ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 73 74 75 ... 103
EEC มีดีอะไร ทำไมถึงแห่ลงทุนกันนัก

EEC มีดีอะไร ทำไมถึงแห่ลงทุนกันนัก

ตั้งแต่มีประกาศนโยบาย EEC เกิดขึ้น ทุกคนคงจะได้ยินข่าวคราวเรื่องนี้กันมาตลอด เพราะหลายภาคส่วนต่างก็หวังไว้ว่าโครงการนี้จะเป็นกลไลสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมารุ่งโรจน์ได้ ซึ่งทุกวันนี้ก็มีความคืบหน้าเกิดขึ้นมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมายหรือโครงการต่างๆ ที่พยายามเร่งกันอย่างเต็มกำลัง เพื่อเป็นแรงจูงใจดึงดูดการเข้ามาลงทุน ครั้งนี้เรามาดูกันว่าโครงการ EEC คืบหน้าไปถึงไหนกันแล้ว แล้วทำไมถึงได้มีเหล่านักลงทุ่มทุนสร้างกันหลายโครงการ   อย่างที่เคยอธิบายกันไปแล้วเกี่ยวกับ EEC ในบทความ "ทำความรู้จักกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)" ทุกวันนี้เราจะเห็นว่าเหล่านักลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่างก็ให้ความสำคัญอย่างมากต่อโครงการนี้ ดังจะเห็นได้จากโครงการต่างๆ ที่เริ่มมีการกางแผนออกมาบ้างแล้วภายในเขตพื้นที่ของ EEC ทั้งในส่วนของภาคอุตสาหกรรม และภาคส่วนอสังหาริมทรัพย์เอง เราก็เริ่มได้เห็นหลายๆ โครงการเกิดขึ้นพร้อมความหวังในการสร้างรายได้ให้เติบโตตามไปด้วยกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกนี้ โดยโครงการในภาคอุตสาหกรรมที่เริ่มมีการเข้าซื้อที่ดินแล้วเรียบร้อยแล้ว เช่น บริษัท จินป่าว พรีซิชั่น อินดัสทรี่ จำกัด เป็นบริษัทอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมสัญชาติไต้หวันที่มาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยตั้งแต่ปี 1998 มีการซื้อที่ดินขนาด 54 ไร่ ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด 2 จ.ชลบุรี เพื่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน,นักธุรกิจรัสเซียหลายรายสนใจเข้ามาดูทิศทางการลงทุนในเขตอีอีซี เช่น พลังงานนิวเคลียร์ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ การบริหารท่าเรือ สนามบิน เทคโนโลยีสร้างสรรค์ ยานยนต์เพื่อการก่อสร้าง เทคโนโลยีชีวิภาพ เทคโนโลยีสื่อสาร ฯลฯ โดยจะเข้ามาเยี่ยมชมด้วยตนเองเร็วๆ นี้   ส่วนในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเปิดตัวลงแแข่งขันกันในสนามนี้ แม้ว่าราคาที่ดินจะพุ่งสูงขึ้นถึง 50% ก็ตาม เช่น  เอสซี แอสเสท ปีนี้เตรียมพัฒนาโครงการใน จ.ฉะเชิงเทรา, เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ มีการเจรจาซื้อที่ดินเพิ่ม แต่ก็มีแผนจะพัฒนาโครงการในที่ดินที่มีอยู่แล้วใน จ.ระยอง กับจ.ชลบุรี, ออริจิ้น หลังจากมีโครงการคอนโดมิเนียมกับมิกซ์ยูสที่ศรีราชาไปแล้ว ก็เตรียมจะพัฒนามิกซ์ยูสที่จ.ระยอง 2 ทำเล, พฤกษา ปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบถึง 8 โครงการ แบ่งเป็นจ.ชลบุรี 3 โครงการ จ.ระยอง 3 โครงการ และจ.ฉะเชิงเทรา 2 โครงการ, แสนสิริ มีแผนพัฒนาโครงการในพัทยา เป็นต้น   จะเห็นได้ว่ายิ่งโครงการนี้เป็นรูปธรรมขึ้นมากเท่าไรก็ยิ่งได้รับความสนในการลงทุนมากขึ้นเท่านั้น ตั้งแต่รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการอีอีซี มาจนถึงปัจจุบันที่มีการร่างพรบ. กันเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกมาตรา สภานิติบัญญัติแห่งชาติก็มีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดยมีมาตรการสำคัญที่ส่งเสริมชวนให้นักลงทุนหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายซึ่งบางอย่างมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งพื้นที่ทั้งหมด 3 จังหวัดจะถูกแบ่งประมาณ 10 โซน แต่ละโซนก็จะได้รับสิทธิพิเศษที่แตกต่างกันไป แต่ละ เช่น ขยายพื้นที่เพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่จากเดิม 12,000 ไร่ เพิ่มอีก 26,366 ไร่ ซึ่งรวมทั้งหมด, เขตเมืองการบินภาคตะวันออกจะได้รับการยกเว้นภาษี 8 ปี และลดหย่อนภาษีนิติบุคคล 50% เพิ่มอีก 5 ปี, เขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมาย เขตอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ได้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล 50% เพิ่มอีก 5 ปี, สิทธิการทำงานของแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ 3 จังหวัดโดยไม่ต้องขออนุญาตครอบคลุมไปถึงครอบครัวที่ติดตามมาอาศัยอยู่ด้วย, สิทธิคนต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน, สิทธิการซื้ออาคารชุดของต่างชาติได้แต่ละโครงการได้ 100% เต็ม เป็นต้น     สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้โครงการ EEC ประสบความสำเร็จได้นั่นคือโครงสร้างพื้นฐานทางการคมนาคม เพราะหากการคมนาคมขนส่งเป็นไปได้อย่างสะดวกสบายก็จะช่วยรองรับเรื่อง Logistics หนึ่งในหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรม โดยทางรัฐบาลได้มีการเดินหน้าเรื่องคมนาคมทั้งทางเรือที่จะมีการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกหลัก คือ มาบตาพุดเฟส 3 โครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 โครงการท่าเรือสัตหีบ ส่วนทางอากาศ คือ สนามบินอู่ตะเภาที่ทางรัฐได้ตั้งเป้าหมายให้เป็นสนามบินหลักแห่งที่ 3 ต่อจากดอนเมืองกับสุวรรณภูมิ และทางบกระบบรางในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา และต่อไปถึง จ.ระยอง โดยจะเชื่อมจากแนว Airport Rail Link ในปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดโปรเจคยักษ์ใหญ่นี้กำลังจะไม่ได้หยุดอยู่แค่ใน 3 จังหวัดภาคตะวันออกอีกต่อไป แต่ล่าสุดได้มีนโยบายเร่งศึกษาแผนพัฒนาเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อหลากหลายเส้นทางทั่วประเทศ โดยเฉพาะรถไฟทางคู่เส้นทางแหลมฉบัง-มาบตาพุด-ระยอง-จันทบุรี-ตราด, โครงการรถไฟศรีราชา-ระยอง รวมถึงการเชื่อมต่อโซนอีอีซีไปจนถึงทวาย-กัมพูชา ซึ่งหากโครงการรถไฟนี้เสร็จสมบูรณ์ก็จะยิ่งส่งให้ EEC มีความสมบรูณ์มากขึ้น เพราะหากการคมนาคมขนส่งเป็นไปได้อย่างสะดวกสบายก็จะเป็นปัจจัยสำคัญทั้งทางด้านธุรกิจต่างๆ และการท่องเที่ยวที่จะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น ประชาชนในพื้นที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น สุดท้ายสิ่งเหล่านี้จะทำให้พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่น่าอยู่ระดับภูมิภาคเอเชียอย่างที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้   ณ วันนี้เราสามารถพูดกันได้อย่างเต็มปากว่า EEC คือความหวังใหม่ในการพลิกฟื้นคืนชีพของเศรษฐกิจประเทศไทยให้กลับมาเป็นแหล่งลงทุนที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจกันอีกครั้ง แม้โครงการนี้จะยังคงไม่สมบูรณ์ 100% แต่เชื่อว่าหากเริ่มมีการประกาศพระราชชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกอย่างเป็นทางการซึ่งคาดว่าจะประกาศภายในปีนี้ก็จะยิ่งทำให้มีเงินเม็ดเงินเข้ามาลงทุนมหาศาลตามที่คาดการณ์กันเอาไว้ถึงหลักแสนล้านบาท ส่งผลถึงการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เองที่ก็มีความเชื่อมั่นในโครงการนี้อยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อมีอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้นก็จะมีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น คนทำงานทั้งที่เป็นคนไทยและต่างชาติย่อมเข้ามาอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ความต้องการที่อยู่อาศัยก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว จากนี้ต้องคอยจับตามองตลาดนี้กันเอาไว้ให้ดีว่าจะมีอะไรน่าสนใจตามที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายค่ายโปรยเอาไว้บ้าง
LPN กางโรดแมปธุรกิจโตต่อเนื่อง 3 ปี ปลดล็อคกับดักสู่ YEAR OF SHIFT

LPN กางโรดแมปธุรกิจโตต่อเนื่อง 3 ปี ปลดล็อคกับดักสู่ YEAR OF SHIFT

เครือ LPN ประกาศแผนธุรกิจรับเป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง 3 ปี พร้อมกำหนดให้ปี 2561 เป็นปี “Year of Change : ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง” ผ่าน 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธุรกิจให้บริการ เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวสูงและแนวราบรวม 14 โครงการ รวมมูลค่า 18,000 ล้านบาท มั่นใจปี 2561 ผลประกอบการฟื้นตัวด้วยยอดขาย 20,000 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการขายรวมตั้งเป้าที่ 12,000 ล้านบาท นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) (LPN)  เปิดเผยว่า ในปี 2560 เป็นปีแรกที่ LPN และบริษัทในเครือได้จัดทัพธุรกิจครั้งใหญ่ก้าวสู่ “บริบทใหม่แห่งความยั่งยืน” ด้วยการแบ่งกลุ่ม 2 ธุรกิจ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Developer) และบริการ (Service Provider) และได้กำหนดให้เป็น “ปีแห่งการปรับเปลี่ยน” หรือ “YEAR OF SHIFT” ได้ปรับกลุ่มเป้าหมายจากกลางถึงกลาง-ล่างเป็นกลางถึงกลาง-บน พร้อมกับกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ระยะสั้นเพื่อระบายสินค้าพร้อมอยู่ (Inventory) โดยบริษัทได้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว คือ ในปี 2560 บริษัทสามารถระบายสินค้าพร้อมอยู่ (Inventory) ได้ประมาณ 7,000 ล้านบาท หรือประมาณ 50 % ของมูลค่าสินค้าพร้อมอยู่ทั้งหมด ทั้งนี้ ในปี 2560 บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 1,062 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการด้านรายได้นั้น ยังคงมาจากกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ที่ดำเนินงานผ่าน 2 บริษัทคือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) และบริษัท พรสันติ จำกัด (PST) ซึ่งหลังจากที่ LPN ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้วยการเน้นกลุ่มเป้าหมายจากกลางถึงกลาง-ล่าง เป็นกลางถึงกลาง-บน และได้ทยอยเปิดตัวโครงการในกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวตลอดปี 2560 ทั้งสิ้น 10 โครงการ มูลค่าการขายรวมประมาณ 14,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมียอดขายจาก 8,700 ล้าน ในปี 2559 เป็นประมาณ 16,000 ล้านบาท ในปี 2560 ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 90% หรือเกือบเท่าตัว ส่วนรายได้นั้นอยู่ที่ 9,655  ล้านบาท นายจรัญ เกษร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรสันติ จำกัด ส่วนบริษัท พรสันติ จำกัด (PST) นั้นผลประกอบการมีรายได้มาเติมเต็มรายได้จากการพัฒนาอาคารชุดเพื่อขายได้ในเกณฑ์ที่ดี โดยในปีที่ผ่านมา พรสันติได้เปิดตัวโครงการใหม่ รวม 5 โครงการ มูลค่าการขายรวม  2,450 ล้านบาท สามารถทำยอดขายได้1,750 ล้านบาท และมีรายได้จากการขาย 1,000 ล้านบาท เติบโต 27% และ 18% (ตามลำดับ)  เมื่อเทียบกับปี 2559 ขณะที่กลุ่มธุรกิจบริการ ที่ดำเนินธุรกิจผ่าน 3 บริษัท ดังนี้ บริษัท ลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส แอนด์ แคร์ จำกัด (LPC), บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) และ บริษัท ลุมพินี โปรเจค มาเนจเมนท์ เซอร์วิส จำกัด (LPS) ได้รับความเชื่อมั่นและเริ่มให้บริการสู่องค์กรภายนอกหลายแห่ง รายได้เติบโต 10% คิดเป็นมูลค่ารวม 970 ล้านบาท ผลจากการปรับเปลี่ยนในปีที่ผ่านมาทำให้เห็นภาพการฟื้นตัวที่เด่นชัดในปี 2561 ที่กำหนดเป็นปี “Year of Change : ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน ทั้งกลยุทธ์การเพิ่มรายได้ที่เน้นขยายฐานรายได้จากธุรกิจหลักธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และการเพิ่มทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างคณะกรรมการ เปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารที่ดึงคนนอกเข้ามาเสริมทีมให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาระบบ IT เพื่อรองรับธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง และ การปรับภาพลักษณ์แบรนด์ (Rebranding) เพื่อรองรับแผนการเติบโตของ LPN และบริษัทในเครือในช่วง 3 ปี (ปี2561-2563)  ผ่าน  2 กลุ่มธุรกิจหลักคือ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจบริการ โดยวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 35 - 40% และรายได้จากกลุ่มธุรกิจบริการเติบโตยู่ที่ 20% นางสาวสมศรี เตชะไกรศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด ในปี 2561 บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นประเภทอาคารชุดพักอาศัย 17,000 ล้านบาท และประเภทบ้าน  3,000  ล้านบาท ขณะที่เป้ารายได้จากการขายอยู่ที่ 12,000  ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารชุดพักอาศัย 10,500 ล้านบาท และ   ประเภทบ้าน 1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังกำหนดเป้าหมายจากการเปิดตัวโครงการใหม่ไว้ที่ 18,000 ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารชุดพักอาศัย 15,000 ล้านบาท และประเภทบ้าน 3,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ในปี 2561 ในมืออยู่ประมาณ 5,900 ล้านบาท คิดเป็น 50 % ของเป้ารายได้รวม ณ สิ้นปี 2560 มียอดแบล็กล็อก รวมมูลค่า 7,400 ล้านบาท ขณะที่บริษัท พรสันติ จำกัด นั้นในปี 2561 เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 1 โครงการ รวมมูลค่าการขายประมาณ 850 ล้านบาท และได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2,000 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 1,500 ล้านบาท พร้อมกันนี้นายโอภาส ยังได้กล่าวในตอนท้ายว่า บริษัทเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในปี 2561 นี้ จะเป็นแนวทางสู่การเติบโตที่ยั่งยืนของบริษัทต่อไปในอนาคต สำหรับการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ LPN ได้ว่าจ้างบริษัทที่มีความเป็นมืออาชีพที่มีประสบการณ์และชื่อเสียงอย่างยาวนานในวงการ ซึ่งคาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนของบริษัทได้ในครึ่งปีหลังของปี 2561 นี้
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการปี 2560 รับรู้รายได้ 3,589.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 680.8 ล้านบาท เติบโต 36% ประกาศจ่ายปันผลทั้งปีรวม 0.30 บาท

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการปี 2560 รับรู้รายได้ 3,589.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 680.8 ล้านบาท เติบโต 36% ประกาศจ่ายปันผลทั้งปีรวม 0.30 บาท

บริษัท  ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) เติบโตอย่างแข็งแกร่งเหนือตลาด ประกาศผลประกอบการ ปี 2560 มียอดรับรู้รายได้ที่ 3,589.2 ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อนหน้า 33% ซึ่งนับเป็นการขยายตัวเกิน 30% ต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่สอง  ทั้งนี้บริษัทยังคงความสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีเหนือค่าเฉลี่ยของตลาด โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 38.8%  ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายปรับลดลง  ส่งผลให้มีกำไรสุทธิทั้งปี อยู่ที่ 680.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 36% นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดอสังหาฯในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดโดยรวมแทบจะไม่มีการขยายตัว แต่สำหรับบริษัทมีการวางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่ถูกต้อง ทำให้แม้สถานการณ์ และสภาพแวดล้อมโดยรวมจะไม่เอื้ออำนวย แต่บริษัทยังมียอดรับรู้รายได้ที่ขยายตัวเกิน 30% ต่อเนื่องติดต่อกันมา 2 ปี  ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยในปี 2560 บริษัทมียอดรับรู้รายได้ที่ 3,589.2 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 33% ขณะที่บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนด้านต่างๆ ได้ดีมาอย่างต่อเนื่องทำให้ในปี 2560 บริษัทยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดมาก รวมทั้งการบริหารค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ในปี 2560 บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 36.1% หรือมีกำไรสุทธิที่ 680.8ล้านบาท ในแง่ของโครงสร้างเงินทุน แม้ว่าบริษัทจะมีการขยายตัวอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทยังคงรักษาระดับ Gearing ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด โดย ณ สิ้นปี 2560 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E Ratio) อยู่เพียง 0.79 เท่า ปรับลดลงจากปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 0.85 เท่า และเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.4 เท่า ทั้งนี้บริษัทมีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการเงินอย่างรัดกุม โดยมีการใช้แหล่งเงินกู้ที่หลากหลาย รวมทั้งมีการตั้งวงเงิน Committed Line จากธนาคารพาณิชย์อย่างเพียงพอสำหรับภาระหนี้ทั้งหมดที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ดีบริษัทอยู่ระหว่างการออกหุ้นกู้จำนวน 500 ล้านบาท โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี ที่ 2.95% ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเข้าจองซื้อเต็มทั้งจำนวน เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา นายไชยยันต์ กล่าวปิดท้ายว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติเห็นชอบจัดสรรกำไรสำหรับปี 2560 ให้กับผู้ถือหุ้น โดยเสนอให้จ่ายเงินปันผลทั้งปีในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท ซึ่งหากคิดจากราคาหุ้นของบริษัทในปัจจุบัน จะมี Dividend Yield อยู่ที่ราว 5.6% โดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วที่ 0.135 บาทต่อหุ้น ดังนั้นจะเหลือจ่ายเพิ่มอีก 0.165 บาทต่อหุ้น โดยได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 16 มีนาคม 2561 หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 15 มีนาคม 2561 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 ทั้งนี้การจ่ายปันผลดังกล่าวต้องนำเสนอขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 ในเดือนเมษายนนี้
ศุภาลัย โชว์ผลประกอบการปี 60 กำไร-รายได้ โดดเด่น เร่งขยาย 13 โครงการใหม่ดันยอดขายปีนี้ 33,000 ล้านบาท

ศุภาลัย โชว์ผลประกอบการปี 60 กำไร-รายได้ โดดเด่น เร่งขยาย 13 โครงการใหม่ดันยอดขายปีนี้ 33,000 ล้านบาท

  ศุภาลัยเผยยอดขายปี'60 กว่า 30,777 ล้านบาท โต 10% ปี'61 เตรียมลุยบ้านจัดสรร 12 จังหวัด ดีเดย์มี.ค.นี้  เปิด 3 โครงการเบลล่า วงแหวน - ลำลูกกา คลอง 3 ,โนโว วิลล์ พหลโยธิน - ลำลูกกา และศุภาลัย พรีโม่ ชัยพฤกษ์ - บางบัวทอง ตั้งเป้ายอดขาย 33,000 ล้านบาท     ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) กล่าวถึง ผลการดำเนินธุรกิจของบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ในปี 2560 ที่ผ่านมา ว่าบริษัทมียอดขายกว่า 30,777 ล้านบาท จากการเปิดตัวทั้งหมด 20 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 15 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ อีกทั้งสามารถทำรายได้รวม 25,789 ล้านบาท เติบโต 10% โดยรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด จำนวน 10 โครงการ   โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 5,812 ล้านบาท เติบโต 19% เมื่อเทียบกับปี 2559 จากผลการดำเนินงานที่สะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้แผนงานการสร้างสรรค์ “บ้านที่ดี” ที่มาจากผลิตภัณฑ์แห่งความสุขและนวัตกรรม ด้านสินทรัพย์เติบโตขึ้น 8% ส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโต 20% โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 69% ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 2.79% ต่อปี ณ 31 ธ.ค. 2560 และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 39,187 ล้านบาท ณ 31 ธ.ค. 2560 เพื่อรองรับการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทในอนาคต     นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ปี 2560 เป็นปีที่ทำยอดขายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยสัดส่วนการเติบโตมาจากกรุงเทพฯ ปริมณฑล 76% และหัวเมืองต่างจังหวัด 24% โดยปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการ จำนวน 11 จังหวัด เชียงใหม่ อุดรธานี ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง อุบลราชธานี นครราชสีมา สงขลา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช ซึ่งมีการเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง   ในปี 2561 นี้บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่เป็นประเภทบ้านจัดสรรในหัวเมืองภูมิภาค จำนวน 13 โครงการ ใน 12 จังหวัด ไม่นับจังหวัดปริมณฑล โดยมีการขยายการลงทุนเพิ่มเป็น 12 จังหวัด คือ เชียงราย จะส่งผลให้สัดส่วนยอดขายในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเป็น 30% แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 26% และคอนโดมิเนียม 4% ของเป้าหมายยอดขายของบริษัท 33,000 ล้านบาท โดยเน้นพัฒนาแบบบ้านรูปแบบใหม่ ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย นับว่าเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในหัวเมืองต่างจังหวัดมากที่สุด   สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาสแรก บริษัทมีการเปิดตัวโครงการแนวราบ จำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวม 3,500 กว่าล้านบาท โดยเปิดตัวไปแล้ว 1 โครงการ คือ ศุภาลัย พรีโม่ บางแสน และเปิดตัวอีก 2 โครงการในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ คือ ศุภาลัย เอสเซ้นส์ ลาดพร้าว ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ หาดใหญ่ อีกทั้งเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 3 โครงการในเดือนมีนาคมนี้ได้แก่ เบลล่า วงแหวน - ลำลูกกา คลอง 3  โนโว วิลล์ พหลโยธิน - ลำลูกกา และศุภาลัย พรีโม่ ชัยพฤกษ์ - บางบัวทอง     นายบุญชัย ชัยอนันต์บวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานโครงการภูมิภาค 2 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดอุบลราชธานี มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงในเขตภาคอีสานตอนใต้ ซึ่งมีสนามบินนานาชาติ ทำให้การเดินทางสะดวก และรวดเร็ว ทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีประตูการค้าชายแดนเชื่อมโยงทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศลาวอีกทั้งประชากรของจังหวัดอุบลราชธานีมีจำนวนมาก   สำหรับทิศทางการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดอุบลราชธานีของศุภาลัย ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการในจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 4 โครงการ คือ ศุภาลัย โมด้า อุบลราชธานี ศุภาลัย วิลล์ อุบลราชธานี ศุภาลัย เบลล่า อุบลราชธานี และศุภาลัย พรีโม่ อุบลราชธานี พร้อมลุยแผนเปิดโครงการใหม่อีก 1 โครงการ คือ โนโว วิลล์ อุบลราชธานี มูลค่า 380 ล้านบาทในไตรมาส 3 เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า   นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มเติมในจังหวัดอุดรธานี และนครราชสีมา ได้แก่ ศุภาลัย ไพรด์ อุดรธานี มูลค่า 1,800 ล้านบาท ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ นครราชสีมา มูลค่า 640 ล้านบาท อีกทั้งโครงการใหม่ในโซนภาคตะวันออก 1 โครงการ คือ ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง บ้านเดี่ยวหรูริมแม่น้ำ มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท เพื่อช่วยผลักดันสัดส่วนยอดขายของบริษัทในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเป็น 30% ตามที่วางเป้าหมายไว้    
ราคาบ้าน-คอนโดฯ ในกรุงเทพฯ โตไม่หยุด กราฟ 3 ปี พุ่งทะลุ 100 เปอร์เซ็นต์

ราคาบ้าน-คอนโดฯ ในกรุงเทพฯ โตไม่หยุด กราฟ 3 ปี พุ่งทะลุ 100 เปอร์เซ็นต์

รายงานดัชนีที่อยู่อาศัย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ พร็อพเพอร์ตี้ อินเด็กซ์ (DDproperty Property Index) ฉบับล่าสุดเผย แนวโน้มดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ยังคงเป็นบวก สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ปรับตัวดีขึ้น ชี้แม้อุปทานในตลาดจะถูกดูดซับช้า แต่ยังคงไร้สัญญาณโอเวอร์ซัพพลาย แม้แนวโน้มของราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 2560 แต่อัตราการเติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสแล้วถือว่าเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัว รวมไปถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงไว้ทุกข์และพระราชพิธีสำคัญ ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี (4Q60) ดัชนีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 199 จุดในช่วงไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ 205 จุด คิดเป็นสัดส่วนการเติบโตระหว่างไตรมาส (Q-o-Q) ราวร้อยละ 3 “แม้ว่าการอัตราการเติบโตของดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 60 จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังถือเป็นภาพรวมที่ดีของตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ ที่กำลังค่อยๆ ฟื้นตัว ในขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคในเซ็กเมนต์ระดับกลางไปจนถึงระดับบนมีการปรับตัวดีขึ้น” คุณกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย ของ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์สื่อกลางซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยในเครือพร็อพเพอร์ตี้กูรูกรุ๊ป กล่าว ราคาบ้านในกรุงเทพฯ 3 ปีโตขึ้นกว่า 100 เปอร์เซ็นต์  อย่างไรก็ดี ถ้ามองย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงที่เริ่มทำการเก็บข้อมูลในปี 2558 พบว่าการเติบโตของราคาที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ สูงขึ้นถึงร้อยละ 105 ถือเป็นอัตราการเติบโตที่น่าจับตา โดยเฉพาะราคา(ต่อตารางเมตร) ของคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันเมื่อเทียบกับที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ โดยในช่วงไตรมาส 4 ปี 60 ดัชนีราคาคอนโดฯ ขึ้นไปแตะที่ระดับ 154 จุด เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีถึงร้อยละ 54 อย่างไรก็ดีที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์มีการเติบโตด้านราคาสูงที่สุดในช่วงไตรมาส 4 ปี 60 โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 60 ร้อยละ 7 และเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 14 ในช่วง 1 ปี เมื่อดูแนวโน้มราคาตามเซ็กเมนต์ต่างๆ พบว่าดัชนีของที่อยู่อาศัยราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป มีการเติบโตสูงสุด โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าราวร้อยละ 12 และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 39 ภายในระยะเวลา 2 ปี เขตจตุจักร ยังคงเป็นพื้นที่ที่ราคามีการเติบโตสูงสุด โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 60 ร้อยละ 5 ส่วนเขตบางนาแซงเขตพระโขนงขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 2 ด้วยอัตราการเติบโตในรอบไตรมาสราวร้อยละ 3 ทั้งนี้ในระยะยาว เขตบางนานับเป็นพื้นที่ที่น่าจับตามอง เนื่องจากดัชนีราคาชี้ให้เห็นว่ามีการเติบโตเพิ่มสูงถึงร้อยละ 75 ในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 3 ปี “โดยภาพรวมราคาที่อยู่อาศัยจะยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปจากปัจจัยบวกที่ช่วยให้เกิดพื้นที่ศักยภาพเหมาะกับการพัฒนา รวมไปถึงการอยู่อาศัยมากขึ้น อาทิ โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายหลายสายที่มีความคืบหน้า  รวมไปถึงการลงทุนแผนพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทยระยะ 20 ปี (2560-2579) ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยบนทำเลใหม่ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองสำคัญๆ มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC)” คุณกมลภัทรกล่าวเสริม อุปทานแนวสูงยังคงโตแรงแซงแนวราบ  ในฝั่งของอุปทาน แม้ตุลาคมจะเป็นเดือนที่แทบจะไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่หรือกิจกรรมส่งเสริมการขายใดๆ แต่ช่วง 2 เดือนสุดท้ายของไตรมาส 4 ปี 60 กำลังซื้อก็กลับมาอย่างรวดเร็ว โดนในช่วงไตรมาส 4 ปี 60 ดัชนีอุปทานที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลงร้อยละ 7 มาอยู่ที่ 240 จุด ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้ประกอบการพากันแข่งออกแคมเปญและโปรโมชั่นส่งเสริมการขายมาเป็นจำนวนมาก เพื่อเร่งยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนั่นเอง เมื่อพิจารณาถึงประเภทของที่อยู่อาศัย อุปทานที่มีอยู่ในตลาดส่วนใหญ่คือคอนโดมิเนียม คิดเป็นร้อยละ 88 ของอุปทานทั้งหมดในช่วงไตรมาส 4 ปี 60 ในขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย เนื่องจากที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่ ผู้ซื้อมักจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง ต่างกับคอนโดฯที่ผู้ซื้อจำนวนมากซื้อมาเพื่อขายต่อหรือลงทุน ทำให้การดูดซับของอุปทานของคอนโดฯ ค่อนข้างเร็ว ในขณะที่ผู้ประกอบการก็เปิดตัวโครงการใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง สำหรับทำเลที่มีอุปทานคอนโดฯ มากที่สุดในช่วงไตรมาส 4 ปี 60 ได้แก่ เขตวัฒนา ในขณะที่เขตลาดพร้าวมีปริมาณทาวน์เฮ้าส์เข้าสู่ตลาดมากที่สุด ส่วนเขตคลองสามวาเป็นโซนยอดนิยมสำหรับบ้านเดี่ยว คาดอุปทานปี 61 โตเพิ่มแต่ไม่มีสัญญาณโอเวอร์ซัพพลาย ทั้งนี้เป็นที่คาดว่าดัชนีอุปทานที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นในปี 2561 จากการที่ผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก-รายใหญ่ส่งสัญญาณว่าจะเปิดโครงการใหม่ๆ เป็นจำนวนมาก ในขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ นั้นคาดว่าจะยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะไม่หวือหวานักเพราะกำลังซื้อยังค่อนข้างจำกัดจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่แม้จะเริ่มคลี่คลายลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ถือว่าสูง “แม้การดูดซับอุปทานในตลาดจะเป็นไปแบบช้าๆ ในขณะที่ผู้ประกอบการเองก็มีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ๆ ออกมาอย่างคึกคักในปี 2561 แต่เราเชื่อว่าไม่น่าจะมีภาวะโอเวอร์ซัพพลาย หรือสินค้าล้นตลาดเกิดขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างเฝ้าสังเกตการณ์สถานการณ์อย่างใกล้ชิด ผู้ขายจะยังคงได้รับอานิสงส์ที่ดีจากราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ โดยดัชนีราคามีการเติบโตมากกว่าร้อยละ 100 ในช่วงเวลาไม่ถึง 3 ปี อย่างไรก็ดี ทางฝั่งผู้ซื้อเองก็ยังคงได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงต่ำ และจากโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษต่างๆ จากผู้ประกอบการที่ต้องการเร่งระบายสินค้าในสต็อกและเปิดโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง” คุณกมลภัทรกล่าวสรุป
“Life ลาดพร้าว 2017” คอนโดสไตล์ใหม่รับเทรนด์ Digital Life พร้อมกับชีวิตแบบ PLATFORM OF SUCCESS เพราะที่นี่ทุก Space คือความสำเร็จ

“Life ลาดพร้าว 2017” คอนโดสไตล์ใหม่รับเทรนด์ Digital Life พร้อมกับชีวิตแบบ PLATFORM OF SUCCESS เพราะที่นี่ทุก Space คือความสำเร็จ

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง ย้ำวิสัยทัศน์การพัฒนานวัตกรรมดิจิตอลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีแห่งอนาคต รุกตลาดคอนโดตอบจริตคนรุ่นใหม่ ชูจุดขาย ‘Platform of Success’ เปิดตัวโครงการแฟลกชิพ LIFE สุขุมวิท 62 โครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MECG) บนถนนสุขุมวิท ที่สามารถเชื่อมต่อได้ทุกการเดินทาง โดยการนำนวัตกรรมดีไซน์เข้ามายกระดับการใช้ชีวิตผ่านแนวคิดการออกแบบพื้นที่ชีวิตแห่งอนาคต รุกตลาดไตรมาสแรก เอพีสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นอสังหาฯ รายแรก ที่เปิดขายคอนโดมิเนียมบนแพลทฟอร์มออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการใช้ AP i-Booking ระบบจองคอนโดบนแพลทฟอร์มออนไลน์ที่มอบประสบการณ์พิเศษกับลูกค้าเสมือนการเข้ามาชมห้องตัวอย่างจริง ที่โครงการ เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ด้วยความมั่นใจในศักยภาพโครงการ ที่ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุด เพิ่มทางเลือกในการเดินทางเชื่อมต่อได้หลากหลาย ผสานนวัตกรรมดีไซน์ที่จะเข้ามายกระดับคุณภาพชีวิตระยะยาว และการปรับวิธีการขายรูปแบบใหม่ ที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยมั่นใจว่า LIFE สุขุมวิท 62 จะได้รับการตอบรับที่ดีจากดีมานด์กลุ่มลูกค้าคนเมืองที่มองหาคอนโดมิเนียมใหม่บนทำเลสุขุมวิทในราคาที่จับต้องได้ โดยจะเปิดจองโครงการ LIFE สุขุมวิท 62 ราคาเริ่มต้น 120,000 บาท/ตร.ม. อย่างเป็นทางการผ่าน AP i-Booking ในวันที่ 27 มีนาคมนี้ เวลา 19.00 – 21.00 น. นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน)  เปิดเผยว่า เอพี ไทยแลนด์ พร้อมเปิดขาย LIFE สุขุมวิท 62 คอนโดร่วมทุนฯ โครงการแรกของไตรมาสนี้ ซึ่งจะเป็นโครงการต้นแบบที่เอพีเปลี่ยนแพลตฟอร์มการขายจากออฟไลน์สู่การจองผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับวงการอสังหาฯไทย ด้วยการอำนวยความสะดวก ความมั่นใจในความปลอดภัยให้เกิดขึ้นกับการทำธุรกรรมสินค้าอสังหาฯ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงผ่านระบบออนไลน์ โดยเอพีได้ร่วมมือกับธนาคารพันธมิตรชั้นนำ เพื่ออำนวยความสะดวกและความมั่นใจในการเข้าถึงการจองคอนโด LIFE สุขุมวิท 62 ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ตอบรับพฤติกรรมลูกค้าคนเมืองรุ่นใหม่ ที่เปิดรับให้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการ ใช้ชีวิตให้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งเราเชื่อว่าการยกระดับแพลตฟอร์มการขายผ่านระบบออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบในครั้งนี้ จะเป็นหนึ่งในอาวุธสำคัญสู่ความสำเร็จทำให้สามารถปิดการขาย LIFE สุขุมวิท 62 ได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ LIFE สุขุมวิท 62 ยังสร้างความต่างด้วยการเลือกสรรทำเลศักยภาพ และมุ่งพัฒนานวัตกรรมดิจิตอลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยทำเลที่ตั้งที่สามารถเชื่อมต่อได้อย่างหลากหลาย เพียง 200 เมตรถึงสถานีรถไฟฟ้า ‘บางจาก’ และ 500 เมตรจากทางด่วน ทำให้โครงการ LIFE  สุขุมวิท 62 มีความได้เปรียบในเชิงมูลค่าและทางเลือกที่มากขึ้น และนวัตกรรมดิจิตอลที่ผสานเข้าไปในการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง พร้อมวางระบบ Wifi ทั่วทั้งโครงการ ด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด การออกแบบพื้นที่ชีวิตแห่งอนาคต เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองขึ้นไปอีกขั้น Digital Co-working Space พร้อมติดตั้ง Cocoon Space ดีไซน์พิเศษให้เป็น Private Space แม้จะอยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง ก็สามารถนั่งทำงานได้โดยไม่ถูกรบกวน พร้อมเพิ่มพื้นที่ชีวิตให้ออกแบบการพักผ่อนตามไลฟ์สไตล์ได้อย่างไม่จำกัด โดดเด่นด้วยการผสานพื้นที่สีเขียวทั่วทั้งโครงการ เช่น Interlock Landscape ดึงพื้นที่สีเขียวของธรรมชาติเข้าสู่ภายในล๊อบบี้ พร้อมการจัดวางที่นั่งและทางเดินในมุมที่ร่มรื่น เพื่อความสวยงามและความเป็นส่วนตัวสูงสุดเสมือนนั่งทำงานท่ามกลาง ธรรมชาติ พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คนเมืองรุ่นใหม่ด้วย Ultimate Rooftop Facilities เช่น Aquascape สระว่ายน้ำแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่สามารถเปิดรับวิวสุขุมวิท และวิวโค้งน้ำบางกระเจ้าได้สุดสายตา รวมถึงยังมี Sky Fitness ห้องฟิตเนส มุมกว้างเพื่อการใช้ชีวิตแบบแอคทีฟพร้อมความเป็นส่วนตัวไปด้วยกัน “ในส่วนของกระบวนการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Young Generations) ที่เปลี่ยนไป มักหาข้อมูลอย่างรอบด้านและการบริโภคข่าวสารผ่านเครื่องมือที่เข้าถึงง่าย และเพียงพอต่อการตัดสินใจเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะเข้าเยี่ยมชมโครงการเป็นขั้นตอนสุดท้าย จากการสำรวจสถิติการเข้าถึงข้อมูลผ่านเว็บไซต์ APTHAI.COM พบผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์จาก 2.5 แสนคนในปี 2557 เพิ่มขึ้นเป็น 5.9 ล้านคนในปี 2560 และกว่า 70% ของลูกค้ากลุ่มนี้อยู่ในช่วงอายุ 25-44 ปี อีกทั้ง ความสำเร็จจากการเปิดจองรอบพิเศษ AP i-Booking กับ 2 คอนโดในปีที่ผ่านมา ได้แก่ LIFE One Wireless และ LIFE อโศก - พระราม 9 ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยจำนวนลูกค้าที่ให้ความสนใจจองในรอบออนไลน์สูงกว่าจำนวนยูนิตที่เปิดขายกว่า 9 เท่า และความเร็วสูงสุดในการจองห้องชุดผ่าน AP i-Booking เพียง 1.21 นาทีเท่านั้น เป็นตัวการันตีพฤติกรรมและความคุ้นชินกับเทคโนโลยีของลูกค้ากลุ่มนี้ ทำให้เรามั่นใจเป็นอย่างมากกับการปรับวิธีการเปิดขายจากออฟไลน์สู่ระบบ AP i-Booking อย่างเต็มรูปแบบ จะตอบโจทย์และสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้เกิดขึ้นในวงการคอนโดไทยอย่างแน่นอน” นายวิทการกล่าว ภาพตลาดคอนโดแนวรถไฟฟ้าบนถนนสุขุมวิท สามารถแบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลัก ได้แก่ 1) สุขุมวิทตอนต้น (สถานีนานา-เอกมัย) พบคอนโดระดับราคาขาย 290,000-400,000 บาท/ตร.ม ทำเลใจกลางเมือง ศูนย์รวมย่านธุรกิจชั้นนำ โดยพบสินค้ากลุ่มลักชัวรี่เป็นส่วนใหญ่ 2) สุขุมวิทตอนกลาง (สถานีพระโขนง-นานา) พบคอนโดระดับราคา 100,000-250,000 บาท/ตร.ม. ทำเลศักยภาพแวดล้อมด้วยการเติบโตของซิตี้เทรนด์ อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากการขยายออกของศูนย์กลางย่านธุรกิจอย่างสุขุมวิทตอนต้นได้ชัดเจน ซึ่งเป็นปัจจัยดันให้เกิดดีมานด์ในย่านอย่างต่อเนื่อง โดยความท้าทายของผู้ประกอบการ คือ กลยุทธ์ในการเลือกที่ดิน และการบริหารแพ็คเกจราคา ที่จะสามารถตอบดีมานด์ได้ เอพีเล็งเห็นช่องว่างในการพัฒนาคอนโดเพื่อตอบโจทย์ดีมานด์กลุ่มนี้ และในส่วนของ 3) สุขุมวิทตอนปลาย (สถานีแบริ่ง-เอราวัณ) พบคอนโดระดับราคา 70,000-120,000 บาท/ตร.ม. คอนโดมิเนียม LIFE สุขุมวิท 62 มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท โครงการร่วมทุนโครงการที่ 12 ระหว่างเอพี(ไทยแลนด์) และมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ที่จะเปิดตัวเป็นโครงการแรกในปีนี้ ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดบนถนนสุขุมวิทรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการทั้งโรงพยาบาล สถานศึกษา และห้างสรรพสินค้าชั้นนำเดินทางสะดวกเพียง 200 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้าบางจาก และเพียง 500 เมตรจุดขึ้นลงทางด่วน ราคาเริ่มต้น 3 ล้านบาท หรือ เริ่ม 120,000 บาท/ตร.ม. บนพื้นที่ทั้งหมด 2-2-67.2 ไร่ ประกอบด้วยอาคารที่พักสูง 24 ชั้น โดดเด่นด้วยความเป็นส่วนตัวสูงสุดเพียง 438 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 1) สตูดิโอ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 25 ตารางเมตร 2) ห้องชุด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 30 ตารางเมตร 3) ห้องชุด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ (แบบพิเศษ) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 38–39 ตารางเมตร และ 4) ห้องชุด 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 50-68 ตารางเมตร สำหรับแผนการพัฒนาโครงการในปี 2561 นี้ เอพี(ไทยแลนด์) เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนทั้งสิ้น 34 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 49,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 19,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 30 โครงการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 33,500 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายรายได้รวมปี 2561 ไว้ที่ 28,100 ล้านบาท ในส่วนของการเปิดโครงการใหม่ของกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมในครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท ได้แก่ Aspire สาทร-ราชพฤกษ์ คอนโดมิเนียม สูง 32 ชั้น จำนวน 1,049 ยูนิต มูลค่า 3,000 ล้านบาท โดดเด่นด้วย 1 ก้าวจากสถานีบางหว้า สถานีเชื่อมต่อขนาดใหญ่ระหว่าง BTS และ MRT ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท เปิดขายในวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และ LIFE สุขุมวิท 62 คอนโดมิเนียมร่วมทุนฯ สูง 24 ชั้น จำนวน 438 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เพียง 200 เมตรจาก BTS บางจาก ซึ่งเตรียมเปิดขายผ่านระบบออนไลน์ AP i-Booking ในวันที่ 27 มีนาคมนี้ เวลา 19.00 – 21.00 น. ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างมากสามารถสร้างยอดขายรวมของสินค้าทั้งกลุ่มคอนโด และแนวราบได้มากถึง 42,900 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ เกินจากเป้าหมาย ยอดขายเดิมที่ตั้งไว้ในปี 2560 คือ 26,000 ล้านบาท หรือโตขึ้นถึง 92% หากเทียบกับยอดขายปี 2559 ที่ทำได้ 22,365 ล้านบาท โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีนี้นั้น นอกจากจะมาจากการเปิดตัวสินค้าแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม 22 โครงการใหม่ ซึ่งมีอัตราการเติบโตทางยอดขายอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังมาจากการประสบความสำเร็จในการเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ LIFE ลาดพร้าว LIFE วัน ไวร์เลส และ LIFE อโศก-พระราม 9  ซึ่งทั้ง 3 โครงการสามารถปิดการขายได้ประมาณ 90% ตลอดจนสินค้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Ongoing Projects) อีกกว่า 90 โครงการ ก็มีส่วนสำคัญช่วยผลักดันสู่ความสำเร็จครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านลุยงาน“รับสร้างบ้านและวัสดุ 2018

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านลุยงาน“รับสร้างบ้านและวัสดุ 2018" ชูคอนเซ็ปท์ "Innovative Living" มัดใจลูกค้ายุคดิจิทัล

  สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน จัดเต็มงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2018” ชูคอนเซ็ปท์ "Innovative Living" รวมเทรนด์แบบบ้านรุ่นใหม่ นวัตกรรมสร้างบ้านและวัสดุ รับลูกค้ายุคดิจิทัล พร้อมอัดโปรโมชั่นเต็มพิกัดกระตุ้นตลาดตั้งแต่ต้นปี พร้อมจองสร้างบ้านได้ในงานระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคมนี้ ศูนย์ฯสิริกิติ์ ตั้งเป้ายอดขาย 4 วันราว 1,100 ล้านบาท   นางศิริพร  สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association :HBA) เปิดเผยถึงการจัดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2018” ระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคม 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จะเป็นกิจกรรมที่มุ่งส่งเสริมการตลาดให้กับสมาชิกของสมาคมฯ ตลอดจนพันธมิตรในธุรกิจ ซึ่งหากธุรกิจรับสร้างบ้านเติบโตเพิ่มขึ้น บริษัทรับสร้างบ้านก็สามารถขยายธุรกิจได้เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคก็จะได้ทั้งประโยชน์จากโปรโมชั่นส่งเสริมการขายของบริษัทรับสร้างบ้านในแต่ละราย และได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน ปีนี้มีสมาชิกที่ร่วมออกบูธกว่า 30 ราย   ในปีนี้สมาคมฯ จัดงาน“รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2018” ภายใต้แนวคิด “ Innovative Living ” เป็นงานที่รวมเทรนด์แบบบ้านรุ่นใหม่ และนวัตกรรมใหม่การสร้างบ้านและวัสดุ มารวมไว้ให้ผู้บริโภคได้เลือกสรร เพื่อความสมบูรณ์แบบในการอยู่อาศัยในยุคดิจิทัล ที่โลกเชื่อมโยงถึงกันหมดด้วยอินเทอร์เนต เมื่อโลกเชื่อมกันมากขึ้น ย่อมสร้างโอกาสให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆได้   ที่สำคัญปีนี้สมาคมฯ ได้เปิดบูธเพื่อรับสมัครสมาชิก สำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่สนใจต้องการจะร่วมเป็นสมาชิกและขยายการเติบโตธุรกิจ ซึ่งเป็นไปตามแผนงานของสมาคมฯ มุ่งขยายฐานสมาชิก และเพิ่มขนาดองค์กรให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น จากฐานสมาชิกปัจจุบันที่มีอยู่ 127 ราย     นางศิริพร ยังกล่าวอีกว่า สำหรับในช่วงไตรมาสที่ 1 สมาคมฯ จะเน้นในเรื่องของนโยบายการเร่งสร้างขยายเครือข่ายฐานสมาชิก  และนโยบายในเชิงของผู้บริโภค ผ่านการจัดงาน"Home Builder & Materials Focus 2018” ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคม 2561 คาดตลอด 4  วันของการจัดงานจะช่วยกระตุ้นตลาดให้คึกคักมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการรวมตัวของบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำ พร้อมด้วยสถาบันการเงินที่จะมาให้สินเชื่อในอัตราพิเศษ สำหรับภาพตลาดรับสร้างบ้านในกรุงเทพ-ปริมณฑลปี 2561 เชื่อว่าตลาดจะยังคงเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 5% มูลค่าเพิ่มเป็น 11,000 ล้านบาท โดยมีสัญญาณที่ดีทางเศรษฐกิจมาตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560 โดยสินค้ากลุ่มหลักยังคงเป็นบ้านราคา 2.5-5 ล้านบาท คิดเป็น 40%  ของยอดขายรวม รองลงมาเป็นกลุ่มราคา 5-10 ล้านบาท คิดเป็น 36% ของยอดขายรวม ส่วนที่เหลือคือบ้านกลุ่มราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท สัดส่วน 10% กลุ่มราคา 10-20 ล้านบาท สัดส่วน 5% และมากกว่า 20 ล้านบาท สัดส่วน 4% ส่วนในไตรมาส 1 ตลาดรับสร้างบ้านภาพรวมมีสัญญาณการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ที่มีความชัดเจนว่าดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยเป็นไปในทางที่ดีขึ้น มีสัญญาณปัจจัยบวกจากการบริโภคภายในประเทศขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2560 จากการใช้จ่ายด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ การขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งผู้ประกอบการมีการปรับแผนและพัฒนากลยุทธ์เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่จะเพิ่มขีดความสามารถและการแข่งขัน   “กิจกรรมที่จัดขึ้นนี้นอกจากจะกระตุ้นการขายของสมาชิกที่ร่วมออกบูธแล้ว ในเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจสมาคมฯ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับ สมาชิกและขยายฐานสมาชิกใหม่เพิ่ม รวมทั้งก่อให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจ เนื่องด้วยธุรกิจรับสร้างบ้านถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่แต่ละปีมีมูลค่านับหนึ่งหมื่นล้านบาท รวมถึงส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง” นางศิริพรกล่าว   ด้านนายจิระวัฒน์ มาลีรักษ์ อุปนายกฝ่ายกิจกรรมพิเศษ กล่าวเสริมถึงการจัดงาน" Home Builder & Material Focus 2018 " มีผู้ประกอบการที่มาร่วมออกบูธ แบ่งเป็น บริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำ บริษัทวัสดุก่อสร้าง บริษัทออกแบบและตกแต่ง สถาบันการเงิน บริษัทอุปกรณ์-เครื่องใช้และของตกแต่งบ้าน สื่อสายอสังหาริมทรัพย์ และบูธของทางสมาคมฯ รวมกว่า 45 บูธ โดยมีไฮไลท์กลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านที่เตรียมแบบบ้านใหม่ซึ่งเป็น เทรนด์ล่าสุดของปีนี้มานำเสนอ และกลุ่มวัสดุซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เพิ่งออกสู่ตลาด เช่น CEMENT NANO PAINT-ฉาบเช้า ทาบ่าย ไร้กลิ่นไร้รอยแตก เครื่องปรับอากาศลดโลกร้อนซึ่งพัฒนาเพื่อรองรับเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต ลิฟต์บ้านอัจฉริยะจากประเทศสวีเดน กระเบื้องที่ออกแบบด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์แบบดิจิตอลที่จำลองรูปแบบสีของหินธรรมชาติ ฯลฯ ทั้งนี้ สมาคมคาดว่าจะมียอดขายภายในงาน 4 วัน ไม่ต่ำกว่า 1,100 ล้านบาท และยอดขายตามมาภายหลังงานอีกไม่ต่ำกว่า 1,800 ล้านบาท     ในส่วนการโฆษณาประชาสัมพันธ์กิจกรรม สมาคมฯยังคงเน้นสื่อออนไลน์เป็นหลัก โดยได้มีการผลิตสื่อภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง “1-100 ล้านบาท” เพื่อเผยแพร่ โดยต้องการสื่อให้เห็นว่าไม่ว่าในงาน HBMF 2018 ปีนี้ได้รวบรวมบ้านทุกระดับราคาเอาไว้ในงานเดียว สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกระดับ ไม่ว่างบประมาณของลูกค้าจะมีเท่าไหร่ สำหรับกิจกรรมภายในงาน สมาคมฯได้เตรียมกิจกรรมที่หลากหลายทั้งสาระ ความรู้ พร้อมโปรโมชั่นในงานจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนแสดงความประสงค์เข้าร่วมงานล่วงหน้า ผ่านเว็ปไซต์ของสมาคมฯที่ www.hba-th.org และจองปลูกสร้างบ้านภายในงานจะได้รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 10,000 บาท บ้านราคาไม่เกิน 5,00,000 บาท รับส่วนลดทันที  5,000 บาท และบ้านราคา 5,000,000 บาทขึ้นไป รับส่วนลดทันที 10,000 บาท พร้อมยังได้รับส่วนลดหนังสือ รวมแบบบ้านสวยจากบริษัท และรับสร้างบ้านชั้นนำ ส่วนที่สองผู้ที่จองปลูกสร้างบ้านภายในงานยังมีสิทธิ์ในการลุ้นรับรางวัลใหญ่ ทองคำมูลค่ากว่า 100,000 บาท อีกทั้ง ยังมีสินเชื่อพิเศษจากสถาบันการเงินชั้นนำ   ส่วนนายวรวุฒิ กาญจนกูล เลขาธิการสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่า งานรับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Material Focus 2018 ถือเป็นกิจกรรมที่สมาคมฯ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมุ่งเน้นเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ของธุรกิจรับสร้างบ้านให้แก่ผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้านและบุคคลทั่วไป ทุกปีที่ผ่านมาก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี   นอกเหนือจากกิจกรรมนี้ ในเดือนมีนาคมทางสมาคมฯ ยังวางแผนจัดกอล์ฟการกุศล HBA Golf Charity 2018 โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ หาทุนเพื่อนำไปใช้ในโครงการ “สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านสร้างอนาคต เพื่อเด็กไทย” ซึ่งเป็นโครงการเพื่อสังคมที่สมาคมจัดเป็นประจำทุกปีอีกทั้งสมาคมยังเล็งเห็นว่ากิจกรรมดังกล่าวจะสร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่างสมาชิกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ให้สมาชิกได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาชิก รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดจัดงานในวันศุกร์ที่30 มีนาคม 2561 เวลา 12.00 น.เป็นต้นไป ณ สนาม กอล์ฟ เลกาซี่ กอล์ฟคลับ วางเป้าหมายเปิดรับสมัครทั้งหมด 30 ทีม ทีมผู้ชนะจะได้ถ้วยรางวัลเกียรติยศจากพลเอกสุรยุทธ์ จุลลานนท์ องคมนตรี
ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง มองกลุ่มอสังหาฯ ไฮเอ็น  หันจับมือเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ระดับโลกตอบโจทย์ลูกค้า

ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง มองกลุ่มอสังหาฯ ไฮเอ็น หันจับมือเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ระดับโลกตอบโจทย์ลูกค้า

ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง เผยตลาดอสังหาฯ ระดับบน หันมาจับมือ แบรนด์ดีไซเนอร์ เฟอร์นิเจอร์ระดับโลก สร้างจุดขายและความแตกต่าง ตอบความต้องการกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ พบนักลงทุนอสังหาฯ มองหาบ้านหรือคอนโด ที่มาพร้อม กับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่เป็นแบรนด์ดีไซเนอร์ เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าการลงทุน นอกจากการเลือกทำเลที่ตั้งของโครงการ และงานออกแบบของสถาปัตยกรรม นางสาวกมนนัทธ์ เต็มไตรรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (SONDER living) แบรนด์ แกลเลอรี่ ที่รวบรวมเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านนำเข้าระดับไฮเอนด์ รวบรวมผลงานจาก 7 แบรนด์ 7 ดีไซน์เนอร์ชื่อดังของโลก เปิดเผยว่า จากการคาดการณ์ของที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ รวมไปถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทัพย์รายใหญ่ในตลาดหลายราย ยังคงคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับบนในกลุ่มไฮเอ็น ลักชัวรี่ และซุปเปอร์ลักชัวรี่ ที่ตั้งอยู่บนทำเลทองใจกลางกรุงเทพ หรือติดกับแนวรถไฟฟ้าสายหลัก รวมไปถึงทำเลที่ตั้งอยู่ตาม เมืองท่องเที่ยวสำคัญ ๆในประเทศ จะยังคงมีทิศทางการเติบโตที่ดี ทั้งนี้ จากข้อมูลซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับสากลคาดการณ์ว่ากลุ่มคอนโดหรูทำเล กลางเมือง "เปิดใหม่"  ในปี 2561 นี้จะมีถึง 14,000-15,000 ยูนิต จากปี 2560 มีจำนวน 12,358 ยูนิต โดยระบุว่าอัตราผลตอบแทนคอนโดหรูทำเลกลางเมืองใน 3 ปีที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 10-15% ต่อปี เช่นเดียวกับผลตอบแทนการเช่าที่ 4-5% ส่งผลให้ทั้งคนไทยและต่างชาติสนใจซื้อเพื่อลงทุน โดยในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ เดิมนิยมซื้อที่ราคาห้องชุด 10 ล้านบาทขึ้นไป และในปีนี้ยังเชื่อว่ากลุ่มนักลงทุน ยังมีความสนใจซื้อคอนโดระดับไฮเอ็นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นางสาวกมนนัทธ์ กล่าวต่อว่า โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับบนในปัจจุบันเริ่ม จับมือเฟอร์นิเจอร์ระดับ World class designer หรือเฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์ระดับโลก เพื่อสร้างจุดขายและสร้างจุดต่าง ด้วยพฤติกรรมความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ ชื่นชอบความมีเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นไม่ซ้ำแบบใคร โดยเลือกจะตามความพึ่งพอใจส่วนตัว เพื่อแสดงความเป็นตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ ประกอบกับ เป็นการจูงใจกลุ่มนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยสร้างความได้เปรียบด้านการดีไซน์ และการตกแต่งที่มีเอกลักษณ์ ช่วยเพิ่มมูลค่าผลตอบแทนจากการลงทุนเพื่อการปล่อยเช่าได้มากขึ้น นอกเหนือจากการแข่งขันกันในด้านทำเลที่ตั้งของโครงการ งานออกแบบสถาปัตยกรรม หรือบริการที่แปลกใหม่พิเศษเฉพาะลูกค้าในโครงการ “การที่อสังหาริมทรัพย์ระดับบน กลุ่มลักชัวรี่ และซุปเปอร์ลักชัวรี่ หันมาเลือกใช้แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับโลก หรือแบรนด์ ระดับไฮเอนในตลาดบ้านเรา รวมไปถึงการเลือกข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์สุขภัณฑ์ รวมไปถึงเครื่องครัว ที่เป็นแบรนด์ระดับไฮเอนด์ เพื่อสร้างมาตรฐานระดับโลก World Class ก็เพื่อการแข่งขันมุ่งตอบโจทย์ตอบความต้องการของลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง โดยก่อนหน้านี้ แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงมักนำเข้ามาจาก อิตาลี ยุโรป และสหรัฐอเมริกา แต่ปัจจุบันมีการนำเข้าแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ใหม่ ๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและโดดเด่นมาจากตัวดีไซเนอร์ เข้ามาในเมืองไทยมากขึ้น อย่าง Kelly Hoppen แบรนด์ดีไซเนอร์จากฝั่งอังกฤษ หรือ Thomas Bina ที่โด่งดังอย่างมากในแถบแคลิฟอร์เนีย” นางสาวกมนนัทธ์ กล่าว นอกจากนี้ การเลือกของตกแต่งบ้านหรือคอนโดระดับบน เพื่อให้เข้ากับรูปแบบเฟอร์นิเจอร์เริ่มได้รับความสนใจในโครงการอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ที่ผ่านมาจะเน้นเรื่อง Furniture Package ซึ่งไม่นับรวมของตกแต่ง แต่ปัจจุบันมีการลงรายละเอียดการตกแต่ง ลงลึกไปถึงพรม รูปภาพตกแต่ง แจกัน จานชาม โคมไฟที่จะถูกออกแบบ จัดวาง เลือกสรร โดยทีมออกแบบของแบรนด์เฟอร์นิเจอร์นั้น ๆ หรือมีการจัดรวมเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน และการให้บริการออกแบบเป็น Service Package ร่วมกันเพื่อสร้างความโดดเด่นและบรรยากาศ ให้เข้าถึงงานดีไซน์ของแบรนด์ดีไซเนอร์มากขึ้น  “ล่าสุด ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง ได้เข้าไปเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจให้ตกแต่งห้องชุดตัวอย่างคอนโดมิเนียม แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด โดยทางทีมงาน Sonder Living Thailand ได้ออกแบบให้เข้ากับรูปแบบ concept ของโครงการ รวมทั้ง mix and match furniture brand จาก Sonder Living ให้เกิดความ unique โดดเด่นไม่เหมือนใคร ทั้งนี้ ลูกค้าบ้านและคอนโดของเราทั้งหมด จะรับการดูแลออกแบบโดยทีมงานออกแบบมืออาชีพของ Sonder Living ที่เลือกในทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เพียงการนำเฟอร์นิเจอร์มาจัดวางให้เข้ากับห้องเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงภาพรวม คาแรคเตอร์ และความต้องการของลูกค้าแต่ละคนเพื่อสร้างความโดดเด่นเฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำแบบใคร นับเป็นการเพิ่มความพิเศษและเพิ่มคุณค่า ให้กับตัวอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น” นางสาวกมนนัทธ์กล่าว
อนันดา สร้างสถิติใหม่โชว์รายได้ปี'60 ประกาศแผนธุรกิจปี'61 ลุย 16 โครงการใหม่ 35,000 ล้านบาท

อนันดา สร้างสถิติใหม่โชว์รายได้ปี'60 ประกาศแผนธุรกิจปี'61 ลุย 16 โครงการใหม่ 35,000 ล้านบาท

อนันดา ปิดฉากปี'60 โชว์รายได้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน พร้อมยอดขายกว่า 34,900 ล้านบาท เปิดตัวคอนโด  11 โครงการ มูลค่ากว่า 36,600 ล้านบาท ประกาศแผนธุรกิจปี'61 เป้าโอน 38,000 ล้านบาท เปิดโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ากว่า 35,100 ล้านบาท ตั้งเป้าโต 4 ปี ยอดโอน 70,000 ล้านบาท นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัท สามารถสร้างสถิติสูงสุดทั้งการเปิดโครงการใหม่ ยอดขาย และรายได้ โดยมูลค่าโครงการอยู่ที่ 42,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% จากปีก่อน และยอดขายมูลค่า 34,920 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 39% จากปีก่อน และรายได้ 12,950 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน ประกอบด้วย รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 8,932 ล้านบาท รายได้อื่น 4,018 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากรายได้จากโครงการร่วมทุน และรายได้จากงานก่อสร้างโครงการภายนอกบริษัท ทั้งนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,328 ล้านบาท ลดลง 12% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากการเปิดโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ ยอดขายรอรับรู้รายได้(แบ็คล็อค) กว่า 53,700 ล้านบาท รองรับการโอนใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้น 30% จากสิ้นปีก่อน ซึ่งในปีที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวคอนโดมิเนียม 11 โครงการ และแนวราบ 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 42,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% จากปีก่อน และจากการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 11 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 36,600 ล้านบาท ส่งผลให้ในปี 2560 บริษัทเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดตัวคอนโดมิเนียมสูงที่สุดในประเทศ โดยไตรมาส 4 บริษัทได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 8,400 ล้านบาท ประกอบด้วย ไอดีโอ โมบิ พระราม 4 มูลค่า 5,000 ล้านบาท ติดรถไฟฟ้าสถานีคลองเตย และเอลลิโอ เดล  มอสส์ มูลค่า 3,400 ล้านบาท ติดรถไฟฟ้าสถานีเสนานิคม บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้ 9,800 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้ 7,500 ล้านบาท ถึง 31% ทั้งนี้ บริษัทประสบความสำเร็จในการขายไปยังต่างประเทศจากโครงการใหม่ และโครงการที่เปิดขายไปก่อนหน้า มูลค่าการขาย รวม 9,775 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้น 164% จากปีก่อน ขายไปยังลูกค้าใน 38 ประเทศ ส่งผลให้บริษัทก้าวสู่การเป็นบริษัทที่มียอดขายต่างประเทศสูงที่สุดในประเทศในปี 2560 ทำให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมในประเทศ และต่างประเทศกว่า 34,900 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7% นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงรักษาวินัยทางการเงิน และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจให้เติบโต พร้อมดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิซึ่งหักด้วยเงินสดต่อส่วนทุนอยู่ที่ 0.77 :1 เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายระยะยาวของบริษัทในระดับ 1:1 ขณะเดียวกัน บริษัทได้ร่วมทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพมหานคร ร่วมกับมิตซุย ฟูโดซัง เพิ่มเติมอีก 6 โครงการมูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท ประกอบด้วย ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 ,ไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่ ,เอลลิโอ เดล เนสต์ ,ไอดีโอ โมบิ รางน้ำ , เอลลิโอ เดล มอสส์ และคอนโดมิเนียมใกล้พระราม 9 ซึ่งมีมูลค่าร่วมทุนรวม 21 โครงการกว่า 95,000 ล้านบาท บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้นจากปีก่อน แสดงให้เห็นการมีวินัยทางการเงินในการรักษาผลกำไรของบริษัท แม้ว่าอยู่ในช่วงของการเติบโต นอกจากนี้กระแสเงินสดของบริษัทยังคงมีความแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นสุดไตรมาสยังคงรักษาเงินสดขนาดใหญ่ที่มีมากกว่า 2,000 ล้านบาท บริษัทยังได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการเงินสดของบริษัทฯตลอดทั้งปี ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ สำหรับแผนดำเนินงานในปี 2561 บริษัทตั้งเป้ายอดโอนเติบโตสูงถึง 152% เป็น 38,000 ล้านบาท โดยในปี 2561 บริษัทคาดว่ามีคอนโดมิเนียมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอน 9 โครงการ เพิ่มเติมจากในปี 2560 ซึ่งมีคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอนจำนวน  8 โครงการ รวมทั้ง มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 2561 จำนวน 16 โครงการ มูลค่ากว่า 35,100 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียม 8 โครงการ ร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซังจำนวน  7 โครงการ และแนวราบ 8 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขายใกล้เคียงกับปีก่อน 35,100 ล้านบาท จาก 34,900 ล้านบาท ในปี 2560 พร้อมเป้าหมายในการรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนในระดับประมาณ 1:1 สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวในการบริหารงานของบริษัทอีกด้วย บริษัทตั้งเป้าหมายในการพัฒนาโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้น ด้วยมูลค่าโครงการร่วมทุนเกินกว่า 114,000 ล้านบาท ในปี 2561 จาก 95,000 ล้านบาท ในปี 2560 ส่งผลให้บริษัทสามารถรักษาตำแหน่งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าโครงการร่วมทุนสูงที่สุดในประเทศ "จากการรักษาการเติบโตของธุรกิจ และผลการดำเนินงานที่ดี รวมถึงยังรักษาความมีวินัยด้านต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้อนันดายังคงครองความเป็นผู้นำคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งด้านการออกแบบอาคาร และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านอื่นๆ ทำให้ยังคงตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมต่อไป ปี 2561 เป็นส่วนหนึ่งของ "4 in 4 Roadmap ระยะเวลาแห่งการเติบโตมากกว่า 4 เท่าใน 4 ปี" โดยบริษัทคาดหวังว่ายอดโอนจะเติบโตเกินกว่า 400% จากระดับกว่า 15,100 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 70,000 ล้านบาท ในปี 2564 ด้วยผลสำเร็จจากเงินลงทุนภายหลังจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2561 บริษัทคาดว่ามีคอนโดมิเนียมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอน 9 โครงการ เพิ่มเติมจากในปี 2560 ซึ่งมีคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอน 8 โครงการ" นายชานนท์ กล่าว บริษัทมีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งจากการได้รับผลสำรวจจากดัชนีความไว้วางใจในแบรนด์สูงที่สุดสำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมในปี 2560 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU-Brand Trust Index in the real estate industry) สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการส่งมอบสินค้า และบริการที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า พร้อมรับรู้ได้มายังแบรนด์ของบริษัท ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทเตรียมขออนุมัตินำเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาการเพิ่มเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น เป็น 12.75 สตางค์ เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนหน้านี้ โดยเป็นการเพิ่มเงินปันผลขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่มีการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัท
MQDC ประกาศความสำเร็จ WHIZDOM 101ยอดจองทะลุเป้าเตรียมเปิดโครงการใหม่ “Whizdom Inspire

MQDC ประกาศความสำเร็จ WHIZDOM 101ยอดจองทะลุเป้าเตรียมเปิดโครงการใหม่ “Whizdom Inspire"

แมกโนเลีย ประกาศความสำเร็จของโครงการ WHIZDOM 101 พร้อมขอบคุณคู่ค้าพันธมิตร ในงาน THANK YOU PARTY ตอกย้ำความเป็นผู้นำโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพยอดเยี่ยมแห่งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยแนวคิดเมืองอัจฉริยะ Smart City และเป็น Third Place ที่ตอบโจทย์เรื่อง Creating Shared Value (CSV)  จับมือ “ทรู ดิจิทัล พาร์ค” (True Digital Park) พัฒนาศูนย์กลางด้านดิจิทัลของไทยใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เตรียมเปิดตัว “Whizdom Inspire” คอนโดมิเนียมที่สร้างแรงบันดาลใจพร้อมไอเดียใหม่ๆ อย่างไร้ขีดจำกัด  และ Innovative Lifestyle Complex ที่สมบูรณ์แบบไตรมาส 4 ปีนี้ นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(MQDC) ในเครือบริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า โครงการ WHIZDOM 101 (วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน) ถือเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจ และความสำเร็จของ MQDC ในด้านการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพชั้นนำของประเทศไทย ที่ได้รับรางวัลระดับประเทศและนานาชาติ ด้วยรางวัลด้านแนวคิดเมืองอัจฉริยะ Smart Cities – Clean Energy จากกระทรวงพลังงาน และยังได้รับรางวัลจากเวทีระดับโลกด้านโครงการมิกซ์ยูสยอดเยี่ยม (Best Mixed-use Development Thailand) จากเอเชียแปซิฟิก พรอพเพอร์ตี้ อวอร์ด (Asia Pacific Property Award) ประจำปี 2016-2017 และล่าสุดเมื่อปลายปี 2560 ยังได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทางด้านความยั่งยืน จากเวที AEC Excellence Awards เมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีโครงการเข้าประกวด 145 โครงการ จาก 32 ประเทศทั่วโลก ซึ่ง “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” ถือเป็นโครงการแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับรางวัลนี้ MQDC เราได้มุ่งมั่นพัฒนาโครงการฯ ด้วยนวัตกรรมการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน (Sustainnovation) เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ทั้งผู้อยู่อาศัย และชุมชนโดยรอบ แมกโนเลียฯ ได้ให้ความสำคัญในการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ช่วยสร้างระบบนิเวศน์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างมูลค่าเพิ่ม ตลอดจนสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับทุกสรรพสิ่งและเป็นประโยชน์ต่อสังคม ทำให้โครงการ “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าและคู่ค้าพันธมิตรต่างๆ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการขายทั้ง 3 ส่วน ประกอบด้วย ที่พักอาศัย คอนโดมิเนียม “วิสซ์ดอม คอนเนค” (Whizdom Connect Sukhumvit) ประมาณ 90% และ “วิสซ์ดอม เอสเซ้นส์” (Whizdom Essence)ประมาณ 80% ร้านค้าในพื้นที่ Innovative Lifestyle Complex มียอดจองพื้นที่กว่า 80% ทั้งร้านอาหารชื่อดัง ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าไลฟ์สไตล์เพื่อรองรับการใช้ชีวิตในทุกๆ วัน และพื้นที่สำนักงานบรรลุเป้าการขาย 100% โดยวิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน ได้จับมือกับ “ทรู ดิจิทัล พาร์ค” (True Digital Park) ในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของไทยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เน้นสร้าง Startup Ecosystem แบบครบวงจร ด้วยแนวคิด Open Innovation จากการรวมตัวกันของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เหล่าสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการ นักลงทุน สำหรับความคืบหน้าและมูลค่าโดยรวมของโครงการ “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยมีโครงการที่พักอาศัยส่วนแรก ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม High-Rise จำนวน 3 อาคาร ที่ทุกยูนิตจะมีความพิเศษด้วย "Home Intelligent Systems" เทคโนโลยีอันทันสมัยและชาญฉลาดที่ทำให้ผู้พักอาศัยสามารถควบคุมและสั่งการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ในบ้านแม้อยู่นอกบ้าน จะเริ่มส่งมอบพื้นที่คอนโดมิเนียม “วิสซ์ดอม คอนเนค” ต้นเดือนมีนาคม 2561 และจะเตรียมเปิดโครงการใหม่ “วิสซ์ดอม อินสปาย” (Whizdom Inspire) เจาะกลุ่มนิวเจนฯ ที่เต็มไปด้วย Passion ใส่ใจสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม ดูแลสุขภาพ และพิถีพิถันในการใช้ชีวิต ให้คนรุ่นใหม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้ด้วยตัวเองอย่างไร้ขีดจำกัด พร้อมสังคมคุณภาพ และ Innovative Lifestyle Complex ที่สมบูรณ์แบบ เพื่อรองรับการใช้ชีวิตที่ดีในทุกๆ วัน ภาพรวมดำเนินงานไปแล้วกว่า 80% และคาดว่าจะพร้อมเปิดตัว Innovative Lifestyle Complex “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 นายสุทธา เรืองชัยไพบูลย์ ประธานผู้อำนวยการ MQDC กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงาน MQDC ประกาศความสำเร็จของโครงการ WHIZDOM 101 พร้อมขอบคุณคู่ค้าพันธมิตรต่างๆ ในงาน THANK YOU PARTY และเปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานว่า วัตถุประสงค์การจัดงานนี้เพื่อเป็นการขอบคุณสื่อมวลชน คู่ค้าพันธมิตร และลูกค้าทุกท่านที่ให้การสนับสนุนโครงการ “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” อย่างต่อเนื่อง และเพื่อเป็นการแจ้งความคืบหน้าและความสำเร็จของโครงการฯ เชื่อว่าเมื่อ “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” พร้อมเปิดให้บริการจะเป็นหนึ่งในโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพยอดเยี่ยมแห่งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยแนวคิดเมืองอัจฉริยะ Smart City และเป็น Third Place ที่ตอบโจทย์เรื่อง Creating Shared Value (CSV) และ นวัตกรรมการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน (Sustainnovation) ที่เพียบพร้อมไปด้วยความสะดวกสบายและทันสมัยที่สุด อีกทั้งจะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่สำหรับคนกรุงเทพฯ ด้วยสังคมคุณภาพ และ Innovative Lifestyle Complex ที่สมบูรณ์แบบ เพื่อรองรับการใช้ชีวิตที่ดีในทุกๆ วัน ซึ่งตรงกับความเป็น smart city ของ WHIZDOM 101 ด้วยคอนเซ็ปต์ The Great Good Place โดยโครงการฯ ได้รับความสนใจจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งเรามีความยินดี หากท่านใดสนใจก็สามารถนำคอนเซ็ปต์ไปต่อยอดในการพัฒนาโครงการได้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ด้านกิจกรรมการตลาดโครงการฯ ให้ความสำคัญต่อกิจกรรมการตลาดเป็นอย่างมาก เพราะโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพ ต้องเน้นการพัฒนาด้วยแนวคิดเมืองอัจฉริยะ Smart City การเป็น Third Place ที่ทุกท่านสามารถมาใช้ชีวิตได้ นอกจากบ้านและที่ทำงาน เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ และเพิ่มคุณค่าให้กับสังคม Creating Shared Value (CSV) และ การพัฒนานวัตกรรมการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน Sustainnovation เป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมที่จะเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ และทั้งหมดนี้เป็นเทรนด์ที่กำลังจะมาอย่างแน่นอน เมื่อโครงการ WHIZDOM 101 เปิดแล้ว จะเป็นการเสริมศักยภาพ เพิ่มคุณค่า Value Added ให้ชุมชนโดยรอบซึ่งจะเป็น platform ให้ชุมชนมาใช้ประโยชน์ ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่สร้างประสบการณ์ให้กับทุกท่าน พร้อมตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ดีในทุกๆ วัน
เอสซีฯ ตั้งบริษัท เอสซี อัลฟ่า อินคอร์ปอเรชั่น ลุยตลาดอสังหาฯอเมริกา ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 17,000 ล้านบาท

เอสซีฯ ตั้งบริษัท เอสซี อัลฟ่า อินคอร์ปอเรชั่น ลุยตลาดอสังหาฯอเมริกา ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 17,000 ล้านบาท

เอสซีฯ รุกลุงทนธุรกิจอสังหาฯ ในอเมริกา   ตั้งบริษัทย่อย เอสซี อัลฟ่า อินคอร์ปอเรชั่น ปี 60 ทำสถิตินิวไฮยอดขายรวมและแนวราบโตกว่า 30% กำไรสุทธิ 1,256 ล้านบาท พร้อมปันผล 0.12 บาท/หุ้น ปี 61 ตั้งเป้ายอดขายและรายได้ 17,000 ล้านบาท โต 36% นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปี 2560 ยอดขายรวมเท่ากับ 15,280 ล้านบาท โต 32% (YoY) และยอดขายแนวราบ 10,547 ล้านบาท โต 33% (YoY) กลุ่มที่เติบโตมากที่สุด คือ บ้านเดี่ยวระดับราคาน้อยกว่า 5 ล้านบาท หรือแบรนด์ PAVE เติบโต 189% (YoY) ส่วนบ้านเดี่ยวระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป ครองมาร์เกต แชร์ อันดับ 1 เติบโตถึง 63% (YoY) และบ้านเดี่ยวรวมทุกระดับราคา เป็นอันดับ 2 ขณะที่ รายได้จากการดำเนินงาน มูลค่า 12,450 ล้านบาท ประกอบด้วยรายได้จากค่าเช่าและบริการ 850 ล้านบาท กับรายได้หลักจากโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 11,600 ล้านบาท ซึ่งมาจากรายได้จากโครงการแนวราบ 9,093 ล้านบาท โต 18% (YoY) และโครงการแนวสูง 2,507 ล้านบาท ลดลง 58% (YoY) เนื่องจากโครงการคอนโดฯ ขนาดใหญ่จะสร้างเสร็จพร้อมโอนได้ในปี 2561 เป็นผลให้รายได้จากการดำเนินงานลดลงเมื่อเทียบกับปี 2559 และมีกำไรสุทธิ 1,256 ล้านบาท ส่วนยอดขายรอโอนหรือ Backlog รวม 9,703 ล้านบาท จะพร้อมโอนปีนี้ 50% อีก 50% ที่เหลือจะโอนในปี 2562-2563  ณ วันที่ 31 ธ.ค. 60 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม และหนี้สินรวมเท่ากับ 38,498 ล้านบาท และ 23,583 ล้านบาทตามลำดับ ทั้งนี้ มติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้อนุมัติจัดตั้งบริษัทย่อย ชื่อ SC ALPHA Inc.(บริษัท เอสซี อัลฟ่า อินคอร์ปอเรชั่น) ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ได้เห็นชอบให้เสนอจ่ายเงินปันผลประจำปี 2560 ในอัตรา 0.12 บาทต่อหุ้น โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 เมษายน 2561 ปี 2561 ตั้งเป้ายอดขายและรายได้ 17,000 ล้านบาท โต 11% และ 36% ตามลำดับ มีโครงการที่เปิดขายทั้งหมดรวม 58 โครงการ มูลค่ากว่า 56,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการต่อเนื่อง 39 โครงการ มูลค่ารวม 37,000 ล้านบาท และโครงการเปิดใหม่ 19 โครงการ มูลค่า 19,000  ล้านบาท ซึ่งในเดือนมีนาคมจะเปิด 2 โครงการใหม่ ได้แก่ เซ็นทริค รัชโยธิน (CENTRIC RATCHAYOTHIN)คอนโดฯ ใกล้BTS สถานีรัชโยธินเพียง 150 เมตร บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท อาคารสูง 21 ชั้น จำนวน 261 ยูนิต เริ่มต้น 3.7 ล้านบาท โดยได้จัด Speed Online Booking 3 ชั่วโมง! ซึ่งเปิดให้ลงทะเบียนล่วงหน้าตั้งแต่วันนี้ที่ https://booking.scasset.com รับราคาดีที่สุดพร้อมสิทธิพิเศษเฉพาะวันที่ 6 มีนาคม ก่อนเปิดพรีเซลส์ 10-11 มีนาคมนี้ สอบถามเพิ่มเติมโทร. 1749 เพฟ บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา (PAVE BANPHO-CHACHOENGSAO) บ้านสไตล์โมเดิร์นทำเลติดถนนสุขุมวิท ฉะเชิงเทรา 314 ตั้งอยู่บริเวณใจกลางหรือฮับของเส้นทางโลจิสติกระหว่าง กทม. - ภาคตะวันออกโดยเป็นจุดศูนย์กลางของการขนส่งสินค้าต่างๆ และ ใกล้โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงในอนาคตสถานีกรุงเทพ-ฉะเชิงเทรา อีกทั้งใกล้นิคมอุตสาหกรรมและแวดล้อมด้วยสาธารณูปโภคสำคัญต่างๆบนพื้นที่กว่า 36 ไร่ มูลค่าโครงการ 750 ล้านบาท จำนวน 144 หลัง ราคาเริ่ม 4 ล้านต้น พรีเซลส์วันที่  24-25 มีนาคม 2561
‘เอพี ไทยแลนด์’ จับมือ ‘TCDC’ จัดเสวนาในหัวข้อ ‘เปลี่ยนจังหวะให้ทันโลก’ในงาน‘Bangkok Design Week 2018’

‘เอพี ไทยแลนด์’ จับมือ ‘TCDC’ จัดเสวนาในหัวข้อ ‘เปลี่ยนจังหวะให้ทันโลก’ในงาน‘Bangkok Design Week 2018’

บริษัท เอพี(ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมืองที่เชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมการดีไซน์ เพื่อพื้นที่ใช้สอยที่ไม่จำกัด ผนึกกำลังกับศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ดึง Sam Baron นักสร้างสรรค์งานดีไซน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกจาก FABRICA Design Studio และ Kaave Pour นักออกแบบมือทองจาก SPACE10 ร่วมเสนอไอเดียสร้างสรรค์บนเวทีสนทนาระดับประเทศ (International Symposium) ในงาน Bangkok Design Week 2018 ภายใต้หัวข้อ PULSE เปลี่ยนให้ทันจังหวะโลก เพื่อนำเสนอแนวคิด ‘เทรนด์การออกแบบของที่อยู่อาศัยสำหรับพื้นที่แห่งอนาคต (Co-Living Generation)’ เพื่อก้าวเข้าสู่บริบทใหม่ของการใช้ชีวิตในวันที่พื้นที่ชีวิตเหลือน้อยลง นายสรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง ผู้อำนวยการคอร์ปอเรทมาร์เก็ตติ้ง และเอพี ดีไซน์ แล็บ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า ภายใต้การเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วจากผลกระทบของเทคโนโลยีที่ถาโถมเข้ามา เป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะกล่าวถึงที่อยู่อาศัยในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร เนื่องจากความต้องการของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เหมือนเดิมหรือไม่ในอนาคต และปัจจัยสำคัญอีกหนึ่งข้อที่ทำให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันเกิดความท้าทาย คือ ความจำกัดของพื้นที่ เอพีในฐานะผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของไทยมีความมุ่งมั่นและท้าทายขีดความสามารถที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง  ปีนี้เอพีตั้งโจทย์ที่ยากขึ้นและดึงผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายด้านเข้าร่วมงาน เพื่อที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยในทุกโครงการให้เหนือความต้องการของผู้อยู่อาศัย และครอบคลุมทุกฟังก์ชั่นการใช้งานพื้นฐาน “เนื่องจากทิศทางของที่อยู่อาศัยพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด เพื่อให้สอดรับกับการใช้ชีวิตในอนาคตของคนรุ่นใหม่ เอพี เปิดรับการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน เพื่อมอบโครงการคุณภาพพร้อมด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกบ้านเอพี โดยเฉพาะการพัฒนาของเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ต่างจากอดีต เช่น เวทีสนทนา ‘International Symposium’ ในงาน Bangkok Design Week 2018 นิทรรศการรวบรวมนักออกแบบและนักสร้างสรรค์ทั้งชาวไทย และต่างประเทศ เพื่อแบ่งปันวิสัยทัศน์ด้านการออกแบบที่แปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Kaave Pour (โคเวอร์ พัว) Creative Director ของ SPACE10 ศูนย์วิจัยด้านการใช้ชีวิตในอนาคตของ IKEA ที่มุ่งออกแบบวิถีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ผ่านการค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในเทรนด์ระดับโลก เช่น ความมั่งคงด้านอาหาร การขยายตัวของความเป็นเมือง สุขภาพและสุขภาวะ หรือการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่มีอยู่อย่างจำกัดให้คุ้มค่าการใช้งานในโปรเจกต์ ‘AP SPACE SCHOLARSHIP’ ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Sam Baron และเอพี ไทยแลนด์ มุ่งนำเสนอการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยแห่งอนาคตผ่านนวัตกรรมพื้นที่แห่งอนาคตในมุมมองของ FABRICA Design Studio และ เอพี ไทยแลนด์” นายสรรพสิทธิ์กล่าว มร. แซม บารอง ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ FABRICA Design Studio กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเยาวชนในสังคมไทยผ่านความเชี่ยวชาญของ FABRICA และเอพี ในด้านความเชี่ยวชาญการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัย และงานออกแบบที่โดนใจคนที่มาจากต่างถิ่นและถูกสร้างสรรค์ให้เป็นพื้นที่อาศัยที่สามารถแบ่งปันกันได้อย่างลงตัว หรือที่เอพีมักเรียกว่า ‘Co-working Space’ ผมหวังว่าจะได้ร่วมงานกับเอพีในโปรเจกต์ที่ท้าทายเช่นนี้อีกในอนาคต มร. โคเวอร์ พัว ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ SPACE10 กล่าวในงาน International Symposium ว่า “SPACE10 มีการทำวิจัยและทดลองว่ามนุษย์เราจะใช้ชีวิตอย่างไรในอีก 2-3 ทศวรรษข้างหน้า จะเจาะลึกถึงความเป็นไปได้จริงใน 3 แนวคิดหลัก คือ สังคมหมุนเวียน (Circular Societies) การอยู่ร่วมกัน (Co-Existence) และการใช้เทคโนโลยีเสริมสร้างคนและสังคม (Digital Empowerment) มนุษย์ ถือเป็นผู้ผลักดันให้เกิดนวัตกรรม เมื่อประชากร 1,200 ล้านคนต้องอยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น มีการแบ่งปันกันมากขึ้น ทุกคนพร้อมที่จะแบ่งปันใช้ของร่วมกับคนอื่น นี่คือตัวอย่างที่เราคิดถึงอนาคตข้างหน้า ซึ่งคนที่เริ่มจินตนาการถึงอนาคต ก็จะเป็นคนที่เริ่มสร้างอนาคตจริงขึ้นมาได้ ปี 2030 เราจะอยู่กันอย่างไรเป็นคำถามที่เราต้องร่วมกันหาคำตอบ
เอสซีจีเปิดบริการ'เอสซีจี รูฟ รีโนเวชั่น' แก้ปัญหาหลังคาบ้านวงจร

เอสซีจีเปิดบริการ'เอสซีจี รูฟ รีโนเวชั่น' แก้ปัญหาหลังคาบ้านวงจร

เอสซีจีเปิดบริการ'เอสซีจี รูฟ  รีโนเวชั่น' แก้ปัญหาหลังคาบ้านวงจร ตอบโจทย์ลูกค้าบ้านเก่า 8 แสนหลังคาเรือนตั้งเป้าขายปีนี้ 1,000 หลังคา นายฎายิน เกียรติกวานกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจหลังคา บริษัท กระเบื้องหลังคาซีแพค จำกัด เปิดเผยว่า เอสซีจีเปิดบริการ “เอสซีจี รูฟ  รีโนเวชั่น” ปัญหาเรื่องหลังคาอย่างครบวงจร โดยมีให้เลือกบริการซ่อมหลังคารั่วเฉพาะจุด (Roof-Repair) และเปลี่ยนหลังคาเก่าทั้งผืน (Re-Roof) รับประกัน 1 ปี โดยปีนี้เน้นให้บริการงานบ้านเดี่ยวก่อน และวางแผนขยายบริการไปสู่ที่อยู่อาศัยรูปแบบอื่นต่อไป "ภาพรวมตลาดบ้านเก่าอายุ 10 ปีขึ้นไป มีจำนวนประมาณ 18 ล้านหลังคาเรือนทั่วประเทศ ซึ่งจากผลการวิจัย พบว่าลูกค้าบ้านเก่าอายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไปที่หลังคาเริ่มเสื่อมโทรม มีความสนใจปรับปรุงหลังคากว่า 8 แสนหลังคาเรือน มองว่าดีมานด์ในการซ่อมแซมบ้านยังมีสูง ด้วยการเติบโตที่สูงถึง 300% ใน 3 ปีที่ผ่านมา เอสซีจีจึงมุ่งเน้นด้านการให้บริการอย่างครบวงจร และใช้ทีมช่างคุณภาพการให้บริการแก่ลูกค้าทุกหลัง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าบ้านเก่าที่มีความสนใจเปลี่ยนหลังคาบ้าน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีปัญหาหลังคาสามารถลงทะเบียนเพื่อขอรับคำปรึกษาฟรี ผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งนี้ตั้งเป้ายอดซ่อมหลังคารั่วเฉพาะจุด(Roof-Repair) และเปลี่ยนหลังคาเก่าทั้งผืน (Re-Roof) 1,000 หลังคาเรือน ผลักดันยอดขายรูฟ รีโนเวชั่น เติบโต 150% จากปีที่ผ่านมา ” นายฎายิน กล่าว สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถขอรับคำปรึกษาได้ฟรีที่เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ และเอสซีจี โฮมโซลูชั่นทุกสาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงสาขาในหัวเมืองใหญ่ อาทิ ชลบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่นและสุราษฎร์ธานี หรือติดต่อเอสซีจี คอนแทค เซ็นเตอร์ โทร.02-586-2222 หรือคลิกเว็บไซต์ www.scgbuildingmaterials.com
อัลติจูด เปิดขายแนวราบพร้อมกัน 3 โครงการ มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท ชูจุดขาย “โครงการหรู ใจกลางเมือง” เร่งส่งโปรฯ ช็อคตลาดอสังหาฯ “ลดสูงสุด 2 ลบ. แถมลิฟต์ทุกยูนิต”

อัลติจูด เปิดขายแนวราบพร้อมกัน 3 โครงการ มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท ชูจุดขาย “โครงการหรู ใจกลางเมือง” เร่งส่งโปรฯ ช็อคตลาดอสังหาฯ “ลดสูงสุด 2 ลบ. แถมลิฟต์ทุกยูนิต”

อัลติจูด ระเบิดศึกแนวราบ เปิดขายพร้อมกัน 3 โครงการ มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท ทั้งบ้านเดี่ยวและโฮมออฟฟิศ ตีโจทย์พัฒนาโครงการเจาะช่องว่างทางการตลาด เน้นโครงการหรูใจกลางเมือง พร้อมดันโปรโมชั่นช็อควงการด้วย “ส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท พร้อมติดตั้งลิฟต์ทุกยูนิต” ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคม 2561 นายขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย กรรมการบริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มุ่งพัฒนาโครงการหรูใจกลางเมือง ครอบคลุมทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง กล่าวว่า “ต้นปีนี้อัลติจูดจะรุกตลาดแนวราบพร้อมกันอย่างเป็นทางการถึง 3 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการ คือ อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 และโฮมออฟฟิศอีก 2 โครงการ คือ อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ และ อัลติจูด พรูฟ พระราม 9 มูลค่ารวมกว่า 700  ล้านบาท  ซึ่งทุกโครงการล้วนตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพใจกลางเมือง สามารถสนองตอบความต้องการของกลุ่มประกอบการ หรือ SME ที่เป็น Young Success คือ ผู้ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย โดยการพัฒนาโครงการทั้ง 3 โครงการ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยวหรือโฮมออฟฟิศ เราล้วนให้ความสำคัญกับคนกลุ่มนี้เป็นหลัก โดยในช่วง การเปิดขายอย่างเป็นทางการนี้ บริษัทได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ โดยมอบส่วนลด 2,000,000 บาท พร้อมติดตั้งลิฟต์ในทุกยูนิต โดยโปรโมชั่นเริ่มตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคมนี้ การพัฒนาโครงการที่เป็นโครงการหรูใจกลางเมือง มีกลยุทธ์หลักในการหาที่เพื่อพัฒนาโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการแนวราบหรือแนวสูง เพราะเรามองว่าเป็นโอกาส และเป็นช่องว่างทางการตลาด ในการพัฒนาสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้า หรือคนที่ต้องการมีบ้านหรูใจกลางเมือง หากจะมองว่าเรา Niche ที่เป็นการพัฒนาโครงการเพื่อคนเฉพาะกลุ่มก็อาจจะเป็นไปได้ เมื่อกลยุทธ์การหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการเป็นดังนี้แล้ว กลุ่มเป้าหมายของเราจึงเจาะไปที่กลุ่ม Young Success ที่ต้องการความเป็น “เมือง” เพราะเดินทางสะดวก มีไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ และยังสะท้อนภาพลักษณ์ของเจ้าของได้เป็นอย่างดีในอีกทางหนึ่ง ซึ่งลักษณะของคนกลุ่มนี้ ในแง่ของเหตุผลในการตัดสินใจซื้อโครงการ คือ ทำเล ความสะดวกในการเดินทาง ความพร้อมสำหรับการอยู่อาศัย อีกทั้งบ้านใจกลางเมืองในอนาคตนั้นจะมีมูลค่าสูงมากกว่าบ้านหรูย่านชานเมือง จึงเป็นโครงการที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ​ รวมถึงต้องมีดีไซน์ที่สวยงามทันสมัย แตกต่าง พร้อมฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้จริงนั่นเอง” สำหรับรายละเอียดโครงการทั้ง 3 โครงการมีดังต่อไปนี้ อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 “อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24” (ALTITUDE Mastery Phaholyothin 24) บ้านเดี่ยวระดับ Luxury พร้อมสระว่ายน้ำทุกยูนิต ในทำเลใจกลางเมือง ใกล้เซ็นทรัล ลาดพร้าว เพียง 600 เมตร และ 5 นาที จาก BTS พหลโยธิน 24 เป็นโครงการที่เน้นเรื่อง Private Community มีเพียง 8 หลัง ราคาเริ่มต้นที่ 30.7 – 43.78 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 240 ล้านบาท อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ “อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์” (ALTITUDE Prove Kaset Nawamin) โฮมออฟฟิศ 4 ชั้น พร้อมลิฟต์ส่วนตัวเพียง 8 ยูนิต ที่ตอบรับทุกความลงตัวในทุกธุรกิจ บนพื้นที่ที่เหมาะทั้งอยู่อาศัยและต่อยอดกิจการ เดินทางสะดวกใกล้ทางด่วน และรถไฟฟ้าโครงการในอนาคต พร้อมเชื่อมต่อสู่โซนกลางใจเมืองได้อย่างง่ายดาย ในราคาเริ่มต้นที่ 19.7 – 26.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 175 ล้านบาท อัลติจูด พรูฟ พระราม 9 อัลติจูด พรูฟ พระราม 9 อัลติจูด พรูฟ พระราม 9 “อัลติจูด พรูฟ พระราม 9” (ALTITUDE Prove Rama 9) โฮมออฟฟิศ 4 ชั้นครึ่ง จำนวน 16 ยูนิต ที่สุดของทำเลติดถนนใหญ่ ติดทางด่วนพระราม 9 และเพียง 700 เมตร จากแอร์พอร์ตลิงค์รามคำแหง รองรับทีมงานได้ 25-30 คน ในรัศมีแห่งความก้าวหน้า ใกล้พื้นที่เศรษฐกิจ CBD การเดินทางสะดวก และโอกาสในการเติบโตของมูลค่าที่ดินในอนาคตสูง ในราคาเริ่มต้น 14.7 – 28.8 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท นายขวัญชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “โปรโมชั่นของทั้ง 3 โครงการ ที่เรานำมามอบให้ในช่วงเปิดขายอย่างเป็นทางการขายได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ ลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร 0-2160-5165 หรือ www.altitude.co.th  
พฤกษา โชว์ยอดขายปี 60 โต 7% พร้อมประกาศปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เสริมกลยุทธ์เด็ดดันยอดขายปีนี้

พฤกษา โชว์ยอดขายปี 60 โต 7% พร้อมประกาศปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เสริมกลยุทธ์เด็ดดันยอดขายปีนี้

พฤกษาโชว์ยอดขายปี 2560 มูลค่า 47,536 ล้านบาท โต 7% พร้อมปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ลุยทาวน์เฮ้าส์ เสริมกลยุทธ์ขายไร้ขอบเขตผ่านกลุ่มสมาชิก Pruksa Member  เปิดตัวศูนย์กลางบริการเรื่องบ้าน Pruksa Open Home นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2560 บริษัทมียอดขายรวม 47,536 ล้านบาท โต 7% จากปี 2559 ที่มียอดขาย 44,342 ล้านบาท โดยสามารถทำรายได้รวมอยู่ที่ 43,922 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,454 ล้านบาท” และในปีนี้มีแผนจะเปิดโครงการใหม่รวม 75 โครงการ มูลค่า 66,700 ล้านบาท คาดว่าสามารถเปิดขายได้ตามแผนที่วางไว้  รวมถึงการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ และเพิ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ จากเดิมที่มีการแบ่งเป็นธุรกิจแวลู และพรีเมียม เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและรวดเร็วในการบริหารงาน โดยทาวน์เฮ้าส์ถือเป็นพอร์ตใหญ่ของพฤกษา คิดเป็นสัดส่วน 60% ของพอร์ตรวมทั้งหมด  ขณะเดียวกันยังเน้นการนำนวัตกรรมใหม่ๆ ในด้านการก่อสร้างเพื่อพัฒนาคุณภาพของสินค้า ควบคู่กับการสร้างแบรนด์พฤกษา นอกจากนี้ ได้วางกลยุทธ์ในการเพิ่มยอดขายด้วย Pruksa Member การขายไร้ขอบเขต เพื่อขยายช่องทางการขาย ที่เน้นการบอกต่อ และการแนะนำ เพียงสมัครเป็นสมาชิก Pruksa Member และปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น แนะนำเพื่อนที่สนใจซื้อบ้าน การพาเยี่ยมชมโครงการ การจอง การทำสัญญา การชำระเงินดาวน์ สมาชิกจะได้รับคะแนนสะสม และสามารถนำคะแนนสะสมไปแลกเป็นของรางวัล เช่น เงินสด  ทองคำ แพ็กเกจท่องเที่ยว สินค้าแบรนด์เนม เป็นต้น โดยได้เริ่มเปิดตัวสำหรับพนักงานในองค์กรเป็นเฟสแรกแล้ว และจะเริ่มใช้งานเต็มรูปแบบสำหรับสมาชิกในเดือนสิงหาคมนี้ คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางเพื่อเพิ่มโอกาสการขาย โดยบุคคลทั่วไป ที่ไม่ใช่ลูกค้าพฤกษาก็สามารถสมัครเป็นสมาชิก Pruksa Member ในการช่วยขายได้พร้อมรับสิทธิประโยชน์ได้เช่นกัน ทั้งนี้ ยังได้เปิดตัว Pruksa Open Home ศูนย์กลางการให้บริการแบบ One-Stop Service ที่อาคารเพิร์ล แบงก์ค็อก ชั้น 3 โดยลูกค้าสามารถหาข้อมูลและเลือกซื้อที่อยู่อาศัยทุกโครงการจากพฤกษา จองและทำสัญญา รับข้อเสนอพิเศษด้านสินเชื่อจาก สถาบันการเงินชั้นนำ พร้อมบริการตรวจสอบเครดิตบูโร แบบครบวงจรในที่เดียว ช่วยลดเวลาและความยุ่งยากให้ลูกค้า สำหรับลูกค้าที่ไม่มั่นใจเรื่องความสามารถในการกู้ซื้อบ้าน ก็สามารถปรึกษาเจ้าหน้าที่ และเลือกรับข้อเสนอสินเชื่อจากธนาคารพันธมิตรต่างๆ ของพฤกษาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ Pruksa Open Home ยังเป็นศูนย์กลางการฝากขาย ฝากเช่าโครงการที่อยู่อาศัยของพฤกษาให้กับคนไทยรวมถึงต่างชาติอีกด้วย โดยพฤกษาถือเป็นผู้ประกอบการรายแรกในวงการอสังหาฯ ที่พัฒนาศูนย์กลางให้บริการเรื่องบ้านในรูปแบบเบ็ดเสร็จนี้ในอาคารสำนักงาน เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
เอสซีจี แนะนำ 4 เรื่อง ระบบท่อที่เจ้าของบ้านควรรู้ก่อนลงมือสร้างบ้าน

เอสซีจี แนะนำ 4 เรื่อง ระบบท่อที่เจ้าของบ้านควรรู้ก่อนลงมือสร้างบ้าน

ผู้ที่กำลังสนใจในการสร้างบ้าน นอกจากการให้ความสำคัญกับการเลือกผู้รับเหมา งานโครงสร้าง การออกแบบดีไซน์ ทั้งภายในและภายนอกแล้ว “งานระบบท่อ” ก็เป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าของบ้านหลายคนมักมองข้ามไป เพราะจริงๆ แล้วเมื่อเราสร้างบ้านหนึ่งหลัง ระบบท่อจะอยู่คู่กับบ้านเราไปตลอด หากเริ่มต้นวางระบบท่อไม่ได้มาตรฐาน เลือกใช้วัสดุที่ไม่ได้คุณภาพหรือไม่ตรงกับประเภทการใช้งาน การดูแลซ่อมแซ่ม อาจเป็นเรื่องยุ่งยาก ทำลายทัศนียภาพของบ้าน และมีราคาสูง ท่อเอสซีจี จึงอยากนำเสนอและแนะนำเจ้าของบ้านหรือผู้ที่สนใจกำลังจะสร้างบ้าน เกี่ยวกับระบบท่อก่อนลงมือสร้างจริง ถึงแม้ว่าการวางระบบท่อ เหมือนจะเป็นเรื่องที่ไกลตัว เพราะว่าส่วนใหญ่เรามักจะจ้างผู้รับเหมาให้ดูแลทั้งระบบอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงเราควรรู้จักและรู้ถึงการเลือกใช้ท่อให้เหมาะสมต่อการใช้งาน หรือแม้กระทั้งการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ เพราะเมื่อมีการสร้างจริงแล้ว เจ้าของบ้านจะสามารถรู้ได้ว่าผู้รับเหมาใช้ของที่มีคุณภาพ วางระบบได้มาตรฐานหรือคุ้มกับค่าใช้จ่ายหรือไม่ ท่อเอสซีจี จึงขอแนะนำ 4 เรื่องระบบท่อ ทำไมเจ้าของบ้านควรรู้ก่อนลงมือสร้างบ้าน ดังนี้ การเลือกวัสดุให้เหมาะสมต่อการใช้งานในแต่ละประเภทสำหรับระบบประปา ท่อประปาที่นิยมในท้องตลาดมีทั้งหมด 2 ประเภท ชนิดแรก ท่อพีวีซี (PVC) หรือท่อประปาสีฟ้าที่ใช้งานทั่วไป มีคุณสมบัติเหนียวและยืดหยุ่นสูง สามารถทนต่อสภาพกรดและด่าง ปลอดภัยจากสารพิษ เหมาะสมกับงานภายในอาคาร และน้ำที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 60 องศาเซลเซียส ชนิดที่สอง ท่อพีพีอาร์ (PP-R) ท่อสำหรับระบบประปาน้ำอุ่น และสำหรับน้ำร้อน คุณสมบัติเป็นฉนวนความร้อนช่วยรักษาอุณหภูมิได้ดี  ท่อและข้อต่อเชื่อมเป็นเนื้อเดียวกัน โดยวิธีการให้ความร้อนจากเครื่องเชื่อม นิยมใช้กับงานอาคารสูง ราคาไม่แพง สามารถใช้แทนท่อเหล็กได้ ทั้งนี้การเลือกท่อควรเลือกใช้สินค้าที่มีแบรนด์น่าเชื่อถือและมีตรามาตรฐานการผลิตอุตสาหกรรม (มอก.) พร้อมตัวเลขบอกขนาดกำกับไว้อย่างชัดเจน หรือท่อประปาที่ได้รับฉลากเขียว ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตจากวัสดุที่คำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้งาน ปราศจากสารปนเปื้อนอย่างโลหะหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับท่อพีพีอาร์และท่อซีพีวีซีที่เป็นท่อประปาน้ำร้อนที่ใช้สำหรับอุปโภคบริโภคโดยตรง จึงควรเลือกใช้ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากองค์กรส่งเสริมอนามัยแห่งชาติระหว่างประเทศ (NSF International) เท่านี้ก็จะสามารถมั่นใจได้ว่าเจ้าของบ้านจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ เหมาะสมต่อการใช้งาน และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอีกด้วย การเดินระบบท่อประปาภายในบ้าน สามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ การเดินท่อแบบลอยตัว คือการวางระบบท่อติดผนังหรือเพดาน การวางระบบท่อในลักษณะนี้ มีข้อดีในการดูแลซ่อมบำรุง หรือการติดตั้งงานระบบเพิ่มเติมภายหลัง แต่มีข้อเสียคืออาจไม่เข้ากับบ้านในดีไซน์ต่างๆ เช่น บ้านที่ต้องการความเรียบร้อยในการตกแต่งเนื่องจากสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน แต่เหมาะสมอย่างยิ่งกับบ้านในสไตล์ลอฟท์ (Loft)หรืออินดัสเทรียล (Industrial) และอีกหนึ่งลักษณะ คือ การเดินท่อแบบฝังภายในพื้นหรือผนัง เป็นการวางระบบท่อแบบเจาะสกัดผนังหรือพื้นเพื่อเดินท่อ ก่อนฉาบปูนทับ มีข้อดีคือทำให้บ้านดูเรียบร้อยและสวยงาม แต่ข้อเสียคือการซ่อมแซมและบำรุงรักษามีความยุ่งยากและราคาสูง หรือควรออกแบบให้มีช่องเซอร์วิสหรือช่องชาฟต์ (Shaft) เพื่อให้ง่ายต่อการซ่อมบำรุง นอกจากการเลือกใช้วัสดุแล้ว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับระบบท่อ ก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน อย่างน้ำยาประสานท่อ ที่มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน คือ ชนิดเข้มข้น น้ำยามีความหนืดสูง สามารถยึดติดท่อได้อย่างรวดเร็ว และรับแรงดันได้สูง เหมาะกับงานคุณภาพสูง เช่น งานอาคารสูง ส่วนชนิดใสจะมีความหนืดต่ำ ทำให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น  เหมาะสำหรับงานบ้านและอาคารทั่วไป ส่วนเทปพันเกลียว  ใช้สำหรับพันเกลียวข้อต่อของท่อ  เพื่อให้การขันเกลียวมีความหนาแน่นมากขึ้น และกันน้ำไม่ให้รั่วซึมออกมา รวมถึงน้ำยาทำความสะอาดท่อพีวีซี  ใช้สำหรับทำความสะอาดท่อเมื่อข้อต่อเปื้อนคราบน้ำมันหรือสารหล่อลื่นต่างๆ ในท่อ ที่เราไม่สามารถใช้มือเข้าไปทำความสะอาดได้ ทั้งหมดนี้ล้วนควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้การรับรอง หรือสินค้าที่มีคุณภาพเช่นกัน การเลือกผู้รับเหมาที่มีความชำนาญและน่าเชื่อถือได้ ควรเลือกผู้รับเหมาที่มีชื่อเสียง พิจารณาจากผลงานที่ผ่านมา การรับประกันผลงาน และควรสอบถามหาข้อมูลจากหลายๆ เจ้า เพื่อเปรียบเทียบทั้งราคาและคุณภาพ และที่สำคัญคือเจ้าของบ้านและผู้รับเหมาควรมีสัญญาว่าจ้างกันอย่างถูกต้อง ชัดเจนและเป็นไปตามกฎหมาย เพื่อให้งานออกมาตามที่ตกลง และหากมีข้อผิดพลาดเจ้าของบ้านจะสามารถดำเนินการทางกฎหมายได้ จาก 4 ข้อแนะนำจากท่อเอสซีจีเจ้าของบ้าน สามารถนำไปประยุกต์ พูดคุยกับผู้รับเหมาได้อย่างเข้าใจ สามารถต่อรองการใช้สินค้า หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ เพื่องานระบบต่างๆ จะสามารถอยู่คู่กับบ้านเราได้อย่างคงทนถาวรตราบนานเท่านาน ผู้ที่สนใจท่อเอสซีจี สามารถหาข้อมูลได้ที่ www.scgbuildingmaterials.com
ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทยชี้บทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ของจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทยชี้บทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ของจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

มร. มาร์คัส เบอร์เทนชอว์ กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายตัวแทนนายหน้า บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ความสัมพันธ์ทางเชื้อสายและวัฒนธรรมระหว่างประเทศไทยและจีนมีมานานกว่า 200 ปี แต่การลงทุนในภาคอสังหาฯ จากจีนถูกจำกัดด้วยกฎหมายไทยในการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติ การร่วมทุนซิโน-ไทยมีบทบาทสำคัญในภาคการค้าและภาคอุตสาหกรรมเสมอมา แต่ตัวอย่างความร่วมมือที่สำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคือความร่วมมือระหว่างฮอลลีย์กรุ๊ปของจีนและบริษัท อมตะ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด มหาชน ที่ร่วมกันพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมระยอง ไทย-จีนตั้งอยู่แนวโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกของไทย (Eastern Economic Corridor) ซึ่งได้รับประโยชน์จากนโยบาย "Go out" ของจีนและได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตชาวจีนกว่า 100 ราย ที่ลงทุนในพื้นที่นี้กว่า 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในปัจจุบันมีแรงงานไทยกว่า 20,000 คน และแรงงานจีนมากกว่า 3,000 คน จากการประกาศล่าสุดที่ว่า HNA Innovation Finance และ CT Bright จะร่วมลงทุนเท่าๆ กันรวม 20% ของเงินทุน ซึ่งอาจจะสูงถึง 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อลงทุนในโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ของไทยที่มีมูลค่า 43,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้พื้นที่นี้มีศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ บทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีบทบาทมากขึ้นหลังคณะรัฐมนตรีไทยลงมติอนุมัติงบประมาณ 5,200 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อดำเนินการสร้างทางรถไฟยาว 256 ก.ม. จากกรุงเทพฯไปยังจังหวัดหนองคายที่คาบเกี่ยวเส้นพรมแดนประเทศลาว โดยเลือกให้ผู้เชี่ยวชาญจากจีนเป็นผู้พัฒนาเครือข่ายรถไฟในขั้นแรกที่ซึ่งจะเชื่อมต่อกับจีน, มาเลเซีย และสิงคโปร์ ผ่านทางลาวและไทย นอกจากการเติบโตขององค์กรในภาคการผลิตและอีคอมเมิร์ซของจีนแล้ว เราคาดว่าจะเห็นกิจการร่วมทุนมากขึ้นในภาคการบริการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในเมืองไทย และคาดว่าจะเห็นการร่วมมือของจีนในการพัฒนาโครงการพื้นฐานในเครือข่ายรถไฟหรือแม้แต่โครงการขุดคลอง ( Kra Isthmus Canal ) ที่จะช่วยร่นระยะทางเส้นสายไหมทางทะเล (Maritime Silk Road) ให้สั้นลง 1,200 ก.ม.เพื่อช่วยลดระยะเวลาขนส่งสินค้าของจีนไปยังทวีปยุโรป”  
ชีวาทัยเปิดแผนธุรกิจปี 61 ลุยเปิด 7 โครงการใหม่ 5,915  ลบ.

ชีวาทัยเปิดแผนธุรกิจปี 61 ลุยเปิด 7 โครงการใหม่ 5,915 ลบ.

ชีวาทัย เปิดตัว 7 โปรเจ็กต์ใหม่แนวราบ-สูงกรุงเทพฯและปริมณฑล 5,915 ล้านบาท เพิ่มสัดส่วนแนวราบ 40% ตั้งเป้ารายได้ทั้งปีเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เปิดตัว "ชีวาทัย โซไซตี้" เอาใจลูกบ้าน นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย  จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2561 มีแบล็กล็อก ประมาณ 1,500 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 2,400 ล้านบาท  ซึ่งโตประมาณ 20% จากปี 2560 และมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ และร่วมทุนอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 5,915 ล้านบาท ได้แก่ 1. ชีวาทัย เรสซิเดนท์ ทองหล่อ(ทองหล่อ 20) โลว์ไรส์ 155 ยูนิต มูลค่า 954 ล้านบาท 2. ฮอลล์มาร์ค เกษตรนวมินทร์ โลว์ไรส์ 480 ยูนิต มูลค่า 1,700 ล้านบาท 3. ชีวาวัลย์ พุทธมณฑล สาย 1 บ้านเดี่ยว 53 ยูนิต มูลค่า 1,226 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยที่ 19 ล้านบาท 4. ชีวา โฮม รังสิต-คลอง 4 ทาวน์โฮม 275 ยูนิต มูลค่า 700 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยที่ 2.5-3 ล้านบาท 5. ชีวา โฮม ประชาอุทิศ 90 ทาวน์โฮม 391 ยูนิต มูลค่า 885 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 2.1-2.49 ล้านบาท 6. ชีวา ฮาร์ท สุขุมวิท ทาวน์โฮม ซอยสุขุมวิท 62/1 มูลค่า 180 ล้านบาท และ 7. ชีวา ฮาร์ท ทองหล่อ ทาวน์โฮม ซอยสุขุมวิท 36 มูลค่า 270 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียมและแนวราบ (บ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม) โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะมีสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียม 55% แนวราบ 40% และรายได้จากโรงงานอุตสาหกรรมให้เช่าอีก 5% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียม 90% และ บ้านเดี่ยว 10%   “ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ชีวาทัย ได้เปิดตัว "ชีวาทัย โซไซตี้” (Chewathai Society) เพื่อตอบ สนองไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ที่พิเศษของลูกบ้านโดยเฉพาะ เช่น  Member Get Member ที่สมาชิก Chewathai Society เพียงแนะนำเพื่อนมาเป็นลูกค้าโครงการใดก็ได้ของชีวาทัย รับค่าแนะนำสูงสุด 100,000 บาท และสิทธิ์รับส่วนลดสุดพิเศษจากร้านค้าชั้นนำต่างๆ ทั้งลด แลก แจก และแถม รวมถึงกิจกรรมดีๆ เพื่อสมาชิก รวมทั้ง สิทธิพิเศษในการจองซื้อ พร้อมเข้าชมการเปิดตัวโครงการใหม่ของชีวาทัย ได้ก่อนใคร ขณะเดียวกัน ยังมีบริการ Chewathai Care (Chewa Care : Chewa call 1260) ผู้ช่วยส่วนตัว ที่คอยให้คำปรึกษา สอบถามการใช้งาน และแนะนำการดูแลรักษาอุปกรณ์ต่างๆ  ในที่พักอาศัยของลูกค้าให้มี อายุการใช้งานได้นานขึ้น และมีสภาพดีอยู่เสมออีกด้วย” นายบุญ ชุน เกียรติ กล่าว     ทั้งนี้แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะได้รับปัจจัยบวกจากการขยายตัวของเศรษฐกิจการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็คของภาครัฐ ทั้งโครงการรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม ส่วนแนวโน้มของตลาดที่อยู่อาศัย ย่านใจกลางเมือง ยังมีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ๆ โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเพิ่มมากขึ้น เช่น แอร์พอร์ตลิงค์ และแนวรถไฟฟ้าสายในอนาคต ทั้งสายสีเหลืองและสีชมพู รวมถึงสายสีเขียวและสีน้ำเงิน เป็นต้น  ส่งผลให้ผู้ที่ต้องการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยให้ความสนใจเพิ่มขึ้น  
แอสเซทไวส์ เผยแผนธุรกิจปี 2561 ตั้งเป้ายอดขาย 4,200 ล้านบาท ชู Health  Solution ตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง

แอสเซทไวส์ เผยแผนธุรกิจปี 2561 ตั้งเป้ายอดขาย 4,200 ล้านบาท ชู Health Solution ตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง

บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด ประกาศผลการดำเนินในปีที่ผ่านมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง สวนกระแสเศรษฐกิจพร้อมรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 ตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ ชูจุดเด่นของโครงการโดยยึดแนวคิด Health Solution ออกแบบโครงการและการบริการต่างๆ ให้ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด เปิดเผยว่า  ยอดขายในปี 2560 เติบโตอย่างต่อเนื่องและเป็นในทิศทางที่น่าพอใจ  ด้วยโครงการคุณภาพสำหรับคนรุ่นใหม่บนทำเลศักยภาพติดแนวรถไฟฟ้า  ซึ่งในปีที่ผ่านมาเปิดตัวทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่ารวม 4,445 ล้านบาท  ได้แก่  คอนโด Wynn โชคชัยสี่, คอนโด Kave  ตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต,    คอนโด  Brown พหลโยธิน-สะพานใหม่,  คอนโด Modiz Interchange  สะพานใหม่, คอนโด Atmoz ลาดพร้าว 71   และ คอนโดด Modiz รัชดา 32  โดยมียอดขายรวมอยู่ที่ 3,336 ล้านบาท ทั้งนี้ในปี 2561 ตั้งเป้ายอดขาย อยู่ที่ 4,200 ล้านบาท  เติบโตถึงกว่า 25 %  โดยมีเป้ารับรู้รายได้ 4,000 ล้านบาท  โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ รวมมูลค่า 5,000 ล้านบาท    โครงการที่จะเปิดตัวล่าสุด คือ บราวน์ ห้วยขวาง เป็นคอนโดแบบเฟรนช์สไตล์ ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพย่าน CBD ใหม่รัชดาภิเษก – ห้วยขวาง สะดวกสบายในการคมนาคม  เหมาะกับวิถีคนเมืองที่ต้องใช้ชีวิตรีบเร่ง เพียง 5 นาทีจากสถานีรถไฟใต้ดินสถานีห้วยขวาง เปิดจองช่วง Pre- sales วันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้  ในราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท  ภายในครึ่งปีแรกยังมีแผนเปิดตัวอีก 3 โครงการคือ โครงการ Glam ลาดพร้าว 71 เป็นลักชัวรี่ทาวน์โฮมดีไซน์โดดเด่น และโครงการ  Atmoz ลาดพร้าว 15 ภายใต้แนวคิด “Urban Refresh”  พร้อมปักหมุดย่านฝั่งธนบุรีด้วยโครงการ Brown ศิริราช-อิสรภาพ ภายใต้แนวคิด Stylish Condo กับดีไซน์ Modern Vintage ที่เป็นเอกลักษณ์  โดยบริษัทมี Backlog ในปัจจุบัน 5,500 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ แอสเซทไวส์ ยังชูจุดเด่นของบริษัท ที่สะท้อนการใส่ใจในรายละเอียดเพื่อสุขภาพที่ดีของลูกบ้าน   ภายใต้แนวคิด Health Solution ซึ่งประกอบไปด้วยการออกแบบตัวอาคารและฟังก์ชั่นภายในห้อง, สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางและพื้นที่สีเขียว รวมถึงการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง อาทิเช่น ระบบ Digital Sound System ลำโพงบลูทูธ, Thermostat ควบคุมอุณหภูมิ  และไฟ LED ที่เตียงเพื่อความปลอดภัยในการลุกจากที่นอน อีกทั้งยังร่วมมือกับ MeID พัฒนาแอพพลิเคชั่นในการเก็บข้อมูลสุขภาพ มอบเป็นนาฬิกาสายรัดข้อมืออัจฉริยะให้กับลูกบ้าน และยังมีกิจกรรมอบรม ทำ CPR (การช่วยชีวิตเบื้องต้น) ให้กับเจ้าหน้าที่ภายในโครงการ เพื่อช่วยเหลือลูกบ้านในกรณีฉุกเฉิน รวมถึงกิจกรรมเพื่อสุขภาพในรูปแบบต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นการแจกบัตรงานวิ่ง คอร์สโยคะ  ส่งเจ้าหน้าที่ Health Consultant ประเมินสุขภาพเบื้องต้น  วัดค่า BMI และสอนวิธีการออกกำลังกายที่ถูกต้อง ในด้านการบริหารประสบการณ์ลูกค้า แอสเซทไวส์ส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าผ่าน AssetWise Club โดยมีการจัดกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจับมือกับบริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด จัดทำบัตร AssetWise Club Rabbit Card ภายใต้แนวคิด One Card Fit All บัตรเดียวสำหรับเข้าออกอาคารและห้องพักอาศัย (ในอนาคต) ขึ้นรถไฟฟ้า และร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขาย พร้อมรับสิทธิพิเศษอื่นๆ ซึ่งได้เริ่มทยอยส่งมอบบัตรให้กับลูกค้า ทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา กลยุทธ์การลงทุนในปี 2561  ยังคงเน้นการขยายตลาดเขตใกล้เมืองตามแนวรถไฟฟ้า ทำเลใกล้มหาวิทยาลัย และแหล่งงานสำคัญ    โดยมีแผนจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย SET  ในช่วงปลายปี 2562   เน้นกลยุทธ์การเลือกทำเลที่มีศักยภาพ เพื่อพัฒนาโครงการที่สวยงามมีคุณภาพในระดับราคาที่แข่งขันได้ สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่มีความชัดเจนในการขยายเส้นทางรถไฟฟ้ามากขึ้น  ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจเชิงบวกของประเทศ จึงมั่นใจว่าบริษัทจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย
แสนสิริผนึก 6 พาร์ทเนอร์ชั้นนำทั้งไทยและระดับโลก เปิดตัว ‘Smart Move’ ครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัย ปฏิวัติการเดินทางรูปแบบใหม่ให้ลูกบ้านแสนสิริ สู่ยุค Car Free Living

แสนสิริผนึก 6 พาร์ทเนอร์ชั้นนำทั้งไทยและระดับโลก เปิดตัว ‘Smart Move’ ครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัย ปฏิวัติการเดินทางรูปแบบใหม่ให้ลูกบ้านแสนสิริ สู่ยุค Car Free Living

ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ร่วมด้วย 6 พาร์ทเนอร์ชั้นนำทั้งไทยและระดับโลก เปิดตัว Smart Move แพลตฟอร์มบริการยานพาหนะระบบเช่าในโครงการของแสนสิริเป็นครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัย เดินหน้าสร้างสรรประสบการณ์ใหม่แก่ลูกบ้านแสนสิริเพื่อเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ (Complete Your Living Experience) โดย 6 พาร์ทเนอร์ชั้นนำ ประกอบด้วย Honda ผู้นำรถจักรยานยนต์อันดับหนึ่งของไทย ส่งรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดร่วมบริการ Uber ผู้ให้บริการรถร่วมเดินทางผ่านแอพพลิเคชั่นจากสหรัฐอเมริกา มอบสิทธิพิเศษนั่งฟรีครั้งแรกสำหรับลูกบ้านโครงการใหม่ ofo ผู้ให้บริการเช่า จักรยานผ่านทางแอปพลิเคชั่นมือถือรายแรกและรายใหญ่ที่สุดของโลก นำร่องให้บริการเช่ารถจักรยานใน 11 โครงการครอบคลุมกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด Haupcar ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการคาร์แชร์ริ่งรายแรกของไทย และทางแสนสิริได้ส่งรถยนต์ไฟฟ้า BMW i3 ร่วมบริการครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัยไทย SHARGE ผู้ให้บริการเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำ พร้อมบริหารแพลตฟอร์มอัจฉริยะนี้ และ EA Anywhere ผู้ให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เดินหน้าติดตั้งอุปกรณ์รุ่นใหม่พร้อมให้ชาร์จฟรีครั้งแรกสำหรับลูกบ้านแสนสิริ เสิร์ฟบริการครอบคลุมทุกการเดินทางด้วยยานพาหนะทุกรูปแบบ รวมถึงสถานีชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ผ่านแพลตฟอร์มบริการที่สมบูรณ์แบบ ตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตยุคใหม่ของลูกบ้านแสนสิริในโครงการที่พักอาศัยครั้งแรกของประเทศไทย  
บางกอกสมาร์ทรุกตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้าปิดยอดขาย 15,000 ลบ.

บางกอกสมาร์ทรุกตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้าปิดยอดขาย 15,000 ลบ.

บางกอกซิตี้สมาร์ท ปี 2560  ชูยอดขายแตะ10,000 ล้านบาท  รุกตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้าสิ้นปีปิดยอดขายรวม 15,000 ล้านบาท ปิดยอดขายสิ้นปี 15,000 ล้านบาท นายขยล ตันติชาติวัฒน์ ผู้อำนวยการ บริษัท บางกอกซิตี้สมาร์ท จำกัด (BC) ตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์ ฝากขาย ฝากเช่า  ในเครือบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2560 ของบริษัทฯยอดขายมูลค่าพร็อพเพอร์ตี้เทรดผ่านบริษัท 10,000 ล้านบาท หรือ โต65% จากปีก่อน ทะลุยอดขายที่ตั้งไว้ 7,000 ล้านบาท จากการเติบโตดีมานด์คอนโดรีเซลที่เพิ่มขึ้นกว่า 50% โดยสัดส่วนยอดขายแบ่งเป็นสินค้ารีเซล 60% และโครงการใหม่ 40% สำหรับปี 2561 บริษัทโฟกัสทำเลใจกลางเมือง (CBD) ที่มีศักยภาพการเติบโตได้ รวมถึงทีมงานคุณภาพ  ในเรื่องของการให้คำปรึกษาลูกค้า และการเจรจาต่อรอง อีกทั้งเดินหน้าขยายเครือข่ายและฐานข้อมูลลูกค้า ซึ่งบริษัทได้เป็นตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์เข้ามาบริหารจัดการดูแลการขายคอนโดมิเนียมเครือเอพี (บริษัทแม่) ในตลาดต่างประเทศอย่างเป็นทางการ โดยจัดตั้งหน่วยงานใหม่เจาะตลาดลูกค้าต่างชาติ รวมทั้ง ร่วมกับพันธมิตรพร็อพเพอร์ตี้เอเจนท์ชั้นนำ บุกตลาด 5  ประเทศได้แก่ ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และจีน  นำสินค้าไปโรดโชว์ คาดว่าจะสามารถปิดยอดขายมูลค่าพร็อพเพอร์ตี้สิ้นปี 2561 ที่ 15,000 ล้านบาท “ ภาพรวมตลาดอสังหาฯปีนี้ มีแนวโน้มโตขึ้นตามการคาดการณ์เศรษฐกิจประเทศ  4%  และความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล  รวมทั้ง ดีมานด์ลูกค้าต่างชาติที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงและลงทุน ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการซื้อ-ขาย และลงทุนสินค้าอสังหาฯ  โดยเฉพาะตลาดคอนโดระดับกลางถึงไฮเอนด์ใจกลางเมือง” นายขยล กล่าว ทั้งนี้ จากการสำรวจโดยฝ่ายวิจัยบางกอกซิตี้สมาร์ท พบว่า ทำเลสินค้ารีเซล–ปล่อยเช่าคอนโดที่มีศักยภาพได้แก่  โซนสุขุมวิทตอนต้น ถึงตอนกลาง (นานา–อโศก-พระโขนง)  เนื่องจากมีออฟฟิศชั้นนำทั้งต่างชาติและไทย และแหล่งไลฟ์สไตล์ขนาดใหญ่โดยมีการปล่อยเช่าห้องขนาด 1 ห้องนอน ราคาเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 700 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป หรือให้ผลตอบแทนจากการเช่าประมาณ 6-7%และโซนเชื่อมต่ออโศก–พระราม 9 พบสัดส่วนการเข้าอยู่อาศัยของคนเมืองวัยทำงาน รวมถึงมีผู้เช่า Expat ต่อเนื่อง โดยอัตราการเข้าอยู่และผลตอบแทน (yield)  เติบโตเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน เช่น The ADDRESS อโศก RHYTHM อโศก 2 RHYTHM อโศก หรือ ASPIRE พระราม 9 เป็นต้น มีอัตราการเข้าอยู่เฉลี่ยกว่า 85% ทุกโครงการ แบ่งสัดส่วนเป็นผู้ซื้ออยู่เอง 60% และปล่อยเช่า 40% โดยเป็นผู้เช่าชาวเอเชีย เช่น  ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น และ จีน และราคาปล่อยเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20,000 – 50,000  บาทต่อเดือน ขณะที่ผลตอบแทนการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 5 - 6% ต่อปี ทั้งนี้ บางกอกซิตี้สมาร์ท มีพอร์ตสินค้าคอนโดมิเนียมรีเซลทำเลใจกลางเมือง (CBD) มากกว่า 15,000 ยูนิต (ทั้งสร้างเสร็จและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง) มูลค่า 80,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดเครือ เอพี (ไทยแลนด์) ประมาณ 50% และคอนโดแนวรถไฟฟ้าจากดีเวลลอปเปอร์อื่นๆ อีก 50% และมีพอร์ตสินค้าคอนโดมิเนียมปล่อยเช่าประมาณ 5,000 ยูนิต มูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งแต่ละปีบริษัทฯ สามารถระบายสินค้าออกไปประมาณกว่า 2,500 ยูนิต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าระดับราคาประมาณ 5 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไป
ปี'61 พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ตั้งเป้ารายได้1,300 ลบ. ลงทุนดิจิตอลต่อเนื่อง

ปี'61 พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ตั้งเป้ารายได้1,300 ลบ. ลงทุนดิจิตอลต่อเนื่อง

นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ในปี 2561 ตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 1,300 ล้านบาท หรือเติบโต 18% จากปี 2560 ซึ่งมีรายได้รวม 1,100ล้านบาท (เติบโต 14% จากปี 2559) โดยสัดส่วนรายได้ยังคงแบ่งเป็น 60% มาจากงานด้านการขาย และ 40% มาจากงานด้านการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ และลงทุนระบบด้านเทคโนโลยีเพื่อให้พนักงานทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น   สำหรับ กลยุทธ์และแผนงานของพลัสฯ ในปี 2561 บริษัทกำหนดไว้ 4 ด้าน ประกอบด้วย 1 PLUS Experience การสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและเหนือความคาดหมาย  2 . Customer  Focus ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างตรงจุด  3. Technology and Data Driven เก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย (Big Data) จากทุกหน่วยธุรกิจ โดยในปีนี้ได้ลงทุนนำซอฟท์แวร์ Sales Force เพื่อทำการเชื่อมต่อข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวบรวมไว้ให้พนักงานทุกคนเข้าถึงข้อมูลเดียวกัน และระบบ Machine Learning ที่สามารถศึกษาพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ เพื่อนำเสนอข้อมูลบริการที่เหมาะสมและตอบโจทย์ผู้ใช้แต่ละรายในรูปแบบที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ ยังมีการนำ QR Code มาใช้ในการติดตามตรวจสอบระบบและอุปกรณ์การทำงานด้วย และ  4.  Business and Financial Enhancement ขยายงาน เพิ่มศักยภาพบุคลากร เกิดการกระจายรายได้อย่างมีเสถียรภาพ     ทั้งนี้ นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้รัฐบาลลงทุนด้านคมนาคมต่อเนื่อง มีเม็ดเงินเข้ามาในระบบประมาณ 30% ของงบลงทุนรวมทั้งประเทศ ซึ่งส่งผลดีต่อการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม เนื่องจากเป็นตลาดที่รองรับการอยู่อาศัยจริงและเพื่อการลงทุน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ร่างกฎหมายผังเมือง ที่คาดว่าจะประกาศใช้และปัญหาขาดแคลนแรงงาน คาดการณ์ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 จะยังคงเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อน ซึ่งยังคงมีกำลังซื้อในกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียม รองลงมาคือทาวน์เฮาส์ และตามด้วยบ้านเดี่ยว โดยคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮาส์กลุ่มตลาดระดับกลางถึงกลุ่มระดับบนจะเป็นที่ต้องการในตลาดสูงขึ้น และตลาดบ้านเดี่ยวกลุ่มระดับกลางยังเป็นอุปทานหลักและมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี เนื่องจากตลาดระดับกลาง-บน ยังมีแรงขับโดยเฉพาะจากกลุ่มตลาดแนวสูงอย่างคอนโดมิเนียมเป็นหลักเช่นเดิม และจะเริ่มขยายพื้นที่เติบโตตั้งแต่พื้นที่ชั้นในไปยังแถบชั้นกลางของกรุงเทพฯ  

1 ... 73 74 75 ... 103