ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 67 68 69 ... 106
“ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์” โซนใหม่ใต้ร่มของ ไบเทค  ชูจุดเด่นงานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ตอบโจทย์การใช้งานอย่างแท้จริง

“ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์” โซนใหม่ใต้ร่มของ ไบเทค ชูจุดเด่นงานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ตอบโจทย์การใช้งานอย่างแท้จริง

  ตั้งแต่สมัยโบราณมา การค้าขายหรือการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ต่างๆ ระหว่างประเทศ ต้องอาศัยการเดินทางด้วยเรือเป็นหลัก ดังนั้น “เรือ” จึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการค้าขาย และการเดินทาง และจากการค้าขายแลกเปลี่ยนที่นำพาความความรู้ ความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เมืองต่างๆ นี้เอง “เรือสำเภา” จึงเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์และความสำเร็จ และยิ่งเป็นเรือสำเภาขนาดใหญ่ ก็จะสามารถเดินทางฝ่าคลื่นลมได้เป็นระยะไกล และนำพาสินค้า ความรู้ ไปยังจุดหมายปลายทาง หรือ “ไปได้ถึงฝั่ง” บริษัทหรือองค์กรที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขายหลายๆ แห่ง จึงนิยมใช้เรือสำเภาเป็นสัญลักษณ์ประจำบริษัท   เมื่ออ้างอิงจากแนวคิดและสัญลักษณ์ดังกล่าว จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) ผู้นำในด้านศูนย์แสดงสินค้า นิทรรศการ และการประชุมในภูมิภาคเอเชีย ได้สอดแทรกสัญลักษณ์นี้เข้าไปในคอนเซ็ปต์การออกแบบทั้งภายในและภายนอกอย่างลงตัว   ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เป็นศูนย์ฯ แห่งแรกในเมืองไทยที่ตั้งขึ้นมาเพื่อธุรกิจแสดงสินสินค้า และการประชุมโดยเฉพาะ ด้วยความต้องการที่จะสร้างศูนย์แสดงสินค้าที่ไร้เสาค้ำยันในอาคาร เพื่อให้ทุกตารางเมตรเกิดประโยชน์สูงสุด ผู้จัดงานสามารถจัดงานได้เต็มพื้นที่ และยังเอื้อต่อการขนถ่ายสินค้าขนาดใหญ่อีกด้วย การออกแบบและก่อสร้างจึงใช้หลักการเดียวกับการสร้างสะพานแขวน โดยใช้เทคนิคเสากระโดงขนาดใหญ่ติดตั้งเคเบิ้ลสำหรับดึงโครงทรัสหลังคามาประยุกต์ใช้กับอาคารให้ภายในปราศจากเสาค้ำ ซึ่งหากมองในมุมของคนทั่วไป จะเห็นเหมือนมีเสากระโดงเรืออยู่บนหลังคาอาคารจริงๆ จนทำให้ดีไซน์เสากระโดงดังกล่าว เป็นเอกลักษณ์ของไบเทคที่ทุกคนจดจำได้เป็นอย่างดี   เมื่อมาถึง “ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์” โซนใหม่สุดอลังการ ส่วนหนึ่งของการขยายพื้นที่ล่าสุดของไบเทค ก็มีการออกแบบที่สอดคล้องกันกับส่วนดั้งเดิม โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากดีไซน์เสากระโดงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไบเทคเช่นเคย พร้อม สะท้อนจุดเด่นด้านการออกแบบที่มีความร่วมสมัย สะดวกสบาย และมีความยืดหยุ่นสูง ตอบรับกับความต้องการที่หลากหลายของผู้จัดงาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดงานการประชุมระดับนานาชาติ งานสัมมนา งานเลี้ยงสังสรรค์ งานนิทรรศการ รวมถึงงานเฉลิมฉลองในวาระพิเศษต่างๆ งานออกแบบ “ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์” เป็นการร่วมมือระหว่างสองบริษัทยักษ์ใหญ่ ได้แก่ บริษัท ดีไซน์ 103 อินเตอร์เนชั่นแนล (Design 103 International) และบริษัท พี ไอ เอ อินทีเรีย (PIA) ที่ทำงานร่วมกันเพื่อถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของไบเทคให้กลายเป็นจริง และส่งเสริมความเป็นผู้นำด้านการจัดแสดงอุตสาหกรรมการจัดประชุมและงานแสดงสินค้านานาชาติ (MICE) และงานอีเว้นท์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้านงานสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมของ ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์ ถูกออกแบบและดูแลโดย บริษัท ดีไซน์ 103 อินเตอร์เนชั่นแนล นำทีมโดย คุณวิญญู วานิชศิริโรจน์ รองประธานบริหาร กล่าวถึงการออกแบบว่า “ดีไซน์เสากระโดงไร้เสาค้ำยันนี้ เป็นเทคนิคที่ประยุกต์จากการก่อสร้างสะพานและสนามกีฬา ซึ่งไบเทคถือเป็นที่แรกในประเทศไทยที่นำเทคนิคเสากระโดงขนาดใหญ่ติดตั้งเคเบิ้ลมาประยุกต์ใช้ เพื่อเอื้อต่อพื้นที่ใช้สอยด้านล่างได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยความล้ำหน้าในด้านสถาปัตยกรรมส่งผลให้การก่อสร้างสามารถดึงประสิทธิภาพที่สูงที่สุดของเหล็กทุกชิ้นที่ใช้ ซึ่งช่วยประหยัดทรัพยากรและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย” “ความท้าทายที่สำคัญ คือโครงสร้างหลังคาเหล็กในส่วนพื้นที่โถงแสดงสินค้าและนิทรรศการ (อีเว้นท์ฮอลล์ 100) ด้วยความยาวพิเศษมากกว่า 108 เมตร และสูงถึง 25 เมตร จึงจำเป็นต้องออกแบบอาคารดังกล่าวแบบไร้เสาเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้พื้นที่จัดงานสำคัญต่างๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งงานคอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์ระดับโลก ตลอดจนงานแสดงสินค้าและการประชุมนานาชาติขนาดใหญ่” คุณวิญญู กล่าวเพิ่มเติม   ส่วนการตกแต่งภายในของภิรัช ฮอลล์และห้องประชุมย่อยนั้น ได้รับการดูแลจากบริษัทออกแบบชั้นนำของประเทศไทย อย่าง พี ไอ เอ อินทีเรีย (PIA) โดย คุณกิตติ วัชรรัตนากุล มัณฑนากรผู้ดูแลการตกแต่งภายใน กล่าวว่า “การออกแบบตกแต่งภายในของ ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์ นั้น เราได้รับแรงบันดาลใจจากเส้นทางการค้าสำคัญๆ ของโลก เพื่อสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในด้านศูนย์แสดงสินค้า นิทรรศการและการประชุมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของไบเทค เปรียบเช่นเดียวกับเมืองท่าสำคัญๆ ของโลกในสมัยโบราณ ที่มีฐานะเป็นศูนย์กลางการขนย้ายผู้คน สินค้า กระทั่งความรู้จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง และในฐานะประตูบานแรกที่เชื่อมโยงเมืองๆ หนึ่งเข้ากับโลกภายนอก” การดีไซน์ของแต่ละห้องประชุมย่อย และโซนบริเวณพื้นที่สาธารณะ เน้นการอำนวยความสะดวกให้แก้ผู้ร่วมงานเป็นหลัก ด้วยดีไซน์หลังคาสูง และเก้าอี้ที่ที่นั่งสบาย ซึ่งอำนวยให้ผู้ร่วมงานสามารถนั่งได้ยาวนานโดยไม่รู้สึกแคบหรืออึดอัด ทั้งการประชุม เวิร์คช๊อป และอื่นๆ   ส่วนโซน pre-function และบริเวณทางเชื่อมต่อห้องโถงภายนอกที่กว้างขวาง ซึ่งเชื่อมห้องคอนเวนชั่นและห้องประชุมด้วยกัน ยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติที่สวยงามรอบตัว ไม่ว่าจะเป็น พระอาทิตย์ พระจันทร์ ภูเขา ดอกไม้ และท้องฟ้า ถ่ายทอดออกมาเป็นเอเทรียมโซนในเฉดสีสันสดใส ทั้งส้ม เหลือง เขียว แดง และฟ้า เพิ่มคาแรคเตอร์และชีวิตชีวาให้กับพื้นที่แต่ละบริเวณอย่างลงตัว เอื้อต่อการพูดคุยและพบปะสังสรรค์ก่อนงาน “การออกแบบตกแต่งภายในของ ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์ จึงเน้นความเชื่อมโยงของวิถีชีวิตของผู้คนที่หลากหลาย สะท้อนให้เห็นการปะทะและหลอมรวมกันของผู้คนจากวัฒนธรรมต่างๆ ที่จะนำไปสู่การสร้างสรรค์และการเติบโตต่อไป อาทิ ห้องประชุมซิลค์ นำชื่อมาจากเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งสินค้าที่สำคัญระหว่างประเทศจีนกับทวีปยุโรป ห้องประชุมแอมเบอร์ มาจากชื่อเส้นทางสายอำพัน อันเป็นเส้นทางการค้าสำหรับการขนส่งอำพันที่เชื่อมระหว่างยุโรปและเอเชีย และจากตอนเหนือของยุโรปไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และ ห้องประชุมไนล์ มาจากชื่อของแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก ไหลผ่านเมืองท่าการค้าที่สำคัญในประเทศต่างๆ ของทวีปแอฟริกา นอกจากนี้ สีสันต่างๆ ที่เลือกใช้ในการตกแต่งจะเป็นโทนสีอบอุ่น (warm tone) และเลือกใช้วัสดุที่เป็นไม้เป็นหลัก เพื่อสะท้อนถึงการเจริญเติบโต และความยั่งยืน” คุณกิตติ กล่าวเสริม  
“แสนสิริ” เปิดตัว “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” มูลค่ารวมกว่า 6.5 พันลบ.

“แสนสิริ” เปิดตัว “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” มูลค่ารวมกว่า 6.5 พันลบ.

  แสนสิริ เปิดตัว “THE MONUMENT THONG LO” (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) คอนโดมิเนียม ระดับลักซ์ชัวรี่ล่าสุด มูลค่าโครงการกว่า 6,500 ล้านบาท ภายใต้บริษัทร่วมทุนกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์ THE MONUMENT (เดอะ โมนูเมนต์) ด้วยแนวคิด “LUXURY IS SPACE” ผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์เสมือนเป็นมรดกอันล้ำค่าที่สามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยจำนวนยูนิตสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพียงชั้นละ 4 ห้อง รวม 127 ยูนิต กำหนดนิยามใหม่แห่งการอยู่อาศัยด้วยพื้นที่กว้างขวาง โอ่โถงเสมือนอยู่บ้านเดี่ยว และเป็นส่วนตัว บนที่ดินขนาด 2 ไร่ ติดถนนเส้นหลักของทองหล่อซึ่งเป็นทำเลที่หาได้ยากสำหรับการพัฒนาโครงการในปัจจุบัน ทั้งยังเป็นที่พักอาศัยใจกลางเมืองศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ และการอยู่อาศัยที่เหนือระดับพร้อมสะกดทุกสายตาด้วยสถาปัตยกรรมอาคารสูงรูปทรง “Monolith” (โมโนลิธ) สูง 177 เมตร 45 ชั้น แห่งแรกในทองหล่อ เช่นเดียวกับอาคารสูงระฟ้าในมหานครใหญ่ทั่วโลก ที่จะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่เหนือทุกอาคารสูงบนถนนทองหล่อด้วยวิวเมืองแบบพาโนรามา พรั่งพร้อมด้วยทุกองค์ประกอบของความหรูหรา สง่างาม เหนือกาลเวลาทุกตารางนิ้ว ซึ่งปัจจุบันมีราคาแนวโน้มที่ดินถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 200% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จากราคา 1 ล้านบาทต่อตารางวามาอยู่ที่2 ล้านบาทต่อตารางวา พร้อมชูจุดเด่นดีไซน์สระว่ายน้ำระดับไอคอนิคสูง 10 เมตร ที่สวยงามดุจงานประติมากรรม รายล้อมด้วยสวนสีเขียวขนาดใหญ่ เปรียบเสมือนโอเอซิสใจกลางเมืองที่ด้านหน้าโครงการร่วมด้วยบริการเหนือระดับ 24 ชั่วโมง พร้อมดึงสุดยอด 2 แบรนด์ดีไซน์ชั้นนำด้านการตกแต่ง “Chanintr Living” (ชนินทร์ ลิฟวิ่ง) และ “Jim Thompson” (จิม ทอมป์สัน) รังสรรค์ห้องตัวอย่าง     นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริ ร่วมกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) นำเสนอนิยามใหม่ของโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี “THE MONUMENT THONG LO” (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) ที่ผสานดีไซน์ระดับไอคอนิค โดยเราพัฒนาโครงการด้วยการมองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเป็นตัวตั้งต้น (Customer Centric) ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ของครอบครัวอาศัยเติบโตมาในทำเลใจกลางเมืองและกำลังขยายครอบครัวใหม่ โดยต้องการหาที่อยู่อาศัยที่ไม่ไกลจากครอบครัวในเจเนอเรชั่นแรก ด้วยการดึงอินไซต์ของครอบครัวยุคใหม่ที่ต้องการพื้นที่กว้างขวางเสมือนบ้านเดี่ยว และต้องการความสะดวกสบาย ปลอดภัยจากการอยู่คอนโดมิเนียม มีพื้นที่เพียงพอสำหรับให้ลูกๆ หรือสัตว์เลี้ยงที่รักได้ใช้ชีวิตเหมือนอยู่บ้านเดี่ยว โดยกลุ่มเป้าหมายของเรายังรวมถึงกลุ่มคนที่กำลังมองหาบ้านเดี่ยว ที่อยู่อาศัยรูปแบบอื่นๆ ที่มีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางใกล้เคียงกับบ้าน แต่ต้องการความสะดวกสบายในด้านทำเลที่อยู่ใจกลางเมืองทั้งยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟเราจึงได้ตอบโจทย์ดีมานด์ของคนกลุ่มนี้เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ (Complete your living experience) ด้วยการออกแบบพื้นที่พักอาศัยที่มอบความโอ่โถง กว้างขวางกว่าขนาดของห้องคอนโดมิเนียมที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน บนทำเลที่พักอาศัยใจกลางเมืองคุณภาพสูงที่หาไม่ได้อีกแล้ว ทว่าเป็นโลเคชั่นที่สงบและมีความเป็นส่วนตัวของทองหล่อ เพื่อให้เป็นสมบัติล้ำค่าของผู้ครอบครองที่ส่งต่อให้ลูกหลานได้อย่างภาคภูมิใจ”   “THE MONUMENT THONG LO” (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) เป็นโครงการลำดับที่สองของแบรนด์ THE MONUMENT (เดอะ โมนูเมนต์) คอนโดมิเนียมที่พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์หลัก ‘The Monument to Generations’ (เดอะ โมนูเมนต์ ทูเจเนอเรชั่น) การส่งต่อทำเลที่มีคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น โดยโครงการแรก “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” คอนโดมิเนียมมาสเตอร์พีซบนถนนพหลโยธินได้เปิดตัวไปแล้วเมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จและสามารถเขย่าวงการอสังหาฯ ด้วยกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมจากดีไซน์และวัสดุที่มีคุณภาพระดับเวิลด์คลาสอย่างมีเอกลักษณ์ พิถีพิถันในทุกรายละเอียด รวมถึงทำเลในย่านที่ทรงคุณค่า และติดถนนใหญ่ที่ห่างจากบีทีเอสสนามเป้าเพียง 300 เมตร ซึ่งเราหวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้าอีกเช่นเคย”     โครงการ THE MONUMENT THONG LO (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) นำเสนอจุดเด่นผ่านแนวคิด “LUXURY IS SPACE เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ (Complete your living experience) ในทุกมิติดังนี้   ความโอ่โถงกว้างขวาง และฟังก์ชั่นการใช้งานเสมือนบ้านเดี่ยว โครงการประกอบด้วยห้องพัก 3 ประเภท คือ ขนาด 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่ 124.25 ตรม. ขนาด 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ พื้นที่ 252.25 ตรม. และเพนต์เฮาส์ พื้นที่ 508.75 – 662 ตรม. ในราคาเริ่มต้น 300,000 บาทต่อตรม. หรือ 30 ล้านบาทต่อยูนิต นอกจากนี้ ยังออกแบบพื้นที่ภายในห้องให้โอ่โถงกว้างขวางเสมือนบ้าน อย่างห้องนั่งเล่นเพดานสูง 3.3 เมตร ห้องน้ำในห้องนอนมาสเตอร์ของทุกยูนิตเปิดรับวิวกรุงเทพฯ แบบพาโนรามาและมีระเบียงเทอร์เรซพื้นที่ถึง 20 ตรม. ในยูนิตขนาด 3 ห้องนอน   ทำเลอันเป็นมรดกทรงคุณค่า ถนนทองหล่อตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านสุขุมวิทที่มีศักยภาพสูงสุดอันดับต้น ๆ ของกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ซึ่งหลอมรวมประวัติอันยาวนานและวิถีชีวิตของคนยุคใหม่อย่างลงตัว เป็นทั้งที่พักอาศัยคุณภาพสูงมาตั้งแต่อดีต และแหล่งรวมร้านค้าระดับชั้นนำ ร้านอาหารและคอมมูนิตี้มอลล์ระดับไฮเอนด์มากมาย ที่สามารถตอบสนองทุกมิติของการใช้ชีวิตที่ให้ความสะดวกสบายสูงสุดด้านการเดินทางเชื่อมต่อภายในใจกลางกรุงเทพฯ และมีความพร้อมสรรพด้านทางด้านไลฟ์สไตล์ ทำให้ถนนสายนี้จึงยังคงเป็นที่ต้องการอย่างสูง สำหรับผู้ที่เคยพักอาศัยในแถบนี้และต้องการขยับขยายครอบครัวในพื้นที่ใกล้เคียงกับครอบครัวเดิม ทำเลนี้จึงเป็นพื้นที่เป้าหมายสำคัญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่มาอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราการเติบโตของราคาที่ดินในอัตราสูงมาก และแทบจะไม่มีพื้นที่ว่างติดถนนหลงเหลือสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ อีกแล้วในปัจจุบัน   ประสบการณ์อยู่อาศัยที่เป็นส่วนตัว (Privacy) มอบความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตที่มีเพียง 127 ยูนิต โดยแต่ละชั้นจำกัดที่ไม่เกิน 4 ยูนิต พร้อมลิฟต์ส่วนตัวที่จอดเฉพาะชั้นห้องพักของเจ้าของห้อง รวมถึงสัดส่วนที่จอดรถกว่า 192% ของยูนิตทั้งหมดในโครงการพร้อมระบบ Cross Ventilation ในทุกยูนิตเพื่อการระบายอากาศธรรมชาติที่ดีภายในอาคาร   สถาปัตยกรรมอาคารสูงรูปทรง “Monolith” อันเป็นเอกลักษณ์ ที่จะกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในทองหล่อ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ ได้รับการรังสรรค์ขึ้นด้วยองค์ประกอบที่จะทำให้ผู้อยู่อาศัยสัมผัสได้ถึงความกว้างขวาง เป็นส่วนตัว และสะดวกสบายไม่ต่างจากบ้าน ในทุกพื้นที่ของโครงการขนาด 2 ไร่ ด้วยความสูงถึง 45 ชั้น สูงที่สุดบนถนนทองหล่อ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอาคารรูปทรง “Monolith” (โมโนลิธ) ซึ่งมีเอกลักษณ์อยู่ที่รูปทรงตึกที่สูงตรงตั้งตระหง่าน โดยสัดส่วนระหว่างความกว้างของฐานอาคารต่อความสูงของอาคารอยู่ที่ 1:10 พร้อมนำที่จอดรถลงไปไว้ในชั้นใต้ดิน เพื่อความสวยงามและโดดเด่นของตัวอาคาร เช่นเดียวกับอาคารสูงระฟ้าในมหานครใหญ่ทั่วโลก อาทิ โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน นิวยอร์ค อาคารซีแกรม และตึก 432 พาร์ค อเวนิว ที่กรุงนิวยอร์ค หรืออัล ชาร์ค ทาวเวอร์ที่ดูไบ     ความโดดเด่นของพื้นที่ส่วนกลาง ที่ตอบโจทย์การใช้งานใกล้เคียงกับบ้านที่สุด เริ่มจากล็อบบี้ส่วนกลางเสมือนห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ของบ้าน พื้นที่ 150 ตารางเมตร โอ่โถงด้วยเพดานความสูงถึง 5 เมตร เปิดรับวิวสวนสีเขียวเต็มตา คัดสรรแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับโลกอย่าง Fendi Casa และ Flexform มาประดับตกแต่ง โดยใช้ไม้ที่ใช้เวลาแปรสภาพถึง 300 ปี แชนเดอเลียร์จากแบรนด์ LASVIT ที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษดุจงานศิลปะด้วยเทคนิคพิเศษที่สืบทอดเทคนิคการผลิตแก้วจากรุ่นสู่รุ่นมากว่า 200 ปี และสระว่ายน้ำดีไซน์ระดับไอคอนิกแรงบันดาลใจจากต้นไม้ใหญ่ที่มีความสูงถึง 10 เมตร ตัวสระยาว 28 เมตร กว้าง 9.5 เมตร พื้นสระปูด้วยหินไวท์ คลาวด์ (White Cloud) รายล้อมไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด   วัสดุคุณภาพระดับเวิลด์คลาสและเทคโนโลยีเหนือระดับ มอบสัมผัสแห่งความหรูหรา กว้างขวาง ตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกมาจากลิฟต์สู่โถงทางเข้าด้วย “Welcome Light” เปิดไฟแบบอัตโนมัติด้วยระบบโมชั่นเซ็นเซอร์ พื้นโถงปูด้วยหินอ่อนไวท์ วีนัส (White Venus) ต่อกันเป็นลวดลาย Bookmatch ประตูเข้าสู่ห้องเป็นประตูบานเฟี้ยมติดกระจกฟาบริคกลาส (Fabric Glass) นอกจากนี้ โมนูเมนต์ทองหล่อยังเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่เติมเต็มนิยามความหรูหรา เช่น สุขภัณฑ์จาก Gessi แบรนด์ระดับท้อปของอิตาลี สวิตช์พร้อมระบบอัตโนมัติจาก Legrand แบรนด์ฝรั่งเศสที่โดดเด่นด้วยงานดีไซน์   พื้นที่สีเขียวร่มรื่นใจกลางกรุง ทางโครงการยังคำนึงถึงออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวขนาดถึงกว่า 1,000 ตรม. แบ่งเป็นสวนด้านหน้าและสวนด้านหลัง ต้นจามจุรีที่อยู่กับที่ดินเดิมมาเป็นเวลานานกว่า 50 ปี ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ให้ความร่มรื่น และอีกหนึ่งความพิเศษเหนือโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่อื่นๆ คือ “Dog Park” ที่ออกแบบขึ้นมาพิเศษบริเวณสวนด้านหน้าสำหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยง พร้อมเป็นส่วนตัวด้วยการจัดเส้นทางการใช้งานเฉพาะสำหรับสุนัขโดยสัญจรผ่านทางลิฟต์เซอร์วิส   บริการเอ็กซ์คลูซีฟเหนือระดับ 24 ชั่วโมง (Exclusive service) อาทิ บริการบัตเลอร์ประจำโครงการ บริการ Valet Parking และบริการรถลิมูซีน รองรับการใช้บริการแบบเป็นครอบครัวคอยให้บริการรับส่งตามต้องการ โดยสามารถจองการใช้งานล่วงหน้าผ่าน Home Service Application     THE MONUMENT THONG LO เปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมห้องตัวอย่างที่ตกแต่งอย่างละเมียดละไมใน 2 สไตล์ ห้องแรกตกแต่งด้วยคอนเซ็ปท์ ‘The Southern Belle’ โดยชนินทร์ ลีฟวิ่ง โดดเด่นด้วยเฟอร์นิเจอร์จากแบรนด์ Hickory Chair แบรนด์คราฟท์เฟอร์นิเจอร์ลักซ์ชัวรี่ของอเมริกาซึ่งออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ระดับโลก ‘ซูซาน แคสเลอร์’ (Suzanne Kasler) อีกห้องหนึ่งได้รับการออกแบบตกแต่งโดย ‘จิม ทอมป์สัน’ ภายใต้คอนเซ็ปท์ ‘Forbidden Colour’ โดดเด่นด้วยการเลือกใช้สีสันที่ฉูดฉาดอย่างลงตัว เช่น การใช้สีเหลืองกับสีดำ ขาว น้ำเงินเข้ม และเขียวมรกต รวมถึงการผสมผสานระหว่างเฟอร์นิเจอร์วินเทจและเฟอร์นิเจอร์แบบโมเดิร์น เพิ่มความลักซ์ชัวรี่ด้วยการกรุผนังห้อง โซฟา เก้าอี้ โครงเตียงนอนด้วยผ้าไหมแท้   “ปัจจุบัน โครงการ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จไปแล้วกว่า 70% และคาดว่าจะพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกบ้านได้ภายในต้นปี 2562 โดยเราตั้งเป้าการขายไว้ที่ 50% ภายในปีนี้ พร้อมกันนี้ แสนสิริ ยังได้เตรียมพริวิเลจสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองห้องชุดในโครงการภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ด้วยการมอบโทรทัศน์แบรนด์ Bang & Olufsen รุ่น BEOVision 14 มูลค่ากว่า 6 แสนบาทให้อีกด้วย” นายปิติ กล่าวปิดท้าย     ผู้ที่สนใจเข้าชมโครงการและห้องตัวอย่าง สามารถสัมผัสประสบการณ์แห่งการอยู่อาศัยเหนือระดับบนนิยาม Luxury is space สมบัติอันล้ำค่าจากรุ่นสู่รุ่นของความหรูหรารูปแบบใหม่ผ่านพื้นที่โอ่โถงของคอนโดมิเนียม ที่ให้ประสบการณ์เสมือนบ้านเดี่ยว และความเป็นส่วนตัวสูงสุดที่ THE MONUMENT THONG LO (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) ได้แล้ววันนี้ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sansiri.com/en/condominium/the-monument- thong-lo/ หรือ โทร. 1685
แอสเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเม้นท์ ประเดิมโครงการแรก เจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน ส่งวนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 - ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยวสุดลักชัวรี่ลงตลาด

แอสเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเม้นท์ ประเดิมโครงการแรก เจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน ส่งวนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 - ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยวสุดลักชัวรี่ลงตลาด

  บริษัท แอทเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด สบช่องว่างกลุ่มนิชมาร์เก็ตระดับบน พัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบวิถีชีวิตสังคมเมืองที่ทันสมัย พร้อมเปิดตัว วนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 - ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ด้วยแนวคิด A New Definition of Luxury Urban Home บนถนนสายหลักซึ่งเป็นทำเลศักยภาพระหว่างความเจริญเติบโตของโซนพระราม 9 – ศรีนครินทร์ ราคาเริ่มต้นที่ 20 ล้านบาท ลงตลาดเจาะกลุ่มผู้บริหารและเจ้าของกิจการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จและมีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว ด้วยบ้านเดี่ยว 3 ชั้น สามารถอยู่ได้ทั้ง 3 เจนเนอเรชั่น เน้นจุดเด่นในเรื่องความเป็นส่วนตัวด้วยการวางบ้านแบบคลัสเตอร์ โดยแต่ละคลัสเตอร์มีเพียง 4 หลัง พร้อมที่จอดรถเริ่มต้น 4 คันสามารถรองรับรถยนต์ซูเปอร์คาร์และรถครอบครัวขนาดใหญ่ ทางโครงการยังมอบความหรูหรา ทันสมัยให้กับบ้านด้วยการคัดสรรวัสดุภายในบ้านเป็นอย่างดี พร้อมจัดเตรียมลิฟท์ส่วนตัวภายในบ้าน และเพิ่มความร่มรื่น ด้วยการปลูกต้นไม้ใหญ่กว่า 300 ต้น ทั่วทั้งโครงการ นายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอทเซท ไฟว์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวถึงการลงมาพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในครั้งนี้ว่า “จากประสบการณ์ทำงานคลุกคลีอยู่ในวงการอสังหาฯ มานานกว่า 12 ปี ด้วยการเริ่มต้นจากการพัฒนาธุรกิจของครอบครัว “ปัญจทรัพย์” มาหลายโครงการ และด้วยความมุ่งมั่นที่ต้องการพัฒนา และสร้างความแตกต่างให้กับลูกค้า จึงรวมตัวตั้งทีมบริหารและผู้เชี่ยวชาญช่วยกันวิเคราะห์ ศึกษากลุ่มเป้าหมาย ทั้งเรื่องไลฟ์สไตล์ ความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน ซึ่งโครงการแรกของเราเป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น ชื่อ วนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 – ศรีนครินทร์ เจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตโดยตรง ด้วยพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ จำนวน 69 หลัง ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 3 แบบขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 400 - 492 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิเช่น สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือยาว 25 เมตร สนามเด็กเล่นพร้อมบ้านต้นไม้ ฟิตเนส ห้องประชุม และพื้นที่สีเขียวมีต้นไม้ใหญ่รอบโครงการ เน้นการได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างแท้จริง นายศุภโชคยังมองอีกว่า ศักยภาพของทำเลถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ พระราม 9-ศรีนครินทร์ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะการเดินทางเข้าเมืองได้สะดวก รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย เช่น โรงพยาบาลสมิติเวช โรงเรียนนานาชาติ สนามกอล์ฟ ห้างสรรพสินค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ ส่วนด้านงานขายนั้นเราได้มอบหมายให้มืออาชีพอย่าง CBRE มาช่วยบริหารจัดการ” ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ทั้งแนวสูงและแนวราบ บนทำเลที่มีศักยภาพใจกลางเมือง ใกล้ที่ทำงาน และใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทางด้าน นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “ภายใน 1 – 2 ปีที่ผ่านมานี้ จะเห็นได้ว่าตลาดแนวราบกลับมาเป็นที่นิยมมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในโซนกรุงเทพฝั่งตะวันออก เนื่องจากเป็นทำเลที่ขยับออกมาจาก CBD ไม่มากนัก และยังสามารถมุ่งหน้าไปยังสุวรรณภูมิหรือออกสู่ภาคตะวันออกที่เป็นเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ (EEC) ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้การคมนาคมที่จะมีขึ้นก็รองรับในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) รวมถึง Airport rail link และทางด่วน ที่มีอยู่เดิมแล้ว จึงทำให้ผู้พัฒนาโครงการเล็งเห็นศักยภาพของทำเล และตลาดของผู้ซื้อในย่านนี้ ซึ่งจากการศึกษาตลาดบ้านระดับ Luxury ในกรุงเทพฝั่งตะวันออกนี้ จึงเห็นได้ว่า โครงการระดับ Luxury ในราคาเริ่มต้นที่ 20 ล้านบาท ที่มาพร้อมพื้นที่ใช้สอย, วัสดุ และการดีไซน์ ต่างๆ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานจริงและมีคุณภาพสูง อย่าง วนา เรสซิเดนท์ ยังคงไม่มีในตลาด จึงเชื่อว่าโครงการนี้ จะตอบโจทย์และเป็นที่ต้องการของครอบครัวสมัยใหม่ได้อย่างแน่นอน” ทั้งนี้ โครงการ วนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9 – ศรีนครินทร์ จะจัดกิจกรรมเปิดบ้านตัวอย่าง อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดจอง ในเดือนสิงหาคมนี้
ออลล์ อินสไปร์ฯ เปิดตัว “ไรส์ พหล – อินทามระ” บนทำเลศักยภาพ

ออลล์ อินสไปร์ฯ เปิดตัว “ไรส์ พหล – อินทามระ” บนทำเลศักยภาพ

บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบคอนโดมิเนียมภายใต้ แบรนด์ ดิ เอ็กเซล ไรส์ และอิมเพรสชั่น เปิดตัวคอนโดมิเนียมรูปแบบ High Rise โครงการ ไรส์ พหล – อินทามระ (RISE Phahon - Inthamara) สูง 40 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 384 ยูนิต แบบห้องมี 3 รูปแบบ คือ 1 ห้องนอน ขนาด 25 - 37.5 ตร.ม., 2 ห้องนอน ขนาด 42 - 58 ตร.ม. และเพนเฮาส์ขนาดกว่า100 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.89 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลคุณภาพสูงสุดเพียง 900 ม. จากรถไฟฟ้า BTS สถานีสะพานควาย ออกแบบภายใต้คอนเซ็ป Iconic Blade Skyscrapers โดนเด่น ด้วยสถาปัตยกรรมทรงเฉียบล้ำสมัย มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสะท้อนประสบการณ์และวิสัยทัศน์ในการใช้ชีวิตอย่างเหนือระดับ เติมเต็มพื้นที่ส่วนกลางด้วย Sky Rise Facility ถึง 2 ชั้นเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มีCo - Working Space และ Smart Auto Parking ระบบจอดรถล้ำสมัยเพื่อความสะดวกสบาย ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ฯลฯ เริ่มก่อสร้างประมาณไตรมาส 1 ปี 2562 และคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จประมาณไตรมาส 4 ปี 2564 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Contact Center 02 029 9999 หรือ www.allinspire.co.th
บ้านแพงที่สุดในโลก 10 อันดับ

บ้านแพงที่สุดในโลก 10 อันดับ

บ้านเป็นสถานที่ที่คนเราใช้ชีวิตอยู่กับมันมากที่สุด เพราะเป็นที่พักพิงของเราเอง หลายคนจึงพยายามสร้างบ้านให้ดูดี สะดวกสบายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เคยสงสัยกันหรือไม่ว่า สถานที่พักอาศัยของมนุษย์เรานั้นจะหรูหราและมูลค่ามากที่สุดได้มากขนาดไหนกัน วันนี้เราจะพาไปดูบ้าน 10 แห่งทั่วโลก ที่ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารไทม์ (TIME) เมื่อปลายปีที่แล้ว ว่าเป็นบ้านที่แพงที่สุดในโลก พร้อมเปิดเผยชื่อเจ้าของบ้านแต่ละหลังด้วย     อันดับ 10 7 อัปเปอร์ ฟิลลิมอร์ การ์เด้นส์ (7 Upper Phillimore Gardens) ภาพจาก previewchicago.com ที่ตั้ง : กรุงลอนดอน, สหราชอาณาจักร มูลค่า : 4.6 พันล้านบาท รายละเอียด : จากโรงเรียนกลายมาเป็นคฤหาสน์สุดหรูประกอบไปด้วยห้องนอน 10 ห้อง มีสระว่ายน้ำ, ซาวน่า, โรงยิม, โรงภาพยนตร์รวมไปถึงห้องนิรภัยอยู่ชั้นใต้ดิน โดยภายในจะตกแต่งด้วยหิน, ทองคำ และงานศิลปะที่ประเมินค่าไม่ได้ เจ้าของ : โอเลน่า พินชัก (Olena Pinchuk) ลูกสาวของ ลีโอนิด คุชมา (Leonid Kuchma) รองประธานาธิบดียูเครน ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ ANTIAIDS และยังเป็นเพื่อนสาวของนักร้อง-นักแต่งเพลงชื่อดังอย่าง เอลตัน จอห์น อีกด้วย อันดับ 9 เคนซิงตัน พาเลซ การ์เด้นส์ (Kensington Palace Gardens) ภาพจาก previewchicago.com ที่ตั้ง : กรุงลอนดอน, สหราชอาณาจักร มูลค่า : 5 พันล้านบาท รายละเอียด : ตั้งอยู่ในย่านมหาเศรษฐีในกรุงลอนดอน บ้านมีแผงยื่นขยายลงไปชั้นใต้ดินกลายเป็นสนามเทนนิส, ศูนย์พยาบาล และพิพิธภัณฑ์รถยนต์ เจ้าของ : โรมัน อับราโมวิช (Roman Abramovich) มหาเศรษฐีน้ำมันชาวรัสเซียและเป็นเจ้าของหลักของบริษัทลงทุนเอกชน บริษัทมิลล์เฮาส์ แคปปิทัล เขาเป็นที่รู้จักของชาติตะวันตกในฐานะเจ้าของสโมสรฟุตบอลพรีเมียร์ลีกชื่อดังของอังกฤษอย่าง เชลซี ( Chelsea) อันดับ 8 เซเว่น เดอะ พินนาเคิล (Seven The Pinnacle) ภาพจาก vidanaeuropa.com ที่ตั้ง : บิ๊ก สกาย, รัฐมอนแทนา สหรัฐอเมริกา มูลค่า : 5.6 พันล้านบาท รายละเอียด : เป็นทรัพย์สมบัติที่ใหญ่ที่สุดในเยลโลว์สโตนคลับ หรือชุมชนการเล่นกอล์ฟและสกีแบบส่วนตัวสำหรับผู้ที่มั่งมี บ้านประกอบไปด้วยชั้นให้ความร้อน สระว่ายน้ำจำนวนมาก โรงยิมและห้องเก็บไวน์ เจ้าของ : เอ็ดดรา และทิม บลิกซ์เซ็ธ (Edra and Tim Blixseth) นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ อันดับ 7 ปราสาทเฮิร์สต์ (Hearst Castle) ภาพจาก celebritynetworth.com ที่ตั้ง : ซาน ไซเมียน, รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มูลค่า : 6.9 พันล้านบาท รายละเอียด : ปราสาทหลังโตขนาด 27 ห้องนอน ถูกใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังอย่างเดอะ ก็อดฟาเธอร์ (The Godfather) เจ้าของ : วิลเลียม แรนดอล์ฟ (William Randolph) ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการดูแลปราสาทหลังนี้ ปัจจุบันกลายเป็นมรดกและสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแคลิฟอร์เนีย อันดับ 6 เอลลิสัน เอสเตท (Ellison Estate) ภาพจาก wsj.com ที่ตั้ง : วู้ดไซด์, รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มูลค่า : 7.2 พันล้านบาท รายละเอียด : คฤหาสน์ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 23 เอเคอร์ ประกอบไปด้วยตึกถึง 10 ตึก ด้วยกัน เจ้าของ : แลร์รี่ เอลลิสัน (Larry Ellison) ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทซอฟต์แวร์ออราเคิล ผู้ซึ่งถูกขนานนามให้เป็นบุคคลที่รวยเป็นอันดับ 3 ของโลก ในปี 2013 (พ.ศ. 2556) อันดับ 5 18-19 เคนซิงตัน พาเลซ การ์เด้นส์ (18-19 Kensington Palace Gardens) ภาพจาก commons.wikimedia ที่ตั้ง : กรุงลอนดอน, สหราชอาณาจักร มูลค่า : 8 พันล้านบาท รายละเอียด : เป็นอีกหนึ่งทรัพย์สินที่ตั้งอยู่ในย่านมหาเศรษฐีในกรุงลอนดอน คฤหาสน์หลังนี้ตั้งอยู่ติดกับพระราชวังของเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าหญิงเคท โดยจะประกอบไปด้วย 12 ห้องนอน ห้องน้ำสไตล์เตอร์กิช สระว่ายน้ำกลางแจ้ง และที่จอดรถสำหรับ 20 คัน เจ้าของ : ลักษมี มิตตัล (Lakshmi Mittal) ประธานใหญ่แห่ง Arcelor Mittal บริษัทชั้นนำทางด้านอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กครบวงจร และยังเป็น 1 ใน 100 บุคคลที่รวยที่สุดในประเทศอินเดียอีกด้วย อันดับ 4 โฟร์ แฟร์ฟิลด์ พอนด์ (Four Fairfield Pond) ภาพจาก celebritynetworth.com ที่ตั้ง : ซากาโปแน็ก, นครนิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา มูลค่า : 9 พันล้านบาท รายละเอียด : คฤหาสน์หลังโตตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 63 เอเคอร์ ที่มีโรงงานผลิตไฟฟ้าเป็นของตัวเอง ภายในตัวคฤหาสน์ประกอบไปด้วย 29 ห้องนอน, 39 ห้องน้ำ, สนามบาสเกตบอล, ลานโยนโบว์ลิ่ง, สนามสควอช, สนามเทนนิส, สระว่ายน้ำ 3 แห่ง และโต๊ะทานอาหารที่มีความยาวกว่า 28 เมตร เจ้าของ : อิรา เรนเนิร์ท (Ira Rennert) เจ้าของกิจการเรนโค้ กรุ๊ป บริษัทผู้ลงทุนในเครือผู้ผลิตรถยนต์และการหลอม และยังรวมไปถึงโลหะและเหมืองแร่อีกด้วย อันดับ 3 วิลล่า ลีโอโพลดา (Villa Leopolda) ภาพจาก celebritynetworth.com ที่ตั้ง : โกตดาซูร์, ชายฝั่งทะเลทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส มูลค่า : 2.7 หมื่นล้านบาท รายละเอียด : คฤหาสน์หลังมโหฬารตั้งอยู่บนพื้นที่ 50 เอเคอร์ ได้รับการขนานนามว่าเป็นสีเขียวเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ที่มีทั้งสระว่ายน้ำและบ้านสระว่ายน้ำ, ห้องครัวกลางแจ้ง, ลานจอดเฮลิคอปเตอร์และเกสต์เฮ้าส์ขนาดใหญ่ซึ่งใหญ่กว่าคฤหาสน์ของเศรษฐีส่วนใหญ่ซะอีก และคฤหาสน์หลังนี้ยังถูกใช้เป็นฉากในการถ่ายทำภาพยนตร์สุดคลาสสิกชื่อดังอย่าง ฮิตช์ค็อก (Hitchcock) ในปี 1955 (พ.ศ 2498) เจ้าของ : ลิลลี่ ซาฟรา (Lily Safra) นักสังคมสงเคราะห์ชาวบราซิล และยังเป็นแม่หม้าย อดีตภรรยาของวิลเลี่ยม วาฟรา นายธนาคารชาวเลบานอน ซึ่งเสียชีวิตภายในบ้านของคู่รักคู่หนึ่งหลังจากถูกลอบวางเพลิง อันดับ 2 แอนทิเลีย (Antilia) ภาพจาก india.com ที่ตั้ง : นครมุมไบ, ประเทศอินเดีย มูลค่า : 3.6 หมื่นล้านบาท รายละเอียด : บ้านพักส่วนตัวสมัยใหม่ของมหาเศรษฐีชาวมุมไบ เป็นทรงตึก 27 ชั้น บนพื้นที่ประมาณ 122 ตารางเมตร มีที่จอดรถชั้นใต้ดินถึง 6 ชั้น และมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ 3 ลาน โดยมีพนักงานรับใช้ประจำการอยู่ทั้งสิ้นกว่า 600 คนเลยทีเดียว เจ้าของ : มูเกช อัมบานี (Mukesh Ambani) บุคคลที่ได้ชื่อว่ารวยที่สุดและเป็นนักธุรกิจที่ทรงอิทธิพลที่สุดของอินเดีย เขามีทรัพย์สินส่วนตัวมูลค่าประมาณ 856,400 ล้านบาท นอกจากนี้เขามีรายได้จากการเป็นเจ้าของบริษัทความเชื่อมั่นด้านอุตสาหกรรม บริษัทพลังงานและวัสดุ อันดับ 1 พระราชวังบักกิงแฮม (Buckingham Palace) ภาพจาก wikipedia ที่ตั้ง : กรุงดอนดอน, สหราชอาณาจักร มูลค่า : 5.6 หมื่นล้านบาท รายละเอียด : แม้ตามหลังโครงสร้างแล้วจะถือว่าเป็นบ้าน แต่แน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับขาย เนื่องจากเป็นพระราชวังซึ่งเป็นที่ประทับของราชินีของอังกฤษ โดยประกอบไปด้วยห้องหับทั้งหมด 775 ห้อง แบ่งเป็นห้องรับรอง 19 ห้อง, ห้องนอน 52 ห้อง, ห้องพนักงาน 188 ห้อง, ห้องสำนักงาน 82 ห้อง และห้องน้ำอีก 78 ห้อง เจ้าของ : พระราชวังบักกิงแฮมเป็นที่ประทับเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษ ปัจจุบันเป็นของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ประธานเครือจักรภพและผู้ปกครองสูงสุดแห่งคริสตจักรแห่งอังกฤษ ตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495   ขอบคุณข้อมูลดีๆ และภาพประกอบจาก Kapook.com
“JUSTCO” เปิดตัว CO-WORKING SPACE ที่ใหญ่ที่สุดในไทย  เผยโฉมสาขาแรกใจกลางกรุงเทพฯ เอไอเอ สาทรทาวเวอร์

“JUSTCO” เปิดตัว CO-WORKING SPACE ที่ใหญ่ที่สุดในไทย เผยโฉมสาขาแรกใจกลางกรุงเทพฯ เอไอเอ สาทรทาวเวอร์

หลังจากประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง และก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ให้บริการโคเวิร์คกิ้งสเปซ (Co-Working Space) ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล่าสุด จัสท์โค (JustCo) พร้อมเปิดตัวโคเวิร์คกิ้งสเปซสาขาแรกในประเทศไทย ณ เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ภายใต้แนวคิด Let’s Make Work Better ซึ่งให้มากกว่าการเป็นโคเวิร์คกิ้งสเปซพื้นที่การทำงานที่ทันสมัย แต่จะเน้นการสร้างคอมมูนิตี้ (Community) ให้เกิดเป็นเครือข่ายที่แข็งแกร่ง สร้างความสัมพันธ์และแสวงการเชื่อมต่อใหม่ๆ พร้อมทั้งสำรวจโอกาสทางธุรกิจเพื่อเชื่อมโยงสมาชิก พาร์ทเนอร์ (Partner) และผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆจากทั่วโลกเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว สำหรับการเปิดตัว จัสท์โค เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ในครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการเปิดตัวจัสท์โค โคเวิร์คกิ้งสเปซ สาขาแรกในประเทศไทยเท่านั้น แต่จัสท์โค เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ยังเป็นโคเวิร์คกิ้งสเปซที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอีกด้วย โดยมีพื้นที่กว่า 3,200 ตารางเมตร ให้ความรู้สึกโปร่งสบาย เปิดกว้าง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นในการทำงาน ซึ่งมาพร้อมกับความยืดหยุ่น โดยตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร ศูนย์กลางแห่งธุรกิจ ตัวอาคารอยู่ในระยะที่เดินถึงจากสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ และจะมีทางเดินเชื่อมต่อกับสถานีศึกษาวิทยาในเร็วๆ นี้ โดย Mr. Kong Wan Sing ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของของจัสท์โคได้เปิดเผยว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ประกาศเปิดตัวในกรุงเทพฯซึ่งเป็นก้าวแรกของจัสท์โคในการขยายสาขาไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของภูมิภาคและยังคงแสดงให้เห็นถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่ดีควบคู่กับโครงการริเริ่มโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลทำให้กรุงเทพฯเป็นตลาดสำคัญสำหรับจัสท์โค ทั้งในประเทศและต่างประเทศและ บริษัทต่างๆจะได้รับประโยชน์จากพื้นที่โคเวิร์คกิ้งสเปซของจัสท์โค เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ในกรุงเทพฯ ทำให้เราสามารถให้บริการเครือข่ายและการเชื่อมต่อกับชุมชนที่กำลังเติบโตของเราได้อย่างต่อเนื่อง” ทั้งนี้ จัสท์โค เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ ยังได้รับเกียรติจากนักวาดภาพประกอบสาวชาวไทยผู้ฝากผลงานการออกแบบร่วมกับแบรนด์ดังระดับโลกมาแล้วนับไม่ถ้วนอย่าง “Pomme Chan” (ปอม ชาน) มาร่วมถ่ายทอดผลงานอันสร้างสรรค์ผ่าน Wall Painting ผสมผสานกับการออกแบบในสไตล์ของจัสท์โคที่มีเอกลักษณ์ และการตกแต่งภายในที่มีสีสันสดใสและมีชีวิตชีวา ให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย สบาย สดชื่น และเป็นกันเอง เน้นการใช้วัสดุที่เป็นไม้พร้อมทั้งกำแพงอิฐและใช้แสงนีออนที่ออกแบบและติดตั้งอย่างมีเอกลักษณ์เฉพาะ โดดเด่นด้วยบันไดสีฟ้าสดสวยงามที่อยู่บริเวณศูนย์กลางของโคเวิร์คกิ้งสเปซแห่งนี้ซึ่งเชื่อมโยงสมาชิกทั้งสองชั้นเข้าด้วยกันอย่างลงตัว นอกจากนี้จัสท์โคยังมีการจัดพื้นที่เปิดโล่งอย่างสมดุลระหว่างการเป็นพื้นที่เพื่อการทำงานอย่างมืออาชีพและการสร้างความเป็นชุมชนที่เต็มเปี่ยมด้วยมิตรภาพ โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสำนักงานครบครัน พร้อมกับลูกเล่นและองค์ประกอบที่ให้ความสนุกสนานเพื่อความผ่อนคลายของสมาชิกก็มีให้อย่างครบครันไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเล่นปิงปอง ฟุตบอลโต๊ะ หรือเกมอาร์เคด นอกจากนี้ยังได้ผู้ผลิตกาแฟคุณภาพชื่อดังอย่าง คอฟฟีโอโลจี (Coffeeology) ที่มีความเชี่ยวชาญในศาสตร์ของกาแฟเข้ามาดูแลในพื้นที่เสิร์ฟเครื่องดื่มที่ผ่านการชงอย่างสุดฝีมือโดยบาริสต้าผู้มีความชำนาญ ควบคู่ไปกับขนม และของว่างอื่นๆ เพื่อปลุกความสดชื่นให้แก่สมาชิกก่อนจะเริ่มลุยงานต่อ ตลอดจน Quiet Pods ที่ออกแบบพื้นที่ให้สมาชิกสามารถใช้ได้เมื่อต้องการความเป็นส่วนตัว เช่น การคุยโทรศัพท์ หรืองานที่ต้องใช้ช่วงเวลาที่เงียบสงบในการทำงาน รวมถึง โต๊ะทำงานแบบไม่ประจำ(Hot-Desking), ห้องประชุม(Meeting Studios),พื้นที่สำหรับการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย(Event Spaces) แสงสว่างจากธรรมชาติและองค์ประกอบอื่นๆ ที่จะสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน ช่วยเสริมสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นให้เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยนความเห็นซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิก พร้อมทั้งเปิดโอกาสในการที่จะเชื่อมต่อกับกลุ่มคนผู้มีพรสวรรค์คนอื่นๆ ทั้งจากธุรกิจในประเทศ ต่างประเทศ และทุกรูปแบบ โดยสมาชิกสามารถขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก และเข้าถึงฐานข้อมูลต่างๆได้จากเครือข่ายที่แข็งแกร่งของพันธมิตรระยะยาวของจัสท์โค อาทิ Venture Hub โดย PwC, Dropbox และ Salesforce ที่ช่วยให้สมาชิกสามารถใช้ประโยชน์ได้ เชื่อมต่อไปสู่ตลาดในระดับภูมิภาค เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกทางธุรกิจ เรียกได้ว่า จัสท์โค เอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ จะเป็น โคเวิร์คกิ้งสเปซที่จะสามารถตอบโจทย์การทำธุรกิจในยุค อีคอมเมิร์ช (E-Commerce) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและพร้อมที่จะรองรับทุกความต้องการของเหล่าสมาชิกได้อย่างครบครัน โดยพร้อมเปิดให้เข้าใช้บริการอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้!
โฮมโปร ทุ่ม 550 ล้านบาท สร้างแลนมาร์ค เอาใจฝั่งธนบุรี  เปิด “โฮมโปร กัลปพฤกษ์”

โฮมโปร ทุ่ม 550 ล้านบาท สร้างแลนมาร์ค เอาใจฝั่งธนบุรี เปิด “โฮมโปร กัลปพฤกษ์”

โฮมโปร ทุ่มกว่า 550 ล้านบาท เดินหน้าขยายสาขาใหญ่ สาขาแรกในปี 2018 เป็นสาขาที่ 82 บนทำเลทองฝั่งธนบุรี เปิด “โฮมโปร สาขากัลปพฤกษ์” บนถนนสายกัลปพฤกษ์ บริเวณแยกกำนันแม้น รองรับพื้นที่แห่งอนาคต ตอบโจทย์คนรักบ้าน ครบครันด้วยสินค้า และบริการเรื่องบ้านที่ทันสมัย เดินทางง่าย สะดวกสบายด้วยที่จอดรถกว่า 400 คัน และร้านค้าชั้นนำอีกมากมาย อาทิ Starbuck , A&W และ miss mamon บนพื้นที่กว่า 8,200 ตารางเมตร พร้อมเติมเต็มประสบการณ์การช้อปออนไลน์ ด้วยบริการ Click & Collect และคุ้มค่าไปกับโปรโมชั่นลดสูงสุดถึง 70% ในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ เพียงวันเดียวเท่านั้น สำหรับ 500 ท่านแรกร่วมสนุกลุ้นจับคูปองซื้อสินค้าราคาพิเศษ แถมช้อปครบรับฟรี บัตรของขวัญโฮมโปรมูลค่าสูงสุด 22,000 บาท และสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย ตั้งเป้ายอดขายกว่า 80 ล้านบาทต่อเดือน   นางสาวสิริวรรณ เสริมชีพ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” เผยว่า “โฮมโปร ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจตอบรับความต้องการของคนรักบ้านอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจมีแนวโน้มการปรับตัวในทิศทางที่เป็นบวก ส่งผลให้ผู้บริโภคมีการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้น รวมถึงในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในทำเลต่างๆ โดยเฉพาะทำเลทองในกรุงเทพฝั่งธนบุรี บนถนนกัลปพฤกษ์ (แยกกำนันแม้น) ที่มีอัตราการขยายตัวของที่อยู่อาศัย คอมมูนิตี้มอลล์เพิ่มขึ้น อีกทั้งทำเลดังกล่าวยังเป็นจุดเชื่อมต่อไปยังโซนต่างๆได้อีกมากมาย ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯจึงลงทุนขยายสาขา “โฮมโปร กัลปพฤกษ์” สาขาที่ 82 เพื่อรองรับ และตอบโจทย์ลูกค้าบริเวณรอบนอก โดยเน้นสินค้า และบริการที่มีให้เลือกช้อปทุกความต้องการ ทั้งเฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัว และสุขภัณฑ์ พร้อมมอบความสะดวกสบายในการเดินทางด้วยพื้นที่บริการจอดรถกว่า 400 คัน รวมถึงบริการ Click & Collect ที่สามารถซื้อสินค้าออนไลน์ พร้อมเลือกเวลา และสถานที่รับของได้ด้วยตัวเอง นอกจากความครบครันของสินค้า และบริการที่จะตอบโจทย์ลูกค้าแล้ว ภายในยังมีร้านค้าเช่าชั้นนำที่พร้อมให้บริการ และมอบสิทธิพิเศษฉลองเปิดสาขาใหม่ อีกมากมาย อาทิ Starbucks , A&W Restaurants , miss mammon , The Delihouse ,CocoBee , Mee Ok ,ร้านเฟอร์นิเจอร์ LINDA , Forty CM , ร้านนวดชีวารมย์ และ KERRY   และเพื่อเป็นการฉลองเปิดสาขา 29 มิถุนายนนี้ เวลา 09.00 น. วันเดียวเท่านั้น สำหรับ 500 ท่านแรก ร่วมสนุกจับคูปองซื้อสินค้าราคาพิเศษ อาทิ โทรศัพท์มือถือซัมซุง Galaxy S9 ราคา 19,000 บาท จำนวน 10 เครื่อง , Samsung LED Smart TV 43 นิ้ว ราคา 9,900 บาท จำนวน 20 เครื่อง ,ไมโครเวฟ Samsung ราคา 1,290 บาท จำนวน 30 เครื่อง , พัดลมไอเย็น Thomas ราคา 1,990 บาท จำนวน 30 เครื่อง, จักรยานพับได้ 20 นิ้ว ราคา 1,890 บาท จำนวน 30 คัน และชุดกล่องแก้ว 5 ใบพร้อมฝาคลิปล็อค ราคา 190 บาท จำนวน 100 ชุด   ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ 3 วันเท่านั้น สำหรับ 5,000 ท่าน เฉพาะสมาชิกโฮมการ์ดที่สมัครใหม่ และลงทะเบียนผูกไลน์โฮมโปร หรือสมาชิกที่ไม่เคยลงทะเบียนผูกไลน์โฮมโปร รับฟรี คูปองส่วนลด 100 บาท เมื่อช้อป 1,000 บาทขึ้นไป ต่อใบเสร็จ ทั้งนี้ ช้อปครบรับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร สูงสุด 22,000 บาท ช้อปครบ 40,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร 1,000 บาท ช้อปครอบ 80,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร 2,500 บาท ช้อปครบ 120,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร 5,000 บาท ช้อปครบ 200,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปร 10,000 บาท และช้อปครบ 400,000 บาท รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปรมูลค่า 22,000 บาท พร้อมรับเพิ่มคูปองส่วนลดท้ายใบเสร็จมูลค่า 200 บาท เมื่อช้อปครบ 1,000 บาท ขึ้นไปต่อใบเสร็จ ในวันพฤหัสบดี-อาทิตย์   สิทธิพิเศษสุดคุ้มกว่าใคร สำหรับบัตรโฮมการ์ด สมัครบัตรสมาชิกฟรี พิเศษ! เฉพาะสมาชิกใหม่ รับฟรีถุงผ้า และรับคะแนน 500 คะแนน ช้อปฟินเวอร์ ช้อปทุกวันรับคะแนนทุกวัน X3 เท่า เมื่อช้อปสินค้าทุก 20,000 บาท จำกัดยอดสูงสุด 50,000 บาทต่อวัน และ Happy Point เมื่อใช้คะแนนโฮมการ์ดเท่ากับยอดซื้อลดเพิ่มสูงสุด 20% พร้อมรับสิทธิพิเศษจากสถาบันการเงินชั้นนำอีกมากมาย   นางสาวสิริวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า โฮมโปร สาขากัลปพฤกษ์ จะเป็นแลนมาร์คใหม่ในย่านกัลปพฤกษ์ ที่จะรวบรวมสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรักบ้านได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังเดินทางสะดวก และมีโปรโมชั่นสุดพิเศอีกมากมาย ร่วมฉลองเปิดสาขาใหม่ได้ตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย. - 1 ส.ค. 61 พร้อมเปิดบริการทุกวัน 9.00 - 21.00 น. โทร 02-029-7660 หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Call Center หมายเลข 1284 และ www.homepro.co.th FB : homeprothailand
แอสเสท เวิรด์ รีเทล ผนึกพลังแบรนด์ยักษ์ใหญ่ ประกาศความพร้อม เปิดตัวศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ มั่นใจความครบเครื่องบูมกำลังซื้อรับไตรมาส 4 ปี 61

แอสเสท เวิรด์ รีเทล ผนึกพลังแบรนด์ยักษ์ใหญ่ ประกาศความพร้อม เปิดตัวศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ มั่นใจความครบเครื่องบูมกำลังซื้อรับไตรมาส 4 ปี 61

  แบรนด์ชั้นนำของเมืองไทยเชื่อมั่นศักยภาพ ‘ศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ’ ระดมสร้างไฮไลท์รับการเปิดตัวไตรมาส 4 ปีนี้อย่างคึกคัก นำร่องด้วย 6 แบรนด์ดัง ‘บิ๊กซี-โฮมโปร-เดอะ พาวเวอร์ ไลฟ์-เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์-ฟันเฟสต้า-บิวเทรี่ยม’ ทุ่มงบแบบเบรคเรคคอร์ด หวังกวาดกำลังซื้อคุณภาพย่านบางซื่อสุดตัว   นายณภัทร เจริญกุล กรรมการผู้จัดการกลุ่มรีเทล บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ กำหนดเปิดตัว ‘ศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ’ ภายในไตรมาส 4 ของปีนี้ โดยโครงการดังกล่าวใช้งบการลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นโครงการที่มีความพร้อมมากที่สุดโครงการหนึ่งของกลุ่มแอสเสท เวิรด์ รีเทล ทั้งด้านการออกแบบ การวางคอนเซปต์ ตลอดจนได้รับความร่วมมือและกระแสตอบรับจากแบรนด์ยักษ์ใหญ่ที่มากประสบการณ์ในกลุ่มธุรกิจต่างๆ อาทิ ค้าปลีก, โรงภาพยนตร์มาตรฐานระดับโลก, โมเดิร์นเทรดวัสดุและของตกแต่งบ้าน รวมถึงอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยี, สวนสนุกและสนามเด็กเล่นในร่มขนาดใหญ่รับไลฟ์สไตล์ยุค 4.0, แบรนด์แฟชั่นและร้านอาหารชั้นนำมากมาย ซึ่งมั่นใจได้ว่าจะเป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดกำลังซื้อให้เข้ามาจับจ่ายและใช้บริการภายในศูนย์ฯ เพื่อผลักดันให้ ‘ศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ’ กลายเป็นศูนย์กลางด้านความบันเทิงและการบริการอย่างครบวงจรในย่านบางซื่อและละแวกใกล้เคียงได้อย่างแน่นอน   “ศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ ถูกพัฒนาขึ้นจากการหล่อหลอมประสบการณ์ด้านธุรกิจรีเทลของ บริษัทฯ และเป็นศูนย์การค้าที่มีความพร้อมและครบวงจรมากที่สุดในด้านการบริการ ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะด้านคมนาคม ซึ่งเป็นจุดผ่านของรถไฟฟ้าสายสีม่วง และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินปัจจัยหลักที่เอื้อต่อการดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ โดยย่านดังกล่าวถือเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยที่มีความหนาแน่นของประชากรที่มีกำลังซื้อสูง รวมถึงการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมการใช้บริการอีกด้วย” นายณภัทร เจริญกุล กล่าว   ด้านนางวิภาดา ดวงรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)ห้างค้าปลีกในกลุ่มบีเจซี กล่าวแสดงความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของ ‘ศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ’ ว่า ความแข็งแกร่งของศูนย์การค้าเกตเวย์ แอท บางซื่อ คือความสะดวกด้านคมนาคม และการเป็นศูนย์กลางของแหล่งชุมชนที่มีการผสมผสานระหว่างกลุ่มชุมชนดั้งเดิมและกลุ่มผู้ที่เข้ามาอาศัยใหม่จากการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งเสริมความมั่นใจในกำลังซื้อที่จะเกิดขึ้น โดยบิ๊กซีจะนำเสนอ ซูเปอร์มาร์เก็ต ในแพลตฟอร์มใหม่ภายใต้ชื่อ “Big C Foodplace” ด้วยแนวคิด Your Food Destination เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้ายุคปัจจุบัน ที่ต้องการความสะดวกสบาย ทันสมัย และส่งเสริมด้านสุขภาพเป็นสำคัญ โดยจะชูจุดเด่นในเรื่องของการคัดสรรอาหารพร้อมทานสดใหม่ (Ready meal) พร้อมทั้งวัตถุดิบที่ใช้ประกอบอาหารที่มีคุณภาพ คำนึงถึงความปลอดภัย มั่นใจถึงข้อมูลและแหล่งที่มาของสินค้า โดยใส่ใจในทุกรายละเอียด เช่นสินค้าวงจรคุณภาพ BQL (Big C Quality Line) และสินค้าออร์แกนิค (Organic Food) เป็นต้น โดยการพัฒนาสาขาภายใต้แนวคิดใหม่ในครั้งนี้เพื่อตอบโจทย์ครบทุกความต้องการกับการใช้ชีวิตของผู้บริโภค เพื่อตอกย้ำความเป็นห้างคนไทยหัวใจคือลูกค้าได้อย่างตรงจุด   ด้านยักษ์ใหญ่ กลุ่มธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้าน และที่อยู่อาศัยในประเทศไทยโดยนายวทัญญู วิสุทธิโกศล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โฮมโปร ได้นำโมเดลธุรกิจ HomePro S มาให้บริการที่ศูนย์การค้าแห่งนี้ เพื่อให้ใกล้ชิดลูกค้ามากกว่าเดิม ด้วยการเปิดสาขาขนาดเล็กในศูนย์การค้า และคอมมูนิตี้มอลล์ ใกล้ย่านชุมชน ให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในการจับจ่ายสินค้าภายในบ้าน โดยเราคัดเลือกสินค้าที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และให้ลูกค้าสนุกกับการสั่งซื้อสินค้าอื่นๆ ได้ครบครันเหมือนสาขาขนาดใหญ่ ผ่านเคาน์เตอร์ออนไลน์ที่มีบริการภายในร้าน ภายใต้แนวคิด 3S -Smart ,Select และ Service “SMART” สะดวก ช้อปง่าย สบาย ใกล้บ้าน เพราะตั้งอยู่ภายในศูนย์การค้าใกล้บ้าน “SELECT” คัดสรรสินค้า ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในการปรับปรุง ซ่อมแซม ดูแลรักษา “SERVICE” ครบครันทุกบริการเพื่อคนรักบ้าน เหมือนสโตร์ใหญ่ รวมถึงการช้อปออนไลน์รูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า Click & Collect ซื้อสินค้าผ่านทางออนไลน์ ลูกค้าสามารถกำหนดช่วงเวลา พร้อมเลือกวันรับสินค้า และจุดรับสินค้าได้ที่ โฮมโปร ทุกสาขาทั่วประเทศ ตามความต้องการ ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสนุกกับการสั่งซื้อสินค้าอื่นๆได้ครบครันเหมือนสาขาขนาดใหญ่ ตลอดจน The Power Life ศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ครบครัน และทันสมัยมากที่สุด ให้กลุ่มลูกค้าได้เลือกซื้อได้ครบทุกอย่างแบบจบในที่เดียว โดยแนวทางดังกล่าวจะสามารถตอบโจทย์ ตลอดจนรองรับความสะดวกสบายให้กับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้าเกี่ยวกับบ้านได้ง่ายขึ้น   ในขณะที่นายอภิชาติ คงชัย รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจโรงภาพยนตร์ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จํากัด (มหาชน) กล่าวแสดงความมั่นใจต่อการลงทุนครั้งใหม่ในครั้งนี้ว่า เกตเวย์ แอท บางซื่อ เป็นศูนย์การค้าที่มีความน่าสนใจ ตั้งอยู่บนทำเลที่รายล้อมไปด้วยที่อยู่อาศัย, ออฟฟิศ, สถานที่ราชการ และสถานศึกษาชั้นนำ ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ โดยการเดินทางที่สะดวกสบาย เป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการได้ง่ายยิ่งขึ้น สำหรับโรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ จะมีจำนวน 6 โรง รวม 1,400 ที่นั่ง ซึ่งจะสามารถรองรับกลุ่มลูกค้าที่จะมาใช้บริการได้อย่างแน่นอน โดยเบื้องต้นได้ตั้งเป้าผู้ใช้บริการประมาณ 600,000 คนต่อปี   ในส่วนของนายภูวนาถ บางพาน ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท แฟมมิลี่ อะมิวส์เม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ฟันเฟสต้า (FUNfesta) สวนสนุกในร่มที่จะเปิดตัวในครั้งนี้นั้น มีพื้นที่กว่า 700 ตารางเมตร ออกแบบในสไตล์ลอฟท์ (Loft) ที่พร้อมจะสร้างความตื่นตาตื่นใจด้วยไฮไลท์ใหม่คือถ้ำคริสตัล ตกแต่งด้วยผลึกอัญมณี และชิ้นส่วนของคริสตัล ซึ่งถือเป็นแห่งแรกของ ฟันเฟสต้า (FUNfesta) กับการออกแบบในสไตล์ดังกล่าว พร้อมความสนุกที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับทุกคนในครอบครัว ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ศูนย์รวมของเครื่องเล่นที่ครบครันและทันสมัยที่สุด อาทิ Sport Zone เอาใจคอกีฬา และเน้นการออกกำลัง ทั้งชกมวย, Air Hockey, บาสเก็ตบอล, Action Zone เครื่องเล่นที่ทันสมัยเอาใจผู้ที่ชอบความตื่นเต้นเร้าใจกับเครื่องเล่นยิงปืน และแข่งรถ Kid Zone เอาใจน้องๆ หนูๆ กลุ่มอายุ 3-12 ปี เพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาการ โดยการบริการที่เกิดขึ้นนั้นจะตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้เป็นอย่างดี   ปิดท้ายด้วยนายจิรวุฒิ โรจน์รัตนวลี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิวเทรี่ยม จำกัด ผู้นำศูนย์รวมด้านผลิตภัณฑ์ความงามที่รวบรวมแบรนด์และบริการระดับโลก กล่าวว่า บิวเทรี่ยม ได้เปิดสาขาและร่วมงานกับ บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด มาแล้วทั้ง 2 สาขาที่ เซ็นเตอร์พอยท์ ออฟ สยามสแควร์ และเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ซึ่งได้รับความนิยมและการตอบรับจากลูกค้าทุกเพศทุกวัยเป็นจำนวนมาก อีกทั้งได้รับคำแนะนำที่ดีจากทางศูนย์การค้า พอมาที่เกตเวย์ แอท บางซื่อ เราพร้อมที่จะสร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหม่ให้กลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการ ตั้งแต่การออกแบบร้านที่ใช้นักออกแบบมืออาชีพเพื่อเปลี่ยนลุคใหม่ทั้งร้านให้เห็นความแตกต่างจากสาขาอื่นๆ ทั้งการตกแต่งภายใน, ชั้นวางของ รวมไปถึงกิจกรรมทางการตลาดสุดพิเศษที่มามอบให้ลูกค้าในย่านนั้นแบบไม่เหมือนใคร ซึ่งมั่นใจได้ว่าจะโดนใจกลุ่มลูกค้า และได้รับกระแสตอบรับที่ดี ตลอดจนเลือกเข้ามาใช้บริการอย่างเนืองแน่น
เจ.เอส.พี. ยิ้มแก้มปริ โกยยอดขายหน้าฝนกว่า 700 ล้านบาท

เจ.เอส.พี. ยิ้มแก้มปริ โกยยอดขายหน้าฝนกว่า 700 ล้านบาท

สมกับเป็นมืออาชีพ สำหรับซีอีโอคนเก่งไฟแรงอย่าง นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล แห่งค่าย บมจ. เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ ที่หลังเข้ามาบริหารไม่ทันไรก็สร้างผลงานโดดเด่น ล่าสุดปล่อยแคมเปญแรงท้าลมฝน “JSP Special Outlet” ไปได้ไม่ถึงเดือน กระแสตอบรับก็ดีเกินคาด ทำเอายอดขายทะลุเป้าไปแล้วกว่า 700 ล้านบาท โดยโครงการที่ทำยอดขายได้มากที่สุด ได้แก่ โครงการเจ ซิตี้ รังสิตคลอง 1 ประมาณ 101 ล้านบาท ตามด้วยโครงการเจซิตี้ รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง ที่เพิ่งเปิดโซนใหม่ ติดสวน ทำยอดขายไปราว 87 กว่าล้านบาท และยังมี โครงการเจซิตี้ แพรกษา ยอดขายประมาณ 84 ล้านบาท พร้อมด้วยโครงการคอนโด ไมอามีบางปู อีกประมาณ 83 ล้านบาท เป็นต้น ติดตามสินค้าดี พร้อมโปรโมชั่นดีครั้งต่อไปได้ที่ โทร : 1173 หรือรายละเอียดผ่านทางเฟสบุ๊ค: JSP Property ไลน์ : @JSP Property
LPN ขยายความสำเร็จย่านปิ่นเกล้า เปิดรีสอร์ตคอนโด ชูคอนเซ็ปต์ “ที่..ที่เห็นโลกกว้างกว่าที่เคย”  จุดเด่นวิวสวยมุมสูง ฟรีเฟอร์ & แอร์ เริ่ม 1.69 ลบ. เปิด 30 มิ.ย.นี้ ลดสูงสุด 1.1 แสนบาท

LPN ขยายความสำเร็จย่านปิ่นเกล้า เปิดรีสอร์ตคอนโด ชูคอนเซ็ปต์ “ที่..ที่เห็นโลกกว้างกว่าที่เคย” จุดเด่นวิวสวยมุมสูง ฟรีเฟอร์ & แอร์ เริ่ม 1.69 ลบ. เปิด 30 มิ.ย.นี้ ลดสูงสุด 1.1 แสนบาท

LPN ลุยรับความสำเร็จต่อเนื่อง ปักหมุดทำเลเด่นย่านปิ่นเกล้า เปิดคอนโดน้องใหม่ “ลุมพินี พาร์ค บรมราชชนนี-สิรินธร” โครงการส่วนต่อขยาย (Expand Project) หลังประสบผลสำเร็จแล้ว 7 โครงการ หยิบจุดเด่นของถนนรุ่งประชา ที่เงียบ สงบ ในบรรยากาศพื้นที่สีเขียว ไม่มีตึกสูงรายล้อม ดีไซน์คอนโดสไตล์รีสอร์ต ภายใต้แนวคิด “Modern Vertical Resort” หวังเหมาะเป็นที่พักอาศัยของคนเมือง สู่อาณาจักรแห่งการพักผ่อน ตอบโจทย์ความเป็นส่วนตัวเพียง 680 ยูนิต ชูคอนเซ็ปต์ “ที่..ที่เห็นโลกกว้างกว่าที่เคย” พร้อมเทควิวสวย มุมสูง ไร้ตึกใดบดบังทัศนียภาพ สะดวกทุกการเดินทางด้วยการเข้า-ออกสองเส้นทางที่มุ่งสู่ถนนบรมราชชนนีและถนนสิรินธร ทุกห้องฟรีเฟอร์นิเจอร์ เครื่องปรับอากาศและเครื่องทำน้ำอุ่น เชื่อมั่นการบริการหลังการขายด้วยแนวคิด “ชุมชนน่าอยู่” (Livable Community) ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท ลดสูงสุดเฉพาะวันงาน 1.1 แสนบาท เปิดขายวันเสาร์ที่ 30 มิ.ย.นี้ นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า “บริษัทเตรียมเปิดตัวคอนโดใหม่ภายใต้ชื่อ “ลุมพินี พาร์ค บรมราชชนนี-สิรินธร” มูลค่า 1,600 ล้านบาท ตั้งอยู่บนถนนรุ่งประชาในทำเลย่านปิ่นเกล้า ซึ่งเป็นโครงการส่วนต่อขยาย (Expand Project) ที่บริษัทได้วางแผนไว้ สืบเนื่องจากเคยประสบผลสำเร็จกับการพัฒนาคอนโดในย่านนี้ทั้งสิ้น 7 โครงการ อันมีเหตุผลมาจากความเชื่อมั่นในบริการหลังการขายภายใต้แนวคิด “ชุมชนน่าอยู่” รวมถึงศักยภาพทำเลที่โดดเด่นหลายประการตั้งแต่ใกล้สถานที่สำคัญทางราชการ เช่น วัดหลวงและสนามหลวงอันเป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญทางศาสนาของประเทศไทย รวมถึงยังเป็นเส้นทางหลักที่มุ่งหน้าสู่ภาคใต้และภาคตะวันตก ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า “ถนนบรมราชชนนี” คือ หัวใจหลักของเส้นทางสัญจรในย่านปิ่นเกล้า เริ่มต้นที่จุดตัดระหว่างถนนจรัญสนิทวงศ์และถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า แยกบรมราชชนนีไปสิ้นสุดที่ถนนเพชรเกษมในเขตอำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม รวมระยะทางประมาณ 34 กิโลเมตร จากนั้นได้มีการสร้างทางคู่ขนานลอยฟ้าบนถนนบรมราชชนนี ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทำให้การจราจรในย่านนี้คล่องตัวและถนนสายนี้ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น” ส่วนถนนสิรินธรเป็นถนนสายสั้นๆ ระยะทางเพียง 3 กิโลเมตร จากสี่แยกบางพลัดที่ถนนจรัญสนิทวงศ์ตัดกับถนนราชวิถีมาบรรจบถนนบรมราชชนนี ทำให้ย่านนี้มีทางเลือกในการสัญจรเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนับว่าถนนบรมราชชนนีและถนนสิรินธรเป็นถนนสายสำคัญของย่านปิ่นเกล้าและฝั่งธนบุรีที่มีส่วนทำให้พื้นที่ในแถบนี้มีการพัฒนาเติบโตอย่างรวดเร็ว เสมือนเป็นการบุกเบิกพื้นที่ให้กลายเป็นเมืองใหม่ มีความเจริญและเพียบพร้อมไม่แพ้ย่านใดๆ ในกรุงเทพฯ ทั้งตลอดแนวถนนทั้งสองสายยังมีห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล สถานศึกษาและสิ่งอำนวยความสะดวกอีกมากมาย ส่วนพื้นที่ภายในถนนรุ่งประชาซึ่งเป็นถนนที่เชื่อมต่อกับถนนบรมราชชนนีและถนนสิรินธร ถือเป็นถนนสายรองที่สำคัญสายหนึ่งเป็นเหมือนทางลัดที่ตัดตรง ช่วยย่นย่อระยะทางระหว่างถนนหลักสองสาย เป็นย่านที่มีพื้นที่สีเขียวอยู่มากและไม่มีตึกสูงรายล้อม บรรยากาศจึงสงบ ร่มรื่น ปลอดโปร่ง เป็นธรรมชาติเหมาะแก่การพักผ่อน อีกทั้งการเดินทางสัญจรไป-มาสามารถเข้า-ออกได้ทั้งสอง 2 จึงเป็นทำเลที่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยเป็นอย่างมาก “ลุมพินี พาร์ค บรมราชชนนี-สิรินธร” ตั้งอยู่บนถนนรุ่งประชาได้รับการออกแบบให้เป็นคอนโดสไตล์รีสอร์ต ตามแนวคิด “Modern Vertical Resort” โดยเลือกใช้วัสดุ สีสัน การตกแต่งและการออกแบบที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ อบอุ่น ทันสมัย ประกอบกับโครงการแห่งนี้ที่ดินยังถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนตามลักษณะธรรมชาติด้วยคลองเล็กๆ ที่เชื่อมระหว่างกันด้วยสะพาน LPN จึงได้ออกแบบที่ดินด้านหน้าให้เป็นร้านสะดวกซื้อ (Shop) เพื่อตอบสนองผู้พักอาศัยในโครงการรวมถึงผู้คนบริเวณใกล้เคียง และยังมีอาคารชุดพักอาศัย (Private Villa) จำนวน 5 ยูนิต เป็นอาคารสูง 3 ชั้นครึ่ง 3 ห้องนอน ที่จอดรถ 3 คัน รวมถึงพื้นที่ใช้สอยต่างๆ อย่างครบครัน “ถัดเข้ามาในพื้นที่โครงการ LPN วางผังอาคารสะท้อนให้เห็นบรรยากาศที่น่าพักผ่อน เสมือนเป็นรีสอร์ตที่อยู่ใกล้เมือง ตำแหน่งของ แต่ละอาคารจะโอบล้อมด้วยสวนและสระว่ายน้ำ ประกอบด้วยอาคารชุดพักอาศัยจำนวน 680 ยูนิต จำนวน 3 อาคาร และอาคารจอดรถจำนวน 1 อาคาร ห้องชุดแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ Studio, 1 ห้องนอนและ 2 ห้องนอน พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ เช่น Fitness, Co-Living Space, สระว่ายน้ำ, ลู่วิ่ง, ลานออกกำลังกายกลางแจ้งและมุมนั่งเล่นในสวน พร้อมการบริหารหลังการขายแบบมืออาชีพ “ชุมชนน่าอยู่” (Livable Community) ราคาขายเริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท รับส่วนลดสูงสุดเฉพาะวันงานมูลค่า 110,000 บาท ทุกห้องฟรีเฟอร์นิเจอร์ เครื่องปรับอากาศและเครื่องทำน้ำอุ่น เปิดขายอย่างเป็นอย่างการวันเสาร์ที่ 30 มิถุนายนนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม LPN Call Center 02-689-6888 หรือ www.lpn.co.th” นายโอภาสทิ้งท้าย
สิริ เวนเจอร์ส เชื่อมโยงนวัตกรรม Wind Turbine  พร็อพเทคระดับโลกมาเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยในไทยเป็นครั้งแรก  พร้อมนำทัพ 2 พันธมิตรชั้นนำบินตรงเผยกลยุทธ์ผลักดันสตาร์ทอัพไทยสู่ระดับโลก

สิริ เวนเจอร์ส เชื่อมโยงนวัตกรรม Wind Turbine พร็อพเทคระดับโลกมาเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยในไทยเป็นครั้งแรก พร้อมนำทัพ 2 พันธมิตรชั้นนำบินตรงเผยกลยุทธ์ผลักดันสตาร์ทอัพไทยสู่ระดับโลก

จิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัทสิริ เวนเจอร์ส จำกัด (กลาง) นำทีมคณะผู้บริหารร่วมเสวนาในงาน Siri Ventures Global Connection Platform เพื่อเผยถึงเทรนด์ในการลงทุนและแนวทางการพัฒนา Prop Tech เพื่อตอบโจทย์การเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยอย่างสมบูรณแบบ (complete your living experience) ของแสนสิริ พร้อมชวน มร.ชอน เดฮ์พานาฮ์ รองประธานบริหาร ฝ่ายพันธมิตรองค์กรและนวัตกรรม จากบริษัท Plug and Play จากซิลิคอน วัลเล่ย์ สหรัฐอเมริกา (ซ้าย) และ มร. เบน สตรูว์โก ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมองค์กรจากบริษัท SOSA จากประเทศอิสราเอล (ขวา) ในฐานะพันธมิตรเครือข่ายสตาร์ทอัพระดับโลกบินตรงมาร่วมเปิดกลยุทธ์สำคัญในการเปิดประตูสร้างโอกาสผลักดันสตาร์ทอัพไทยสู่ระดับโลก พร้อมดึงโมเดล Wind Turbine กังหันลมสำหรับผลิตพลังงานไฟฟ้าสำหรับโครงการที่พักอาศัยมานำเสนอครั้งแรกในไทย สะท้อนพันธกิจการลงทุนก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงนวัตกรรมระดับโลกของบริษัทฯ พร้อมด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำอีกมากมาย ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง ณ งาน Techsauce Global Summit 2018 โรงแรมเซนทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัล เวิลด์ เมื่อเร็วๆนี้
BTS เสียบ่อย แล้วคอนโดติดรถไฟฟ้ายังจำเป็นอยู่ไหม

BTS เสียบ่อย แล้วคอนโดติดรถไฟฟ้ายังจำเป็นอยู่ไหม

โอ้โห!!! BTS เสียทั้งวันทั้งคืนมา 3 วันรวด แถมล่าสุดพ่วงมาด้วย MRT ก็เสียไปด้วยอีก เหล่ามนุษย์ออฟฟิศทั้งหลายก็ได้แต่ถอนใจ ทำอะไรไม่ได้นอกจากโวยวายผ่านโซเชียลกันสนั่น เมื่อเป็นเช่นนี้หลายคนที่เคยหวังให้รถไฟฟ้าเป็นการเดินทางหลักที่จะช่วยให้ชีวิตแสนสะดวกสบายในเมืองกรุงก็เป็นอันพังทลายในพริบตา แล้วแบบนี้หากคิดจะลงทุนควักเงินซื้อคอนโดราคาแสนแพงติดสถานีรถไฟฟ้ายังจำเป็นอยู่หรือไม่     ระบบคมนาคมขนส่งในบ้านเราเป็นที่ทราบกันดีว่า “ยังไม่มีอะไรสมบูรณ์พร้อม” จริงไหมคะ รถเมล์ก็รอนานกว่าจะมาแต่ละสาย วินมอเตอร์ไซค์ก็เรียกค่าโดยสารแพง แท็กซี่ก็ช่างเลือก เรือด่วนเจ้าพระยา เรือคลองแสนแสบก็มีเส้นทางไม่ครอบคลุมมากนัก พอเก็บเงินซื้อรถยนต์หวังความสะดวกสบาย แต่ต้องติดอยู่บนถนนหลายชั่วโมง ซึ่งถ้านับเวลาที่อยู่บนถนนก็สามารถขับรถออกต่างจังหวัดได้เลยใช่ไหมคะ สุดท้ายรถไฟฟ้าจึงเป็นทางเลือกที่ประหยัดเวลาที่สุดสำหรับการเดินทางในกรุงเทพฯ และปริมณฑลบางช่วงที่รถไฟฟ้าเข้าถึง หากไม่เกิดเหตุการณ์เสียบ่อยในชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้     ในส่วนของคอนโดมิเนียมหลายโครงการก็พยายามหาทำเลเหมาะๆ ใกล้สถานี เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตอันเร่งรีบ แบบที่ลงมาจากคอนโดปุ๊บ เดินอีกไม่กี่ก้าวก็ขึ้นสถานีรถไฟฟ้าไปทำงานได้เลย ประหยัดเวลาไปได้อีกเยอะเลยค่ะ แต่หากสถาณการณ์รถไฟฟ้าในปัจจุบันยังไม่สู้ดีอยู่  เช่นนี้ ประกอบกับราคาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าอันแสนแพง เราก็คงอาจจะต้องย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองกันใหม่ว่า คอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราจริงหรือไม่ เพราะสิ่งที่พอจะเป็นทางออกของการเดินทางในกรุงเทพฯ ได้ในขณะนี้ คือนอกจากจะต้องเผื่อเวลาการเดินทาง ก็ต้องวางแผนการเดินทางเอาไว้หลากหลายเส้นทางด้วย เช่น ใครที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวถ้าใช้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นหลัก ก็อาจจะต้องหาโครงการที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าไปพร้อมๆ กับมีป้ายรถเมล์ วินมอเตอร์ไซค์อยู่ใกล้ๆ ไปด้วย แต่ถ้าใครใช้รถยนต์  ส่วนตัว นอกจากจะมองหาคอนโดมิเนียมที่ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนแล้ว ก็ต้องสามารถเลือกไปขึ้นรถไฟฟ้าได้ด้วยเป็นแผนสำรองในบางวันเอาไว้ หรือจะเลือกอยู่คอนโดมิเนียมใกล้กับออฟฟิศไปเลยก็น่าสนใจนะคะ จะได้ตัดปัญหาเรื่องการเดินทางออกไปเลย   สุดท้ายแล้วคอนโดมิเนียมทำเลดี ไม่ได้หมายความว่าจะต้องติดสถานีรถไฟฟ้าให้มากที่สุดเสมอไป แต่คอนโดมิเนียมที่ตั้งบนทำเลอัน  เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ตัวผู้อยู่อาศัยเองจริงๆ มากกว่า ถึงจะเรียกว่าเป็นคอนโดมิเนียมทำเลดีที่สุดสำหรับตัวเราเอง ฉะนั้นก็ลองถาม  ความต้องการของตัวเองดูให้ดีค่ะ ว่าโครงการทำเลไหนจึงจะตอบโจทย์เราได้มากที่สุด
HBA เปิดหลักสูตร “HBEX” หวังสร้างมาตรฐานรับสร้างบ้าน ชูกลยุทธ์ “Content Marketing” เน้นสื่อสารเพิ่มสมาชิกสมทบ

HBA เปิดหลักสูตร “HBEX” หวังสร้างมาตรฐานรับสร้างบ้าน ชูกลยุทธ์ “Content Marketing” เน้นสื่อสารเพิ่มสมาชิกสมทบ

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดแผนดันองค์กรเติบโตแบบยั่งยืน ชู Content Marketing วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคยุค 4.0 พร้อมเปิดตัวหลักสูตร “รับสร้างบ้านอย่างมืออาชีพ “HBEX : Home Builder Expert” หวังดึงดูดและเสริมทักษะผู้ประกอบการ รับสร้างบ้านรุ่นใหม่ มั่นใจเนื้อหาครอบคลุมทุกมิติ มุ่งให้เห็นโอกาสและประสบการณ์ใหม่ พร้อม เคล็ดลับสร้างธุรกิจให้โตแบบมีคุณภาพ เปิดรับสมัครถึง 31 ก.ค. นี้     นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association : HBA) เปิดเผยว่า ธุรกิจรับสร้างบ้านเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจโดยรวม ที่มีความเชื่อมโยงในหลายมิติ การสร้างบ้านหนึ่งหลังให้สมบูรณ์ ไม่ใช่แค่เฉพาะซัพพลายเชนเดียว แต่มีส่วนเกี่ยวเนื่องหลายส่วน ทั้ง การถมดิน งานตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ ชุดครัว อุปกรณ์อำนวยความสะดวก งานจัดสวน เป็นต้น การประกอบธุรกิจนี้ไม่มีเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ แต่ต้องอาศัยทัศนคติที่ถูกต้อง และใช้ทักษะประสบการณ์ที่สั่งสม เพื่อสร้างบ้านที่มีคุณภาพ จึงจะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ   ปัจจุบันตลาดรับสร้างบ้านและพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจไทยเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้านมากยิ่งขึ้นจากการเปิดเขตเศรษฐกิจเสรีอาเซียน และเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจโลกมากขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งจะส่งผลให้รูปแบบธุรกิจมีความหลากหลายมากขึ้น ขณะเดียวกันกลุ่มประชากรทั้งด้าน อายุ รายได้ รสนิยมก็มีการเปลี่ยนแปลง จำเป็นที่ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านต้องปรับตัวและรู้เท่าทันแนวโน้มต่างๆเหล่านี้     นอกจากนี้ เพื่อสร้างการเติบโตขององค์กร สมาคมฯ จึงได้เพิ่มกลยุทธ์การสื่อสารรูปแบบใหม่ๆที่มุ่งเชิง Content Marketing เน้นเนื้อหาหลากหลายมิติ หลายแพลตฟอร์ม เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญช่วยอัพไซส์องค์กรให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายหลักของสมาคมฯในปีนี้ ที่ต้องการขยายฐานสมาชิกสมทบเพิ่มอีกอย่างน้อย 10% ซึ่งเป็นกลุ่มวิศวกร สถาปนิก ช่างฝีมือและกลุ่มรับสร้างบ้านคุณภาพรุ่นใหม่ ที่ประกอบกิจการรับสร้างบ้านมาไม่น้อยกว่า 1 ปี และมีผลงานรับสร้างบ้านไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาทภายใน 3 ปี เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นของธุรกิจรับสร้างบ้าน จากปัจจุบันที่มีสมาชิกอยู่ 136 ราย เพื่อสร้างมูลค่าตลาดรวมของธุรกิจให้เพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมราว 11,000 ล้านบาท ทำให้การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรับสร้างบ้านมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น   สำหรับปีนี้ ในการสร้างตลาด สมาคมฯจะใช้เนื้อหาควบคู่ไปกับเทคโนโลยี และเพิ่มช่องทางการสื่อสารผ่านทางสังคมออนไลน์ โดยเริ่มเปิดตัวแคมเปญแรกไปแล้ว กับ “โอกาสทางธุรกิจ” ด้วยคลิปวีดีโอ ถ่ายทอดประสบการณ์จริงของสมาชิกสมาคมฯ ซึ่งได้เริ่มเผยแพร่แล้วทาง Social Media ของสมาคมฯ ทั้ง YouTube Fanpage (Facebook) และเว็บไซต์สมาคม นอกจากนี้ ทางสมาคมฯ ยังได้ผลิต รายการสาระความรู้ ”สร้างบ้าน สร้างสุข” จะออกอากาศทุกวันพฤหัส หลังข่าว ทางสถานีดิจิตอลทีวี ช่อง NEW18 เริ่ม 21 มิ.ย.-23 สิงหาคม ศกนี้ โดยเป็นการออกอากาศคู่ขนาน ไปพร้อมกับผ่านทาง Social Media ของสมาคมฯ ทั้ง YouTube Fanpage (Facebook) และเว็บไซต์สมาคม โดยเนื้อหาจะเน้นเกี่ยวกับประเด็นที่คนอยากสร้างบ้านควรรู้ตั้งแต่จนจบ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลที่สมาคมฯ มักได้รับการสอบถามจากผู้บริโภคบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมพร้อมก่อนจะสร้างบ้าน การเลือกใช้วัสดุ การขอสินเชื่อ ฯลฯ เราก็ได้รวบรวมมาเป็นตอนๆ ได้ 10 ตอน เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคให้มีความเข้าใจได้ง่ายขึ้น   ด้านนายธีร์ บุญวาสนา อุปนายกฝ่ายวิชาการ สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่า ในด้านการเตรียมความพร้อมรับสมาชิกภาคสมทบ ทางสมาคมได้เปิดหลักสูตร อบรมรับสร้างบ้านอย่างมืออาชีพ HBEX (เอชบีเอ็กซ์) : Home Builder Expert เพื่อเพิ่มทักษะและประสบการณ์ในงานสายงานจากการถ่ายทอดประสบ การณ์ จากเจ้าของธุรกิจรับสร้างบ้านชั้นนำที่ประสบความสำเร็จ ไปสู่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หรือผู้รับเหมาที่ต้องการเข้าสู่ธุรกิจรับสร้างบ้าน เพื่อขยายฐานสมาชิกสมทบ เข้ามาช่วยพัฒนาธุรกิจให้เติบโตมากขึ้น โดยทางสมาคมฯ อยากให้ผู้เข้าอบรมได้ความรู้ ทักษะ มีโอกาสแลกเปลี่ยนมุมมองทัศนคติ กับเหล่าวิทยากร นักคิด นักบริหารตัวจริงของวงการ เพื่อร่วมสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ ร่วมสานพลัง ยกระดับธุรกิจรับสร้างบ้านไปพร้อมกัน   ทั้งนี้หลักสูตรดังกล่าวจะเป็นการอบรมในภาคเช้า และการ Work shop ในภาคบ่าย จำนวน 5 ครั้ง และการดูงานร่วมกับสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านอีก 1 ครั้ง รวม 6 ครั้ง โดยหัวข้อจะเน้นเนื้อหาที่อยู่ในความสนใจ และเกี่ยวข้องกับธุรกิจรับสร้างบ้านแบบเจาะลึก ได้แก่ การสร้างแบรนด์สมัยใหม่ในยุคดิจิทัล , การออกแบบที่อยู่อาศัยให้อยู่สบายและถูกใจลูกค้า ,การบริหารต้นทุนและการเงิน ธุรกิจเดินไม่สะดุด , การบริหารคุณภาพ เหนือความคาดหวัง , สร้างบ้านเสร็จตามเวลา ในราคาที่ลงตัว และการร่วมศึกษาดูงาน Home Builder & Materials Expo 2018 ซึ่งสมาคมได้เชิญวิทยากรเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีชื่อเสียง ทั้งที่อยู่ในและนอกวงการรับสร้างบ้าน มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์จริง อาทิ คุณสุริยะ อัม-พันศิริรัตน์ คุณปราโมทย์ ธีรกุล คุณศักดา โควิสุทธิ์ คุณวีรยุทธ ล้อทองพานิชย์ คุณไผท ผดุงถิ่น คุณเนรมิต สร้างเอี่ยม ฯลฯ โดยมี รศ.ดร.ธนิต ธงทอง คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้เกียรติที่เป็นที่ปรึกษาหลักสูตรนี้ด้วย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน โทร 02 570-0153 , 02 970-2744 หรือสืบค้นเว็ปไซต์สมาคม http://www.hba-th.org FACEBOOK : homebuilderclub  
บ้านสถาพร เสริมแกร่งลุยตลาดอสังหา ภายใต้แบรนด์ใหม่สุดทันสมัย “สถาพร เอสเตท” ตั้งเป้า 5 ปี โต 11,500 ล้านบาท

บ้านสถาพร เสริมแกร่งลุยตลาดอสังหา ภายใต้แบรนด์ใหม่สุดทันสมัย “สถาพร เอสเตท” ตั้งเป้า 5 ปี โต 11,500 ล้านบาท

มุ่งมั่นมอบคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมงานออกแบบที่ทันสมัย สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ใส่ใจในสิ่งแวดล้อม พร้อมชูจุดแข็งการพัฒนานวัตกรรมในทุกด้านของการอยู่อาศัยร่วมกับพันธมิตรคุณภาพ รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่อย่างยั่งยืน ประเดิมโครงการแรกในแนวสูงรุกครึ่งปีหลังกับ “The SHADE (Sathon1)” บนทำเล CBD ใจกลางสาทร มูลค่าโครงการกว่า 1,300 ล้านบาท นายสุนทร สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมรุกตลาดอสังหาอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้ชื่อ สถาพร เอสเตท (SATHAPORN ESTATE) จากเดิมที่รู้จักในชื่อเดิมคือ บ้านสถาพร รังสิต โดยบจก.เฉลิมนคร และ บ้านทรัพย์หิรัญ โดย บจก.ทรัพย์หิรัญ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพทั้งโครงการบ้านและทาวน์โฮม ในทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี โดยในปีนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมขยายธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้ชื่อ สถาพร เอสเตท (SATHAPORN ESTATE) ที่มุ่งเน้นคุณภาพและบริการ มีการออกแบบและพัฒนาโครงการที่ทันสมัยใส่ใจสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ โดยมีกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ นั่นคือ “Revitalize” ซึ่งหมายถึงการเสริมความแข็งแกร่งเพื่อรองรับการรุกธุรกิจอย่างมีศักยภาพ เริ่มตั้งแต่การพัฒนา Product ภายใต้ Brand ใหม่ที่ถูกออกแบบมาในแนวคิด “For The Nature Of Life” เราจึงพัฒนาเพื่อชีวิตอยู่คู่ธรรมชาติอย่างยั่งยืน “นอกจากนี้ ยังเสริมแกร่งด้วยการผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตร หรือ Strategic Alliance เพื่อรองรับการอยู่อาศัยที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของอนาคต (SMART LIFE) ที่ครอบคลุม 4 ด้าน ไม่ว่าจะเป็น SMART AUTOMATION เป็นการผนึกกำลังกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่าง PANASONIC ที่มุ่งเน้นในเรื่องของการสร้างความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ให้ชีวิตง่ายขึ้น  โดยระบบควบคุมไฟ แอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ รวมถึงนวัตกรรม Safety Town เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพของระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร, SMART ENERGY เป็นการผนึกกำลังกับ EA ANYWHERE ในการติดตั้งสถานีชาร์จประจุไฟฟ้าแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพราะบริษัทฯมองว่าในอนาคตพลังงานจากฟอสซิล หรือน้ำมันจะหมดไป ดังนั้นจึงมองเห็นคุณค่าของการใช้พลังงานอื่นเข้ามาทดแทน, SMART MOBILITY เป็นการผนึกกำลังกับ BOX24 ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านล็อกเกอร์อัจฉริยะ เพื่อช่วยให้ลูกค้าหมดปัญหาการรับพัสดุ หรือ ฝากสิ่งของ ตอนที่ไม่อยู่บ้าน ด้วยล็อกเกอร์อัจฉริยะ ที่มาพร้อมกับบริการเสริม เช่น ส่งพัสดุ, ฝากสิ่งของ, ซักอบรีด, และซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งทั้งหมดนี้ตอบโจทย์ในยุคดิจิทัล และ SMART ENVIRONMENT เป็นการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ร่วมกันพัฒนาเครื่อง Recycle Vending Machine หรือเครื่องรีไซเคิลขยะ ซึ่งเป็นนวัตกรรมล่าสุด เพื่อเป็นการช่วยลดขยะในโครงการอีกด้วย” “ในส่วนของกลยุทธ์ในการรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสถาพร เอสเตท (SATHAPORN ESTATE) จะเริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่แนวสูงมากยิ่งขึ้น โดยคิดเป็นสัดส่วนในการขยายธุรกิจในแนวสูง 50% และแนวราบ 45% และรายได้จากทรัพย์สิน หรือ Recurring Incomes 5%  ซึ่งจะใช้กลยุทธ์ในการรุกตลาดที่แตกต่างกันออกไป โดยแนวราบจะเน้นปัจจัยสำคัญในเรื่องศักยภาพของทำเลในอนาคต ส่วนแนวสูงจะเน้นปัจจัยสำคัญในเรื่องของทำเล CBD ของกรุงเทพฯ และความสะดวกสบายของการอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น ในไตรมาส 3 ของปีนี้ บริษัทฯ มีกำหนดเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรก ในชื่อ “The SHADE (Sathon1)” (เดอะ เชดด์ สาทร 1) คอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 278 ยูนิต ภายใต้แนวคิด “Shades The One You Love” ซึ่งสะท้อนให้นึกถึงบุคคลที่คุณรักพร้อมทั้งยังสะท้อนการเป็นเป็นแหล่งพักพิงที่ให้ร่มเงาแก่คนที่คุณรักไปพร้อม ๆ กัน โดยมาพร้อมกับการออกแบบอาคารให้เย็นโล่ง พร้อม Panoramic Unblock View โปร่งสบายด้วยการระบายอากาศ Air Ventilation Design, Smart Locker, Space Management, His & Her Design และ Single Corridor (บางยูนิต) และพื้นที่จอดรถกว่า 70% พร้อมเทคโนโลยี Smart Home Solutions ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมแอร์, TV และแสงสว่างผ่าน Application บนมือถือ และ Digital Door Lock พร้อมพื้นที่สีเขียวและส่วนกลางครบครัน รวมมูลค่าโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาท” นอกจากนี้ ในปี 2562 ทางบริษัทฯ เตรียมทำการเปิดตัวโครงการแนวสูงเพิ่มอีก 2 โครงการ ได้แก่ The Shade Twig (เดอะ เชดด์ ทวิกก์) เย็นอากาศ   และ The Crown (เดอะ คราวน์) พระราม 4 รวมไปถึงโครงการแนวราบอีก 1 โครงการ ได้แก่ “The Eternity (ดิ อิเธอร์นิตี้) รังสิตคลอง 5” โครงการประเภทบ้านเดี่ยว บนพื้นที่กว่า 99 ไร่ มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นโครงการไฮไลท์ของทางบริษัทฯ ที่ออกแบบโดยทีมงานศิลปินแห่งชาติ จากสถาบันอาศรมศิลป์ โดยจะเน้นพื้นที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพของศูนย์กลางแห่งความเจริญย่านรังสิต ติดถนนใหญ่รังสิต-นครนายก ใกล้ทางด่วนศรีรัช – วงแหวนตะวันออก ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ - รังสิต) และสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (คูคต - ลำลูกกา) อีกทั้งยังใกล้ศูนย์กลางความเจริญแห่งใหม่อย่างศูนย์การค้าเมกา รังสิต และอิเกีย รังสิต “ในปี 2561 นี้ สถาพร เอสเตท ได้ตั้งเป้ายอด Pre-Sale อยู่ที่ 1,300 ล้านบาท (รับรู้รายได้ปี 2563) พร้อมทั้งบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นที่จะเป็นอันดับหนึ่งในใจลูกค้า โดยการนำธรรมชาติมาสร้างสรรค์และพัฒนาให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้อยู่อาศัยทุกเพศทุกวัยด้วยมุมมองการเลือกทำเลที่ตั้งโครงการเพื่อรองรับชีวิตในวันนี้และวันข้างหน้า พร้อมทั้งมั่นใจว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าบริษัทฯ จะสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 11,500 ล้านบาท ได้ตามเป้าหมาย” นายสุนทร กล่าวในตอนท้าย สำหรับผู้สนใจ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของ SATHAPORN ESTATE หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 990 8930 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sathaporn.com และทางเฟสบุคแฟนเพจwww.facebook.com/sathapornestate  
“แสนสิริ” เปิดตำนานโครงการแฟล็กชิพบทใหม่ “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ” บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ย่านพัฒนาการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท

“แสนสิริ” เปิดตำนานโครงการแฟล็กชิพบทใหม่ “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ” บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ย่านพัฒนาการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท

“แสนสิริ” สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโครงการแฟล็กชิพบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของไทย เปิดตัว “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ” ผลงานจากการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันกว่า 3 ปี มอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดด้วยจำนวนเพียง 36 ยูนิต บนผืนที่ดิน 37 ไร่ ถนนพัฒนาการซอย 30 ทำเลศักยภาพที่หาได้ยากใจกลางเมืองซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูง (High Net Worth Individual) ในประเทศไทยที่พรั่งพร้อมด้วยทุกองค์ประกอบแห่งสุนทรียะเพื่อการพักอาศัยสำหรับทุกเจเนอเรชั่น ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจใจกลางเมือง ทั้งสุขุมวิท ทองหล่อ-เอกมัย เพชรบุรีตัดใหม่ พระราม 9 โรงเรียนนานาชาติ ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ มากมาย งามสง่าเหนือกาลเวลาด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมยุครีเจนซี่ (Regency) จากประเทศอังกฤษ มอบประสบการณ์ของการอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ แวดล้อมด้วยความสง่างามอันทันสมัย ผสานกับความรื่นรมย์ ผ่อนคลายด้วยพื้นที่โอ่โถ่ง กว้างใหญ่สำหรับแบ่งปันความรักในทุกเจเนอเรชั่นของครอบครัว ตลอดจนระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด และการออกแบบพื้นที่ใช้งานและฟังก์ชั่นพิเศษตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอันสะท้อนรสนิยมทั้ง The Parlour ห้องอเนกประสงค์ที่เชื่อมต่อกับห้องนอนมาสเตอร์ ห้องผู้สูงอายุบริเวณชั้นล่างติดพื้นที่เปิดโล่ง และลิฟท์ในบ้าน รวมทั้งไฮไลท์ Golf Simulator Room ขนาดใหญ่ครั้งแรกในโครงการบ้านของแสนสิริ พร้อมสุดยอดบริการดูแลลูกบ้านแบบเอ็กซ์คลูซีฟจาก Plus Concierge และบริการด้านไลฟ์สไตล์ระดับโลกจาก Quintessentially     นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ คือ การสานต่อความสำเร็จอันเป็นตำนานของโครงการแฟล็กชิพบ้านเดี่ยวลำดับที่สองของแสนสิริ ซึ่งโครงการแรกของแฟล็กชิพบ้านเดี่ยว คือ “บ้านแสนสิริ สุขุมวิท 67” อาณาจักรชีวิตอันสมบูรณ์พร้อมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่แห่งสุดท้ายใจกลางสุขุมวิทเปิดตัวเมื่อปี 2549และยังคงเป็นที่กล่าวขานจนถึงปัจจุบัน การจะพัฒนาโครงการแฟล็กชิพระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ที่เหนือระดับเช่นนี้ ต้องอาศัยปัจจัยเกื้อหนุนที่พรั่งพร้อมในทุกด้าน บ้านแสนสิริ โครงการแฟล็กชิพที่สองนี้ จึงเกิดขึ้นหลังจากเว้นช่วงจากโครงการแรกกว่า 10 ปี ตั้งแต่การเฟ้นหาที่ดินขนาดใหญ่ที่หาได้ยากใจกลางเมืองในช่วงเวลาที่เหมาะสม การออกแบบรังสรรค์โครงการอย่างพิถีพิถันโดยอาศัยประสบการณ์ ความเข้าใจ การเข้าถึงรสนิยมและความต้องการของลูกค้ากลุ่มซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่อย่างแท้จริงของแสนสิริเพื่อสร้างสรรค์โครงการอาณาจักรแห่งการพักอาศัยที่สมบูรณ์แบบในทุกรายละเอียดทุกตารางนิ้ว ตั้งแต่การออกแบบ รูปแบบสถาปัตยกรรม การตกแต่งภายใน การคัดเลือกวัสดุคุณภาพสูงสุด รวมทั้งการออกแบบพื้นที่การใช้งานและฟังก์ชั่นที่ตอบสนองรูปแบบและความต้องการในการพักอาศัยของกลุ่มลูกค้าระดับบน เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งนิยามของมาตรฐานใหม่ของโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่”   นางสาววิลาสิณี เดชอมรธัญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงรายละเอียดของโครงการแฟล็กชิพระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ล่าสุด บ้านแสนสิริ พัฒนาการ ว่า ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 37 ไร่ เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 36 ยูนิต ประกอบด้วยบ้าน 4 แบบ บนที่ดินขนาด 150 – 560 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 459 – 941 ตารางเมตร ด้วยสนนราคา 65-240 ล้านบาท พัฒนาด้วยแนวคิดการพัฒนาใน 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่   Location : โลเคชั่นที่เห็นแล้วตกหลุมรักตั้งแต่แรกสัมผัส ถนนพัฒนาการถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงมากเนื่องจากเป็นพื้นที่ใจกลางเมืองที่นับวันจะหายากขึ้น เป็นชุมชนที่พักอาศัยคุณภาพสูงมายาวนาน ใกล้กับศูนย์กลางธุรกิจสำคัญ ๆ ทั้งย่านสุขุมวิท ทองหล่อ-เอกมัย เพชรบุรีตัดใหม่ และพระราม 9 พรั่งพร้อมด้วยปัจจัยสำหรับการอยู่อาศัยที่ครบครัน โดยเฉพาะด้านคมนาคมที่หลากหลาย เชื่อมต่อเข้าเมืองในย่านสุขุมวิท ทั้งทองหล่อ-เอกมัย ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ และทางพิเศษศรีรัช โครงการระบบขนส่งมวลชนหลายโครงการทั้งรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง ซึ่งเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ได้ที่สถานีพัฒนาการ โครงการก่อสร้างถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า โครงการก่อสร้างทางลอดถนนพัฒนาการ-รามคำแหง-ถาวรธวัช ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจราจรของถนนพัฒนาการและถนนบริเวณใกล้เคียง อีกทั้งยังรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการใช้ชีวิต ทั้งร้านค้า ศูนย์การค้า โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ อาทิ Shrewsbury International School โรงพยาบาลชั้นนำ รวมไปถึงสวนสาธารณะ เช่น สวนหลวง ร.9 สามารถเดินทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิได้สะดวกรวดเร็ว ราคาที่ดินบริเวณเส้นถนนพัฒนาการจึงมีอัตราการเติบโตสูงมากในปัจจุบัน โดยการประเมินจากกรมที่ดินมีอัตราเติบโตถึง 7-16% จากปีประเมิน 2559-2562 เทียบกับ 2555-2558 ทำเลแถบนี้จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ด้วยศักยภาพของทำเลที่ดึงดูดกลุ่มผู้ซื้อระดับบน และลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูง(High Net Worth Individual) ของประเทศไทยซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี นอกจากนี้โครงการบ้านแสนสิริ ตั้งอยู่บนจุดท้องมังกร ตามหลักฮวงจุ้ยซึ่งเป็นชัยภูมิที่ถือว่าหายาก จากความเชื่อว่าเป็นจุดศูนย์รวมของความอุดมสมบูรณ์ ความรุ่งเรืองและโชคลาภ รวมถึงบ้านเลขที่ซึ่งขึ้นต้นด้วยเลข 789 ที่ถือเป็นที่สุดของเลขมงคล Design : การออกแบบที่เชื่อมต่อทุกพลังงานความรัก บรรจงรังสรรค์ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมในยุครีเจนซี่ (Regency) จากประเทศอังกฤษ ผสมผสานความสวยงาม แบบยุคคลาสสิคและความทันสมัยอย่างลงตัว ตัวบ้านใช้สีขาว ตัดกับองค์ประกอบสีดำ เช่นประตู, กรอบหน้าต่าง ให้ความรู้สึกที่หรูหรา โอ่อ่า สง่างาม แต่งเติมด้วยกลิ่นอายความหรูหราร่วมสมัยด้วยองค์ประกอบของประตูหน้าต่างที่มีเส้นสายของงานฝีมือ เหล็กกระจกบานสูงทุกองค์ประกอบในโครงการได้รับการออกแบบให้เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของการอยู่อาศัยภายในครอบครัว นับตั้งแต่การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยที่สามารถตอบสนองความต้องการของสมาชิกในครอบครัวได้ทุกเจเนอเรชั่น ฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน และรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามมีเสน่ห์เหนือกาลเวลา ชวนให้ตกหลุมรักตั้งแต่แรกสัมผัส Generations : พื้นที่โอ่โถงเหมาะกับทุกกิจกรรมที่รักของทุกเจเนอเรชั่น เพื่อเชื่อมต่อความรักระหว่างรุ่นสู่รุ่น ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่เพียงพอต่อทุกคนในครอบครัว ให้เป็นไปอย่างสะดวกสบายและมีความเป็นส่วนตัวตั้งแต่ครอบครัวขนาดเล็กที่มีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 459 ตารางเมตร ไปจนถึงครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ใช้สอย 941 ตารางเมตร อยู่อาศัยร่วมกันได้ถึง 4 รุ่น   นอกจากนั้น ยังมีฟังก์ชั่นพิเศษที่สะท้อนรสนิยมการใช้ชีวิตเหนือระดับ อย่าง The Parlour ห้องอเนกประสงค์กึ่งกลางแจ้งเชื่อมต่อกับห้องนอนมาสเตอร์เพื่อเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ, Great Room พื้นที่ศูนย์รวมการใช้งานที่ต่อเนื่องเข้าไว้ที่มีขนาดใหญ่ ให้ความรู้สึกโอ่อ่า, Walk-in Closet ในทุกห้องนอน, ห้องผู้สูงอายุบริเวณชั้นล่างติดกับพื้นที่เปิดโล่งด้านข้างและด้านหลังของตัวบ้านเพื่อความเป็นส่วนตัว ออกแบบอย่างกว้างขวางเพื่อให้รถเข็นเข้าออกได้สะดวก ใช้วัสดุพื้น Shock Absorption Floor ซึ่งมีคุณสมบัติไม่ลื่น ช่วยดูดซับและลดแรงกระแทก, Walk-in Shoes Closet โซนเก็บรองเท้าติดประตูทางเข้าจากที่จอดรถ, Wine Cellar ห้องเก็บไวน์ส่วนตัวบริเวณกลางบ้าน พร้อมรวบรวมแบรนด์ชั้นนำระดับโลกมาไว้ในโครงการด้วยการคัดสรรอย่างละเมียดละไม อาทิ สุขภัณฑ์จาก Kohler หินอ่อนชนิด White Venus Marble เครื่องครัว Hacker Kitchen จากเยอรมัน อ่างล้างจานจาก Silestone by Cosentino ตู้เย็น เตาอบและตู้แช่ไวน์จาก Kuppersbusch ลูกบิดประตูทองเหลือง จาก Baldwin แบรนด์เก่าแก่จากสหรัฐอเมริกา   บ้านแสนสิริ พัฒนาการ ยังได้ติดตั้งเทคโนโลยี Home Intelligence ล่าสุดที่จะอำนวย ความสะดวกให้กับผู้อยู่อาศัยในทุกๆ ด้าน ทั้งระบบรักษาความปลอดภัยระดับโลก เพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองผู้พักอาศัยและทุกสิ่งในบ้าน ระบบอัตโนมัติภายในบ้านที่ตอบสนองเทรนด์การใช้ชีวิต ใหม่ๆ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกบ้านหลากหลายวัยต่างไลฟ์สไตล์ในได้ทุกมิติ อาทิ Video Door Phone ประตูล็อคดิจิทัล และลิฟท์โดยสาร โครงการยังพรั่งพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ประกอบด้วย คลับเฮาส์ ฟิตเนส Pavilion, Tea Room, Barbecue Area, สระว่ายน้ำระบบเกลือขนาด 20 เมตร พร้อมสระเด็ก จากุซซี่ ภูมิทัศน์ที่ออกแบบอย่างสวยงามทั้งสวนส่วนกลาง และทะเลสาบ และครั้งแรกในโครงการบ้านเดี่ยวของแสนสิริกับ Golf Stimulator Room ขนาดใหญ่จำลองบรรยากาศสนามกอล์ฟ จากทั่วโลกกว่า 150 แห่ง ให้ความรู้สึกเสมือนอยู่ในสนามจริง   Exclusivity : ความเอ็กซ์คลูซีฟระดับสูงสุดและการบริการเหนือระดับสำหรับบุคคลที่รัก บ้านแสนสิริ พร้อมมอบความเป็นส่วนตัวและความภาคภูมิใจในสังคมคุณภาพ เนื่องจากมีเพียง 36 ครอบครัวเท่านั้นที่จะได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ บนพื้นที่ถึง 37 ไร่บวกกับทำเลที่อยู่ใจกลางเมือง พร้อมสิทธิพิเศษสำหรับลูกบ้านด้วยบริการพิเศษจาก Quintessentially และ Plus Concierge   “เราเชื่อมั่นว่า บ้านแสนสิริ พัฒนาการ จะเป็นโครงการแฟล็กชิพบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของแสนสิริที่สะท้อนถึงความเหนือระดับในทุกมิติ และความสง่างามร่วมสมัยได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด รวมทั้งยังเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของความเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์โครงการระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่และลักซ์ชัวรี่ทั้งในโครงการแนวราบและแนวสูง ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทยตลอดจนกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ และเป็นอาณาจักรแห่งการพักอาศัยที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้ครอบครองที่ต้องการส่งมอบมรดกล้ำค่าจากรุ่นสู่รุ่น” นายอภิชาติกล่าวปิดท้าย
พาทิโอ รามอินทรา โฮมออฟฟิศ 3 ชั้น ระดับพรีเมียม  บนทำเลเพิ่มมูลค่าต้นถนนวัชรพล ใกล้ทางด่วนและรถไฟฟ้า

พาทิโอ รามอินทรา โฮมออฟฟิศ 3 ชั้น ระดับพรีเมียม บนทำเลเพิ่มมูลค่าต้นถนนวัชรพล ใกล้ทางด่วนและรถไฟฟ้า

พฤกษา ผู้นำอันดับหนึ่งวงการอสังหาฯ เปิดทาวน์โฮมพรีเมียมบนถนนวัชรพล สุดยอดทำเลทองแห่งอนาคต ภายใต้แบรนด์ “พาทิโอ รามอินทรา” ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ 3 ชั้น สไตล์โมเดิร์น Contemporary รับส่วนลดทันที 500,000 บาท พร้อมรับสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลรถยนต์ Honda Jazz 25 คัน เริ่ม 4.49 ลบ.     นายธีรเดช เกิดสำอางค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ย่านวัชรพลเป็นโซนที่มีการแข่งขันของผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยสูง และกำลังเป็นที่น่าจับตามองอย่างมาก ด้วยราคาที่ดินมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงเฉลี่ยถึง 33-71% เนื่องจากในอนาคตทำเลโซนนี้ จะรองรับกับสถานีรถไฟฟ้าถึง 3 สาย ได้แก่ สถานีสายหยุด รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต), สถานีรามอินทรา 31 รถไฟฟ้าสายสีชมพู (มีนบุรี-แคราย) และสถานีวัชรพล ซึ่งเป็นสถานี Interchange ระหว่างสายสีชมพูและโครงการรถไฟ monorail สายสีเทา (วัชรพล-พระราม 9) นอกจากนี้ยังเป็นทำเลที่สะดวกในการเดินทางเข้า-ออก ทั้งในเมืองและชานเมือง ล้อมรอบไปด้วยทางพิเศษ และถนนสายหลัก ได้แก่ ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ทางด่วนสุขาภิบาล 5 ใกล้วงแหวนรอบนอก กาญจนาภิเษก ที่สามารถเดินทางไปยังพื้นที่ชั้นนอกรอบๆ กรุงเทพฯ ได้ ส่งผลให้ทำเลนี้กลายเป็นทำเลทองในอนาคต ถือเป็นสินทรัพย์ที่คุ้มค่าต่อการลงทุนในระยะยาว ที่จะสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งกลุ่มผู้อยู่อาศัยและนักลงทุน พฤกษา เล็งเห็นถึงศักยภาพทำเลและการเติบโตของที่อยู่อาศัยที่จะเกิดขึ้นในย่านดังกล่าว จึงพัฒนาโครงการ “พาทิโอ รามอินทรา” ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ 3 ชั้น ที่ให้ฟังก์ชั่นพื้นที่ใช้สอยมากกว่า ด้วยหน้าบ้านที่กว้างถึง 5.65 เมตร พร้อมเพิ่มเสาเข็มหลังบ้าน และหน้าบ้าน เพื่อรองรับการใช้งานเป็นพื้นที่เอนกประสงค์รองรับการขยายสมาชิกครอบครัวในอนาคต เลือกใช้สเป็ควัสดุคุณภาพในระดับพรีเมียม พร้อมฟังก์ชั่น Penthouse bedroom ห้องนอนใหญ่ที่ชั้น 3 เต็มพื้นที่ทั้งชั้น และระบบรักษาความปลอดภัยหนาแน่นด้วย Double Gate Security” “โครงการ “พาทิโอ รามอินทรา” ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ 3 ชั้น สไตล์โมเดิร์น Contemporary ใส่ใจทุกรายละเอียดการออกแบบ ด้วยแนวคิด Harmony of Life ใช้เส้นสายในการออกแบบที่เชื่อมต่อเพื่อสร้างความกลมกลืน ภายใต้คอนเซปต์ Nature in the city design ที่ผสมผสานวัสดุระหว่างที่สื่อถึงธรรมชาติ และความเป็นเมือง ที่ดูอบอุ่นและให้ความเป็นส่วนตัว แบบบ้านมีทั้งหมด 3 แบบ หน้ากว้าง 5-5.65 เมตร ขนาดพื้นที่ใช้สอย 175-200 ตร.ม. บนขนาดที่ดินเริ่มต้น 19.4-20.5 ตร.วา มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 Family Room ที่จอดรถ 2 คัน สำหรับแบบบ้าน MASTER เป็นโฮมออฟฟิศ เพิ่มฟังก์ชั่นพื้นที่ Co-Working Space 2 โซน และ Meeting Room เพื่อรองรับการทำงาน (work) และอยู่อาศัย (home) เข้าไว้ด้วยกัน ที่ออกแบบฟังก์ชั่น เพื่อสามารถรองรับการทำงานที่บ้านได้อย่างลงตัว เต็มอิ่มกับวันพักผ่อนด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ในโครงการ มากกว่า 1 ไร่ สนามเด็กเล่น คลับเฮาส์ 2 ชั้น และสระว่ายน้ำระบบเกลือ อุ่นใจด้วยระบบการรักษาความปลอดภัยกล้อง CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง” โครงการอยู่ติดถนนวัชรพล รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการ ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัล รามอินทรา, แฟชั่นไอส์แลนด์, The Promenade, The Walk, Crystal Park, เพลินนารี่ มอลล์, เวนิส ดิไอริส วัชรพล, โลตัส วัชรพล, ตลาดถนอมมิตร, ตลาดออเงิน, ตลาดวงศกร ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.49 ลบ. สำหรับลูกค้าที่จองและทำสัญญาภายในวันนี้ – 15 กันยายน 2561 และโอนภายใน 31 ตุลาคม 2561 จะได้รับสิทธิพิเศษถึง 2 ชั้น ชั้นแรก รับทันทีส่วนลด 500,000 บาท ชั้นที่สอง รับสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลรถยนต์ Honda Jazz รุ่น V+ จำนวน 25 รางวัล สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดโครงการ โปรโมชั่น และเงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1739
The Cube เตรียมเปิดคอนโดใหม่สไตล์อังกฤษ ‘เดอะคิวบ์ เออร์เบิน สาทร-จันทน์’ เร็ว ๆ นี้

The Cube เตรียมเปิดคอนโดใหม่สไตล์อังกฤษ ‘เดอะคิวบ์ เออร์เบิน สาทร-จันทน์’ เร็ว ๆ นี้

บริษัท คิวบ์ เรียล พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาและบริหารงานด้านอสังหาริมทรัพย์ ทั้งโครงการ The Cube Condominium (เดอะคิวบ์ คอนโดมิเนียม) และ The Cube Townhome (เดอะคิวบ์ ทาวน์ โฮม) เตรียมเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด ‘เดอะคิวบ์ เออร์เบิน สาทร-จันทน์’ (The Cube Urban Sathorn-Chan) คอนโดสไตล์โมเดิร์นผสมอารมณ์อังกฤษสวยหรูโลว์ไรส์ (Low Rise) สูง 8 ชั้น 1 อาคาร ขนาดห้อง 28 – 42.5 ตารางเมตร มีแบบ 1 และ 2 ห้องนอน ให้เลือกถึง 6 สไตล์ความชอบ เริ่มราคา 2 ล้านต้น* พร้อมเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูงครบทุกฟังก์ชั่น (Fully Furnished) และสิ่งอำนวยความสะดวกพิเศษสุดทุกรูปแบบ รวมทั้งที่จอดรถ 45% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน) ให้ชีวิตพักผ่อนได้นานขึ้นกับพื้นที่ส่วนตัว และสะดวกทุกการเดินทางบนทำเลศักยภาพถนนสาทรเชื่อมต่อถนนจันทน์ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าตากสิน สุรศักดิ์ และ เจริญราษฎร์ ใกล้ทางด่วนด่านถนนจันทน์ อยู่ใกล้แหล่งธุรกิจ สถาบันการศึกษา ศูนย์การค้า ร้านอาหาร ฯลฯ เพียงลงทะเบียน  http://bit.ly/2kAvJsv  รับส่วนลดพิเศษ 50,000 บาท ทุกยูนิตเมื่อเปิดจองและทำสัญญาเร็ว ๆ นี้ (*ราคาและเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 1246 และติดตามความเคลื่อนไหวโครงการได้ทางเว็บไซต์ www.thecube-condo.com แฟนเพจ www.facebook.com/The Cube Condominium
เอสซีฯ มุ่งต่อยอดความสำเร็จแบรนด์ Pave (เพฟ) กับ Verve (เวิร์ฟ) ขยายฐานจับกลุ่มเจเนอร์เรชั่นใหม่  ชวน  The Toys ทำเพลงพิเศษผ่านแคมเปญ “Say Hi บ้านหลังใหม่”

เอสซีฯ มุ่งต่อยอดความสำเร็จแบรนด์ Pave (เพฟ) กับ Verve (เวิร์ฟ) ขยายฐานจับกลุ่มเจเนอร์เรชั่นใหม่ ชวน The Toys ทำเพลงพิเศษผ่านแคมเปญ “Say Hi บ้านหลังใหม่”

นายณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพในทุกระดับราคา กล่าวว่า “เพื่อตอกย้ำความสำเร็จของบ้านกลุ่มตลาดแมสและขยายฐานกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้น เอสซีฯ จึงได้สร้างสรรค์แคมเปญการตลาดชื่อ “Say Hi บ้านหลังใหม่” เพื่อจับกลุ่มคนเจเนอร์เรชั่นใหม่ ที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองในราคาที่จับต้องได้ โดยเลือก The Toys ศิลปินรุ่นใหม่ ที่มากความสามารถและกวาดรางวัลในด้านดนตรีมามากมาย มาต่อยอดร่วมทำเพลงพิเศษให้กับเอสซีฯ ทั้งแต่งเนื้อร้องและดนตรี ที่มีไอเดียมาจาก Character ของแบรนด์ Pave (เพฟ) และ Verve (เวิร์ฟ) เพื่อบอกเล่าเรื่องราวภายใต้คอนเซปต์ “สิ่งดีๆ กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังใหม่” ถ่ายทอดเล่าผ่านทาง MV ที่พร้อมเปลี่ยนโลกเดิมๆ ให้เป็นวันดีๆ ” โดยปัจจุบันทั้ง 2 แบรนด์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปีนี้เปิดรวมทั้งหมด 9 โครงการ มูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยกลุ่มบ้านแบรนด์ Pave (เพฟ) ราคาเริ่มต้น 4 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ เพฟ รังสิต, ประชาอุทิศ 90, รามอินทรา-วงแหวน, บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา โดยจะเปิดใหม่เพิ่ม 2 ทำเล ได้แก่ มอเตอร์เวย์-ฉะเชิงเทรา กับ ปิ่นเกล้า-ศาลายา ขณะที่ทาวน์โฮมแบรนด์ Verve (เวิร์ฟ) เริ่มต้น 2 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ เวิร์ฟ เพชรเกษม 81 มีเปิดใหม่ 2 ทำเลเช่นกัน ได้แก่ ติวานนท์-รังสิต กับ พระราม 9 ดังนั้น จึงนับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ระหว่าง เอสซีฯ และ The Toys ที่ได้มาร่วมงานกันและกล้าทำเพลงในแนวที่แหวกจากเดิมของ The Toys เอง เป็นเพลงเร็วมีจังหวะสนุกสนาน สะท้อนถึงตัวตนคนรุ่นใหม่ที่กล้าฉีกจากสิ่งเดิมๆ ลงมือทำอะไรใหม่ๆ โดย The Toys จะแสดง Live มินิคอนเสิร์ต 3 ครั้ง ยังโครงการ Pave (เพฟ) และ Verve (เวิร์ฟ) ระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึง กันยายน 2561 โดย Live ครั้งแรกมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคมนี้ โดยสามารถรับชม Live สด ผ่านช่องทาง SC Asset แฟนเพจ ได้ที่ facebook.com/scasset
สิริ เวนเจอร์ส จัดแสดง “Wind Turbine”  สุดยอด Prop Tech ครั้งแรกในไทย ณ งาน TechSauce Global Summit 2018

สิริ เวนเจอร์ส จัดแสดง “Wind Turbine” สุดยอด Prop Tech ครั้งแรกในไทย ณ งาน TechSauce Global Summit 2018

  สิริ เวนเจอร์ส (SIRI VENTURES) บริษัทร่วมทุนระหว่างแสนสิริและธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อทำการวิจัยและลงทุนด้าน Prop Tech อย่างครบวงจรเต็มรูปแบบรายแรกของไทย ตอกย้ำพันธกิจองค์กร ในการลงทุนในสตาร์ทอัพ และมุ่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อการเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้แนวคิด “Complete Your Living Experience” เผยความสำเร็จของการลงทุนพร้อมโชว์ไฮไลท์ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ ใน 4 ด้านได้แก่ PropTech, LivingTech, Construction Tech และ Health & Wellness Tech ที่งาน “TechSauce Global Summit 2018” โดยมีไฮไลต์คือสุดยอดนวัตกรรม “Wind Turbine” สำหรับใช้ในที่พักอาศัย ที่สิริ เวนเจอร์ส นำมาสร้างปรากฏการณ์เป็นครั้งแรกในไทย พร้อมเปิดเวทีเฟ้นหาสตาร์ทอัพด้าน Prop Tech เพื่อพาไปเสนอแผนธุรกิจกับนักลงทุนระดับโลกในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ที่ซิลิคอน วัลเลย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และชวนสองผู้บริหารเครือข่ายสตาร์ทอัพระดับโลกอย่าง SOSA และ Plug and Play มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจและเติมความมั่นใจในการออกไปลุยตลาดโลกให้กับสตาร์ทอัพไทยไปพร้อมกัน นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัทสิริ เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะบริษัทที่ลงทุนใน Prop Tech และการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อสนับสนุนพันธกิจหลักของแสนสิริในการมุ่งเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิต (Complete Your Living Experience) พร้อมทั้งเป็นแพล็ตฟอร์มเชื่อมโยงธุรกิจไทยสู่ระดับโลก สิริ เวนเจอร์สเข้าร่วมงาน TechSauce Global Summit 2018 ในวันนี้ เพื่อโชว์ไฮไลท์ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ ใน 4 ด้านได้แก่ PropTech, LivingTech, Construction Tech และ Health & Wellness Tech เพื่อสะท้อนความมุ่งมั่นของเราในการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้กับลูกบ้านแสนสิริ โดยไฮไลท์ในงานมีทั้งการนำนวัตกรรม “Wind Turbine” จาก Semtive สตาร์ทอัพชั้นนำผู้พัฒนากังหันลมสำหรับที่พักอาศัยจากสหรัฐอเมริกาที่สิริ เวนเจอร์สได้เข้าไปร่วมลงทุน มาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่งานนี้ เพื่อเป็นการแนะนำให้คนไทยได้สัมผัสกับนวัตกรรมสุดล้ำและสร้างโอกาสในการเติบโตในตลาดไทยไปพร้อมกัน”   ด้วยความสนใจในนวัตกรรมที่ใช้พลังงานทดแทนของสิริ เวนเจอร์ส ซึ่งนำไปสู่การเข้าไปลงทุนด้วยงบประมาณ 15 ล้านบาทในบริษัท Semtive สตาร์ทอัพที่สร้างธุรกิจขึ้นด้วยความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของผู้คนทั่วโลกในเรื่องพลังงานสะอาดและสามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวันในราคาที่เข้าถึงได้ โดย Semtive เป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยี “Wind Turbine” กังหันลมเพื่อเปลี่ยนพลังงานลมเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยกระแสลมแรง สามารถนำมาใช้ได้บนพื้นที่จำกัดในเมือง เช่น บนหลังคาบ้าน หรือคอนโดมิเนียม สิริ เวนเจอร์สได้นำนวัตกรรมที่เป็นการพัฒนาด้าน Living Tech หรือนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ช่วยประหยัดพลังงาน ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มรูปแบบชุดนี้ มาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่งาน TechSauce Global Summit 2018 ครั้งนี้ด้วย โดยในตอนนี้ แสนสิริกำลังอยู่ในขั้นตอนการติดตั้งเซนเซอร์วัดระดับความแรงลมในโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ของแสนสิริเพื่อดูความเหมาะสมว่าโครงการใดเหมาะที่จะใช้นวัตกรรมนี้ และจะพร้อมใช้งานจริงในโครงการนำร่องของแสนสิริภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โดยล่าสุดพบว่า โครงการบ้านแนวราบ อาทิ คณาสิริ พระราม 2 และโครงการคอนโดมิเนียมแบบ high-rise ของแสนสิริหลายโครงการสามารถนำนวัตกรรมนี้ไปใช้เพื่อให้ลูกบ้านควบคุมการใช้ไฟฟ้า ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันการใช้พลังงานไฟฟ้าร่วมกันในชุมชนได้จริง   “นอกจากนี้สิริ เวนเจอร์สยังได้จัดเสวนาร่วมกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง Plug and Play และ SOSA ร่วมแชร์เทรนด์ Property Technology ที่กำลังมาแรง ไม่ว่าจะเป็น Block Chain, AR/VR, Big Data, AI, ML เรื่อยไปจนถึงระบบ Voice Assistant and Mobility รวมถึงระบบแบ่งขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับนักลงทุนรายย่อยผ่านแอพพลิเคชั่น (Fractional Property Investment) รวมถึงการเผยกลยุทธ์สำคัญในการนำพาสตาร์ทอัพไทยให้ไปผงาดได้ในเวทีระดับโลกท่ามกลางปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการพัฒนา Prop Tech ทั่วโลก ซึ่งทั้ง Plug and Play และ SOSA ในฐานะเครือข่ายสตาร์ทอัพระดับโลกเองก็มี กลยุทธ์เฉพาะที่แตกต่างกันออกไป นับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มาร่วมฟังเสวนาในครั้งนี้มาก เพราะนี่ถือเป็นสิ่งท้าทายและบททดสอบใหญ่ของสตาร์ทอัพทั่วโลกที่จะดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพในต่างประเทศ พร้อมด้วยโอกาสและก้าวต่อไปในการผลักดันสตาร์ทอัพไทยไปอีกระดับ” อีกหนึ่งไฮไลท์ในบูธสิริเวนเจอร์ เป็นการโชว์นวัตกรรมเพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิตของลูกบ้านให้สมบูรณ์แบบ อาทิ เช่น นวัตกรรม Wind Turbine, Home Service App ที่สามารถสั่งการด้วยเสียง, หุ่นยนต์ SAN: DEE, AI ในการวางแผนงานก่อสร้าง, AR/VR สำหรับควบคุมคุณภาพการก่อสร้างซึ่งหลายนวัตกรรมที่เรานำมาแสดงเป็นนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นโดยสตาร์ทอัพไทย นี่คือเหตุผลที่ชัดเจนสำหรับสิริ เวนเจอร์สในการเป็นสะพานเชื่อมสตาร์ทอัพไทยให้ก้าวไปพบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในระดับโลกให้ได้” นายจิรพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติม   พันธกิจในการพาสตาร์ทอัพไทยไปพบความสำเร็จระดับโลกของสิริ เวนเจอร์ส ได้รับการสานต่อที่งาน TechSauce Global Summit 2018 นี้กับการเปิดเวทีเฟ้นหาสตาร์ทอัพด้าน Prop Tech เป็นครั้งแรก โดยคัดเลือก 17 ทีมที่เปี่ยมด้วยศักยภาพ เพื่อหาทีมผู้ชนะเลิศเพียงหนึ่งเดียวที่สิริ เวนเจอร์สจะพาไปนำเสนอแผนธุรกิจกับนักลงทุนระดับโลกในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ที่ซิลิคอนวัลเลย์ ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกที่สามารถผลักดันให้นวัตกรรมที่มีศักยภาพนั้นต่อยอดได้อย่างไร้ขีดจำกัด นอกจากเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศของสตาร์ทอัพด้าน Prop Tech ในไทยแล้ว ยังถือเป็นการมอบโอกาสและเติมเต็มศักยภาพให้สตาร์ทอัพไทยสามารถไปแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างทัดเทียมกับสตาร์ทอัพอื่น ๆ ทั่วโลกด้วย โดยสิริ เวนเจอร์สยังคงสานต่อความร่วมมือกับเครือข่ายสตาร์ทอัพระดับโลกอย่าง Plug and Play หนึ่งในบริษัทร่วมทุน Ventures Capital ที่เติบโตมากที่สุดในซิลิคอนวัลเลย์ และ SOSA จากอิสราเอล ที่วันนี้มาพูดคุยถึงการสร้างความสำเร็จให้กับสตาร์ทอัพด้าน Prop Tech ในระดับโลก สร้างแรงบันดาลใจและเติมความมั่นใจในการออกไปลุยตลาดโลกให้กับสตาร์ทอัพไทยไปพร้อมกันอีกด้วย มร.ชอน เดฮ์พานาฮ์ รองประธานบริหาร ฝ่ายพันธมิตรองค์กรและนวัตกรรม จากบริษัท Plug and Play ที่มีส่วนการสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพอันแข็งแกร่งของซิลิคอนวัลเลย์ กล่าวว่า “ในฐานะที่เราเป็นแพลตฟอร์มที่มุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายที่เชื่อมโยงสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและองค์กรจากทั่วโลก โดยเรามีเครือข่ายสตาร์ทอัพกว่า 6,000 รายจากกว่า 13 สาขาทั่วโลก มีพันธมิตรองค์กรมากกว่า 220 บริษัท 180 เวนเจอร์แคปิตอล และมีออฟฟิศตั้งอยู่ในกว่า 28 แห่งทั่วโลก เรามองว่าสตาร์ทอัพที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จในระดับโลกต้องมีความรวดเร็วในการคิดคอนเซ็ปต์และการสร้างนวัตกรรมสำหรับองค์กรต่าง ๆ ที่กำลังมองหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไปประยุกต์ใช้กับหน่วยธุรกิจของพวกเขา การมีที่ปรึกษาและการมีผู้ให้คำแนะนำที่เชี่ยวชาญในการขัดเกลาไอเดียเพื่อการนำเสนอผลงานเป็นอีกเรื่องที่จะช่วยเพิ่มความสำเร็จในการได้รับทุน นอกจากนี้สตาร์ทอัพควรมีทักษะในการดำเนินธุรกิจที่เป็นสากล รู้จักคิดอย่างมีกลยุทธ์ และต้องมองการณ์ไกลให้ถึงในระดับโลกเพื่อให้นวัตกรรมที่คิดขึ้นมาเข้าถึงคนจำนวนมาก ซึ่งนั่นคือโอกาสประสบความสำเร็จที่มากขึ้น วิธีคิดแบบนี้คือวิธีคิดที่ดึงดูดนักลงทุนมากกว่าสตาร์ทอัพที่มีเป้าหมายเฉพาะในตลาดภายในประเทศ”   มร. เบน สตรูว์โก ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมองค์กรจากบริษัท SOSA กล่าวว่า “SOSA เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงในประเทศอิสราเอล เพื่อเพิ่มโอกาสในการเชื่อมต่อสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและองค์กรต่างชาติทั่วโลก โดยปัจจุบันเรามีเครือข่ายสตาร์ทอัพด้านอสังหาริมทรัพย์และอื่น ๆ รวมกว่า 8,500 ราย การจับมือเป็นพันธมิตรร่วมกับสิริ เวนเจอร์สจะช่วยเชื่อมเครือข่ายสตาร์ทอัพที่เรามี เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ สำหรับลูกบ้านแสนสิริ ในขณะเดียวกัน สิริ เวนเจอร์สก็สามารถเข้าถึงระบบนิเวศสตาร์ทอัพของอิสราเอลได้โดยตรง ซึ่งเพียงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เราเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนว่า สิริ เวนเจอร์สสามารถเชื่อมโยงและเข้าถึงสตาร์ทอัพที่เรามีได้มากกว่า 20 บริษัทแล้ว การเชื่อมต่อระหว่างสตาร์ทอัพในเครือข่ายของเรา กับเครือข่ายระดับโลกขององค์กรและนักลงทุนชั้นนำทั่วโลกจากหลากหลายอุตสาหกรรม รวมทั้งการให้คำแนะนำในเรื่องต่าง ๆ เพื่อสร้างความเติบโตให้กับสตาร์ทอัพแต่ละราย คืออีกหนึ่งจุดเด่นที่ SOSA มีความเชี่ยวชาญ”   “สิริ เวนเจอร์สมีความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศของสตาร์ทอัพทั้งในประเทศไทยและในระดับโลก พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสตาร์ทอัพ Prop Tech ไทยเพื่อไปสู่ความสำเร็จในระดับโลก ภายใต้ความร่วมมือกับเครือข่ายระดับสากลอย่าง Plug and Play และ SOSA โดยเราจะยังคงไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาและลงทุนในนวัตกรรมเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งนี้เพื่อสร้างมูลค่าให้กับบริษัท และเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้แนวคิด “Complete Your Living Experience” ของแสนสิริ อย่างต่อเนื่องต่อไป” นายจิรพัฒน์ กล่าวสรุป
ซีเอ็มซี กรุ๊ป โชว์ ชาโตว์ อินทาวน์ จรัญสนิทวงศ์ 96/2  ชูจุดเด่นส่วนกลางขนาดใหญ่ ฟังก์ชั่นห้องที่ลงตัว

ซีเอ็มซี กรุ๊ป โชว์ ชาโตว์ อินทาวน์ จรัญสนิทวงศ์ 96/2 ชูจุดเด่นส่วนกลางขนาดใหญ่ ฟังก์ชั่นห้องที่ลงตัว

บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ CMC Group รุกหนักคอนโดย่านสะพานพระราม 7 วิวแม่น้ำเจ้าพระยา กับโครงการชาโตว์ อินทาวน์ จรัญสนิทวงศ์ 96/2 คอนโดมิเนียม Low Rise ดีไซน์แบบ Nature Modern ที่มีแนวคิดการออกแบบเน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด บนทำเลศักยภาพของถนนจรัญสนิทวงศ์ ตอบสนองวิถีคนเมืองที่โหยหาธรรมชาติ และความสงบร่มรื่นอยู่ในวงล้อมของเทคโนโลยีห่างไกลมลพิษ ฝุ่นควัน และมลภาวะทางเสียง พร้อมฟังก์ชั่นที่ลงตัว สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย และมีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่เป็นพิเศษ อาทิ สระว่ายน้ำ Freeform ห้องออกกำลังกายสุดทันสมัย พื้นที่สวนพักผ่อนและลานสันทนาการ พร้อมเทคโนโลยีและนวัตรกรรมด้านที่พักอาศัยมากมายระดับไฮเอนด์อาทิ Digital Door Lock และ VDO Door Phone ทุกยูนิตเข้าออกอาคารด้วยระบบ Key Card ในทำเลใกล้ทางด่วนศรีรัช วิวแม่น้ำเจ้าพระยา สะพานพระราม 7 ราคาเริ่มต้น 1.85 ล้านบาท พร้อมเข้าอยู่แล้ววันนี้ ลงทะเบียนออนไลน์รับโปรโมชั่นมากมายได้ที่ http://www.cmc.co.th/chateauintown/charan96/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1172 กด 6 หรือ 090-687-9696
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์จัดงาน ‘MAESTRO MASTERFUL LIVING’นำ 3 คอนโดพร้อมอยู่แบรนด์ MAESTRO มอบส่วนลดสูงสุดถึง 2 แสนบาท ฟรีเฟอร์ฯ เริ่ม 3.8 ล้าน วันนี้–24 มิ.ย.นี้เท่านั้น

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์จัดงาน ‘MAESTRO MASTERFUL LIVING’นำ 3 คอนโดพร้อมอยู่แบรนด์ MAESTRO มอบส่วนลดสูงสุดถึง 2 แสนบาท ฟรีเฟอร์ฯ เริ่ม 3.8 ล้าน วันนี้–24 มิ.ย.นี้เท่านั้น

บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) จัดงาน ‘MAESTRO MASTERFUL LIVING’ ครั้งแรกกับการสร้างสรรค์การจัดแสดงในรูปแบบ Art exhibition ถ่ายทอดแนวคิดและความหมายในทุกรายละเอียดของการพัฒนาคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ภายใต้แบรนด์ MAESTRO (มาเอสโตร) พร้อมเปิดตัว 3 คอนโดมิเนียม ตกแต่งครบพร้อมอยู่ โลเคชั่นสุดไพร์ม มาเอสโตร 01 สาทร-เย็นอากาศ ใกล้ MRT ลุมพินี และ BTS ศาลาแดง, มาเอสโตร 03 รัชดา-พระราม 9 ใกล้ MRT พระราม 9 และมาเอสโตร 14 สยาม-ราชเทวี ใกล้ BTS  ราชเทวี เพียง 300 เมตร ราคาเริ่มต้นที่ 3.8 ล้านบาท จัดเต็มโปรโมชั่นมอบส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 200,000 บาท ฟรีเฟอร์นิเจอร์ ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน วันนี้ถึง 24 มิ.ย. นี้เท่านั้น ที่ ลานเซ็นทรัล คอร์ท ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
“ออริจิ้น” กางแผนแนวราบ 5 ปี ขึ้น Top 3 โกยรายได้ปีละหมื่นล้าน  ลุยเปิดตัว “บริทาเนีย” 3 โครงการใหม่ปี 61 มูลค่า 4,000 ล้าน

“ออริจิ้น” กางแผนแนวราบ 5 ปี ขึ้น Top 3 โกยรายได้ปีละหมื่นล้าน ลุยเปิดตัว “บริทาเนีย” 3 โครงการใหม่ปี 61 มูลค่า 4,000 ล้าน

  “ออริจิ้น” กางแผนรุกตลาดแนวราบ ยึดพื้นที่โซนกรุงเทพฯตะวันออก-EEC เป็นฐานใหญ่ ตั้งเป้าภายใน 5 ปี ขึ้นแท่น Top 3 ผู้พัฒนาโครงการแนวราบในใจผู้บริโภค โกยรายได้ต่อปีทะลุหมื่นล้าน เปิดตัว 2 ผู้บริหารใหม่เสริมทัพ ประเดิมครึ่งหลังปี’61 เปิด “บริทาเนีย” 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4,000 ล้าน เจาะลูกค้ากลุ่มกลาง-บน   นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลการสำรวจ พบว่า ในช่วงไตรมาส 1/2561 มีโครงการแนวราบเปิดขายใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯทั้งหมด 8,762 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมกว่า 41,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 7% ขณะเดียวกัน โครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดจะได้รับความนิยมมากขึ้น รวมถึงทำเลใหม่ๆ ที่มีศักยภาพจะมีโอกาสเติบโตมากขึ้น เช่น ทำเลกรุงเทพฯตะวันออก และทำเลระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งหมดสะท้อนถึงโอกาสที่ดีของตลาดในปีนี้ สำหรับ บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด จะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์บริทาเนีย (Britania) เกาะทำเลที่มีการแข่งขันไม่สูงมาก หรือ Blue Ocean แต่มีความต้องการการอยู่อาศัยจริง (Real Demand) และมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่โซนกรุงเทพฯตะวันออก และโซน EEC ภายในช่วง 5 ปี (พ.ศ.2561-2565) บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่เจาะตลาดใน 3 เซ็กเมนท์ รวมมูลค่าโครงการกว่า 49,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2565 บริษัทจะเริ่มต้นมีรายได้ทะลุปีละ 10,000 ล้านบาทได้เป็นปีแรก และตั้งเป้าจะขึ้นเป็น Top 3 ในใจผู้บริโภคเมื่อนึกถึงโครงการบ้านแนวราบ   “เพื่อให้เราสามารถเดินหน้าไปได้ตามเป้าหมาย บริษัทจึงได้ดึงมือทองการพัฒนาโครงการแนวราบอีก 2 ท่านเข้ามาช่วยเสริมทัพ ได้แก่ นายจีระวัฒน์ เหมะธุลิน เข้ามาช่วยดูแลด้านธุรกิจ และนายนาวิน เล็กนาวา เข้ามาช่วยดูแลด้านการก่อสร้าง” นางศุภลักษณ์ กล่าว   นายจีระวัฒน์ เหมะธุลิน ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจโครงการแนวราบ บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า หัวใจหลักในการพัฒนาแบรนด์บริทาเนียนั้น นอกจากดีไซน์สไตล์อังกฤษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและทำเลที่ตั้งแล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรม คุณภาพและการบริการ เพื่อส่งมอบบ้านที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า เช่น การมีระบบ Home Automation เพื่อสร้างความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย บริษัทยังได้มืออาชีพที่มีประสบการณ์งานก่อสร้างมายาวนานมาร่วมพัฒนาโครงการ ทำให้มั่นใจได้ว่าบ้านภายใต้การพัฒนาของออริจิ้น เฮ้าส์จะได้คุณภาพทุกหลังอย่างแน่นอน   สำหรับการเดินหน้าสู่เป้าหมาย Top 3 ในใจผู้บริโภค บริษัทจะใช้แบรนด์บริทาเนียเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ โดยสร้างแบรนด์ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาทิ การออกแบบที่คำนึงถึงประโยชน์การใช้สอยพื้นที่ในทุกตารางนิ้วอย่างคุ้มค่า ขณะเดียวกันก็สร้างความรู้สึกสบายได้อย่างลงตัว เพื่อให้คนทุกวัยได้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ในปี 2561 บริษัทมีแผนเปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,000 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการบริทาเนีย เมกะทาวน์-บางนา มูลค่าโครงการประมาณ 1,900 ล้านบาท ระดับราคา 2.9 - 5 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอย 100-140 ตร.ม. โดดเด่นด้วยทาวน์เฮ้าส์หน้ากว้าง 5.3-5.7 เมตร บนทำเลใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง เข้าออกได้ถึง 4 เส้นทาง ครบครันด้วยระบบสาธารณูปโภค   2.โครงการบริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 4.7-6 ล้านบาท ตั้งอยู่บน ถ.สุขาภิบาล 6 (บางนาตราด-วัดบางพลีใหญ่ใน) ทำเลใกล้ทางด่วน รถไฟฟ้า บนเนื้อที่กว่า 32 ไร่ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 3 แบบ ได้แก่ Oxford Regent และ Brompton มีครัวไทยทุกยูนิต พื้นที่ใช้สอย 120-150 ตร.ม. และ 3.โครงการบริทาเนีย วงแหวน-หทัยราษฎร์ มูลค่าโครงการประมาณ 1,100 ล้านบาท เป็นบ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ ระดับราคา 2.9-4.3 ล้านบาท   ด้าน นายนาวิน เล็กนาวา ผู้อำนวยการฝ่ายก่อสร้าง บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า ในส่วนงานก่อสร้างและการบริการนั้น บริษัทได้พันธมิตรชั้นนำในหลากหลายแวดวงมาร่วมพัฒนาโครงการ เช่น เอสซีจี บริษัท เอ็นเอส บลูสโคป (ประเทศไทย) จำกัด อเมริกันสแตนดาร์ด COTTO เป็นต้น รั้วโครงการ รั้วบ้าน เป็นแผ่นคอนกรีตหล่อสำเร็จ ประตู-หน้าต่าง Vinyl Aluminium ทุกหลัง ตลอดจนนวัตกรรมการก่อสร้างก็ใช้ระบบที่ได้มาตรฐาน โดยเน้นการใช้ Pre-fabrication ผลิตและควบคุมคุณภาพที่โรงงานแล้วนำมาติดตั้งที่โครงการ โครงสร้างบ้านเป็นระบบ Precast System เพื่อควบคุมงานก่อสร้างให้ได้มาตรฐาน โครงหลังคาสำเร็จรูป ทำให้การพัฒนาโครงการต่างๆ ได้คุณภาพเหนือระดับ   นอกจากนี้ ยังควบคุมคุณภาพงานก่อสร้าง โดยช่างผู้ควบคุมงานมืออาชีพ ตั้งแต่ก่อนเริ่มงาน ระหว่างกระบวนการ จนเสร็จสิ้นงานก่อสร้าง จากนั้นก็จะตรวจสอบคุณภาพโดยทีม Quality Control (QC) เพื่อให้มั่นใจได้ว่า บ้านที่จะส่งมอบให้ลูกค้าทุกหลังเป็นบ้านที่มีคุณภาพ ในส่วนของงานบริการก็ได้บริษัท พรีโม่ แนเนจเม้นท์ และบริษัท อูโน่ เซอร์วิส มาช่วยดูแล เพื่อให้ลูกค้าอุ่นใจในสินค้า และบริการ สำหรับ บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด เป็นบริษัทพัฒนาโครงการแนวราบในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นพัฒนาโครงการแรกในปี 2560 ภายใต้ชื่อ บริทาเนีย ศรีนครินทร์ สามารถสร้างยอดขายไปได้แล้วถึง 85% ขณะที่วางแผนแบ่งแบรนด์ย่อยในการพัฒนาออกเป็น 3 แบรนด์ ได้แก่ 1.บริทาเนีย เรสซิเดนซ์ (Britania Residence) บ้านเดี่ยวในระดับราคา 10-20 ล้านบาท 2.บริทาเนีย โฮม (Britania Home) บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดในราคา 5-10 ล้านบาท 3.บริทาเนีย ทาวน์ (Britania Townhome) ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ ราคา 3-5 ล้านบาท   ขณะที่ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) ทั้งโครงการแนวสูงและโครงการแนวราบ 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
ซีเอ็มซี กรุ๊ป เปิดโลกแห่งความหรูหรา เหนือระดับเต็มรูปแบบที่ คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ชาโตว์ อินทาวน์ พระราม 8

ซีเอ็มซี กรุ๊ป เปิดโลกแห่งความหรูหรา เหนือระดับเต็มรูปแบบที่ คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ชาโตว์ อินทาวน์ พระราม 8

นางสาวรวีวรรณ โสภณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดและขาย บริษัทเจ้าพระยามหานครจำกัด (มหาชน) หรือ CMC Group ขอเชิญคุณก้าวเข้าสู่โลกแห่งความหรูหรา เหนือระดับของพื้นที่ส่วนกลางเต็มรูปแบบได้แล้ววันนี้ ที่โครงการ Chateau in Town พระราม 8 คอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยม ที่สุดแห่ง Landmark วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ติดสะพานพระราม 8 ด้วยคอนเซปต์การตกแต่งและออกแบบสถาปัตยกรรมในสไตล์เรเนซองส์ สุด High Class ที่เต็มไปด้วย ความสวยงามตระการตา เหมือนดั่งในฝัน ราคาเริ่มต้น 2.69 ล้านบาท ลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลดเพิ่มทันที 100,000 บาท และโปรโมชั่น ALL FREE ฟรีทุกค่าใช้จ่าย* ฟรีแอร์ พร้อมเฟอร์นิเจอร์แต่งครบ ลงทะเบียนได้ที่ http://www.cmc.co.th/chateauintown/rama8/ และสอบถามได้ที่ โทร 081-914-7775  
แสนสิริเสริมแกร่งยกระดับระบบรักษาความปลอดภัย เปิดตัว Sansiri Security System

แสนสิริเสริมแกร่งยกระดับระบบรักษาความปลอดภัย เปิดตัว Sansiri Security System

  ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่แม้จะเลือกใช้ชีวิตอยู่ในที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ หรือคอนโดมิเนียม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของวิถีชีวิตที่ลงตัวของแต่ละคน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าคนเราจะมีที่อยู่อาศัยในรูปแบบใดก็ตาม ต่างต้องการความรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจในบ้านของตัวเอง ซึ่งถือเป็นความต้องการพื้นฐานที่ตรงกันในผู้อาศัยทุกคน รวมทั้งความต้องการถึงความปลอดภัยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเฉพาะในช่วงเวลาที่เจ้าของบ้านทำการอาศัยอยู่เท่านั้น แต่ความคาดหวังด้านความปลอดภัยนั้นมีขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง   บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มุ่งเน้นด้านระบบรักษาปลอดภัยที่มีความแตกต่างจากงานรักษาความปลอดภัยทั่วไป โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรอย่างจริงจังจากผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัย ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีด้านอสังหาฯและการอยู่อาศัย ( Property Technology) เข้ามาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพและความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อยู่อาศัยในทุกๆด้าน เป็นการเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบให้กับลูกบ้านแสนสิริ   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริ ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดในทุกด้าน รวมถึงด้านระบบรักษาความปลอดภัย ซึ่งเราได้ให้ความสำคัญเข้าไปในการให้บริการที่มีผู้ดูแลโครงการอย่างมืออาชีพ เพื่อช่วยคลายความกังวลกับลูกบ้านและสร้างความอุ่นใจเมื่ออยู่อาศัยภายในโครงการ แสนสิริจึงได้ให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัย และสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยให้รับรู้ถึงความแตกต่างหลังจากย้ายเข้ามาอยู่และได้เริ่มใช้ชีวิตจริงๆ ในบ้าน   ดังนั้น แสนสิริจึงได้เปิดตัว Sansiri Security System ระบบรักษาความปลอดภัยที่นำความล้ำสมัยที่ให้มากกว่าด้วยระบบรักษาความปลอดภัยภายในโครงการ(พื้นที่ส่วนกลาง) และเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยระบบเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยบริเวณรอบบ้าน ด้วยการนำเทคโนโลยีระบบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยผสมผสานร่วมกับการทำงานของทีมงานที่ได้รับการฝึกอบรมจากครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับการอยู่อาศัยในแต่ละวันของลูกบ้านโครงการแสนสิริในด้านความปลอดภัยอย่างรอบด้าน ภายใต้แนวคิด Complete Your Living Experience ซึ่งลูกบ้านทุกคนจะรู้สึกได้ตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามาในโครงการ เพราะเราคำนึงว่าการทำธุรกิจด้านที่อยู่อาศัยนั้นเราไม่ได้มองเพียงด้านตัวสินค้าและบริการที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังได้ให้ความสำคัญถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่ถือเป็นอีกหัวใจสำคัญของการอยู่อาศัยของลูกค้า   โดยจุดเด่นของ Sansiri Security System ที่มีเหนือกว่าของคู่แข่งคือการผสานระหว่างการนำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ควบคู่กับทีมรักษาความปลอดภัยที่ได้รับการอบรมจากครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ ทำให้ลูกบ้านอุ่นใจมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีที่นำมาเพิ่มการรักษาความปลอดภัยในโครงการนำร่องของแสนสิรินั้น ถือเป็นการเปิดตัวใช้กับโครงการที่อยู่อาศัยเป็นแห่งแรกของประเทศไทย อาทิเช่น   o Digital fence ระบบรั้วอัจฉริยะต้นแบบ ที่สามารถเตือนภัยเมื่อเกิดเหตุบุกรุก o Face Recognition ระบบการจัดเก็บหน้า ลายนิ้วมือ และข้อมูลของผู้รับเหมา เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบหาผู้กระทำความผิด และเป็นข้อมูลให้ช่วยในการติดตามหากเกิดเหตุฉุกเฉิน o SMART ACCESS QR code เพิ่มความสะดวกสบายให้กับแขกของลูกบ้าน สามารถใช้ QR Code เข้าผ่านประตูหน้ามานั่งรอเพื่อนที่ Lobby ได้ o Visitor Management System (VMS) ระบบเพิ่มความปลอดภัยในการจัดการผู้มาติดต่อ โดยมีระบบการอ่านข้อมูลบัตรประชาชน แบบสมาร์ทการ์ด พร้อมทั้งบันทึกรูปภาพบุคคล ระบบอ่านป้ายทะเบียน (License Plate Recognition) และบันทึกข้อมูลเข้าระบบอัตโนมัติแทนการแลกบัตร เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกระดับ รวมไปถึงระบบยังรองรับการลงทะเบียนล่วงหน้าของผู้มาติดต่อ และคำนวณค่าที่จอดรถอัตโนมัติ ซึ่งระบบนี้อยู่ในช่วงพัฒนาเพิ่มเติมสำหรับเปิดให้บริการลูกบ้านในเฟสต่อไป   สำหรับด้านบุคลากรนั้น แสนสิริก็ให้ความสำคัญและเข้มงวดในการฝึกอบรมอย่างมาก ซึ่งได้จัดตั้งเป็น Sansiri Security Inspection (SSI) มีทีมครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ รปภ.มืออาชีพ คุมเข้มตรวจความปลอดภัยทุกโครงการที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ตั้งแต่การติดตามรถที่เข้า-ออกได้มีการฝึกอบรม รปภ ของทุกโครงการให้มีมาตรฐานดูแลความปลอดภัยให้ลูกบ้าน รวมทั้งมีแผนฝึกแผนรับมือเหตุฉุกเฉินตามมาตรฐานของบริษัท อาทิ ฝึกแผนรับมือเหตุโจรกรรมและสัญญาณเตือนภัยดังภายในพื้นที่หน่วยงาน ฝึกแผนรับมือเหตุไฟไหม้ภายในพื้นที่หน่วยงาน ฝึกแผนรับมือเหตุไฟฟ้าดับในพื้นที่หน่วยงาน ฝึกแผนรับมือเหตุมีน้ำท่วมในพื้นที่ แผนเตรียมพร้อมและประสานงานเมื่อมีผู้ป่วยหนักหรือเสียชีวิตในพื้นที่ มีแผนการปฏิบัติเมื่อได้รับการประสานแจ้งเหตุ การเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุและการระงับเหตุเบื้องต้น   เรื่องของการรักษาความปลอดภัยนั้นจะเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและความอุ่นใจของลูกบ้าน การนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์จึงเป็นเรื่องที่แสนสิริให้ความใส่ใจเป็นอย่างมาก และมีความมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และตั้งเป้าหมายให้ Sansiri Security System เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะเติมเต็มประสบการณ์อยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้กับลูกบ้าน   ทั้งนี้ การรักษาความปลอดภัย ระบบอุปกรณ์เทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยต่างๆ ของแต่ละโครงการ เป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด หากต้องการรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ 1685

1 ... 67 68 69 ... 106