Ori Mk

เปิดโรดแมพธุรกิจ “ออริจิ้น” ใน 3 ปี ปูทางสู่มาร์เก็ตแคปกลุ่มธุรกิจ 1 แสนล้าน

ออริจิ้น

แผนธุรกิจในระยะ 3 ปีข้างหน้า ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ วางเป้าหมายก้าวสู่การเป็นกลุ่มธุรกิจมีมาร์เก็ตแคป 1 แสนล้าน ขนบริษัทในเครืออีก 6 แห่ง เข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์ ปูทางสู่เป้าหมาย พร้อมเพิ่มสัดส่วนรายได้นอกกลุ่มที่อยู่อาศัยขึ้นเป็น 30%

 

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ถือเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่สามารถก้าวขึ้นมาติดอันดับ Top10 ในกลุ่มอุตสาหกรรมผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยได้อย่างรวดเร็ว เพียงระยะเวลากว่า 12 ปีเท่านั้น ตั้งแต่เริ่มต้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแห่งแรกในย่านสำโรง ตั้งแต่ปี 2551 หากวัดระดับความเร็วในการขับเคลื่อนธุรกิจ ถือว่ามาเร็วและมาแรง แซงผู้ประกอบการอสังหาฯ​รุ่นพี่ที่ก่อตั้งมาก่อนหน้า หลายบริษัทดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลา 20-30 ปี แต่ก็ยังสามารถสร้างการเติบโตทั้งยอดขายและรายได้เท่ากับออริจิ้นเลย ​

 

ปี 2564 ที่ผ่านมาบริษัทสามารถสร้าง New High ได้ทั้งตัวเลขรายได้ และกำไร ถือเป็นความสำเร็จภายใต้สถานการณ์ที่การดำเนินธุรกิจไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ เพราะมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งกระทบกับทุกภาคส่วน ที่สำคัญกระทบต่อความมั่นใจ และกำลังซื้อของผู้บริโภคส่วนใหญ่ของประเทศ ความสำเร็จของ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จึงนับได้ว่า เป็นความสามารถด้านการบริหารจัดการภายในองค์กร การวิเคราะห์และทำการบ้านแก้โจทย์ทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การนำของ พีระพงศ์​ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  จนสามารถสร้างความสำเร็จกลับมาได้

Ori Road Map

ปี 65 เปิดโครงการ 42,000 ล้าน

ในปีนี้บริษัทวางเป้าหมายเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 31 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 42,000 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 137% จากปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 12 โครงการ มูลค่า 13,400 ล้านบาท และโครงการคอนโด 19 โครงการ มูลค่ารวม 28,600 ล้านบาท

 

สำหรับกลุ่มคอนโดวางเป้าการเติบโตในทุกเซ็กเมนท์ มีแบรนด์ใหม่กิดขึ้น เช่น แบรนด์ ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play) ออริจิ้น เพลส (Origin Place) และบุกทำเลใหม่ ๆ เช่น ฝั่งธนบุรี แลยังจะมีโครงการใหม่ที่เป็นเมกะโปรเจกต์ย่านทองหล่อ ภายใต้ชื่อ “ออริจิ้น ทองหล่อ เวิลด์” (Origin Thonglor World) ที่มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 15,000 ล้านบาท โดยจะมีการทยอยเปิดตัวโครงการอีกครั้งเร็วๆ นี้

 

ขณะเดียวกัน บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 35,000 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้รวม 17,500 ล้านบาท หลังจากปี 2564 ทำผลงานทุกด้านเติบโตได้สร้าง New High ยอดโอนรวมโครงการกิจการร่วมค้ากว่า 16,157 ล้านบาท มีรายได้รวม 15,943 ล้านบาท และเติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2563 กว่า 43% อีกทั้ง มีกำไรสุทธิ 3,194 ล้านบาท เติบโตจากปี 2563 กว่า 20% ส่งผลให้บริษัทเตรียมจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นงวดสิ้นปี 2564 ในอัตรา 0.42 บาท ต่อหุ้น

Ori Marketcap

โรดแมพก้าวสู่มาร์เก็ตแคป 1 แสนล้าน

โดยปัจจุบัน ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีมูลค่าบริษัท (Market Capitalization) ประมาณ 30,000 ล้านบาท  บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) มีมูลค่าบริษัทอยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท จากการนำเข้าบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อปีที่ผ่านมาจากทุนเริ่มต้นในการดำเนินธุรกิจเพียง 400 ล้านบาท

 

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีโครงสร้างธุรกิจที่หลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 98 โครงการ (ณ สิ้นปี 2564) รวมมูลค่ากว่า 143,800 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก

 

3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาฯ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาฯ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาฯ และมีการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจพลังงาน ธุรกิจเฮลท์แคร์ ฯลฯ เพื่อเชื่อมโยงอีโคซิสเท็ม (Connecting the ecosystem) รองรับความต้องการของผู้บริษัท ​​

 

เพื่อไปสู่เป้าหมายทางธุรกิจที่จะต้องสร้างมูลค่าตลาด (Market Capitalization) รวมกันมากกว่า 1 แสนล้านบาท  ภายในระยะ 3 ปี หรือปี 2568 ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จึงวางแผนในบริษัทในเครือที่มีศักยภาพและการเติบโต เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยการไฟลิ่ง หรือยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  และทำการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO)  ต่อเนื่องทุกปีอย่างน้อยในระยะ 3 ปีนับจากนี้ จะเห็นการทำ IPO ปีละ 2 บริษัท

Ori Target 22

นำบริษัทลูกเข้า IPO ผลักดันเป้าธุรกิจ

โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม นำ 2 บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยการไฟลิ่ง ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ ก.ล.ต. และ IPO

บริษัทแรกที่น่าจะเห็นความชัดเจนก่อน ได้แก่ บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ที่คาดว่าจะ IPO ได้ในช่วงปลายปีนี้ โดยพรีโม เป็นบริษัทที่ดูแลบริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร อาทิ บริการที่ปรึกษาและตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ บริการบริหารจัดการนิติบุคคล บริการตกแต่งภายใน บริการขนย้าย บริการด้านความสะอาดและความปลอดภัย บริการบริหารโรงแรมและที่อยู่อาศัย (Hotel & Residence Management Operator) มีนางสาวจตุพร วิไลแก้ว เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร

 

ปีที่ผ่านมาพรีโมสามารถสร้างรายได้ได้ถึง 490 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นรายได้ที่ค่อนข้างสูงในธุรกิจนี้  และมีเป้ารายได้ปี 2566 ที่ 750 ล้านบาท ในปี 2568 คาดว่าจะมีรายได้ 1,100 ล้านบาท  โดยมีที่ปรึกษาทางการเงินคือบริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด และบริษัท เจย์ แคปปิตอล แอดไวเซอรี จำกัด

 

ตามมาด้วย​​บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด คาดว่าจะยื่นไฟลิ่งได้ภายในปีนี้ และตามแผนที่วางไว้น่าจะ IPO ได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 ซึ่งบริษัท วัน ออริจิ้นฯ มีนายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ เป็นประธานเจ้าหน้าที่ ดำเนินธุรกิจหลักในด้านการการพัฒนาอสังหาฯ กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่า ธุรกิจค้าปลีก แต่จะมีธุรกิจอื่น ๆ ภายใต้การบริหาร เช่น ธุรกิจร้านอาหาร  ธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในแถบเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และหัวเมืองสำคัญต่างจังหวัด  ภายในช่วง 5 ปีจากนี้ จะได้เห็นโครงการภายใต้การพัฒนาของวัน ออริจิ้น คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 49,100 ล้านบาท สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีที่ปรึกษาทางการเงินคือ ธนาคารไทยพาณิชย์​ (SCB)

ถ้าบริษัทไหนมีความพร้อมก็จะนำเข้าจดทะเบียนในตลาด อีก 3 ปีน่าจะมี 6 บริษัท อย่างน้อยเป้าหมายปีละ 1 บริษัท  

หลังจากนั้นคาดว่าจะนำบริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทต่อไป  โดย บริษัท แอลฟาฯ​ มีนายปธาน สมบูรณสิน เป็นกรรมการผู้จัดการ  ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ เพื่อการอุตสาหกรรมพร้อมบริการครบวงจร ซึ่ง​เปิดตัวบริษัทเมื่อช่วงปลายไตรมาส 3/2564 โดยสิ้นปี 2564 มีที่ดินเพื่อใช้พัฒนาพื้นที่เช่าทางอุตสาหกรรมกว่า 155,000 ตร.ม. จากแผนเดิมประมาณ 40,000 ตร.ม.

 

สำหรับการพัฒนาโครงการแรกในย่านบางนา กม.22 ภายใต้ชื่อ แอลฟา บางนา กม.22 คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในไตรมาส 2 และเริ่มรับรู้รายได้ได้ภายในปีนี้ ขณะเดียวกัน ยังมีอีกหลากหลายโปรเจกต์ภายใต้แผนงาน ทั้งการซื้อกิจการ และการพัฒนาเอง เพื่อไปสู่เป้าหมายพื้นที่ภายใต้บริหารจัดการกว่า 1 ล้าน ตร.ม. ภายในปี 2568 สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีที่ปรึกษาทางการเงินคือ บริษัท หลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)

Ori Multiverse

ก้าวสู่โลก เมตาเวิร์ส รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

แผนธุรกิจทั้งหมดที่จะก้าวไปสู่การมีมาร์เก็ตแคป 1 แสนล้านบาทนั้น ในปีนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินธุรกิจ ภายใต้​แผนการดำเนินงานใหม่ ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และครั้งสำคัญภายใต้แนวคิด “ORIGIN MULTIVERSE” หรือแผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล

 

ภายใต้แผนงานดังกล่าวประกอบด้วย 3 ขั้นตอนหลัก ได้แก่

1.ขยายสู่จักรวาลใหม่ (Expanding to the new universe)

จากเดิมที่บริษัทมีจักรวาลหลักคือจักรวาลพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ขยายตัวเองเข้าสู่จักรวาลใหม่ๆ โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่มจักรวาล ได้แก่

กลุ่มจักรวาลที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential for Sales)

กลุ่มจักรวาลธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business)

กลุ่มจักรวาลธุรกิจบริการ (Service Business)

กลุ่มจักรวาลเมกะเทรนด์ระยะยาว (Mega Trends Business)

โดยทั้ง 4 กลุ่มจักรวาล ยังคงประกอบด้วยจักรวาลธุรกิจย่อย ๆ ที่ทยอยเกิดขึ้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เช่น โลจิสติกส์ เฮลท์แคร์ ประกันภัย พลังงาน การเงิน ร้านอาหาร กัญชง และยังอาจมีจักรวาลย่อย ๆ เพิ่มขึ้นในอนาคต

2.แยกกันเติบโตแบบคู่ขนาน (Growing in the separated timeline)

ให้ทุกบริษัทย่อยมีเส้นทางการเติบโตแบบคู่ขนานในจักรวาลของตัวเอง ผ่านการจัดทัพผู้บริหารมืออาชีพในธุรกิจนั้นๆ เข้าไปช่วยดูแลทิศทางการเติบโต สร้างจุดแข็งให้แก่ทุกกลุ่มธุรกิจ

3.เชื่อมโยงอีโคซิสเท็ม (Connecting the ecosystem)

เชื่อมโยงทุกจักรวาลที่แยกย้ายกันไปเติบโต กลับมาดูแลผู้บริโภคร่วมกันเป็นอีโคซิสเท็ม สร้าง Multiverse of Happiness ที่ครอบคลุมการดูแลและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคแบบครบวงจร

 

นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาและก้าวไปสู่โลกของสินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยการเตรียมพัฒนา Utility Token ใช้ในธุรกิจอสังหาฯ คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ การศึกษาการทำ ICO และ NFT เพื่อรองรับกับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ ที่ใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลด้วย

บทความ ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด