ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 72 73 74 ... 105
สิงห์ เอสเตท ส่ง ดิ เอส สุขุมวิท 36 บุกตลาดฮ่องกง  กวาดยอดขาย 200 ล้านบาท

สิงห์ เอสเตท ส่ง ดิ เอส สุขุมวิท 36 บุกตลาดฮ่องกง กวาดยอดขาย 200 ล้านบาท

  นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่ทาง บมจ.สิงห์ เอสเตท ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมในระดับลักชัวรี ดิ เอส สุขุมวิท 36 (THE ESSE at SUKHUMVIT 36) เมื่อช่วงปลายปี 2560 ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับทาง ฮ่องกง แลนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ระดับเอเชีย โดยที่ผ่านมาถือได้ว่าได้รับความสนใจจับจองโครงการจากกลุ่มลูกค้าไทยและต่างชาติอย่างต่อเนื่อง   “ปีนี้บริษัทฯ ได้วางแผนนำโครงการออกงานโรดโชว์ที่ต่างประเทศตลอดทั้งปี  ประเดิมงานแรกของปีด้วยการออกโรดโชว์โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ที่ฮ่องกงเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มนักลงทุนฮ่องกงถือว่าเป็นตลาดหลักสำคัญที่สนใจลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย รวมถึงยังมีฐานลูกค้าที่มาจากพาร์ทเนอร์อย่าง ฮ่องกง แลนด์ โดยรวมยอดขายจากโรดโชว์ 2 วันอยู่ที่ 200 ล้านบาท ซึ่งทำให้ขณะนี้โครงการฯ มียอดขายรวมแล้วกว่า 60% โดยมีสัดส่วนของลูกค้าชาวต่างชาติ 20% ของทั้งโครงการ และตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศให้ได้ถึง 40%อีกทั้งคาดว่าปีนี้จะมีการนำโครงการออกโรดโชว์อีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งยังคงมุ่งไปยังประเทศในแถบเอเชียเป็นหลัก” นายณัฐวุฒิ กล่าว     สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมที่ผ่านมาของสิงห์ เอสเตท ได้แก่ ดิ เอส อโศก (THE ESSE Asoke) และ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (THE ESSE at SINGHA COMPLEX) ทั้ง 2 โครงการต่างได้รับการตอบรับที่ดีในกลุ่มลูกค้าคนไทย รวมถึงได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติทั้งนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนรายย่อย ทำให้ปัจจุบันทั้งสองโครงการมียอดขายรวมแล้วกว่า 85%   “ทั้งนี้โครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี สูง 43 ชั้น จำนวน 338 ยูนิต ราคาเริ่มต้นต่อยูนิตอยู่ที่ 12.3 ล้านบาท โดยออกแบบภายใต้แนวคิด “A Harmony of Contrast”  หรือ สมดุลแห่งความต่าง โดยการหลอมรวมอัตลักษณ์ของความเป็นไทยกับเทรนด์การอยู่อาศัยในยุคปัจจุบันเข้าด้วยกันอย่างลงตัว เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 1 ปี 2561 ที่ผ่านมา และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือน ตุลาคม 2563”  นายณัฐวุฒิ กล่าวปิดท้าย  
ซีบีอาร์บี เผยยอดขายวิลล่าภูเก็ตเพิ่มขึ้น 21%

ซีบีอาร์บี เผยยอดขายวิลล่าภูเก็ตเพิ่มขึ้น 21%

  จากรายงานฉบับล่าสุดโดยแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก พบว่า ในปี 2560 ยอดขายวิลล่าในภูเก็ตอยู่ที่ 155 หลัง ซึ่งถือเป็นยอดขายสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2558 และเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 21% โดย 90% ของยอดขายวิลล่าทั้งหมดในปี 2560 เป็นวิลล่าในตลาดระดับกลาง-ล่างซึ่งมีราคา 5 - 35 ล้านบาท   แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี พบว่ายอดขายที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ทั้งในตลาดวิลล่าและคอนโดมิเนียมตากอากาศเป็นการซื้อเพื่อการลงทุนหรือเพื่อก่อให้เกิดรายได้  โครงการส่วนใหญ่เสนอแผนการปล่อยเช่าที่มีการรับประกันผลตอบแทนที่ 5 - 7% ต่อปีเป็นระยะเวลา 2 - 5 ปี  โดยกลุ่มผู้ซื้อที่พักตากอากาศในภูเก็ต 3 อันดับแรกมาจากไทย ยุโรป และจีน     นางสาวประกายเพชร มีชูสาร ผู้อำนวยการแผนกซื้อขายบ้านพักตากอากาศ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า ยอดขายในตลาดระดับลักซ์ชัวรี่ ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 90 ล้านบาทขึ้นไปต่อหลังสำหรับวิลล่าและ 20 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิตสำหรับคอนโดมิเนียมนั้นมีไม่มากนัก  แต่ซีบีอาร์อีมั่นใจว่าตลาดลักซ์ชัวรี่ยังคงได้รับความสนใจอยู่ โดยเห็นได้จากยอดขายวิลล่าจำนวนสองหลังในโครงการ ลายันเรสซิเดนเซส บาย อนันตรา และจำนวนหนึ่งหลังในโครงการอวาดีน่า ฮิลส์ บาย อนันตรา ซึ่งมีราคาอยู่ในระดับ 300 - 500 ล้านบาทในปี 2560     สำหรับโครงการอวาดีน่า ฮิลส์ บาย อนันตรา ซึ่งมีราคาอยู่ในระดับ 200 - 500 ล้านบาทในปี 2560 แผนกวิจัย ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่าจะมีโครงการที่พักตากอากาศที่ได้รับการบริหารโดยเครือโรงแรมเพิ่มมากขึ้น เพราะได้กลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผู้ซื้อให้ความสนใจมากขึ้นสำหรับโครงการที่มีการรับประกันผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า   ในปี 2561 ซีบีอาร์อีเชื่อว่าปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจะยังคงเป็นแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้เกิดความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต ทั้งในตลาดที่พักตากอากาศและตลาดโรงแรม   โดยตลาดที่พักตากอากาศในระดับกลาง-ล่างจะยังคงเป็นตลาดที่มีผู้ซื้อเป็นนักลงทุนเป็นหลักอยู่ต่อไป   สำหรับตลาดระดับบน ซีบีอาร์อีเชื่อว่ายังมีโอกาสอยู่แต่ก็มีความท้าทายสำหรับผู้พัฒนาโครงการในการพัฒนาสินค้าให้ตรงต่อความต้องการของลูกค้า  
7 ประเด็นร้อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ กรุงเทพฯ

7 ประเด็นร้อนตลาดอสังหาริมทรัพย์ กรุงเทพฯ

  เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง ชี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ ปรับตัวรับการลงทุนของกลุ่ม    ทุนต่างชาติ ผู้ประกอบการรายกลางและรายใหม่ตบเท้าเข้าตลาดเพิ่ม ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่มองหาการลงทุนในตลาดเช่าเพื่อบริหารต้นทุนและรับรู้รายได้ในระยะยาว ส่วนครึ่งปีหลังตลาดคอนโดมิเนียม ระดับลักซูรี่กลางเมืองยังเติบโตต่อเนื่อง   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี2561 ตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ยังคงคึกคักต่อเนื่อง และมีประเด็นสำคัญในตลาดที่น่าจับตามองอยู่หลายประเด็น ทั้งในแง่ของการลงทุน ราคาที่ดิน แนวโน้มช่วงครึ่งปีหลัง และปีหน้า     ประเด็นที่ 1 : ในช่วงไตรมาสแรกปี 2561 มีโครงการ คอนโดมิเนียม เกิดใหม่ โดยผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ และรายย่อยจำนวน 14,094 หน่วย จาก 31 โครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้มีจำนวนห้องชุดทั้งหมดในตลาด อยู่ที่ 564,000 หน่วย และจากการที่ที่ดินในใจกลางเมืองมีราคาปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้พัฒนาไม่สามารถหาที่ดินพัฒนาโครงการได้เหมาะสม สัดส่วนห้องชุดที่เกิดใหม่จึงเกิดขึ้นบริเวณ โซนสุขุมวิทตอนปลาย (29%) โซนพญาไท-รัชดาภิเษก-พระราม 9 (23%) โซนตากสิน เพชรเกษม (17%) เป็นหลัก สำหรับในครึ่งปีหลังนี้น่าจะเห็นโครงการใหม่เกิดขึ้นบริเวณแจ้งวัฒนะ และ รามอินทรามากขึ้น จากแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น  อย่างไรก็ตาม  สิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า ราคาคอนโดมิเนียมในกลุ่มซูเปอร์ลักซูรี่กลางเมืองที่เปิดตัวราคาตารางเมตรละ 400,000 บาท จะมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ จากราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้น  ในขณะที่ตลาดซิตี้คอนโดจะขยายตัวออกไปในส่วนต่อขยายรถไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้ราคาไม่ปรับตัวสูงขึ้นมากนัก   ประเด็นที่ 2 : หลายปีที่ผ่านมา ผู้พัฒนาหลักในตลาดคอนโดมิเนียมจะเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 70% ของตลาด แต่สำหรับในช่วงไตรมาสแรกนี้ ผู้พัฒนาโครงการ รายกลางและรายใหม่ เริ่มมีสัดส่วนมากขึ้น รวมทั้งผู้พัฒนาจากต่างชาติด้วย โดยมีผู้พัฒนาโครงการรายกลางและรายใหม่เปิดตัวโครงการประมาณ 38% ของจำนวนห้องชุดใหม่ในตลาด ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าตลาดยังน่าดึงดูดให้ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ผู้ประกอบการขนาดกลางหลายรายยังมี Roadmap ที่จะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายใน 1 - 2 ปีนี้อีกด้วย   ในขณะเดียวกันแผนธุรกิจและการพัฒนาโครงการสำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่ กลับมาให้ความสำคัญกับตลาดที่มีความยั่งยืนมากขึ้น เปลี่ยนแปลงสัดส่วนการลงทุน ระมัดระวังการซื้อที่ดินกลางเมืองบ้าง โดยเพิ่มพัฒนาตลาดบ้านแนวราบที่การเช่าที่ดินระยะยาว เพื่อพัฒนาโครงการที่มีรายได้ค่าเช่ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมหรืออาคารสำนักงาน และเริ่มมองหาการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศมากขึ้นด้วย     ประเด็นที่ 3 : ทุนต่างชาติ ในช่วงไตรมาสแรกมีบริษัททุนขนาดใหญ่จากจีนที่เปิดตัวโครงการชัดเจนโดยมิได้อาศัยบริษัทไทยที่มีชื่อเสียงเข้าร่วมทุนถึง 20% ของจำนวนห้องชุดที่เปิดในตลาดกรุงเทพฯ  และเป็นโครงการขนาดใหญ่ มูลค่ารวมมากกว่า 30,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนในประเทศไทย สำหรับต่างชาติที่เคยเข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ก็ยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เริ่มเห็นคอนโดมิเนียมที่ตอบสนองความต้องการของคนญี่ปุ่นมากขึ้น ปีนี้ทุนญี่ปุ่นที่จะเข้ามาพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ต่อเนื่องอีกไม่ต่ำกว่า 4 - 5 โครงการ   ประเด็นที่ 4 : นักลงทุนรายย่อยต่างชาติ ยังคงให้ความสนใจเข้ามาลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง   และมีจำนวนมากขึ้น ปัจจัยหลักก็ยังคงมาจากราคาสินค้าที่ยังคงถูกกว่ามาก เมื่อเทียบกับตลาดในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักลงทุนจากฮ่องกง และญี่ปุ่น ประกอบกับระยะการเดินทางก็ไม่ไกล การซื้อคอนโดมิเนียมไว้           ก็เสมือนเป็นบ้านหลังที่ 2 เพื่อพักผ่อนและปล่อยเช่า ก่อนหน้านี้เราจะเห็นเทรนด์นี้ เฉพาะในสินค้าประเภท ลักซูรี่ และซูเปอร์ลักซูรี่เท่านั้น แต่ตอนนี้ตลาดไฮเอนด์ และตลาดระดับกลางก็เริ่มมีนักลงทุนให้ความสนใจมากขึ้น นอกจากนี้นักลงทุนจากประเทศจีน ก็ยังต้องการย้ายเงินลงทุนมายังต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยงอีกด้วย  ประกอบกับผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่ในประเทศเองก็ออกไปนำเสนอสินค้าในต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนี่อง มีการสร้างความเชื่อมั่นด้วยการไปเปิดสำนักงานย่อย เพื่อบริการลูกค้าอีกด้วย จึงทำให้ตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะในเอเชียเติบโตอย่างต่อเนื่อง   อีกส่วนที่น่าจับตามองคือ ในช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนเข้ามามองหาซื้อห้องชุดในโควต้าต่างชาติ 49% เพื่อไปเสนอให้นักลงทุนรายย่อยในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมองเห็นโอกาสในการทำกำไร ในขณะเดียวกันก็ยังเชื่อมันว่ามีผู้ซื้อรายย่อยในประเทศต่างๆ ยังคงมองหาคอนโดมิเนียมในเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ตลาดนี้ก็น่าจะยังคงเติบโตได้ต่อไป     ประเด็นที่ 5 : สำหรับนักลงทุนรายใหม่ที่มีเงินทุนจากธุรกิจครอบครัว รุ่นพ่อแม่เริ่มจับมือกันมาร่วมทุน   เพื่อพัฒนาโครงการที่พักอาศัยแนวใหม่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียมหรือบ้านพักอาศัยระดับหรู โดยกลุ่มนี้      ก็เหมือน Startup ในธุรกิจอื่นๆ มีต้นทุนในการบริหารจัดการต่ำ มีความคล่องตัวสูง บางกลุ่มก็มีตลาดรองรับสินค้า  ที่พัฒนาอย่างชัดเจนซึ่งอยู่ในเครือข่ายของธุรกิจหลัก และไม่เฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยเท่านั้น ยังรวมไปถึง โรงแรมแนวใหม่ อพาร์ทเมนท์ Co-working space หรือ Lifestyle retail ต่างๆ   ประเด็นที่ 6 : หลายๆ โครงการอสังหาริมทรัพย์ได้นำ Platform การใช้ชีวิต ที่ตอบสนองกับ Lifestyle คนไทยที่เปลียนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มาเพิ่มเป็นจุดขายในการพัฒนาโครงการ ไม่ว่าจะเป็นระบบสั่งการหรือการให้บริการผ่าน Mobile Application ต่างๆ Smart Robot หรือ Smart Locker เป็นต้น ซึ่งแน่นอนก็จะตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี โอกาสในตลาดสำหรับคนที่มีที่อยู่อาศัยแล้วที่จะมี Platform ที่สามารถตอบสนองความต้องการของที่อยู่อาศัยเดิม น่าจะเป็นสิ่งที่น่าจับตามองในระยะเวลาอันสั้นนี้ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งระบบ Smart Locker หรือระบบการบริการต่างๆ ที่เพิ่มความปลอดภัย การพักผ่อนหย่อนใจ และความสะดวกสบายใน การใช้ชีวิตมากขึ้น     ประเด็นที่ 7 : โอกาสทางการตลาดสำหรับตลาดที่อยู่อาศัยในครึ่งปีหลัง ยังคงเห็นความเติบโตในตลาดต่างชาติ ในขณะที่ราคาก็ยังคงปรับตัวสูงขึ้นจากต้นทุนที่สูงขึ้น คอนโดมิเนียม 7 - 8 ชั้นขนาดโครงการเล็กลง   จาก ผู้พัฒนารายใหม่ ยังคงเห็นต่อเนื่อง รวมถึงบ้านลักซูรี่ระดับราคาสูงก็ยังคงมีความต้องการต่อเนื่อง และยังมีผู้ให้ความสนใจ ทำเลการพัฒนาโครงการ ถ้าเป็นโครงการกลางเมืองจะขยับจากทองหล่อไปเอกมัยมากขึ้น สุขุมวิท   31 - 49 ก็เริ่มเข้าไปในซอยที่ลึกขึ้น   เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีต่างชาติเข้ามาซื้อและมาลงทุนมากขึ้น ดังนั้นสถานการณ์เศรษฐกิจ การเมืองและการลงทุนรวมทั้งค่าเงินของประเทศเหล่านั้นก็จะมีผลกระทบต่อตลาดอสังหาประเทศไทยมากกว่าแต่ก่อน  
ไรมอนแลนด์ จับมือ โตเกียว ทาเทโมโนะ ผุดโครงการหรูย่านสุขุมวิท- สาทร มูลค่ารวมกว่า 9 พันล้านบาท

ไรมอนแลนด์ จับมือ โตเกียว ทาเทโมโนะ ผุดโครงการหรูย่านสุขุมวิท- สาทร มูลค่ารวมกว่า 9 พันล้านบาท

  ไรมอน แลนด์ จับมือ โตเกียว ทาเทโมโนะ ร่วมทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ 2 โครงการแรกใกล้สถานีรถไฟฟ้าพร้อมพงษ์ และสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ มูลค่ารวมกว่า 9 พันล้านบาท     นายเอเดรียน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามสัญญาร่วมทุนกับ บริษัทโตเกียว ทาเทโมโนะ (Tokyo Tatemono) ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงการที่พักอาศัย ทำเลย่านสาทร ซอย 12 มูลค่าโครงการ 4.2 พันล้านบาท และโครงการบนถนนสุขุมวิท โดยใช้เวลาเดินเพียง 2 นาที จากรถไฟฟ้าสถานีพร้อมพงษ์ ด้วยมูลค่า 4.9 พันล้านบาท หรือมูลค่ารวมกว่า 9.1 พันล้านบาท     "การร่วมทุนระหว่างไรมอน แลนด์ และโตเกียว ทาเทโมโนะ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นถือเป็นโอกาสทองที่จะขยายธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ร่วมกันของทั้งสองบริษัท รวมทั้งยังคงมองหาความเป็นไปได้ และศึกษาความรู้สำหรับการพัฒนาโครงการในอนาคตร่วมกันในฐานะหุ้นส่วนระยะยาว เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงและผลักดันการเติบโตให้เกิดประโยชน์กับทั้งสองบริษัท ในอีก 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2566) ไรมอน แลนด์ คาดการณ์ว่าธุรกิจจะมีรายได้ประมาณ 10-12 พันล้านบาท การเติบโตนี้ได้รับการสนับสนุน และการบริหารการจัดการงบดุลที่แข็งแกร่งโดยมี D/E อยู่ที่ 0.67 " เอเดรียน ลี กล่าว     นายคะทสึฮิโตะ โอซะวะ กรรมการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และหัวหน้าฝ่ายธุรกิจต่างประเทศ บริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ เปิดเผยว่า การตัดสินใจเข้าร่วมทุนกับไรมอน แลนด์ มีวัตถุประสงค์เพื่อขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ เนื่องด้วยความสนใจในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะเพื่อการอยู่อาศัย การได้จับมือกับหุ้นส่วนที่เหมาะสมอย่างไรมอน แลนด์ จะทำให้สามารถพัฒนาการเป็นหุ้นส่วนระยะยาวร่วมกัน โดยใช้ทั้งความรู้ และประสบการณ์เพื่อสร้างผลกำไรสูงสุดในอนาคต   ปัจจุบัน บริษัท โตเกียว ทาเทโมโนะ (Tokyo Tatemono) ได้พัฒนาและบริหารจัดการอาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัยภายใต้แบรนด์บริลเลีย (Brillia) สิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ และสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านรีสอร์ต ธุรกิจของบริษัทโตเกียว ทาเทโมโนะ กรุ๊ป ยังให้บริการด้านที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์ ที่จอดรถ ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ บริการดูแลเด็ก ธุรกิจต่างประเทศ และธุรกิจประเมินมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ โดยรายได้ของบริษัทในปี พ.ศ. 2560 เท่ากับ 77.8 พันล้านบาท  
จับตา ลีสโฮลด์ มาแรง “สยามสินธร”เร่งปั้นคอนโดใหม่บนอาณาจักรหลังสวน มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท หลัง “สินธร ต้นสน” ยอดขายพุ่งกว่า50%

จับตา ลีสโฮลด์ มาแรง “สยามสินธร”เร่งปั้นคอนโดใหม่บนอาณาจักรหลังสวน มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท หลัง “สินธร ต้นสน” ยอดขายพุ่งกว่า50%

“สยามสินธร” เดินหน้าสร้างอาณาจักรมิกซ์ยูส “สินธร วิลเลจ” ย่านหลังสวน แลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพ รุกเปิดโครงการใหม่  “สินธร หลังสวน”  คอนโดมิเนียมหรู  รับเทรนด์ตลาดอสังหาฯ กระแสลีสโฮลด์แรงต่อเนื่อง หลังโครงการ”สินธร ต้นสน”  ประสบความสำเร็จเกินคาด ยอดขายพุ่งกว่า 50%   นายขจรเดช แสงสุพรรณ กรรมการบริหาร บริษัท สยามสินธร จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบสิทธิการเช่าระยะยาว หรือลีสโฮลด์ (Lease Hold) ระยะเวลา 30 ปี  โดยเฉพาะทำเลย่านใจกลางเมือง เช่น ราชดำริ สารสิน หลังสวน ลุมพินี ได้รับความนิยมจากผู้ซื้อที่ต้องการอยู่อาศัยย่านใจกลางเมืองเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งแง่ผู้ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยและกลุ่มนักลงทุน ซึ่งต้องการทำเลที่ดี ปล่อยเช่าง่าย และได้อัตราผลตอบแทน( yield) ที่สูง หลังจากที่ดินย่านใจกลางเมืองเหลือน้อยเต็มที และมีราคาสูงมาก ทำให้โครงการประเภทลีสโฮลด์ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่ง   ตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านลีสโฮลด์พร้อมเผยที่ผ่านมาผู้ซื้อเปิดใจรับมากขึ้น จุดแข็งของลีสโฮลด์ โดยโครงการที่เจ้าของที่ดินเป็นผู้พัฒนาเอง ก็คือการดูแลรักษาสภาพอาคารให้มีสภาพดีอยู่เสมอ ซึ่งหากเป็นการขายขาด ภาระหน้าที่ตรงนี้จะกลายเป็นของนิติบุคคลอาคารชุดที่จัดตั้งขึ้นมา แต่หากเป็นการเช่าสิทธิระยะยาวที่มีเจ้าของที่ดินเป็นผู้พัฒนาโครงการเอง การดูแลเอาใจใส่ ตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง ไปถึงการบำรุงรักษาอาคาร จะดำเนินการโดยผู้พัฒนาโครงการ ดังนั้นมูลค่าของอาคารในระยะยาวย่อมมีมากกว่า  อีกทั้งยังสามารถทำราคาเช่าได้เท่ากับที่ดินประเภทฟรีโฮลด์ในทำเลเดียวกัน คือใช้เงินลงทุนน้อยกว่า แต่ได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่า  จึงเป็นอีกทางเลือกของการลงทุนในคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่น่าจับตามอง   ทั้งนี้ แนวโน้มดังกล่าว สะท้อนให้เห็นการประสบความสำเร็จ จากการเปิดขายโครงการที่ 2 คือ “สินธร ต้นสน”  ตั้งอยู่บนพื้นที่  1 ไร่ครึ่ง พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ บริเวณถนนสารสิน ตัดซอยต้นสน สูง 17 ชั้น ขนาดตั้งแต่ 85-140 ตารางเมตร ราคา 19-48 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ 19 ล้านบาท จำนวน 59 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท โดยได้เปิดการขายอย่างเป็นทางการไปเมื่อวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา  ปัจจุบันมียอดขายรวมกว่า  50%  ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเกินคาด โดยการก่อสร้างจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2561 นี้ เช่นเดียวกับโครงการแรก คือ “สินธร เรสซิเดนซ์” เปิดขายไปเมื่อปี 2558 สามารถปิดการขายได้ 85% ภายในเวลา 2 ปี     “ปัจจัยที่ทำให้พื้นที่โดยรอบสวนลุมพินี มีความโดดเด่น หัวใจหลักๆเนื่องจากเพราะสวนลุมพินีเองเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ถือเป็นปอดของกรุงเทพฯ ทำให้คอนโดมิเนียมที่อยู่รอบพื้นที่แห่งนี้ได้ชมวิวกรุงเทพฯ  ในแบบ "พาร์ควิว" ทั้งยังอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก และเครือข่ายคมนาคมในย่านนี้ที่สะดวกมาก ปัจจุบันพื้นที่โดยรอบสวนลุมพินี ถือ เป็น Prime Area แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ที่มีโรงแรมระดับ 5-6 ดาว รวมถึงอาคารสำนักงานกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ และยังเต็มไปด้วยคอนโดระดับซูเปอร์ ลักชัวรี่ มากมาย  ดังนั้น ในย่านนี้ที่ดินแบบ ฟรีโฮลด์ จึงค่อนข้างหายาก และมีราคาสูง ทำให้ราคาอสังหาฯโดยรอบย่านมีราคาพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง   เพราะถือเป็นพื้นที่ไข่แดงใจกลางเมือง” นายขจรเดช กล่าว     นายขจรเดช กล่าวต่อว่า บริษัทฯ เดินหน้าต่อยอดความสำเร็จ เตรียมเปิดโครงการ “สินธร หลังสวน” ภายใต้โครงการ “สินธร วิลเลจ” มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท  ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ บนที่ดินในย่านหลังสวน  พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ แบบลีสโฮลด์ เช่าซื้อระยะยาว 30 ปี และได้รับสิทธิ์ต่ออายุอีก 30 ปี สูง ​33 ชั้น โดยจุดเด่นออกแบบให้แต่ละยูนิต มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น ขนาดห้องตั้งแต่ ​98 - 480 ตารางเมตร รวมถึงมีการออกแบบห้องให้มีความโปร่งสบาย ระยะพื้นถึงเพดานสูงถึง 3.0 เมตร  มีห้อง 4 แบบ ตั้งแต่ 1-3 ห้องนอน และเพ้นท์เฮ้าส์ จำนวนรวม 225 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น 20 ล้านบาท พร้อมที่จอดรถมากถึง 496   คัน  เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ​พื้นที่ส่วนกลางที่มีขนาดใหญ่  เลานจ์สำหรับผู้พักอาศัย ที่ชั้น 30  พร้อมสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ  ห้องฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ครบครัน  ล็อคเกอร์ กับเซาวน่า และห้องสตรีม เป็นต้น โดยกำหนดเปิดขายในเดือน มิ.ย. นี้   สำหรับโครงการ สินธร วิลเลจ เป็นโครงการมิกซ์ยูสบนพื้นที่ 56 ไร่ ตั้งอยู่บนทำเลใจกลางเมืองบริเวณหลังสวน ประกอบไปด้วย คอนโดมิเนียม เซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ โรงแรม และคอมมูนิตี้มอลล์  ภายใต้แนวคิด “Living in the Park” จัดสรรพื้นที่กว่า 14 ไร่ เป็นสวนขนาดใหญ่ เพื่อสร้างบรรยากาศที่อยู่อาศัยให้ร่มรื่น น่าอยู่ อีกทั้งยังมุ่งเน้นการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย ชุมชน และสังคมรอบด้านอีกด้วย
คิง เพาเวอร์ ทุ่ม 14,000 ล้านบาทซื้อ

คิง เพาเวอร์ ทุ่ม 14,000 ล้านบาทซื้อ"มหานคร" ต่อยอดธุรกิจท่องเที่ยว-โรงแรม

  คิง เพาเวอร์ สยายปีกธุรกิจ เสริมความแข็งแกร่ง ทุ่ม 14,000 ล้านบาท ซื้อโครงการมหานคร ในส่วนของโรงแรม, จุดชมวิว Observation Deck และ  อาคารรีเทลมหานครคิวป์ จากบริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) เพื่อต่อยอดธุรกิจ และพัฒนาให้เป็นโครงการไลฟ์สไตล์ที่เพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบที่สุดในกรุงเทพมหานคร โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาใช้บริการ     นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เปิดเผยว่า การตัดสินใจเดินหน้าต่อยอดธุรกิจในครั้งนี้ เนื่องจากทรัพย์สินต่างๆ ที่ซื้อมานั้นเป็นทรัพย์สินที่สอดคล้องกับธุรกิจที่กลุ่มคิง เพาเวอร์ ได้ดําเนินการอยู่ นอกจากนี้ ยังเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวประเทศไทยเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มที่จะเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นปัจจัยสําคัญในการสนับสนุนให้บริษัทฯ กล้าตัดสินใจทุ่มงบประมาณ 14,000 ล้านบาทในครั้งนี้ และมั่นใจว่าจะช่วยเสริมความเข้มแข็งให้แก่ธุรกิจในกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ให้มีความมั่งคงยิ่งขึ้น   โดยการเข้าซื้อทรัพย์สินฯ ครั้งนี้ บริษัทฯ ได้เข้าถือครองทรัพย์สินในตึกมหานคร ได้แก่ โรงแรม, จุดชมวิว Observation Deck, ร้านค้าปลีกบริเวณพื้นที่รีเทล 4 ชั้น, อาคารรีเทลมหานครคิวป์, รวมถึงที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ร่วม   สําหรับเป้าหมายสําคัญในการพัฒนาทรัพย์สินที่กลุ่ม บริษัท คิง เพาเวอร์ ได้เข้าครอบครองในครั้งนี้นั้นจะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเสริมสร้างศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ที่สําคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในระดับสากล รวมถึงพร้อมที่จะรองรับการเติบโตของประชาคมอาเซียนในอนาคต   โดยจากจุดแข็งของทรัพย์สินที่ได้มา ตึกมหานครเป็นหนึ่งในอาคารที่มีความสูงที่สุดในประเทศไทย ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร เชื่อมต่อการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งมีศักยภาพสูงที่จะพัฒนาเป็นแลนด์มาร์คของกรุงเทพ และเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เข้ามาใช้บริการ อาทิเช่น จุดชมวิว Observation Deck ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ดีที่สุดในประเทศไทยที่เห็นวิว 360 องศาทั้งวิวเมืองและโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา และเพียบพร้อมด้วยบริการต่างๆ อีกมากมาย ทั้งโรงแรมระดับ 5 ดาวที่มีชื่อเสียง และร้านอาหารที่มีชื่อเสียงจากทั้งในและนอกประเทศ พร้อมที่จะเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่สําคัญของกรุงเทพมหานครต่อไป   "ในการตัดสินใจครั้งนี้ เป็นการเดินหน้าเพื่อตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ที่พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งในการมีส่วนร่วมเสริมสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไปในอนาคต และพร้อมปักหมุดให้ประเทศไทยเป็นยุทธศาสตร์สําคัญทางเศรษฐกิจ การค้า และศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ที่สําคัญที่สุด แห่งหนึ่งของโลกต่อไป" นายอัยยวัฒน์กล่าวเสริม  
ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง มองกลุ่มอสังหาฯ ไฮเอ็น หันจับมือเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ระดับโลกตอบโจทย์ลูกค้า

ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง มองกลุ่มอสังหาฯ ไฮเอ็น หันจับมือเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ระดับโลกตอบโจทย์ลูกค้า

  ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง เดินหน้าตลาดอสังหาฯ ซุปเปอร์ลักซัวรี่  โครงการอัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 บ้านเดี่ยว 8 ยูนิต มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ออกแบบสไตล์ Modern Luxury ที่มีกลิ่นอาย New England Glamorous คัดสรรเฟอร์นิเจอร์ฝีมือดีไซน์เนอร์ระดับโลก ตอบโจทย์รสนิยมเฉพาะของคนช่างเลือก     นางสาวกมนนัทธ์ เต็มไตรรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด แบรนด์ แกลเลอรี่ ที่รวบรวมเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านจาก 7 ดีไซน์เนอร์ชื่อดังในวงการเฟอร์นิเจอร์ระดับโลกภายใต้ 7 แบรนด์ ที่มีสไตล์การออกแบบเป็นเอกลักษณ์ เปิดเผยว่าล่าสุดซอนเดอร์ ลิฟวิ่งได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบตกแต่งภายในให้กับโครงการอัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 โดยซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง โดยเข้าไปดูแลงานตกแต่งภายในส่วนเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวร่วมกับผู้ออกแบบตกแต่งภายในโครงการดังกล่าว บนคอนเซปต์โมเดลลักซัวรี่ ที่มีความเรียบแต่หรูหราแบบมีเอกลักษณ์ ใส่ความดีไซน์ลงไปในทุกตารางนิ้วของตัวบ้าน เน้นโถงรับแขกที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการเน้นการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีเอกลักษณ์ของจากดีไซน์ระดับโลก อาทิ  ของ Maison 55  ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งเข้ากับหินอ่อน Book Match ขนาด Double Volume  และห้องนอนใหญ่ที่เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ของ Kelly Hoppen  เข้ามาร่วมด้วย รวมถึงการเข้าไปตกแต่งห้องตัวอย่างด้วยดีไซน์ที่มุ่งตอบโจทย์รสนิยมของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่อยู่ในระดับกลางบน ถึงระดับบน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีกำลังซื้อยุคใหม่     “การตกแต่งห้องตัวอย่างให้กับอัลติจูด มาสเตอรี่ ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง ได้คัดสรรเฟอร์นิเจอร์สุดพิเศษ จากใน 7 แบรนด์ ของ Furniture หรู เช่น Maison 55, Tracey Boyd, Nellcote Studio และ Kelly Hoppen เช่น ชุดรับประทานอาหาร REFORM DINING SET 6 ที่นั่ง ที่ซึ่งสามารถเพิ่มความยาวรองรับได้ถึง 10 ที่นั่ง จากทางดีไซนเนอร์ชั้นนำของประเทศอังกฤษอย่าง Tracey Boydซึ่ง คัดสรรแบบ Special Customize Selection  พิเศษเฉพาะสำหรับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของโครงการอัลติจูด มาสเตอรี่ ซึ่งเป็นกลุ่มเจ้าของธุรกิจเสริมความงาม แพทย์เสริมความงาม ดารา และเซเลบ ที่ชื่นชอบดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ไม่ซ้ำแบบใคร” นางสาวกมนนัทธ์กล่าว   ทั้งนี้ ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง ยังได้จัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าโครงการดังต่อไปนี้ โดยการเลือก SPECIAL UNIT SET ซึ่งถูกเลือกโดย ดีไซนเนอร์ชั้นนำในวงการตกแต่งภายใน ซึ่งเป็นโปรโมชั่น และส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าโครงการ อัลติจูด มาสเตอรรี่ เท่านั้น     นายชยพล  หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งพัฒนาโครงการทั้งแนวราบและแนวสูงระดับลักซัวรี่ใจกลางเมือง เปิดเผยว่า อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 ป็นบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซัวรี่ จำนวน 8 ยูนิต ราคาหลังละ 30.7 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการกว่า 200 ล้านบาท เป็นบ้านที่มุ่งใช้ วัสดุ สุขภัณฑ์ และเฟอร์นอเจอร์ในระดับบนทั้งหมด เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอ็นที่มีกำลังซื้อสูง เป็นคนช่างเลือก และให้ความสำคัญกับดีไซน์ของบ้านเป็นหลัก ดังนั้น จงต้องพิถีพิถันในการเลือกวัสดุ และของตกแต่งบ้านจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เด่นชัด ที่สำคัญแบรนด์ต้องเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีอยู่แล้ว     “ที่เราเลือกซอนเดอร์ ลิฟวิ่งมาเป็นพันธมิตร เนื่องจากแบรนด์เป็นที่รู้จักในแวดวงของคนที่ชอบแต่งบ้านและหลงใหลชื่นชอบงานดีไซน์ ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับลูกค้าของอัลติจูด มาสเตอรี่ที่มองหาบ้านและเฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์โดดเด่นเฉพาะตัวไม่ซ้ำแบบ ทั้งยังมีความละเอียดในการออกแบบและในขั้นตอนการผลิตมีที่มาที่ไปของชิ้นงานแต่ละชิ้น เพราะเป็นงานดีไซน์จากดีไซเนอร์ระดับโลก ส่งผลให้ผู้เป็นเจ้าของรู้สึกภาคภูมิใจกับสินค้าซึ่งบ่งบอกถึงรสนิยมอันดีของผู้เป็นเจ้าของ ประกอบกับดีไซน์ของเฟอร์นิเจอร์ทุกตัวมีความร่วมสมัยอยู่ตลอดเวลา“ นายชยพล กล่าว   พบกับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านไฮเอนด์ 7 แบรนด์ จาก 7 ดีไซเนอร์อย่าง Thomas Bina, Tracey Boyd, Andrew Martin, Maison 55, Nellcote Studio, Coup&Co., และ Kelly Hoppen ได้ที่ SONDER living Thailand Flagship Gallery บนถนนพระรามเก้า ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 10:00 – 19:00 น. และวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 10:00-18:00 น. รายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าเยี่ยมชมที่ Official Website: www.sonderliving.com/th หรือที่ Facebook: sonderlivingthailand    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการอัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 http://www.altitudemastery.com
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ชี้ตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 1 โตรอบ 3ปี คาดไตรมาส2 สดใสลูกค้าเร่งสร้างหนีต้นทุนใหม่

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ชี้ตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 1 โตรอบ 3ปี คาดไตรมาส2 สดใสลูกค้าเร่งสร้างหนีต้นทุนใหม่

  สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ระบุตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 1 ขยายตัวสูงสุด ในรอบ  3 ปี สะท้อนตัวเลขงาน”รับสร้างบ้านและวัสดุ 2018”  ยอดขายเพิ่มขึ้น  65% ขณะที่มูลค่า เพิ่มถึง 40% แรงหนุนเศรษฐกิจ กำลังซื้อผู้บริโภคฟื้น  คาดไตรมาส 2 ตลาดเติบโตต่อเนื่อง เหตุผู้บริโภคเร่งสร้างบ้าน ก่อนราคารับสร้างบ้านปรับขึ้นในครึ่งปีหลัง เตรียมเจรจากลุ่มวัสดุก่อสร้างคงราคาพิเศษ หวังตรึงราคาค่าก่อสร้าง   นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน  เปิดเผยว่า จากแนวโน้มความต้องการปลูกสร้างบ้านของผู้บริโภคที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ส่งผลให้ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านไตรมาส 1 ปี2561 มีการเติบโตในทุกด้าน ทั้งในแง่ของปริมาณและมูลค่าตลาด”รับสร้างบ้าน” ที่ขยายตัวสูงขึ้นมาก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2560 สะท้อนจากตัวเลขการจัดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2018” พบว่า ยอดขายแง่ยูนิตเพิ่มขึ้นถึง 65%  ในแง่ของมูลค่า ก็เพิ่มขึ้นมากถึง  40%  ของยอดขายรวม  1,200 ล้านบาท จากตั้งเป้ายอดขายไว้ที่  1,100 ล้านบาท  ซึ่งทั้งตัวเลขยอดขายและมูลค่า นับเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 3 ปี   เนื่องด้วยปัจจัยบวกหลายอย่าง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น ทำให้มีการใช้จ่ายเรื่องบ้านหรือที่อยู่อาศัยมากขึ้น เห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมีนาคม 2561 ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 79.9 จากเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ระดับ 79.3  ทั้งปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจที่ดีต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาจากการใช้จ่ายด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ รวมไปถึงด้านการท่องเที่ยวและการส่งออกปรับตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน   อย่างไรก็ดี สมาคมฯ ประเมินว่า ตลาดรับสร้างไตรมาส 2  จะยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัย จากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่มีความเป็นรูปบธรรมชัดเจน และหากรัฐบาลมีการขับเคลื่อนการใช้งบประมาณกลางปี โครงการไทยนิยมที่มีการจัดซื้อจัดจ้างเพิ่มขึ้น ส่งให้ผลให้เศรษฐกิจไตรมาส 2 ขยายตัวเกิน 4.2%  ทำให้จีดีพีทั้งปีเติบโต 4.2-4.6%  อีกทั้งกำลังซื้อผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง  เพราะความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่อยู่ข่วงชาขึ้น ทำให้เชื่อว่า ผู้บริโภคจะมีความสนใจและความต้องการปลูกสร้างบ้านใหม่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ แนวโน้มการปรับขึ้นราคารับสร้างบ้าน เนื่องมาจากการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ  ซึ่งจะมีผลทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับขึ้น และมีผลต่อค่าเฉลี่ยราคาก่อสร้างปรับสูงขึ้นตาม ซึ่งจะช่วยเร่งให้ผู้บริโภคตัดสินปลูกสร้างบ้านเร็วขึ้น   “ตลาดหลักของรับสร้างบ้านในขณะนี้ ยังคงเป็นบ้านระดับราคา 2.5-10 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 70% ของตลาดรวม ทั้งนี้กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ยังเป็นตลาดที่มีการเติบโต ส่วนตลาดสร้างบ้านในต่างจังหวัดยังเติบได้ไม่มาก ส่วนหนึ่งเพราะราคาสินค้าเกษตรยังไม่ดีมาก ขณะที่จังหวัดที่มีรายได้จากภาคบริการ เช่นธุรกิจท่องเที่ยวที่ขยายตัวดียังพอที่จะผลักดันธุรกิจรับสร้างบ้านเติบโตดี” นางศิริพร กล่าว   นางศิริพร กล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน มีแนวโน้มพิจารณาปรับราคาก่อสร้างขึ้น คาดว่าจะเป็นช่วงกลางปีไปแล้ว เพราะผู้ประกอบการเองก็ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จากองค์ประกอบหลายด้าน ทั้งต้นทุนราคาวัสดุ  ค่าแรงของกลุ่มแรงงาน และกลุ่มแรงงานฝีมือ เพราะส่วนที่มีผลกระทบต่อการปรับราคามากสุด คือ กลุ่มแรงงาน  ตามมาด้วยแรงงานฝีมือซึ่งต้องปรับตาม แม้ว่าปัจจุบันอัตราค่าจ้างสูงกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้วก็ตาม แต่แนวโน้มคาดว่าราคาจะปรับขึ้นไม่ต่ำกว่า 3-5 %   อย่างไรก็ตามสมาคมฯ ได้มีการประสานกับกลุ่มวัสดุก่อสร้าง เพื่อให้คงราคาพิเศษสำหรับสมาชิกของสมาคมฯ เพื่อให้สามารถตรึงต้นทุนค่าก่อสร้างไว้ได้  รวมถึงสถาบันการเงินพันธมิตรที่พิจารณาให้สินเชื่อกับสมาชิกสมาคมฯ เป็นกรณีพิเศษด้วย เพื่อที่ผู้ประกอบการสมาชิกสมาคมฯ สามารถประคองราคาไว้นานที่สุดเพื่อช่วยผู้บริโภค   “ปกติในจังหวะที่เศรษฐกิจขยายตัว ธุรกิจรับสร้างบ้านจะพิจารณาปรับราคา จากต้นทุนต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ปีนี้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เข้ามาเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มอีก ผู้ประกอบการจึงพิจารณาขึ้นราคาในช่วงกลางปีไปแล้ว แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบลูกค้า เพราะเป็นช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น” นางศิริพร กล่าว   นางศิริพร กล่าวอีกว่า  สมาคมฯ ยังเดินหน้าแผนสร้างสมาคมฯ ให้เป็นองค์กรขนาดใหญ่ ด้วยการขยายเพิ่มจำนวนสมาชิกทุกประเภทขึ้นอีกอย่างน้อย 10% จากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวนทั้งสิ้น 127 ราย เป็นผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน 53 ราย และที่เหลือเป็นกลุ่มวัสดุ  นอกจากนี้จะสนับสนุนและส่งเสริมศักยภาพของสมาชิกผ่านกิจกรรมในทุกๆ ด้าน โดยจะเปิดโอกาสให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ทำธุรกิจรับสร้างบ้านได้เข้ามาเป็นสมาชิกมากขึ้น พร้อมทั้งผลักดันให้เกิดความร่วมมือระหว่างสมาชิกและเครือข่าย และการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ  
“โคคูโย” กางแผนขยายธุรกิจทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท คลอดเก้าอี้นวัตกรรมดูแลร่างกายจ่อรุกตลาดไทย

“โคคูโย” กางแผนขยายธุรกิจทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท คลอดเก้าอี้นวัตกรรมดูแลร่างกายจ่อรุกตลาดไทย

  “โคคูโย” แบรนด์เฟอร์นิเจอร์จากประเทศญี่ปุ่น เดินหน้าเต็มสูบบุกตลาดเฟอร์นิเจอร์เมืองไทย อัดงบกว่า 10 ล้านบาทคลอดเก้าอี้สำนักงานที่มีนวัตกรรมใหม่รองรับการเคลื่อนไหวของร่างกาย 360˚ และการทำงานของสมองครั้งแรกของโลก หวังขยายฐานลูกค้าและตอกย้ำผู้นำด้านเฟอร์นิเจอร์ที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้ใช้งาน เตรียมเจาะกลุ่มพรีเมี่ยมที่มีอัตราการเติบโต 5 – 10% มั่นใจดันยอดขายภายใน 3 ปีจำนวน 10,000 ตัว   นางสาวธริดา คล้ายประชา ประธานกรรมการฝ่ายบริหาร บริษัท โคคูโย อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงแผนธุรกิจของบริษัทในปี 2561ว่า จะเน้นกลยุทธ์การสร้างกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่เป็นกลุ่มพรีเมียม โดยในปีนี้จะมีการออกผลิตภัณฑ์เก้าอี้ “ing” 360° Gliding Chair เก้าอี้ที่รองรับการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ 360˚ ภายใต้แนวคิด “SITXERCISE” แค่นั่งก็เบิร์นขึ้นมา เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นถึงปัญหาที่แท้จริงของการนั่งประจำที่นาน ๆ และอยู่ในอิริยาบถเดิมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้สุขภาพร่างกายทรุดโทรมได้ง่าย ดังนั้นจึงคิดค้นและพัฒนาเก้าอี้ดังกล่าวขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาพื้นฐานในชีวิตการทำงานจริงและสไตล์การทำงานจริงของคนในแต่ละสายอาชีพ ทำให้เกิดแนวคิดในการผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่ตรงตามยุคสมัยและตรงตามความต้องการจริง        ของผู้ใช้งาน   สำหรับเก้าอี้ “ing” 360° Gliding Chair ผลิตออกมาเพื่อรองรับกลไกการทำงานของร่างกายให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น โดยพัฒนาฟังก์ชั่นการทำงานที่เสริมประสิทธิภาพให้กับร่างกายและการทำงานของสมองและรองรับการปรับเปลี่ยนอิริยาบถต่างๆ ของร่างกายได้อย่างลงตัวและเป็นธรรมชาติ โดยไม่จำกัดรูปร่างและน้ำหนักและไม่ต้องปรับตำแหน่งของเก้าอี้  ทั้งนี้ฟังก์ชั่นการทำงานที่สำคัญที่สุดคือ Gliding Mechanism (กลไกหมุน) ที่รองรับทุกการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพื่อให้ร่างกายขยับได้อย่างอิสระ 360° ช่วยให้แรงดันของร่างกายกระจายออกไปอย่างสมดุล ลดการกดทับและความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ ช่วยคงกระดูกเชิงกรานซึ่งเป็นฐานของร่างกายให้อยู่ในมุมที่เหมาะสมโค้งเป็นรูปตัว S ด้วยท่าทางที่เป็นธรรมชาติและไม่ปวดหลัง   ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมายของเก้าอี้  “ing” คือเจ้าของธุรกิจและผู้บริโภครุ่นใหม่ที่คำนึงถึงสุขภาพการทำงานที่ดี นิยมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และสนใจในนวัตกรรมที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยบริษัทตั้งเป้ายอดจำหน่ายจำนวน 10,000 ตัวภายในปี 2563 ขณะเดียวกันบริษัทเตรียมงบการขายและการตลาดจำนวน  กว่า10 ล้านบาทที่จะสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าวด้วยแผนการตลาดทั้ง อะเบิฟ เดอะ ไลน์ (above the line) และบีโลว์ เดอะ ไลน์ (below the line) ทั้งการโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าต่างๆ อาทิ งาน Thailand BIG + BIH  และ JAPAN EXPO IN THAILAND ศูนย์การค้าสยามพารากอน  และกิจกรรมเปิดโชว์รูมแนะนำสินค้ากับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่ม โดยมีการจัดงานเสวนาเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมและสร้างประสบการณ์ร่วมกับลูกค้า การจัดโปรโมชั่นร่วมกับธนาคารและบัตรเครดิต จัดทำ Pop up store ในสถานที่สำคัญ และเพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายทางออนไลน์ด้วย   อย่างไรก็ตามเก้าอี้ “ing” 360° Gliding Chair  เป็นผลิตภัณฑ์ที่บริษัทมั่นใจว่าจะจัดจำหน่ายได้ 1,000 ตัว  คิดเป็นมูลค่าประมาณ 30,000,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัทญี่ปุ่นประมาณ 70% และกลุ่มลูกค้าสัญชาติอื่น ๆ อาทิ ไทย สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส  และอีก 30%  โดยบริษัทตั้งเป้าว่าภายในปี 2563 จะเพิ่มสัดส่วนระหว่างสองกลุ่มนี้ให้เท่ากันคือ 50 : 50  ด้วยการขยายฐานลูกค้าในกลุ่ม B2C เพิ่มมากขึ้น โดยใช้สื่อออนไลน์เป็นหลักเนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สนใจนวัตกรรมที่ทำให้สุขภาพและชีวิตของดีขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านทางเวปไซต์ www.kokuyothailand-ing.com     ด้านนายซาชิโอะ โคบายาชิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โคคูโย อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดเฟอร์นิเจอร์ประเทศไทยในปัจจุบันมีมูลค่ารวมกว่า 55,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกลุ่มเฟอร์นิเจอร์บ้าน 40,000-50,000 ล้านบาท ตลาดเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน 5,000 ล้านบาท โดยในปี 2561 นี้ กลุ่มตลาดกลางถึงตลาดบนมีแนวโน้มเติบโต 5-10% ต่อเนื่องจากปลายปี 2560 เป็นผลจากการขยายตัวด้านการลงทุนของภาครัฐและการส่งออกไปยังตลาดอาเซียนที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เนื่องจากมีการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งที่พักอาศัยโรงแรม และรีสอร์ท เพิ่มมากขึ้น   “โคคูโย (KOKUYO) ถือเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าสำหรับออฟฟิศสำนักงานรายใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่นนานกว่า 100 ปีและเข้ามาทำการตลาดในประเทศไทกว่า 13 ปี ถือเป็นบริษัทเฟอร์นิเจอร์ญี่ปุ่นแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่ให้บริการทั้งด้านการออกแบบตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์สำนักงาน รวมถึงอุปกรณ์เครื่องเขียนอย่างครบวงจร โดยเฟอร์นิเจอร์ของโคคูโยทุกชิ้นช่วยส่งเสริมสไตล์การทำงานของผู้ใช้งานในแต่ละรูปแบบ (work style) และที่สำคัญยังมีส่วนช่วยให้ผู้ใช้งานมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (Well Being) จะเห็นได้จากพื้นที่สำนักงานของโคคูโยที่ ชั้น 9 ของเดอะออฟฟิศเซส แอท เซ็นทรัล เวิลด์ (The Offices at Central World) ภายใต้แนวคิด live office ที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญระหว่างเฟอร์นิเจอร์และชีวิตการทำงานจริง เนื่องจากเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหา และความต้องการของคนทำงาน โดยกลุ่มเป้าหมายของโคคูโยนั้นเน้นที่ตลาดกลางถึงตลาดบนที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพและดีไซน์เป็นหลัก   นายโคบายาชิ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลการสำรวจและเปรียบเทียบผู้ที่นั่งทำงานด้วยเก้าอี้ “ing”กับผู้ที่นั่งทำงานด้วยเก้าอี้ธรรมดา พบว่า 80%  มีการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อไหล่ 50% มีการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อเอว ความสวิงของ ing นั้น ทำให้การนั่งทำงาน 4 ชั่วโมงเทียบเท่ากับการเดินประมาณ 1.5 กิโลเมตร เผาผลาญแคลลอรี่ได้ถึง 85 กิโลแคลลอรี่ ในขณะที่การทำงานของสมองนั้นพบว่า 70% นั้นมีคลื่นอัลฟา (Alpha) เพิ่มสูงขึ้นใน 60 นาทีจากการนั่งทำงานด้วย ing เกิดจากความสบายที่เพิ่มมากขึ้น 60% มีการเพิ่มสูงขึ้นของคลื่นเบต้า  (Beta) ซึ่่่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางความคิดและการมีสมาธิที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าเกิดปริมาณความคิดสร้างสรรค์หรือไอเดียใหม่ๆ จากพนักงานเพิ่มขึ้นถึง 13% ด้วย   ผู้ที่สนใจสามารถชมและทดลองผลิตภัณฑ์ได้ที่โชว์รูมโคคูโย ชั้น 9 เดอะ ออฟฟิศเซส แอท เซ็นทรัล เวิลด์ ในราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 02 2645100-3 หรือติดตามข้อมูลข่าวสารที่ www.kokuyothailand-ing.com  หรือ facebook: kokuyothailand
งานสถาปนิก ’61.. ไม่ธรรมดา สุดยอดงานแสดงสถาปัตยกรรมอาเซียนกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง

งานสถาปนิก ’61.. ไม่ธรรมดา สุดยอดงานแสดงสถาปัตยกรรมอาเซียนกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง

  สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ และบริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด พร้อมกลุ่มผู้แสดงสินค้า ร่วมกันจัดแถลงข่าวงานสถาปนิก ’61 (Architect Expo 2018) “Beyond Ordinary : ไม่ธรรมดา” ภายใต้แนวคิดการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นในวิถีชีวิตร่วมสมัยของสังคมไทย ที่รวบรวมเอาผลงานออกแบบดีไซน์จากสถาปนิกชั้นนำของอาเซียน นวัตกรรมผลิตภัณฑ์แบบ Living Tech ที่จะรองรับทุกความต้องการของผู้บริโภคยุค 4.0     นายอัชชพล ดุสิตนานนท์ นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า ผลงานความก้าวหน้าทางด้านสถาปัตยกรรมของไทยนั้นมีเอกลักษณ์และโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ งานครั้งนี้จะแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของสถาปัตยกรรมและงานออกแบบพื้นถิ่นในวิถีชีวิตร่วมสมัยของสังคมไทย โดยการพิจารณาภูมิปัญญาพื้นถิ่นที่อยู่ใกล้ตัวเรา นำองค์ความรู้ที่สืบทอดจากอดีต ทั้งในมิติของแนวคิดการออกแบบที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมหรือการใช้วัสดุจากท้องถิ่น ซึ่งอาจเป็นคำตอบของอนาคตก็เป็นได้” โดยงานสถาปนิกครั้งนี้ได้รับเกียรติจากสถาปนิกและนักออกแบบชั้นนำของไทย อาทิ ศ.ดร.วีระ อินพันทัง,บุญเลิศ เหมวิจิตรพันธ์, สุริยะ อัมพันศิริรัตน์ ตลอดจนสถาปนิกนักออกแบบรุ่นใหม่กว่า 18 กลุ่ม มาร่วมตีความนิยามความเป็นพื้นถิ่นที่แตกต่างกันไปได้อย่างน่าสนใจ ผู้เข้าร่วมชมงานสามารถนำเอาแนวคิดต่างๆ ที่ได้จากการชมงานไปปรับใช้ในการอยู่อาศัยปัจจุบันได้เป็นอย่างดี     ผศ.ดร.อภิรดี เกษมศุข ประธานจัดงานสถาปนิก ’61 กล่าวถึงรายละเอียดของการจัดงานเพิ่มเติมว่า นับเป็นครั้งแรกของงานสถาปนิกกับการออกแบบพาวิเลียนสำหรับนิทรรศการหลักของงานโดยสถาปนิกและนักออกแบบกว่า 18 กลุ่ม เปิดโอกาสให้คนทำงานสร้างสรรค์หลากหลายเจเนอเรชั่น ร่วมกันนำเสนอ Vernacular Living ในมุมมองของตนเอง ผู้ชมจะได้สัมผัสสถาปัตยกรรมไปจนถึงงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์จากวัสดุธรรมดาที่มีดีไซน์ ‘ไม่ธรรมดา’ และยังได้ความรู้เรื่องราวของภูมิปัญญาพื้นถิ่นในแง่มุมต่างๆ ผ่านตัวนิทรรศการ   "เชื่อว่างานสถาปนิก ’61 จะช่วยเปิดมุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับความเป็นพื้นถิ่นที่หลายคนมักมองว่าเชยหรือล้าสมัย แต่จริงๆ แล้วพื้นถิ่นนั้นสามารถทำให้เป็นสิ่งที่ร่วมสมัยหรือไปด้วยกันไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ได้ โดยงานนี้ได้นำเทคโนโลยี Augmented Reality และ Virtual Reality มาผสมผสานกับการจัดแสดงสถาปัตยกรรมพื้นถิ่น และเปิดโอกาสให้ผู้ชมทั่วโลกสามารถสัมผัสประสบการณ์พาวิเลียนของจริงผ่านแว่นสามมิติได้อีกด้วย”ผศ.ดร.อภิรดี กล่าว   ในส่วนไฮไลท์กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดคือ งานสัมมนาระดับนานาชาติ ASA Forum 2018 ซึ่งปีนี้ได้สถาปนิกชื่อดังระดับโลกมาร่วมบรรยายกันอย่างคับคั่ง อาทิ มานูแอล โกทรองด์ (Manuelle Gautrand) สถาปนิกชาวฝรั่งเศสเจ้าของรางวัล European Prize for Architecture, ยุง โฮ ชาง (Yung HoChang) สถาปนิกระดับมาสเตอร์หนึ่งในคณะกรรมการรางวัลพริตซเกอร์, เดวิด แวน เซเวเรน (David Van Severen) สถาปนิกชาวเบลเยียมจากสตูดิโอ OFFICEKGDVS, ฮาน ทูมาเทคิน (Han Tümertekin) สถาปนิกชาวตุรกีเจ้าของรางวัล Aga Khan Award  และ ฟาร์ชิด มูซาวี (Farshid Moussavi) สถาปนิกชาวอังกฤษเชื้อสายอิหร่านผู้มีผลงานออกแบบได้รับรางวัล RIBA Award     ด้านนายศุภแมน มรรคา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้จัดงาน เผยว่า ปีนี้ได้รับการตอบรับเข้าร่วมแสดงสินค้าจากผู้ประกอบการด้านผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจก่อสร้างเป็นอย่างดี จนใกล้จะเต็มพื้นที่ 75,000 ตารางเมตร หรือประมาณ 15 เท่าของสนามฟุตบอลกันแล้ว โดยมีบริษัททั่วโลกตอบรับเข้าร่วมจัดแสดงผลงาน รวมถึงการจัดแสดงเทคโนโลยีจากยุโรปโดย IMAG บริษัทในเครือของ Messe Munchen ประเทศเยอรมนี ผู้จัด BAU งานแสดงสถาปัตยกรรม ผลิตภัณฑ์ และระบบก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก ร่วมด้วยผู้แสดงสินค้าจากนานาประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย จีน อเมริกา เวียดนาม ฯลฯ รวมกว่า 850 บริษัท ด้านผู้เข้าร่วมชมงานในปีนี้คาดไม่ต่ำกว่า 400,000 คน เชื่อว่าการจัดงานครั้งนี้นอกจากจะเป็นการแสดงผลงานความก้าวหน้าทางสถาปัตยกรรมของไทยแล้ว ยังส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจ เนื่องจากมีการจับจ่ายใช้สอยภายในงานยาวตลอดไปถึงหลังงานกว่าหมื่นล้านบาท   ด้านความพร้อมของผู้แสดงสินค้าต่างเตรียมขนทัพผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสานงานด้านดีไซน์ นวัตกรรม และเทคโนโลยีให้เข้ากันได้เป็นอย่างดี เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้เข้าชม อาทิ บูธ Lixilของบริษัท ลิกซิล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าแบรนด์และผลิตภัณฑ์สำหรับบ้านและสุขภัณฑ์ระดับโลก ที่เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ American Standard ให้ได้ชมกันก่อนใครกับ Kastello Collection และ City Collection ที่จะเปลี่ยนพื้นห้องน้ำให้เป็นพื้นที่แห่งความสุข การเปิดตัวนวัตกรรมที่สุดของการอาบน้ำ กับ AquaSymphony เรนชาวเว่อร์ที่ใหญ่ หรูหรา และมีฟังก์ชั่นมากที่สุด และ GROHE Sensia Arena สุขภัณฑ์อัจฉริยะที่ผสานดีไซน์จากเยอรมนีและเทคโนโลยีจากญี่ปุ่น พร้อมด้วยผลิตภัณฑ์จาก INAX Ecocarat ผู้นำเทคโนโลยีและดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์เกี่ยวกับกระเบื้อง จนได้รับการยกย่องว่าเป็น วัสดุก่อสร้างสำหรับการควบคุมความชื้น และ TOSTEM ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปอะลูมิเนียมครบวงจร มาจัดแสดงให้ได้ชมกันในงาน     สำหรับบูธ UMI Group ของบริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์ดูราเกรส และเซอเกรส ได้มีการนำเสนอไอเดียการตกแต่งบ้านในสไตล์โฮมมี่ ด้วยดีไซน์กระเบื้องในแบบต่างๆ ถ่ายทอดการแต่งห้องในแบบ Cozy (อบอุ่น เรียบง่าย), Fresh (สดชื่นมีชีวิตชีวา) และ Inspire (แรงบันดาลใจและจินตนาการ) ให้ทุกคนในบ้านได้ใช้ช่วงเวลาแห่งความสุขร่วมกัน โดยเตรียมโปรแกรมอัจฉริยะ Web Browser ที่ให้คุณสามารถเลือกกระเบื้องแบบต่างๆ ผ่านปลายนิ้ว ให้คุณแห็นภาพการจำลองห้องเสมือนจริงในแบบ 360องศาก่อนเลือกตัดสินใจ   ส่วนบูธ SCG ของบริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ยักษ์ใหญ่ในแวดวงเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ได้มีการสร้างสรรค์แนวคิดของบูธในปีนี้ว่า Passion for Better Living แรงผลักดันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งที่ดีกว่า ประกอบไปด้วย Innovation Inspiration และ Information ยกนวัตกรรมทั้ง SCG Living Tech และ SCG Building Tech มานำเสนอ พร้อมไฮไลท์เด็ดของบูธคือ Home Buddy Application ที่จะเชื่อมต่อกระบวนการทำบ้านทั้ง Online และร้านค้า Online เข้าด้วยกัน ช่วยให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในทุกด้าน รวมถึงนวัตกรรมบ้านเย็นอยู่สบายActive AIRFlowTM System ที่สามารถสร้างคุณภาพอากาศที่ดีภายในห้องด้วย Well Air นอกจากนี้ยังมีในส่วนเทคโนโลยี SCG Eldercare Solution กับการพัฒนาหุ่นยนต์ดินสอเพื่อเพิ่มศักยภาพในการดูแลผู้สูงอายุ และนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ดีไซน์สุดทันสมัยโดยนักออกแบบระดับโลกอีกด้วย
อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้ ตุนแบ็คล็อกกว่า 2.3 พันล้าน พร้อมเปิดโครงการใหม่โซนกรุงเทพตะวันออก

อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้ ตุนแบ็คล็อกกว่า 2.3 พันล้าน พร้อมเปิดโครงการใหม่โซนกรุงเทพตะวันออก

  อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาฯ แนวราบ เผยตุนยอดแบ็คล็อกเกิน 2.3 พันล้าน ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องจนถึง 2563 พร้อมตั้งเป้ายอดรายได้รวมปีนี้ 800 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้น 100%ล่าสุด เดินหน้าปั้นโครงการใหม่เพิ่ม ยึดพื้นที่โซนกรุงเทพตะวันออก   นายวรยุทธ กิตติอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน บริษัทฯ มียอดแบ็คล็อก อยู่ที่ 2,322 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มรับรู้ได้ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ไปจนถึงปี 2563 โดยมาจากการขายโครงการที่มีในปัจจุบัน ได้แก่ อาร์เค พาร์ค รามอินทรา-ซาฟารี, อาร์เค พาร์ค วัชรพล-สายไหม และดิไอเฟิล (The Eiffel) รามคำแหง-มิสทีน เฟสหนึ่ง รวมถึงโครงการที่อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและเตรียมเปิดจองเร็วๆ นี้ ได้แก่ ดิไอเฟิล รามคำแหง-มิสทีน เฟสสอง ที่เป็นโฮมออฟฟิศ 49 ยูนิต และเฟสสาม ที่เป็นบ้านเดี่ยวสร้างเสร็จพร้อมอยู่ 67 ยูนิต   “นอกจากนี้ ยังมีโครงการเดอะรักษ์ (The Rux) รามอินทรา-หทัยราษฎร์ โครงการบ้านเดี่ยวสองชั้น จำนวน 96 ยูนิต บนถนนไทยรามัญ ใกล้ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท พร้อมเปิดขายในราคาเริ่มต้น 3.49 ล้านบาทในช่วงไตรมาสสองนี้ และโครงการซีเน็กซ์ (Zenex) พหลโยธิน-รามอินทรา 5 ที่มีทั้งส่วนทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ จำนวน 13 ยูนิต ทำเลดีใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู เปิดขายพร้อมเข้าอยู่ในไตรมาสสามปีนี้ ในราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาท เน้นจับกลุ่มลูกค้า Gen X และ Y ที่เป็นเจ้าของกิจการเติบโตมาจากกลุ่มสตาร์ทอัพและธุรกิจออนไลน์ หรือผู้บริหารรุ่นใหม่ที่ชอบความหรูหราและความคุ้มค่า” นายวรยุทธ กล่าว   สำหรับกลยุทธ์ในการพัฒนาธุรกิจ นายวรยุทธ กล่าวว่า “อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้จะยังคงยึดแนวทางการทำธุรกิจที่ ตัวเองถนัด ค่อยๆ สร้างการเติบโตด้วยจุดแข็งที่มี คือความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและการขายโครงการแนวราบ ในโซนกรุงเทพตะวันออก โดยตั้งเป้าจะเปิดตัวโครงการใหม่ 2-3 โครงการทุกปี มีทาวน์โฮมเป็นสินค้าหลัก รองลงมาเป็นโฮมออฟฟิศ และบ้านเดี่ยว ทั้งยังได้ตั้งงบประมาณในการซื้อที่ดินใหม่ต่อปีอยู่ที่ราว 600 ล้านบาท โดยในปี 2561 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้รวมอยู่ที่ 800 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา   “ปัจจุบัน การแข่งขันในตลาดอสังหาฯ ในกรุงเทพและปริมณฑลค่อนข้างรุนแรง ทุกบริษัทต้องปรับตัวกันอยู่เสมอ อาร์เค พร็อพเพอร์ตี้เองก็พยายามรักษาจุดเด่นของตัวเอง และเพิ่มจุดแข็งอื่นๆ เข้ามาอยู่เสมอ โดยทุกโครงการของบริษัทฯ ล้วนอยู่ติดถนนใหญ่ ในย่านที่การคมนาคมเข้าถึงได้สะดวก เป็นโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ จึงเป็นที่ต้องการของลูกค้า อีกทั้งในบางโครงการอย่าง ดิไอเฟิล รามคำแหง-มิสทีน ยังมีจุดเด่นเหนือคู่แข่งบริเวณเดียวกัน ตรงที่ใช้วิธีก่อสร้างแบบก่อฉาบ ซึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมากของลูกเดอะรักษ์ (The Rux) รามอินทรา-หทัยราษฎร์ ค้าปัจจุบัน เพราะได้ทั้งความแข็งแรง ทนทาน และความละเอียดประณีต มีการจัดเตรียมพื้นที่ส่วนกลางกว้างขวางหรือห้องอเนกประสงค์ บวกกับมีการนำพร็อพเทคเข้ามาอำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อาศัย” นายวรยุทธ กล่าว     นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีการปรับระบบการปฏิบัติงานภายใน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขายและให้บริการหลัง การขายแก่ลูกค้า เช่น การกำหนดมาตรฐานการตรวจรับบ้านที่เข้มงวด การสำรวจและศึกษาความต้องการของ ลูกค้าในเชิงลึก เพื่อนำมาประกอบใช้กับขั้นตอนการออกแบบและก่อสร้างบ้าน การทำ CRM อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับความพึงพอใจของลูกบ้านและเพิ่มโอกาสในการขายจากการบอกต่อ การให้ข้อมูลสินค้าโดยละเอียดและสร้างประสบการณ์เสมือนจริงผ่านสื่อออนไลน์ ที่ให้ลูกค้าได้รู้จักกับโครงการของอาร์เค พร็อพเพอร์ตี้ มากที่สุดก่อนจะตัดสินใจมาเยี่ยมชมโครงการจริง เป็นต้น    ในส่วนของแนวทางการขยายธุรกิจในอนาคต บริษัทฯ ยังกำลังทำการศึกษาอยู่หลายแนวทาง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ การระดมทุนแบบ ICO หรือสกุลเงินดิจิทัล การร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจ หรือการรับพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบให้กับนักลงทุนที่มีแลนด์แบงก์อยู่แล้ว เป็นต้น   “สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในปีนี้ ส่วนตัวมองว่าในปีนี้ตลาดยังน่าจะไปได้ดี ด้วยอัตราเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 5% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนต่อเนื่องในโครงการใหญ่ๆ ของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ ทางด่วนเชื่อมวงแหวน อีกทั้งภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศก็ยังเติบโต ไปในทิศทางที่ดี มีภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ดี ถึงแม้การปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินจะยังคงเข้มงวด แต่ก็มีท่าทีที่ผ่อนปรนลงกว่าช่วงที่ผ่านมา ในส่วนของอัตราความต้องการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพ และปริมณฑลก็ยังเพิ่มขึ้น จึงเชื่อว่ายอดขายโครงการแนวราบต่างๆ และคอนโดมิเนียมจะยังเติบโตต่อเนื่องในปีนี้” นายวรยุทธ กล่าวทิ้งท้าย
เน็กซัสเผยแนวโน้มการเติบโตของตลาดอาคารสำนักงานในอีก 5 ปีข้างหน้า

เน็กซัสเผยแนวโน้มการเติบโตของตลาดอาคารสำนักงานในอีก 5 ปีข้างหน้า

  เน็กซัส เผยผลสำรวจราคาค่าเช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน ไตรมาสแรกของปี 2561 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 960 บาท/ตารางเมตร/เดือน    โดยค่าเช่าสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 1,400 บาท/ตารางเมตร/เดือน    และยังคงมีอัตราการใช้พื้นที่ที่สูงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีการกระจายตัวของโครงการมากขึ้น    โดยในไม่กี่ปีที่ผ่านมา พื้นที่อาคารสำนักงานในเขตรอบนอกศูนย์กลางธุรกิจเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว คาดพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่าในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่ออกมาเพิ่มขึ้นอีกถึงประมาณ 1.13 ล้านตารางเมตร โดยพื้นที่อาคารสำนักงานหลักจะมาจากโครงการ One Bangkok ซึ่งอาจส่งผลให้ตลาดของผู้ให้เช่าเปลี่ยนไปเป็นตลาดของผู้เช่าแทน สำหรับแนวโน้มการเช่าจะเปลี่ยนไปตามพฤติกรรมของโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง โดยจะมีการเช่าในลักษณะการทำ Co-Working Space และ Serviced Office มากขึ้น     นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม เผยว่า ในช่วง 10 ปีทีผ่านมา ตลาดพื้นที่เช่าในอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งในด้านของราคาค่าเช่าและพื้นที่ให้เช่า ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายเริ่มเข้ามาพัฒนาธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าเพิ่มมากขึ้น โดยจะเน้นการพัฒนาในรูปแบบอาคารประเภทผสมผสานเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการพัฒนาโครงการมากที่สุด เพราะปัจจุบันที่ดินทำเลดีหายากและราคาสูงขึ้นมาก สำหรับทำเลที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคือย่านพระราม 4 และสุขุมวิทตอนต้น รวมถึงพญาไท   พื้นที่อาคารสำนักงานในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 มีพื้นที่ให้เช่าทั้งสิ้นประมาณ 4.23 ล้านตารางเมตร ในจำนวนนี้อยู่ในเขตศูนย์กลางธุรกิจประมาณ 2.29 ล้านตารางเมตร โดยกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่เช่าในเขตศูนย์กลางธุรกิจนี้เป็นพื้นที่สำนักงานเกรด A ทั้งนี้ พื้นที่การพัฒนาอาคารสำนักงานมีการขยายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น โดยจะเห็นได้ว่าในไม่กี่ปี ที่ผ่านมา พื้นที่อาคารสำนักงานในเขตรอบนอกศูนย์กลางธุรกิจเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว   ในส่วนของการพัฒนาโครงการในอนาคต เนื่องจากที่ดินในเมืองที่สามารถพัฒนาโครงการมีจำนวนจำกัดและมีราคาสูง ส่งผลให้ผู้พัฒนาโครงการให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ในอาคารสำนักงานเกรด A ถึง AA ทั้งในเขตชั้นใน และ เขตรอบนอกของศูนย์กลางธุรกิจ เนื่องจากตลาดยังมีความต้องการสูงจากผู้เช่า การดึงดูดผู้เช่าสามารถทำได้โดยการเน้นสาธารณูปโภคภายในโครงการที่ดี มีการออกแบบที่สวยงาม ทำเลที่ตั้งที่ดึงดูดและการแบ่งขนาดพื้นที่เช่าที่เหมาะสม  ทีมวิจัยของเน็กซัสคาดว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ตลาดพื้นที่อาคารสำนักงานจะมีเพิ่มเข้าสู่ตลาดอีกประมาณ 1.13  ล้านตารางเมตร หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 30% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออัตราการเช่าพื้นที่และอัตราการใช้พื้นที่อย่างมีนัยสำคัญ   สำหรับด้านอัตราค่าเช่าปัจจุบัน จากการสำรวจในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561 พบว่า ราคาค่าเช่าเฉลี่ยของพื้นที่อาคารสำนักงานเกรด A ในเขตศูนย์กลางธุรกิจ มีอัตราค่าเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 960บาท/ตรม./เดือน ในขณะที่ค่าเช่าสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 1,400 บาท/ตารางเมตร/เดือน ส่วนพื้นที่ในอาคารสำนักงานเกรด A ที่อยู่พื้นที่เขตรอบนอกศูนย์กลางธุรกิจ จะอยู่ที่ 820 บาท/ตารางเมตร/เดือน โดยมีอัตราการใช้พื้นที่เฉลี่ยรวมประมาณ 95%   นายธีระวิทย์ กล่าวสรุปว่า แม้ว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าตลาดพื้นที่ในอาคารสำนักงานจะมีพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกค่อนข้างมาก แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าจะยังไม่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงในตลาดอาคารสำนักงาน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีพื้นที่อาคารสำนักงานป้อนสู่ตลาดค่อนข้างจำกัด แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงจากตลาดของผู้ให้เช่าเป็นตลาดของผู้เช่าแทน ซึ่งจะส่งผลให้มีการแข็งขันที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้การใช้งานสำนักงานประเภท Co-Working Space และ Serviced Office จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในตลาดพื้นที่อาคารสำนักงาน โดยอาจจะกลายมาเป็นผู้เช่าหลักในอนาคตซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของธุรกิจอาคารพื้นที่ในอาคารสำนักงานให้เช่าในหลายๆประเทศทั่วโลก
แสนสิริ เปิดตัว “ลา กาซิตา”คอนโดมิเนียมสไตล์สแปนิช มั่นใจปิดการขายไตรมาส 2

แสนสิริ เปิดตัว “ลา กาซิตา”คอนโดมิเนียมสไตล์สแปนิช มั่นใจปิดการขายไตรมาส 2

แสนสิริ “ลา กาซิตา” มูลค่าโครงการกว่า 2,300 ล้านบาท ชูจุดขายคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่สไตล์สแปนิช ด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมสเปน จำนวน 705 ยูนิต เปิดขายในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท คาดปิดการขายในไตรมาส 2  นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิรินับว่าเป็นผู้บุกเบิกและเจ้าตลาดคอนโดมิเนียมตากอากาศในหัวหินมาอย่างยาว โดยเปิดตัวโครงการแรก “บ้านไข่มุก” หัวหิน ในปี 2534 ซึ่งนับเป็นโครงการแรกที่บริษัทพัฒนา มายาวนานกว่า 35 ปี ปัจจุบันบริษัทพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในทำเลชะอำ-หัวหินมาแล้วทั้งสิ้น 21 โครงการ เช่น โครงการบ้านไข่มุก บ้านแสนสราญ บ้านแสนสุข บ้านนับคลื่น บ้านทิวลม เป็นต้น สำหรับโครงการที่บริษัทพัฒนาล่าสุดในปี 2558 คือ โครงการบ้านเคียงฟ้า ปัจจุบันทุกโครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจนสามารถปิดการขายในทุกโครงการในทำเลหัวหิน จากความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่หัวหิน ทำให้แสนสิริมีความได้เปรียบในการเข้าใจความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าทุกกลุ่มได้เป็นอย่างดี รวมถึงความศักยภาพของแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งในการพัฒนาโครงการที่มีประสิทธิภาพมาโดยตลอด นอกจากนี้ล่าสุด จากแรงหนุนในแผนการพัฒนาของภาครัฐด้านการลงทุนระบบคมนาคมในอนาคต ซึ่งมั่นใจว่าจะทำให้เกิดการกระตุ้นทั้งด้านการท่องเที่ยว และดึงดูดการลงทุนของภาคเอกชน และ เกิดความต้องการบ้านหลังที่ 2 เพิ่มมากขึ้น ล่าสุดบริษัทจึงได้เปิดตัวโครงการ ‘ลา กาซิตา’(La Casita) คอนโดมิเนียมตากอากาศบนทำเลที่ดีที่สุดในใจกลางเมืองหัวหิน แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งโรงแรมระดับ 5 ดาว ศูนย์การค้าบลูพอร์ต โรงพยาบาลกรุงเทพ และร้านอาหารชั้นนำมากมาย ซึ่งนับเป็นโครงการฯ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ศักยภาพอย่างแท้จริง โดยภายในโครงการยังมอบพื้นที่ส่วนกลางสีเขียวขนาดใหญ่ถึง 4,000 ตร.ม. โดยล่าสุดบริษัทได้จัดงานพรีเซลล์ เปิดขายโครงการในช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ที่ผ่านมา ปรากฎว่าได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเก่าหรือแฟนพันธุ์แท้แสนสิริเป็นอย่างดี โดยสร้างยอดขายไปได้แล้วถึง 50% คาดว่าจะได้รับความสนใจจากทั้งกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อการพักผ่อนเป็นบ้านหลังที่ 2 รวมถึงกลุ่มลูกค้านักลงทุน และสามารถปิดการขายได้ในไตรมาส 2 นี้อย่างแน่นอน ทั้งนี้โครงการ ลา กาซิตา (La Casita) เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์สแปนิช ได้รับการสร้างสรรค์ด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมของสเปนที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ที่มีมิติ สีสันในแบบพาสเทล ผสานความคลาสสิคท่ามกลางบรรยากาศของเกาะอิบิซ่า (Ibiza) ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศสเปน อบอวลกลิ่นอายของหาดทรายสีขาว และท้องทะเลสวยงามเหมือนสวรรค์ โครงการ ลา กาซิตา เป็นอาคารสูง 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 705 ยูนิต แบ่งเป็น 1-2 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 26.50-91.00 ตร.ม. บนพื้นที่กว่า 6 ไร่ ซึ่งแบ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางรวมกว่า 4,000 ตร.ม. อาทิ Palm Court (ปาล์ม คอร์ท) สำหรับการจัดเป็นพื้นที่ครัวส่วนกลาง หรือพื้นที่พักผ่อนที่ให้ทุกคนสามารถใช้เวลาว่างให้ผ่อนคลายยิ่งขึ้น Blooming Wall (บลูมมิ่ง วอลล์) หรือ กำแพงดอกไม้ เพิ่มความเป็นส่วนตัวให้ผ่อนคลายได้ดังใจ Paradise Garden (พาราไดซ์ การ์เด้น) สวนขนาดใหญ่ตามแบบฉบับสเปน The Great Lawn (เดอะ การ์เด้น ลอว์น) พื้นที่สีเขียวเพื่อสูดอากาศให้ชุ่มปอดสำหรับการพักผ่อน และ Lap Pool (แล็บ พูล) สระว่ายน้ำขนาดใหญ่กว่า 1,000 ตร.ม. และยาวกว่า 100 เมตร    ซึ่งนับเป็นสระว่ายน้ำในคอนโดมิเนียมที่ยาวที่สุดในหัวหิน พร้อมทางเดินร่มรื่นรอบโครงการ ภายใต้บรรยากาศของการผ่อนคลายที่แสนสงบ และความสนุกที่สามารถสัมผัสคำว่าบ้านได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้ล่าสุดบริษัทยังได้เปิดตัวแคมเปญฤดูร้อน ตอบรับไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยวในหัวหิน “Joy of Huahin” โดยมอบข้อเสนอสุดพิเศษเพื่อรองรับความต้องการของผู้ที่ต้องการคอนโดมิเนียมตากอากาศในย่านชะอำ - หัวหิน และถือเป็นกิจกรรมแห่งความสุขที่มอบสิทธิพิเศษ ส่วนลดร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ในหัวหินให้กับลูกบ้านแสนสิริกว่า 66 ร้าน โดยเริ่มตั้งแต่ 1 เมษายน – 31 พฤษภาคม 2561 เท่านั้น “ตลาดคอนโดมิเนียมในหัวหินมีราคาเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 15% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทั้งยังมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี และสามารถปล่อยเช่าได้ถึง 4-5% ต่อปี ผนวกกับการเติบโตของธุรกิจปล่อยเช่าออนไลน์ ซึ่งแสนสิริได้จับมือกับ Hostmaker (โฮสต์ เมกเกอร์) พาร์ทเนอร์สำคัญที่มีความเชี่ยวชาญ และได้รับรางวัลการันตีคุณภาพในระดับโลก มาช่วยอำนวยความสะดวกบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่าและอยู่อาศัย โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลดความซับซ้อนใน การจัดการการจองที่พักให้ง่ายขึ้น ดังนั้น โอกาสในการปล่อยเช่ารายเดือนจึงมีโอกาสมากขึ้น จากนักท่องเที่ยวที่นิยมเช่าพักในระยะยาว และคนทำงานประจำที่โยกย้ายจากต่างเมือง โดยมีอัตรา   ค่าเช่าโครงการของแสนสิริเฉลี่ยอยู่ที่ 20,000 บาทสำหรับขนาด 1 ห้องนอน และสูงสุดถึง 40,000 บาทสำหรับขนาด 2 ห้องนอน ทั้งนี้ โครงการ ลา กาซิตา (La Casita) จัดกิจกรรมพิเศษ “Live in the Lively Spanish Style” พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างสมบูรณ์แบบครั้งแรกในวันที่ 6-8 เม.ย นี้ที่    หัวหินพร้อมมอบข้อเสนอพิเศษ ได้ภายในงานนี้เท่านั้น รวมทั้งมีกำหนดการนำไปโรดโชว์ในต่างประเทศในวันที่ 21-22 เมษายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติเช่นเดียวกัน” นายปิติ กล่าวเสริม  สำหรับแนวโน้มตลาดคอนโดมิเนียมในทำเลหัวหินในปี 2561 นี้ คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดี และกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยมีแรงหนุนจากแผนการลงทุนของภาครัฐในการลงทุนระบบคมนาคมสู่เมืองท่องเที่ยวฝั่งตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อพัทยาสู่หัวหิน โดยการเปิดบริการเรือเฟอร์รี่เมื่อต้นปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถช่วยลดเวลาเดินทางจาก 5-6 ชม. เหลือเพียง 1.40 ชม. เท่านั้น และการเชื่อมต่อการเดินทางจากกรุงเทพฯ – หัวหิน ด้วยทางรถไฟความเร็วสูง และการสร้างมอเตอร์เวย์จากนครปฐม-ชะอำ (ท่ายาง) ซึ่งช่วยให้การเดินทางคล่องตัวกว่าเดิม รวมถึงการขยายการลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขยายตัวจากกรุงเทพฯ สู่เมืองท่องเที่ยวโซนอ่าวไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเมืองหัวหินที่มีแนวโน้มการเติบโตได้ดีต่อเนื่อง *สำหรับทิศทางตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติในประเทศไทยปี 2561 คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 37.8 ล้านคน ขยายตัวประมาณร้อยละ 7.0 จากปี 2560 ซึ่งปัจจัยที่เป็นแรงขับเคลื่อนการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เช่น การขยายเส้นทางการบินของธุรกิจสายการบินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการขยายเส้นทางการบินของไทยที่เชื่อมไปยังเมืองรองของจีน เป็นต้น โดยได้รับปัจจัยหนุนหลักจากการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน อยู่ที่ประมาณ 9.81 ล้านคน ** ขณะที่แนวโน้มจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้หมุนเวียนอยู่ที่ประมาณ 9.9 แสนล้านบาท (*,**ที่มา: ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย) ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเมืองตากอากาศกลับมีความคึกคักขึ้นอีกครั้ง โดยล่าสุดคอนโดมิเนียมในหัวหิน มีอัตราการเสนอขายสูงสุดที่ 140,000 บาท/ ตารางเมตร และสามารถสร้างผลตอบแทนการขายต่อมากถึง 59%  
‘เอพี ไทยแลนด์’ ปลื้มยอดขายไตรมาส 1 โตครบลูปรวมกว่า 168% ไตรมาส 2 เตรียมเปิดอีก 3 โครงการ

‘เอพี ไทยแลนด์’ ปลื้มยอดขายไตรมาส 1 โตครบลูปรวมกว่า 168% ไตรมาส 2 เตรียมเปิดอีก 3 โครงการ

นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) เผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมาและแนวโน้มไตรมาส 2 ดีขึ้นหากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากปัจจัยบวก เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น การลงทุนของภาครัฐ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มในอัตราช้า เชื่อว่ากำลังซื้อในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีอยู่มาก โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดที่อยู่อาศัยระดับบน เนื่องจากเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงและได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ ไม่มากนัก ซึ่งเห็นภาพได้อย่างชัดเจน จากอัตราการเติบโตด้านยอดขายในไตรมาส 1 ของเอพี โดยเฉพาะสินค้าแนวราบที่ปรับตัวสูงขึ้นถือเป็นดัชนีที่ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้เป็นอย่างดี  สำหรับภาพรวม ตลาดในไตรมาส 2 เชื่อว่าการแข่งขันจะเข้มข้มกว่าในไตรมาสผ่านมา ด้วยจำนวนโครงการใหม่ที่จะทยอยเปิดตัวมากขึ้น และด้านซัพพลายที่ตอบโจทย์ตลาดระดับกลางบนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดี   “จากการปิดการขายโครงการ LIFE สุขุมวิท 62 ผ่านระบบจองทางแพลทฟอร์มออนไลน์ได้หมดทุกยูนิต ภายในเวลาเพียง 20 นาที สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า วันนี้ลูกค้ามีพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนไป คุ้นชินกับการซื้อผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น อีกทั้งยังคงมีกำลังซื้อที่สูง ในขณะที่กลุ่มตลาดระดับกลางถึงล่าง มีแนวโน้มยังทรงตัว หรือขยายตัวช้า เนื่องจากกลุ่มลูกค้าในตลาดดังกล่าวยังมีปัญหาในเรื่องของสภาพคล่อง” นายอนุพงษ์กล่าว     ทั้งนี้ ยอดขายที่เพิ่มขึ้นนอกจากจะมาจากการเปิดตัว 2 คอนโดมิเนียมใหม่ LIFE สุขุมวิท 62 และแอสปาย สาทร-ราชพฤกษ์ รวมถึงคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จพร้อมโอนในเครือเอพีแล้วนั้น สินค้าแนวราบทั้ง บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมของเอพีก็ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมีนัยสำคัญ โดยเป็นผลมาจากแนวทาง การพัฒนาโครงการที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบตัวบ้าน และสภาพแวดล้อมภายในโครงการที่คำนึงถึงความสมบูรณ์แบบของคุณภาพชีวิตที่ดี ตลอดจนการกำหนดแพคเกจราคาที่ตอบรับกับความสามารถในการผ่อนชำระของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดถือว่ามีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคอย่างมาก     ทั้งนี้ในปี 2561 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 34 โครงการมูลค่า 49,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 19,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 30 โครงการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายที่ 33,500 ล้านบาท โดยเอพียังคงมีแผนในการจัดซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีโอกาสพร้อมเปิดขายเพิ่มจากแผนที่ตั้งไว้ในปีนี้ ในส่วนของเอพีเองนั้นในไตรมาส 2 เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ บ้านเดี่ยว 2 ทำเล “CENTRO รังสิต คลอง 4-วงแหวน” ซึ่งจะเริ่มเปิดขายวันที่ 28-29 เมษายน เริ่ม 2.95 ล้านบาท และ “CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก” เปิดขายวันที่ 5-6 พฤษภาคม เริ่ม 7.2 ล้านบาท และทาวน์โฮม “บ้านกลางเมือง วัชรพล” ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายประมาณช่วงเดือนมิถุนายน  
โฮมบายเออร์กรุ๊ป ร่วมกับ คณะวิศวกรรมฯ จุฬาฯ เปิดตัว “Chula-Home Dot Tech” ตอบโจทย์อสังหาฯ ครบวงจรครั้งแรกของไทย

โฮมบายเออร์กรุ๊ป ร่วมกับ คณะวิศวกรรมฯ จุฬาฯ เปิดตัว “Chula-Home Dot Tech” ตอบโจทย์อสังหาฯ ครบวงจรครั้งแรกของไทย

โฮมบายเออร์กรุ๊ป จับมือคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ผสานจุดแข็งเปิดตัว “Chula-Home Dot Tech” ดึง Data Science & Machine Learning ปั้น Prop Tech พลิกโฉมอสังหาฯ ตอบโจทย์ผู้บริโภค-ภาคธุรกิจและพัฒนาบุคลากรด้านการศึกษา เตรียมเปิดแอปพลิเคชัน “Home Hop” นวัตกรรมค้นหาที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย  รศ.ดร.สุพจน์ เตชวรสินสกุล คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า คณะได้ร่วมมือกับบริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัด ในลักษณะของโครงการความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม (Industrial Liaison Program หรือ ILP) ดำเนินโครงการ Chula-Home Dot Tech ซึ่งเป็นโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์หรือ Prop Tech ด้วยการนำเทคโนโลยี Data Scienceและ Machine Learning มาประยุกต์ใช้ในโดเมนด้านอสังหาริมทรัพย์ (www.home.co.th) และสร้างเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อประโยชน์แก่ทั้งผู้บริโภคและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นครั้งแรกของประเทศไทย นอกจากประโยชน์ต่อผู้บริโภคและภาคอสังหาริมทรัพย์โดยรวมแล้ว ความร่วมมือครั้งนี้ยังเป็นโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน Data Science และ Machine Learning ได้ศึกษาวิจัยและทดลองกับข้อมูลจริงในตลาด ช่วยพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องให้เกิดความชำนาญ เกิดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์และคณะที่เกี่ยวข้อง และช่วยสร้างประสบการณ์การพัฒนา Prop Tech ในอนาคตด้วย “ต้องยอมรับว่าผู้เชี่ยวชาญด้าน Data Science และ Machine Learning ในไทยขณะนี้ยังมีไม่มาก และส่วนใหญ่อยู่ในภาคการศึกษา ขณะที่ภาคธุรกิจจะมีข้อมูลเชิงลึก มีประสบการณ์จริงที่สั่งสมมายาวนานจากภาคสนาม ความร่วมมือครั้งนี้จึงถือเป็นสุดยอดความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจ ด้วยการผสานจุดแข็งของทั้งสองฝั่ง คล้ายกับความร่วมมือที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์หรือ MITร่วมดำเนินการกับองค์กรธุรกิจหรือสตาร์ทอัพ เพื่อสร้างสรรค์และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ” รศ.ดร.สุพจน์กล่าว โดยคณะได้สนับสนุนบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้าน Data Science และ Machine Learning และสาขาที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมวิจัยในโครงการนี้ โดยมี ผศ.ดร.โปรดปราน บุณยพุกกณะ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ เป็นหัวหน้าโครงการ, รศ.ดร.อติวงศ์ สุชาโต รองคณบดี ด้านนวัตกรรมการเรียนรู้ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ เป็นหัวหน้าทีมวิจัย, ดร.เอกพล ช่วงสุวนิช อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์  คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ เป็นผู้วิจัยหลัก และ ดร.นฤมล ประทานวณิช อาจารย์ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์และวิทยาการคอมพิวเตอร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ เป็นผู้วิจัย นายบริสุทธิ์ กาสินพิลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัด และประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้งบริษัท โฮมดอทเทค จำกัด กล่าวว่า บริษัท โฮมบายเออร์ไกด์ จำกัดดำเนินธุรกิจสื่ออสังหาริมทรัพย์ครบวงจรมานานกว่า 25 ปี ทำให้มองเห็นโอกาสในการนำทั้งข้อมูล ความรู้และประสบการณ์มาต่อยอด ด้วยเทคโนโลยี Data Science และ Machine Learning สร้างนวัตกรรมใหม่ แก้ปมปัญหา (Pain Point) หาวิธีการแก้ไข (Solution) ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยให้กับผู้บริโภค ตลอดจนช่วยผู้ประกอบการวางแผนลงทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด บริษัทจึงได้สร้างความร่วมมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินโครงการร่วมกันภายใต้ชื่อ Chula-Home Dot Tech พร้อมตั้งบริษัท โฮมดอทเทค จำกัด เดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการสื่อสารอสังหาริมทรัพย์ “ที่ผ่านมาเป้าหมายของเราคือการเป็นที่พึ่งสำหรับผู้ซื้อบ้าน ด้วยการให้ข้อมูลความรู้เพื่อการตัดสินใจของผู้บริโภค วันนี้เรายังเป็นที่พึ่งของคนซื้อบ้าน แต่เราจะให้ข้อมูลและประสบการณ์ในรูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วยการใช้เทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ซื้อบ้านได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง แม่นยำ มีประสิทธิภาพ เกินกว่าที่ความสามารถของคนจะเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ของตัวเอง” นายบริสุทธิ์กล่าว ทั้งนี้ เป้าหมายหลักของบริษัทคือการเป็นเพื่อนที่เชื่อถือและไว้วางใจได้ตลอดทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อบ้าน หรือ Trusty Companion for the Home Buying Journey จึงจะพัฒนาเทคโนโลยีการค้นหาบ้าน การซื้อบ้าน และด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อบ้าน ทั้งนี้ Home Dot Tech เริ่มดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว ปัจจุบันมีทั้งแอปพลิเคชันที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและพัฒนาจนสามารถใช้งานได้แล้ว เช่น Home Buyers Analytics วิเคราะห์ดาต้าอสังหาริมทรัพย์ด้านDemand Side ครั้งแรกของอสังหาริมทรัพย์ไทย, Home Dashboard เครื่องมือบริหารการตลาดกับลูกค้า Walk-in Online ของโครงการอสังหาริมทรัพย์, Home Hop สำหรับค้นหาที่อยู่อาศัยจากไลฟ์สไตล์และความต้องการเฉพาะบุคคล (Persona) ซึ่งให้ผลลัพธ์เกินกว่าการใช้ประสบการณ์ส่วนตัวของบุคคลเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และ Home Event เครื่องมือชมงานมหกรรมที่อยู่อาศัยและอุปกรณ์สื่อสารการตลาดของโครงการ ซึ่งได้พัฒนา Version 2 เพื่อใช้งานในปีนี้
VRH Modern Life นวัตกรรมสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำล้ำสมัย

VRH Modern Life นวัตกรรมสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำล้ำสมัย

VRH เปิดตัว “VRH Modern Life” ขยายธุรกิจสู่เอ็กซ์คลูซีฟดีลเลอร์ นำเข้าสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำดีไซน์เรียบหรู ฟังก์ชั่นใช้งานพร้อมเทคโนโลยีล้ำสมัย เจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้งานระดับ Hi-End ประเดิมตลาดด้วยแบรนด์ดังจากยุโรป “CONTI” และ “AXENT” นายพิษณุ หทัยพันธลักษณ์ ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจ VRH Modern Life บริษัท วี.อาร์.ยูเนี่ยน จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2561 นี้ว่า VRH ในฐานะผู้ผลิตและจัดจำหน่ายก๊อกน้ำ อุปกรณ์ห้องน้ำ และห้องครัว ที่ผลิตจากสเตนเลสชั้นนำของไทย จะเปิดตัวธุรกิจใหม่ภายใต้แบรนด์ “VRH Modern Life” รุกตลาดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสุขภัณฑ์แห่งอนาคต เพิ่มประสิทธิภาพ ความสะดวกสบาย ตอบโจทย์ฟังก์ชั่นการใช้งานที่เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ชื่นชอบเทคโนโลยีระดับ Hi-End ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มการเติบโตสอดรับกับการพัฒนาของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจก่อสร้างที่ขยายตัวรองรับโครงการพัฒนาเครือข่ายสาธารณูปโภคภาครัฐ และการลงทุนของภาคเอกชนในยุค Industry 4.0   VRH Modern Life จะดำเนินธุรกิจในลักษณะเอ็กซ์คลูซีฟดีลเลอร์ โดยจะเป็นผู้คัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกลุ่มห้องน้ำ ห้องครัวที่มีนวัตกรรมเทคโนโลยีการใช้งานล้ำสมัยจากผู้ผลิตหรือแบรนด์ชั้นนำที่ได้รับการยอมรับในเรื่องการออกแบบและนวัตกรรมการใช้งานที่มีชื่อเสียงในระดับโลก เข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศไทยและได้รับสิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย สำหรับในช่วงเปิดตัวนี้ได้คัดสรรผลิตภัณฑ์ก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์คุณภาพที่มาพร้อมเทคโนโลยีในการใช้งานจากผู้ผลิตในยุโรป ซึ่งมีชื่อเสียงและความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีสำหรับสินค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ ได้แก่ ก๊อกน้ำเปิด-ปิดอัติโนมัติจาก CONTI สวิสเซอร์แลนด์ และสุขภัณฑ์ Intelligent จาก AXENT สวิสเซอร์แลนด์ เพื่อมาทำตลาดในประเทศไทย “แนวทางในการเลือกแบรนด์และผลิตภัณฑ์เข้ามาจำหน่ายจะพิจารณาจากปัจจัยหลัก ประกอบด้วย คอนเซ็ปต์ รูปลักษณ์ของสินค้า และการดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ผนวกเข้ากับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการใช้งาน เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน  ให้เหมาะกับการใช้งานในห้องน้ำและห้องครัว สร้างมูลค่าเพิ่ม ในราคาคุณภาพและผลิตจากผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังครอบคลุมถึงสินค้านั้นจะต้องมีอุปกรณ์หรืออะไหล่ที่สามารถดูแลรักษาได้ในระยะยาวด้วยบริการจากเรา เพราะทาง VRH Modern life มีทีมงานที่คอยสนับสนุนบริการหลังการขายเช่นเดียวกับสินค้า VRH  ซึ่งถือเป็นจุดแข็งที่สร้างความไว้วางใจในสินค้า เพื่อเสริมความมั่นใจและคุ้มค่าของลูกค้า”นายพิษณุ กล่าว สำหรับแบรนด์ CONTI และ AXENT ที่คัดสรรมาตอบโจทย์ทุกข้อ ด้านการออกแบบ-ดีไซน์ผลิตภัณฑ์ด้วยความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี ตอบโจทย์นวัตกรรม อาทิ ระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะ ระบบสั่งการอัตโนมัติ ระบบพลังงานทางเลือก เพื่อการใช้งาน สามารถสนองตอบความต้องการของลูกค้า และการใช้ชีวิตยุคใหม่ พร้อมติดตั้งได้ง่ายและเร็ว ไม่ซับซ้อน โดยจะเน้นเจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชอบความทันสมัย สนุกกับการใช้เทคโนโลยี สร้างสีสันและความสุขให้กับชีวิต โดยจะมีการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆในกลุ่มนี้จากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เพื่อให้ VRH Modern Life “ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตโมเดิร์นในรูปแบบที่คุณเลือกได้ภายใต้แนวคิด Comfort Comes Styled แผนการตลาดปีนี้ VRH Modern Life เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ CONTI และ AXENT ครั้งแรกในงานสถาปนิก’61  ระหว่างวันที่ 1 - 6 พฤษภาคมนี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี เพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มสถาปนิกและมัณฑนากร และขยายไปยังกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย พร้อมกับเปิดโชว์รูมในพื้นที่ของพันธมิตรทางธุรกิจ “บุญถาวร” ผู้ค้าวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านรายใหญ่ ทุกสาขาในประเทศไทย  โดยมีทีมงานคอยให้คำปรึกษาและพร้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ และจะมีการทำตลาดอย่างต่อเนื่องกับกลุ่มเป้าหมายที่นิยมความทันสมัย อาทิ กลุ่มห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล รีสอร์ต โรงแรมระดับ 5 ดาวขึ้นไป โดยผลิตภัณฑ์ก๊อกน้ำแบรนด์ CONTI ราคาเริ่มต้นที่ 25,000 บาท ส่วนสุขภัณฑ์แบรนด์ AXENT ราคาเริ่มต้นที่ 85,000 บาท ตั้งเป้ายอดขายสิ้นปี 2561 ไว้ที่ 20 ล้านบาท
เปิดตัว “SEAC ศูนย์พัฒนาผู้นำและผู้บริหารระดับสูง”ครั้งแรกในไทย ทันสมัยและครบวงจรที่สุดในอาเซียน

เปิดตัว “SEAC ศูนย์พัฒนาผู้นำและผู้บริหารระดับสูง”ครั้งแรกในไทย ทันสมัยและครบวงจรที่สุดในอาเซียน

SEAC ศูนย์พัฒนาผู้นำและผู้บริหารระดับสูง เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ชูวิสัยทัศน์ ศูนย์พัฒนาผู้นำและผู้บริหารระดับสูงที่ครบวงจรและใหญ่ที่สุดแห่งแรกในอาเซียน งบกว่า  300 ล้านบาท ตั้งเป้าเดินหน้าพัฒนาองค์กรในเมืองไทยและอาเซียนกว่า 500 องค์กร นางอริญญา เถลิงศรี กรรมการผู้จัดการ SEAC กล่าวว่า หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรและนำพาความเปลี่ยนแปลงมาพัฒนาองค์กรให้ก้าวสู่ความสำเร็จได้ คือ ผู้นำองค์กรที่มีศักยภาพมีความเท่าทันสถานการณ์ เห็นเทรนด์ทางธุรกิจ และกล้าที่จะเปลี่ยน ทุกวันนี้โลกธุรกิจพัฒนาไป อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เกิดการเปลี่ยนแปลง ผนวกกับพลวัตทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป ล้วนมีผลกระทบกับธรุกิจในทุกอุตสาหกรรม คู่แข่งในยุคปัจจุบันจึงไม่ได้มาจากผู้ที่อยู่อุตสาหกรรมเดียวกันหรืออยู่ในประเทศเดียวกันอีกต่อไปเท่านั้น แต่คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดอาจมาจากอุตสาหกรรมอื่น หรือจากต่างประเทศ ที่มองเห็นโอกาสและมีศักยภาพในการช่วงชิงความได้เปรียบทางธุรกิจก่อน การทำธุรกิจในยุคปัจจุบันจึงไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จและอยู่รอดได้อย่างยั่งยืนได้เลย หากยังมุ่งที่จะทำธุรกิจจากฐานลูกค้ากลุ่มเดิม ตลาดเดิม และด้วยวิธีการแบบเดิมๆ ต่อไป “เราวางเป้าหมายไว้ว่าภายในปีนี้ SEAC จะสามารถเดินหน้าพัฒนาองค์กรในเมืองไทยและอาเซียนกว่า 500 องค์กร เราเชื่อมั่นว่าผู้นำและบุคลากรในประเทศไทยและอาเซียนมีความสามารถและศักยภาพที่ซ่อนอยู่ แต่อาจจะยังไม่สามารถนำออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งโปรแกรมต่างๆ ของ SEAC จะเป็นตัวช่วยที่ทำให้ผู้นำสามารถดึงศักยภาพในด้านต่างๆ ของตนออกมาบริหารองค์กร และเมื่อองค์กรเกิดความก้าวหน้า เศรษฐกิจจะเกิดการฟื้นตัว ควบคู่ไปกับสังคมและประเทศที่พัฒนา อันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของ SEAC โดยแต่ละโปรแกรมของ SEAC มีส่วนช่วยยกระดับขีดความสามารถ และให้แนวทางการเป็นผู้นำที่มีศักยภาพ กล้าที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตนเองและองค์กรเพื่อที่จะก้าวล้ำนำหน้าคู่แข่งและประสบความสำเร็จท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงของโลก” นางอริญญากล่าว นอกจากนี้ อีกหนึ่งรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรต่างๆ ในโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงใบนี้ คือ ‘นวัตกรรม’ โดยนอกจาก SEAC จะมุ่งมั่นในการเป็นศูนย์พัฒนาภาวะการเป็นผู้นำ เรายังเน้นบ่มเพาะ ‘ผู้นำที่สามารถสร้างนวัตกรรมได้อย่างยั่งยืน’ และ ผู้นำที่สามารถสอนให้บุคลากรในองค์กรเกิดความตื่นตัวในการสร้างนวัตกรรมได้ด้วยตนเองอีกด้วย กลุ่มธุรกิจชั้นนำในเมืองไทยที่ SEAC ได้รับความไว้วางใจในการเข้ามาพัฒนาจนประสบความสำเร็จไปแล้วมากกว่า 200 ราย อาทิ เครือเจริญโภคภัณฑ์, บมจ. ธนาคารกสิกรไทย, บมจ. ธนาคารไทยพาณิชย์, บมจ. ธนาคารกรุงไทย, บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย, บมจ. เอพี (ไทยแลนด์), บมจ. เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป, บมจ. สมิติเวช, บจ. ฟู้ดแพชชั่น และอื่นๆ “คำตอบของการพัฒนาองค์กรให้ยืนหยัดอย่างสง่างามในโลกของความเปลี่ยนแปลง คือ การทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นกลายเป็นโอกาสและใช้ประโยชน์จากโอกาสนั้นให้คุ้มค่าที่สุด ผู้นำที่พร้อมเปลี่ยนและมีความสามารถในการปรับตัวเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จและเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เป็นที่ทราบกันดีว่าในแวดวงการศึกษา มีทฤษฎีมากมายสอนเรื่องการเป็นผู้นำ แต่การศึกษาเพื่อการเปลี่ยนตัวเองให้เป็นผู้นำที่เท่าทันโลก คือ สิ่งที่ทำให้องค์กรอยู่รอด และยังไม่มีหนังสือและทฤษฎีเรื่องไหนสอนสิ่งเหล่านี้ได้แม่นยำและครอบคลุมอย่าง SEAC และด้วยศักยภาพและประสบการณ์ที่สั่งสมในการเป็นผู้นำด้านการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรมนุษย์มาอย่างยาวนานของ SEAC ทำให้เชื่อมั่นได้ว่า SEAC จะสามารถเป็นหัวเรือใหญ่ที่นำพาองค์กรโลดแล่นอย่างสง่างามและมั่นคงตลอดไป ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ” นางอริญญากล่าวสรุป ทั้งนี้ SEAC ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ บนพื้นที่ใหญ่กว่า 4,550 ตารางเมตร 3 ชั้น ของอาคาร FYI Center           (ซึ่งออกแบบมาให้เป็นอาคารประหยัดพลังงานตามมาตรฐาน LEED หรือ Leadership in Energy and Environmental Design) บนสี่แยกถนนพระราม 4 ตัดกับถนนรัชดาภิเษก จัดสรรพื้นที่ให้เป็นห้องเรียนรู้อย่างครบวงจร พื้นที่สำหรับทำงานร่วมกันของผู้นำองค์กรต่างๆ และพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมหลากหลายขนาด โดยห้องจัดกิจกรรมที่ใหญ่ที่สุดนั้นสามารถรองรับได้มากถึง 180 คน    
อัลติจูด เปิดตัว “อาสะ” (ASA) คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ครั้งแรก เจาะกลุ่มพนักงานย่านชานเมือง

อัลติจูด เปิดตัว “อาสะ” (ASA) คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ครั้งแรก เจาะกลุ่มพนักงานย่านชานเมือง

อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ “อาสะ” (ASA) ประเดิมโครงการแรก “อาสะ อยุธยา-โรจนะ” เจาะกลุ่มพนักงานในย่านนิคมโรจนะ ชูดีไซน์ และฟังก์ชั่นการใช้งานที่แตกต่าง หวังเป็นทางเลือกใหม่ทดแทนตลาดเช่า นายขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย กรรมการบริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า  “อาสะ”(ASA) เป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมแบรนด์ล่าสุดจากอัลติจูด ซึ่งจะเป็นกลุ่มสินค้าเดียวที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในเซ็กเม้นท์ของ Effortable Condo โดยโครงการแรกที่เปิดตัว คือ “อาสะ อยุธยา-โรจนะ” คอนโดมิเนียมสไตล์โมเดิร์นเจแปนนีส ตั้งอยู่ติดกับโลตัส โรจนะ และใกล้นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ เพียง 3 นาที เป็นโลว์ไรส์คอนโดมิเนียม 8 ชั้น จำนวน 242 ยูนิต มูลค่าโครงการ 330 ล้านบาท “ทำเล อยุธยา-โรจนะ เป็นทำเลรอบนอกที่มีการเติบโตสูง เป็นแหล่งของนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีการจ้างงานและมีผู้อยู่อาศัยจำนวนมาก มีพนักงานระดับปฏิบัติการจนถึงระดับบริหาร ตลาดที่อยู่อาศัยในบริเวณนี้ส่วนใหญ่จะเป็นตลาดเช่า เช่น อพาร์ทเม้นต์ หอพัก เป็นหลัก  เราจึงเข้ามาเติม Demand ที่ลูกค้าต้องการ คือ การพัฒนาสินค้าประเภทคอนโดมิเนียม ที่ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ภายในโครงการ ซึ่งเป็นที่ต้องการของกลุ่มพนักงานระดับหัวหน้า หรือระดับบริหาร เราจึงได้พัฒนาโครงการ “อาสะ อยุธยา-โรจนะ ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มนี้เป็นหลัก  โดยโครงการนี้จะแตกต่างทั้งในเครื่องดีไซน์ และฟังก์ชั่นในการใช้งาน เพื่อรองรับการพักอาศัยได้อย่างลงตัว” นายขวัญชัย กล่าว  ล่าสุดเมื่อวันที่ 24-25 มีนาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้จัดงานพรีเซลล์เปิดตัวโครงการ “อาสะ อยุธยา-โรจนะ” เป็นครั้งแรก โดยในงานได้เชิญ นักแสดงหนุ่ม เวียร์-ศุกลวัฒน์ มาให้ความบันเทิงกับกลุ่มลูกค้าซึ่งเป็นพนักงานย่านนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ และประชาชนบริเวณรอบโครงการ โดยได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ตลอดระยะเวลา 2 วัน มียอดจองซื้อโครงการแล้วถึง 50%  สำหรับ “อาสะ อยุธยา-โรจนะ” คอนโดมิเนียมสไตล์โมเดิร์นเจแปนนีส สูง 8 ชั้น จำนวน 242 ยูนิต มูลค่าโครงการ 330 ล้านบาท บนเนื้อที่โครงการขนาด 1 ไร่ 3 งาน 97 ตารางวา ประกอบด้วยห้องพักอาศัย 3 รูปแบบ ได้แก่ แบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยขนาด 23.32 – 36.17 ตารางเมตร ห้องนอนดีไซน์พิเศษ เน้นฟังก์ชั่นการใช้สอยที่ลงตัวพร้อมโซนทำอาหาร ที่ใช้งานได้จริง, แบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยขนาด 47.30 – 52.01 ตารางเมตร ดีไซน์พิเศษรองรับการอยู่อาศัยแบบครอบครัว เน้นฟังก์ชั่นห้องนั่งเล่น ขนาดใหญ่ พร้อมห้องครัวแยกและแบบ 2 ห้องนอนดีไซน์พิเศษ Duo Room พื้นที่ใช้สอยขนาด 31.43 – 32.52 ตารางเมตร ฟังก์ชั่นห้องแบบพิเศษ เหมาะทั้งอยู่เองและลงทุนปล่อยเช่า มาพร้อมดีไซน์ ที่ลงตัว และตู้เสื้อผ้าแบบBuilt in ทั้งนี้ โครงการตั้งอยู่ที่ ถ.โรจนะ ต.ธนู อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา บนทำเลศักยภาพ สะดวกสบายกับเส้นทางการคมนาคมที่หลากหลาย ทั้งการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และออกต่างจังหวัด เพียง 100เมตรจากโลตัส และนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ แวดล้อมด้วยห้างสรรพสินค้าและแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบสนองทุกความต้องการของทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายภายในโครงการ อาทิ ล็อบบี้ดีไซน์พิเศษ พร้อมห้องอเนกประสงค์ สวนส่วนกลางสไตล์ Modern Zen ฟิตเนส สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และ CCTV พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24ชั่วโมง ในราคาเริ่มต้นเพียง 989,000 บาท
แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จับมือบัตรเครดิตซิตี้ จัดงาน“The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” พร้อมรับวงเงินสูงกว่า 1.8 ล้านบาท

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จับมือบัตรเครดิตซิตี้ จัดงาน“The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” พร้อมรับวงเงินสูงกว่า 1.8 ล้านบาท

  แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ร่วมกับ ซิตี้แบงก์ ประเทศไทย จัดงาน “The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม – 1 เมษายน 2561 พร้อมมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าและนักลงทุน   นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า  ซิตี้แบงก์ ประเทศไทย คือธนาคารชั้นนำของโลก ที่มีฐานลูกค้าชั้นเลิศ ทั้งในไทยและทั่วโลก ซึ่งเราได้มีโอกาสร่วมงานกันในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ขึ้น เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้แก่ลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิตซิตี้ โดยทุกท่านจะได้รับข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์เปอร์ลักชัวรี่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนทำเลชั้นเยี่ยม อย่างแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีสำหรับทั้งในแง่การลุงทุนที่มีศักยภาพสูง ให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยม และสำหรับผู้ที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัย ถือเป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่เหนือระดับและคุ้มค่ามากที่สุดด้วยเช่นกัน   มร. ซานดีพ บาตระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย  กล่าวว่า แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด นับเป็นหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่มีความน่าสนใจ และเป็นที่จับตามองในตลาดระดับสากล ทั้งในไทยและต่างประเทศ ด้วยทำเลชั้นเยี่ยมที่เป็นใจกลางย่านเศรษฐกิจของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นด้านการลงทุน การค้าขายทำธุรกิจ การท่องเที่ยว นอกจากนั้นตัวโครงการเอง ยังมีเอกลักษณ์ในด้านการออกแบบและให้ควยามสำคัญกับเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย ทำให้ทุกองค์ประกอบที่กล่าวไปนี้ เป็นจุดเด่นที่ทุกคนให้การยอมรับ และอยากจับจองเป็นเจ้าของโครงการคุณภาพนี้ ในโอกาสนี้เอง ทางเรามีความยินดีที่ได้จัดกิจกรรมร่วมกัน เพื่อเป็นการร่วมมอบสิ่งที่ดีที่สุดอย่างโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ด้วยสิทธิประโยชน์ที่ดีที่สุดจากบัตรเครดิตซิตี้ เพื่อลูกค้าของเราทุกๆ คน   ทั้งนี้ ห้องชุดที่เหลืออยู่ของแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ดในปัจจุบัน คือแบบ 2 ห้องนอนพื้นที่ 75-108 ตารางเมตร และห้องห้องเพนท์เฮ้าส์ พื้นที่ 321-384  ตารางเมตร ภายในโครงการยังเพียบพร้อมด้วยส่วนบริการเพื่อการพักอาศัยระดับไฮเอนด์ ทั้งคลับส่วนตัว ล็อบบี้ส่วนตัวสำหรับผู้พักอาศัย และจุดรับ-ส่ง ห้องประชุมสังสรรค์ เลาจน์ พื้นที่สวนสีเขียวดีไซน์ใหม่ ห้องสมุด ศูนย์ไปรษณีย์ ศูนย์ธุรกิจพร้อมระบบสื่อสารและการเชื่อมต่อออนไลน์แบบครบวงจร ตลอดจนศูนย์ฟิตเนส ลู่วิ่งออกกำลังกลางแจ้ง เซาว์น่า สระว่ายน้ำยาว 70 เมตร พร้อมจากุชชี่และสระเด็ก รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงตลอด 24 ชั่วโมง   ภายในงานครั้งนี้ ได้นำเสนอห้องชุด 2 ห้องนอนในราคาสุดพิเศษเริ่มต้น 15 ล้านบาท พร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมายเฉพาะแขกและผู้ถือบัตรเครดิตซิตี้ในงานเท่านั้น *สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตซิตี้* รับคะแนนสะสมซิตี้ รีวอร์ด สูงสุด 10 เท่า เมื่อทำสัญญาจองและชำระผ่านบัตรเครดิตซิตี้ และ ข้อเสนอวงเงินสูงถึง 1.8 ล้านบาท   หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อโทรศัพท์ +66 83 095 5054 อีเมล magnolias@cbre.co.th หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.magnolias-ratchadamri.com
อนันดาฯ รุก เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ จับมือ แอสคอทท์ เปิด 4 โครงการ มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท เน้นลูกค้าต่างชาติ

อนันดาฯ รุก เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ จับมือ แอสคอทท์ เปิด 4 โครงการ มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท เน้นลูกค้าต่างชาติ

  อนันดา รุกตลาดเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ร่วมมือกับ แอสคอทท์ ลิมิเต็ด ล่าสุด เตรียมเปิดตัว 4 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการกว่า 1 หมื่นล้านบาท กว่า 1,400 ยูนิต บนทำเลศักยภาพสูงใจกลางเมือง NEW CBD ของกรุงเทพฯ ประเดิมโครงการแรก ซัมเมอร์เซ็ท รามา 9 บางกอก (Somerset Rama 9 Bangkok) มูลค่า 2,500 ล้านบาท จำนวน 445 ยูนิต  มั่นใจดีมานด์ยังโตอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ นักธุรกิจ และนักท่องเที่ยว   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ มีแผนในการขยายธุรกิจใหม่ “เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์”  (Serviced Apartments) โดยมองว่าเป็นรูปแบบธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ในระยะยาวให้แก่บริษัท นอกจากนี้ยังมองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจและการท่องเที่ยวของไทย จากการที่ไทยยังเป็นศูนย์กลางทางการค้าของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีทรัพยากรทางธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมที่สวยงามเป็นที่ดึงดูดแก่นักท่องเที่ยวมากขึ้นในทุกปี  ทำให้ธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ (Serviced  Apartments) มีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ล่าสุด อนันดาฯ ได้ประกาศจับมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก แอสคอทท์ (Ascott) ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ระดับลักชัวรี่ชั้นนำของโลกที่มีรางวัลจำนวนมากการันตี ทั้งนี้เพื่อสร้างจุดแข็งในด้านมาตรฐานที่พักอาศัยอันเหนือระดับ     “อัตราการเช่าเฉลี่ยของเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ในทุกทำเลของกรุงเทพมหานครมากกว่า 74% และสามารถขยับขึ้นไปถึงประมาณ 90% ในบางทำเล โดยพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจและพื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิท เป็นทำเลยอดนิยมที่สุดสำหรับชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานคร อัตราการเช่าเฉลี่ยจึงอยู่ที่ประมาณ 80% เนื่องจากความสะดวกในการเดินทางและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายรวมไปถึงการเข้าถึงที่สะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า BTS” นายชานนท์ กล่าว   โดยความร่วมมือครั้งนี้ เตรียมเปิดตัว 4 โครงการ มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท กว่า 1,400 ยูนิต  ซึ่งโครงการแรก ได้แก่ โครงการ ซัมเมอร์เซ็ท รามา 9 บางกอก (Somerset Rama 9 Bangkok) มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท จำนวน 445 ยูนิต  และอีก 3 โครงการอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งทั้ง 4 โครงการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูงสุดของกรุงเทพฯ และด้วยมาตรฐานสูงสุดและความเชี่ยวชาญของ แอสคอทท์ (Ascott)  ในการบริหารที่พักอาศัย เจ้าของและผู้พักอาศัยมั่นใจได้ในบริการแบบมืออาชีพระดับโลก ทั้ง 4 โครงการนี้จึงโดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้ง คุณภาพระดับลักชัวรี่ และการบริหารแบบมืออาชีพ   ทั้งนี้ โครงการ ซัมเมอร์เซ็ท รามา 9 บางกอก (Somerset Rama 9 Bangkok) แบรนด์เซอร์วิสอพาร์ตเม้นท์ที่ได้รับการยอมรับและมีชื่อเสียงระดับโลก อาคาร High-Rise 1 อาคาร สูง 35 ชั้น จำนวน 445 ห้องพัก พร้อมพื้นที่ร้านค้า พื้นที่จัดประชุม และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน บนย่านพระราม 9 ซึ่งเป็นย่านธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) รายล้อมไปด้วยแหล่งอาคารสำนักงาน เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, Super Tower,  AIA capital center, G Tower, Fortune Town, และ The 9th tower พร้อมสิ่งเอื้ออำนวยความสะดวกต่าง ๆ เช่น Central Rama9, Esplanade Cineplex, The Street Ratchada, และรพ.พระราม 9 , รพ.ปิยะเวท เป็นต้น สามารถเดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยห่างจาก MRT พระราม 9 เพียง 100 ม. MRT ศูนย์วัฒนธรรม เพียง 200 ม.   และเพียง 1 สถานีไปยัง Airport Rail Link สถานีมักกะสัน ที่สามารถเดินทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิได้     นายเควิน โกห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิ แอสคอทท์ จำกัด กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่อนันดา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทยและเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์ที่พักอาศัยสำหรับคนเมือง ได้ให้เกียรติเลือกแอสคอทท์เพื่อเริ่มดำเนินธุรกิจโครงการที่พักอาศัย ด้วยเป้าหมายที่แอสคอทท์ตั้งไว้ทั้งหมด 14 แห่งในประเทศไทยภายในปีพ. ศ. 2566  เครือข่ายทั่วโลกของเรามีลูกค้าองค์กรต่างๆเกือบ 100,000 ราย จะช่วยสร้างโอกาสทางการตลาดให้ขยายเพิ่มมากขึ้นไปทั่วโลก ทั้งอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย และเครือข่ายทางการตลาดระดับนานาชาติของแอสคอทท์ พร้อมความสามารถในการบริการที่แข็งแกร่ง ผนวกกับความเชี่ยวชาญของอนันดาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับสากล  โดยเราเชื่อมั่นว่าทั้ง 4 โครงการจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นพันธมิตรที่มีประสิทธิภาพได้อย่างแน่นอน  ซึ่งการร่วมมือของอนันดากับแอสคอทท์ ในครั้งนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้ประเทศไทยซึ่งเป็นตลาดสำคัญสำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคอื่นๆทั่วโลก  เรามีความมั่นใจว่าจะมียอดขายได้มากกว่า 80,000 ยูนิตในปีนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มขึ้นถึง 160,000 ยูนิตภายในปี 2566  และแผนงานในประเทศไทยจะมีการดำเนินงานมากกว่า 1,600 หน่วย ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า หรือมากกว่า 4,300 ยูนิตภายในปีพ. ศ. 2567  ทั้งนี้รวมถึงโครงการทั้ง 4 แห่งของเรากับอนันดาอีกด้วย ซึ่งจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นำของแอสคอทท์ในฐานะผู้ประกอบการด้านโครงการที่พักอาศัยระดับสากลรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย   "เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ใหม่ทั้ง 4 โครงการของอนันดาฯครั้งนี้ ได้ช่วยเพิ่มผลงานของแอสคอทท์ในประเทศไทยให้มีมากขึ้นรวมเป็น 21 แห่ง หรือกว่า 4,300 ยูนิตทั่วกรุงเทพฯ พัทยาและศรีราชา โดยขณะนี้แอสคอทท์มีโครงการที่พักอาศัยให้บริการอยู่มากกว่า 43,000 แห่งในเมืองสำคัญต่างๆในอเมริกา เอเชียแปซิฟิก ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา และมีมากกว่า 29,000 ยูนิตซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนา ทำให้มีจำนวนโครงการทั้งหมดรวมกว่า 74,000 ยูนิตในกว่า 500 แห่ง  ซึ่งแบรนด์ของบริษัท ทั้ง 6 แบรนด์ ได้แก่ Ascott, Citadines, Somerset, Quest, The Crest Collection และ Lyth  ในปัจจุบันผลงานของแอสคอทท์ครอบคลุมกว่า 130 เมือง ในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก” นายเควินกล่าวทิ้งท้าย  
เปิด'ลาซาล อเวนิว’ คอมมูนิตี้มอลล์แนวใหม่  รวบรวมแบรนด์ชั้นนำ สะดวก ครบครัน ไตรมาส 3 ปีนี้

เปิด'ลาซาล อเวนิว’ คอมมูนิตี้มอลล์แนวใหม่ รวบรวมแบรนด์ชั้นนำ สะดวก ครบครัน ไตรมาส 3 ปีนี้

‘ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว’ ได้รับการพัฒนาขึ้นโดยบริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด ภายใต้การบริหารงานของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (TCC GROUP) บนพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตรในย่านลาซาล- แบริ่ง ในรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์แนวราบ โดดเด่นด้วยดีไซน์ เพื่อการพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบ พร้อมที่จอดรถรอบอาคาร สะดวกสบายในการใช้บริการ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ความต้องการ และไฮไลท์สุดพิเศษกับ ‘กรีนสเปซ’ พื้นที่สีเขียวกว่า 3,000 ตารางเมตร ถือเป็นปอดแห่งใหม่ย่านลาซาล กับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน สามารถใช้เวลาพักผ่อนที่นี่ได้ตลอดทั้งวันไม่มีเบื่อ ด้วยความพร้อมด้านการให้บริการจากแบรนด์ชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ อาทิ  Orca BAKER & BUTCHER ร้านอาหารสไตล์ Modern Italian ที่ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อนำเข้าจากฟาร์มชั้นนำทั่วโลกคุณภาพดี พร้อมกูรูเนื้อมืออาชีพที่พร้อมให้คำแนะนำการเลือกเนื้อที่ตรงตามต้องการ, JiM’s BURGER เบอร์เกอร์โฮมเมดสไตล์อเมริกันแท้ ที่ได้รับการการันตีด้วยรางวัลสุดยอด User's Choice 2018 ในสาขา American Food จาก Wongnai  KFC ในรูปแบบ Free Standing Drive Thru ที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น, Café Amazon จุดนัดพบและพักผ่อนสำหรับคนเดินทาง ที่ตกแต่งด้วยโทนสีเขียว เน้นความเป็นธรรมชาติ เพื่อสร้างบรรยากาศ ร่มรื่น เย็นสบาย เปรียบเหมือน Oasis ของคนเดินทาง, The Nail Café ร้านทำเล็บระดับพรีเมี่ยมที่ให้ด้วยการบริการในแบบ Nail Art Specialist มาพร้อมกับที่ Hang Out สำหรับสาวๆ ที่ชื่นชอบการทำเล็บในแบบสไตล์คาเฟ่อีกด้วย  รวมถึง CG Fitness บริการฟิตเนสแบบครบวงจรที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของการออกกำลังกาย ‘ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว’ ยังโดดเด่นด้วยการเดินทางที่สะดวกสบายทั้งการเดินทางทางรถยนต์ด้วยถนนสุขุมวิท ถนนบางนา-ตราด ถนนศรีนครินทร์ หรือจะเลือกทางเลือกที่คล่องตัวยิ่งขึ้นด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอสแบริ่งและทางด่วนพิเศษบางนา สามารถชมข้อมูล ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว ได้ที่ www.facebook.com/LasallesAvenue
Energetic Work Place เมื่อสถานที่สามารถเสริมพลังให้กับการทำงาน

Energetic Work Place เมื่อสถานที่สามารถเสริมพลังให้กับการทำงาน

งานออกแบบออฟฟิศทำงานแห่งใหม่ของ KWG ที่ถนนสาทรครั้งนี้ของทีมดีไซเนอร์ JARKEN อยู่ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Energetic”  คือการทำให้ออฟฟิศแห่งนี้สามารถทำให้บุคลากรในองค์กรมีพลังในการทำงานอย่างกระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอ ภายใต้บรรยากาศแห่งความทันสมัยและหรูหราสมกับการเป็นธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติที่มีความมั่นคง ตอบโจทย์ของผู้บริหารที่อยากจะทำให้ออฟฟิศแห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น โดยคอนเซ็ปต์ของ Energetic ว่าด้วยเรื่องพลังในการทำงานนี้ ดีไซเนอร์ได้ตีความหมายของงานออกแบบนี้เป็น 3 ส่วน คือ Performance : สถานที่ทำงานจะต้องเสริมสร้างศักพยภาพการทำงานให้กับคนทำงาน ให้ความรู้สึกเปี่ยมพลัง มีการขับเคลื่อนในการทำงานอยู่เสมอ โดยดีไซเนอร์จะใช้ “เส้นเฉียง” มาเป็นตัวสร้างความรู้สึกที่เคลื่อนไหวและมีชีวิตชีวา เพราะเส้นเฉียงจะทำให้รู้สึกถึงการก้าวไปข้างหน้า โดยเส้นเฉียงจะอยู่ทั้งในการจัดวางและตกแต่งในส่วนของวัสดุต่างๆ และใช้เป็นตัวเชื่อมต่องานออกแบบในส่วนต่างๆ ของพื้นที่ด้วย กระตุ้นพลังงานในการทำงานของพนักงานให้ตื่นตัวและมุ่งมั่น Exclusion : แต่เดิม ออฟฟิศเก่าของ KWG จะแบ่งพื้นที่การทำงานตามแผนกแยกออกจากกัน เมื่อย้ายมาที่ออฟฟิศแห่งใหม่นี้  ดีไซเนอร์อยากจะนำเสนอการพังทลายกำแพงนั้น(collaboration) ด้วยการเชื่อมต่อคนทำงานทุกคนให้อยู่ในพื้นที่เปิด( Open Work-Station) ทำให้ทุกคนมีมุมมองในการทำงานที่แตกต่างไปจากเดิม สามารถประสานการทำงานโดยไม่มีสิ่งกั้นขวางการติดต่อสื่อสารภายในองค์กร Focus : นอกเหนือไปจากเรื่องของพลัง(Energy) และการขับเคลื่อน( Movement) แล้ว ดีไซเนอร์ได้ออกแบบเพื่อให้คนทำงานมีสมาธิ( Focus) ในการทำงานด้วย ส่วนนี้คือการใช้เส้นเฉียงเข้ามาช่วย เพราะเส้นเฉียงที่ปรากฎในพื้นที่ต่างๆนั้น นอกจากจะให้ความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวแล้ว ยังให้มิติของความมุ่งมั่นอีกด้วย แตกต่างจากเส้นที่คลื่นซึ่งอาจจะให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวที่ใช้กันโดยทั่วไป แต่ไม่รู้สึกถึงพลังที่แน่วแน่เหมือนกับเส้นเฉียง Reception : เมื่อก้าวเข้ามาในออฟฟิศ สิ่งแรกที่จะเห็นคือ พื้นที่ reception ที่มีเคาน์เตอร์หินอ่อนสีทองตั้งอยู่โดดเด่นตัดกับฉากหินอ่อนสีดำด้านหลัง ให้ความรู้สึกมีพลังและมั่นคง พื้นผิวแกะเป็นลายไทยร่วมสมัย นำเสนอความเป็นเอกลักษณ์ให้กับสำนักงาน KWG สาขาประเทศไทย  โดยรายละเอียดของการแกะสลักหินเป็นงานที่ละเอียดอ่อนและทำค่อนข้างยาก เพื่อให้ได้ชิ้นงานที่มีความพิเศษเฉพาะตัวตามที่ดีไซเนอร์ต้องการจะสื่อให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะขององค์กรแห่งนี้ เส้นเฉียง(Oblique) จะปรากฎอยู่ทั่วทั้งแปลนของงานตกแต่งออฟฟิศ KWG ไม่ใช่เส้นตัดตรงทื่อๆ ซึ่งจะทำให้เกิดความรู้สึกนิ่งอยู่กับที่  เส้นเฉียงถูกนำมาใช้เป็นจุดนำสายตาที่ทำให้คนทำงานในสถานที่แห่งนี้รู้สึกถึงพลังการขับเคลื่อนอย่างมีเป้าหมาย Mood&Tone : สีหลักที่นำมาใช้ในการออกแบบคือ ดำ ขาว ทอง และสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีประจำองค์กรของ KWG ภายใต้สไตล์การออกแบบ Modern Luxury ด้วยวัสดุหินอ่อน กระจก และการจัดแสงที่ให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่ โอ่โถงแต่ก็ยังคงความเท่และทันสมัยอยู่ในที สะท้อนภาพลักษณ์ขององค์กรที่น่าเชื่อถือและอยู่ในระดับแถวหน้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
ไจก้า จับมือ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ต่อยอดนวัตกรรมคุณภาพเพื่อผู้สูงอายุในประเทศไทย

ไจก้า จับมือ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ต่อยอดนวัตกรรมคุณภาพเพื่อผู้สูงอายุในประเทศไทย

ไจก้าเยี่ยมชม “จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้” เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ ย้ำแนวคิดการดูแลสุขภาพแบบครบวงจรแห่งแรกของไทยจะเป็นประโยชน์สูงสุด พร้อมหารือต่อยอดองค์ความรู้และร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยกับผู้สูงอายุในประเทศไทย นางฐิตารี อยู่วิทยา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้คณะผู้บริหารและทีมนักวิจัยจากองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency)  หรือ JICA  นำโดย ดร. โยชิโนริ คอนโดะ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อการศึกษาสิ่งแวดล้อมประจำภูมิภาค  ได้เข้าเยี่ยมชมโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ ภายใต้แนวคิดการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร (Integrated Healthcare)  แห่งแรกของเมืองไทย นอกจากการเยี่ยมชมโครงการ และรับฟังแนวคิดในการออกแบบ การดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลแบบ Personalized  Medicine การจัดสิ่งอำนวยความสะดวก และบริการต่างๆ ของโครงการที่จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ได้เลือกผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในด้านต่างๆ มาเป็นผู้ออกแบบและให้บริการแล้ว  คณะผู้แทนไจก้ายังได้หารือแนวทางในการต่อยอดนวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตของผู้สูงวัย เช่น ยานยนต์อเนกประสงค์สำหรับใช้ในโครงการ เป็นต้น เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและปลอดภัยให้ผู้สูงอายุสามารถเดินทางไปยังที่ต่างๆ ภายในโครงการได้ด้วยตัวเอง เมื่อพัฒนาสมบูรณ์แล้ว นวัตกรรมเหล่านี้จะกลายเป็นต้นแบบสำหรับการขยายผลไปยังสาธารณชนต่อไป เพื่อสร้างเมืองแห่งอนาคตที่มีความปลอดภัยและสะดวกสบายสำหรับคนทุกกลุ่ม จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้  เป็นโครงการภายใต้การดำเนินงาน ของ กลุ่มธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หรือ THG ซึ่งมีประสบการณ์ด้านโรงพยาบาลและการดูแลสุขภาพมามากกว่า 40 ปี  โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นจากที่กลุ่ม THG เล็งเห็นว่า สังคมไทยและหลายประเทศทั่วโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ  จึงริเริ่มพัฒนาเมืองแนวคิดใหม่ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบอย่างครบวงจร  พร้อมดูแลผู้สูงวัยและทุกคนในครอบครัว ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุดเพื่อเติมเต็มการพักผ่อนที่สมบูรณ์แบบ 360 องศา โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ถูกพัฒนาให้เป็น “เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ” ที่จะสร้างความสุข ความสะดวกสบายและความปลอดภัย ให้แก่ผู้อยู่อาศัย ด้วยบริการที่เป็นเลิศระดับสากล มีสิ่งแวดล้อมที่ผ่อนคลายท่ามกลางพื้นที่ธรรมชาติกว่า 50% ของโครงการ  นอกจากนี้ ยังออกแบบโดยคำนึงถึงรูปแบบการใช้ชีวิตในทุกช่วงวัย (Universal Design) รวมถึงการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจรด้วยทีมแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ อาทิ การนำเทคโนโลยี Tracking System ระบบติดตามตัวอัจฉริยะมาใช้  ให้ความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยในการใช้ชีวิตของผู้พักอาศัย และมีการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพของแต่ละบุคคล เพื่อให้โครงการสามารถดูแลผู้อยู่อาศัยในโครงการได้แบบ Personalized Medicine ที่เหมาะสมกับการใช้ชีวิตของแต่ละคนอย่างแท้จริง ตัวโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 140 ไร่ อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ  สนามบินดอนเมือง รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้มติดด้านหลังโครงการ  และได้รับการอนุมัติรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ จิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้  เป็นโครงการหนึ่งเดียวจากทวีปเอเชีย และเป็น 1 ใน 7 โครงการจากทั่วโลกที่ถูกคัดเลือก ให้ได้รับรางวัล Honorable Mention ในการประกวด EFA Design Showcase 2018 จาก นิตยสาร EFA ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีโครงการต่างๆเข้าร่วมรวม 36 โครงการ โดยจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ได้รับการยกย่องในฐานะโครงการเฮลท์แคร์และที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุ ที่มีความโดดเด่นและศักยภาพในการตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้สูงอายุทั้งในด้านแนวคิด ด้านความสวยงาม และด้านนวัตกรรมอย่างลงตัว  ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมพร้อมสัมผัสประสบการณ์แห่งการใช้ชีวิตวัยเกษียณรูปแบบใหม่ได้ที่ เซลส์ แกลอรี่ โครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ ริมถนนพหลโยธิน ใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ศูนย์รังสิต โทร. 062-802-9999 Facebook: www.facebook.com/jinwellbeing
ซีเอ็มซี กรุ๊ป รุกหนักตลาดคอนโดทุกโซน หลังกวาดยอดขายมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 38 กว่า 467 ล้านบาท

ซีเอ็มซี กรุ๊ป รุกหนักตลาดคอนโดทุกโซน หลังกวาดยอดขายมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 38 กว่า 467 ล้านบาท

นายศตกร  หงส์จรรยา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด (แถวหน้า ที่ 3 จากซ้าย) บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 ที่ผ่านมา ซีเอ็มซี กรุ๊ป สามารถทำยอดขายได้สูงกว่าที่คาดการณ์มียอดขายโครงการรวมมูลค่ากว่า 467 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของยอดขายรวมทั้งหมดในงาน ดีที่สุดในอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม ซึ่งในงานดังกล่าวมีผู้ประกอบการที่เข้าร่วมงานจำนวนทั้งสิ้นกว่า  93 ราย โดยหลังจากนี้ ซีเอ็มซี กรุ๊ป ยังคงรุกหนักด้วยการทำการตลาดคอนโดมิเนียมกว่า 20 โครงการ บนทำเลย่าน CBD สาทร-ตากสิน-นราธิวาส และสุขุมวิท ตลอดจนทำเลต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ อาทิ บางแค เพชรเกษม ท่าพระ จรัญฯ-ปิ่นเกล้า-พระราม 8 และรามคำแหง ผ่านแบรนด์ที่พักอาศัย แบงค์คอก ฮอไรซอน, แบงค์คอก เฟลิซ และชาโตว์ อินทาวน์ ปัจจุบันได้จัดโปรโมชั่นพิเศษทางการเงินร่วมกับธนาคารUOB กับแคมเปญฟรีดอกเบี้ย 0% ระยะเวลานาน 3 ปี ซึ่งมีระยะเวลาแคมเปญไปจนถึงสิ้นสุดไตรมาสที่ 2 นอกจากนี้ยังมีแผนการที่จะรุกหนักทั้งการจัดอีเว้นท์ และโปรโมชั่นแคมเปญสุดเร้าใจอีกหลายรายการ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องการที่พักอาศัยคุณภาพ และมีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยผู้สนใจสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่www.cmc.co.th หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. 1172 และติดตามสื่อสังคมออนไลน์ได้ที่ www.facebook.com/cmc.co.th

1 ... 72 73 74 ... 105