ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 67 68 69 ... 105
ซีเอ็มซี กรุ๊ป โชว์ ชาโตว์ อินทาวน์ จรัญสนิทวงศ์ 96/2  ชูจุดเด่นส่วนกลางขนาดใหญ่ ฟังก์ชั่นห้องที่ลงตัว

ซีเอ็มซี กรุ๊ป โชว์ ชาโตว์ อินทาวน์ จรัญสนิทวงศ์ 96/2 ชูจุดเด่นส่วนกลางขนาดใหญ่ ฟังก์ชั่นห้องที่ลงตัว

บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ CMC Group รุกหนักคอนโดย่านสะพานพระราม 7 วิวแม่น้ำเจ้าพระยา กับโครงการชาโตว์ อินทาวน์ จรัญสนิทวงศ์ 96/2 คอนโดมิเนียม Low Rise ดีไซน์แบบ Nature Modern ที่มีแนวคิดการออกแบบเน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด บนทำเลศักยภาพของถนนจรัญสนิทวงศ์ ตอบสนองวิถีคนเมืองที่โหยหาธรรมชาติ และความสงบร่มรื่นอยู่ในวงล้อมของเทคโนโลยีห่างไกลมลพิษ ฝุ่นควัน และมลภาวะทางเสียง พร้อมฟังก์ชั่นที่ลงตัว สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย และมีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่เป็นพิเศษ อาทิ สระว่ายน้ำ Freeform ห้องออกกำลังกายสุดทันสมัย พื้นที่สวนพักผ่อนและลานสันทนาการ พร้อมเทคโนโลยีและนวัตรกรรมด้านที่พักอาศัยมากมายระดับไฮเอนด์อาทิ Digital Door Lock และ VDO Door Phone ทุกยูนิตเข้าออกอาคารด้วยระบบ Key Card ในทำเลใกล้ทางด่วนศรีรัช วิวแม่น้ำเจ้าพระยา สะพานพระราม 7 ราคาเริ่มต้น 1.85 ล้านบาท พร้อมเข้าอยู่แล้ววันนี้ ลงทะเบียนออนไลน์รับโปรโมชั่นมากมายได้ที่ http://www.cmc.co.th/chateauintown/charan96/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1172 กด 6 หรือ 090-687-9696
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์จัดงาน ‘MAESTRO MASTERFUL LIVING’นำ 3 คอนโดพร้อมอยู่แบรนด์ MAESTRO มอบส่วนลดสูงสุดถึง 2 แสนบาท ฟรีเฟอร์ฯ เริ่ม 3.8 ล้าน วันนี้–24 มิ.ย.นี้เท่านั้น

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์จัดงาน ‘MAESTRO MASTERFUL LIVING’นำ 3 คอนโดพร้อมอยู่แบรนด์ MAESTRO มอบส่วนลดสูงสุดถึง 2 แสนบาท ฟรีเฟอร์ฯ เริ่ม 3.8 ล้าน วันนี้–24 มิ.ย.นี้เท่านั้น

บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) จัดงาน ‘MAESTRO MASTERFUL LIVING’ ครั้งแรกกับการสร้างสรรค์การจัดแสดงในรูปแบบ Art exhibition ถ่ายทอดแนวคิดและความหมายในทุกรายละเอียดของการพัฒนาคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ภายใต้แบรนด์ MAESTRO (มาเอสโตร) พร้อมเปิดตัว 3 คอนโดมิเนียม ตกแต่งครบพร้อมอยู่ โลเคชั่นสุดไพร์ม มาเอสโตร 01 สาทร-เย็นอากาศ ใกล้ MRT ลุมพินี และ BTS ศาลาแดง, มาเอสโตร 03 รัชดา-พระราม 9 ใกล้ MRT พระราม 9 และมาเอสโตร 14 สยาม-ราชเทวี ใกล้ BTS  ราชเทวี เพียง 300 เมตร ราคาเริ่มต้นที่ 3.8 ล้านบาท จัดเต็มโปรโมชั่นมอบส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 200,000 บาท ฟรีเฟอร์นิเจอร์ ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน วันนี้ถึง 24 มิ.ย. นี้เท่านั้น ที่ ลานเซ็นทรัล คอร์ท ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
“ออริจิ้น” กางแผนแนวราบ 5 ปี ขึ้น Top 3 โกยรายได้ปีละหมื่นล้าน  ลุยเปิดตัว “บริทาเนีย” 3 โครงการใหม่ปี 61 มูลค่า 4,000 ล้าน

“ออริจิ้น” กางแผนแนวราบ 5 ปี ขึ้น Top 3 โกยรายได้ปีละหมื่นล้าน ลุยเปิดตัว “บริทาเนีย” 3 โครงการใหม่ปี 61 มูลค่า 4,000 ล้าน

  “ออริจิ้น” กางแผนรุกตลาดแนวราบ ยึดพื้นที่โซนกรุงเทพฯตะวันออก-EEC เป็นฐานใหญ่ ตั้งเป้าภายใน 5 ปี ขึ้นแท่น Top 3 ผู้พัฒนาโครงการแนวราบในใจผู้บริโภค โกยรายได้ต่อปีทะลุหมื่นล้าน เปิดตัว 2 ผู้บริหารใหม่เสริมทัพ ประเดิมครึ่งหลังปี’61 เปิด “บริทาเนีย” 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4,000 ล้าน เจาะลูกค้ากลุ่มกลาง-บน   นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลการสำรวจ พบว่า ในช่วงไตรมาส 1/2561 มีโครงการแนวราบเปิดขายใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯทั้งหมด 8,762 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมกว่า 41,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 7% ขณะเดียวกัน โครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดจะได้รับความนิยมมากขึ้น รวมถึงทำเลใหม่ๆ ที่มีศักยภาพจะมีโอกาสเติบโตมากขึ้น เช่น ทำเลกรุงเทพฯตะวันออก และทำเลระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งหมดสะท้อนถึงโอกาสที่ดีของตลาดในปีนี้ สำหรับ บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด จะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์บริทาเนีย (Britania) เกาะทำเลที่มีการแข่งขันไม่สูงมาก หรือ Blue Ocean แต่มีความต้องการการอยู่อาศัยจริง (Real Demand) และมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่โซนกรุงเทพฯตะวันออก และโซน EEC ภายในช่วง 5 ปี (พ.ศ.2561-2565) บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่เจาะตลาดใน 3 เซ็กเมนท์ รวมมูลค่าโครงการกว่า 49,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2565 บริษัทจะเริ่มต้นมีรายได้ทะลุปีละ 10,000 ล้านบาทได้เป็นปีแรก และตั้งเป้าจะขึ้นเป็น Top 3 ในใจผู้บริโภคเมื่อนึกถึงโครงการบ้านแนวราบ   “เพื่อให้เราสามารถเดินหน้าไปได้ตามเป้าหมาย บริษัทจึงได้ดึงมือทองการพัฒนาโครงการแนวราบอีก 2 ท่านเข้ามาช่วยเสริมทัพ ได้แก่ นายจีระวัฒน์ เหมะธุลิน เข้ามาช่วยดูแลด้านธุรกิจ และนายนาวิน เล็กนาวา เข้ามาช่วยดูแลด้านการก่อสร้าง” นางศุภลักษณ์ กล่าว   นายจีระวัฒน์ เหมะธุลิน ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจโครงการแนวราบ บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า หัวใจหลักในการพัฒนาแบรนด์บริทาเนียนั้น นอกจากดีไซน์สไตล์อังกฤษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและทำเลที่ตั้งแล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรม คุณภาพและการบริการ เพื่อส่งมอบบ้านที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า เช่น การมีระบบ Home Automation เพื่อสร้างความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย บริษัทยังได้มืออาชีพที่มีประสบการณ์งานก่อสร้างมายาวนานมาร่วมพัฒนาโครงการ ทำให้มั่นใจได้ว่าบ้านภายใต้การพัฒนาของออริจิ้น เฮ้าส์จะได้คุณภาพทุกหลังอย่างแน่นอน   สำหรับการเดินหน้าสู่เป้าหมาย Top 3 ในใจผู้บริโภค บริษัทจะใช้แบรนด์บริทาเนียเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ โดยสร้างแบรนด์ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาทิ การออกแบบที่คำนึงถึงประโยชน์การใช้สอยพื้นที่ในทุกตารางนิ้วอย่างคุ้มค่า ขณะเดียวกันก็สร้างความรู้สึกสบายได้อย่างลงตัว เพื่อให้คนทุกวัยได้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ในปี 2561 บริษัทมีแผนเปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,000 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการบริทาเนีย เมกะทาวน์-บางนา มูลค่าโครงการประมาณ 1,900 ล้านบาท ระดับราคา 2.9 - 5 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอย 100-140 ตร.ม. โดดเด่นด้วยทาวน์เฮ้าส์หน้ากว้าง 5.3-5.7 เมตร บนทำเลใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง เข้าออกได้ถึง 4 เส้นทาง ครบครันด้วยระบบสาธารณูปโภค   2.โครงการบริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 4.7-6 ล้านบาท ตั้งอยู่บน ถ.สุขาภิบาล 6 (บางนาตราด-วัดบางพลีใหญ่ใน) ทำเลใกล้ทางด่วน รถไฟฟ้า บนเนื้อที่กว่า 32 ไร่ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 3 แบบ ได้แก่ Oxford Regent และ Brompton มีครัวไทยทุกยูนิต พื้นที่ใช้สอย 120-150 ตร.ม. และ 3.โครงการบริทาเนีย วงแหวน-หทัยราษฎร์ มูลค่าโครงการประมาณ 1,100 ล้านบาท เป็นบ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ ระดับราคา 2.9-4.3 ล้านบาท   ด้าน นายนาวิน เล็กนาวา ผู้อำนวยการฝ่ายก่อสร้าง บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า ในส่วนงานก่อสร้างและการบริการนั้น บริษัทได้พันธมิตรชั้นนำในหลากหลายแวดวงมาร่วมพัฒนาโครงการ เช่น เอสซีจี บริษัท เอ็นเอส บลูสโคป (ประเทศไทย) จำกัด อเมริกันสแตนดาร์ด COTTO เป็นต้น รั้วโครงการ รั้วบ้าน เป็นแผ่นคอนกรีตหล่อสำเร็จ ประตู-หน้าต่าง Vinyl Aluminium ทุกหลัง ตลอดจนนวัตกรรมการก่อสร้างก็ใช้ระบบที่ได้มาตรฐาน โดยเน้นการใช้ Pre-fabrication ผลิตและควบคุมคุณภาพที่โรงงานแล้วนำมาติดตั้งที่โครงการ โครงสร้างบ้านเป็นระบบ Precast System เพื่อควบคุมงานก่อสร้างให้ได้มาตรฐาน โครงหลังคาสำเร็จรูป ทำให้การพัฒนาโครงการต่างๆ ได้คุณภาพเหนือระดับ   นอกจากนี้ ยังควบคุมคุณภาพงานก่อสร้าง โดยช่างผู้ควบคุมงานมืออาชีพ ตั้งแต่ก่อนเริ่มงาน ระหว่างกระบวนการ จนเสร็จสิ้นงานก่อสร้าง จากนั้นก็จะตรวจสอบคุณภาพโดยทีม Quality Control (QC) เพื่อให้มั่นใจได้ว่า บ้านที่จะส่งมอบให้ลูกค้าทุกหลังเป็นบ้านที่มีคุณภาพ ในส่วนของงานบริการก็ได้บริษัท พรีโม่ แนเนจเม้นท์ และบริษัท อูโน่ เซอร์วิส มาช่วยดูแล เพื่อให้ลูกค้าอุ่นใจในสินค้า และบริการ สำหรับ บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด เป็นบริษัทพัฒนาโครงการแนวราบในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นพัฒนาโครงการแรกในปี 2560 ภายใต้ชื่อ บริทาเนีย ศรีนครินทร์ สามารถสร้างยอดขายไปได้แล้วถึง 85% ขณะที่วางแผนแบ่งแบรนด์ย่อยในการพัฒนาออกเป็น 3 แบรนด์ ได้แก่ 1.บริทาเนีย เรสซิเดนซ์ (Britania Residence) บ้านเดี่ยวในระดับราคา 10-20 ล้านบาท 2.บริทาเนีย โฮม (Britania Home) บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดในราคา 5-10 ล้านบาท 3.บริทาเนีย ทาวน์ (Britania Townhome) ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ ราคา 3-5 ล้านบาท   ขณะที่ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) ทั้งโครงการแนวสูงและโครงการแนวราบ 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
ซีเอ็มซี กรุ๊ป เปิดโลกแห่งความหรูหรา เหนือระดับเต็มรูปแบบที่ คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ชาโตว์ อินทาวน์ พระราม 8

ซีเอ็มซี กรุ๊ป เปิดโลกแห่งความหรูหรา เหนือระดับเต็มรูปแบบที่ คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ชาโตว์ อินทาวน์ พระราม 8

นางสาวรวีวรรณ โสภณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดและขาย บริษัทเจ้าพระยามหานครจำกัด (มหาชน) หรือ CMC Group ขอเชิญคุณก้าวเข้าสู่โลกแห่งความหรูหรา เหนือระดับของพื้นที่ส่วนกลางเต็มรูปแบบได้แล้ววันนี้ ที่โครงการ Chateau in Town พระราม 8 คอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยม ที่สุดแห่ง Landmark วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ติดสะพานพระราม 8 ด้วยคอนเซปต์การตกแต่งและออกแบบสถาปัตยกรรมในสไตล์เรเนซองส์ สุด High Class ที่เต็มไปด้วย ความสวยงามตระการตา เหมือนดั่งในฝัน ราคาเริ่มต้น 2.69 ล้านบาท ลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลดเพิ่มทันที 100,000 บาท และโปรโมชั่น ALL FREE ฟรีทุกค่าใช้จ่าย* ฟรีแอร์ พร้อมเฟอร์นิเจอร์แต่งครบ ลงทะเบียนได้ที่ http://www.cmc.co.th/chateauintown/rama8/ และสอบถามได้ที่ โทร 081-914-7775  
แสนสิริเสริมแกร่งยกระดับระบบรักษาความปลอดภัย เปิดตัว Sansiri Security System

แสนสิริเสริมแกร่งยกระดับระบบรักษาความปลอดภัย เปิดตัว Sansiri Security System

  ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่แม้จะเลือกใช้ชีวิตอยู่ในที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ หรือคอนโดมิเนียม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของวิถีชีวิตที่ลงตัวของแต่ละคน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าคนเราจะมีที่อยู่อาศัยในรูปแบบใดก็ตาม ต่างต้องการความรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจในบ้านของตัวเอง ซึ่งถือเป็นความต้องการพื้นฐานที่ตรงกันในผู้อาศัยทุกคน รวมทั้งความต้องการถึงความปลอดภัยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเฉพาะในช่วงเวลาที่เจ้าของบ้านทำการอาศัยอยู่เท่านั้น แต่ความคาดหวังด้านความปลอดภัยนั้นมีขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง   บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มุ่งเน้นด้านระบบรักษาปลอดภัยที่มีความแตกต่างจากงานรักษาความปลอดภัยทั่วไป โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรอย่างจริงจังจากผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัย ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีด้านอสังหาฯและการอยู่อาศัย ( Property Technology) เข้ามาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพและความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อยู่อาศัยในทุกๆด้าน เป็นการเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบให้กับลูกบ้านแสนสิริ   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริ ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดในทุกด้าน รวมถึงด้านระบบรักษาความปลอดภัย ซึ่งเราได้ให้ความสำคัญเข้าไปในการให้บริการที่มีผู้ดูแลโครงการอย่างมืออาชีพ เพื่อช่วยคลายความกังวลกับลูกบ้านและสร้างความอุ่นใจเมื่ออยู่อาศัยภายในโครงการ แสนสิริจึงได้ให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัย และสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยให้รับรู้ถึงความแตกต่างหลังจากย้ายเข้ามาอยู่และได้เริ่มใช้ชีวิตจริงๆ ในบ้าน   ดังนั้น แสนสิริจึงได้เปิดตัว Sansiri Security System ระบบรักษาความปลอดภัยที่นำความล้ำสมัยที่ให้มากกว่าด้วยระบบรักษาความปลอดภัยภายในโครงการ(พื้นที่ส่วนกลาง) และเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยระบบเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยบริเวณรอบบ้าน ด้วยการนำเทคโนโลยีระบบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยผสมผสานร่วมกับการทำงานของทีมงานที่ได้รับการฝึกอบรมจากครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับการอยู่อาศัยในแต่ละวันของลูกบ้านโครงการแสนสิริในด้านความปลอดภัยอย่างรอบด้าน ภายใต้แนวคิด Complete Your Living Experience ซึ่งลูกบ้านทุกคนจะรู้สึกได้ตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามาในโครงการ เพราะเราคำนึงว่าการทำธุรกิจด้านที่อยู่อาศัยนั้นเราไม่ได้มองเพียงด้านตัวสินค้าและบริการที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังได้ให้ความสำคัญถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่ถือเป็นอีกหัวใจสำคัญของการอยู่อาศัยของลูกค้า   โดยจุดเด่นของ Sansiri Security System ที่มีเหนือกว่าของคู่แข่งคือการผสานระหว่างการนำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ควบคู่กับทีมรักษาความปลอดภัยที่ได้รับการอบรมจากครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ ทำให้ลูกบ้านอุ่นใจมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีที่นำมาเพิ่มการรักษาความปลอดภัยในโครงการนำร่องของแสนสิรินั้น ถือเป็นการเปิดตัวใช้กับโครงการที่อยู่อาศัยเป็นแห่งแรกของประเทศไทย อาทิเช่น   o Digital fence ระบบรั้วอัจฉริยะต้นแบบ ที่สามารถเตือนภัยเมื่อเกิดเหตุบุกรุก o Face Recognition ระบบการจัดเก็บหน้า ลายนิ้วมือ และข้อมูลของผู้รับเหมา เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบหาผู้กระทำความผิด และเป็นข้อมูลให้ช่วยในการติดตามหากเกิดเหตุฉุกเฉิน o SMART ACCESS QR code เพิ่มความสะดวกสบายให้กับแขกของลูกบ้าน สามารถใช้ QR Code เข้าผ่านประตูหน้ามานั่งรอเพื่อนที่ Lobby ได้ o Visitor Management System (VMS) ระบบเพิ่มความปลอดภัยในการจัดการผู้มาติดต่อ โดยมีระบบการอ่านข้อมูลบัตรประชาชน แบบสมาร์ทการ์ด พร้อมทั้งบันทึกรูปภาพบุคคล ระบบอ่านป้ายทะเบียน (License Plate Recognition) และบันทึกข้อมูลเข้าระบบอัตโนมัติแทนการแลกบัตร เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกระดับ รวมไปถึงระบบยังรองรับการลงทะเบียนล่วงหน้าของผู้มาติดต่อ และคำนวณค่าที่จอดรถอัตโนมัติ ซึ่งระบบนี้อยู่ในช่วงพัฒนาเพิ่มเติมสำหรับเปิดให้บริการลูกบ้านในเฟสต่อไป   สำหรับด้านบุคลากรนั้น แสนสิริก็ให้ความสำคัญและเข้มงวดในการฝึกอบรมอย่างมาก ซึ่งได้จัดตั้งเป็น Sansiri Security Inspection (SSI) มีทีมครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ รปภ.มืออาชีพ คุมเข้มตรวจความปลอดภัยทุกโครงการที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ตั้งแต่การติดตามรถที่เข้า-ออกได้มีการฝึกอบรม รปภ ของทุกโครงการให้มีมาตรฐานดูแลความปลอดภัยให้ลูกบ้าน รวมทั้งมีแผนฝึกแผนรับมือเหตุฉุกเฉินตามมาตรฐานของบริษัท อาทิ ฝึกแผนรับมือเหตุโจรกรรมและสัญญาณเตือนภัยดังภายในพื้นที่หน่วยงาน ฝึกแผนรับมือเหตุไฟไหม้ภายในพื้นที่หน่วยงาน ฝึกแผนรับมือเหตุไฟฟ้าดับในพื้นที่หน่วยงาน ฝึกแผนรับมือเหตุมีน้ำท่วมในพื้นที่ แผนเตรียมพร้อมและประสานงานเมื่อมีผู้ป่วยหนักหรือเสียชีวิตในพื้นที่ มีแผนการปฏิบัติเมื่อได้รับการประสานแจ้งเหตุ การเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุและการระงับเหตุเบื้องต้น   เรื่องของการรักษาความปลอดภัยนั้นจะเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและความอุ่นใจของลูกบ้าน การนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์จึงเป็นเรื่องที่แสนสิริให้ความใส่ใจเป็นอย่างมาก และมีความมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และตั้งเป้าหมายให้ Sansiri Security System เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะเติมเต็มประสบการณ์อยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้กับลูกบ้าน   ทั้งนี้ การรักษาความปลอดภัย ระบบอุปกรณ์เทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยต่างๆ ของแต่ละโครงการ เป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด หากต้องการรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ 1685
อาณา ดีเวลอปเมนท์ เปิดแผนรุกบุกตลาดคอนโดมิเนียม ภูเก็ต ภายใต้แบรนด์ “SPACE CONDOMINIUM” พร้อมขยายฐานธุรกิจโรงแรม

อาณา ดีเวลอปเมนท์ เปิดแผนรุกบุกตลาดคอนโดมิเนียม ภูเก็ต ภายใต้แบรนด์ “SPACE CONDOMINIUM” พร้อมขยายฐานธุรกิจโรงแรม

  ไตร พร็อพเพอตี้ ผู้นำการพัฒนาโครงการอสังหาฯ สำหรับคนรุ่นใหม่ หลังจากประสบความสำเร็จการพัฒนาคอนโดมิเนียมคุณภาพ ย่านแจ้งวัฒนะและในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตมาแล้วถึง 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท แตกไลน์ธุรกิจเปิดตัวบริษัทในเครือ “อาณา ดีเวลอปเมนท์” รองรับการขยายฐานพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวคิดใหม่ ทั้งคอนโดมิเนียมคุณภาพ โรงแรมในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ และโครงการดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุ ประเดิมเปิดตัวโครงการ “สเปซ คอนโดมิเนียม” ใจกลางย่านธุรกิจใหม่ของภูเก็ต ชูจุดขายที่โดดเด่นด้วยห้อง 1 ห้องนอน ขนาด 27 ตารางเมตรขึ้นไป ในราคาที่ตอบโจทย์คุ้มค่าทุกการอยู่อาศัยและการลงทุน เริ่มต้นตารางเมตรละ 70,000 บาท คาดประสบความสำเร็จการขายอย่างรวดเร็ว   นายอดิศร วิเวกานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อาณา ดีเวลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ บริษัท ไตร พร็อพเพอตี้ จำกัด ได้เปิดดำเนินการมากว่า 9 ปี ในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่ถือว่าประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก จากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในย่านแจ้งวัฒนะ ภายใต้แบรนด์ “Proud (พราว)” 3 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญระดับประเทศ ในจังหวัดภูเก็ต ภายใต้แบรนด์ “ZCAPE (สเคป)” 3 โครงการ มูลค่าโครงการขายรวมกว่า 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันทุกโครงการได้ปิดการขาย และโอนห้องให้กับลูกค้าเกือบทั้งหมดแล้ว ดังนั้นทางบริษัทฯ จึงมีแผนการขยายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ภายใต้บริษัทอาณา ดีเวลอปเมนท์ จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับคนรุ่นใหม่ และโครงการโรงแรมในพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ตและเชียงใหม่ รวมถึงการขยายตัวไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและบริการดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุด้วย ล่าสุดจะเปิดตัว “สเปซ คอนโดมิเนียม (SPACE CONDOMINIUM)” คอนโดใหม่ล่าสุดที่โดดเด่นทั้งด้านดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้งาน และราคาที่คุ้มค่า ในย่านธุรกิจใหม่ใจกลางจังหวัดภูเก็ต เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีอยู่เป็นจำนวนมากด้วย   “สำหรับ โครงการสเปซ คอนโดมิเนียม ภูเก็ต เป็นโครงการคอนโดมิเนียมในสไตล์โมเดิร์น ที่เน้นความเรียบง่ายและลงตัวมากขึ้น เป็นอาคาร 7 ชั้น จำนวน 1 อาคาร มีจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 197 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 2 ไร่ บริเวณจุดตัดถนนวิชิตสงครามและถนนเจ้าฟ้าตะวันตก ซึ่งเป็นใจกลางย่านธุรกิจใหม่ของจังหวัดภูเก็ต อยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล ภูเก็ต เฟสสอง ที่กำลังจะสร้างเสร็จในเร็วๆ นี้ ซึ่งย่านดังกล่าวมีแผนขยายการพัฒนาโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ โรงเรียนนานาชาติ Headstart, สนามกีฬากลางแจ้ง, ศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ รวมถึงศูนย์ธุรกิจใหม่ๆ อีกมากมาย ทั้งนี้จากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสเคป 3 ในย่านดังกล่าว จำนวน 2 อาคาร มียูนิตการอยู่อาศัยทั้งสิ้น 417 ยูนิต ทำให้ทราบอย่างชัดเจนว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ประเภทคอนโดมิเนียมที่มีคุณภาพ มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์สำหรับคนรุ่นใหม่ และมีราคาที่เหมาะสม ยังคงเป็นที่ต้องการเป็นจำนวนมาก จึงได้พัฒนาโครงการสเปซ คอนโดมิเนียม ให้มีจุดเด่นในด้านฟังก์ชั่นห้อง 1 ห้องนอน มีขนาดตั้งแต่ 27 ตารางเมตรขึ้นไป และห้อง 2 ห้องนอน ที่มีขนาด 69 ตารางเมตร ในขณะที่ราคาห้องนั้นเริ่มต้นที่ 70,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป จะสามารถตอบโจทย์ของผู้อยู่อาศัยและผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี คาดว่าจะทำให้โครงการดังกล่าว ประสบความสำเร็จในการขายอย่างรวดเร็วอย่างแน่นอน” นายอดิศรกล่าว นายชัยวัฒน์ ตันติวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาณา ดีเวลอปเมนท์ จำกัด กล่าวเสริมว่า แม้ภาพรวมของเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากตัวเลขของสำนักวิจัยอสังหาริมทรัพย์หลายค่าย แสดงต่อสาธารณชนในช่วงที่ผ่านมา ภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ต อาจจะมีการเปิดโครงการน้อยลง ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากเศรษฐกิจของทั้งประเทศ อย่างไรก็ตามผลจากการที่จังหวัดภูเก็ต เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ และมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติมาใช้บริการท่องเที่ยวในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงตัวจังหวัดมีการพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคใหม่เพื่อรองรับการท่องเที่ยว อาทิ การขยายสนามบินนานาชาติภูเก็ต การขยายเส้นทางการจราจร รวมถึงการเตรียมพัฒนาโครงการรถไฟฟ้ารางเบา ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจในจังหวัด ยังสามารถขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และขยายตัวอย่างมากในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย ดังนั้นความต้องการด้านที่อยู่อาศัยใหม่ อย่างโครงการคอนโดมิเนียม และโรงแรมที่มีสไตล์โดดเด่น จึงยังเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมากนั่นเอง “ โดยส่วนตัวเห็นว่าสัญญาณด้านความต้องการที่อยู่อาศัยในจังหวัดภูเก็ตมีความชัดเจนมาก เนื่องจากมีลูกค้าและนักลงทุนทั้งคนในพื้นที่ หรือในกรุงเทพฯ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ ติดต่อเข้ามาเพื่อซื้อคอนโดฯ กับบริษัทฯอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงพร้อมที่จะลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ๆ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม โดยเปิดตัวโครงการสเปซ คอนโดมิเนียม เป็นโครงการแรก นอกจากนี้มีแผนที่จะขยายการพัฒนาโรงแรมแนว บูติกในจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดกระบี่ รวมถึงมีแผนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและบริการดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุด้วย หลังจากช่วงผ่านมากลุ่มอาณา ดีเวลอปเมนท์ ได้เข้าไปลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานครแล้ว มีแนวโน้มการตอบรับเป็นอย่างดี จึงมองแนวโน้มที่จะขยายฐานการให้บริการมาในจังหวัดภูเก็ตด้วย ทั้งนี้โครงการต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของตลาดและความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่เป็นหลัก” นายชัยวัฒน์ กล่าว   โครงการสเปซ คอนโดมิเนียม อยู่ระหว่างการพัฒนาสำนักงานขาย คาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็วๆนี้ สำหรับผู้สนใจ สามารถดูรายละเอียดเบื้องต้นได้ที่ www.spacecondophuket.com หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ 084-444-0708
นารายณ์ พร็อพเพอตี้ฯ ครึ่งปีหลัง 61 รุก 3 โปรเจ็ค มูลค่ากว่า 3,500 ลบ.

นารายณ์ พร็อพเพอตี้ฯ ครึ่งปีหลัง 61 รุก 3 โปรเจ็ค มูลค่ากว่า 3,500 ลบ.

  นารายณ์ พร็อพเพอตี้ฯ ครึ่งปีหลัง 61 รุก 3 โปรเจ็ค มูลค่า 3,500 ลบ. ปลื้มยอดขาย “เดอะพาร์คแลนด์ เพชรเกษม 56” เฟสแรกติดลมบนมียอด 90% ส่งทาวเวอร์ B ราคาเริ่มต้น 1.84 ล้านบาท ลุยตลาดที่พักอาศัยย่านฝั่งธน จัดเต็มสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันกว่า 30 รายการ เปิดขาย 30 มิ.ย. ภายใต้แนวคิด “ It’s My World” ตอบทุกโจทย์การใช้ชีวิตผู้อยู่อาศัย ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 3,000 ล้านบาท และมี backlog ที่จะทยอยรับรู้รายได้ รวมกว่า 5,500 ล้านบาท     นายเจนต์ชัย ลิ้มวัฒนะกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท นารายณ์ พร็อพเพอตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯในปีนี้ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว พบว่าโครงการแนวราบมีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมในปีนี้ ราคาคอนโดในกลุ่ม High-end และ Luxury ปรับตัวสูงขึ้นมาก เนื่องจากราคาที่ดินที่สูงขึ้น และมีกำลังซื้อใหม่จากกลุ่มนักลงทุนจากต่างประเทศ โดยมีเหตุผลและปัจจัยหลายอย่าง เช่น อสังหาฯในประเทศไทยราคาไม่แพง เป็นประเทศที่น่าอยู่ การซื้อ-ขายไม่ยุ่งยาก จึงเป็นที่สนใจของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ และพบว่ามีสัดส่วนผู้ซื้อที่เป็น Real Demand เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มนักเก็งกำไรและนักลงทุน โดยที่ผ่านมาลูกค้า Real Demand จะใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อช้ากว่ากลุ่มนักเก็งกำไรหรือนักลงทุน ส่งผลให้การขายโครงการโดยทั่วไปชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน แต่ภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศยังคงดีอยู่ กลุ่มคนชั้นกลางของประเทศ ซึ่งเป็นฐานของความต้องการภายใน (Domestic Demand) ยังคงมีมาอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่จะไม่เข้ามาเร็วเหมือนกลุ่มนักลงทุน   ดังนั้นโครงการที่จะออกตัว ณ สถานการณ์แบบนี้ ควรเป็นโครงการที่มีพื้นฐานการอยู่อาศัยที่ดีจริง ทำเลใกล้รถไฟฟ้าเดินทางสะดวก ใกล้แหล่งจับจ่ายใช้สอย มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่โดดเด่น ในราคาที่ย่อมเยาว์ จะมีโอกาสการขายที่สูงกว่า ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดในการพัฒนาโครงการของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญกับพื้นฐานการอยู่อาศัยของลูกค้ามาเป็นอันดับแรก โดยที่ผ่านมาบริษัทฯให้ความสำคัญในการเลือกทำเลและการออกแบบโครงการ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกโครงการสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ในทุกมิติและไม่เร่งพัฒนาโครงการจำนวนมากเกินไปจนไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้ สำหรับปีนี้มีแผนเปิดขายโครงการใหม่และเฟสต่อเนื่อง จำนวน 3 โครงการ แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว Luxury 1 โครงการ ,ทาวน์โฮม 1 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีนโยบายการลงทุนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ตั้งงบซื้อที่ดินเพิ่มเติมกว่า 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ได้ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 3,000 ล้านบาท และมี backlog ที่จะทยอยรับรู้รายได้ รวมกว่า 5,500 ล้านบาท สำหรับโครงการ “เดอะพาร์คแลนด์ เพชรเกษม 56” เป็นการเปิดขายเฟสต่อเนื่องหลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการขายอาคาร C โดยมียอดขายแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในส่วนที่จะเปิด Pre-Sales คือ ทาวเวอร์ B เป็นอาคารที่พักอาศัยสูง 31 ชั้น ราคาเริ่มต้นที่ 1.84 ล้านบาท ภายใต้คอนเซปต์ “It’s My World” ชีวิตที่ใช่ในโลกแบบของเรา” ที่จะมาตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย ด้วยแนวคิด Live มีครบทุกการอยู่อาศัย ห้องอยู่สบายไม่อึดอัด บางห้องมีหลายฟังก์ชั่น วัสดุ คุณภาพดีเหมาะแก่การอยู่อาศัย Life ใช้ชีวิตใกล้รถไฟฟ้าเพียง 40 เมตร อยู่ตรงข้ามห้างสรรพสินค้า ทำให้ชีวิตสะดวกสบายอย่างไร้ขีดจำกัด และ Rest ผ่อนคลายวันที่เหนื่อยล้าแม้อยู่ภายในโครงการ สามารถอยู่ได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ เพราะมี Facilities มากที่สุดในย่านฝั่งธนกว่า 30 รายการ มาพร้อมสวนขนาดใหญ่ บนพื้นที่โครงการกว่า 13 ไร่ ทั้งนี้มีกำหนดเปิดขายในส่วนของอาคาร B อย่างเป็นทางการในงาน “Pre-sales” วันที่ 30 มิถุนายนนี้ ณ สำนักงานขาย โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปลงทะเบียนใน Website :naraiproperty.com เพื่อมีสิทธิรับ Central Gift Voucher มูลค่า 10,000 บาท โครงการเดอะพาร์คแลนด์ เพชรเกษม 56 เป็นโครงการที่ถูกพัฒนาขึ้นในย่านทำเลที่ดีที่สุดอีกโครงการหนึ่ง บนเนื้อที่ 13-3-12.3 ไร่ จำนวนยูนิต 2,047 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 6,000 ล้านบาท ด้วยจุดเด่นของโครงการที่มากด้วยสวนขนาดใหญ่ Mega Park ไม่ต่ำกว่า 3 ไร่ และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายภายในโครงการถึงกว่า 30 รายการ แบบที่ไม่มีที่ไหนเคยทำมาก่อน โครงการตั้งอยู่บนถนนเพชรเกษมซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงติดสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายหัวลำโพง-บางแค ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 2562   ทั้งนี้โครงการถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรอบด้าน ด้วยโครงการอยู่ตรงข้ามห้างซีคอน บางแค และใกล้สถานีรถไฟฟ้า MRT ภาษีเจริญเพียง 40 เมตร การเดินทางโดยรถยนต์ก็สะดวกเพราะอยู่ติดถนนเพชรเกษม สามารถออกไปทางฝั่งเหนือด้วยถนนราชพฤกษ์ หรือจะเข้าเมืองย่านสาทรผ่านสะพานตากสินก็ได้โดยง่าย มีไลฟ์สไตล์สำหรับผู้ที่ชอบทำกิจกรรมต่างๆที่อยู่ภายในโครงการ เน้นพื้นที่สวนส่วนกลางขนาดใหญ่ และ Facility จัดเต็มโดยแบ่งออกเป็น 1 อาคาร 3 ทาวเวอร์ ประกอบด้วย ทาวเวอร์ A จำนวน 32 ชั้น, ทาวเวอร์ B จำนวน 31 ชั้น และ ทาวเวอร์ C จำนวน 29 ชั้น ซึ่งเปิดจองไปก่อนหน้านี้ โดยขณะนี้ทาวเวอร์ C มียอดขายแล้วกว่า 90 % โดยรูปแบบห้องประกอบด้วย ห้อง Studio ขนาด 25-25.5 ตารางเมตร ,ขนาด 1 ห้องนอน ขนาด26.5-37.5 ตร.ม. และขนาด 2 ห้องนอน 48.5-62 ตร.ม. มีสัดส่วนของจำนวนที่จอดรถมากถึง 50% ไม่รวมจอดซ้อนคัน   จุดเด่นของโครงการที่ต้องไฮไลท์มีทั้งหมด 4 โซน ได้แก่ โซนที่ 1 Star Pavilion ตั้งอยู่บนชั้น 32 ทาวเวอร์ A ที่ให้คุณพาเพื่อนมานั่งชิลล์ ชมวิวกรุงเทพฯแบบพาโนรามา ประกอบด้วย Mini Theatre & Karaoke Room ,SKY Private Party Room โซนที่ 2 Double Volume Co-Working Space บริเวณ ทาวเวอร์ A,B ชั้น 1,2 จัดพื้นที่ให้มี Co- Working Space ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่ทันสมัยด้วยสไตล์การออกแบบ Modern Loft ใช้วัสดุไม้ผสมเหล็ก คัดสรรเอาธรรมชาติเข้ามาตกแต่งเพื่อให้เรารู้สึกไม่อึดอัด โซนที่ 3 Double Volume Fitness ระหว่างทาวเวอร์ B,C ชั้น 5,6 ฟิตเนสที่มาพร้อมอุปกรณ์ครบครัน ห้องซาว์น่า ห้องโยคะ และอีกหนึ่งความน่าสนใจ คือ Boxing Stage บริเวณชั้น 5 เป็นเวทีมวย ให้ได้ปล่อยพลังกันเต็มอิ่ม ส่วนโซนที่ 4 Pools & Garden สระและสวนขนาดใหญ่เชื่อมต่อกับ 3 อาคาร บริเวณกลางสวนมี Rain Pavilion ได้รับแรงบันดาลใจจากหยาดฝน เพื่อให้ผู้พักอาศัยให้ความรู้สึกถูกห้อมล้อมเอาไว้ด้วยธรรมชาติ สระว่ายน้ำเป็นระบบเกลือทั้ง 2 สระ พร้อมสวนส่วนกลางขนาดใหญ่ที่ เชื่อมกันระหว่าง 3 อาคาร ปัจจุบันโครงการผ่าน EIA และได้รับใบอนุญาตก่อสร้างแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2563
โกลบอลเฮ้าส์ ทุ่มงบกว่า 2,000 ล้านบาท เปิดสาขาล่าสุดที่ จ.ชัยนาท

โกลบอลเฮ้าส์ ทุ่มงบกว่า 2,000 ล้านบาท เปิดสาขาล่าสุดที่ จ.ชัยนาท

  โกลบอลเฮ้าส์ อัดงบกว่า 2,000 ล้านบาท เดินหน้าเปิดพื้นที่ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง มั่นใจภายในสิ้นปี 61 สามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 8 สาขา หลังทยอยเปิดไปแล้วในครึ่งปีแรก 3 สาขา โดยเปิดให้บริการสาขาใหม่ล่าสุด ที่ จ.ชัยนาท เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตอกย้ำความเป็นผู้นำศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านอันดับ 1 ของเมืองไทย พร้อมเปิดตัวช่องทางขายออนไลน์ Click and Collect เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้าน ซึ่งสอดรับกับพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคในปัจจุบันที่เน้นความสะดวกและรวดเร็ว เพิ่มความพิเศษให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะไปรับสินค้าเองที่ร้านโกลบอลเฮ้าส์ หรือให้จัดส่งที่บ้าน และรับเปลี่ยนคืนสินค้าภายใน 30 วัน มั่นใจช่องทางขาย ขายออนไลน์จะช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น   นายเกรียงไกร สุริยวนากุล ซัพพลายเชนไดเรกเตอร์ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านอันดับ 1 ของเมืองไทย เปิดเผยว่า “จากการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง และของตกแต่งบ้าน ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามกลไกทางสังคม และพัฒนาการด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง และของตกแต่งบ้าน ต้องปรับตัวให้ก้าวทันกับโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคดิจิตอลซึ่งต้องการความสะดวกและรวดเร็วเมื่อจะซื้อสินค้า ทาง โกลบอลเฮ้าส์ จึงได้เปิดตัวช่องทางขายออนไลน์ Click and Collect เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบการช้อปปิ้งผ่านระบบออนไลน์ ทางเว็บไซต์ www.globalhouse.co.th ซึ่งจะรวบรวมสินค้าที่มีจำหน่ายในร้านโกลบอลเฮ้าส์มาไว้ที่เว็บไซต์นี้ ให้เสมือนยกร้านโกลบอลเฮ้าส์ไปไว้ที่บ้านลูกค้า ความพิเศษของช่องทางขายออนไลน์ของเราที่โดดเด่นกว่าคือการที่เราเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะรับสินค้าเองที่ร้านโกลบอลเฮ้าส์ หรือให้จัดส่งที่บ้าน ทั้งนี้ ทางบริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาบริการใหม่ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง เรายังสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าโดยลูกค้าสามารถเปลี่ยนคืนสินค้าที่ซื้อจากร้านได้ภายใน 30 วันที่โกลบอลเฮ้าส์สาขาไหนก็ได้ทั่วประเทศ เช่น ถ้าลูกค้าซื้อสินค้าจากสาขาเชียงราย สามารถนำสินค้าไปเปลี่ยนคืนที่สาขานครศรีธรรมราชได้ เราคาดว่าเราจะสามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้นจากช่องทางออนไลน์นอกเหนือจากฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรามีแผนทุ่มงบกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาเพิ่มในปีนี้อีก 8 สาขา ทำให้สิ้นปี 2561 โกลบอลเฮ้าส์จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 63 สาขา”   โกลบอลเฮ้าส์ นับเป็นศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้าน ที่มีสินค้าคุณภาพกว่าแสนรายการ นับล้านชิ้น ในราคาที่คุ้มค่า บนพื้นที่ขายกว่า 15,000 ตารางเมตร ซึ่งสินค้าแต่ละชิ้นได้รับการคัดสรรมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทั้งเจ้าของบ้าน ช่าง ผู้รับเหมาและงานโครงการ รวมถึงเกษตรกร อาทิ ปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น เหล็กรูปพรรณ กระเบื้องมุงหลังคา เครื่องมือช่าง สินค้าฮาร์ดแวร์ สุขภัณฑ์ กระเบื้องเซรามิก สีและเคมีภัณฑ์ โคมไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้า ท่อประปา ประตูหน้าต่าง เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน สินค้ากลุ่มเกษตร โดยมีสินค้าครบครันสำหรับการสร้างบ้านทั้งหลัง ตามสโลแกน “โกลบอลเฮ้าส์ ครบ หลากหลาย ให้บ้านคุณ” ทั้งนี้ โกลบอลเฮ้าส์ได้พัฒนาระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage Retrieval System) หรือ ASRS ที่ ศูนย์กระจายสินค้าโกลบอลเฮ้าส์ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีพื้นที่จัดเก็บสินค้าได้กว่า 43,000 พาเลท นับได้ว่าเป็นระบบคลังสินค้าอัตโนมัติที่มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ามากที่สุดในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างของเมืองไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ นอกจากนี้ โกลบอลเฮ้าส์ยังมีระบบสมาชิกโกลบอลคลับ เพื่อให้ลูกค้าได้สะสมคะแนนและรับสิทธิประโยชน์มากมาย   ปัจจุบัน โกลบอลเฮ้าส์ มีสาขาทั่วประเทศจำนวน 57 สาขา โดยเปิดสาขาล่าสุดที่ จ.ชัยนาท เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และในเดือนกรกฎาคมนี้กำลังจะเปิดสาขาที่ 58 ที่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา โกลบอลเฮ้าส์เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08.30 – 19.00 น. (ยกเว้นสาขาปทุมธานี , ศาลายา , อยุธยา , เทพารักษ์ จ.สมุทรปราการ เปิดบริการให้บริการ เวลา 08.30 – 20.30 น.) สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Global House Call Center 1160 และเว็บไซต์ www.globalhouse.co.th
ความน่าสนใจของคอนโดมิเนียมรีเซล

ความน่าสนใจของคอนโดมิเนียมรีเซล

เมื่อไม่นานมานี้ทีมงาน Reviewyourliving ได้มีโอกาสเข้าไปนั่งพูดคุยกับทางผู้บริหารจาก Bangkok Citismart เอเจ้นท์อันดับ 1 ของวงการ  รีเซลคอนโดมิเนียม ซึ่ง ณ วันนี้ตลาดรีเซลคอนโดมิเนียมจะเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งในแง่ของผู้อยู่อาศัยเองและนักลงทุน เรานำข้อมูลเหล่านั้นมาฝากกันค่ะ     คำถามยอดนิยมที่ว่า “ซื้อคอนโดอย่างไรให้ได้ราคาดีที่สุด” คำตอบที่มักจะได้นั่นคือ ซื้อช่วง Pre Sale เพราะนอกจากจะมีโอกาสเลือกยูนิตที่หมายตาเอาไว้ได้ (ถ้าจองทันนะคะ) ก็ยังขึ้นชื่อว่าได้ห้องแบบมือหนึ่งจริงๆ เนื่องจากหลังจากเสร็จสิ้นช่วง Pre Sale อันแสนโหดจากการต้องแย่งชิงต่อคิวกันตั้งแต่เช้า หรือความเร็วในการกดจองออนไลน์ หลังจากนั้นก็จะเกิดการบวกราคาเพิ่มจากนักลงทุนเก็งกำไรทั้งในระยะสั้น-ระยะยาว ทำให้ราคารีเซลสูงขึ้นอีกเป็นหลักแสนบาท แต่เชื่อไหมคะว่าสมัยนี้คอนโดมิเนียมรีเซลกลับมีราคาถูกกว่าโครงการขึ้นใหม่หลายแห่งเสียอีก   การซื้อคอนโดมิเนียมช่วง Pre Sale นั้นหมายถึงการซื้อโดยที่ยังไม่ได้เห็นของจริงว่าออกมาเป็นอย่างไร จะเหมือนกับที่โฆษณาเอาไว้หรือไม่ อีกอย่างคือเราไม่อาจทราบได้ว่าเมื่อเข้าไปอยู่อาศัยจริงแล้วจะมีการจัดการภายในจากนิติบุคคลดีแค่ไหน เพื่อนบ้านของเราเป็นอย่างไรบ้าง สิ่งเหล่านี้ก็เหมือนกับการเสี่ยงดวงกันเอาว่าสุดท้ายแล้วคอนโดมิเนียมแห่งนั้นจะมีองค์ประกอบต่างๆ ทำให้เกิดเป็นสังคมที่มีคุณภาพหรือไม่ แตกต่างจากคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ เราจะสามารถได้ดูห้องจริงบนอาคารที่สร้างเสร็จแล้ว ได้เห็นวิว เห็นทิศทางจริงจากยูนิตที่เราต้องการได้เลย ได้เห็นส่วนกลางจริง ได้สัมผัสบรรยากาศความเป็นอยู่ทั้งในคอนโดมิเนียมเอง และสภาพแวดล้อมรอบข้าง สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลต่อความน่าอยู่อาศัย รวมถึงราคาของคอนโดมิเนียมในอนาคต ซึ่งเมื่อเห็นสภาพจริงแล้วเราก็สามารถประเมินได้เองคร่าวๆ     ระยะ 1-2 ปีมานี้ เราจะสังเกตได้ว่าคอนโดมิเนียมโปรเจคใหม่ๆ มักจะเกิดขึ้นในระดับตั้งแต่ Luxury ขึ้นไป เนื่องจากต้นทุนในแง่ของราคากับความจำกัดของที่ดินใจกลางเมืองติดรถไฟฟ้า ประกอบกับการจับกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูงรวมถึงลูกค้าชาวต่างชาติ ด้วยปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้ราคาคอนโดมิเนียมสูงขึ้นเช่นทุกวันนี้ สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่อาศัยเองหรือคนลงทุนก็จะกลับมามองราคาในระดับที่ตัวเองรับได้จริงๆ ซึ่งเป็นจุดนี้เองที่คนจะหันกลับมามองคอนโดรีเซล โดยเฉพาะในนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่หันมาเก็บเกี่ยวกำไรจาก Rental Yield กันมากขึ้นกว่าการหวัง Capital Gain เพียงอย่างเดียวแบบสมัยก่อน แต่ปัจจุบันด้วยราคาคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 10%/ปี ต่างจากราคาคอนโดรีเซลประมาณ 10-20% แต่ด้วยราคาค่าเช่าจะมีการขยับเพิ่มขึ้นไม่ถึง 5%/ปี เท่านั้น ส่งผลให้ภาพรวมของ Rental Yield ลดลง ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดที่น่าสนใจนะคะ เพราะในทางกลับกันหากซื้อโครงการรีเซล อาจจะได้ Rental Yield มากกว่าปล่อยเช่าในโครงการใหม่เสียอีก ยกตัวอย่างเช่น คอนโดมิเนียมโซนพร้อมพงษ์-ทองหล่อ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าจะมีการถูกเช่าอยู่ตลอด โดยเฉพาะ  ชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอย่างญี่ปุ่น และชาวตะวันตก ซึ่งทุกวันนี้ได้ Rental Yield เฉลี่ยที่ 7-8% ขณะที่โครงการเกิดขึ้นใหม่ในโซนเดียวกันกลับได้ ไม่ถึง 5% เพราะราคาคอนโดมิเนียมซึ่งเป็นต้นทุนสูงขึ้นนั่นเองค่ะ นั่นหมายความว่ากลุ่มนักลงทุนปล่อยเช่าหลายรายก็ย่อมที่จะต้องกลับมามองคอนโดมิเนียมรีเซลที่เก็บเกี่ยว Rental Yield ได้มากกว่า และยังสร้าง Capital Gain ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องได้ด้วย   คอนโดรีเซลก็มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ ซึ่งหากเรามีการซื้อ-ขายผ่านเอเจ้นท์ที่น่าเชื่อถือก็จะเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และยังสามารถให้คำแนะนำได้สำหรับผู้อยู่อาศัยเองหรือนักลงทุนมือใหม่ก็ตาม ถือเป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่สนใจคอนโดมิเนียม     ทีเดียวค่ะ     ข้อมูลจาก : Bangkok Citismart  (Professional Property Agent)      
ศุภาลัย รุกเปิด 2 คอนโดฯ ใหม่ บน 2 ทำเลฮอต ใกล้รถไฟฟ้า

ศุภาลัย รุกเปิด 2 คอนโดฯ ใหม่ บน 2 ทำเลฮอต ใกล้รถไฟฟ้า

ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วย นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวเปิดตัว 2 โครงการคอนโดฯ ใหม่ล่าสุด บน 2 ทำเลฮอต ใกล้รถไฟฟ้า ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ “ศุภาลัย เวอเรนด้า สุขุมวิท 117” ใกล้รถไฟฟ้าสถานีปู่เจ้าสมิงพราย เพียง 200 เมตร ราคาเริ่ม 1.69 ล้านบาท และ “ศุภาลัย ลอฟท์ ประชาธิปก - วงเวียนใหญ่” ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีสะพานพุทธ รถไฟฟ้า BTS สถานี วงเวียนใหญ่ และรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีประชาธิปก ราคาเริ่ม 2.29 ล้านบาท มูลค่ารวม 2 โครงการ 3,970 ล้านบาท พร้อมนำคณะสื่อมวลชน ชมห้องตัวอย่าง Function Design : New Look! ณ สำนักงานขาย โครงการศุภาลัย ลอฟท์ ประชาธิปก - วงเวียนใหญ่
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยภูเก็ต-หาดใหญ่ สองเมืองหลักภาคใต้มาแรง  เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวคึกคักดันดีมานด์คอนโด ยอดตอบรับสูง 80-90%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยภูเก็ต-หาดใหญ่ สองเมืองหลักภาคใต้มาแรง เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวคึกคักดันดีมานด์คอนโด ยอดตอบรับสูง 80-90%

  พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ ภูเก็ต–หาดใหญ่ คึกคักต้อนรับยอดนักท่องเที่ยว-การค้าเติบโตต่อเนื่อง โซนตัวเมืองภูเก็ตเนื้อหอม เป็นจุดศูนย์กลางเดินทางสะดวกทั่วเกาะ และใกล้ชิดสถาปัตยกรรมเมืองเก่า โครงการคอนโดมิเนียมได้รับความนิยม ยอดขาย 81% ด้านหาดใหญ่ตลาดคอนโดฯมาแรงยอดขาย 93% ดีมานด์นักธุรกิจ นักศึกษาท่วมท้น ส่งผลทุกโครงการปิดการขายรวดเร็ว ทำเลถนนกาญจนวณิชศักยภาพสูง เป็นเส้นหลักเชื่อมหาดใหญ่สู่หลายจังหวัด และเชื่อมชายแดนมาเลเซีย ดันการค้าชายแดนสูงสุดในภาคใต้ มูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท   นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากผลสำรวจของฝ่ายวิจัยและพัฒนาของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่ได้ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยในโซนภาคใต้พบว่ามีการเติบโตที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ภูเก็ต และพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงทั้งด้านท่องเที่ยวและการค้า ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเติบโตในทิศทางเดียวกัน ไม่เพียงเท่านี้ตลาดที่อยู่อาศัยในภูเก็ต และหาดใหญ่ ยังมีแนวโน้มเติบโตจากการได้รับแรงผลักดันจากการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่กระตุ้นเศรษฐกิจทั้ง 2 พื้นที่ให้คึกคักมากขึ้น รวมถึงราคาที่ดินที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดจากข้อมูลของกรมธนารักษ์ พบว่าราคาประเมินในพื้นที่ภูเก็ต ช่วงปี 2555 – 2558 และ 2559-2562 โซนใจกลางเมืองเติบโต 19 – 35% ขณะที่ราคาประเมินที่ดินหาดใหญ่ ช่วงปี 2555 – 2558 และ 2559 – 2562 เพิ่มขึ้น 20 – 25%   จากการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ล่าสุด ปี 2561 พบว่าตลาดหลักคือคอนโดมิเนียม มีสัดส่วนอยู่ที่ 80% มีอุปทานสะสม 13,702 ยูนิต อุปสงค์ให้การตอบรับแล้ว 11,062 ยูนิต และมียอดขายอยู่ที่ 81% ขณะที่ราคาเสนอขายเฉลี่ยทั้งตลาดประมาณ 100,000 บาทต่อตารางเมตร โซนที่มีการเติบโตของราคาสูงคือโซนตัวเมืองภูเก็ต ที่มีราคาขายเฉลี่ยประมาณ 81,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า โดยมีโครงการใหม่ที่คาดว่าจะเข้าสู่ตลาดในปีนี้ราว 1,200 ยูนิต สอดคล้องกับความต้องการที่อยู่อาศัยจากทั้งคนในพื้นที่และจากนักท่องเที่ยวที่เติบโตมากขึ้นทุกปี โดยในปี 2560 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังภูเก็ตมากกว่า 12 ล้านคน เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน ซึ่งภูเก็ตถือเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวของภาคใต้ ด้วยรายได้จากการท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 ของภาคใต้ (มูลค่า 330,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 12% ของทั้งหมด) และมีมูลค่าเป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากกรุงเทพฯ อีกทั้งภูเก็ตมีแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งรถไฟรางเบาจากสนามบินภูเก็ตสู่ใจกลางเมืองภูเก็ต ดังนั้นการเดินทางเชื่อมต่อทั้งเกาะภูเก็ตจึงมีความสะดวกสบาย ที่อยู่อาศัยโซนใจกลางเมืองจึงได้รับการตอบรับที่ดีเพราะสามารถเดินทางไปยังโซนอื่นๆ ได้ ไม่เพียงเท่านี้ในอนาคตภูเก็ตจะพัฒนาสู่ Smart City จะทำให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าราคาเสนอขายคอนโดฯจะเติบโตขึ้นอีก โดยโซนตัวเมืองราคาน่าจะขยับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละ 8-10 % เนื่องจากในอนาคตจะมีการคมนาคมสะดวกขึ้น จากความคืบหน้าตามแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบาของภูเก็ต นอกจากนี้ในส่วนของการนำกลับมาขายใหม่หรือรีเซล (resale) ราคาปรับเพิ่มขึ้น 6-9% ต่อปี เติบโตจากความต้องการของกลุ่มคนทำงานในพื้นที่ นักลงทุน รวมถึงกลุ่มที่ซื้อเก็บไว้เป็นทรัพย์สินและมรดก โดยพบว่าราคาขายรีเซลอยู่ที่ประมาณ 85,000 – 90,000 บาทต่อตารางเมตร คิดเป็นอัตรากำไรประมาณ 4-5% ต่อปี ส่วนการเช่ามีราคาปล่อยเช่าอยู่ที่ 14,000 - 15,000 บาทต่อปี อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 6-7% ต่อปี โดยเน้นปล่อยเช่าให้กับชาวต่างชาติและกลุ่มคนที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ซึ่งถือเป็นกลุ่มประชากรแฝงที่มีอยู่จำนวนมาก ทั้งแรงงาน นักธุรกิจ และนักเรียนนักศึกษา ดังนั้นโครงการที่ได้รับความนิยมจึงเป็นโครงการที่อยู่ในโซนที่ตอบสนองการใช้ชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัย ทำให้โครงการที่อยู่ในตัวเมืองได้รับความสนใจเพราะสามารถเดินทางสะดวก และยังแวดล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมเมืองเก่า เปี่ยมด้วยเสน่ห์ที่ผสานหลากหลายวัฒนธรรมทั้งไทย จีน และมลายู   สำหรับพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พบว่าตลาดคอนโดฯเริ่มเติบโตอย่างน่าสนใจ เนื่องจากหาดใหญ่เป็น หัวเมืองที่เป็นประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้านเช่นมาเลเซีย จึงเป็นเมืองแห่งศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้าชายแดน การลงทุนที่สำคัญ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และยังเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ มีโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค จึงส่งผลให้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 ของภาคใต้ มีการค้าขายกับมาเลเซียที่เติบโต 12% และมีมูลค่าการค้าชายแดนประมาณ 550,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงสุดของการค้าชายแดนของภาคใต้ และจากการที่เป็นศูนย์กลางการค้าและแหล่งงานจึงทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มคึกคักขึ้น โดยล่าสุดพบว่ามีอุปทานเสนอขายสะสม 2,970 ยูนิต อุปสงค์ให้การตอบรับ 2,763 ยูนิต มียอดขายสูงถึง 93% ซึ่งโครงการที่เปิดขายเหล่านี้ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น ปิดการขายได้เร็ว เนื่องจากอยู่ใกล้สถานที่สำคัญเช่นมหาวิทยาลัย ศูนย์การค้าที่สำคัญ และพัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ทำให้ตัวโครงการมีความน่าเชื่อถือ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางที่แตกต่างจากโครงการทั่วไปในตลาด ปัจจุบันไม่พบอุปทานคงค้างแล้วในโซนนี้ หากมีโครงการเปิดใหม่จึงคาดว่าจะสามารถปิดการขายได้เร็ว โดยพบว่าผลตอบแทนจากการขายต่ออยู่ที่ประมาณ 4% ต่อปี ส่วนการปล่อยเช่ามีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 6-7% ต่อปี โดยโซนที่น่าจับตาคือโซนถนนกาญจนวนิช ซึ่งเป็นเสมือนเส้นเลือดหลักของหาดใหญ่ เชื่อมสถานที่สำคัญของหาดใหญ่และจังหวัดใกล้เคียง และเชื่อมไปสู่ชายแดนประเทศมาเลเซียได้ และยังเป็นเส้นทางหลักของรถไฟรางเดี่ยวที่จะเกิดในอนาคตอีกด้วย
ทิศทางวงการวัสดุตกแต่งไทย ปี 2561

ทิศทางวงการวัสดุตกแต่งไทย ปี 2561

สมาคมมัณฑนากรแห่งประเทศไทย (TIDA) ร่วมกับ บริษัท บุญถาวรเซรามิค จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุตกแต่งและวัสดุปิดพื้นผิว หรือ Coverings ในประเทศไทย ร่วมเผยเทรนด์การออกแบบตกแต่งภายในปี 2561 ในงาน TIDA COVERINGS 2018 ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Pattern’ ซึ่งได้ รวมเอากลุ่มคนที่มีความสนใจด้านวัสดุปิดพื้นผิว นักออกแบบและตกแต่งภายใน ไว้ด้วยกันมากที่สุดงานหนึ่งของประเทศไทย ถือเป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ในการช่วยพัฒนาบุคลากรในวงการมัณฑนศิลป์ ของไทยให้มีความพร้อมในทุกๆ ด้าน และภายในงานยังได้รับโอกาสจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิอย่าง ผศ. ดร. เอกรัตน์ วงษ์จริต กรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการฝ่ายความคิดสร้างสรรค์ บริษัท คราฟท์ แฟคเตอร์ จำกัด และ มร.แอนเดรีย เดสสตาเฟนิส ผู้ร่วมก่อตั้งโคไคสตูดิโอ ที่ให้เกียรติร่วมแชร์ประสบการณ์ให้คนในวงการได้รับฟังภายในงานฯ สำหรับเทรนด์การออกแบบตกแต่งภายในปี 2561 นี้จะสะท้อนการผสมผสานของวัสดุหลากชนิด สี พื้นสัมผัส ลวดลายที่มีความแตกต่างเข้าไว้ด้วยกัน ผสานกับแนวการออกแบบที่มีชั้นเชิง เพื่อเพิ่มความสนุกสนานในการอยู่อาศัยให้มีมิติมากยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เพียงวัสดุ หรือ โทนสีเดียวกันเสมอไป ประกอบกับการเพิ่มความตัวตนของผู้อยู่อาศัยผ่าน D.I.Y หรือ Do It Yourself ที่ยังคงเป็นกระแสฮิตในหมู่คนรุ่นใหม่ที่จะได้มีโอกาสในการ ‘ออกแบบ’ และ ‘ลงมือ’ แต่งแต้มบ้านในฝันของตนเองได้ตรงตามรสนิยม ความชอบมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการออกแบบแบบ Eco Design ก็เป็นอีกหนึ่งกระแสที่ฮิตไม่แพ้กัน ด้วยงานออกแบบที่มีความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการผลิตที่จะประยุกต์ใช้ธรรมชาติเป็นแนวคิดหลักในการสร้างสรรคผลงานออกแบบและใช้ส่วนผสมจากวัสดุธรรมชาติ หรือเน้นรูปทรงธรรมชาติเข้ามาเสริมความเรียบง่ายของการออกแบบให้มีความล้ำลึกในรายละเอียดการตกแต่งได้อีกด้วย ในส่วนของวัสดุปิดผิวที่กำลังนิยมเป็นอย่างมากในหมู่สถาปนิกและนักออกแบบในตอนนี้ต้องยกให้ กระเบื้องไซส์ใหญ่ เพราะตัววัสดุกระเบื้องไซส์ใหญ่สามารถนำเอาไปต่อยอดงานดีไซน์ได้หลากหลายรูปแบบ ตามความชอบและไลฟ์สไตล์ได้ตรงจุด ประกอบกับลวดลายที่มีหลากหลาย ทั้งลายหินอ่อน (Marble) และ ลายหินขัด (Terrazzo) ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากดีไซน์ของหินจริงสามารถนำไปใช้งานร่วมกับวัสดุอื่นๆ เพื่อเพิ่มระดับของงานออกแบบในสไตล์ต่างๆ ได้อย่างลงตัว เหมาะกับการใช้ปูตกแต่งบ้าน ห้างสรรพสินค้า โรงแรม และอาคารสำนักงาน หรือแม้แต่การนำมาช่วยปิดพื้นผิวหรือหน้าท็อปเคาน์เตอร์ครัวก็สามารถเติมลูกเล่นให้กับงานตกแต่งได้เช่นกัน ซึ่งภายในงาน TIDA Coverings 2018 ยังได้มีการนำเอาวัสดุปิดพื้นผิวและผนังจากทั้งในและต่างประเทศ มาอัพเดทภายในงานฯ อาทิ กระเบื้องเซรามิค (Ceramic Tiles) โมเสค (Mosaic) โซลิดเซอร์เฟส (Solid Surface) วีเนียร์ (Veneer) ลามิเนท (Laminate) และ คริสตัลบอร์ด (Crystal Board)
พีอาร์เอ อะคาเดมี เตรียมแตกไลน์ธุรกิจใหม่   เปิด ‘Hot Deal บริหารการขายปิดโครงการ’

พีอาร์เอ อะคาเดมี เตรียมแตกไลน์ธุรกิจใหม่ เปิด ‘Hot Deal บริหารการขายปิดโครงการ’

นางสุดา ประกฤติพงศ์ (ขวาที่ 3) ประธานกรรมการบริหาร พีอาร์เอ อะคาเดมี (P.R.A. Academy) สถาบันสอนการลงทุนอสังหาครบทุกรูปแบบ พร้อมทีมงานเตรียมจัดตั้งไลน์ธุรกิจใหม่ เปิด ‘Hot Deal บริหารการขายปิดโครงการ’ ได้ประโยชน์ทั้งเจ้าของโครงการและผู้ซื้อ โดย ‘Hot Deal บริหารการขายปิดโครงการ’ ด้วยการเข้ามาเป็นคนกลางระหว่างเจ้าของโครงการและผู้ซื้อในการซื้อขายทรัพย์ สิ่งที่เจ้าของโครงการจะได้รับคือ ปิดการขายโครงการได้เร็ว ค่าใช้จ่ายในด้านการขายลดลง เจาะกลุ่มผู้ซื้อ-ผู้เช่าได้ตรง ในด้านประโยชน์ที่ผู้ซื้อจะได้รับ คือ ได้ทรัพย์ดี ทำเลเด่น ในราคาพิเศษ ทำกำไรตั้งแต่ครึ่งแรกที่ซื้อ ได้ทรัพย์ที่เหมาะสมกับผู้ซื้อ ได้ที่ปรึกษามืออาชีพในการหาสินเชื่อ หาผู้เช่าได้เร็ว (ปล่อยเช่า) สำหรับผู้ที่สนใจทั้งในส่วนของเจ้าของโครงการและผู้ซื้อ สามารถ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 064-9797987
ก้าวใหม่วงการอสังหาฯ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จับมือ รีฟินน์ รุกฟินเทค  เปิดตัวบริการสินเชื่อบ้านมือสอง  “ฟิน ครบ จบที่เดียว ได้ทั้งบ้าน-คอนโด และสินเชื่อตรงใจ”

ก้าวใหม่วงการอสังหาฯ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จับมือ รีฟินน์ รุกฟินเทค เปิดตัวบริการสินเชื่อบ้านมือสอง “ฟิน ครบ จบที่เดียว ได้ทั้งบ้าน-คอนโด และสินเชื่อตรงใจ”

นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ตอกย้ำนโยบายดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น จับมือ บริษัท รีฟินน์ อินเตอร์เนชั่นแนล ดอท คอม จำกัด ฟินเทคสตาร์ทอัพชั้นนำ โดยนางสาวพรพิมล ปฐมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมเปิดตัวบริการใหม่ล่าสุด สินเชื่อบ้านมือสอง “ฟิน ครบ จบที่เดียว ได้ทั้งบ้าน-คอนโด และสินเชื่อตรงใจ” ต่อยอดกลยุทธ์ทางธุรกิจของพลัสฯ ด้าน Customer Focus ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยพัฒนาบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ลดขั้นตอนการค้นหาสินเชื่อ เพิ่มทางเลือกสำหรับลูกค้าที่สนใจใช้บริการซื้อที่อยู่อาศัยกับพลัสฯ สามารถใช้บริการขอสินเชื่อผ่านรีฟินน์ได้แบบครบวงจร พร้อมสิทธิประโยชน์พิเศษอีกมาก อาทิ ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน และดอกเบี้ย 3 ปีแรกต่ำกว่า 3% ฟรีจดจำนองและประเมิน เป็นต้น   นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัสฯได้ร่วมมือกับรีฟินน์ ซึ่งเป็นฟินเทคสตาร์ทอัพชั้นนำ ในการเป็นพันธมิตรให้บริการสินเชื่อบ้านมือสองสำหรับลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยกับพลัสฯ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าด้วยบริการที่ “ฟิน ครบ จบที่เดียว ได้ทั้งบ้าน-คอนโด และสินเชื่อตรงใจ” ซึ่งการร่วมมือกันในครั้งนี้ถือเป็นก้าวใหม่ของวงการอสังหาริมทรัพย์ที่เดินหน้าพัฒนาการบริการผ่านฟินเทค และเป็นการต่อยอดนโยบายของพลัสฯ ที่จะเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ (Digital Transformation) โดยจับมือกับรีฟินน์ เพื่อยกระดับการให้บริการลูกค้าพลัสฯ ที่ต้องการสินเชื่อบ้านหรือคอนโดมิเนียมมือสองให้มีทางเลือกมากขึ้น สามารถเปรียบเทียบสินเชื่อจากหลากหลายสถาบันการเงินชั้นนำ พร้อมเลือกสมัครขอสินเชื่อที่ตรงใจและตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะได้ในที่เดียว สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีข้อเสนอพิเศษอีกมากมายเพื่อลูกค้า อาทิ ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน หรือดอกเบี้ย 3 ปีแรก ไม่ถึง 3% หรือขอวงเงินสินเชื่อได้สูงสุด 100% ฟรีจดจำนอง ฟรีประเมิน หรือสามารถเลือกยอดผ่อนชำระต่ำ และดอกเบี้ยคงที่ระยะยาวได้อีกด้วย โดยสามารถตรวจสอบระยะเวลาและเงื่อนไขโปรโมชั่นได้ทาง www.plus.co.th/plusxrefinn   “นับเป็นมิติใหม่ในวงการอสังหาฯ ที่ลูกค้าสามารถเลือกซื้อบ้าน-คอนโด พร้อมสินเชื่อตรงใจได้ทันที ครบจบในที่เดียว ซึ่งความร่วมมือในเฟสแรกกับรีฟินน์นี้ พลัสฯ มั่นใจว่าลูกค้าที่ใช้บริการกับเราจะได้รับความสะดวกสบายด้วยทางเลือกที่หลากหลายไม่ต้องเสียเวลาในการติดต่อสถาบันการเงินแต่ละแห่ง และด้วยจุดแข็งของทั้งพลัสฯ ที่เป็นตัวแทนขายมืออาชีพพร้อมประสบการณ์กว่า 20 ปี มีพอร์ตบ้านและคอนโดฯ มือสองคุณภาพในทำเลศักยภาพให้ลูกค้าได้เลือกสรร และรีฟินน์ซึ่งเป็นตัวกลางระหว่างลูกค้าและธนาคารในการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของธนาคารต่างๆ ช่วยให้ลูกค้าได้รับบริการสินเชื่อที่คุ้มค่าสอดคล้องกับความต้องการ ส่วนเฟสถัดไปจะมีการพัฒนาดิจิตอลแพลตฟอร์มร่วมกัน เพื่อให้ลูกค้าที่จะซื้อบ้านหรือคอนโดฯ มือสองของพลัสฯ สามารถเลือกซื้อทางเว็บไซต์ และประเมินหาสินเชื่อบ้านมือสองได้พร้อมกันในที่เดียว” นางสาวสมสกุล กล่าว   นางสาวพรพิมล ปฐมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีฟินน์ อินเตอร์เนชั่นแนล ดอท คอม จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันรีฟินน์ นับเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านที่ได้รับความนิยมที่สุด โดยมียอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ www.Refinn.com แล้วกว่า 1.2 ล้านราย ด้วยการนำเสนอข้อมูลอัตราดอกเบี้ยบ้านออนไลน์ที่ทำให้ลูกค้าสะดวก และง่ายในการใช้บริการ อีกทั้งยังรวดเร็ว เป็นกลาง โปร่งใส และไม่มีค่าบริการกับผู้ใช้บริการอีกด้วย โดยบริการสินเชื่อบ้านมือสอง เป็นบริการใหม่ล่าสุดที่รีฟินน์เปิดตัวเป็นครั้งแรกร่วมกับพลัสฯ ซึ่งจะเป็นการเสริมจุดแข็งทางธุรกิจร่วมกันได้เป็นอย่างดี เพราะพลัสฯ เองมีฐานลูกค้าที่มีศักยภาพจำนวนมากที่ต้องการขอสินเชื่อบ้านมือสอง ทางรีฟินน์เองก็สามารถตอบโจทย์การให้บริการสินเชื่อดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเรามีโปรแกรมออนไลน์คำนวณเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารชั้นนำจำนวนมาก โดยที่ลูกค้าสามารถสมัครขอสินเชื่อได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปติดต่อเอง และทราบผลอนุมัติเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว จึงเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าด้วยบริการที่ครบจบในที่เดียว ตอบโจทย์เทรนด์คนรุ่นใหม่ที่มีเวลาน้อย และต้องการข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งการผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกันในครั้งนี้จึงถือเป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับการให้บริการของรีฟินน์ เพราะลูกค้าที่มาซื้อที่อยู่อาศัยกับพลัสฯ เป็นลูกค้าที่มีคุณภาพให้ความสำคัญกับการได้ข้อมูลครบถ้วนและเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ชื่นชอบการใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งในอนาคตลูกค้าจะได้รับบริการซื้อบ้านและคอนโดฯ จากพลัสฯ พร้อมโปรแกรมคำนวณสินเชื่อบ้านมือสองของรีฟินน์ได้อีกด้วย   สำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมสินเชื่อบ้านมือสอง “ฟิน ครบ จบที่เดียว ได้ทั้งบ้าน-คอนโด และสินเชื่อตรงใจ” ได้ที่ www.plus.co.th/plusxrefinn หรือโทร 02-688-7555
ออลล์ อินสไปร์ ประกาศ!! ชิงตลาดคนทำงาน เปิดตัวโครงการไรส์ พหล – อินทามระ คอนโด High Rise สถาปัตยกรรมที่ทันสมัย ในราคาที่ใครก็จับจองได้ มั่นใจดีมานด์ยังคงมีต่อเนื่อง

ออลล์ อินสไปร์ ประกาศ!! ชิงตลาดคนทำงาน เปิดตัวโครงการไรส์ พหล – อินทามระ คอนโด High Rise สถาปัตยกรรมที่ทันสมัย ในราคาที่ใครก็จับจองได้ มั่นใจดีมานด์ยังคงมีต่อเนื่อง

บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบคอนโดมิเนียมภายใต้ แบรนด์ ดิ เอ็กเซล ไรส์ และอิมเพรสชั่น ประกาศลุยฯ อสังหาฯ ส่งคอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด แบรนด์ไรส์ “โครงการไรส์ พหล – อินทามระ (Rise Phahon – Inthamara)” คอนโดมิเนียม High Rise คุณภาพเยี่ยม บนทำเลศักยภาพสูงสุด ถนนสุทธิสารวินิจฉัย ซึ่งสามารถเชื่อมต่อเมืองชั้นในได้อย่างสะดวกสบาย มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.89 ล้านบาท พร้อมเตรียมชิงตลาดคนทำงานย่านอารีย์ - สะพานควาย ที่ยังคงมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง มั่นใจได้รับผลตอบรับอย่างดียิ่ง การันตีตัวเลขยอดขายจากการเปิดให้จองสิทธิ์ครั้งแรกที่ผ่านมา   นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์เฉพาะคอนโดมิเนียมในช่วงนี้เริ่มมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ในปีที่ผ่านมาคอนโดมิเนียมในหลายโซนปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว และยังมีดีมานด์ตอบรับสูง ทั้งในโซนกรุงเทพฯ ชั้นในจนถึงชั้นนอก ส่งผลให้บริษัทฯ เดินหน้าเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้ ภายใต้แบรนด์ ไรส์ ได้แก่ โครงการไรส์ พหล – อินทามระ (Rise Phahon - Inthamara) ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมรูปแบบ High Rise ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูงสุด ย่านถนนสุทธิสารวินิจฉัย ตอบรับดีมานด์ตลาดคนทำงานย่านอารีย์ – สะพานควาย มูลค่าโครงการกว่า 1,600 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นเพียง 2.89 ล้านบาท   สำหรับย่านสุทธิสารเป็นทำเลใจกลางเมืองที่สามารถเชื่อมผ่านถนนหลักสายใหญ่ถึง 4 สาย ทำให้มีอาคารสำนักงานจำนวนมากตลอดจนมีประชากรหนาแน่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนทำงานวัยกลางคนที่ต้องการพักอาศัยในทำเลใจกลางเมืองที่ครบครันด้วยสาธารณูปโภคเชื่อมต่อโครงข่ายคมนาคมทั้งรถไฟฟ้า BTS สะพานควาย BTS อารีย์ นอกจากนั้นยังเป็นทำเลที่เหมาะแก่การลงทุนเพราะมีอัตราการเติบโตของราคาที่ดินสูงเป็นอันดับต้นๆ ของกรุงเทพฯ ด้วยพื้นที่รายล้อมทั้งย่านธุรกิจเดิมและย่านธุรกิจใหม่ ถือว่าเป็นทำเลที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างสม่ำเสมอ และยังคงมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง   ในครั้งนี้ถือเป็นการเปิดตัวตึกสูงดีไซน์สุดเฉียบโครงการใหม่ล่าสุด ภายใต้แบรนด์ ไรส์ พหล – อินทามระ (Rise Phahon – Inthamara) คอนโดมิเนียมรูปแบบ High Rise สูง 40 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 384 ยูนิต มีแบบห้องให้เลือก 2 รูปแบบ คือ 1 ห้องนอน ขนาด 25 - 37.5 ตร.ม. และ 2 ห้องนอน ขนาด 42 - 53 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นเพียง 2.89 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 1,600 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลในซอยสุทธิสารวินิจฉัย บริเวณปากซอยอินทามระ 4 ซึ่งถนนสุทธิสารวินิจฉัยเป็นซอยที่สามารถทะลุเชื่อมต่อไปยังถนนใหญ่ๆ ได้หลายเส้น ทั้งเส้นทางลัด พหลโยธิน – วิภาวดีรังสิต และยังเชื่อมต่อไปยังถนนรัชดาภิเษกได้อีกด้วย ที่สำคัญคือใกล้รถไฟฟ้า BTS สะพานควาย และ BTS อารีย์   ด้วยการออกแบบอาคารที่มีเสน่ห์และทันสมัย นอกเหนือจากทำเลซึ่งเป็นจุดขายหลักแล้ว โครงการยังให้ความสำคัญในเรื่องรูปแบบดีไซน์ ที่ดึงดูดความสนใจและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ลูกค้า มีการออกแบบฟังก์ชั่นภายในได้อย่างลงตัวสำหรับการใช้งานจริง สามารถตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองได้ ด้วยสถาปัตยกรรมทรงเฉียบล้ำสมัย ด้วยคอนเซป Iconic Blade Skyscrapers มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสะท้อนประสบการณ์และวิสัยทัศน์ในการใช้ชีวิตอย่างเหนือระดับของผู้เป็นเจ้าของ และ Iconic Rising Garden สวนเล่นระดับที่วางไต่ระดับทางสูงที่ด้านหน้าของอาคาร เป็นพื้นที่สีเขียวดีไซน์พิเศษที่สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่าง นอกจากนี้ยังมอบพื้นที่ส่วนกลางแบบ Sky Rise Facility ถึง 4 ชั้น เพื่อการพักผ่อนพร้อม Function หลากหลายเช่น Sky Living Lounge, Sky Fitness, Panoramic Sauna Room และอีกมาก เพื่อความสมบูรณ์ด้านการอยู่อาศัย เพิ่มความเป็นส่วนตัวและสามารถเป็นพื้นที่พักผ่อนสังสรรค์ที่รองรับกลุ่มเพื่อนสนิทได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ Lobby, Mailbox, Blade Pool สระว่ายน้ำพร้อม Infinite Edge Design, Sky Pool สระว่ายน้ำระบบเกลือ ฟิตเนส สวนพักผ่อน Co - Working Space และ Smart Auto Parking ระบบจอดรถล้ำสมัยเพื่อความสะดวกสบาย จัดเต็มด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ฯลฯ อีกทั้งยังใกล้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ แหล่งท่องเที่ยว และโรงพยาบาล อีกด้วย   “ออลล์ อินสไปร์ฯ มั่นใจว่าจะมีการตอบรับป็นอย่างดีด้วยราคาเริ่มต้นที่คนทำงานจับต้องได้ อีกทั้งเล็งเห็นถึงศักยภาพของตัวโครงการที่ตั้งอยู่บนทำเลพื้นที่ชั้นกลางที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา และยังเป็นย่านที่มีอาคารสำนักงานตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นแหล่งศูนย์กลางธุรกิจ รองรับด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และเป็นทำเล Hub ด้านการเปลี่ยนถ่ายระบบคมนาคมทางรางที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน หรือสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งกำลังจะแล้วเสร็จพร้อมใช้งานในปี 63 ซึ่งแน่นอนว่าราคาที่ดินและคอนโดในละแวกนั้นจะขยับสูงขึ้นในอนาคต” นายธนากร กล่าวตอนท้าย   โครงการ ไรส์ พหล – อินทามระ (Rise Phahon – Inthamara) จะเริ่มก่อสร้างประมาณเดือน กุมภาพันธ์ 2562 และคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จประมาณเดือน ธันวาคม 2564 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Contact Center 02 029 9999 หรือ www.allinspire.co.th
ชาญอิสสระ พร้อมเปิดสัมผัสประสบการณ์ซูเปอร์ลักชัวรี่ ณ “บ้านอิสสระ บางนา”

ชาญอิสสระ พร้อมเปิดสัมผัสประสบการณ์ซูเปอร์ลักชัวรี่ ณ “บ้านอิสสระ บางนา”

นายสงกรานต์ อิสสระ (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ. ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ พร้อมด้วย นางธีราภรณ์ ศรีเจริญวงศ์ (ที่ 2 จากขวา) กรรมการผู้จัดการบริษัท ซี.ไอ.เอ็น เอสเตท จำกัด, นายปสันน สวัสดิ์บุรี (แรกซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.ไอ.เอ็น เอสเตท จำกัด ร่วมเปิดตัวบ้านตัวอย่าง โครงการ “บ้านอิสสระ บางนา” บ้านเดี่ยวสุดหรู ที่มาพร้อมดีไซน์ ฟังก์ชัน โดดเด่นเหนือระดับ ภายใต้คอนเซปต์ “ความภูมิใจ The New Legacy Of Freedom” ซึ่งเปิดให้เข้าชมแล้ววันนี้ ณ โครงการบ้านอิสสระ โดยมีนายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี ประเทศไทย จำกัด นางสาวกรัชเพชร อิสสระ ที่ปรึกษาด้านการตลาด บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ และนายเมธินทร์ จันทรอุไร กรรมการบริหาร บริษัทสถาปนิก 49 จำกัด ร่วมงาน ณ โครงการบ้านอิสสระ บางนา ถนนบางนา-ตราด กม.8 เมื่อเร็วๆนี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โครงการ “บ้านอิสสระ บางนา” โทร. 095 207 9235-7 หรือ ISSARABANGNA@CBRE.co.th และ www.charnissara.com
“ออริจิ้น” เปิดตัว “วัน ออริจิ้น” ติดเครื่องธุรกิจโรงแรมและมิกซ์ยูส  ตั้งเป้า 5 ปี ลงทุน 2 หมื่นล้าน พร้อมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

“ออริจิ้น” เปิดตัว “วัน ออริจิ้น” ติดเครื่องธุรกิจโรงแรมและมิกซ์ยูส ตั้งเป้า 5 ปี ลงทุน 2 หมื่นล้าน พร้อมจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

  “กมลวรรณ วิปุลากร” มือทองธุรกิจโรงแรม เปิดตัว “วัน ออริจิ้น” สร้างศักราชใหม่ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนเครือ “ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” กางมาสเตอร์แพลน 5 ปี ลงทุน 2 หมื่นล้าน ลุย 3 กลุ่มธุรกิจ Accommodation-Office & Retail-Foods เกาะแนวกรุงเทพฯ-อีอีซี-เมืองท่องเที่ยว คาดสร้าง Market Value กว่า 30,000 ล้าน เล็งเข้าจดทะเบียนระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์   นางกมลวรรณ วิปุลากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วัน ออริจิ้น จะเป็นบริษัทที่ทำหน้าที่ดูแลธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน (Recurring Income Business) ทั้งหมดให้แก่เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และจะเป็นบริษัทที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาวให้แก่ภาพรวมของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในช่วง 5 ปีจากนี้ (พ.ศ.2561-2565) บริษัทจะเดินหน้าลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนด้วยงบลงทุนไม่น้อยกว่า 2 หมื่นล้านบาท   ทั้งนี้ บริษัทแบ่งประเภทธุรกิจที่จะลงทุนออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่ม Accommodation เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ 2.กลุ่มสำนักงานให้เช่าและค้าปลีก (Office & Retail) และ 3.กลุ่มธุรกิจอาหาร (Foods) โดยจะให้น้ำหนักกับกลุ่มธุรกิจ Accommodation 70% และอีก 2 กลุ่มที่เหลือรวมกัน 30%   “เราตั้งเป้าว่าทรัพย์สินจากการลงทุนดังกล่าวจะช่วยสร้าง Market Value ให้กับเราประมาณ 30,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน จะช่วยสร้างยอดขายรวมในช่วงแผน 5 ปีนี้ให้กับเราประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งน่าจะทำให้เราขึ้นแท่นเป็น ท็อป 5 ในวงการธุรกิจโรงแรมและมิกซ์ยูส” นางกมลวรรณ กล่าว   นางกมลวรรณ กล่าวอีกว่า เงินทุนที่ใช้ลงทุนในช่วง 3-5 ปีแรก จะมาจาก 2 ส่วน ได้แก่ 1.เงินทุนจากบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) 2.เงินทุนจากการร่วมทุนกับพันธมิตรระดับโลก เช่น บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรรายใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งมีการสร้างความร่วมมือระหว่างกันแล้วหลายโครงการ อาทิ โครงการโรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) ซึ่งเคยประกาศไปแล้ว ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนจะจัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) รวมถึงการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อเพิ่มโอกาสในการระดมทุนเพิ่มเติม อันจะเป็นผลดีต่อการขยายธุรกิจในระยะยาวด้วย   “ประเภทธุรกิจต่างๆ ภายใต้ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียน จะทำให้เราเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทั้งการทำงาน การพักผ่อนของผู้บริโภคได้อย่างลงตัว” นางกมลวรรณ กล่าว   ด้านนางจตุพร ผิวขาว กรรมการผู้จัดการ บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการของวัน ออริจิ้น จะเน้นเกาะทำเลกรุงเทพฯ และระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งเป็น 2 ทำเลศักยภาพที่ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ให้ความสำคัญอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นทำเลที่มีความต้องการของผู้บริโภคที่มีศักยภาพในหลายเซ็กเมนท์ ขณะเดียวกัน ยังวางแผนเข้าไปลงทุนในเมืองท่องเที่ยวสำคัญ เช่น พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ อีกด้วย รูปแบบการพัฒนาเปิดกว้างทั้งการพัฒนาในลักษณะมิกซ์ยูส และการพัฒนาโครงการแต่ละประเภทแบบสแตนด์อโลน ขึ้นอยู่กับศักยภาพของทำเลและที่ดินแต่ละแปลง “กลยุทธ์การเติบโตจะมีทั้งการจ้างเชนระดับโลกเข้ามาบริหาร การสร้างแบรนด์ของตัวเอง ตลอดจนการเข้าซื้อกิจการ ขึ้นอยู่กับประเภทธุรกิจ และความต้องการของฐานลูกค้า กลยุทธ์ทั้งหมดจะเป็นส่วนสำคัญช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง และทำให้วัน ออริจิ้น สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว” นางจตุพร กล่าว   เบื้องต้น คาดการณ์ว่าภายใน 5 ปี จะมีการพัฒนาโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ทั้งหมด 15 แห่ง ทั้งในกลุ่มลูกค้า corporate และ leisure รวมจำนวนห้องพักกว่า 4,000 ห้อง ส่วนของอาคารสำนักงานและร้านค้าอีก 10 แห่ง รวมพื้นที่ไม่น้อยกว่า 50,000 ตร.ม.   ที่ผ่านมา บริษัทได้เซ็นสัญญาและนำแบรนด์ของเครือโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (ไอเอชจี) เข้ามาบริหารโรงแรม 3แห่ง ได้แก่ 1.สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ (Staybridge Suites Bangkok Thonglor) 2.สเตย์บริดจ์ สวีท ชลบุรี ศรีราชา (Staybridge Suites Chonburi Siracha) และ 3.ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง (Holiday Inn Suites Siracha Laemchabang) โดยจะทยอยเปิดให้บริการจนครบทั้ง 3 แห่งภายในปี 2564 โดยการนำแบรนด์สเตย์บริดจ์ สวีท (Staybridge Suites) เข้ามานั้น ถือเป็นการนำแบรนด์ดังกล่าวเข้ามาใช้เป็นครั้งแรกในเอเชียแปซิฟิก   ทั้งนี้ การใช้แบรนด์ระดับโลกจากต่างชาติ จะช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากแบรนด์เป็นที่รู้จักและยอมรับอยู่แล้วในระดับโลก
“ดีลแห่งชาติ” ชินวะกรุ๊ป - พรีบิลท์-Pressance ผนึกกำลังจอยท์เวนเจอร์   ปั้น REN Sukhumvit 39 คอนโดสุดฟังก์ชั่น ย่านพร้อมพงษ์ ชูระบบ “รูเนะสุ”ทั้งโครงการ

“ดีลแห่งชาติ” ชินวะกรุ๊ป - พรีบิลท์-Pressance ผนึกกำลังจอยท์เวนเจอร์  ปั้น REN Sukhumvit 39 คอนโดสุดฟังก์ชั่น ย่านพร้อมพงษ์ ชูระบบ “รูเนะสุ”ทั้งโครงการ

  เปิดปรากฏการณ์จอยท์เวนเจอร์ 3 ยักษ์ใหญ่ไทย - ญี่ปุ่น “ชินวะกรุ๊ป”- ยักษ์ใหญ่อสังหาฯ เจ้าของนวัตกรรมรูเนะสุ “พรีบิลท์”- ผู้ชำนาญการก่อสร้างตึกสูงมากมายในไทย และ Pressance Corp. – อสังหาฯ ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นที่มีจำนวนยูนิตสร้างขายรองแชมป์แห่งญี่ปุ่น ผนึกกำลังปั้น REN Sukhumvit39คอนโดหรูใจกลางสุขุมวิท ด้วยนวัตกรรม “รูเนะสุ”ทั้งโครงการ มูลค่า 2,600 ล้านบาท จับกลุ่มเป้าหมายผู้อยู่อาศัยที่นิยมที่อยู่อาศัยแบบ Functional และนักลงทุน ทั้งคนไทย และต่างชาติ ที่สนใจคอนโดคุณภาพบนพื้นที่ที่มีศักยภาพ และยังมุ่งเน้นเติมเต็มช่องว่างคุณภาพของที่อยู่อาศัยในไทย พร้อมเปิดแผนเดินหน้ารุกตลาดเขตเศรษฐกิจในไทย และอาเซียน   มร.โทโมยาสุ ยามาเบะ กรรมการผู้จัดการ และ นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด เจ้าของนวัตกรรมรูเนะสุ เปิดเผยว่า บริษัทได้บรรลุข้อตกลงร่วมลงทุน (Joint Venture) ครั้งใหญ่ โดยเป็นการจับมือสามฝ่าย ประกอบด้วย บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทผู้รับเหมาที่มีประสบการณ์และความชำนาญงานก่อสร้างคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ ตลอดจนอาคารสถานที่ราชการทั่วประเทศ และยังเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ร่วมกับสองบริษัทรายใหญ่จากญี่ปุ่น คือ  ชินวะกรุ๊ป เจ้าของนวัตกรรม รูเนะสุ และ Pressance Corporation ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่มียูนิตสร้างขายอันดับ 2 ที่ประเทศญี่ปุ่น ในสัดส่วน 49:26:25 เพื่อร่วมลงทุนดำเนินโครงการ REN Sukhumvit 39 คอนโดมิเนียมหรู ที่เพียบพร้อมไปด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ โครงการตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท ซอย39 หรือซอยพร้อมมิตร มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท และเป็นครั้งแรกของการก่อสร้างห้องชุดด้วยนวัตกรรม “รูเนะสุ” หรือการกลับคานเป็นพื้น-กลับพื้นเป็นคานทั้งโครงการ รวมไปจนถึงการปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้พื้นที่เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น คาดว่าจะได้รับการตอบรับจากตลาดกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ คนไทยที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์คนเมือง นักลงทุนที่สนใจโครงการคุณภาพ บนพื้นที่ที่มีศักยภาพ ที่คุ้มค่าแก่การลงทุน และ ผู้เช่าชาวญี่ปุ่น ที่ต้องการที่พักอาศัยที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการในลิตเติ้ลกินซ่า   “การจอยท์เวนเจอร์สามฝ่ายของบริษัทรายใหญ่จากไทยและญี่ปุ่นในครั้งนี้ นับเป็นอีกปรากฏการณ์แห่งวงการที่ต้องการผนึกจุดแข็งของทุกฝ่ายมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัย โดยพรีบิลท์เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์ และมีความชำนาญงานก่อสร้างคอนโดมิเนียมและอาคารต่างๆ ในไทยมามากมาย ชินวะกรุ๊ป เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ก่อตั้งมากว่า 128ปี เป็นที่ยอมรับว่าเป็นนักพัฒนาอสังหาฯแถวหน้าของประเทศ ในขณะที่ Pressance Corporation เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ที่มีจำนวนยูนิตสร้างขายเป็นที่ 1 ของคันไซ และเป็นที่ 2 ของประเทศญี่ปุ่น จึงนับเป็นความลงตัวอย่างยิ่ง เมื่อเทคโนโลยีที่ทันสมัยทางการก่อสร้าง มาผสมผสานกับทีมงานก่อสร้างที่มีประสบการณ์ และการตลาดที่แข็งแกร่ง จึงมั่นใจว่าโครงการ REN Sukhumvit 39 คอนโดมิเนียมหรูใจกลางสุขุมวิท จะประสบความสำเร็จอย่างสวยงามได้อย่างแน่นอน”  นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กล่าว   นายวิโรจน์ เจริญตรา รองประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “พรีบิลท์มีความยินดีในการจอยท์เวนเจอร์ในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากชินวะกรุ๊ป เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาขนาดใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น และมีมาตราฐานในการก่อสร้างที่สูง มีประวัติการดำเนินงานที่ดีเป็นที่รู้จักและยอมรับในวงกว้าง สำหรับพรีบิลท์เรามีความชำนาญการก่อสร้างคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ และมีชื่อเสียงในประเทศไทย ส่วนPressance Corporation  มีผลงานจากยอดขายที่ชัดเจนอยู่แล้ว เมื่อทั้ง 3 บริษัทมาผนึกกำลังรวมกันแล้ว นำเอาประสบการณ์ความรู้ทั้งหมดที่ทุกคนมีมารวมกัน ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า การร่วมมือในครั้งนี้จะทำให้คนไทยได้มีที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพอย่างแน่นอน”นายวิโรจน์ เจริญตรา กล่าว   นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวถึงนโยบายของปี 2018 – 2019 ว่า “สำหรับนโยบายของชินวะฯ นอกจากโครงการ REN Sukhumvit 39 ในปีนี้บริษัทยังจะแผนที่จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม เซอร์วิส   อพาร์ทเม้นท์ บ้านเดี่ยว ฯลฯ รวมถึงการขายนวัตกรรม “รูเนะสุ” ไปยังหัวเมืองใหญ่ภายในประเทศ และประเทศในภูมิภาคอาเซียน ที่ยังมีช่องว่างให้เราไปเติมเติมคุณภาพของสินค้าของพวกเขาได้”   ทั้งนี้ โครงการ REN Sukhumvit 39 คอนโดมิเนียมหรู ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 2 ไร่ 2 งาน 88 ตารางวา ถนนสุขุมวิท ซอย 39 (ซอยพร้อมมิตร) โดยเป็นอาคารสูง 7 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 298 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ2,600 ล้านบาท ซึ่งยังเป็นครั้งแรกในไทยของการก่อสร้างห้องชุดด้วยนวัตกรรม “รูเนะสุ” ทั้งโครงการ มี 2type ให้เลือก คือ 1 และ 2 ห้องนอน พร้อมระบบรูเนะสุ ทุกห้อง ขนาดพื้นที่ใช้ประโยชน์ตั้งแต่ 30(+12) – 66(+18) ตร.ม. พร้อมฟังค์ชั่นที่มาแบบจัดเต็มทุกพื้นที่ และราคาที่คุ้มค่าทุกการอยู่อาศัยและลงทุนอย่างแน่นอน พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็วๆ นี้
ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว ลาซาล-แบริ่ง ผนึกพลังร้านค้าชั้นนำ  เตรียมพร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ก.ค. นี้

ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว ลาซาล-แบริ่ง ผนึกพลังร้านค้าชั้นนำ เตรียมพร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ก.ค. นี้

นายมานพ คำสว่าง ผู้จัดการบริหารทรัพย์สิน พร้อมด้วยนายธนวัฒน์ อัจฉริยวุธ ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว ของ บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (TCC GROUP) จัดประชุมร้านค้าชั้นนำและผู้เช่าพื้นที่ภายในโครงการศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว ย่านซอยลาซาล-แบริ่ง งบลงทุนกว่า 350 ล้านบาท เพื่อเตรียมความพร้อมในการเปิดให้บริการในวันที่ 29 มิถุนายน 2561 และพบกับพิธีเปิดศูนย์การค้าอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 กรกฎาคม 2561 โดยมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัทฯ เข้าร่วมชี้แจงรายละเอียดภาพรวมการก่อสร้าง ตลอดจนแผนการตลาดที่จะดันให้ ลาซาล อเวนิว เป็นคอมมูนิตี้มอลล์แนวคิดใหม่ ที่จะช่วยเพิ่มสีสันแห่งไลฟ์สไตล์และเปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยพื้นที่รีเทล 6,000 ตารางเมตร บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ รวมแบรนด์ร้านค้าชั้นนำทั้งในและต่างประเทศไว้อย่างครบครัน อาทิ VILLA MARKET, KFC, Uniqlo, B-Quik, Cafe Amazon, TSURUHA, Orca BAKER & BUTCHER, ข้าน้อยขอชาบู, SUKIYA, BY BUA, STEAK LAO, Salada Organic Kitchen, Tora Yakiniku x Café, ตำมั่ว, วราภรณ์ซาลาเปา, glo ONE STOP BEAUTY LOUNGE, Beauty Maker, the nail café, Absolute Dental Clinic, Kerry Express WASH ME และ No.9 Optic ให้ได้เต็มอิ่มกับไลฟ์สไตล์แบรนด์แบบไม่ซ้ำใคร ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/LasallesAvenue
อนันดาฯ เตรียมส่งคอนโดมิเนียมโครงการ ไอดีโอ พระรามเก้า-อโศก พร้อมเปิดจองผ่านระบบออนไลน์ กับงาน HURRY UP!! BOOKING ในวันที่ 12 มิ.ย. นี้

อนันดาฯ เตรียมส่งคอนโดมิเนียมโครงการ ไอดีโอ พระรามเก้า-อโศก พร้อมเปิดจองผ่านระบบออนไลน์ กับงาน HURRY UP!! BOOKING ในวันที่ 12 มิ.ย. นี้

ข่าวดีสำหรับ ใครที่มองหาคอนโดมิเนียมคุณภาพเยี่ยมบนทำเลศักยภาพสูง ย่าน NEW CBD ใกล้รถไฟฟ้า ล่าสุด อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ผู้นำการพัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า โดยผู้บริหารหนุ่มไฟแรง คุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ที่คราวนี้เตรียมปล่อยของดี ของเด่น โครงการไอดีโอ พระรามเก้า-อโศก (Ideo Rama 9 - Asoke) ติดถนนพระราม 9 ห่างจาก MRT สถานีพระราม 9 เพียง 450 เมตร  มาให้ได้จับจองเป็นเจ้าของกัน บอกเลยว่างานนี้ต้องอาศัยความเร็วกันสุดตัวกับการเปิดให้จองคอนโดผ่านระบบออนไลน์ “Ananda Online Booking”  ที่มาพร้อมโปรโมชั่นดีๆ ที่พลาดไม่ได้ กับส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท พร้อม Fully Fitted ในราคาเริ่มต้น 2.99 ล้าน* งานนี้ขอบอกว่าทางอนันดาฯ คัดสรรห้องที่ดีที่สุดมานำเสนอเต็มพิกัด กับงาน HURRY UP!! BOOKING ในวันที่ 12 มิ.ย. นี้ ตั้งแต่เวลา เที่ยง – 4 โมงเย็น จองก่อน ลดก่อน ของดีแบบนี้ช้าหมดอดแน่นอน!!  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 02 316 2222 หรือ www.ananda.co.th
SENA ชิงเค้กดีมานด์ย่านติวานนท์ เปิดคอนโดใหม่ “นิช โมโน ติวานนท์” ชูไอเทมเด็ดสุด “CO - CREAITION SPACE” ครบวงจร

SENA ชิงเค้กดีมานด์ย่านติวานนท์ เปิดคอนโดใหม่ “นิช โมโน ติวานนท์” ชูไอเทมเด็ดสุด “CO - CREAITION SPACE” ครบวงจร

  พิสูจน์ทำเลย่านติวานนท์กำลังซื้อยังคึกครื้น ล่าสุด “เสนา” ลงสนามจริงเปิดตัวโครงการใหม่ “นิช โมโน ติวานนท์” มูลค่าโครงการ 1,400 กว่าล้านบาท ชูไอเทมเด็ดสุดในย่านติวานนท์ “CO-CREAITION SPACE” ครบวงจร ด้านไนแฟรงค์ ล้วงลึกชี้ “ติวานนท์” ทำเลศักยภาพในอนาคต ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าจากแบบสอบถามที่ทางเสนา ฯ ได้ออกบูธเซ็นทรัล ลาดพร้าวเมื่อวันก่อน พบว่าลูกค้ายังมีความต้องการที่อยู่อาศัยใกล้แนวรถไฟฟ้าเสียเป็นส่วนใหญ่ หากเปรียบเทียบกันระหว่างทำเลรถไฟฟ้าสายต่างๆ แล้ว ทำเลรถไฟฟ้าสายสีม่วง ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพและน่าสนใจไม่น้อยกว่าสายอื่น ๆ ล่าสุด ทางบริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ “นิช โมโน ติวานนท์ (Niche MONO TIWANON)” พัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด"COMBINATION WITH LIFE AND WORK" ที่การผสมผสานการทำงานและการใช้ชีวิตโหมดต่างๆ เข้าด้วยกัน สะดวกสบายทุกการเดินทางเพราะใกล้รถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง สถานีกระทรวงสาธารณสุข เพียง 50 เมตร โดยตั้งอยู่บนเนื้อที่โครงการ 2 ไร่เศษ เป็นคอนโด High Rise สูง 36 ชั้น 1 อาคาร รวมทั้งสิ้น 526 ยูนิต และร้านค้า 2 ยูนิต มีห้องชุดให้เลือก 3 แบบ ประกอบด้วย แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 26 – 35 ตารางเมตร แบบ 1 ห้องนอน (Moff) แบ่งเป็น 4 ขนาด คือ ขนาด 26 +14 (40 ตารางเมตร) ขนาด 28+14 (42 ตารางเมตร) ขนาด 32 + 18 (50 ตารางเมตร) ขนาด 35 + 18 (53 ตารางเมตร) และแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 55 ตารางเมตร ราคา Pre sales เริ่ม 2.4 ล้านบาท* หรือราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรอยู่ที่ 91,000 บาท มูลค่าโครงการรวม 1,400 กว่าล้านบาท โดยเริ่มก่อสร้างในปี 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 2563 นิช โมโน ติวานนท์ คอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ Gen Y (Generation Y) และกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มี passion ของตัวเองและสามารถบริหาร passion ให้กลายเป็นความสำเร็จได้ ที่นี้จึงมี Co – Creation Space ซึ่งถูกคิดให้ทุกฟังก์ชั่นรองรับการใช้งานแบบครบวงจร การทำงานถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนยุค Gen Y ที่เน้นความเป็นความอิสระ ไม่ใช่การนั่งอยู่ในสำนักงานหรือออฟฟิศ การออกมานั่งเล่นใน space ที่สามารถปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด พร้อมกับมีอุปกรณ์และบริการรองรับสำหรับการทำงาน เป็น space ที่เอื้อต่อการปฏิบัติงานและตอบสนองความต้องการด้านความสะดวกสบายให้กับคนยุค Gen Y ได้เป็นอย่างดี ที่นี่มีครบและตอบโจทย์ทุกด้านของชีวิตคนรุ่นใหม่ นอกจากนี้ภายในโครงการยังมีสาธารณูปโภคครบครัน อาทิ พื้นที่ส่วนกลาง Grand Lobby ,Wifi, สระว่ายน้ำระบบเกลือ วิว Panorama , Kid ‘ s Pool, Jacuzzi Pool ,Hydro Pool, Sunken Loungn จุดชมวิวขอบฟ้า ,ห้องออกกำลังกาย Boxing Room, Game Room, Steam Room, BBQ Terrace ,Executive Sunset Lounge ระบบรักษาความปลอดภัยด้วยกล้องวงจรปิดโดยรอบโครงการ เจ้าหน้ารักษาความปลอดตลอด 24 ชั่วโมง เป็นต้น นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า การเปิดให้บริการของรถไฟฟ้าสายสีม่วงในปี 2559 ได้ยกระดับทำเลติวานนท์ให้มีชีวิตชีวาและเป็นที่ต้องการของผู้ที่กำลังมองหาที่พักอาศัยในย่านนี้มากขึ้น เมื่อผนวกกับการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีน้ำเงินในเดือนสิงหาคม 2560 ยิ่งทำให้ติวานนท์กลายเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางที่สะดวกสบายระหว่างกรุงเทพมหานครและนนทบุรีอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ประกอบกับสาธารณูปโภคสาธารณูปการที่อุดมสมบูรณ์ในพื้นที่ ทั้งศูนย์การค้า ตลาด โรงพยาบาล สถานศึกษา และสถานที่ราชการสำคัญ รวมไปถึงโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ในอนาคตที่จะช่วยซัพพอร์ตทำเลนี้ให้พรั่งพร้อมยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีม่วงเข้ากับสายสีชมพูและสายสีน้ำตาล และโครงการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ (ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน) ภายใต้แนวคิด Transit Oriented Development (TOD) ซึ่งเป็นการพัฒนาพื้นที่รอบสถานีขนส่งมวลชน เพื่อครอบคลุมการใช้ชีวิตของคนเมืองอย่างครบวงจรทั้งการคมนาคม ที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และโรงแรม นอกจากนี้ยังมีโครงการศูนย์การค้า Gateway บางซื่อ ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างและมีกำหนดแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2561 นี้อีกด้วย จากความสะดวกสบายที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่ ทำให้ “ติวานนท์”กลายเป็นทำเลที่ได้รับความสนใจจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์หลายรายเข้ามาพัฒนาแหล่งที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นผู้บริโภครุ่นใหม่ที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมใกล้เมือง ตลอดจนนักลงทุนที่ต้องการซื้อเพื่อปล่อยเช่าหรือขายต่อ สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมย่านติวานนท์-บางซื่อนั้น ตั้งแต่ถนนงามวงศ์วานซอย 17 ถึงศูนย์ราชการนนทบุรี ถนนเลี่ยงเมืองนนทบุรี ถนนพิบูลย์สงคราม ถนนประชาราษฎร์สาย 1 และถนนประชาราษฎร์สาย 2 ถึงถนนประชาชื่น พบว่าอุปทานเริ่มต้นของคอนโดมิเนียมในย่านติวานนท์-บางซื่อในปี พ.ศ. 2552 นั้นมีเพียง 976 หน่วยและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่ง ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2561 มีจำนวนอุปทานสะสมในพื้นที่ทั้งสิ้นประมาณ 35,400 หน่วย โดยปีที่มีอุปทานเพิ่มขึ้นสูงสุดคือปีพ.ศ. 2557 ด้วยจำนวนคอนโดมิเนียมที่เข้าสู่ตลาดกว่า 9,425 หน่วย ทั้งนี้อุปทานใหม่ตั้งแต่ปี 2558 ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในปี 2559 และ 2560 มีห้องชุดใหม่เข้ามาในตลาดเพียง 821 หน่วย และ 615 หน่วยตามลำดับ สอดคล้องกับอุปสงค์ที่ลดลงเช่นกัน โดยสาเหตุหลักเกิดจากการเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีน้ำเงินซึ่งยังไม่สมบูรณ์ในขณะนั้น ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อดูแนวโน้มและทิศทางของตลาด อย่างไรก็ตาม ในเดือนมกราคม-พฤษภาคม 2561 ตลาดคอนโดมิเนียมย่านนี้กลับมามีสัญญาณที่ดีขึ้นอีกครั้ง โดยมีอุปทานใหม่เข้ามาในพื้นที่ศึกษาทั้งสิ้น 2,029 หน่วย จากผู้ประกอบการรายใหญ่จำนวน 2 โครงการได้แก่ Niche Pride เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์ (742 หน่วย) และ The Line วงศ์สว่าง (1,287 หน่วย) โดยยอดขายเฉลี่ย ณ ปัจจุบันของทั้งสองโครงการอยู่ที่ประมาณ 50% ส่วนด้านราคานั้น พบว่าราคาเสนอขายโดยเฉลี่ยของโครงการเปิดใหม่ในพื้นที่ศึกษา ณ สิ้น พ.ค. 2561 อยู่ที่ 112,500 บาท/ตร.ม. โดยสรุปแล้วติวานนท์เป็นทำเลที่น่าสนใจเนื่องด้วยปัจจัยเกื้อหนุนหลายประการ และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มศักยภาพในอนาคตจากผลพวงของการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนซึ่งจะเชื่อมระบบรถไฟฟ้าหลายสายเข้าด้วยกันในบริเวณนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ(ศูนย์คมนาคมพหลโยธิน) ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากย่านติวานนท์ ทำให้การเดินทางระหว่างกรุงเทพมหานครและนนทบุรีมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ในด้านราคาขายของโครงการในพื้นที่นี้โดยรวมยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก ติวานนท์จึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่อยากลงทุนในทำเลอนาคต รวมถึงผู้ที่กำลังหาที่อยู่อาศัยใกล้เมืองที่มีสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย
ชาญอิสสระ พร้อมอวดโฉมบ้านอิสสระ บางนา  สร้างความต่างการอยู่อาศัย มุ่งตอบโจทย์ทุกเจนเนอเรชั่น

ชาญอิสสระ พร้อมอวดโฉมบ้านอิสสระ บางนา สร้างความต่างการอยู่อาศัย มุ่งตอบโจทย์ทุกเจนเนอเรชั่น

ชาญอิสสระ เปิดตัวบ้านหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ “บ้านอิสสระ บางนา” โชว์ความต่างด้านดีไซน์ ฟังก์ชัน โดดเด่นเหนือระดับ ภายใต้คอนเซปต์ “ความภูมิใจที่ส่งต่อได้ The New Legacy Of Freedom” มั่นใจตลาดบ้านหรูโตต่อเนื่อง มองศักยภาพ ทำเลย่านบางนาฮอต โครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม สาธารณูปโภคต่างๆ หนุนตลาดไฮเอนด์รุ่ง   นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมการพัฒนาตลาดบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ว่ายังมีการแข่งขันสูง ขณะที่การหาทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมถือเป็นโจทย์ที่ยากสำหรับผู้พัฒนาโครงการที่จะหาทำเลที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในย่านซีบีดี (Central Business District) หรือทำเลในย่านที่รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันต่างๆ ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม รวมไปถึงสาธารณูปโภค โดยในส่วนของย่านบางนา ถือเป็นอีกย่านหนึ่งที่น่าสนใจ และท้าทาย สำหรับการพัฒนาตลาดบ้านเดี่ยว ระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ล่าสุดบริษัท เตรียมเปิดตัวบ้านตัวอย่าง โครงการบ้านอิสสระ บางนา ซึ่งถือเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ หลังจากแถลงข่าวเปิดตัวไปเมื่อช่วงกลางปี 2559 ที่ผ่านมา สำหรับโครงการบ้านอิสสระ บางนา เป็นอีกหนึ่งโครงการคุณภาพ ที่พัฒนาออกมาด้วยการสร้างความแตกต่างด้านที่อยู่อาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า สอดแทรกการออกแบบบ้านที่ต้องอยู่สบาย ฟังก์ชั่นการใช้งานภายในบ้านครบครัน มีการนำนวัตกรรมต่างๆ เข้ามาใช้ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความสะดวกสบาย คุ้มค่า และปลอดภัยต่อการพักอาศัยให้มากที่สุด โดยมีบริษัทชั้นนำอย่าง บริษัท สถาปนิก 49 จำกัด (A49) เป็นผู้รังสรรค์งานออกแบบบ้าน   “สิ่งสำคัญในการพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ นอกจากการมีโลเคชั่นที่ดีแล้ว เราต้องสร้างความแตกต่าง ทั้งการดีไซน์แบบบ้านให้มีความทันสมัย อยู่สบาย ฟังก์ชั่นการใช้งานภายในบ้านสะดวกสบาย รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาแทรกเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้น สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยให้กับทุกช่วงวัย อีกทั้งโครงการบ้านอิสสระ บางนา ยังนับว่าเป็นโครงการที่อยู่บนทำเลตัวเมืองชั้นนอกที่เป็นย่านที่อยู่อาศัยที่เป็นที่นิยมอันดับต้นๆ ได้แก่ กรุงเทพฝั่งตะวันออก อันเนื่องมาจากทำเลดังกล่าวได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางคมนาคม และสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ ศูนย์การค้าระดับ Regional Shopping Center อย่างเมกาบางนา หรือโครงการขนาดใหญ่แห่งใหม่ อย่างแบงค็อก มอลล์ รวมไปถึงการขยายตัวของอาคารสำนักงานอีกด้วย จึงเป็นโครงการที่เราพัฒนาออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง และเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของชาญอิสสระ ที่จะส่งต่อให้กับลูกค้า” นายสงกรานต์ กล่าว ด้านนายเมธินทร์ จันทรอุไร กรรมการบริหาร บริษัทสถาปนิก 49 จำกัด (A49) ผู้ออกแบบโครงการบ้านอิสสระ บางนา กล่าวว่าจุดเด่นของการออกแบบบ้านอิสสระ บางนา คือการต้องการเน้นพื้นที่ใช้สอยที่มากเพียงพอ พร้อมทั้งให้ฟังก์ชั่นการใช้สอยที่ครบครัน ภายใต้คอนเซปต์ สวนล้อมบ้าน ผู้อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความเขียวขจีของต้นไม้ แสงธรรมชาติ ด้วยการดีไซน์โครงการที่เน้นโล่ง โปร่ง สบาย ได้วิวธรรมชาติทุกมุมมอง อีกทั้งยังนำแนวคิด “พลังงาน (Energy)” และ “หลักการของธรรมชาติ (Principles of Nature)” มาใช้เพื่อให้เกิดสภาวะน่าสบาย (Comfort Zone) จึงได้นำแนวคิดหลักการของธรรมชาติที่มีผลต่อในเขตร้อนชื้นอย่างในประเทศไทย ได้แก่ การป้องกันแดด การระบายอากาศ การป้องกันและการระบายน้ำฝน รวมทั้งการอาศัยพลังงานต่างๆ จากสิ่งแวดล้อมภายนอกมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับที่อยู่อาศัย ทั้งในส่วนของภาพลักษณ์อาคาร และพื้นที่ใช้สอยภายในอาคาร โดยมีการออกแบบพื้นหน้ากว้างด้านหน้าโครงการ ให้สามารถรองรับการจอดรถเรียงกันได้ 5 คัน รวมถึงการออกแบบพื้นที่หลังบ้าน ให้เป็นพื้นที่ใช้สอยที่สวยงามเสมือนเป็นหน้าบ้านอีกด้านหนึ่งของโครงการ   นอกจากนี้มีการใช้กระจกสูงจากระดับพื้นถึงฝ้า เพื่อให้ภายในบ้านสามารถรับแสงจากธรรมชาติ    มากขึ้น และยังเป็นการช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ ภายในบ้านยังออกแบบด้วยการยกเพดานให้สูง เพราะนอกจากจะทำให้รู้สึกโปร่งโล่งแล้ว ยังสามารถช่วยระบายความร้อนที่เกิดขึ้นในอาคารได้เป็นอย่างดี อีกทั้งเรายังมีการออกแบบชายคาที่ยื่นยาว 1.20 เมตร และองค์ประกอบตกแต่งที่มีลักษณะเหมือน “ท่อนไม้ซุง” สามารถช่วยลดพลังงานความร้อนที่เกิดขึ้นในอาคารได้ถึง 25% เมื่อเทียบกับบ้านโครงการอื่นที่มีปริมาณกระจกเท่ากัน ซึ่งทำให้พื้นที่ภายในบ้านได้รับแสงธรรมชาติ แต่ไม่รู้สึกร้อน พร้อมกันนี้ยังออกแบบให้การเชื่อมต่อพื้นที่ใช้สอยภายในและภายนอกบ้าน (บริเวณห้องนั่งเล่น สวน และสระว่ายน้ำ) ทำให้เกิดเป็นพื้นที่  ใช้สอยร่วมของบ้านที่เกิดเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างกิจกรรมของคนในครอบครัว ทั้งยังเป็นการระบายอากาศให้กับตัวบ้านและช่วยประหยัดพลังงานจากการใช้เครื่องปรับอากาศได้ นอกจากนี้ทุกห้องยังถูกออกแบบให้คำนึงถึงการถ่ายเทอากาศที่ดี โดยมีช่องหน้าต่าง 2 ด้าน เพื่อให้ลมพัดผ่านได้ทั่วห้อง   “นอกจากการออกแบบที่คำนึงถึงหลักการธรรมชาติ และการประหยัดพลังงานแล้วเพื่อให้เกิดความคุ้มค่า ความปลอดภัยในการอยู่ การออกแบบยังให้ความสำคัญกับ Universal Designเพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุหรือผู้ใช้วีลแชร์ โดยมีการทำทางลาดเอียงสำหรับเข้าบ้าน รวมถึงขนาดของลิฟท์ที่เหมาะด้วย พร้อมมีการออกแบบคลับเฮาส์ที่โอ่โถง สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ฟิตเนสที่ทันสมัย รวมถึงโซน Amphitheater ที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์ของแต่ละครอบครัว และลู่วิ่งรอบหมู่บ้าน สวนที่ร่มรื่นช่วยให้เวลาแห่งการพักผ่อนสมบูรณ์แบบสำหรับครอบครัว”นายเมธินทร์ กล่าว ขณะที่นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า หากจะกล่าวถึงทำเลที่เป็นย่านที่พักอาศัยที่นิยมในอันดับต้นๆ คงหนีไม่พ้นกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก สืบเนื่องมาจากทำเลดังกล่าวได้มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางคมนาคมที่สามารถวิ่งเข้ากรุงเทพฯ ชั้นในได้อย่างรวดเร็ว หรือในทางกลับกันยังเป็นเกทเวย์วิ่งออกสู่สนามบินสุวรรณภูมิ หรือย่านอุตสาหกรรมได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อาทิ เมกาซิตี้ บางนา หรือโครงการในอนาคตอย่างแบงค็อก มอลล์ ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาพื้นที่พาณิชยกรรมขนาดใหญ่ รวมไปถึงการขยายตัวของออฟฟิศเกรดเอ อาทิ ภิรัชทาวเวอร์ แอท ไบเทค และ      วิสซ์ดอม วัน โอ วัน อีกด้วย   “จากการที่ซีบีอาร์อี เข้ามาทำการตลาด และการขายบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ในช่วงที่ผ่านมา เราจะพบได้ว่าสินค้าในตลาดยังไม่สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านระดับนี้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นแนวความคิด การออกแบบบ้าน รูปแบบ ฟังก์ชั่นดีไซน์ ตลอดจนการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าบ้านทั่วไปจะเน้นเรื่องดีไซน์ภายนอกให้น่าดึงดูด แต่ไม่ได้คำนึงถึงฟังก์ชั่น ประโยชน์ใช้สอยภายในตัวบ้าน หรือวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เท่าที่ควร ซึ่งการออกแบบบ้านที่ดีนั้นควรเริ่มตั้งแต่แนวความคิด สำหรับโครงการบ้านอิสสระ บางนานั้น มีจุดเด่นที่แตกต่างหลายด้าน เริ่มตั้งแต่มาสเตอร์แปลน (Master Plan) โดยบ้านทุกหลังตั้งอยู่บนถนนหลักของโครงการ ไม่มีการแบ่งทำเป็นถนนซอยเล็กๆ อีกทั้งยังคำนึงถึงทิศทางลม จึงทำให้บ้านส่วนใหญ่หันหน้าทิศเหนือ-ใต้” นางสาวอลิวัสสา กล่าว   นอกจากนี้ส่วนของตัวบ้านถูกออกแบบมาเพื่อให้ใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด คำนึงถึงแสงธรรมชาติ ทิศทางลม อีกทั้งออกแบบเพื่อการใช้งานของคนทุกคน (Universal Design)เพื่อตอบโจทย์ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีข้อจำกัดทางด้านร่างกาย โดยมีการทำทางลาดเอียง รวมถึงจัดเตรียมลิฟท์โดยสารไว้ สำหรับพื้นที่ใช้สอยด้านในนั้น ด้วยตัวบ้านเป็นบ้านหน้ากว้าง จึงสามารถแยกพื้นที่ใช้สอยแบ่งซ้าย-ขวาได้อย่างลงตัว คุ้มค่า จุดเด่นที่สำคัญอีกประการหนึ่งของโครงการคือ การเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์เกรดพรีเมี่ยม อาทิครัวบูลล์ธอป (Bulthaup),สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ แบรนด์ Toto, Kasch, Grohe อีกทั้งยังคำนึงถึงนวัตกรรมสำหรับบ้านยุคใหม่ อาทิ โซลาร์เซลล์ (Solar Cell), ระบบปรับอากาศแบบวีอาร์วี (VRV) ซึ่งช่วยประหยัดพลังงาน เป็นต้น   สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับนี้ คืองานบริการหลังการขาย โดยทางโครงการมีบริการ Lifestyle Concierge Service รองรับ ไม่ว่าจะเป็นบริการดูแลบ้าน,บริการประสานงานจัดกิจกรรม, บริการประสานงานด้านสุขภาพ และบริการผู้ช่วยส่วนตัว ซึ่งจากจุดเด่นที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้ จึงถือได้ว่าบ้านอิสสระ บางนาได้เซทสแตนดาร์ดใหม่สำหรับบ้านระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ และตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ได้อย่างแท้จริง   บ้านตัวอย่างของบ้านอิสสระ บางนาจะแล้วเสร็จ พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 มิถุนายน ศกนี้ พร้อมสิทธิพิเศษ และกิจกรรมมากมายสำหรับลูกค้าที่จองภายในงานเท่านั้น นายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการบ้านอิสสระ บางนา เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ ลักชัวรี่ มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท ออกแบบโดยถ่ายทอดแนวคิดผ่านความเป็น Modern Tropical ทำให้เกิดความรู้สึกอยู่สบายน่าพักอาศัย มีความเรียบง่าย ใกล้ชิดธรรมชาติ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ ประมาณ 24 ไร่ บริเวณถนนบางนา-ตราด กม.8 จำนวนทั้งสิ้นเพียง 44 หลัง บนพื้นที่ดินขนาด 100-238 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 380-697ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 38-94 ล้านบาท พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน รวมถึงการให้บริการ Lifestyle Concierge Service บริการที่จะช่วยสร้างไลฟ์สไตล์ความเป็นส่วนตัว แบบเอ็กซ์คลูซีฟให้แก่ลูกบ้านภายในโครงการ โดยมีงานบริการด้านต่างๆ ไว้คอยดูแลและอำนวยความสะดวก อาทิ บริการด้านโฮมแคร์ ที่จะช่วยดูแลและบำรุงรักษาตั้งแต่เรื่องภายในบ้านและภายนอกบ้านอย่างครบครัน, บริการด้านสุขภาพที่ช่วยให้ลูกบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น, บริการด้านการจัดเลี้ยง จัดกิจกรรมที่ครบวงจร และบริการผู้ช่วยส่วนตัวที่จะคอยดูแลให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้นในทุกๆ เรื่องเมื่อเข้ามาอยู่ภายในโครงการ “บ้านอิสสระ บางนา” นอกจากนี้ภายในโครงการยังให้ความสำคัญกับนวัตกรรมการอยู่อาศัยด้วยการนำระบบ Home Automation มาใช้ซึ่งคือนวัตกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เอาอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านมาทำงานร่วมกันแบบอัตโนมัติ โดยอาศัยการควบคุมผ่านอินเตอร์เน็ต (Internet of Things : IoT) โดยจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีความสะดวกสบาย ปลอดภัย และยังช่วยประหยัดพลังงานได้ โดยการ Control ผ่าน Mobile Application บน   Smart Phone หรือ Tablet   “นวัตกรรมนี้สามารถช่วยให้เจ้าของบ้านสามารถตรวจสอบความปลอดภัยว่ามีการ เปิด/ปิด ประตู หรือ ไฟ เรียบร้อยแล้วหรือไม่ก่อนออกจากบ้าน, การแจ้งเตือนผ่านมือถือเมื่อมีผู้บุกรุก หรือมีสัญญาณตรวจจับควันไฟ เมื่อตัว Smoke Detector ทำงาน ซึ่งจะช่วยทำให้เจ้าของบ้านทราบเหตุและระงับได้ทันท่วงที นอกจากนี้การควบคุมผ่าน Mobile Application ยังสามารถสั่งให้ไฟแสงสว่าง และแอร์ทำงานตามล่วงหน้า หรือทำตามปรับ Scenario ตามความต้องการ เพื่อตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยในยุคปัจจุบัน สำหรับบ้านอิสสระ  บางนา ถือเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยให้กับทุกไลฟ์สไตล์ เริ่มตั้งแต่เรื่องการออกแบบ ดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้สอยต่างๆ ภายในบ้าน ที่เป็นส่วนช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ผู้อยู่อาศัย โดยมีแบบบ้านให้เลือกทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่ ABELIA, BELLIS, CALLA และ DAVIDIA ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 380-697 ตารางเมตร ขนาดบ้าน 2-3ชั้น เริ่มตั้งแต่ 4-6 ห้องนอน 4-5 ที่จอดรถ ห้องรับแขก ห้องนั่งเล่น ครัว Panty ครัวไทย ห้องคนรับใช้ พร้อมลิฟท์ภายในบ้าน” นายดิฐวัฒน์ กล่าว   ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอกย้ำโครงการบ้านอิสสระ บางนา ซึ่งถือเป็นความภูมิที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ล่าสุดเตรียมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดแรก “ความภูมิใจที่ส่งต่อได้” เพื่อเป็นการสื่อถึงความภูมิใจ ในทุกๆ รายละเอียดให้กับคนในครอบครัว ได้สัมผัสถึงการใช้ชีวิตที่มีอิสระ มีความปลอดภัย โดยใช้ใจสัมผัสถึงการรับรู้ โดยจะเริ่มออนแอร์ในวันที่ 11 มิถุนายน นี้ ทางอัมรินทร์ทีวีช่อง 34, ช่อง 3HD 33, Nation TV ช่อง 22,ช่อง Money Channel, PPTV ช่อง 36 และ Thairath TV ช่อง 32 รวมถึงช่องทางออนไลน์ต่างๆของทางCharn Issara อีกด้วย
อนันดาฯ  เผยโฉม “แอชตัน จุฬา-สีลม” คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ ภายใต้การร่วมทุน “มิตซุย ฟูโดซัง” มูลค่าโครงการกว่า 8,500 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าโอนกรรมสิทธิ์

อนันดาฯ เผยโฉม “แอชตัน จุฬา-สีลม” คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ ภายใต้การร่วมทุน “มิตซุย ฟูโดซัง” มูลค่าโครงการกว่า 8,500 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าโอนกรรมสิทธิ์

  บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำการพัฒนาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าของไทย โชว์ศักยภาพการบริหารโครงการ “เปิดตัวคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่สร้างเสร็จสมบูรณ์พร้อมเข้าอยู่ แอชตัน จุฬา-สีลม” ภายใต้การร่วมทุนกับ “มิตซุย ฟูโดซัง” คอนโดมิเนียมสไตล์ Modern Luxury & Eclectic เน้นหรูหราและทันสมัย ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพบนถนนพระราม 4 มูลค่าโครงการกว่า 8,500 ล้านบาท โดยขณะนี้พร้อมเปิดให้ลูกบ้านเข้าตรวจรับมอบเพื่อดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์แล้ว     นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โครงการ แอชตัน จุฬา-สีลม  เป็นคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ พัฒนาเป็นรูปแบบ High Rise สูง 56 ชั้น จำนวน 1,182 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 8,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูงสุดบนถนนพระราม 4 ติด MRT สามย่าน เพียง 180 ม. โดยขณะนี้ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้ชมโครงการจริง วิวจริง และเตรียมให้ลูกบ้านเข้าตรวจรับมอบห้องเพื่อดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์แล้ววันนี้     ถนนพระราม 4 คือ ถนนสายแรกๆของกรุงเทพฯที่มีความสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์การค้ามาอย่างยาวนาน ด้วยลักษณะทางกายภาพที่เป็นถนนเส้นตรง เชื่อมต่อไปยังศูนย์กลางทางธุรกิจสำคัญหลายแห่งในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นเยาวราช-หัวลำโพง, สามย่าน-จุฬา, สีลม-สุรวงศ์-ศาลาแดง, สาทร-วิทยุ, รัชดา-อโศก ไปจนถึงถนนสุขุมวิทตัดพระโขนง จึงทำให้ถนนพระรามสี่เป็นย่านที่มีความสำคัญไม่แพ้ถนนเส้นหลักอย่างสุขุมวิท และสีลมแต่อย่างใด นอกจากนี้ ถนนพระราม 4 ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพ เนื่องจากเชื่อมโยงย่านนวัตกรรม ซึ่งทางสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) มีนโยบายส่งเสริมให้เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ และชลบุรีรวม 10 ย่านนวัตกรรม ย่านพระราม 4 เป็นย่านที่กำลังเติบโตในด้านตลาดที่อยู่อาศัย ดังจะเห็นได้จากแผนการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ (Mixed use mega project) ซึ่งมีการจัดพื้นที่สำหรับการพักอาศัยเฉลี่ยสูงถึง 15% รวมถึงมีการสร้างพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดให้กับประชาชนทั่วไปได้ใช้สำหรับเป็นแหล่งพักผ่อน แหล่งเรียนรู้ และสร้างสรรค์งานศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งนับเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับพื้นที่โดยอาศัยการสร้างชุมชนสร้างสรรค์ที่น่าอยู่และมีศักยภาพต่อการค้าและการลงทุนอย่างยั่งยืน   นอกจากนี้ หลังจากที่โครงการรถไฟฟ้าสีน้ำเงินส่วนต่อขยายหัวลำโพงท่าพระ-บางแค ที่จะเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 2562 จะช่วยเปิดการเดินทางจากฝั่งธนบุรีเข้าสู่กรุงเทพฯ ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ทำเลพระราม 4 เป็นทำเลที่สามารถเดินทางเข้าถึงได้สะดวกทั้งบริการสาธารณะได้แก่ รถไฟฟ้า รถเมล์ เรือด่วน และรถยนต์ส่วนตัว   โครงการ แอชตัน จุฬา-สีลม เป็นโครงการภายใต้การร่วมทุนกับ “มิตซุย ฟูโดซัง” มูลค่าโครงการกว่า 8,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ พัฒนาในรูปแบบ High Rise สูง 56 ชั้น จำนวน 1,182 ยูนิต มีให้เลือก 3 รูปแบบ คือ Studio 24.5-26 ตร.ม. 1 Bedroom 30.5-34.5 ตร.ม. และ 2 Bedrooms 57.5-66 ตร.ม. ด้วยการออกแบบใน สไตล์ Modern Luxury & Eclectic Style เป็นการออกแบบห้องพักโดยใช้กระจกสูงเข้ามุมโค้ง ทำให้เมื่ออยู่ภายในอาคารจะได้พื้นที่เสมือนยื่นไปในอากาศ ตัวอาคารใช้โทนสีน้ำเงินเข้ม สลับกับการใช้ Double Skin Facade โดยการเพิ่มกระจกบานเลื่อนที่ระเบียงห้องอีกหนึ่งชั้น ตัวอาคารจึงดูเรียบและล้ำสมัย และมีความเป็น Iconic skyscraper ส่งเสริมความสวยงามของ Skyline กรุงเทพ นอกจากนี้ยังมีการออกแบบให้อาคารเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยแนวคิด Eco Urban Living ใช้หลอดประหยัดไฟทั้งอาคาร, EV Charger และจุดจอดจักรยานเพื่อรองรับ Eco-Friendly Lifestyle   ภายในโครงการเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ สระว่ายน้ำระบบเกลือ & โอโซน , สระออนเซ็น, Double Floor Sky Fitness, Life Style Club & Wine Bar พร้อมด้วย Library และ Exclusive Business Lounge นอกจากนี้ยังมีพื้นที่สวนขนาดใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น ภายใต้แนวคิด Urban Oasis และที่พิเศษสุดกับ Life Style Club & Wine Bar เป็นห้องที่สามารถมองวิวสูงกรุงเทพได้แบบพาโนรามา พื้นที่แบบ Double space ให้ความรู้สึกโปร่ง มีการตกแต่ง สไตล์ Modern and Luxury ผสมกลิ่นอายความเป็น Classical และ Eclectic Style.   นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญรอบโครงการ อาทิ จามจุรีสแควร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา โรงเรียนสาธิตจุฬา โรงพยาบาลจุฬาฯ  ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัลเวิลด์ สยามพารากอน  สยามเซ็นเตอร์ มาบุญครอง และ สวนลุมพินี เป็นต้น รวมถึง  เมกะโปรเจ็คใหม่ๆที่กำลังเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะยกระดับพื้นที่ในโซนนี้ให้เป็น จุดยุทธศาสตร์แห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร  

1 ... 67 68 69 ... 105