ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 64 65 66 ... 103
เอสซีฯ เดินหน้าไตรมาส 3/61 รุกเปิดแนวราบทุกระดับราคา 10 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 9,200 ลบ.

เอสซีฯ เดินหน้าไตรมาส 3/61 รุกเปิดแนวราบทุกระดับราคา 10 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 9,200 ลบ.

นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SCบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ  เปิดเผยว่า“ ในไตรมาส 3/61 SC มีแผนเปิดแนวราบ 10โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 9,200 ล้านบาทในหลายทำเลทุกระดับราคา พร้อมกับเตรียมจัดงาน Grand Opening เปิดให้เข้าชม 2 โครงการคอนโดฯ ระดับ Super Luxury ที่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ คือ โครงการ SALADAENG ONE (ศาลาแดง วัน) และ โครงการ BEATNIQ (บีทนิค) มูลค่าโครงการรวม 8,400 ล้านบาท ที่เริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้ ”   โดยโครงการแนวราบ 10 โครงการใหม่  อยู่ในทำเลครอบคลุมทั่วกรุงเทพ-ปริมณฑล ได้แก่ โซนปิ่นเกล้า , ราชพฤกษ์, พระราม 9, เสรีไทย และที่ฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์เพฟ, เวนิว, บางกอก บูเลอวาร์ด, แกรนด์บางกอก บูเลอวาร์ด และ เดอะเจนทริ ระดับราคาตั้งแต่ 4-50 ล้านบาท รวมถึงโครงการเวิร์ฟ ทาวน์โฮม 2 ชั้น ราคาเริ่มต้น 2ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการได้ถูกดีไซน์และออกแบบภายใต้แนวคิดการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์เรื่อง human-centric เพื่อให้ฟังก์ชั่นต่างๆ รวมถึง facilities สิ่งอำนวยความสะดวก ภายในโครงการให้แต่ละแห่งสอดรับตรงกับ ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยจะทยอยเปิดเข้าชมโครงการตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป   ในส่วนโครงการแนวสูง บริษัทเตรียมจัดงาน Grand Opening โครงการศาลาแดง วัน ในระหว่างวันที่ 21-22 กรกฎาคมนี้ เพื่อเปิดให้ผู้สนใจเยี่ยมชมความปราณีตพิเศษสุดของคอนโดสร้างเสร็จสมบูรณ์ที่โดดเด่นในเรื่องงานสถาปัตยกรรมภายนอกและภายในอาคาร พร้อมกับวิวความสวยงามของธรรมชาติสีเขียวของสวนลุมพินี โดยเป็นอาคารสูง 33 ชั้น จำนวน185 ยูนิต ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพที่ศาลาแดงซอย 1 ใจกลาง CBD แหล่งธุรกิจและศูนย์การค้าชั้นนำ โดยเป็นห้องขนาด 1-3 ห้องนอน พร้อมห้องDuplex และ ห้องแบบ Penthouse เนื้อที่ตั้งแต่50 ตารางเมตรถึง 442 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท ถึง 250 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 4,400 ล้านบาท ซึ่งได้เริ่มโอนกรรมสิทธิ์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สำหรับโครงการบีทนิค สุขุมวิท 32 คอนโดฯ หรู ที่มีดีไซน์เอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยกลิ่นอายสถาปัตยกรรมในแบบ Mid-Century Modern (MCM) ที่นับเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่บนถนนสุขุมวิท  ประกอบด้วยห้องชุด  197ยูนิต ขนาด 1 – 3 ห้องนอนพร้อมห้อง Duplex  ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 42 ตารางเมตร ไปจนถึง 204 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 13 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มทยอยส่งมอบในเดือนสิงหาคม พร้อมกับจัดงานGrand Opening อย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้   นายอรรถพล กล่าวสรุปว่า “ จากการตอบรับที่ดีของลูกค้า และจำนวนโครงการที่เปิดขายทั้งหมด ในไตรมาส 3/61 รวม 46 โครงการ (รวมโครงการเปิดใหม่) มูลค่าโครงการรวมกว่า41,000 ล้านบาท รวมถึงโครงการคอนโดที่สร้างแล้วเสร็จทยอยส่งมอบ จะสนับสนุนยอดขายและรายได้ของ SC ให้ได้ตามเป้าหมาย ”   สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อเยี่ยมชมโครงการใหม่พร้อมรับสิทธิพิเศษได้ที่www.scasset.com  หรือ โทร. 1749
พหลฯ-ประดิพัทธ์ ทำเลใหม่ในย่านสุดคลาสสิค

พหลฯ-ประดิพัทธ์ ทำเลใหม่ในย่านสุดคลาสสิค

เน็กซัส ชี้พหลฯ-ประดิพัทธ์เป็นตลาดคอนโดมิเนียมทำเลใหม่ในย่านสุดคลาสสิค สนนราคาขายถูกกว่าทำเลใกล้เคียงกันบนถนนพหลโยธิน ในระยะการเดินทางและสิ่งแวดล้อมเดียวกัน ทำเลศักยภาพที่มีแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คุ้มค่าทั้งในแง่ของการซื้อไว้เป็นทรัพย์สินและการลงทุนในอนาคต     นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ทำเลประดิพัทธ์เป็นทำเลใหม่ที่น่าจับตามอง ภาพรวมของย่านพหลฯ-ประดิพัทธ์ยังคงความคลาสสิค เป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนเก่าแก่ โรงแรม เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารชื่อดัง ซึ่งประกอบกิจการในอาคารพาณิชย์ 3-4 ชั้น เป็นช่วง ๆ ตลอดแนวถนนประดิพัทธ์ การเจริญเติบโตของเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้ศักยภาพในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของย่านนี้เพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบันราคาที่ดินในตลาดตลอดแนวถนนเสนอขายที่ราคาตารางวาละ 600,000 – 800,000 บาท โดยบริเวณข้างเคียง ได้แก่ บริเวณซอยย่อยในทำเลอารีย์ บริเวณถนนพหลโยธินตั้งแต่ช่วงจตุจักรไปจนถึงสถานีบีทีเอสสะพานควาย และช่วงสถานีบีทีเอสสะพานควายไปตลอดจนถึงอนุสาวรีย์ฯ เสนอขายที่ดินที่ราคาตารางวาละ 600,000 – 800,000 บาท 900,000 – 1,000,000 บาท และ 1,200,000 – 1,500,000 บาท ตามลำดับ     ราคาคอนโดมิเนียมเฉลี่ยในทำเลพหลฯ-ประดิพัทธ์ปัจจุบันเสนอขายที่ราคาตารางเมตรละ 170,000 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาเฉลี่ยที่ต่ำกว่าราคาคอนโดมิเนียมบนถนนเส้นหลักพหลโยธินตั้งแต่ช่วงสถานีบีทีเอสสะพานควายไปจนถึงอนุสาวรีย์ที่เสนอขายในราคา 218,000 บาท/ตารางเมตร โดยทั้งสองทำเลมีสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกัน ทั้งในแง่ของขนาดถนน การคมนาคม และสาธารณูปโภค   สำหรับคอนโดมิเนียมในบริเวณข้างเคียง ได้แก่ บริเวณซอยย่อยในทำเลอารีย์ และบนถนนพหลโยธินในทำเลจตุจักร มีระดับราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรอยู่ที่ 154,000 บาท และ 166,000 บาท ตามลำดับ แม้ว่าทำเลดังกล่าวจะอยู่ห่างจากทำเลพหลฯ-ประดิพัทธ์ในระยะที่ไม่แตกต่างกัน แต่ระดับราคาคอนโดมิเนียมเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำกว่า ซึ่งสอดคล้องกับปัจจัยทางด้านกายภาพของบริเวณซอยย่อยในทำเลอารีย์ ที่ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดเล็ก ขนาดอาคารที่อยู่อาศัยไม่เกิน 8 ชั้น และที่ตั้งโครงการคอนโดมิเนียมทำเลจตุจักรมีระยะการเข้าถึงกรุงเทพฯ ชั้นในมากกว่า เมื่อเทียบกับทำเลอื่นข้างต้น     ทำเลใกล้กัน ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน   ทำเลพหลฯ-ประดิพัทธ์ สามารถเข้า-ออกได้หลายเส้นทาง และหลายรูปแบบ อยู่ในระยะเดินทางไปยังเส้นทางหลักถนนพหลโยธินและถนนพระรามที่ 6 โดยใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีด้วยรถยนต์ หรือในระยะเดินเท้า 10-15 นาที ใช้เส้นทางลัดไปยังทำเลอารีย์ได้จากซอยย่อยต่าง ๆ การเข้าถึงสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดทั้งสถานีสะพานควายและอารีย์ อยู่ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันกับทำเลที่ตั้งที่อยู่ระหว่างสถานีรถไฟฟ้าบนถนนพหลโยธิน นอกจากนี้การใช้บริการทางพิเศษทั้งการเดินทางเข้าสู่กรุงเทพชั้นใน กรุงเทพฝั่งเหนือหรือวงแหวนรอบนอก ก็สามารถใช้บริการได้ในระยะรัศมี 2 กิโลเมตร     พื้นที่โดยรอบทำเลมีสาธารณูปโภคอื่น ๆ ครบครัน มีห้างสรรพสินค้าและ คอมมูนิตี้ มอลล์กว่า 10 แห่ง สถานศึกษาขนาดใหญ่ 2 แห่ง โรงพยาบาล 6 แห่ง สถานที่ราชการ 7 แห่ง และอาคารสำนักงานอีกนับไม่ถ้วนทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ยังไม่นับรวมถึงร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านสะดวกซื้อที่กระจายตัวอยู่อีกจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบกับทำเลใกล้เคียง จะพบว่าสิ่งแวดล้อมโดยรอบแทบจะเป็นสิ่งแวดล้อมเดียวกัน   ทำเลที่มีแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง   เป็นระยะเวลาเกือบ 20 ปีแล้ว ตั้งแต่มีโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียวเปิดให้บริการ ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าเส้นแรกของประเทศไทยเชื่อมพื้นที่กรุงเทพฝั่งเหนือ (จตุจักร) กรุงเทพชั้นใน และฝั่งตะวันออก (แบริ่ง) การปรับเปลี่ยนผังเมืองตามการเจริญเติบโตของเมือง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สีน้ำตาลและมีสีแดงเป็นบางช่วง นั่นทำให้พื้นที่โซนนี้มีศักยภาพในการพัฒนาในอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับขนาดที่ดิน สามารถพัฒนาได้ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูง รวมไปถึงเพื่อการพาณิชย์ โรงแรมและสำนักงาน เป็นต้น     ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดว่าจะเปิดใช้บริการในปี 2563 ได้แก่ ส่วนคมนาคม คือรถไฟฟ้าสายสีแดง ตลอดแนวถนนกำแพงเพชร 5 โดยสถานีที่ใกล้กับทำเลนี้ที่สุดคือ สถานีประดิพัทธ์ ซึ่งจะทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และส่วนที่เป็นอาคาร 2 โครงการ คือ เดอะไรส์ บาย ศรีศุภราช เป็นโครงการมิกซ์ ยูสของกลุ่มศรีศุภราชกรุ๊ป รวมค้าปลีก ช็อปปิ้งมอลล์และโรงแรมระดับ 4 ดาว โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลวิมุตติ ของบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เป็นโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพ บนพื้นที่รวม 7 ไร่เศษ นอกจากนี้ยังมีโครงการขนาดใหญ่อื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งมีแผนจะเปิดให้บริการภายใน 5-15 ปีนี้ ได้แก่ เดอะ ยูนิคอร์น โครงการมิกซ์ ยูส ของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มีแนวคิดจะสร้างให้เป็นศูนย์กีฬา รวมร้านค้าปลีกและพื้นที่สำนักงานไว้ด้วยกัน และโครงการ บางกอก เทอร์มินอล อยู่ระหว่างการพัฒนาที่ดินให้เป็นมิกซ์ ยูส มีพื้นที่สำนักงาน โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ที่จอดรถ และพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นสถานีขนส่ง สุดท้ายคือโครงการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ บนพื้นที่กว่า 218 ไร่ ตามแนวคิดการพัฒนาพื้นที่ตามโครงข่ายสถานีขนส่งมวลชนแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ที่เป็นแหล่งศูนย์รวมคมนาคมทางรางระดับอาเซียน  
พฤกษา เปิดจอง “ภัสสร สรงประภา” บ้านเดี่ยว 3 ชั้นสุดหรูสไตล์โมเดิร์น

พฤกษา เปิดจอง “ภัสสร สรงประภา” บ้านเดี่ยว 3 ชั้นสุดหรูสไตล์โมเดิร์น

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ เร็วๆ นี้ บริษัทฯ ได้เปิดจองโครงการบ้านเดี่ยว “ภัสสร สรงประภา” บ้านเดี่ยว 3 ชั้นระดับพรีเมียม เหนือกว่าด้วยทำเลที่ดีที่สุดในย่านสรงประภา สะดวกทุกการเดินทาง ใกล้ทางด่วน และรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) สถานีดอนเมือง มากด้วยฟังก์ชั่นใช้สอยสำหรับชีวิตเมืองในแบบ Urban Life Style รองรับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต โดยลูกค้าสามารถสัมผัสได้ถึงความหรูหราตั้งแต่ทางเข้าโครงการ ตัวบ้านที่ออกแบบด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ สไตล์ Modern Elegance มาพร้อมกับวัสดุตกแต่งอย่างเหนือระดับจากแบรนด์ชั้นนำ อีกทั้งยังนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ เช่น การติดสัญญาณกันขโมยแบบ Magnatic และกล้องวงจรปิดภายในบ้านทุกหลัง เข้าออกโครงการด้วยระบบ Easy Pass และพื้นที่ส่วนกลางระดับพรีเมียม เช่น Pavillion กลางสวนสาธารณะ, สนามเด็กเล่น, สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ ทั้งสระเด็กและสระผู้ใหญ่ พื้นที่โครงการกว้างขวางประมาณ 25 ไร่ ขณะที่จำนวนยูนิตมีเพียง 96 หลังเท่านั้น เป็นส่วนตัว อยู่สบายไม่แออัด ราคาเริ่มต้น 10-15 ล้านบาท     แบบบ้านให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ Prelite พื้นที่ใช้สอย 260 ตร.ม. ขนาดที่ดินเริ่มต้น 55 ตร.ว. ประกอบไปด้วย 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ เพิ่มความหรูหรา และทันสมัยด้วยระเบียงกระจกนิรภัย เน้นประตู-หน้าต่างกระจกบานใหญ่ เปิดรับทัศนียภาพได้กว้าง โปร่งโล่ง รับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ห้องรับแขก, ส่วนรับประทานอาหาร, ส่วนเตรียมอาหาร, ส่วนพักผ่อนบนชั้น 2 แบบ Double Volume โปร่งโล่ง ด้วยความสูงของเพดานถึง 6.6 เมตร, ห้องครัว, ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำ จอดรถได้ 2 คัน Prelegance พื้นที่ใช้สอย 274 ตร.ม. ขนาดที่ดินเริ่มต้น 56 ตร.ว. ประกอบไปด้วย 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ ห้องรับแขก ส่วนรับประทานอาหาร ส่วนเตรียมอาหาร ห้องครัว ส่วนพักผ่อนบนชั้น 3 ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้ตามต้องการ รองรับทุกกิจกรรมของครอบครัว, ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำ และที่จอดรถ 2 คัน     สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการครบครันทั้ง คลับเฮ้าส์, สระว่ายน้ำระบบเกลือ, ฟิตเนส, ห้องอเนกประสงค์, สวนสาธารณะขนาดใหญ่, Pavilion กลางสวน และ Jogging Track ระบบรักษาความปลอดภัยระดับพรีเมียม ด้วยการติดตั้งสัญญาณกันขโมย และกล้องวงจรปิดในตัวบ้านให้ทุกยูนิต ประตูทางเข้าแบบ Double Gate เข้าออกด้วยระบบ Easy Pass กล้องวงจรปิดที่ทางเข้าออกและถนนเมน พร้อมเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.   โครงการตั้งอยู่บนโลเคชั่นที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในย่านสรงประภา สามารถเดินทางได้สะดวกสบายด้วยการเชื่อมต่อกับถนนสายหลักอย่าง ถนนวิภาวดีรังสิต, ถนนเลียบคลองประปา, ถนนศรีสมาน, ถนนติวานนท์ และ ถนนแจ้งวัฒนะ ใกล้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางด่วนสายบางนา-ปากเกร็ด), ทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ และ โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีดอนเมือง (โครงการในอนาคต) อีกทั้งยังตั้งอยู่บนทำเลที่ใกล้ชุมชนเมืองขนาดใหญ่ ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ สนามบินดอนเมือง, หน่วยงานราชการ, สถานศึกษา, โรงพยาบาล, ห้างสรรพสินค้า, รวมถึงร้านค้าและตลาดสดอย่างครบถ้วน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 1739 หรือ pruksa.com”
เอ็มเพอเร่อร์ฯ โชว์

เอ็มเพอเร่อร์ฯ โชว์ "สิ่งมหัศจรรย์ " ตอกย้ำความเป็นผู้นำสร้าง "คฤหาสน์หรู" ชูงานสถาปัตยกรรม "เหนือกาลเวลา" ผสานความร่วมสมัยอย่างลงตัว

  ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ ตอกย้ำผู้นพสร้างบ้านหรู พาชม "คฤหาสน์สุดหรู" ย่านงามวงค์วาน มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ผ่านกระบวนการ Integrated  home  design, construction and interior decoration services for high class residence รายแรกและรายเดียวของไทย     คฤหาสน์หรูสไตล์ NEO Renaissance ขนาด 1,300 ตร.ม. หลังนี้ นับเป็นความภาคภูมิใจของเอ็มเพอเร่อร์ ฯ เพราะผลงานที่สร้างเสร็จแล้ว มีความโดดเด่นและสง่างามมาก เมื่อเทียบกับบ้านทั่วไปซึ่งได้มีกาณสกษารายละเอียดทุกขั้นตอน และให้ความสำคัญกับทุกส่วน แม้แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ได้บ้านที่มีทั้งความหรูหรา สง่างาม ถูกต้องตามหลักสถาปัตยกรรมสไตล์คลาสสิค แต่ปรับใช้งานได้ดีกับสภพภูมิอากาศของประเทศไทย ที่ต้อมาพร้อมฟังก์ชันการใช้งานภายในที่ตอบโจทย์ ตรงกับความต้องการของผู้อาศัย เรียกได้ว่าบ้านจาก เอ็มเพอเร่อร์ ฯ ทุกหลังออกแบบพิเศษ (Customized) ตามความต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะ  จุดเด่นของบ้าน จาก เอ็มเพอเร่อร์ ฯ คือทุกหลังยังได้เรียกว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมทำมือ (Handmade Architecture) ที่ต้องใช้ทักษะของช่างที่มีฝีมือชั้นสูง ในการรังสรรค์งานศิลปะ และการบริหารจัดการของทีมงานก่อสร้างที่มีมาตรฐาน เพื่อให้ได้งานที่มีความสง่างามและคุณภาพที่เราให้ความสำคัญอีกด้วย บ้านหลังนี้ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง และตกแต่งภายในประมาณ 2 ปีครึ่ง ซึ่งงานตกแต่งภายในมีการผสมผสานทั้งงานแบบยุโรปคลาสลิก ความทันสมัย แบบโมเดิร์น และความเรียบง่ายสไตล์เซน เข้าไว้ด้วยกันอีกด้วย โดยแบ่งส่วนการดีไซน์และการตกแต่งได้อย่างลงตัว     สิ่งที่ท่านจะได้พบในบ้านหลังนี้ คือ ความสูงสง่า ยิ่งใหญ่ อลังการ ของตัวอาคารที่มีความสวยงามของงานสถาปัตยกรรมคลาสสิค Neo Renaissance  ส่วนประดับตัวอาคาร งานเสา งานเสาประดับอาคารภายนอกและหัวเสาแบบไอโอนิค ที่ถูกแบบลวดลายให้สวยงามอ่อนช้อยและขึ้นรูปเฉพาะบ้านแต่ละหลัง เมื่อเข้าสู่ตัวบ้านจะพบโถงหลักของตัวบ้านที่มีความสูง สามารถมองเห็นยอดโดมได้จากภายในบ้าน และเป็นทางเดินเพื่อจ่ายไปยังส่วนต่างๆ ของตัวบ้าน ภายในห้องต่างๆ ยังมีภาพเพ้นท์บนผนัง เทคนิคการทำสีพ่น ขาวครีมงาช้าง ปัดเหลือบทอง ซึ่งจะต้องเป็นช่างที่ชำนาญ เพื่อออกมาดูสวยงาม สีที่ถูกต้องยิ่งเสริมให้บ้านดูดีรสนิยม และงานเฟอร์นิเจอร์พร้อมส่วนประดับไฟต่างๆ ซึ่งเป็นแบรนด์หรูจากอิตาลี ก็ถูกนำมาใช้ในบ้านหลังนี้อีกด้วย จึงยิ่งทำให้ได้ความรู้สึกถึงความโดดเด่นมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะ เอ็มเพอเร่อร์ ฯ ไม่เพียงแค่สร้างบ้าน แต่เราสร้างสิ่งมหัศจรรย์นั่นเอง  
แอสเสท เวิรด์ รีเทล รุกทำเลทองรีเทลย่านบางนาพร้อมเปิดตัว ‘ลาซาล อเวนิว’ คอมมูนิตี้มอลล์แนวใหม่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มไลฟ์สไตล์ 24 ก.ค.นี้แน่นอน

แอสเสท เวิรด์ รีเทล รุกทำเลทองรีเทลย่านบางนาพร้อมเปิดตัว ‘ลาซาล อเวนิว’ คอมมูนิตี้มอลล์แนวใหม่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มไลฟ์สไตล์ 24 ก.ค.นี้แน่นอน

นายมานพ คำสว่าง ผู้จัดการบริหารทรัพย์สิน บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาพรวมการแข่งขันในกลุ่มตลาดธุรกิจรีเทลพื้นที่กรุงเทพฯ และกลุ่มเมืองเศรษฐกิจ มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มจะขยายตัวต่อไปอีก 1-2 ปีข้างหน้าอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามแม้การแข่งขันจะสูงขึ้นแต่ยังมีโอกาสหรือปัจจัยที่เอื้อต่อการลงทุน อาทิ การขยายตัวของเมือง รวมถึงการขยายตัวของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดนักลงทุน ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการใหม่ผู้ประกอบการต้องวางกลยุทธ์ให้เกิดความแตกต่างและมีศักยภาพที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เน้นสร้างมิติใหม่ของธุรกิจให้มีความแปลกใหม่ หลากหลายแตกต่างจากธุรกิจรีเทลอื่นๆ ด้วยการใช้โมเดลตลาดชุมชนผสมผสานความลงตัวระหว่างผู้เช่ารายใหญ่และรายย่อย เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสร้างการเติบโตระยะยาว รวมถึงพัฒนารูปแบบศูนย์การค้าให้มีความทันสมัย แตกต่าง ตอบโจทย์ความต้องการ จึงได้ประกาศแผนพัฒนาโครงการ ‘ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว’ บนทำเลลาซาล-แบริ่ง ด้วยงบลงทุนกว่า 350 ล้านบาทขึ้น และได้จัด Soft Grand Opening ไปแล้วเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสตอบรับจากกลุ่มคนในชุมชนเข้าร่วมงานจำนวนมาก
Spaces ผู้บุกเบิกโคเวิร์คกิ้งและพื้นที่สำนักงานพร้อมใช้สุดสร้างสรรค์  ร่วมลงนามในสัญญาเป็นผู้เช่ารายใหม่ล่าสุดของเอ็มไพร์ ทาวเวอร์

Spaces ผู้บุกเบิกโคเวิร์คกิ้งและพื้นที่สำนักงานพร้อมใช้สุดสร้างสรรค์ ร่วมลงนามในสัญญาเป็นผู้เช่ารายใหม่ล่าสุดของเอ็มไพร์ ทาวเวอร์

Spaces (สเปซเซส) ผู้บุกเบิกพื้นที่สำนักงานสุดสร้างสรรค์จากอัมสเตอร์ดัม ร่วมเซ็นสัญญาเป็นผู้เช่ารายใหม่กับเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ มุ่งขยายสาขาที่สามในประเทศไทยในย่านธุรกิจใจกลางเมืองบนถนนสาทร เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า โดยคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบในไตรมาสที่สี่บนพื้นที่ชั้น M และชั้น 27 ณ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ด้วยพื้นที่การทำงานที่มากถึง 2,974 ตารางเมตรและจำนวนที่นั่งสำหรับการทำงานกว่า 373 ที่นั่ง อีกทั้งรองรับการประชุมด้วย 3 ห้องประชุม พร้อมมอบสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่นแก่กลุ่มคนทำงานที่มีอาชีพอิสระ ผู้ประกอบการ และกลุ่มสตาร์อัพ รวมถึงบริษัทที่ต้องการพื้นที่ๆ สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของบริษัทได้ในอนาคต คุณโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ สเปซเซส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี กล่าวว่า เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่กับเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ในครั้งนี้ สำหรับการผลตอบรับที่ดีของ Spaces ทั้งสองสาขา ได้แก่ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ และจัตุรัสจามจุรี ถือได้ว่าเป็นสัญญาณที่ยืนยันได้ว่าเราได้ก้าวสู่ยุคแห่งการทำงานนอกสถานที่อย่างแท้จริง นอกจากนี้เหล่านักธุรกิจและผู้ประกอบการจำนวนมากยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำธุรกิจตนเองไปสู่ศูนย์กลางของคอมมิวนิตี้ธุรกิจ Spaces ณ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ แห่งนี้ จึงได้จัดสรรพื้นที่ทำงานแบบโคเวิร์คกิ้งและออฟฟิศแบบส่วนตัวให้เลือกตามความต้องการ พร้อมบรรยากาศที่สร้างสรรค์และเหมาะแก่การสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ รวมถึงความสะดวกต่อการเข้าถึงศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ ผลการสำรวจล่าสุดที่ได้รวบรวมข้อมูลจากนักธุรกิจจำนวนกว่า 18,000 คน จาก 96 บริษัท พบว่า ร้อยละ 80 ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกว่าการทำงานในรูปแบบที่ให้ความยืดหยุ่นได้ สามารถช่วยให้ธุรกิจรวมถึงการสรรหาและรักษาพนักงานมีประสิทธิผลที่ดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและผลการดำเนินงานอีกด้วย คุณวัลลภา ไตรโสรัส กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ เป็นอาคารสำนักงานที่สูงที่สุดในประเทศไทยและสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ของกรุงเทพฯ จึงถือว่าเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่สำคัญ ด้วยสถานที่ตั้งในย่านใจกลางเขตเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ จึงมอบความสะดวกในการเชื่อมต่อด้านการคมนาคมผ่านสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสช่องนนทรีและรถโดยสารด่วนพิเศษ สถานีสาทร รวมถึง Em Space ศูนย์รวมบริการแบบครบวงจรที่ช่วยเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของทุกวันทำงานด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ฟิตเนสและอื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่ เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ, ท็อปส์ มาร์เก็ต และ เอเชียบุ๊คส์ ด้านคุณโสมพัฒน์ ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น เผยว่า เรามีความยินดีที่ Spaces ได้เลือกเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ เป็นสาขาที่สามในประเทศไทย ซึ่งเราคาดว่าการมอบพื้นที่การทำงานที่ยืดหยุ่นนี้จะช่วยเติมเต็มบรรยากาศที่ดีให้แก่ออฟฟิศทำงานในย่านสาทรต่อไป Spaces ณ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ จะพร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในไตรมาสที่ 4 นอกจากนี้ Spaces สาขาแรก ณ ชั้น 3 ของซัมเมอร์ฮิลล์ และสาขาที่สองบนชั้น 24 อาคารจัสตุรัสจามจุรี ได้พร้อมเปิดให้บริการแล้ว สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Spaces ณ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.spacesworks.com
‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ ลุยเปิด 3 โครงการใหม่ มูลค่า 3,000 ลบ.  รับเทรนด์อสังหาฯเพื่อการลงทุนมาแรง  เผยครึ่งปีแรกกวาดยอดขายทะลุ 1,900 ลบ.

‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ ลุยเปิด 3 โครงการใหม่ มูลค่า 3,000 ลบ. รับเทรนด์อสังหาฯเพื่อการลงทุนมาแรง เผยครึ่งปีแรกกวาดยอดขายทะลุ 1,900 ลบ.

“ฮาบิแทท กรุ๊ป” รุกเปิด 3 โครงการใหม่ เจาะตลาดกรุงเทพฯ และพัทยา มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท รับเทรนด์อสังหาฯเพื่อการลงทุนมาแรง พบสถิตินักลงทุนเติบโตกว่า 10-20%ต่อปี ขณะที่ต่างชาติมีแนวโน้มซื้ออสังหาฯไทยปล่อยเช่าเพิ่มขึ้น เผยครึ่งปีแรกกวาดยอดขาย1,900 ล้านบาท คิดเป็น 63% ของเป้ายอดขายทั้งปี 3,000 ล้านบาท   นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อการลงทุนของไทย เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 บริษัทฯเตรียมเปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองกรุงเทพฯ และพัทยา พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม เพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุน   โดยในไตรมาส 3 จะเปิดตัว 2 โครงการ ภายใต้ชื่อ ‘วาลเด้น’ (Walden) พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ลักชัวรี่ เพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุน นำร่องด้วยการเปิดตัวโครงการ ‘วาลเด้น’ (Walden) สุขุมวิท 39’ สูง 8 ชั้น จำนวน 116 ยูนิต บนเนื้อที่ 0-3-22 ไร่ ในซอยสุขุมวิท 39 มูลค่าโครงการ 950 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 5.6 ล้านบาท ส่วนอีกโครงการคือ ‘วาลเด้น สุขุมวิท 31’ ตั้งอยู่ในอยู่ซอยสุขุมวิท 31 บนเนื้อที่ 0-2-65.25 ไร่ มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ลักชัวรี่ สูง 8 ชั้น จำนวน 104 ยูนิต ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 5.6 ล้านบาท “สุขุมวิทนับเป็นศูนย์กลางธุรกิจที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและมีศักยภาพที่ดีในด้านการเดินทาง จึงยังคงมีดีมานด์อยู่อย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลที่สุขุมวิทไม่เพียงแค่เป็นทำเลที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นทำเลที่มีองค์ประกอบครบถ้วน มีสำนักงานชั้นนำ โรงแรม 5 ดาว แหล่งช้อปปิ้ง ท่องเที่ยว โรงพยาบาล และสถานศึกษาชื่อดัง ทำให้เรามั่นใจว่าทั้ง 2 โครงการได้รับการตอบที่ดีจากลูกค้า เพราะด้วยศักยภาพทำเลที่ตั้งของโครงการ วาลเด้น สุขุมวิท 39 และ วาลเด้น สุขุมวิท 31 อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS พร้อมพงษ์ ทำให้การเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆรอบกรุงเทพฯได้อย่างสะดวกสบาย อีกทั้งยังใกล้กับสถานที่สำคัญมากมาย อาทิ ห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์, สถานศึกษาชื่อดัง หากพิจารณาในแง่ของการลงทุนทั้งจากการปล่อยเช่าและการถือครองระยะยาว ทำเลสุขุมวิทนี้ถือว่ามีศักยภาพในแง่การลงทุนสูงจากดีมานด์ใหม่ที่เพิ่มขึ้น ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ย้ายมาอยู่อาศัยตามสถานที่ทำงาน โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น และชาวจีน รวมถึงนักลงทุนในอสังหาฯ ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของฮาบิแทท กรุ๊ป” ทั้งนี้ โครงการ วาลเด้น สุขุมวิท 39 และ วาลเด้น สุขุมวิท 31 จะมีโมเดลธุรกิจที่แตกต่างจากพัทยา โดยมีทั้งรูปแบบซื้อเพื่อลงทุนและซื้อเพื่อพักอาศัย แต่จะเน้นที่รูปแบบของการลงทุนเป็นหลัก โดยบริษัทฯจะ มีการบริหารจัดการการเช่าและอำนวยความสะดวกเรื่องการบำรุงรักษาห้องให้ผ่านบริษัท ฮาบิแทท ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่มีทีมงานมืออาชีพ มีประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการการเช่าเป็นผู้ดูแล และอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน อีกทั้งยังกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) 3-5% ในทุกๆปี   สำหรับอีกหนึ่งโครงการ จะขยายโครงการลงทุนเพิ่มเติมในพัทยาเหนือ มูลค่าโครงการ 1,250 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 โดยยังคงยึดโมเดลการลงทุนแบบการรันตีค่าเช่า โดยมีเชนโรงแรมที่มีชื่อเสียงจากสหรัฐอเมริกา เป็นที่ยอมรับระดับโลกเข้ามาเป็นผู้บริหารและจัดการการเช่า   ผลการดำเนินงานของฮาบิแทท กรุ๊ป ในครึ่งปีแรก สามารถทำยอดขายได้ 1,900 ล้านบาท หรือคิดเป็น 63% ของเป้าหมายยอดขายรวมที่ตั้งไว้ 3,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มียอดขาย 1,298 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 131% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการขายโครงการที่มีอยู่เดิมอย่างโครงการครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์ (X2 Pattaya Oceanphere) มียอดขายแล้ว 70%, โครงการเบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา (Best Western Premier Bayphere Pattaya) คอนโดสไตล์รีสอร์ท ติดชายหาดนาจอมเทียน มียอดขายแล้ว 100% โครงการบลูเฟียร์ พัทยา (BluPhere Pattaya) ที่ได้ใช้ เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ คอลเลคชั่น แบรนด์โรงแรมระดับพรีเมี่ยมบริหารจัดการมียอดขายแล้ว 100%, โครงการวินด์แฮม แอทลาส วงศ์อมาตย์ พัทยา (Wyndham Atlas Wongamat Pattaya) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ บนทำเลทอง วงศ์อมาตย์ ที่มียอดขายแล้ว 90%, โครงการ เลอรอย ร่วมฤดี (LEROY Ruamrudee) ที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซอยร่วมฤดี ที่ปิดการขายแล้ว 100% และโครงการใหม่ที่ทำการเปิดขายไปตอนต้นปีอย่างโครงการ วาลเด้น อโศก ซึ่งมียอดขายแล้วถึง 80%   นายชนินทร์ กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน มีการเติบโตที่ชัดเจนมากขึ้นทุกปี ทั้งจากนักลงทุนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในคอนโดมิเนียมจำนวนมาก เห็นได้จากโควต้าการขายในส่วนต่างชาติสามารถขายได้ค่อนข้างเร็ว และมั่นใจว่าตลาดอสังหาฯเพื่อการลงทุนมีแนวโน้มการเติบโตดีต่อเนื่องไปอีกหลายปี   “เศรษฐกิจในประเทศไทยอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น ดอกเบี้ยมีอัตราต่ำไม่ถึง 1% ด้านภาคอสังหาฯจึงมีทิศทางที่เป็นบวก ส่งผลให้คนหันมาลงทุนในอสังหาฯเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีมูลค่าเพิ่มตลอด เนื่องจากการลงทุนหุ้นมีความเสี่ยงสูงและโอกาสขาดทุนมีอยู่ นักลงทุนจึงกระจายความเสี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า และผลตอบแทนสม่ำเสมอ โดยการเข้ามาลงทุนในอสังหาฯ ซึ่งสถิตินักลงทุนเติบโตขึ้นมาปีละ 10-20% ทุกปี ส่วนคนที่เคยลงทุนอสังหาฯ อยู่แล้วก็ยังลงทุนต่อเนื่อง”   ด้านนักลงทุนชาวไทยมีการเติบโตถึง 60% และในส่วนของนักลงทุนชาวต่างชาติ มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีนักลงทุนชาวสิงคโปร์ ฮ่องกง และจีนที่มีสัดส่วนมากสุดถึง 40% ก็เริ่มเห็นนักลงทุนจากประเทศอื่นๆเพิ่มมากขึ้นอย่าง ยุโรป ตะวันออกกลาง และเมียนมาร์ โดยพบว่ามีตัวเลขการเติบโตปีละ 20-30% เนื่องจากอสังหาฯในเมืองใหญ่มีราคาสูงขึ้นมาก ซึ่งหากต้องการลงทุนจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนอย่างน้อย 20-30 ล้านบาท เพื่อซื้อคอนโดมิเนียม 1 ห้อง ขณะที่อัตราการปล่อยเช่าจะได้ผลตอบแทน (Yield) เพียง 2-3% เท่านั้น ซึ่งไม่คุ้มกับการลงทุนนัก   โดย ฮาบิแทท กรุ๊ป การันตีอัตราผลตอบแทนของค่าเช่าในโครงการอสังหาฯเพื่อการลงทุนต่างๆสูงถึง 6% นาน 5 ปี ประกอบกับโครงการมีการคำนึงถึงทำเลที่ตอบโจทย์ การออกแบบและดีไซน์ที่ดี รวมการตกแต่งบิลต์อิน เครื่องใช้ไฟฟ้า อีกทั้งยังได้กำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) จากทิศทางของราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น 3-5% ในทุกๆปีอีกด้วย “นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้อสังหาฯเพื่อการลงทุนมีความคึกคักมากขึ้น และนักลงทุนคนไทยก็หันมาลงทุนในตลาดอสังหาฯเช่นกัน ซึ่งในกรุงเทพฯทำเลใจกลางหรือ CBD ยังเติบโตไปได้เรื่อยๆ เนื่องจากซัพพลายยังมีค่อนข้างจำกัด เทรนด์การลงทุนส่วนมากอยู่ในเมืองจะซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง หรือซื้อเพื่อปล่อยเช่า ก็จะมีผู้เช่าต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทยทั้งคนยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งรูปแบบการพัฒนาอสังหาฯเพื่อการลงทุนของฮาบิแทท กรุ๊ป ถือว่าตอบโจทย์นักลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะฮาบิแทท กรุ๊ปเข้ามาดูแลให้ทั้งหมดตั้งแต่ผลตอบแทนที่ชัดเจน ดูแลการเช่าระยะยาวเป็นสัญญาทั้ง การซ่อมแซมและบำรุงรักษา โดยในส่วนของโครงการในพัทยานักลงทุนยังสามารถเข้ามาใช้ห้องได้ปีละ 14 คืนและมีการบริหารจัดการการเช่าโดยเครือโรงแรมระดับ 5 ดาวที่ได้มาตรฐานระดับโลก” สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ของฮาบิแทท กรุ๊ป ได้ที่เว็บไซต์ www.habitatgroup.co.th โทร. 02 168 8266 หรือ 081 451 0002.
เดอะคิวบ์ พลัส พหลโยธิน 56 นำห้องสวยใกล้รถไฟฟ้าสีเขียวจัดบูทจองเพียง 999 บาท*

เดอะคิวบ์ พลัส พหลโยธิน 56 นำห้องสวยใกล้รถไฟฟ้าสีเขียวจัดบูทจองเพียง 999 บาท*

เดอะ คิวบ์ พลัส พหลโยธิน 56 (The Cube Plus Phahonyothin 56) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ (Low Rise) สูง 7 ชั้น 1 อาคาร มีความเป็นส่วนตัวสูงจำนวนห้องไม่แออัด ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว (สถานี กม.25 ในอนาคต) โดดเด่นที่เพดานห้องสูงถึง 2.70 เมตร นำคอนโดห้องสวยขนาดตั้งแต่ 25 - 34 ตร.ม. จัดบูทพร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ‘จองเพียง 999 บาท/ยูนิต*’ ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท พร้อมตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สวยคุณภาพสูงจาก Modernform ครบทุกฟังก์ชั่น (Fully Furnished) ตั้งแต่วันนี้ – 15 กรกฎาคม 2561 ใกล้ร้าน McDonald's ชั้น 1 เทสโกโลตัส บางเขน เพื่อเปิดจองและให้คำปรึกษาเพื่อวางแผนซื้อคอนโดมิเนียม   สำหรับผู้ที่ต้องการที่พักอาศัยและลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต โครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ โคเวิร์กกิ้งสเปซ (Co working space) ระบบอินเตอร์เน็ตไร้สาย (Wi-Fi Internet) บริเวณโถงล็อบบี้และพื้นที่ส่วนกลาง สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องฟิตเนส ห้องซาวน่า (แยกชาย/หญิง) สวนหย่อม กล้องวงจรปิด CCTV รอบโครงการ คีย์การ์ด (Key Card) เข้าออกอาคาร และลิฟท์แบบล็อคชั้น ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม. เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดของผู้อยู่อาศัย มีความปลอดภัยสูงและให้ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตทั้งครอบครัว ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต สังคมโดยรอบโครงการหน้าอยู่ สะอาด ปลอดภัยทั้งกลางวันและกลางคืน ทำเลมีศักยภาพสูงใกล้หน่วยงานราชการคือ กองทัพอากาศ สถาบันการศึกษาทุกระดับ สนามบินดอนเมือง โรงพยาบาล ศูนย์การค้า และแหล่งงาน สะดวกทุกการเดินทาง ติดตามความเคลื่อนไหวอื่น ๆ ของโครงการได้ทาง www.facebook.com/TheCubeCondominium เว็บไซต์ www.thecube-condo.com หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร. 1246 กด เดอะคิวบ์ พลัส พหลโยธิน 56 (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)
เอ็มเจ วัน กรุ๊ป เปิดเกมรุกลุยธุรกิจอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยว  เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ MARVEST HUA HIN

เอ็มเจ วัน กรุ๊ป เปิดเกมรุกลุยธุรกิจอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยว เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ MARVEST HUA HIN

บริษัท เอ็มเจ วัน กรุ๊ป บริษัทในเครือของ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย เปิดเกมรุกลุยธุรกิจอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยว เดินหน้าเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู MARVEST HUA HIN (มาร์เวสท์ หัวหิน) ชีวิตอีกระดับ ณ ใจกลางเมืองหัวหิน มูลค่าโครงการรวมกว่าหนึ่งพันล้านบาท ตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ที่ชื่นชอบความสะดวกสบายในการเดินทางและการพักผ่อน เพียง 450 เมตรจากตลาดไนท์มาร์เก็ต แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดดเด่นด้วยส่วนกลางขนาดใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ของเมเจอร์ฯ หวังเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ รักการเดินทางที่ต้องการมีบ้านหลังที่สอง ในราคาที่เป็นเจ้าของได้ เริ่มต้นเพียง 2.3 ล้านบาท นายสุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท บริษัท เอ็มเจ วัน กรุ๊ป บริษัทในเครือของ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (MJD) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า จากทิศทางการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ในทำเลเมืองท่องเที่ยวโดยเฉพาะเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และมีการเดินทางที่สะดวกรวดเร็ว อย่าง “หัวหิน” ทำให้มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับภาครัฐได้พัฒนาระบบคมนาคมเชื่อมการเดินทาง ทั้งการลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินสู่ภาคตะวันออก ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา, โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหิน และโครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวน รอบนอกด้านตะวันตก ทั้งยังมีการเชื่อมโยงเมืองท่องเที่ยว 2 ฝั่งอ่าวไทยเข้าด้วยกัน ด้วยการเปิดบริการเรือเฟอร์รี่จากหัวหิน-พัทยาตั้งแต่ต้นปี 2560 และล่าสุดการเปิดให้บริการเครื่องบินตรงจากกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สู่หัวหิน ของสายการบินแอร์เอเชีย จากการวางระบบพัฒนาการคมนาคมขนส่ง ไม่ว่าจากทั้งภาครัฐและเอกชนที่จะเป็นการเชื่อมต่อระบบการเดินทางต่างๆ ให้สะดวกรวดเร็วสบายยิ่งขึ้น ส่งผลให้เมืองเกิดการเติบโตแบบก้าวกระโดด นับเป็นการกระตุ้นทั้งด้านการท่องเที่ยวให้มีการกระจายตัวมากขึ้น และดึงดูดภาคการลงทุนไปในตัว ส่งผลให้เกิดอุปสงค์ด้านการท่องเที่ยวและความต้องการบ้านพักหลังที่ 2 เพิ่มมากขึ้น เอ็มเจ วัน กรุ๊ป เล็งเห็นการเติบโตของตลาดในเซ็กเมนต์นี้ และบริษัทฯ มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู มาราเกช หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา และโครงการคอนโดมิเนียม มิโคนอส ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ล่าสุด เอ็มเจ วัน กรุ๊ป เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ MARVEST HUA HIN คอนโดมิเนียมหรูสไตล์ Modern Coastal ชีวิตอีกระดับ ณ ใจกลางเมืองหัวหิน ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.3 ล้านบาท กับมูลค่าโครงการรวมกว่าหนึ่งพันล้านบาท ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท ของบริษัท เอ็มเจ วัน กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จุดเด่นของโครงการ MARVEST HUA HIN อยู่ที่เป็นโครงการคอนโดมิเนียมในระดับลักซ์ชัวรี่ ที่ตั้งบนทำเลที่ดีที่สุดแห่งไลฟ์สไตล์ใจกลางหัวหิน ใกล้กับซอยหัวหิน 78 เพียง 450 เมตร จากตลาดไนท์มาร์เก็ต สะดวกสบายทุกการเดินทางสู่ย่านธุรกิจ เพียง 350 เมตรถึงโรงพยาบาลซานเปาโล พักผ่อนกับชายหาดหัวหินอันลือชื่อเพียง 900 เมตรเท่านั้น พร้อมแหล่งช้อปปิ้งอีกหลากหลาย โดดเด่นด้วยออกแบบสไตล์ Modern Coastal ที่หยิบเอากลิ่นอายของชายทะเลมารังสรรค์ให้กลายเป็นคอนโดตากอากาศ เน้นการโอบล้อมด้วยธรรมชาติ บนพื้นที่โครงการประมาณ 3 ไร่ วางแผนพัฒนาเป็นอาคาร Low Rise สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 336 ยูนิต แบบห้องออกเป็น 3 ประเภทให้เลือก ได้แก่ แบบ Type A ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ 30 ตร.ม., Type B ขนาด 1 ห้องนอน + Plus พื้นที่ 39 – 40 ตร.ม. และ Type C แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 60 ตร.ม. ด้วยแนวคิดการการออกแบบและจัดสรรพื้นที่ใช้สอยที่ให้ความสำคัญกับทุกคนในครอบครัว พร้อมด้วยวัสดุคุณภาพระดับพรีเมี่ยมในทุกรายละเอียด โดดเด่นด้วยพื้นที่ส่วนกลางและสวนขนาดใหญ่ สระว่ายน้ำยาวกว่า 50 เมตร แบบ Modern Tropical พร้อมสระเด็ก สนามเด็กเล่น ฟิตเนส อ่างจากุซซี่และระบบรักษาความปลอดภัยด้วยกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชม. โดยบริษัทวางแผนจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนกรกฎาคม 2561 นี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนธันวาคม 2562 “ด้วยวิสัยทัศน์ความเป็นเมจเอร์ฯ ที่ใส่ใจในเรื่องคุณภาพ จึงมั่นใจได้ว่า MARVEST HUA HIN จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชื่นชอบความเป็น Urban Living ผู้ที่กำลังมองหาบ้านพักตากอากาศหลังที่ 2 ที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก รวมถึงนักลงทุนที่กำลังสนใจลงทุนในคอนโดตากอากาศ เพราะด้วยราคาเปิดตัวของ MARVEST HUA HIN ที่สามารถให้เป็นเจ้าของคอนโดกลางเมืองท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้น” สามารถเข้าเยี่ยมชม Sales Gallery ได้แล้ววันนี้ พร้อมรับข้อเสนอพิเศษสูงสุด เพียงลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.mj-one.net (เงื่อนไขตามที่บริษัทกำหนด) สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 086-842-9922
เสนา – ฮันคิว ฮันชิน เปิดให้สอยคอนโดลักชูรี่แบรนด์พรีเมี่ยม  ผ่านระบบ

เสนา – ฮันคิว ฮันชิน เปิดให้สอยคอนโดลักชูรี่แบรนด์พรีเมี่ยม ผ่านระบบ "SENA Online Booking” ครั้งแรก

  พลาดไม่ได้!! เสนาฯ เตรียมเปิดระบบหน้าบ้านจองคอนโดออนไลน์ "SENA Online Booking" ครั้งแรกพร้อมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “ปีติ เอกมัย (PITI EKKAMAI)” คอนโดมิเนียมลักชูรี่ตัวท็อปสุดแห่งปี เริ่มลงทะเบียน 5 ก.ค. ดีเดย์จองพร้อมกันทั่วประเทศ 2 ส.ค.นี้   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง การทำธุรกิจในปัจจุบันต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในทุก Sector จากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภคและโลกที่เชื่อมต่อกันมากขึ้นทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกและมีคู่แข่งใหม่ๆเข้ามาตลอดเวลา ดังนั้นการทำธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกสมัยใหม่ที่รวดเร็วและมีการแข่งขันสูงรวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มธุรกิจใหม่ๆเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการในโลกปัจจุบันและอนาคตได้ ด้านผู้ประกอบการเองก็ต้องพยายามเรียนรู้และปรับแนวคิดให้มีความเป็นดิจิทัลให้มากขึ้นด้วยเช่นกันเพราะปัจจุบันเทรนด์การใช้สื่อออนไลน์กับผู้บริโภคในทุกๆอุตสาหกรรมนั้นมีเพิ่มขึ้น   ขณะที่เสนาฯ เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมที่ต่อยอดให้กับตลาดที่อยู่อาศัยได้เล็งเห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อศึกษาข้อมูลหรือติดต่อเพื่อซื้อโครงการคอนโดบนโลกออนไลน์ และคุ้นชินเป็นอย่างดีกับการทำธุรกรรมออนไลน์ในชีวิตประจำวัน ดังนั้น ทางเสนาจึงได้พัฒนาระบบ“SENA Online Booking”ขึ้นมาเป็นครั้งแรกเพื่อรองรับดีมานด์ของลูกค้าในรูปแบบการจองคอนโดผ่านระบบออนไลน์ ที่สามารถตอบสนองพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงได้ง่าย สะดวกและครบถ้วนมากที่สุด   สำหรับระบบ“SENA Online Booking” จะเป็นช่องทางหนึ่งที่เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าเพราะระบบถูกออกแบบมาให้ลูกค้าเป็นเจ้าของห้องชุดด้วย 4 ขั้นตอนง่าย ๆ คือ 1.ค้น (Search)ทำการเลือก / ค้นหาโครงการที่ถูกใจ 2.เลือก (Select) ดูรายละเอียด Unit ให้ตรงใจคุณ โดยเลือก Floor Plan จากนั้นกดดู รายละเอียด Unit ที่คุณสนใจ 3.จอง (Book)คลิกปุ่ม Book now เพื่อจอง Unit ที่คุณเลือก และ4.จ่าย (Pay)คลิก Book & Pay เพี่อยืนยันการชำระเงินจอง จากนั้นระบบจะส่งรายงานการจองเข้า E – mail เพื่อคอนเฟิร์มการจองให้กับลูกค้า   “SENA Online Booking” จึงเป็นวิธีการจองออนไลน์ที่ช่วยให้คุณได้เป็นเจ้าของยูนิตที่ชอบก่อนใคร ในราคาพิเศษกับส่วนลดสูงสุดถึง 600,000 บาท และเพื่อตอกย้ำให้เห็นว่าการจองออนไลน์ของ เสนาฯ เป็นการจองคอนโดที่เปิดขายและนำมาขายบนโลกออนไลน์ครั้งแรก โดยคัดสรรมาเป็นอย่างดีและพิเศษสุดสำหรับช่องทางนี้โดยเฉพาะ   ล่าสุด เตรียมนำร่องเปิดจองคอนโดลักชูรี่พร้อมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “ปีติ เอกมัย (PITI EKKAMAI)” โปรเจกต์ร่วมทุนขนาดใหญ่ของเสนา – ฮันคิวฯ กับการพัฒนาโครงการ flagship คอนโดมิเนียม High-End บนเนื้อที่โครงการ 4 ไร่เศษ โครงการแรกของเสนาที่มีมูลค่าสูงสุดในปีนี้มากกว่า 5,000 ล้านบาท อีกหนึ่งโปรดักส์ที่อยากให้ทุกคนได้ร่วมสัมผัสพื้นที่ชีวิตที่ใหญ่ที่สุดบนทำเลเอกมัย ภายใต้แนวคิด “อิคิไก (lkigai)” ที่เชื่อในการใช้ชีวิตที่มีความหมาย และไฮไลท์ของ Third Place พื้นที่ที่ตอบโจทย์วิถีคนรุ่นใหม่ได้อย่างเต็มทุกอณูรองรับความสะดวกและสบายทุกช่วงเวลาของชีวิต   เปิดสัมผัสประสบการณ์ใหม่และครั้งแรก"SENA Online Booking" ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์จองก่อนใครวันที่ 5 ก.ค. เปิดจองจริงวันที่ 2 ส.ค.นี้ ตั้งแต่เที่ยงวัน – 22.00 น.ที่ www.onlinebooking.sena.co.th สอบถามเพิ่มเติมโทร.1775
“ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์” โซนใหม่ใต้ร่มของ ไบเทค  ชูจุดเด่นงานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ตอบโจทย์การใช้งานอย่างแท้จริง

“ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์” โซนใหม่ใต้ร่มของ ไบเทค ชูจุดเด่นงานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ตอบโจทย์การใช้งานอย่างแท้จริง

  ตั้งแต่สมัยโบราณมา การค้าขายหรือการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ต่างๆ ระหว่างประเทศ ต้องอาศัยการเดินทางด้วยเรือเป็นหลัก ดังนั้น “เรือ” จึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการค้าขาย และการเดินทาง และจากการค้าขายแลกเปลี่ยนที่นำพาความความรู้ ความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เมืองต่างๆ นี้เอง “เรือสำเภา” จึงเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์และความสำเร็จ และยิ่งเป็นเรือสำเภาขนาดใหญ่ ก็จะสามารถเดินทางฝ่าคลื่นลมได้เป็นระยะไกล และนำพาสินค้า ความรู้ ไปยังจุดหมายปลายทาง หรือ “ไปได้ถึงฝั่ง” บริษัทหรือองค์กรที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขายหลายๆ แห่ง จึงนิยมใช้เรือสำเภาเป็นสัญลักษณ์ประจำบริษัท   เมื่ออ้างอิงจากแนวคิดและสัญลักษณ์ดังกล่าว จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) ผู้นำในด้านศูนย์แสดงสินค้า นิทรรศการ และการประชุมในภูมิภาคเอเชีย ได้สอดแทรกสัญลักษณ์นี้เข้าไปในคอนเซ็ปต์การออกแบบทั้งภายในและภายนอกอย่างลงตัว   ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เป็นศูนย์ฯ แห่งแรกในเมืองไทยที่ตั้งขึ้นมาเพื่อธุรกิจแสดงสินสินค้า และการประชุมโดยเฉพาะ ด้วยความต้องการที่จะสร้างศูนย์แสดงสินค้าที่ไร้เสาค้ำยันในอาคาร เพื่อให้ทุกตารางเมตรเกิดประโยชน์สูงสุด ผู้จัดงานสามารถจัดงานได้เต็มพื้นที่ และยังเอื้อต่อการขนถ่ายสินค้าขนาดใหญ่อีกด้วย การออกแบบและก่อสร้างจึงใช้หลักการเดียวกับการสร้างสะพานแขวน โดยใช้เทคนิคเสากระโดงขนาดใหญ่ติดตั้งเคเบิ้ลสำหรับดึงโครงทรัสหลังคามาประยุกต์ใช้กับอาคารให้ภายในปราศจากเสาค้ำ ซึ่งหากมองในมุมของคนทั่วไป จะเห็นเหมือนมีเสากระโดงเรืออยู่บนหลังคาอาคารจริงๆ จนทำให้ดีไซน์เสากระโดงดังกล่าว เป็นเอกลักษณ์ของไบเทคที่ทุกคนจดจำได้เป็นอย่างดี   เมื่อมาถึง “ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์” โซนใหม่สุดอลังการ ส่วนหนึ่งของการขยายพื้นที่ล่าสุดของไบเทค ก็มีการออกแบบที่สอดคล้องกันกับส่วนดั้งเดิม โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากดีไซน์เสากระโดงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไบเทคเช่นเคย พร้อม สะท้อนจุดเด่นด้านการออกแบบที่มีความร่วมสมัย สะดวกสบาย และมีความยืดหยุ่นสูง ตอบรับกับความต้องการที่หลากหลายของผู้จัดงาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดงานการประชุมระดับนานาชาติ งานสัมมนา งานเลี้ยงสังสรรค์ งานนิทรรศการ รวมถึงงานเฉลิมฉลองในวาระพิเศษต่างๆ งานออกแบบ “ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์” เป็นการร่วมมือระหว่างสองบริษัทยักษ์ใหญ่ ได้แก่ บริษัท ดีไซน์ 103 อินเตอร์เนชั่นแนล (Design 103 International) และบริษัท พี ไอ เอ อินทีเรีย (PIA) ที่ทำงานร่วมกันเพื่อถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของไบเทคให้กลายเป็นจริง และส่งเสริมความเป็นผู้นำด้านการจัดแสดงอุตสาหกรรมการจัดประชุมและงานแสดงสินค้านานาชาติ (MICE) และงานอีเว้นท์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้านงานสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมของ ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์ ถูกออกแบบและดูแลโดย บริษัท ดีไซน์ 103 อินเตอร์เนชั่นแนล นำทีมโดย คุณวิญญู วานิชศิริโรจน์ รองประธานบริหาร กล่าวถึงการออกแบบว่า “ดีไซน์เสากระโดงไร้เสาค้ำยันนี้ เป็นเทคนิคที่ประยุกต์จากการก่อสร้างสะพานและสนามกีฬา ซึ่งไบเทคถือเป็นที่แรกในประเทศไทยที่นำเทคนิคเสากระโดงขนาดใหญ่ติดตั้งเคเบิ้ลมาประยุกต์ใช้ เพื่อเอื้อต่อพื้นที่ใช้สอยด้านล่างได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยความล้ำหน้าในด้านสถาปัตยกรรมส่งผลให้การก่อสร้างสามารถดึงประสิทธิภาพที่สูงที่สุดของเหล็กทุกชิ้นที่ใช้ ซึ่งช่วยประหยัดทรัพยากรและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย” “ความท้าทายที่สำคัญ คือโครงสร้างหลังคาเหล็กในส่วนพื้นที่โถงแสดงสินค้าและนิทรรศการ (อีเว้นท์ฮอลล์ 100) ด้วยความยาวพิเศษมากกว่า 108 เมตร และสูงถึง 25 เมตร จึงจำเป็นต้องออกแบบอาคารดังกล่าวแบบไร้เสาเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้พื้นที่จัดงานสำคัญต่างๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งงานคอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์ระดับโลก ตลอดจนงานแสดงสินค้าและการประชุมนานาชาติขนาดใหญ่” คุณวิญญู กล่าวเพิ่มเติม   ส่วนการตกแต่งภายในของภิรัช ฮอลล์และห้องประชุมย่อยนั้น ได้รับการดูแลจากบริษัทออกแบบชั้นนำของประเทศไทย อย่าง พี ไอ เอ อินทีเรีย (PIA) โดย คุณกิตติ วัชรรัตนากุล มัณฑนากรผู้ดูแลการตกแต่งภายใน กล่าวว่า “การออกแบบตกแต่งภายในของ ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์ นั้น เราได้รับแรงบันดาลใจจากเส้นทางการค้าสำคัญๆ ของโลก เพื่อสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในด้านศูนย์แสดงสินค้า นิทรรศการและการประชุมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของไบเทค เปรียบเช่นเดียวกับเมืองท่าสำคัญๆ ของโลกในสมัยโบราณ ที่มีฐานะเป็นศูนย์กลางการขนย้ายผู้คน สินค้า กระทั่งความรู้จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง และในฐานะประตูบานแรกที่เชื่อมโยงเมืองๆ หนึ่งเข้ากับโลกภายนอก” การดีไซน์ของแต่ละห้องประชุมย่อย และโซนบริเวณพื้นที่สาธารณะ เน้นการอำนวยความสะดวกให้แก้ผู้ร่วมงานเป็นหลัก ด้วยดีไซน์หลังคาสูง และเก้าอี้ที่ที่นั่งสบาย ซึ่งอำนวยให้ผู้ร่วมงานสามารถนั่งได้ยาวนานโดยไม่รู้สึกแคบหรืออึดอัด ทั้งการประชุม เวิร์คช๊อป และอื่นๆ   ส่วนโซน pre-function และบริเวณทางเชื่อมต่อห้องโถงภายนอกที่กว้างขวาง ซึ่งเชื่อมห้องคอนเวนชั่นและห้องประชุมด้วยกัน ยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติที่สวยงามรอบตัว ไม่ว่าจะเป็น พระอาทิตย์ พระจันทร์ ภูเขา ดอกไม้ และท้องฟ้า ถ่ายทอดออกมาเป็นเอเทรียมโซนในเฉดสีสันสดใส ทั้งส้ม เหลือง เขียว แดง และฟ้า เพิ่มคาแรคเตอร์และชีวิตชีวาให้กับพื้นที่แต่ละบริเวณอย่างลงตัว เอื้อต่อการพูดคุยและพบปะสังสรรค์ก่อนงาน “การออกแบบตกแต่งภายในของ ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์ จึงเน้นความเชื่อมโยงของวิถีชีวิตของผู้คนที่หลากหลาย สะท้อนให้เห็นการปะทะและหลอมรวมกันของผู้คนจากวัฒนธรรมต่างๆ ที่จะนำไปสู่การสร้างสรรค์และการเติบโตต่อไป อาทิ ห้องประชุมซิลค์ นำชื่อมาจากเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งสินค้าที่สำคัญระหว่างประเทศจีนกับทวีปยุโรป ห้องประชุมแอมเบอร์ มาจากชื่อเส้นทางสายอำพัน อันเป็นเส้นทางการค้าสำหรับการขนส่งอำพันที่เชื่อมระหว่างยุโรปและเอเชีย และจากตอนเหนือของยุโรปไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และ ห้องประชุมไนล์ มาจากชื่อของแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก ไหลผ่านเมืองท่าการค้าที่สำคัญในประเทศต่างๆ ของทวีปแอฟริกา นอกจากนี้ สีสันต่างๆ ที่เลือกใช้ในการตกแต่งจะเป็นโทนสีอบอุ่น (warm tone) และเลือกใช้วัสดุที่เป็นไม้เป็นหลัก เพื่อสะท้อนถึงการเจริญเติบโต และความยั่งยืน” คุณกิตติ กล่าวเสริม  
“แสนสิริ” เปิดตัว “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” มูลค่ารวมกว่า 6.5 พันลบ.

“แสนสิริ” เปิดตัว “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” มูลค่ารวมกว่า 6.5 พันลบ.

  แสนสิริ เปิดตัว “THE MONUMENT THONG LO” (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) คอนโดมิเนียม ระดับลักซ์ชัวรี่ล่าสุด มูลค่าโครงการกว่า 6,500 ล้านบาท ภายใต้บริษัทร่วมทุนกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์ THE MONUMENT (เดอะ โมนูเมนต์) ด้วยแนวคิด “LUXURY IS SPACE” ผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์เสมือนเป็นมรดกอันล้ำค่าที่สามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยจำนวนยูนิตสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพียงชั้นละ 4 ห้อง รวม 127 ยูนิต กำหนดนิยามใหม่แห่งการอยู่อาศัยด้วยพื้นที่กว้างขวาง โอ่โถงเสมือนอยู่บ้านเดี่ยว และเป็นส่วนตัว บนที่ดินขนาด 2 ไร่ ติดถนนเส้นหลักของทองหล่อซึ่งเป็นทำเลที่หาได้ยากสำหรับการพัฒนาโครงการในปัจจุบัน ทั้งยังเป็นที่พักอาศัยใจกลางเมืองศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ และการอยู่อาศัยที่เหนือระดับพร้อมสะกดทุกสายตาด้วยสถาปัตยกรรมอาคารสูงรูปทรง “Monolith” (โมโนลิธ) สูง 177 เมตร 45 ชั้น แห่งแรกในทองหล่อ เช่นเดียวกับอาคารสูงระฟ้าในมหานครใหญ่ทั่วโลก ที่จะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่เหนือทุกอาคารสูงบนถนนทองหล่อด้วยวิวเมืองแบบพาโนรามา พรั่งพร้อมด้วยทุกองค์ประกอบของความหรูหรา สง่างาม เหนือกาลเวลาทุกตารางนิ้ว ซึ่งปัจจุบันมีราคาแนวโน้มที่ดินถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 200% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จากราคา 1 ล้านบาทต่อตารางวามาอยู่ที่2 ล้านบาทต่อตารางวา พร้อมชูจุดเด่นดีไซน์สระว่ายน้ำระดับไอคอนิคสูง 10 เมตร ที่สวยงามดุจงานประติมากรรม รายล้อมด้วยสวนสีเขียวขนาดใหญ่ เปรียบเสมือนโอเอซิสใจกลางเมืองที่ด้านหน้าโครงการร่วมด้วยบริการเหนือระดับ 24 ชั่วโมง พร้อมดึงสุดยอด 2 แบรนด์ดีไซน์ชั้นนำด้านการตกแต่ง “Chanintr Living” (ชนินทร์ ลิฟวิ่ง) และ “Jim Thompson” (จิม ทอมป์สัน) รังสรรค์ห้องตัวอย่าง     นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริ ร่วมกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) นำเสนอนิยามใหม่ของโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี “THE MONUMENT THONG LO” (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) ที่ผสานดีไซน์ระดับไอคอนิค โดยเราพัฒนาโครงการด้วยการมองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเป็นตัวตั้งต้น (Customer Centric) ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ของครอบครัวอาศัยเติบโตมาในทำเลใจกลางเมืองและกำลังขยายครอบครัวใหม่ โดยต้องการหาที่อยู่อาศัยที่ไม่ไกลจากครอบครัวในเจเนอเรชั่นแรก ด้วยการดึงอินไซต์ของครอบครัวยุคใหม่ที่ต้องการพื้นที่กว้างขวางเสมือนบ้านเดี่ยว และต้องการความสะดวกสบาย ปลอดภัยจากการอยู่คอนโดมิเนียม มีพื้นที่เพียงพอสำหรับให้ลูกๆ หรือสัตว์เลี้ยงที่รักได้ใช้ชีวิตเหมือนอยู่บ้านเดี่ยว โดยกลุ่มเป้าหมายของเรายังรวมถึงกลุ่มคนที่กำลังมองหาบ้านเดี่ยว ที่อยู่อาศัยรูปแบบอื่นๆ ที่มีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางใกล้เคียงกับบ้าน แต่ต้องการความสะดวกสบายในด้านทำเลที่อยู่ใจกลางเมืองทั้งยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟเราจึงได้ตอบโจทย์ดีมานด์ของคนกลุ่มนี้เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ (Complete your living experience) ด้วยการออกแบบพื้นที่พักอาศัยที่มอบความโอ่โถง กว้างขวางกว่าขนาดของห้องคอนโดมิเนียมที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน บนทำเลที่พักอาศัยใจกลางเมืองคุณภาพสูงที่หาไม่ได้อีกแล้ว ทว่าเป็นโลเคชั่นที่สงบและมีความเป็นส่วนตัวของทองหล่อ เพื่อให้เป็นสมบัติล้ำค่าของผู้ครอบครองที่ส่งต่อให้ลูกหลานได้อย่างภาคภูมิใจ”   “THE MONUMENT THONG LO” (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) เป็นโครงการลำดับที่สองของแบรนด์ THE MONUMENT (เดอะ โมนูเมนต์) คอนโดมิเนียมที่พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์หลัก ‘The Monument to Generations’ (เดอะ โมนูเมนต์ ทูเจเนอเรชั่น) การส่งต่อทำเลที่มีคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น โดยโครงการแรก “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” คอนโดมิเนียมมาสเตอร์พีซบนถนนพหลโยธินได้เปิดตัวไปแล้วเมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จและสามารถเขย่าวงการอสังหาฯ ด้วยกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมจากดีไซน์และวัสดุที่มีคุณภาพระดับเวิลด์คลาสอย่างมีเอกลักษณ์ พิถีพิถันในทุกรายละเอียด รวมถึงทำเลในย่านที่ทรงคุณค่า และติดถนนใหญ่ที่ห่างจากบีทีเอสสนามเป้าเพียง 300 เมตร ซึ่งเราหวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้าอีกเช่นเคย”     โครงการ THE MONUMENT THONG LO (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) นำเสนอจุดเด่นผ่านแนวคิด “LUXURY IS SPACE เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ (Complete your living experience) ในทุกมิติดังนี้   ความโอ่โถงกว้างขวาง และฟังก์ชั่นการใช้งานเสมือนบ้านเดี่ยว โครงการประกอบด้วยห้องพัก 3 ประเภท คือ ขนาด 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่ 124.25 ตรม. ขนาด 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ พื้นที่ 252.25 ตรม. และเพนต์เฮาส์ พื้นที่ 508.75 – 662 ตรม. ในราคาเริ่มต้น 300,000 บาทต่อตรม. หรือ 30 ล้านบาทต่อยูนิต นอกจากนี้ ยังออกแบบพื้นที่ภายในห้องให้โอ่โถงกว้างขวางเสมือนบ้าน อย่างห้องนั่งเล่นเพดานสูง 3.3 เมตร ห้องน้ำในห้องนอนมาสเตอร์ของทุกยูนิตเปิดรับวิวกรุงเทพฯ แบบพาโนรามาและมีระเบียงเทอร์เรซพื้นที่ถึง 20 ตรม. ในยูนิตขนาด 3 ห้องนอน   ทำเลอันเป็นมรดกทรงคุณค่า ถนนทองหล่อตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านสุขุมวิทที่มีศักยภาพสูงสุดอันดับต้น ๆ ของกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ซึ่งหลอมรวมประวัติอันยาวนานและวิถีชีวิตของคนยุคใหม่อย่างลงตัว เป็นทั้งที่พักอาศัยคุณภาพสูงมาตั้งแต่อดีต และแหล่งรวมร้านค้าระดับชั้นนำ ร้านอาหารและคอมมูนิตี้มอลล์ระดับไฮเอนด์มากมาย ที่สามารถตอบสนองทุกมิติของการใช้ชีวิตที่ให้ความสะดวกสบายสูงสุดด้านการเดินทางเชื่อมต่อภายในใจกลางกรุงเทพฯ และมีความพร้อมสรรพด้านทางด้านไลฟ์สไตล์ ทำให้ถนนสายนี้จึงยังคงเป็นที่ต้องการอย่างสูง สำหรับผู้ที่เคยพักอาศัยในแถบนี้และต้องการขยับขยายครอบครัวในพื้นที่ใกล้เคียงกับครอบครัวเดิม ทำเลนี้จึงเป็นพื้นที่เป้าหมายสำคัญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่มาอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราการเติบโตของราคาที่ดินในอัตราสูงมาก และแทบจะไม่มีพื้นที่ว่างติดถนนหลงเหลือสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ อีกแล้วในปัจจุบัน   ประสบการณ์อยู่อาศัยที่เป็นส่วนตัว (Privacy) มอบความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตที่มีเพียง 127 ยูนิต โดยแต่ละชั้นจำกัดที่ไม่เกิน 4 ยูนิต พร้อมลิฟต์ส่วนตัวที่จอดเฉพาะชั้นห้องพักของเจ้าของห้อง รวมถึงสัดส่วนที่จอดรถกว่า 192% ของยูนิตทั้งหมดในโครงการพร้อมระบบ Cross Ventilation ในทุกยูนิตเพื่อการระบายอากาศธรรมชาติที่ดีภายในอาคาร   สถาปัตยกรรมอาคารสูงรูปทรง “Monolith” อันเป็นเอกลักษณ์ ที่จะกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในทองหล่อ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ ได้รับการรังสรรค์ขึ้นด้วยองค์ประกอบที่จะทำให้ผู้อยู่อาศัยสัมผัสได้ถึงความกว้างขวาง เป็นส่วนตัว และสะดวกสบายไม่ต่างจากบ้าน ในทุกพื้นที่ของโครงการขนาด 2 ไร่ ด้วยความสูงถึง 45 ชั้น สูงที่สุดบนถนนทองหล่อ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอาคารรูปทรง “Monolith” (โมโนลิธ) ซึ่งมีเอกลักษณ์อยู่ที่รูปทรงตึกที่สูงตรงตั้งตระหง่าน โดยสัดส่วนระหว่างความกว้างของฐานอาคารต่อความสูงของอาคารอยู่ที่ 1:10 พร้อมนำที่จอดรถลงไปไว้ในชั้นใต้ดิน เพื่อความสวยงามและโดดเด่นของตัวอาคาร เช่นเดียวกับอาคารสูงระฟ้าในมหานครใหญ่ทั่วโลก อาทิ โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน นิวยอร์ค อาคารซีแกรม และตึก 432 พาร์ค อเวนิว ที่กรุงนิวยอร์ค หรืออัล ชาร์ค ทาวเวอร์ที่ดูไบ     ความโดดเด่นของพื้นที่ส่วนกลาง ที่ตอบโจทย์การใช้งานใกล้เคียงกับบ้านที่สุด เริ่มจากล็อบบี้ส่วนกลางเสมือนห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ของบ้าน พื้นที่ 150 ตารางเมตร โอ่โถงด้วยเพดานความสูงถึง 5 เมตร เปิดรับวิวสวนสีเขียวเต็มตา คัดสรรแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับโลกอย่าง Fendi Casa และ Flexform มาประดับตกแต่ง โดยใช้ไม้ที่ใช้เวลาแปรสภาพถึง 300 ปี แชนเดอเลียร์จากแบรนด์ LASVIT ที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษดุจงานศิลปะด้วยเทคนิคพิเศษที่สืบทอดเทคนิคการผลิตแก้วจากรุ่นสู่รุ่นมากว่า 200 ปี และสระว่ายน้ำดีไซน์ระดับไอคอนิกแรงบันดาลใจจากต้นไม้ใหญ่ที่มีความสูงถึง 10 เมตร ตัวสระยาว 28 เมตร กว้าง 9.5 เมตร พื้นสระปูด้วยหินไวท์ คลาวด์ (White Cloud) รายล้อมไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด   วัสดุคุณภาพระดับเวิลด์คลาสและเทคโนโลยีเหนือระดับ มอบสัมผัสแห่งความหรูหรา กว้างขวาง ตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกมาจากลิฟต์สู่โถงทางเข้าด้วย “Welcome Light” เปิดไฟแบบอัตโนมัติด้วยระบบโมชั่นเซ็นเซอร์ พื้นโถงปูด้วยหินอ่อนไวท์ วีนัส (White Venus) ต่อกันเป็นลวดลาย Bookmatch ประตูเข้าสู่ห้องเป็นประตูบานเฟี้ยมติดกระจกฟาบริคกลาส (Fabric Glass) นอกจากนี้ โมนูเมนต์ทองหล่อยังเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่เติมเต็มนิยามความหรูหรา เช่น สุขภัณฑ์จาก Gessi แบรนด์ระดับท้อปของอิตาลี สวิตช์พร้อมระบบอัตโนมัติจาก Legrand แบรนด์ฝรั่งเศสที่โดดเด่นด้วยงานดีไซน์   พื้นที่สีเขียวร่มรื่นใจกลางกรุง ทางโครงการยังคำนึงถึงออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวขนาดถึงกว่า 1,000 ตรม. แบ่งเป็นสวนด้านหน้าและสวนด้านหลัง ต้นจามจุรีที่อยู่กับที่ดินเดิมมาเป็นเวลานานกว่า 50 ปี ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ให้ความร่มรื่น และอีกหนึ่งความพิเศษเหนือโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่อื่นๆ คือ “Dog Park” ที่ออกแบบขึ้นมาพิเศษบริเวณสวนด้านหน้าสำหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยง พร้อมเป็นส่วนตัวด้วยการจัดเส้นทางการใช้งานเฉพาะสำหรับสุนัขโดยสัญจรผ่านทางลิฟต์เซอร์วิส   บริการเอ็กซ์คลูซีฟเหนือระดับ 24 ชั่วโมง (Exclusive service) อาทิ บริการบัตเลอร์ประจำโครงการ บริการ Valet Parking และบริการรถลิมูซีน รองรับการใช้บริการแบบเป็นครอบครัวคอยให้บริการรับส่งตามต้องการ โดยสามารถจองการใช้งานล่วงหน้าผ่าน Home Service Application     THE MONUMENT THONG LO เปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมห้องตัวอย่างที่ตกแต่งอย่างละเมียดละไมใน 2 สไตล์ ห้องแรกตกแต่งด้วยคอนเซ็ปท์ ‘The Southern Belle’ โดยชนินทร์ ลีฟวิ่ง โดดเด่นด้วยเฟอร์นิเจอร์จากแบรนด์ Hickory Chair แบรนด์คราฟท์เฟอร์นิเจอร์ลักซ์ชัวรี่ของอเมริกาซึ่งออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ระดับโลก ‘ซูซาน แคสเลอร์’ (Suzanne Kasler) อีกห้องหนึ่งได้รับการออกแบบตกแต่งโดย ‘จิม ทอมป์สัน’ ภายใต้คอนเซ็ปท์ ‘Forbidden Colour’ โดดเด่นด้วยการเลือกใช้สีสันที่ฉูดฉาดอย่างลงตัว เช่น การใช้สีเหลืองกับสีดำ ขาว น้ำเงินเข้ม และเขียวมรกต รวมถึงการผสมผสานระหว่างเฟอร์นิเจอร์วินเทจและเฟอร์นิเจอร์แบบโมเดิร์น เพิ่มความลักซ์ชัวรี่ด้วยการกรุผนังห้อง โซฟา เก้าอี้ โครงเตียงนอนด้วยผ้าไหมแท้   “ปัจจุบัน โครงการ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จไปแล้วกว่า 70% และคาดว่าจะพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกบ้านได้ภายในต้นปี 2562 โดยเราตั้งเป้าการขายไว้ที่ 50% ภายในปีนี้ พร้อมกันนี้ แสนสิริ ยังได้เตรียมพริวิเลจสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองห้องชุดในโครงการภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ด้วยการมอบโทรทัศน์แบรนด์ Bang & Olufsen รุ่น BEOVision 14 มูลค่ากว่า 6 แสนบาทให้อีกด้วย” นายปิติ กล่าวปิดท้าย     ผู้ที่สนใจเข้าชมโครงการและห้องตัวอย่าง สามารถสัมผัสประสบการณ์แห่งการอยู่อาศัยเหนือระดับบนนิยาม Luxury is space สมบัติอันล้ำค่าจากรุ่นสู่รุ่นของความหรูหรารูปแบบใหม่ผ่านพื้นที่โอ่โถงของคอนโดมิเนียม ที่ให้ประสบการณ์เสมือนบ้านเดี่ยว และความเป็นส่วนตัวสูงสุดที่ THE MONUMENT THONG LO (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) ได้แล้ววันนี้ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sansiri.com/en/condominium/the-monument- thong-lo/ หรือ โทร. 1685
แอสเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเม้นท์ ประเดิมโครงการแรก เจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน ส่งวนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 - ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยวสุดลักชัวรี่ลงตลาด

แอสเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเม้นท์ ประเดิมโครงการแรก เจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน ส่งวนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 - ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยวสุดลักชัวรี่ลงตลาด

  บริษัท แอทเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด สบช่องว่างกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน พัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบวิถีชีวิตสังคมเมืองที่ทันสมัย พร้อมเปิดตัว วนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 - ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ด้วยแนวคิด A New Definition of Luxury Urban Home บนถนนสายหลักซึ่งเป็นทำเลศักยภาพระหว่างความเจริญเติบโตของโซนพระราม 9 – ศรีนครินทร์ ราคาเริ่มต้นที่ 20 ล้านบาท ลงตลาดเจาะกลุ่มผู้บริหารและเจ้าของกิจการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จและมีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว ด้วยบ้านเดี่ยว 3 ชั้น สามารถอยู่ได้ทั้ง 3 เจนเนอเรชั่น เน้นจุดเด่นในเรื่องความเป็นส่วนตัวด้วยการวางบ้านแบบคลัสเตอร์ โดยแต่ละคลัสเตอร์มีเพียง 4 หลัง พร้อมที่จอดรถเริ่มต้น 4 คันสามารถรองรับรถยนต์ซูเปอร์คาร์และรถครอบครัวขนาดใหญ่ ทางโครงการยังมอบความหรูหรา ทันสมัยให้กับบ้านด้วยการคัดสรรวัสดุภายในบ้านเป็นอย่างดี พร้อมจัดเตรียมลิฟท์ส่วนตัวภายในบ้าน และเพิ่มความร่มรื่น ด้วยการปลูกต้นไม้ใหญ่กว่า 300 ต้น ทั่วทั้งโครงการ นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอทเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวถึงการลงมาพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครั้งนี้ว่า “จากประสบการณ์ทำงานคลุกคลีอยู่ในวงการอสังหาฯ มานานกว่า 12 ปี ด้วยการเริ่มต้นจากการพัฒนาธุรกิจของครอบครัว “ปัญจทรัพย์” มาหลายโครงการ และด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการพัฒนา และสร้างความแตกต่างให้กับลูกค้า จึงรวมตัวตั้งทีมบริหารและผู้เชี่ยวชาญช่วยกันวิเคราะห์ ศึกษากลุ่มเป้าหมาย ทั้งเรื่องไลฟ์สไตล์ ความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน ซึ่งโครงการแรกของเราเป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น ชื่อ วนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 – ศรีนครินทร์ เจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตโดยตรง ด้วยพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ จำนวน 69 หลัง ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 3 แบบขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 400 - 492 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิเช่น สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือยาว 25 เมตร สนามเด็กเล่นพร้อมบ้านต้นไม้ ฟิตเนส ห้องประชุม และพื้นที่สีเขียวมีต้นไม้ใหญ่รอบโครงการ เน้นการได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างแท้จริง นายศุภโชคยังมองอีกว่า ศักยภาพของทำเลถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ พระราม 9-ศรีนครินทร์ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะการเดินทางเข้าเมืองได้สะดวก รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย เช่น โรงพยาบาลสมิติเวช โรงเรียนนานาชาติ สนามกอล์ฟ ห้างสรรพสินค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ ส่วนด้านงานขายนั้นเราได้มอบหมายให้มืออาชีพอย่าง CBRE มาช่วยบริหารจัดการ” ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ทั้งแนวสูงและแนวราบ บนทำเลที่มีศักยภาพใจกลางเมือง ใกล้ที่ทำงาน และใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทางด้าน นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ภายใน 1 – 2 ปีที่ผ่านมานี้ จะเห็นได้ว่าตลาดแนวราบกลับมาเป็นที่นิยมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในโซนกรุงเทพฝั่งตะวันออก เนื่องจากเป็นทำเลที่ขยับออกมาจาก CBD ไม่มากนัก และยังสามารถมุ่งหน้าไปยังสุวรรณภูมิหรือออกสู่ภาคตะวันออกที่เป็นเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ (EEC) ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้การคมนาคมที่จะมีขึ้นก็รองรับในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) รวมถึง Airport rail link และทางด่วน ที่มีอยู่เดิมแล้ว จึงทำให้ผู้พัฒนาโครงการเล็งเห็นศักยภาพของทำเล และตลาดของผู้ซื้อในย่านนี้ ซึ่งจากการศึกษาตลาดบ้านระดับ Luxury ในกรุงเทพฝั่งตะวันออกนี้ จึงเห็นได้ว่า โครงการระดับ Luxury ในราคาเริ่มต้นที่ 20 ล้านบาท ที่มาพร้อมพื้นที่ใช้สอย, วัสดุ และการดีไซน์ ต่างๆ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานจริงและมีคุณภาพสูง อย่าง วนา เรสซิเดนท์ ยังคงไม่มีในตลาด จึงเชื่อว่าโครงการนี้ จะตอบโจทย์และเป็นที่ต้องการของครอบครัวสมัยใหม่ได้อย่างแน่นอน” ทั้งนี้ โครงการ วนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 – ศรีนครินทร์ จะจัดกิจกรรมเปิดบ้านตัวอย่าง อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดจอง ในเดือนสิงหาคมนี้
ออลล์ อินสไปร์ฯ เปิดตัว “ไรส์ พหล – อินทามระ” บนทำเลศักยภาพ

ออลล์ อินสไปร์ฯ เปิดตัว “ไรส์ พหล – อินทามระ” บนทำเลศักยภาพ

บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบคอนโดมิเนียมภายใต้ แบรนด์ ดิ เอ็กเซล ไรส์ และอิมเพรสชั่น เปิดตัวคอนโดมิเนียมรูปแบบ High Rise โครงการ ไรส์ พหล – อินทามระ (RISE Phahon - Inthamara) สูง 40 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 384 ยูนิต แบบห้องมี 3 รูปแบบ คือ 1 ห้องนอน ขนาด 25 - 37.5 ตร.ม., 2 ห้องนอน ขนาด 42 - 58 ตร.ม. และเพนเฮาส์ขนาดกว่า100 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.89 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลคุณภาพสูงสุดเพียง 900 ม. จากรถไฟฟ้า BTS สถานีสะพานควาย ออกแบบภายใต้คอนเซ็ป Iconic Blade Skyscrapers โดนเด่น ด้วยสถาปัตยกรรมทรงเฉียบล้ำสมัย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสะท้อนประสบการณ์และวิสัยทัศน์ในการใช้ชีวิตอย่างเหนือระดับ เติมเต็มพื้นที่ส่วนกลางด้วย Sky Rise Facility ถึง 2 ชั้นเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มีCo - Working Space และ Smart Auto Parking ระบบจอดรถล้ำสมัยเพื่อความสะดวกสบาย ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ฯลฯ เริ่มก่อสร้างประมาณไตรมาส 1 ปี 2562 และคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จประมาณไตรมาส 4 ปี 2564 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Contact Center 02 029 9999 หรือ www.allinspire.co.th
บ้านแพงที่สุดในโลก 10 อันดับ

บ้านแพงที่สุดในโลก 10 อันดับ

บ้านเป็นสถานที่ที่คนเราใช้ชีวิตอยู่กับมันมากที่สุด เพราะเป็นที่พักพิงของเราเอง หลายคนจึงพยายามสร้างบ้านให้ดูดี สะดวกสบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า สถานที่พักอาศัยของมนุษย์เรานั้นจะหรูหราและมูลค่ามากที่สุดได้มากขนาดไหนกัน วันนี้เราจะพาไปดูบ้าน 10 แห่งทั่วโลก ที่ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารไทม์ (TIME) เมื่อปลายปีที่แล้ว ว่าเป็นบ้านที่แพงที่สุดในโลก พร้อมเปิดเผยชื่อเจ้าของบ้านแต่ละหลังด้วย     อันดับ 10 7 อัปเปอร์ ฟิลลิมอร์ การ์เด้นส์ (7 Upper Phillimore Gardens) ภาพจาก previewchicago.com ที่ตั้ง : กรุงลอนดอน, สหราชอาณาจักร มูลค่า : 4.6 พันล้านบาท รายละเอียด : จากโรงเรียนกลายมาเป็นคฤหาสน์สุดหรูประกอบไปด้วยห้องนอน 10 ห้อง มีสระว่ายน้ำ, ซาวน่า, โรงยิม, โรงภาพยนตร์รวมไปถึงห้องนิรภัยอยู่ชั้นใต้ดิน โดยภายในจะตกแต่งด้วยหิน, ทองคำ และงานศิลปะที่ประเมินค่าไม่ได้ เจ้าของ : โอเลน่า พินชัก (Olena Pinchuk) ลูกสาวของ ลีโอนิด คุชมา (Leonid Kuchma) รองประธานาธิบดียูเครน ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ ANTIAIDS และยังเป็นเพื่อนสาวของนักร้อง-นักแต่งเพลงชื่อดังอย่าง เอลตัน จอห์น อีกด้วย อันดับ 9 เคนซิงตัน พาเลซ การ์เด้นส์ (Kensington Palace Gardens) ภาพจาก previewchicago.com ที่ตั้ง : กรุงลอนดอน, สหราชอาณาจักร มูลค่า : 5 พันล้านบาท รายละเอียด : ตั้งอยู่ในย่านมหาเศรษฐีในกรุงลอนดอน บ้านมีแผงยื่นขยายลงไปชั้นใต้ดินกลายเป็นสนามเทนนิส, ศูนย์พยาบาล และพิพิธภัณฑ์รถยนต์ เจ้าของ : โรมัน อับราโมวิช (Roman Abramovich) มหาเศรษฐีน้ำมันชาวรัสเซียและเป็นเจ้าของหลักของบริษัทลงทุนเอกชน บริษัทมิลล์เฮาส์ แคปปิทัล เขาเป็นที่รู้จักของชาติตะวันตกในฐานะเจ้าของสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีกชื่อดังของอังกฤษอย่าง เชลซี ( Chelsea) อันดับ 8 เซเว่น เดอะ พินนาเคิล (Seven The Pinnacle) ภาพจาก vidanaeuropa.com ที่ตั้ง : บิ๊ก สกาย, รัฐมอนแทนา สหรัฐอเมริกา มูลค่า : 5.6 พันล้านบาท รายละเอียด : เป็นทรัพย์สมบัติที่ใหญ่ที่สุดในเยลโลว์สโตนคลับ หรือชุมชนการเล่นกอล์ฟและสกีแบบส่วนตัวสำหรับผู้ที่มั่งมี บ้านประกอบไปด้วยชั้นให้ความร้อน สระว่ายน้ำจำนวนมาก โรงยิมและห้องเก็บไวน์ เจ้าของ : เอ็ดดรา และทิม บลิกซ์เซ็ธ (Edra and Tim Blixseth) นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อันดับ 7 ปราสาทเฮิร์สต์ (Hearst Castle) ภาพจาก celebritynetworth.com ที่ตั้ง : ซาน ไซเมียน, รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มูลค่า : 6.9 พันล้านบาท รายละเอียด : ปราสาทหลังโตขนาด 27 ห้องนอน ถูกใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังอย่างเดอะ ก็อดฟาเธอร์ (The Godfather) เจ้าของ : วิลเลียม แรนดอล์ฟ (William Randolph) ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการดูแลปราสาทหลังนี้ ปัจจุบันกลายเป็นมรดกและสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแคลิฟอร์เนีย อันดับ 6 เอลลิสัน เอสเตท (Ellison Estate) ภาพจาก wsj.com ที่ตั้ง : วู้ดไซด์, รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มูลค่า : 7.2 พันล้านบาท รายละเอียด : คฤหาสน์ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 23 เอเคอร์ ประกอบไปด้วยตึกถึง 10 ตึก ด้วยกัน เจ้าของ : แลร์รี่ เอลลิสัน (Larry Ellison) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์ออราเคิล ผู้ซึ่งถูกขนานนามให้เป็นบุคคลที่รวยเป็นอันดับ 3 ของโลก ในปี 2013 (พ.ศ. 2556) อันดับ 5 18-19 เคนซิงตัน พาเลซ การ์เด้นส์ (18-19 Kensington Palace Gardens) ภาพจาก commons.wikimedia ที่ตั้ง : กรุงลอนดอน, สหราชอาณาจักร มูลค่า : 8 พันล้านบาท รายละเอียด : เป็นอีกหนึ่งทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ในย่านมหาเศรษฐีในกรุงลอนดอน คฤหาสน์หลังนี้ตั้งอยู่ติดกับพระราชวังของเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงเคท โดยจะประกอบไปด้วย 12 ห้องนอน ห้องน้ำสไตล์เตอร์กิช สระว่ายน้ำกลางแจ้ง และที่จอดรถสำหรับ 20 คัน เจ้าของ : ลักษมี มิตตัล (Lakshmi Mittal) ประธานใหญ่แห่ง Arcelor Mittal บริษัทชั้นนำทางด้านอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กครบวงจร และยังเป็น 1 ใน 100 บุคคลที่รวยที่สุดในประเทศอินเดียอีกด้วย อันดับ 4 โฟร์ แฟร์ฟิลด์ พอนด์ (Four Fairfield Pond) ภาพจาก celebritynetworth.com ที่ตั้ง : ซากาโปแน็ก, นครนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา มูลค่า : 9 พันล้านบาท รายละเอียด : คฤหาสน์หลังโตตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 63 เอเคอร์ ที่มีโรงงานผลิตไฟฟ้าเป็นของตัวเอง ภายในตัวคฤหาสน์ประกอบไปด้วย 29 ห้องนอน, 39 ห้องน้ำ, สนามบาสเกตบอล, ลานโยนโบว์ลิ่ง, สนามสควอช, สนามเทนนิส, สระว่ายน้ำ 3 แห่ง และโต๊ะทานอาหารที่มีความยาวกว่า 28 เมตร เจ้าของ : อิรา เรนเนิร์ท (Ira Rennert) เจ้าของกิจการเรนโค้ กรุ๊ป บริษัทผู้ลงทุนในเครือผู้ผลิตรถยนต์และการหลอม และยังรวมไปถึงโลหะและเหมืองแร่อีกด้วย อันดับ 3 วิลล่า ลีโอโพลดา (Villa Leopolda) ภาพจาก celebritynetworth.com ที่ตั้ง : โกตดาซูร์, ชายฝั่งทะเลทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส มูลค่า : 2.7 หมื่นล้านบาท รายละเอียด : คฤหาสน์หลังมโหฬารตั้งอยู่บนพื้นที่ 50 เอเคอร์ ได้รับการขนานนามว่าเป็นสีเขียวเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ที่มีทั้งสระว่ายน้ำและบ้านสระว่ายน้ำ, ห้องครัวกลางแจ้ง, ลานจอดเฮลิคอปเตอร์และเกสต์เฮ้าส์ขนาดใหญ่ซึ่งใหญ่กว่าคฤหาสน์ของเศรษฐีส่วนใหญ่ซะอีก และคฤหาสน์หลังนี้ยังถูกใช้เป็นฉากในการถ่ายทำภาพยนตร์สุดคลาสสิกชื่อดังอย่าง ฮิตช์ค็อก (Hitchcock) ในปี 1955 (พ.ศ 2498) เจ้าของ : ลิลลี่ ซาฟรา (Lily Safra) นักสังคมสงเคราะห์ชาวบราซิล และยังเป็นแม่หม้าย อดีตภรรยาของวิลเลี่ยม วาฟรา นายธนาคารชาวเลบานอน ซึ่งเสียชีวิตภายในบ้านของคู่รักคู่หนึ่งหลังจากถูกลอบวางเพลิง อันดับ 2 แอนทิเลีย (Antilia) ภาพจาก india.com ที่ตั้ง : นครมุมไบ, ประเทศอินเดีย มูลค่า : 3.6 หมื่นล้านบาท รายละเอียด : บ้านพักส่วนตัวสมัยใหม่ของมหาเศรษฐีชาวมุมไบ เป็นทรงตึก 27 ชั้น บนพื้นที่ประมาณ 122 ตารางเมตร มีที่จอดรถชั้นใต้ดินถึง 6 ชั้น และมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ 3 ลาน โดยมีพนักงานรับใช้ประจำการอยู่ทั้งสิ้นกว่า 600 คนเลยทีเดียว เจ้าของ : มูเกช อัมบานี (Mukesh Ambani) บุคคลที่ได้ชื่อว่ารวยที่สุดและเป็นนักธุรกิจที่ทรงอิทธิพลที่สุดของอินเดีย เขามีทรัพย์สินส่วนตัวมูลค่าประมาณ 856,400 ล้านบาท นอกจากนี้เขามีรายได้จากการเป็นเจ้าของบริษัทความเชื่อมั่นด้านอุตสาหกรรม บริษัทพลังงานและวัสดุ อันดับ 1 พระราชวังบักกิงแฮม (Buckingham Palace) ภาพจาก wikipedia ที่ตั้ง : กรุงดอนดอน, สหราชอาณาจักร มูลค่า : 5.6 หมื่นล้านบาท รายละเอียด : แม้ตามหลังโครงสร้างแล้วจะถือว่าเป็นบ้าน แต่แน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับขาย เนื่องจากเป็นพระราชวังซึ่งเป็นที่ประทับของราชินีของอังกฤษ โดยประกอบไปด้วยห้องหับทั้งหมด 775 ห้อง แบ่งเป็นห้องรับรอง 19 ห้อง, ห้องนอน 52 ห้อง, ห้องพนักงาน 188 ห้อง, ห้องสำนักงาน 82 ห้อง และห้องน้ำอีก 78 ห้อง เจ้าของ : พระราชวังบักกิงแฮมเป็นที่ประทับเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษ ปัจจุบันเป็นของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ประธานเครือจักรภพและผู้ปกครองสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษ ตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495   ขอบคุณข้อมูลดีๆ และภาพประกอบจาก Kapook.com
“JUSTCO” เปิดตัว CO-WORKING SPACE ที่ใหญ่ที่สุดในไทย  เผยโฉมสาขาแรกใจกลางกรุงเทพฯ เอไอเอ สาทรทาวเวอร์

“JUSTCO” เปิดตัว CO-WORKING SPACE ที่ใหญ่ที่สุดในไทย เผยโฉมสาขาแรกใจกลางกรุงเทพฯ เอไอเอ สาทรทาวเวอร์

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง และก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซ (Co-Working Space) ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล่าสุด จัสท์โค (JustCo) พร้อมเปิดตัวโคเวิร์คกิ้งสเปซสาขาแรกในประเทศไทย ณ เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ภายใต้แนวคิด Let’s Make Work Better ซึ่งให้มากกว่าการเป็นโคเวิร์คกิ้งสเปซพื้นที่การทำงานที่ทันสมัย แต่จะเน้นการสร้างคอมมูนิตี้ (Community) ให้เกิดเป็นเครือข่ายที่แข็งแกร่ง สร้างความสัมพันธ์และแสวงการเชื่อมต่อใหม่ๆ พร้อมทั้งสำรวจโอกาสทางธุรกิจเพื่อเชื่อมโยงสมาชิก พาร์ทเนอร์ (Partner) และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆจากทั่วโลกเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว สำหรับการเปิดตัว จัสท์โค เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการเปิดตัวจัสท์โค โคเวิร์คกิ้งสเปซ สาขาแรกในประเทศไทยเท่านั้น แต่จัสท์โค เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ยังเป็นโคเวิร์คกิ้งสเปซที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย โดยมีพื้นที่กว่า 3,200 ตารางเมตร ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย เปิดกว้าง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นในการทำงาน ซึ่งมาพร้อมกับความยืดหยุ่น โดยตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร ศูนย์กลางแห่งธุรกิจ ตัวอาคารอยู่ในระยะที่เดินถึงจากสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ และจะมีทางเดินเชื่อมต่อกับสถานีศึกษาวิทยาในเร็วๆ นี้ โดย Mr. Kong Wan Sing ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของของจัสท์โคได้เปิดเผยว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ประกาศเปิดตัวในกรุงเทพฯซึ่งเป็นก้าวแรกของจัสท์โคในการขยายสาขาไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของภูมิภาคและยังคงแสดงให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ดีควบคู่กับโครงการริเริ่มโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลทำให้กรุงเทพฯเป็นตลาดสำคัญสำหรับจัสท์โค ทั้งในประเทศและต่างประเทศและ บริษัทต่างๆจะได้รับประโยชน์จากพื้นที่โคเวิร์คกิ้งสเปซของจัสท์โค เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ในกรุงเทพฯ ทำให้เราสามารถให้บริการเครือข่ายและการเชื่อมต่อกับชุมชนที่กำลังเติบโตของเราได้อย่างต่อเนื่อง” ทั้งนี้ จัสท์โค เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ยังได้รับเกียรติจากนักวาดภาพประกอบสาวชาวไทยผู้ฝากผลงานการออกแบบร่วมกับแบรนด์ดังระดับโลกมาแล้วนับไม่ถ้วนอย่าง “Pomme Chan” (ปอม ชาน) มาร่วมถ่ายทอดผลงานอันสร้างสรรค์ผ่าน Wall Painting ผสมผสานกับการออกแบบในสไตล์ของจัสท์โคที่มีเอกลักษณ์ และการตกแต่งภายในที่มีสีสันสดใสและมีชีวิตชีวา ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย สบาย สดชื่น และเป็นกันเอง เน้นการใช้วัสดุที่เป็นไม้พร้อมทั้งกำแพงอิฐและใช้แสงนีออนที่ออกแบบและติดตั้งอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะ โดดเด่นด้วยบันไดสีฟ้าสดสวยงามที่อยู่บริเวณศูนย์กลางของโคเวิร์คกิ้งสเปซแห่งนี้ซึ่งเชื่อมโยงสมาชิกทั้งสองชั้นเข้าด้วยกันอย่างลงตัว นอกจากนี้จัสท์โคยังมีการจัดพื้นที่เปิดโล่งอย่างสมดุลระหว่างการเป็นพื้นที่เพื่อการทำงานอย่างมืออาชีพและการสร้างความเป็นชุมชนที่เต็มเปี่ยมด้วยมิตรภาพ โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสำนักงานครบครัน พร้อมกับลูกเล่นและองค์ประกอบที่ให้ความสนุกสนานเพื่อความผ่อนคลายของสมาชิกก็มีให้อย่างครบครันไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเล่นปิงปอง ฟุตบอลโต๊ะ หรือเกมอาร์เคด นอกจากนี้ยังได้ผู้ผลิตกาแฟคุณภาพชื่อดังอย่าง คอฟฟีโอโลจี (Coffeeology) ที่มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ของกาแฟเข้ามาดูแลในพื้นที่เสิร์ฟเครื่องดื่มที่ผ่านการชงอย่างสุดฝีมือโดยบาริสต้าผู้มีความชำนาญ ควบคู่ไปกับขนม และของว่างอื่นๆ เพื่อปลุกความสดชื่นให้แก่สมาชิกก่อนจะเริ่มลุยงานต่อ ตลอดจน Quiet Pods ที่ออกแบบพื้นที่ให้สมาชิกสามารถใช้ได้เมื่อต้องการความเป็นส่วนตัว เช่น การคุยโทรศัพท์ หรืองานที่ต้องใช้ช่วงเวลาที่เงียบสงบในการทำงาน รวมถึง โต๊ะทำงานแบบไม่ประจำ(Hot-Desking), ห้องประชุม(Meeting Studios),พื้นที่สำหรับการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย(Event Spaces) แสงสว่างจากธรรมชาติและองค์ประกอบอื่นๆ ที่จะสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ช่วยเสริมสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นให้เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิก พร้อมทั้งเปิดโอกาสในการที่จะเชื่อมต่อกับกลุ่มคนผู้มีพรสวรรค์คนอื่นๆ ทั้งจากธุรกิจในประเทศ ต่างประเทศ และทุกรูปแบบ โดยสมาชิกสามารถขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก และเข้าถึงฐานข้อมูลต่างๆได้จากเครือข่ายที่แข็งแกร่งของพันธมิตรระยะยาวของจัสท์โค อาทิ Venture Hub โดย PwC, Dropbox และ Salesforce ที่ช่วยให้สมาชิกสามารถใช้ประโยชน์ได้ เชื่อมต่อไปสู่ตลาดในระดับภูมิภาค เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจ เรียกได้ว่า จัสท์โค เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ จะเป็น โคเวิร์คกิ้งสเปซที่จะสามารถตอบโจทย์การทำธุรกิจในยุค อีคอมเมิร์ช (E-Commerce) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและพร้อมที่จะรองรับทุกความต้องการของเหล่าสมาชิกได้อย่างครบครัน โดยพร้อมเปิดให้เข้าใช้บริการอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้!
โฮมโปร ทุ่ม 550 ล้านบาท สร้างแลนมาร์ค เอาใจฝั่งธนบุรี  เปิด “โฮมโปร กัลปพฤกษ์”

โฮมโปร ทุ่ม 550 ล้านบาท สร้างแลนมาร์ค เอาใจฝั่งธนบุรี เปิด “โฮมโปร กัลปพฤกษ์”

โฮมโปร ทุ่มกว่า 550 ล้านบาท เดินหน้าขยายสาขาใหญ่ สาขาแรกในปี 2018 เป็นสาขาที่ 82 บนทำเลทองฝั่งธนบุรี เปิด “โฮมโปร สาขากัลปพฤกษ์” บนถนนสายกัลปพฤกษ์ บริเวณแยกกำนันแม้น รองรับพื้นที่แห่งอนาคต ตอบโจทย์คนรักบ้าน ครบครันด้วยสินค้า และบริการเรื่องบ้านที่ทันสมัย เดินทางง่าย สะดวกสบายด้วยที่จอดรถกว่า 400 คัน และร้านค้าชั้นนำอีกมากมาย อาทิ Starbuck , A&W และ miss mamon บนพื้นที่กว่า 8,200 ตารางเมตร พร้อมเติมเต็มประสบการณ์การช้อปออนไลน์ ด้วยบริการ Click & Collect และคุ้มค่าไปกับโปรโมชั่นลดสูงสุดถึง 70% ในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ เพียงวันเดียวเท่านั้น สำหรับ 500 ท่านแรกร่วมสนุกลุ้นจับคูปองซื้อสินค้าราคาพิเศษ แถมช้อปครบรับฟรี บัตรของขวัญโฮมโปรมูลค่าสูงสุด 22,000 บาท และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย ตั้งเป้ายอดขายกว่า 80 ล้านบาทต่อเดือน   นางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” เผยว่า “โฮมโปร ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตอบรับความต้องการของคนรักบ้านอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจมีแนวโน้มการปรับตัวในทิศทางที่เป็นบวก ส่งผลให้ผู้บริโภคมีการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้น รวมถึงในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในทำเลต่างๆ โดยเฉพาะทำเลทองในกรุงเทพฝั่งธนบุรี บนถนนกัลปพฤกษ์ (แยกกำนันแม้น) ที่มีอัตราการขยายตัวของที่อยู่อาศัย คอมมูนิตี้มอลล์เพิ่มขึ้น อีกทั้งทำเลดังกล่าวยังเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังโซนต่างๆได้อีกมากมาย ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯจึงลงทุนขยายสาขา “โฮมโปร กัลปพฤกษ์” สาขาที่ 82 เพื่อรองรับ และตอบโจทย์ลูกค้าบริเวณรอบนอก โดยเน้นสินค้า และบริการที่มีให้เลือกช้อปทุกความต้องการ ทั้งเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัว และสุขภัณฑ์ พร้อมมอบความสะดวกสบายในการเดินทางด้วยพื้นที่บริการจอดรถกว่า 400 คัน รวมถึงบริการ Click & Collect ที่สามารถซื้อสินค้าออนไลน์ พร้อมเลือกเวลา และสถานที่รับของได้ด้วยตัวเอง นอกจากความครบครันของสินค้า และบริการที่จะตอบโจทย์ลูกค้าแล้ว ภายในยังมีร้านค้าเช่าชั้นนำที่พร้อมให้บริการ และมอบสิทธิพิเศษฉลองเปิดสาขาใหม่ อีกมากมาย อาทิ Starbucks , A&W Restaurants , miss mammon , The Delihouse ,CocoBee , Mee Ok ,ร้านเฟอร์นิเจอร์ LINDA , Forty CM , ร้านนวดชีวารมย์ และ KERRY   และเพื่อเป็นการฉลองเปิดสาขา 29 มิถุนายนนี้ เวลา 09.00 น. วันเดียวเท่านั้น สำหรับ 500 ท่านแรก ร่วมสนุกจับคูปองซื้อสินค้าราคาพิเศษ อาทิ โทรศัพท์มือถือซัมซุง Galaxy S9 ราคา 19,000 บาท จำนวน 10 เครื่อง , Samsung LED Smart TV 43 นิ้ว ราคา 9,900 บาท จำนวน 20 เครื่อง ,ไมโครเวฟ Samsung ราคา 1,290 บาท จำนวน 30 เครื่อง , พัดลมไอเย็น Thomas ราคา 1,990 บาท จำนวน 30 เครื่อง, จักรยานพับได้ 20 นิ้ว ราคา 1,890 บาท จำนวน 30 คัน และชุดกล่องแก้ว 5 ใบพร้อมฝาคลิปล็อค ราคา 190 บาท จำนวน 100 ชุด   ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ 3 วันเท่านั้น สำหรับ 5,000 ท่าน เฉพาะสมาชิกโฮมการ์ดที่สมัครใหม่ และลงทะเบียนผูกไลน์โฮมโปร หรือสมาชิกที่ไม่เคยลงทะเบียนผูกไลน์โฮมโปร รับฟรี คูปองส่วนลด 100 บาท เมื่อช้อป 1,000 บาทขึ้นไป ต่อใบเสร็จ ทั้งนี้ ช้อปครบรับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร สูงสุด 22,000 บาท ช้อปครบ 40,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร 1,000 บาท ช้อปครอบ 80,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร 2,500 บาท ช้อปครบ 120,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร 5,000 บาท ช้อปครบ 200,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร 10,000 บาท และช้อปครบ 400,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปรมูลค่า 22,000 บาท พร้อมรับเพิ่มคูปองส่วนลดท้ายใบเสร็จมูลค่า 200 บาท เมื่อช้อปครบ 1,000 บาท ขึ้นไปต่อใบเสร็จ ในวันพฤหัสบดี-อาทิตย์   สิทธิพิเศษสุดคุ้มกว่าใคร สำหรับบัตรโฮมการ์ด สมัครบัตรสมาชิกฟรี พิเศษ! เฉพาะสมาชิกใหม่ รับฟรีถุงผ้า และรับคะแนน 500 คะแนน ช้อปฟินเวอร์ ช้อปทุกวันรับคะแนนทุกวัน X3 เท่า เมื่อช้อปสินค้าทุก 20,000 บาท จำกัดยอดสูงสุด 50,000 บาทต่อวัน และ Happy Point เมื่อใช้คะแนนโฮมการ์ดเท่ากับยอดซื้อลดเพิ่มสูงสุด 20% พร้อมรับสิทธิพิเศษจากสถาบันการเงินชั้นนำอีกมากมาย   นางสาวสิริวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า โฮมโปร สาขากัลปพฤกษ์ จะเป็นแลนมาร์คใหม่ในย่านกัลปพฤกษ์ ที่จะรวบรวมสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรักบ้านได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังเดินทางสะดวก และมีโปรโมชั่นสุดพิเศอีกมากมาย ร่วมฉลองเปิดสาขาใหม่ได้ตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย. - 1 ส.ค. 61 พร้อมเปิดบริการทุกวัน 9.00 - 21.00 น. โทร 02-029-7660 หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Call Center หมายเลข 1284 และ www.homepro.co.th FB : homeprothailand
แอสเสท เวิรด์ รีเทล ผนึกพลังแบรนด์ยักษ์ใหญ่ ประกาศความพร้อม เปิดตัวศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ มั่นใจความครบเครื่องบูมกำลังซื้อรับไตรมาส 4 ปี 61

แอสเสท เวิรด์ รีเทล ผนึกพลังแบรนด์ยักษ์ใหญ่ ประกาศความพร้อม เปิดตัวศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ มั่นใจความครบเครื่องบูมกำลังซื้อรับไตรมาส 4 ปี 61

  แบรนด์ชั้นนำของเมืองไทยเชื่อมั่นศักยภาพ ‘ศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ’ ระดมสร้างไฮไลท์รับการเปิดตัวไตรมาส 4 ปีนี้อย่างคึกคัก นำร่องด้วย 6 แบรนด์ดัง ‘บิ๊กซี-โฮมโปร-เดอะ พาวเวอร์ ไลฟ์-เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์-ฟันเฟสต้า-บิวเทรี่ยม’ ทุ่มงบแบบเบรคเรคคอร์ด หวังกวาดกำลังซื้อคุณภาพย่านบางซื่อสุดตัว   นายณภัทร เจริญกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มรีเทล บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ กำหนดเปิดตัว ‘ศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ’ ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้ โดยโครงการดังกล่าวใช้งบการลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นโครงการที่มีความพร้อมมากที่สุดโครงการหนึ่งของกลุ่มแอสเสท เวิรด์ รีเทล ทั้งด้านการออกแบบ การวางคอนเซปต์ ตลอดจนได้รับความร่วมมือและกระแสตอบรับจากแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่มากประสบการณ์ในกลุ่มธุรกิจต่างๆ อาทิ ค้าปลีก, โรงภาพยนตร์มาตรฐานระดับโลก, โมเดิร์นเทรดวัสดุและของตกแต่งบ้าน รวมถึงอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยี, สวนสนุกและสนามเด็กเล่นในร่มขนาดใหญ่รับไลฟ์สไตล์ยุค 4.0, แบรนด์แฟชั่นและร้านอาหารชั้นนำมากมาย ซึ่งมั่นใจได้ว่าจะเป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดกำลังซื้อให้เข้ามาจับจ่ายและใช้บริการภายในศูนย์ฯ เพื่อผลักดันให้ ‘ศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ’ กลายเป็นศูนย์กลางด้านความบันเทิงและการบริการอย่างครบวงจรในย่านบางซื่อและละแวกใกล้เคียงได้อย่างแน่นอน   “ศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ ถูกพัฒนาขึ้นจากการหล่อหลอมประสบการณ์ด้านธุรกิจรีเทลของ บริษัทฯ และเป็นศูนย์การค้าที่มีความพร้อมและครบวงจรมากที่สุดในด้านการบริการ ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะด้านคมนาคม ซึ่งเป็นจุดผ่านของรถไฟฟ้าสายสีม่วง และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินปัจจัยหลักที่เอื้อต่อการดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ โดยย่านดังกล่าวถือเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่มีความหนาแน่นของประชากรที่มีกำลังซื้อสูง รวมถึงการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมการใช้บริการอีกด้วย” นายณภัทร เจริญกุล กล่าว   ด้านนางวิภาดา ดวงรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี กล่าวแสดงความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของ ‘ศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ’ ว่า ความแข็งแกร่งของศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ คือความสะดวกด้านคมนาคม และการเป็นศูนย์กลางของแหล่งชุมชนที่มีการผสมผสานระหว่างกลุ่มชุมชนดั้งเดิมและกลุ่มผู้ที่เข้ามาอาศัยใหม่จากการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริมความมั่นใจในกำลังซื้อที่จะเกิดขึ้น โดยบิ๊กซีจะนำเสนอ ซูเปอร์มาร์เก็ต ในแพลตฟอร์มใหม่ภายใต้ชื่อ “Big C Foodplace” ด้วยแนวคิด Your Food Destination เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้ายุคปัจจุบัน ที่ต้องการความสะดวกสบาย ทันสมัย และส่งเสริมด้านสุขภาพเป็นสำคัญ โดยจะชูจุดเด่นในเรื่องของการคัดสรรอาหารพร้อมทานสดใหม่ (Ready meal) พร้อมทั้งวัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหารที่มีคุณภาพ คำนึงถึงความปลอดภัย มั่นใจถึงข้อมูลและแหล่งที่มาของสินค้า โดยใส่ใจในทุกรายละเอียด เช่นสินค้าวงจรคุณภาพ BQL (Big C Quality Line) และสินค้าออร์แกนิค (Organic Food) เป็นต้น โดยการพัฒนาสาขาภายใต้แนวคิดใหม่ในครั้งนี้เพื่อตอบโจทย์ครบทุกความต้องการกับการใช้ชีวิตของผู้บริโภค เพื่อตอกย้ำความเป็นห้างคนไทยหัวใจคือลูกค้าได้อย่างตรงจุด   ด้านยักษ์ใหญ่ กลุ่มธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้าน และที่อยู่อาศัยในประเทศไทยโดยนายวทัญญู วิสุทธิโกศล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โฮมโปร ได้นำโมเดลธุรกิจ HomePro S มาให้บริการที่ศูนย์การค้าแห่งนี้ เพื่อให้ใกล้ชิดลูกค้ามากกว่าเดิม ด้วยการเปิดสาขาขนาดเล็กในศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ ใกล้ย่านชุมชน ให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในการจับจ่ายสินค้าภายในบ้าน โดยเราคัดเลือกสินค้าที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และให้ลูกค้าสนุกกับการสั่งซื้อสินค้าอื่นๆ ได้ครบครันเหมือนสาขาขนาดใหญ่ ผ่านเคาน์เตอร์ออนไลน์ที่มีบริการภายในร้าน ภายใต้แนวคิด 3S -Smart ,Select และ Service “SMART” สะดวก ช้อปง่าย สบาย ใกล้บ้าน เพราะตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้าใกล้บ้าน “SELECT” คัดสรรสินค้า ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในการปรับปรุง ซ่อมแซม ดูแลรักษา “SERVICE” ครบครันทุกบริการเพื่อคนรักบ้าน เหมือนสโตร์ใหญ่ รวมถึงการช้อปออนไลน์รูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า Click & Collect ซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ ลูกค้าสามารถกำหนดช่วงเวลา พร้อมเลือกวันรับสินค้า และจุดรับสินค้าได้ที่ โฮมโปร ทุกสาขาทั่วประเทศ ตามความต้องการ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสนุกกับการสั่งซื้อสินค้าอื่นๆได้ครบครันเหมือนสาขาขนาดใหญ่ ตลอดจน The Power Life ศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ครบครัน และทันสมัยมากที่สุด ให้กลุ่มลูกค้าได้เลือกซื้อได้ครบทุกอย่างแบบจบในที่เดียว โดยแนวทางดังกล่าวจะสามารถตอบโจทย์ ตลอดจนรองรับความสะดวกสบายให้กับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้าเกี่ยวกับบ้านได้ง่ายขึ้น   ในขณะที่นายอภิชาติ คงชัย รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจโรงภาพยนตร์ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จํากัด (มหาชน) กล่าวแสดงความมั่นใจต่อการลงทุนครั้งใหม่ในครั้งนี้ว่า เกตเวย์ แอท บางซื่อ เป็นศูนย์การค้าที่มีความน่าสนใจ ตั้งอยู่บนทำเลที่รายล้อมไปด้วยที่อยู่อาศัย, ออฟฟิศ, สถานที่ราชการ และสถานศึกษาชั้นนำ ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ โดยการเดินทางที่สะดวกสบาย เป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการได้ง่ายยิ่งขึ้น สำหรับโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ จะมีจำนวน 6 โรง รวม 1,400 ที่นั่ง ซึ่งจะสามารถรองรับกลุ่มลูกค้าที่จะมาใช้บริการได้อย่างแน่นอน โดยเบื้องต้นได้ตั้งเป้าผู้ใช้บริการประมาณ 600,000 คนต่อปี   ในส่วนของนายภูวนาถ บางพาน ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท แฟมมิลี่ อะมิวส์เม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ฟันเฟสต้า (FUNfesta) สวนสนุกในร่มที่จะเปิดตัวในครั้งนี้นั้น มีพื้นที่กว่า 700 ตารางเมตร ออกแบบในสไตล์ลอฟท์ (Loft) ที่พร้อมจะสร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยไฮไลท์ใหม่คือถ้ำคริสตัล ตกแต่งด้วยผลึกอัญมณี และชิ้นส่วนของคริสตัล ซึ่งถือเป็นแห่งแรกของ ฟันเฟสต้า (FUNfesta) กับการออกแบบในสไตล์ดังกล่าว พร้อมความสนุกที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับทุกคนในครอบครัว ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ศูนย์รวมของเครื่องเล่นที่ครบครันและทันสมัยที่สุด อาทิ Sport Zone เอาใจคอกีฬา และเน้นการออกกำลัง ทั้งชกมวย, Air Hockey, บาสเก็ตบอล, Action Zone เครื่องเล่นที่ทันสมัยเอาใจผู้ที่ชอบความตื่นเต้นเร้าใจกับเครื่องเล่นยิงปืน และแข่งรถ Kid Zone เอาใจน้องๆ หนูๆ กลุ่มอายุ 3-12 ปี เพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาการ โดยการบริการที่เกิดขึ้นนั้นจะตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี   ปิดท้ายด้วยนายจิรวุฒิ โรจน์รัตนวลี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิวเทรี่ยม จำกัด ผู้นำศูนย์รวมด้านผลิตภัณฑ์ความงามที่รวบรวมแบรนด์และบริการระดับโลก กล่าวว่า บิวเทรี่ยม ได้เปิดสาขาและร่วมงานกับ บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด มาแล้วทั้ง 2 สาขาที่ เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์ และเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ซึ่งได้รับความนิยมและการตอบรับจากลูกค้าทุกเพศทุกวัยเป็นจำนวนมาก อีกทั้งได้รับคำแนะนำที่ดีจากทางศูนย์การค้า พอมาที่เกตเวย์ แอท บางซื่อ เราพร้อมที่จะสร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหม่ให้กลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการ ตั้งแต่การออกแบบร้านที่ใช้นักออกแบบมืออาชีพเพื่อเปลี่ยนลุคใหม่ทั้งร้านให้เห็นความแตกต่างจากสาขาอื่นๆ ทั้งการตกแต่งภายใน, ชั้นวางของ รวมไปถึงกิจกรรมทางการตลาดสุดพิเศษที่มามอบให้ลูกค้าในย่านนั้นแบบไม่เหมือนใคร ซึ่งมั่นใจได้ว่าจะโดนใจกลุ่มลูกค้า และได้รับกระแสตอบรับที่ดี ตลอดจนเลือกเข้ามาใช้บริการอย่างเนืองแน่น
เจ.เอส.พี. ยิ้มแก้มปริ โกยยอดขายหน้าฝนกว่า 700 ล้านบาท

เจ.เอส.พี. ยิ้มแก้มปริ โกยยอดขายหน้าฝนกว่า 700 ล้านบาท

สมกับเป็นมืออาชีพ สำหรับซีอีโอคนเก่งไฟแรงอย่าง นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล แห่งค่าย บมจ. เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ ที่หลังเข้ามาบริหารไม่ทันไรก็สร้างผลงานโดดเด่น ล่าสุดปล่อยแคมเปญแรงท้าลมฝน “JSP Special Outlet” ไปได้ไม่ถึงเดือน กระแสตอบรับก็ดีเกินคาด ทำเอายอดขายทะลุเป้าไปแล้วกว่า 700 ล้านบาท โดยโครงการที่ทำยอดขายได้มากที่สุด ได้แก่ โครงการเจ ซิตี้ รังสิตคลอง 1 ประมาณ 101 ล้านบาท ตามด้วยโครงการเจซิตี้ รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง ที่เพิ่งเปิดโซนใหม่ ติดสวน ทำยอดขายไปราว 87 กว่าล้านบาท และยังมี โครงการเจซิตี้ แพรกษา ยอดขายประมาณ 84 ล้านบาท พร้อมด้วยโครงการคอนโด ไมอามีบางปู อีกประมาณ 83 ล้านบาท เป็นต้น ติดตามสินค้าดี พร้อมโปรโมชั่นดีครั้งต่อไปได้ที่ โทร : 1173 หรือรายละเอียดผ่านทางเฟสบุ๊ค: JSP Property ไลน์ : @JSP Property
LPN ขยายความสำเร็จย่านปิ่นเกล้า เปิดรีสอร์ตคอนโด ชูคอนเซ็ปต์ “ที่..ที่เห็นโลกกว้างกว่าที่เคย”  จุดเด่นวิวสวยมุมสูง ฟรีเฟอร์ & แอร์ เริ่ม 1.69 ลบ. เปิด 30 มิ.ย.นี้ ลดสูงสุด 1.1 แสนบาท

LPN ขยายความสำเร็จย่านปิ่นเกล้า เปิดรีสอร์ตคอนโด ชูคอนเซ็ปต์ “ที่..ที่เห็นโลกกว้างกว่าที่เคย” จุดเด่นวิวสวยมุมสูง ฟรีเฟอร์ & แอร์ เริ่ม 1.69 ลบ. เปิด 30 มิ.ย.นี้ ลดสูงสุด 1.1 แสนบาท

LPN ลุยรับความสำเร็จต่อเนื่อง ปักหมุดทำเลเด่นย่านปิ่นเกล้า เปิดคอนโดน้องใหม่ “ลุมพินี พาร์ค บรมราชชนนี-สิรินธร” โครงการส่วนต่อขยาย (Expand Project) หลังประสบผลสำเร็จแล้ว 7 โครงการ หยิบจุดเด่นของถนนรุ่งประชา ที่เงียบ สงบ ในบรรยากาศพื้นที่สีเขียว ไม่มีตึกสูงรายล้อม ดีไซน์คอนโดสไตล์รีสอร์ต ภายใต้แนวคิด “Modern Vertical Resort” หวังเหมาะเป็นที่พักอาศัยของคนเมือง สู่อาณาจักรแห่งการพักผ่อน ตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัวเพียง 680 ยูนิต ชูคอนเซ็ปต์ “ที่..ที่เห็นโลกกว้างกว่าที่เคย” พร้อมเทควิวสวย มุมสูง ไร้ตึกใดบดบังทัศนียภาพ สะดวกทุกการเดินทางด้วยการเข้า-ออกสองเส้นทางที่มุ่งสู่ถนนบรมราชชนนีและถนนสิรินธร ทุกห้องฟรีเฟอร์นิเจอร์ เครื่องปรับอากาศและเครื่องทำน้ำอุ่น เชื่อมั่นการบริการหลังการขายด้วยแนวคิด “ชุมชนน่าอยู่” (Livable Community) ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท ลดสูงสุดเฉพาะวันงาน 1.1 แสนบาท เปิดขายวันเสาร์ที่ 30 มิ.ย.นี้ นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า “บริษัทเตรียมเปิดตัวคอนโดใหม่ภายใต้ชื่อ “ลุมพินี พาร์ค บรมราชชนนี-สิรินธร” มูลค่า 1,600 ล้านบาท ตั้งอยู่บนถนนรุ่งประชาในทำเลย่านปิ่นเกล้า ซึ่งเป็นโครงการส่วนต่อขยาย (Expand Project) ที่บริษัทได้วางแผนไว้ สืบเนื่องจากเคยประสบผลสำเร็จกับการพัฒนาคอนโดในย่านนี้ทั้งสิ้น 7 โครงการ อันมีเหตุผลมาจากความเชื่อมั่นในบริการหลังการขายภายใต้แนวคิด “ชุมชนน่าอยู่” รวมถึงศักยภาพทำเลที่โดดเด่นหลายประการตั้งแต่ใกล้สถานที่สำคัญทางราชการ เช่น วัดหลวงและสนามหลวงอันเป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญทางศาสนาของประเทศไทย รวมถึงยังเป็นเส้นทางหลักที่มุ่งหน้าสู่ภาคใต้และภาคตะวันตก ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า “ถนนบรมราชชนนี” คือ หัวใจหลักของเส้นทางสัญจรในย่านปิ่นเกล้า เริ่มต้นที่จุดตัดระหว่างถนนจรัญสนิทวงศ์และถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า แยกบรมราชชนนีไปสิ้นสุดที่ถนนเพชรเกษมในเขตอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม รวมระยะทางประมาณ 34 กิโลเมตร จากนั้นได้มีการสร้างทางคู่ขนานลอยฟ้าบนถนนบรมราชชนนี ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทำให้การจราจรในย่านนี้คล่องตัวและถนนสายนี้ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น” ส่วนถนนสิรินธรเป็นถนนสายสั้นๆ ระยะทางเพียง 3 กิโลเมตร จากสี่แยกบางพลัดที่ถนนจรัญสนิทวงศ์ตัดกับถนนราชวิถีมาบรรจบถนนบรมราชชนนี ทำให้ย่านนี้มีทางเลือกในการสัญจรเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนับว่าถนนบรมราชชนนีและถนนสิรินธรเป็นถนนสายสำคัญของย่านปิ่นเกล้าและฝั่งธนบุรีที่มีส่วนทำให้พื้นที่ในแถบนี้มีการพัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็ว เสมือนเป็นการบุกเบิกพื้นที่ให้กลายเป็นเมืองใหม่ มีความเจริญและเพียบพร้อมไม่แพ้ย่านใดๆ ในกรุงเทพฯ ทั้งตลอดแนวถนนทั้งสองสายยังมีห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล สถานศึกษาและสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมาย ส่วนพื้นที่ภายในถนนรุ่งประชาซึ่งเป็นถนนที่เชื่อมต่อกับถนนบรมราชชนนีและถนนสิรินธร ถือเป็นถนนสายรองที่สำคัญสายหนึ่งเป็นเหมือนทางลัดที่ตัดตรง ช่วยย่นย่อระยะทางระหว่างถนนหลักสองสาย เป็นย่านที่มีพื้นที่สีเขียวอยู่มากและไม่มีตึกสูงรายล้อม บรรยากาศจึงสงบ ร่มรื่น ปลอดโปร่ง เป็นธรรมชาติเหมาะแก่การพักผ่อน อีกทั้งการเดินทางสัญจรไป-มาสามารถเข้า-ออกได้ทั้งสอง 2 จึงเป็นทำเลที่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยเป็นอย่างมาก “ลุมพินี พาร์ค บรมราชชนนี-สิรินธร” ตั้งอยู่บนถนนรุ่งประชาได้รับการออกแบบให้เป็นคอนโดสไตล์รีสอร์ต ตามแนวคิด “Modern Vertical Resort” โดยเลือกใช้วัสดุ สีสัน การตกแต่งและการออกแบบที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ อบอุ่น ทันสมัย ประกอบกับโครงการแห่งนี้ที่ดินยังถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนตามลักษณะธรรมชาติด้วยคลองเล็กๆ ที่เชื่อมระหว่างกันด้วยสะพาน LPN จึงได้ออกแบบที่ดินด้านหน้าให้เป็นร้านสะดวกซื้อ (Shop) เพื่อตอบสนองผู้พักอาศัยในโครงการรวมถึงผู้คนบริเวณใกล้เคียง และยังมีอาคารชุดพักอาศัย (Private Villa) จำนวน 5 ยูนิต เป็นอาคารสูง 3 ชั้นครึ่ง 3 ห้องนอน ที่จอดรถ 3 คัน รวมถึงพื้นที่ใช้สอยต่างๆ อย่างครบครัน “ถัดเข้ามาในพื้นที่โครงการ LPN วางผังอาคารสะท้อนให้เห็นบรรยากาศที่น่าพักผ่อน เสมือนเป็นรีสอร์ตที่อยู่ใกล้เมือง ตำแหน่งของ แต่ละอาคารจะโอบล้อมด้วยสวนและสระว่ายน้ำ ประกอบด้วยอาคารชุดพักอาศัยจำนวน 680 ยูนิต จำนวน 3 อาคาร และอาคารจอดรถจำนวน 1 อาคาร ห้องชุดแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ Studio, 1 ห้องนอนและ 2 ห้องนอน พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ เช่น Fitness, Co-Living Space, สระว่ายน้ำ, ลู่วิ่ง, ลานออกกำลังกายกลางแจ้งและมุมนั่งเล่นในสวน พร้อมการบริหารหลังการขายแบบมืออาชีพ “ชุมชนน่าอยู่” (Livable Community) ราคาขายเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท รับส่วนลดสูงสุดเฉพาะวันงานมูลค่า 110,000 บาท ทุกห้องฟรีเฟอร์นิเจอร์ เครื่องปรับอากาศและเครื่องทำน้ำอุ่น เปิดขายอย่างเป็นอย่างการวันเสาร์ที่ 30 มิถุนายนนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LPN Call Center 02-689-6888 หรือ www.lpn.co.th” นายโอภาสทิ้งท้าย
สิริ เวนเจอร์ส เชื่อมโยงนวัตกรรม Wind Turbine  พร็อพเทคระดับโลกมาเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยในไทยเป็นครั้งแรก  พร้อมนำทัพ 2 พันธมิตรชั้นนำบินตรงเผยกลยุทธ์ผลักดันสตาร์ทอัพไทยสู่ระดับโลก

สิริ เวนเจอร์ส เชื่อมโยงนวัตกรรม Wind Turbine พร็อพเทคระดับโลกมาเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยในไทยเป็นครั้งแรก พร้อมนำทัพ 2 พันธมิตรชั้นนำบินตรงเผยกลยุทธ์ผลักดันสตาร์ทอัพไทยสู่ระดับโลก

จิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัทสิริ เวนเจอร์ส จำกัด (กลาง) นำทีมคณะผู้บริหารร่วมเสวนาในงาน Siri Ventures Global Connection Platform เพื่อเผยถึงเทรนด์ในการลงทุนและแนวทางการพัฒนา Prop Tech เพื่อตอบโจทย์การเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยอย่างสมบูรณแบบ (complete your living experience) ของแสนสิริ พร้อมชวน มร.ชอน เดฮ์พานาฮ์ รองประธานบริหาร ฝ่ายพันธมิตรองค์กรและนวัตกรรม จากบริษัท Plug and Play จากซิลิคอน วัลเล่ย์ สหรัฐอเมริกา (ซ้าย) และ มร. เบน สตรูว์โก ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมองค์กรจากบริษัท SOSA จากประเทศอิสราเอล (ขวา) ในฐานะพันธมิตรเครือข่ายสตาร์ทอัพระดับโลกบินตรงมาร่วมเปิดกลยุทธ์สำคัญในการเปิดประตูสร้างโอกาสผลักดันสตาร์ทอัพไทยสู่ระดับโลก พร้อมดึงโมเดล Wind Turbine กังหันลมสำหรับผลิตพลังงานไฟฟ้าสำหรับโครงการที่พักอาศัยมานำเสนอครั้งแรกในไทย สะท้อนพันธกิจการลงทุนก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงนวัตกรรมระดับโลกของบริษัทฯ พร้อมด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำอีกมากมาย ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง ณ งาน Techsauce Global Summit 2018 โรงแรมเซนทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัล เวิลด์ เมื่อเร็วๆนี้
BTS เสียบ่อย แล้วคอนโดติดรถไฟฟ้ายังจำเป็นอยู่ไหม

BTS เสียบ่อย แล้วคอนโดติดรถไฟฟ้ายังจำเป็นอยู่ไหม

โอ้โห!!! BTS เสียทั้งวันทั้งคืนมา 3 วันรวด แถมล่าสุดพ่วงมาด้วย MRT ก็เสียไปด้วยอีก เหล่ามนุษย์ออฟฟิศทั้งหลายก็ได้แต่ถอนใจ ทำอะไรไม่ได้นอกจากโวยวายผ่านโซเชียลกันสนั่น เมื่อเป็นเช่นนี้หลายคนที่เคยหวังให้รถไฟฟ้าเป็นการเดินทางหลักที่จะช่วยให้ชีวิตแสนสะดวกสบายในเมืองกรุงก็เป็นอันพังทลายในพริบตา แล้วแบบนี้หากคิดจะลงทุนควักเงินซื้อคอนโดราคาแสนแพงติดสถานีรถไฟฟ้ายังจำเป็นอยู่หรือไม่     ระบบคมนาคมขนส่งในบ้านเราเป็นที่ทราบกันดีว่า “ยังไม่มีอะไรสมบูรณ์พร้อม” จริงไหมคะ รถเมล์ก็รอนานกว่าจะมาแต่ละสาย วินมอเตอร์ไซค์ก็เรียกค่าโดยสารแพง แท็กซี่ก็ช่างเลือก เรือด่วนเจ้าพระยา เรือคลองแสนแสบก็มีเส้นทางไม่ครอบคลุมมากนัก พอเก็บเงินซื้อรถยนต์หวังความสะดวกสบาย แต่ต้องติดอยู่บนถนนหลายชั่วโมง ซึ่งถ้านับเวลาที่อยู่บนถนนก็สามารถขับรถออกต่างจังหวัดได้เลยใช่ไหมคะ สุดท้ายรถไฟฟ้าจึงเป็นทางเลือกที่ประหยัดเวลาที่สุดสำหรับการเดินทางในกรุงเทพฯ และปริมณฑลบางช่วงที่รถไฟฟ้าเข้าถึง หากไม่เกิดเหตุการณ์เสียบ่อยในชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้     ในส่วนของคอนโดมิเนียมหลายโครงการก็พยายามหาทำเลเหมาะๆ ใกล้สถานี เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตอันเร่งรีบ แบบที่ลงมาจากคอนโดปุ๊บ เดินอีกไม่กี่ก้าวก็ขึ้นสถานีรถไฟฟ้าไปทำงานได้เลย ประหยัดเวลาไปได้อีกเยอะเลยค่ะ แต่หากสถาณการณ์รถไฟฟ้าในปัจจุบันยังไม่สู้ดีอยู่  เช่นนี้ ประกอบกับราคาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าอันแสนแพง เราก็คงอาจจะต้องย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองกันใหม่ว่า คอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราจริงหรือไม่ เพราะสิ่งที่พอจะเป็นทางออกของการเดินทางในกรุงเทพฯ ได้ในขณะนี้ คือนอกจากจะต้องเผื่อเวลาการเดินทาง ก็ต้องวางแผนการเดินทางเอาไว้หลากหลายเส้นทางด้วย เช่น ใครที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวถ้าใช้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นหลัก ก็อาจจะต้องหาโครงการที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าไปพร้อมๆ กับมีป้ายรถเมล์ วินมอเตอร์ไซค์อยู่ใกล้ๆ ไปด้วย แต่ถ้าใครใช้รถยนต์  ส่วนตัว นอกจากจะมองหาคอนโดมิเนียมที่ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนแล้ว ก็ต้องสามารถเลือกไปขึ้นรถไฟฟ้าได้ด้วยเป็นแผนสำรองในบางวันเอาไว้ หรือจะเลือกอยู่คอนโดมิเนียมใกล้กับออฟฟิศไปเลยก็น่าสนใจนะคะ จะได้ตัดปัญหาเรื่องการเดินทางออกไปเลย   สุดท้ายแล้วคอนโดมิเนียมทำเลดี ไม่ได้หมายความว่าจะต้องติดสถานีรถไฟฟ้าให้มากที่สุดเสมอไป แต่คอนโดมิเนียมที่ตั้งบนทำเลอัน  เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ตัวผู้อยู่อาศัยเองจริงๆ มากกว่า ถึงจะเรียกว่าเป็นคอนโดมิเนียมทำเลดีที่สุดสำหรับตัวเราเอง ฉะนั้นก็ลองถาม  ความต้องการของตัวเองดูให้ดีค่ะ ว่าโครงการทำเลไหนจึงจะตอบโจทย์เราได้มากที่สุด
HBA เปิดหลักสูตร “HBEX” หวังสร้างมาตรฐานรับสร้างบ้าน ชูกลยุทธ์ “Content Marketing” เน้นสื่อสารเพิ่มสมาชิกสมทบ

HBA เปิดหลักสูตร “HBEX” หวังสร้างมาตรฐานรับสร้างบ้าน ชูกลยุทธ์ “Content Marketing” เน้นสื่อสารเพิ่มสมาชิกสมทบ

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดแผนดันองค์กรเติบโตแบบยั่งยืน ชู Content Marketing วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคยุค 4.0 พร้อมเปิดตัวหลักสูตร “รับสร้างบ้านอย่างมืออาชีพ “HBEX : Home Builder Expert” หวังดึงดูดและเสริมทักษะผู้ประกอบการ รับสร้างบ้านรุ่นใหม่ มั่นใจเนื้อหาครอบคลุมทุกมิติ มุ่งให้เห็นโอกาสและประสบการณ์ใหม่ พร้อม เคล็ดลับสร้างธุรกิจให้โตแบบมีคุณภาพ เปิดรับสมัครถึง 31 ก.ค. นี้     นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association : HBA) เปิดเผยว่า ธุรกิจรับสร้างบ้านเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจโดยรวม ที่มีความเชื่อมโยงในหลายมิติ การสร้างบ้านหนึ่งหลังให้สมบูรณ์ ไม่ใช่แค่เฉพาะซัพพลายเชนเดียว แต่มีส่วนเกี่ยวเนื่องหลายส่วน ทั้ง การถมดิน งานตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ ชุดครัว อุปกรณ์อำนวยความสะดวก งานจัดสวน เป็นต้น การประกอบธุรกิจนี้ไม่มีเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ แต่ต้องอาศัยทัศนคติที่ถูกต้อง และใช้ทักษะประสบการณ์ที่สั่งสม เพื่อสร้างบ้านที่มีคุณภาพ จึงจะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ   ปัจจุบันตลาดรับสร้างบ้านและพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจไทยเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้านมากยิ่งขึ้นจากการเปิดเขตเศรษฐกิจเสรีอาเซียน และเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจโลกมากขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งจะส่งผลให้รูปแบบธุรกิจมีความหลากหลายมากขึ้น ขณะเดียวกันกลุ่มประชากรทั้งด้าน อายุ รายได้ รสนิยมก็มีการเปลี่ยนแปลง จำเป็นที่ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านต้องปรับตัวและรู้เท่าทันแนวโน้มต่างๆเหล่านี้     นอกจากนี้ เพื่อสร้างการเติบโตขององค์กร สมาคมฯ จึงได้เพิ่มกลยุทธ์การสื่อสารรูปแบบใหม่ๆที่มุ่งเชิง Content Marketing เน้นเนื้อหาหลากหลายมิติ หลายแพลตฟอร์ม เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญช่วยอัพไซส์องค์กรให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายหลักของสมาคมฯในปีนี้ ที่ต้องการขยายฐานสมาชิกสมทบเพิ่มอีกอย่างน้อย 10% ซึ่งเป็นกลุ่มวิศวกร สถาปนิก ช่างฝีมือและกลุ่มรับสร้างบ้านคุณภาพรุ่นใหม่ ที่ประกอบกิจการรับสร้างบ้านมาไม่น้อยกว่า 1 ปี และมีผลงานรับสร้างบ้านไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาทภายใน 3 ปี เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นของธุรกิจรับสร้างบ้าน จากปัจจุบันที่มีสมาชิกอยู่ 136 ราย เพื่อสร้างมูลค่าตลาดรวมของธุรกิจให้เพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมราว 11,000 ล้านบาท ทำให้การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรับสร้างบ้านมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น   สำหรับปีนี้ ในการสร้างตลาด สมาคมฯจะใช้เนื้อหาควบคู่ไปกับเทคโนโลยี และเพิ่มช่องทางการสื่อสารผ่านทางสังคมออนไลน์ โดยเริ่มเปิดตัวแคมเปญแรกไปแล้ว กับ “โอกาสทางธุรกิจ” ด้วยคลิปวีดีโอ ถ่ายทอดประสบการณ์จริงของสมาชิกสมาคมฯ ซึ่งได้เริ่มเผยแพร่แล้วทาง Social Media ของสมาคมฯ ทั้ง YouTube Fanpage (Facebook) และเว็บไซต์สมาคม นอกจากนี้ ทางสมาคมฯ ยังได้ผลิต รายการสาระความรู้ ”สร้างบ้าน สร้างสุข” จะออกอากาศทุกวันพฤหัส หลังข่าว ทางสถานีดิจิตอลทีวี ช่อง NEW18 เริ่ม 21 มิ.ย.-23 สิงหาคม ศกนี้ โดยเป็นการออกอากาศคู่ขนาน ไปพร้อมกับผ่านทาง Social Media ของสมาคมฯ ทั้ง YouTube Fanpage (Facebook) และเว็บไซต์สมาคม โดยเนื้อหาจะเน้นเกี่ยวกับประเด็นที่คนอยากสร้างบ้านควรรู้ตั้งแต่จนจบ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลที่สมาคมฯ มักได้รับการสอบถามจากผู้บริโภคบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมพร้อมก่อนจะสร้างบ้าน การเลือกใช้วัสดุ การขอสินเชื่อ ฯลฯ เราก็ได้รวบรวมมาเป็นตอนๆ ได้ 10 ตอน เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคให้มีความเข้าใจได้ง่ายขึ้น   ด้านนายธีร์ บุญวาสนา อุปนายกฝ่ายวิชาการ สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่า ในด้านการเตรียมความพร้อมรับสมาชิกภาคสมทบ ทางสมาคมได้เปิดหลักสูตร อบรมรับสร้างบ้านอย่างมืออาชีพ HBEX (เอชบีเอ็กซ์) : Home Builder Expert เพื่อเพิ่มทักษะและประสบการณ์ในงานสายงานจากการถ่ายทอดประสบ การณ์ จากเจ้าของธุรกิจรับสร้างบ้านชั้นนำที่ประสบความสำเร็จ ไปสู่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หรือผู้รับเหมาที่ต้องการเข้าสู่ธุรกิจรับสร้างบ้าน เพื่อขยายฐานสมาชิกสมทบ เข้ามาช่วยพัฒนาธุรกิจให้เติบโตมากขึ้น โดยทางสมาคมฯ อยากให้ผู้เข้าอบรมได้ความรู้ ทักษะ มีโอกาสแลกเปลี่ยนมุมมองทัศนคติ กับเหล่าวิทยากร นักคิด นักบริหารตัวจริงของวงการ เพื่อร่วมสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ ร่วมสานพลัง ยกระดับธุรกิจรับสร้างบ้านไปพร้อมกัน   ทั้งนี้หลักสูตรดังกล่าวจะเป็นการอบรมในภาคเช้า และการ Work shop ในภาคบ่าย จำนวน 5 ครั้ง และการดูงานร่วมกับสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านอีก 1 ครั้ง รวม 6 ครั้ง โดยหัวข้อจะเน้นเนื้อหาที่อยู่ในความสนใจ และเกี่ยวข้องกับธุรกิจรับสร้างบ้านแบบเจาะลึก ได้แก่ การสร้างแบรนด์สมัยใหม่ในยุคดิจิทัล , การออกแบบที่อยู่อาศัยให้อยู่สบายและถูกใจลูกค้า ,การบริหารต้นทุนและการเงิน ธุรกิจเดินไม่สะดุด , การบริหารคุณภาพ เหนือความคาดหวัง , สร้างบ้านเสร็จตามเวลา ในราคาที่ลงตัว และการร่วมศึกษาดูงาน Home Builder & Materials Expo 2018 ซึ่งสมาคมได้เชิญวิทยากรเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีชื่อเสียง ทั้งที่อยู่ในและนอกวงการรับสร้างบ้าน มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์จริง อาทิ คุณสุริยะ อัม-พันศิริรัตน์ คุณปราโมทย์ ธีรกุล คุณศักดา โควิสุทธิ์ คุณวีรยุทธ ล้อทองพานิชย์ คุณไผท ผดุงถิ่น คุณเนรมิต สร้างเอี่ยม ฯลฯ โดยมี รศ.ดร.ธนิต ธงทอง คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้เกียรติที่เป็นที่ปรึกษาหลักสูตรนี้ด้วย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน โทร 02 570-0153 , 02 970-2744 หรือสืบค้นเว็ปไซต์สมาคม http://www.hba-th.org FACEBOOK : homebuilderclub  
บ้านสถาพร เสริมแกร่งลุยตลาดอสังหา ภายใต้แบรนด์ใหม่สุดทันสมัย “สถาพร เอสเตท” ตั้งเป้า 5 ปี โต 11,500 ล้านบาท

บ้านสถาพร เสริมแกร่งลุยตลาดอสังหา ภายใต้แบรนด์ใหม่สุดทันสมัย “สถาพร เอสเตท” ตั้งเป้า 5 ปี โต 11,500 ล้านบาท

มุ่งมั่นมอบคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมงานออกแบบที่ทันสมัย สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ใส่ใจในสิ่งแวดล้อม พร้อมชูจุดแข็งการพัฒนานวัตกรรมในทุกด้านของการอยู่อาศัยร่วมกับพันธมิตรคุณภาพ รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่อย่างยั่งยืน ประเดิมโครงการแรกในแนวสูงรุกครึ่งปีหลังกับ “The SHADE (Sathon1)” บนทำเล CBD ใจกลางสาทร มูลค่าโครงการกว่า 1,300 ล้านบาท นายสุนทร สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมรุกตลาดอสังหาอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้ชื่อ สถาพร เอสเตท (SATHAPORN ESTATE) จากเดิมที่รู้จักในชื่อเดิมคือ บ้านสถาพร รังสิต โดยบจก.เฉลิมนคร และ บ้านทรัพย์หิรัญ โดย บจก.ทรัพย์หิรัญ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพทั้งโครงการบ้านและทาวน์โฮม ในทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี โดยในปีนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมขยายธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้ชื่อ สถาพร เอสเตท (SATHAPORN ESTATE) ที่มุ่งเน้นคุณภาพและบริการ มีการออกแบบและพัฒนาโครงการที่ทันสมัยใส่ใจสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ โดยมีกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ นั่นคือ “Revitalize” ซึ่งหมายถึงการเสริมความแข็งแกร่งเพื่อรองรับการรุกธุรกิจอย่างมีศักยภาพ เริ่มตั้งแต่การพัฒนา Product ภายใต้ Brand ใหม่ที่ถูกออกแบบมาในแนวคิด “For The Nature Of Life” เราจึงพัฒนาเพื่อชีวิตอยู่คู่ธรรมชาติอย่างยั่งยืน “นอกจากนี้ ยังเสริมแกร่งด้วยการผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตร หรือ Strategic Alliance เพื่อรองรับการอยู่อาศัยที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของอนาคต (SMART LIFE) ที่ครอบคลุม 4 ด้าน ไม่ว่าจะเป็น SMART AUTOMATION เป็นการผนึกกำลังกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่าง PANASONIC ที่มุ่งเน้นในเรื่องของการสร้างความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ให้ชีวิตง่ายขึ้น  โดยระบบควบคุมไฟ แอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ รวมถึงนวัตกรรม Safety Town เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพของระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร, SMART ENERGY เป็นการผนึกกำลังกับ EA ANYWHERE ในการติดตั้งสถานีชาร์จประจุไฟฟ้าแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพราะบริษัทฯมองว่าในอนาคตพลังงานจากฟอสซิล หรือน้ำมันจะหมดไป ดังนั้นจึงมองเห็นคุณค่าของการใช้พลังงานอื่นเข้ามาทดแทน, SMART MOBILITY เป็นการผนึกกำลังกับ BOX24 ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านล็อกเกอร์อัจฉริยะ เพื่อช่วยให้ลูกค้าหมดปัญหาการรับพัสดุ หรือ ฝากสิ่งของ ตอนที่ไม่อยู่บ้าน ด้วยล็อกเกอร์อัจฉริยะ ที่มาพร้อมกับบริการเสริม เช่น ส่งพัสดุ, ฝากสิ่งของ, ซักอบรีด, และซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งทั้งหมดนี้ตอบโจทย์ในยุคดิจิทัล และ SMART ENVIRONMENT เป็นการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ร่วมกันพัฒนาเครื่อง Recycle Vending Machine หรือเครื่องรีไซเคิลขยะ ซึ่งเป็นนวัตกรรมล่าสุด เพื่อเป็นการช่วยลดขยะในโครงการอีกด้วย” “ในส่วนของกลยุทธ์ในการรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสถาพร เอสเตท (SATHAPORN ESTATE) จะเริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่แนวสูงมากยิ่งขึ้น โดยคิดเป็นสัดส่วนในการขยายธุรกิจในแนวสูง 50% และแนวราบ 45% และรายได้จากทรัพย์สิน หรือ Recurring Incomes 5%  ซึ่งจะใช้กลยุทธ์ในการรุกตลาดที่แตกต่างกันออกไป โดยแนวราบจะเน้นปัจจัยสำคัญในเรื่องศักยภาพของทำเลในอนาคต ส่วนแนวสูงจะเน้นปัจจัยสำคัญในเรื่องของทำเล CBD ของกรุงเทพฯ และความสะดวกสบายของการอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น ในไตรมาส 3 ของปีนี้ บริษัทฯ มีกำหนดเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรก ในชื่อ “The SHADE (Sathon1)” (เดอะ เชดด์ สาทร 1) คอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 278 ยูนิต ภายใต้แนวคิด “Shades The One You Love” ซึ่งสะท้อนให้นึกถึงบุคคลที่คุณรักพร้อมทั้งยังสะท้อนการเป็นเป็นแหล่งพักพิงที่ให้ร่มเงาแก่คนที่คุณรักไปพร้อม ๆ กัน โดยมาพร้อมกับการออกแบบอาคารให้เย็นโล่ง พร้อม Panoramic Unblock View โปร่งสบายด้วยการระบายอากาศ Air Ventilation Design, Smart Locker, Space Management, His & Her Design และ Single Corridor (บางยูนิต) และพื้นที่จอดรถกว่า 70% พร้อมเทคโนโลยี Smart Home Solutions ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมแอร์, TV และแสงสว่างผ่าน Application บนมือถือ และ Digital Door Lock พร้อมพื้นที่สีเขียวและส่วนกลางครบครัน รวมมูลค่าโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาท” นอกจากนี้ ในปี 2562 ทางบริษัทฯ เตรียมทำการเปิดตัวโครงการแนวสูงเพิ่มอีก 2 โครงการ ได้แก่ The Shade Twig (เดอะ เชดด์ ทวิกก์) เย็นอากาศ   และ The Crown (เดอะ คราวน์) พระราม 4 รวมไปถึงโครงการแนวราบอีก 1 โครงการ ได้แก่ “The Eternity (ดิ อิเธอร์นิตี้) รังสิตคลอง 5” โครงการประเภทบ้านเดี่ยว บนพื้นที่กว่า 99 ไร่ มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นโครงการไฮไลท์ของทางบริษัทฯ ที่ออกแบบโดยทีมงานศิลปินแห่งชาติ จากสถาบันอาศรมศิลป์ โดยจะเน้นพื้นที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพของศูนย์กลางแห่งความเจริญย่านรังสิต ติดถนนใหญ่รังสิต-นครนายก ใกล้ทางด่วนศรีรัช – วงแหวนตะวันออก ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ - รังสิต) และสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (คูคต - ลำลูกกา) อีกทั้งยังใกล้ศูนย์กลางความเจริญแห่งใหม่อย่างศูนย์การค้าเมกา รังสิต และอิเกีย รังสิต “ในปี 2561 นี้ สถาพร เอสเตท ได้ตั้งเป้ายอด Pre-Sale อยู่ที่ 1,300 ล้านบาท (รับรู้รายได้ปี 2563) พร้อมทั้งบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นที่จะเป็นอันดับหนึ่งในใจลูกค้า โดยการนำธรรมชาติมาสร้างสรรค์และพัฒนาให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้อยู่อาศัยทุกเพศทุกวัยด้วยมุมมองการเลือกทำเลที่ตั้งโครงการเพื่อรองรับชีวิตในวันนี้และวันข้างหน้า พร้อมทั้งมั่นใจว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าบริษัทฯ จะสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 11,500 ล้านบาท ได้ตามเป้าหมาย” นายสุนทร กล่าวในตอนท้าย สำหรับผู้สนใจ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของ SATHAPORN ESTATE หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 990 8930 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sathaporn.com และทางเฟสบุคแฟนเพจwww.facebook.com/sathapornestate  

1 ... 64 65 66 ... 103