Tag : howto

432 ผลลัพธ์
8 เคล็ดลับ แต่งห้องนอนไม่ได้นอน เติมไฟรักให้ชีวิตคู่

8 เคล็ดลับ แต่งห้องนอนไม่ได้นอน เติมไฟรักให้ชีวิตคู่

เข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์เดือนแห่งความรักกันแล้ว สำหรับคู่รักทั่วไปคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการมอบของขวัญแทนใจเพื่อแสดงความรักให้กันและกันในวันวาเลนไทน์ ไม่ว่าจะเป็นการมอบช่อดอกไม้, ของขวัญ, Chocolate, ตุ๊กตา ไปจนถึงของใช้ส่วนตัว ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจและกำลังทรัพย์ส่วนตัวนะคะ แต่การแสดงความรักนั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินหรือของขวัญแทนใจเสมอไป เพราะเพียงแค่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันก็ทำให้ชีวิตคู่มีความสุขแล้ว ซึ่ง 'ห้องนอน' ก็ถือว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่ตอบโจทย์คู่รักได้มากที่สุดเลยทีเดียวค่ะ เพราะนอกจากจะใช้สำหรับพักผ่อนแล้ว ยังเป็นพื้นที่เติมเต็มความรักของใครหลายๆ คนอีกด้วย ดังนั้นเราจึงควรตกแต่งห้องนอนธรรมดาๆ ให้กลายเป็นสวรรค์ของรังรักเพื่อกระตุ้นบรรยากาศให้หอมหวานและโรแมนติก ด้วยเคล็บลับเหล่านี้..   1. เริ่มต้นที่เลือกเตียงนอนและฟูก คิดจะแต่งห้องนอนให้เป็นรังรักทั้งที การลงทุนเลือกซื้อเตียงและฟูกดีๆ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากเลยนะคะ โดยเตียงนอนนั้นควรเลือกวัสดุที่มีความแข็งแรง ทนทาน และรองรับน้ำหนักได้ดี สำหรับฟูกนั้นควรเลือกที่ความนุ่มสบาย ลงตัวกับสรีระ แนะนำให้ลองศึกษาหาข้อมูลสเปคของฟูกให้ตรงกับความต้องการของตนเองก่อน ว่าชอบความสบายประมาณไหน ตัวฝูกทำมาจากอะไร เช่น ทำมาจากโฟม, ยางพารา, สปริง หรือแบบธรรมชาติอื่นๆ ทั้งนี้ควรคำนึงถึงขนาดของเตียงนอนและฟูกที่ต้องกว้างพอสำหรับ 2 คนด้วยนะคะ เพราะพื้นที่ส่วนนี้มักเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของกิจกรรมบนเตียงนั่นเอง   2. เพิ่มความโรแมนติกด้วยแสงไฟ ข้อนี้หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าภายในห้องนอนควรมีแสงไฟส่องสว่างเพียงพอ แต่ไฟที่ช่วยสร้างบรรยากาศโรแมนติกเสมือนห้องพักในโรงแรมคือ แสง Warm White ในโทนสีแดงอมส้ม สาเหตุที่ควรใช้ไฟโทนสีอุ่นในห้องนอนนั้น เป็นเพราะไฟสีนี้มีความอ่อนโยนต่อสายตา สว่างน้อย ช่วยสร้างบรรยากาศสลัวๆ อันแสนโรแมนติกที่มีความนุ่มนวล ดูอบอุ่น ที่สำคัญคือช่วยให้ผู้หญิงดูเซ็กซี่ มีเสน่ห์ และน่าสัมผัสมากขึ้นอีกด้วยค่ะ   3.  ปลุกอารมณ์ด้วยโทนสี คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้โทนสีอ่อน และสีพาสเทลที่ผนังหรือวอลเปเปอร์ทำให้ห้องดูอ่อนหวาน ชวนฝัน และโรแมนติกได้เป็นอย่างดี แต่บางครั้งโทนสีเข้มๆ อย่างสีม่วงเข้มที่ดูมีเสน่ห์น่าค้นหา หรือสีแดงที่ดูเร่าร้อน ก็ช่วยปลุกอารมณ์ร้อนแรงได้ดีกว่านะคะ เพราะมีผลวิจัยออกมาแล้วว่าสีม่วงและสีแดงมีคุณสมบัติในการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้สูงกว่าสีอื่นๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของคู่รักแล้วค่ะ ว่าสีอะไรจะช่วยปลุกอารมณ์รักแก่คู่ของคุณได้มากกว่า หากชอบกันคนละสีก็อาจลองผสมสองสีเข้าด้วยกัน และจัดไฟสลัวๆ ด้วยแสง Warm White เพิ่มอีกนิด เท่านี้ก็ปลุกความพลุ่งพล่านสำหรับคืนพิเศษได้แล้วค่ะ   4. เครื่องนอนชวนสัมผัส นอกจากสัมผัสอันนุ่มนวลของกันและกันจะสามารถเติมอารมณ์รักได้ดีแล้ว การเลือกเครื่องนอนอย่างผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าห่ม ก็นับว่าควรใส่ใจทุกรายละเอียดนะคะ เพราะนอกจากสีสันและลวดลายที่สวยถูกใจแล้ว เนื้อผ้าของเครื่องนอนก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยปัจจุบันได้มีการนำผ้าหลากหลายแบบมาตัดเย็บเป็นเครื่องนอนมากมาย ซึ่งผ้าแต่ละชนิดก็จะให้สัมผัสนุ่มนวลที่แตกต่างกันออกไป แต่ที่เราอยากแนะนำให้ใช้เป็นพิเศษคือผ้าแพรและผ้าซาตินค่ะ เพราะเนื้อผ้าค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยมีความเซ็กซี่เล็กๆ เพราะเนื้อเรียบเนียน มันวาว นิ่ม และนุ่มลื่น เรียกได้ว่าถ้าผิวกายของคุณและคนรักได้สัมผัสกับเนื้อผ้าแล้วจะยิ่งเคลิบเคลิ้ม และช่วยกระตุ้นอารมณ์รักได้ดีทีเดียวค่ะ   5. เคลิบเคลิ้มด้วยกลิ่นหอม   แน่นอนว่ากลิ่นหอมช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย สบาย และเพลิดเพลิน ซึ่งเรื่องของ 'กลิ่น' ก็มีผลต่อกิจกรรมบนเตียงอย่างมาก เพราะนอกจากกลิ่นฟีโรโมนร่างกาย และกลิ่นน้ำหอมเฉพาะตัวที่ช่วยปลุกอารมณ์ให้ตื่นตัวแล้ว การทำให้ห้องนอนเต็มไปด้วยกลิ่นหอมเย้ายวนชวนหลงใหลก็เป็นสิ่งที่ทุกคนควรทำอย่างยิ่ง แนะนำให้ใช้เทียนหอม, น้ำมันหอมระเหย หรือน้ำหอมที่มาพร้อมก้านไม้หอม ในกลิ่นอโรมาที่คุณชื่นชอบมาวางไว้ในบริเวณห้องนอนหรือโต๊ะข้างเตียง รับรองว่าไอเท็มเหล่านี้จะช่วยสร้างบรรยากาศให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย สบายดุจสปาส่วนตัว ที่สำคัญยังช่วยเพิ่มความโรแมนติก เร้าอารมณ์ทางเพศให้คุณเคลิบเคลิ้มจนไม่อยากก้าวขาออกจากห้องนอนเลยล่ะ   6. เปิดเสียงเพลงคลอเคล้าพร้อมจังหวะรัก เพิ่มความมีชีวิตชีวาให้ค่ำคืนพิเศษของคุณและคนรัก ด้วยการเปิดเพลงจังหวะช้าๆ เพิ่มบรรยากาศโรแมนติกในห้องนอน เพราะจังหวะของเพลงนั้นมีผลต่อการเย้ายวน ปลุกอารมณ์ทางเพศของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงได้ดี และการใช้เสียงเพลงเบาสบาย หรือเสียงธรรมชาติ ก็ช่วยขับกล่อมให้นอนหลับได้ง่ายและสบายขึ้นด้วยนะคะ แต่หากใครกลัวว่าดนตรีเบาๆ จะทำให้เคลิ้มหลับไปเสียก่อน ก็อาจจะเปิดเพลงที่มีจังหวะสนุกๆ เพื่อปลุกเร้าอารมณ์ให้คึกคักในจังหวะรักของคุณได้เช่นกันนะ   7. กระตุ้นอารมณ์รักด้วยรูปภาพ หากคุณอยากเปลี่ยนบรรยากาศห้องนอนที่ชวนหลับใหล ให้กลายเป็นห้องนอนที่แสนโรแมนติกแถมยังกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ แนะนำให้ตกแต่งด้วยรูปภาพที่ช่วยเสริมอารมณ์รักด้วยรูปภาพแนวอีโรติก, รูปถ่ายกันและกัน, รูปถ่ายสมัยที่เพิ่งคบกัน, รูปตอนไปเที่ยวด้วยกัน หรือรูปคู่หวานชื่น แทนการตกแต่งด้วยรูปภาพแนวธรรมชาติจำพวกป่าเขาทั่วไป ก็นับว่าเป็นตัวช่วยที่เติมไฟรักได้ดี หากใครอยากเพิ่มความมุ้งมิ้งก็อาจจะนำมารูปมาแปะเรียงบนผนังห้องเป็นรูปหัวใจ ก็เป็นการเพิ่มลูกเล่นให้ห้องนอนดูแปลกตาไปจากทุกวันได้ดีนะคะ ซึ่งรับรองเลยค่ะว่าวิธีนี้ต้องทำให้คนรักของคุณรู้สึกอยากขยับเข้ามาชิดใกล้เพื่อกระชับความสัมพันธ์แน่นอน   8. เติมความเซ็กซี่ให้ขยี้หัวใจด้วยกระจกวิเศษ แน่นอนค่ะว่า 'กระจกเงา' มีคุณสมบัติที่โดดเด่นมากมาย ถ้าเป็นเรื่องของ interior ก็เป็นวัสดุที่ช่วยสะท้อนหลอกตาทำให้ห้องดูกว้างขึ้น แต่ในเรื่องของฮวงจุ้ยก็เป็นไอเท็มสำคัญที่ช่วยสะท้อนสิ่งไม่ดีออกไป ส่วนด้านของการใช้งานในห้องนอนส่วนใหญ่นั้นมักใช้ส่องสำรวจร่างกายเวลาแต่งตัว นอกจากนี้ยังเป็นตัวช่วยกระตุ้นอารมณ์รักจากมองเห็นรูปร่าง และลีลาระหว่างที่กำลังทำกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ของตัวเองได้ดีอีกด้วย ซึ่งแนะนำให้ลองแขวนหรือติดกระจกเงาไว้ที่ผนังหัวเตียงนะคะ เพราะเมื่อเปิดไฟสลัวๆ จะยิ่งช่วยสะท้อนให้เกิดอารมณ์เซ็กซี่ได้ดีทีเดียว เคล็ดลับแต่งห้องนอนไม่ได้นอน ที่เรานำมาฝากในบทความด้านบนเป็นเพียงตัวช่วยเติมไฟรักให้ชีวิตคู่ของคุณมีสีสันและชีวิตชีวามากขึ้นเท่านั้น หากแต่การรักษาชีวิตคู่ให้ยืนยาวนั้นต้องขึ้นอยู่กับการกระทำ ความใส่ใจ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และการประนีประนอมซึ่งกันและกันนะคะ สุดท้ายหากชาว Review Your Living ได้ลองนำไอเดียเหล่านี้ไปตกแต่งห้องนอนกันแล้ว ก็อย่าลืมถ่ายรูปมาให้ทีมงานชื่นชมในแฟนเพจบ้างนะคะ :) รูปภาพจาก : Pinterest
10 ปัญหาห้องน้ำที่แก้ได้

10 ปัญหาห้องน้ำที่แก้ได้

1.กลิ่นอับชื้นภายในห้องน้ำ Solution การแก้ปัญหาแรกเริ่มตั้งแต่การออกแบบบ้าน ก็คือการพยามออกแบบตำแหน่งของห้องน้ำทุกห้องให้ติดกับภายนอก หรือหากอยู่ทางทิศใต้และทิศตะวันตกก็จะยิ่งดี เนื่องจากมีแสงสว่างจากธรรมชาติส่องเข้ามาเพื่อฆ่าเชื้อโรคได้ ช่องเปิดของห้องน้ำกับภายนอกก็สามารถออกแบบได้หลากหลายวิธี เช่น บานกระทุ้ง บานเกล็ด บานเลื่อนและบานเปิด ที่สามารถทำให้เกิดการระบายอากาศระหว่างภายในกับภายนอกได้เป็นอย่างดี ส่วนในกรณีที่ห้องน้ำไม่สามารถอยู่ติดกับภายนอกได้ ก็จำเป็นจะต้องติดตั้งเครื่องดูดอากาศแบบติดกับฝ้าที่ช่วยดูดกลิ่น อากาศและความอับชื้นผ่านท่อเพื่อปล่อยสู่ภายนอก 2.น้ำในห้องน้ำไม่ระบายลงท่อ Solution เช็คความลาดเอียงของห้องน้ำใหม่ โดยปกติแล้วการทำระดับพื้นห้องน้ำจะต้องให้ลาดเอียงไปยังท่อระบายน้ำในสัดส่วนความลาดชันประมาณ 1:200 และพื้นจะต้องลาดอย่างสม่ำเสมอ ไม่เกิดแอ่งที่พื้นในบางจุดที่จะทำให้น้ำขังได้ นอกจากนั้นระดับพื้นห้องน้ำยังควรต่ำกว่าห้องภายนอกอย่างน้อย 5 เซนติเมตร เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำไหลออกสู่ภายนอกห้องน้ำได้ 3.อาบน้ำแล้วเปียกไปทั้งห้องน้ำ Solution การแก้ปัญหานี้มีวิธีเดียวคือต้องแบ่งส่วนแห้งและส่วนเปียกตามการใช้งาน โดยส่วนแห้งจะประกอบด้วยอ่างล้างหน้าและโถส้วม ส่วนส่วนเปียก ได้แก่ ส่วนอาบน้ำฝักบัวและอ่างอาบน้ำ ทั้งสองส่วนควรแยกออกจากกันด้วยวิธีต่างๆ ตามความเหมาะสมของพื้นที่ เช่น กั้นห้องแยกกัน กั้นด้วยประตูกระจกหรือผ้าม่านกันน้ำ เป็นต้น 4.พื้นลื่นจนทำให้เกิดอันตราย Solution การเลือกวัสดุปูพื้นห้องน้ำเป็นสิ่งที่สำคัญต่อความปลอดภัย โดยควรเลือกใช้กระเบื้องหรือหินที่มีเท็กซ์เจอร์ค่อนข้างหยาบ ผิวด้านและไม่มันเงา แต่ถ้าหากสุดวิสัยไม่สามารถปูกระเบื้องใหม่ที่เหมาะสมได้ ก็จำเป็นจะต้องใช้แผ่นยางรองกันลื่นสำหรับห้องน้ำในส่วนที่เป็นฝักบัวและส่วนเปียกไปก่อน 5.แสงสว่างไม่เพียงพอ Solution บริเวณเคาน์เตอร์ซิงก์ควรเพิ่มไฟประเภท Task Light โดยอาจจะเป็นในรูปแบบของโคมไฟติดผนังติดบริเวณกระจกที่ให้แสงสว่างมาจากด้านหน้า ทำให้บริเวณหน้ากระจกสว่างและสะดวกต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น 6.ท่อระบายน้ำตันระบายน้ำไม่ทัน Solution ท่อระบายน้ำสกปรกหรือท่อน้ำทิ้งควรมีขนาดมาตรฐาน ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อย 3 นิ้ว ทำให้น้ำทิ้งผ่านลงไปได้อย่างรวดเร็วกว่า การเลือก Floor Drain ก็ควรมีฝาตะแกรงครอบเพื่อกันไม่ให้สิ่งสกปรกและฝุ่นผงอันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ท่อตันหลุดลงไปในท่อได้ นอกจากนั้นยังควรดูแลรักษาความสะอาดบริเวณ Floor Drain อย่างสม่ำเสมอ 7.ที่เก็บของภายในห้องน้ำไม่เพียงพอ Solution พื้นที่เก็บของในห้องน้ำควรออกแบบให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ โดยส่วนใหญ่มักออกแบบให้มีตู้เก็บของอยู่ใต้เคาน์เตอร์ซิงก์เป็นตู้บานปิด เพื่อเก็บพวกม้วนกระดาษและอุปกรณ์ทำความสะอาด ส่วนสบู่และยาสระผมที่จำเป็นต้องใช้งานประจำควรเลือกชั้นวางของแบบเปิด ติดตั้งในส่วนอาบน้ำบริเวณตำแหน่งที่อยู่ในระยะเอื้อมและหยิบใช้ได้อย่างสะดวก รวมทั้งยังเป็นวัสดุที่ง่ายต่อการทำความสะอาด เช่น อะครีลิคและสเตนเลสสตีล เป็นต้น 8.ไฟฟ้าช็อตที่เกิดจากปลั๊กและสวิตช์ไฟภายในห้อง Solution ปลั๊กหรือ Outlet ภายในห้องน้ำควรอยู่สูงกว่าพื้นประมาณอย่างน้อย 70 เซนติเมตร หรืออยู่ระดับเดียวกับเคาน์เตอร์ซิงก์ และอยู่ในส่วนแห้งเท่านั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้น้ำโดนปลั๊ก นอกจากนั้นภายในห้องน้ำควรเลือกใช้ปลั๊กหรือ Outlet ประเภทกันน้ำได้หรือมีฝาครอบกันน้ำ เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากการการใช้งานด้วย 9.ผนังหรือฝ้าที่อยู่ติดกับห้องน้ำมีการบวมน้ำที่เกิดจากความชื้น Solution ก่อนที่จะปูกระเบื้องจำเป็นต้องฉาบผนังห้องน้ำด้วยน้ำยากันความชื้นหรือน้ำยากันซึมให้ดีเสียก่อน โดยเฉพาะส่วนของฝักบัวและส่วนของอ่างอาบน้ำควรตรวจสอบการซึมให้ดี ฝ้าเพดานก็เช่นกันควรใช้ฝ้ายิปซัมทนความชื้นฉาบเรียบสำหรับห้องน้ำโดยเฉพาะ 10.วัสดุบางชนิดที่ใช้ภายในห้องน้ำทำความสะอาดได้ยาก Solution ห้องน้ำส่วนใหญ่เลือกใช้กระเบื้องเซรามิคเป็นคำตอบสำหรับวัสดุในห้องน้ำ เนื่องจากดูแลรักษาและทำความสะอาดได้ง่ายที่สุด กระเบื้องที่มีเท็กซ์เจอร์หยาบๆ ก็จะทำความสะอาดได้ยากกว่ากระเบื้องที่มีเท็กซ์เจอร์เรียบทั่วไป รวมทั้งกระเบื้องแผ่นใหญ่ที่การปูมีรอยต่อน้อยกว่า ก็จะลดพื้นที่สะสมของเชื้อโรคและคราบสกปรกได้มากกว่า   ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.home.co.th/hometips/decoration/detail/54772-10-ปัญหาห้องน้ำที่แก้ได้  
“ที่ดินทรุด” ปัญหาโลกแตกที่เช็กและแก้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

“ที่ดินทรุด” ปัญหาโลกแตกที่เช็กและแก้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

เรียกว่าปัญหาโลกแตกอย่างที่ดินทรุดนั้น เป็นสิ่งที่หลายคนปวดหัวหนักมาก เพราะนอกจากจะต้องเสียเวลาลงแรงและเปลืองเงินแล้ว ยังนำความเสียหายมาให้เมื่อลงมือก่อสร้างบ้านหรืออาคารไปแล้ว ดังนั้นทางที่ดีเพื่อไม่ให้ต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าว ควรตรวจสอบดินทรุดด้วยวิธีต่างๆ พร้อมศึกษาวิธีแก้ปัญหา อย่างละเอียดถี่ถ้วนเรียนรู้ ตรวจสอบดินทรุดอย่างเข้าใจ 1. ย้อนอดีตที่ดินของตนเอง ในที่นี้หมายถึงการมองย้อนกลับไปว่าก่อนจะเห็นที่ดินว่างเปล่า อันถูกถมจนเรียบเตียนแล้วนั้น บริเวณนี้เป็นอะไรมาก่อน หากเป็นแอ่ง บ่อน้ำ หรืออยู่ใกล้กับแม่น้ำ รับรองว่าต่อให้ถมดินอย่างไรก็ทรุด สืบเนื่องจากดินอมน้ำมาเป็นเวลานาน บวกกับหากตั้งอยู่ใกล้กับคลองหรือแม่น้ำ แน่นอนว่าถูกน้ำกัดเซาะอยู่ตลอด เหตุนี้เองจึงทำให้เป็นปัจจัยหลักของที่ดินทรุดในบริเวณดังกล่าว เพราะฉะนั้นทางที่ดีก่อนซื้อที่ดิน ควรพิจารณาความเป็นมาของที่ผืนนั้นเป็นอันดับแรก แต่ถ้าหากเป็นที่ได้มาจากมรดกตกทอด อาจจะต้องศึกษาวิธีการป้องกันดินทรุดตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนจะสร้างบ้าน ไม่เช่นนั้นเตรียมเผชิญปัญหาเรื่องโครงสร้างบ้านเป็นอันดับต่อไป 2.ศึกษาที่ดินทรุดของตนเองอยู่โซนไหนของกรุงเทพฯ หลายคนอาจจะเคยได้ยินมาบ้างแล้วว่าที่ดินกรุงเทพฯ และปริมณฑล มักจะทรุดตัวลงทุกปี ปริมาณ 1 เซนติเมตร ทั้งนี้มีระดับน้ำทะเลหนุนปีละปริมาณ 4 มิลลิเมตร อาจเป็นเพราะกรุงเทพฯ มีลักษณะเป็นที่ลุ่มต่ำ ประกอบกับตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา จึงทำให้บางที่ดินเกิดเป็นแอ่ง ซึ่งเป็นเช่นนี้มานานแล้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของดิน รวมทั้งทัศนียภาพบริเวณนั้นด้วย โดยอัตราเฉลี่ยของการทรุดตัวในแต่ละเซนติเมตรนั้น เกิดจากตึกรางบ้านช่องถูกสร้างบนดินลักษณะอ่อนนุ่มนั่นเอง และถ้าดูผลการสำรวจจากกรมทรัพยากรธรณี สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และกรมแผนที่ทหารเมื่อช่วงปี 2551 จะพบว่าแต่ละโซนของกรุงเทพฯ มีที่ดินทรุดตัวมากน้อยแตกต่างกัน ทั้งนี้พื้นที่ทรุดมากที่สุดคือเขตบางกะปิ โดยมีการทรุดตัวสะสมประมาณ 1.20 เมตรเศษ ส่วนที่น้อยสุดคือฝั่งนนทบุรี 3.พิจารณาที่ดินทรุดช่วงหน้าฝน เวลานี้อย่าเพิ่งมองว่าฝนตกจะทำให้ทุกอย่างแย่ไปหมด เพราะสำหรับงานก่อสร้างหรือถมที่นั้นถือว่าเป็นเรื่องดีอย่างมาก และจะใช้เวลานี้ในการเช็กว่าที่ดินทรุดหรือไม่ โดยสามารถดูได้จากปริมาณดินอันไหลไปกับน้ำฝน ในขณะเดียวกันหากเพิ่งถมใหม่ๆ จะทำให้ที่ดินมีความแน่นขึ้น ทั้งนี้การถมที่ให้แน่นมีด้วยกัน 2 วิธีคือ ถมแบบอัด เพิ่มปริมาณความหนาทีละชั้นหน้าดิน เมื่อฝนตกถูกชะล้างออกไป วิธีนี้สามารถป้องกันดินทรุดได้ดี ส่วนวิธีที่ 2 เป็นการถมแบบไม่อัด คือให้เต็มพื้นที่ทีเดียว แน่นอนว่าข้อดีคือได้ความเร็ว แต่ข้อเสียสังเกตได้เลยฝนตกแบบนี้ ดินทรุดแน่นอน แก้ไขรับมือปัญหาที่ดินทรุดแบบกล้วยๆ 1. ถมที่ดินใหม่ให้แน่น อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าการถมที่ดินในหน้าฝนจะทำให้ดินแน่น แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับรูปแบบของการถมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าการถมแบบบีบอัด ย่อมป้องกันปัญหาที่ดินทรุดได้อย่างดี แต่ถ้าต้องการความแน่น เพื่อความชัวร์ว่าสร้างบ้านหรืออาคารไปแล้วไม่ทรุด ต้องเพิ่มปริมาณดินทีละชั้นประมาณ 20-50 เซนติเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะดินด้วย ประกอบกับระหว่างการถมต้องอัดให้แน่นทีละชั้น แล้วค่อยถมต่อ อันเป็นกระบวนการของการบีบอัดหน้าดิน ซึ่งต้องทำเช่นนี้จนกว่าจะได้ระดับดินจนเต็มพื้นที่ ทั้งนี้เมื่อถมเสร็จ สังเกตว่าปริมาณดินไม่เกิดการยุบตัวลง จึงค่อยลงมือสร้างบ้านหรืออาคารนั้นได้ 2. สร้างกำแพงดิน วิธีการนี้เป็นขั้นตอนแก้ไขปัญหาเมื่อดินทรุดตัวลงแล้ว ซึ่งอาจเกิดจากขั้นตอนการถมดินโดยไม่ได้ใช้วิธีบีบอัด ทำให้ดินไหลไปกับกระแสน้ำ ดังนั้นวิธีแก้ไขเฉพาะหน้าคือต้องสร้างกำแพงดินนั่นเอง 3. ใช้หลักการพอเพียง ด้วยการปูหญ้าแฝก เรียกว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาดินทรุด ที่ประหยัดสุดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้หลักการพอเพียงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วยวิธีปลูกหญ้าแฝกในแนวสโลบ เพื่อป้องกันดินสไลด์ในช่วงหน้าฝนหรือฤดูน้ำหลาก ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมปลูกขวางแนวลาดชัน ทั้งนี้เป็นการป้องกันน้ำกัดเซาะ นิยมกับพื้นที่ริมแม่น้ำ   ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.ddproperty.com/ข่าวอสังหาริมทรัพย์-บทความ/2017/6/155072/ที่ดินทรุด-ปัญหาโลกแต
7 ความผิดพลาดในการสร้างบ้าน ที่ควรใส่ใจ

7 ความผิดพลาดในการสร้างบ้าน ที่ควรใส่ใจ

ในการสร้างบ้าน หากเลือกผู้รับเหมาที่ไม่ดี หรือไม่คำนึงถึงความเหมาะสมของตัวคุณเอง ก็อาจทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ 7 ความผิดพลาดที่คุณควรใส่ใจ เพื่อจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นกับบ้านของคุณ มีดังนี้ แสงสว่างไม่เพียงพอนอกจากแสงสว่างภายในห้องนั้นๆ ต้องเพียงพอต่อการมองเห็นแล้ว ตามจุดที่มีการใช้งานที่ต้องการแสงสว่าง ก็ควรมีแสงสว่างอย่างเพียงพอด้วย เช่น โต๊ะอ่านหนังสือ เป็นต้น อาจเลือกใช้ไฟแบบซ่อนหลอดไฟเพื่อตกแต่งห้องให้สวยงามก็ได้การสร้างบ้านให้แสงแดดได้ส่องเข้ามาถึงในจุดที่ทำให้บ้านสว่างก็ช่วยเพิ่มแสงสว่างในบ้าน และประหยัดไฟได้ สีที่น่าเบื่อการใช้แต่สีเรียบๆ และสีเหมือนกันหมดทั้งบ้าน อาจสร้างความน่าเบื่อได้อย่างง่ายๆ ดังนั้น คุณไม่ควรกลัวที่จะเล่นกับสีสันบ้าง พื้นโล่งมากพื้นที่โล่งมากเกินไป ทำให้บ้านดูไม่สมดุล และเหลือเนื้อที่เกินความจำเป็นของบ้าน หากบ้านมีขนาดใหญ่เกินไป อาจเลือกวางเฟอร์นิเจอร์ไว้ที่กลางห้อง หรือใช้พรมปูพื้นเข้ามาช่วย เว้นพื้นที่เฟอร์นิเจอร์ไม่เหมาะสมการจะทำบ้านของคุณให้ดูสะดวกสบายและมีพื้นที่การใช้งานต่อเนื่อง เรื่องการเว้นระยะระหว่างเฟอร์นิเจอร์ 1 ชิ้นเป็นเรื่องจำเป็น อย่าพยายามตั้งเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เข้าไปในพื้นที่ๆ เล็กจนเกินไป เช่นควรเว้นระยะห่างของเก้าอี้ทานข้าวออกจากเก้าอี้นั่งตัวอื่นประมาณ 61 เซนติเมตรเพื่อป้องกันข้อศอกกระทบกันในระหว่างรับประทานอาหาร จุดน่าสนใจมากเกินไปทุกๆ ห้องควรมีจุดโฟกัสเพียงจุดเดียว หากทุกจุดน่าสนใจ ดูสะดุดตาหมด ห้องนั้นก็จะขาดความสวยงามและเสน่ห์ไปทันที ลอกแบบมากจากแคตตาล็อกคุณควรดูไว้เป็นไอเดียเพื่อมาต่อยอด หรือประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมเท่านั้น ไม่ควรลอกมาเหมือนเป๊ะ จนบางครั้งไม่เหมาะกับสไตล์บ้าน หรือความชอบ หรือความเหมาะสมในการใช้งาน สีของไม้ที่หลากหลายเกินไป ถ้าคุณชอบเฟอร์นิเจอร์ไม้ ก็ควรเลือกที่มีโทนใกล้เคียงกัน หรือเหมือนกันมากที่สุด อาจแตกต่างกันได้ ก็ไม่ควรเกิน 3 สี และอย่าให้ดูแตกต่างกันมากจนเกินไป ในการจะสร้างบ้าน อย่าลืมใส่ใจความผิดพลาดทั้ง 7 ประการนี้ด้วยนะคะ เพื่อที่บ้านของคุณจะได้ไม่เกิดความผิดพลาดเช่นเดียวกัน และอย่าลืมนึกถึงการใช้งานควบคู่ไปกับความสวยงามด้วยนะคะ ขอบคุณแหล่งที่มา : บ้านน่ารู้.com/บ้านน่าอยู่/page/2
5 แนวทางบ้านเย็น เพิ่มสภาวะอยู่สบาย

5 แนวทางบ้านเย็น เพิ่มสภาวะอยู่สบาย

ออกแบบบ้านให้เย็นสบาย สุขได้ทุกฤดูกาล การออกแบบบ้านที่ดี นอกจากภาพลักษณ์อันสวยงามที่ทางสถาปนิกได้ออกแบบให้บ้านในฝันของเรามีเอกลักษณ์สวยเท่ไม่ซ้ำใครแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในการออกแบบบ้าน คือ ออกแบบอย่างไรให้ฟังก์ชั่นถูกใจเจ้าของบ้าน เพื่อการอยู่อาศัยที่สุขกายและสุขใจไปพร้อม ๆ กัน ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวมากขึ้น ทำให้เทรนด์การออกแบบบ้านสมัยใหม่ ให้ความสำคัญกับ “สภาวะอยู่สบาย” บ้านที่ดีเมื่อเดินเข้าบ้านไปแล้ว อุณหภูมิภายในบ้านควรเย็นกว่าอุณหภูมิภายนอกประมาณ 5 องศาขึ้นไป ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้อยู่อาศัยสัมผัสได้ถึงความสบายเนื้อ สบายตัวแล้ว ยังช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้ดีอีกด้วยครับ บ้านไอเดียขอนำเสนอ 5 แนวทางพื้นฐานในการออกแบบ ที่จะช่วยให้บ้านของเราเกิดสภาวะอยู่สบาย โดยเน้นการออกแบบเพื่อให้สอดรับกับหลักธรรมชาติ นำข้อดีต่าง ๆ ที่ธรรมชาติสรรสร้างมาให้เกิดประโยชน์สูงสุดครับ 1. วางผังบ้าน ให้เหมาะกับแดด การวางผังห้องต่างๆ ภายในบ้านให้สอดรับกับธรรมชาติ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ต้องวางแผนในงานออกแบบ เพราะการใช้งานแต่ละห้องมีความแตกต่างกัน บางห้องต้องการแสงแดดเพื่อลดความอับชื้น ในขณะเดียวกันบางห้องต้องการความร่มรื่นตลอดทั้งวัน โดยปกติแล้วในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝนซึ่งมีระยะเวลายาวนานถึง 9 เดือน แสงอาทิตย์เริ่มต้นขึ้นทางทิศตะวันออก จากนั้นอ้อมไปทางทิศใต้และตกในทิศตะวันตก ด้านที่ได้รับแสงแดดร้อนจึงเป็นทิศใต้และทิศตะวันตก ส่วนทิศเหนือเฉลี่ยทั้งปีจะเป็นทิศที่ได้รับแสงอาทิตย์น้อยที่สุดครับ เพราะฉะนั้น หากต้องการออกแบบบ้านให้อยู่สบาย ห้องที่ใช้สำหรับพักผ่อน เช่น ห้องนั่งเล่น, ห้องนอน ควรจัดวางในทางทิศตะวันออกหรือทิศเหนือ ส่วนห้องที่มีความอับชื้นสูง เช่น ห้องน้ำ, ห้องครัว, ห้องเก็บของ ควรจัดวางไว้ในทางทิศตะวันตกหรือทิศใต้ เพื่อให้ห้องดังกล่าวได้รับแสงแดดช่วยป้องกันความอับชื้นและในขณะเดียวกัน ช่วยบดบังแสงแดดให้กับห้องอื่นๆ ครับ 2. มีช่องระบายอากาศ ช่องลมเข้า ช่องลมออก การบดบังแสงแดดด้วยการจัดผังห้องให้เหมาะสมกับทิศเพียงอย่างเดียว ยังไม่เพียงพอต่อหลักการบ้านเย็น เพราะส่วนที่ได้รับแสงแดดมากที่สุดไม่ใช่ผนังบ้าน แต่เป็นหลังคาบ้าน การออกแบบบ้านให้มีช่องระบายอากาศจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้อากาศภายในบ้านหมุนเวียนอยู่เสมอ บ้านที่ดีจึงควรมีช่องระบายอากาศ ทั้งช่องลมเข้าและช่องลมออก ซึ่งหากพิจารณาจากหลักธรรมชาติแล้ว ลมธรรมชาติจะมาทางทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ประมาณ 9 เดือน ส่วนทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ 3 เดือน เพราะฉะนั้นในทิศดังกล่าว ควรมีช่องหน้าต่างหรือช่องลมระบายอากาศเพื่อให้ลมสามารถพัดผ่านเข้ามาภายในบ้านได้ สำหรับทิศใต้และตะวันตกเฉียงใต้ แม้จะได้รับลมดีเกือบทั้งปี แต่ทิศนี้นับเป็นทิศที่มีแสงแดดร้อนจัดเช่นเดียวกัน ทิศดังกล่าวจึงควรออกแบบลักษณะปิดแต่โปร่ง บดบังความร้อนจากแสงแดดได้แต่ในขณะเดียวกันต้องได้รับลมที่ดีด้วย ผู้ออกแบบจึงนิยมใช้บล็อคช่องลม, ระแนง หรือวัสดุใดๆ ที่มีความโปร่ง มาช่วยออกแบบในทิศนี้ ส่วนทิศเหนือได้รับแสงน้อยส่งผลให้ห้องมืด การออกแบบจึงเน้นใช้วัสดุกระจก เพื่อให้แสงธรรมชาติมีอย่างเพียงพอ 3. เลือกใช้หลังคาทรงสูง  จากหัวข้อที่ผ่านมาได้เกริ่นไว้ว่า หลังคาเป็นส่วนที่ได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์มากที่สุด หลังคาบ้านที่ดีจึงควรมีรูปทรงที่สอดรับกับธรรมชาติ โดยหลักการแล้วมวลอากาศร้อนจะลอยตัวขึ้นสู่ที่สูงเสมอ เพราะฉะนั้นหลังคาบ้านจึงควรมีรูปทรงสูงโปร่ง มีโถงหลังคาเพื่อเปิดพื้นที่ให้มวลอากาศลอยตัวขึ้นไปได้ พร้อมกับออกแบบให้โถงหลังคามีช่องระบายอากาศ มวลอากาศร้อนที่สะสมภายในบ้านจะค่อยๆ ถ่ายเทออกและหมุนเวียนอากาศใหม่เข้ามาอยู่เสมอครับ นอกจากโถงหลังคาแล้ว องศาความชันของหลังคาก็มีส่วนในการรับความร้อน สำหรับบ้านหลังคาแบน หลังคาจะสัมผัสกับแสงอาทิตย์โดยตรงทั้งผืน ส่วนหลังคาที่มีองศาความชันสูง เช่น หลังคาจั่ว, หลังคามะนิลา และหลังคาปั้นหยา จะสัมผัสกับแสงอาทิตย์ได้น้อยกว่า อีกทั้งเมื่อแสงอาทิตย์เปลี่ยนไปอีกด้าน ส่งผลให้ด้านตรงกันข้ามเกิดเงาช่วยบดบังให้กันและกัน ส่วนหลังคาแบนจะไม่มีส่วนใดบดบังให้ครับ นอกจากนี้..หลังคาที่มีองศาความชันสูง ยังส่งผลดีต่อการระบายน้ำเมื่อฝนตก ยิ่งชันมากน้ำจะยิ่งระบายได้เร็วมากขึ้น ลดโอกาสปัญหารั่วซึมได้ดีอีกด้วยครับ 4. วัสดุช่วยกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน ทั้ง 3 ข้อที่ผ่านมา เป็นแนวทางการออกแบบเพื่อให้สอดรับกับหลักธรรมชาติ ทิศทางลม แสงแดด และหลักการถ่ายเทมวลอากาศร้อนออกสู่ตัวบ้าน ส่วนหัวข้อนี้เป็นส่วนประกอบเสริมที่ช่วยปกป้องบ้านจากความร้อนได้ดียิ่งขึ้น โดยการเลือกวัสดุก่อสร้างที่มีคุณสมบัติเป็นฉนวนกันร้อน, ไม่นำและไม่อมความร้อนครับ พื้นสวนรอบบ้าน : ควรเลี่ยงการเทพื้นซีเมนต์รอบๆ บริเวณบ้าน เพราะพื้นซีเมนต์มีคุณสมบัติอมความร้อน ส่งผลให้ช่วงเย็นและค่ำคืน ความร้อนที่สะสมมาตลอดทั้งวันคายตัวออก ผู้อยู่อาศัยจึงรู้สึกร้อนอบอ้าว แนะนำให้เลือกวัสดุที่มีช่องระบายอากาศ เช่น พื้นตัวหนอน, พื้นอิฐ, พื้นช่องลม, พื้นหิน, ระเบียงไม้, พื้นสนามหญ้า หรือวัสดุใดๆ ที่สามารถ่ายเทอากาศได้สะดวกครับ ผนังบ้าน : วัสดุผนังเย็นที่มีในประเทศไทย ผนังบ้านโฟมจะให้ความเย็นสบายสูงสุดแต่ยังได้รับความนิยมน้อยเนื่องด้วยราคาและมีช่างที่สามารถสร้างบ้านโฟมได้ไม่มากนัก รองลงมาและกำลังเป็นที่นิยมสูง คือการเลือกก่อผนังด้วยอิฐมวลเบา ซึ่งมีคุณสมบัติกันร้อนได้ดีกว่าอิฐมอญแดง แต่หากผู้อ่านต้องการใช้อิฐมอญแดง แนะนำให้เลือกก่อผนัง 2 ชั้นในด้านทิศตะวันตกและทิศใต้ การก่อผนัง 2 ชั้นจะช่วยปกป้องผนังด้านใน ไม่ให้สัมผัสกับความร้อนโดยตรง นอกจากนี้ยังสามารถใช้วัสดุประเภทระแนง, บล็อคช่องลม และฟาซาด เพื่อช่วยกรองแสงแดดให้มีความร้อนลดน้อยลง ในขณะเดียวกันบ้านยังรับลมธรรมชาติได้อีกด้วย สำหรับผนังกระจกควรเลือกใช้เฉพาะทิศเหนือและทิศตะวันออกเท่านั้น ส่วนทิศใต้และทิศตะวันตกควรเลี่ยงที่จะใช้กระจก เพราะกระจกนำความร้อนได้ดีมากครับ หลังคาบ้าน : นอกจากการเลือกหลังคาทรงสูงโปร่งแล้ว การเพิ่มฉนวนกันความร้อนใต้โถงหลังคา ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้บ้านเย็นขึ้นได้มาก สามารถติดตั้งได้ 2 ลักษณะ ติดตั้งบนฝ้าเพดานและติดตั้งใต้แผ่นกระเบื้องหลังคา หรือจะติดตั้งทั้ง 2 ลักษณะก็สามารถทำได้เช่นกันครับ 5. ปลูกไม้ยืนต้นให้ถูกทิศทาง อีกสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ ต้นไม้ โดยเฉพาะบ้านที่ไม่เอื้อต่อการวางผังในทิศทางที่เหมาะสมกับธรรมชาติ หรือต้องการให้บ้านมีความโปร่งสบาย เช่น ต้องการรับลมธรรมชาติในทางทิศใต้ หากออกแบบผนังบ้านในลักษณะปิด ลมจะไม่สามารถพัดผ่านเข้ามาได้ การออกแบบเปิดโปร่งจึงช่วยให้ลมพัดเข้ามาได้อย่างสะดวก แต่ในขณะเดียวกันทิศใต้มีแสงแดดร้อนกว่าทิศอื่น ๆ การปลูกไม้ยืนต้นจึงเป็นทางเลือกที่ลงตัวและช่วยให้บ้านเย็นขึ้นได้มากครับ นอกจากจะช่วยบดบังแสงแดดได้ดีแล้ว ลมที่พัดผ่านเข้ามาจะกระทบกับพุ่มไม้ก่อนเข้าสู่ตัวบ้าน ส่งผลให้ลมร้อนถูกเปลี่ยนสถานะกลายเป็นลมเย็น พร้อมกันนี้ต้นไม้ยังช่วยกรองฝุ่นละออง บ้านจึงเย็นสบายและมีอากาศที่สดชื่นเกือบตลอดทั้งปี แนวทางการออกแบบทั้ง 5 ข้อนี้ เป็นแนวทางพื้นฐานที่เหมาะสำหรับการสร้างบ้านในประเทศไทย แต่หากเป็นบ้านเรือนในประเทศอื่นๆ ที่มีอากาศหนาว การออกแบบจะตรงกันข้ามกัน ผู้อ่านท่านใดที่ชอบชมผลงานการออกแบบบ้านจากสถาปนิกต่างประเทศ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำไอเดียเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้งาน เพื่อให้เกิดความเหมาะสมลงตัวกับสภาพภูมิอากาศในไทยครับ สำหรับผู้อ่านท่านใดที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการออกแบบบ้านเย็น สามารถคอมเม้นต์สอบถามมาทางเพจบ้านไอเดียได้ครับ หรือสถาปนิก นักออกแบบท่านใดต้องการแบ่งปันความรู้ในงานออกแบบเพื่อบ้านเย็น ร่วมเสนอความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ใต้เนื้อหาชุดนี้ได้ ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.banidea.com/how-to-cool-house-design/
ถนนแบบไหนทำธุรกิจเจ๊ง?

ถนนแบบไหนทำธุรกิจเจ๊ง?

รู้ไว้ไม่เสียหาย สำหรับเรื่อง “ถนน” ซึ่งนับเป็นเส้นทางการคมนาคมสำคัญและเป็นเหมือนสายเลือดหลักในการทำธุรกิจ ถนนดี ทำเลดี ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่งในการส่งเสริมธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าหากถนนไม่ดี ย่อมส่งผลกระทบแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะเจ๊งโดยไม่รู้ตัว ตามหลักฮวงจุ้ยบอกว่า “ถนนที่ดีจะต้องเป็นเส้นตรงไม่คดเคี้ยว มีกระแสไหลเวียนมาก ไม่เปลี่ยวร้าง ถนนจะต้องกว้างไม่แคบเพื่อให้สัญจรไปมาได้สะดวก” ถ้าตั้งบริเวณนี้มีความได้เปรียบกว่า การค้าขาย ธุรกิจรุ่งแน่นอน  ส่วนถนนไม่ดีที่นำพาธุรกิจของคุณไปในทางลบ ไม่คล่องตัว มีถนนแบบไหนบ้าง  ลองมาดูกันเลย ถนนสามแพร่งทั้งดีทั้งร้าย อยู่ที่ดวงจริงๆ สำหรับคนที่ตั้งธุรกิจบริเวร “ถนนสามแพร่ง” หรือ “ทางสามแพร่ง” เพราะเส้นทางนี้ในทางฮวงจุ้ยถือว่าเป็นจุดที่วุ่นวาย ทำให้มีทั้งข้อดีและข้อเสียสำหรับการทำธุรกิจ ข้อดี : การตั้งร้านบริเวณนี้ได้เปรียบ ร้านจะเด่นจากระยะไกล มองเห็นง่ายพราะอยู่บริเวณทางแยก ข้อเสีย :  ทางสามแพร่งมีความอันตราย ยิ่งถ้าไม่มีไฟจราจร อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เพราะรถอาจจะเสียหลักแหกโค้งพุ่งชนร้าน ตามข่าวที่ออกให้เห็นกันบ่อยๆ อีกอย่างคือ สำหรับธุรกิจร้านค้าที่ต้องจอดรถจะเสียโอกาสหนักมาก เพราะเป็นทางที่จอดรถได้ลำบากกว่าเส้นทางอื่นๆ แต่ในทางกลับกัน ถ้าในห้างสรรพสินค้า ทางสามแพร่งกลับช่วยเรียกลูกค้าได้ อย่างน่าประหลาดใจ อย่างไรแล้วลองพิจารณาหรือว่าวิธีป้องกันให้ดำเนินธุรกิจไปได้ด้วยดี จะได้ไม่ต้องมานั่งแก้ปัญหาทีหลัง ถนนโค้งคนมองไม่เห็น ทางโค้ง นับเป็น top 10 ทางฮวงจุ้ยที่อันตรายที่สุด ไม่ว่าจะโค้งด้านในหรือโค้งด้านนอก ก็เสี่ยงด้วยกันทั้งนั้นที่ธุรกิจอาจจะย่ำแย่ หรือเจ้งโดยไม่รู้ตัว  สำหรับโค้งในรถส่วนใหญ่ที่ขับผ่านมักจะมองไม่เห็น หรือขับเลยร้าน ส่วนโค้งนอกนั้นเสี่ยงมากสำหรับอุบัติเหตุ รถเลี้ยวเข้ามายาก  ทางโค้งไหนๆ ก็ไม่เวิร์ค เพราะทางฮวงจุ้ยนับเป็นจุดบอด จอดรถยาก ขับรถก็ต้องระวังเป็นพิเศษ ทางแก้ไขคือ ควรติดป้ายไว้ล่วงหน้า เพื่อเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าเข้ามามากขึ้น ถนนตัว Y อันตรายที่สุด ทางสามแพร่งที่ว่าแน่ ก็ยังแพ้ถนนรูปตัว Y เพราะในทางฮวงจุ้ยถือว่า ถนนตัว Y อันตรายที่สุด! เป็นจุดอับ ทำให้รถจอดยาก เลี้ยวลำบาก ซึ่งนอกจากจะไม่เอื้อประโยชน์ต่อลูกค้าแล้ว ยังเป็นจุดเสี่ยงที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด ถ้ายิ่งไม่มีสัญญาณไฟยิ่งอันตรายมากกว่าเดิม ไม่ควรตั้งร้านบริเวณนี้อย่างยิ่ง ถนนวันเวย์รับได้ทางเดียว เหมือนถูกตัดขาไป 1 ข้างถ้าตั้งร้านอยู่ในถนนสายวันเวย์ เพราะได้ลูกค้าเพียงทางเดียว แทนที่จะได้ลูกค้า 2 ทางเหมือนถนนปกติ นอกจากนี้ ถนนวันเวย์ มีเส้นทางแคบ จอดรถลำบาก เสียโอกาสเพราะลูกค้าส่วนใหญ่คงไม่เลี้ยวรถกลับมา ถนนคู่ขนานเสียโอกาสง่ายๆ ร้านบนทางคู่ขนานพบปัญหาบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น ลูกค้ามักจะขับรถเลยร้าน มองเห็นร้านแต่เข้าไม่ได้จึงเลยตามเลย โอกาสที่จะไปกลับรถมาที่ร้านอีกรอบคงจะยาก เสียโอกาสเพราะคนคงไม่ชอบเสียเวลา ทางที่ดีควรทำป้ายบอกทางล่วงหน้าแบบย้ำๆ เพื่อให้ลูกค้ารู้ ถนนยูเทิร์นเข้าออกยาก “ทางเลี้ยวยูเทิร์น” “ทางกลับรถ”ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ไม่เหมาะที่จะเลือกตั้งร้านค้าบริเวณนี้ เพราะกระแสรถที่เลี้ยวไม่สามารถเข้าไปจอดหน้าร้านได้ หรือเข้ายากเพราะต้องเบี่ยงเข้าซ้ายสุด ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย นอกจากนี้ลูกค้ามองเห็นร้านยาก เพราะคนขับต้องคอยระวังทางตรง  เลี้ยวแล้วก็ต้องรีบขับออกไป หลักฮวงจุ้ยเรียกว่า “กระแสตีจาก” หรือวิ่งหนี ร้านค้ามีแต่เสียประโยชน์ ถ้าตอนนี้ธุรกิจของคุณ เริ่มนิ่งหรือมีผลในทางลบ ให้ลองสังเกตุที่ดูที่ตั้งของร้าน ว่าอยู่ถนนแบบไหน และรีบหาทางแก้ไขโดยเร็ว สำหรับคนที่กำลังริเริ่มธุรกิจ ขอให้เลือกทางที่ใช่ ถนนที่โดน ! ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.home.co.th/hometips/detail/86530-ถนนแบบไหนทำธุรกิจเจ๊ง?-
8 วิธีจัดตู้เสื้อผ้าไม่ให้รก เหลือที่ว่างเพิ่มอีกเพียบ

8 วิธีจัดตู้เสื้อผ้าไม่ให้รก เหลือที่ว่างเพิ่มอีกเพียบ

วิธีจัดตู้เสื้อผ้า อยากรู้ว่าเก็บเสื้อผ้าอย่างไรไม่ให้รก มีที่ว่างเหลือมากขึ้น มาดูวิธีจัดตู้เสื้อผ้า การจัดการเก็บเสื้อผ้าที่ทั้งเป็นระเบียบ หยิบสวมใส่ง่าย และมีที่ว่างสำหรับเก็บของเพิ่มขึ้นทั้งเสื้อผ้าและรองเท้า ขอเอาใจขาช้อปด้วย 12 วิธีจัดตู้เสื้อผ้า จัดอย่างไรไม่ให้ดูรก เสื้อผ้าดูเป็นระเบียบ หยิบมาสวมได้ง่าย ไม่ต้องเสียเวลารื้อจนของที่จัดไว้พังลงมาทั้งตู้ ด้วย 12 วิธีจัดตู้เสื้อผ้าที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากกันในวันนี้ เพื่อให้ตู้เสื้อผ้าไม่รก เป็นระเบียบ และมีที่ว่างสำหรับเก็บของใหม่เพิ่มขึ้น ไม่จำเป็นต้องซื้อตู้เสื้อผ้าใหม่ให้สิ้นเปลือง เพราะ 12 วิธีจัดตู้เสื้อผ้าช่วยคุณได้ ติดราวแขวนที่ผนังตู้ สำหรับเก็บผ้าพันคอ ที่บอกว่าตู้เสื้อผ้าไม่มีที่ว่างให้เก็บของแล้ว ลองดูดี ๆ เพราะยังเหลือประตูตู้เสื้อผ้าที่เราสามารถนำราวแขวนมาติดไว้ เพื่อใช้เป็นที่แขวนผ้าพันคอ รวมทั้งแขวนเสื้อผ้าชุดที่จะใส่ในวันต่อไปได้ด้วย ติดราวแขวนที่ประตูไว้เก็บรองเท้าส้นสูง ใครที่ชอบเก็บรองเท้าเอาไว้ในบ้านหรือห้องแต่งตัว ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่เก็บอีกต่อไป เพราะแค่นำราวแขวนของหรือราวแขวนอันเก่าที่ไม่ใช้แล้ว มาติดไว้ที่ประตูก็จะได้ที่แขวนเท้าส้นสูง เพิ่มโดยไม่ต้องวางให้เกะกะพื้นที่ในบ้าน ติดม่านกั้นตู้เสื้อผ้า บดบังสายตาไม่ให้ดูรก บ้านถูกที่ออกแบบให้มีตู้เสื้อบิวท์อินลงในผนังห้องนอน แนะนำให้หาราวแขวนม่านมาติด เพื่อกั้นพื้นที่ระหว่างห้องนอนและตู้เสื้อให้เป็นระเบียบ ไม่กินพื้นที่ใช้สอย นอกจากนี้ยังช่วยบดบังสายตาไม่ให้ห้องดูรกอีกด้วย วางที่กั้นแบ่งช่องเก็บของ ส่วนมากชั้นวางของในตู้เสื้อผ้ามักจะเป็นแบบเปิดโล่ง เลยทำให้เเผลอวางของปะปนกันมั่วไปหมด ทำให้ดูรกรุงรัง แค่หาแผ่นพลาสติกมากั้นให้เป็นช่องเล็ก ๆ เพื่อแยกวางของตามประเภท ก็จะหาและหยิบไปใส่ได้ง่ายขึ้น เปลี่ยนถุงใส่รองเท้าไว้เก็บเสื้อผ้า บรรดาเสื้อกันหนาวและเสื้อผ้าหนา ๆ ที่ค่อนข้างกินพื้นที่ ให้หาถุงใส่รองเท้าแบบแขวนมาแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้า จากนั้นม้วนเสื้อผ้าหนา ๆ เก็บเข้าช่องไปเลย ไม่จำเป็นต้องแขวนให้เปลืองเนื้อที่หรือพับเก็บยาก แขวนกระเป๋าแทนการพับเก็บ ถ้าราวแขวนเสื้อผ้ายังพอมีที่ว่าง ๆ เหลืออยู่บ้าง ให้หาตะขอรูปตัวเอส (S) มาแขวนไว้สำหรับแขวนกระเป๋า เพิ่มพื้นที่จัดเก็บกระเป๋าได้อีกเยอะ ต่อให้มีกระเป๋าอีกกี่สิบใบก็แขวนได้สบาย ๆ ไม่ต้องยัดใส่ลิ้นชักให้เสียทรง บริจาคบ้างจะได้มีที่ว่างในตู้เพิ่ม นอกจากวิธีนี้จะช่วยจัดตู้เสื้อผ้าให้เป็นระเบียบและมีพื้นที่ว่าง ๆ เพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างบุญกุศลจากการให้และแบ่งปันได้อีกด้วย หากมีเวลาก็ทยอยคัดเสื้อผ้าที่ไม่ใช้และมีสภาพดี แล้วนำไปบริจาคให้กับคนยากไร้ ดีกว่าเก็บไว้แต่ไม่ได้ใช้เยอะเลย        8.แยกโซนชุดโปรดไว้ต่างหาก สำหรับคนที่มีเสื้อผ้าเยอะมากจนยากที่จะจัดระเบียบ แนะนำให้ใช้วิธีแยกโซนเสื้อผ้าตามความถี่ที่ใช้ดีกว่า ตัวไหนที่คิดว่าใส่บ่อยและจำเป็นต้องใส่ ให้แยกโซนเอาไว้ต่างหาก ในจุดที่หยิบง่าย มองเห็นง่าย จะได้ไม่วุ่นวายตอนหยิบใช้และจัดเก็บได้อย่างง่ายดาย งานนี้หวังว่าคงจะโดนใจขาช้อปเสื้อผ้าและเครื่องประดับกันยกใหญ่ เพราะทริคดี ๆ ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ก็จะช่วยแก้ปัญหาตู้เสื้อผ้ารก เพิ่มช่องว่างในการเก็บของ และจัดระเบียบตู้เสื้อผ้าใบเดิมของคุณให้ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย แถมยังมีที่ว่างเอาไว้รองรับเสื้อผ้าใหม่ ๆ ได้อีกเยอะเลย ขอบคุณแหล่งที่มา : https://home.kapook.com/view164624.html
ข้อควรรู้เมื่อบ้านเกิดรอยร้าว

ข้อควรรู้เมื่อบ้านเกิดรอยร้าว

อีกหนึ่งปัญหาสำหรับเจ้าของบ้านที่สร้างความกังวลใจอย่างมากก็คือ “รอยร้าว” ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับทุกๆ บ้านเมื่อมีอายุการใช้งานไปสักระยะหนึ่ง แต่เจ้าของบ้านส่วนใหญ่กลับละเลยและไม่ลงมือซ่อมแซมรอยร้าวเหล่านี้ทันที เพราะคิดว่าไม่เป็นอันตรายและเป็นการสิ้นเปลืองค่าซ่อมแซม โดยที่ไม่ทราบเลยว่ารอยร้าวบางลักษณะก็เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับบ้าน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับโครงสร้างอาคารโดยตรง หากปล่อยทิ้งไว้นานเข้าอาจเป็นอันตรายถึงขั้นทำให้บ้านถล่มได้เลยนะคะ วันนี้เราจึงรวบรวมรอยร้าวทุกอาการที่พบบ่อยซึ่งมีทั้งแบบไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้าง และรอยร้าวที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้าง พร้อมวิธีแก้ปัญหาดังกล่าว... รอยร้าวที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้าง รอยร้าวแนวดิ่งบนผนังและคาน รอยร้าวแนวดิ่งบนผนังและคานเป็นรอยร้าวที่เกิดจากการแอ่นตัวของพื้นและคานที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น เนื่องจากรองรับน้ำหนักมากเกินไป ทำให้คานแอ่นและดันผนังใต้คานให้เกิดรอยร้าวแนวดิ่งตามมาด้วย หากพบรอยร้าวแนวนี้ แนะนำให้รีบเคลื่อนย้ายข้าวของที่มีน้ำหนักมากๆ ออกทันที เพื่อลดน้ำหนักกดทับและใช้เหล็กค้ำยันเพื่อช่วยแบ่งเบาน้ำหนัก จากนั้นจึงให้วิศวกรเข้ามาตรวจสอบและจ้างผู้รับเหมาหรือช่างที่ชำนาญซ่อมแซมในขั้นตอนต่อไป รอยร้าวบริเวณกลางพื้นหรือบนเพดาน ถ้าเกิดรอยร้าวบริเวณนี้นับว่าเป็นรอยร้าวอันตรายที่สุดเลยค่ะ สาเหตุเกิดจากพื้นชั้นบนรับน้ำหนักมากเกินไป จนเกินขีดความสามารถ การที่เกิดรอยร้าวจึงเป็นสัญญาณเตือนภัยก่อนพื้นจะพังทลายลงมา วิธีรับมือที่ดีสุดคือควรรีบเคลื่อนย้ายข้าวของบริเวณใต้รอยร้าวและบนรอยร้าวให้เร็วที่สุด จากนั้นจึงติดต่อให้วิศวกรเข้ามาตรวจสอบและทำการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน รอยร้าวทแยงมุมบนผนัง รอยร้าวทแยงมุมบนผนังเกิดจากการทรุดตัวของฐานรากหรือเสาบ้านที่อยู่ใกล้ผนังบริเวณนั้น ซึ่งรอยร้าวลักษณะนี้บ่งบอกถึงความไม่แข็งแรงของโครงสร้างบ้าน แนะนำให้ปรึกษาช่างผู้ชำนาญหรือสถาปนิกมาตรวจสอบและแก้ไขโดยด่วน ซึ่งวิธีแก้ไขรอยร้าวชนิดนี้ อาจต้องเสริมเสาเข็มและฐานรากหรือใช้วิธียกบ้านขึ้นชั่วคราวเพื่อทำฐานรากใหม่ หากเจ้าของบ้านปล่อยให้เกิดรอยร้าวลักษณะนี้ต่อไปเรื่อยๆ อาจต้องทุบอาคารทิ้งทั้งหมดเลยนะคะ เพราะฉะนั้นรีบแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่าค่ะ รอยร้าวที่ไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้าง รอยร้าวที่ขอบวงกบประตู- หน้าต่าง เชื่อว่ารอยร้าวนี้ทุกคนต่างพบเจอเยอะที่สุดตามที่อยู่อาศัยแล้วค่ะ สาเหตุหลักๆ มักเกิดจากวงกบประตูหรือหน้าต่างไม้ ซึ่งไม้เป็นวัสดุที่มีการยืดหดตัวง่าย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องอุณหภูมิและความชื้น ก็จะส่งผลให้ปูนฉาบบริเวณนี้เกิดรอยร้าวได้นั่นเอง วิธีแก้ไขแนะนำให้ติดต่อผู้รับเหมาหรือช่างที่มีความชำนาญ เข้ามาขัดแต่งรอยร้าวและฉาบปูนปิดทับลงไปให้เรียบเนียนเสมอกัน รอยร้าวแตกลายงาทั่วผนัง อีกหนึ่งรอยร้าวที่มีให้พบเห็นตามบ้านและอาคารทั่วไปบ่อยๆ คงหนีไม่พ้นรอยร้าวแตกลายงาทั่วผนังนี่แหละค่ะ สาเหตุนั้นมักเกิดจากงานฉาบที่ไม่ได้มาตรฐาน เมื่อผนังผ่านความชื้นและอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงขึ้น จึงเกิดการยืดหดขยายและกลายเป็นรอยร้าวในที่สุด ซึ่งสามารถเกิดรอยได้ทั้งพื้นและผนังเลยนะคะ วิธีแก้ไขก็คือฉาบปูนปิดลงไปให้เสมอกัน โดยกรีดบริเวณรอยร้าวให้เป็นปากฉลาม (กว้างประมาณ 2 มิลลิเมตร) และใช้ปูนกาวโป๊เก็บบริเวณรอยต่อ จากนั้นก็ขัดให้เรียบร้อยแล้วจึงทาสีชนิดที่ปกปิดรอยร้าว เท่านี้ก็ผนังหรือพื้นที่มีรอยร้าวก็กลับมาสวยงามดังเดิมแล้วค่ะ รอยร้าวบริเวณรอยต่อระหว่างผนังกับโครงสร้างเสาและคาน รอยร้าวสุดท้ายที่มักเกิดขึ้นในบ้านมากที่สุดและไม่อันตรายต่อโครงสร้าง คือรอยร้าวบริเวณรอยต่อระหว่างผนังกับโครงสร้างเสาและคาน สาเหตุเกิดจากขั้นตอนการก่อสร้างผนังที่ผู้รับเหมาหรือช่างอาจไม่ได้เสียบเหล็กหนวดกุ้งเพื่อเกาะยึดกับโครงสร้างเสาด้านข้าง หรืออาจจะเสียบแต่ไม่แน่นพอ ทำให้ผนังเกิดรอยร้าวระหว่างรอยต่อของเสาได้ จึงมองดูแล้วไม่สวยงาม วิธีแก้ไขคือติดต่อให้ช่างที่มีความชำนาญอุดรอยต่อหรืออุดรอยร้าวโดยใช้โฟมหรือ PU และจึงทาสีทับให้กลับมาสวยงามดังเดิม รอยร้าวที่เรารวบรวมมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงรอยร้าวที่มักพบบ่อยตามอาคารที่อยู่อาศัยซึ่งมีทั้งแบบไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้าง และรอยร้าวที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้าง ทั้งนี้หากใครพบรอยร้าวตามที่กล่าวมา แนะนำให้ปรึกษาวิศวกรที่มีความชำนาญเข้ามาทำการตรวจสอบเพื่อแก้ไขในขั้นตอนต่อไป ทางที่ดีไม่ควรชะล่าใจปล่อยรอยร้าวทิ้งไว้นานนะคะ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อสมาชิกในครอบครัวได้
จัดระเบียบคอนโดพื้นที่จำกัด ด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาโดนใจ ตอบทุกไลฟ์สไตล์

จัดระเบียบคอนโดพื้นที่จำกัด ด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาโดนใจ ตอบทุกไลฟ์สไตล์

ต้องยอมรับจริงๆ ค่ะว่าวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมยุค 4.0 นั้นเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดฯ จึงเป็นตัวเลือกที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ทำเลที่ตั้งที่อยู่ใจกลางเมือง การเดินทางที่สะดวกใกล้ทางด่วนหรือรถไฟฟ้า รวมไปถึงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ใกล้แหล่งความเจริญอย่าง ห้างสรรพสินค้า, สถานที่ทำงาน, โรงเรียน หรือโรงพยาบาล ก็ล้วนแต่อยู่ในพิกัดที่ง่ายต่อการไปถึง แต่ความสะดวกสบายนั้นก็ต้องแลกกับพื้นที่จำกัดของคอนโดฯ ที่ทำให้การใช้ชีวิตของมนุษย์ต้องอาศัยอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เท่านั้น ดังนั้นการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์หรือของแต่งห้องเอง จึงต้องให้ความสำคัญเป็นอับดับต้นๆ เพราะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับขนาดว่าจะนำมาจัดวางอย่างไรให้ลงตัว รวมไปจนถึงการใช้งานภายในห้องเล็กๆ เหล่านี้ด้วยว่าตอบโจทย์หรือไม่ นอกจากนี้การออกแบบของรูปลักษณ์ และราคาก็ถูกนำมาพิจารณาในการตัดสินใจอีกด้วย อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (Index Living Mall) ผู้นำด้านเฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้านและของใช้ภายในบ้าน จึงได้ออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่สามารถสร้างพื้นที่และแต่งห้องไปพร้อมๆ กัน เพื่อเป็นการตอบโจทย์ให้กับผู้อยู่อาศัยที่มีปัจจัยจำกัดด้านพื้นที่ในสมัยนี้ ชุดห้องนอน CLICK คือเฟอร์นิเจอร์ที่ช่วยแก้ไขปัญหาพื้นที่อันจำกัดภายในคอนโดฯ อย่างห้อง Studio หรือห้องขนาดเล็กได้เป็นอย่างดี โดยสามารถเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยในห้องนอนขนาดเล็กให้กว้างขวางมากขึ้นได้ ตัวเฟอร์นิเจอร์เป็นได้ทั้งเตียงนอนสำหรับการพักผ่อน และพื้นที่จัดเก็บในชิ้นเดียวกัน เน้นรูปแบบที่เรียบง่ายสไตล์โมเดิร์นกับโทนสีขาวสบายตา พร้อมโดดเด่นด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานอันหลากหลาย โดยนำคุณสมบัติของโต๊ะ ตู้ และเตียง มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว อีกทั้งยังมอบความสะดวกสบาย โดยไม่จำเป็นต้องสรรหาเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นให้มาเปลืองพื้นที่เลยค่ะ จึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากเลยทีเดียว แถมยังมีความคุ้มค่า เพราะดีไซน์ครบทุกฟังก์ชั่นการใช้ชีวิตภายใต้พื้นที่อันน้อยนิดในคอนโดฯ เหมาะกับทุกสไตล์ห้อง เนื่องจาก ชุดห้องนอน CLICK มีรูปลักษณ์ที่ดูโมเดิร์น สบายตา ภายใต้ดีไซน์ที่เรียบง่าย จึงทำให้เข้ากับการแต่งคอนโดฯ ได้หลากหลายรูปแบบ หลากหลายสไตล์ เช่น การตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นของผู้คนสมัยใหม่ การตกแต่งในแบบ Cozy Living ที่ดูอบอุ่น หรือแม้กระทั่งการตกแต่งในสไตล์มินิมอล น้อยชิ้นแต่มีฟังก์ชั่น เฟอร์นิเจอร์ชิ้นนี้ก็สามารถรองรับได้ทุกรูปแบบ ราคาสบายกระเป๋า เมื่อราคามีผลต่อการตัดสินใจ หากคุณผู้อ่านมีงบประมาณในการจับจ่ายอย่างจำกัด การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์เพียงชิ้นเดียวแต่สามารถใช้สอยประโยชน์ได้อย่างมากมายภายใต้ราคาอันย่อมเยา ซึ่งมีให้เลือกสรรถึง 2 รุ่นด้วยกัน คือ ชุดห้องนอน CLICK  รุ่นหัวเตียงเตี้ย ในราคา 19,900 บาท และ รุ่นหัวเตียงสูง ในราคา 29,900 บาท ทำให้มั่นใจได้ว่านอกจากจะได้เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานได้หลากหลายแล้ว ยังมีพื้นที่ในการจัดเก็บสิ่งของได้อย่างจุใจ ไม่ว่าจะไซส์เล็กหรือใหญ่ก็สามารถจัดเก็บให้เป็นระเบียบเรียบร้อยและครบถ้วนได้อย่างง่ายดายเลยค่ะ ช่องสำหรับเก็บสัมภาระขนาดใหญ่บริเวณท้ายเตียง หรือสามารถเอาไว้เลี้ยงสัตว์ได้ คืนพื้นที่ให้คอนโดฯ หลายครั้งที่พื้นที่เล็กๆ ของคอนโดฯ เต็มไปด้วยข้าวของที่กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ชุดห้องนอน CLICK นั้นสามารถเก็บข้าวของเครื่องใช้ได้หลากหลาย ด้วยช่องใส่ของที่มีมากมายไม่ว่าจะเป็นลิ้นชักหรือบานตู้ที่ช่วยซ่อนความรกของข้าวของได้เป็นอย่างดี โดยมาพร้อมขนาดและรูปทรงอันหลากหลายรายล้อมรอบเตียงไว้ เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นด้านบน ด้านข้าง หรือแม้กระทั่งด้านล่าง ก็ล้วนตอบโจทย์ความต้องการได้ทุกรูปแบบ ซึ่งทำให้มีพื้นที่ในการจัดเก็บเพิ่มมากขึ้น รวมไปจนถึงการหยิบใช้ก็แสนสะดวกสบาย ทำให้ประหยัดเวลาในการหาของใช้ แถมยังประหยัดเงินด้วยราคาที่คุ้มค่ากับฟังก์ชั่นการใช้งานภายในงบประมาณที่จับต้องได้ เพื่อให้คอนโดฯ ของคุณได้มีพื้นที่เหลือมากขึ้น ตู้วางทีวี มีช่องสำหรับเก็บของเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ภายในตู้ถูกออกแบบมาให้สามารถปรับเป็นตู้รองเท้าและวางของได้ สวยครบเครื่องในเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเดียว หลายคนที่อาศัยอยู่ในคอนโดฯ ห้องขนาดเล็ก คงเข้าใจดีว่าพื้นที่แต่งตัวนั้นยากต่อการจัดสรรให้เป็นอย่างใจ ยิ่งถ้าขนาดห้องเล็กมาก บางคนอาจต้องใช้โต๊ะเครื่องแป้งในห้องน้ำ หากมุมแต่งตัวเพื่อเตรียมความพร้อมในแต่ละวันของคุณยังจัดได้ไม่ลงตัว ทำให้เกิดความลำบากและยุ่งยากในการใช้ชีวิตมากขึ้น การเลือกชุดห้องนอนครบฟังก์ชั่น CLICK แบบรุ่นหัวเตียงสูง ที่รวมตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งในหนึ่งเดียว พร้อมช่องเก็บของเอนกประสงค์ที่สามารถจัดเก็บหนังสือ ของใช้ส่วนตัวและอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งการเสริมเฟอร์นิเจอร์ อย่างตู้เสื้อผ้าบานสไลด์ และตู้วางทีวี มาช่วยเพิ่มพื้นที่จัดเก็บให้มากยิ่งขึ้น เพียงเท่านี้ก็สามารถดำเนินชีวิตในแต่ละวันได้อย่างสะดวกสบาย และมีสไตล์ไปพร้อมๆ กันแล้ว ชุดห้องนอน รุ่น CLICK ที่รวมเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเครื่องแป้งในหนึ่งเดียว พร้อมช่องเก็บของอเนกประสงค์ การตกแต่งคอนโดในปัจจุบันแค่ความสวยเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอนะคะ การตกแต่งห้องนอนที่ดีจึงต้องคำนึงถึงพื้นที่ใช้สอยไปพร้อมกับการใช้งานด้วย หากคุณอยากจัดระเบียบคอนโดพื้นที่จำกัดให้คุ้มค่าทุกตารางนิ้ว การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ทันสมัยในฟังก์ชั่นที่เป็นมากกว่าหนึ่งที่เรานำมาแนะนำกันในวันนี้ ก็สามารถจัดระเบียบห้องให้สวยมีสไตล์ และพร้อมสำหรับทุกการใช้สอยในงบประมาณจำกัดก็เป็นตัวเลือกที่ดีไม่ใช่น้อย สำหรับผู้ที่สนใจลองไปสัมผัสของจริงได้ที่โชว์รูม อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ทั่วประเทศ หรือคลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.indexlivingmall.com ขอบคุณรูปภาพจาก : indexlivingmall
ฮวงจุ้ยตู้เย็น วางตรงไหนถึงจะดี เลือกสีอย่างไรให้ถูกโฉลก

ฮวงจุ้ยตู้เย็น วางตรงไหนถึงจะดี เลือกสีอย่างไรให้ถูกโฉลก

ฮวงจุ้ยตู้เย็น มาดูการจัดวางตำแหน่งตู้เย็นในห้องต่าง ๆ อาทิ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น และห้องนอน รวมไปถึงการเลือกตู้เย็นให้ถูกโฉลก ช่วยเสริมดวงให้กับคนในบ้าน   "ตู้เย็น" เป็นอีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีกันแทบทุกบ้าน แต่รู้หรือไม่ว่าตู้เย็นก็มีผลต่อการใช้ชีวิตของคนในบ้านเหมือนกัน หากขาดการดูแลรักษา วางผิดตำแหน่ง หรือเลือกสีไม่ถูกต้อง ก็จะส่งผลเสียต่อชีวิต เช่น การงาน การเงิน ความสัมพันธ์ และสุขภาพ ฉะนั้นมาดูวิธีการจัดวางตู้เย็นที่ถูกต้องและเลือกสีตู้เย็นให้ถูกโฉลกกันเถอะ   การดูแลและรักษาความสะอาด ตู้เย็น เปรียบเหมือนสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ฉะนั้นไม่ควรปล่อยให้ตู้เย็นว่าง เพราะส่งผลให้สถานภาพทางการเงินของคนในบ้านแย่ลง ในทางกลับกันหากมีอาหารมากเกินไปจนเต็มตู้ ก็จะทำให้พลังชี่ (Qi) ไม่หมุนเวียน ฉะนั้นควรมีการจัดตู้เย็น ให้มองเห็นสิ่งของต่าง ๆ ภายในตู้ได้ง่าย หยิบสะดวกไร้กลิ่นเหม็น และไม่มีของหมดอายุค้างในตู้ นอกจากนี้ควรหมั่นเช็ดชั้นวางของ ช่องแช่แข็ง และลิ้นชักให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อทำให้พลังชี่ไหลเวียนได้สะดวก พร้อมทั้งทำให้คนในบ้านมีทั้งเงินทอง โชคลาภ และความโชคดี   การจัดวางตำแหน่งตู้เย็น ตำแหน่งการวางตู้เย็นก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะล้วนมีผลกระทบกับความเป็นอยู่ของคนในบ้านทั้งสิ้น ทั้งในเรื่องของการเงิน ความมั่นคง และสุขภาพ ซึ่งมีข้อควรเลี่ยงในการจัดวางตู้เย็นตามห้องต่าง ๆ ดังนี้   ไม่ควรวางตู้เย็นตรงกับประตู : ไม่ว่าจะวางตู้เย็นในห้องนั่งเล่นหรือห้องครัว ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ตรงข้ามประตู เพราะจะทำให้การหมุนเวียนของพลังชี่วิตติดขัด และทำให้เก็บเงินไม่อยู่ มีเรื่องให้ใช้จ่ายตลอด ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้ ให้นำเหรียญจีนโบราณ 5 จักรพรรดิ แขวนไว้เหนือประตู จะช่วยขับไล่พลังร้ายออกไปและเรียกโชคลาภเข้ามาแทน    ไม่ควรวางใกล้เตา : เพราะตู้เย็นจัดอยู่กลุ่มธาตุโลหะ ส่วนเตาจัดอยู่ในกลุ่มธาตุไฟ จึงไม่ควรวางของทั้ง 2 อย่างนี้ไว้ใกล้ ๆ หรือตรงข้ามกัน เพราะจะทำให้คนในบ้านทะเลาะเบาะแว้ง มีปากมีเสียง และขาดความสามัคคี การจัดวางตู้เย็นในห้องครัวที่ดี ควรวางเตา อ่างล้างจาน และตู้เย็นให้เป็นรูปสามเลี่ยม เพื่อลดการปะทะหรือความความขัดแย้ง   ไม่ควรวางของบนตู้เย็น : โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ อาทิ เตาอบ ไมโครเวฟ และอื่น ๆ เพราะนอกจากจะมีผลต่อระบบระบายความร้อนของตู้เย็นแล้ว ทางฮวงจุ้ยถือว่าสิ่งของเหล่านี้จะไปขัดการไหลเวียนของกระแสลมที่เชื่อมโยงไปถึงเรื่องสุขภาพด้วย   ไม่ควรวางตู้เย็นในห้องนอน : เพราะเป็นอุปสรรคขัดขวางโอกาสความก้าวหน้าและความสำเร็จในเรื่องหน้าที่การงาน     การเลือกสีตู้เย็น ควรเลี่ยงการนำตู้เย็นสีแดงมาใช้ในห้องครัว : เพราะสีแดงจัดอยู่กลุ่มธาตุไฟ ที่จะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งภายในบ้าน ส่วนสีตู้เย็นที่ถูกโฉลก ได้แก่ สีขาวและสีเงิน ซึ่งทั้ง 2 สีนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์และสุขลักษณะที่ดี นอกจากนี้ก็มีสีเบจและสีขาวมุกที่จัดอยู่ในกลุ่มของธาตุดินและสามารถนำมาใช้ในห้องครัวได้เช่นกัน ตู้เย็นมีผลต่อชีวิตของเราหลายเรื่องเลยทีเดียว ทั้งการงาน การเงิน ความสัมพันธ์ และสุขภาพ ซึ่งก็ได้ทราบวิธีการจัดวางตู้เย็นและสีที่ถูกโฉลกกันไปแล้ว ก่อนจะซื้อตู้เย็นเครื่องใหม่หรืออยากจะเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น ก็ลองนำฮวงจุ้ยตู้เย็นไปปรับใช้กันดูนะคะ ขอบคุณแหล่งที่มา : https://home.kapook.com/view178537.html          
10 สิ่งของที่ไม่ควรมีในห้องนอน ถ้าอยากหลับสบายฝันดีทุกคืน

10 สิ่งของที่ไม่ควรมีในห้องนอน ถ้าอยากหลับสบายฝันดีทุกคืน

ใครที่อยากเปลี่ยนอาการนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ให้เป็นการนอนหลับสนิทฝันดีต้องรีบเคลียร์สิ่งของเหล่านี้ออกจากห้องนอนให้ไว ! รู้หรือไม่ ว่าการจัดวางหรือมีสิ่งของบางประเภทอยู่ในห้องนอนก็ส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ เช่น ทำให้นอนหลับไม่สนิท นอนกรน หรือนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ได้ แต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะในวันนี้กระปุกดอทคอมได้รวบรวมสิ่งของเจ้าปัญหาในห้องนอนที่ทำให้นอนไม่หลับหรือนอนหลับยาก พร้อมวิธีแก้ไขเพื่อช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น แถมยังมีผลดีในทางฮวงจุ้ยห้องนอนมาฝากกันค่ะ 1. นำสัตว์เลี้ยงมานอนบนเตียง  เราเข้าใจว่าคนรักสัตว์ทุกคนก็อยากจะพาสัตว์เลี้ยงมานอนบนเตียงเป็นธรรมดา แต่ผลการวิจัยของคลินิกมาโย จากสหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ที่นอนบนเตียงเดียวกับสัตว์เลี้ยงมีปัญหาการนอนถึง 10% สาเหตุก็เพราะหมาและแมวมักจะส่งเสียงรบกวนหรือเดินวุ่นวายในขณะที่เราหลับ อาจทำให้เจ้าของสะดุ้งตื่นกลางดึกหรือนอนหลับไม่สนิทจนมีอาการสะลึมสะลือหรืออ่อนเพลียในตอนเช้าได้ ฉะนั้นเลี่ยงไว้ก่อนดีกว่า หรือถ้าหากแยกมุมที่นอนให้แล้วแต่สัตว์เลี้ยงก็ยังมาป้วนเปี้ยนบนที่นอน ก็เลี้ยงไว้นอกห้องจะดีกว่า เพื่อช่วยให้นอนหลับได้สนิทขึ้นซึ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพของตัวคุณเองด้วยนะคะ 2. มีของไม่ใช้ ตั้งไว้ก็เกิดฝุ่น  การจัดวางสิ่งของที่ไม่จำเป็นหลาย ๆ อย่างในห้องนอนทำให้เกิดฝุ่นละอองสะสมและส่งผลให้เกิดโรคภูมิแพ้ ดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ เราควรวางของในห้องนอนเท่าที่จำเป็น อะไรที่ไม่ได้ใช้แล้วและทำให้เกิดฝุ่นได้ง่าย เช่น หนังสือ ของตั้งโชว์ ควรเอาออกไปไว้ที่อื่นทั้งหมด นอกจากนี้ควรหมั่นทำความสะอาดที่นอน หมอน ผ้าห่ม รวมถึงพื้นห้องให้สะอาดอยู่เสมอ และหากห้องนอนของใครมีเครื่องกรองอากาศก็ควรเปิดให้เครื่องช่วยกำจัดฝุ่นสักประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอนด้วยค่ะ 3. นอนหมอนเก่าซ้ำ ๆ มาหลายปี  แน่นอนว่าเราไม่ควรนอนหนุนหมอนที่เก่า เพราะหมอนเก่า ๆ จะไม่รองรับกับสรีระของเรา และถ้าเราฝืนนอนต่อไปนาน ๆ ก็สามารถทำให้ปวดคอและปวดหลังได้ ซึ่งในวันนี้เราก็มีวิธีเช็กว่าหมอนเก่าหรือไม่แบบง่าย ๆ มาฝาก โดยให้นำหมอนมาพับครึ่ง จากนั้นก็ปล่อยถ้าหมอนคืนตัวกลับเป็นสภาพเดิมก็ถือว่ายังใช้ได้แต่ถ้าพับแล้วหมอนค้างอยู่อย่างนั้น ก็ให้ทำไปทิ้งได้เลย เพราะว่าหมอนที่ไม่คืนตัว ก็คือหมอนเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วนั่นเอง 4. วางโต๊ะทำงานไว้ในห้อง  อย่าลืมนะคะว่าห้องนอนไม่ใช่ห้องทำงานหากตอนนี้ใครมีโต๊ะทำงานอยู่ในห้องนอนละก็ ควรรีบย้ายออกโดยด่วน เพราะห้องนอนเป็นสถานที่ที่มีไว้เพื่อพักผ่อน การนำโต๊ะทำงานมาตั้งไว้ในห้องนอนจะทำให้เรารู้สึกไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เช่น บางคนที่มีงานค้างอยู่ พอตาเหลือบไปมองเห็นโต๊ะ ก็พาลให้คิดถึงเรื่องงาน จนไม่ได้พักผ่อนซะอย่างนั้น แต่ถ้าบ้านใครมีพื้นที่จำกัด ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้จริง ๆ ก็ควรวางโต๊ะทำงานให้ห่างจากเตียงนอนมากที่สุด และหาผ้ามาคลุมเมื่อไม่ใช้งาน เพื่อให้ห้องนอนเป็นที่ พักผ่อนอย่างแท้จริง 5. กองหนังสือที่อ่านไม่จบ สำหรับบางคนที่วางกองหนังสือหรือนิตยสารไว้ทั่วห้องนอน เพราะตั้งใจว่าจะอ่านเมื่อมีเวลาว่าง แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ก็ไม่ได้หยิบมาอ่าน เพราะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น หรือไม่เรื่องที่อ่านไม่น่าสนใจแล้ว จนทำให้ห้องนอนมีหนังสืออยู่เต็มไปหมด ส่งผลให้เรารู้สึกไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แถมเสี่ยงสะดุดหนังสือหกล้มและกลายเป็นจุดสะสมฝุ่นอีกต่างหาก ดังนั้นถ้าตัดสินใจว่าจะไม่อ่านแล้ว ให้รีบเคลียร์หนังสือออกจากห้องนอนไปไว้ที่โต๊ะทำงานหรือห้องรับแขกจะดีกว่า แต่ถ้าไม่ได้มีพื้นที่มากขนาดนั้นจะนำหนังสือไปบริจาคก็ดีนะคะ 6. เสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่เต็มตู้ สาว ๆ มักจะเกิดอาการเสียดาย เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่เต็มตู้แต่ก็ตัดใจทิ้งไปไม่ได้ รู้หรือไม่ว่าตามหลักฮวงจุ้ยนั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอาซะเลยเพราะการที่ยังเก็บเสื้อผ้าเก่าหรือเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่แล้วไว้ในตู้เป็นการปิดกั้นโอกาสใหม่ ๆ ไม่ให้เข้ามา ฉะนั้นถ้าเรามีเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่แล้วก็ควรเคลียร์ออกเพื่อเปิดช่องว่างต้อนรับสิ่งใหม่ ๆ โดยจะนำไปทำเป็นผ้าขี้ริ้ว หรือบริจาคสร้างบุญก็ยังได้ 7. วางตะกร้าผ้าในห้องนอน  หากมีตะกร้าผ้าอยู่ในห้องนอนอาจทำให้เรารู้สึกถึงงานบ้านที่กำลังรออยู่ในช่วงวันหยุด ทางที่ดีควรนำตะกร้าใส่ผ้าไปไว้ที่อื่น ก็จะช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้นแต่ถ้าหากย้ายตะกร้าผ้าไปไว้ที่อื่นไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ก็ควรใส่ผ้าลงในตะกร้าให้หมด อย่าให้ออกมานอกตะกร้า เกะกะขวางทางเดิน ทำให้ห้องดูรก และรู้สึกไม่น่าอยู่ได้ 8. สร้างกองขยะอิเล็กทรอนิกส์ มีหลายคนเก็บขยะอิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ รีโมท และนาฬิกาปลุกเก่า ๆ ที่พังหรือไม่ได้ใช้แล้ว เพราะเป็นความทรงจำดี ๆ หรือไม่ก็เก็บไว้เป็นอะไหล่ โดยที่ไม่รู้ว่าของพวกนี้ไม่ควรอยู่ในห้องนอนเพราะหลักฮวงจุ้ยถือว่า ของที่พัง ชำรุด เสียหาย เป็นแหล่งสะสมพลังงานด้านลบ ซึ่งจะนำเรื่องไม่ดีมาให้คนในบ้านได้ ฉะนั้นเราควรนำของพวกนี้ไปซ่อม บริจาคหรือไม่ก็เก็บใส่กล่องแล้วเอาไปไว้ที่ห้องเก็บของดีกว่า 9. เครื่องสำอางหมดอายุ สาว ๆ ควรระวังให้ดีเพราะนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลอนดอน เมโทรโพลิตัน บอกว่าเครื่องสำอางเก่า ๆ มีเชื้อแบคทีเรียอยู่เพียบ ถ้าเลือกจะเก็บไว้ในห้องนอนคงไม่เวิร์กแน่ ๆ และที่สำคัญถ้าเครื่องสำอางมันเก่าจนหมดอายุแล้วก็ไม่เห็นจะมีความจำเป็นที่ต้องเก็บไว้ เพราะหากเรานำมาใช้ต่อก็เสี่ยงทำให้หน้าพังได้ง่าย ๆ ดังนั้นเราขอแนะนำให้นำเครื่องสำอางเก่า ๆ ไปทิ้งซะตอนนี้เลย 10. มีโทรทัศน์ไว้นอนดู แม้ว่าการดูโทรทัศน์จะถือเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่งแต่การพักผ่อนที่ดีในสุดในห้องนอนก็คือการนอนหลับซึ่งการที่มีโทรทัศน์หรือเปิดโทรทัศน์ไว้ก็สามารถรบกวนการนอนหลับได้ ดังนั้นเราขอแนะนำให้ย้ายโทรทัศน์ออกจากห้องนอนหรือถ้าย้ายไม่ได้ก็หาผ้ามาคลุมโทรทัศน์ไว้ในเวลาที่ไม่ใช้จะดีที่สุดค่ะ เราเข้าใจว่าสิ่งของบางอย่างก็นำไปไว้ที่อื่นยากแต่ถ้าหากอยากนอนหลับสบายฝันดีก็ควรหาทางจัดการกับสิ่งของเหล่านี้ออกไปจากห้องนอนซะ เช่น การนำไปทิ้งหรือบริจาค ก็จะช่วยให้การนอนดีขึ้นได้ค่ะ ขอบคุณแหล่งที่มา : https://home.kapook.com/view179294.html
วิธีกำจัดแมลงสาบในบ้านง่ายๆ ได้ผลดีที่สุด

วิธีกำจัดแมลงสาบในบ้านง่ายๆ ได้ผลดีที่สุด

เมื่อพูดถึงสัตว์ ที่มักสร้างความรำคาญและน่ากลัวภายในบ้าน คงหนีไม่พ้น แมลงสาบ ใช่ไหมคะ? เพราะแมลงชนิดนี้ชอบอาศัยอยู่ในที่อุ่นชื้น, มืด ชอบกินเศษอาหารและขยะ ซึ่งฝุ่นจากซากแมลงสาบนั้นจัดเป็นสารก่อภูมิแพ้ทำให้เกิดโรคจมูกอักเสบ และโรคภูมิแพ้อื่นๆ อย่างหอบหืดได้ ทั้งยังก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้ได้จากการสัมผัส การสูดดมและการกิน รวมถึงเป็นสัตว์พาหะนำเชื้อโรคมาสู่มนุษย์ได้ เพราะเป็นตัวกลางของพยาธิบางชนิด แน่นอนว่าคงไม่มีอยากพบเจอแมลงชนิดนี้ในบ้าน หากคุณเคยประสบปัญหาแมลงสาบกวนใจวิ่งพล่านไปทั่ว สร้างความปวดหัวให้สมาชิกในครอบครัวไม่น้อย แถมยังทำให้บ้านดูสกปรก เกิดเชื้อรา เป็นพาหะนำโรค วันนี้เราจึงมีวิธีป้องกันและกำจัดแมลงสาบในบ้านมาฝากค่ะ วิธีป้องกันแมลงสาบในบ้าน 1. หมั่นทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ แน่นอนว่าความสะอาด เป็นสิ่งสำคัญ ไม่เพียงแต่ป้องกันเฉพาะแมลงสาบเท่านั้น แต่รวมไปถึงสัตว์อื่นๆ อย่าง มด และหนู เป็นต้น ฉะนั้นเราจึงควรดูแลบ้านให้ดี และหมั่นทำความสะอาดบ้านเป็นประจำ นอกจากนี้ไม่ควรวางอาหารทิ้งไว้ เพราะแมลงสาบมักชอบกินเศษอาหารและขยะ ซึ่งควรกำจัดเศษอาหารที่เป็นแหล่งรวมเชื้อโรค เท่านี้ก็ช่วยป้องกันแมลงสาบกวนใจได้ในระดับหนึ่งแล้วค่ะ 2. อุดรอยรั่ว รวมถึงแหล่งน้ำขังต่างๆ สำหรับวิธีการป้องกันแมลงสาบอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือ รอยรั่วซึม รวมไปจนถึงแหล่งน้ำขังต่างๆ เพราะแมลงสาบไม่สามารถขาดน้ำได้เกิน 1 อาทิตย์ ดังนั้นหากพบรอยรั่วซึมของน้ำ หรือแหล่งน้ำขัง แนะนำให้ทำการแก้ไขโดยทันทีค่ะ เพื่อช่วยป้องกันแมลงสาบเข้ามาวุ่นวายในบ้านได้ วิธีกำจัดแมลงสาบในบ้าน 1. ลองใช้สบู่ผสมน้ำดูสิ.. หลายคนอาจสงสัยว่าสบู่สามารถช่วยกำจัดแมลงสาบได้ด้วยเหรอ? ขอตอบเลยค่ะว่า ได้! เพราะกลิ่นหอมของสบู่ เป็นกลิ่นที่ทำให้แมลงสาบไม่ชอบ และไม่อยากเข้าใกล้ วิธีง่ายๆ ก็แค่นำสบู่ไปผสมกับน้ำเล็กน้อย จากนั้นก็นำไปวางตามบริเวณจุดต่างๆ ที่มักมีแมลงสาบ เท่านี้ก็สามารถไล่แมลงสาบได้แล้วค่ะ แต่วิธีนี้ผู้อยู่อาศัยต้องหมั่นเติมสบู่อยู่บ่อยครั้งนะคะ เนื่องจากสบู่จะค่อยๆ ละลายหายไปกับน้ำนั่นเอง 2. ใบกระวานก็ช่วยได้นะ ใบกระวาน ถือเป็นใบที่มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ จึงนิยมนำไปใช้เป็นเครื่องเทศแต่งกลิ่นในอาหารต่างๆ  ซึ่งถือเป็นอีกกลิ่นที่แมลงสาบไม่อยากเข้าใกล้และไม่ชอบเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อเรารู้ว่าเจ้าแมลงสาบไม่ชอบ ก็แค่เพียงนำใบกระวานไปวางตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน หรือบริเวณที่มักมีแมลงสาบ ก็จะสามารถไล่แมลงสาบได้เช่นกันค่ะ 3. ลูกเหม็นก็สำคัญ ลูกเหม็นที่เราใช้ดับกลิ่นในห้องน้ำ ไม่เพียงแค่ช่วยไล่แค่จิ้งจกเท่านั้น แต่ลูกเหม็นยังสามารถไล่แมลงสาบได้อีกด้วย โดยนำลูกเหม็นไปวางใกล้ๆ ถังขยะ หรือบริเวณตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน ด้วยกลิ่นฉุนของลูกเหม็นก็จะทำให้แมลงสาบไม่กล้าเข้าใกล้ แต่วิธีนี้จะต้องเก็บให้พ้นมือเด็กนะคะ และควรมีภาชนะปิดฝาให้เรียบร้อยด้วยเพื่อป้องกันการเกิดอันตรายแก่เด็ก 4. ง่ายๆ แค่ใช้..สเปรย์พริกไทย อีกหนึ่งวิธีที่แสนง่าย สามารถทำเองได้สบายเลยค่ะ เพราะแค่นำพริกไทย ผสมกับน้ำ ใส่ลงในขวดสเปรย์เท่านี้ก็จะได้ สเปรย์พริกไทยกันแล้ว จากนั้นก็นำไปฉีดบริเวณที่แมลงสาบมักชอบอาศัยอยู่ หรือใครจะใช้เป็นพริกไทยเม็ดแทนก็ได้เช่นกันนะคะ เพียงนำพริกไทยเม็ดใส่ห่อผ้า แล้วไปวางตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน กลิ่นฉุนของพริกไทยก็จะทำให้แมลงสาบนั้นหนีไป และไม่กล้าเข้ามาใกล้อีกค่ะ 5. เปลือกส้ม เปลือกมะนาว อย่าทิ้ง! เปลือกส้ม และเปลือกมะนาว นั้นมีประโยชน์จริงๆ ค่ะ ด้วยกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นอีกกลิ่นที่แมลงสาบไม่ชอบเช่นกัน ดังนั้นแนะนำให้นำเปลือกส้ม เปลือกมะนาว ไปปั่นเข้ากับน้ำ แล้วนำไปฉีดราดบริเวณที่แมลงสาบมักชอบอยู่ หรือจะนำเปลือกส้ม เปลือกมะนาวใส่ภาชนะไปวางตามจุดต่างๆ บริเวณภายในบ้านก็ได้เช่นกัน เท่านี้ก็สามารถไล่แมลงสาบกันได้แล้ว นอกจากไล่แมลงสาบแล้วยังสามารถใช้ไล่มดและจิ้งจกได้อีกด้วยค่ะ วิธีการป้องกันและกำจัดแมลงสาบที่เรานำมาฝาก เป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งเท่านั้น ถ้าจะให้ได้ผลดีที่สุดควรตรวจสอบในบ้านให้ดี เพราะแหล่งอาหาร น้ำ มักเป็นที่หลบซ่อนของแมลงเหล่านี้ ดังนั้นถ้าหารรับประทานอาหารไม่หมด หรือมีเศษอาหารเหลือจึงควรเก็บอาหารในกล่องที่มีฝาปิดมิดชิด รวมไปถึงการทำความสะอาดและกำจัดฝุ่นอย่างสม่ำเสมอ รวมไปจนถึงการซ่อมแซมรอยร้าว และรูโหว่ต่างๆ ในบ้านเพื่อไม่ให้แมลงตัวป่วนเข้ามาในบ้านของเราได้อีก รูปภาพจาก : Pinterest, google 
ทำความรู้จักกับบ้านสำเร็จรูป ตัวเลือกของคนงบน้อย ใช้เวลาไม่มาก

ทำความรู้จักกับบ้านสำเร็จรูป ตัวเลือกของคนงบน้อย ใช้เวลาไม่มาก

เมื่อเทคโนโลยียุค 4.0 เดินหน้าต่อเนื่องอย่างไม่เคยหยุดยั้ง หากมองย้อนกลับไปในระยะเวลาเพียงไม่ถึง 20 ปีที่โลกได้รู้จักคอมพิวเตอร์ จะเห็นภาพชัดเลยว่าเทคโนโลยีได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์ให้ต่างไปจากเดิมมากมาย ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นด้านของการติดต่อสื่อสาร การเดินทาง การเรียนรู้ และที่อยู่อาศัย ซึ่งประเด็นสุดท้ายนั้นมีความสำคัญเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของเราทุกคนโดยตรง เพราะวันนี้ 'บ้าน' ได้เปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิม เล่าย้อนไปสัก 30 ปีที่แล้ว ระบบการสร้างบ้านที่คุ้นเคยกันดีคือระบบก่อสร้างในพื้นที่ โดยฝีมือแรงงานมนุษย์ที่ลงมือทำทีละส่วนตามแบบแปลน ค่อยๆ บรรจงในทีละขั้นตอน ตั้งแต่เทคาน ก่ออิฐ ฉาบปูน เฉพาะงานโครงสร้างนั้นกินเวลาหลายเดือน และด้วยระยะเวลาในก่อสร้างที่ยาวนานนี้ทำให้เกิดนวัตกรรมก่อสร้างที่อยู่อาศัยหลายรูปแบบเพื่อร่นระยะเวลา ลดปัจจัยเสี่ยงจากการขนส่ง และลดค่าใช้จ่ายไม่ให้บานปลาย รวมทั้งหมดก็เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายในการสร้างที่อยู่อาศัยนั่นเอง สำหรับคนที่สนใจในเรื่องของบ้านสำเร็จรูป แต่ไม่รู้ว่างานก่อสร้างแบบไหนที่เหมาะกับการใช้งานที่แท้จริง วันนี้เราจะพาไปรู้จักระบบของบ้านสมัยใหม่ที่จะช่วยให้เข้าใจและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น   KNOCK DOWN     บ้านสมัยใหม่ที่หลายคนคงคุ้นหูคุ้นตาคนไทยมานานสำหรับระบบก่อสร้างแบบ Knock down หรือเรียกว่าบ้านสำเร็จรูป ซึ่งส่วนใหญ่มักจะติดภาพ บ้านไม้ชั้นเดียว ที่มีขนาดเล็ก กะทัดรัด สร้างอยู่ทำเลที่เข้าถึงยาก และมักจะสร้างเป็นรีสอร์ต เป็นที่พักอาศัยชั่วคราว แต่ในปัจจุบัน รูปทรงของบ้านน็อคดาวน์ได้ต่างไปจากเดิมแล้วนะคะ เพราะผ่านการพัฒนารูปแบบให้ทันสมัย มีความแข็งแรงคงทน และสามารถปรับเปลี่ยนวัสดุเป็นวัสดุสมัยใหม่ที่สามารถยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น โดยใช้ผนังรับแรง ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีเสาคานรับน้ำหนัก ง่ายต่อการขนย้าย บ้านน๊อคดาวน์จะเป็นบ้านที่ออกแบบทุกส่วนไว้เสร็จสรรพ ไม่สามารถปรับแบบเพิ่มเติมได้แต่ก็ง่ายในการก่อสร้าง ส่วนเรื่องของความแข็งแรงนั้นมั่นใจได้เป็นอย่างดีว่ามีความคงทนแน่นอน ระยะเวลา : 2-4 เดือน/ยูนิต จุดเด่น : ติดตั้งประกอบได้อย่างรวดเร็ว รื้อประกอบใหม่ได้ หมายเหตุ : ไม่เหมาะในการปรับแบบจากอาคารเดิม   MODULAR HOUSE     บ้านสมัยใหม่ อันดับต่อมาที่ถือว่าได้รับความสนใจในเมืองไทยเลยทีเดียวกับระบบก่อสร้างที่ชื่อ Modular หรือบ้านกึ่งสำเร็จรูปอีกรูปแบบ ที่มีความแตกต่างจากบ้านน็อคดาวน์ในหลายจุด ถ้าจะให้อธิบายแบบง่ายๆ ให้เห็นภาพชัดๆ คือระบบนี้ก็เปรียบเสมือนตัวต่อเลโก้ที่นำชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบกัน สามารถขยายขนาดได้เรื่อยๆ โดยที่สามารถปรับรูปแบบฟังก์ชั่นภายในได้ตามที่ต้องการ ตัวอาคารจะถูกออกแบบในสเกลที่พอเหมาะเป็นขนาดมาตรฐานของวัสดุซึ่งช่วยลดขยะจากวัสดุก่อสร้างได้ ใช้ระยะเวลาน้อย ระบบโมดูล่าจำเป็นจะต้องมีการลงเสาเข็มเพื่อรากฐานที่มั่นคงในขณะที่ส่วนอื่นๆ สามารถถอดประกอบได้ใหม่ตามความต้องการ โดยชื่อที่คุ้นหูกันดีคือบ้าน SCG-Heim ซึ่งใช้ระบบภายในจากประเทศญี่ปุ่น และก่อสร้างด้วยระบบโมดูล่า ระยะเวลา : 3 เดือน/ยูนิต จุดเด่น : ถูกออกแบบให้ใช้ประโยชน์ในทุกส่วนอย่างครบครัน หมายเหตุ : ราคาค่อนข้างสูงกว่าระบบอื่นๆ   CONTAINER     อีกหนึ่งบ้านสมัยใหม่ที่นับว่าเป็นเทรนด์ใหม่ของคนไทยเลยก็คือ บ้านคอนเทนเนอร์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนฟังก์ชั่นของตู้คอนเทนเนอร์เก่านำมาใช้ประโยชน์อย่างอื่น ส่วนมากนิยมสร้างเป็นพื้นที่สำหรับทำธุรกิจ อย่างคาเฟ่ร้านกาแฟ โรงแรมรีสอร์ต ซึ่งการนำตู้คอนเทนเนอร์กลับมาใช้ใหม่จะต้องมีการปรับปรุงหลายขั้นตอน ตั้งแต่การจัดการเรื่องสนิม ติดตั้งฉนวนกันร้อนกันเสียง การเพิ่มช่องประตูหน้าต่าง และติดตั้งระบบปรับอากาศภายในรวมถึงระบบไฟฟ้าด้วย ขนาดมาตรฐานจะมี 2 ไซส์ด้วยกันคือ 20 ฟุต และ 40 ฟุต ระยะเวลา : 7-14 วัน/ยูนิต จุดเด่น : ติดตั้งได้รวดเร็วขนย้ายได้คล่องตัวไม่ต้องมีงานโครงสร้างเสาเข็ม หมายเหตุ : ปัญญาเรื่องเสียง ความร้อน และขนาดที่เป็นไซส์มาตรฐาน   PREFAB     ถ้าไม่พูดถึงบ้านสมัยใหม่ระบบ Prefab หรือ Prefabrication เลยก็คงไม่ได้แล้วค่ะ เพราะการก่อสร้างระบบนี้มีมาตั้งแต่อดีต ถ้าจะให้ยกตัวอย่างชัดๆ ก็คงหนีไม่พ้นพีรามิดที่เมืองกีซ่า ประเทศอิยิปต์ที่ใช้ระบบนี้ก่อสร้าง ซึ่งระบบ Prefab คือการนำชิ้นส่วนที่ถูกออกแบบไว้แล้วไปประกอบกันที่หน้างาน โดยสิ่งก่อสร้างดังกล่าวมักจะมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะขนย้าย อย่างสะพานขนาดใหญ่ หรืออาคารสูงหลายสิบชั้น ซึ่งความสะดวกสบายดังกล่าวถูกนำมาใช้กับการก่อสร้างที่อยู่อาศัย อย่างบ้านจัดสรร โดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ๆ ในเมืองไทยอย่าง พร๊อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค, แลนด์แอนด์เฮ้าส์, แสนสิริ และพฤกษา ต่างเปลี่ยนมาใช้ระบบก่อสร้างแบบ Prefabrication ทำให้การสร้างบ้านหนึ่งหลังสมบูรณ์อย่างรวดเร็วนั่นเอง ระยะเวลา : 2-3 เดือน/ยูนิต จุดเด่น : ได้สเปซการใช้งานในบ้านที่กว้างไม่มีเสาหรือคานมาบดบัง หมายเหตุ : การต่อเติม ทุบรื้อ ต้องอยู่ในการดูแลของวิศวกร     รูปภาพจาพ : Pinterest
เทคนิคดีๆ 5 เคล็ดลับ จัดการกลิ่นในห้องครัว

เทคนิคดีๆ 5 เคล็ดลับ จัดการกลิ่นในห้องครัว

บ้านสวยแต่เอ๊ะกลิ่นอะไรโชยมาจากห้องครัว คงไม่ดีแน่ถ้าเดินเข้ามาในบ้านแล้วทำจมูกฟุตฟิต มาจัดการปัญหาเรื่องกลิ่นอับในห้องครัว ด้วยเคล็ดลับดีๆที่เรานำมาบอกดีกว่าครับ เพราะห้องครัวที่เราใช้ทำอาหารอยู่ทุกวันนั้น แน่นอนต้องมีบ้างที่กลิ่นไม่พึงประสงค์เล็ดลอดเข้าในส่วนของห้องต่างๆ แต่เราจะจัดการปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร ตามมาชมวิธีและขั้นตอนกันเลยครับ     1. ใช้งานห้องครัวเสร็จต้องรีบทำความสะอาด อีกหนึ่งวิธีสุดง่ายและง่ายสุดนั่นก็คือ เมื่อเราใช้งานภายในห้องครัวเสร็จต้องรีบเช็ดล้างทำความสะอาด ไม่ปล่อยให้มีคราบหรือเศษขยะมักหมน รวมไปถึงจานชามก็ต้องล้างในทันทีด้วย เตา เคาน์เตอร์ เช็ดให้สะอาดครับ ยิ่งหากมีคราบน้ำมันกระเด็นอย่าปล่อยไว้นาน ให้ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำยาน้ำความสะอาดและน้ำอุ่น จากนั้นใช้ผ้าเช็ดออกได้เลย หากเราดูและเป็นประจำแบบนี้ ช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ลงไปได้เยอะเลยครับ     2. ทำความสะอาดพัดลมดูดควัน สำหรับพัดลมดูดควันแล้วเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ในห้องครัวที่เราไม่ควรมองข้าม อาจจะไม่ได้ทำความสะอาดเป็นประจำ ทำให้มีคราบสกปรก รวมไปถึงคราบน้ำมันกระเด็น ฝุ่นละออง ทางแก้ก็คือถอดออกมาทำความสะอาดครับ ผึ่งใบพัดให้แห้งสนิท นำมาติดตั้งเหมือนเดิม เท่านี้ก็ช่วยให้บรรยากาศภายในห้องครัวรู้สึกดีขึ้นได้แล้วล่ะ     3. ฮู้ดต้องมีขาดไม่ได้ ลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วยอุปกรณ์ช่วยดับกลิ่นอย่างฮู้ด ควรเปิดฮู้ดเอาไว้ทุกครั้งระหว่างทำอาหาร นอกจากนี้หลังจากไม่ได้ใช้งานแล้ว อย่าลืมทำความสะอาดแผ่นกรองด้วยนะครับ เท่านี้ก็ช่วยลดกลิ่นอับ กลิ่นอาหารไปได้เยอะทีเดียว     4. เพิ่มช่องระบายอากาศ ห้องครัวไทยในสมัยก่อนนั้นมักสร้างอยู่นอกตัวบ้าน นอกจากมีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ยังโปร่งสบาย ไม่เหม็นอับ ไอเดียนี้หยิบนำเอาความเป็นอยู่ของคนสมัยก่อนเข้ามาใช้ โดยออกแบบให้มีช่องหน้าต่างด้านใดด้านหนึ่งของห้องครัว เพื่อช่วยระบายกลิ่นของอาหารได้เป็นอย่างดี     5. ผักสวนครัวช่วยกำจัดกลิ่น หัวหอมพืชผักสวนครัวที่ช่วยให้เราคลายหวัดโล่งจมูกในช่วงที่ไม่สบายแล้ว ยังสามารถนำมาช่วยดูดกลิ่นภายในห้องครัวได้อีก เพียงผ่าหัวหอมออกเป็นสี่ส่วนและวางไว้กลางห้อง ก็ช่วยบรรเทากลิ่นได้แล้วล่ะครับ     ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.forfur.com/แต่งบ้าน/เทคนิคดีๆ-5-เคล็ดลับ-จัดการกลิ่นในห้องครัว      
ต้องรีบกำจัด ! วิธีแก้ปัญหาแอร์มีกลิ่นเหม็นสุดจะดม ก่อนคนในบ้านจะทนอยู่ไม่ไหว

ต้องรีบกำจัด ! วิธีแก้ปัญหาแอร์มีกลิ่นเหม็นสุดจะดม ก่อนคนในบ้านจะทนอยู่ไม่ไหว

หากแอร์ที่บ้านมีกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ มาดูวิธีแก้ปัญหาและกำจัดกลิ่นเหล่านั้นให้หายไป พร้อมรู้ทันถึงสาเหตุ วิธีทำความสะอาด และวิธีป้องกันไม่ให้แอร์มีกลิ่นกันดีกว่าครับ ด้วยอากาศของเมืองไทยที่ร้อนแรงไปซะทุก ๆ ฤดูกาล เชื่อว่าแทบทุกบ้านต้องติดตั้งแอร์เอาไว้ประทังความร้อนกันหมดแล้วแน่ ๆ ซึ่งถึงแม้ว่าแอร์จะมีประโยชน์ดี ๆ ที่ช่วยให้เราหายร้อนได้แบบง่าย ๆ ทว่าแอร์ก็ถือเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีปัญหาเยอะอยู่พอสมควร โดยหนึ่งในปัญหาเหล่านั้นก็คือแอร์มีกลิ่นเหม็น แต่ต่อไปนี้ปัญหาแอร์เหม็นอับจะหมดไป เพราะในวันนี้เราได้นำวิธีแก้ปัญหาแอร์มีกลิ่น พร้อมเจาะลึกถึงสาเหตุและวิธีป้องกันไม่ให้แอร์มีกลิ่นมาฝากทุกคนแล้ว   สาเหตุที่ทำให้แอร์มีกลิ่นเหม็น การที่แอร์ส่งกลิ่นเหม็นสามารถเกิดได้จากสาเหตุต่าง ๆ ต่อไปนี้   ความสกปรก การอุดตัน สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้แอร์มีกลิ่นเหม็นมักมาจากคราบสกปรกและการอุดตัน ทั้งจากฝุ่นละอองและน้ำขังต่าง ๆ และยิ่งไปกว่านั้นคราบสกปรกและสิ่งอุดตันพวกนี้ยังทำให้แอร์ไม่เย็น ทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนัก ส่งเสียงดัง และเสียได้ไวขึ้นด้วย   เชื้อรา อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แอร์มีกลิ่นเหม็น ซึ่งพบเห็นได้บ่อย ๆ ก็คือ มีเชื้อโรคและเชื้อราสะสมอยู่ภายในแอร์ โดยเฉพาะบริเวณถาดรองน้ำทิ้ง ฉะนั้นอย่าลืมทำความสะอาดแอร์ที่บ้านบ่อย ๆ นะครับ   สัตว์ ตามซอกเล็ก ๆ ต้องระวังไว้ให้ดี เพราะอาจมีสัตว์ตัวเล็ก ๆ อาทิ มด แมลงสาบ หรือหนูเข้าไปทำรังหรือซ่อนตัวอยู่ในนั้น ซึ่งอาจจะอึหรือฉี่หรือตายอยู่ในนั้น หากทิ้งไว้นานวันโดยที่เราไม้รู้ ก็จะส่งกลิ่นเหม็นออกมาพร้อมลมจากช่องแอร์ได้   น้ำแอร์รั่ว เครื่องแอร์ที่มีน้ำรั่วไหล ก็มีส่วนที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นออกมาจากแอร์ได้เหมือนกันนะครับ โดยจะเป็นกลิ่นเหม็นในแบบเหม็นไหม้หรือกลิ่นไอเสียนั่นเอง   วิธีทำความสะอาดแอร์บ้าน เพื่อแก้ปัญหาแอร์มีกลิ่นเหม็น 1. ปิดสวิตซ์และเบรกเกอร์ จากนั้นก็เปิดฝาครอบแอร์ 2. นำแผงกรองฝุ่นและถาดน้ำทิ้งออกไปล้าง โดยแผงกรองฝุ่นสามารถทำล้างทำความสะอาดได้โดยการฉีดน้ำแรง ๆ ในด้านที่ไม่มีฝุ่น เพื่อให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกอีกด้านหลุดออกมา อาจจะใช้แปรงขนนุ่มขัดด้วยก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดก็เปลี่ยนใหม่ไปเลยก็ได้ ส่วนถาดน้ำทิ้งให้ขจัดสิ่งสกปรกด้วยน้ำร้อนหรือน้ำสบู่ จากน้ำล้างออกด้วยน้ำยาฟอกขาวหรือน้ำส้มสายชู 3. นำทั้งคู่ไปตากแดดหรือผึ่งให้แห้ง 4. จากนั้นกลับมาที่แฟนคอยล์ยูนิต แล้วกำจัดฝุ่นและคราบสกปรกอุดตัน รวมถึงซากสัตว์ที่เสียชีวิตออกให้หมด พร้อมล้างทำความสะอาดตัวเครื่องให้เรียบร้อย 5. เสร็จแล้วเป่าลมหรือฉีดน้ำร้อน น้ำยาฟอกขาว หรือน้ำส้มสายชูเข้าไปในท่อน้ำทิ้ง เพื่อเป็นการกำจัดเชื้อราและเชื้อโรคที่สะสมอยู่ภายในให้ออกไปให้หมด อย่าลืมตรวจเช็กตามท่อต่าง ๆ ไม่ให้รูรั่วด้วยนะครับ จากนั้นก็ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง 6. พอทุกอย่างเสร็จ แห้ง และสะอาดแล้ว ก็ให้ประกอบชิ้นส่วนที่เราถอมาเข้าที่เหมือนเดิม เพียงเท่านี้เราก็จะได้แอร์ที่ไร้กลิ่นเหม็นต่าง ๆ แล้วครับ   วิธีป้องกันไม่ให้แอร์มีกลิ่นเหม็นอับ สำหรับวิธีการป้องกันไม่ให้แอร์มีกลิ่นเหม็นเน่าหรือเหม็นอับนั้นอาจจะไม่ได้มีแน่ชัด แต่ถ้าหากเราหมั่นดูแลและล้างแอร์ให้สะอาดอยู่เสมอก็ถือเป็นการป้องกันไม่ให้แอร์ส่งกลิ่นเหม็นได้ โดยบริเวณแผงขดท่อคอยล์เย็นควรล้างทำความสะอาดเป็นประจำทุกปี ส่วนแผงกรอกฝุ่นก็ควรจะทำความสะอาดทุกเดือน เพราะเจ้าแผงกรองฝุ่นหรือฟิลเตอร์นี้ เป็นชิ้นส่วนที่มีฝุ่นเกาะอยู่มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแอร์ที่ติดตั้งไว้ในพื้นที่ที่มีฝุ่นเยอะ ยิ่งควรถอดล้างให้ได้ทุกวัน หรืออย่างน้อย ๆ ก็ทุกสัปดาห์ ส่วนระยะเวลาในการล้างทำความสะอาดชุดคอยล์ร้อน ควรล้างในทุก ๆ  6 เดือน หรือ 1 ปีครับ อ้อ นอกจากนี้อย่าลืมดูแลท่อน้ำทิ้งและถาดรองน้ำทิ้งไม่ให้มีเมือกและสิ่งสกปรกตกค้างอยู่ด้วย แล้วถ้าหากแถวบ้านมีหนูหรือแมลงสาบพอสมควร ก็อย่านิ่งเฉย คอยกำจัดหรือล่อให้มันไปอยู่ที่อื่นที่ห่างไกลจากแอร์ของเรา เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีสัตว์มาฉี่หรือตายในแอร์ด้วย ถ้าเครื่องปรับอากาศที่บ้านส่งกลิ่นเหม็น กลิ่นอับ กลิ่นไม่ดี ชีวิตในบ้านเราไม่มีความสุขแน่ ฉะนั้นเมื่อได้รู้ถึงสาเหตุ วิธีแก้ปัญหา วิธีทำความสะอาด และวิธีป้องกันเหล่านี้ไปแล้ว อย่าลืมใส่ใจดูแลเครื่องปรับอากาศที่บ้านให้ดี จะได้ไร้กลิ่นกวนใจ ส่งผลให้มีความสุขในการพักผ่อนที่บ้านได้แบบเต็มที่ไปเลย เป็นยังไงกันบ้างครับกับสาระดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับบ้านและคอนโดแบบนี้อีกมากมาย ติดตามต่อได้ที่นี่เลยนะค้าบบบ www.reviewyourliving.com/infographic ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.kapook.com/view184108.html
8 ทริค จัดบ้านตามฮวงจุ้ย เปิดรับโชค อยู่แล้วรวยตลอดปี

8 ทริค จัดบ้านตามฮวงจุ้ย เปิดรับโชค อยู่แล้วรวยตลอดปี

เมื่อบ้านคือที่อยู่อาศัย และเป็นพื้นที่พักผ่อน ตัดขาดความวุ่นวายจากโลกภายนอกของสมาชิกในครอบครัวได้ จึงไม่แปลกใจเลยค่ะว่านิยามคำว่า 'บ้านคือวิมาน' นั้นหมายความว่าอย่างไร แต่การอยู่บ้านให้อยู่ เย็น เป็นสุข ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ควรคำนึงนะคะ เพราะหลายๆ คนที่เชื่อในเรื่องของ ฮวงจุ้ย ก็มักจะให้ซินแซเข้ามาเป็นผู้ดูแล ตรวจสอบในบ้านว่ามีอะไรผิดหลักไปบ้างหรือเปล่า ต้องจัดวางอะไรตรงไหนถึงจะเฮง ปังไปทั้งปี ซึ่งถ้าใครกำลังรู้สึกว่าช่วงนี้ดวงตกทำอะไรก็ไม่ค่อยรุ่ง เงินขาดสภาพคล่องต้องหยิบยืมบ่อยๆ แถมยังไม่มีทีท่าว่าจะสละโสดเหมือนคนอื่นสักที วันนี้ Review Your Living มี 8 ทริค จัดบ้านเพื่อรับโชคลาภ อยู่แล้วรวยตลอดปี มาฝากกันค่ะ บอกเลยว่าเป็นวิธีที่ง่ายมาก แถมยังไม่ต้องทุบ รื้อ ถอน ให้สิ้นเปลืองใดๆ เพียงแค่ใช้เวลาว่างช่วงวันหยุดจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ยเรียกทรัพย์เสริมดวงกันหน่อย เงินทองจะได้ไหลมาเทมามีใช้ไม่ขาดมือแน่นอน 1.หน้าบ้านต้องเปิดโล่งรับทรัพย์ หลายๆ บ้านที่มักมีของกองอยู่หน้าบ้าน โดยเฉพาะรองเท้า คือข้อเสียในการกีดกันโชคลาภในหลักฮวงจุ้ย เพราะบริเวณหน้าบ้าน โดยเฉพาะลานที่ตรงกับหน้าประตู เปรียบเสมือนโต๊ะที่วางกับข้าว สำหรับป้อนเข้าปาก ส่วนประตู ก็เปรียบเสมือนปาก ที่รอรับอาหาร หรือพลังงานดีๆ นั่นเอง หากวางของกีดขวาง หน้าบ้าน หน้าประตู ก็เหมือนถูกขวางปาก ไม่ให้รับอาหารเต็มที่ ทำให้กินได้น้อย โชคก็น้อยตามไปด้วย หากจำเป็นต้องมีของวางจริงๆ ก็ควรวางให้อยู่ด้านใดด้านหนึ่ง และใส่ตู้เก็บให้เรียบร้อยมิดชิด ไม่ให้กีดขวางด้านหน้า และที่สำคัญไม่ควรอยู่เหนือลม เพราะลมจะพากลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เข้ามาในบ้าน ซึ่งถือเป็นฮวงจุ้ยที่ไม่ดี 2.เรียกเงินทองด้วยการเปิดประตูและหน้าต่าง การเปิดประตูและหน้าต่างเพื่อเรียกเงินและทอง ไม่จำเป็นต้องเปิดทั้งวันนะคะ สำหรับบ้านบางพื้นที่ที่มีอากาศร้อนมาก ต้องเปิดแอร์ ก็ควรเปิดประตูหน้าต่างระบายอากาศในช่วงเช้าๆ ก่อน เพื่อรับมวลอากาศใหม่ๆ ที่บริสุทธิ์เข้ามาในบ้าน ซึ่งเป็นการสะสมพลังงานดีให้บ้านของเรา สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยได้อยู่บ้าน แนะนำให้เปิดประตูหน้าต่าง ในขณะที่เริ่มเปิดแอร์  สัก 5-15 นาที เพื่อให้ความชื้นที่สะสมในแอร์ และเชื้อโรคที่คั่งค้าง ได้รับการระบายออกไปก่อน แล้วค่อยรับอากาศใหม่เข้ามาในบ้านของเราค่ะ เพราะเมื่อมีลม ก็จะมีโชค เพราะลมนำพาออกซิเจนเข้ามา เพิ่มความสดชื่น และความปลอดโปร่งให้กับบ้านของเราได้เป็นอย่างดี 3.เปิดแสงสว่างส่องทางเข้าบ้าน แสงสว่าง คือ พลังหยาง หรือการเคลื่อนไหว Active หากคุณผู้อ่านรู้สึกนิ่งๆ เนือยๆ โชคลาภ ก็ไม่ถูกกระตุ้น ถ้าจัดบ้านให้มีความเป็นหยางมากเกินไป ก็จะส่งทำให้บรรยากาศในบ้านเคร่งเครียด อยู่ไม่สุข ดังนั้นควรเลือกไฟให้เหมาะกับตำแหน่งที่ใช้งาน จะได้เสริมทั้งโชค และอยู่บ้านอย่างมีความสุขด้วย เช่น บริเวณที่เราชอบอ่านหนังสือ หรือมุมแต่งหน้า ควรใช้ไฟขาว จะได้ไม่หลอกตา และไม่เสียสายตา ส่วนมุมที่เรานั่งพักผ่อนหย่อนใจ ก็อาจเป็นวอร์มไลท์ เพื่อสร้างความรู้สึกผ่อนคลาย และไม่เคร่งเครียดมากเกินไปนะคะ ที่สำคัญทุกๆ พื้นที่ต้องมีไฟสว่างเพียงพอ ในตำแหน่งทางเดินต่างๆ ซึ่งเป็นเหมือนการนำทางพลังงานไปทุกที่ และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุได้เป็นอย่างดี 4.จัดวางเฟอร์นิเจอร์ซะใหม่ เมื่อมุมนั่งเล่นในบ้านเป็นที่ที่สมาชิกครอบครัวทุกคนพุดคุยปรึกษากัน ดังนั้นเฟอร์นิเจอร์ควรจะจัดให้ล้อมวง หรือชิดกันเพื่อง่ายต่อการพูดคุยกัน ไม่ควรจัดชิดผนังทั้งหมด เพราะจะเป็นการเพิ่มระยะห่างและทำให้สมาชิกแต่ละคนอยู่ในมุมของตัวเอง อีกอย่างหนึ่งที่แนะนำคือการปูพรมรองพื้นเฟอร์นิเจอร์ ไม่จำเป็นต้องวางเฟอร์นิเจอร์ทั้งตัวไว้บนพรมก็ได้ แต่อย่างน้อยควรให้ขาด้านหน้าของเฟอร์นิเจอร์วางอยู่บนพรม 5.เลือกของตกแต่งบ้านตามธาตุ ในวิชาโหราศาสตร์จีนและฮวงจุ้ยเชิงวิชาการ เรามองทุกสิ่งรอบตัวเป็นธาตุ รวมถึงทิศทางต่างๆ ด้วย ดังนั้นการตกแต่งบ้านให้รับโชค จึงควรทำระบบธาตุในบ้านของเรา เกิดความสอดคล้อง ทั้งก่อเกิด และถ่ายเท เพื่อความสมดุลของพลังงานทุกๆ ส่วนในบ้าน นอกจากจะช่วยส่งเสริมโชคลาภแล้วยังช่วยให้ผู้ที่อยู่อาศัย มีสุขภาพที่ดี และมีความรักใคร่สามัคคีกันอีกด้วย โดยในขั้นสูงนั้น ซินแสจะมีการเสริมธาตุที่ดีกับดวงให้กับแต่ละบุคคลอย่างเฉพาะเจาะจง ในตำแหน่งที่ดีกับดวงเป็นพิเศษด้วย   สำหรับทิศเหนือ : เป็นทิศธาตุน้ำ ควรตกแต่งด้วยน้ำพุหรือวัตถุทรงโค้ง ทรงกลม วาว รูปคลื่น หรือใช้สีฟ้า น้ำเงิน เทา ดำ ขาว เงิน ทอง และห้ามใช้สี เหลือง ส้ม ครีม น้ำตาล โอรส ตกแต่งบ้านเด็ดขาด ทิศใต้ : เป็นทิศธาตุไฟ ควรประดับตกแต่งด้วยดอกไม้ ต้นไม้ หรือวัตถุทรงสูง ทรงกระบอก ทรงปิระมิด หรือใช้สีแดง ชมพู เขียว และห้ามใช้สี ฟ้า น้ำเงิน เทา ดำ ตกแต่งบ้านเด็ดขาด ทิศตะวันออก และตะวันออกเฉียงใต้ : เป็นทิศธาตุไม้ ควรตกแต่งด้วยต้นไม้ น้ำพุ หรือวัตถุทรงสูง รูปทรงคลื่น หรือใช้สีเขียว ฟ้า น้ำเงิน เทา ดำ และห้ามใช้สีเงิน ทอง โลหะ ต่างๆ ตกแต่งบ้านในทิศนี้เด็ดขาด ทิศตะวันตก และตะวันตกเฉียงเหนือ : เป็นทิศธาตุทอง ควรตกแต่งด้วยโลหะ ทรงกลม แวววาว เซรามิก เครื่องปั้นดินเผา หรือสีเงิน ทอง น้ำตาล ครีม เหลือง ส้ม โอรส ห้ามใช้สีแดง ชมพู ตกแต่งบ้านในทิศทางนี้โดยเด็ดขาด ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงใต้ : เป็นทิศธาตุดิน ควรตกแต่งด้วย เซรามิก เครื่องปั้นดินเผา หรือสีเหลือง ส้ม ครีม น้ำตาล โอรส แดง ชมพู ห้ามใช้สีเขียว ตกแต่งบ้านในทิศทางนี้โดยเด็ดขาด 6.เก็บกวาดบ้าน เตรียมรับโชค พื้นที่รกรุงรัง ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย มักจะทำลายพลังและนำความไม่มั่นคงมาสู่บ้าน ดังนั้นควรจัดการทำความสะอาดพื้นที่เหล่านั้นให้เรียบร้อย และเพิ่มต้นไม้หรือดอกไม้เข้าไปเพื่อปรับพื้นที่ให้อากาศถ่ายเทสะดวก ซึ่งถ้าเป็นไปได้ควรนำน้ำพุมาตกแต่งบ้านด้วยก็ดีนะคะ เพราะน้ำพุถือว่าเป็นตัวแทนของความมั่งคั่งในหลักของฮวงจุ้ย ซึ่งช่วยสร้างพลังและความเจริญรุ่งเรือง ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของเงินทองด้วยค่ะ 7.เลือกใช้สีส่งเสริมการเงิน หากอยากเสริมโชคลาภ ส่งเสริมการเงิน ลองใช้สีที่สื่อถึงธาตุไม้ ธาตุน้ำ และธาตุดิน อย่าง สีเขียว สีน้ำตาล สีน้ำเงิน สีดำ สีส้มดิน หรือสีเหลืองอ่อน ตกแต่งในพื้นที่การเงิน ไม่ว่าจะในรูปแบบของสีผนัง สีผ้า หรือของตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ ก็จะช่วยส่งเสริมพลังแห่งความมั่งคั่งให้กับเราได้ นอกจากนี้สีของธาตุไฟอย่าง สีแดง สีส้ม สีม่วง สีม่วงแดง หรือสีชมพู ก็ช่วยกระตุ้นพลังทางด้านการเงินได้เช่นกัน เพียงแต่ควรใช้แต่น้อยหรือแค่แต่งแต้มเป็นบางจุดก็พอค่ะ 8.เครื่องรางทางฮวงจุ้ยก็ช่วยเกื้อหนุนได้ อีกหนึ่งทริคดีๆ ในการจัดบ้านเพื่อเรียกโชคลาภ ควรเลือกเครื่องรางทางฮวงจุ้ยที่ชอบและเข้ากับสไตล์การตกแต่งบ้านมาใช้ เช่น ตู้ปลาที่จัดถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย หรือเลี้ยงปลาที่ส่งเสริมโชคลาภ เช่น ปลาเงิน ปลาทอง ปลามังกร ปลาคาร์พ นอกจากนี้การตกแต่งบ้านด้วยเหรียญจีนโบราณมหาจักรพรรดิ แจกันความมั่งคั่ง เรือสำเภาจีน พระพุทธรูปแห่งความสุข (Laughing Buddha) คริสตัลไพไรต์ หรือซิทริน ก็ล้วนแต่ช่วยส่งเสริมโชคภาภได้เป็นอย่างดี   การจัดและตกแต่งบ้านอย่างถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ย จะช่วยดึงดูดความมั่งคั่งร่ำรวยมาสู่คนในบ้านได้ ลองนำ 8 ทริค จัดบ้านเพื่อรับโชคลาภ อยู่แล้วรวยตลอดปี  ไปประยุกต์ใช้กันดูนะคะ นอกจากนี้ยังควรรักษาพลังงานให้สดชื่นและมีชีวิตชีวาอยู่เสมอ โดยการทำบ้านให้มีกลิ่นหอมสดชื่นด้วยการใช้กลิ่นอโรมา กลิ่นดอกไม้สด หรือเทียนหอมก็ได้ค่ะ และอย่าลืมว่าแสงสว่างที่พอดีก็มีความสำคัญเช่นกันนะคะ รวมถึงอาจเปิดเพลงที่ฟังไพเราะเพื่อกระตุ้นพลังงานด้านบวก และสิ่งสุดท้ายที่ลืมไม่ได้ คือพื้นที่การเงินจะต้องสะอาดและเป็นระเบียบอยู่เสมอนั่นเอง จัดบ้านตามฮวงจุ้ย เสริมสิ่งดีๆ หลากหลายด้าน ของแต่งบ้านเสริมฮวงจุ้ย ความรัก หาคู่แท้ ฮวงจุ้ยตำแหน่งเตียงนอน เสริมรักรุ่ง เงินพุ่ง ฮวงจุ้ยตู้เย็น วางตรงไหนเสริมดวง สีอะไรถูกโฉลก  
สูตรคำนวณผลตอบแทน ก่อนปล่อยเช่าคอนโด

สูตรคำนวณผลตอบแทน ก่อนปล่อยเช่าคอนโด

ทุกวันนี้มีหลายคนที่หันมาเป็นนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ระยะยาวเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขายเพื่อเก็งกำไร โดยเฉพาะการปล่อยเช่าคอนโดมิเนียมที่ให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า ซึ่งมีให้เห็นกันอยู่เกือบทุกโครงการ แต่การปล่อยห้องให้เช่าในคอนโดมิเนียมนั้นจะต้องคำนึงถึงหลายสิ่งให้รอบด้าน ตั้งแต่การเลือกซื้อตัวโครงการที่มีศักยภาพสูง ทำเลที่ตั้งดี การเลือกทิศทางของห้อง การตกแต่งห้อง ไปจนถึงการคำนวณอัตราค่าเช่าให้เหมาะสมกับราคาตลาด เพื่อไม่ให้ผู้ปล่อยเช่าเจ็บตัวเสียเอง ผลตอบแทนจากการลงทุนปล่อยเช่า หรือที่เรียกกันในนักลงทุนคอนโดมิเนียมว่า “Yield” (Rental Yield) เป็นเครื่องมือในการคำนวณปล่อยเช่าที่ไม่ใช่เฉพาะกับคอนโดมิเนียมเท่านั้น คำนวณกับบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หอพัก โรงแรมก็ยังได้ ซึ่งมีหลายสูตรด้วยกัน คือ 1.Gross Rental Yield การคำนวณก่อนปล่อยเช่าคอนโด การคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าเบื้องต้น วิธีนี้ง่าย สะดวก แต่จะไม่มีการคิดต้นทุน กับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วย               เช่น ราคาคอนโดที่เราซื้อมาอยู่ที่ 3,000,000 บาท แล้วจะปล่อยเช่า 15,000 บาท/เดือน โดยคาดว่าผู้เช่าจะเช่าอยู่ตามสัญญาเป็นระยะเวลา 1 ปี(12 เดือน) ฉะนั้นค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดทั้งปี = 180,000 บาท แล้วเอามาคำนวณตามสูตรด้านบน คือ (180,000÷3,000,000) x100 = 6% ต่อปี วิธีนี้อาจมีความคาดเคลื่อนค่อนข้างสูง เพราะผู้เช่าอาจอยู่ไม่ครบตามสัญญา 1 ปี และอาจมีช่วงที่ไม่มีผู้เช่า 2-3 เดือน ฉะนั้นเราอาจจะเปลี่ยนตัวเลขการคำนวณจาก 12 เดือน เป็นเพียง 10 เดือน ก็ได้ 2.ปล่อยเช่าคอนโดให้คำนวณ Net Rental Yield การคำนวณอัตราผลตอบแทนจากการให้เช่าสุทธิ วิธีนี้คล้ายกับวิธีแรก เพียงแต่จะนำค่าใช้จ่ายอื่นมาคำนวณด้วย เช่น ค่าส่วนกลาง ที่ต้องจ่ายกันเป็นประจำอยู่แล้ว เช่น ราคาคอนโดที่เราซื้อมาอยู่ที่ 5,000,000 บาท แล้วจะปล่อยเช่า 30,000 บาท/เดือน โดยคาดว่าผู้เช่าจะเช่าอยู่ตามสัญญาเป็นระยะเวลา 1 ปี(12 เดือน) ฉะนั้นค่าเช่าที่คาดว่าจะได้รับตลอดทั้งปี = 360,000 บาท เสร็จแล้วคำนวณค่าส่วนกลาง เช่น ค่าส่วนกลาง 45 บาท/ตร.ม. ยูนิตที่จะปล่อยเช่ามีขนาด 50 ตร.ม. ก็จะเท่ากับ 2,250 บาท/เดือน รวม 12 เดือน = 27,000 และเมื่อคำนวณตามสูตร (333,000÷5,000,000) x100 = 6.66% วิธีนี้เราจะมองเห็นผลตอบแทนได้เห็นภาพจริงมากกว่าแบบแรก แต่หากจะคำนวณเผื่อช่วงที่ไม่มีคนเช่าก็เปลี่ยนจาก 12 เดือน เป็น 10 เดือนแทนดูก็ได้ 3.คำนวณ Cash on Cash Rental Yield ก่อนปล่อยเช่าคอนโด เป็นวิธีคำนวณที่เหมาะกับผู้ที่กู้สินเชื่อธนาคารเพื่อซื้อคอนโดมิเนียม เพราะไม่ได้จ่ายเงินทั้งก้อนตามราคาจริงของคอนโด และยังมีการนำค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนที่เราจ่ายออกไปจริงๆ มาคำนวณด้วย เช่น ค่าเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งห้อง ค่าเครื่องใช้ไฟฟ้า ค่าดาวน์ เป็นต้น เช่น ปล่อยเช่าเดือนละ 15,000 บาท/เดือน ทั้งหมด 12 เดือน จะได้ค่าเช่า 180,000 บาท/ปี ค่าส่วนกลาง 2,000 บาท/เดือน เท่ากับมีค่าใช้จ่าย 24,000 บาท/ปี สรุปค่าเช่าที่จะได้รับจริงเป็น 156,000 บาท/ปี เจ้าของห้องต้องผ่อนจ่ายสินเชื่อทุกเดือน งวดละ 10,000 บาท/เดือน ภายใน 1 ปี จะต้องจ่ายเป็นเงิน 120,000 บาท/ปี เงินจอง 50,000 บาท เงินดาวน์ 200,000 บาท ค่าเฟอร์นิเจอร์ และค่าเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งหมด 100,000 บาท เมื่อคำนวณตามสูตร (180,000-24,000)÷(10,000+200,000+100,000)×100 = 10.3%   วิธีทั้งหมดนี้เมื่อคำนวณออกมาแล้วไม่ควรต่ำกว่า 5% และผลตอบแทนที่ได้ควรสูงกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ 2% ขึ้นไป ทั้งนี้เราก็ต้องดูองค์ประกอบของห้องที่เราจะปล่อยเช่า เช่น ห้องอยู่ในมุมที่ได้วิวโล่ง ไม่ถูกบล็อควิว ไม่โดนแดดบ่าย เฟอร์นิเจอร์พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าพร้อมเข้าอยู่ เลขชั้นที่อยู่ เลขห้องที่เป็นมงคล สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางของโครงการ ทำเลที่ตั้งของโครงการ รวมถึงดูราคาตลาดปล่อยเช่าในโครงการเดียวกัน และโครงการใกล้เคียงด้วย การที่เราให้ราคาที่สมเหตุสมผลจะทำให้ปล่อยเช่าได้ง่ายมากกว่า และแม้ว่าสูตรทั้งหมดนี้จะสามารถนำไปใช้คำนวณเบื้องต้นได้จริง แต่ก็ให้ระวังความคาดเคลื่อนไว้ด้วย เพราะอสังหาริมทรัพย์นั้นมีปัจจัยจากทั้งภายนอก และภายในเข้ามาทำให้มีผลกระทบอยู่หลายอย่าง บทความอื่นๆ เกี่ยวกับการปล่อยเช่าคอนโด 4 เทคนิคเบื้องต้นแต่งคอนโดปล่อยเช่า ลงทุนคอนโดฯ ปล่อยเช่า ทำอย่างไรให้ไปรอด ชินวะ เรียลเอสเตส ติดอาวุธให้คอนโดปล่อยเช่า
คู่มือการทำบุญบ้าน ต้อนรับปีใหม่ ฉบับเข้าใจง่าย!

คู่มือการทำบุญบ้าน ต้อนรับปีใหม่ ฉบับเข้าใจง่าย!

ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ทั้งที ใครมีแผนการทำบุญบ้าน คงต้องกดเซฟบทความนี้ไว้เลยค่ะ เพราะการทำบุญคือการแสดงเคารพต่อพระรัตนตรัยอันเป็นที่เป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด เพื่อให้การเริ่มต้นเข้าอยู่อาศัยหรือการเริ่มกิจการประสบแต่ความสุขความสำเร็จ นอกจากนี้การทำบุญยังเป็นการเชื่อมสัมพันธไมตรีอันดีกับเหล่าเทวดา สัมภเวสี ที่อาศัยอยู่ ณ สถานที่นั้นๆ ก่อนที่เราจะเข้าไปอยู่ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างร่มเย็น ต่างฝ่ายต่างให้คุณกัน ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน แต่ถ้าใครอยู่บ้านมาหลายปีแล้ว แต่อยากทำบุญเสริมสิริมงคลให้กับตัวเองและบ้านในปีหน้า Review Your Living ขอรวบรวมหลักการน่าสนใจของพิธีการนี้มาให้ก่อนใคร ไปดูว่ามีเรื่องอะไรที่ต้องพิจารณากันบ้างค่ะ ทำบุญบ้านช่วงปีใหม่ไปทำไม? นอกจากเหตุผลเพื่อการเสริมสิริมงคลให้กับบ้านแล้ว หลายคนเชื่อว่าการทำบุญบ้านใหม่ คือการแสดงเคารพต่อพระรัตนตรัย และยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีให้เกียรติกับเหล่าเทวดา เจ้าที่เจ้าทางที่อาศัยอยู่ ณ สถานที่นั้นๆ เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของผู้อยู่อาศัยนั่นเองค่ะ ทำบุญบ้าน ต้องนิมนต์พระกี่รูป? จำนวนพระตามประเพณีนิยมในการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ คือเลขคี่ ซึ่งตามปกตินิยมนิมนต์ตั้งแต่ 5, 7 หรือ 9 รูป โดยถือกันว่าเลข 9 เป็นเลขมงคลขลังดี จะได้มีแต่ความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป แต่ทั้งหมดนี้ก็แล้วแต่กำลังศรัทธานะคะ ถ้าหากสถานที่จัดงานทำบุญมีพื้นที่มากพอ แนะนำให้นิมนต์พระจำนวน 9 รูป จะดีที่สุดค่ะ ทำบุญบ้าน วันไหนดี? ถึงแม้ว่าฤกษ์ที่ดีที่สุดของการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ คือฤกษ์ที่เจ้าของบ้านสะดวก อาจจะเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เจ้าของบ้านและหมู่ญาติสามารถมารวมตัวกันได้ แต่ว่าบางตำราโบราณยังมีความเชื่อว่าไม่ควรทำในวันเสาร์ เพราะเชื่อกันว่าเป็นวันแห่งโทษทุกข์ รวมถึงดาวเสาร์ยังจัดเป็นดาวแห่งบาปเคราะห์ บางบ้านอาจจะดูปฏิทินจีนประกอบให้เลือกวันที่ตรงกับวันธงไชย ว่าเป็นวันดีหรือวันที่มีฤกษ์ดีที่เหมาะสมกับสิ่งที่ดี ช่วยส่งเสริมให้มีความสุข ความสำเร็จ เช่นการขึ้นบ้านใหม่ พิธีแต่งงาน ฤกษ์เข้าหอ ส่งตัว การออกรถใหม่ การเปิดบริษัท โรงงาน เป็นต้น ที่สำคัญควรนิมนต์พระล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือน ทำบุญบ้าน ต้องเริ่มพิธีกี่โมง? ช่วงเวลาการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ สามารถเลือกว่าจะถวายภัตตาหารเช้าหรือเพล โดยถ้าเป็นการถวายภัตตาหารเช้าให้เริ่มเวลาประมาณ 7.30 น. หรือหากเลือกถวายภัตตาหารเพลก็ควรเริ่มพิธีเวลาประมาณ 10.30 น. อย่างไรก็ตามเวลาก็อาจยืดหยุ่นตามศาสนกิจของพระวัดที่เราได้ทำการนิมนต์ด้วย ควรเตรียมบทสวดอะไรไว้บ้าง? บทสวดสำหรับการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ที่เจ้าของบ้านต้องเตรียมนำไว้สวดต่อหน้าพระก็มีตั้งแต่บทบูชาพระรัตนตรัย และ บทกราบนมัสการพระรัตนตรัย บทอาราธนาศีล 5, บทสมาทานศีล และบทอาราธนาพระปริตร เตรียมสถานที่ทำบุญบ้านอย่างไร? การจัดสถานที่ก่อนวันทำบุญขึ้นบ้านใหม่ นั้นควรทำความสะอาดบ้านให้สะอาด เก็บสิ่งของต่างๆ ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย กำหนดมุมที่จะจัดวางโต๊ะหมู่บูชา พื้นที่สำหรับสงฆ์ ซึ่งเป็นมุมที่ไม่ควรแขวนหรือประดับภาพใดๆ เหนือศีรษะของพระภิกษุสงฆ์ ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้าง? อุปกรณ์สำคัญในการทำบุญขึ้นบ้านใหม่ได้แก่โต๊ะหมู่บูชา, อาสนะพระ, ตาลปัตร, ขันน้ำมนต์, แป้งเจิม, แผ่นทอง, สายสิญจน์, เทียนน้ำมนต์, ดอกไม้, ธูปเทียน, พานพุ่ม เป็นต้น โดยจัดวางให้เป็นระเบียบถูกที่ถูกตำแหน่งดังต่อไปนี้   1. โต๊ะหมู่บูชาพระ ที่จัดเพื่อการแสดงความเคารพในพระรัตนตรัย จำต้องมีพระพุทธรูปที่เป็นพระประธาน ทิศการตั้งโต๊ะหมู่ไม่ได้ถูกกำหนดมาแบบตายตัว ควรพิจารณาจากความเหมาะสมของสถานที่โดยวางไว้ด้านขวามือของพระสงฆ์องค์ที่ 1 และไม่ควรตั้งอยู่ใต้บันได หน้าห้องน้ำ หรือหันไปในมุมอับเป็นต้น   2. อาสนะ สามารถหยิบยืมจากวัดมาใช้ได้ โดยอาสนะให้จัดวางให้มีระยะห่างพอดี ไม่ชิดติดกันจนเกินไป คำนึงถึงการวางข้าวของเครื่องใช้ของพระสงฆ์ด้วย (ตาลปัตร พร้อมน้ำดื่ม กระดาษชำระ และกระโถน)   3. อาหาร แบ่งออกเป็น 3 ชุดได้แก่ชุดบูชาข้าวพระพุทธ สำหรับพระสงฆ์ตามจำนวน และสำหรับเจ้าที่เจ้าทาง (หรือศาลพระภูมิที่ได้ทำการตั้งวางไว้แล้วของแต่ละบ้าน) ประกอบด้วยข้าว อาหารคาว ผลไม้ ของหวาน และน้ำดื่ม ชุดสำหรับพระพุทธวางไว้ด้านหน้าโต๊ะหมู่ สำหรับภัตตาหารของสงฆ์สามารถแบ่งออกเป็น 2 วง (ในกรณีนิมนต์พระ 9 รูป) สำหรับเจ้าที่เจ้าทางจัดเป็นสำรับเช่นกันแล้วนำไปวางไว้นอกชายคาบ้าน อาหารที่เป็นมงคลนิยมถวายได้แก่ ขนมมงคลไทย 5 อย่าง เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน และขนมถ้วยฟู ผลไม้มงคลอย่างกล้วย มะพร้าว สาลี่ ทับทิม และส้ม   4. ของถวายสังฆทาน สามารถถวายได้ทั้งเครื่องอุปโภคและบริโภค ปัจจัย หรือผ้าไตรที่หลายบ้านนิยมถวายร่วมด้วยเพื่อความเป็นสิริมงคล   5. อุปกรณ์เพื่อการการเจิมและการปะพรมน้ำพระพุทธมนต์ ที่จะทำเป็นขั้นตอนท้ายสุดของพิธี โดยเจ้าของบ้าน (ฝ่ายชาย) ต้องเดินถือขันน้ำมนต์นำพระสงฆ์ไปตามห้องต่างๆเพื่อการปะพรม และปิดท้ายที่การเจิมประตู (ส่วนมากนิยมที่ประตูด้านหน้า) โดยอุปกรณ์ประกอบไปด้วยขี้ผึ้งสำหรับติดแผ่นทอง แผ่นทอง หรืออาจใช้เพียงแป้งเจิมหรือดินสอพองก็ได้ค่ะ   ใช้งบประมาณเท่าไหร่? โดยเฉลี่ยแล้ว หากเป็นพิธีเล็กๆ มีแค่คนในครอบครัว ค่าใช้จ่ายอาจอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท แต่หากเป็นพิธีใหญ่ขึ้น ก็อาจจะอยู่ที่ 10,000 บาท ซึ่งเจ้าของบ้านเองควรเป็นผู้พิจารณาถึงความเหมาะสม เพราะจุดประสงค์ของพิธีขึ้นบ้านใหม่โดยแท้จริง คือการสร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้ผู้อยู่อาศัย ส่วนเรื่องพิธีการจะยิ่งใหญ่แค่ไหนนั้น ถือเป็นเรื่องรองค่ะ การเชิญแขกร่วมงานทำบุญบ้าน การเชิญแขกมาร่วมงานบุญบ้านนั้น ในกรณีที่เป็นการทำบุญบ้าน หากเจ้าภาพจัดงานได้แยกครอบครัวออกมาแล้ว บุคคลสำคัญที่ควรระลึกถึงและเชิญร่วมงานเป็นอันดับแรกคือ "พ่อและแม่" หากท่านมีชีวิตอยู่ ควรเชิญท่านได้ร่วมทำบุญ หากท่านไม่อยู่ ก็ควรทำบุญอุทิศกุศลแก่ท่าน เพราะความกตัญญูต่อพ่อแม่คือความเป็นสิริมงคลอันสูงสุด และยังความปลาบปลื้มให้ท่านได้เห็นความก้าวหน้าและความสำเร็จของเรา นอกเหนือจากนั้นก็จะเป็นญาติมิตร และพ้องเพื่อนที่สนิท การปฏิบัติตัวของผู้มาร่วมงาน สำหรับการปฏิบัติตัวของผู้มาร่วมงาน ผู้ไปงานทำบุญที่ถูกต้องควรปฏิบัติ 3 ประการ คือ ทำทาน, รักษาศีล และฟังการเจริญพระพุทธมนต์ จึงจะเรียกได้ว่าไปงานทำบุญอย่างเต็มปาก ไม่ใช่ไปคุย กินข้าว และกินเหล้า เพราะทั้งสามข้อหลังไม่ได้บุญแม้แต่น้อย และควรงดสุราและอบายมุข เพราะการทำบุญคือการนำความมงคลเข้าสู่บ้าน บุคคล และบริษัท ดังนั้นจึงควรงดการเลี้ยงสุรา เล่นการพนัน ในการทำบุญ อันเป็นอบายมุขสู่ความเสื่อม เพราะความเป็นมงคลมิได้เกิดจากการที่นิมนต์พระเจริญพระพุทธมนต์เท่านั้น แต่หากเกิดจากการที่เจ้าภาพกระทำในสิ่งที่เป็นมงคลคือ ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ประกอบด้วยเป็นสำคัญ ขั้นตอนปฏิบัติของพิธีทำบุญบ้าน 1. นิมนต์พระสงฆ์เข้ายังสถานที่ที่จัดเตรียมไว้ ถวายน้ำดื่ม สนทนาธรรม และพร้อมเริ่มพิธีการเมื่อถึงเวลาฤกษ์ 2. จุดเทียนธูปที่โต๊ะหมู่บูชา ประธานฝ่ายเจ้าบ้านจุดเทียนโดยเริ่มจากด้านขวาของพระพุทธก่อนแล้วจึงตามด้วยเทียนด้านซ้าย และธูป ตามลำดับ 3. กราบพระพุทธ แบบเบญจางค์ประดิษฐ์ ประธานฝ่ายเจ้าบ้านกล่าวบูชาพระรัตนตรัย ตามด้วยอาราธนาศีล 5 ฝ่ายเจ้าบ้านกล่าวตามพระสงฆ์ด้วยบทสมาทานศีล ฝ่ายเจ้าบ้านกล่าวบทอาราธนาพระปริตร 4. ประธานฝ่ายเจ้าบ้านจุดเทียนสำหรับทำน้ำพระพุทธมนต์ เมื่อพระสงฆ์สวดถึง “อเสวนา จ พาลานัง” ถวายข้าวพระพุทธ ประธานถวายพระพุทธโดยวางภัตตาหารบนโต๊ะหรือผ้าขาวด้านหน้าโต๊ะหมู่ฯ วางให้สูงกว่าอาสนะพระสงฆ์ 5. ประเคนภัตตาหารแด่พระสงฆ์ เจ้าบ้านและแขกเหรื่อช่วยกันประเคน 6. เมื่อพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้วให้นำจตุปัจจัย ดอกไม้ ธูป เทียน และหรือสังฆทานมาวางรอไว้ที่หน้าพระสงฆ์ทุกรูป ดอกไม้วางขนานปลายดอกไม้ชี้ไปทางด้านขวามือของพระสงฆ์ และเจ้าภาพเข้ามาที่ต่อหน้าพระเพื่อยกถวาย หลังจากที่กล่าวคำถวายสังฆทานแล้ว 7. ลาข้าวพระพุทธ ต่อเนื่องด้วยการถวายสังฆทานด้วยบทถวายสังฆทาน 8. พระสงฆ์สวดอนุโมทนา เจ้าบ้านและผู้ร่วมงานกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญกุศล 9. พระสงฆ์ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ พร้อมทั้งสวดชยันโตฯ พนมมือ รับน้ำพระพุทธมนต์ 10. การเจิมและการปะพรมน้ำพระพุทธมนต์ เจ้าภาพกราบนิมนต์ประธานสงฆ์ไปยังที่ๆ ต้องการเจิม เช่น ประตูทางเข้าออกหลัก ควรทำความสะอาดพื้นผิวให้เรียบร้อยก่อนเจิม เมื่อท่านเจิมแล้วไม่ควรลบออก การปะพรมน้ำเจ้าภาพอาจนำท่านไปพรมตามห้องต่างๆได้ ในขณะพระสงฆ์พรมน้ำพุทธมนต์ ควรประนมมือรับน้ำพุทธมนต์ด้วยความเคารพอ่อนน้อม 11. การส่งพระกลับวัด เมื่อเสร็จพิธีแล้ว เจ้าภาพกราบขอบพระคุณในความเมตตาที่ท่านได้มาเป็นเนื้อนาบุญ และนำส่งคณะพระภิกษุสงฆ์ไปยังรถ ควรช่วยท่านยกไทยธรรมที่ถวายสังฆทานแล้วไปยังรถ ให้ประนมมือส่งท่านขึ้นรถด้วยความอ่อนน้อมและรอจนกว่ารถจะเคลื่อนตัวออกไปแล้วจึงค่อยเข้าบ้าน 12. เสร็จพิธี   แต่ถ้าบ้านไหนไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมทั้งข้าวของอุปกรณ์ต่างๆ อาหารเลี้ยงพระ อาหารสำหรับแขก ไปจนถึงนิมนต์พระ แล้วล่ะก็ เดี๋ยวนี้มีบริการจัดงานเลี้ยงทำบุญบริการถึงบ้านเลยนะคะ มีหลากหลายราคาให้ได้เลือกตามขนาดของงานที่จะจัด ตัวอย่างร้านที่รับจัดงาน อาทิ ธรรมะจัดสรร  3 minutesfood horapacatering
9 ความสกปรกสุดยี้ในห้องนอน รู้แล้วรีบทำความสะอาดด่วน!

9 ความสกปรกสุดยี้ในห้องนอน รู้แล้วรีบทำความสะอาดด่วน!

แหล่งเชื้อโรคในห้องนอน อันตรายใกล้ตัวที่สกปรกอย่างคาดไม่ถึง หลายคนอาจจะมองข้าม เพราะไม่คิดว่าห้องนอนที่ดูสะอาดสะอ้านจะสกปรกถึงขนาดนี้  แหล่งสะสมของเชื้อโรคไม่ได้มีแค่พื้นที่ที่สกปรก เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว หรือพื้นที่ชื้นแฉะเท่านั้น เนื่องจากเชื้อโรคและสิ่งสกปรกอื่น ๆ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ฉะนั้นในพื้นที่ที่ดูเหมือนจะสะอาดและเรียบร้อย เช่น ห้องนอน ก็มีเชื้อโรคอาศัยและสะสมอยู่เช่นกัน ซึ่งบางทีอันตรายมากกว่าพื้นที่ที่มีคราบสกปรกด้วยซ้ำ 1. ในแต่ละคืนมีไรฝุ่นกว่า 1.5 ล้านตัวนอนร่วมเตียงกับคุณ ไรฝุ่น สาเหตุของโรคภูมิแพ้ มักพบได้ตามห้องนอน โดยพวกมันจะอาศัยอยู่ตามเตียง หมอน และผ้าห่ม มีจำนวนมากถึง 1.5 ล้านตัวเลยทีเดียว วิธีกำจัดคือ หมั่นนำชุดเครื่องนอน หมอน และผ้าห่มไปผึ่งแดดบ่อย ๆ เพื่อไล่ความชื้น ไรฝุ่น รวมถึงสิ่งสกปรกต่าง ๆ   2. พรมมีแบคทีเรียมากกว่าชักโครก 4,000 เท่า พรมในบ้านถือเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรกชั้นดี เนื่องจากพรมทำความสะอาดยากกว่าพื้นธรรมดา ดังนั้นแบคทีเรียจึงชอบมาอยู่ในพรม  เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรียในพรม ควรดูดฝุ่นอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง   3. หมอนเป็นแหล่งสะสมของไรฝุ่นและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ในระยะเวลา 3 ปี หมอนจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว และสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็คือไรฝุ่นและเซลล์ผิวหนังบนใบหน้าที่ตายแล้ว เพื่อป้องกันการสะสมของสิ่งเหล่านี้ให้หมั่นซักและทำความสะอาดหมอนเป็นประจำ โดยสามารถนำหมอนลงซักกับเครื่องซักผ้าได้ แต่ถ้าหมอนยุบและไม่คืนรูปแนะนำให้เปลี่ยนใหม่   4. โทรศัพท์มือถือสกปรกกว่าชักโครก จะเห็นได้ว่าในแต่ละวันโทรศัพท์มือถือต้องสัมผัสกับทั้งเหงื่อ เครื่องสำอางบนใบหน้า และสิ่งสกปรกที่ติดมากับมือ เมื่อนานวันเข้าสิ่งสกปรกเหล่านั้นจึงเกิดการสะสม ถ้าไม่ทำความสะอาดก็ยิ่งจะสะสมเพิ่มขึ้นไปอีก แต่สามารถกำจัดได้ด้วยการใช้แอลกอฮอล์เช็ดของใช้เหล่านี้บ่อย ๆ   5. ชุดนอนเป็นแหล่งที่อยู่ของแบคทีเรีย บางคนอาจจะคิดว่าแค่ใส่นอนเฉย ๆ ไม่ได้ใส่ไปเจอสิ่งสกปรกนอกบ้าน แต่ในระหว่างที่นอนหลับนั้นจะมีทั้งเหงื่อและไรฝุ่นที่อยู่บนเตียงสัมผัสกับชุดนอน ถ้าใส่ซ้ำหลายวันอาจจะทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรก ทางที่ดีควรใส่ซ้ำไม่เกิน 2-3 วัน   6. ในแต่ละปีเหงื่อที่ออกในขณะหลับมีปริมาณมากถึง 26 แกลลอน ตอนกลางคืนขณะหลับจะมีเหงื่อออกจากร่างกายไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะกับบ้านเราที่มีอากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ ฉะนั้นเตียงนอนที่เรานอนทุกวันจึงรับเหงื่อไปเต็ม ๆ สามารถหลีกเลี่ยงการสะสมของเหงื่อและสิ่งสกปรกได้ ด้วยการฉีดสเปรย์กำจัดเชื้อโรคและนำที่นอนไปผึ่งแดด 7. เตียงนอนเต็มไปด้วยไรและสิ่งสกปรก นอกจากเครื่องนอนต่าง  ๆ แล้ว เตียงนอนก็ต้องได้รับการทำความสะอาดเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งทีทำความสะอาดยากกว่าส่วนอื่น ๆ ก็ตาม เพราะเตียงนอนที่ผ่านการใช้งานมา 8 ปี มีปริมาณของเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วสะสมอยู่ถึง 4.5 กิโลกรัม ทั้งนี้สามารถทำความสะอาดได้ด้วยการดูดฝุ่น 8. ไวรัสสามารถอาศัยอยู่ในร่างกายคนได้ 48 ชั่วโมง ไวรัสและพาหะของไข้ต่าง ๆ สามารถอาศัยอยู่นอกร่างกายของคนที่เป็นไข้ได้ 48 ชั่วโมง แสดงว่าคนอื่น ๆ สามารถรับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้ถึงแม้ว่าคนที่เป็นไข้จะไม่ได้อยู่บริเวณนั้นแล้วก็ตาม   9. อาจจะป่วยได้ถ้านอนกับสัตว์เลี้ยง ถึงแม้ว่าเจ้าตูบและเจ้าเหมียวที่บ้านจะอาบน้ำหรือทำความสะอาดมาแล้ว แต่สิ่งสกปรกและเชื้อโรคก็ยังมีหลงเหลืออยู่ คนที่นอนร่วมเตียงกับสัตว์เลี้ยงจึงต้องทำความสะอาดเตียงนอนและเครื่องนอนต่าง ๆ มากกว่าปกติ สำหรับ 9 แหล่งเชื้อโรคในห้องนอนที่เรานำมาฝากนั้นจะเห็นได้ว่าเป็นจุดที่คาดไม่ถึงและต้องคลุกคลีอยู่ทุกวัน ทีนี้รู้แล้วรีบทำความสะอาดด่วนเลยนะคะ ถ้าไม่อยากไปหาหมอ ! เป็นยังไงกันบ้างครับกับสาระดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับบ้านและคอนโดแบบนี้อีกมากมาย ติดตามต่อได้ที่นี่เลยนะค้าบบบ www.reviewyourliving.com/infographic ขอขอบคุณข้อมูลจาก housebeautiful goodhousekeeping home.kapook.com/view152964
7 เช็คลิสต์สำคัญในบ้าน ที่ควรเช็คก่อนไปท่องเที่ยววันหยุด

7 เช็คลิสต์สำคัญในบ้าน ที่ควรเช็คก่อนไปท่องเที่ยววันหยุด

ใกล้สิ้นปีทั้งที ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ก็เวียนมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นช่วงที่หลายคนรอคอย เพราะมีวันหยุดยาวติดกันหลายวันทำให้มีโอกาสได้ท่องเที่ยวอีกด้วย แน่นอนค่ะว่าหลายๆ ครอบครัว ก็คงจะถือโอกาสช่วงนี้ไปท่องเที่ยวช่วงวันหยุดสิ้นปีใช่ไหมล่ะคะ บางบ้านอาจจะไปต่างจังหวัดแค่ไม่กี่วัน แต่บางครอบครัวอาจไปพักผ่อนต่างประเทศยาวเป็นสัปดาห์ก็ได้ แต่การไปเที่ยวโดยมีความกังวลห่วงบ้าน ก็คงไม่มีความสุขหรอกค่ะ ผู้เขียนเข้าใจดี จึงรวบรวม 7 ข้อเช็คลิสต์สำคัญในบ้าน ที่ควรเช็คก่อนไปท่องเที่ยววันหยุด มาฝาก ซึ่งการเตรียมความพร้อมก่อนวันหยุดยาวเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญนะคะ จะมองข้ามไปเฉยๆ ไม่ได้เลย ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของบ้านและทรัพย์สินต่อตัวผู้อ่านเอง เอาล่ะค่ะ! จะมัวชักไปทำไม ว่าแล้วก็เตรียมกระดาษปากกาให้พร้อม แล้วมาทำความรู้จักกับเรื่องสำคัญที่ควรเช็คลิสต์กันดีกว่า จะได้ท่องเที่ยวอย่างสบายใจ หายห่วง แถมบ้านยังปลอดภัยอีกด้วยนะ 1. ตรวจเช็คกุญแจ  เรื่องสำคัญอันดับต้นๆ ก่อนออกจากบ้าน แนะนำให้ตรวจเช็คอุปกรณ์ตัวล็อคประตูหน้าต่างให้พร้อมใช้งาน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าต่างห้องน้ำ และห้องครัวที่เป็นจุดที่คาดไม่ถึง ห้ามคิดเลยนะคะว่าปิดแน่นสนิทแล้ว ควรตรวจเช็คให้ดี หากจุดไหนมีสภาพที่ไม่สมบูรณ์ควรจะเปลี่ยนใหม่ให้เรียบร้อยก่อนวันหยุดติดต่อกันยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่อยู่บ้านติดต่อกันนานๆ เพื่อป้องการมิจฉาชีพที่เข้ามาโจรกรรมในบ้าน 2. ระบบไฟฟ้าในบ้านควรตรวจสอบให้เรียบร้อย  หากคุณผู้อ่านเดินทางไปต่างจังหวัด หรือต่างประเทศ ไม่อยู่บ้านติดต่อกันหลายๆ วัน หลังจากตรวจเช็คกุญแจแล้ว ควรตรวจปลั๊กไฟ และเต้าเสียบไฟไม่ให้มีไฟรั่วไหลเป็นอันตราย หากอุปกรณ์ชำรุดให้ทำการแก้ไขให้เพื่อป้องกันความปลอดภัย พร้อมทั้งตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้า และดึงปลั๊กออกให้เรียบร้อยก่อนออกจากบ้าน ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร หรือไฟช็อต ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ได้นั่นเอง 3. ปิดวาล์วแก๊ส และวาล์วน้ำ อีกหนึ่งข้อที่หลายๆ บ้านมักจะลืมเช็คก่อนออกจากบ้าน ก็คือ ปิดวาล์วแก๊ส และวาล์วน้ำ ทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดมากมายตามข่าวที่เราพบเจอ ดังนั้นก่อนออกจากบ้านแนะนำให้ทำการปิดวาล์วให้เรียบร้อย พร้อมตรวจเช็คว่าไม่มีการรั่วไหลของแก๊ส และตรวจสอบไม่ให้มีอุปกรณ์ที่ติดไฟง่าย ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งการปิดวาล์วน้ำก็เพื่อป้องกันอุบัติเหตุกรณีท่อน้ำประปาแตก หรือชำรุดทำให้น้ำท่วมบ้านเวลาที่ไม่อยู่เป็นระยะนาน 4. ทำความสะอาดบ้าน และตู้เย็นให้สะอาด ก่อนวันหยุดยาวมาถึง สิ่งที่ควรทำนอกจากทำความสะอาดบ้าน ขจัดสิ่งสกปรก อีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือควรเคลียร์ตู้เย็น ตรวจสอบไม่ให้มีอาหารสดตกค้างอยู่ในตู้เย็น และนำขยะไปทิ้งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเน่าเสียและส่งกลิ่นเหม็นภายในบ้าน พร้อมทั้งทำความสะอาดเสื้อผ้าก่อนไปเที่ยว จัดการซักผ้าที่ไม่ใช้แล้วและเก็บเข้าตู้เสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วยนะคะ เพราะเสื้อผ้าที่สกปรกอาจจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคและส่งกลิ่นเหม็นและยังทำให้เสื้อผ้าเก่าเร็วอีกด้วย 5. ตรวจสอบระบบกล้องวงจรปิด ก่อนไปเที่ยววันหยุดยาวทั้งที อีกหนึ่งสิ่งที่ควรตรวจสอบคือ ระบบกล้องวงจรปิด แนะนำให้เช็คว่าตัวกล้องนั้นสามารถใช้งานได้ดีหรือไม่ ตรวจสอบแบตเตอร์รี่และปลั๊กไฟให้พร้อมใช้งาน และหมั่นตรวจเช็คกล้องวงจรปิดเวลาอยู่นอกบ้านเป็นเวลานานผ่านอุปกรณ์เชื่อมต่ออย่างสมาร์ทโฟน ว่าภายในบ้านเรียบร้อยปลอดภัยดีหรือเปล่า 6. เปิดไฟในบ้านให้เหมือนมีคนอยู่อาศัย สำหรับคนที่ห่วงบ้านมาก ไปเที่ยวไหนก็ไม่เคยสนุก เพราะมัวแต่กังวลว่าบ้านจะเป็นอย่างไร? จะปลอดภัยไหม? การเปิดไฟไว้ในบ้านให้เหมือนมีคนอยู่อาศัย ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยค่ะ เพราะบ้านที่มืดไม่มีแสงสว่างมักจะล่อตาล่อใจโจรได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการเปิดไฟทิ้งไว้ก็ทำให้อุ่นใจได้ขึ้นมาบ้าง แนะนำให้ติดตั้งหลอดไฟที่สามารถติดได้เองในเวลากลางคืน และดับลงในเวลาที่มีแสงอาทิตย์ เพื่อเป็นการประหยัดพลังงานไฟฟ้า 7. ไม่ควรเก็บทรัพย์สินมีค่าไว้ที่บ้าน หลังจากเช็คลิสส์ข้อต่างๆ ก่อนออกจากบ้านทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ข้อสำคัญสุดท้ายที่ไม่ควรลืม คือ ทรัพย์สินมีค่า จำพวก เงินสด, เพชร, ทอง หรือของมีค่าอื่นๆ ซึ่งไม่ควรเก็บไว้ในบ้าน ควรนำไปฝากเซฟในธนาคารแทน แต่หากจำเป็นก็ควรเก็บล็อคไว้ในตู้เซฟให้มิดชิด เพื่อป้องกันขโมยขึ้นบ้าน สำหรับใครที่กำลังมีแพลนจะเดินทางไปเที่ยวในช่วงวันหยุดยาวนี้ อย่าลืมนำเช็คลิสต์สำคัญที่เรานำมาฝากด้านบนไปตรวจสอบกันนะคะ ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยต่อทรัพย์สิน และความอุ่นใจต่อสมาชิกในครอบครัว จะได้ไปเที่ยวกันอย่างมีความสุข เพลิดเพลิน และควรขับรถระมัดระวังด้วยนะคะ ยังไงทีมงาน Review Your Living ก็ขออวยพรให้ทุกคนเดินทางปลอดภัยและมีความสุขตลอดทั้งทริปเลยค่า :)
เคล็ดลับกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในบ้าน

เคล็ดลับกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในบ้าน

เบื่อไหมคะกับปัญหาโลกแตกจำพวก กลิ่นอับ กลิ่นเหม็นต่างๆ ภายในบ้าน ซึ่งนับได้ว่าเป็นสิ่งไม่พึงประสงค์อย่างยิ่งในครอบครัว นอกจากจะก่อความรําคาญเป็นมลพิษทางอากาศแล้ว ยังเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคอีกด้วย จริงๆ แล้ว กลิ่นเหม็น กลิ่นอับ เกิดขึ้นได้หลายปัจจัย ทั้งจากสิ่งที่เรานำเข้ามาไว้ภายในห้อง โดยเฉพาะอาหารนานาชนิด หรือจะเป็นกลิ่นบุหรี่ กลิ่นห้องน้ำ วันนี้เราจึงรวบรวม กลิ่นไม่พึงประสงค์ ตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน พร้อมเคล็ดลับการกำจัดกลิ่นเหล่านี้ให้หมดไป วิธีไหนถูกใจใคร อ่านเสร็จแล้วลงมือทำตามกันได้เลยค่ะ   1. กลิ่นอับในตู้เสื้อผ้า ตู้เสื้อผ้าที่อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าจํานวนมากและไม่ได้ทําความสะอาด หรือบางครั้งเผลอนําเสื้อผ้าที่ยังแห้งไม่สนิทเก็บใส่เข้าตู้ ก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดกลิ่นอับและมีคราบเชื้อราจนกลิ่นนั้นติดอยู่ตามเสื้อผ้า หลักการกําจัดกลิ่นอับเหล่านี้แบบง่ายๆ คือ ห้ามให้ภายในตู้มีความชื้น ควรเปิดบานตู้ทิ้งไว้สักพักเป็นประจําเพื่อให้อากาศถ่ายเท และควรเช็ดทําความสะอาดควบคู่กันไปด้วย โดยใช้ผ้าชุบน้ําบิดหมาดๆ เช็ดคราบฝุ่นและเชื้อรา แล้วจึงจัดเรียงเสื้อผ้าแยกเป็นหมวดหมู่อย่างเรียบร้อย แต่ไม่ควรแน่นจนเต็มตู้นะคะ ซึ่งอาจเพิ่มความหอมด้วยสบู่ก้อนใหม่ที่ยังไม่ผ่านการใช้งาน โดยนําใส่ภาชนะแล้ววางไว้ตามมุมตู้หรือแขวนเครื่องหอมอย่างการบูรก็ช่วยให้กลิ่นอับหมดไป แถมยังได้เสื้อผ้าที่มีกลิ่นหอมๆ มาสวมใส่สร้างความมั่นใจได้อีกด้วย   2. กลิ่นอาหารติดครัว ไม่ว่าจะเป็นครัวขนาดเล็กหรือใหญ่ก็มักมีกลิ่นอาหารติดครัว ยิ่งอยู่ในพื้นที่ปิดการติดตั้งเครื่องดูดควันและพัดลมระบายอากาศยิ่งจําเป็นอย่างมาก เพื่อป้องกันกลิ่นอาหารลอยคละคลุ้งไปทั่วบ้าน และไอจากความร้อนกลายเป็นคราบมันเกาะติดตามผนัง สําหรับการเลือกซื้อเครื่องดูดควัน ควรพิจารณาจากกําลังวัตต์ซึ่งมีผลต่อความแรงในการดูดควันมาเป็นอันดับแรก เพราะยิ่งกําลังดูดสูงเท่าไรก็ยิ่งดูดกลิ่นและควันออกจากห้องครัวได้เร็วขึ้น แต่ทางที่ดีควรเลือกใช้กําลังวัตต์ให้เหมาะสมกับขนาดพื้นที่ครัว เพื่อช่วยประหยัดไฟส่วนกลิ่นไหม้ของอาหารที่ติดตามภาชนะ เช่น หม้อ กระทะ ฯลฯ ลองใช้มะนาวหั่นเป็นชิ้นขัดถูแล้วทําความสะอาดตามปกติ กลิ่นอาหารก็จะหมดไปแล้วค่ะ   3. กลิ่นติดตู้เย็น สารพัดอาหารที่สมาชิกในครอบครัวมักเก็บเข้าตู้เย็น หากแช่ทิ้งไว้เป็นเวลานานจนลืม กระทั่งหมดอายุหรือเกิดการเน่าเสีย นานวันเข้าจะกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคและทําให้ตู้เย็นส่งกลิ่นเหม็น วิธีป้องกันกลิ่นอาหารติดตู้เย็นที่ได้ผลดี คือ ทุกครั้งก่อนนําอาหารเข้าตู้เย็นต้องบรรจุอาหารใส่กล่องที่มีฝาปิดสนิท ถุงซิปล็อก หรือหุ้มด้วยพลาสติก นอกจากมีประโยชน์เรื่องกําจัดกลิ่นแล้ว ยังช่วยถนอมอาหารได้อีกด้วย ควรเช็ดทําความสะอาดภายในตู้เย็นและเคลียร์ของที่แช่ไว้ทุกสัปดาห์ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ถ่านหุงต้มใส่ภาชนะเล็กๆ แช่ภายในชั้นตู้เย็นเพื่อช่วยดูดกลิ่น หรือวางมะนาวผ่าครึ่งลูกในตู้เย็นก็ได้ผลดีเช่นเดียวกัน อีกทั้งกลิ่นมะนาวยังทําให้รู้สึกสดชื่นขึ้นด้วยนะ   4. กลิ่นจากห้องน้ำ หากคุณทำความสะอาดห้องน้ำเป็นประจํา แต่กลิ่นเหม็นยังคงอยู่กวนใจสาเหตุส่วนใหญ่อาจเกิดจากกลิ่นที่ย้อนขึ้นมา จากท่อน้ำทิ้ง ซึ่งมีวิธีจัดการไม่ยุ่งยาก เพียงใช้ฟองน้ำชุบน้ำ นําไปปิดไว้ตรงฝาท่อน้ำทิ้ง แต่ฟองน้ำนั้นต้องชุ่มน้ำตลอดเวลาถึงจะได้ผลดี หรือราดน้ำหมักจุลินทรีย์ชีวภาพ (EM) ลงท่อระบายน้ำทิ้ง เพื่อให้ไปทําปฏิกิริยากําจัดคราบไขมันและสิ่งสกปรก อีกหนึ่งตัวช่วยที่น่าสนใจที่สะดวกและมีประสิทธิภาพก็คือ การติดตั้งท่อกันกลิ่นแบบสําเร็จรูปไว้ภายในท่อน้ำทิ้ง หาซื้อได้ตามร้านสุขภัณฑ์ทั่วไป สําหรับกลิ่นที่มาจากโถสุขภัณฑ์ ถ้าเป็นชักโครกต้องมีน้ำหล่ออยู่ภายในตลอดเวลา เพื่อป้องกันกลิ่นที่ย้อนขึ้นมาจากบ่อเกรอะ สําหรับโถปัสสาวะชายที่ส่งกลิ่นเหม็นฉุน แนะนำให้ลองหั่นผลมะกรูดเป็นชิ้นวางไว้ หรือใส่ลูกเหม็นไว้ก็ดับกลิ่นได้ดี และควรติดตั้งพัดลมระบายอากาศภายในห้องน้ำ จะช่วยระบายกลิ่นเหม็นออกไปได้มากเลยทีเดียวค่ะ   5. กลิ่นจากตู้เก็บรองเท้า อีกหนึ่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ก็คือ ตู้เก็บรองเท้าส่งกลิ่นเหม็นโชยออกมา ต้นตอของปัญหาเหล่านี้ก็มาจากรองเท้าที่เราใส่เป็นประจํา แต่ขาดการเก็บรักษาอย่างถูกวิธี จึงเกิดการหมักหมมของเหงื่อไคล ความอับชื้น ก่อนเก็บควรดูสักนิด หากรองเท้าที่ใส่เปียกชื้นห้ามเก็บเข้าตู้ทันที ต้องผึ่งให้แห้งหรือซักทําความสะอาดก่อน และหมั่นนํารองเท้าไปตากแดดเป็นประจํา อีกวิธีที่ช่วยลดกลิ่นได้ก็คือม้วนกระดาษหนังสือพิมพ์เป็นก้อนใส่ในรองเท้า หมึกจากกระดาษหนังสือพิมพ์จะช่วยดูดซับกลิ่นอับและความชื้นได้ หรือจะใช้ถุงผ้าห่อเบกกิ้งโซดาหรือกากกาแฟนําไปใส่ไว้ในรองเท้าก็ให้ผลดีเช่นเดียวกัน ถ้าใครอยากใช้วิธีธรรมชาติในการลดกลิ่น ก็อาจเลือกใช้ใบเตย โดยนำมาตัดออกประมาณ 5-10 ใบ และนํามาตากแดดแล้ววางไว้บนชั้นวางรองเท้า เมื่อใบเตยเจอกับแดด กลิ่นของใบเตยจะช่วยดูดซับความอับและมีกลิ่นหอมสดชื่นด้วยค่ะ ปัญหากลิ่นอับ กลิ่นไม่พึงประสงค์ ทำให้บรรยากาศในบ้านเสียไม่ใช่น้อยเลยนะคะ ดังนั้นนอกจากการดูแลรักษาความสะอาดให้บ้านดูน่าอยู่อาศัยแล้ว การขจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ตามหัวข้อด้านบนที่เรานำมาฝาก ก็นับเป็นเรื่องจำเป็นและควรทำอย่างยิ่งเลยนะคะ ทั้งนี้ก็เพื่อความสุขของสมาชิกทุกคนในครอบครัว  รูปภาพจาก : www.pinterest.com            
9 ต้นไม้มงคล ช่วยเสริมโชคลาภ มอบเป็นของขวัญปีใหม่

9 ต้นไม้มงคล ช่วยเสริมโชคลาภ มอบเป็นของขวัญปีใหม่

ช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ใครหลายคนต่างเฉลิมฉลอง มอบของขวัญให้แก่กัน บางคนอาจจะมีของขวัญไว้ในใจแล้ว แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยเลยใช่ไหมคะที่รู้สึกเบื่อกับของขวัญเดิมๆ เช่น กระเช้าปีใหม่ เค้ก หรือแม้แต่ของใช้ส่วนตัว เป็นต้น หากใครยังคิดไม่ออกว่าจะหาของขวัญแบบไหนไปมอบให้คนพิเศษ หรือผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพรัก Review Your Living ขอแนะนำของขวัญปีใหม่ที่ทั้งมีประโยชน์และเป็นมงคล ความหมายดีกับ 9 ต้นไม้มงคล ที่คุณหาซื้อได้ง่ายๆ ตามตลาดต้นไม้ทั่วไปมาฝากค่ะ 1.วาสนา “เชื่อว่าถ้าผู้ใดปลูกแล้วเจริญงอกงามจนออกดอก ถือเป็นผู้ที่มีบุญวาสนาดี” พรรณไม้ที่คนไทยรู้จักกันมานาน มีการกลายพันธุ์เกิดขึ้นหลายแบบและ มีชื่อแตกต่างกันไป เช่น สายสะพายจอมพล วาสนาเรือนนอก และวาสนาอธิษฐาน ซึ่งนับว่าเป็นชนิดเดียวกันทั้งสิ้น เป็นไม้ยืนต้น สูงได้ถึง 2–7 เมตร ลำต้นแก่สีน้ำตาลอ่อนเห็นข้อปล้องชัดเจน ดอกออกเป็นช่อกระจุก ออกดอกในฤดูหนาวหรือช่วงที่มีอากาศเย็น สามารถเติบโตได้ในดินทุกประเภท ชอบแสงแดดจัดตลอดวันหรือครึ่งวัน 2.เศรษฐีเรือนแก้ว “เชื่อว่าหากปลูกแล้วเจริญงอกงามดี ผู้เลี้ยงก็จะมีความเจริญรุ่งเรืองเช่นกัน” ต้นเศรษฐีเรือนแก้ว หรืออีกชื่อเรียกว่าเศรษฐีเรือนเขียว เป็นไม้ชอบน้ำและความชื้นสูง แสงรำไร ควรปลูกในดินร่วนซุยหรือดินปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี หากปลูกในร่มก็ควรให้ถูกแสงแดดบ้าง นิยมนำมาปลูกในกระถางแขวน หรือกระถางเตี้ย เชื่อกันว่ามีประโยชน์ในด้านป้องกันสรรพภัย 3.โป๊ยเซียน “เชื่อกันว่าถ้าปลูกโป๊ยเซียนไว้ที่บ้านจะอยู่เย็นเป็นสุข และมีโชคลาภ” อีกหนึ่งต้นไม้ยอดฮิตประจำบ้านคือ 'โป๊ยเซียน' ไม้พุ่มอายุหลายปี ต้นสูงได้ถึง 1 เมตร ทุกส่วนอวบน้ำและมีน้ำยางสีขาว มีหนามขึ้นอยู่รอบลำต้น ดอกออกเป็นช่อกระจุกที่ซอกใบใกล้ปลายยอด ทั้งขาว ชมพู แดง ส้ม เขียว เหลือง ฯลฯ เติบโตได้ดีในดินร่วนระบายน้ำดี หรือดินร่วนปนทราย ชอบแสงแดดตลอดวัน ปลูกเลี้ยงง่าย หากปลูกแล้วให้ดอก 8 หรือ 16 ดอก เชื่อว่าจะมีโชคลาภเกิดขึ้นนั่นเอง 4.บานไม่รู้โรย “เชื่อว่าหากปลูกไว้รอบบ้านจะช่วยให้เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน” ต้นบานไม้รู้โพรยเป็นไม้ล้มลุกอายุ 1-2 ปี ต้นเป็นพุ่มสูง 20-60 เซนติเมตร ลำต้นตั้งตรงหรือทอด มีขนนุ่มสีขาวหนาแน่น ดอกมีหลายสีทั้งสีขาว ชมพู แดง และม่วง สามารถปลูกในดินทั่วไปที่ระบายน้ำได้ดี ชอบแสงแดดเต็มวัน นิยมปลูกเป็นแปลงไม้ดอกแบบธรรมชาติ ประดับสวน ปลูกริมทางเดิน นอกจากความหมายดีแล้วยังเพิ่มความสวยงามให้แก่บ้านอีกด้วย 5.นางกวัก “เชื่อว่าถ้าปลูกไว้ที่บ้านจะช่วยให้บ้านร่มเย็น เป็นสิริมงคล หากกินหัวและใบ จะคงกระพันชาตรี” นางกวัก เป็นพรรณไม้ในประเทศแถบอินโดจีน เป็นไม้ล้มลุก สูงถึง 30 – 60 เซนติเมตร ลำต้นใต้ดินเป็นหัวคล้ายเผือก ใบลักษณะรูปหัวใจ ปลูกในดินได้ทุกประเภท ควรปลูกในที่แสงแดดรำไรและที่มีความชื้นสูง นับว่าเป็นว่านที่ได้รับความนิยมมาแต่ครั้งโบราณ เพราะความเชื่อที่ว่าควรปลูกไว้ที่บ้านเพื่อความเป็นสิริมงคล แต่ก็มีข้อควรระวังนะคะ เพราะทุกส่วนของต้นนั้นมีสารแคลเซียมออกซาเลตที่ทำให้คันได้ 6.คล้าถุงเงิน "เชื่อว่าถ้าปลูกไว้ที่บ้านจะทำมาค้าขึ้น เก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำ" คล้าถุงเงิน เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ความสูงประมาณ 30 – 50 เซนติเมตร ลำต้นมีเหง้าสะสมอาหารอยู่ใต้ดิน สำหรับการปลูกเลี้ยงนั้นก็ดูแลง่าย เพราะคล้าถุงเงินชอบดินร่วนระบายน้ำดีหรือดินร่วนปนทราย แสงแดดรำไร ขยายพันธุ์โดยการแยกกอ ซึ่งสามารถตัดใบมาจัดดอกไม้หรือปักแจกันได้อีกด้วย แถมยังทนทานอยู่ได้หลายวันด้วยค่ะ 7.ไผ่น้ำเต้า "เชื่อว่า ใครปลูกน้ำเต้าหน้าบ้านจะเก็บเงินได้มากมาย" ไผ่น้ำเต้า เป็นไผ่ขนาดเล็ก อายุหลายปี ความสูงไม่เกิน 5 เมตร ทรงพุ่มแตกกอแน่น ลำต้นเส้นผ่านศูนย์กลางลำ 5–6 เซนติเมตร ปล้องสั้น ยาว 5-20 เมตร ปล้องด้านล่างโป่งพองออกคล้ายน้ำเต้า เนื้อลำหนา สามารถเจริญเติบโตได้ในดินทุกประเภท แสงแดดตลอดวัน ทนแล้ง ทนน้ำท่วม โตช้า ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำกิ่ง นิยมปลูกเพื่อให้ความร่มเงา 8.ทับทิมเศรษฐี "เชื่อว่าถ้าปลูกไว้ที่บ้านแล้วจะร่ำรวย มีเงินทองเหลือใช้" ต้นทับทิมเศรษฐี เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี สูงได้ถึง 1.20 เมตร ลำต้นมีเหง้าทอดเลื้อยใต้ดิน เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายความชื้นสูง แสงแดดรำไร ขยายพันธุ์ด้วยการแยกกอ หากได้รับความชื้นไม่พอหรือแสงแดดมากเกินไป ใบจะไหม้ง่าย เป็นไม้ที่ด่างเกิดจากการกลายพันธุ์ของชนิดปกติ เดิมมีราคาสูง ต่อมามีการขายพันธุ์เพิ่มมากขึ้นจึงมีราคาถูกลงมาตามลำดับ 9.เศรษฐีกอดทรัพย์ "เชื่อว่าปลูกเศรษฐีกอดทรัพย์แล้วใบม้วนเป็นหลอดจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานและร่ำรวย" เศรษฐีกอดทรัพย์ เป็นไม้ล้มลุกอายุหลายปี ความสูง 50 เซนติเมตร ลำต้นใต้ดินมีรากสะสมอาหารเป็นกระจุก ก้านใบแผ่ออกเป็นกาบโอบหุ้มลำต้น ไม้ต้นนี้เป็นชนิดเดียวกับซุ้มกระต่ายด่างหรือเศรษฐีไซ่ง่อน ต่างกันที่ใบไม่ม้วนงอ ขอบใบด่างสีขาว ซึ่งมีความเชื่อว่าปลูกไปแล้วใบม้วนเป็นหลอดจะประสบความสำเร็จนั่นเอง ความเชื่อในเรื่องสิ่งมงคล เหมือนเป็นสิ่งที่ฝั่งรากลึกลงในความนึกคิดของคนไทยมาช้านาน ให้ยึดถือ เชื่อมั่น และปฏิบัติตาม ในเรื่องของการปลูกต้นไม้ ที่ว่าต้นไหนปลูกแล้ว ดี หรือไม่ดี อย่างไร ก็เป็นความเชื่อที่คนส่วนใหญ่ยึดปฏิบัติตามกันมานาน ดังนั้นเราจึงเลือกแนะนำ 9 ต้นไม้มงคล ที่ปลูกแล้วส่งเสริมบารมี เหมาะแก่การมอบเป็นของขวัญปีใหม่ มาฝากผู้อ่าน เพื่อให้สวนของสวย แถมยังเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้ที่อยู่อาศัยอีกด้วย  เกี่ยวกับต้นไม้มงคลอื่นๆ พรรณไม้เสริมสิริมงคลประจำวันเกิดและราศีเกิด ต้นไม้มงคลเสริมฮวงจุ้ย 12 นักษัตร นอกจากต้นไม้มงคล ยังมีต้นไม้ประเภทอื่นอีกมากมาย 5 ต้นไม้ริมรั้วบ้าน สวยงาม แถมปลูกไว้กันขโมย! ต้นไม้ไล่ยุง ปลูกไว้ไร้แมลงร้าย 5 ต้นไม้ใหญ่ เสริมสิริมงคล ช่วยให้เย็นสบายที่ควรปลูกไว้ในบ้าน
วิธีใช้ของก้นครัวปราบ 7 แมลงร้าย ให้ตายยกรังยันตัวแม่ !

วิธีใช้ของก้นครัวปราบ 7 แมลงร้าย ให้ตายยกรังยันตัวแม่ !

  วิธีกำจัดแมลงที่แอบแฝงตัวอยู่ใต้ชายคาบ้านเรา ด้วยของใช้ในครัวที่ปราศจากสารเคมีแรง ๆ และไม่ทำอันตรายกับคนในบ้าน แต่สามารถจำกัดแมลงสุดยี้ได้ทั้งรัง    ทำไมต้องตื่นมาสบตากับแมลงที่น่าขยะแขยงเต็มบ้านด้วยก็ไม่รู้ ทั้งที่บ้านก็บ้านของเราไม่ได้ขอเช่าเจ้าแมลงอยู่ซะหน่อย ครั้นจะซื้อผลิตภัณฑ์เคมีมาปราบก็กลัวว่าตัวเองจะสำลักถึงขั้นช็อกหมดสติไปก่อนเหล่าแมลงร้าย ถ้าอย่างนั้นมาดูเทคนิคการกำจัดแมลงทั้ง 7 ชนิด ที่ชอบแอบซ่อนตัวอยู่ในบ้านเรา กันหน่อยดีกว่า เพราะนอกจากจะมาบอกแหล่งซ่องสุมของเจ้าแมลงร้ายแล้ว ยังมาพร้อมเทคนิคการกำจัดแบบปลอดสารพิษให้คุณได้พิชิตแมลงให้อยู่หมัดให้วอดวายสนิททั้งรังไปเลย !     1. ยุงร้าย สยบได้ด้วยสมุนไพรกลิ่นหอม แหล่งซ่องสุม : ศัตรูตัวฉกาจของทุกคนในบ้านคงหนีไม่พ้นยุงตัวอันตรายพาหะนำโรคร้ายมาสู่เรา แถมการเพาะพันธุ์ก็ช่างง่ายดายซะเหลือเกิ๊น แค่วางไข่ในที่ที่มีน้ำขังและอับชื้นก็ก่อเกิดเป็นลูกน้ำนับสิบตัว และเติบโตเป็นยุงร้ายที่สร้างแต่ความรำคาญใจ ทั้งดูดเลือด บินตอด และเสียงหวี่ ๆ ตอนบินข้างหูที่ใช้มือตบยังไงก็ไม่เคยโดนตัวแบบจัง ๆ ซะที   วิธีกำจัด : แต่เอาเข้าจริงวิธีกำจัดนั้นไม่ยากเลย แนะนำให้คุณทำสเปรย์กันยุงที่ผสมจากน้ำมันหอมละเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ 15 หยด วานิลลาสกัดเข้มข้น 3-4 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาว ¼ ถ้วยตวง หรือจะใช้สเปรย์น้ำมันตะไคร้หอมแบบไทย ๆ ของเราเอง หรือปลูกไม้สมุนไพรไว้บริเวณประตู เช่น ตะไคร้ สะระแหน่ จากนั้นเปิดให้ลมพัดกลิ่นเข้ามาในบ้านบ้าง แล้วเจ้ายุงตัวร้ายก็จะไม่มากวนใจอีกเลย       2. กำจัดมดตัวแม่ ให้แย่ทั้งรัง แหล่งซ่องสุม :ไม่ว่าบ้านไหน ๆ ก็ต้องเคยเจอปัญหาเจ้ามดร้าย ที่แอบดอดมาตอดอาหารอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นอาหารสำเร็จรูปสวยงามหรือแม้กระทั่งเศษอาหารที่เน่าเสียก็ตาม ที่สำคัญความชื้นก็เป็นปัจจัยหลักที่กวักมือเรียกมันเข้ามาทำรังให้กวนใจเรา ดังนั้นทางที่ดีก็ควรจะหมั่นทำความสะอาดเป็นประจำ โดยเฉพาะจุดที่เก็บหรือกินอาหาร และเบือนหน้าหนีสารเคมีที่ทำได้แค่เพียงบอกให้มันย้ายรังหนีกลิ่นเคมีไปชั่วคราว แล้วรอวันกลับคืนมาใหม่   วิธีกำจัด : ถ้ามันกล้าแกร่งได้เช่นนั้น เราก็ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุขุดรากนางพญามดให้จบสิ้นกันไป ด้วยการผสมน้ำตาล ½ ถ้วยตวงกับน้ำอุ่น 1 ถ้วยตวง และผงบอแรกซ์อีก 1 ช้อนโต๊ะ แล้วคนส่วนผสมจนกระทั่งทั้งหมดละลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำสำลีแผ่นมาชุบให้ชุ่มแล้ววางทิ้งไว้ เจ้ามดก็จะหลงกลออกมาเก็บน้ำหวาน ๆ เพื่อเอาไปให้พญามดกิน เพียงแค่นี้ไม่ว่าจะเป็นมดตัวแม่หรือลูกก็ตายสิ้น       3. ปราบแมงมุมให้เสียท่าแบบไม่รู้ตัว  แหล่งซ่องสุม : แม้ว่าบนโลกนี้จะมีแมงมุมหลากหลายชนิดที่สามารถพบได้ตามที่อยู่อาศัยทั้งในบ้านและในสวน แต่โดยทั่วไปแล้วแมงมุมส่วนใหญ่จะชอบอาศัยอยู่ตามจุดที่มีความชื้นและอากาศเย็น ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจหากพบใยเส้นเล็ก ๆ แผ่หราอยู่ตามมุมเล็ก ๆ ของบ้านเป็นประจำ เช่น บนเพดาน ริมระเบียง หรือแม้แต่บนดอกไม้หรือใต้ใบไม้ในสวนสวย ๆ ของคุณ   วิธีกำจัด : แต่ต่อให้พรางตัวเก่งแค่ไหนก็ไม่มีทางรอดแน่นอน เพราะเราจะจำกัดแบบไม่ให้แมงมุมรู้ตัว โดยเทน้ำยาล้างจานใส่ขวดสเปรย์ที่ผสมกับน้ำสบู่ ¼ ถ้วยตวงกับน้ำเปล่าอีก 2 แกลลอน แล้วนำไปฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณพุ่มต้นไม้สวนหน้าบ้านและตามซอกหลืบมืด ๆ ทีนี้เจ้าแมงมุมก็จะรีบเก็บกระเป๋าย้ายสำมะโนครัวกันด่วน ๆ เลยล่ะค่ะ       4. สูตรผสมจากก้นครัว ให้ตัวริ้นดิ้นรนอยู่ไม่ได้ แหล่งซ่องสุม : พอพูดถึงริ้นทุกคนจะพุ่งเป้าไปที่อวัยวะในช่องปาก แต่ถ้าออกเสียงตามอักขระแล้วละก็มันก็คือ แมลงน้อยฤทธิ์เยอะที่หากใครโชคร้ายโดนมันดูดเลือดเข้าไป จะต้องทนทุกข์ใจกับรอยบวมแดง หรืออาจถึงขั้นเป็นแผลพุพองไปหลายวันเลย   วิธีกำจัด : มาตัดวงจรอันตรายเหล่านี้ด้วยการผสมน้ำยาล้างจาน 2 หยดกับน้ำส้มสายชูใส่ถ้วยไว้หลาย ๆ ถ้วย แล้วนำไปวางรอบบ้าน และอย่างน้อย 1 ถ้วย สำหรับห้องที่คิดว่ามีตัวริ้นซ่อนอยู่ แล้วรอเวลาให้ตัวริ้นมาติดกับดัก และหลังจากที่ตักตัวริ้นออกจากถ้วย ก็อย่าลืมหมั่นเติมส่วนผสมข้างต้นทุก ๆ 1-2 วันด้วยนะคะ       5. แมลงวันหมดทางหนี เพราะนิสัยตะกละ แหล่งซ่องสุม :แมลงวัน เป็นแมลงอีกหนึ่งชนิดที่สร้างความน่ารำคาญใจไม่น้อย เพราะต้องคอยปัดอยู่เรื่อยเวลาที่เอาขาสกปรก ๆ ของมันมาตอมอาหาร แก้วน้ำ หรือของอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ชวนเลยสักนิด จนบางทีต้องตัดใจทิ้งไปบ้าง เพราะมันมาตอมจนสกปรกไปหมด   วิธีกำจัด : อย่าปล่อยให้มันบินรกหูรกตาอีกต่อไป ด้วยการใช้กับดักล่อให้ชีวาวาย โดยผสมไวน์หรือแอปเปิลไซเดอร์กับน้ำยาล้างจานแล้ววางทิ้งไว้ คราวนี้พอแมลงวันบินมาตอมกับดัก และเผลอดูดน้ำเข้าไปก็จะค่อย ๆ หมดลมหายใจไปในที่สุด       6. หมั่นทำความสะอาดปราบแมลงหวี่ขน จอมสกปรก แหล่งซ่องสุม : แมลงที่น่ารำคาญพอ ๆ กับแมลงวัน ที่มักจะพบเห็นได้ทั่วไปในห้องน้ำ อ่างล้างจาน และท่อน้ำทิ้ง ที่อาศัยปัจจัยความชื้น สิ่งสกปรก และความเน่าเหม็นในการดำรงชีวิต ขนาดจะใช้มือบี้อยู่แล้วมันยังเกาะผนังจังก้าอยู่เลย ฉะนั้นต่อให้ใช้สารเคมีมันก็ไม่หนีไปไหนหรอก   วิธีกำจัด : ในเมื่อกำจัดมันไม่ได้เราก็ต้องมาเปลี่ยนสภาพบรรยากาศในบ้านให้สะอาดดีกว่า โดยเริ่มจากการขัดล้างห้องน้ำและโถส้วมทุกอาทิตย์ เรียกบริการสูบส้วมมาบ้าง หรือปิดฝาท่อน้ำทิ้งเมื่อไม่ใช้ ส่วนในครัวก็ต้องทำความสะอาดอ่างล้างจานก่อนนอน และอย่าตั้งจานชามเลอะ ๆ ทิ้งเอาไว้ เมื่อบรรยากาศสกปรกหายไปยังไงแมลงส้วมก็หมดหนทางอยู่แน่นอน       7. ปราบแมลงสาบด้วยส่วนผสมเพียง 2 อย่าง แหล่งซ่องสุม : สุดยอดแมลงลมกรดและหนังเหนียวประจำบ้าน ที่บางครั้งใช้ไม้กวาดตีซ้ำยังวิ่งต่อได้ และหายเข้ากลีบเมฆไปในที่สุด จะโผล่มาให้เห็นอีกทีก็แถว ๆ ถังขยะ ลิ้นชัก หรือตู้เก็บของ ที่ถึงแม้จะไม่มีของสกปรกอยู่เลย แต่ถ้าเป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยได้รับการเหลียวแลจากเจ้าของบ้าน แมลงสาบก็จะเข้ามายึดพื้นที่ และให้กำเนิดลูกหลานอีกนับร้อย   วิธีกำจัด : ผสมเบกกิ้งโซดาและน้ำตาลในปริมาณที่เท่ากัน จากนั้นน้ำไปโรยไว้บริเวณที่เห็นแมลงสาบโผล่ออกมาบ่อย ๆ ทีนี้พอแมลงสาบเห็นกับดักของเรา ก็จะเก็บเอาส่วนผสมเหล่านั้นไปแบ่งกันกินในรัง ที่เหลือเราก็แค่รอเวลาเก็บกวาดเหล่าแมลงสาบที่นอนตายออกจากบ้าน     รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าทนแบ่งพื้นที่บ้านร่วมกับแมลงที่ไม่ได้รับเชิญอีกเลย เพียงแค่นำเทคนิคกำจัดแมลงร้ายด้วยของก้นครัวที่เรานำมาฝากกันไปลองทำดูนะคะ นอกจากแมลงจะหายแล้ว คราวนี้บ้านก็จะทั้งสะอาดและน่าอยู่ แถมร่างกายคุณก็ยังปลอดภัยจากเหล่าแมลงร้ายอีกด้วย       ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://home.kapook.com/view120120.html      
วางผิดชีวิตเปลี่ยน!! เผยทิศต้องห้ามวางหิ้งพระ

วางผิดชีวิตเปลี่ยน!! เผยทิศต้องห้ามวางหิ้งพระ

หลังจากที่ดูทริคการจัดหิ้งพระที่ควรทำไปแล้ว คราวนี้เรามาดูทิศต้องห้ามที่เจ้าของบ้านไม่ควรตั้งหิ้งพระกันต่อ มาดูกันว่าคุณเกิดปีไหนและห้ามไม่ให้ตั้งหิ้งพระตรงไหน   เจ้าของบ้านเกิดปีชวด ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศเหนือ เพราะจะส่งผลให้เจ้าบ้านเกิดอันตราย จนอาจถึงขั้นเสียชีวิต   เจ้าของบ้านเกิดปีฉลู ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะส่งผลให้เจ้าบ้าน เกิดการเจ็บป่วยอย่างกะทันหัน เจ้าของบ้านเกิดปีขาล ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จะส่งผลให้ผู้หญิงและสมาชิกในครอบครัวเกิดอันตราย   เจ้าของบ้านเกิดปีเถาะ ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาไปทางทิศตะวันออก จะส่งผลให้เกิดความสูญเสียคนในบ้านจะเสียชีวิต เจ้าของบ้านเกิดปีมะโรง ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออก จะส่งผลให้คนในบ้านเกิดการเสียหายทั้งชายและหญิง   เจ้าของบ้านเกิดปีมะเส็ง ห้ามตั้งหิ้งพระบูชา หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้คนในครอบครัวมีความยุ่งยากที่สุดจนหาความสงบสุขไม่ได้ เจ้าของบ้านเกิดปีมะแม ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้ครอบครัว เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างไม่คาดฝัน   เจ้าของบ้านเกิดปีมะเมีย ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศใต้ จะส่งผลให้เกิดเรื่องราวอัปมงคลขึ้นภายในบ้าน เจ้าของบ้านเกิดปีวอก ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้เกิดเรื่องร้าย ๆ กับสมาชิกเพศชายในครอบครัว   เจ้าของบ้านเกิดปีระกา ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเพราะ จะทำให้ความทุกข์โศกมาเยือนครอบครัวจนต้องร้องให้อยู่เสมอ   เจ้าของบ้านเกิดปีจอ ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เพราะจะส่งผลร้ายให้สมาชิกในครอบครัวอย่างมาก ถึงขั้นเสียชีวิตได้ เจ้าของบ้านเกิดปีกุน ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพราะจะส่งผลให้เกิดเรื่องร้าย ๆ ในครอบครัวอยู่ตลอด เสียเงินเสียทองขึ้นโรงขึ้นศาล ได้หลักการจัดหิ้งพระแบบง่ายๆ กันไปแล้ว ก็ลองตรวจเช็คดูนะครับว่าเราวางถูกต้องแล้วหรือยัง   เป็นยังไงกันบ้างครับกับสาระดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับบ้านและคอนโดแบบนี้อีกมากมาย ติดตามต่อได้ที่นี่เลยนะค้าบบบ www.reviewyourliving.com/infographic ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.sanook.com/home/9521/