Lh Plan68 Feature

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ชะลอลงทุนเร่งระบายสต๊อก ลุยรร.กระจายความเสี่ยง

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ชะลอลงทุนเร่งระบายสต๊อก ลุยรร.กระจายความเสี่ยง

จากสภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทอสังหาฯบิ๊กเนมอย่างบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ตัดสินใจลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2568 เพียงแค่ 4 โครงการ มูลค่ารวม 11,180 ล้านบาท ลดลงถึง 64% เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มีโครงการเปิดใหม่รวม 12 โครงการ มูลค่า 30,850 ล้านบาท จากแผนเดิมที่จะเปิด 11 โครงการ และมีมูลค่าลดลงถึง 74% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีการเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 17 โครงการ มูลค่ารวม 43,460 ล้านบาท

 

นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่ง่ายเหมือนในอดีตจากหลากหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบตลาดมาอย่างต่อเนื่อง และทำให้ดีมานด์ลดลง

 

“ภาพรวมของตลาดอสังหาฯที่ผ่านมาจะเห็นว่า มีปัญหาที่สืบเนื่องมาค่อนข้างเยอะ ย้อนหลังไป 5-7 ปี จะเห็นว่าทุกคนมีซัพพลายเข้ามาในตลาดค่อนข้างมากในแง่ของคอนโดมิเนียม เมื่อตลาดคอนโดเริ่มชะลอตัวก็เริ่มย้ายมาทำโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ในปี 2567 ที่ผ่านมาจะเห็นว่าในครึ่งปีหลังทั้งคอนโดและบ้านแนรวราบจะเปิดโครงการใหม่กันไม่ค่อยมากแล้ว มันเป็นช่วงที่มีตลาดปรับสมดุลระหว่างดีมานด์และซัพพลาย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าดีมานด์นั้นลดลงจริงๆ จากปัญหาหนี้ครัวเรือน ความสามารถในการใช้จ่าย การปล่อยกู้สินเชื่อจากธนาคาร ซึ่งต้องยอมรับว่ามันเป็นตลาดที่ไม่ง่ายเหมือนในอดีต เพราะมีปัจจัยที่เข้ามากระทบค่อนข้างมากจากปัญหาที่เกิดขึ้นมาต่อเนื่อง ไม่ได้เกิดขึ้นช่วงสั้นๆ 2-3 ปี ทำให้เศรษฐกิจซึมและความเชื่อมั่นที่ไม่กลับมาสักที”

 

นายนพพร มองว่าต้องกลับมาดูพื้นฐานเรื่องของงบกระแสเงินสด (Cash Flow) กลยุทธ์ที่จะใช้ ซึ่งมันจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด จึงต้องดูว่าการกระจายความเสี่ยงออกไปในแต่ละช่วงจะทำอะไรได้บ้าง นอกจากของที่มีขายในสต๊อคทั้งหมดมีอะไรบ้างเทียบกับอัตราการดูดซับในตลาด และการกระจายความเสี่ยงไปทำโรงแรมมากขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาทั้งโรงแรมที่ไทยและสหรัฐอเมริการวมแล้วหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็น Recurring income และ Capital Gain อันใหม่ที่จะเข้ามา

 

ผู้บริหาร แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ 1280x853

 

ขณะที่นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า “ตัวเลขการโอนที่อยู่อาศัยในรอบ 10 เดือนของปี 2567 มีการโอนลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแสดงให้เห็นว่าอุปสงค์โดยรวมของที่อยู่อาศัยค่อนข้างจะอ่อนตัวลง โดยที่อยู่อาศัยแนวราบลดลงถึง 22% ขณะที่คอนโดมิเนียมอยู่ในภาวะทรงตัว ด้านอุปทานที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ลดลงประมาณ 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน บ้านเดี่ยวเปิดขายใหม่ลดลง 20% ขณะที่ความต้องการบ้านเดี่ยวมีน้อยกว่าจำนวนยูนิตที่เปิดใหม่ประมาณ 50% ส่งผลให้หน่วยเหลือขายในตลาดเพิ่มขึ้นในปี 2568 เป็นเหตุให้บ้านเดี่ยวซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทยังคงมีการแข่งขันที่สูงมาก นอกจากนี้ ความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแรงกดดันจากยอดคงค้างของ NPL และปัญหาหนี้ครัวเรือน ทำให้สถาบันการเงินยังคงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อทำให้ผู้ประกอบต้องให้ความสำคัญในการรักษาสภาพคล่อง และระมัดระวังในการลงทุนพัฒนาโครงการ

 

“ในปี 2568 เนื่องจากบริษัทยังมีสินค้าคงเหลือขายในระดับที่เพียงพอที่จะขายในปี 2568 จึงมีแผนเปิดโครงการใหม่แค่ 4 โครงการ มูลค่ารวม 11,180 ล้านบาท เป็นโครงการในระดับกลาง-บน ทั้งหมดจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยว ประกอบด้วย สีวลี บางนา กม.13 จำนวน 326 หลัง มูลค่า 3,040 ล้านบาท วีเว่ ภูเก็ต 36 หลัง มูลค่า 1,300 ล้านบาท วีเว่ กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ 73 หลัง มูลค่า 4,620 ล้านบาท และ นันทวัน ราชพฤกษ์-พรานนก 34 หลัง มูลค่า 2,220 ล้านบาท

 

Vie ทางด่วนรามอินทรา วงแหวน
Vie ทางด่วนรามอินทรา วงแหวน
NANTAWAN POOL VILLA พระราม9
NANTAWAN POOL VILLA พระราม9
NANTAWAN POOL VILLA พระราม9
NANTAWAN POOL VILLA พระราม9

 

ในส่วนของคอนโดมิเนียมยังคงเป็นอีก 1 ปีที่แลนด์แอนด์เฮ้าส์จะยังไม่มีการพัฒนาโครงการใหม่ โดยนายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ขยายความว่า การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในปี 2567 มีจำนวนประมาณ 3.7 หมื่นยูนิต ถือว่าใกล้เคียงกับปี 2566 ขณะที่จำนวนหน่วยเปิดใหม่ลดจากเกือบๆ 5 หมื่นยูนิต เหลือ 2.7-2.8 หมื่นหน่วย หรือลดลงประมาณ 43% จากปีก่อน ขณะที่ซัพพลายคงค้างเหลืออยู่ประมาณ 8-9 หมื่นยูนิต

 

คาดว่าทิศทางของตลาดคอนโดในปี 2568 จะเป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปไม่หวือหวา เพราะหลายๆ อย่างยังไม่ได้มีปัจจัยเกื้อหนุนอะไรที่ชัดเจน ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศดูแล้วเหมือนยังช้าอยู่ ขณะที่บริษัทมีคอนโดมิเนียมในมือพร้อมขายทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 13,500 ล้านบาท เป็นโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอน 5 โครงการ มูลค่าประมาณ 6,200 ล้านบาทและโครงการวันเวลาที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีกกว่า 7,300 ล้านบาท ในปี 2568 บริษัทจะเน้นการขายสินค้าคอนโดมิเนียมจากโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นหลัก

 

นายอาชวิณ อัศวโภคิน (ทายาทอัศวโภคินรุ่นที่ 3) รองกรรมการผู้จัดการและผู้บริหารสูงสุดด้านการเงิน กล่าวว่า

ในปี 2567 บริษัทยังคงมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงจากการบริหารจัดการสภาพคล่องที่ดีและจากสินทรัพย์ลงทุนที่มีอยู่ ขณะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าและบริการ ซึ่งประกอบด้วยโรงแรม Grande Centre Point ที่เปิดดำเนินการแล้ว 7 แห่ง อยู่ระหว่างก่อสร้าง 3 แห่ง ศูนย์การค้า Terminal 21 3 แห่ง อพาร์ตเมนต์และโรงแรมในสหรัฐอเมริกาอีก 5 แห่ง มีการเติบโตได้ดีกว่าแผนที่วางไว้ โดยคาดว่ารายได้ทั้งปีจะอยู่ที่ 9,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 16% จากปีก่อนที่มีรายได้ 7,800 ล้านบาท จากธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย และในปีนี้คาดว่า โรงแรมจะดียังต่อเนื่อง

 

นอกจากนี้ยัง มีการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าและบริการ มูลค่ารวม 5,800 ล้านบาท ประกอบด้วย ซื้อโรงแรม Residence Inn Manhattan Beach 2,400 ล้านบาท พัฒนาโครงการ Grande Centre Point Lumphini 2,100 ล้านบาท และพัฒนาธุรกิจโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์อื่นๆ อีก 1,300 ล้านบาท

 

แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์

 

ในปี 2568 บริษัทเดินหน้าธุรกิจให้เช่าอย่างต่อเนื่อง และลดระดับหนี้สินต่อทุน โดยได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 8,500 ล้านบาท สำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 4,000 ล้านบาท และงบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 4,500 ล้านบาท และในปีนี้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่อีก 1 แห่งในเดือนเมษายนคือ Grande Centre Point Lumphini ซึ่งเป็นอาคารประเภท Mixed Use ประกอบด้วยพื้นที่สำนักงานประมาณ 12,700 ตร.ม. และโรงแรม 512 ห้อง พร้อมทั้งพื้นที่จัดเลี้ยงที่มากที่สุดในเครือโรงแรม Grande Centre Point ตามด้วย Grande Centre Point Ratchadamri2 ในปี 2569 และ Grande Centre Point Pattaya 3 ในปี 2570

 

นอกจากนี้ บริษัทจะปรับมีการพอร์ตการลงทุนในสหรัฐอเมริกา โดยลดสัดส่วนของอพาร์ตเมนต์ลงตามสถานการณ์หลังการแพร่ระบาด COVID-19 ที่ส่วนใหญ่ยังคงรูปแบบการทำงานแบบ Work From Home อยู่ และหันมาเน้นการดำเนินธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก ขณะเดียวกันในปี 2568 บริษัทมีแผนที่จะออกหุ้นกู้มูลค่า 12,000 ล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนด และคาดว่า ณ สิ้นปี 2568 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิจะอยู่ในระดับประมาณ 1 เท่า ซึ่งจะลดลงจากสิ้นปี 2567 ที่มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ประมาณ 1.3 เท่า

 

 

ข่าวอื่นที่น่าสนใจ

บทความ ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด