Tag : howto

432 ผลลัพธ์
7 วิธีกำจัดกลิ่นฉี่-อึแมว ทั้งในและนอกบ้าน ตอบโจทย์ทั้งคนเลี้ยงและไม่เลี้ยงแมว

7 วิธีกำจัดกลิ่นฉี่-อึแมว ทั้งในและนอกบ้าน ตอบโจทย์ทั้งคนเลี้ยงและไม่เลี้ยงแมว

รวมวิธีกำจัดกลิ่นขี้แมวเหม็นกวนจมูกแบบละมุนละไม ที่จะไม่เป็นอันตรายต่อแมวและคน ปรับเปลี่ยนบรรยากาศรอบบ้านให้น่าอยู่ขึ้นกว่าเดิม ปัญหากลิ่นฉี่แมวเรียกได้ว่าเป็นปัญหาระดับชาติสำหรับใครหลายๆ คน แม้กระทั่งบ้านที่เลี้ยงแมวหรือบ้านที่มีแมวจรจัดเข้ามาอาศัยอยู่ เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้กลิ่นเหล่านี้ก็จะทำลายบรรยากาศในบ้าน และหากสูดดมบ่อยก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ วันนี้เราเลยนำวิธีกำจัดกลิ่นฉี่แมวมาฝากกันครับ รับรองได้เลยว่าแต่ละวิธีที่เรานำมานั้น ไม่มีอะไรที่เป็นอันตรายหรือรุนแรงกับแมวแน่นอน เอาเป็นว่าแล้วจะมีวิธีไหนบ้างนั้นต้องไปดูครับ 1.น้ำยากำจัดกลิ่นฉี่แมวทำเอง สูตรนี้เหมาะสำหรับกำจัดกลิ่นฉี่แมวในบ้าน โดยเริ่มจากผสมน้ำส้มสายชูและน้ำเปล่าในปริมาณที่เท่า ๆ กันเทใส่ขวดสเปรย์ แล้วฉีดไปตรงจุดที่แมวฉี่ไว้ ซับออกด้วยทิชชู ทำซ้ำอย่างนี้ประมาณ 2-3 ครั้ง แล้วใช้ไดร์เป่าให้แห้ง ต่อมานำเบกกิ้งโซดาโรยกลบรอยฉี่แมวให้ทั่ว แล้วผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ¼ ถ้วยตวงกับน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนชาให้เข้ากัน เทใส่ขวดสเปรย์เพื่อฉีดพ่นลงบนเบกกิ้งโซดาที่โรยไว้ ใช้แปรงขัดเบาๆ ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้งแล้ว ปิดท้ายด้วยใช้เครื่องดูดฝุ่นกำจัดเศษเบกกิ้งโซดาให้หมด 2.ใช้น้ำหมักชีวภาพหรือน้ำ EM กำจัดกลิ่นฉี่แมว นอกจากน้ำหมักชีวภาพจะช่วยปรับสภาพดินเพื่อการเกษตรได้แล้ว น้ำหมักยังมีคุณสมบัติที่ช่วยกำจัดกลิ่นอึและฉี่แมวได้อีกด้วย แต่ก่อนอื่นเราต้องทำความสะอาดและเก็บสิ่งปฏิกูลให้เกลี้ยง จากนั้นนำน้ำมาหมัก (แบบไม่ผสมน้ำเปล่า) มาฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณนั้น ทิ้งไว้ 1-2 ชั่วโมง แล้วล้างออกให้เกลี้ยง 3.กำจัดกลิ่นฉี่แมวด้วย กากกาแฟโรยดับกลิ่น หากที่บ้านพอจะมีกากกาแฟสดเหลืออยู่บ้าง หรือถ้าไม่มีก็ลองขอซื้อตามร้านกาแฟดูเลยครับ แล้วนำกากกาแฟมาผสมกับผิวเปลือกส้ม นำไปกลบไว้ในที่ที่แมวชอบมาฉี่หรืออึ มันจะช่วยดับกลิ่นเหม็นได้ แถมยังมีกลิ่นที่ทำให้แมวไม่มาฉี่บริเวณนั้นอีก 4. น้ำส้มสายชูผสมน้ำร้อน ใช้กำจัดกลิ่นฉี่แมว เราสามารถเอาน้ำสายชูมาประยุกต์เป็นสูตรดับกลิ่นได้หลากหลาย เช่นเดียวกับสูตรนี้เลยครับ โดยการนำน้ำส้มสายชูมาผสมกับน้ำร้อน (น้ำเดือด) ให้เข้ากันดี จากนั้นนำไปเทราดบริเวณที่แมวมาทิ้งบอมบ์ไว้ แต่ก่อนราดส่วนผสมอย่าลืมเก็บทำความสะอาดอึแมวให้เรียบร้อยก่อนนะครับ เมื่อราดลงไปแล้ว น้ำส้มสายชูและน้ำร้อนจะช่วยทำความสะอาดไปพร้อม ๆ กับควันระเหยที่ช่วยดับกลิ่น 5. เบกกิ้งโซดาผสมน้ำฉีด กำจัดกลิ่นฉี่แมว หากใครไม่ชอบกลิ่นเปรี้ยวของน้ำส้มสายชู แนะนำให้ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำเปล่า กะดูปริมาณให้เข้มข้นพอสมควร พอเข้ากันดีแล้วก็เทใส่ขวดสเปรย์ เพื่อนำไปฉีดพ่นบริเวณที่แมวเคยมาอึและฉี่บ่อยๆ เพียงเท่านี้กลิ่นฉุนจากของเสียก็จะหายไป หรือจะโรยกลบของเสียไปก็ช่วยได้เหมือนกันครับ 6. ดินปลูกต้นไม้ดับกลิ่นฉี่แมวได้ ถ้าวิธีอื่นไม่ได้ผล ลองกำจัดด้วยแบบธรรมชาติดูสิครับ ให้หาดินทรายที่เอาไว้ปลูกต้นไม้มาโรยกลบอึแมวให้ทั่ว กลิ่นก็จะหายไป แต่ถ้าไม่อยากให้แมวเข้ามาอึที่เดิมๆ อีก ให้นำดินมาลงเยอะหน่อย แล้วหาต้นไม้ที่มีกลิ่นหอมมาปลูกไว้ตรงนั้นไปเลยครับ เพราะนอกจะช่วยกำจัดกลิ่นและป้องกันไม่ให้มาอึซ้ำได้แล้ว เรายังได้สวนสวยๆ เพิ่มอีกต่างหาก 7. ลูกเหม็นกำจัดกลิ่นฉี่แมวเหม็นๆ ได้ แม้จะชื่อว่า "ลูกเหม็น" แต่คุณสมบัติมันกลับโดดเด่นเหนือชื่อเลยครับ เพียงแค่นำลูกเหม็นมาบดให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำเปล่าให้เข้ากัน นำไปราดบริเวณที่แมวชอบมาอึทิ้งไว้ เพียงเท่านี้กลิ่นเหม็นๆ กวนจมูกก็จะหายไป แถมยังไล่ไม่ให้แมวเข้ามาอึได้อีกต่างหาก แต่ต้องระวังอย่าผสมให้กลิ่นลูกเหม็นฉุนแรงจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เราหายใจไม่สะดวกเอาได้   หวังว่าแต่ละวิธีที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ คงจะไม่มีขั้นตอนไหนที่หายากเกินความสามารถแน่นอน ฉะนั้นถ้าคุณกำลังพบเจอปัญหากลิ่นเหม็นจากอึแมวอยู่ละก็ ลองนำวิธิดับกลิ่นเหล่านี้ไปลองใช้ดูนะครับ และที่สำคัญห้ามใช้วิธีรุนแรงเด็ดขาด เพราะจะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข วิธีกำจัดกลิ่นฉี่แมวอื่นๆ กำจัดกลิ่นปัสสาวะแมว เคล็ดลับดีๆ จากเรา Reviewyourliving 5 เคล็ดลับ จัดการกลิ่นในห้องครัว เคล็ดลับทำความสะอาดห้องน้ำ สะอาดวิ้ง ไร้คราบแบบง่ายๆ 10 วิธีดับกลิ่นฉุนปัสสาวะในห้องน้ำ  
พื้นที่บันได ทำอะไรเพิ่มเติมได้

พื้นที่บันได ทำอะไรเพิ่มเติมได้

ปัจจุบันบ้านในเมืองมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ จากราคาที่ดินและค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น การใช้พื้นที่ต่างๆ ภายในบ้านจึงต้องทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด พื้นที่บริเวณบันไดทั้งใต้บันไดและเหนือบันไดชั้นบนสุดมักจะเป็นพื้นที่ที่ถูกมองข้าม และถูกทิ้งให้เปล่าประโยชน์อยู่เสมอ พื้นที่ดังกล่าวถ้าวัดขนาดจากแปลนจะมีพื้นที่ประมาณ 2-3 ตารางเมตร หากเป็นคอนโดแบบ Duplex ที่มีชั้นลอย ขนาดของพื้นที่ใต้บันไดดังกล่าวคิดเป็นเงินกว่า 2-3 แสนบาทเลยทีเดียว ดังนั้นด้วยการออกแบบที่ดีจะช่วยให้พื้นที่ว่างบริเวณบันไดถูกใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ บันไดแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ บันไดทึบ และบันไดโปร่ง บันไดทั้งสองประเภทมีผลต่อการออกแบบพื้นที่ใช้สอยใต้บันได บันไดทึบคือบันไดที่มีทั้งลูกตั้งและลูกนอนบันได ไม่สามารถมองทะลุลงไปได้ ส่วนท้องของบันไดทึบมีทั้งแบบ ท้องเรียบ และท้องหยักตามลูกตั้งลูกนอน หรือที่เรียกว่าแบบพับผ้า และแบบมีคานแม่บันได บันไดทึบเหมาะแก่การใช้ประโยชน์พื้นที่ใต้บันได แต่ต้องระวังเรื่องท้องของบันได เช่น บันไดแบบพับผ้าจะมีหยักมุมแหลม อาจจะไม่เหมาะเป็นพื้นที่ให้คนเข้าไปใช้งาน ภาพ: ตัวอย่างบันไดทึบ ท้องบันไดเรียบ ส่วนบันไดโปร่งเป็นบันไดที่มีแต่ลูกนอนบันไดอย่างเดียว สามารถมองทะลุลงไปได้ ส่วนท้องของบันไดโปร่งแบ่งเป็นแบบแม่บันไดด้านข้าง และแบบแม่บันไดข้างใต้ที่รองรับลูกนอน บันไดโปร่งเหมาะแก่การเป็นบันไดโชว์ให้สวยงาม ไม่เหมาะแก่การกั้นห้อง หรือใช้งานข้างใต้ อาจทำได้เพียงชั้นวางของเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ภาพ: ตัวอย่างบันไดโปร่งที่มีแม่บันไดอยู่ด้านข้าง พื้นที่ใต้บันได สามารถออกแบบให้ใช้ประโยชน์ได้ 3 รูปแบบ คือ ใช้เก็บของ ใช้เป็นส่วนใช้งานต่างๆ และใช้เป็นส่วนเซอร์วิสของบ้าน การใช้พื้นที่ใต้บันไดไว้เก็บของ เป็นรูปแบบที่เห็นได้บ่อย เนื่องจากง่ายต่อการทำ และมีพื้นที่มากเพียงพอ รูปแบบของการเก็บของใต้บันไดมีทั้ง การทำเป็นห้องเก็บของที่มีผนังปิดทึบและประตู การทำเป็นชั้นวางของหรือเป็นตู้ Built-in ให้เข้ากับพื้นที่ใต้บันไดโดยจะมีบานเปิดปิดหรือไม่มีก็ได้ และยังมีรูปแบบที่เป็นตู้รางเลื่อนที่สามารถดึงชั้นวางของออกมาได้ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่เก็บของให้มากขึ้น ของที่เก็บใต้บันไดมักจะเป็น รองเท้า เสื้อผ้า หนังสือ หรือของจิปาถะอื่นๆ ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดโดย Built-in เป็นชั้นเก็บของ ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดโดย Built-In เป็นชั้นเก็บของแบบตู้รางเลื่อน (สไลด์) การใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นส่วนใช้งานต่างๆ มักจะใช้กับบ้านที่มีพื้นที่น้อยมาก เช่น คอนโดแบบ Duplex บางครั้งพื้นที่ใต้บันไดสามารถใช้สำหรับวางโต๊ะและทีวีสำหรับส่วนนั่งเล่น หรือใช้สำหรับวางโต๊ะคอมพิวเตอร์เป็นส่วนทำงานได้ นอกจากนี้ ยังอาจจะออกแบบเป็นเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินที่เป็นหลุมเข้าไปสามารถใช้เป็นที่นั่งหรือที่นอนเล่นใต้บันได้ได้อีกด้วย ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นที่ทำงาน ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นที่นั่งเล่น การใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นส่วนเซอร์วิสของบ้าน พบได้บ่อยในบ้านที่เป็นตึกแถวหรือทาวน์เฮ้าส์ ส่วนมากมักจะใช้ทำเป็นห้องน้ำ โดยวางโถส้วมในบริเวณที่ท้องบันไดเอียงลงเนื่องจากเวลาใช้งานจะเป็นการนั่งจึงไม่ต้องใช้พื้นที่สูงมากนัก นอกจากห้องน้ำแล้วพื้นที่ใต้บันไดยังสามารถทำเป็นส่วนซักล้าง โดยตั้งเครื่องซักผ้า และเครื่องอบผ้า หรือจะทำเป็นเคาน์เตอร์ครัว หรือ Pantry เล็กๆ ก็ได้ ทั้งนี้การใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นส่วนเซอร์วิสจะต้องคำนึงถึงท่อน้ำประปาและท่อน้ำทิ้งด้วยว่าจะเดินท่ออย่างไร ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นห้องน้ำ ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นส่วนเตรียมอาหาร ในส่วนของพื้นที่เหนือบันไดชั้นบนสุด มักจะเป็นโถงสูงจากชานพักบันไดช่วงสุดท้ายจนถึงหลังคา ซึ่งเราสามารถต่อเติมเป็นชั้นลอยเล็กๆ ได้ โดยทำเป็นพื้นโครงสร้างเหล็ก และปูวัสดุแผ่นที่มีน้ำหนักไม่มาก เช่น ไม้ หรือไฟเบอร์ซีเมนต์ พื้นที่ดังกล่าวสามารถใช้ทำเป็นหิ้งพระ ที่เก็บของ ส่วนทำงาน หรือนั่งเล่นก็ได้ (ควรปรึกษาวิศวกรถึงรูปแบบโครงสร้างที่เหมาะสม) บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​ 
เรื่องของเครื่องปรับอากาศ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

เรื่องของเครื่องปรับอากาศ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

รวมเรื่องจริงที่เกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศหรือแอร์เพื่อให้เราได้รู้จักและรู้ถึงที่มามากขึ้น แอบบอกหน่อยดีกว่าว่า ถ้ายิ่งรู้จักคุณก็จะรักแอร์ของคุณมากขึ้น นับวันอากาศก็ยิ่งร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งสิ่งศักสิทธิ์ที่ไหนแล้ว ก็เห็นจะมีแต่เครื่องปรับอากาศนี่แหละที่ช่วยเราได้ ในเมื่อเครื่องปรับอากาศก้าวเข้ามาบทบาทสำคัญกับชีวิตของเราอย่างมาก วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปทำความรู้จักเจ้าเครื่องปรับอากาศหรือที่เรียกติดปากว่าแอร์ ผ่าน 11 เรื่องจริงของเครื่องทำความเย็นเหล่านี้กันครับ แล้วจะมีอะไรบ้างนั้นต้องไปดู 1. ผู้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องปรับอากาศ วิลลิส แคร์เรียร์ วิศวกรโรงพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา เป็นคนแรกที่ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องปรับอากาศเครื่องแรกของโลก เมื่อปี ค.ศ. 1902 โดยแคร์เรียร์มองหาวิธีในการควบคุมความชื้นในอาคาร เพื่อป้องกันไม่ให้หมึกแห้งเร็ว จึงเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เขาเรียกว่า "Apparatus for Treating Air" หรือเครื่องปรับอากาศ กระทั่งได้รับการจดสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1906   2. กลายมาเป็นเครื่องปรับอากาศปี 1950 แม้จะได้รับการจดสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1906 แต่เครื่องปรับอากาศก็เพิ่งจะมาเป็นรูปเป็นร่าง มีขนาดและระบบที่เล็กอย่างทุกวันนี้ เมื่อปี  ค.ศ. 1950 และออกขายสู่ท้องตลาดมากกว่า 1 ล้านเครื่อง ซึ่งปรากฎว่าขายหมดเกลี้ยง   3. ควรตรวจเช็กเครื่องปรับอากาศประจำปี หากที่บ้านไหนมีเครื่องปรับอากาศชควรจะเรียกช่างเข้ามาตรวจเช็กระบบเป็นประจำทุก ๆ ปี เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องปรับอากาศที่บ้านยังใช้งานได้ตามปกติและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาจนต้องตามแก้ไขทีหลัง   4. เครื่องปรับอากาศทำงานด้วยการลดความชื้น เครื่องปรับอากาศทำงานด้วยการนำพาความชื้นหรือลดความชื้นออกจากอากาศในบริเวณนั้น ถึงแม้หลักการทำงานจะไม่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าเครื่องปรับความชื้น แต่เครื่องปรับอากาศก็ช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราและฝุ่นสกปรกได้   5. เครื่องปรับอากาศช่วยกำจัดสารก่อภูมิแพ้ได้ นอกจากเครื่องปรับอากาศจะทำให้บ้านเย็นแล้ว ระบบการทำงานภายในยังมีคุณสมบัติช่วยกำจัดสารก่อภูมิแพ้และเศษฝุ่นที่มากับอากาศได้อีกด้วย ถ้าหากอาการภูมิแพ้ของคุณกำเริบในช่วงที่อากาศกำลังร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ก็ลองเปิดเครื่องปรับอากาศช่วยดูสิครับ   6. หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศทุก 3 เดือน เครื่องปรับอากาศจะทำงานได้ดีหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับแผ่นกรองอากาศด้วยนะครับ เพราะถ้าปล่อยให้แผ่นกรองด้านในสกปรก มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่องปรับอากาศก็จะลดลงตามไปด้วย แถมเครื่องยังต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้นไม่ว่าที่บ้านจะใช้เครื่องปรับอากาศชนิดไหน ก็ต้องหมั่นทำความสะอาดทุก 3 เดือนด้วยนะครับ   7. ผ้าม่านช่วยกักเก็บความเย็น ถ้าหน้าต่างของห้องหันตรงกับทางที่แสงแดดส่องเข้ามาพอดี ให้หาม่านมาติดไว้เพื่อป้องกันความร้อนจากแสงแดดไม่ให้เข้ามาทำให้อุณหภูมิภายในห้องสูงขึ้น จนเครื่องปรับอากาศก็ต้องทำงานหนักตามไปด้วย   8. ยิ่งปิดช่องลมแอร์ เครื่องก็ยิ่งพังง่าย หลายคนคงไม่รู้ว่าการปิดช่องลมแอร์ด้านใดด้านหนึ่ง มันไม่ได้ช่วยปรับเปลี่ยนทิศทางแอร์ได้ตามที่ต้องการหรอกนะครับ แต่มันกลับทำให้เครื่องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม จนอาจถึงขั้นทำให้ระบบภายในเสียหายเลยก็มี  หากต้องการให้ความเย็นกระจายตัวอย่างทั่วถึง แนะนำให้เปิดพัดลมช่วยอีกแรงจะดีกว่า   9. เครื่องปรับอากาศใหญ่ก็ก็ยิ่งจ่ายค่าไฟเยอะ อย่างที่รู้กันดีว่าเครื่องปรับอากาศจะทำให้บ้านอยู่สบายขึ้น แต่ก็กินไฟโหดไม่แพ้กัน ทางที่ดีควรหันมาเลือกใช้เครื่องปรับอากาศแบบติดผนังและ BTU ที่เหมาะสมกับขนาดห้อง เนื่องจากจะทำให้การใช้ไฟฟ้าน้อยลง และจะช่วยประหยัดเงินไปได้เยอะเลย   10. แอร์บ้านสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1913 แอร์สำหรับติดตั้งในบ้านเครื่องแรกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913 โดย ชาร์ลส์ เกตส์ (Charles Gates) ผู้ที่ได้ฉายาว่า “Spend-a-Million” ทายาทเจ้าของกิจการลวดหนามในสมันนั้น ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่สร้างอพาร์ทเม้นท์ติดแอร์ขึ้นมา แต่ยังไม่ทันสร้างเสร็จสมบูรณ์ดี เกตส์ก็เสียชีวิตไปในระหว่างร่วมทริปล่าสัตว์ แม้จะเป็นคนสร้างแต่ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้งาน   11. คนอเมริกันจ่ายเงินเป็นพันล้านเพื่อแอร์ ทุกวันนี้ชาวอเมริกันต้องเสียเงินไปกับการติดตั้งแอร์บ้านเป็นจำนวนมาก ตามที่กระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกาได้กล่าวว่า โดยรวมแล้วคนอเมริกันจะจ่ายเงินมากกว่า 22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 700 พันล้านบาทในการติดตั้งแอร์ นอกจากนี้ยอดการใช้ไฟฟ้ายังมากกว่า 183 พันล้านกิโลวัตต์ ต่อชั่วโมงในทุก ๆ ปีอีกด้วย   เป็นอย่างบอกไว้ไหมล่ะครับ ถ้าคุณยิ่งรู้จักเครื่องปรับอากาศคุณก็จะยิ่งรักและอยากดูแลเอาใจใส่ให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะกว่าเจ้าเครื่องนี้จะมาช่วยให้เราไม่ต้องทุรนทุรายกับอากาศร้อนได้นั้น มันต้องมีการพัฒนามาอย่างยาวนาน ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปต่าง ๆ นานา รวมไปถึงการดูแลจากเราเป็นสำคัญ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.kapook.com
10 ผักไม้เลื้อย ปลูกไว้เก็บกินก็ได้ ใช้ทำซุ้มบังแดดก็ดี๊ดี !

10 ผักไม้เลื้อย ปลูกไว้เก็บกินก็ได้ ใช้ทำซุ้มบังแดดก็ดี๊ดี !

พืชผักไม้เลื้อย อีกหนึ่งทางเลือกของคนรักสวนที่อยากได้พืชไม้เลื้อยกินได้หรือทำสวนผักไม้เลื้อย อยากรู้พืชไม้เลื้อยมีอะไรบ้าง มาดู 10 พืชผักไม้เลื้อยพร้อม ๆ กันเลยค่ะ คิดจะทำสวนทั้งที…มันต้องเลือกต้นไม้ดี ๆ ที่มีประโยชน์หลายด้านกันหน่อย อย่างเช่น 10 พืชผักไม้เลื้อย ที่เป็นพืชไม้เลื้อยกินได้ ไว้สร้างสวนผักไม้เลื้อย ที่สามารถบังแดดและเก็บกินได้ไปในตัว ถ้าอยากรู้ว่าพืชไม้เลื้อยมีอะไรบ้างที่กินได้ ตามไปดูลิสต์ 10 พืชผักไม้เลื้อยที่เรานำมาฝากกันในวันนี้เลยค่ะ แล้วจะเห็นว่าช่างเป็นพืชที่เหมาะกับบ้านในเขตเมืองร้อนอย่างเราจริง ๆ เลย 1.ตำลึง ผักไม้เลื้อยยอดนิยม ตำลึง : เป็นไม้เลื่อยที่ขึ้นได้ทั่วไป ปลูกง่ายและโตไว ลักษณะลำต้นเป็นเถาเลื้อยมือเกาะ ออกใบคล้ายรูปหัวใจ มีดอกเป็นช่อสีขาว ลักษณะผลเป็นทรงกลมเรียวยาว สีเขียวอ่อน แต่เมื่อสุกแล้วจะมีสีแดงระรื่อดูสวยงาม สรรพคุณ : มีวิตามินบำรุงร่างกาย ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันหัวใจขาดเลือด บำรุงสายตา มีกากใยช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น ลดความเสี่ยงจากมะเร็ง ทั้งยังใช้รักษาโรคเบาหวาน และแก้งูสวัดได้ด้วย วิธีปลูก : ที่ง่ายที่สุดก็คือ การปักชำ เพียงแค่ตัดเถายาว 30 เซนติเมตร มาปักทำมุมเอียงในกระถางดินร่วน ดูแลรดน้ำทุกวันจนแตกยอดใหม่ แล้วอย่าลืมทำค้างหรือหาไม้มาหลักมาปัก เพื่อให้ต้นเลื้อยขึ้นไปรับแสงด้วยนะคะ 2. บวบ ไม้เลื้อยช่วยถอนพิษ บวบ : มี 3 ชนิด ได้แก่ บวบเหลี่ยม บวบหอม และบวบงู เป็นพืชเถาตามข้อมีมือเกาะ ลักษณะใบกว้างและเป็นรูปเหลี่ยม ปลายใบเรียวแหลม ออกดอกสีเหลืองตามง่ามใบ มีผลเรียวยาว ลักษณะผิวขึ้นอยู่กับชนิดของบวบ เป็นผักฤทธิ์เย็นและมีน้ำเยอะ สรรพคุณ : ช่วยดับร้อนในร่างกายได้ อุดมไปด้วยฟอสฟอรัสช่วยสร้างเม็ดเลือด มีกากใยช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยถอนพิษได้อีกด้วย วิธีปลูก : ให้เพาะเมล็ดลงดินที่ผสมปุ๋ยหมักและแกลบในปริมาณที่เท่ากัน รดน้ำสม่ำเสมอ จนออกใบ 2 ใบ แล้วค่อยย้ายต้นกล้าไปปลูกในดินหรือกระถาง ทำค้างหรือหาไม้หลักมาปักให้ต้นยึดเกาะ ดูแลรดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าแฉะ บำรุงปุ๋ยทุก 15 วัน/ครั้ง รดน้ำหมักสะเดาเพื่อกำจัดวัชพืช 3.ไม้เลื้อยแสนอร่อย "ถั่วพู" ถั่วพู : เป็นไม้เลื้อยที่มีหลายสายพันธุ์ ลำต้นหรือเถายาว 3 เมตรขึ้นไป ออกใบเรียวยาวและปลายใบแหลม ออกเรียงสลับตามเถา ลักษณะดอกเป็นช่อสีขาว ส่วนผลเป็นฝักเรียวยาว แยกขอบออกเป็น 4 แฉก ขอบฝักหยัก ด้านในมีเมล็ดถั่ว สรรพคุณ : ช่วยบำรุงหัวใจ กระตุ้นการเจริญเติบโตและฮอร์โมน แก้อักเสบ แก้ร้อนใน และช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย วิธีปลูก : ด้วยเมล็ดถือว่าดีที่สุด โดยนำเมล็ดจากฝักแห้งมาปลูกในกระถางดินเหนียวที่ผสมกากมะพร้าวและปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เมื่อต้นเริ่มงอกก็ควรย้ายมาปลูกในกระถางที่ใหญ่กว่า หาไม้หลักมาปักให้ต้นยึด เด็ดต้นที่ไม่แข็งแรงทิ้งไป ดูแลรดน้ำให้ชุ่มทุกวัน และตั้งกระถางให้โดนแดดรำไร 4. ถั่วฝักยาว ไม้เลื้อยปลูกง่าย ถั่วฝักยาว : เป็นพืถั่วชนิดไม้เลื้อย มีเถาสีเขียว ออกใบสีเขียวคล้ายรูปสามเหลี่ยม แต่โคนใบแหลมเข้าหาก้านใบ ลักษณะดอกออกเป็นช่อสีขาวตามซอกใบ ฝักเป็นทรงกลมขนาดเล็กและเรียวยาว ด้านในมีเมล็ดถั่ว สรรพคุณ : ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี และช่วยรักษาอาการบวม วิธีปลูก : ให้นำเมล็ดถั่ว 5 เม็ด มาปลูกในกระถางดินร่วนผสมทรายและปุ๋ยคอก เว้นระยะห่างให้พอดี หาไม้หลักหรือทำค้างไว้ข้าง ๆ เพื่อให้ต้นยึดเกาะ สังเกตุถ้าต้นไหนไม่แข็งแรงให้ตัดทิ้ง รดน้ำทั้งเช้าและเย็น หมั่นบำรุงปุ๋ยเมื่อต้นมีอายุได้ 1 เดือน 5.สมุนไพรไม้เลื้อย "ขจรหรือสลิด" ขจรหรือสลิด : เป็นไม้เลื้อยที่นิยมนำส่วนดอกมากิน เถาเป็นสีเขียว เมื่อแก่เถาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล  ลักษณะใบคล้ายรูปหัวใจกว้าง 5 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อตามซอกใบ มีสีเหลืองและส่งกลิ่นหอม สรรพคุณ : บำรุงหัวใจ ตับ และไต แก้หน้ามืดวิงเวียน แก้ท้องเสีย บำรุงสายตา บำรุงเลือด และแก้อาการเมาค้าง วิธีปลูก : ให้นำกิ่งที่สมบูรณ์มาปักในกระถางดินร่วนที่ผสมปุ๋ยหมัก รดน้ำให้พอชุ่มทุกวัน แต่เมื่อผ่านไป 2 สัปดาห์ให้ปรับมารดแค่วันเว้นวันก็พอ หาไม้หลักหรือค้างมาปักให้ต้นเลื้อยด้วยนะคะ 6.ไม้เลื้อยพืชเศรษฐกิจ "พริกไทย" พริกไทย : เป็นพืชสมุนไพรและเป็นพืชเศรษฐกิจที่นิยมนำมาปรุงแต่งรสชาติอาหาร ลำต้นเป็นข้อปล้อง มีเถายึดเกาะ ลักษณะใบเป็นรูปไข่ ปลายใบแหลม ออกดอกเป็นช่อไม่มีก้านดอก ลักษณะผลทรงกลมสีเขียวเข้ม ออกเรียงกันเป็นช่อ สรรพคุณ : ช่วยบรรเทาอาการปวด ขับลมในกระเพาะ กระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้ดีขึ้น และป้องกันการเกิดอัลไซเมอร์ วิธีปลูก : ให้นำกิ่งพันธุ์ที่สมบูรณ์มาปักชำลงในกระถางที่มีดินดำที่ผสมขี้เถ้าแกลบ รดน้ำให้ชุ่ม หาถุงพลาสติกมาครอบทิ้งไว้ 30 วัน แล้วค่อยดึงออก ย้ายต้นไปปลูกให้กระถางขนาดใหญ่ที่มีดินดำผสมปุ๋ยคอกและเปลือกข้าว ปักไม้หลักหรือทำค้างให้ต้นเลื้อย ดูแลรดน้ำทุกวันในช่วงแรก ๆ พอต้นแข็งแรงค่อยปรับเป็นสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง บำรุงปุ๋ยปีละ 2 ครั้ง 7. ฟักข้าว ไม้เลื้อยล้มลุก ฟักข้าว : เป็นพืชล้มลุกมีเถาเลื้อย ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว คล้ายรูปหัวใจ ขอบใบหยักเล็กน้อย ออกดอกสีขาว-เหลืองตามข้อ ส่วนผลเป็นทรงกลมมีหนามรอบผล ผลอ่อนจะเป็นสีเหลืองอมเขียว แต่เมื่อสุกแล้วจะกลายเป็นสีแดงหรือสีส้ม ด้านในมีเมล็ด ส่วนเนื้อที่อยู่ในเมล็ดจะเป็นสีขาว (เมล็ดดิบจะมีพิษ ต้องนำมาทำให้สุกก่อนกิน) สรรพคุณ : ช่วยดับพิษทุกชนิด บำรุงปอด แก้ท่อน้ำดีอุดตัน และแก้วัณโรค วิธีปลูก : ให้นำเมล็ดจากผลสดไปแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นลอกเปลือกหุ้มเมล็ดออก นำไปเพาะในตะกร้าที่มีกากมะพร้าว ดูแลรดน้ำทั้งเช้าและเย็น ถ้าต้นแข็งแรงแล้วค่อยย้ายลงมาปลูกในดิน หาไม้หลักหรือตค้างมาปักไว้ให้ต้นเลื้อย 8. ไม้เลื้อยมีผล "ฟักแม้ว" ฟักแม้ว : เป็นไม้เลื้อยตระกูลแตง ลักษณะยอดคล้ายยอดฟักทอง ลำต้นเป็นเหลี่ยมและมีเถาเลื้อย ออกใบลักษณะ 5 แฉก สีเขียวเข้ม ดอกฟักแม้วออกตามซอกใบ สีเขียว-เหลือง ผลมีลักษณะเรียวยาว ก้นเป็นร่อง มีสีเขียวอมเหลือง สรรพคุณ : ช่วยขับปัสสาวะ บำรุงหัวใจ ช่วยลดความดันโลหิต ต้านมะเร็ง และเสริมสร้างกระดูก วิธีปลูก : จากผลฟักแม้วเป็นวิธีที่ดีที่สุด เนื่องจากเป็นพืชที่มีอายุสั้น ไม่เหมาะกับการปักชำ เริ่มจากคัดผลที่สุกเต็มที่หรือมีรากงอกมาปลูกในกระถางดินที่ผสมปุ๋ยคอกและแกลบดำ ดูแลรดน้ำให้ชุ่มประมาณเดือนกว่า ๆ ต้นก็จะแข็งแรงพร้อมย้ายมาปลูกในกระถางใหญ่ หรือในหลุมดินลึก 30 เซเนติเมตร ปักไม้หลักหรือค้างให้ต้นเลื้อย ดูแลรดน้ำตามปกติ และบำรุงปุ๋ยทุกเดือน 9. มะระ ไม้เลื้อยมากคุณประโยชน์ มะระ : เป็นไม้เลื้อยที่ขึ้นได้ดีในเขตร้อน มีเถาเลื้อยเกาะไปตามที่ต่าง ๆ ออกใบกว้าง ขอบใบหยัก ลักษณะดอกเป็นสีเหลืองออกตามซอกใบ ส่วนลักษณะผลขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ถ้าเป็นมะระขี้นก ผลจะเป็นทรงกลมคล้ายวงรีแต่ปลายแหลม มีสีเขียวเข้ม ผิวขรุขระ ส่วนมะระจีน จะยาวกว่าดูคล้ายรูปทรงกระบอก มีสีเขียวอ่อน สรรพคุณ : แก้ร้อนใน กระตุ้นระบบขับถ่าย แก้อาการอักเสบ แก้หวัด และช่วยรักษาเบาหวานได้ วิธีปลูก : ให้นำเมล็ดพันธุ์ที่สมบูรณ์มาปลูกลงในกระถางดินร่วนผสมปุ๋ยคอก ดูแลรดน้ำวันละ 1 ครั้ง หาไม้หลักหรือค้างมาปักเพื่อให้ต้นเลื้อยยึดเกาะด้วยนะคะ 10. ไม้เลื้อยกลิ่นหอม "ชะพลู" ชะพลู : เป็นพืชล้มลุกที่ขึ้นได้ทั่วไป โดยเฉพาะที่ชื้น ลำต้นเป็นข้อ มีเถาเลื้อย ลักษณะใบคล้ายรูปหัวใจ ผิวใบขรุขระ ออกดอกเป็นช่อสีขาวขนาดเล็ก สรรพคุณ : ช่วยกระตุ้นการขับถ่ายให้ดีขึ้น ช่วยบำรุงสมองและสายตา มีสารต้านอนุมูลอิสระ รักษาเบาหวาน ช่วยชะลอและยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็ง วิธีปลูก : ให้เด็ดยอดชะพลูมีใบติดสัก 2-3 ใบมาปักชำลงในกระถางดินร่วน ดูแลรดน้ำทุกวัน วันละครั้ง บำรุงปุ๋ยทุก 3 เดือน   เห็นไหมล่ะว่าผักไม้เลื้อยพวกนี้ก็มีประโยชน์หลากหลายกับเค้าเหมือนกัน ทั้งใช้ทำสวน ทำซุ้มบังแดด หรือจะปลูกเอาไว้เก็บกินก็ได้ เป็นต้นไม้ที่มีแต่ประโยชน์ขนาดนี้ คนรักสวนไม่ควรพลาดเลยนะคะ ความรู้เกี่ยวกับผักไม้เลื้อยอื่นๆ วิธีการ กำจัดไม้เลื้อยที่มีพิษ เกี่ยวกับต้นไม้รอบรั้วบ้าน 5 พรรณไม้ที่ควรปลูกไว้ริมรั้ว 5 ต้นไม้ริมรั้วบ้าน สวยงาม แถมปลูกไว้กันขโมย! 7 ผักสวยงามปลูกในกระถาง เด็ดกินก็ได้ วางประดับบ้านก็ดี
5 วิธีลดร้อนให้บ้าน

5 วิธีลดร้อนให้บ้าน

ว่ากันว่าเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนทีไรค่าไฟแต่ละบ้านจะขึ้นสูงปรี๊ดทุกที ก็แหม ด้วยอุณหภูมิข้างนอกที่ร้อนฉ่าขนาดนั้น ครั้นจะไม่ให้ใช้เครื่องปรับอากาศเลยก็คงจะทรมานเกินไปใช่ไหมล่ะคะ แต่จะให้เปิดแอร์อยู่ทั้งวันทั้งคืน พอถึงสิ้นเดือนทีเห็นบิลค่าไฟก็คงเศร้าใจไม่ใช่น้อย วันนี้ทีมงาน Review Your Living จึงได้รวบรวมสารพัดวิธีลดความร้อนให้กับบ้านมาฝาก ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นเทคนิคดีๆ ที่จะช่วยเพิ่มความเย็นให้กับบ้านแสนรักของคุณได้อย่างแน่นอน เรียบเรียงโดย Review Your Living www.prosperitybni.com 1. Façade ช่วยได้ การดีไซน์ Facade (ฟาซาด) ไม่ว่าจะใช้วัสดุอะไรปกคลุมตัวอาคารก็คงคล้ายกับการแต่งตัวให้แก่บ้าน เพราะสามารถ เปลี่ยนบรรยากาศภายนอกของบ้านสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี บางคนอาจจะคิดว่าไม่มีความจำเป็นอะไร ไม่ต้องมีก็ได้ แต่ทราบไหมคะว่าฟาซาดนั้นช่วยกันฝนและกรองแสงลดความร้อนก่อนจะเข้าสู่ตัวบ้านได้เป็นยังดี อีกทั้งยังช่วยให้สายลมพัดผ่านได้ง่ายขึ้นรวมถึงอำพรางสายตาจากภายนอกเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวอีกด้วยค่ะ   2. ติดฟิลม์กรองแสงลดความร้อนสิ! ถ้าบ้านของคุณรายล้อมไปด้วยกระจกใส แน่นอนค่ะว่าคงทำให้บรรยากาศในบ้านดูโปร่งโล่งแต่ก็ต้องแลกมาด้วยความร้อนนะคะ ยิ่งมีแสงสว่างจากธรรมชาติสาดส่องมามากเท่าไหร่ความร้อนก็ยิ่งเข้าสู่ตัวบ้านมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นแนะนำว่าควรติดฟิลม์กรองแสงชนิดเคลือบโลหะค่ะ ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยกรองแสงสว่างจากด้านนอกได้เป็นอย่างดีแล้ว คุณสมบัติเด่นของโลหะยังช่วยสะท้อนความร้อนออกไปอีกด้วย เพียงเท่านี้บ้านคุณก็เกิดภาวะเย็นสบายแล้วค่ะ ภาพจากโครงการ มาเอสโตร 19 รัชดา 19 - วิภา 3. เปลี่ยนผ้าม่าน ชีวิตก็เปลี่ยน... อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะว่าผ้าม่านจะช่วยกันความร้อนได้อย่างไร แน่นอนว่าถ้าคุณเลือกใช้ผ้าม่านทั่วๆ ไปก็คงช่วยกรองแสงได้ประมาณหนึ่ง แต่ถ้าคุณเลือกใช้ม่าน Blackout หรือผ้าทึบแสงที่มีประสิทธิภาพกันแสงได้ถึง 99% ซึ่งส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับการเคลือบกันรังสี UV ทำให้บ้านเย็นขึ้น ผู้อยู่อาศัยสบายตัว สบายใจ และที่สำคัญสบายกระเป๋าด้วยค่ะเนื่องจากช่วยประหยัดค่าไฟไปได้เยอะเชียวล่ะ ภาพจากโครงการ The Village บางนา - วงแหวนฯ 2 4. ต้นไม้ก็ช่วยได้นะ อีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้บ้านของคุณเย็นขึ้น นั่นก็คือการปลูกต้นไม้ใหญ่สีเขียวขจีให้แตกแขนงกิ่งก้านปกคลุมบ้าน แต่ก็ต้องคอยดูแลให้ดีนะคะ ถ้ามันเริ่มโตหรือสูงเกินไปอาจบดบังตัวบ้านได้ ดังนั้นต้องคอยหมั่นตัดกิ่งก้านเล็มใบเพื่อให้ลมสามารถพัดผ่านได้อย่างสะดวก ส่วนข้อแนะนำที่เราอยากบอกก็คือควรปลูกต้นไม้ทางทิศตะวันตกหรือทิศใต้ เพราะทิศทางลมจะช่วยพัดผ่านทำให้บ้านเย็นขึ้น   5. ติดฉนวนกันความร้อน แน่นอนค่ะว่าปัจจุบันมีวัสดุใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย หนึ่งในวัสดุที่รู้จักกันดีก็คงหนีไม่พ้นฉนวนกันความร้อนที่มักนิยมติดกันบนฝ้า ใต้หลังคา หรือแม้แต่ผนังบ้าน ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยสะท้อนและปกป้องความร้อนได้ดี ทั้งยังติดตั้งง่ายไม่ว่าจะเป็นบ้านสร้างสำเร็จรูปหรือบ้านสร้างใหม่ ทำให้บ้านเย็นฉ่ำตลอดทั้งวัน
11 ปัญหาสุดเบสิกของสนามหญ้า จัดการได้อยู่หมัด

11 ปัญหาสุดเบสิกของสนามหญ้า จัดการได้อยู่หมัด

สนามหญ้าสวย ๆ ต้องเป็นสนามหญ้าที่เขียวชอุ่ม ต้นหญ้าทุกต้น รวมถึงดินก็ต้องดูสุขภาพดี ซึ่งถ้าคุณเป็นอีกคนที่เลือกจะปลูกสนามหญ้าเอาไว้ที่บ้าน เพื่อเพิ่มความสดชื่นและบรรยากาศสวย ๆ แต่จัดการดูแลแค่ไหนสนามหญ้าก็ยังมีปัญหาจุกจิกกวนใจอยู่ตลอด ถ้าอย่างนั้นลองมาดูวิธีจัดการปัญหาสุดเบสิกของสนามหญ้าตามนี้กันดีกว่า เผื่อจะช่วยให้คุณแก้ปัญหาสนามหญ้าที่ไม่ได้ดั่งใจได้บ้างนะคะ   1. หญ้าไม่ขึ้นแถวโคนต้นไม้ สำหรับปัญหาพื้นที่สนามหญ้าเป็นช่องโหว่ เพราะปลูกหญ้าไม่ขึ้นบริเวณใต้โคนต้นไม้ แนะนำให้เลือกปลูกหญ้าให้ถูกทิศทาง ในพื้นที่ด้านทิศเหนือ ควรเลือกปลูกต้นหญ้าพันธุ์ที่ไม่ชอบแดดเท่าไร ส่วนพื้นที่ด้านทิศใต้ ให้เลือกปลูกหญ้าพันธุ์ที่มีลำต้นสูงสักนิด เพื่อให้เขาชูต้นมารับแดดได้สะดวก จะช่วยลดปัญหาหญ้าขึ้นเป็นหย่อม ๆ ได้ค่ะ   2. หญ้าเฉาตรงที่เป็นเนิน ในพื้นที่ที่เป็นเนินสูง อาจจะเจอปัญหาต้นหญ้าแห้งตาย หรือไม่เจริญเติบโตบ้าง ซึ่งหลัก ๆ แล้วก็เกิดจากพื้นที่ที่เป็นเนินสูง จะมีโอกาสได้รับแสงแดดดีกว่าปกติ ทำให้ดินแห้งได้ง่าย ต้นหญ้าก็เลยไม่ได้รับน้ำที่พอเพียงสำหรับการเจริญเติบโต วิธีแก้ปัญหาก็ง่าย ๆ เลย แค่จัดการระบบน้ำในส่วนนี้เพิ่มเข้าไปอีกหน่อย หรือเพื่อความยั่งยืน จะให้ผู้เชี่ยวชาญเลือกพันธุ์หญ้า และจัดการระบบรดน้ำให้ก็ได้   3. วัชพืชก่อกวนสนามหญ้า ถ้าสนามหญ้าของคุณเต็มไปด้วยวัชพืชที่ขึ้นแซมไม่หยุดหย่อน ให้จัดการวัชพืชเหล่านี้ด้วยยากำจัดวัชพืชไปเลย แต่ก็ควรเลือกสูตรที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด และต้องฉีดกำจัดวัชพืช 2 ช่วง คือ ช่วงฤดูฝน และช่วงฤดูหนาว เนื่องจากวัชพืชในแต่ละฤดูก็เป็นวัชพืชต่างชนิดกัน อาจต้องใช้วิธีการกำจัดที่แตกต่างกันไปด้วย   4. สนามหญ้าโหว่เป็นช่วง ๆ สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้สนามหญ้าไม่สวยเพอร์เฟคท์ คงหนีไม่พ้นสนามหญ้าเว้าแหว่งเป็นหย่อม ๆ ไม่เขียวชอุ่มทั่วกันทั้งผืน ซึ่งถ้าเกิดปัญหานี้ขึ้นกับสนามหญ้าของคุณ ให้จัดการถอนเศษหญ้า ปรับหน้าดินในบริเวณนั้นให้เรียบร้อย จากนั้นปลูกพันธุ์หญ้าลงไปใหม่รดน้ำให้ชุ่ม และหาพืชมาปกคลุมดินบริเวณนั้นให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอดด้วย ปล่อยทิ้งไว้ 2 สัปดาห์ หมั่นรดน้ำบ่อย ๆ อนุบาลจนหญ้าค่อย ๆ เติบโตอย่างแข็งแรง หรือจะเลือกใช้หญ้าแผ่นสำเร็จรูปมาปูเสริมพื้นที่ก็ได้เช่นกัน แต่อาจจะต้องดูเรื่องพันธุ์หญ้า สี และขนาดของต้นหญ้าให้ใกล้เคียงที่สุด เพื่อเลี่ยงปัญหาผืนหญ้ามีสีไม่สม่ำเสมอกันด้วย   5. ต้นหญ้ากลายเป็นสีน้ำตาล หญ้าที่กลายเป็นสีน้ำตาลเป็นหย่อม ๆ มีสาเหตุมาจากเชื้อราฟูซาเรียม (Fusarium) ที่มาพร้อมกับความชื้นที่มากเกินไป จนทำให้ต้นหญ้ากลายเป็นสีน้ำตาลในบริเวณกว้าง ซึ่งเราก็ควรแก้ปัญหาด้วยการใส่ปุ๋ยบำรุง และพยายามลดความชื้นด้วยการหาทางระบายน้ำให้ดินมากขึ้น อีกทั้งควรจะหายาฆ่าเชื้อรามาจัดการเสริมด้วยอีกแรง   6. มีใยสีเทาปกคลุมต้นหญ้า ในตอนเช้าหลังน้ำค้างตก อาจจะมีโอกาสได้เห็นทั้งหยดน้ำค้าง และใยสีเทาจาง ๆ บนยอดหญ้าพร้อม ๆ กัน แต่ใยที่ว่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีกับสุขภาพของสนามหญ้านัก เพราะถ้าปล่อยไว้ไม่รีบจัดการ ใยบาง ๆ สีเทาที่เป็นเชื้อรา ก็อาจจะลุกลามปกคลุมต้นหญ้าในบริเวณกว้างกว่านี้ ฉะนั้นจึงต้องรีบหายาฆ่าเชื้อรามาฉีดพ่น เพื่อกำจัดเชื้อราทั้งหมดให้เกลี้ยง   7. โคนต้นหญ้าเป็นสีส้มสนิม ต้นหญ้าที่มีสุขภาพไม่ดี มักจะดูออกได้ง่าย ๆ ที่โคนต้น หากลำต้นของต้นหญ้าแห้งเหี่ยว แถมที่โคนต้นยังมีสีส้มคล้าย ๆ สีสนิมเกาะอยู่ด้วย ก็แปลได้ว่า สนามหญ้าของคุณขาดน้ำในปริมาณที่พอเพียงแล้วล่ะ รวมทั้งปุ๋ยและสารอาหารก็มีไม่พอเช่นกัน ดังนั้นก็ควรรีบหาปุ๋ยมาใส่ และบำรุงดูแลด้วยการรดน้ำให้ชุ่มชื้นเสมอ นอกจากนี้ก็ควรตัดหญ้าบ่อย ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ต้นหญ้าได้ผลัดใบด้วย   8. หญ้าขึ้นเขียวชอุ่มล้อมต้นหญ้าที่ตายแล้ว หากเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นกับสนามหญ้าของคุณ ก็แสดงว่าพื้นดินบริเวณนั้นมีความชื้นมากเกินไป จนอาจจะมีเห็ดเติบโตขึ้นได้ และเราก็ควรปรับปรุงพื้นดินตรงนั้นให้อุดมสมบูรณ์ และร่วนซุยขึ้นอีกนิด ด้วยการใส่ปุ๋ยบำรุงลงไป จากนั้นก็ควบคุมความชื้นให้สม่ำเสมอประมาณ 3-5 วัน   9. สนามหญ้าแห้งตายขยายวงกว้าง ถ้าจู่ ๆ สนามหญ้าของคุณเริ่มกลายเป็นสีน้ำตาลมากขึ้นทุกที และขยายวงกว้างจนความสวยงามหายไปไม่มีเหลือ ให้ขุดดินตรงบริเวณที่เป็นปัญหาขึ้นมาสำรวจดูว่ามีเชื้อรา หรือแมลงอะไรมาก่อกวนสนามหญ้าของคุณหรือเปล่า ถ้ามีก็จัดการกำจัดให้สิ้นซาก โดยใช้ยากำจัดศัตรูพืชจำพวก Diazinon, Isofenphos หรือ Chlorpyrifos ซึ่งก่อนใช้ควรจะเช็กเรื่องความปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง เด็ก และคนชราก่อนด้วย หรือทางที่ดีแจ้งหน่วยงานหรือผู้เชี่ยวชาญมาทำให้ดีกว่าค่ะ   10. มีเห็ดขึ้นหลากหลายชนิด หลายคนอาจจะกุมขมับหากจะบอกว่าเห็ดเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำจัดออกยากที่สุดในบรรดาวัชพืชที่ขึ้นแซมมาในสนามหญ้า เพราะต้องใช้วิธีการดึงออกเท่านั้นจึงจะกำจัดได้ แต่นี่ก็เป็นเพียงวิธีการแก้ปัญหาชั่วคราว ดังนั้นทางที่ดีควรจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการจัดการระบบระบายน้ำให้ดี เพื่อเลี่ยงการสะสมความชื้น ต้นเหตุของเชื้อรา รวมทั้งกำจัดสารอินทรีย์ที่เน่าเปื่อย และตอไม้ออกจากสนามหญ้าด้วยค่ะ   11. น้ำท่วมขังในสนามหญ้า สาเหตุของการที่มีน้ำขังท่วมสนามหญ้ามีอยู่หลายปัจจัย ทั้งพื้นที่ต่ำเกินไป หรือฝนตามฤดูที่ตกชุก แต่ปัญหานี้ก็แก้ไม่ยาก แค่คุณลองหาไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นมาปลูกในสนามหญ้า เลือกเอาพันธุ์ที่ทนทานต่อสภาพน้ำท่วมขัง และดินที่แห้งแล้งด้วยก็ดี เช่น ต้นจั๋ง ต้นจันทร์ผา หรือหมากเหลือง เป็นต้น ปลูกต้นไม้เอาไว้แบบนี้ ก็จะช่วยให้น้ำที่ท่วมขังอยูในสนามหญ้า ค่อย ๆ ถูกดูดซึมจนหมดไปได้เองจ้า   จะว่าไปปัญหาสนามหญ้าก็จุกจิกพอตัวเลยนะคะ แต่ถ้าเรามีวิธีจัดการดูแลอย่างดีจะกี่ปัญหาก็เหมือนจะไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นแค่อุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราต้องปัดเป่าให้หมดไป เพื่อที่สนามหญ้าของเราจะได้เขียวชอุ่มสุดเพอร์เฟคท์อย่างที่ตั้งใจไว้จ้า   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.kapook.com
คนผ่อนบ้านกับผ่อนรถ ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้ใครมากกว่ากัน

คนผ่อนบ้านกับผ่อนรถ ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้ใครมากกว่ากัน

คนที่อยากมีบัตรเครดิตใช้และได้สมัครบัตรเครดิตกับธนาคารไปก็ย่อมอยากรู้ว่าตัวเองจะได้รับการอนุมัติหรือไม่ ซึ่งความกังวลใจเหล่านี้อาจจะมาจากด้วยหลากหลายเหตุผลที่ทำให้ไม่มั่นใจในการขออนุมัติบัตร เช่น เคยมีประวัติจ่ายหนี้ช้าบ้าง แต่ไม่เคยไม่จ่าย หรือปัจจุบันมีภาระหนี้อยู่เยอะ บางคนก็ผ่อนบ้าน บางคนก็ผ่อนรถยนต์ จึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่าระหว่างคนผ่อนบ้านกับผ่อนรถ ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้ใครมากกว่ากัน   หากมองในมุมของระยะเวลาในการผ่อน การผ่อนรถยนต์ก็จะดูเป็นภาระน้อยกว่าเพราะผ่อนไม่กี่ปีก็จบ ในขณะที่คนที่ผ่อนบ้านจะต้องผ่อนเป็นเวลานานเป็นสิบปีถือว่าเป็นภาระหนี้ที่ยาวนาน ถ้ามองในมุมนี้ โอกาสที่ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้กับคนที่ผ่อนรถยนต์ก็มากกว่าคนที่ผ่อนบ้าน   แต่หากมองในอีกมุมเรื่องของเครดิตที่เกิดจากการขอสินเชื่อนั้น การที่คนเราได้รับอนุมัติกู้เงินซื้อบ้านได้ต้องถือว่ามีเครดิตที่ดีมาก ต้องผ่านการพิจารณาหลักเกณฑ์ต่าง ๆ จนธนาคารมั่นใจได้จึงปล่อยเครดิตกู้บ้านให้ได้ หากมองในมุมที่การขอสินเชื่อบ้านนั้นยากกว่าการขอสินเชื่อรถยนต์ ธนาคารก็น่าจะอนุมัติบัตรเครดิตให้กับคนที่ผ่อนบ้านมากกว่าคนที่ผ่อนรถยนต์   ในความเป็นจริงแล้ว เหตุผลที่ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้กับลูกค้าหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องว่าลูกค้าคนนั้นผ่อนบ้านหรือผ่อนรถยนต์อยู่เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องดูปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายด้วย โดยการอนุมัติบัตรเครดิตในปัจจุบันธนาคารจะใช้ระบบที่เรียกว่า Credit Scoring โดยนำหลักเกณฑ์ คุณสมบัติและข้อมูลรายละเอียดของลูกค้ามาจัดทำเป็น Score เพื่อดูว่าลูกค้าคนนั้นผ่านเกณฑ์หรือไม่ หากผ่านเกณฑ์ก็หมายความว่าได้รับอนุมัติ แต่หากไม่ผ่านก็หมายความว่าไม่ได้รับอนุมัตินั่นเอง   โดยข้อมูลที่นำมาเป็นปัจจัยในการทำ Credit Scoring ก็อาจจะแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละธนาคาร ธนาคารหลายแห่งใช้ผลวิเคราะห์จากสถิติของลูกค้าธนาคารในอดีตเพื่อนำมากำหนดเป็น Credit Scoring ใช้ในการพิจารณาการอนุมัติหรือไม่อนุมัติบัตรเครดิตใหม่ให้กับลูกค้าด้วย ยกตัวอย่างสิ่งที่จะมีผลกับ Credit Scoring เช่น อายุ คนที่มีอายุน้อยจะได้คะแนนน้อยกว่าคนที่อยู่ในช่วงวัยกลางคนหรือเป็นผู้ใหญ่กว่า เพราะธนาคารมองว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่ทำงานมานานมีความมั่นคงทางการงานและการเงินมากกว่า ส่วนคนที่มีอายุน้อยก็อาจเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นานและยังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนงานได้อีก ส่วนคนที่มีอายุมากอยู่ในวัยใกล้เกษียณหรือเกษียณแล้วก็อาจได้คะแนนเครดิตน้อยกว่าคนที่อยู่ในวัยทำงานเพราะธนาคารก็มองอีกเช่นกันว่าคนเหล่านี้อีกไม่นานก็จะถึงวัยที่ไม่ได้ทำงานมีรายได้อีกต่อไป อาชีพ คนที่มีอาชีพมั่นคง เช่น แพทย์หรือวิศวกรมีโอกาสที่จะได้รับอนุมัติบัตรเครดิตมากกว่าอาชีพอื่น ๆ เพราะธนาคารถือว่าการงานมั่นคงต่อให้ต้องย้ายที่ทำงานก็มีงานรองรับแน่นอน เมื่อเทียบกับอาชีพผู้รับเหมาก่อสร้างหรือพนักงานขายที่รายได้อาจจะไม่มั่นคงมีขึ้นมีลงได้ตลอด การศึกษา คนที่มีการศึกษาสูงกว่า เช่น จบปริญญาเอกหรือปริญญาโท มีโอกาสที่จะได้คะแนนเครดิตสูงกว่าคนที่เรียนไม่จบหรือจบแค่ปริญญาตรี เพราะธนาคารมองว่าคือโอกาสในการทำงานที่มีความมั่นคง เพศ มีเช่นกันสำหรับบางธนาคารที่ให้คะแนนเครดิตผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เพราะถือว่าเป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องทำงานและเป็นคนที่มีรายได้ แต่บางธนาคารก็ให้คะแนนเครดิตผู้หญิงมากกว่าก็มี เพราะมองในมุมว่าผู้หญิงมีความรับผิดชอบสูงกว่า ประวัติสินเชื่อ คนที่มีเครดิตคือเคยกู้เงินมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิตใบก่อนหน้า สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์หรือเงินกู้อะไรก็แล้วแต่ ธนาคารจะพิจารณาให้คะแนนเครดิตคนเหล่านี้มากกว่าคนที่ไม่เคยมีเครดิตหรือขอสินเชื่อที่ไหนมาก่อนเลย รายได้ ข้อมูลรายได้ของลูกค้าแน่นอนว่าต้องเป็นส่วนหนึ่งของการให้คะแนนเครดิต คนที่มีรายได้สูงกว่าก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้รับอนุมัติบัตรเครดิตมากกว่าคนที่มีรายได้น้อย ภาระหนี้ ภาระหนี้ที่มีอยู่ในปัจจุบันก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะบอกถึงความสามารถในการชำระหนี้ก้อนใหม่ที่ลูกค้ากำลังสมัครเข้ามา ลูกค้าที่มีภาระหนี้น้อยกว่าก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้รับอนุมัติบัตรเครดิตมากกว่าลูกค้าที่มีภาระหนี้เยอะ   ที่ยกมาก็เป็นเพียงแค่ตัวอย่างของปัจจัยที่มีผลกับ Credit Scoring ที่ธนาคารใช้เป็นเครื่องมือในการพิจารณาอนุมัติบัตรเครดิตให้กับลูกค้าเท่านั้น อาจมีปัจจัยอะไรอื่น ๆ อีกที่เราไม่สามารถรู้ได้ ทั้งนี้เนื่องจากเป็นนโยบายของแต่ละธนาคารที่แตกต่างกันไป น้ำหนักคะแนนของแต่ละปัจจัยว่าเรื่องไหนจะมากหรือน้อยก็ไม่มีสูตรตายตัวแล้วแต่นโยบายของแต่ละธนาคารอีก จึงเป็นเรื่องที่ตอบได้ยากในบางครั้งว่าเพราะเหตุใดบางคนถึงสมัครบัตรเครดิตแล้วไม่ผ่าน หรือบางคนสมัครบัตรเครดิตกับธนาคารหนึ่งไม่ผ่าน แต่สมัครกับอีกธนาคารหนึ่งอาจจะผ่านก็เป็นได้   เรื่องการผ่อนบ้านหรือผ่อนรถธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้กับใครมากกว่ากัน จึงเป็นเรื่องที่ตอบยาก ต้องดูเรื่องภาระหนี้ด้วยเป็นสิ่งสำคัญ หากมีรายได้มากแม้ผ่อนบ้านหรือผ่อนรถแล้ว ภาระหนี้ก็ยังไม่ถึง 40% แบบนี้โอกาสที่จะได้รับอนุมัติบัตรเครดิตก็ย่อมสูงขึ้น อย่างลูกค้าบางรายเมื่อได้รับอนุมัติสินเชื่อบ้านเรียบร้อย ผ่อนจ่ายไปไม่กี่เดือน ธนาคารก็โทรมาเสนอบัตรเครดิตให้ใช้โดยไม่ต้องเสียเวลาสมัครก็มี หรืออย่างคนที่ผ่อนรถอยู่ก็มีที่สมัครบัตรเครดิตแล้วได้หรือไม่ได้รับอนุมัติมีทั้งสองแบบด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป   ดังนั้นการที่ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราผ่อนบ้านหรือผ่อนรถอยู่เท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ประกอบอีกมากมายขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละธนาคาร   ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://money.sanook.com/424023/
9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว

9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว

บ้านร้อนอบอ้าวทำไงดี แก้ปัญหาได้ง่าย ๆ ด้วย 9 ไอเดียแต่งบ้านรับซัมเมอร์ ที่จะทำให้บ้านเย็นสดชื่น ไม่อบอ้าว อยู่ในบ้านได้สบาย ๆ ไม่ต้องหาเรื่องออกไปเที่ยข้างนอก อย่างที่รู้ ๆ กันว่าประเทศของเราเป็นเมืองร้อนอยู่แล้ว พอย่างก้าวเข้าสู่ฤดูร้อนทีไรอากาศก็จะยิ่งทวีความร้อนให้เพิ่มพูนขึ้นไปอีก วันนี้เราเลยขอนำ 9 ไอเดียแต่งบ้านหน้าร้อนที่จะช่วยลดอุณหภูมิภายในและทำให้บ้านเย็นสบายขึ้นไม่ต้องหนีบ้านร้อน ๆ เพื่อดอดไปตากแอร์เย็น ๆ ที่ห้างอีกต่อไป แล้วจะมีวิธีไหนที่น่าสนใจนำมาใช้กับที่บ้านได้บ้างนั้นก็ตามไปไปดูกันเลยยย.. 1. ติดกันสาดกันแดด ในเมื่อเราไม่สามารถหลบเลี่ยงบ้านจากแสงแดดได้ การติดตั้งกันสาดช่วยลดความร้อนได้ โดยควรจะติดไว้บริเวณทิศตะวันตก ทิศตะวันออก และทิศใต้ เนื่องจากทั้ง 3 ทิศที่ว่ามานี้เป็นทิศที่มักจะมีแสงส่องเข้ามาเลยทำให้บ้านยิ่งร้อนหนักหากไม่มีอะไรมาบัง ถ้าจะให้ดีควรเลือกกันสาดชนิดโพลีไวนิลคลอไรด์และแบบวัสดุสังเคราะห์ เพราะจะทนทานสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่าวัสดุชนิดอื่น ๆ และช่วยให้บ้านเย็นได้มากกว่า 2. ใช้หลังคาป้องกันความร้อน การเลือกหลังคาก็เป็นสิ่งสำคัญ หากไม่อยากให้บ้านร้อนระอุในหน้าร้อน ควรเลือกหลังคาที่มีสารเคลือบเซรามิคโค้ทติ้ง ซึ่งจะช่วยปกป้องและสะท้อนความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ดี หรืออีกหนึ่งวิธีก็คือใช้สีขาวทาหลังคาบ้าน เพราะสีขาวจะช่วยสะท้อนความร้อนและไม่อมความร้อนไว้เหมือนหลังคาสีเข้ม 3. ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา สังเกตไหมว่าต่อให้แดดจะร้อนแรงสักแค่ไหน แต่ถ้ามีต้นไม้ช่วยบังแสงไว้ก็จะทำให้บริเวณนั้นเย็นขึ้นมาทันที ดังนั้นเพื่อช่วยในการบังแสงและให้ร่มเงาแก่บ้าน ควรเลือกต้นไม้ที่สูงสักประมาณ 12 เมตร มาปลูกไว้ทางทิศใต้ และนำต้นไม้สูง 18 เมตรมาปลูกไว้ทางทิศตะวันตก นอกจากจะบังแสงได้แล้ว วิธีนี้ยังช่วยประหยัดพลังงาน ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ต้องทำงานหนัก เพราะอุณหภูมิภายในลดลงนั่นเอง 4. เปิดหน้าต่างระบายอากาศ ถ้าอากาศในภายบ้านแลดูร้อนอบอ้าวไปซะทุกพื้นที่ ให้เปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้ให้ลมโกรก เพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก โดยเมื่ออากาศจากด้านนอกจะเข้ามาภายในบ้าน มันก็จะดันอากาศร้อนที่อยู่ภายในบ้านให้ลอยตัวสูงและไหลออกไป ช่วยระบายความร้อนอบอ้าว ทำให้บ้านเย็นสบายไม่อึดอัด 5. ติดพัดลมเพดาน หลายคนอาจจะคิดว่าพัดลมเพดานนั้นไล่ความร้อนได้ช้า ไหนจะอยู่ไกลตัวจนไม่สามารถนำมาเปิดจ่อลมได้โดยตรงอย่างพัดลมตั้งพื้นทั่วไปอีก แต่ที่จริงแล้วพัดลมเพดานนี่แหละที่เหมาะกับการใช้งานในฤดูร้อนมากที่สุด เพราะมันจะดูดเอาความร้อนจากพื้นให้ลอยตัวสูงขึ้นและปล่อยให้อากาศเย็นสบายไหลเข้ามาแทนที่ ทำให้อุณหภูมิบริเวณนั้นเย็นสบายยังไงล่ะ 6. เลี่ยงการปูพรม พรมนี่แหละที่เป็นตัวการกักเก็บความร้อนเอาไว้ในบ้าน หากไม่อยากให้บ้านยิ่งร้อนหนัก เลือกปูด้วยไม้หรือกระเบื้องจะทำให้บ้านเย็นกว่า เพราะเป็นวัสดุที่ไม่อมความร้อน แต่ถ้ายังตัดใจจากพื้นพรมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่เลือกพรมที่ทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น คอตตอนหรือขนสัตว์ เพราะทั้ง 2 วัสดุนี้จะช่วยกักเก็บความชื้นในอากาศไว้ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ทำให้บ้านร้อนและชื้นแต่อย่างใด 7. เลือกใช้หลอด LED หลอดไฟที่ติดตั้งอยู่ภายในบ้านก็เป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญที่ทำให้บ้านร้อนจากภายใน ดังนั้นควรจะหันมาใช้หลอดแอลอีดี (LED) เพราะหลอดไฟชนิดนี้จะปล่อยพลังงานความร้อนออกมาน้อยกว่าหลอดชนิดอื่น ๆ แสงก็ดูเย็นสบายตา ไม่ทำให้รู้สึกร้อนเหมือนหลอดฟลูออเรสเซนต์ทั่วไป แถมคุณภาพของแสงสว่างก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานอีกด้วยล่ะ 8. ทาผนังด้วยสีโทนเย็น โทนสีที่ใช้ตกแต่งภายในบ้านก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรจะเลือกโทนสีสว่าง ๆ ที่ดูเย็นสบายตา อย่าง สีขาว สีมุก สีครีม และสีฟ้า หรือใช้ของตกแต่งที่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ ก็จะช่วยปรับอากาศในบ้านให้เย็นสบาย ไม่ร้อนตามอากาศภายนอก 9. ติดพัดลมอากาศในห้องน้ำ หากทำตามมาทุกวิธีแล้วสังเกตว่าบ้านยังร้อนอยู่เลย ให้ติดตั้งพัดลมดูดอากาศในห้องน้ำเพิ่มไปอีกตัว และเปิดพัดลมดูดอากาศพร้อมกับเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้ หรือจะเปิดพัดลมเพดานที่ห้องข้าง ๆ ไว้ด้วยก็ได้ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยดูดให้ความร้อนออกไปได้เร็วกว่าเดิม ทำให้บ้านเย็นสบายขึ้นเยอะเลย ต่อให้อากาศจะร้อนกว่านี้อีกสักเท่าไร แต่ถ้านำไอเดียแต่งบ้านในหน้าร้อนที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไปใช้ รับรองได้เลยว่าอุณหภูมิในบ้านจะลดลงไปได้เยอะเลย ไม่ต้องทนร้อน นอนทรมานอยู่กับความอบอ้าวอีกต่อไป   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  https://home.kapook.com/view168042.html
ผ่อนบ้าน (คอนโด) แนวฮาร์ดคอร์ หมดภายใน 7-10 ปี

ผ่อนบ้าน (คอนโด) แนวฮาร์ดคอร์ หมดภายใน 7-10 ปี

วิธีผ่อนบ้านหรือคอนโดให้หมดภายใน 7-10 ปี สำหรับคนที่อยากหมดหนี้บ้านหรือคอนโดไว ๆ ไม่ต้องผ่อนนาน อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่ชายคนนี้ก็ทำได้จริง ๆ   ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจอยากมีสินทรัพย์เป็นของตัวเอง ชายคนนี้เลยคิดหาวิธีผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ๆ ที่กล้าบอกเลยว่าทำได้จริง ๆ เพราะเขาทำมาแล้ว อีกทั้งวันนี้ คุณ Mr.Worldwide สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ก็ได้นำประสบการณ์การปลดหนี้บ้านภายใน 7-10 ปีมาบอกต่อกันด้วย ไว้เป็นไกด์ไลน์ให้กับคนที่มีหนี้บ้านหรือคอนโดอยู่ตอนนี้ "ผ่อนบ้าน (คอนโด) แนวฮาร์ดคอร์ หมดภายใน 7-10 ปี" ฟันธง ! โดย คุณ Mr.Worldwide คือผมอยากแชร์ประสบการณ์วิธีผ่อนบ้านและคอนโด ที่ผมเคยทำตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์เงินเดือน เริ่มต้นตั้งแต่สมัยที่ผมยังมีเงินเดือนแค่ 14,000 บาท เมื่อประมาณ 18 ปีที่แล้ว เลื่อนตำแหน่งเปลี่ยนงานมาก็มาก จนปัจจุบันมาทำธุรกิจส่วนตัว จึงมั่นใจว่าวิธีการจัดการผ่อนบ้านของผมค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจสำหรับตัวเอง และคิดว่าน่าจะพอเป็นไกด์ไลน์ให้คนที่กำลังจะซื้อบ้านหรือคอนโดมาให้ทราบกันครับ   ขอบอกว่าแนวทางผมอาจจะ "อึดอัด" และต้องมี "วินัยสูง" แต่รับประกันว่าสามารถลดเวลาผ่อนสินทรัพย์ของท่านจาก 25-30 ปีหรืออาจจะมากกว่าจนผ่อน 7-10 ปีได้ !!! ยกตัวอย่างผ่อนบ้าน ผมเริ่มคิดที่จะมีสินทรัพย์แรกคือ ทาวน์โฮมครับ เป็นทาวน์โฮมที่อยู่เกือบจะในเมืองหรือเกือบจะนอกเมือง 555 (คือมันอยู่ปลาย ๆ พระราม 9) ราคาประมาณ 4 ล้านบาท สมัยนั้นผมทำงานบริษัท หน้าที่การงานดี ได้เงินเดือน ๆ ละ 55,000 บาทครับ พอตัดสินใจจะซื้อ เซลส์มักจะโน้มน้าวเราต่าง ๆ นานา เพราะเห็นว่าเราคงกู้ผ่านแน่ ๆ "ผ่อนเดือนละ 20,000 บาทเองค่ะ สบาย ๆ" ประโยคนี้อันตรายครับ เพราะหากเป็นคนทั่วไปมักจะคิดว่าเงินเดือน 5 หมื่นกว่าบาท ผ่อนแค่ 2 หมื่นบาท ชิล ๆ ใช่ไหมครับ ?   วิธีคิดของผมคือ ถ้าเราชอบสินทรัพย์นั้น ๆ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคอนโด บ้าน หรือทาวน์เฮ้าส์ แต่ท่านตั้งใจจะซื้อแน่นอน "ถ้าเราต้องผ่อน 20,000 บาท (ตัวอย่าง) ให้เราคิดว่าเราต้องผ่อนเป็น "2 เท่า" คือ 40,000 บาทให้ได้ ผมถึงจะซื้อครับ"   อ่านถึงตรงนี้คงมีคนบอก  "ถ้าอย่างนั้นอย่าผ่อนเลย ไม่มีวันมีบ้านหรอกชาตินี้" คิดแบบนั้นก็คือ ผ่อนไปตามนั้นเดือนละ 20,000 บาท ก็จะไปจบที่ผ่อน 25-27 ปี ถึงจะได้เป็นเจ้าของจริง ๆ (โดยประมาณของดอกเบี้ยลดต้นลดดอกของการผ่อนบ้าน) แต่ผมบอกแล้ววิธีผ่อนบ้านของผม "ฮาร์ดคอร์" ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น เพราะรู้ไหมครับว่าดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านแพงมาก ๆ ท่านจะทราบก็ต่อเมื่อเป็นลูกหนี้แล้วเท่านั้น เอาดอกเบี้ยมาตรฐานทั่วไป MLR-1% หรือดอกเบี้ยประมาณ 5-7% ต่อปี เพราะเวลาเราผ่อนบ้าน 1-3 ปีแรก มันจะมีดอกเบี้ยหลายแบบ ทั้ง 0% ปีแรกบ้าง ปีต่อไปลอยตัว (อันนี้ไม่ค่อยมีแล้ว) แบบขั้นบันไดบ้าง ผมขอไม่ลงดีเทลนะครับ ขอสมมุติว่าดอกเบี้ย 5-7% ต่อปีแบบเท่ากันหมด (ซึ่งส่วนใหญ่เราก็ผ่อนกันเกิน 3 ปีกันอยู่แล้ว แล้วค่อยรีไฟแนนซ์ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) แต่ถ้าเอาแบบบ้าน ๆ ก็คือ เวลาบิลเรียกเก็บค่างวดมาที่บ้าน หากท่านผ่อนเดือนละ 20,000 บาท ท่านจะเห็นในบิลเลยว่า ดอกเบี้ย = 12,000 บาท (หัก) เงินต้น = 8,000 บาท (เอาเลขกลม ๆ) นี่คือค่าผ่อนต่อเดือนนะครับ คราวนี้ดอกเบี้ยแพงหรือยังครับ กู้ไป 4 ล้านบาทเมื่อไรจะหมด ? (4,000,000-8,000 = 3,992,000)   แต่ผ่อน "2 เท่า" ตามวิธีของผมก็คือ 40,000 บาท เหลือกินใช้ 15,000 บาท (สำหรับคนไม่มีภาระนะครับ หากมีภาระแล้ว อยากใช้วิธีนี้แนะนำให้ดูสินทรัพย์ที่ถูกลงมาครับ) "20,000 บาทแรก" (ดอกเบี้ย 12,000 บาท+หักเงินต้น 8,000 บาท) "20,000 บาทหลัง" (หักเงินต้น 100% หรือหักไปเลยอีก 20,000 บาท)  ^_^ หมายความว่า ท่านจะสามารถหักเงินต้นเดือนนั้นได้ถึง 8,000+20,000 บาท หรือ "3.5 เท่า" ของการหักโดยปกติ (4,000,000-28,000 = 3,972,000)   เห็นไหมครับว่าเงินต้นที่กู้ธนาคารมาลดลงเร็วขึ้น เพราะเราได้จ่ายดอกเบี้ยสำหรับค่างวด 20,000 บาทแรกแล้ว ท่านก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ พอสิ้นปีได้โบนัส ถูกหวย หรือได้เงินพิเศษมาก็จ่ายเพิ่มหนักหน่อย แต่บางครั้งเราก็จำเป็นต้องใช้เงิน ท่านก็สามารถลดเงินค่างวดพิเศษลงได้หรือไม่จ่ายเพิ่มในเดือนนั้น แต่อย่าทำบ่อยนะครับ ถ้ามีครั้งแรกย่อมมีครั้งที่ 2 เสมอ   พอผ่านไปสัก 3 ปี ผมกล้าพูดได้เลยว่าเงินต้นที่ท่านกู้จะลดลงไปมาก ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทแน่นอนครับ หนี้จาก "4 ล้านบาทก็จะเหลือไม่ถึง 3 ล้านบาท ประมาณ 2 ล้านบาทปลาย ๆ (ถ้าผ่อนแบบปกติครบ 3 ปี เงินต้นจะลดไปแค่ 1 แสนบาทเองครับ ลองคิดดู) หากท่านมีวินัย โปะไปเรื่อย ๆ หนี้สินก็จะหมดภายใน 5-7 ปี แล้วท่านก็จะปลอดหนี้ ถ้าไม่สร้างหนี้เพิ่มเหมือนผม   วิธีการคือ ตากปกติธนาคารมักจะให้หักค่างวดจากบัญชีของธนาคารนั้น ๆ เลย (20,000 บาทแรก) โดยเราสามารถจ่ายเพิ่มได้อีก 1 เท่า (20,000 บาทหลัง) ได้โดยการไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ธนาคารนั้น ๆ ครับ แนะนำว่าควรไปจ่ายเพิ่มอีก 1 เท่าภายในเดือนนั้น ๆ แต่ควรเป็นต้นเดือน เพราะโดยปกติธนาคารจะเรียกเก็บค่างวดจากการหักบัญชีเราตอนสิ้นเดือน (ส่วนใหญ่วันที่ 30 ของทุกเดือน) เพราะถ้าเราจ่ายวันที่ 1 ของเดือนนั้น ธนาคารจะแอบคิดดอกเบี้ย 1 วัน (ประมาณ 500 บาท) หักเงินต้น (19,500 บาท) อ่าว…ไหนบอกหัก 100% ไง ?? คืออย่าเพิ่งตกใจครับ เพราะตอนธนาคารหักเงินจากบัญชีเรา วันที่ 30 ที่หักค่างวดปกติ ดอกเบี้ยก็จะคิดแค่ 29 วัน ไม่นับวันที่ 1 ที่เราจ่ายแล้วครับ เข้าใจแล้วใช่ไหมครับ   พอครบ 3 ปีเราค่อยไปรีไฟแนนซ์กับธนาคารอื่นที่เราจ่ายดอกเบี้ยน้อยกว่า เพราะจะมีโปรโมชั่นรีไฟแนนซ์ที่ดีกว่า เพราะพอครบ 3 ปีเราจะไม่ได้โปรโมชั่นจากธนาคารเดิมแล้ว "ปีที่ 4 ทุกธนาคารจะคิดดอกเบี้ยลอยตัวหมดครับ"  (ควรไปรีไฟแนนซ์หรือภาษาบ้าน ๆ เรียกว่าไปกู้ธนาคารอื่นครับ เพื่อโปรโมชั่นดอกเบี้ยที่ถูกลง อย่าทำก่อน 3 ปีนะครับ เพราะจะโดนค่าปรับไม่คุ้มครับ)   หวังว่าจะพอเป็นประโยชน์สำหรับคนที่คิดกู้เงินซื้อบ้านนะครับ วิธีการนี้หากใช้ให้เป็น มันสามารถสร้างสินทรัพย์ได้ 4-5 อันในระยะเวลาเท่า ๆ กัน เมื่อเทียบกับคนทั่วไปที่ใช้เวลา 25-30 ปี ในการสร้างสินทรัพย์แค่อันเดียว แล้วถ้าหากสินทรัพย์เหล่านั้นที่ท่านเลือกเป็นสินทรัพย์ที่ดี ออกดอกออกผล สร้างรายได้หรือกระแสเงินสด (Cash Flow) ให้ท่านต่อเดือน เช่น ให้ค่าเช่า มันก็จะเป็นรายได้ให้ท่านอีกทางหนึ่ง หรือที่สมัยนี้นิยมเรียกกันว่า "Passive Income" ขอขอบคุณข้อมูลผ่อนบ้านดีๆ จาก คุณ Mr.Worldwide สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม เกี่ยวกับการผ่อนบ้าน-คอนโด เคล็ดลับผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ดอกเบี้ยลด หมดหนี้ไว ผ่อนบ้านไม่ไหว ควรทำอย่างไรดี ผ่อนบ้านหมดไว เหมือนได้รถใหม่ 1 คัน
มันมากับหน้าฝน ตะขาบเข้าบ้านทำอย่างไรดี

มันมากับหน้าฝน ตะขาบเข้าบ้านทำอย่างไรดี

บ้านหลายหลังเจอปัญหาตะขาบเข้าบ้าน สร้างความรำคาญและน่าขนลุกขนพอง แต่หากคุณรู้วิธีจัดการกับตะขาบ ปัญหานี้ก็ไม่รบกวนคุณ ตะขาบชอบอยู่ในที่ชื้น ห้องที่มีความชื้น อย่างเช่นห้องใต้ดิน และห้องน้ำนั้น เป็นที่เหมาะสำหรับพวกมัน ตะขาบเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว และชอบออกมาในตอนกลางคืน แต่ทราบหรือไม่ว่ามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เราไม่ควรจะไปยุ่งกับมัน เพราะตะขาบช่วยฆ่าแมลงชนิดอื่น แน่นอนว่าในบ้านของเรานั้น มีแมลงอยู่หลายชนิดทั้งแมลงสาบ แมลงเม่า แมลงวัน และปลวก แมลงเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นที่รังเกียจสำหรับเราทั้งนั้น ซึ่งตะขาบแม้จะมีรูปร่างที่น่าเกลียดแต่มันก็ช่วยจัดการแมลงเหล่านี้ให้เรา นอกจากนี้ ตะขาบยังไม่เป็นพาหะนำเชื้อโรค ไม่ได้ทำให้เครื่องเฟอร์นิเจอร์ไม้เสียหาย ไม่ยุ่งกับอาหารของมนุษย์ มันเป็นแค่แมลง แต่ทั้งนี้ เราอาจจะเคยได้ยินมาว่า เราไม่ควรจับตะขาบด้วยมือเปล่า เพราะมันมีพิษ ซึ่งแน่นอนว่า เราอาจจะถูกมันกัด แม้พิษของมันจะไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องไปสัมผัสมัน แต่หากต้องการนำมันออกไปให้พ้น ก็เพียงแค่กวาดใส่ที่ตักผง แล้วนำไปปล่อยข้างนอกบ้านก็พอแล้ว และสำหรับผู้ที่ต้องการจะป้องกันไม่ให้ตะขาบเข้าบ้าน ก็มีวิธีเช่นกันคือ ปิดช่องทางต่าง ๆ ที่จะทำให้ตะขาบเข้ามาในตัวบ้านได้ กำจัดแมลงภายในบ้านที่เป็นอาหารของตะขาบ ใช้อุปกรณ์ป้องกัน หรือดูดความชื้นภายในบ้าน ติดตั้งพัดลมดูดอากาศในห้องน้ำเพื่อระบายความชื้น จุดที่มีรอยแยกรอยแตกตามบ้าน ให้ปิดให้หมด เพราะตะขาบมักจะไปวางไข่ตามช่องเหล่านั้น กำจัดของที่มีความเปียกชื้น ไม่นำเอาของเหล่านั้นเข้ามาในตัวบ้าน   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.sanook.com
เทคนิคใช้ไฟฟ้าอย่างไรให้ปลอดภัยในหน้าฝน

เทคนิคใช้ไฟฟ้าอย่างไรให้ปลอดภัยในหน้าฝน

เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากฝนตกฟ้าคะนองจะทำให้การเดินทางไปไหนมาไหนลำบากแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่อยากให้ทุกคนคำนึงถึงนั่นคือ การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วงหน้าฝน หรือฝนตกหนัก เพราะฤดูฝนแบบนี้มักเกิดเหตุไฟดูด ไฟช็อตได้บ่อยครั้ง มาดูกันว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ควรระมัดระวัง 1.ระมัดระวังเวลาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่วางไว้ในที่ชื้น มีเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภทมักตั้งอยู่ในบริเวณที่มีความชื้นเช่นปั๊มน้ำ เครื่องซักผ้า ดังนั้นเวลาใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ควรเพิ่มความระมัดระวัง สวมรองเท้าก่อนเข้าไปสัมผัสหรือใช้งานเพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่ว 2.ไม่ควรใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าขณะตัวเปียก เรื่องนี้เรารู้กันอยู่แล้ว แต่บางครั้งอาจหลงลืม หลายๆ คนพอตัวเปียกฝน หรือชื้นๆ มาจากนอกบ้าน พอเข้ามาในบ้านอาจเผลอตัวไปสัมผัสปลั๊กไฟ หรือบางคนชอบใช้ไดรฟ์เป่าผมหลังสระผมใหม่ๆ ซึ่ง ไม่แนะนำให้ทำแบบนั้น เนื่องจากหากเกิดไฟรั่วกระแสไฟจะผ่านร่างกายได้สะดวกขึ้น และเมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าช็อตเราควรทำอย่างไร 1.ห้ามเข้าไปช่วยผู้ถูกไฟฟ้าช็อต จนกว่าจะแน่ใจว่าผู้บาดเจ็บไม่ได้สัมผัสกับสายไฟฟ้าหรือตัวนำไฟฟ้าใดๆ ถ้าจำเป็นต้องหาวัสดุที่เป็นฉนวนไม่นำกระแสไฟฟ้า เช่นไม้ หรือผ้ามาเขี่ยสายไฟออกจากผู้บาดเจ็บก่อน 2.ถ้าผิวหนังผู้ที่จะช่วยเปียกชื้น ห้ามเข้าไปช่วยเพราะยิ่งเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าและอาจถูกไฟฟ้าดูดได้ วิธีป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด หมั่นตรวจเช็คอุปกรณ์และสายไฟ และควรซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด บริเวณที่วางสายไฟไม่ควรให้สิ่งของที่หนักไปทับ และวางให้พ้นทางเดิน เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ควรเปียกน้ำ ห้ามซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเองโดยที่ไม่มีความรู้ ไม่ควรใช้ไฟฟ้าหลายอย่างกับปลั๊กไฟตัวเดียว ต่อสายดินเพื่อให้ไฟลงดิน และควรติดตั้งเครื่องตัดไฟฟ้าลัดวงจรภายในบ้าน เพื่อความปลอดภัยและเป็นการป้องกันที่ดี สิ่งเหล่านี้สามารถป้องกันได้ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายที่รุนแรง   ขอขอบคุณข้อมูลจาก คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล home.sanook.com
เก็บเงินซื้อบ้านทั้งที ต้องเก็บส่วนไหน เก็บอย่างไรบ้าง?

เก็บเงินซื้อบ้านทั้งที ต้องเก็บส่วนไหน เก็บอย่างไรบ้าง?

เชื่อการมีบ้านซักหลังคือความฝันของใครหลาย ๆ คน แม้ว่าการเก็บเงินซื้อบ้านในฝันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถหากมีความตั้งใจ และหากผู้อ่านก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ฝันอยากจะมีบ้านซักหลัง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นเก็บเงินอย่างไร วันนี้เรามีเทคนิคมาฝากค่ะ สิ่งที่ต้องทำเมื่อคิดจะเก็บเงินซื้อบ้าน 1.ตั้งเป้าหมาย หากคุณตัดสินใจที่จะมีบ้านเป็นของตัวเอง สิ่งแรกที่ควรทำคือ การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เช่น ต้องรู้ว่าตัวเองต้องการจะมีบ้านแบบไหน เป็นบ้านเดี่ยว บ้านสองชั้น ทาวน์เฮ้าส์ ห้องแถว หรือคอนโด ต้องการอาศัยอยู่ในพื้นที่ไหนมีทำเลแบบใด (ชานเมือง หรือ ใจกลางเมือง) รวมถึงราคาที่คุณต้องการด้วย 2.ประมวลความสามารถของตัวเอง การประมวลความสามารถ คือ การประมวลว่ามีรายได้และค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่เท่าไหร่ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นตัวบอกได้ดีว่า คุณมีความสามารถมากพอที่จะรับภาระการเก็บเงินดาวน์บ้าน หรือผ่อนชำระค่างวดบ้านหรือไม่ การประมวลรายรับและรายจ่ายของตัวเอง จะทำให้รู้ตัวเองว่า เป้าหมายที่ตั้งไว้เล็กหรือใหญ่เกินไปนั่นเองค่ะ 3.ลดรายจ่าย การลดรายจ่ายสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่มีวินัยในการออมและใช้เงินอย่างมีสติ ยิ่งมีความฝันว่าอยากจะมีบ้านเป็นของตัวเองแล้วล่ะก็ การลดรายจ่ายจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากเลยทีเดียว เพราะเมื่อรู้ว่าสิ่งไหนสมควรจ่าย สิ่งไหนเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย จะช่วยลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้ และการลดรายจ่ายจะทำให้มีเงินออมเพิ่มมากขึ้น 4.ปลดหนี้ให้หมดก่อนตัดสินใจกู้ซื้อบ้าน เนื่องจากบ้านหนึ่งหลังมีราคาที่ค่อนข้างสูง และเป็นสินค้าที่ใช้ระยะเวลาในการผ่อนชำระนานกว่าสินค้ารูปแบบอื่น ๆ ดังนั้นหากคิดวางแผนจะซื้อบ้าน แนะนำให้เคลียร์หนี้สินที่ค้างอยู่ให้หมดเสียก่อน เพราะหากต้องผ่อนหนี้อื่นไปพร้อม ๆ กับการผ่อนชำระค่างวดบ้าน จะเป็นภาระที่หนักเกินไป เทคนิคการเก็บเงินซื้อบ้าน 1.เก็บเงินเท่า ๆ กันทุกเดือน แม้ว่าในปัจจุบันธนาคารหลายแห่งจะเปิดโอกาสให้สามารถขอสินเชื่อกู้ซื้อบ้านกันได้ง่ายมากขึ้น เพียงแค่มีสลิปเงินเดือน ก็สามารถยื่นเอกสารขอกู้เงินเพื่อซื้อบ้านได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงนั้น อยากให้ลองคิดถึงดอกเบี้ยที่จะตามมาให้เยอะ ๆ เพราะการที่ทำเรื่องกู้ซื้อบ้านจากธนาคาร 100% แม้จะทำให้ได้บ้านในฝันสมใจ แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ ภาะระเงินต้นและดอกเบี้ยที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวแทบไม่ทัน จึงเป็นเหตุผลที่แนะนำให้เก็บเงินให้ได้ซักก้อนก่อนจะตัดสินใจดาวน์บ้าน เพราะยิ่งเก็บเงินดาวน์บ้านได้จำนวนมากเท่าไหร่ เงินต้นและดอกเบี้ยที่ต้องผ่อนกับธนาคารก็จะลดน้อยลงด้วย ซึ่งการทำแบบนี้จะส่งผลดีในระยะยาว และหากตั้งเป้าหมายว่าจะซื้อบ้านซักหลัง แนะนำให้เริ่มต้นเก็บเงิน โดยหักจากรายได้ประจำซัก 15-20% และนำเงินจำนวนนี้ฝากบัญชีสำหรับซื้อบ้านไว้ ในจุดนี้จะต้องมีวินัยทางการเงินเป็นอย่างมาก ห้ามเบิกเงินจากบัญชีสำหรับซื้อบ้านออกมาใช้โดยเด็ดขาด ท่องไว้ว่า “เพื่อบ้านในฝัน” 2.หาช่องทางการลงทุน การเก็บเงินใส่บัญชีเงินฝากของธนาคารไว้ แม้จะเป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ก็ได้ผลตอบแทนน้อยเพราะกว่าจะเก็บเงินได้ถึงจำนวนที่ต้องการ ราคาบ้านก็อาจจะสูงขึ้นไปจากเดิม ดังนั้นช่องทางการลงทุนจึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี ซึ่งช่องทางการลงทุนที่อยากแนะนำ คือช่องทางการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนสูง อย่างการลงทุนในกองทุน LTF/RMF การลงทุนพันธบัตรรัฐบาล ซื้อกองทุนรวม เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุนกับกองทุนอะไร ควรศึกษาข้อมูลการลงทุนต่าง ๆ ให้ดีเสียก่อน เพื่อให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ 3.หาอาชีพเสริม หากอยากมีเงินก้อนไปดาวน์บ้านในฝันเร็ว ๆ แต่ไม่อยากเสี่ยงลงทุน การทำงานพิเศษเสริมเพิ่มรายได้ ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี  เมื่อคุณมีอาชีพเสริมก็หมายความว่า รายได้ต่อเดือนจะเพิ่มมากขึ้น และความสามารถในการเก็บเงินก็เพิ่มตามไปด้วย นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว เมื่อตัดสินใจที่จะซื้อบ้าน นอกจากจะเคลียร์หนี้สินก่อนหน้าให้หมด ระหว่างที่ผ่อนชำระบ้านก็ไม่ควรก่อหนี้เพิ่ม เพราะจะทำให้ภาระในการชำระหนี้มีสูงเกินกว่าที่จะรับผิดชอบไหวนั่นเอง   ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.banidea.com/
ลดความร้อนที่ผนังก่ออิฐฉาบปูนได้อย่างไรบ้าง

ลดความร้อนที่ผนังก่ออิฐฉาบปูนได้อย่างไรบ้าง

การลดความร้อนที่ผนังบ้าน นับเป็นอีกหนึ่งในองค์ประกอบของการทำบ้านเย็น และบ้านประหยัดพลังงาน สำหรับเมืองร้อน  โดยหลักแล้วการทำให้ผนังบ้านร้อนน้อยลงมีอยู่ 2 วิธี  วิธีแรกเป็นการ “ปกป้องผนังจากแสงแดด” กับอีกวิธีคือ “ทำให้ผนังกันความร้อนได้มากขึ้น” การปกป้องผนังจากแสงแดดทำได้โดยสร้างร่มเงาเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ ติดตั้งหลังคากันสาด   แผงบังแดด  ระแนงกันแดด เป็นต้น ภาพ: แผงบังแดดตามทิศต่างๆ ของบ้าน ส่วนการทำให้ผนังกันความร้อนได้มากขึ้นนั้น โดยทางทฤษฎีก็คือ การเพิ่ม “ค่ากันความร้อน” ให้กับผนัง  ซึ่งจะทำให้ความร้อนผ่านผนังเข้ามาในบ้านได้น้อยลง ค่ากันความร้อนของวัสดุจะวัดเป็นตัวเลขได้ในรูปของ  ค่า R (มีหน่วยเป็น m2K/W) โดยค่า R ยิ่งสูงยิ่งกันความร้อนได้มาก ปกติแล้วผนังก่ออิฐมอญฉาบปูน 2 ด้าน หนา 10 ซม. จะมีค่า R = 0.3 m2K/W  ทั้งนี้การนำวัสดุอื่นๆ ที่ช่วยกันความร้อนได้มาติดตั้งกับผนังก่ออิฐฉาบปูน ไม่ว่าจะเป็น แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ ไม้ฝา ฉนวนกันความร้อนใยแก้ว ก็จะทำให้ค่า R ของผนังเพิ่มขึ้น ภาพ: ค่า R ของระบบผนังต่างๆ วิธีที่แนะนำทั่วไปในการเพิ่มค่ากันความร้อนให้กับผนังบ้านที่เป็นก่ออิฐฉาบปูน คือ การติดตั้งฉนวนกันความร้อนใยแก้ว ไว้ที่ผนัง โดยมีขั้นตอนคือ ให้ตีโครงคร่าวเหล็กกล่องบนผนัง แล้วนำฉนวนกันความร้อนใยแก้วติดตั้งระหว่างช่องโครงคร่าว จากนั้นปิดทับด้วยไม้ฝา ไม้เทียม หรือวัสดุแผ่นอย่างแผ่นยิปซั่ม (เฉพาะกรณีติดตั้งฝั่งภายในบ้าน) แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ แผ่นไม้อัดซีเมนต์ การติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่ผนังนั้น จะติดตั้งไว้ฝั่งภายนอกบ้านหรือภายในบ้านก็ได้  หากเลือกติดตั้งฝั่งภายในบ้าน ความหนาของฉนวนและวัสดุปิดทับจะทำให้พื้นที่ในบ้านลดลง แต่ก็มีข้อดีคือ สามารถเลือกใช้วัสดุปิดทับได้หลากหลายและมีลูกเล่นเยอะกว่าการติดตั้งฉนวนไว้ภายนอกซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องวัสดุปิดทับที่ต้องทนแดดทนฝน และยังต้องป้องกันไม่ให้น้ำรั่วไหลเข้าไปในผนังได้ ภาพ: การติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่ผนังด้านนอก และปิดทับด้วยไม้ฝาแนวนอน ภาพ: กรณีเป็นผนังด้านใน จะสามารถติดตั้งไม้ฝาในแนวตั้งได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำรั่วเข้าในผนัง บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​ 
ไอเดียแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น

ไอเดียแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น

การแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น ที่คงความเรียบง่าย แต่ดูยังไงก็ไม่เบื่อ ใครที่กำลังอยากได้ไอเดียไปจัดห้องใหม่ ลองมาดูไอเดียแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่นกันได้เลยค่ะ หลักการง่ายๆ ไม่มีอะไรยาก แค่เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้กับโทนสีขาวหรือสีเอิร์ธโทน ให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามา เน้นความเรียบง่าย ความเป็นธรรมชาติ และความรู้สึกอบอุ่น หรือจะหาต้นไม้สีเขียวๆ มาวางประดับ เท่านี้ก็ได้ห้องตามแบบฉบับสไตล์ญี่ปุ่นแล้วค่ะ 1.แต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น ด้วยประตูบานเลื่อนกระดาษ ไอเดียแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น ที่ยังไงยังไงก็ดูญี่ปุ่น ก็คือการใช้ประตูบานเลื่อนกระดาษ หรือจะเลือกใช้เป็นหน้าต่างบางบานก็ได้ ข้อดีก็คือ เราจะได้แสงธรรมชาติที่ส่องเข้ามาจากช่องกระดาษเหล่านี้ด้วย   ขอบคุณภาพจาก pinterest : anutammiste ประตูบานเลื่อนตามสไตล์ญี่ปุ่นที่แท้จริง ส่วนมากจะใช้เป็นขอบวัสดุสีไม้ แต่สามารถประยุกต์ประตูบานเลื่อนกระดาษ ให้ดูทันสมัยขึ้นด้วยการเปลี่ยนสีขอบช่องหน้าต่างให้เป็นสีดำหรือขาวได้อีกด้วย ขอบคุณภาพจาก pinterest.com : yankeebarnhomes.stfi.re ในสมัยก่อนประตูบานเลื่อนอาจจะใช้เป็นกระดาษสา ซึ่งขาดได้ง่าย แต่สมัยนี้สามารถเปลี่ยนให้เป็นพลาสติกหรือกระจกติดฟิล์มสีขาวขุ่น หรืออาจจะใช้เป็นกระจกแล้วใส่ม่านสีขาวเข้าไป ก็สามารถสร้างอารมณ์ญี่ปุ่นๆได้เช่นกัน   ขอบคุณภาพจาก pinterest : slidingdoorco หากการเปลี่ยนประตูดูยากเกินไป แต่ว่ายังอยากแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่นอยู่ก็สามารถประยุกต์รูปแบบของประตูบานเลื่อนกระดาษมาใช้กับเฟอร์นิเจอร์หรือการตกแต่งอื่นๆ ได้เช่นกัน เช่น ประตูตู้เสื้อผ้า หรือฉากกั้น Walk in Closet 2.เฟอร์นิเจอร์ไม้แบบเรียบง่าย ให้การแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่นสมบูรณ์ขึ้น หลักการพื้นฐานของการแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่นก็คือ การใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นหลัก ตกแต่งผสมผสานกับโทนสีขาว หรือสีเอิร์ธโทน ถ้าแต่งห้องตามหลักการนี้ ยังไงสไตล์ห้องของคุณก็ต้องเป็นสไตล์ญี่ปุ่นแน่นอน   ขอบคุณภาพจาก pinterest : sightunseen เฟอร์นิเจอร์ไม้เรียบง่ายแบบมินิมอล จะจัดวางตรงไหนก็ยังคงรู้สึกอบอุ่นและไม่น่าเบื่อ   ขอบคุณภาพจาก pinterest : decomyplace.com ถึงแม้จะมีของเยอะ หรือมีของตกแต่งแนวอื่นๆ เพียงแค่คุมโทนของห้องด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ยังไงก็ให้ฟีลห้องสไตล์ญี่ปุ่น 3.ช่องแสงธรรมชาติก็แต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่นได้ การที่แสงธรรมชาติส่องเข้ามา ทำให้ห้องและสิ่งของต่างๆ มีแสงเงาและมิติ พร้อมให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบไม่ต้องแต่งอะไรให้มาก ขอบคุณภาพจาก pinterest : decorfacil ในห้องๆ หนึ่งควรหาช่องทางให้แสงสว่างจากภายนอกเข้ามาในห้องได้อย่างเต็มที่   ขอบคุณภาพจาก pinterest : sfgirlbybay หากห้องของคุณมีขนาดปานกลาง ไม่ใหญ่มาก การที่มีช่องแสงธรรมชาตินั้นจะช่วยให้ห้องดูโปร่งและดูอบอุ่นตลอดเวลา 4.ไอเทมยอดฮิตสำหรับแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น : เสื่อ เบาะ หมอนอิง โต๊ะเล็ก อีกไอเดียของการแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น นั่นก็คือ การใช้ เสื่อ เบาะ หมอนอิง โต๊ะเล็กมาจัดวางเป็นองค์ประกอบหนึ่งของห้อง แค่นี้ก็ได้กลิ่นอายห้องสไตล์ญี่ปุ่นแล้ว   ขอบคุณภาพจาก pinterest : dwellmedia จัดสรรพื้นที่ให้เป็นมุมพักผ่อนหย่อนใจที่แสนจะเรียบง่ายด้วยเสื่อและเบาะรองนั่ง ให้ความเป็นธรรมชาติสไตล์ญี่ปุ่นได้อย่างแท้จริง   ขอบคุณภาพจาก pinterest : allabout.co.jp มุมรับประทานอาหารก็สามารถเป็นอีกมุมที่เลือกใช้เบาะกับโต๊ะเล็กได้ และอาจจะตกแต่งด้วยของน่ารักๆ อย่างโคมไฟแบบญี่ปุ่น กระถางต้นไม้ หรือกรอบรูปที่เข้ากันได้ดี   ขอบคุณภาพจาก pinterest : hicbc.com พื้นที่ที่นำเบาะกับโต๊ะเล็กมาจัดวางไว้ โดยไม่จำเป็นต้องปูเสื่อแต่สามารถเลือกใช้พรมสีอ่อนๆ ที่เข้ากับห้องนั้นๆ ได้ ทำให้ห้องดูกว้างแถมยังใช้เป็นพื้นที่อเนกประสงค์ ที่จะสามารถนั่ง นอน ได้อย่างสะดวก 5.แต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่นแบบธรรมชาติ เสริมด้วยเอิร์ธโทน ถ้าใครได้ไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น แล้วลองสังเกตบ้านเรือนของชาวญี่ปุ่นจะต้องมีวัสดุต่างๆ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติมาตกแต่งเสมอ เช่น ไม้ ไม้ไผ่ หรือต้นไม้สีเขียว และโทนสีหลักๆ จะเน้นไปที่เอิร์ธโทน   ขอบคุณภาพจาก pinterest : muji.net การตกแต่งแบบธรรมชาติแบบสีเขียวนั้น ไม่ได้หมายความว่าให้ปลูกต้นไม้ในห้องนะ แค่เป็นการนำต้นไม้ใบไม้ใส่กระถางแบบมินิมอลมาวางประดับไว้เล็กๆ น้อยๆ พอให้สัมผัสถึงธรรมชาติได้บ้าง   ขอบคุณภาพจาก pinterest : anikolevai แม้ว่าระเบียงห้องของคุณจะมีพื้นที่น้อย อาจจะไม่สามารถปลูกต้นไม้ใหญ่ๆ ได้ แต่ก็สามารถเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้ด้วยวิธีอื่นๆ อย่างเช่น การผูกเชือกกับกระถางต้นไม้ หรือทำเป็นชั้นวางต้นไม้จิ๋วแบบลอยอยู่กับระเบียง ที่สำคัญอย่าลืมเช็คว่าต้นไม้ต้นนั้น ต้องการแดดแค่ไหนนะคะ   ขอบคุณภาพจาก pinterest : littlepieceofme.com สีเอิร์ธโทนตามสไตล์ญี่ปุ่น หลักๆ จะเป็นสีโทนน้ำตาล เขียวหรือสีที่เข้ากับสีขาวหรือดำ เช่น สีเบจ สีของไม้ โทนสีนี้เหล่านี้จะช่วยให้รู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ผ่อนคลาย และอบอุ่น หรืออาจจะตกแต่งผสมกับการเลือกใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติโดยตรงก็เป็นได้   ไอเดียแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น ยังคงเป็นที่นิยมเพราะการจัดวางสิ่งของและวัสดุที่เน้นความเรียบง่าย เข้ากับธรรมชาติเป็นสไตล์ที่ไม่มีอะไรมาก แม้ว่าพื้นที่อาจจะมีไม่เยอะแต่เมื่อแต่งห้องรูปแบบแบบนี้แล้ว ทำให้ดูอบอุ่น น่าอยู่ไปอีกเท่าตัว รวมไอเดียแต่งห้องสไตล์ญี่ปุ่น T House ยกญี่ปุ่นมาไว้ในคอนโดใจกลางเมือง How to แต่งห้องนอนสไตล์ Zen สร้างบรรยากาศแบบญี่ปุ่น แบบบ้านชั้นเดียว หลังเล็กๆ เรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่น    
ไอเดียแต่งห้องนั่งเล่น ครบทั้งทำงาน และ พักผ่อน

ไอเดียแต่งห้องนั่งเล่น ครบทั้งทำงาน และ พักผ่อน

ไอเดียแต่งห้องนั่งเล่น ครบทุกฟังค์ชั่น ด้วยปัญหาสำหรับผู้ที่ซื้อบ้านใหม่ หรือ กำลังเริ่มต้นที่จะรีโนเวทบ้าน ซึ่งต้องการใช้พื้นที่ในบ้านให้คุ้มค่าที่สุด และกำลังมองหาไอเดีย สำหรับ แต่งห้อง สำหรับหลายๆห้องในบ้าน ซึ่งนอกจากห้องรับแขกที่หลายๆบ้านให้ความสำคัญแล้ว การมีห้องนั่งเล่น ในบ้านก็เป็นอีกหนึ่งไอเดีย ที่กำลังได้รับความนิยม ในสมัยนี้ วันนี้เรามีไอเดียในแต่งห้องนั่งเล่น ให้ได้คุ้มค่าที่สุด ทั้งใช้เป็นห้องทำงานในตัว รวมถึงเป็นห้องพักผ่อน จะนั่งอ่านหนังสือ หรือ หลายๆกิจกรรมกับคนในครอบครัวได้ โดยไม่ต้องแยกกันอยู่คนละห้อง เชิญอ่านตัวอย่างไอเดีย แต่งห้องนั่งเล่น ที่ครบทุกฟังค์ชั่น ได้ที่นี่   1.แบ่ง 2 โซนในห้องเดียว ไอเดียแต่งห้องนั่งเล่นนี้ใช้การแบ่งโซนของห้องเป็น 2 โซน โดยยังใช้แอร์ และ ทีวี ร่วมกันได้ แต่ทว่าใช้งานต่างกัน โซนนึงดูทีวี และ พักผ่อน  ส่วนอีกโซนนนั่งทำงานอดิเรกได้   ขอบคุณภาพจาก : pinterest.com : California Closets   2.แบ่งมุมย่อย โดยใช้เฟอร์นิเจอร์ แยกโซน การจัดห้องนั่งเล่นสไตล์นี้ ที่ใช้สีของเฟอร์นิเจอร์ไม้คุมโทนของห้อง พร้อมทั้งหาเฟอร์นิเจอร์ อย่างตู้เก็บของ และ โซฟายาว มาเป็นตัวช่วยแบ่งโซน ประโยชน์คือ ทำให้สมาชิกในบ้านสามารถทำกิจกรรมได้ในห้องด้วยกัน โดยแต่ละคน จะพื้นที่ส่วนตัวของตัวเองในการใช้งาน   ขอบคุณภาพจาก : pinterest.com :  kurashicom.jp   3.ใช้เป็นห้องทำงาน แล้วแยกโซนด้วยโต๊ะยาว สำหรับการแต่งห้องนี้ เหมาะกับคู่รัก ที่ต้องการใช้ห้องนั่งเล่น มาเป็นห้องทำงานที่คุ้มค่าของสองเรา ซึ่งใช้เฟอร์นิเจอร์อย่างโต๊ะ มาแบ่งครึ่งของแต่ละโซนทำงานของตัวเอง ดูเหมือนห้องทำงานจริงจัง แต่ขณะเดียวกัน  ก็ยังทำให้ห้องนั่งเล่นนี้ เป็นเป็นห้องทำกิจกรรมอย่างอื่นได้ เพียงหมุนโต๊ะมาเจอกัน หรือ หากมีลูกน้อยขึ้นมา ก็สามารถให้เค้ามานั่งขีดเขียนวาดรูป ที่โต๊ะกลางนี้ได้ โดยที่ทั้ง 3 คน ยังอยู่ในห้องเดียวกันได้   ขอบคุณภาพจาก :  pinterest.com : decorology.blogspot.com 4.จัดห้องสันทนาการเพื่อลูก และ ครอบครัว สำหรับไอเดียจัดห้องนี้เหมาะมากสำหรับครอบครัวลูกเล็ก ต้องการห้องที่ไว้ทำกิจกรรมร่วมกัน โดยเฉพาะกิจกรรมกับลูก ซึ่งการจัดห้องนี้ ลูกทำกิจกรรม ส่วนพ่อแม่ก็สามารถใช้โต๊ะทรงสูง ที่สามารถนั่งข้างๆลูกได้ ซึ่งการเลือกเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องนี้ จำเป็นต้องเลือกสร้างขนาด เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานของคนทั้งสองวัย   ขอบคุณภาพจาก : http://www.decoist.com/home-office-playroom-combo-designs/ 5.ห้องนั่งเล่นขนาดเล็ก สำหรับคู่รัก การจัดห่องนั่งเล่นรูปทรงตัว L นี้ เมื่อเดินเข้ามาจะทำให้คุณรู้สึกไม่คับแคบ แต่สามารถใช้พื้นที่ได้คุ้มค่า ฝั่งนึงให้คู่รักไว้สำหรับทำงาน ส่วนอีกฝั่งทำเป็นโซฟายาว หากนั่งทำงานนานๆ สามารถมาเอนหลังอ่านหนังสือ ซึ่งการแต่งห้องนั่งเล่นแบบนี้ จะเหมาะอยู่กับเพียง 1-2 คน   ขอบคุณภาพจาก :  pinterest.com : hepok.com 6.ห้องเดียวครบ สำหรับคนโสด คนโสด หรือ คนที่อยู่คอนโด ที่ต้องการใช้ห้องที่เหลือซักห้องให้คุ้ม การจัดห้องลักษณะนี้ ที่ใช้โต๊ะทำงาน และ โซฟาที่มีตู้เก็บของด้าน รวมถึงตู้เสื้อผ้า  ทำให้ใช้ห้องนี้ได้ใช้ประโยชน์ครบถ้วน  ทั้งเป็นห้องแต่งตัว และ ห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น และอีกประโยชน์คือ เมื่อนำเฟอร์นิเจอร์ อย่างตู่เสื้อผ้ามารวมด้วย จะทำให้ส่วนอื่นๆ ของคอนโดของคุณได้เหลือพื้นที่เพิ่มมากขึ้น   ขอบคุณภาพจาก :  pinterest.com :  interiorholic.com 7.ห้องนั่งเล่นเล็ก เล่นระดับ การจัดห้องนั่งเล่นลักษณะนี้จะเหมาะกับคนบ้านที่ห้องขนาดเล็ก แต่ต้องการใช้ประโยชน์ครบถ้วน ซึ่งการเล่นระดับของเฟอร์นิเจอร์อย่างโซฟา ทำให้ห้องนี้ดูไม่คับแคบ และ ทำให้ห้องดูสนุก เช่น เบื่อมุมนี้ ก็สามารถมานั่งมุมนั้นได้ ขอบคุณภาพจาก :  pinterest.com :  the36thavenue 8.ห้องนั่งเล่นแบบ 4 คนพ่อแม่ลูก การจัดห้องนั่งเล่นลักษณะนี้เรียกว่า สำหรับครอบครัวที่อยากให้ทุกคนมารวมใช้ประโยชน์จากห้องนี้ให้มากที่สุด สามารถรองรับการใช้งานได้ถึง 4 คน ซึ่งอาจเป็นพ่อ แม่ ลูกชาย ลูกสาว อีกทั้งจะมีมุมโซฟา ที่ติดกับหน้าต่าง ซึ่งช่วยดึงแสงจากข้างนอกเข้ามา ทำให้ห้องนี้ ดูสว่างและไม่คับแคบ เมื่อมีหลายคนอยู่ร่วมกัน  เรียกว่าเปิดแอร์ 1 เครื่องคุ้มที่สุดเลย   ขอบคุณภาพจาก :   pinterest.com : caclosets   เลือกการจัดห้องนั่งเล่นแบบไหนที่โดนใจสำหรับคุณที่สุด จากทุกไอเดียเรื่องการจัดห้องนั่งเล่นนั้น จะเห็นได้ว่าขนาดของห้อง และ มุมของหน้าต่าง มีผลต่อการปรับพื้นที่เพื่อใช้เป็นห้องนั่งเล่น ของคุณ ดังนั้น ขอให้คุณลองพิจารณาก่อนว่า จะเลือกห้องใด ขนาดใดมาทำ และนำไอเดีย จากทีมงาน Reviewyourliving.com ปรับใช้กันดู
ผนัง Precast สามารถเจาะเพิ่มช่องประตูหรือหน้าต่างได้หรือไม่

ผนัง Precast สามารถเจาะเพิ่มช่องประตูหรือหน้าต่างได้หรือไม่

“Precast Concrete” ระบบผนังคอนกรีตสำเร็จรูปที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในวงการก่อสร้างปัจจุบัน โดยเฉพาะโครงการหมู่บ้านและคอนโดมิเนียมต่างๆ ด้วยความที่ช่วยประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนในการก่อสร้างได้พอสมควร แต่สำหรับผู้อยู่อาศัยที่เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในบ้านไปสักระยะหนึ่งแล้ว หากต้องการปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยบางส่วนที่ส่งผลให้ต้องเจาะผนังเพิ่มเพื่อขยายขนาดช่องเปิดหรือเพิ่มช่องประตูหน้าต่างใหม่ด้วยแล้ว อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ภาพ:  กระบวนการผลิตชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูปที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ มีความถูกต้องแม่นยำทั้งเรื่องตำแหน่งและขนาดช่องเปิดจากโรงงาน พร้อมบริการขนส่งไปยังไซต์งานบ้านลูกค้า ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า Precast เป็นผนังคอนกรีตเสริมเหล็กหล่อสำเร็จที่ขึ้นรูปมาจากโรงงานพร้อมติดตั้งที่หน้างานจริง ทำหน้าที่เป็นผนังรับน้ำหนักโดยไม่ต้องมีโครงสร้างเสาคานมารองรับ มีช่องประตูหน้าต่างที่เจาะสำเร็จมาจากโรงงาน ส่วนที่ไม่ได้เจาะช่องเปิดนั้นจะมีเสาเหล็กเดินอยู่ภายในตามจำนวนและขนาดที่วิศวกรได้คำนวณไว้เพื่อให้สามารถรับน้ำหนักบ้านทั้งหลังได้อย่างแข็งแรง การเจาะผนังบางส่วนออกจึงอาจจะเจอเหล็กเส้นที่เดินอยู่ภายในผนังนั้นๆ และการจะตัดเหล็กบางส่วนออกก็จะมีผลกระทบกับโครงสร้างโดยรวมทั้งหลังได้ จึงไม่แนะนำให้เจาะช่องเปิดเพิ่มเพื่อทำประตูหน้าต่าง แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องทำจริงๆ ก็ควรปรึกษาวิศวกรโครงการเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ ภาพ:  ผนังสำเร็จรูป Precast เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างบ้าน ภาพซ้าย: ผนัง Precast ซึ่งทำหน้าที่เป็นผนังรับน้ำหนัก  ภาพขวา: ผนังก่ออิฐฉาบปูน ดังนั้นเมื่อเราตัดสินใจจะซื้อบ้านสักหลัง นอกจากรูปแบบที่ใช่ สไตล์ที่ชอบ ฟังก์ชันใช้สอยภายในบ้านตอบโจทย์เราได้ดีแล้ว ยังควรศึกษาเพิ่มเติมว่าบ้านที่เราจะซื้อเป็นระบบใด เพราะหากโครงการบ้านจัดสรรก่อสร้างด้วยระบบ Precast การจะเปลี่ยนจะปรับหรือจะเจาะช่องเปิดเพิ่มคงไม่ง่ายนัก และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องคำนึงคือบ้านต้องมีการก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน แข็งแรงทนทาน ให้เราสามารถอาศัยอยู่ได้อย่างสบายใจตราบนานเท่านาน บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​ 
หน้าต่างวงกบและบานกรอบไม้ไม่เก็บเสียง แก้ไขอย่างไร?

หน้าต่างวงกบและบานกรอบไม้ไม่เก็บเสียง แก้ไขอย่างไร?

สำหรับบ้านเก่าที่ใช้ประตูหน้าต่างไม้ไม่ว่าจะเป็นบานเปิด บานติดตาย หรือบานเกล็ดนั้น ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเสียงเล็ดลอด สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะประตูหน้าต่างไม้รุ่นเก่ามักไม่มีขอบยางกันเสียงที่ช่วยให้ปิดได้มิดชิด (ต่างกับประตูหน้าต่างอะลูมิเนียม ไวนีล และหน้าต่างไม้บานติดตายแบบใหม่ที่มีการใช้ซิลิโคนยิงวงกบไม้เข้ากับกระจก)  วิธีที่ช่วยลดเสียงรบกวนได้คือการทำให้รอยต่อมิดชิดมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการเสริมเส้นยางตลอดแนววงกบ  หรือติดตั้งไม้ชิ้นบังช่องรอยต่อหน้าต่าง ภาพ: การทำรอยต่อบริเวณหน้าต่างให้มิดชิดเพื่อป้องกันเสียง อีกปัจจัยที่ทำให้เสียงรบกวนลอดเข้ามาในบ้านคือ “สภาพของหน้าต่าง” เนื่องจากไม้เป็นวัสดุที่ยืดหดและผุพังได้ง่ายจากสภาวะอากาศ ทั้งแดด ฝน ความชื้น และยังเป็นอาหารของปลวกอีกด้วย เมื่อใช้งานไปนานจึงมักเกิดรอยผุหรือรอยแยกเป็นช่องทางให้เสียงจากภายนอก ลอดเข้ามารบกวน และยังทำให้อากาศในบ้านรั่วไหลออกได้จนทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้น สำหรับวิธีแก้ไข   กรณีเกิดรอยรั่วตามรอยต่อระหว่างวงกบไม้กับผนังให้อุดด้วยวัสดุยาแนว เช่น โพลียูริเทน อะคริลิก เป็นต้น หากเป็นรอยผุหรือรอยรั่วเพียงเล็กน้อยตามชิ้นวงกบหรือบานกรอบไม้ สามารถซ่อมแซมโดยใช้กระดาษทรายหรือแปรงขัดบริเวณรอยผุพังให้เรียบ แล้วอุดด้วยวัสดุโป๊วก่อนจะแต่งผิวและทาสีทับให้ดูเรียบเนียนไปกับเนื้อไม้ (หากวัสดุอุดโป๊วผสมสีมาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องทาสี) หรือจะใช้อีกวิธีคือตัดชิ้นไม้มาเปลี่ยนแทนส่วนที่ผุพังตามความเหมาะสม   ในขณะเดียวกัน หากวงกบหรือบานกรอบไม้อยู่ในสภาพไม่เหมาะจะซ่อม  เช่น  ผุพังมาก เป็นเชื้อรา หรือกรณีหน้าต่างเดิมเป็นบานเกล็ดซึ่งเสียงลอดเข้าตามรอยต่อกระจกได้ง่าย  อาจลองพิจารณาเปลี่ยนหน้าต่างใหม่โดยเลือกติดตั้งหน้าต่างกันเสียง  อย่างหน้าต่างไวนีลที่มีระบบ Multiple Lock พร้อมยางกันเสียงซีลรอบบาน เป็นต้น   ภาพ: หน้าต่างไวนีล ที่มีลักษณะช่วยกันเสียงรบกวนจากภายนอก   สำหรับบ้านก่ออิฐฉาบปูน การเปลี่ยนบานหน้าต่างพร้อมบานกรอบไม้อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าต้องเปลี่ยนวงกบ ด้วยจะยุ่งยากและใช้เวลามากกว่า เพราะโดยธรรมชาติของวัสดุปูนจะยึดกับวงกบไม้อย่างแน่นหนา จึงรื้อถอนได้ยากและมักทำให้ผนังเสียหายจนต้องซ่อมแซม โดยต้องรอให้ปูนแห้งอีกอย่างน้อย 1 วัน ก่อนจะติดตั้งวงกบตามด้วยบานหน้าต่างใหม่ได้ ดังนั้นในการเปลี่ยนวงกบไม้สำหรับบ้านก่ออิฐฉาบปูน เจ้าของบ้านควรให้ความสำคัญในการเลือกทีมช่างที่มีความชำนาญและประณีตมาเป็นผู้ดำเนินงานรื้อถอนและติดตั้ง   บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​                   
เมื่อชักโครก น้ำรั่วไม่หยุด ต้องแก้ไขอย่างไร?

เมื่อชักโครก น้ำรั่วไม่หยุด ต้องแก้ไขอย่างไร?

เคยมั้ย…ที่แม้ไม่ได้ใช้น้ำหรือใช้งานโถสุขภัณฑ์ แต่มิเตอร์หรือปั๊มน้ำก็ทำงานไม่ยอมหยุด หรือบางครั้งได้ยินเสียงน้ำไหลในโถสุขภัณฑ์ตลอดเวลา หากเจอกับปัญหานี้ มีวิธีเช็คและแก้ไขเบื้องต้นด้วยตนเองไม่ยาก เมื่อชักโครก น้ำรั่ว ให้เริ่มจากสังเกตลูกลอยว่ามีปัญหาเหล่านี้หรือไม่ ระดับลูกลอย ว่าอยู่สูงหรือต่ำกว่าปกติหรือไม่ หากลูกลอยอยู่สูงกว่าปกติ คืออยู่สูงกว่าระดับน้ำล้นในโถกักเก็บน้ำ แสดงว่าน็อตบางตัวหลวมหรือคลายตัว ให้แก้โดยปรับลูกลอยให้ต่ำลงและทำการขันน็อตให้แน่น หากลูกลอยลดระดับลงต่ำผิดปกติหรือลูกลอยจมน้ำ ให้ถอดลูกลอยออกมาดูว่าเกิดรอยรั่วหรือการแตกร้าวหรือไม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้น้ำซึมเข้าไปในลูกลอย ทำให้น้ำไหลออกทางรูน้ำล้นลงโถสุขภัณฑ์ตลอดเวลา ซึ่งควรแก้ไขโดยขันสกรูเอาลูกลอยออกแล้วเปลี่ยนอันใหม่แทน ลูกลอยเสีย ให้ลองยกลูกลอยขึ้นสุด หากน้ำยังคงไหลอยู่ แสดงว่าลูกลอยเสีย ให้เปลี่ยนลูกลอยใหม่ ภาพ: ชื่อเรียกส่วนประกอบต่างๆ ในหม้อน้ำของโถสุขภัณฑ์ สังเกต ลูกกบ (ที่หน้าที่ปิดเปิดรูปล่อยน้ำให้ไหลลงสุขภัณฑ์) และ ยางลูกกบ (แผ่นยางปิดรูปล่อยน้ำ ทำหน้าที่ซีลหรืออุดร่องระหว่างลูกกบและช่องเปิดปิดน้ำให้แน่นแนบสนิทมากขึ้น) ลูกกบถูกเปิดง้างทิ้งไว้หรือไม่ โดยดูว่าอาจเพราะมีวัตถุบางอย่างติดค้างทำให้ปิดไม่สนิทจนน้ำไหลทิ้ง แก้โดยเอาวัตถุนั้นออกหรือเช็ดทำความสะอาด หากไม่มีวัตถุผิดสังเกตที่ว่า ให้ดูว่าโซ่หรือเชือกที่ดึงเพื่อเปิดปิดน้ำนั้นตึงเกินไปจนทำให้ลูกกบเปิดค้างไว้หรือไม่ แก้โดยปรับสายให้พอดี ไม่ให้ตึงหรือหย่อนเกินไป ลูกกบชำรุดหรือฉีกขาด ต้องทำการเปลี่ยนใหม่ทันที สำหรับลูกกบใหม่ลองนำมาวางปิดรูปล่อยน้ำก่อน ว่าสามารถปิดรูปล่อยน้ำได้สนิทดีหรือไม่ จึงค่อยยึดเข้ากับโซ่หรือเชือกดึง แผ่นยางลูกกบ หรือยางซีลลูกกบปิดไม่สนิท  มักเกิดจาก ข้อแรก มีตะไคร่หรือคราบสกปรกเกาะอยู่ แนะนำให้ถอดออกมาทำความสะอาดและติดตั้งกลับเข้าไปใหม่ ข้อสอง เสื่อมสภาพหรือชำรุด ไม่ว่าจะเป็นลักษณะภายนอกที่ผิดปกติ บิดเบี้ยว บวม เปื่อย หรือขาด ทำให้ยางปิดไม่สนิทดี แนะนำให้เปลี่ยนแผ่นยางใหม่ ภาพ: ลูกกบ และ ยางลูกกบ บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​  รวมวิธีซ่อมแซมบ้านได้ด้วยตัวเอง ซ่อมแซมห้องน้ำใหม่อย่างไร ให้รวดเร็ว จบงานภายใน 1 วัน! วิธีแก้ปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้าบ้าน สาเหตุและวิธีรับมือปัญหารั่วซึมจากพื้นห้องน้ำ
ฟ้าใสหลังฤดูฝนผ่านไป ก็ได้เวลารีโนเวทบ้าน

ฟ้าใสหลังฤดูฝนผ่านไป ก็ได้เวลารีโนเวทบ้าน

บ้านของเรามักเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นสภาพที่ดูทรุดโทรมลง ส่วนประกอบต่างๆ เสื่อมชำรุดต้องซ่อมแซม อยากเปลี่ยนบรรยากาศหรือปรับพื้นที่เพื่อรองรับการใช้สอยซึ่งต่างไปจากเดิม การรีโนเวทบ้านจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อยู่เสมอ ทั้งนี้ หลังฤดูฝนนับเป็นอีกช่วงเวลาที่เหมาะกับการรีโนเวทบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมบ้าน ปรับปรุงบ้านและอาจรวมถึงการต่อเติมบ้าน ด้วยดินฟ้าอากาศที่เป็นใจ เอื้ออำนวยต่อทั้งการทำงาน การขนส่ง และการจัดเก็บวัสดุ รีโนเวทตรวจซ่อมบ้านหลังหน้าฝน คงมีเจ้าของบ้านจำนวนไม่น้อยที่อยากจะจัดการปัญหารั่วซึม ซึ่งก่อกวนใจตลอดช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา โดยเฉพาะปัญหาหลังคาบ้านรั่ว หากเป็นหลังคาดาดฟ้าคอนกรีตมักหาจุดรั่วซึมได้ง่าย ถ้าเป็นรอยรั่วซึมขนาดเล็กก็สามารถสกัดและอุดซ่อมด้วยปูน Non-Shrink Grout ได้ แต่หากรอยแตกร้าวมีขนาดใหญ่เสียหายมากจนเหล็กเสริมเป็นสนิมขุม ควรปรึกษาวิศวกรเพื่อหาทางแก้ไขที่ปลอดภัย สำหรับหลังคารูปทรงต่างๆ ที่ไม่ใช่หลังคาดาดฟ้าคอนกรีตนั้น ให้ลองหาจุดรั่วซึมเบื้องต้นโดยเปิดฝ้าเพดานแล้วมองหาจุดที่แสงลอดเข้ามาได้ หากไม่พบให้ลองสังเกตคราบน้ำตามโครงสร้างเพื่อย้อนไปหาตำแหน่งรั่วซึมที่แท้จริง (บางครั้งอาจมาจากหลังคาทาวน์โฮมเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน) ปัญหาหลังคาบ้านรั่วลักษณะนี้ มักต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบหาวิธีแก้ไข ซ่อมแซม หรือปรับปรุงที่เหมาะสม ภาพ: ปัญหาหลังคาบ้านรั่ว อาจเกิดจากกระเบื้องหลังคาแตกร้าว หลุดเผยอ หรือรั่วซึมตามรอยต่อต่างๆ ของหลังคาดังภาพ รอยร้าวตามผนังก็เป็นอีกช่องทางให้น้ำรั่วซึมเข้าบ้านได้ ส่วนใหญ่มักพบบริเวณประตูหน้าต่าง หากเป็นรอยร้าวผนังรอบวงกบ สามารถซ่อมด้วยวัสดุอุดยาแนวหรือใช้ปูนซีเมนต์สำหรับงานซ่อม ส่วนรอยร้าวผุเล็กน้อยที่เนื้อวงกบไม้ก็ใช้วัสดุยาแนวอุดซ่อมได้ด้วย แต่หากวงกบไม้ผุพังมากให้ลองพิจารณาเปลี่ยนประตูหน้าต่างใหม่ โดยเจ้าของบ้านอาจเลือกวัสดุที่คงทนมากขึ้น หรือใช้ประตูหน้าต่างที่ขายพร้อมบริการเปลี่ยนติดตั้งแบบครบวงจรได้เพื่อเน้นคุณภาพและความสะดวก ผนังร้าวรั่วซึมอีกกรณีที่พบได้ก็คือ ตามรอยต่อของผนังส่วนต่อเติมซึ่งถูกก่อฉาบเชื่อมรอยต่อติดกับตัวบ้าน เมื่อส่วนต่อเติมทรุดตัว จะเกิดการฉีกขาดเป็นรอยร้าวทำให้น้ำรั่วซึมเข้ามาได้ วิธีแก้ไขเบื้องต้นคือให้ยาแนวรอยต่อด้วยวัสดุที่ยืดหยุ่น อย่าง PU หรือซิลิโคน ภาพ: การแก้ไขปัญหาผนังร้าวรั่วซึมบริเวณรอยต่อของส่วนต่อเติมกับตัวบ้าน รีโนเวทปรับปรุงบ้านหลังหน้าฝน หลังหน้าฝนเป็นโอกาสอันดีที่จะปรับปรุงบ้านในส่วนกลางแจ้ง อย่างการปรับปรุงหลังคา  ปรับปรุงพื้นบริเวณรอบบ้าน และปรับปรุงผนังภายนอกบ้าน จุดประสงค์อาจมิใช่แค่เพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์บรรยากาศเท่านั้น แต่เป็นการปรับปรุงเพื่อแก้ปัญหาที่ต่อเนื่องมาจากหน้าฝนด้วย อย่างกรณีหลังคารั่วหลายจุดหรือโครงหลังคามีปัญหา ก็อาจปรับปรุงโดยรื้อมุงกระเบื้องใหม่หรือวางโครงหลังคาใหม่ เป็นต้น ปัญหาดินรอบบ้านทรุด จนเห็นโพรงใต้บ้านก็เป็นอีกเรื่องที่เหมาะจะปรับปรุงแก้ไขหลังหน้าฝน หากพื้นดินยังมีแนวโน้มจะทรุดตัวต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ก็อาจปิดโพรงแบบชั่วคราวไปก่อน เช่น นำกระถางต้นไม้ทรงสี่เหลี่ยมมาวางปิดไว้ ใช้ขอบคันหินปิด หรือจะก่ออิฐบนพื้นคอนกรีตเดิมเพื่อปิดโพรงโดยใช้แผ่นโฟมคั่นระหว่างก้อนอิฐกับตัวบ้าน เป็นต้น แต่สำหรับกรณีที่พื้นทรุดไปมากแล้วและมีแนวโน้มว่าจะทรุดช้าลงมาก ให้ทำการแก้ไขแบบถาวร โดยทุบรื้อเอาหญ้าหรือวัสดุเดิมบนหน้าดินออก แล้วถมดินปิดโพรงในระดับที่เหมาะสมก่อนจะติดตั้งวัสดุปูพื้น ทั้งนี้อาจถือโอกาสเลือกวัสดุปูพื้นแบบใหม่เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศก็ได้ ภาพ: ดินรอบบ้านทรุดจนเห็นโพรงใต้บ้านเล็กน้อย ภาพ: การใช้ขอบคันหินวางปิดโพรงใต้บ้าน พร้อมปลูกต้นไม้ประดับเล็กน้อย อีกปัญหาที่พบบ่อยในหน้าฝน ซึ่งแม้จะไม่ได้มีผลกระทบต่อการใช้งานนัก แต่ก็ทำลายความสวยงามอย่างมากนั่นคือปัญหาผนังชื้น สีโป่งพองลอกล่อนโป่งพอง หรือมีเชื้อราตะไคร่ เจ้าของบ้านสามารถปรับปรุงผนังใหม่หลังหน้าฝนโดยใช้หลักการคือ ทำให้ผนังระบายความชื้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สีที่มีคุณสมบัติระบายความชื้น ทำผนังปูนแบบต่างๆ เช่น ผนังปูนเปลือยฉาบขัดมัน ผนังกรวดล้างทรายล้าง เป็นต้น ไปจนถึงการใช้ไม้เทียมตกแต่งทับผนังเดิม รีโนเวทและต่อเติมบ้านหลังหน้าฝน บางครั้งการปรับปรุงพื้นที่ใช้สอยอาจไม่จบเพียงแค่ในบ้าน แต่มีการขยับขยายต่อเติมออกนอกตัวบ้านด้วย ไม่ว่าจะเป็นการต่อเติมห้องนอน ต่อเติมห้องครัว ต่อเติมห้องนั่งเล่น ฯลฯ เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยส่วนนั้นให้กว้างขวางขึ้น การต่อเติมขยายพื้นที่ลักษณะนี้มักทุบผนังเพื่อเชื่อมพื้นที่ส่วนต่อเติมเชื่อมเข้ากับพื้นที่บ้านเดิม ดังนั้นโครงสร้างที่รองรับพื้นควรลงเสาเข็มให้ลึกถึงชั้นดินแข็งเช่นเดียวกับโครงสร้างบ้านเดิม เพื่อลดปัญหาการทรุดตัวของพื้นที่ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ กระบวนการต่อเติมบ้านจะเป็นการทำงานกลางแจ้งเสียส่วนใหญ่ ดังนั้น ช่วงปลายปีหลังฤดูฝนจึงนับเป็นเวลาที่สะดวกต่อการดำเนินงาน รวมทั้งการขนส่งและจัดกองเก็บวัสดุ ภาพ: การลงเสาเข็มส่วนต่อเติมให้ลึกถึงชั้นดินแข็ง การรีโนเวทบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมบ้าน ปรับปรุงบ้านหรือต่อเติมบ้าน ควรอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายควบคุมอาคาร และควรยื่นขออนุญาต อย่างถูกต้อง (หากเข้าข่ายต้องขออนุญาต) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีปรับปรุงต่อเติมบ้าน มักมีกฎหมายควบคุมหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การปรับปรุงหรือต่อเติมนั้นไม่ควรขัดขวางทางหนีไฟ  มีขนาดที่ว่าง ภายในขอบเขตที่ดินและระยะร่นต่างๆ ที่เพียงพอ การกำหนดตำแหน่งของช่องเปิด ซึ่งสัมพันธ์กับแนวเขตที่ดิน เป็นต้น และทางที่ดีควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการรีโนเวท โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่การซ่อมแซม ปรับปรุง หรือต่อเติมบ้านนั้นมีผลกระทบต่อโครงสร้างบ้าน ควรอยู่ภายใต้ความดูแลวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและลดปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อการอยู่อาศัยในระยะยาว บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​  img class="alignnone size-full wp-image-61869" src="https://www.reviewyourliving.com/wp-content/uploads/2017/05/5-1-2-รีโนเวทบ้าน-headline.png" alt="" width="1446" height="800" />
เปลี่ยนหน้าต่างบานเกล็ด เป็นหน้าต่างวินด์เซอร์..ทำได้หรือไม่?

เปลี่ยนหน้าต่างบานเกล็ด เป็นหน้าต่างวินด์เซอร์..ทำได้หรือไม่?

เมื่อเราอาศัยอยู่ในบ้านไปสักระยะหนึ่ง อาจต้องการปรับเปลี่ยนบางส่วนเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนให้ดูใหม่ขึ้น หรือเปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่หรือฟังก์ชันใหม่ หน้าต่างเองก็เป็นส่วนหนึ่งของบ้านที่มีหลายรูปแบบ ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่า หากของเดิมเป็นหน้าต่างบานเกล็ด แต่ต้องการเปลี่ยนเป็นหน้าต่างวินด์เซอร์สามารถทำได้หรือไม่ ก่อนอื่นจะต้องให้ทีมช่างของวินด์เซอร์เข้าไปสำรวจหน้างานจริงว่าสภาพหน้าต่างบานเกล็ดเดิมเป็นอย่างไร วัดขนาด ระยะ และรายละเอียดต่างๆ เพื่อเสนอแนะแนวทางให้เจ้าของบ้านเลือก รวมทั้งให้คำปรึกษาถึงความเป็นไปได้ของหน้าต่างใหม่ที่เราจะเลือก โดยหน้าต่างของวินด์เซอร์เองจะสามารถสั่งตัดได้ตามขนาดที่พอดีกับหน้างาน ภาพ: หน้าต่างบานเกล็ดขนาดใหญ่หรือทรงผอมสูง ขอขอบคุณสถานที่: AREE HOUSE (Floating House) ภาพ: บ้านที่ใช้หน้าต่างบานเกล็ด ขอขอบคุณสถานที่: บ้านคุณสุทธิพันธ์ และ คุณวราภรณ์ จาริยะวัฒน์ แนวทางการเปลี่ยนมาใช้หน้าต่างวินเซอร์ การเปลี่ยนเป็นหน้าต่างวินเซอร์สามารถทำได้ 2 แนวทาง คือ การรื้อหน้าต่างเดิมออกทั้งหมดแล้วติดตั้งหน้าต่างวินด์เซอร์ใหม่เข้าไป กับ การถอดบานหน้าต่างเดิมออกแต่เก็บวงกบเดิมไว้ แล้วจึงติดตั้งหน้าต่างใหม่ทับวงกบหน้าต่างเดิมได้เลย (Fast Renew) ซึ่งใช้เวลาในการทำงานน้อยกว่าแนวทางแรก หากวงกบหน้าต่างเดิมอยู่ในสภาพดีจะสามารถเลือกเปลี่ยนได้ทั้งสองแนวทาง แต่ถ้าสภาพเดิมอาจผุพังหรือสภาพไม่ค่อยจะดีนัก จะแนะนำให้เลือกเป็นแนวทางแรกคือการรื้อหน้าต่างเดิมออกทั้งหมดแล้วจึงเปลี่ยนใหม่ทั้งชุดจะดีที่สุด ภาพ: ตัวอย่างการติดตั้งหน้าต่างวินด์เซอร์บานใหม่แบบ Fast Renew โดยถอดบานหน้าต่างเดิมออกแต่เก็บวงกบเดิมไว้ แล้วจึงติดตั้งหน้าต่างใหม่ทับวงกบหน้าต่างเดิมได้เลย ขอขอบคุณ: www.youtube.com/watch?v=x3Q8HkHbneY เปลี่ยนหน้าต่างบานเกล็ดเป็นหน้าต่างรูปแบบไหนดี รูปแบบของหน้าต่างวินเซอร์จะไม่แตกต่างจากหน้าต่างทั่วไปในท้องตลาดเท่าไรนัก เช่น หน้าต่างบานเปิด บานเลื่อน บานกระทุ้ง และบานเกล็ด เป็นต้น หากต้องการเปลี่ยนจากหน้าต่างบานเกล็ดเดิมเป็นหน้าต่างบานเกล็ดวินเซอร์ก็สามารถทำได้ เพราะมีฟังก์ชันใช้สอยไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่หากต้องการเปลี่ยนเป็นบานเปิดจะมีข้อควรคำนึงคือจะกินพื้นที่บริเวณที่บานหน้าต่างเปิดออกไป (ซึ่งอาจจะกีดขวางทางเดินได้) แต่มีข้อดีคือสามารถเปิดรับลมได้อย่างเต็มที่ ส่วนกรณีต้องการเปลี่ยนเป็นบานเลื่อน ต้องดูก่อนว่าขนาดหน้าต่างบานเกล็ดเดิมเป็นอย่างไร ใหญ่พอที่จะเปลี่ยนเป็นบานเลื่อนหรือไม่ หากเปลี่ยนได้ก็มีเรื่องที่ควรคำนึงคือ ขณะเปิดเลื่อนเข้าหากันจะได้ช่องลมลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง แต่มีข้อดีคือไม่กินพื้นที่เพราะเป็นการเลื่อนเปิดในแนวขนานราบไปกับผนัง จึงสามารถใช้ในบริเวณที่คนเดินผ่านไปมาได้ ส่วนการเปลี่ยนมาใช้บานกระทุ้ง หน้าต่างลักษณะนี้จะเปิดแบบดันจากด้านล่างของบานออกไป ซึ่งจะกินพื้นที่ขณะเปิด หากบริเวณที่จะติดตั้งห่างจากทางสัญจรก็สามารถเลือกใช้งานแทนหน้าต่างบานเกล็ดเดิมได้ ภาพ:หน้าต่างบานเปิด ภาพ:หน้าต่างบานเลื่อน ภาพ:หน้าต่างบานกระทุ้ง ดังนั้น การเปลี่ยนจากหน้าต่างบานเกล็ดเดิมเป็นหน้าต่างใหม่จากวินด์เซอร์ สามารถทำได้ แต่ต้องพิจารณาจากหลายๆ อย่างประกอบกัน ทั้งพื้นที่หน้างาน สภาพและขนาดของหน้าต่างเดิม เพื่อหาแนวทางและรูปแบบหน้าต่างที่เหมาะสมและตอบโจทย์ที่สุด บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​ 
วิธีทำน้ำยาขจัดคราบ “กระเบื้องฝังลึก” ในห้องน้ำใช้เอง

วิธีทำน้ำยาขจัดคราบ “กระเบื้องฝังลึก” ในห้องน้ำใช้เอง

คราบฝังแน่นในห้องน้ำที่อาจจะมีทั้งเชื้อรา คราบสบู่ คราบไขมัน คราบโน่นนี่ จากร่องกระเบื้องขาวใส ผ่านไปไม่นานกลายเป็นคราบจับดำเป็นหย่อมๆ เห็นแล้วระคายสายตา เชื่อว่าหลายคนคงหาวิธีทำความสะอาดคราบสกปรกที่ว่านี้ให้สิ้นซากด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่หาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด แต่วันนี้เรามีวิธีทำน้ำยาขจัดคราบสกปรกเหล่านี้มาแนะนำครับ อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม น้ำเปล่าครึ่งขวด ผงสบู่ 1 ฝาขวดน้ำเปล่า น้ำส้มสายชู 2 ฝาขวดน้ำเปล่า แอลกอฮอลล์ 3 ฝาขวดน้ำเปล่า แป้งทำอาหารครึ่งฝา เศษผ้า หรือสก๊อตไบร์ท ถุงมือยาง ผ้าปิดปากและจมูก วิธีทำ เพียงแค่นำส่วนผสมทุกอย่างเทลงในขวดน้ำแล้วปิดฝาขวดน้ำให้แน่นจากนั้นก็เขย่าๆ ให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นอย่างดี เทน้ำที่ได้ลงบนสก๊อตไบร์ทหรือเศษผ้า แล้วขัดบริเวณที่เป็นคราบสกปรก จากนั้นใช้น้ำเปล่าราดล้างทำความสะอาดอีกรอบ เพียงเท่านี้คราบสกปรกฝังลึกก็จะค่อยๆ จางไป แนะนำให้ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง กระเบื้องในห้องน้ำของคุณก็จะใสวิ้งทันตา คำแนะนำ ใครที่แพ้กลิ่นน้ำส้มสายชูหรือกลิ่นแอลกอฮอล์อาจเตรียมผ้าปิดจมูกไว้ด้วยนะครับ ควรใส่ถุงมือระหว่างขั้นตอนการทำความสะอาด เพื่อป้องกันเกิดการระคายเคืองผิว   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.sanook.com
ปลูกบ้านแล้วขาย..ต้องเสียภาษีอย่างไร?

ปลูกบ้านแล้วขาย..ต้องเสียภาษีอย่างไร?

สำหรับผู้ที่ปลูกสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยบนที่ดินของตัวเองที่มีอยู่ แล้วต่อมาได้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างนั้น รู้หรือไม่ว่าจะมีภาษีและค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ทำให้ต้องสำรองเงินไว้สักก้อนหนึ่งด้วย ซึ่งการคำนวณภาษีและค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร เรามีข้อมูลมาฝากครับ ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่า เมื่อขายบ้านหรืออสังหาฯ ได้ จะมีภาษีและค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง 1. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย  คำนวณจากราคาประเมินของกรมที่ดิน หักด้วยค่าใช้จ่าย ซึ่งขึ้นอยู่กับการได้มาของอสังหาฯ นั้น กรณีที่อสังหาฯ ได้มาโดยมรดก สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% กรณีที่อสังหาฯ ได้มาโดยการซื้อขาย สามารถหักค่าใช้จ่ายตามจำนวนปีที่ถือครอง โดยนับตามปี พ.ศ. 2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ จะคิดที่ 3.3% ของราคาขายหรือราคาประเมิน โดยดูว่าราคาไหนสูงกว่าก็ใช้ราคานั้นในการคำนวณ แต่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในกรณีดังนี้ (1) ถือครองอสังหาฯ เกิน 5 ปี (2) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเกิน 1 ปี (3) ขายอสังหาฯ ที่ได้รับมาโดยมรดก (4) ถูกเวนคืนบ้านหรือที่ดิน 3. ค่าอากรแสตมป์ ถ้าไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ จะเสียค่าอากรแสตมป์ในอัตรา 0.5% ของราคาขายหรือราคาประเมิน โดยใช้ราคาที่สูงกว่า 4. ค่าโอน อยู่ที่ 2% ของราคาประเมิน ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับการตกลงของผู้ซื้อและผู้ขายว่าใครจะเป็นคนจ่าย หรือจ่ายคนละครึ่งครับ ทั้งนี้ กรณีขายบ้านที่ปลูกสร้างบนที่ดินที่มีอยู่ก่อนแล้ว เรียกว่า ได้บ้านและที่ดินมาไม่พร้อมกันนั้น ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายจะแยกคิดระหว่างที่ดินและบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างครับ ขอยกตัวอย่างประกอบการคำนวณดังนี้ สมมติได้รับมรดกที่ดินเมื่อ 20 ตุลาคม 2554 สร้างบ้านบนที่ดินเสร็จเมื่อ 15 มกราคม 2556 ต่อมาได้ขายบ้านพร้อมที่ดินเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2559 หากราคาประเมินที่ดินอยู่ที่ 6,000,000 บาท ราคาประเมินบ้านอยู่ที่ 2,000,000 บาท และราคาขายบ้านพร้อมที่ดินอยู่ที่ 10,000,000 บาท   รวมภาษีหัก ณ ที่จ่ายบ้านและที่ดิน เท่ากับ 210,000 + 29,000 = 239,000 บาท ทั้งนี้ การขายอสังหาฯ ที่เป็นมรดก หรือได้มาโดยไม่ได้มุ่งค้าหรือหากำไร สามารถเลือกได้ว่าไม่ต้องนำเงินได้มารวมคำนวณภาษีประจำปี นอกจากนี้ การขายอสังหาฯ ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือค่าอากรแสตมป์อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ได้มาไม่พร้อมกัน จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรืออากรแสตมป์นั้น ให้พิจารณาจากอสังหาฯ ที่ได้มาภายหลัง โดยหากถือครองไม่เกิน 5 ปี หรือมีชื่อในทะเบียนบ้านไม่ถึง 1 ปี จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% ของราคาขายหรือราคาประเมิน โดยดูว่าราคาไหนสูงกว่าก็ใช้ราคานั้นในการคำนวณ จากตัวอย่างข้างต้น ถือครองบ้านไม่ถึง 5 ปีเต็ม และไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน จะต้องนำบ้านและที่ดินรวมกันเพื่อคำนวณภาษีธุรกิจเฉพาะ ดังนั้น ราคาขายบ้านและที่ดินอยู่ที่ 10,000,000 บาท จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% x 10,000,000 บาท = 330,000 บาทครับ แต่หากมีการถือครองอสังหาฯ ที่ได้มาภายหลังครบ 5 ปีเต็ม หรือมีชื่อในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า 1 ปี จะเสียค่าอากรแสตมป์ในอัตรา 0.5% ของราคาขายหรือราคาประเมิน โดยใช้ราคาที่สูงกว่าในการคำนวณ นั่นคือ จะเสียค่าอากรแสตมป์ 0.5% x 10,000,000 บาท = 50,000 บาทครับ เห็นได้ว่า หากขายอสังหาฯ ที่เข้าเงื่อนไขเสียค่าอากรแสตมป์จะมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะครับ สำหรับค่าโอนที่ต้องจ่ายให้กับกรมที่ดินขึ้นอยู่กับการตกลงของผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งอยู่ที่ 2% ของราคาประเมิน จากตัวอย่างจะมีค่าโอนเกิดขึ้น 2% x 8,000,000 บาท = 160,000 บาทครับ ก่อนขายอสังหาฯ อย่าลืมพิจารณาภาษีและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนลดค่าใช้จ่ายลง เช่น ถือครองอสังหาฯ ให้ครบ 5 ปี หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอย่างน้อย 1 ปี จะช่วยให้เสียค่าอากรแสตมป์เพียง 0.5% ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะถึง 3.3% ดังนั้น หากศึกษาข้อมูลการขายอสังหาฯ ให้ดี ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากทีเดียวครับ   ขอขอบคุณข้อมูลมาก k-expert.askkbank.com
ใช้ปูนอุดรอยรั่วกระเบื้องหลังคาแตกร้าว ป้องกันน้ำรั่วซึมเข้าบ้านได้จริงหรือ

ใช้ปูนอุดรอยรั่วกระเบื้องหลังคาแตกร้าว ป้องกันน้ำรั่วซึมเข้าบ้านได้จริงหรือ

รอยแตกร้าวบนแผ่นกระเบื้องหลังคาที่มักนำปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้ามาในบ้าน ซึ่งเจ้าของบ้านหลายท่านอาจเลือกวิธีแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้าโดยการอุดซ่อมรอยร้าวด้วยปูนทราย กาวซีเมนต์ (ปูนกาว) หรือแม้แต่ปูนเกราต์ประเภทต่างๆ แต่วิธีนี้อาจช่วยแก้ปัญหาได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น เพราะปูนจะมีคุณสมบัติเรื่องการหดตัวจากแสงแดด อุณหภูมิ และความชื้นที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งส่งผลให้เกิดการแตกร้าว และสุดท้ายน้ำฝนก็สามารถซึมผ่านเข้ามาได้อีก ภาพ: กระเบื้องหลังคาแตกร้าว นำมาซึ่งปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้ามาในบ้าน ดังนั้น เมื่อกระเบื้องหลังคาแตกร้าว ไม่ว่าจะเป็นแผ่นกระเบื้องหรือครอบหลังคาส่วนต่างๆ วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนกระเบื้องหลังคาหรือครอบแผ่นใหม่ โดยเลือกใช้กระเบื้องรุ่นเดิมเท่านั้น ทั้งนี้ ถึงแม้เลือกกระเบื้องหลังคาเฉดสีเดิม แต่ด้วยล็อตผลิตและอายุการใช้งานที่ต่างกัน จึงอาจทำให้เฉดสีของกระเบื้องหลังคาแผ่นใหม่ต่างจากเดิม ซึ่งสามารถทาสีสำหรับกระเบื้องหลังคาทั้งผืนเพื่อความสวยงามได้ ภาพ: การเปลี่ยนกระเบื้องหลังคาแผ่นใหม่เป็นวิธีแก้ไขที่ดีที่สุด การเปลี่ยนครอบหลังคาใหม่ทั้งที่สันหลังคาและตะเข้สัน ต้องพิจารณาว่าเป็นระบบครอบหลังคาแบบเปียกหรือระบบครอบหลังคาแบบแห้งด้วย เนื่องจากมีวิธีแก้ไขที่ต่างกัน ภาพ: กระเบื้องครอบแตก สำหรับระบบครอบหลังคาแบบเปียก – หลังจากรื้อครอบหลังคาเดิมรวมถึงเนื้อปูนปั้นบริเวณครอบหลังคาที่แตกร้าวออกแล้ว ควรทำความสะอาดพื้นผิวครอบหลังคาให้เรียบร้อย จากนั้นจึงปั้นปูนทรายซ่อมแซมใหม่ในสัดส่วนตามมาตรฐาน และมีปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ล้นหรือน้อยจนเกินไป แล้วจึงติดตั้งครอบหลังคา และปาดตัดแต่งเนื้อปูนทรายให้เรียบร้อย เซาะร่องบังคับรอยร้าว เจาะรูระบายน้ำ และทาสีเพื่อความกลมกลืนกับผืนกระเบื้อง (การติดตั้งครอบระบบเปียกต้องใช้ช่างผู้เชี่ยวชาญพอสมควรเพื่อให้ได้ผลงานออกมาถูกต้องตามมาตรฐาน) แต่หากครอบหลังคาแตกร้าวหลายแผ่น อาจพิจารณารื้อครอบหลังคาออกทั้งแถว และเปลี่ยนเป็นระบบครอบหลังคาแบบแห้งแทน เนื่องจากทำงานง่าย ไม่สกปรก ลดความเสี่ยงต่อปัญหาต่างๆ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าระบบครอบหลังคาแบบเปียก ภาพ: ระบบครอบหลังคาแบบเปียก ภาพ: ขั้นตอนการซ่อมแซมระบบครอบหลังคาแบบเปียก ส่วนระบบครอบหลังคาแบบแห้ง – หากรื้อกระเบื้องที่แตกร้าวออกมาแล้ว ควรตรวจสอบสภาพแผ่นรองใต้ครอบว่าเสียหายหรือเสื่อมสภาพด้วยหรือไม่ ถ้ายังอยู่ในสภาพดีก็สามารถเปลี่ยนเฉพาะครอบหลังคาได้ แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่าแผ่นรองใต้ครอบเกิดความเสียหาย เช่น กาวหลุด แผ่นลอกล่อน หรือติดตั้งผิดวิธี ฯลฯ ควรรื้อครอบหลังคาเดิมออกทั้งแถวแล้วเปลี่ยนใช้แผ่นรองใต้ครอบชุดใหม่ก่อนติดตั้งครอบหลังคาชุดเดิมและครอบหลังคาชิ้นใหม่ทดแทนชิ้นที่แตกร้าว ภาพ: ระบบครอบหลังคาแบบแห้ง อย่างไรก็ตาม หากยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแผ่นกระเบื้องทดแทน ในเบื้องต้นอาจแก้ปัญหาด้วยการใช้แผ่นปิดรอยต่อหลังคาปิดรอยร้าวบนแผ่นกระเบื้องหลังคา หรือครอบหลังคา โดยทาสีทับให้ดูกลมกลืนไปกับผืนหลังคาก็ได้เช่นกัน ภาพ: การใช้แผ่นปิดรอยต่อปิดบนแผ่นกระเบื้องระหว่างรอยต่อโครงสร้างป้องกันน้ำรั่วซึม ทั้งนี้ หากพบปัญหาเกี่ยวกับหลังคาบ่อยครั้ง โดยเฉพาะปัญหาโครงหลังคาเสียหายจนผืนหลังคาเกิดการบิด แอ่น การติดตั้งกระเบื้องหลังคาไม่ได้มาตรฐาน ไปจนถึงปัญหารั่วซึมในหลายจุดเพราะบ้านมีอายุการใช้งานเกิน 15-30 ปี อาจพิจารณารื้อหลังคาทั้งระบบ และติดตั้งใหม่ทั้งหมดเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว ภาพ: การเปลี่ยนหลังคาบ้านใหม่ สถานที่ บ้านคุณหมอกังวาล วิเชียรสินธุ์ บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​ 
3 ตัวการหลักที่ทำให้ส้วมตันหรือกดชักโครกไม่ลง พร้อมวิธีแก้ไขแบบตรงจุด

3 ตัวการหลักที่ทำให้ส้วมตันหรือกดชักโครกไม่ลง พร้อมวิธีแก้ไขแบบตรงจุด

บางครั้งแม้ว่าจะติดตั้งสุขภัณฑ์อย่างถูกวิธี แต่ยังคงมีปัญหาที่พบกันบ่อยๆ ว่าเมื่อกดชักโครกสุขภัณฑ์แล้วไม่มีแรงดูดชำระล้าง ซึ่งทำให้กดชักโครกไม่ลง ไม่สามารถชำระล้างได้อย่างสะอาดหมดจด หรือรู้สึกว่าส้วมตัน สาเหตุสำคัญของปัญหานี้มาจากหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น ส่วนของท่อระบายอากาศ การระบายน้ำออกจากถังบำบัดหรือบ่อเกรอะ-บ่อซึม และปัญหาสิ่งอุดตันในท่อน้ำทิ้ง กดชักโครกไม่ลง เพราะติดตั้งท่อระบายอากาศ แต่ไม่สมบูรณ์ หรือเกิดการอุดตัน ปกติแล้วจะต้องมีการติดตั้งท่อระบายอากาศลักษณะตัวที (T) ต่อจากท่อน้ำทิ้งสุขภัณฑ์และถังบำบัดน้ำเสีย เพื่อป้องกันปัญหาอากาศไหลย้อนเวลากดชักโครกและยังช่วยให้สามารถกดชำระล้างสุขภัณฑ์ได้ดีอีกด้วย แต่หากระดับความสูงของปลายท่ออากาศอยู่ต่ำกว่าระดับที่น้ำท่วมถึง หรือการอุดตันบริเวณปลายปากท่อ จะทำให้ท่ออากาศไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ กรณีที่ระดับความสูงปลายท่ออากาศอยู่ต่ำเกินไปหรืออยู่ต่ำกว่าระดับที่น้ำสามารถท่วมถึง ควรเดินท่อใหม่ให้สูงกว่าระดับน้ำท่วม หรือติดตั้งเลยหลังคาขึ้นไปเพื่อป้องกันกลิ่นรบกวน ส่วนกรณีการอุดตันบริเวณปลายปากท่อ สามารถแก้ไขได้โดยเอาสิ่งอุดตันนั้นออก กรณีสิ่งอุดตันเข้าไปอยู่ภายในไม่สามารถเอาออกมาได้ง่ายๆ สามารถแก้ไขได้โดยการใช้งูเหล็กทะลวง หรือฉีดน้ำแรงๆ เข้าไป เพื่อล้างทำความสะอาดให้สิ่งสกปรกไหลกลับเข้าสู่ระบบระบายน้ำทิ้งต่อไป หลังจากนั้น ควรป้องกันโดยการติดตั้งตาข่ายกันสิ่งสกปรก แมลง และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กไม่ให้เข้าไปอยู่อาศัยที่อาจเป็นสาเหตุให้ท่ออากาศอุดตัน ภาพ: ตำแหน่งการติดตั้งท่ออากาศ แนะนำให้ติดตั้งท่ออากาศจากถังบำบัดน้ำเสีย (1) และในบริเวณที่ใกล้กับโถสุขภัณฑ์ (2) โดยติดตั้งให้ปลายท่ออยู่สูงกว่าระดับที่น้ำจะสามารถท่วมถึง การระบายน้ำออกจากถังบำบัดหรือบ่อเกรอะ-บ่อซึมติดขัด ทำให้กดชักโครกไม่ลง ไม่ว่าบ้านที่เลือกติดตั้งเป็นถังบำบัดสำเร็จรูป หรือใช้ระบบดั้งเดิมที่เป็นแบบบ่อเกรอะ-บ่อซึม น้ำจากการชำระล้างสุขภัณฑ์จะสามารถระบายออกไปได้ด้วยแรงดูดปกติ แต่อาจมีบางครั้งที่น้ำไม่สามารถระบายได้ทัน ไม่ว่ากรณีเป็นบ้านมีระดับท่อระบายน้ำจากถังบำบัดหรือบ่อเกรอะ-บ่อซึมที่ต่ำกว่าระดับท่อระบายน้ำสาธารณะ เมื่อระดับน้ำในท่อสาธารณะสูงขึ้นก็จะทำให้การระบายน้ำของบ้านเราเป็นไปได้ช้าลง นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ฝนตกหนักมากๆ จนน้ำเกิดท่วมขังที่เป็นสาเหตุทำให้มีน้ำค้างในท่อระบายของถังบำบัดหรือบ่อเกรอะ-บ่อซึมที่ต้องรอการระบายออกไป รวมถึงอาจมีแรงดันน้ำต้านกลับ (Back Pressure) ที่ส่งผลให้น้ำไหลย้อนเข้าสู่ถังบำบัดหรือบ่อเกรอะ-บ่อซึมได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลให้แรงดูดชักโครกลดต่ำลงจนทำให้การชำระล้างในโถสุขภัณฑ์ได้ไม่ดีเหมือนเดิม กรณีนี้เมื่อน้ำลดระดับที่ท่วมขังลงก็จะสามารถใช้งานสุขภัณฑ์ได้ตามปกติ ภาพ: แสดงการระบายน้ำออกจากถังบำบัดสำเร็จรูปไปยังท่อระบายน้ำสาธารณะ ภาพ: แสดงการระบายน้ำออกจากบ่อเกรอะ-บ่อซึม ปัญหาสิ่งอุดตันในท่อน้ำทิ้ง ท่อน้ำทิ้งจะรับน้ำจากโถสุขภัณฑ์โดยตรงแล้วส่งต่อไปยังถังบำบัดหรือบ่อเกรอะ-บ่อซึมที่จะระบายสู่พื้นดินหรือแหล่งน้ำสาธารณะต่อไป แต่หากมีสิ่งอุดตัน โดยเฉพาะเศษขยะที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติหรือย่อยสลายได้ยาก เช่น เศษกระดาษทิชชู่ ผ้าอนามัย หรือเศษขยะชิ้นใหญ่ติดค้างในท่อ ซึ่งจะทำให้เกิดการอุดตันในท่อและส่งผลให้น้ำจากสุขภัณฑ์ไม่สามารถระบายออกไปได้ และอาจเกิดการไหลย้อนกลับ จนชักโครกเกิดอาการกดแล้วไม่มีแรงดูดชำระล้างนั่นเอง ปัญหาสิ่งอุดตันค้างในท่อน้ำทิ้งสุขภัณฑ์สามารถแก้ไขได้โดยการใช้ไม้ยางปั๊ม กดให้เกิดแรงดันเพื่อดันน้ำและสิ่งอุดตันให้เคลื่อนผ่านลงไป ทั้งนี้ การทิ้งเศษขยะที่ย่อยสลายยากลงไปบ่อยๆ จะทำให้ถังบำบัดสำเร็จรูปหรือบ่อเกรอะ-บ่อซึมเต็ม ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาที่ยุ่งยากต่อการแก้ไขในอนาคต จึงควรระมัดระวังการทิ้งเศษขยะลงไป นอกจากนี้ การเลือกสุขภัณฑ์ที่มีคุณภาพมาตรฐานก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้การใช้งานเป็นไปได้อย่างราบรื่น รวมถึงการเลือกปริมาณน้ำที่จะกดชำระให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละครั้ง เพื่อให้สามารถใช้งานสุขภัณฑ์ได้อย่างดีและใช้น้ำเท่าที่จำเป็นอีกด้วย บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​