพฤกษาเป็นเจ้าแรกๆ ที่ได้นำนวัตกรรมการก่อสร้างแบบพรีคาสท์จากเยอรมันเข้ามาใช้อย่างจริงจังในไทย ทำให้พฤกษาโดดเด่นในเรื่องการใช้ พฤกษา พรีคาสท์ แผ่นผนังที่ผลิตในโรงงานที่ทันสมัยระดับโลก มาใช้ในการก่อสร้าง เพื่อส่งมอบบ้านที่มีคุณภาพให้กับผู้ซื้อ ซึ่งบ้านที่ก่อสร้างด้วย “พฤกษา พรีคาสท์” ใช้ระบบผนังรับน้ำหนักด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งแผ่น จึงแข็งแรงกว่าระบบเสา-คานทั่วไป แข็งแรงทนทานกว่าบ้านที่สร้างด้วยวิธีก่ออิฐฉาบปูนธรรมดาถึง 3 เท่าและมีอายุการใช้งานยาวนาน นอกจากนี้ผนังพรีคาสท์ยังช่วยลดเสียงรบกวนจากภายนอกได้ด้วย ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้จึงมั่นใจได้ว่า บ้านที่ก่อสร้างด้วยระบบพฤกษา พรีคาสท์ จะมั่นคง แข็งแรง และปลอดภัยสำหรับทุกสมาชิกในครอบครัว     นอกจากความแข็งแรงของตัวบ้านแล้ว พฤกษายังใส่ใจในรายละเอียดทั้งเรื่องคุณภาพและฟังก์ชั่นการใช้งานภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วัสดุ อาทิ เลือกใช้เสาเข็มที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากมอก. การใช้หลอดไฟ LEDประหยัดพลังงาน ไปจนถึงการคิดเผื่อลูกค้า ด้วยการเสริมความแข็งแรงของพื้นที่หลังบ้านทาวน์เฮาส์ด้วยเสาเข็มขนาดยาวลึกเท่าตัวบ้าน เพื่อรองรับการใช้งานให้เป็นพื้นที่เอนกประสงค์ของลูกค้า การออกแบบบ้านดัวยแนวคิดบ้านหายใจได้ หรือ ออกแบบระบบไหลเวียนอากาศภายในบ้าน โดยใช้แนวคิดการดึงอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้าสู่ตัวบ้าน ทำให้อากาศภายในบ้านถ่ายเทได้ดีขึ้น ลดกลิ่นอับ ดีต่อสุขภาพ และช่วยลดความร้อนในตัวบ้าน ทำให้ประหยัดไฟจากการใช้เครื่องปรับอากาศอีกด้วย ซึ่งทำให้โครงการ “เดอะคอนเนค”หนึ่งในแบรนด์ของพฤกษาได้รับรางวัลบ้านจัดสรรอนุรักษ์พลังงานดีเด่น ปี 2560 นอกจากนี้พฤกษายังใส่ใจในการเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต ด้วยการ เพิ่มระบบHome Automation หรือระบบอัจฉริยะที่สามารถควบคุมและสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านผ่านSmart Phone พร้อมกล้อง CCTV ที่มีระบบป้องกันขโมย ป้องกันอัคคีภัย หากตรวจพบควันในห้อง ระบบจะส่งสัญญาณแจ้งเตือนเข้าโทรศัพท์ และยังสามารถมองเห็นภาพภายในบ้านผ่านกล้องวงจรปิดได้ หรืออย่างในโครงการคอนโดมิเนียมก็ได้นำDigital Technology อาทิ ระบบ Smart Access System ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกในการเข้า-ออกโครงการของลูกค้า การแจ้งข่าวสาร และบริการต่างๆ ผ่าน Mobile Application ครอบคลุมถึงระบบควบคุมไฟฟ้าภายในห้องพักที่สะดวกสบาย และสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดี รวมไปจนถึงใส่ใจในการออกแบบบ้านให้รองรับสังคมสูงวัย เช่น เพิ่มทางลาดชันในโครงการ เพิ่มห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องนอนชั้นล่าง และการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆเพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยแก่ผู้สูงอายุ   ซึ่งทั้งหมดนี้พฤกษายังคงไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาปรับปรุงทุกกระบวนการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบบ้านและการบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า โดยมุ่งมั่นใส่ใจในรายละเอียดทุกมุม เพื่อทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุด สามารถติดตามความใส่ใจจากพฤกษาเพิ่มเติม ได้ที่ www.pruksa.com.
แนวโน้มการเติบโต และการเปลี่ยนแปลงของตลาดรีเทล

แนวโน้มการเติบโต และการเปลี่ยนแปลงของตลาดรีเทล

จากการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอสังหาฯ เป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยธุรกิจรีเทลเป็นธุรกิจที่มีความน่าสนใจในตลาดอสังหาฯ เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมา ตลาดรีเทลของไทยเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว สวนทางกับตลาดรีเทลในประเทศอื่นๆ ที่โดนผลกระทบจากตลาดออนไลน์และการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของพฤติกรรมผู้บริโภค ตลาดรีเทลเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ผู้ประกอบการต่างเร่งพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพื่อแข่งขันอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นโครงการขนาดเล็กหรือใหญ่ โดยตั้งแต่ศูนย์การค้าอย่างสยามพารากอนเปิดให้บริการเมื่อปี พ.ศ. 2549 เป็นเหตุให้ศูนย์การค้าชั้นนำหลายแห่งทำการปรับปรุงพื้นที่ โดยเฉพาะย่านพระราม 1 ราชประสงค์ เพลินจิต และสุขุมวิท พื้นที่เช่าเฉลี่ยในย่านนี้ ซึ่งคลอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่หัวถนนพระราม 1 สยามดิสคอวเวอรี่ ตลอดแนวจนถึงสุขุมวิทตอนกลาง และเอ็มควอเทียร์ ในปัจจุบันมีอัตราว่างของพื้นที่เฉลี่ยน้อยกว่า 5% อีกทั้งค่าเช่ายังเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ร้านค้าอาจต้องรอเป็นปีเพื่อให้ได้พื้นที่เช่าในห้างดังหลายๆแห่ง ปัจจุบันธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มเป็นธุรกิจหลักในการดึงดูดลูกค้าของห้าง โดยใช้สื่อออนไลน์เป็นกลยุทธ์ในการดึงดูดลูกค้าจากทั้งในและต่างประเทศ ทั้งนี้อัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวในประเทศไทยยังเป็นแรงผลักดันที่สำคัญต่อตลาดรีเทลของไทยอีกด้วย โดยในปีที่ผ่านมารายได้จากนักท่องเที่ยวเติบโตร้อยละ 11.66 เกษร ทาวเวอร์เป็นซัพพลายล่าสุดในย่านพระราม1-สุขุมวิท ซึ่งทำการเปิดตัวเมื่อปีที่แล้วด้วยพื้นที่เช่าเชิงพาณิชยกรรมกว่า 10,000 ตารางเมตร ทำให้ตลาดรีเทลในย่านพระราม1-สุขุมวิท มีพื้นที่เช่ารวมที่ประมาณ 660,000 ตารางเมตร ค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3,900 บาท/ตารางเมตร/เดือน และมีอัตราการเช่าที่ 96.4% แต่อย่างไรก็ตาม ที่ดินขนาดใหญ่ในย่านพระราม 1 ราชประสงค์ต่อเนื่องไปถึงสุขุมวิทตอนกลางในปัจจุบันหาได้ยากมากและราคาที่ดินสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้มีซัพพลายใหม่ๆในย่านนี้เกิดขึ้นอย่างจำกัด ผู้ประกอบการจึงให้ความสนใจในการเช่าที่ดินระยะยาวมากขึ้น พร้อมกันนี้ยังมองหาทำเลใหม่ๆในโซนอื่นของกรุงเทพฯและปริมณฑลมากขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ จากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในยุคปัจจุบัน ผู้ประกอบการต้องเตรียมรับมือกับพฤติกกรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป หลายผู้ประกอบการเริ่มให้ความสนใจในการเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด นายธีรวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด กล่าวว่า “ตอนนี้มีหลายธุรกิจที่ต้องการเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหาร โคเวิร์กกิ้ง สเปซ หรือแม้กระทั้ง ศูนย์บริการความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ โดยมองว่าเป็นสิ่งที่น่าจับตามองและเป็นโอกาสที่ดีของหลายธุรกิจ ซึ่งส่งผลต่อรูปแบบของตลาดรีเทลไทย” นอกจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยียังเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตประจำวันโดยเทคโนโลยีได้เข้ามาช่วยให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น พร้อมกันนี้ ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่หันมาให้ความสนใจกับสุขภาพอย่างจริงจัง โดยจะเห็นได้จากกิจกรรมเพื่อสุขภาพต่างๆที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคยังต้องการความสะดวกสบายที่จะเข้าถึงสุขภาพที่ดี จึงทำให้เกิดธุรกิจเพื่อสุขภาพเช่นฟิตเนสหรือคลาสสุขภาพต่างๆ โดยสถานที่ออกกำลังกายกระจายอยู่ในแทบทุกอาคารโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาคารที่อยู่อาศัยอย่างคอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้าหรือคอมมูนิตี้มอลล์ รวมถึงอาคารสำนักงานต่างๆ ธุรกิจฟิตเนสในไทยเป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา หลายแบรนด์ดังมีแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ฟิตเนสเชนส่วนมากจับกลุ่มตลาดระดับบนและส่วนมาก ฟิตเนสระดับกลางจะเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ทำให้เกิดช่องว่างทางการตลาดของฟิตเนสระดับกลาง เมื่อความสะดวกสบายและเทรนด์สุขภาพมารวมกัน จึงทำให้เกิดโมเดลธุรกิจเพื่อสุขภาพ 24 ชั่วโมง โดยฟิตเนสที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง อย่างน้อย 3 แบรนด์ จากต่างประเทศเล็งเห็นถึงช่องว่างและความเป็นไปได้ทางการตลาดในไทย และได้เข้ามาเป็นผู้เล่นใหม่ในตลาด แต่ละรายพยายามหาพื้นที่เช่าที่แตกต่างออกไปจากฟิสเนสที่เคยเห็นอยู่ในปัจจุบัน โดยความต้องการหลักคือต้องการเช่าพื้นที่ชั้นล่าง ที่มองเห็น – เข้าออก - เดินทางได้สะดวก แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจถึงความต้องการและยอมรับ “คงต้องใช้เวลาซักพักที่จะทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการหลายๆ รายว่า ฟิตเนสจะสามารถเป็นตัวดูดลูกค้าเข้ามาในพื้นที่ได้เหมือนสตาร์บัคหรือแมคโดนัล” นายธีรวิทย์กล่าว อนาคตตลาดรีเทลยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีเสน่ห์ที่น่าสนใจ สิ่งที่จะท้าทายผู้ประกอบการคือ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง และส่งผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำอย่างไรที่จะดึงจุดเด่นทางเทคโนโลยีเข้ามาสร้างความแตกต่าง เพื่อให้สามารถแข่งขันและตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภคได้สูงสุด
ซีคอนโฮมจับมือ แกรนด์โฮมมาร์ท เลือกวัสดุตามฮวงจุ้ย

ซีคอนโฮมจับมือ แกรนด์โฮมมาร์ท เลือกวัสดุตามฮวงจุ้ย

บริษัท ซีคอนโฮม จำกัด บริษัทรับสร้างบ้านรายแรกในประเทศไทย จับมือร่วมกับพันธมิตร บริษัท แกรนด์โฮมมาร์ท จำกัด จัดกิจกรรม “รู้จริง เห็นจริง ก่อนสร้างบ้าน” ที่เดียวจบ ครบทุกเรื่องสร้างบ้าน ให้กับผู้ที่กำลังสร้างบ้านและเลือกสรรของตกแต่งภายในบ้าน ซึ่งได้มีการให้ความรู้เกี่ยวกับเลือกใช้วัสดุต่างๆ สำหรับใช้ในบ้าน และพาชมสินค้าต่างๆ พร้อมบรรยายเรื่อง ฮวงจุ้ยกับการสร้างบ้าน โดยมี คุณมนู ตระกูลวัฒนะกิจ (ยืนกลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอนโฮม จำกัด และนางประไพ ทยานุวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แกรนด์โฮมมาร์ท จำกัด(ที่ 2 จากซ้าย) ร่วมให้การต้อนรับ ณ Grand Home Mart ถนนบางนา-ตราด
ออลล์ อินสไปร์ฯ จัดเต็มส่งแคมเปญใหญ่ “สายเปย์ เทไม่อั้น” กับ 8 โครงการคุณภาพ ในงาน “Home Buyer Expo” อภิมหกรรม บ้าน-คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี 2018

ออลล์ อินสไปร์ฯ จัดเต็มส่งแคมเปญใหญ่ “สายเปย์ เทไม่อั้น” กับ 8 โครงการคุณภาพ ในงาน “Home Buyer Expo” อภิมหกรรม บ้าน-คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี 2018

งานดีๆ โปรโมชั่นถูกใจ มีมาให้กับลูกค้าที่กำลังมองหาคอนโดคุณภาพเยี่ยม บนทำเลศักยภาพ ได้เลือกสรรกันอีกแล้ว กับค่าย ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ โดยผู้บริหารหนุ่มไฟแรง คุณธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จัดหนักจัดเต็ม กับแคมเปญใหญ่ “สายเปย์ เทไม่อั้น” ยกทัพโครงการคุณภาพบนทำเลศักยภาพกว่า 8 โครงการ อาทิ โครงการ ดิ เอ็กเซล คูคต โครงการ ไรส์ พระราม 9 โครงการ ดิ เอ็กเซล รัชดา - ห้วยขวาง โครงการ ไรส์ พหล-อินทามระ และโครงการใหม่ล่าสุด ดิ เอ็กเซล ลาซาล 17 พร้อมพบกับโปรโมชั่นพิเศษสุดเฉพาะในงานเท่านั้น ส่วนลดสูงสุดถึง 200,000 บาท* พลาดไม่ได้กับโอกาสดีๆ ในการเป็นเจ้าของห้องชุดตกแต่งพร้อม ราคาพิเศษก่อนใครพบกันได้ที่งาน “Home Buyer Expo” อภิมหกรรม บ้าน-คอนโดฯ และสินเชื่อแห่งปี 2018 ในวันที่ 16 – 19 สิงหาคม นี้ตั้งแต่เวลา10.00 – 21.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โซน CG ตำแหน่ง G 14 สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Contact Center 02 029 9999 หรือ www.allinspire.co.th
พฤกษา เผยหมัดเด็ดครึ่งปีหลัง เดินหน้าการตลาดรูปแบบใหม่  พร้อมปรับพอร์ตรุกหนักคอนโด

พฤกษา เผยหมัดเด็ดครึ่งปีหลัง เดินหน้าการตลาดรูปแบบใหม่ พร้อมปรับพอร์ตรุกหนักคอนโด

  พฤกษา เรียลเอสเตท ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์ เผยกลยุทธ์หมัดเด็ดครึ่งปีหลัง เดินหน้าการตลาดรูปแบบใหม่ เล็งปรับพอร์ตรุกคอนโดตั้งเป้ารายได้ระยะยาว เปิดโครงการไฮไลท์เพียบ พร้อมเพิ่มช่องทางขายใหม่ให้เข้ากับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละกลุ่ม   นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ว่า “ในครึ่งปีแรกบริษัทฯ มียอดขายรวม 24,376 ล้านบาท รายได้ 19,282 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,426 ล้านบาท เปิดโครงการใหม่แล้ว 26 โครงการ มูลค่า 19,900 ล้านบาท โดยในครึ่งปีหลังจะเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 42 โครงการ มูลค่ารวม 41,500 ล้านบาท โดยมีโครงการไฮไลท์หลายโครงการทั้งในกลุ่มธุรกิจพรีเมียม และกลุ่มธุรกิจแวลู อาทิ “เดอะรีเซิร์ฟ สาทร” “ภัสสร บางนา-วงแหวน” “เดอะไพรเวซี่ จตุจักร”, และ “พฤกษาวิลล์ รามคำแหง-วงแหวน” โดยจะใช้กลยุทธ์การตลาดรูปแบบใหม่ที่เน้นคุณภาพและสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ สร้างความแตกต่างของโปรดักส์ให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการใช้สื่อดิจิตอลในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย นอกจากนี้ในกลุ่มทาวน์เฮาส์จะมุ่งรักษาความเป็นเจ้าตลาดทาวน์เฮาส์อย่างต่อเนื่อง โดยจะขยายตลาดไปยังต่างจังหวัดในหัวเมืองใหญ่ และในเขต EEC มากขึ้น   อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้เพิ่มช่องทางการขาย New Sales Channel อีก 3 ช่องทางได้แก่ “โบรกเกอร์” ซึ่งจะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าคอนโดมิเนียมที่เป็นชาวต่างชาติได้มากยิ่งขึ้น “B2B” การมอบส่วนลดพิเศษกับองค์กรพันธมิตรกับพฤกษา ปัจจุบันมีองค์กรที่เป็นพาร์ทเนอร์แล้วถึง 1,314 แห่ง (รวมบริษัทในเครือ) โดยในครึ่งปีแรกมียอดขายจากสองช่องทางใหม่นี้ คิดเป็นสัดส่วนถึง 28% ของยอดขายทั้งหมด และอีกช่องทางการขายที่เพิ่มขึ้นได้แก่ Pruksa Member ที่เน้นให้สมาชิกพฤกษาแนะนำผู้ซื้อ ซึ่งผู้แนะนำจะได้รับสิทธิพิเศษตามเงื่อนไขที่กำหนด ที่ผ่านมาพบว่า 47% ของลูกค้าที่ถูกแนะนำจะซื้อที่อยู่อาศัยของพฤกษา และที่สำคัญเรามีฐานข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าขนาดใหญ่มากกว่า 1 ล้านข้อมูล ซึ่งจะช่วยเข้าถึงกลุ่มลูกค้าต่างๆ ที่อยู่ในฐานข้อมูลเพื่อผลักดันยอดขายได้ดียิ่งขึ้น”   ด้านความคืบหน้าของการลงทุนในธุรกิจเฮลท์แคร์นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงพยาบาลวิมุต คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 ซึ่งระหว่างนี้มีแผนเปิดคลีนิค “บ้านหมอวิมุต” ซึ่งเป็นคลินิกที่เปิดให้บริการรักษาโรคทั่วไป รวมถึงให้คำปรึกษาด้านสุขภาพกับผู้อาศัยในชุมชน เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ต่อยอดจากโรงพยาบาลวิมุต โดยจะเปิดโครงการนำร่องให้บริการที่แรกในย่านรังสิต คลอง 3 จ.ปทุมธานี ในช่วงปลายปีนี้ ซึ่งย่านรังสิตถือเป็นแหล่งชุมชนขนาดใหญ่ และมีโครงการของพฤกษาอยู่เป็นจำนวนมาก และจะขยายไปยังชุมชนอื่นต่อไปในอนาคต นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในครึ่งปีหลังจะมีการปรับพอร์ตเน้นเปิดโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้น เพื่อเป็นการวางเป้าหมายรายได้ในระยะยาว โดยจะเปิดโครงการคอนโดมิเนียมเพิ่มอีก 10 โครงการ คิดเป็น 40% ของพอร์ตรวมทั้งหมด ซึ่งมีหลากหลายทำเลทั้งใจกลางเมืองย่านธุรกิจและตามแนวรถไฟฟ้า คาดว่าจะช่วยเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ในกลุ่มคอนโดได้มากยิ่งขึ้น ในส่วนของบ้านเดี่ยวจะเน้นการสร้างความแตกต่างทั้งในด้านของดีไซน์ ฟังก์ชั่น สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ และนวัตกรรมการอยู่อาศัย ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าให้มากที่สุด และในครึ่งปีหลังนี้จะมีการรับรู้รายได้จากการโอนคอนโดมิเนียมจำนวน 4 โครงการ ได้แก่ พลัมคอนโด ปิ่นเกล้า สเตชั่น, พลัมคอนโด รามคำแหง สเตชั่น, เออร์บาโน่ ราชวิถี และแชปเตอร์วัน อีโค รัชดา-ห้วยขวาง มูลค่าราว 12,200 ล้านบาท ประกอบกับแนวโน้มของอัตราการปฏิเสธธนาคารของลูกค้าพฤกษาในครึ่งปีแรกที่ผ่านมาซึ่งอยู่ในระดับต่ำเพียง 4.6% จากกลยุทธ์บ้านพร้อมขาย (Ready to Move in) และ Pre-Approve ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ จึงคาดว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายรายได้ตามแผนที่วางไว้อย่างแน่นอน”
ธารารมณ์มอบโปรฯ สุดฮีทให้ลูกค้า พร้อมโรดโชว์ตลอดสิงหานี้

ธารารมณ์มอบโปรฯ สุดฮีทให้ลูกค้า พร้อมโรดโชว์ตลอดสิงหานี้

อสังหาฯ แห่งค่ายธารารมณ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ เตรียมความพิเศษให้ลูกค้าตลอดเดือนสิงหาคมนี้กับโปรฯ Hot & Heat Price พร้อมโรดโชว์และข้อเสนอสุดพิเศษเพิ่มเฉพาะที่บูธเท่านั้น กับบ้านเดี่ยว 3 โครงการใน 2 ทำฮอตทั้งการเดินทางที่สะดวกสบายบนทำเลแนวรถไฟฟ้าสายสีส้มและใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน และฮีทกับราคาพิเศษสุดให้เป็นเจ้าของได้ง่าย ๆ ในงาน Home Buyers’ Expo 2018 ระหว่างวันที่ 16-19 สิงหาคม 2561 ที่บูธ G47 โซน CG ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และ งาน Home @Mall ระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม – 5 กันยายน 2561 บริเวณชั้น G ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ โอกาสสุดฮีทมีเฉพาะเดือนนี้เท่านั้น
“เสนา ฮันคิว” โชว์โครงการแฟล็กชิพบริบทใหม่ “ปีติ เอกมัย”  พลิกโฉมที่อยู่อาศัยเน้นบริการระดับเวิล์คลาส

“เสนา ฮันคิว” โชว์โครงการแฟล็กชิพบริบทใหม่ “ปีติ เอกมัย” พลิกโฉมที่อยู่อาศัยเน้นบริการระดับเวิล์คลาส

เสนา ฮันคิว เปิดชมโครงการแฟล็กชิพครั้งแรก “ปีติ เอกมัย” คอนโดมิเนียมระดับลักชูรี่แบรนด์ใหม่ล่าสุด มูลค่าโครงการกว่า 5,000 กว่าล้านบาท พลิกโฉมที่อยู่อาศัยเน้นบริการระดับเวิล์คลาสรูปแบบใหม่ตอบโจทย์ลูกค้าคนเมือง ด้านไนท์แฟรงค์ วิเคราะห์ทำเลเอกมัย ชี้กำลังซื้อลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติยังไปได้สวย ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง โครงการแฟล็กชิพ “ปีติ เอกมัย (PITI EKKAMAI)” คอนโดมิเนียม Segment ลักชูรี่แห่งแรกภายใต้การร่วมทุนบริษัท เสนา ฮันคิว จำกัด และเป็นโครงการร่วมทุนที่มีมูลค่าสูงสุดในปีนี้กว่า 5,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพย่านเอกมัย โดยการนำหลักปรัชญาชีวิตจากแนวคิดญี่ปุ่น “IKIGAI (อิคิไก)” เข้ามาใช้ผสมผสานทุกรายละเอียดของงาน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Good Living is The New luxury” โดยการนำโปรดักส์และพื้นที่ส่วนกลางมาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพื่อให้เป็นที่พักอาศัยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวพรั่งพร้อมด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานอันหลากหลายมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนไทยได้อย่างลงตัว บนทำเลคุณภาพและทุกๆช่วงเวลาของทุกวันเป็นการใช้ชีวิตที่มีความสุขและมีคุณค่าบนพื้นที่ส่วนกลางกว่า 1,900 ตารางเมตร ใหญ่ที่สุดในย่านเอกมัย โครงการ “ปีติ เอกมัย (PITI EKKAMAI)” พร้อมเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบและเพื่อให้ทุก Moment ของปีติมีความสุขและมีคุณค่า ดังนี้ · ฟังก์ชั่นการใช้งานตอบโจทย์ความสุขทุกมิติการอยู่อาศัย โครงการตั้งอยู่ใจกลางเอกมัย (ช่วงบริเวณซอยเอกมัย 26) โดยลักษณะเป็นอาคารสูง 37 ชั้น รวมทั้งหมด 879 ยูนิต และร้านค้า 3 ยูนิต แบ่งเป็นแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 29 – 40 ตารางเมตร และแบบ 2 ห้องนอน 51 – 64 ตารางเมตร ในราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 170,000 บาทต่อตรม. หรือ 4.45 ล้านบาทต่อยูนิต*โดยเริ่มก่อสร้างในปี 2562 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2564 · หนึ่งเดียวบนทำเลศักยภาพที่ดินผืนงามย่านเอกมัย ทำเลที่มีครบทุกเช็คลิสต์สำหรับผู้ที่มองหาคอนโด เพราะเป็น Prime Area ย่านไลฟ์สไตล์ทันสมัยและมีระดับ ศูนย์รวมธุรกิจชั้นนำของกรุงเทพฯ รองรับทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ อาทิ Park Lane คอมมูนิตี้มอลล์ ,Health Land,Gate way Ekkamai ,Big C เป็นต้น และโรงพยาบาลคามิลเลียน โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ใกล้สถานศึกษาชั้นนำ เช่น โรงเรียนนานาชาติ SP International Kindergarten, Ekkamai International School · โดดเด่นด้วยพื้นที่ส่วนกลางบนชั้น 37 กว่า 1,900 ตารางเมตรใหญ่ที่สุดและตอบโจทย์การใช้งานได้มากกว่าพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบและสมบูรณ์แบบที่สุดบนถนนเอกมัย ประกอบด้วย Sky Fitness ,สระว่ายน้ำระบบเกลือ วิว Panorama , Kid ‘ s Pool, Jacuzzi Pool ,Hydro Pool,Boxing Zone,Yoga Zone , Golf simulator, Library, Spa, Sauna, Steam, Tree House , Sky park, lkigai room , Leveling lawn · สถาปัตยกรรมเอกลักษณ์เฉพาะ “Third Place” แลนด์มาร์คแห่งใหม่บนเอกมัย ประกอบด้วย Convenient Store ,Restaurant ,Casa Lapin Coffee Shop ,Co – working Space และ Digital Service : Wash Box ,Smart Locker ,Vending Machine ,Refun (ตู้หยอดขวดพลาสติก) · บริการเอ็กซ์คลูซีฟเหนือระดับ อาทิ Midnight Reception and Butler Service Laundry Service Shop ,Parking Guidance Systems ,Access Control · เทคโนโลยีล้ำด้วย 360 องศา Application เฉพาะทาร์เก็ตลูกค้าปีติ เอกมัย เติมเต็มทุกช่วงเวลาให้คุณได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น fixzy บริการที่จะช่วยดูแลรักษา และ ซ่อมแซมบ้านจากมืออาชีพ Shuttle Car Service Feeder และ Smart Locker บริการ 24 ชั่วโมง พร้อมแจ้งเตือนไปยัง Application ได้ทุกช่วงเวลา · ที่จอดรถมากสุดในย่านเอกมัย คิดเป็น 70% (612 คัน)   ด้านคุณพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด พูดถึงตลาดคอนโดมิเนียมย่านทองหล่อ-เอกมัย ซึ่งขอบเขตพื้นที่ศึกษาครอบคลุมตั้งแต่ถนนสุขุมวิทซอย 55 ถึงสุขุมวิทซอย 63 จากการสำรวจและวิจัย พบว่ามีอุปทานสะสมในพื้นที่นี้ตั้งแต่ปี 2551 ถึงครึ่งปีแรกของปี 2561 รวมทั้งสิ้น 6,112หน่วย โดยปี 2554 เป็นปีที่มีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดสูงสุดถึง 1,268 หน่วย เติบโตกว่า 365% เมื่อเทียบกับปี 2551 อย่างไรก็ตาม อุปทานใหม่ระหว่างปี 2555 – 2557 ได้ปรับตัวลดลงอยู่ในระดับคงตัวเฉลี่ย 330 หน่วยต่อปี และลดลงต่ำสุดเหลือเพียง 88 หน่วย ในปี 2558 ทั้งนี้ตลาดกลับมาคึกคักอีกครั้งในปี 2559-2560 มีอุปทานใหม่เข้ามาเฉลี่ย 914 หน่วยต่อปี ส่วนครึ่งปีแรกของปี 2561 มีคอนโดมิเนียมใหม่เข้าสู่ตลาด 220 หน่วย เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง คาดว่ามีอีกไม่ต่ำกว่า 2,800 หน่วย ที่จะทยอยเปิดตัวภายในปีนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น ในปี 2561 ทั้งปีจะมีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดสูงถึง 3,000 หน่วย สูงที่สุดในรอบ 11 ปีเลยทีเดียว และเป็นที่น่าสังเกตว่ากว่า 40% ของคอนโดมิเนียมที่จะเปิดใหม่ทั้งหมดอยู่ในพื้นที่เอกมัย ซึ่งเป็นสัญญาณค่อนข้างชัดเจนว่าทำเลนี้ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ประกอบการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีศักยภาพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยปัจจัยหนุนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้งซึ่งรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยสะดวกครบครัน นอกจากนี้ยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากทองหล่อ ในขณะที่ราคาสามารถเอื้อมถึงได้มากกว่า ด้านอุปสงค์พบว่าคอนโดมิเนียมที่เปิดขายในทำเลทองหล่อ-เอกมัยได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ซื้อทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยโครงการที่เปิดตัวระหว่างปี 2551 – 2559 นั้น ณ. ปัจจุบันได้ปิดการขายไปหมดแล้ว ส่วนโครงการที่เปิดตัวในปี 2560 และครึ่งแรกของปี 2561 ณ ปัจจุบันมียอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 70% และ 35% ตามลำดับ สาเหตุที่ยอดขายของโครงการใหม่ในครึ่งปีแรก 2561 ยังไม่หวือหวา คาดว่าเกิดจากการที่ผู้ซื้อรอดูโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในครึ่งปีหลังเพื่อเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจ ส่วนราคาห้องชุดพบว่ามีขายโดยเฉลี่ยของโครงการเปิดใหม่ในพื้นที่ทองหล่อ-เอกมัย (ณ.สิ้น มิ.ย. 2561) อยู่ที่ประมาณ 248,000บาท/ตร.ม. ทองหล่อมีราคาขายเฉลี่ยประมาณ 317,000 บาท/ตร.ม. และเอกมัยมีราคาขายเฉลี่ยประมาณ 180,000 บาท/ตรม. ที่มา :ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย อย่างไรก็ดีย่านทองหล่อ – เอกมัย ถือว่ายังเป็นทำเลที่มีศักยภาพมากที่สุดบนถนนสุขุมวิท ด้วยปัจจัยหนุนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งซึ่งอยู่ใจกลางเมือง สามารถเข้าออกได้จากหลากหลายเส้นทางทั้งโดยรถยนต์ส่วนตัว รถไฟฟ้า BTS และรถโดยสารสาธารณะรูปแบบต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้นซอยเล็กซอยน้อยที่มีอยู่ในทองหล่อ-เอกมัย ยังช่วยให้เดินทางทะลุไปยังถนนเส้นสำคัญและซอยต่างๆได้มากมาย ทั้งถนนสุขุมวิทสายหลักถนนพระราม 4 ถนนเพชรบุรี ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช ซอยสุขุมวิท 49 สุขุมวิท 51 สุขุมวิท 53 และสุขุมวิท 71 (ปรีดี พนมยงค์) เป็นต้น ทำให้ทำเลนี้สะดวกทุกการเดินทาง ทั้งสำหรับคนที่มีรถยนต์ส่วนตัวและคนที่ชื่นชอบการใช้บริการรถสาธารณะ ส่วนในอนาคต เมื่อรถไฟฟ้าสายสีเทาระยะที่ 1 (วัชรพล-ทองหล่อ) เปิดให้บริการ ก็จะช่วยเติมเต็มการคมนาคมในพื้นที่ทองหล่อ-เอกมัยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นและเสริมให้ทำเลดังกล่าวมีมูลค่าสูงกว่าปัจจุบันหลายเท่าตัว สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมโครงการและห้องตัวอย่าง สัมผัสประสบการณ์แห่งการอยู่อาศัยเหนือระดับบนนิยาม “Good Living is The New luxury” เวิล์คลาสรูปแบบใหม่ผ่านหลักปรัชญาชีวิตจากแนวคิดญี่ปุ่น “IKIGAI (อิคิไก)” พบกันได้แล้ววันนี้ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/2tPEUtO หรือโทร.1775 กด 63
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเจาะลึกทำเลทองหล่อ-เอกมัย

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเจาะลึกทำเลทองหล่อ-เอกมัย

นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ทำเลศักยภาพบนถนนสุขุมวิท ย่านทองหล่อ-เอกมัยถูกจัดไว้ในอันดับต้นๆเสมอด้วยปัจจัยหนุนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งซึ่งอยู่ใจกลางเมือง สามารถเข้าออกได้จากหลากหลายเส้นทางทั้งโดยรถยนต์ส่วนตัว รถไฟฟ้า BTS และรถโดยสารสาธารณะรูปแบบต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้นซอยเล็กซอยน้อยที่มีอยู่ในทองหล่อ-เอกมัย ยังช่วยให้เดินทางทะลุไปยังถนนเส้นสำคัญและซอยต่างๆได้มากมาย ทั้งถนนสุขุมวิทสายหลัก ถนนพระราม 4 ถนนเพชรบุรี ทางพิเศษศรีรัช ทางพิเศษฉลองรัช ซอยสุขุมวิท 49 สุขุมวิท 51 สุขุมวิท 53 และสุขุมวิท 71 (ปรีดี พนมยงค์) เป็นต้น กล่าวได้ว่าทำเลนี้เดินทางไปไหนมาไหนง่ายดายทั้งสำหรับผู้มีรถยนต์ส่วนตัวและผู้ที่ชื่นชอบการใช้บริการรถสาธารณะเลยทีเดียว ส่วนในอนาคต เมื่อรถไฟฟ้าสายสีเทาระยะที่ 1 (วัชรพล-ทองหล่อ) เปิดให้บริการ ก็จะช่วยเติมเต็มการคมนาคมในพื้นที่ทองหล่อ-เอกมัยให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นและส่งเสริมทำเลนี้ให้มีมูลค่าสูงกว่าปัจจุบันหลายเท่าตัว   แผนภาพแสดงสิ่งอำนวยสะดวกต่างๆในทำเลทองหล่อ-เอกมัยและพื้นที่ใกล้เคียง   ไม่เพียงสะดวกสบายในด้านการคมนาคมสัญจรเท่านั้น ทองหล่อ-เอกมัย ยังได้ชื่อว่าเป็นย่านซึ่งรวบรวมการใช้ชีวิตแบบ High-end Urban Living Lifestyle ที่ทันสมัยเหนือระดับไว้อย่างครบถ้วนเพื่อการใช้ชีวิตอย่างเพลิดเพลินสมบูรณ์แบบ ทั้งคอมมูนิตี้มอลล์ สปา ฟิตเนสและสถานออกกำลังกายสำหรับครอบครัว co-working space พื้นที่สีเขียวสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ ร้านเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน Art Gallery ตลอดจนร้านอาหารนานาชาติระดับพรีเมี่ยมและคาเฟ่หลากสไตล์ที่ตั้งอยู่สองฝั่งถนน รวมถึงในซอยย่อยอันสงบร่มรื่นแซมด้วยสีเขียวของต้นไม้ใบไม้ ให้บรรยากาศ Slow life และสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกวัยกำลังศึกษาเล่าเรียน ทองหล่อ-เอกมัยและพื้นที่ใกล้เคียงก็มีสถานศึกษาคุณภาพสูงและได้รับมาตรฐานระดับสากลหลายแห่งไว้รองรับความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนอนุบาลนานาชาตินิวแบมบิโน โรงเรียนอนุบาลนานาชาติทรินิตี้ โรงเรียนอนุบาลนานาชาติโคบาโตะ โรงเรียนแอดเวนทีสเอกมัย โรงเรียนนานาชาติเวลส์ โรงเรียนนานาชาติเอกมัย ฯลฯ โดยสถานศึกษาเหล่านี้เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา ไปจนถึงอนุปริญญา   นอกจากนี้ทำเลทองหล่อ-เอกมัยและพื้นที่ใกล้เคียงยังพรั่งพร้อมไปด้วยโรงพยาบาลชั้นนำที่มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ได้แก่ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท โรงพยาบาลคามิลเลียน โรงพยาบาลสุขุมวิท และโรงพยาบาลเพชรเวช ส่วนผู้ที่มีสัตว์เลี้ยงก็สามารถใช้บริการโรงพยาบาลสัตว์ในพื้นที่ซึ่งมีให้เลือกหลากหลาย เช่น โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ โรงพยาบาลสัตว์เอกมัย โรงพยาบาลสัตว์สุขุมวิท 49 เป็นต้น   ด้วยความครบครันทั้งด้านทำเลที่ตั้งและสิ่งอำนวยสะดวกระดับพรีเมี่ยมในพื้นที่นี่เอง จึงทำให้ทองหล่อ-เอกมัยดึงดูดผู้คนมากมายทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ที่ได้ชื่อว่าหรูหราและมีระดับที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ไม่เพียงเป็นย่านที่รุ่มรวยไปด้วยสีสันแห่งการใช้ชีวิต ทองหล่อ-เอกมัยยังเติมเต็มความสมบูรณ์แบบของ Urban Lifestyle ด้วยที่พักอาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมระดับ Hi-end และ Luxury กระจายอยู่ทั่วไปในพื้นที่ ผู้พักอาศัยในทำเลนี้นอกจากคนไทยที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตสะดวกสบายใจกลางเมืองอันรายล้อมไปด้วย facilities และ amenities ชั้นเยี่ยมแล้ว ยังมีชาวต่างชาติอีกเป็นจำนวนมากที่เลือก ทองหล่อ-เอกมัย เป็น “บ้าน” เนื่องจากย่านนี้มีความพร้อมสูงในทุกๆด้าน จึงสนับสนุนคุณภาพชีวิตที่ดีแก่ผู้อยู่อาศัยได้อย่างไร้ข้อกังขา ความร้อนแรงของเอกมัย-ทองหล่อไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่ายๆ เห็นได้ชัดจากการที่ยังมีร้านค้าใหม่ๆ ที่พักอาศัยใหม่ๆเกิดขึ้นในทำเลนี้อย่างต่อเนื่อง และนับวันย่านนี้จะทวีความเป็นที่นิยมขึ้นเรื่อยๆควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งของเมือง การได้เข้ามาใช้ชีวิตอย่างเต็มรูปแบบในทำเลทองอย่างทองหล่อ-เอกมัย โดยจับจองที่พักอาศัยฮอตฮิตอย่างคอนโดมิเนียมจึงนับเป็นเรื่องดีไม่น้อย เพราะไม่ว่าจะซื้อเพื่ออยู่เองหรือซื้อเพื่อลงทุนก็ล้วนคุ้มค่า เนื่องจากทำเลนี้เติบโตต่อเนื่องและแน่นอนว่าจะเป็นทำเลที่มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างท่วมท้นในอนาคต   สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมทองหล่อ-เอกมัย ซึ่งมีขอบเขตพื้นที่ศึกษาครอบคลุมตั้งแต่ถนนสุขุมวิทซอย 55 ถึงสุขุมวิทซอย 63 จากการสำรวจและวิจัยโดยทีมวิจัยอสังหาริมทรัพย์ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด พบว่ามีอุปทานสะสมในพื้นที่นี้ตั้งแต่ปี 2551 ถึงครึ่งปีแรกของปี 2561 รวมทั้งสิ้น 6,112 หน่วย โดยปี 2554 เป็นปีที่มีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดสูงสุดถึง 1,268 หน่วย เติบโตกว่า 365% เมื่อเทียบกับปี 2551 อย่างไรก็ตาม อุปทานใหม่ระหว่างปี 2555 – 2557 ได้ปรับตัวลดลงอยู่ในระดับคงตัวเฉลี่ย 330 หน่วยต่อปี และลดลงต่ำสุดเหลือเพียง 88 หน่วย ในปี 2558 ทั้งนี้ตลาดกลับมาคึกคักอีกครั้งในปี 2559-2560 มีอุปทานใหม่เข้ามาเฉลี่ย 914 หน่วยต่อปี ส่วนครึ่งปีแรกของปี 2561 มีคอนโดมิเนียมใหม่เข้าสู่ตลาด 220 หน่วย เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งปีหลัง ซึ่งคาดว่ามีอีกไม่ต่ำกว่า 2,800 หน่วย ที่จะทยอยเปิดตัวภายในปีนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าปี 2561 ทั้งปีจะมีอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาดสูงถึง 3,000 หน่วย สูงที่สุดในรอบ 11 ปีเลยทีเดียว และเป็นที่น่าสังเกตว่ากว่า 40% ของคอนโดมิเนียมที่จะเปิดใหม่ทั้งหมดอยู่ในพื้นที่เอกมัย ซึ่งเป็นสัญญาณค่อนข้างชัดเจนว่าทำเลนี้ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ประกอบการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกำลังแผ่ศักยภาพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยปัจจัยหนุนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้งซึ่งรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยสะดวกครบครัน นอกจากนี้ยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากทองหล่อ ในขณะที่ราคาสามารถเอื้อมถึงได้มากกว่า     ที่มา : ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย

1 ... 61 62 63 ... 103