Tag : howto

432 ผลลัพธ์
3 ข้อต้องคิดก่อนรีไฟแนนซ์

3 ข้อต้องคิดก่อนรีไฟแนนซ์

ความฝันของผู้ที่มีบ้านส่วนใหญ่ คือ อยากจะปิดหนี้ไวๆ ยิ่งเมื่อได้รับใบเสร็จจากธนาคารทุกคนคงตกใจ เมื่อเห็นว่าเงินที่ผ่อนชำระเกือบทั้งหมดเป็นส่วนของดอกเบี้ย แทบจะไม่ได้ลดเงินต้นลงเลย จนทำให้รู้สึกว่า “การผ่อนบ้านนั้นช่างยาวนานเสียเหลือเกิน” และเมื่อกู้เงินผ่านมาสักระยะหนึ่ง คนส่วนมากจะคิดถึงการ “รีไฟแนนซ์บ้าน” เพื่อให้ภาระดอกเบี้ยลดลง การรีไฟแนนซ์ คือ การกู้เงินก้อนใหม่ไปชำระหนี้ยอดเดิมที่มีอยู่ ทำให้การผ่อนต่อเดือนน้อยลง โดยขยายระยะเวลากู้ออกไป หรือขอลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลงตามโปรโมชั่นที่มีอยู่ของสถาบันการเงิน นอกจากนี้ สถาบันการเงินบางแห่งยังยื่นข้อเสนอเพิ่มเงินกู้ให้อีก หากมูลค่าบ้านในการประเมินครั้งใหม่สูงกว่ายอดหนี้เดิมที่มี อย่างไรก็ดี บทความนี้มี 3 ข้อควรคิด…ก่อนวางแผนรีไฟแนนซ์ ที่ควรพิจารณาให้รอบคอบ ดังนี้ 1.ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์ แบ่งเป็น - ค่าใช้จ่ายให้กับสถาบันการเงินเดิม ได้แก่ ค่าปรับกรณีไถ่ถอนหลักประกันก่อนกำหนด ซึ่งโดยทั่วไปมักกำหนดระยะเวลาห้ามไถ่ถอนไว้ที่ไม่เกิน 3 ปีนับจากวันเริ่มกู้ และมักมีค่าปรับประมาณ 2-3% ของยอดหนี้ - ค่าใช้จ่ายให้กับสถาบันการเงินใหม่ ได้แก่ ค่าประเมินมูลค่าหลักประกัน ค่าธรรมเนียมการใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fix Rate) และนอกจากนี้ยังมีเบี้ยประกันอัคคีภัย หากกรมธรรม์เดิมยังมีความคุ้มครอง เจ้าของบ้านสามารถแจ้งโอนผลประโยชน์จากสถาบันการเงินเดิม เพื่อยกผลประโยชน์ให้สถาบันการเงินแห่งใหม่ได้ - ค่าใช้จ่ายกรมที่ดิน ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการจดจำนอง 1% และค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ 2.ผลประโยชน์ที่ได้รับเพิ่มขึ้นจากการรีไฟแนนซ์ เช่น หากมียอดหนี้ที่ต้องการโอน 1 ล้านบาท ปัจจุบันเสียอัตราดอกเบี้ยที่ 7.13% ต่อปี ขณะที่สถาบันการเงินแห่งใหม่เสนออัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี เท่ากับ 3.45% ต่อปี คิดเป็นส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ 3.68% ต่อปี หรือสามารถประหยัดดอกเบี้ยในช่วง 3 ปี ได้ถึง 108,253 บาท (คิดแบบลดต้นลดดอกเบี้ย) 3.เงื่อนไขอื่นๆ จากการรีไฟแนนซ์ เพื่อใช้ในการพิจารณาก่อนการตัดสินใจ - พิจารณาค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น หากมีโครงการที่จะขายบ้านในช่วง 3 ปีหลังรีไฟแนนซ์ อาจมีค่าปรับในการปิดบัญชีก่อนกำหนดเพิ่มอีก 2-3% ของวงเงินกู้ - พิจารณายอดหนี้และระยะเวลาการผ่อนชำระที่เหลือ เช่น หากยอดหนี้คงเหลือไม่มากนัก ระยะเวลาการผ่อนเหลืออีกแค่ 1-2 ปี หรืออาจมีเงินโบนัสมาปิดหนี้ก่อนกำหนด การรีไฟแนนซ์อาจเป็นทางเลือกที่ได้ไม่คุ้มเสีย - พิจารณาเงื่อนไขอื่น เช่น สถาบันการเงินบางแห่งมีเงื่อนไขให้ผ่อนค่างวดได้ไม่เกิน 2 เท่าของยอดผ่อนปกติ หรือมีค่าปรับกรณีชำระหนี้ก่อนกำหนด เท่ากับว่าหากมีเงินสดก็ไม่สามารถลดยอดหนี้ได้ในระยะเวลาที่ใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ การวางแผนรีไฟแนนซ์จะคุ้มค่าหรือไม่นั้น เจ้าของบ้านควรเปรียบเทียบค่าใช้จ่าย ผลประโยชน์ที่ได้รับเพิ่มขึ้นและเงื่อนไขอื่นๆ ที่เป็นข้อจำกัด ทั้งนี้ ควรพิจารณาถึงปัจจัยที่ไม่ได้เป็นตัวเงินด้วย เช่น ค่าเดินทาง ค่าเสียเวลาในการประเมินหลักประกัน ฯลฯ สำหรับหลายๆ ท่านที่ติดเงื่อนไขการไถ่ถอนหลักประกันก่อนกำหนด ทำให้ต้องเสียค่าปรับเพิ่ม 2-3% หากตัดเงื่อนไขนี้ออกไปแล้ว จะทำให้การรีไฟแนนซ์นั้นได้รับประโยชน์มากขึ้น ดังนั้น การรีไฟแนนซ์ที่ดีควรดูช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมด้วยจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
วิธีกำจัดแมลงสาบในบ้านง่ายๆ ได้ผลดีที่สุด

วิธีกำจัดแมลงสาบในบ้านง่ายๆ ได้ผลดีที่สุด

ไม่น่าเชื่อว่าแมลงสาบตัวเล็ก ๆ จะมีอิทธิพลพอให้ใครหลายคนแทบเสียสติเวลาที่เจอได้ โดยเฉพาะในยามที่แมลงสาบหนวดยาวบินตรงเข้ามาหาเราอย่างแน่วแน่ โอย…แค่คิดก็ขนลุกขนชันไปหมดแล้วเนอะ เอาล่ะ ! ถ้าในบ้านของคุณมีแมลงสาบยั้วเยี้ยและไม่รู้จะใช้วิธีไหนกำจัดแมลงสาบ เรามีวิธีกำจัดแมลงสาบ อย่างง่าย ๆ ได้แต่ผลมาให้ลองทำตามกันครับ   1.ก่อนทราบวิธีกำจัดแมลงสาบ ก็ค้นหาต้นตอก่อน ถ้ามีแมลงสาบในบ้านแม้เพียงตัวเดียวก็ไม่ต้องเดาแล้วว่าจะมีตัวที่สองหรืออีกเป็นฝูงอยู่ในบ้านหรือเปล่า เพราะแมลงสาบคงไม่มาอยู่เดียวดายแน่ ๆ ดังนั้นให้คุณรีบค้นหาต้นตอที่แมลงสาบมุดเข้าบ้านมาโดยทันที เริ่มจากบริเวณรอบ ๆ ที่เห็นแมลงสาบก่อนเป็นจุดแรก สำรวจดูว่ามีร่องรูหรือช่องทางใดที่แมลงสาบจะแทรกตัวผ่านเข้ามาได้บ้าง เมื่อเจอแล้วก็จัดการปิดช่องทางนั้นให้เรียบร้อย และถ้าจะให้ดีสำรวจร่องรอยแตกแยกในบ้านให้ทั่วเลยยิ่งดี อย่างน้อยก็ช่วยปิดกั้นเส้นทางของแมลงสาบได้ชั้นหนึ่งก่อน 2.วิธีกำจัดแมลงสาบ โดยการดูแลท่อน้ำ แมลงสาบเป็นสัตว์ที่ขาดอาหารได้นานพอสมควร แต่ขาดน้ำเกิน 1 อาทิตย์ไม่ได้ ซึ่งก็หมายความว่า แม้บ้านจะสะอาดปราศจากเศษอาหารใด ๆ ทว่ามีจุดที่น้ำรั่วซึมหรือชื้นอยู่ก็มีสิทธิ์ได้เจอแมลงสาบตัวเป็น ๆ เหมือนกัน ดังนั้นคงเป็นการช่วยป้องกันแมลงสาบได้ดีอีกทางหนึ่ง หากเรารีบซ่อมแซมจุดที่มีน้ำรั่วหรือบริเวณที่มีความชื้นค่อนข้างสูง 3.ทำความสะอาดบ้านให้หมดจด คือวิธีกำจัดแมลงสาบถาวร แค่มีน้ำชื้น ๆ ยังเรียกแมลงสาบมาอยู่ในบ้านได้ อย่างนี้ก็ไม่ต้องสืบเลยว่าถ้าบ้านสกปรกเลอะเทอะจะมีแมลงสาบอยากมาอยู่ร่วมชายคากับคุณอีกกี่ฝูง ฉะนั้นอย่าปล่อยให้บ้านสกปรกเลอะเทอะเลยดีกว่านะครับ โดยเฉพาะคราบอาหารเพียงสักนิดเดียวก็ควรทำความสะอาดให้หมดจดทันที 4.ใช้วิธีกำจัดแมลงสาบ โดยปิดฝาอาหารให้สนิท สำหรับอาหารที่อยู่บนโต๊ะอาหารควรมีฝาครอบปิดให้มิดชิด เพื่อป้องกันแมลงสาบมาวอแวอาหารจานโปรดของคุณ และพยายามกินแล้วเก็บล้างโดยทันทีให้เป็นนิสัยด้วย แค่นี้ก็ลดโอกาสที่แมลงสาบจะเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ในบ้านแล้วล่ะ 5.ทิ้งขยะเสมอ วิธีกำจัดแมลงสาบแบบป้องกัน ขยะเป็นแหล่งอาหารอันโอชะของเหล่าแมลงสาบตัวร้าย เพราะมีทั้งเศษอาหารและคราบน้ำที่แมลงสาบพอจะประทังชีวิตให้อยู่รอดได้ ดังนั้นพยายามอย่าหมักหมมขยะไว้ในบ้านนานนัก แม้จะเป็นขยะแห้งก็ควรทิ้งทุกวัน 6.วิธีกำจัดแมลงสาบ ด้วยกำจัดด้วยสารเคมี สำหรับคนที่ไม่ต้องการอยู่ร่วมกับแมลงสาบและอยากกำจัดอย่างรวดเร็ว สามารถใช้ยากำจัดแมลงที่มีส่วนผสมของสารไซเปอร์เมทริน (Cypermethrin) ที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดแมลงชนิดต่าง ๆ สูง แต่ส่งผลกระทบกับคนน้อย แต่ทั้งนี้ก่อนใช้สารเคมีควรสวมถุงมือและหน้ากากป้องกันไว้ก่อนด้วยนะครับ 7. วิธีกำจัดแมลงสาบ แบบบ้าน ๆ มีวิธีกำจัดแมลงสาบแบบบ้านๆ ให้ได้ลองทำตามดูอยู่หลายวิธีเหมือนกันครับ วิธีแรกหากสะดวกผสมผงบอแรกซ์, น้ำตาลทราย และแป้งข้าวโพดอย่างละส่วนเข้าด้วยกัน ก็นำส่วนผสมนี้ไปวางตามจุดที่คาดว่าจะมีแมลงสาบซุ่มอยู่ เมื่อแมลงสาบหลงกลมาคาบไปกินที่รังก็จะทยอยล้มตายกันไปทีละนิด ส่วนใครสะดวกจะสร้างกับดักน้ำหวานผสมน้ำเปล่าไว้ให้แมลงสาบเดินมาลอยตุ้บป่องอยู่ในถาดน้ำหวานก็ช่วยกำจัดได้เหมือนกัน แต่ถ้าใจไม่ถึงพอจะเห็นซากแมลงสาบก็เลี่ยงไปใช้วิธีแรกดีกว่า 8. น้ำสบู่ หนึ่งในวิธีกำจัดแมลงสาบ ถ้าเห็นแมลงสาบตัวเป็น ๆ แต่ยังไม่มีกับดักล่อแมลงสาบ แนะนำให้ผสมน้ำสะอาดกับน้ำสบู่ในบริมาณน้ำ 2 ส่วน ต่อสบู่ 1 ส่วน ใส่กระบอกสเปรย์ จากนั้นนำไปฉีดพ่นที่ตัวของแมลงสาบโดยตรงได้เลย น้ำสบู่จะเข้าไปปิดกั้นทางเดินหายใจของแมลงสาบ และก็จะลาโลกนี้ไป 9.ถาดดักแมลงสาบ วิธีกำจัดแมลงสาบแบบง่าย วิธีกำจัดแมลงสาบที่ง่ายและสะดวกอีกวิธีหนึ่งก็คือ ใช้ถาดดักแมลงสาบที่คล้าย ๆ ถาดกาวดักหนู (สามารถหาซื้อได้ตามซูเปอร์มาร์เกตทั่วไป) นำวางล่อแมลงสาบตัวร้ายตามจุดต่าง ๆ แล้วก็รอแมลงสาบมาติดกับดัก 10.วิธีกำจัดแมลงสาบ ด้วยโหลใส่น้ำ อย่างที่บอกว่าแมลงสาบขาดน้ำไม่ได้ ดังนั้นเราสามารถวางกับดักโหลแก้วใส่น้ำไว้ตามกำแพงที่คาดว่าจะมีแมลงสาบได้เลย แมลงสาบจะดิ้นรนเข้ามาหาน้ำในโหลแล้วตกลงไปลอยตัวอยู่ในนั้นอย่างหาทางหนีไม่ได้ แต่วิธีกำจัดแมลงสาบนี้อาจไม่สามารถกำจัดแมลงสาบชนิดถอนรากถอนโคนได้ 11.ใช้วิธีกำจัดแมลงสาบ กับขวดน้ำอัดลม อีกหนึ่งกับดักน้ำที่ใช้ได้ผล ก็แค่ตัดขวดน้ำพลาสติกตรงส่วนบนออก จากนั้นคว่ำปากขวดไว้กับส่วนล่าง จะได้ลักษณะเป็นหลุมล่อแมลงสาบให้ตกลงไปทางปากขวด เจอกับน้ำผสมสบู่ที่เราผสมไว้ในขวด เรียกว่าอำนวยความสะดวกให้เหล่ากองทัพแมลงสาบเจอกับดักได้ง่ายและท้าทายขึ้น 12.ดูแลสวน วิธีกำจัดแมลงสาบจากต้นตอ หากสวนข้างบ้านของคุณมีแต่ซากปรักหักพังและต้นไม้รกรุงรังไปหมด ไม่เพียงแต่แมลงสาบเท่านั้นที่จะแอบซุ่มอยู่ในสวน แต่ยังอาจจะมีสัตว์ร้ายชนิดอื่น ๆ แฝงตัวอยู่ในรั้วบ้านของคุณด้วย ดังนั้นในส่วนนี้ก็ควรจัดการสวนให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอจะดีกว่า โดยเฉพาะขอนไม้พุผังที่อาจจะมีทั้งปลวก มอด และแมลงสาบรวมตัวอยู่ก็ต้องกำจัดออกไปจากบ้านโดยเร็วที่สุด 13.ใช้วิธีกำจัดแมลงสาบ ด้วยการอุดช่องโหว่ เพื่อความแน่นหนามากขึ้นก็ควรอุดรูรั่วและรอยแตกแยกในบ้านให้สนิทที่สุด อาจจะฉาบปูนใหม่หรือยาแนวเสริมเข้าไปก็แล้วแต่สะดวก ป้องกันเอาไว้ก่อนอย่างนี้แมลงสาบจะได้เข้าสู่ตัวบ้านเราได้ยากยิ่งขึ้น 14.ลูกเหม็นก็เป็นวิธีกำจัดแมลงสาบได้ กลิ่นฉุนจนแสบจมูกของลูกเหม็นก็เป็นสิ่งที่แมลงสาบขยาดไม่น้อยเลยทีเดียว ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรนำลูกเหม็นไปวางตามจุดต่าง ๆ ที่สุ่มเสี่ยงจะมีแมลงสาบไว้เลยดีกว่า 15.ใช้สารบอแรกซ์ หนึ่งในวิธีกำจัดแมลงสาบ หลังจากกำจัดแมลงสาบไปได้จำนวนหนึ่งแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงสาบมาป่วนเราได้อีก แนะนำให้ผสมสารบอแร็กซ์กับผงซักฟอก และน้ำสะอาดเข้าด้วยกัน แล้วนำใส่กระบอกสเปรย์เอาไว้ฉีดเป็นยากันแมลงสาบตามจุดที่มีความชื้นสูง หรือบริเวณกำแพงบ้านที่ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ เมื่อแมลงสาบมาจ๊ะเอ๋น้ำยาที่เราฉีดไว้จะได้กลัวจนต้องถอยทัพกลับไป   ใครที่กลัวแมลงสาบขึ้นสมองและมักจะเจอแมลงสาบซึ่งๆ หน้าให้เสียจริตกันบ่อยๆ ลองนำวิธีกำจัดแมลงสาบที่เราแนะนำไปใช้กันดูได้เลยนะครับ นอกจากวิธีกำจัดแมลงสาบ ยังมีความรู้เรื่องภัยจากแมลงสาบมาฝากด้วยครับ ภัยร้ายจากแมลงสาบ แมลงที่ทนต่อทุกฤดู วิธีกำจัดแมลงและสัตว์อื่นๆ ออกจากบ้านของเรา มันมากับหน้าฝน ตะขาบเข้าบ้านทำอย่างไรดี วิธีกำจัดมด ด้วยของใกล้ตัว กำจัดปลวก ด้วยวิธีธรรมชาติ 13 วิธีกำจัดมอด ปิดประตูตายแมลงร้ายในครัว!
ปัญหายอดฮิต ของชาวคอนโด

ปัญหายอดฮิต ของชาวคอนโด

ปัญหายอดฮิต ของชาวคอนโดที่ต้องเจอ เคยได้ยินคนบอกกันมั้ยครับว่า "ปัญหามีไว้แก้" หรือ "ปัญหามีไว้ฝึกปัญญา" แต่หลายๆ ครั้งก็ต้องยอมรับกันครับว่า ปัญหาในคอนโดบ้านเราเป็นปัญหาที่ต้องทำใจ และทำใจกันอย่างเดียว! วันนี้เราลองมาดูกันครับว่า ปัญหาหรือคำถามยอดฮิตที่พวกเราน่าจะเจอกันประจำในคอนโดมีอะไรบ้าง 1. ที่จอดรถไม่พอ ปัญหาอมตะครับสำหรับคอนโดเมืองไทย แถมพ่วงด้วยปัญหาต่อเนื่องอื่นอีก เช่น จอดรถซ้อนกัน (โดยเฉพาะในชั้นเตี้ยทั้งที่ชั้นสูงก็ยังมีที่จอด) คนที่มีสิทธิจอดไม่ตายตัว (Float) แต่ไปแอบจอดในตำแหน่งตายตัว (Fixed) ของคนอื่น โชคไม่ดีครับว่า สคบ. และกฎหมายบ้านเรายังไม่มีกฎเกณฑ์บังคับกับผู้ประกอบการว่าจะต้องทำที่จอดรถอย่างน้อยเท่าไหร่ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับดุลพินิจ (และ Profit Margin) ของผู้ประกอบการแต่ละรายเองว่าจะทำเป็นสัดส่วนเท่าไร เช่น 100 ห้องอาจทำที่จอดครบ 100 ตำแหน่ง หรือ 100 ห้องแต่มีที่จอดแค่ 60 ตำแหน่ง (รวมหรือไม่รวมจอดซ้อน) วิธีเลี่ยงปัญหาที่ดีที่สุดคือ ซื้อคอนโดแบบมีกรรมสิทธิ์ในที่จอดรถด้วย (ซึ่งจะต้องระบุกรรมสิทธิ์ชัดเจนในหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดด้วย)แต่ราคาก็จะแพงสุดๆ ทีเดียว หรือเสนอที่ประชุมให้ตั้งกฎกติกาจอดรถชัดเจน เช่น กำหนดตายตัวให้จอดรถได้ 1 ห้องต่อ 1 คัน เท่าเทียมกันทุกห้อง (ไม่ว่าห้องเล็กหรือห้องใหญ่) ส่วนคันต่อไปต้องเสียเงิน หรือต้องจอดนอกโรงจอดรถหรือกำหนดว่าหากมีการจอดทับสิทธิบนตำแหน่งที่จอดรถตายตัวของคนอื่น ก็ให้มีการล็อคล้อกันไปเลย เป็นต้น   2. ไม่เข้าร่วมประชุมลูกบ้าน กฎหมายคอนโดกำหนดให้มีการเรียกประชุมใหญ่ (สามัญ) ลูกบ้านปีละหนึ่งครั้งเป็นอย่างน้อย (และอาจมีประชุมย่อยที่เรียกว่าวิสามัญได้อีกกี่ครั้งก็ได้) การไม่เข้าประชุมไม่มีความผิดใดๆแต่จะทำให้เสียสิทธิในการแสดงความเห็น และออกเสียงในการบริหารจัดการคอนโด ในการประชุมออกเสียงลงคะแนน ต้องยอมรับครับว่าห้องใหญ่จะมีคะแนนเสียงมากกว่าห้องเล็ก เพราะคะแนนเสียงจะเท่ากับสัดส่วนพื้นที่ของแต่ละห้องต่อพื้นที่ทั้งหมดของทุกห้องในอาคารนั้นข้อแนะนำคือปกติเวลาจะมีประชุม เราจะได้รับเอกสารนัดประชุมพร้อมเรื่องที่จะมีการประชุมกัน ถ้าเราเจอเรื่องสำคัญ (เช่น พิจารณาการขึ้นค่าส่วนกลาง) หรือเป็นเรื่องที่กระทบกับความเป็นอยู่เรา (เช่น การเปลี่ยนกฎเกณฑ์การจอดรถ)เราก็ควรเข้าประชุม หรือมอบฉันทะให้เพื่อน หรือคนรู้จักในคอนโดเข้าร่วมประชุม และออกเสียงแทน แต่ผู้รับมอบฉันทะ 1 คนจะรับมอบอำนาจจากคนอื่นเกิน 3 ห้องไม่ได้นะครับ และจะมอบให้กรรมการ เจ้าหน้าที่นิติฯ หรือผู้จัดการนิติฯหรือผู้จัดการนิติฯ เป็นผู้รับมอบก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะทั้งหมดนี้กฎหมายห้ามไว้ หากเราเป็นกรรมการแล้วอยากให้เข้าร่วมประชุมกันเยอะๆ ก็อาจกระตุ้นโดยการแถมคูปองจอดรถสำหรับ Visitor ให้คนที่เข้าร่วมประชุมโดยมีมูลค่าแล้วแต่จะกำหนดวิธีนี้ก็ได้ผลดีไม่เลวเหมือนกัน   3. ใช้ทรัพย์ส่วนกลางกันจนเสียหาย และไม่เกรงใจเพื่อนบ้าน ปัญหานี้มีสารพัดมากมาย ตั้งแต่ทิ้งขวดน้ำกระป๋องเบียร์ไว้ข้างสระว่ายน้ำ จัดงานปาร์ตี้เสียงดังในสวน โยนรองเท้า กองถุงขยะไว้หน้าห้อง พาคนนอกเข้ามาใช้ยิม รือห้องอ่านหนังสือ ซึ่งเรื่องพวกนี้คงต้องอาศัยพวกเราชาวคอนโดช่วยกันเป็นหูเป็นตาแจ้งให้นิติฯ จัดการ โดยปกติในข้อบังคับทุกคอนโดจะเขียนไว้ว่า ถ้ามีการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการใช้ทรัพย์ส่วนกลางเหล่านี้ ผลจะเป็นเช่นไร เช่น เรียกค่าเสียหาย แจ้งความ งดการให้บริการสาธารณูปโภค แต่ปัญหาคอนโดบ้านเรา คือการบังคับใช้กฎ เพราะแม้จะเขียนกฎไว้ แต่ถ้านิติฯ ไม่บังคับใช้กฎอย่างจริงจัง ปัญหาบางอย่างก็บานปลายออกไปได้ หรือแม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย อย่างเช่น การเจาะกำแพงแขวนนาฬิกาบนผนังด้านที่ติดกับอีกห้องหนึ่งโดยไม่ถามเขาก่อน เพราะถ้าว่ากันตามหลักแล้ว เรื่องนี้ก็ถือว่าผิดเช่นกัน เพราะผนังกั้นห้องนี้ถือเป็นกรรมสิทธิ์รวมของเจ้าของห้อง 2 ห้องที่ติดกันนี้นะครับ ดังนั้น ถ้าจะทำอะไรกับผนังนี้ต้องได้รับความยินยอมจากห้องที่ติดกันนี้ก่อนเสมอครับ   4. เลี้ยงสัตว์ในคอนโด คอนโดบ้านเราส่วนใหญ่จะมีกฎห้ามเลี้ยงสุนัข หรือแมว ทั้งนี้เพื่อความเป็นระเบียบ สะอาด และเงียบสงบของผู้อยู่อาศัยทุกคน ทางที่ดีทุกคนควรรักษากฎข้อนี้นะครับเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ถ้าท่านใดอยากเลี้ยงสุนัข หรือแมวจริงๆ ขอแนะนำให้มองหาคอนโดที่ยอมให้เลี้ยงได้ ในกรณีที่เราเห็นคนเลี้ยงสุนัข หรือแมวซึ่งเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับคอนโด เราควรแจ้งนิติฯ ให้เข้ามาจัดการโดยเร็วเพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม เพราะถ้าเราปล่อยให้คนทำผิดข้อบังคับไปเรื่อยๆ โดยไม่มีใครร้องเรียน หรือจัดการ จะทำให้การดำเนินการกับเจ้าของห้องที่แอบเลี้ยงสุนัขเป็นไปได้ยากขึ้นเรื่อยๆ   5. โทรศัพท์มือถือสัญญาณแย่ คอนโดห้องสูงในหลายๆ คอนโดมักจะมีปัญหานี้โดยส่วนใหญ่จะเริ่มมีปัญหากันตั้งแต่ชั้น 10 ขึ้นไป (หรือแม้กระทั่งบางทีห้องชั้นเดียวกัน แต่ห้องด้านหนึ่งมีสัญญาณ แต่ห้องอีกด้านกลับไม่มี)  ทั้งนี้ เป็นเพราะว่าในแง่วิศวกรรมนั้น การส่งสัญญาณโทรศัพท์จะเป็นการส่งลงมาจากเสาสัญญาณที่สูง เป็นรูปกรวยลงมาบนพื้นดิน ไม่ได้ยิงในระนาบเดียวกับเสาสัญญาณ ทำให้ห้องที่อยู่สูงๆ หรือห้องบางทิศไม่สามารถรับสัญญาณโทรศัพท์ที่เพียงพอได้ วิธีที่อาจจะช่วยแก้ปัญหาได้คือ ขอให้นิติฯ ติดต่อค่ายโทรศัพท์ให้เข้ามาติดตั้งตัวขยายสัญญาณเพิ่มในคอนโด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งค่ายโทรศัพท์ และนิติฯ ทั้งสองฝ่ายด้วยครับ (เช่น นิติฯ ต้องยอมเสียค่าใช้จ่ายในการติดตั้งด้วย  เป็นต้น) หรือหากคอนโด หรือละแวกนั้นมีปัญหากันมากๆ ก็คงต้องรวมตัวกันติดต่อไปที่ค่ายโทรศัพท์ เพื่อให้ติดเสาสัญญาณ หรืออุปกรณ์เครือข่ายเพิ่มในละแวกนั้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะค่าใช้จ่ายจะสูงมากสำหรับค่ายโทรศัพท์ (และจะไม่เกี่ยวกับนิติฯ คอนโดของเรา   6. ค้างค่าส่วนกลาง หรือเงินส่วนกลางหาย ปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่เกิดบ่อย คือ ลูกบ้านบางคนไม่จ่ายค่าส่วนกลาง นิติฯ หรือคณะกรรมการบางคนทำตัวมาเฟียไม่โปร่งใสในเรื่องเงินๆ ทองๆ ในการบริหารจัดการคอนโด ปัญหาแรกเป็นเรื่องของการทำผิดกฎหมายคอนโดชัดเจน พราะกฎหมายกำหนดให้ลูกบ้านต้องร่วมกันออกค่าใช้จ่ายส่วนกลาง ผลของการไม่จ่ายตามกฎหมายคือ (ก) อาจโดนเงินเพิ่มร้อยละ 12 และถ้าค้างเกิน 6 เดือนอาจโดนถึงร้อยละ 20 และอาจถูกระงับการให้บริการสาธารณูปโภค หรือใช้ทรัพย์ส่วนกลางด้วย และ (ข) คอนโดห้องที่ค้างชำระส่วนกลางจะทำนิติกรรมการโอนไม่ได้ เพราะผู้จัดการนิติฯ จะไม่ออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ให้ ซึ่งจะทำให้จดทะเบียนขายไม่ได้ ส่วนปัญหาเรื่องไม่โปร่งใสนั้น กฎหมายกำหนดให้นิติฯ จะต้องทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายทุกเดือน และติดประกาศให้ลูกบ้านทราบทุกเดือน นอกจากนี้ นิติฯ จะต้องทำรายงานประจำปีแสดงผลการดำเนินงาน และงบดุล และปิดประกาศไว้ที่สำนักงานนิติฯ และเก็บไว้อย่างน้อย 10 ปีด้วย และหากนิติฯ ไม่ทำสิ่งเหล่านี้ ผู้จัดการนิติฯและประธานคณะกรรมการจะมีความผิด และต้องรับโทษปรับตามกฎหมายคอนโด ดังนั้น วิธีแก้คือพวกเราควรช่วยกันสอดส่องตัวเลขเหล่านี้ และถ้าเจออะไรมีพิรุธก็ควรดำเนินการตามกฎหมายทันที   7. ปัญหาน้ำรั่วน้ำซึม ปัญหานี้เกิดขึ้นได้บ่อยจากหลายสาเหตุ เช่น บางห้องไม่อยู่นานแล้วลืมปิดก๊อกน้ำ ปั๊มน้ำคอนโด หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของระบบแรงดันน้ำรั่วหรือเสีย รอยต่อท่อส่วนกลางรั่วหรือแตก เป็นต้น ดังนั้นถ้าจะดูว่าใครต้องรับผิดชอบคงต้องดูว่าสาเหตุเกิดจากอะไร วิธีปฏิบัติที่ดีหากเกิดกรณีเช่นนี้คือ แจ้งให้นิติฯ ทราบเพื่อเข้ามาช่วยดู และพิจารณาร่วมกันว่า น้ำที่รั่วเกิดจากสาเหตุอะไร เกิดจากทรัพย์สินของใคร และจะรับผิดชอบกันอย่างไร แต่ในบางกรณีก็เป็นการยากที่จะขีดเส้นแบ่งว่า น้ำที่รั่วเกิดจากทรัพย์ส่วนบุคคลของห้องชุดห้องไหน (ซึ่งเจ้าของห้องชุดนั้นเองจะต้องรับผิดชอบ) หรือเกิดจากทรัพย์ส่วนกลาง (ซึ่งนิติฯ จะต้องรับผิดชอบ) ซึ่งถ้าไม่ชัดเจนแบบนี้ ก็คงขึ้นอยู่กับความเห็นของช่างประปา การพูดคุยหารือกันของเจ้าของห้องที่ได้รับผลกระทบ และการเข้ามาช่วยแก้ปัญหา หรือเจรจาไกล่เกลี่ยของนิติฯ แต่ถ้าชัดเจนว่าเกิดจากเจ้าของห้องใดห้องหนึ่ง เช่น เจ้าของห้องไม่อยู่แล้วเปิดน้ำทิ้งไว้อย่างประมาทเลินเล่อ แล้วเจ้าของห้องนี้ไม่ยอมรับผิดชอบ ห้องติดกันที่เสียหายมีสิทธิเล่นงานตามกฎหมาย สามารถเรียกค่าเสียหายจากเจ้าของห้องนี้ได้เลยครับ โดยถือเป็นความผิดฐานละเมิดสร้างความเสียหายให้แก่ผู้อื่น   8. ยาม และแม่บ้านละเลยหน้าที่ ปัญหานี้เกิดขึ้นได้ทั้งในอาคาร แหล่งพักอาศัย และคอนโดทุกประเภท หากรปภ.ปล่อยปละละเลยในการต้องแลกบัตรของ Visitor ไม่บังคับใช้กฎกับคนที่จอดรถไม่ถูกที่ถูกทาง หรือแม่บ้านไม่ทำความสะอาดส่วนกลางให้ดี หรือมาทำงานสายเป็นประจำ ปัญหาเหล่านี้จะมีผลต่อเนื่องไปถึงเรื่องความปลอดภัยของลูกบ้าน และความสะอาดภายในคอนโด ทางแก้ในเรื่องนี้คือ นิติบุคคลอาคารชุดจะต้องกำกับดูแลการทำงานของยาม และแม่บ้านอย่างเข้มงวด และลูกบ้านก็ควรจะช่วยกันสอดส่องดูแลการทำงานของยาม และแม่บ้านเหล่านี้ด้วย หากเห็นว่ายาม หรือแม่บ้านละเลยไม่ทำหน้าที่ที่ควรทำ เราก็ควรดำเนินการ หรือแจ้งให้ผู้จัดการนิติบุคคลทราบเพื่อแก้ปัญหากันต่อไปครับ   9. อาคารชำรุดเสียหายควรทำอย่างไร ความเห็นในเชิงวิศวกรรมส่วนใหญ่เห็นว่า อาคารคอนโดสามารถยืนระยะให้อยู่ในสภาพที่ดี หรือใช้การได้ดีได้นานอย่างน้อยถึงประมาณ 30 ปี (ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาซ่อมแซมเป็นหลักด้วย) แล้วถ้าเกิดความเสียหาย เช่น ไฟไหม้ หรือแผ่นดินไหวกับตัวตึกก่อนหรือหลังจากนั้น ตามหลักแล้ว ถ้าอาคารเสียหายไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน การจะซ่อมหรือไม่ซ่อมอย่างไรนั้น จะขึ้นอยู่กับมติของเจ้าของห้องชุดเป็นหลักเสมอครับ เช่น ถ้าว่ากันตามหลักกฎหมายคอนโดบ้านเราตอนนี้ ถ้าเกิดกรณีเสียหายทั้งหมด หรือบางส่วน แต่เกินครึ่งของจำนวนห้องชุดทั้งหมด จะขึ้นอยู่กับมติไม่น้อยกว่า 50% ของจำนวนห้องชุดทุกห้อง แต่ถ้าเสียหายบางส่วน หรือไม่ถึงครึ่งของจำนวนห้องชุดทั้งหมด จะขึ้นอยู่กับมติไม่น้อยกว่า 50% ของเจ้าของห้องชุดที่เสียหาย ซึ่งไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ค่าใช้จ่ายเพื่อซ่อมแซมทรัพย์ส่วนกลาง เจ้าของห้องชุดทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดชอบเฉลี่ยตามส่วนที่ตนมีในทรัพย์ส่วนกลาง แต่ถ้าเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อซ่อมแซมทรัพย์ส่วนบุคคลในห้องชุดของแต่ละคน เจ้าของห้องชุดที่เสียหายต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเองนะครับ ซึ่งถ้ามีการทำประกันภัยครอบคลุมความเสียหายพวกนี้ไว้ ก็จะเป็นประโยชน์ทีเดียว   10. นิติบุคคลอาคารชุดไม่มีประสิทธิภาพ ปัญหาสุดท้ายแต่เป็นปัญหาที่ใหญ่ทีเดียว โดยหลักแล้ว วัตถุประสงค์ของการมีนิติบุคคลอาคารชุดตามกฎหมายคือ เพื่อจัดการ และดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง และให้มีอำนาจกระทำการใดๆ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว โดยในตัวของนิติบุคคลเองก็จะประกอบไปด้วย 1) ผู้จัดการ 1 คน (แต่งตั้งตามมติที่ประชุมใหญ่ของลูกบ้าน) โดยผู้จัดการมีหน้าที่ปฏิบัติตามมติที่ประชุมลูกบ้าน จัดให้มีการดูแลความปลอดภัย หรือความสงบเรียบร้อย จัดให้มีการทำบัญชีรายรับรายจ่าย และอื่นๆ 2) คณะกรรมการนิติบุคคล (แต่งตั้งโดยที่ประชุมลูกบ้าน) โดยคณะกรรมการจะมีหน้าที่ควบคุมจัดการนิติบุคคลอาคารชุด และอื่นๆ ในทางปฏิบัติ ปัญหาหลักที่เกิดขึ้นคือ ผู้จัดการอาจไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน ในการบังคับใช้กฎ หรือขาดซึ่งประสบการณ์ในการจัดการกับผู้อยู่อาศัยในคอนโด ในทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าเป็นการยากที่จะหาคนเข้ามาเป็นคณะกรรมการ (โดยเฉพาะคนที่มีประสบการณ์ที่เหมาะสมที่จะเข้ามาเป็น เช่น นักบัญชี นักกฎหมาย หรือวิศวกรที่รู้เรื่องอาคาร) เพราะการเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการนั้นจำเป็นต้องมีเวลาพอสมควร เช่น ต้องเข้าร่วมประชุมบ่อย แถมยังเปลืองตัวโดนด่า (ต้องตัดสินใจในเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของลูกบ้านหลายๆ คนแต่เป็นประโยชน์สำหรับส่วนรวม) และการเป็นคณะกรรมการก็ไม่มีค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นหากคนที่เข้ามาเป็นผู้จัดการ หรือคณะกรรมการไม่มีประสิทธิภาพ ความรู้ หรือประสบการณ์ในการแก้ปัญหาที่เพียงพอ ก็อาจนำมาซึ่งปัญหา หรือทำให้ปัญหาบางอย่างเรื้อรังได้ง่ายๆ
ร้านเหล้าดนตรีสดเจ๋ง ตอบโจทย์คนรักเสียงเพลง

ร้านเหล้าดนตรีสดเจ๋ง ตอบโจทย์คนรักเสียงเพลง

ดนตรีสดถือเป็นอีกหนึ่งสีสันที่สร้างความน่าสนใจให้กับร้านเหล้าแต่ละแห่งได้ไม่น้อยทีเดียว ยิ่งเมื่อได้จิบเครื่องดื่มเย็น ๆ เคล้าเสียงเพลงมันส์ ๆ สนุก ๆ หรือเพราะ ๆ ซึ้ง ๆ มีนักร้องเสียงดีคอยเอนเตอร์เทนให้คล้อยตามอารมณ์ของเพลงได้ไม่ยากด้วยแล้ว คงตอบโจทย์ความต้องการของหนุ่ม ๆ นักท่องราตรีทั้งหลายแน่นอน  วันนี้กระปุกดอทคอมเลยขอรวบรวมร้านอาหารกึ่งผับที่ขึ้นชื่อว่าเล่นดนตรีสดเจ๋ง ๆ มาฝากกัน ส่วนจะมีร้านไหนบ้างลองไปดูกันเลย นั่งเล่น เอกมัย เหมือนยกดนตรีสดมาเล่นที่บ้าน ร้านนั่งเล่น ถือเป็น Pub & Restaurant ที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในย่านเอกมัย ภายในร้านเน้นการตกแต่งแบบบ้านโมโนกันด้วยการใช้โทนสีร้านเป็นสีดำ ภายในแบ่งที่นั่งออกออกเป็น 2 ส่วน ทั้งโซนเคาน์เตอร์บาร์และโต๊ะนั่งที่สามารถเลือกได้ตามใจชอบ เหมาะเป็นอย่างยิ่งสำหรับการนัดเพื่อนมาพบปะสังสรรค์ฟังเพลง ส่วนแนวเพลงของร้านมีทั้งเปิดแผ่นและดนตรีสดแบบมันส์ ๆ จากนักร้องที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเล่นทุกวัน ส่วนเมนูเด็ดของร้าน ได้แก่ ปลากะพงนึ่งมะนาว, ข้าวผัดเนื้อแดดเดียว, ข้อไก่ทอด, ยำผักบุ้งทอดกรอบ หรือสเต็กลาว พร้อมด้วยเมนูเครื่องดื่มหลากหลายเมนูให้เลือก เวลาเปิด-ปิด : เปิดบริการวันจันทร์-เสาร์ เวลา 18.00-02.00 น. (หยุดทุกวันอาทิตย์) ที่อยู่ : 217 สุขุมวิท 63 (เอกมัย) เขตวัฒนา กรุงเทพฯ โทรศัพท์ : 08 1734 5102, 08 1770 7836 เว็บไซต์ : www.nunglen.net  และ เฟซบุ๊ก nunglen.escobar Brick Bar ร้านดนตรีสดในตำนาน Brick Bar ผับแนวเพลงสกาและเร็กเก้ โดยมีทั้งเปิดแผ่นและมีวงดนตรีสดผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเล่น เพื่อให้เหล่าสาวกหัวใจเร็กเก้ได้โยกย้ายไปตามจังหวะเครื่องดนตรีสนุก ๆ ภายในตกแต่งร้านด้วยสไตล์เวสเทิร์นคันทรี เน้นการตกแต่งด้วยอิฐแดงทั้งเคาน์เตอร์และผนัง มีมุมให้เลือกนั่งสบาย ๆ และมุมยืน (ส่องสาว ๆ) สำหรับเมนูอาหารของร้านส่วนใหญ่เป็นอาหารทานเล่นอย่างเฟรนช์ฟรายด์, ข้อไก่ทอด หรือเมนูทานง่ายอย่าง ข้าวผัด รวมทั้งเครื่องดื่มหลากหลายรสชาติให้เลือกอีกด้วย เวลาเปิด-ปิด : เปิดบริการทุกวัน เวลา 19.00-02.00 น. ที่อยู่ : 265 ชั้น 1 โรงแรมบัดดี้ลอดจ์ ถนนข้าวสาร แขวงตลาดยอด เขตพระนคร กรุงเทพฯ โทรศัพท์  : 0 2629 4477, 0 2629 4556 เว็บไซต์ : brickbarkhaosan และเฟซบุ๊ก Brick Bar ดนตรีสดสุดเจ๋งต้อง "Route 66"  ถือเป็นอีกร้านดังที่อยู่คู่กับชื่อของ RCA มานานหลายปี เสน่ห์ของร้านที่ทำให้ผู้คนแวะเวียนมาเยือนอย่างไม่ขาดสายในทุกค่ำคืนนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การตกแต่งร้านในสไตล์โมเดิร์น ทั้งการแยกโซนของร้านเป็น 2 โซนให้เลือก ทั้งโซนดีเจเปิดแผ่นแนว Hip Hop และโซนดนตรีสดที่เน้นกลุ่มคนรักบรรยากาศแบบชิล ๆ โดยจะมีวงดนตรีผลัดเปลี่ยนกันมาสร้างเสียงเพลงแบบสนุก ๆ ไม่ซ้ำกัน ส่วนเมนูเด็ดของร้านไม่พลาดไม่ได้ คือ ยำรวมมิตร, คอหมูย่าง, หมูแดดเดียว, เอ็นข้อไก่ทอด พร้อมด้วยเมนูเครื่องดื่มหลายชนิด เวลาเปิด-ปิด : เปิดบริการทุกวัน เวลา 20.00-02.00 น. ที่อยู่ : ซอยศูนย์วิจัย ถนนพระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ โทรศัพท์ :  08 1440 9666 เว็บไซต์ : www.route66club.com เสวนาพาเพลิน ดนตรีสดชื่อดังแห่งรัชโยธิน เสวนา พาเพลิน ผับ แอนด์ เรสเตอรองท์ บรรยากาศสบาย ๆ ที่จะทำให้คุณเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงจากวงดนตรีที่ขึ้นมาเล่นสดซึ่งผลัดเปลี่ยนกันมาสร้างความบันเทิง รวมทั้งมีอาหารอร่อย ๆ ไว้รอนักชิมมาเทสต์รสชาติ ทางร้านมีโซนให้เลือกนั่งทั้ง Indoor และ Outdoor ด้านในฟังเพลงกันสนุก ๆ คึกคัก ส่วนคนที่ชอบบรรยากาศชิล ๆ ไม่วุ่นวายนักก็หลบขึ้นไปที่ชั้นสองก็ได้ เวลาเปิด-ปิด : เปิดบริการทุกวัน เวลา 17.00-01.00 น. ที่อยู่ : 1440-1441 ตรงข้ามเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ โทรศัพท์ : 08 0615 6664, 0 2939 5676 รีวิว เสวนา พาเพลิน คอดนตรีสดแนวแจ็ส ห้ามพลาด "Saxophone Pub"    ร้านอาหารกึ่งผับขนาดเล็ก ๆ ที่เป็นที่รู้จักทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จุดเด่นของร้านอยู่ที่การตกแต่งด้วยไม้เป็นเป็นหลัก ภายในแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ชั้นแรกที่เล่นดนตรีสด ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีดำเป็นหลัก และชั้นที่ 2 เป็นชั้นลอยสามารถมองเห็นภายในร้านได้ทั้งหมด สำหรับการแสดงดนตรีสดจะมีวงดนตรีแนว Jazz, Pop และ Reggae ที่ผลัดเปลี่ยนกันมาเล่นทุกวัน ส่วนเครื่องดื่มของร้านมีพร้อมเสิร์ฟมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ไวน์, ค็อกเทล, เหล้า และเบียร์ คู่กับเมนูแกล้มอย่าง ยำคะน้า, กุ้งเจี๋ยนน้ำมันหอย และแกงป่าซี่โครงหมู เวลาเปิด-ปิด : เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 19.00-02.00 น. ที่อยู่ : 3/8 ถนนพญาไท ราชเทวี กรุงเทพฯ โทรศัพท์ : 0 2246 5472 เว็บไซต์ : saxophonepub.com และ เฟซบุ๊ก Saxophone Pub and Restaurant บรรยากาศสบายๆ กับดนตรีสด "ร้านสถานีรวมมิตร"  ร้านสถานีรวมมิตร ร้านอาหารกึ่งผับที่ตั้งอยู่ภายในโครงการจตุจักรกรีน จุดนัดพบของนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะวัยรุ่นที่ชื่นชอบการช้อปสินค้ามือสองและยังเป็นจุดในการนัดแนะเพื่อน ๆ มาปาร์ตี้ นั่งทานอาหารและเครื่องดื่มได้อีกด้วย ตัวร้านตกแต่งด้วยของเก่าเป็นหลัก เป็นร้านเปิดโล่งแบบ Open Air และเป็นร้านที่เน้นการแสดงดนตรีสดเป็นหลัก โดยจะมีวงดนตรีผลัดกันมาเล่น ส่วนเมนูฮิตของร้านที่ไม่ควรพลาดคือ กุ้งแช่น้ำปลา, ปีกไก่ทอด, ต้มซุปเปอร์ขาไก่, ลูกชั้นปลานึ่ง และหมูมะนาว เวลาเปิด-ปิด : เปิดบริการทุกวัน เวลา 18.00-02.00 น. *ที่อยู่ : ปัจจุบันร้านย้ายไปย่านปากเกร็ด โทรศัพท์ : 08 7112 5251 เว็บไซต์ : เฟซบุ๊ก ร้านสถานีรวมมิตร WATER Y Restaurant ดนตรีสด บนชั้น Rooftop สำหรับใครที่กำลังมองหาร้านอาหารที่มีบรรยากาศสุดโรแมนติกกันอยู่ ร้าน WATER Y Restaurant คือคำตอบของคุณแน่นอน เพราะด้วยบรรยากาศร้านที่สามารถชมวิวในกรุงเทพฯ จากมุมสูงบนตึกได้ 360 องศา เหมาะสำหรับนั่งกินลมชมวิวหรือคู่รักที่อยากหาร้านที่มีบรรยากาศดี ๆ ภายในร้านแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ โซนห้องแอร์และโซนกลางแจ้ง นอกจากนี้ ยังมีวงดนตรีเล่นสดแนวเพลงสากล, ไทยสากล และแจ๊ส มาสร้างความสุขด้านเสียงเพลงอีกด้วย ขณะที่เมนูเด็ดของร้านต้องแนะนำคือ ลาบทูน่าและตับทอดกระเทียมพริกไทย ทานคู่กับบรรดาเครื่องดื่มหลากชนิดได้อย่างลงตัว เวลาเปิด-ปิด : เปิดบริการทุกวัน เวลา 17.30–00.00 น. ที่อยู่ : ดาดฟ้าชั้น 12 อาคารพิศวิทย์ทาวเวอร์ ซอยพหลโยธิน 24 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ โทรศัพท์ : 0 2939 4917, 08 1376 4466 เว็บไซต์ : เฟซบุ๊ก Water.Y.Restaurant   เป็นยังไงกันบ้างครับ เรียกได้ว่าแต่ละร้านเด็ดโดนใจทั้งนั้นเลย ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนมีเวลาว่างอยากหาที่นั่งฟังดนตรีสด ก็ลองเลือกมาสักร้านแล้วเดินทางไปสัมผัสบรรยากาศสุดสนุกด้วยกันเลย !! ไปตาม Lifestyle อื่นๆ ร้านคาเฟ่ สุดชิค! ใกล้บีทีเอส ร้านอร่อย ย่านท่าเรือคลองสาน (ท่าน้ำคลองสานพลาซ่า) 10 ร้าน ไฮไลท์ ที่ “มิกซ์ จตุจักร” แหล่งช้อปปิ้งที่ไม่มีวันหยุด 19 ร้านคอนเซ็ปต์ “ใหม่” ในสามย่านมิตรทาวน์
ทริคเด็ดๆ แต่งคอนโดเล็กให้เหมือนห้องใหญ่

ทริคเด็ดๆ แต่งคอนโดเล็กให้เหมือนห้องใหญ่

10 ทริคเด็ด คอนโดพื้นที่เล็ก ก็รู้สึกเหมือนห้องใหญ่ ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าเดี๋ยวนี้โครงการสร้างคอนโด ผุดขึ้นมาเยอะและรวดเร็วอย่างกับดอกเห็ด เพราะคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนในเมืองนั้น นิยมอยู่ในคอนโดมากกว่าบ้านที่มีพื้นที่กว้าง ๆ เสียอีก เพราะการอยู่คอนโดทำให้ชีวิตสะดวกสบายมากกว่า ไม่ต้องเหนื่อยทำความสะอาดพื้นที่กว้าง ๆ แถมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันรอบ ๆ คอนโดอีกด้วย แต่ถ้าหากคุณต้องอยู่ในคอนโดที่มีพื้นที่เล็ก คุณก็อาจจะรู้สึกอึดอัดถ้าไม่จัดให้เป็นระเบียบ หรือตกแต่งไม่เป็น แต่ไม่ต้องกลุ้มไป เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมได้นำ 10 ทริคเด็ดในการใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดห้องเล็ก ให้รู้สึกเหมือนได้อยู่ในคอนโดห้องใหญ่ มาฝากกันแล้ว  วัดขนาดให้เป๊ะ  พื้นฐานการตกแต่ง และจัดระเบียบคอนโดที่ดี มาจากการวางแผนที่ถูกต้อง เริ่มจากการวัดขนาดห้องทั้งความยาว ความกว้าง และความสูงของเพดาน หรือหน้าต่างให้เป๊ะเสียก่อน เมื่อได้ขนาดที่แน่นอนออกมาแล้ว จึงค่อยตัดสินใจซื้อเฟอร์นิเจอร์ และของใช้ที่จะเอาเข้ามาวางในห้องได้ถูกต้อง จึงทำให้ห้องเล็กที่เคยมีนั้น กลับดูใหญ่ขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อเลย  ร่างแบบห้องในโปรแกรม 3 มิติ  เพื่อความแน่ใจอีกระดับหนึ่ง ลองลงมือร่างแปลนห้องในแบบ 3 มิติออกมา โดยการดาวน์โหลดโปรแกรม เพื่อให้รู้ว่าถ้าตั้งเฟอร์นิเจอร์ตัวนี้ ตรงตำแหน่งนี้ จะเหลือพื้นที่อีกมากเท่าไร เพราะการร่างแปลนห้องในแบบ 3 มิตินี้ จะทำให้เห็นภาพห้องกว้าง ๆ ได้ชัดขึ้น ไม่ว่าจะทำผิดพลาด หรืออยากเปลี่ยนตำแหน่งกี่ครั้ง ก็ไม่ต้องเหนื่อยย้ายเฟอร์นิเจอร์ให้ยุ่งยากด้วย  ควรซ่อน หรือโชว์อะไรบ้าง  ก่อนที่จะย้ายเข้าสู่คอนโดพื้นที่เล็กนี้ ต้องถามตัวเองก่อนว่า ของใช้อะไรบ้างที่จำเป็น ถ้าอันไหนที่ใช้ทุกวันก็หยิบมาวางไว้ให้มองเห็นได้ง่าย ส่วนของที่ไม่ได้ใช้แล้ว ให้เก็บทิ้งไปบ้างอย่าเสียดายขยะเหล่านั้น และของที่ไม่ค่อยได้ใช้ให้เก็บไว้ในกล่องรวมกัน แล้วนำไปวางให้พ้นสายตา อีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือ บรรดาสายไฟและสายเคเบิลต่าง ๆ นั้น เป็นตัวการที่ทำให้ห้องดูรกรุงรัง และดูแคบลงมากเลยทีเดียว ทางที่ดีควรหาวิธีเก็บสายไฟและสายเคเบิลเหล่านั้นให้พ้นสายตาไปจะดีกว่า รับรองว่าจะเหลือพื้นที่ใช้สอยอีกเป็นกอง  เลือกสีที่ใช่ให้ห้องสวยขึ้น  ลองสังเกตดี ๆ ว่าคอนโดของคุณนั้นเป็นเน้นการใช้โทนสีอะไรเป็นหลัก แล้วจึงค่อยเลือกเฟอร์นิเจอร์เข้ามาตกแต่งในโทนสีเดียวกัน หรือแบบที่ไปด้วยกันได้อย่างลงตัว แต่ก่อนที่จะซื้อเฟอร์นิเจอร์สีต่าง ๆ มาตกแต่งในห้องนั้น อย่าลืมถามผู้ที่อาศัยร่วมห้อง ว่าพวกเขามีความคิดเห็นอย่างไรกับเฟอร์นิเจอร์สีเหล่านั้นด้วยนะ  เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แบบมัลติฟังก์ชั่น  ด้วยความที่คอนโดมีพื้นที่เล็ก จึงมีข้อจำกัดบางประการในการเลือกเฟอร์นิเจอร์เข้ามาวางในคอนโด ถ้าหากเลือกเฟอร์นิเจอร์แบบมัลติฟังก์ชั่นได้ จะถือว่าคุณได้ใช้พื้นที่ทุกตารางเมตรในห้องได้คุ้มค่ามาก ๆ ถ้าเพดานในคอนโดสูงพอ ลองเลือกใช้เตียง 2 ชั้น หรือถ้าเพดานสูงไม่มากนัก ก็ลองเลือกโซฟาที่เป็นเตียงได้ด้วย เวลาไม่ได้ใช้นอนแล้วก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นโซฟานั่งดูทีวีได้สบายเลย ทั้งยังไม่ต้องเปลืองเงิน เปลืองพื้นที่ซื้อทั้งเตียง ซื้อทั้งโซฟาอีกด้วย  เฟอร์นิเจอร์เคลื่อนย้ายง่ายกว่าเยอะ  เพราะพื้นที่เล็ก ทำให้ต้องพิถีพิถันในการเลือกเฟอร์นิเจอร์กันหน่อย คุณควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีล้อเลื่อน หรือพับเก็บได้ งอไปซ้ายไปขวาได้ตามใจ จะดีกว่าเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินหรือเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่น้ำหนักมาก เพราะเฟอร์นิเจอร์แบบนี้ เวลาจะเคลื่อนย้ายในห้องเล็กขนาดนี้แต่ละที ก็เป็นเรื่องที่ลำบากอยู่ไม่น้อย ฉะนั้นลองเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เคลื่อนย้ายง่ายมาไว้ในห้องดีกว่าครับ  เปลี่ยนบรรยากาศยามนั่งทำงาน  ถ้าคุณเป็นนักเรียน หรือมีธุรกิจทำงานที่บ้าน คงอาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการนั่งทำงานในห้องเล็ก ๆ แบบนี้ ฉะนั้นควรจัดมุมทำงานไว้สัก 3 มุม ในที่ที่คุณสามารถเปลี่ยนอิริยาบถได้ ที่สำคัญลองเปลี่ยนสีของดวงไฟให้ต่างกันในแต่ละมุมดู คราวนี้ล่ะไม่ว่าจะทำงานนานเท่าไร ก็เป็นเรื่องสบาย ๆ อยู่แล้ว  หลีกเลี่ยงการติดไฟกลางห้อง  การติดไฟกลางห้องถือว่าเป็นวิธีที่ดีและง่ายในการเดินสายไฟ แต่ทว่ากลับไม่ทั่วถึงไปทุกมุม ฉะนั้นควรเปลี่ยนมาติดไฟให้กระจายออกไปในทุกมุมของห้องดีกว่า จะทำให้ห้องดูหรูหรา และน่าสนใจมากกว่าติดไฟสว่างจ้าไว้ดวงเดียวกลางห้องเสียอีก แบบนั้นดูเหมือนมีพระอาทิตย์อยู่กลางห้องมากกว่านะ  รับแขกด้วยที่นอนปิคนิค  หากมีเพื่อนอยากมานอนค้างที่ห้อง บอกได้เลยว่าไม่เป็นปัญหา เพราะถ้าคุณเริ่มลงมือจัดระเบียบห้องตั้งแต่แรก รับรองว่าต้องเหลือที่อีกเยอะไว้เผื่อให้เพื่อนมานอนค้างแน่นอน ลองซื้อที่นอนปิกนิค เตียงเป่าลม หรือจะใช้เก้าอี้นวมเอนหลังที่ปรับระดับได้มาไว้เพื่อรองรับแขกในวันที่จำเป็น เมื่อเพื่อนกลับบ้านไปแล้ว ก็เก็บของเหล่านั้นไว้ในกล่องของที่ไม่ค่อยได้ใช้ เพียงเท่านี้บ้านก็จะกลับมามีระเบียบเหมือนเดิม  จัดมุมต่าง ๆ ให้เหมือนบ้านอันอบอุ่น  เมื่อเข้ามาอยู่ในคอนโดแล้ว ก็เปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่งของคุณ ที่อาจจะมีพื้นที่เล็กกว่าบ้านไปหน่อย แต่ก็ทำให้อบอุ่นได้ไม่แพ้กัน ฉะนั้นควรใส่ใจในการตกแต่ง และยอมเสียเวลาสักหน่อยเพื่อให้คอนโดออกมาสวย มีพื้นที่ใช้เยอะ ๆ ดีกว่าต้องมารู้สึกอึดอัดเวลาที่ได้อยู่ในคอนโดของคุณนะครับ  ถ้าหากวางแผนในการจัดห้องมาอย่างดีตัั้งแต่แรก จะช่วยทำให้ไม่ต้องจัดห้องบ่อย ๆ หรือแทบจะไม่ต้องจัดเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าห้องจะเล็กขนาดไหน ก็มั่นใจได้เลยว่าจะไม่อึดอัดอย่างที่คิด ฉะนั้นยอมเหนื่อยตั้งแต่ตอนแรกดีกว่ามานั่งแก้ไขปัญหาไม่จบในภายหลังนะครับ
4 สัญญาณอันตราย เสี่ยงกู้ไม่ผ่าน

4 สัญญาณอันตราย เสี่ยงกู้ไม่ผ่าน

ใครที่กำลังจะก่อหนี้เพิ่มตอนนี้ต้องคิดให้ดีๆ โดยมี 4 สัญญาณอันตรายซึ่งอาจจะมีผลต่อการขอสินเชื่อหรือทำให้กู้ไม่ผ่านดังนี้ 1.ก่อหนี้ได้ไม่เกิน 40% ของรายได้ ปัจจุบันคนไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 25,405 บาท มีรายจ่ายเฉลี่ย 19,259 บาท หรือมีสัดสวนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ 75.8% มีหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือน 159,492 บาท ขณะที่หนี้สินต่อรายได้มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยกว่า 10,000 บาท ต่อเดือนที่มีอยู่ประมาณ 1.6 ล้านครัวเรือน แต่มีภาระหนี้สินที่ต้องจ่ายถึง 61% (ณ ปี 2556) ส่วนกลุ่มรายได้ 10,000-30,000 บาทต่อเดือนซึ่งถือเป็นกลุ่มใหญ่สุด 3.7 ล้านครัวเรือน มีภาระหนี้สินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจากประมาณ 1 ใน 4 (24% ณ ปี 2552) มาเป็น 1 ใน 3 (34% ณ ปี 2556) ของรายได้ สำหรับเกณฑ์ที่ยอมรับได้คือ 40% หากตัวเลขยังเพิ่มขึ้นโอกาสที่จะขยายสินเชื่อของครัวเรือนก็อาจจะน้อยลงไป 2.เป็นหนี้รถยนต์คนแรก+หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล ทั้งสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อส่วนบุคคล (กู้เป็นก้อน ผ่อนเป็นงวด) ทางสถาบันการเงินได้ให้ความสำคัญในการติดตามค่อนข้างมาก เนื่องจากสัญญาณการเริ่มผิดนัดชำระหนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก แม้ว่าการค้างจะยังไม่เกิน 90 วัน (ถ้าเกินจะกลายเป็นบัญชีลูกหนี้ที่เป็น NPL) ตัวเลขหนี้เสียจากสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อส่วนบุคคลเริ่มมีสัญญาณการค้างชำระ 31-90 วันเพิ่มขึ้นถึง 38% โดยตัวเลขบัญชีสินเชื่อที่ยังมีการเคลื่อนไหว ณ ไตรมาสแรกของปี 2557 มีจำนวน 47.4 ล้านบัญชี จากทั้งหมด 71.5 ล้านบัญชี ดังนั้นคนที่มีหนี้รถยนต์คันแรกกับหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลอยู่แล้ว หากจะขอกู้เพิ่มเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยจึงมีโอกาสกู้ไม่ผ่าน เพราะความสามารถในการชำระหนี้ลดลง 3.เคยมีประวัติค้างชำระหนี้ จำนวนสมาชิกของเครดิตบูโรที่เป็นสถาบันการเงินทั้ง 79 รายในปัจจุบัน มีการเรียกดูข้อมูลลูกค้าเก่าเพิ่มขึ้นจาก 6.5 ล้านครั้งต่อปี (ในปี 2555) เพิ่มเป็น 16 ล้านครั้งต่อปีในปี 2556 และข้อมูล 4 เดือนแรกของปีนี้มีการเรียกดูข้อมูลไปแล้วถึง 11 ล้านครั้ง ซึ่งระบบสถาบันการเงินมีความเข้มงวดมากขึ้นในกระบวนการวิเคราะห์สินเชื่อ โดยบางแห่งได้กำหนดเป็นนโยบายให้ตรวจดูทุกบัญชีและดูทุกเดือนเพื่อประเมินความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด และการเช็คเครดิตบูโรก็เพื่อดูข้อมูลของลูกค้าในด้านสินเชื่อที่มีอยู่กับสถาบันการเงินอื่นๆ เช่น จำนวนหนี้คงค้าง การชำระหนี้ ประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมาในอดีต การที่สถาบันการเงินที่กำลังพิจารณาสินเชื่อได้เห็นพฤติกรรม เห็นการผ่อนชำระหนี้ว่ามีการจ่ายครบ  จ่ายตรง หรือมีการผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ การรู้จักตัวตนของลูกค้าที่มีขอสินเชื่อ ก็จะทำให้การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อมีความแม่นยำมากขึ้น และสุดท้ายคือป้องกันการเกิด NPL ได้ ขณะที่การมีประวัติค้างชำระคือชำระแบบเลี้ยงงวดหรือชำระแบบงวดเว้นงวด  ย่อมส่งผลให้ประวัติของเจ้าของบัญชีนั้นๆ เกิดสิ่งที่เรียกว่า “การมีประวัติการค้างชำระ” ซึ่งจะส่งผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ เนื่องจากสถาบันการเงินอาจไม่แน่ใจ หรืออาจจะรอดูอีกระยะหนึ่ง (เรียกว่าระยะดูใจ) เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่เรื่องที่เกิดจากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ยื่นกู้ แต่อาจเป็นเหตุที่เกิดขึ้นได้ โดยระยะดูใจนี้จะนานหรือไม่นานก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันการเงิน 4.มีบัญชีหนี้เกินกว่า 5 บัญชีขึ้นไป โดยปกติแล้วแต่ละคนไม่ควรมีบัญชีหนี้สินกิน 5 บัญชี หากเกินกว่านี้อาจมีผลต่อการจะก่อหนี้เพิ่มในอนาคตได้ ทั้งนี้และทั้งนั้นการตรวจสุขภาพทางการเงินของตัวเอง ทั้งในเรื่องของการก่อหนี้และการชำระหนี้ของผู้ที่กำลังวางแผนจะขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เรียกว่าเป็นการรู้จักตัวเองก่อนไปขอกู้ เพราะถึงอย่างไรสถาบันการเงินก็จะตรวจสอบดูประวัติการก่อหนี้และการชำระหนี้ของผู้กู้อยู่แล้ว ที่สำคัญประวัติการการชำระหนี้ที่ดีนั้นไม่มีขาย ถ้าอยากได้คุณต้องลงมือทำเอง   ที่มา : www.home.co.th
3 สัญญาซื้อขายคอนโด-บ้าน ก่อนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์

3 สัญญาซื้อขายคอนโด-บ้าน ก่อนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์

ซื้อคอนโดไม่ใช่เรื่องเล็ก ต้องเช็คสัญญาให้ดี รู้หรือไม่ การซื้อบ้านหนึ่งหลัง ผู้ซื้ออาจต้องทำสัญญาถึง 3 สัญญาด้วยกัน จึงจะได้กรรมสิทธิ์ในตัวบ้านโอนมาเป็นของคนซื้อ อาจจะฟังดูเหมือนการซื้อบ้านหลังหนึ่งมีความซับซ้อน แต่จริงๆ แล้ว หากเข้าใจความหมายและหน้าที่ของสัญญาทั้ง 3 แล้ว จะพบว่าไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิดไว้เลย ซึ่งสัญญาทั้ง 3 ที่ผู้ซื้อสามารถพบเจอได้นั้น ประกอบไปด้วย สัญญาจอง ซื้อเป็นสัญญาแรกที่เกิดขึ้น แต่อาจไม่ได้เกิดกับผู้ซื้อทุกคน สัญญาประเภทนี้คือ เมื่อผู้ซื้อตกลงใจที่จะซื้อบ้านก็ต้องวางเงินจองเอาไว้ก่อน ซึ่งสัญญาจองซื้อนี้ระบุเงื่อนไขให้ผู้ซื้อต้องผ่อนเงินดาวน์ไปเรื่อยๆ ตามรายการแนบท้ายสัญญา แต่สัญญาจองซื้อนี้จะมีข้อเสียเปรียบตรงที่ หากผู้ขายได้รับใบอนุญาตให้ปลูกสร้างจากหน่วยงานราชการแล้ว ผู้ซื้อต้องเข้ามาทำสัญญาจะซื้อจะขายอีกครั้ง และมักมีเงื่อนไขระบุว่า หากไม่มาทำสัญญาจะซื้อจะขาย จะถือเป็นการยกเลิกสัญญาและจะริบเงินมัดจำทั้งหมด แต่หากครบกำหนดผ่อนชำระแล้ว ผู้ขายไม่สามารถขออนุญาตก่อสร้างได้ก็จะคืนเงินให้แต่ไม่มีดอกเบี้ย สัญญาจะซื้อจะขาย เป็นสัญญาที่กฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะต้องทำ แต่ในชีวิตจริงเรื่องบ้านถือเป็นเรื่องใหญ่ รวมถึงอาจมีการขอสินเชื่อ ดังนั้นเพื่อความมั่นใจของทั้ง 2 ฝ่าย จึงเกิด “สัญญาจะซื้อจะขาย” ขึ้น โดยสัญญาจะซื้อจะขายนี้ แตกต่างจากสัญญาจองซื้อตรงที่ผู้ซื้อมีหน้าที่จ่ายเงินตามสัญญา เมื่อครบกำหนดผู้ขายมีหน้าที่โอนกรรมสิทธิ์บ้านโดยทำสัญญาซื้อขาย หากผู้ซื้อผิดสัญญา ผู้ขายสามารถยกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำหรือเงินดาวน์ที่ผ่อนมาได้ตามกฎหมาย หากผู้ขายผิดสัญญา ผู้ซื้อสามารถฟ้องให้โอนกรรมสิทธิ์ได้ หรือยกเลิกสัญญาและให้คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่โครงการผิดนัด สัญญาซื้อขาย เป็นสัญญาที่กฎหมายบังคับให้ทำ โดยมีชื่อเป็นทางการว่า “หนังสือสัญญาขายที่ดิน” โดยวันที่เซ็นสัญญาเป็นวันที่กรรมสิทธิ์ในตัวบ้านจะโอนมาเป็นของคนซื้อ ดังนั้น ผู้ขายต้องแจ้งผู้ซื้อล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วันก่อนวันทำสัญญาซื้อขาย สำหรับผู้ซื้อในวันทำสัญญาซื้อขายจะเป็นวันที่พร้อมชำระเงินหรือได้รับสินเชื่อจากธนาคารพร้อมที่จะจ่ายเงินให้กับผู้ขาย และเป็นวันที่ผู้ซื้อต้องเซ็นสัญญาซื้อขายที่สำนักงานที่ดิน จดทะเบียนการโอน และจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด   ดังนั้น ในการซื้อบ้านหนึ่งหลัง อาจต้องทำสัญญากันถึง 3 ครั้ง แต่สัญญาครั้งสุดท้าย ถือเป็นสัญญาที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ สัญญาซื้อขาย ที่จะทำให้เรามีกรรมสิทธิ์ในตัวบ้านนั่นเอง เกี่ยวกับสัญญาซื้อขายคอนโดเพิ่มเติม ศึกษากฎหมายเกี่ยวกับอสังหาฯ ที่ควรรู้ และหนังสือสัญญาซื้อขายบ้าน-คอนโด ก่อนทำการลงทุน เกี่ยวกับการซื้อ-ขาย คอนโดฯ เคล็ด (ไม่) ลับ เลือกธนาคารกู้ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง? ทางเลือกซื้อคอนโด สำหรับคนงบน้อย  
แต่งห้องนั่งเล่น หลากสไตล์ไอเดีย

แต่งห้องนั่งเล่น หลากสไตล์ไอเดีย

หลากสไตล์ไอเดียแต่งห้องนั่งเล่น ห้องนั่งเล่นเป็นส่วนสำคัญของบ้านที่เกิดกิจกรรมขึ้นหลากหลาย การตกแต่งห้องนั่งเล่นให้สวยงามน่าอยู่นอกจากจะตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยแล้ว ยังเป็นการแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของเจ้าของบ้านได้อีกด้วย - Light Background ใช้สี Neutral ได้แก่ สีโทนขาว ครีม ไปจนถึงเทาอ่อน เป็นสีหลักบนผนัง เพราะนำไปใช้ร่วมกับสีอื่นๆ ได้ง่าย และ สไตล์ eclectic นี้มีของตกแต่งหลากหลายอยู่แล้ว การใช้ผนังสีอ่อนจะช่วยทำให้ห้องไม่ดูแน่น และอึดอัดเกินไป - Expect the Unexpected วางของตกแต่งที่ดูแปลกที่แปลกถิ่นในห้อง ทำให้ที่นี่ดูน่าตื่นเต้นเสมอ และถ้าคุณสะสมงานศิลปะ หรือทำงาน DIY ล่ะก็ อย่าพลาดโอกาสโชว์ผลงานชิ้นโปรดที่จะกลายเป็นเอกลักษณ์ของห้องอีกด้วย - Clutter-less ลดฉากกั้น หรือผนังในห้อง เพื่อโชว์ความแตกต่างของ เฟอร์นิเจอร์ texture รูปทรง สีสัน ลวดลาย และแพทเทิร์น ที่เรานำมาผสมผสานเข้าด้วยกัน - Make a decision หากคุณมีสไตล์ที่ชอบหลากหลายจนไม่รู้จะใช้แบบไหน นั่นไม่เป็นปัญหากับการตกแต่งแบบ eclectic เพียงคุณเลือกออกมา 3 - 4 สไตล์ แล้วยึดไว้เป็นหลักตลอดการตกแต่ง - Old, New and Unique เอกลักษณ์สำคัญของสไตล์ eclectic ก็คือการผสมผสานของเก่าเข้ากับของร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้มรดกตกทอดจากคุณตาคุณยาย ผลงาน DIY ไปจนถึงหมอนอิงลวดลายกราฟฟิกแบบอินเดียก็สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้แบบไม่รู้สึกขัดแย้ง   ที่มา : www.home.co.th
เลือกคอนโดเสริมร่ำรวย

เลือกคอนโดเสริมร่ำรวย

 เลือกคอนโดฯ เสริมร่ำรวย คอนโดมิเนียมเป็นทางออกที่ดีมากสำหรับการอยู่อาศัยในเมือง เพราะสะดวกสบาย ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกและการเดินทางไปทำงาน แต่เราจะเลือกคอนโดฯ ให้ส่งเสริมโชคลาภ และจัดฮวงจุ้ยอย่างไร เพื่อแก้ไขสิ่งร้ายให้กลายเป็นโชค (มากขึ้น) ลองพิจารณาคำแนะนำเหล่านี้ครับ     1.ทางเข้าออก ภาพของรวมโครงการ :   คอนโดฯ ที่ดีควรมีทางเข้าออกกว้างและสะดวก มีสวนหรือพื้นที่สีเขียวส่วนกลางมากๆ และเห็นกระแสพลังไหลเข้า เช่น เห็นสายน้ำไหลมาหา ถนนสายใหญ่มีรถวิ่งมาหาจำนวนมาก เพราะบริเวณดังกล่าวนี้ก็จะเป็นจุดสะสมกระแสพลังให้ภาพรวมของโครงการที่เราอาศัยอยู่นั้นเกิดความเจริญรุ่งเรืองและมีมูลค่าในระยะยาว สำหรับการอยู่อาศัยในเชิงพาณิชย์หรือเก็งกำไรก็ควรเลือกทิศที่ระเบียงอยู่ในแนวทิศเหนือ-ใต้เป็นหลัก เพราะสามารถรับลมได้ดี สามารถหาคนเช่าอาศัยต่อได้ง่าย   2.กระแสพลัง :   พลังงานต้องมีทิศทางวิ่งเข้าหาห้องพักของเราได้ จุดเด่นของคอนโดฯ คือ ระเบียง เราถือว่าภายนอกอาคารนั้นระเบียงเป็นทิศจ่ายกระแสพลังงาน ลมต้องไหลเวียนเข้าจากระเบียงได้ดี การอยู่ชั้นสูงๆ จะได้เปรียบเรื่องทางลม ลมเข้ามากก็มีโอกาสรวยมาก ยิ่งอยู่ในชั้นที่เปิดประตูระเบียงแล้วไม่มีสิ่งปลูกสร้างบังเลย ก็จะทำให้โอกาสทางการเงินมากกว่าห้องอื่นๆ ระเบียง คือ ตำแหน่ง “เหม่งตึ๊ง” หรือเปรียบดัง “สถานที่สะสมความมั่งคั่ง” ให้กับคอนโดฯจึงควรมีสภาพโล่งกว้างที่สุด ไม่วางโต๊ะเก้าอี้เกะกะ หรือมีต้นไม้ปลูกบังขวางทางเดินและทิศทางลม สำหรับระเบียงที่อยู่สูงจากสระว่ายน้ำส่วนกลางไม่มากนักสัก 1-2 ชั้น ถือเป็นตำแหน่งดีด้วยเช่นกัน เพราะที่สระว่ายน้ำนั้นน้ำจะมีสภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นการกระตุ้นพลังอยู่ตลอดเวลา ถือว่าเป็นการเสริมโชคที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้การวางโซฟาบริเวณโถงที่ติดกับระเบียงไม่ควรเลือกโซฟาชนิดหนา บังระเบียงจนทึบ ส่วนแหล่งจ่ายกระแสพลังภายในอาคารให้พิจารณาห้องพักตำแหน่งใกล้กับลิฟต์ ถือเป็นห้องที่รับกระแสพลังที่ดี หากบริเวณทางเข้าประตูห้องของเราไกลจากลิฟต์หรือมืด แนะนำให้ติดไฟให้สว่างบริเวณปากทางเข้าห้อง หากทำได้ให้ติดทั้งนอกและในห้องเลย ก็จะช่วยให้สภาพประตูมีความเป็นหยาง หรือพลังคึกคัก โชคลาภก็จะวิ่งเข้าประตูได้ดีขึ้น   3.การเลือกทิศหันหัวนอน :   หลักของการวางตำแหน่งหัวนอนในคอนโดฯ นั้น ใช้หลักของชัยภูมิที่ดี คือ ควรมองเห็นประตู เห็นคนที่จะเดินเข้าห้องและเห็นทิวทัศน์ที่หน้าต่างด้วย ถ้าจะให้ดีจริงๆ ก็คือ ก่อนไปเลือกซื้อควรปรึกษาซินแสว่าทิศไหนเป็นทิศหัวนอนที่ดีต่อเราจริงๆ จะได้เลือกตอนซื้อไปเลยเพราะคอนโดฯ บางแห่งเขาได้บังคับตำแหน่งหัวนอนตามรูปห้องไว้แล้ว ทำให้เราหาทิศเข้ากับดวงนั้นทำได้ยาก การหันทิศหัวนอนทางทิศตะวันตกไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้ายอย่างที่หลายๆ ท่านเข้าใจ เพราะทิศตะวันตกเป็นทิศธาตุทอง ซึ่งเพิ่มพลังแห่งการตัดสินใจที่เฉียบขาดให้ท่านและช่วยให้การควบคุมลูกน้องในปกครองเป็นไปได้ดี แต่สำหรับบางท่านที่ประสงค์จะทำการปล่อยให้เช่าหรือขายต่อ ท่านก็ต้องพิจารณาเลี่ยงการซื้อห้องซึ่งมีทิศหัวนอนทางทิศนี้ เนื่องจากผู้เช่าอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้องอยู่ การปล่อยห้องให้เช่าหรือขายต่อก็อาจจะยากกว่าปกติ   4.ของใช้เพื่อการอยู่อาศัย :   ควรมีเท่าที่จำเป็น เพราะข้าวของที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้พื้นที่ใช้สอยและการไหลเวียนของพลังงานในห้องพักลดน้อยลง หากจำเป็นต้องมีหรือเก็บไว้ควรหาตู้เก็บเป็นสัดส่วน ไม่วางระเกะระกะจนรกไม่น่าอยู่ แนวทางในการจัดฮวงจุ้ยเพื่อให้มีพลังที่ดีแบบเฉพาะเจาะจงก็ยังสามารถใช้แนวทางของดวงชะตาและดาวเหินได้อีกด้วย   สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามได้ที่ www.100fs.com  
วิธีขจัดคราบเขม่า ควันไฟ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

วิธีขจัดคราบเขม่า ควันไฟ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

วิธีขจัดคราบเขม่าควันไฟที่ติดเสื้อผ้า พรม ม่าน หรือวัสดุอื่น ๆ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด แค่รู้เคล็ดลับกำจัดคราบเขม่าควันไฟให้หมดจดเหล่านี้ก็เอาอยู่ ปัญหาคราบเขม่าควันไฟไม่ได้แค่เปื้อนดำพื้นผิววัสดุเท่านั้น แต่กลิ่นเขม่าควันจาง ๆ ก็ยังติดอยู่บนเสื้อผ้าและวัสดุต่าง ๆ อย่างฝังแน่น ทำเอาแม่บ้านหลายคนกุมขมับกับการขจัดทั้งคราบและกลิ่นเขม่าควันไฟที่ติดบนเสื้อผ้า โซฟา ผ้าม่านกันเป็นแถว แต่ปัญหาคราบเขม่าควันเปื้อนดำก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนะคะ เพราะเพียงแค่เจอวิธีขจัดคราบเขม่าควันไฟเหล่านี้ของเราเท่านั้น รับรองเลยว่าทั้งคราบและรอยเปื้อนดำของเขม่าควันไฟที่ติดฝังแน่นอยู่บนวัสดุไหนก็ตาม จะต้องยอมแพ้และจางหายไปในที่สุด 1.ผ้าที่ไม่สามารถซักล้างได้ ก็ขจัดคราบเขม่าได้ สำหรับผ้าที่ไม่สามารถซักล้างได้ เช่น ผ้าขนสัตว์, กำมะหยี่, ผ้าอะซิเตท, ผ้าไหม, ไฟเบอร์กลาส, ผ้าเรยอน, พรมขนสัตว์ และพรมเส้นใยสังเคราะห์ ให้เริ่มกำจัดคราบเขม่าควันติดฝังแน่นด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดให้ทั่วรอยเปื้อน จากนั้นโรยผงซักฟอกลงไปบาง ๆ ให้ทั่วบริเวณ ตามด้วยใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดคลุมทับไว้ หมั่นคอยเปิดผ้าคลุมดูทุก ๆ 5 นาที หากผ้าคลุมเริ่มซับคราบเปื้อนออกมาได้มากแล้วให้เปลี่ยนผ้าคลุมผืนใหม่โดยด่วน แต่สำหรับคราบเขม่าควันที่ดื้อด้าน ฝังแน่นไม่ยอมไปไหน แนะนำให้หยดแอมโมเนียลงไปสลายคราบดำประมาณ 2-3 หยด (ยกเว้นกับผ้าไหมและผ้าขนสัตว์) แล้วใช้ผ้าชุบน้ำคลุมทับจนกว่าคราบเปื้อนจะจางหายไป ขั้นตอนสุดท้ายให้เช็ดด้วยผ้าชุบน้ำสะอาดอีกครั้ง 2.ผ้าที่สามารถซักล้างได้ ขจัดคราบเขม่าได้ง่ายกว่า ถ้าคราบเขม่าควันเปื้อนผ้าที่สามารถซักล้างได้ เช่น ผ้าอะคริลิค, ผ้าฝ้าย, ผ้าลินิน, ไนลอน และโพลีเอสเตอร์ สามารถกำจัดได้ง่าย ๆ แค่ใช้น้ำล้างทันทีที่เกิดคราบ แต่หากคราบเปื้อนฝังแน่นอยู่นานแล้ว ให้คุณโรยผงซักฟอกหรือน้ำยากำจัดคราบลงไป จากนั้นทับด้วยผ้าชุบน้ำสักพัก สำหรับคราบเปื้อนฝังแน่นมาก อาจเพิ่มแอมโมเนียลงไปผสมกับน้ำยากำจัดคราบสัก 2-3 หยดก็ได้ ทิ้งไว้สักพักเพื่อให้น้ำยาสลายคราบเขม่าควัน ก่อนจะนำผ้าไปซักและตากแห้งตามปกติ 3.ขจัดคราบเขม่าที่ติดผิววัสดุเนื้อแข็ง นอกจากเนื้อผ้าแล้ว คราบเขม่าก็อาจไประรานวัสดุเนื้อแข็งอย่างพลาสติก, เซรามิก, แก้ว, กระเบื้อง, ยูรีเทน, พอร์ซเลน, สเตนเลส และผ้าไวนิลได้เหมือนกัน ซึ่งวิธีกำจัดคราบเขม่าควันออกจากวัสดุเนื้อแข็งก็ทำได้ง่ายเว่อร์ เพียงแค่ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเกือบร้อนมาเช็ดทำความสะอาดคราบเปื้อนจากเขม่าควันไฟ จากนั้นเช็ดด้วยผ้าแห้งอีกสักครั้งก็เรียบร้อยจ้า 4.วัสดุก่อสร้าง ขจัดคราบเขม่าได้ง่าย สำหรับคราบเขม่าควันบนวัสดุก่อสร้างอย่างอิฐ, หิน, ดินเผา, ปูน และกระเบื้อง ให้คุณผสมน้ำยาขจัดคราบชนิดใดก็ได้ในปริมาณ ½ ถ้วยตวงต่อน้ำสะอาด 1 แกลลอน จากนั้นนำมาล้างคราบเขม่าควันโดยจะใช้ฟองน้ำหรือแปรงขัดเป็นอุปกรณ์เสริมก็แล้วแต่สะดวก เสร็จแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดเพื่อเก็บงานอีกครั้งเป็นอันเรียบร้อย 5.ขจัดคราบเขม่าบนหนังและหนังกลับเนื้อนิ่ม ผสมสบู่สูตรอ่อนโยนกับน้ำอุ่นจัด ตีจนเกิดฟองสบู่หนานุ่ม แล้วจึงนำฟองสบู่ที่ได้มาป้ายลงบนรอยเปื้อน จากนั้นใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์หรือฟองน้ำเช็ดกำจัดคราบอย่างเบามือ ตามด้วยใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดล้างคราบสกปรกทุกอย่างออกให้หมดจด แล้วตากลมให้แห้งสนิท 6.ขจัดคราบเขม่าบนผิวไม้  ปกติแล้วไม้กับไฟเป็นของที่ใกล้กันไม่ได้ แต่หากไม้ของคุณถูกไฟไหม้จนเกิดรอยเขม่าควันไฟ ให้รีบใช้ผ้าชุบฟองสบู่มาเช็ดทำความสะอาดเนื้อไม้โดยด่วน จากนั้นจึงเช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำธรรมดาอีกครั้ง พร้อมทั้งเช็ดให้แห้งด้วยผ้านิ่มและขัดแว๊กซ์เคลือบเนื้อไม้ปิดท้าย นอกจากการขจัดคราบเขม่า ยังมีเทคนิคทำความสะอาดบ้านต่างๆ เทคนิคทำความสะอาดบ้านแบบง๊ายง่าย ห่างไกล “ภูมิแพ้” วิธีทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ไม้แบบง่ายๆ การดูแลทำความสะอาดพื้นลามิเนต ทำความสะอาดโซฟาผ้า ไม่ยากอย่างที่คิด  
การจัดห้องน้ำให้ถูกหลักฮวงจุ้ย

การจัดห้องน้ำให้ถูกหลักฮวงจุ้ย

การจะจัดห้องน้ำให้ถูกหลักฮวงจุ้ย มีหลักการดังนี้ครับ   1. อย่าวางตำแหน่งห้องน้ำไว้ใกล้ประตูบ้านมากเกินไป เพราะโดยทั่วไปซินแสจะจัดให้ประตูบ้านของท่านรับกับพลังงานที่ดีประจำยุค (ยุคปัจจุบันคือยุคที่ 8 ปี พศ.2547-2567 ในฮวงจุ้ยระบบดาวเหิน หรือ Xuan Kong Flying Star) ดังนั้นหากห้องน้ำมาอยู่ใกล้ประตูหน้าของบ้านมากเกินไป จะเป็นตัวดูดกระแสโชคเข้าไปที่ห้องน้ำและไหลออกไปทั้งหมด เป็นที่มาของการเสียหายทางด้านโชคลาภและความเจริญรุ่งเรือง   หากจำเป็นต้องวางตำแหน่งห้องน้ำไว้ใกล้ประตูหน้าบ้านจริงๆ ก็ขอให้อย่าหันหน้าชนกับประตูหน้าบ้านโดยตรงนะครับ เพราะสภาวะของกระแสไหลออกจะได้ไม่รุนแรง หรือ หากจำเป็นต้องวางห้องน้ำให้ใกล้ประตูหน้าจริงๆ และยังต้องหันหน้าชนประตู ก็จำเป็นต้องบังคับตัวเองให้ปิดประตูห้องน้ำทุกๆครั้งที่เราไม่ใช้งานครับและก็ควรจะใช้ประตูห้องน้ำที่เป็นลักษณะบานทึบเพื่อกันให้กระแสอากาศไหลเข้าไปในห้องน้ำได้น้อยที่สุดครับ ส่วนการวางตำแหน่งของห้องน้ำที่ดีที่สุดหากเลือกได้ จะพยายามวางให้มองไม่เห็นประตูห้องน้ำจากตำแหน่งของประตูเข้าบ้าน   2. วางตำแหน่งห้องน้ำไว้ให้อยู่ในส่วนที่มีพลังงานที่ไม่ดีสะสมอยู่ สำหรับซินแสที่มีความสามารถและประสบการณ์ มักจะเลือกวางตำแหน่งห้องน้ำให้ตรงกับจุดที่มีพลังงานที่ไม่ดีของฮวงจุ้ยในระบบดาวเหิน เนื่องจากรู้ว่าห้องน้ำมีสภาวะการไหลออกของกระแสอยู่ตลอดเวลา หากเราสามารถเลือกตำแหน่งห้องน้ำให้ตรงกับพลังงานที่ไม่ดี ก็จะนำพาพลังงานที่ไม่ดีดังกล่าวออกไปได้มากเป็นพิเศษด้วย เรียกว่าเป็นการใช้ห้องน้ำให้เป็นประโยชน์ได้ดีมากๆเลยครับ   3. ไม่ควรหันหัวสุขภัณฑ์หนัก อ่างล้างหน้า หรือ ฝักบัว ให้ชนกับหัวเตียง โดยไม่สนใจว่าจะเป็นห้องน้ำในห้องนอนเราหรือห้องน้ำของห้องคนอื่นๆในบ้านนะครับ เนื่องจากเมื่อมีการใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวจะเกิดเสียงและโดยเฉพาะสุขภัณฑ์หนักนั้นการใช้งานจะก่อให้เกิดประจุ “อิออนบวก” ซึ่งจะเข้ามารบกวนการทำงานของร่างกายเราได้ ดังนั้นหากเรานอนหันหัวเตียงเข้าหาอุปกรณ์ดังกล่าวก็ถือว่าเป็นข้อเสียต่อสุขภาพมากทีเดียวครับ หรือหากให้ดีไปกว่านั้นเราจะพิจารณาว่าเตียงที่หันหัวนอนชนผนังผืนเดียวกับอุปกรณ์ดังกล่าวก็ผิดหลักฮวงจุ้ยด้วยเช่นเดียวกันครับ   4. ห้องน้ำควรวางไว้ในตำแหน่งที่ใกล้กับผนังด้านนอกบ้านหรือมีแสงสว่างเพียงพอ เพราะห้องน้ำเป็นห้องที่มีความชื้นสูง เป็นที่สะสมของเชื้อโรค หากเราไม่วางห้องน้ำไว้ในตำแหน่งที่มีอากาศถ่ายเท ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีแสงแดดเข้า ก็จะยิ่งทำให้มีความชื้นสูงมากขึ้นไปอีก เป็นที่มีความสุขภาพที่ไม่ดีได้ครับ โดยสำหรับห้องน้ำที่ไม่มีส่วนเปียกหรือส่วนอาบน้ำ จะไม่พิจารณาว่าหลักการนี้มีความสำคัญมากนักครับ   5. ประตูห้องน้ำไม่ควรชนเตียงนอน พิจารณาหลักการข้อนี้สำหรับห้องนอนที่นอนมากกว่าหนึ่งคนครับ เพราะหากมีการเปิดปิดประตูห้องน้ำเมื่อใช้งานเมื่อไร ก็จะมีการรบกวนการนอนของผู้ที่นอนอยู่ได้ครับ จะเป็นที่มีของการรบกวนการนอน ทำให้สุขภาพไม่ดี  
6 วิธีประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อน

6 วิธีประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อน

วิธีประหยัดค่าไฟ วิธีประหยัดค่าไฟบ้าน ไม่ได้ทำยากอย่างที่คิดนะคะ เพราะแม้อากาศจะร้อนขึ้นทุกวัน ๆ แต่ถ้าเราอยากจะลดค่าไฟบ้านในช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ต้องรีบไปดูทริคประหยัดไฟด่วน ด้วยอุณภูมิของอากาศที่พุ่งสูงขึ้นแบบไม่ปรึกษาเทอร์โมมิเตอร์กันสักนิด เลยทำให้อุณหภูมิภายในบ้านของเราร้อนตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ และในเมื่อร้อนจนเหงื่อแตกพลั่ก จะไม่เปิดแอร์ หรือเร่งพัดลมให้เป็นเบอร์ที่แรงที่สุดก็คงทนไม่ไหวแน่ ๆ แต่ก็เพราะใช้ไฟเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมินี่ล่ะค่ะ ที่ทำให้ค่าไฟตอนสิ้นเดือนเพิ่มขึ้นจนต้องสะดุ้งเบา ๆ ถ้าอย่างนั้นเรามาประหยัดค่าไฟบ้านด้วยวิธีง่าย ๆ ตามนี้ดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาปาดเหงื่อซ้ำตอนได้รับบิลค่าไฟ   1. ปรับอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสเสมอ ถึงจะเป็นคำแนะนำที่ฟังกันมาจนชิน แต่หลายคนก็ยังเปิดแอร์ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสอยู่บ่อย ๆ เช่น 22 องศาเซลเซียส เป็นต้น ซึ่งเราก็เข้าใจว่าอากาศมันร้อนจริง ๆ แต่รู้ไหมคะว่า หากคุณคงอุณหภูมิแอร์ให้ไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสได้ล่ะก็ ค่าไฟของคุณจะลดลงไปอีกหลายบาทจนน่าแปลกใจเลยล่ะ ไม่เชื่อลองทำแบบนี้ดูสักเดือนสิ   2. เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า เลิกใช้ซะ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้มานาน มีสภาพเกือบทำงานไม่ไหวแล้ว เป็นตัวเพิ่มกำลังไฟชั้นดีให้บ้านเราอย่างคาดไม่ถึงเลยนะคะ ดังนั้นหากคุณมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อายุการใช้งานเกิน 3 ปีขึ้นไป ต้องหมั่นตรวจสอบสภาพการใช้งานของเหล่านี้กันหน่อย หรือถ้าเป็นไปได้ก็เลิกใช้ไปซะน่าจะประหยัดกว่า   3. ทำความสะอาดตู้เย็นให้หมดจด การทำความสะอาดตู้เย็นในที่นี้หมายถึง ให้คุณจัดการเคลียร์อาหารเก่าเก็บ เน่าเสียออกจากตู้เย็นเป็นประจำ รวมทั้งหมั่นกดละลายน้ำแข็ง และทำความสะอาดตู้เย็นไม่ให้มีคราบสกปรกด้วย เนื่องจากตู้เย็นที่เต็มไปด้วยของมากมาย แถมยังไม่ค่อยได้รับการดูแลเท่าที่ควร จะใช้พลังงานมากกว่าปกติอีกหลายเท่า เพิ่มค่าไฟให้สูงขึ้นอย่างไร้ประโยชน์ใด ๆ   4. ถอดปลั๊กทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน หลายคนอาจจะคิดว่า แค่กดปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงกริ๊กเดียว ก็เท่ากับตัดกระแสไฟฟ้าไม่ให้ไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าได้แล้ว แต่จริง ๆ ต้องบอกอย่างนี้ค่ะว่า หากคุณปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ไม่ได้ถอดปลั๊กไฟ กระแสไฟฟ้าก็ยังคงไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าตามปกติ เพื่อเป็นการสแตนด์บายให้คุณกดเปิดสวิตช์ใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกครั้งได้เลยทันที ฉะนั้นการถอดปลั๊กจึงเป็นวิธีตัดกระแสไฟฟ้าที่ชัวร์ที่สุด โดยเฉพาะเหล่าเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบเปิด-ปิด อัตโนมัติ เมื่อไม่ใช้งานก็ควรต้องถอดปลั๊กทุกครั้งด้วยนะคะ   5. มาใช้หลอดไฟ LED กันเถอะ ด้วยข้อดีที่ช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าหลอดไส้ธรรมดาถึง 80-90% และอายุการใช้งานที่คงทนมากว่า 11 ปี หรือราว ๆ 1 แสนชั่วโมง เลยทำให้หลอดไฟ LED กลายเป็นหลอดไฟที่บ้านสมัยใหม่เลือกใช้เป็นอันดับหนึ่ง และเมื่อได้รู้อย่างนี้แล้ว ก็หันมาใช้หลอดไฟ LED กันน่าจะประหยัดกว่า   6. ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ปริมาณการใช้ไฟน้อย ช่วงเวลาที่ปริมาณการใช้ไฟน้อยจะอยู่ราว ๆ 22.00-06.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนกำลังนอนหลับ และการเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ทำงานในเวลานี้ จะทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้ามีกำลังไฟสำหรับการนำไปใช้งานได้อย่างเต็มที่ การทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าก็จะเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้เวลาในการทำงานน้อยลง ประหยัดไฟบ้านได้อีกหลายบาทเชียวล่ะ ค่าไฟจะมากหรือจะน้อย ไม่ได้อยู่ที่ประสิทธิภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของเราเองด้วย ดังนั้นนอกจากทำตามคำแนะนำเหล่านี้แล้ว ก็อย่าลืมสอดส่องเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านด้วยนะคะ หากพบเจอว่าปลั๊กตรงไฟเสียบคาไว้ โดยไม่ได้ใช้งาน ก็ให้รีบถอดปลั๊กออกด่วน ๆ เลย เป็นต้น  
กำจัดขนสัตว์จากโซฟาผ้าแค่เรื่องจิ๊บๆ

กำจัดขนสัตว์จากโซฟาผ้าแค่เรื่องจิ๊บๆ

กำจัดขนสัตว์จากโซฟาผ้า แค่เรื่องจิ๊บ ๆ ขนสัตว์ติดโซฟาผ้า กำจัดยังไงดี หลายคนยังไม่รู้วิธีเด็ด ๆ วันนี้เราเลยมีเคล็ดลับกำจัดขนสัตว์จากโซฟาผ้ามาบอกต่อ ถ้าอยากรู้แล้วรีบไปทำความสะอาดขนสัตว์บนโซฟาผ้ากันเลย สำหรับคนรักสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นน้องหมา น้องแมว หรือสัตว์ชนิดอื่น ๆ ก็เชื่อได้เลยว่าต้องเจอปัญหาขนสัตว์ร่วงติดโซฟาแน่ ๆ โดยเฉพาะโซฟ้าผ้าที่กำจัดออกได้ยากเย็น แต่ถ้าคุณกำลังมองหวิธีจัดการกับขนสัตว์ที่ติดโซฟาผ้าอยู่ เราก็มีเคล็ดลับดี ๆ มาแนะนำให้นำทำความสะอาดขนสัตว์ที่ติดอยู่บนโซฟาผ้า และเฟอร์นิเจอร์บุนวมชนิดอื่น ๆ ด้วย 1. เคลียร์พื้นที่ ขั้นตอนแรกให้ใช้เครื่องดูดฝุ่นกำจัดขนสัตว์ออกไปให้ได้มากที่สุดก่อน หรือคุณจะอาศัยแปรงสำหรับหวีขนสัตว์ ที่ยังไม่ได้ใช้มาแปรงเบา ๆ เพื่อเก็บเส้นขนที่ติดอยู่ในโซฟาช่วยอีกแรงก็ได้ 2. ถุงมือยางจุ่มน้ำ เทคนิคพิเศษ เติมน้ำอุณภูมิห้องใส่กะละมังพอประมาณจากนั้นสวมถุงมือยางแล้วจุ่มมือที่สวมถุงมือยางลงในถังน้ำ เสร็จแล้วใช้มือไล่ถูไปตามโซฟา เก็บเศษเส้นขนที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งวิธีนี้อาจจะต้องทำซ้ำกันหลาย ๆ ครั้ง 3. ใช้ตัวช่วยกำจัดขน อุปกรณ์ช่วยกำจัดขนสัตว์ที่ติดอยู่บนเฟอร์นิเจอร์บุนวมทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นฟองน้ำกำจัดขนสัตว์ ลูกกลิ้งกำจัดขนสัตว์ หรือแปรงกำจัดขนสัตว์ที่มีขายอยู่ทั่วไปตามร้าน Pet Shop ต่าง ๆ ก็เป็นตัวช่วยที่น่าสนใจ เพราะแต่อุปกรณ์ก็มีสรรพคุณในการกำจัดขนสัตว์ที่แตกต่างกันไป อย่างฟองน้ำก็เหมาะกับพื้นที่ขนาดใหญ่ มีขนสัตว์ติดอยู่บางเบา ๆ ไม่ฝังแน่น ส่วนแปรงและลูกกลิ้ง ก็ใช้กำจัดขนสัตว์ที่ติดฝังแน่นพอประมาณไปจนถึงขั้นติดแน่นฝังลึก ซึ่งความต้องการใช้ของคุณเป็นแบบไหน ก็ลองไปซื้อมาใช้กันดู 4. ซื้อเบาะรองนั่งให้สัตว์เลี้ยง ถ้ามีเบาะนอนเป็นของตัวเอง น้องหมา น้องแมวของเราก็จะไม่ค่อยมายุ่งกับโซฟา หรือเฟอร์นิเจอร์ของมนุษย์สักเท่าไร เพราะมัวแต่ซุกตัวอุ่น ๆ อยู่บนที่นอนของตัวเอง แค่นี้โซฟาของเราก็จะมีโอกาสรอดจากขนสัตว์มากขึ้นแล้วล่ะ 5. เลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่เหมาะสม ไม่เพียงแต่เจ้าของสัตว์เลี้ยงจะต้องหมั่นดูดฝุ่นให้บ้านบ่อย ๆ เท่าที่จะทำได้เท่านั้น แต่ทั้งนี้คุณก็ต้องเลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่เหมาะสมด้วย เช่น หากคุณเลี้ยงสัตว์ไม่กี่ตัว มีปัญหาขนสัตว์ติดเฟอร์นิเจอร์ไม่มาก กรณีนี้สามารถใช้เครื่องดูดฝุ่นชนิดมือจับได้เลย แต่หากว่าเลี้ยงสัตว์ไว้หลายตัว และปวดหัวกับปัญหาขนสัตว์ติดโซฟาน่าดู แบบนี้ควรต้องเลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นขนาดใหญ่ ที่มีถังเก็บฝุ่นประมาณ 4.5 ลิตรขึ้นไปถึงจะเหมาะ เคล็ดลับกำจัดขนสัตว์ติดโซฟาก็เป็นเค่เรื่องจิ๊บ ๆ ที่ทำได้ง่าย แต่อย่างไรก็ดีหากว่าคุณไม่อยากเสียเวลากำจัดขนสัตว์อีกต่อไป ถ้าเป็นไปได้ให้แบ่งโซนสำหรับสัตว์เลี้ยงไปเลยดีกว่า แยกให้เป็นสัดส่วนแบบนี้ จะได้หมดปัญหาสัตว์ติดเฟอร์นิเจอร์อีกต่อไปจ้า