Tag : howto

432 ผลลัพธ์
5 ความเสี่ยงจากการซื้อบ้านและคอนโด

5 ความเสี่ยงจากการซื้อบ้านและคอนโด

การจะซื้อบ้านหรือคอนโดแต่ละครั้ง เราก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย และก็ใช่ว่าบ้านหรือคอนโดที่เราซื้อมาแล้วนั้นจะได้คุณภาพดีเสมอไป ดังนั้นก่อนจะซื้อบ้านหรือคอนโด เราจึงควรต้องมีการวางแผนให้ดี และเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ให้ดีด้วยครับ 1. สินค้าด้อยคุณภาพ ปัญหานี้ถือได้ว่าเป็นปัญหาที่เรามักพบเจอกันได้มากที่สุด โดยสาเหตุนั้นมาจากการที่โครงการใช้สินค้าไม่มีคุณภาพหรือใช้วัสดุเกรดต่ำกว่าที่โฆษณาไว้ จึงทำให้เกิดปัญหาบ้านทรุด , กำแพงร้าว , น้ำรั่ว , ท่อตัน ตามมา 2. ส่งมอบล่าช้า ปัญหานี้มักเกิดกับคอนโดเป็นส่วนใหญ่ ด้วยสาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดการส่งมอบล่าช้า คือ โครงการไม่ผ่านEIA , โครงการยังขายไม่ถึงเป้า ซึ่งปัญหาการส่งมอบล่าช้านั้นถ้าผู้ซื้อเห็นว่าโครงการช้าเกินกว่ากำหนดแน่นอน ผู้ซื้อสามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที และเรียกเงินคืนทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันกับที่โครงการเรียกเก็บเราเมื่อมีการจ่ายเงินดาวน์ช้า หรือถ้าไม่ยกเลิกสัญญาก็มีสิทธิ์เรียกค่าปรับเป็นรายวันได้ร้อยละ 0.1% ของราคาห้องชุด แต่รวมแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 โดยที่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อคอนโดมีการส่งมอบล่าช้ากว่ากำหนด ส่วนใหญ่จะชดเชยเป็นโปรโมชั่นในวันโอนแทน 3. ของจริงไม่เหมือนโฆษณา ปัญหานี้มักพบบ่อย เพราะตอนไปดูบ้านหรือห้องตัวอย่าง มีสวยงามตกแต่งเป็นอย่างดี แต่พอได้ของจริง กลับไม่มีคุณภาพ ปัญหาที่มักพบได้แก่ งานไม่เรียบร้อย ไม่สมราคา และไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งปัญหาเหล่านี้เราจะไม่รับโอนก็ได้ เพราะถือว่าสินค้นผิดจากในสัญญา 4. การบริการแย่ ปัญหานี้มักเกิดจากการบริการหลังการขาย เพราะเมื่อผู้ซื้อจ่ายเงินครบ และมีการโอนรับบ้านหรือห้องเมื่อไร ผู้ซื้อจะหมดความสำคัญทันที เพราะหลังจากมีการโอนรับบ้านหรือห้องแล้ว เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นจะตามมาแก้ไข มาเก็บงานก็เป็นได้ยากแล้ว แต่ปัญหานี้เหล่านี้เราสามารถแก้ไขได้โดยการต้องยอมจ้างบริษัทตรวจรับบ้านคอนโดมาตรวจงานให้ละเอียดเรียบร้อยก่อนมีการโอนรับบ้านคอนโด 5. ยื้อเวลา ปัดความรับผิดชอบ ถึงแม้ว่าปัญหานี้จะมีกฏหมายรองรับไว้แล้ว แต่ผู้ซื้อก็มักเสียเปรียบอยู่ดี เพราะเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว การจะเรียกร้องเอาเงินคืน ก็เป็นไปได้ค่อนข้างยากแล้ว ดังนั้นก่อนทำสัญญา ต้องมีการตกลงกันให้ดีก่อน ว่าถ้ากู้ไม่ผ่านยินดีคืนเงินอย่างไร และต้องทำเป็นหนังสือแนบท้ายสัญญาไว้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่เงื่อนไข และวิธีการชำระเงินคืน ทุกปัญหาถือว่ามีความเสี่ยงทั้งนั้น ดังนั้นก่อนจะซื้อบ้านหรือคอนโด เราจึงต้องมีการตรวจสอบให้ดีครับ ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.co.th
10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน

10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน

การปลูกบ้าน หรือสร้างบ้านใหม่ จะเริ่มสร้างจากล่างขึ้นบน กล่าวคือต้องเริ่มจากโครงสร้างเสาเข็ม ฐานราก จากนั้นจะเริ่มงานโครงสร้างจากชั้นหนึ่ง และชั้นสองตามลำดับ แล้วจึงติดตั้งหลังคา ก่อผนัง เตรียมงานระบบ จนเมื่องานโครงสร้างเรียบร้อยก็จะตกแต่งงานสถาปัตย์ เก็บรายละเอียดงาน ทำความสะอาดจนพร้อมส่งมอบบ้านให้แก่เจ้าของบ้าน ทั้งนี้ แต่ละขั้นตอนต้องวางแผนการดำเนินงานเป็นอย่างดี เพราะมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย และสำหรับตัวเจ้าของบ้านเองควรเข้าใจลำดับขั้นตอนเพื่อสามารถตรวจและควบคุมงานในเบื้องต้น รวมถึงจดบันทึกตำแหน่งหรือข้อมูลทั้งงานระบบท่อไฟฟ้า-ประปา ตำแหน่งระบบสุขาภิบาล เผื่อการบำรุงซ่อมแซมในอนาคต 10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน ที่เจ้าของบ้านทุกคนควรทราบ มีดังนี้ 1.เริ่มขั้นตอนสร้างบ้าน โดยการเตรียมพื้นที่ เมื่อมีแบบก่อสร้างบ้าน และทำสัญญากับผู้รับเหมาเรียบร้อยแล้ว ทางผู้รับเหมาจะเริ่มเข้าหน้างานเตรียมพื้นที่ กำหนดจุดวางและขนย้ายเครื่องมืออุปกรณ์ อาจมีสถานที่พักสำหรับคนงาน (ในกรณีที่คนงานพักในพื้นที่) หากมีบ้านเดิมจะต้องรื้อถอนออกก่อน หรือหากเป็นที่ดินเปล่าจะมีการขอน้ำและไฟฟ้าชั่วคราวสำหรับใช้งาน สำหรับงานเตรียมพื้นที่ จะครอบคลุมอยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่ระดับพื้นบ้านที่ต้องพิจารณา อาจต้องถมที่ดินเพื่อปรับระดับ ให้เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปจะถมให้สูงกว่าระดับถนน 50-80 ซม. และควรสูงกว่าท่อระบายน้ำสาธารณะ ส่วนระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการถมดินอยู่ในช่วงหน้าแล้ง (ช่วงเดือนธันวาคม – พฤษภาคม) เพราะสามารถทำงานได้สะดวก ได้ดินที่แน่นและมีคุณภาพ เพราะหากถมในช่วงหน้าฝนอาจเกิดเหตุการณ์ดินไหลได้ ภาพ: การปรับระดับดินก่อนลงเสาเข็ม 2.งานวางผังอาคาร ขั้นตอนสร้างบ้านที่ต้องวางแผนให้ดี เมื่อเตรียมพื้นที่เรียบร้อย จะเริ่มวางผังแนวอาคารซึ่งเป็นการกำหนดตำแหน่งของเสาเข็มโดยอ้างอิงจากแบบ เพื่อให้ทุกฝ่ายทั้งเจ้าของบ้าน ผู้ออกแบบ วิศวกร บริษัทรับเหมาก่อสร้าง และบริษัทรับเหมางานเสาเข็มมีความเข้าใจที่ตรงกัน ในขั้นตอนนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับระยะต่างๆ ให้เหมาะสมได้เนื่องจากอาจพบอุปสรรคที่หน้างาน เช่น แนวต้นไม้ใหญ่ แนวเสาเข็มโครงสร้างอาคารเดิม หรือตำแหน่งอาคารข้างเคียงที่มีผลต่อพื้นที่ใช้สอยอาคาร เป็นต้น โดยผู้รับเหมาจะนำเสนอแนวทางแก้ไขให้ผู้ออกแบบเซ็นชื่อรับรอง เพื่อดำเนินการก่อสร้างต่อไป ภาพ: ตรวจแบบก่อสร้างเพื่อเตรียมวางผังอาคาร (กำหนดจุดลงเสาเข็ม) 3.หนึ่งในขั้นตอนสร้างบ้านสำคัญ คือ งานเสาเข็ม สำหรับงานเสาเข็มมักจะจ้างบริษัทรับเหมางานเสาเข็มโดยเฉพาะ ซึ่งทางผู้ออกแบบจะสำรวจหน้างานและกำหนดมาแล้วว่าบ้านแต่ละหลังเหมาะจะใช้เสาเข็มประเภทใด ไม่ว่าจะเป็นเสาเข็มตอกหรือเสาเข็มเจาะ (อ่านรายละเอียด Material Guide ทรุดไม่ทรุด จุดเริ่มต้นอยู่ที่เสาเข็ม) การตรวจสอบคุณภาพเสาเข็มต้องทดสอบความแข็งแรง (Load Test) สามารถรับน้ำหนักได้ตามมาตรฐาน ไม่เยื้องศูนย์ แต่หากเกิดความผิดพลาดหรืออุปสรรคในการตอกหรือเจาะเสาเข็ม ผู้ออกแบบอาจต้องแก้ไขแบบเพื่อให้เสาเข็มและฐานรากดังกล่าวสามารถรับน้ำหนักได้ นอกจากนี้สำหรับการตัดหัวเสาเข็มเพื่อเตรียมหล่อฐานราก ผู้รับเหมางานเสาเข็ม และผู้รับเหมาหลักต้องยืนยันระดับฐานรากให้ตรงกันก่อนส่งต่องาน ภาพ: การทำเสาเข็มเจาะ 4.ขั้นตอนสร้างบ้านของงานฐานรากโครงสร้างชั้นล่าง เมื่อตัดหัวเสาเข็มแล้ว ผู้รับเหมาหลักจะเริ่มงานส่วนโครงสร้างฐานรากซึ่งประกอบด้วยฐานรากและเสาตอม่อจากนั้นจึงขึ้นโครงสร้างชั้น 1 ซึ่งประกอบด้วย คานคอดิน เสา คาน และพื้นชั้นล่าง โดยอาจอาจเลือกเป็นพื้นหล่อในที่ (พื้นห้องน้ำ) ร่วมกับพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป หากโครงสร้างต่างๆ เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ควรมีขนาดและค่ากำลังอัด ตามที่วิศวกรได้คำนวณไว้ ซึ่งต้องใช้เวลาในการบ่มคอนกรีต และถอดแบบค้ำยัน ช่วงระยะเวลาหนึ่ง (ประมาณ 14-28 วัน ขึ้นอยู่กับลักษณะงานและประเภทปูน) เพื่อให้โครงสร้างมีความแข็งแรง พร้อมรับน้ำหนักโครงสร้างอื่นๆ ต่อไป แต่ในกรณีที่สร้างบ้านโครงสร้างเหล็ก ก็จะเริ่มนำชิ้นส่วนเหล็กในแต่ละส่วนมาเชื่อมกันทั้งในส่วน เสา คาน ตง เป็นต้น ในระหว่างขั้นตอนนี้ จะมีการขุดดินเพื่อวางระบบสุขาภิบาล เช่น บ่อพัก  Manhole ระบบท่อน้ำทิ้ง ท่อประปา เป็นต้น ซึ่งเจ้าของบ้านควรถ่ายรูปและจดบันทึกตำแหน่งและระยะงานระบบเอาไว้เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงหากมีการซ่อมแซมในอนาคต ภาพ: งานเตรียมเหล็กเสริมโครงสร้างคานและเสาชั้นล่าง 5. งานโครงสร้างชั้นสอง โครงหลังคา และโครงสร้างงานระบบสุขาภิบาล งานโครงสร้างชั้นสองก็ทำเช่นเดียวกับโครงสร้างชั้นล่าง ทั้งเสา คานอะเส(คานหลังคา) และอาจมีงานหล่อชิ้นส่วนตกแต่ง เช่น บัว กันสาด ขอบปูน ซึ่งโครงสร้างแต่ละส่วนจะต้องใช้ระยะเวลาบ่มคอนกรีตเช่นเดียวกับโครงสร้างชั้นล่าง นอกจากนี้จะเริ่มขึ้นโครงหลังคา ซึ่งมีหลายประเภท เช่น โครงหลังคาเหล็ก หรือโครงหลังคาสำเร็จรูป เป็นต้น ในส่วนของงานระบบประปาและสุขาภิบาลทั้งถังเก็บน้ำใต้ดิน ท่อน้ำทิ้ง และถังบำบัดจะถูกติดตั้งในช่วงนี้โดยสมบูรณ์เพื่อเตรียมการเดินท่อเข้าภายในบ้าน ภาพ: ติดตั้งโครงหลังคาเหล็ก 6.ขั้นตอนสร้างบ้าน งานมุงหลังคา และโครงสร้างบันได เมื่องานโครงสร้างหลักเสร็จเรียบร้อย จะเริ่มติดตั้งวัสดุมุงหลังคาเพื่อให้ภายในบ้านมีร่มเงาและลดอุปสรรคจากลมฟ้าอากาศในการทำงาน ในช่วงนี้จะเริ่มหล่อโครงสร้างบันไดคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือติดตั้งบันไดเหล็กตามที่แบบระบุ นอกจากนี้อาจเก็บงานโครงสร้างในส่วนอื่นๆ ให้พร้อมก่อนเริ่มงานก่อผนังและติดตั้งวัสดุปิดผิว ภาพ: (บน) มุงหลังคากันแดดและฝน  (ล่าง) ติดตั้งบันไดโครงสร้างเหล็ก 7.งานก่อผนัง ติดตั้งวงกบไม้ประตู-หน้าต่าง และงานระบบไฟฟ้า-ประปา เมื่อมุงหลังคาเรียบร้อย จะเข้าสู่ขั้นตอนการก่อผนังและหล่อเสาเอ็น-คานเอ็น ในขั้นตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับบ้านแต่ละหลังว่าเลือกใช้ผนังบ้านแบบใด เช่น ผนังก่ออิฐ หรือผนังเบา ซึ่งในช่วงนี้จะเดินท่องานระบบต่างๆ ที่ฝังในผนังไปด้วย ทั้งระบบไฟฟ้าและประปา รวมถึงติดตั้งวงกบไม้ประตูหน้าต่างตามตำแหน่งที่ระบุตามแบบ ภาพ: การก่อผนัง หล่อเสาเอ็น-คานเอ็น และฝังท่อไฟฟ้า-ประปาในผนัง 8.ขั้นตอนสร้างบ้าน งานฉาบผนัง และงานติดตั้งฝ้าเพดาน  ในงานฉาบผนังก่ออิฐ จะต้องจับปุ่มจับเซี้ยม หรืออาจขึงลวดกรงไก่ เพื่อฉาบผนังให้เรียบสม่ำเสมอ ส่วนผนังเบาจะต้องฉาบเก็บรอยต่อระหว่างแผ่นผนังให้เรียบเนียน เตรียมพร้อมก่อนขั้นตอนการปิดผิว ในขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความชำนาญของช่างเพื่องานที่ละเอียดเรียบร้อย ผนังต้องได้ดิ่ง-ฉากทุกพื้นที่ สำหรับฝ้าเพดานจะมีการกำหนดระดับความสูงตามแบบทั้งภายในและภายนอกบ้าน โดยติดตั้งโครงฝ้าและปิดด้วยวัสดุฝ้าเพดาน เช่น แผ่นยิปซั่ม แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ เป็นต้น ในขั้นตอนนี้จะมีการติดตั้งระบบไฟฟ้า โคมไฟ และช่องเซอร์วิสไปพร้อมกัน ภาพ: การฉาบผนัง และติดตั้งฝ้าเพดานทั้งภายนอกและภายใน 9. งานวัสดุตกแต่งพื้นผิว ขั้นตอนสร้างบ้าน ติดตั้งอุปกรณ์ ติดตั้งประตู-หน้าต่าง และงาน Build-In เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยความประณีตของช่างอย่างมาก เพราะทำให้บ้านเนี้ยบสวยงาม ซึ่งในขั้นตอนนี้จะประกอบไปด้วย   9.1 วัสดุตกแต่งผนังและพื้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบและความชอบของเจ้าของบ้าน โดยวัสดุพื้นผิวผนัง เช่น ทาสี ฉาบสกิมโค้ท ปูกระเบื้องเซรามิก ติดวอลล์เปเปอร์ ฯลฯ ส่วนวัสดุพื้น เช่น หินขัด กรวดล้าง/ทรายล้าง ปูกระเบื้องเซรามิก ไม้ปาร์เกต์ ไม้ลามิเนต เป็นต้น 9.2 ระบบแสงสว่างและติดตั้งดวงโคมการติดตั้งแสงสว่างและหลอดไฟจะเริ่มในช่วงนี้เพราะติดตั้งฝ้าเพดาน โคมไฟ และเดินงานระบบเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ช่างจะเดินสายไฟเชื่อมกับสวิตช์ไฟ ปลั๊ก และติดตั้งเครื่องปรับอากาศ 9.3 ติดตั้งบานประตู หน้าต่างไม้ ชุดประตู-หน้าต่างไวนิล/อะลูมิเนียม ขั้นตอนนี้จะเป็นการติดตั้งบานประตู บานกระจก หน้าต่างเข้ากับวงกบไม้ที่ติดตั้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ รวมถึงติดตั้งชุดประตู-หน้าต่างไวนิลหรืออะลูมิเนียมเข้ากับผนังที่เว้นช่องไว้ ซึ่งขอบผนังโดยรอบต้องเรียบสม่ำเสมอ ได้ระดับดิ่ง-ฉาก เพื่อให้ชุดประตู-หน้าต่างติดตั้งได้พอดี ลดความเสี่ยงการรั่วซึมในอนาคต 9.4 งาน Build-in ด้านงาน Build-in อาจมารวมอยู่ในช่วงนี้ได้ เช่น ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของ เคาน์เตอร์ครัว เป็นต้น 9.5 ติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ และอุปกรณ์เครื่องครัว วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เมื่อติดตั้งแล้วควรคลุมด้วยพลาสติกเพื่อป้องกันฝุ่นละออง รอยขีดข่วน และสีที่อาจกระกระเด็นเปรอะเปื้อนในช่วงการเก็บงาน 9.6 สวนและทางเดินรอบบ้านอาจเริ่มทำในช่วงนี้ หรืออาจทำในช่วงที่บ้านสร้างเสร็จแล้วก็ได้ ภาพ: การตกแต่งภายใน ติดตั้งวัสดุปูพื้น-ผนัง ประตูหน้าต่าง (บานเฟี้ยม) และงานBuild-in 10. ทำความสะอาดและตรวจความเรียบร้อยในการเก็บงาน ขั้นตอนสร้างบ้านสุดท้าย ช่างจะเก็บรายละเอียดต่างๆ เช่น งานทาสี ตรวจสอบงานระบบต่างๆ ซึ่งในช่วงนี้เจ้าของบ้านควรเข้ามาตรวจสอบด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าเจอข้อผิดพลาด ควรแจ้งให้ช่างแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนจะส่งจะส่งมอบงาน จากนั้นจะเริ่มทำความสะอาด (โดยมากจะจ้างบริษัททำความสะอาดหลังงานก่อสร้างโดยตรง) แล้วเสร็จจนพร้อมส่งมอบงานให้เจ้าของบ้านขนย้ายเฟอร์นิเจอร์เข้าอยู่ ภาพ: บ้านที่อยู่ในช่วงการเก็บงาน การเรียงลำดับขั้นตอนตามที่กล่าวมาอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือซ้อนทับกันได้ในแต่ละงาน อาจมีเพิ่ม หรือแยกย่อยมากกว่า 10 ลำดับได้ขึ้นอยู่กับปลายปัจจัย เช่น วัสดุที่เข้าหน้างาน ความถนัดของช่าง/ผู้รับเหมา ปัจจัยสภาพคล่องทางการเงิน ปัญหาแรงงานช่าง และสภาพลมฟ้าอากาศที่ไม่อำนวย เป็นต้น Tip: เจ้าของบ้านควรตรวจสอบสัญญาการรับประกันผลงานของทั้งผู้รับเหมา และตัวผลิตภัณฑ์สินค้า รวมถึงการติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตามที่ระบุในเอกสาร เพื่อรับรองคุณภาพการก่อสร้าง และตัวสินค้าให้ได้ตามมาตรฐาน ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก www.scgbuildingmaterials.com เกี่ยวกับการสร้างบ้านอื่นๆ ซื้อบ้านจัดสรรกับสร้างบ้านเอง แบบไหนดีกว่ากัน สร้างบ้านใหม่เลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้นดี? จะก่อสร้างบ้านต้องรู้เรื่องระยะห่างระหว่างอาคารกรณีอยู่ในที่ดินเจ้าของเดียวกัน 7 ความผิดพลาดในการสร้างบ้าน ที่ควรใส่ใจ  
5 วิธีเด็ด ขจัดคราบมันในห้องครัว

5 วิธีเด็ด ขจัดคราบมันในห้องครัว

ปัญหาคราบน้ำมันที่เกิดจากการทำอาหาร ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ของ คุณพ่อบ้าน คุณแม่บ้านเลยนะครับ  อีกทั้งยังทำความสะอาดยากอีกด้วย วันนี้เราเลยของเอาใจ คุณพ่อบ้าน คุณแม่บ้านเป็นพิเศษ กับวิธีการขจัดคราบน้ำมันจากการทำอาหาร ด้วยวิธีง่ายแสนง่ายมาฝากกันครับ   1. บริเวณผนังห้องครัว   เรียกได้ว่าในส่วนนี้เป็นปัญหายอดฮิตกันเลยก็ว่า เพราะเวลาที่ทำอาหารทีไร  ไม่ว่าจะเป็นคราบน้ำมัน หรือ เศษอาหาร ก็ลอยไปติดกับผนังห้องครัวทุกที  โดย เฉพาะเมนูผัดต่างๆ จริงมั้ยครับ เพื่อนๆ ซึ่งหลังจากที่เพื่อนๆ ทำอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลองสังเกตุบริเวณผนังห้องครัวกันด้วยนะครับ ว่ามีคราบน้ำมันเหนียว ๆ  สีน้ำตาลเกาะอยู่บนผนังหรือไม่…ถ้ามีก็ควรรีบทำความสะอาดโดยด่วน ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะจะทำให้คราบน้ำมันสะสมและจะทำความสะอาดได้ยากขึ้นครับ วิธีทำความสะอาด : เพียงแค่เพื่อนๆ นำน้ำส้มสายชู  น้ำยาทำความสะอาดครัว และน้ำอุ่นมาผสมเข้าด้วยกัน  จากนั้นก็ใช้ฟองน้ำชุบส่วนผสม แล้วนำไปเช็ดบริเวณที่มีคราบน้ำมันครับ…แต่!! ขอย้ำว่าเป็นน้ำอุ่นนะครับ เพราะความร้อนและกรดที่ผสมกันนั้น จะช่วยไปละลายคราบที่เกิดขึ้น แถมยังทำความสะอาดได้ง่ายอีกด้วยนะครับ   2. อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในครัว   ถือเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พบเจอกันบ่อยมาก  อาทิ บริเวณเตาแก๊ส หรือ เคาน์เตอร์ในห้องครัว  เรียกได้ว่าหลังทำอาหารเสร็จ ต้องคอยเช็ดกันอยู่ตลอด  แล้วพลานทำให้หงุดหงิดเนื่องจากคราบน้ำมันนั้น ยิ่งเช็ดก็ยิ่งเลอะเทอะ!!! วิธีทำความสะอาด : สิ่งที่ควรทำอย่างแรกเลยคือ ล้างด้วยน้ำร้อนก่อน 1 รอบ เพื่อล้างพวกไขมันออกก่อน  จากนั้นนำน้ำส้มสายชู ผสมกับ น้ำเปล่า ในอัตรา 1 : 2 ส่วน  แล้วนำผ้าชุบส่วนผสม บิดพอหมาด นำไปเช็ดบริเวณที่เลอะคราบน้ำมัน  จากนั้นก็ทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาดอีกหนึ่งครั้งครับ   3. พื้นภายในห้องครัว   ในส่วนของพื้นห้องนี้ มักจะไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องของคราบน้ำมันเท่าไร  นอกจากพวกเศษอาหารเล็กๆ น้อย ที่สามารถทำความสะอาดได้โดยง่าย แต่ก็ไม่ควรมองข้ามนะครับ เพราะบ้างทีอาจจะมีคราบน้ำมันกระเด็นลงมาติดที่พื้นห้องก็ได้ครับ วิธีทำความสะอาด : การทำความสะอากนั้น สามารถทำวิธีเดียวกับการทำความสะอาดผนังห้องได้เลยครับ โดยนำน้ำส้มสายชู  น้ำยาทำความสะอาดครัว และน้ำอุ่นมาผสมเข้าด้วยกัน  จากนั้นก็ใช้ผ้าชุบส่วนผสม บิดพอหมาด แล้วนำไปเช็ดบริเวณที่มีคราบน้ำมันครับ   4. พัดลมดูดควัน   เพื่อนๆ หลายคนอาจจะมองข้ามสิ่งนี้ไป  แต่พัดลมดูดควันนี่แหละครับ ที่ได้รับพวกคราบน้ำมันไปแบบเต็มๆ  เพราะควันที่ดูดเข้าไปนั้น จะมีคราบน้ำมันปะปนอยู่ด้วยนั้นเองครับ  ถึงแม้จะเป็นส่วนที่ทำความสะอาดได้ยาก  แต่เราก็มีวิธีที่ง่ายแสนง่ายในการทำความสะอาดครับ วิธีทำความสะอาด : นำโซดาไฟประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ละลายเข้ากับน้ำสะอาดประมาณ 1 ลิตร คนจนผงละลาย จากนั้นใช้แปรงจุ่มลงไป แล้วนำไปขัดที่บริเวณใบพัด เมื่อสะอาดเรียบร้อยแล้ว ล้างด้วยน้ำสะอาดอีกหนึ่งครั้ง พร้อมกับเช็ดให้แห้งครับ   5. ท่อน้ำทิ้ง   ถึงจะเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่รับรองครับ ว่าต้องมีพวกเศษอาหารหรือคราบน้ำมันเกาะอยู่ภายในอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาท่ออุดตันอีกด้วย  ฉะนั้น  เพื่อนๆ อย่าละเลยในส่วนนี้นะครับ  เพราะถ้าเกิดปัญหาท่ออุดตันขึ้นมานั้น อาจจะยุ่งกว่าเดิมได้ครับ วิธีทำความสะอาด : นำเบกกิ้งโซดาใส่ลงไปในท่อประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ  ต่อด้วยเทน้ำส้มสายชูตามลงไปอีก 2 ช้อนโต๊ะ  จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วจึงราดน้ำร้อนตามลงไป เพียงเท่านี้พวกคราบน้ำมันหรือไขมัน ก็หายไปในพริบตาแล้วครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.infinitydesign.in.th/
ลงทุนคอนโดฯ ปล่อยเช่า ทำอย่างไรให้ไปรอด

ลงทุนคอนโดฯ ปล่อยเช่า ทำอย่างไรให้ไปรอด

เมื่อพูดถึงการลงทุนที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนหรือรายได้แก่ผู้ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เชื่อว่าหลายๆ คนจะนึกถึงคอนโดฯ ปล่อยเช่า โดยถ้าคอนโดฯ อยู่ในทำเลที่ดี เดินทางสะดวก มีผู้เช่าตลอด ก็ช่วยสร้างรายได้ให้ตัวเราได้อย่างต่อเนื่อง แถมราคาคอนโดฯ มีโอกาสปรับขึ้นเรื่อยๆ เมื่อขายต่อก็ได้กำไร แต่ปัจจุบัน เรียกว่า เป็นยุคที่คอนโดฯ ในเมืองผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด มองไปทางไหนก็เห็นแต่คอนโดฯ ขึ้นเต็มไปหมด ทำให้การลงทุนปล่อยเช่าคอนโดฯ จำเป็นต้องคิดให้รอบคอบมากขึ้น และเดี๋ยวนี้ หลายๆ คนก็ซื้อคอนโดฯ มาปล่อยเช่าด้วยการขอสินเชื่อ ซึ่งเรามีคำแนะนำมาฝากครับ สำหรับผู้ที่ต้องการกู้ซื้อคอนโดฯ เพื่อปล่อยเช่านั้น เราแนะนำว่า อย่ากู้เกิน 60% ของราคาคอนโดฯ เพราะอะไรนั้น มาดูกันครับ เนื่องจากการให้เช่าคอนโดฯ ควรคำนวณต้นทุนให้ครบถ้วน หลักๆ ได้แก่ ค่าผ่อนต่อเดือน คำนวณง่ายๆ คือ ถ้ากู้ 1 ล้านบาท จะผ่อน 7,000 บาทต่อเดือน ค่าส่วนกลาง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 40 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ค่านายหน้า กรณีใช้บริการหาผู้เช่าผ่านนายหน้า มักจ่ายค่าธรรมเนียม 1 เดือนของค่าเช่า นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ จากการซื้อคอนโดฯ เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน (2% ของราคาประเมิน) ค่าจดจำนองอสังหาฯ (1% ของวงเงินกู้) และค่าใช่จ่ายที่เกิดขึ้นระหว่างที่ใช้เช่าคอนโดฯ เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประเภทรายได้ค่าเช่า ยกตัวอย่าง กู้ซื้อคอนโดฯ ราคา 1 ล้านบาท ขนาด 25 ตารางเมตร เพื่อปล่อยเช่า โดยเก็บค่าเช่าได้ประมาณ 6,000 บาทต่อเดือน จะเห็นได้ว่า หากขอสินเชื่อจากธนาคารเกิน 60% อาจทำให้การปล่อยเช่าคอนโดฯ ให้ผลตอบแทนที่ขาดทุน ดังนั้น ควรกู้ธนาคารไม่เกิน 60% ของราคาคอนโดฯ ที่เหลือก็ใช้เงินทุนตัวเองมาเป็นเงินดาวน์ โดยยิ่งดาวน์เยอะ กู้น้อย ค่าผ่อนต่อเดือนก็จะไม่สูงนัก ช่วยให้รายได้ค่าเช่าครอบคลุมค่าผ่อนและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนด้วยครับ ทั้งนี้ คอนโดฯ ที่คนส่วนใหญ่ซื้อลงทุน มักอยู่ในทำเลทอง ใกล้รถไฟฟ้า ใกล้แหล่งชุมชน ห้างสรรพสินค้า ทำให้ผู้เช่ามีตัวเลือกมากมาย โดยคอนโดฯ หลายๆ แห่งก็มีผู้เช่าต่อเนื่อง ในขณะที่บางแห่งอาจไม่มีผู้เช่าตลอดทั้งปี ซึ่งจากการสอบถามผู้ให้เช่าคอนโดฯ หลายๆ ท่านพบว่า โดยเฉลี่ยในหนึ่งปีสามารถปล่อยเช่าคอนโดฯ ได้ประมาณ 8 เดือน ดังนั้น ผู้ที่จะลงทุนในคอนโดฯ ควรมีเงินสำรองเตรียมไว้เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าผ่อนรายเดือน และค่าส่วนกลางอย่างน้อย 4 เดือน ในระหว่างที่ขาดผู้เช่า รวมถึงยังต้องสำรองเงินอีกจำนวนหนึ่งไว้เป็นค่าบำรุงรักษาห้อง เพราะอาจเป็นไปได้ว่าเงินประกันที่เรียกเก็บจากผู้เช่าอาจไม่เพียงพอต่อการซ่อมแซมเพื่อปล่อยเช่าใหม่ อีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ลงทุนในคอนโดฯ ควรรู้ นั่นคือ คอนโดฯ ที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าอาจถือเป็นบ้านหลังที่สองตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งต้องเสียภาษี ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป ที่อยู่อาศัยที่ถือว่าเป็นบ้านหลังที่สอง คือ มีแค่ชื่ออยู่หลังโฉนด แต่ไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน จะเสียภาษีในอัตรา 0.03-0.3% ของราคาประเมิน โดยภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง คาดว่าจะเริ่มใช้ปี 2560 ซึ่งต้องติดตามข่าวสารและรายละเอียดกันอีกครั้งนะครับ แม้ว่าการปล่อยเช่าคอนโดฯ จะเป็นการลงทุนที่น่าสนใจ ผู้ลงทุนมีโอกาสได้ผลตอบแทนหรือรายได้สม่ำเสมอจากค่าเช่า แต่การลงทุนก็ตามมาด้วยความเสี่ยง เช่น เสี่ยงที่จะไม่มีผู้เช่า เสี่ยงที่จะปล่อยเช่าได้ในราคาที่ต่ำกว่าค่าผ่อนหรือค่าใช้จ่ายต่างๆ ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรศึกษาข้อมูล และเตรียมความพร้อมด้านการเงินให้ดีก่อนลงทุนในคอนโดฯ ปล่อยเช่าครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก k-expert
10 วิธีดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำ ฉุนแค่ไหนก็จัดการได้

10 วิธีดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำ ฉุนแค่ไหนก็จัดการได้

วิธีดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำ จบปัญหากลิ่นฉุน ๆ จนทำให้ไม่อยากเข้าห้องน้ำ ด้วย 10 วิธีดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำ พร้อมวิธีทำความสะอาดที่ทำให้ห้องน้ำของคุณไม่มีคราบสกปรกหลงเหลืออีกต่อไป ห้องน้ำจะเสียบรรยากาศสุด ๆ เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้วได้กลิ่นฉี่ตลบอบอวล โดยเฉพาะตอนที่มีแขกมาที่บ้าน แทบไม่อยากให้เขาเข้าห้องน้ำเลยใช่ไหมล่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมเลยรวมวิธีดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำมาฝาก ใครถนัดวิธีไหนก็นำไปทำตามได้เลย เพราะอุปกรณ์ที่จะนำมาใช้ สามารถหาได้จากในบ้านทั้งนั้น ว่าแล้วก็ตามไปดูกันดีกว่าว่ามีวิธีไหนที่สามารถดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำได้ผลบ้าง 1.สเปรย์น้ำยาล้างจาน ใช้ดับกลิ่นฉี่ได้ วิธีนี้สามารถใช้ทำความสะอาดและดับกลิ่นห้องน้ำได้ในคราวเดียวกัน ผสมน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำเปล่า 6 ออนซ์ แล้วเทใส่ขวดสเปรย์ นำไปฉีดให้ทั่วชักโครก รวมถึงในแท็งก์น้ำของชักโครก แล้วใช้แปรงขัดตาม จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด กลิ่นก็จะหายไป 2.ดับกลิ่นฉี่ด้วย น้ำมะนาวผสมเบกกิ้งโซดา เป็นสูตรผสมที่สามารถหาได้จากในห้องครัว เพียงแค่ผสมน้ำมะนาวกับเบกกิ้งโซดาให้เป็นเนื้อสครับเข้มข้น แล้วนำไปถูให้ทั่วชักโครก รวมทั้งแท็งก์นี้และขอบยาแนว ทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นเปิดฝาแท็งก์น้ำด้านหลังโถออก จัดการเทน้ำส้มสายชู ½ ถ้วยตวงลงไป ทิ้งไว้ 15 นาที กดน้ำทิ้ง 2-3 ครั้ง เทน้ำส้มสายชูลงไปเพิ่มอีก ½ ถ้วยตวง ปล่อยทิ้งไว้สักพัก ระหว่างนั้นให้นำแปรงสีฟันที่ไม่ใช้แล้วมาขัดทำความสะอาดตามร่องเล็ก ๆ ที่ชักโครกให้สะอาด แล้วกดน้ำทิ้งซ้ำอีกครั้ง ให้น้ำและน้ำส้มสายชูชะล้างคราบและกลิ่นฉี่ออกไป 3.เทสารฟอกขาวลงในโถส้วม ดับกลิ่นฉี่ได้ บ้านไหนที่เจอปัญหากลิ่นฉี่ฉุนรุนแรงจนน่าเวียนหัว ให้นำสารฟอกขาว 1 ถ้วยตวง เทลงในโถส้วม แล้วทิ้งไว้สักพัก จากนั้นนำฟองน้ำหรือแปรงขัดมาชุบสารฟอกขาวเพียงเล็กน้อย เพื่อขัดไปรอบ ๆ โถให้ทั่ว กดน้ำในโถส้วมทิ้งไปหลาย ๆ รอบ ล้างโถให้สะอาดก็เป็นอันเสร็จ 4.ดับกลิ่นฉี่ด้วยการซักทำความสะอาดพรมในห้องน้ำ หากในห้องน้ำมีพรมเช็ดเท้า ก็อย่าลืมนำมาซักด้วยนะครับ เพราะอาจจะมีฉี่สะสมไว้เป็นเวลานานจนทำให้ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว ฉะนั้นเมื่อไรที่ทำความสะอาดห้องน้ำก็อย่าลืมนำพรมไปซักด้วยเลยทีเดียว 5.ก้อนเบกกิ้งโซดาดับกลิ่นฉี่ ส่วนวิธีนี้เริ่มจากนำเบกกิ้งโซดามาผสมกับกรดมะนาว น้ำส้มสายชู ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และน้ำมันหอมระเหย คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี จากนั้นตักใส่แม่พิมพ์ แล้วรอให้จับตัวเป็นก้อน ค่อยนำไปใส่ขวดโหลเพื่อใช้ในห้องน้ำ ได้กลิ่นเหม็นเมื่อไร ก็หยิบก้อนดับกลิ่นใส่โถส้วมไปเลยครับ 6.น้ำสบู่ผสมน้ำส้มสายชูช่วยดับกลิ่นฉี่ เป็นอีกสูตรที่สามารถดับกลิ่นได้ดีเยี่ยม โดยการนำเบกกิ้งโซดา ¼ ถ้วยตวง มาผสมกับน้ำส้มสายชู ¼ ถ้วยตวง เติมน้ำเปล่าลงไปอีก 2 แกลลอน และที่ขาดไม่ได้เลย นั่นก็คือ สบู่เหลว 30 มิลลิลิตร สำหรับบ้านไหนที่มีปัญหากลิ่นฉี่หนักหน่วงจนยากเกินจะแก้ไข แนะนำให้ผสมผงบอแร็กซ์ลงไปอีก ½ ถ้วยตวง แล้วคนให้เข้ากัน นำไปทำความสะอาดพื้นห้องน้ำ โดยเฉพาะบริเวณที่มีกลิ่นฉี่ก็เรียบร้อย 7.ใช้สเปรย์ดับกลิ่นฉี่ที่โถทุกครั้งหลังใช้งาน มาป้องกันและแก้ปัญหากลิ่นฉี่กันซะตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยการ DIY สเปรย์ดับกลิ่นกันดีกว่า โดยผสมแอลกอฮอล์ 1 ช้อนชา น้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบประมาณ 30-40 หยด และน้ำเปล่าอีกเล็กน้อยพอให้ไม่ข้นจนเกินไป แล้วเทใส่ขวดสเปรย์ ใช้ฉีดที่ชักโครกทุกครั้งหลังถ่ายเสร็จ 8.ใช้เกลือผสมน้ำส้มสายชูดับกลิ่นฉี่ นอกจากกลิ่นที่มาจากโถส้วมแล้ว ตามพื้นห้องน้ำก็มีคราบฉี่ที่คอยส่งกลิ่นฉุนอยู่เหมือนกัน ดังนั้นเราจึงต้องทำความสะอาดพื้นห้องน้ำด้วยส่วนผสมดังต่อไปนี้ เริ่มจากนำเกลือ 1 ถ้วยตวง มาผสมกับเบกกิ้งโซดา 1 ถ้วยตวง และตามด้วยน้ำส้มสายชูอีก 1 ถ้วยตวง คนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นใช้แปรงเกลี่ยส่วนผสมให้ทั่วพื้นห้องน้ำและที่ชักโครก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วเช็ดส่วนผสมออกให้หมดหรือล้างออกด้วยน้ำสะอาด กลิ่นก็จะหายไปเอง 9.ใช้สเปรย์แอมโมเนียดับกลิ่นฉี่ สเปรย์แอมโมเนียก็ช่วยดับกลิ่นฉี่ได้ เพียงแค่นำแอลกอฮอล์ขนาด 2 ถ้วยตวง มาผสมกับสบู่เหลว 1 ช้อนชา และแอมโมเนียธรรมดาหรือแอมโมเนียกลิ่นมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ ในระหว่างที่กำลังผสมอย่าคนจนเกิดฟองอากาศเด็ดขาด แล้วเทใส่ขวดสเปรย์เก็บไว้ หากเจอกลิ่นและคราบฉี่ตรงไหน ก็ฉีดสเปรย์ลงไปและราดน้ำให้เรียบร้อย 10.DIY เครื่องหอมช่วยดับกลิ่นฉี่  สำหรับคนที่ชอบกลิ่นหอม ๆ น่าจะชอบวิธีนี้ เริ่มจากฝานเลมอนแล้วนำไปใส่ในขวดโหลที่มีฝาปิด ตามด้วยโรสแมรี่ 2 ก้าน วานิลลาสกัด 1 ช้อนชา เติมน้ำให้เกือบเต็มขวดโหล นำไปแช่ในตู้เย็นประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วค่อยนำเอาออกมาต้มด้วยไฟกลางให้พอเดือด เทใส่ขวดโหล จากนั้นก็นำไปวางในห้องน้ำได้เลย เห็นไหมครับว่า กลิ่นฉี่ฉุน ๆ ในห้องน้ำไม่ใช่เรื่องยากเกินแก้ไขอีกต่อไป เพราะแค่นำวิธีการและสูตรดับกลิ่นที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไปลองทำและใช้ แล้วจะรู้ว่ามันง่ายและได้ผลดีจนต้องบอกต่อกันเลยทีเดียว นอกจากการดับกลิ่นฉี่แล้ว ยังมีเคล็ดลับอื่นๆ สำหรับบ้านเรา เทคนิคดีๆ 5 เคล็ดลับ จัดการกลิ่นในห้องครัว เคล็ดลับการรักษาพรม และเลือกซื้อให้ถูกวิธี ทางลัดลดค่าไฟ 15 วิธีจัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์
13 วิธีกำจัดมอด ปิดประตูตายแมลงร้ายในครัว!

13 วิธีกำจัดมอด ปิดประตูตายแมลงร้ายในครัว!

รวมวิธีกำจัดมอด ไม่ว่าจะอยู่ในข้าวสารหรือแป้งประกอบอาหาร ด้วยวิธีสุดง่ายแบบบ้านไหน ๆ ก็ทำเองได้ พอกันทีสำหรับการแบ่งปันที่อยู่อาศัยให้แมลงศัตรูคู่ครัว   เมื่อไรที่เปิดถังข้าวสารและถุงแป้งออกมาเจอมอดเดินกันยั้วเยี้ยเต็มไปหมด น่าขนลุกทุกที! ครั้นจะหยิบออกด้วยมือเปล่าก็ยากเย็น เพราะมอดตัวเล็กมากแถมเคลื่อนที่เร็ว หรือจะทิ้งอาหารเหล่านั้นไปทั้งหมดก็เสียดายเงินเปล่าๆ อย่ารอช้า! มากำจัดมอดแมลงร้ายให้หมดไปจากครัวได้อย่างง่ายดาย ถ้าไม่อยากโดนมอดบุกยึดครัวก็ตามไปดูกันเลย 1.ทำความสะอาดครัวในเบื้องต้น ช่วยกำจัดมอด จะจำกัดมอดแบบตรงจุดให้ได้ผล 100% ต้องอาศัยปัจจัยรอบข้างด้วย เช่น การรักษาความสะอาดภายในห้องครัว โดยการตรวจดูและซ่อมแซมจุดชำรุดเสียหายที่เป็นแหล่งทางเดินของมอด ความสะอาดตู้กับข้าว ชั้นวางของ และตู้เก็บของในครัวด้วยน้ำสบู่เพื่อฆ่าเชื้อโรค 2.แช่แข็งแป้งประกอบอาหาร ก็ช่วยกจักมอด สาว ๆ คนไหนที่ชอบทำขนมคงเข้าใจกันดี เวลาเปิดถุงแป้งออกมาแล้วเจอเจ้ามอดชอนไชทุกอณูแป้งก็รู้สึกหมดอารมณ์เข้าครัวไปตาม ๆ กัน แต่อย่าท้อไปครับ ให้นำถุงแป้งเหล่านั้นไปแช่แข็งไว้ในช่องฟรีซประมาณ 4 วัน ก็จะช่วยกำจัดตัวอ่อนและมอดตัวแม่ได้หมดเกลี้ยง 3.กำจัดมอดด้วยกลิ่นใบกระวาน  ปัญหามอดคุกคามห่อแป้งประกอบอาหารและถังข้าวสารนั้นจัดการได้ไม่ยาก แค่นำใบกระวานสัก 2-3 ใบ ใส่ลงไปในห่อแป้งและถังข้าวสาร กลิ่นฉุน ๆ ของใบกระวานก็จะส่งสัญญาณบอกมอดให้ถอยทัพออกไปซะ 4.เครื่องดูดฝุ่น กำจัดมอดถึงต้นตอ ถ้าไม่อยากเสียเวลาไปกับการรอในวิธีอื่น ๆ แนะนำให้ใช้เครื่องดูดฝุ่นมาทำความสะอาดตามตู้กับข้าวและซอกมุมต่าง ๆ ในครัว เพื่อกำจัดต้นตอแหล่งที่อยู่อาศัยของมอดให้หมดสิ้นไป แม้จะเป็นวิธีที่ดูง่ายแต่ก็ได้ผลเกินคาดระดับตัดไฟแต่ต้นลมและรวดเร็วทันใจ 5.กำจัดมอดจากต้นทางด้วยการเก็บแป้งและข้าวสารในบรรจุภัณฑ์ที่ปิดสนิท  เมื่อซื้อแป้งและข้าวสารมาแล้ว ก็อย่าลืมเก็บในบรรจุภัณฑ์ที่มีฝาปิดแน่นหนา แต่ถ้าเป็นถุงสุญญากาศด้วยก็จะยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เพื่อป้องกันไม่ให้มอดถือโอกาสทองปีนป่ายเข้าไปนอนกองกันอยู่ข้างในยังไงล่ะครับ 6.หากจะกำจัดมอด ใช้แป้งให้หมดอย่าเก็บไว้ วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับแป้งประกอบอาหาร หากเมื่อไรที่ต้องการจะใช้แป้งเพื่อทำอาหารหรือทำขนม แนะนำให้ซื้อมาใช้เท่าที่ต้องการ อย่าเหลือเก็บค้างไว้จะดีกว่า หรืออาจจะซื้อมาเก็บสำรองไว้ก็ได้แต่จะต้องไม่นานเกิน 1-2 เดือน และควรนำแป้งของเก่าออกมาใช้ก่อนเสมอ 7.กานพลู สมุนไพรกลิ่นหอมกำจัดมอด นอกจากใบกระวานจะช่วยส่งกลิ่นกำจัดมอดได้แล้ว กานพลูยังเป็นสมุนไพรอีกหนึ่งชนิดที่ควรนำเอาไปโรยไว้บริเวณตู้กับข้าว ชั้นวางของ และมุมต่าง ๆ ภายในห้องครัว เพราะมันจะมีกลิ่นที่ทำให้มอดไม่สามารถอยู่ในครัวร่วมกับเราได้ 8.กำจัดมอดตั้งแต่ต้นด้วยการตรวจเช็กวัถตุดิบอาหาร  อย่าชะล่าใจไป แม้วัตถุดิบอาหารต่าง ๆ ในครัวจะถูกจัดเก็บไว้เป็นอย่างดี แต่ถ้าหากไม่เคยตรวจเช็กดูเลยก็จะเสี่ยงหนักไปอีก เพราะถ้าเกิดวัตถุดิบบางอย่างเกิดหมดอายุหรือเน่าเสียขึ้นละก็คราวนี้มอดจะต้องหาทุกวิถีทางในการบุกเข้ามารบกวนวัตถุดิบอย่างแน่นอน ฉะนั้นควรจะตรวจเช็กอยู่บ่อย ๆ และทิ้งบรรดาของเน่าเสียไปให้หมดจะดีกว่า 9.ผ้าเปียก กับดักกำจัดมอดชั้นดี ในเมื่อมอดเป็นสัตว์ที่ชอบพื้นที่ชื้นแฉะและมืด เราจึงต้องวางกับดักเพื่อกำจัดมันซะ โดยการนำผ้าขนหนูผืนเล็กไปชุบน้ำแล้วบิดหมาด ๆ จากนั้นนำไปวางล่อตามมุมต่าง ๆ ในครัว เมื่อบรรดามอดพากันยกทัพมาที่ผ้า ก็ให้รีบนำผ้าเปียกเหล่านั้นลงไปแช่ในน้ำ เพื่อลดจำนวนมอดในครัวให้ลดลง 10.น้ำส้มสายชูกำจัดมอด  อีกหนึ่งวิธีทำความสะอาดครัวให้ปราศจากมอดได้ ด้วยการนำผ้าชุบน้ำส้มสายชูมาเช็ดตามมุมต่าง ๆ ภายในครัว เน้นตรงบริเวณตู้กับข้าวและที่เก็บวัตถุดิบอาหารให้สะอาด จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเปล่าหรือน้ำสบู่เช็ดออกอีกครั้ง เพียงเท่านี้มอดก็อยู่ไม่ได้แล้ว 11.กล่องไม้ขีดไฟก็จำกัดมอดได้ นาทีนี้ของธรรมดา ๆ อย่างกล่องไม้ขีดไฟก็มีค่า เพราะที่กล่องไม้ขีดไฟมีซัลเฟอร์หรือที่คนทั่วไปเรียกว่ากำมะถันอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ แต่กลับเป็นอาวุธเด็ดที่ทำให้มอดต้องถอยหนี เพียงแค่นำไปวางไว้ตามที่ต่าง ๆ ในครัวก็พอ 12.นำข้าวสารไปตากแดดไล่ความชื้น กำจัดมอด เราอาจจะเคยสงสัยว่าทำไมเขาต้องนำถาดข้าวสารออกมาวางตากแดดไว้หน้าบ้าน ซึ่งนั่นก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการกำจัดมอดข้าวสารที่นิยมทำกันมานาน อย่างที่บอกไปว่ามอดเป็นสัตว์ที่ชอบความชื้นและที่มืด ฉะนั้นเมื่อนำข้าวสารไปตากแดด แน่นอนว่ามอดก็ต้องร้อนรนขนสมาชิกหนีตายออกจากข้าวสาร 13.วางถุงพริกไทยดำให้ส่งกลิ่นกำจัดมอด บ้านไหนที่มีพริกไทยดำเหลืออยู่จำนวนมาก แนะนำให้นำไปใส่ในผ้าขาวบางแล้วผูกปากให้มิด หรือใส่ในถุงที่มีรูระบายอากาศ จากนั้นนำไปวางไว้ตามที่ต่าง ๆ ในครัว กลิ่นฉุน ๆ และความร้อนของพริกไทยดำก็จะทำให้มอดหายไปจากครัว   เห็นแล้วใช่ไหมครับว่าแต่ละวิธีนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด หากบ้านใครกำลังเผชิญปัญหามอดบุกรุกคุกคามพื้นที่ครัวอยู่ละก็ อย่าลืมนำวิธีดี ๆ แบบนี้ไปใช้กันนะครับ แล้วจะรู้ว่ามันได้ผลจริง ๆ ความรู้อื่นๆ เกี่ยวการกำจัดมอด วิธีกำจัดมอด วิธีกำจัดปัญหากวนใจต่างๆ ในบ้าน วิธีแก้ปัญหาแอร์มีกลิ่นเหม็นสุดจะดม ก่อนคนในบ้านจะทนอยู่ไม่ไหว 4 วิธีกำจัดสิ่งสกปรกในเครื่องซักผ้า ไรฝุ่น ผู้ร้ายบนที่นอน
“Functional is Beautiful” บ้านที่สวยที่สุด..คือบ้านที่เข้าใจชีวิต

“Functional is Beautiful” บ้านที่สวยที่สุด..คือบ้านที่เข้าใจชีวิต

เมื่อคำนิยามของ “บ้าน” ไม่ได้เป็นแค่เพียงที่อยู่อาศัย และ “บ้าน” ไม่ใช่แค่สถานที่ที่ใช้หลบแดดหลบฝน แต่ “บ้าน คือ ชีวิต” เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตเราเริ่มต้นและจบลงที่ “บ้าน” พื้นที่ที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวได้แบ่งปัน เติบโต และมอบความอบอุ่นให้แก่กันและกัน   จุดเริ่มต้นของการเลือกบ้านซักหลัง อาจไม่ใช่บ้านหลังใหญ่ที่สุด หรูหราที่สุด หรือมีรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยที่สุด แต่สิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องการคือ การที่ได้เห็นทุกคนในบ้านได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ได้ยินเสียงหัวเราะ ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน หรือแม้กระทั่งการที่ได้ปลดปล่อยและเป็นตัวของตัวเอง   ที่เอพี พื้นที่ทุกตารางนิ้วของบ้านถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้ใช้งานได้จริง และตอบโจทย์ชีวิตที่สุด ด้วยแนวคิด FUNCTIONAL IS BEAUTIFUL ด้วยฟังก์ชั่นภายในบ้านที่สัมพันธ์กับการใช้ชีวิตของสมาชิกทุกคนในครอบครัว ที่แม้จะมีความฝันและไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน แต่ทุกคนก็สามารถใช้ทุกพื้นที่ร่วมกันได้ ทำให้พื้นที่ภายในบ้านอัดแน่นและอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ เกิดเป็นความอบอุ่นที่ช่วยเติมพลังให้กับทุกคน เป็นการสร้างความรู้สึกดีจากรุ่นสู่รุ่น เรียงร้อยเป็นความทรงจำใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้แบบไม่รู้จบ   2 KITCHEN IN 1CONCEPT   แม้การออกแบบครัวฝรั่งจะเป็นชื่นชอบในปัจจุบัน แต่คนไทย ยังไงต้องมีครัวไทย ซึ่งถ้ามองลึกไปถึงขั้นตอนกระบวนการทำอาหารไทย ย่อมต้องมีกลิ่นเครื่องแกงต่าง ๆ มากกว่าอาหารฝรั่ง เอพี จึงออกแบบให้มีทิศทางการระบายกลิ่นที่ดี ทิศทางของแสงเพื่อให้อาหารดูสวยงามน่ารับประทาน มีการคำนึงพื้นที่ทำอาหาร ให้ครอบครัวได้ทำอาหารพร้อมกัน และพิจารณาการเข้าถึงได้ง่ายตั้งแต่ที่จอดรถ โดยไม่ต้องผ่านส่วนที่เป็น LIVING AREA     EXTENDED FAMILY SPACE   เมื่อความสุขทุกรูปแบบมักเกินขึ้นที่โต๊ะอาหาร การรังสรรค์เมนูเด็ด การสร้างแรงบันดาลใจ บทสนทนา พื้นที่นี้จึงเป็นส่วนสำคัญหลักของบ้าน FAMILY SPACE จึงอถูกออกแบบให้เชื่อมโยงกับพฤติกรรมเจ้าของบ้าน พื้นที่ DINING จึงไม่เป็นเพียงโต๊ะทานอาหาร หากแต่เป็น FAMILY SPACE ที่เชื่อมต่อกับ FAMILY LIVING,PANTRY และ KICHEN  เข้าด้วยกัน พื้นที่ลักษณะสี่เหลี่ยมผื้นผ้าที่ง่ายต่อการจัดวางและการปรับเปลี่ยน ช่องแสงที่เปิดรับเป็นจังหวะและสัดส่วน ให้เกิดการระบายอากาศได้ดี และปรับขยายเพื่อรองรับกิจกรมของครอบครัว แค่พลิกการวางเฟอร์นิดจอร์ ความเป็นส่วนตัวที่ยังต้องการสัมพันธ์ของครอบครัวก็ยังเกิดขึ้นได้       COURTYARD GARDEN   สวนสีเขียวที่ไม่ได้มีแค่โชว์ สวนจึงถูกออกแบบให้โอบล้อมรอบบ้านทั้ง 3 ด้าน ที่สัมผัสธรรมชาติได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน สามารถใช้งานได้หลากหลายทุกรูปแบบ แต่ยังคงไว้ด้วยความสงบด้วยกำแพงต้นไม้ทุกด้านที่โอบล้อม การจัดวางต้นไม้ที่คำนึงถึงทิศทางของแสงแดดที่ตกกระทบผ่านเข้ามาในตัวบ้าน ไม่เพียงแต่สร้างเงาที่สวยงาม แต่ยังให้ความร่มรื่น ออกมานั่นอ่านหนังสือในยามบ่ายแบบส่วนตัวแต่ยังคงมีปฎิสัมพันธ์กับครอบครัวได้อยู่     ความสวยงามในชีวิตจริงเหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนที่เอพีให้ความสำคัญในการออกแบบ ซึ่งยังมีอีกหลากหลายฟังก์ชั่นกับแนวคิดที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานอย่างแท้จริง  เพราะทุกพื้นที่ทุกตารางนิ้วของที่นี่ คือการส่งต่อความรู้สึกที่ไม่มีวันสิ้นสุด พบ 7 โครงการบ้านเดี่ยวแนวคิดใหม่ THE CITY และ CENTRO จากเอพี  Grand Opening  18 - 19 พ.ย. นี้ พร้อมรับส่วนลดสูงสุดกว่า 2 ล้านบาท ที่ Sales Gallery ชมโครงการคุณภาพจากเอพี และอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://goo.gl/psh6v1    
สร้างรั้วบ้านอย่างไร ถูกทั้งกฎหมาย และไม่ทะเลาะกับเพื่อนบ้าน

สร้างรั้วบ้านอย่างไร ถูกทั้งกฎหมาย และไม่ทะเลาะกับเพื่อนบ้าน

"รั้วบ้าน" อาจไม่ใช่ส่วนหลักของบ้านที่เรานึกถึง แต่ในความเป็นจริงแล้ว รั้วบ้านกลับมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าส่วนประกอบอื่นๆ ของตัวบ้าน เนื่องจากโดยหน้าที่แล้วรั้วบ้านช่วยป้องกันอันตราย และยังเป็นเหมือนด่านแรกที่คนมองเห็นจากภายนอก หากแต่ก็มีปัญหาเรื่องบ้านส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากเรื่องของ "รั้ว" ซึ่งบางทีเลยเถิดจนกลายเป็นปัญหาระหว่างเจ้าของบ้าน เราจึงอยากแนะนำเรื่องการสร้างรั้วที่จะไม่สร้างปัญหาให้กับคุณมาฝาก 1.ด้านที่ติดกับทางสาธารณะ เราต้องสร้างรั้วไว้ในเขตพื้นที่บ้านของเรา 2.สำหรับรั้วที่ติดกับบ้านหลังข้างๆ ให้เราสร้างรั้วไว้ตรงกลางของเส้นแบ่งที่ดิน 3.รั้วที่สร้างติดกับทางสาธารณะต้องมีความสูงไม่เกิน 3 เมตร โดยนับจากระดับทางเท้าหรือถนนสาธารณะ ทั้งด้านหน้า ด้านข้างหรือด้านหลัง 4.เราไม่ควรสร้างรั้วบ้านแบบทึบ เพราะทำให้ลมไม่สามารถพัดผ่านได้ นอกจากนี้รั้วบ้านที่ทึบในทางกลับกันยังจะกลายเป็นที่ซ่อนตัวของโจรหลังปีนเข้ามาภายในบ้านอีกด้วย   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.sanook.com
10 สิ่งในบ้านที่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย

10 สิ่งในบ้านที่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย

บ้านน่าจะเป็นสถานที่ๆ เมื่อเข้ามาแล้วรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย ได้พักผ่อน แต่ทั้งนี้มีหลาย ๆ คนรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่สดชื่น ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเลย นั่นเป็นเพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยและสิ่งเหล่านั้นมีอะไรบ้างมาดูกัน   1. ความรก แน่นอนว่าถ้าคุณพักผ่อนอยู่ในที่ๆ ไม่สะอาด มันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้น อาจจะรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นด้วยซ้ำ มีการสำรวจพบว่าบรรยากาศที่รกรุงรังทำให้เกิดความเครียด และก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยมากขึ้น   2. การทาผนังสีฟ้า จากการทำรวจห้องนอนสีต่าง ๆ จะนวน 2,000 ห้อง พบว่าบ้านที่ทาห้องนอนด้วยสีฟ้าช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง ลดความดันโลหิต และทำให้รู้สึกง่วง ดังนั้นสีฟ้าจึงเป็นสีที่เหมาะกับการใช้ในห้องนอน แต่จะไม่เหมาะที่จะนำไปใช้ในห้องอื่น   3. โทรทัศน์และจอคอมพิวเตอร์ ทั้งสองอย่างนี้มีคลื่นสีฟ้า และมันจะส่งผ่านไปที่สมอง สมองก็จะผลิตเมลาทนิน ที่ทำให้รู้สึกเหนื่อย   4. เครื่องต้มกาแฟ แม้ว่ามันจะดีสำหรับในช่วงเช้า แต่ไม่ค่อยเหมาะสำหรับในช่วงบ่ายหรือค่ำ ถ้าคุณดื่มกาแฟในช่วงอาหารค่ำ คาเฟอีนก็จะไปกระตุ้นพลังงาน ซึ่งไม่ดีสำหรับการเตรียมตัวนอนหลับพักผ่อน   5. เซ็ทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางคนเห็นว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สักเล็กน้อยก่อนนอน จะช่วยให้หลับง่าย แต่คุณภาพการหลับของคุณจะไม่ดี และทำให้ไม่สดชื่นเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า   6. เทียนหอมลาเวนเดอร์แม้ว่ากลิ่นจะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ในบางกรณีก็ทำให้เหนื่อย ผู้เชี่ยวชาญจาก Wesleyan University ศึกษาพบว่า การดมกลิ่นลาเวนเดอร์ก่อนนอนมีแนวโน้มที่จะทำให้นอนหลับอุตตุ ดังนั้น ในช่วงกลางวัน ไม่ควรจุดเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ ลองเปลี่ยนเป็นกลิ่นส้มแทน และกลิ่นลาเวนเดอร์ ก็ใช้เฉพาะตอนกลางคืน   7. อาหารขยะฝรั่งอบกรอบ อาหารที่มีน้ำตาลสูง คาร์โบไฮเดรตสูง จะทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา   8. การตั้งอุณภูมิในห้อง จากการศึกษาพบว่า อุณภูมิที่ค่อนข้างเย็น คือประมาณ 16-20 องศาเซลเซียส จะทำให้รู้สึกง่วง หากตั้งอุณภูมิในบ้านไว้ในระดับนี้ทั้งวัน จะทำให้รู้สึกอยากนอนกลางวัน   9. โทรศัพท์มือถือ แน่นอนว่าเป็นอุปกรณ์ที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้ แต่มันทำให้เรารู้สึกเหนื่อยมากขึ้นในระหว่างวัน ร้อยละ20 ของคนหนุ่มสาว อายุ 19-29 ปี มักจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืนเพราะการโทรศัพท์ การส่งข้อความ และอีเมล์ ซึ่งนั่นรบกวนการนอนหลับ ทั้ง ๆ ที่เราเหนื่อยกับการทำงานมาทั้งวันแล้ว   10. ม่านหน้าต่าง มีการสำรวจสถานที่ทำงานที่มีหน้าต่าง กับไม่มีหน้าต่าง พบว่า คนที่ได้รับแสงจากธรรมชาติในช่วงกลางวัน จะนอนหลับได้ดีกว่าคนที่ทำงาน ในที่ที่ไม่มีแสงธรรมชาติส่องผ่านเข้ามา ดังนั้นที่บ้านก็เช่นกัน เราควรเปิดรับแสงจากธรรมชาติ เพื่อให้สามารถนอนหลับพักผ่อนในช่วงกลางคืนได้อย่างเต็มที่     ขอบคุณข้อมูลจาก www.housebeautiful.co.uk home.sanook.com            
คอนโดฯสร้างไม่เสร็จ ควรทำอย่างไร

คอนโดฯสร้างไม่เสร็จ ควรทำอย่างไร

ขณะนี้โครงการคอนโดฯ ในหลายพื้นที่เริ่มเกิดปัญหาให้ได้พบเห็นกัน ทั้งโครงการหยุดสร้าง โครงการโดนเทคโอเวอร์ หรือแม้กระทั่งโครงการกำลังจะโดนยึดจากธนาคารก็มี แล้วผู้ซื้อคอนโดนอย่างเราๆจะต้องประสบกับความยุ่งยากที่จะตามมาอย่างแน่นอน ควรจะต้องทำอย่างไร ขั้นแรกที่สุดคือเริ่มสังเกตวี่แววคอนโดฯของเราก่อน ว่าสร้างช้าผิดปกติหรือไม่ หากเป็นคอนโดฯโลว์ไรส์ 8 ชั้น จะใช้เวลาก่อสร้างไม่เกิน 1.5 ปี แต่ถ้าเป็นคอนโดฯไฮไรส์ 20 ชั้นขึ้นไป จะใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 2.5 ปี ถ้าเกินกว่านี้อาจประเมินได้ว่าน่าจะมีปัญหาอะไรสักอย่าง ถึงส่งผลให้การก่อสร้างช้ากว่าปกติหากเป็นเช่นนั้น ทางโครงการดำเนินการก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนด ผู้ซื้อสามารถยกเลิกสัญญาขอคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยได้ แต่หากยอมรับกับความล่าช้าที่เกิดขึ้นได้ และยังต้องการรับโอน ทางโครงการจะเสียค่าปรับจากกรณีก่อสร้างล่าช้าให้ด้วย แต่ถ้าร้ายแรงถึงขั้นถูกธนาคารฟ้องร้อง หากบังคับคดีจนถึงขั้นยึดทรัพย์แล้ว ผู้ซื้อสามารถฟ้องเพื่อให้เจ้าของโครงการคืนเงินที่จ่ายไปได้ แต่สิทธิในฐานะเจ้าหนี้จะไม่เท่ากับเจ้าหนี้ธนาคารที่มีการจดทะเบียนจำนองค้ำประกันหนี้ ผู้ซื้อจึงได้ชำระหนี้ภายหลังจากเจ้าของโครงการชำระหนี้แก่ธนาคารแล้วเท่านั้น ในอีกกรณีหนึ่งคือโครงการถูกเทคโอเวอร์ เปลี่ยนมือเจ้าของกิจการไป เจ้าของโครงการจะต้องโอนสิทธิตามกฎหมาย ถ้าเรายินยอม ผู้ซื้อก็จะเป็นคู่สัญญาใหม่กับเจ้าของรายใหม่ มีสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายฉบับเดิมกับเจ้าของโครงการใหม่จึงมีสิทธิในห้องชุดที่ซื้อ แต่หากเจ้าของโครงการขายโครงการให้กับบุคคลภายนอกไปเฉยๆ ระหว่างผู้ซื้อกับเจ้าของโครงการถือว่าเจ้าของโครงการผิดสัญญา ต้องคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.co.th
5 วิธีไล่แมลงวัน แบบธรรมชาติ ไม่กล้ามาวุ่นวายกวนใจอีก

5 วิธีไล่แมลงวัน แบบธรรมชาติ ไม่กล้ามาวุ่นวายกวนใจอีก

แมลงวันเป็นสัตว์ประเภทหนึ่งที่สร้างความน่ารำคาญ และทำให้รู้สึกถึงการขาดสุขอนามัยที่ดี เวลาบินมาใกล้แต่ละทีอยากจะหาไม้ตีแต่ก็เกรงว่าจะบาปติดตัว เราจึงมีวิธีไล่แมลงวันแบบธรรมชาติมาแนะนำ รับรองช่วยแก้ปัญหาแมลงวันได้เป็นอย่างดี 1.ไล่แมลงวันด้วยเปลือกมะนาว วิธีการคือให้ใช้ผ้าขาวบางห่อเปลือกมะนาวแล้วถูในบริเวณต่างๆ ที่มักมีแมลงวันบินรบกวน 2.กานพลูหรือน้ำมันกานพลู ใช้ไล่แมลงวันได้ กลิ่นของกานพลูเป็นกลิ่นที่แมลงวันไม่ชอบ 3.ลองปลูกกะเพราช่วยไล่แมลงวัน ลองเลือกกะเพรามาเป็นไม้กระถางตั้งตามมุมหรือบริเวณที่มักมีแมลงวันรบกวน กลิ่นของใบกะเพรากำราบแมลงวันได้แน่นอน 4.สะระแหน่ก็ช่วยไล่แมลงวัน จะปลูกหรือวางใบสะระแหน่ไว้ในบริเวณที่แมลงวันบินมากวนใจ ก็ไล่แมลงวันให้บินหนีไปไกลได้หมด 5.ใช้โรสแมรี่ไล่แมลงวัน ใช้ไล่แมลงวันได้ โดยคุณสามารถใช้ได้ทั้งแบบสดและแบบแห้ง ความรู้เกี่ยวกับแมลงวัน แมลงวัน (Diptera) เคล็ดลับไล่แมลงอื่นๆ วิธีใช้ของก้นครัวปราบ 7 แมลงร้าย ให้ตายยกรังยันตัวแม่ วิธีกำจัดแมลงสาบในบ้านง่ายๆ ได้ผลดีที่สุด 13 วิธีกำจัดมอด ปิดประตูตายแมลงร้ายในครัว
สถานะการสมรสมีผลต่อการกู้อย่างไร?

สถานะการสมรสมีผลต่อการกู้อย่างไร?

ในการพิจารณาตัวผู้กู้จากการให้ยืมของสถาบันการเงินนั้น สถาบันการเงินจะให้ความสำคัญในเรื่องความสามารถในการชำระหนี้และความตั้งใจในการชำระหนี้ของตัวผู้กู้มากที่สุด แต่ในที่นี้ เราจะกล่าวถึงสถานภาพการสมรสต่อการกู้ เหตุผลที่สถาบันการเงินต้องทราบสถานภาพการแต่งงานนั้น ก็เพื่อพิจารณาความตั้งใจในการชำระหนี้ เพราะการแต่งงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มั่นใจในตัวผู้กู้ในการปักหลักปักฐานได้ และมีผลต่อความตั้งใจในการชำระหนี้ได้เป็นอย่างดี ผู้กู้จะถูกพิจารณาจากสถานภาพสมรสในแต่ละสถานะแตกต่างกันไป โดยถ้ามีข้อด้อยในจุดใดก็ตาม ให้แสดงข้อเด่นของผู้กู้ที่จะออกมาสร้างความมั่นใจทดแทนกันได้ 1. โสด สถานะนี้แม้จะยังไม่มีภาระด้านครอบครัว และการตัดสินใจยังขาดความระมัดระวัง แต่สามารถแสดงว่ามีหน้าที่การงานและมีอายุการทำงานที่มั่นคง 2. สมรส สถานะนี้จะมีความรับผิดชอบต่อครอบครัวสูง และถ้าหากมีบุตร ก็ยิ่งมีภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน แต่แสดงให้ทราบถึงรายได้ที่ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายของครอบครัว 3. หย่า สถานะนี้จะแสดงถึงความล้มเหลวในการใช้ชีวิตคู่ ซึ่งอาจเกิดจากการขาดความรับผิดชอบ และผู้ที่หย่าแล้วมีบุตรจะมีความรับผิดชอบสูงยิ่งขึ้นอีกด้วย แต่สามารถแสดงปัจจัยความมั่นคงในหน้าที่ของการงานและรายได้ 4. หม้าย สถานะนี้จะแสดงให้เห็นว่ารายได้รวมของครอบครัวลดลง และยิ่งถ้ามีบุตรก็มีความรับผิดชอบสูงขึ้นด้วย  แต่สามารถแสดงรายได้ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้     ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.co.th
“โสสุโก้” เผยเคล็ด(ไม่)ลับดูแลพื้นผิวกระเบื้องรับหน้าฝน

“โสสุโก้” เผยเคล็ด(ไม่)ลับดูแลพื้นผิวกระเบื้องรับหน้าฝน

ในฤดูฝนแบบนี้ สายฝนที่เย็นชุ่มฉ่ำมักมาพร้อมกับการเกิดคราบสกปรกบนพื้นผิวกระเบื้องปูพื้นหรือบุผนังบริเวณภายนอกบ้านหรืออาคารที่โดนฝนหรือมีน้ำขัง รวมถึงคราบเกาะติดตามร่องยาแนวกระเบื้อง ซึ่งหากปล่อยไว้นาน คราบเหล่านี้จะยิ่งฝังแน่น ทำความสะอาดยาก และทำลายความสวยงามของกระเบื้องในที่สุด ดังนั้นวันนี้ บริษัท โสสุโก้ แอนด์ กรุ๊ป (2008) จำกัด ผู้ดำเนินการตลาดและการขายกระเบื้องเซรามิกปูพื้น และบุผนังตราโสสุโก้ มีเคล็ด(ไม่)ลับในการความสะอาดพื้นกระเบื้องเซรามิกที่เกิดคราบสกปรกจากน้ำฝนหรือน้ำขังสะสมมาฝากกัน ด้วย 3 วิธีง่ายๆ ดังนี้ ฟองน้ำหรือผ้าสะอาดชุบน้ำ สำหรับคราบน้ำฝนที่เกิดขึ้นใหม่ยังไม่ติดแน่นมากนัก สามารถรับมือได้ไม่ยาก เพียงใช้ฟองน้ำหรือผ้าสะอาดชุบน้ำแล้วเช็ดที่กระเบื้อง แต่ถ้าบนพื้นกระเบื้องมีคราบสกปรกฝั่งแน่นมาก แนะนำให้ใช้น้ำผสมน้ำยาทำความสะอาดเล็กน้อยเช็ดบริเวณที่เป็นคราบ และเพื่อป้องกันการเกิดคราบสกปรกต่างๆ ควรหมั่นทำความสะอาดทั้งพื้นและผนังกระเบื้องให้แห้งสะอาดอยู่เสมอ การดูแลรักษาอยู่เสมอไม่เพียงทำให้บ้านดูสวยงามน่าอยู่ แต่ยังทำให้บ้านปลอดภัยจากเชื้อโรคและสิ่งสกปรกสะสม เพื่อสุขอนามัยที่ดีของผู้อยู่อาศัยนั่นเอง อุปกรณ์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง การเลือกใช้อุปกรณ์ในการจัดการกับคราบสกปรกฝังลึกต่างๆ ที่ขจัดได้ยากไม่ว่าจะเป็นคราบจากตะไคร้น้ำ หรือคราบน้ำขลังจากฝน การขจัดคราบเหล่านี้ถือเป็นปัญหาสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่บ้านโดยเฉพาะพื้นกระเบื้องที่ต้องการอุปกรณ์ที่แข็งแรงพอจะจัดการคราบสกปรกทั้งแบบเปียก และแบบแห้งได้อยู่หมัด แต่ในขณะเดียวกันอุปกรณ์ก็ต้องมีความอ่อนโยนกับพื้นผิวกระเบื้องไม่ทำให้พื้นกระเบื้องเกิดรอยขูดขีดด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราควรเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับพื้นผิวกระเบื้อง เช่น ไม้ม็อป ควรเป็นไม้ม็อปที่สามารถถอดหัวเปลี่ยนได้ สะดวกต่อการทำความสะอาด มีเนื้อผ้าที่นุ่ม หรือใช้แปรงที่มีขนแปรงนุ่มแต่ทนทานพอที่จะขจัดคราบได้ เป็นต้น ผงสารพัดประโยชน์ ผงซักฟอกถือเป็นผงสารพัดประโยชน์จริงๆ ณ เวลานี้ เพราะนอกจากจะขจัดคราบบนเสื้อผ้าได้อย่างสะอาดเอี่ยมแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สามารถขจัดคราบบนแผ่นกระเบื้องได้อย่างสะอาดหมดจดในเวลาอย่างรวดเร็วอีกด้วย กับวิธีง่ายๆ เพียงโรยผงซักฟอกเล็กน้อย และใช้อุปกรณ์ขจัดคราบขัดเบาๆ เท่านี้คราบสกปรกฝังแน่นบนกระเบื้องก็จะหลุดออกอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเหนื่อยแรงในการขัดแถมยังเป็นอุปกรณ์ที่มีติดอยู่ทุกบ้านอีกด้วย การดูแลบ้านในช่วงหน้าฝนไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องเอาใจใส่ดูแลอย่างสม่ำเสมอไม่ปล่อยทิ้งไว้นาน เพียงเท่านี้บ้านก็จะคงความสวยงามและเป็นที่ที่ทุกคนในครอบครัวสามารถใช้เวลาพักผ่อนร่วมกันได้อย่างมีความสุข ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของ “กระเบื้องโสสุโก้” ได้ที่แฟนเพจ www.facebook.com/ sosuco2008 หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 0 2938 9833 และอีเมล callcenter@sosuco2008.co.th
7 วิธีเลือกคอนโดให้อยู่แล้วปลอดภัย

7 วิธีเลือกคอนโดให้อยู่แล้วปลอดภัย

คอนโดก็เปรียบเสมือนบ้านอีกหลังนึงของเรา นั่นก็หมายความว่า การจะซื้อคอนโดเพื่ออยู่อาศัย นอกจากจะเลือกจากทำเล ฟังก์ชั่น ส่วนกลาง และราคาแล้ว การดูเรื่องความปลอดภัยของคอนโดก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากอีกเช่นกัน เราจึงรวบรวมสิ่งที่ต้องดูให้ดีว่าคอนโดที่ปลอดภัยต้องมีอะไรบ้าง ดังนี้ 1. กล้องวงจรปิดถือว่าเป็นสิ้งที่ป้องกันภัยได้ในระดับหนี่ง เพราะหากเกิดภัยขึ้นมาก็สามารถติดตามตัวได้ 2. ระบบคีย์การ์ดเข้าออกโครงการในส่วนนี้ถือเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้พักอาศัยได้ในระดับนึง เพราะคนที่จะเข้าออกโครงการได้จะต้องเป็นผู้ที่พักอาศัยภายในคอนโดนั้นเพราะจะมีคีย์การ์ดเป็นของตัวเอง แต่ถ้าเป็นคนภายนอกต้องมีการแลกบัตร ซึ่งเมื่อมีเหตุเกิดขึ้น ก็สามารถติดตามได้จากบัตรที่แลกไว้ 3. ระบบคีย์การ์ดเข้าออกอาคารหรือล็อบบี้ถ้าโครงการไหนที่มีคีย์การ์ดบริเวณเข้าออกอาคารหรือล็อบบี้ด้วยนั้นถือว่าเป็นข้อดี เพราะจะช่วยให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น และช่วยคัดคนนอกที่จะเข้ามาภายในด้วย 4. ระบบคีย์การ์ดเข้าโถงลิฟต์สำหรับโครงการไหนที่มีการสแกนคีย์การ์ดเข้าออกมาถึงบริเวณโถงลิฟต์ด้วย ก็ยิ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้นไปอีกด้วย 5. ลิฟต์ล็อคชั้นคอนโดที่มีการล็อคชั้นของลิฟต์ นั้นถือเป็นข้อดีในการเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัย และยังป้องกันการมั่วของคนพักอาศัยได้อีกด้วย 6. Digital Door Lock หรือ ประตูล็อคอัตโนมัติระบบนี้ถือว่ามีข้อดีเพราะเพียงแค่ปิดประตูห้อง ก็สามารถล็อคห้องได้โดยอัตโนมัติแล้ว โดยไม่ต้องห่วงว่าจะมีใครมางัดแงะประตูห้องได้ 7.ระเบียงห้องต้องไม่ติดกันการเลือกโครงการที่ระเบียงห้องไม่ติดกัน ก็ถือว่าช่วยในเรื่องความปลอดภัยได้อีกเหมือนกัน เพราะบางทีภัยอันตรายอาจจะมาจากห้องข้างๆก็เป็นได้   ที่มา นิตยสาร The Condominium เดือนพฤศจิกายน 2558
5 เรื่องต้องคิดก่อนเป็นเจ้าของคอนโด

5 เรื่องต้องคิดก่อนเป็นเจ้าของคอนโด

ท่ามกลางคอนโดมิเนียมที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ  ตามความนิยมที่เน้นความสะดวกสบาย สำหรับมือใหม่หัดซื้อหรือต้องการเป็นเจ้าของครั้งแรก จะมีวิธีเลือกซื้อคอนโดฯ อย่างไรให้ถูกใจ หากเป็นคอนโดเก่า หรือคอนโดสร้างเสร็จแล้วนั้น ง่ายตรงที่สามารถเข้าไปสำรวจโครงการและห้องจริง เพื่อการตัดสินใจเลือก แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นตอนนั้น ลองดู 5 เรื่องต้องคิดก่อนเป็นเจ้าของคอนโด จาก Maestro 02 Ruamrudee (มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี) คอนโดโลว์ไรซ์ ในซอยร่วมฤดี 2 สงบเงียบ สวรรค์แห่งการหยุดพัก เลือกคอนโดแบบที่คนไม่พลุกพล่าน หรือแบบโลว์ไรซ์ (Low Rise) ด้วยจำนวนชั้นไม่เกิน 8 ชั้น และจำนวนห้องที่ไม่มากนัก ช่วยทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ด้วยเสียงรบกวนที่อาจไม่มากจนน่าหงุดหงิดแบบบางคอนโดที่มีจำนวนห้องหลายร้อยยูนิต ส่งผลให้สภาพแวดล้อมของโครงการเงียบสงบ สะอาด และเป็นส่วนตัวมากกว่า นอกจากนี้ ยังเลี่ยงปัญหาเรื่องลิฟต์ที่ต้องรอนาน ทำเลทอง ที่อยู่อาศัยบนที่ดินผืนงามจะช่วยประหยัดเวลาการเดินทาง และเพิ่มช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน ควรพิจารณาโครงการที่อยู่ใกล้เส้นรถไฟฟ้า รถใต้ดิน ทางด่วน และมีเส้นทางเข้าออกหลายช่องทาง เพื่อหลีกเลี่ยงรถติด คอนโดบางแห่งแม้จะอยู่ในซอย ไม่ติดถนนใหญ่ก็มีข้อดีตรงที่ความเงียบ เหมาะกับคนรักความสงบ อย่าลืมมองหาทำเลใกล้ร้านอาหาร หรือห้างสรรพสินค้า ก็เพิ่มความสะดวกเมื่อต้องซื้อของกินของใช้ประจำวัน ครบครันสิ่งอำนวยความสะดวก เอาใจไลฟ์สไตล์ที่บาลานซ์ระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้เป็นอย่างดี แค่เปิดประตูห้อง ลงลิฟต์ก็ได้ใช้ facilities ต่างๆ ครบครัน ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ที่สำคัญคอนโดแบบโลว์ไรซ์ยังมีข้อดีตรงที่จำนวนผู้อยู่อาศัยน้อย ทำให้การใช้บริการส่วนกลางเป็นไปได้อย่างทั่วถึง ไม่แออัด ต่อยอดถึงการลงทุน นอกจากทำเลที่ดีจะง่ายต่อการขายต่อหรือปล่อยเช่าแล้ว คอนโดแบบโลว์ไรซ์ก็มีแนวโน้มว่าเจ้าของสามารถนำออกมาปล่อยเช่าได้ง่ายกว่า เนื่องจากมีจำนวนคู่แข่งน้อยกว่าเมื่อเทียบกับโครงการคอนโดแบบไฮไรส์ที่มีจำนวน ยูนิตมาก โครงการน่าเชื่อถือ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน จะช่วยการันตีประสิทธิภาพการบริหารโครงการได้ระดับหนึ่ง นอกจากนี้ เมื่อต้องขายหรือปล่อยเช่า  หากเจ้าของโครงการมีชื่อเสียงหรือเป็นที่รู้จัก ก็มีแนวโน้มจะขายง่ายขึ้นอีกด้วย 5 ข้อชวนคิดเหล่านี้ น่าจะทำให้การตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดมิเนียมดีๆ ที่เหมาะกับการอยู่อาศัย ง่ายและคุ้มค่าขึ้นอย่างแน่นอน Maestro 02 Ruamrudee แลนด์มาร์คแห่งใหม่ในซอยร่วมฤดี 2 ถนนเพลินจิต พร้อมเข้าอยู่ ภายใต้การดูแลบริหารของ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ราคาเริ่มต้นที่ 4.9 ล้านบาท สนใจสามารถชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร 02 116 1111 หรือเว็บไซต์ www.mde.co.th และ www.facebook.com/maestro.residences
10 วิธีไล่นกพิราบ บนระเบียงและหลังคาบ้าน วิธีง่าย ๆ ที่ได้ผลจริง

10 วิธีไล่นกพิราบ บนระเบียงและหลังคาบ้าน วิธีง่าย ๆ ที่ได้ผลจริง

วิธีไล่นกพิราบ นกตัวน้อยแต่สร้างความรำคาญให้ไม่น้อยหน้าหนูและแมลง มาดูกันว่าเรามีวิธีไล่นกพิราบไม่ให้มาเกาะที่ระเบียง หลังคา หรือคอนโดได้อย่างไร โดยที่ไม่ต้องใช้ยาเบื่อและวิธีรุนแรง   นกพิราบ ศัตรูตัวฉกาจที่คอยสร้างความรำคาญไม่น้อยไปกว่าหนูและแมลง นอกจากจะชอบบินมาเกาะตามระเบียงและหลังคาแล้วยังปล่อยของเสียพร้อมส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ไปทั่ว แถมยังทำความสะอาดยาก และยิ่งไปกว่านั้นพวกมันอาจเห็นบ้านของคุณเป็นที่พึ่งแห่งใหม่ คาบเศษหญ้าเศษใบไม้มาทำรังอยู่ถาวร สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีไล่นกพิราบบนระเบียง หลังคา หรือคอนโด ก็นำ 10 วิธีไล่นกพิราบที่เรานำมาฝากกันนี้ไปใช้ได้เลยครับ 1.วิธีไล่นกพิราบ ด้วยการ DIY หนาม ใช้ลวดเส้นเล็กปักลงบนฟิวเจอร์บอร์ดในแนวตั้งความสูงประมาณ 3  นิ้ว ปักถี่ ๆ ให้ทั่วแผ่นแล้วนำไปวางไว้ที่ระเบียงหรือบนหลังคา เนื่องจากขาของนกพิราบสั้น ถ้าบินมาเกาะหนามกันนกที่ทำไว้แล้วจะทำให้ลวดทิ่มทั้งเท้าและลำตัวจนไม่กล้าบินลงมาเกาะอีก 2.ใช้เคเบิลไทร์ไล่นกพิราบ เคเบิลไทร์หรือเข็มขัดรัดสายไฟ มีลักษณะเป็นพลาสติกเส้นเล็ก ๆ สามารถไล่นกพิราบได้ โดยการนำไปรัดกับระเบียงโดยที่ไม่ต้องตัดส่วนที่เหลือ เพราะสายส่วนที่ชี้ออกมา จะทำหน้าที่เหมือนหนามแหลมตำเท้านกไม่ให้มาเกาะ แต่จะไม่คมและไม่เจ็บเมื่อคนสัมผัส แต่ควรต้องรัดถี่ ๆ เพื่อไม่ให้เหลือที่ว่างจนนกบินลงมาเกาะได้ 3.ตอกตะปูกับไม้อัด ก็ช่วยไล่นกพิราบ วิธีนี้ใช้หลักการเดียวกับข้อ 1 และข้อ 2 ซึ่งสามารถใช้ได้กับทั้งการไล่นกพิราบที่ระเบียงและไล่พิราบบนหลังคา เพราะไม้อัดและตะปูมีน้ำหนักพอสมควร ไม่ปลิวตามแรงลม สามารถนำไปตั้งไว้ได้ วิธีทำนั้นก็ง่ายมากโดยตอกตะปูลงไปบนแผ่นไม้อัดถี่ ๆ จากนั้นนำไม้อัดไปวางหงาย อาจจะทำตัวยึดช่วยยึดระหว่างพื้นระเบียงหรือหลังคากับแผ่นไม้อัดด้วยก็ได้ 4.ไล่นกพิราบด้วยการติดตาข่ายพีวีซี การติดตาข่ายเป็นอีกวิธีที่ช่วยป้องกันไม่ให้นกพิราบบินเข้ามาในระเบียง โดยนำตาข่ายพีวีซีขึงปิดช่องว่างระหว่างเพดานกับพื้นระเบียงให้มิดชิด แต่ถ้าไม่อยากให้ตาข่ายบดบังทัศนียภาพ อาจเปลี่ยนจากตาข่ายพีวีซีธรรมดาเป็นตาข่ายพีวีซีใส ที่มีความทนทาน แข็งแรง และยังสามารถมองเห็นวิวนอกระเบียงได้ดีกว่าด้วย 5.กำจัดรังนก วิธีไล่นกพิราบอีกทางหนึ่ง นอกจากนกพิราบจะชอบมาเกาะหลังคาหรือระเบียง แถมยังอึจนสร้างความสกปรกให้บ้านแล้ว มุมอับอย่างข้างกระถางต้นไม้หรือคอมเพรสเซอร์แอร์ก็เป็นอีกจุดที่นกพิราบชอบสร้างรัง วิธีกำจัดก็คือหยิบรังนกไปทิ้ง ไม่ให้เหลือเศษหญ้าหรือเศษไม้ที่นกนำมาทำรัง เมื่อนกพิราบเริ่มทำรังอีกรอบก็ให้รีบจัดการ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วนกพิราบจะบินหนีไปทำรังที่อื่นโดยปริยาย 6.ใช้แผ่นซีดีสะท้อนแสงไล่นกพิราบ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าแสงวิบวับจากแผ่นซีดีนี่แหละ ช่วยไล่นกพิราบได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ โดยการนำแผ่นซีดีเก่ามาร้อยเข้าด้วยกัน จากนั้นนำไปแขวนตามระเบียงหรือหลังคา นอกจากนี้ในเวลาที่ลมพัดเสียงแผ่นซีดีที่กระทบกันยังช่วยไล่นกพิราบได้อีกทางหนึ่งด้วย 7.ไล่นกพิราบด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ถ้าหากที่บ้านมีกองหนังสือพิมพ์ที่อ่านแล้วจำนวนมากรอวันกำจัด แทนที่จะนำไปทิ้งหรือชั่งกิโลขาย ก็นำกระดาษหนังสือพิมพ์เหล่านั้นไปปูบริเวณที่นกชอบมาเกาะหรือมาขี้ใส่ แล้วใช้เทปกาวติดขอบไว้กันหนังสือพิมพ์ปลิว เมื่อนกพิราบบินลงมาเหยียบก็จะเกิดเสียงที่เนื้อกระดาษ ทำให้นกพิราบตกใจไม่สามารถเดินต่อได้และจะไม่บินลงมาที่ระเบียงหรือหลังคาบ้านอีก 8.แขวนโมบาย สวยด้วย ไล่นกพิราบได้ด้วย ตามธรรมชาตินกพิราบจะตกใจเสียงและสิ่งของที่ขยับได้ เมื่อโมบายโดนลมพัดหรือโดนปีกนกพิราบที่บินมาใกล้ ก็จะเกิดเสียงและทำให้นกพิราบตกใจจนบินหนีไป โดยควรเลือกโมบายที่มีน้ำหนักเบา เมื่อโดนลมพัดแล้วมีเสียง ยิ่งมีแสงสะท้อนวิบวับด้วยยิ่งดี 9.ฉีดน้ำไล่นกพิราบ วิธีนี้ต้องอาศัยความขยันและอดทน เพราะการฉีดน้ำไล่ใช่ว่าจะได้ผลตั้งแต่ครั้งแรกหรือช่วงแรก ๆ ต้องหมั่นทำบ่อย ๆ ยิ่งฉีดน้ำไล่ทุกครั้งที่นกพิราบบินโฉบลงมาเกาะระเบียงหรือพื้นยิ่งดี ถ้าจะไล่แบบถาวรต้องอาศัยความอดทนทำไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็อาจจะกินเวลายาวนานเป็นเดือนก็ได้ 10.เลี้ยงสัตว์ช่วยไล่นกพิราบ ให้เจ้าตูบและเจ้าเหมียวเป็นผู้อารักขาระเบียง ถึงแม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านแต่สัญชาตญาณการเป็นผู้ล่ายังคงมีในตัวอยู่ เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าพวกมันชอบวิ่งไล่จับนกแค่ไหน ไม่ต้องเสียเวลาออกคำสั่ง แค่เห็นนกพิราบบินลงมาพวกมันก็เต็มใจลุกขึ้นวิ่งไล่จับนกพิราบให้แล้ว   จากวิธีที่กล่าวมา อาจจะไม่ได้ช่วยไล่นกพิราบแบบถาวร เพียงแค่ช่วยบรรเทาและไล่ไม่ให้นกพิราบเข้าใกล้บ้าน แต่ที่สำคัญก็อย่าลืมทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่นกพิราบทิ้งไว้ด้วยนะครับ เคล็ดลับอื่นๆ สำหรับบ้านคุณ  วิธีกำจัดแมลงสาบในบ้านง่ายๆ ได้ผลดีที่สุด 6 วิธีเด็ดไล่ตุ๊กแก ให้รีบเผ่นหนีออกจากบ้าน หมดกังวลเรื่องหยากไย่! 5 วิธีไล่แมงมุม แบบไม่ต้องฆ่า
6 เคล็ดลับเลือกทำเลคอนโดติดรถไฟฟ้า

6 เคล็ดลับเลือกทำเลคอนโดติดรถไฟฟ้า

การลงทุนคอนโดที่ได้รับความสนใจ ส่วนใหญ่มักเป็นคอนโดใจกลางเมืองตามแนวรถไฟฟ้า เพราะได้ผลตอบแทนค่าเช่าสูง แต่ว่าการเลือกลงทุนคอนโดใจกลางเมืองตามแนวรถไฟฟ้านั้น ก็ต้องเลือกให้ถูกที่ถูกทำเลด้วย 1.ต้องอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าไม่เกิน 400 เมตรจากทางขึ้นลงสถานี เพราะถือว่าเป็นระยะที่สะดวกในการเดินไปใช้บริการ อีกทั้งยังเป็นบริเวณที่น่าสนใจและได้รับอานิสงส์จากผังเมืองใหม่ ที่มักได้รับการพัฒนาก่อนบริเวณอื่น 2.เน้นเลือกสถานีรถไฟฟ้าที่คนนิยมใช้บริการกันโดยดูจากสถานีรถไฟฟ้าที่คนใช้บริการสูงสุด เพราะจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าทำเลนั้นมีความต้องการคอนโดสูง 3.พิจารณาราคาขายและค่าเช่าคอนโดโดยดูจากราคาขายต่อตารางเมตร และค่าเช่าที่ได้รับต่อตารางเมตร ซึ่งจะแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ก่อนจะเลือกซื้อคอนโดควรลงพื้นที่สำรวจให้ดีก่อน 4.เน้นเลือกสถานีที่มีที่จอดรถสาธารณะอยู่ใกล้ๆไม่ว่าจะเป็นที่จอดรถของรถไฟฟ้าหรือที่จอดรถของห้าง รวมไปถึงสถานศึกษาหรือสถานที่ราชการ เพราะถ้าเกิดที่จอดรถในคอนโดไม่พอ ก็อาจจะไปจอดรถในสถานที่เหล่านี้ได้ 5.เน้นเลือกสถานีที่เป็นจุดเชื่อมต่อ เพราะจะเป็นจุดที่มีคนเข้ามาใช้บริการมากกว่าสถานีอื่น ซึ่งจุดเชื่อมต่อที่สำคัญๆ ได้แก่ หมอชิต อโศก ศาลาแดง และสยาม 6.อยู่ใกล้เส้นทางคมนาคมทางเลือกได้แก่ ใกล้ทางขึ้นทางด่วน ท่ารถ ท่าเรือ หรือที่จอดรถแท๊กซี่ เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้อยู่อาศัยในคอนโดได้เป็นอย่างดี   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  นิตยสาร The Condominium เดือนมิถุนายน 2559
ข้อดีของการซื้อคอนโด ซื้อบ้าน หลุดดาวน์

ข้อดีของการซื้อคอนโด ซื้อบ้าน หลุดดาวน์

เศรษฐกิจไม่ดีเป็นปัญหาใหญ่ทำให้ผู้ที่กำลังผ่อนดาวน์บ้านหรือคอนโด เริ่มไมไหวกับภาระ ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายและการผ่อนที่อยู่อาศัย และอาจรวมถึงคนที่ได้ยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารแต่กู้ไม่ผ่าน จนเป็นเหตุให้เกิดปรากฏการณ์ “บ้าน คอนโด หลุดดาวน์” ที่เริ่มมีให้เห็นทั้งในรายงานยอดขายของบางบริษัทที่จู่ๆ ยอดขายก็ลดฮวบไปดื้อๆ สอดคล้องกับแคมเปญการตลาดที่เริ่มเห็นโปรฯ แรงๆ ของสินค้าหลุดดาวน์มากขึ้น แต่ในวิกฤติของคนกลุ่มหนึ่งก็เป็นโอกาสของคนอีกกลุ่มที่จะได้ซื้อของถูกชนิดไม่ทันตั้งตัว กู้ไม่ผ่านคือปัญหาและสาเหตุ ช่วง 1-2 ปีมานี้คนดาวน์บ้าน ดาวน์คอนโด มีปัญหากู้ไม่ผ่านกันมาก ตัวเลขจากบางโครงการพบว่าสัดส่วนลูกค้าที่กู้ไม่ผ่านสูงถึง 20-30% โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านและคอนโดระดับราคาปานกลางถึงล่างเปอร์เซ็นต์จะยิ่งมาก และเมื่อเทียบระหว่างโครงการบ้านและโครงการคอนโด ก็จะพบว่าลูกค้าที่กู้ไม่ผ่านส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดมากกว่าบ้าน สาเหตุส่วนหนึ่งเกี่ยวเนื่องจากระยะเวลาในการผ่อนดาวน์ เพราะโครงการคอนโด จะมีระยะผ่อนดาวน์นานกว่าบ้าน ซึ่งทั่วไปถ้าเป็นคอนโด โลว์ไรส์ก็ต้องผ่อนอย่างน้อย 15-20 เดือน ในขณะที่ถ้าเป็นไฮไรส์อย่างตํ่าก็ต้อง 2 ปี ในระหว่างที่กำลังผ่อนดาวน์อาจเกิดปัญหาด้านการเงินทำให้ต้องตัดสินใจทิ้งดาวน์ หรือบางครั้งอาจเป็นการกระทำที่ไม่ตั้งใจหรือพลาด เช่น ไปสร้างหนี้เพิ่ม จนทำให้มีปัญหาในเวลาที่ต้องยื่นกู้ทั้งๆ ที่ตอนจองซื้อไม่มีปัญหาการ Pre-approved เรื่องนี้สำคัญ เพราะธนาคารเองก็เตือนอยู่เสมอว่าในระหว่างผ่อนดาวน์กรุณาอย่าไปสร้างหนี้เพิ่ม หรือไปทำอะไรที่มีผลเสียต่อเครดิต และเฉพาะอย่างยิ่งตอนใกล้ยื่นกู้ยิ่งต้องระวังให้มาก เพราะการกระทำหลายๆ อย่างสามารถตีความได้ว่าเรากำลังมีปัญหาทางการเงินได้ ส่วนกรณีการผ่อนบ้านไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะส่วนใหญ่เดี่ยวนี้เป็นบ้านที่สร้างเกือบเสร็จเกือบทั้งหมด ระยะผ่อนดาวน์มีน้อย วิธีนี้บังคับให้คนซื้อต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี โดยหลายๆ โครงการถึงขนาดจองปุ๊บให้เตรียมเรื่องยื่นกู้ได้เลย ถ้าเตรียมตัวมาดีก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่พร้อมก็จบเหมือนกัน บ้านหลุดดาวน์ “ส้มหล่น” คนซื้อมือรอง แต่ละบริษัทมีวิธีการจัดการกับปัญหาลูกค้ากู้ไม่ผ่าน หรือสินค้าหลุดดาวน์แตกต่างกันไป ทางเลือกของคนซื้อจึงไม่เท่ากัน บางบริษัทมีโครงการอยู่ในมือหลายโครงการ หลายทำเล อาจมีทางเลือกให้กับลูกค้าได้มากกว่า เช่น เปลี่ยนแปลงที่ดิน เปลี่ยนทำเล เพื่อไปเอาหลังที่ถูกกว่า เพื่อจะได้มีโอกาสในการกู้ผ่านมากกว่า แต่ถ้ามีอยู่โครงการเดียวจะไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้ นอกจากนี้เงื่อนไขของสัญญาของผู้ประกอบการก็แตกต่างกัน เช่น บางบริษัทยอมคืนเงินดาวน์โดยไม่มีเงื่อนไข แต่บางบริษัทถ้ากู้ไม่ผ่านก็หมายถึงคนซื้อสูญเงินดาวน์ทั้งหมด เรื่องนี้ก็สำคัญที่คนซื้อจะต้องศึกษาให้ดีก่อนซื้อหรือทำสัญญา อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะโดยวิธีใด เมื่อมีบ้านหลุดดาวน์ยังไงเจ้าของโครงการก็ต้องนำบ้านหลังนั้นออกมาขายใหม่ ซึ่งจะขายโดยกลยุทธ์การตลาดแบบไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วมักนำมาขาย “ลดราคา” เพื่อจะได้จบโครงการไวๆ ซึ่งหากเป็นโครงการที่ยึดเงินดาวน์มาจากคนซื้อมือแรกบริษัทก็จะมีช่องทางทำการตลาดได้มาก เพราะมีเงินดาวน์ที่ได้มาฟรีๆ ตุนไว้แล้ว 5-10% ของราคาบ้าน ซึ่งนี่ก็เป็นโอกาสที่เกิดขึ้นกับคนซื้อมือถัดไป ฉะนั้นในวิฤกติของคนบางกลุ่มยอมเป็นโอกาสของคนอีกกลุ่ม โดยเฉพาะกับคนที่มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  นิตยสาร Home Buyer's Guide เดือนมิถุนายน 2559
วิธีไล่หนูบนเพดาน กำจัดโดยไม่ต้องฆ่าให้เปลืองแรง

วิธีไล่หนูบนเพดาน กำจัดโดยไม่ต้องฆ่าให้เปลืองแรง

วิธีไล่หนูบนเพดาน วิธีกำจัดหนูบนฝ้าโดยไม่ต้องลงมือฆ่า เพื่อให้หมดปัญหาเรื่องเสียงหนูวิ่งบนเพดาน หนูแทะฝ้า และสารพัดปัญหาที่เกิดจากสัตว์ตัวเล็ก ๆ ชนิดนี้  ศัตรูของบ้านอีกตัวที่คอยสร้างความรำคาญให้กับเรา คงจะหนีไม่พ้นเจ้าสัตว์ฟันแทะอย่าง หนู ทั้งยังสร้างความเสียหาย กัดสายไฟและของในบ้าน ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เจ้าหนูพวกนี้อาจจะนำโรคร้ายมาสู่คนในบ้านได้ พื้นที่อื่นของบ้านยังพอหาทางกำจัดได้ แต่บนเพดานและใต้หลังคาที่เจ้าหนูพวกนี้ชอบใช้กบดานมักจะกำจัดยากกว่าที่อื่น ๆ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปิดและแคบ และวันนี้เราก็มีวิธีไล่หนูบนเพดานโดยไม่ต้องฆ่ามาบอกต่อครับ 1.ใช้กับดักหนู วิธีกำจัดหนูแบบนี้นั้นง่ายมาก ก็แค่นำกับดักหนูไปวางใต้เพดาน โดยวางในตำแหน่งที่ไม่ไกลจากแผ่นฝ้าที่แกะออก แล้วหมั่นตรวจดูกับดักทุกวัน ถ้ามีหนูติดให้รีบเอาออกและนำไปกำจัดทันที เพราะหากบังเอิญหนูตายในคากับดัก ก็จะส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปทั่วบ้านนานหลายวัน 2.ใช้น้ำมันหอมระเหยสะระแหน่   ถึงแม้กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยสะระแหน่จะเป็นที่ชื่นชอบของคน แต่เป็นกลิ่นที่หนูไม่อยากเข้าใกล้มากที่สุด เพราะกลิ่นของน้ำมันชนิดนี้ฉุนสุด ๆ สำหรับหนู วิธีใช้ก็คือนำสำลีก้อนชุบน้ำมันหอมระเหย จากนั้นนำแกะแผ่นฝ้าบนเพดานออก แล้วโยนก้อนสำลีเข้าไปให้ทั่วใต้เพดาน 3.ใช้กรงดัก ใช้กล้วยน้ำหว้าเป็นเหยื่อล่อ ตัดหัวตัดท้ายให้กลิ่นโชย หรือจะใช้หัวปลาทูทอดหรือปลาหมึกแห้งเสียบไว้ล่อหนูก็ได้ จากนั้นก็นำกรงดักมาตั้งบนเพดาน ผูกเชือกที่กรงเอาไว้ด้วย เวลาหนูติดกรงหนูจะดิ้นและพากรงไปไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง เมื่อมีหนูมาติดกรงให้นำไปปล่อยทิ้งในป่าไกลบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาอีก แล้วกรงให้ล้างให้สะอาด กำจัดกลิ่นของหนูตัวเก่าออกให้หมด เพราะหนูตัวอื่นจะไม่เข้าใกล้ หากยังมีกลิ่นหนูตัวเก่าติดอยู่ 4.ใช้แผ่นปิดเชิงชายกระเบื้อง ชายคาบ้านเป็นอีกทางที่หนูใช้ไต่เข้ามาใต้หลังคา ฉะนั้นยิ่งปิดช่องทางที่นำมาสู้หลังคาไว้ใช้หมดยิ่งดี โดยเฉพาะหลังคาแบบลอน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้หนูเข้ามาอาศัยและสร้างความรำคาญ ก็ควรติดแผ่นปิดเชิงชายกระเบื้องหรือแผ่นดักนกตามชายคาให้หมด 5.ใช้ทรายแมว กลิ่นของฉี่แมวอันลือเลื่อง ไม่ใช่แค่กับคนเท่านั้นที่ทนไม่ไหวกับกลิ่นฉี่แมว แม้แต่สัตว์ที่รักสกปรกอย่างหนูเองก็ไม่ชอบเช่นกัน วิธีใช้คือนำทรายแมวที่ใช้แล้วใส่ถุงผ้าแล้วโยนเข้าไปใต้เพดาน ให้เปิดช่องระบายอากาศไว้ด้วย แล้วหนูก็จะไม่เข้ามาใกล้เพดานอีกเลย   ทั้งนี้การกำจัดหนูให้สิ้นซาก ไม่ใช่ว่าจะได้ผลโดยการใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือการทำเพียงแค่ครั้งเดียว ต้องอาศัยทั้งการไล่ กำจัด การป้องกัน รวมถึงวิธีการทำความสะอาดเพดานอย่างสม่ำเสมอควบคู่กันไปด้วยนะครับ ความรู้เกี่ยวกับหนู หนู  วิธีไล่หนูและสัตว์กวนใจอื่นๆ เพื่อความน่าอยู่ของบ้านเรา วิธีกำจัดมด ด้วยของใกล้ตัว กำจัดปลวก ด้วยวิธีธรรมชาติ วิธีเด็ดไล่ตุ๊กแก ให้รีบเผ่นหนีออกจากบ้าน
6 วิธีแก้เมื่อกู้ไม่ผ่าน (แต่ใกล้เวลาโอน)

6 วิธีแก้เมื่อกู้ไม่ผ่าน (แต่ใกล้เวลาโอน)

สำหรับคนที่กู้ซื้อบ้านหรือกู้ซื้อคอนโด เมื่อยื่นกู้ไปแล้วกลับพบปัญหาว่ากู้ไม่ผ่าน มิหนำซ้ำทางโครงการยังเร่งให้โอนอีกด้วย ปัญหาการกู้ไม่ผ่านเหล่านี้มีทางออกครับ มาดูกันว่า 6 วิธีแก้ปัญหาเมื่อกู้ไม่ผ่าน ในเวลาที่โครงการเร่งโอนมีอะไรบ้าง 1. กู้ธนาคารอื่น ถ้าผู้กู้ไปยื่นกู้แล้วผ่านแต่ได้ไม่เต็มวงเงิน การแก้ปัญหาด้วยวิธีไปยื่นกู้กับธนาคารอื่นแทน เป็นทางแก้ที่ดี แต่ถ้าติดแบล็คลิสต์ไปธนาคารไหนก็ได้คำตอบเหมือนกัน คือกู้ไม่ผ่าน 2. เลื่อนเวลารับโอน เพราะถ้า Defect เยอะๆหน่อยก็สามารถยื้อเวลาได้ เต็มที่ก็ราวๆ 3 เดือน 3. บอกความจริง ให้ไปพูดคุยกับทางโครงการโดยตรงว่าขอเวลาสักหน่อย เช่น กำลังพ้นช่วงทดลองงาน จะได้เงินก้อน อย่างน้อยก็พอมีโอกาสรอด 4. ขายดาวน์ ถ้ารู้ตัวแล้วว่ายังไงก็ไม่ไหว ให้ประกาศขายดาวน์ทันที อาจจะต้องยอมขายถูกหน่อยหรือลดราคา เพื่อสามารถขายได้เร็วขึ้น 5. หาคนร่วมกู้ ถ้ากู้คนเดียวไม่ไหว รายได้ไม่ถึง ต้องหาคนมากู้ร่วม แต่ต้องเช็คเครดิตเหมือนผู้กู้หลัก 6. ลดงบในการซื้อ ถ้าราคาที่ซื้อสูงเกินไป ยังไงก็กู้ไม่ผ่าน อาจจะลดงบลงหน่อย เลือกห้องเล็กลง ก็จะทำให้กู้ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.co.th
การเลือกซื้อที่ดิน การซื้อบ้านใหม่ให้ไกลจากน้ำ(ท่วม)ควรดูอะไรบ้าง?

การเลือกซื้อที่ดิน การซื้อบ้านใหม่ให้ไกลจากน้ำ(ท่วม)ควรดูอะไรบ้าง?

ตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เวลาจะซื้อบ้านต้องไตร่ตรองและคิดให้รอบคอบมากขึ้นและอาจจะมีคําถามหลายๆประการตามมาว่า ควรจะซื้อบ้านหรือปลูกบ้านตรงไหน ที่ไหน แถวไหน ย่านไหน ควรต้องดูเรื่องอะไรบ้าง ถึงจะปลอดภัยจากน้ำท่วมจริงๆ เผื่อว่าเราอาจจะต้องเจอกับมวลน้ำแบบนี้อีกครั้งหรือหลายครั้งในอนาคต คำตอบง่ายๆ ในเมื่อเราเป็นห่วงว่า “น้ำ” จะท่วมบ้านเราอีกไหม เราก็ต้องพิจารณาปัจจัยและข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับ “น้ำ” เป็นหลัก บางคนอาจถามต่อไปว่า แล้วเราจะดู “น้ำ” กันอย่างไร จะไปดูตามท่อระบายน้ำ ตามคู คลองหรือแม่น้ำต่างๆ จะพอไหม จะรู้ไหมว่าน้ำท่วมหรือไม่อย่างไร หรือควรหาข้อมูลอะไร ที่ไหนประกอบหรือไม่อย่างไรก็ตาม หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ คนไทยเราคงจะมีความรู้เพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับ “น้ำ” ที่สื่อมวลชน นักวิชาการและรัฐบาลนําเสนอผ่านสื่อออกมาทุกวัน ในอดีตเวลาที่เราจะเลือกซื้อหาบ้านจัดสรร หรือเลือกซื้อที่ดินปลูกบ้านใหม่คงเลือกจากการที่มีเอกสารจัดสรร และโฉนดที่ดินว่ามีหรือไม่ ด้านทําเลที่ตั้งใกล้กับแหล่งอำนวยความสะดวกมากน้อยแค่ไหน ไปจนถึงจากรูปแบบบ้าน ราคา และชื่อเสียงของบริษัท เป็นต้น แต่หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้แล้ว “ผู้ซื้อ” หรือ “ผู้บริโภค” ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ “น้ำ”เพิ่มเติมก่อนที่จะตัดสินใจเลือกแหล่งที่อยู่อาศัย ข้อควรพิจารณามีดังนี้ 1. โซนผังเมือง : โซนสีต่างๆ ที่ปรากฎในผังเมืองเป็นตัวบ่งชี้ว่า เมืองนั้นๆ กําหนดแนวทางการใช้พื้นที่ดินแต่ละเขตเป็นอย่างไร มีการใช้งานในลักษณะใดบ้าง เช่น พาณิชยกรรม ที่อยู่อาศัย หรือพื้นที่เกษตรกรรม เป็นต้น จากกรณีน้ำท่วมครั้งนี้ เราจึงเห็นได้ว่าพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ เช่น เขตหนองจอก มีนบุรี คลองสามวา ลาดกระบัง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กําหนดเป็นโซนสีเขียวและเขียวทแยง ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม และพื้นที่ชนบทอนุรักษ์และเกษตรกรรม จึงได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นจํานวนมากเนื่องจากอยู่ในเส้นทางการระบายน้ำและรัฐมิได้กําหนดให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัย 2. แนวคันกั้นน้ำ : ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะมีการวางตําแหน่งคันกั้นน้ำ เพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพตามแนวพระราชดําริไว้ ตั้งแต่เหนือจรดใต้และครอบคลุมทั้งสองฝั่งตะวันออกและตะวันตก โดยแนวคันกั้นน้ำจะมีความสูงต่ำแตกต่างกันและมีลักษณะซ้อนกันเป็นชั้นๆ ที่สัมพันธ์กับตําแหน่งคู คลองธรรมชาติ เพื่อป้องกันน้ำจากทางตอนเหนือเข้าท่วมบริเวณพื้นที่กรุงเทพชั้นกลางและชั้นใน ดังนั้นการเลือกซื้อบ้านหรือที่ดินที่อยู่ภายในแนวคันกั้นน้ำก็จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมได้ระดับหนึ่ง 3. ตําแหน่งคู คลอง แหล่งน้ำธรรมชาติ : จากประสบการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ เราคงเห็นได้ชัดเจนว่า เส้นทางการเคลื่อนที่หลักๆ ของน้ำจะเอ่อล้นมาจากเส้นทางน้ำธรรมชาติคือ คู คลองต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วเมืองและจากท่อระบายน้ำต่างๆตามถนนหนทางหน้าบ้านของเรา และการมาของน้ำทั้งสองทางนี้จะป้องกันได้ยากที่สุด ดังนั้นบ้านเรือนที่อยู่ริมน้ำคู คลองที่มีทัศนียภาพสวยงามก็จะมีความเสี่ยงจากน้ำมากเช่นกัน 4. ความสูงต่ำของที่ดิน/ที่ตั้ง (Topography) : ถ้าใครเคยเห็นแผนที่ในการวิเคราะห์ระดับน้ำท่วมกรุงเทพฯคราวนี้ จะพบว่าแต่ละพื้นที่จะมีการคาดการณ์ระดับน้ำท่วมที่สูงต่ำต่างกัน นั่นเป็นเพราะแต่ละพื้นที่มีระดับความสูงของแผ่นดินที่ต่างกันทําให้ระดับน้ำมีความลึกต่างกัน ถ้าเปรียบเทียบให้ง่ายขึ้นก็เหมือนกับสระว่ายน้ำเมื่อมองที่ผิวน้ำจะพบว่า มีผิวน้ำมีความเรียบเสมอกันแต่ก้นบ่อของสระว่ายน้ำมีระดับที่ไม่เท่ากันทําให้สระว่ายน้ำมีทั้งส่วนลึกและส่วนตื้น ดังนั้น หากเลือกที่ดินสําหรับปลูกบ้าน ในพื้นที่ที่มีระดับสูงกว่าจะมีความเสี่ยงจาก น้ำน้อยกว่า สําหรับข้อมูลส่วนนี้สามารถแสดงให้เข้าใจง่ายด้วยภาพตัดขวางแสดงระดับถนนภายนอกโครงการเข้าสู่ถนนซอยภายในจนถึงระดับความสูงของที่ดินแต่ละแปลง และระดับพื้นชั้นล่างของบ้านแต่ละหลัง 5. เส้นทางน้ำไหล : เมื่อฝนตกลงบนผิวดิน น้ำส่วนหนึ่งจะซึมลงไปในดินและอีกส่วนหนึ่งจะเป็นอยู่บนผิวดิน ส่วนที่เป็นน้ำบนผิวดินจะไหลลงสู่ที่ต่ำและไหลลงไปสู่แม่น้ำลําคลอง ฉะนั้นการเลือกตําแหน่งในการปลูกสร้างบ้านเรือนต้องไม่ขวางทางที่น้ำไหลผ่าน เพราะแรงของน้ำนั้นมหาศาลมากขนาดทําให้ถนนขาดได้ และไม่ว่าจะปลูกบ้านด้วยโครงสร้างแบบใด หากปลูกอยู่บนเส้นทางที่น้ำไหลผ่านก็คงยากที่จะทานแรงมหาศาลของมวลน้ำไหว ดังนั้น ก่อนจะสร้างบ้านหรือซื้อที่ดินต้องลองสังเกตว่าเมื่อฝนตกลงมาแล้ว เส้นทางการไหลของน้ำฝนได้ผ่านแนวที่ดินของเราหรือไม่ หากน้ำไหลผ่านให้ควรหลีกเลี่ยง 6. มาตรการป้องกันน้ำท่วม : ข้อมูลนี้เป็นประเด็นสําคัญที่ลูกค้าควรสอบถาม เพื่อความมั่นใจในยุคหลังน้ำท่วมครั้งนี้ว่า แต่ละโครงการได้มีการเตรียมการหรือมีแผนรองรับเหตุน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ในเรื่องของตัวบ้านและตัวโครงการไว้อย่างไรบ้าง อาทิ การจัดเตรียมพื้นที่หน่วงน้ำ การจัดทําเขื่อนหรือคันกั้นน้ำในโครงการ รูปแบบการระบายน้ำในโครงการไปจนถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อการอพยพหนีน้ำ ในกรณีวิกฤต ซึ่งแนวทางเหล่านี้จะมีระดับมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงกับระดับน้ำท่วมว่ามากเพียงใด จากประเด็นพิจารณาเหล่านี้ เป็นหน้าที่ของเราในฐานะผู้ซื้อบ้านหรือที่ดินใหม่ในอนาคต ควรศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ เพราะประเด็นเหล่านี้จะบอกถึงความเสี่ยงในเรื่องของน้ำที่อาจจะต้องพบเจอในปีต่อๆ ไปได้ว่า บ้านเรือนของเรามีโอกาสน้ำท่วมหรือไม่ท่วม หรือท่วมมากแค่ไหน เพื่อรับมือได้อย่างถูกต้องรวมทั้งยังเป็นหน้าที่ของบริษัทบ้านจัดสรรและเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ที่จะต้องนําเสนอข้อมูลเหล่านี้ต่อลูกค้าเป็น ”A Must Information” ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายในลักษณะ Infographic ที่เราคุ้นๆ กันในช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา เพื่อแสดงความจริงใจต่อลูกค้าและอาจใช้เป็นแรงจูงใจทางการตลาด ได้อีกทางหนึ่งด้วย   ที่มา รัชด ชมภูนิช คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.เกษตรฯ /ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) home.co.th
เทคนิคแก้ไขปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้าบ้าน

เทคนิคแก้ไขปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้าบ้าน

เข้าสู่ช่วงหน้าฝนทีไร ก็มักมีปัญหามากวนใจคือ ปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้าบ้าน เราจะมาแนะนำวิธีสังเกตและแก้ไขปัญหาน้ำรั่วซึมเข้าบ้านในแต่ละจุดกันครับ ใต้หลังคาสังเกตจากคราบน้ำบนฝ้า หรือลองขึ้นไปดูใต้หลังคาเพื่อตรวจดูว่าฝ้ามีคราบน้ำหรือเปล่า ซึ่งถ้าพบว่าน้ำรั่วใต้หลัง จะมีสาเหตุหลักๆ ดังนี้ 1.1 กระเบื้องใต้หลังคาชำรุด หรือแตก ทำให้มีน้ำรั่วซึมมาตามรอยแยก แก้ไขโดยการเปลี่ยนกระเบื้องใหม่ 1.2 ติดตั้งหลังคาไม่เหมาะสม เช่น ระยะซ้อนทับหลังคาน้อย แก้ไขโดยการติดตั้งหลังคาใหม่ ให้มีระยะซ้อนทับตามกำหนดของแต่ละยี่ห้อ 1.2 หลังคาลาดเอียงน้อยเกินไป ทำให้ฝนไหลย้อนเข้าใต้หลังคา แก้ไขโดยการติดตั้งหลังคาใหม่ ให้มีระยะซ้อนทับตามกำหนดของแต่ละยี่ห้อ พื้นหลังคาคอนกรีตแตกร้าวเช่น พื้นดาดฟ้าแตกร้าว พื้นเป็นแอ่ง น้ำขัง ทำให้เกิดน้ำรั่ว แก้ไขโดยการปรับความลาดเอียงของพื้นให้น้ำไหลออกได้สะดวก และซ่อมรอยร้าว ทำกันซึมพื้นให้เรียบร้อย ผนังบ้านมีรอยร้าวเวลาฝนตกจะเห็นคราบตามรอยผนัง ถ้าเมื่อไรที่ผนังบ้านร้าวก็จะมีน้ำซึมเข้ามา ดังนั้นควรตรวจรอยร้าวของบ้าน ถ้าพบให้เรียกช่างมาซ่อมแซมรอยร้าวทันที ขอบวงกบประตู-หน้าต่างรอยร้าวนี้มักพบเพราะเกิดจากการยืดขยายตัวของอุณหภูมิ ทำให้เกิดรอยร้าวที่มุม และทำให้น้ำฝนรั่วซึมเข้ามา แก้ไขโดยการตรวจสอบว่ามีเสาเอ็น ทับหลัง เหล็กกรงไก่หรือไม่ ถ้าหากมีครบให้เรียกช่างมาซ่อมรอยร้าวทันที ปัญหาทั้งหมดนี้เป็นเพียงปัญหาเบื้องต้น ซึ่งเราสามารถตรวจสอบและแก้ไขเองได้ แต่ถ้าพบว่าปัญหาใหญ่เกินแก้ไขเองให้เรียกช่างมาซ่อมทันที   ขอขอบคุณข้อมูลจาก นิตยสาร Home Buyers' Guide เดือนมิถุนายน 2559
เปรียบเทียบ “ราคาบ้าน” ยังไงดี

เปรียบเทียบ “ราคาบ้าน” ยังไงดี

เป็นธรรมดาของคนซื้อบ้านที่ต้องมีการเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจ เนื่องจากบ้านเป็นสินค้าราคาแพง ฉะนั้นเมื่อตัดสินใจเลือกทำเลที่ต้องการได้แล้ว ส่วนใหญ่ต้องหาลิสต์โครงการที่สนใจอย่างน้อย 3-5 โครงการ สิ่งที่เปรียบเทียบก็มีหลายอย่าง แต่หนึ่งในนั้นน่าจะดูว่าโครงการไหนถูก โครงการไหนแพงกว่ากัน ถ้าจะเทียบราคาบ้านจัดสรรมีสิ่งที่ควรพิจารณาอยู่ 2-3 ข้อดังนี้ 1. ราคาที่ดิน จริงๆ แล้วถ้าที่ดินอยู่ติดกันหรืออยู่ในทำเลเดียวกันราคาบ้านจะไม่ต่างกันมาก แต่ทั้งนี้ก็มีความเป็นไปได้หลายกรณีที่ทำให้ทำเลเดียวกันแต่ราคาบ้านต่างกัน เช่น ระยะเวลาในการซื้อขาย เทคนิคการต่อรองของผู้ซื้อ ความพึงพอใจของผู้ขาย ข้อกำหนดในการใช้ประโยชน์ เช่น แปลงหนึ่งติดถนนใหญ่แต่อีกแปลงที่ติดกันมีทางเข้าอยู่ในซอย เป็นต้น แต่โดยหลักการแล้วที่ดินทำเลเดียวกันไม่ควรมีราคาต่างกันมาก 2. ราคาค่าก่อสร้าง หากจะเปรียบเทียบค่าก่อสร้างน่าจะต้องดู 2 ส่วนหลักคือ “พื้นที่ก่อสร้าง”กับ “พื้นที่ใช้สอย” หากต้องการเปรียบเทียบขนาดพื้นที่ก่อสร้างทำได้ไม่ยาก เพราะส่วนใหญ่มักบอกขนาดพื้นที่ใช้สอยของบ้านแต่ละหลังอยู่แล้ว (หน่วยเป็นตารางเมตร) แต่ที่ต้องดูลึกลงไปก็คือประโยชน์ใช้สอยในพื้นที่ก่อสร้างนั้นๆ เนื่องจากพื้นที่ก่อสร้างแต่ละส่วนมีต้นทุนไม่เท่ากัน เช่น โรงจอดรถจะถูกกว่าระเบียง ระเบียงถูกกว่าห้องโถงทั่วไป ห้องโถงทั่วไปถูกกว่าห้องนอน ห้องนอนก็จะถูกกว่าห้องน้ำ เป็นต้น ถ้าพื้นที่เท่ากันและมีราคาพอๆ กัน แล้ว หลังหนึ่งมีระเบียงกว้างแต่ห้องน้ำเล็กนิดเดียว หลังที่สองมีระเบียงเล็กแต่ห้องน้ำกว้างมาก อนุมานได้ว่าหลังแรกต้นทุนก่อสร้างน่าจะต่ำกว่า ถ้าขายเท่ากันแสดงกว่าหลังแรกแพงกว่า นอกจากนี้ยังสามารถดูได้จากเกรดวัสดุที่ใช้ ส่วนใหญ่มักดูจากวัสดุปูพื้น ยี่ห้อสุขภัณฑ์หรืออุปกรณ์ในห้องน้ำ ผนัง/วัสดุก่อผนัง รวมถึงพื้นบันได เป็นต้น 3. สาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก สองปัจจัยที่ว่าอาจไม่พอสำหรับการประเมินความถูกแพง ก็ต้องดูว่าสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการไหนพร้อมกว่าและมีมากกว่ากัน เช่น สวนสาธารณะ ต้นไม้ทางเข้า ถนนภายในโครงการ ยามรักษาความปลอดภัย ฯลฯ มากไปกว่านั้นอาจมีเรื่องของแบรนด์เข้ามาเกี่ยวด้วย เช่น ถ้าโครงการแบรนด์ดังๆ ราคาย่อมสูงกว่าโครงการที่ไม่มีชื่อเสียง ซึ่งคงต้องยอมรับ แต่เรื่องนี้ถ้าจะเปรียบเทียบเป็นตัวเลขหรือเม็ดเงินคงจะยาก เพราะน่าจะเกี่ยวกับคุณค่าทางจิตใจเสียมากกว่า   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.co.th