Tag : howto

432 ผลลัพธ์
คนมีบ้าน-คอนโดเตรียมตัว ค่าส่วนกลางจะขึ้นราคา!

คนมีบ้าน-คอนโดเตรียมตัว ค่าส่วนกลางจะขึ้นราคา!

บทความนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องค่าส่วนกลางค่ะซึ่งงค่าส่วนกลางนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าใครที่ซื้อที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม-ทาวน์โฮม-บ้านเดี่ยวกับโครงการต่างๆ ก็จะต้องเสียค่าส่วนกลางล่วงหน้ากันส่วนใหญ่ประมาณ 1-2 ปี ตั้งแต่วันโอนกรรมสิทธิ์กันเลย โดยมีการคิดเป็นบาท/ตร.ม. หรือบาท/ตร.ว. เพื่อนำไปดูแลทรัพย์ส่วนกลาง ภายในโครงการ  ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีต้นทุนอยู่ และหากต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นแน่นอนว่าค่าส่วนกลางก็จะถูกขึ้นราคาตามไปด้วย   ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนค่ะว่า ค่าส่วนกลางที่เราจ่ายไปนั้นจะถูกนำไปบริหารจัดการโดยนิติบุคคล ของโครงการ ซึ่งเงินก้อนนี้จะถูกนำมาดูแลส่วนกลางทั้งหมด เช่น ค่าซ่อมบำรุงลิฟต์ ค่าพนักงานรักษาความปลอดภัย ค่าแม่บ้านทำความสะอาด ค่าดูแลสวน สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสาธารณูปโภคส่วนกลางต่างๆ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ก็ย่อมมีต้นทุนอย่างที่เกริ่นกันไปแล้วใช่ไหมคะ ซึ่งสิ่งสำคัญที่เรากำลังจะมาบอกถึงสาเหตุของการขึ้นราคา ค่าส่วนกลางในอนาคตนั้นหลักๆ แล้วก็เป็นผลพวงมาจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจากเดิมในกรุงเทพฯ วันละ 300 บาท เป็นวันละ 325 บาท ซึ่งมีผลมาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา ฉะนั้นค่าจ้างพนักงานนิติบุคคล ค่าจ้างรปภ. ค่าจ้างแม่บ้านก็จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงส่วนกลางที่แต่ละโครงการต่างก็แข่งขันกันทำให้สวยยิ่งขึ้น มีพื้นที่เพิ่มขึ้น ตรงนี้ก็กลายเป็นว่าต้องมีต้นทุนในการดูแลรักษากันมากขึ้นตามไปด้วย หลาย Developer จึงผลักต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ประมาณ 1-2% ไปที่ค่าส่วนกลาง โดยจะเริ่มมีผลกันตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้เป็นต้นไป   สุดท้ายอาจมีคำถามเกิดขึ้นว่า แล้วแบบนี้ไม่จ่ายค่าส่วนกลางได้ไหม ซึ่งเราขอแนะนำว่าจ่ายเถอะค่ะ แม้ว่าราคาต่อปีจะอยู่ที่หลายหมื่นบาทก็ตาม เพราะค่าใช้จ่ายนี้ก็นำไปปรับปรุงให้โครงการที่เราอยู่นั้นมีสภาพแวดล้อมสวยงามอยู่เสมอ ดูแลสิ่งอำนวยความสะดวกให้ รวมถึงยังช่วยเรื่องความปลอดภัยของเราด้วย ซึ่งการอาศัยอยู่ร่วมกันก็ต้องทำตามกฎเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่งผลให้บ้านของเราน่าอยู่อาศัยไปด้วย เพราะหากลูกบ้านไม่จ่ายค่าส่วนกลางก็จะมีการกำหนดโทษปรับ ไปจนถึงฟ้องศาลได้ตามกฎหมาย
แปลนบ้าน ตามหลักฮวงจุ้ย อยู่แล้วรวย

แปลนบ้าน ตามหลักฮวงจุ้ย อยู่แล้วรวย

ฮวงจุ้ยกับหลักการของบ้านก็เป็นเรื่องของความสมดุลที่เรียกว่า อินเอี๊ยง หรือ หยินหยาง คือมีความมืดและความสว่าง ถ้ามีความสว่างมากเกินไปก็จะกระตือรือร้น ร้อนรนมากเกินไป มุ่งมั่นแต่เรื่องเงินอย่างเดียว ขณะเดียวกันความมืดก็คือ ความนิ่ง ความสงบ ถ้าความมืดน้อย ชีวิตก็จะไม่สงบสุข ฉะนั้นหากจะต้องสร้างบ้านใหม่ก็ลองหันมาดูเรื่องของแปลนบ้านให้ถูกต้องตามหลักของฮวงจุ้ย ช่วยเสริมในหลายๆ ด้านของชีวิต เช่น เรื่องเงินทองให้ไหลเข้าบ้าน แต่ไม่ไหลออกไป ซึ่งมีวิธีการดังนี้ วางแปลนบ้าน แบบแบ่งหน้า-หลัง ตามหลักฮวงจุ้ย ตามหลักฮวงจุ้ยต้องแบ่งหน้าบ้านกับหลังบ้านให้สมดุลกัน โดยหน้าบ้านต้องสว่าง หลังบ้านต้องมืดทึบ เปรียบได้กับหน้าบ้านสว่างเป็นน้ำไหลเข้ามา หลังบ้านทึบเป็นภูเขารับน้ำ แต่ถ้าอยู่สลับที่กัน เช่น หลังบ้านโล่ง แปลว่าไม่มีภูเขา หรือภูเขาตกน้ำ คนที่อยู่ภายในบ้านจะสุขภาพไม่ดี ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างเงินกับคน เพราะตามหลักฮวงจุ้ย หากจะดูเงินที่เข้ามาให้ดูที่ความเคลื่อนไหว ดูว่าจะเก็บอยู่หรือไม่ให้ดูความนิ่ง   ข้อห้ามที่ว่าไม่ให้ 2 ประตูตรงกัน แปลว่ามีแต่เงินเข้ามา แต่ทำเท่าไรก็ไม่เหลือเก็บ เราจึงต้องอุดข้างหลัง เหมือนโบราณกล่าวว่าถ้ามีคู่ต้องให้คู่เก็บ สามีทำงาน ภรรยาอยู่บ้านให้เก็บเงิน ไม่มีคนอยู่บ้าน ทำแทบตายไม่มีคนเก็บ หรือในคอนโดก็เช่นกัน ต้องแบ่งครึ่งระหว่างหน้ากับหลัง กฎของแม่น้ำกับภูเขาก็ใช้ได้เช่นเดียวกัน     กฎของความสว่างกับความมืดทึบต้องอยู่ตรงข้ามกันเสมอ ทุกครั้งที่มีเข้ามาต้องมีการรับ เช่น ถ้ามีประตูต้องไม่มีหน้าต่างตรงกัน แสงก็เช่นกัน ต้องมีความสมดุลระหว่างสว่างและมืด ที่ว่าหน้าบ้านเป็นโบสถ์ วัด โรงเจ ถือว่าเป็นความมืด จะแก้ด้วยการติดไฟสว่างไว้ 1 ดวง เพื่อแก้ให้มีความสว่างเกิดขึ้น หรือหากหน้าบ้านมีรถไฟฟ้าเปรียบเสมือนภูเขาอยู่ตรงหน้า อาจไม่ดี ต้องแก้ด้วยความโล่งโปร่ง จึงต้องมีการวางน้ำพุ ลานน้ำผุดขึ้นมาแก้สร้างความสมดุล เพราะความทึบ คือ ความมั่นคง บุคคล ส่วนความโล่ง คือ การเงินหรือสุขภาพ แปลนบ้านที่สมดุล สัมพันธ์กับฮวงจุ้ย ความสมดุลของบ้าน เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ ส่วนจะรู้ว่าสมดุลหรือไม่นั้น หลักการคำนวณเริ่มจากยืนจากหน้าบ้านใช้เข็มทิศวัด ว่าบ้านนี้หันหน้าไปทางทิศไหน หลังตั้งอยู่ทิศอะไร แล้วมาคำนวณ เบื้องต้นบ้านที่ดีต้องแบ่งด้านหน้าออกเป็น 3 ช่องได้เท่าๆ กัน   สำหรับลักษณะของบ้านที่ดีต้องเข้าตรงกลาง โดยให้เปรียบสัมพันธ์กับหน้าตาของคนเรา ทางเข้าถ้าเบี้ยวซ้าย เบี้ยวขวาเหมือนปากไม่ตรง กินไม่ถนัด และบ้านที่เอาบันไดไว้หน้าบ้านก็ไม่ดี เพราะเปรียบเสมือนเอาภูเขาไปอุดอยู่ข้างหน้า บ้านที่เป็นรูปลักษณะที่ดี คือ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไม่ด้านตั้งก็ด้านยาว การต่อเติมที่ไม่สมดุลมีส่วนเกินมาก ทำให้ไม่ครบองค์ประกอบ 8 ทิศไม่สมบูรณ์ก็จะไม่ดีในแง่ฮวงจุ้ย   ในการพิจารณาตามศาสตร์ฮวงจุ้ยต้องดูเฉพาะตัวบ้าน ไม่ต้องสนใจที่ดิน ซึ่งประตูบ้านสำคัญกว่าประตูรั้ว เพราะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่เข้ามาหาเรา รูปลักษณะบ้านก็ต้องอยู่ในความสมดุล โดยบ้านที่ดีคือ บ้าน 2 ชั้นขึ้นไป ประตูกับบันไดควรสัมพันธ์กัน ทางเข้าต้องมีบันไดรับ ซ้ายหรือขวาได้ แต่ต้องไม่ใช่ตรงกลางบ้าน เปรียบเสมือนการรับทรัพย์และนำเข้าไปในตัวบ้าน   "การเลือกแปลนบ้านให้ใช้เกณฑ์ของกระแสที่ไหลมาเป็นตัวกำหนด คือ ให้ถนนเป็นหลัก หากว่าเป็นหลังสุดท้ายและติดริมรั้วเลยถือว่าไม่ดี เรียกว่าปลายน้ำ ยิ่งเป็นรั้วที่ติดกับหมู่บ้านและมีบ้านที่อยู่ภายนอกบังอยู่ด้วยยิ่งไม่ดี แต่ถ้าติดรั้วและอีกฝั่งเป็นที่โล่งยังถือว่ามีกระแสลมพัดผ่าน ไม่เข้าหลักเกณฑ์ข้อนี้ อย่างไรก็ตามยังต้องมองว่าต้นทางกับปลายทางสู้กลางทางไม่ได้" สรุปแปลนบ้าน ตามหลักฮวงจุ้ยที่ดี ห้องรับแขก เมื่อเข้าประตูมาแล้วจะอยู่ซ้ายหรือขวาแล้วแต่ทิศทางเป็นตัวกำหนด ห้องใหญ่ที่สุด คือ ห้องของหัวหน้าครอบครัว เป็นคนที่หาเงินได้มากที่สุด บ้านที่ดีต้องวางแปลนบ้านให้มุมของพ่อแม่ควรเป็นมุมสงบอยู่ชั้นล่าง     ห้องครัว เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ถือเป็นมุมทรัพย์อีกแบบหนึ่ง ไม่โปร่งโล่งเกินไป ควรเป็นมุมที่ต้องแอบซ่อน เห็นครัวง่ายก็จะมีคู่แข่งตลอด อาหารการกินก็จะมีคนมาแย่งกิน กรณีนี้ยกเว้นสำหรับร้านอาหาร และครัวไทยที่ทำนอกบ้าน การทำครัว ให้เลี่ยงการประจันหน้าระหว่างเตาไฟกับอ่างล้างจาน เพราะน้ำกับไฟเจอกัน จะทำให้คนในบ้านทะเลาะกัน โดยหลักการฮวงจุ้ย การดูครัวให้ใช้ดวงชะตาของแม่บ้านเป็นหลัก เพราะถ้าแม่บ้านไม่มีแรง กลับบ้านมาก็ไม่มีใครป้อนอาหารให้มีความสุขได้ ควรเว้นการทำห้องน้ำตรงกลางบ้าน และตรงกลางของหลังบ้าน ห้ามส่วนที่เป็นจุดศูนย์กลางทั้งหมด เพราะจะทำให้ประธานมีปัญหา หน้าต่างและบันไดบ้าน ควรจัดสมดุลด้วยสายตาและยึดหลักจำนวนเลขคี่ เพราะเลขคี่ คือ พลังการเคลื่อนไหว ส่วนเลขคู่ คือพลังหยุดนิ่ง หลังคาบ้าน เปรียบเสมือนหมวก หากว่าออกแบบชายคาต่ำกว่าสายตา ทำให้คนในบ้านมองไปไม่ไกล ทัศนวิสัยไม่ดี เหมือนปิดหน้าปิดตาไว้   หากแปลนบ้านดี ตามหลักฮวงจุ้ย แต่อย่าลืมทางสามแพร่ง! ที่สำคัญทางสามแพร่งถือเป็นข้อห้ามอันดับหนึ่ง เพราะกระแสจะวิ่งตรงเข้ามาชนตัวบ้าน ชนประตู จะมีปัญหามาก คนที่อยู่บ้านลักษณะนี้จะไม่มีความสุขเพราะกระแสแรง ส่งผลต่อคนแต่ละคนและมีทิศทางเป็นตัวกำหนด หากพุ่งชนทิศตะวันออกจะเกี่ยวข้องกับคำพูด ลม ปากและคอแห้ง มักจะมีปัญหาสุขภาพเรื่องปอด ทิศตะวันตกมักจะมีปัญหาเรื่องอุบัติเหตุ ทิศเหนือมีปัญหาเรื่องมดลูก ทิศใต้มีปัญหาเรื่องสายตา อย่างไรก็ตามบ้านลักษณะนี้เงินทองจะเข้าดีแต่สุขภาพจะไม่ค่อยดี   ขอขอบคุณข้อมูลฮวงจุ้ยดีๆ จาก อาจารย์ธนากร ตันอาวัชนการ (ซินแสมังกร) เกี่ยวกับอาจารย์ธนากร ตันอาวัชนการ อาจารย์ธนากร ตันอาวัชนการ  บทความอื่นๆ เกี่ยวกับแปลนบ้าน และฮวงจุ้ย ความสมดุลในบ้าน ประตู และหน้าต่างบ้าน ประตูหน้า-ประตูหลัง นั้นสำคัญไฉน บ้านที่มีรั้วสูง รั้วทึบเหมือนกำแพงคุก จะมีผลอย่างไร?  
8 เพื่อนบ้านสุดยี้ที่ใครมีก็ต้องเซ็ง

8 เพื่อนบ้านสุดยี้ที่ใครมีก็ต้องเซ็ง

บ้านคือวิมานแห่งความสุข แต่บางครั้งความสุขที่เราคาดหวังอาจต้องพังครืนเมื่อมีตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้อย่าง “เพื่อนบ้าน” เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ หรือคอนโดฯ หากบังเอิญต้องมาเจอกับ 1 ใน 10 ประเภทของเพื่อนบ้านเหล่านี้ ดีกรีความสุขของคุณอาจติดลบโดยไม่รู้ตัว   เจ้าแห่งเสียง แม้ว่าคุณจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในห้องสมุดที่จะพูดคุยทีต้องคอยกระซิบกระซาบ แต่หากต้องอยู่บ้านติดหรือละแวกเดียวกับคนที่พูดเสียงดัง ตะโกนโหวกเหวก โวยวาย ทะเลาะกันเช้า-เย็น หรือบ่นทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่เว้นแม้แต่หมา แมว หรือกระรอกบินที่เลี้ยงไว้ในกรง คงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก แน่นอนว่าอยู่ในห้องหรือบ้านคุณสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ แต่อย่าลืมขอบเขตของคำว่าพอดี เพราะคงไม่มีใครอยากได้รับการเผื่อแผ่คำที่ฟังแล้วไม่รื่นหูนักหรอก “เสียงนั้น” ในยามวิกาล อีกหนึ่งปัญหาที่ไม่น่าเชื่อว่าหลายคนต้องพยักหน้าว่า “ฉันก็เจอมาเหมือนกัน” จริงๆ มันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติและการแสดงความรักต่อกัน แต่ทางที่ดีเราไม่ควรให้ความรักนั้นเป็นความร้าวรานของเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในคอนโดฯ หากไม่ใช่ห้องมุมและอยู่ชั้นบนสุด แหล่งกำเนิดเสียงประเภทนี้จะมาได้ในทุกทิศทาง หากใครที่กำลังประสบปัญหานี้ หากทำใจให้มองผ่านไม่ได้ บางทีคุณอาจจะต้องบอกให้เจ้าของบ้านหรือเจ้าของห้องรู้ ลองเขียนโน๊ต (โดยที่อาจไม่ต้องลงชื่อ) และไปสอดไว้ที่ห้องของจุดเกิดเหตุ ขอความร่วมมือให้ลดการใช้เสียงลงสักนิด หากไม่เวิร์ค สุดท้ายก็คงต้องทำใจ เพราะเสียงแบบนี้มีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดได้ทุกวัน แจกบัตรเบ่งเป็นพี่ใหญ่ประจำซอย ไม่ว่าตำแหน่งในหน้าที่การงานจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่หากต้องอยู่ร่วมกันในชุมชนแล้ว ทุกคนมีสิทธิ์และเสียงเท่ากัน การเป็นซีอีโอของบริษัทใหญ่ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะสามารถจอดรถขวางทางเข้า-ออกของซอยได้ หรือต่อเติมบ้านให้มากินพื้นที่สาธารณะได้ เพราะคนที่อยู่ร่วมหมู่บ้านหรือคอนโดฯ เดียวกันกับคุณก็จ่ายค่าส่วนกลางเหมือนๆ กัน ทำตัวเป็นหน่วยสอดส่องความเป็นอยู่ของคนอื่น การเอาใจใส่เพื่อนร่วมบ้าน คอยช่วยกันดูแล เฝ้าระวังเป็นเรื่องที่ดี แต่หากเกินลิมิตจะกลายเป็นการเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนบุคคลจนเกินงามคงไม่ดีนัก ส่วนใหญ่มักจะเกิดกับบ้านที่มีรั้วติดกัน หรือเลย์เอาท์แบบเปิดโล่ง หากมีคนคอยจับตามองตลอดเวลาว่าคุณจะไปไหน ทำอะไร ใส่กระโปรงสีไหน ต่างหูเป็นอย่างไร และเอาไปเม้าท์ต่อเป็นที่สนุกสนาน นอกจากคุณจะไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเซเลบฯ แล้ว อาจมีการเปิดศึกกับหน่วยข่าวไม่กรองเหล่านี้ได้ จอดรถขวางทาง แม้ว่าจะเป็นพื้นที่หน้าบ้านคุณ แต่อย่าลืมว่าเมื่อพ้นประตูรั้วของคุณไปแล้ว นั่นเป็นพื้นที่สาธารณะ เรื่องการจอดรถนอกบ้านนี้ เป็นหนึ่งในปัญหา (เรื้อรัง) ที่พบเห็นได้ในหมู่บ้านจัดสรรทุกที่ แม้ว่าแบบบ้านส่วนใหญ่จะออกแบบให้มีพื้นที่จอดรถในเขตบ้าน แต่บางครั้งก็มีเหตุที่จะต้องนำรถออกมาจอดนอกบ้าน ซึ่งหากมีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นจริงๆ ขอให้คิดสักนิดก่อนจอดว่ารถของคุณจะไปขวางทางเข้า-ออกของรถที่อยู่ร่วมซอยกันหรือไม่ ปลูก/ปล่อยต้นไม้ล้ำพื้นที่ อีกหนึ่งปัญหาสำหรับคนที่อยู่บ้านจัดสรร แม้ต้นไม้จะช่วยสร้างร่มเงาและความร่มรื่นให้กับบ้าน แต่หากกิ่งก้านของมันแผ่ขยายไปยังพื้นที่ของบ้านข้างๆ ใบร่วง ดอกโรย หรือผลตกไปในพื้นที่ของคนอื่นโดยที่เจ้าของบ้านนั้นๆ ไม่ได้อยากมีส่วนร่วมแม้แต่น้อย ก็คงต้องมีการพูดคุยกับเพื่อนบ้านให้เข้าใจ หรือทางที่ดี ก่อนจะปลูกต้นไม้ริมรั้ว ริมกำแพง ให้เว้นพื้นที่ไว้ตอนที่ต้นมันโตเต็มที่ หรือเลือกปลูกต้นที่สามารถตัดแต่งกิ่งได้ กันไว้ย่อมดีกว่าต้องมานั่งแก้ปัญหาในภายหลังอยู่แล้ว ปล่อยสัตว์เลี้ยงมาขับถ่ายที่บ้านคนอื่น แม้น้องหมา-น้องแมวส่วนใหญ่จะได้รับการฝึกฝนให้ขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง แต่เมื่อถึงเวลาออกมาเดินเล่นนอกบ้าน หากเกิดเหตุสุดวิสัยที่ต้องปล่อยบอมบ์กลางทาง คุณเจ้าของควรต้องคอยตามเก็บใส่ถุงเพื่อความสะอาดของชุมชนโดยรวม ไม่ควรปล่อยให้ลูกรักมาวิ่งเป็นอิสระ เพราะบางครั้งน้องหมา-น้องแมวอาจเดินเล่นเพลินเข้ามาในพื้นที่บ้านของคนอื่นและถ่ายทิ้งไว้ โดยที่บางครั้งเจ้าเองก็ไม่รู้ตัว ทางที่ดีควรให้พวกเขาวิ่งเล่นอยู่ในสายตาของคุณตลอดก็จะหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวได้ ดัดแปลงบ้านผิดวัตถุประสงค์ บ้านจัดสรรไม่ว่าจะหลังเล็ก หลังใหญ่ พื้นที่กว้างหรือแคบ จุดประสงค์หลักก็คือเพื่อการอยู่อาศัย แต่จะมีบางคนที่เกิดไอเดียกระฉูด แต่ลืมนึกถึงความเหมาะสม เช่น บ้านทาวน์เฮ้าส์หลังกลางเปิดเป็นร้านอาหารตามสั่ง ผัดกระเพรา ควันขโมงตั้งแต่เช้ายันเย็น หรือบ้านหลังมุมพอมีพื้นที่แล้วทำเป็นโรงงานที่มีเครื่องจักรเสียงดังเกือบตลอด 24 ชั่วโมง คอนโดฯ บางแห่งเปิดเป็นครัวลอยฟ้าทำอาหารกล่องส่ง กลิ่นอาหารลอยไปกระแทกประตูห้องนอนเพื่อนบ้านตั้งแต่ตี 4 ทุกวัน ลองจินตนาการว่าหากเป็นคุณที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ คงปวดหัวอยู่ไม่น้อย   แม้ว่าการอยู่ร่วมกันจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประคับประคองให้ทุกคนอยู่ด้วยรอยยิ้มและความสุข หากคนที่อยู่ในชุมชนนั้นๆ ไม่รู้จักการใช้สิทธิ์และเสรีภาพที่มีอยู่ของตัวเองอย่างเหมาะสมแล้วคุณละ ต้องเผชิญกับเพื่อนบ้านเหล่านี้บ้างหรือไม่? ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.ddproperty.com/ข่าวอสังหาริมทรัพย์-บทความ/2015/3/86475/10เพื่อนบ้านสุดยี้ที่ใครมีก็ต้องเซ็ง
5 เทคนิค เพิ่มโอกาสอนุมัติรีไฟแนนซ์บ้าน/คอนโด

5 เทคนิค เพิ่มโอกาสอนุมัติรีไฟแนนซ์บ้าน/คอนโด

สำหรับคนที่เคยกู้สินเชื่อบ้านหรือคอนโดจากธนาคารมาก่อน คงรู้กันดีธนาคารมีสิทธิ์ตอบรับหรือปฏิเสธการขอสินเชื่อ ถ้าเลือกได้เราก็คงอยากเป็นคนที่ได้รับการอนุมัติ คงจะดีไม่น้อยถ้าเราได้มีโอกาสเตรียมตัวก่อนจะถึงเวลารีไฟแนนซ์ เพื่อเพิ่มโอกาสการอนุมัติเวลาเราไปขอสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน/รีไฟแนนซ์คอนโดกับธนาคาร เทคนิคที่ 1 ชำระหนี้ให้ตรงตามกำหนด เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี ทุกครั้งที่มีการขอสินเชื่อ เจ้าหน้าที่ของธนาคารที่จะไปตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ของเราจากบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ซึ่งเก็บรวบรวมประวัติการขอสินเชื่อและประวัติการชำระหนี้ของเราไว้ เพื่อเอามาประเมินว่าเรามีนิสัยการชำระหนี้เป็นอย่างไร (ทั้งหนี้บ้าน หนี้รถยนต์ หนี้บัตรเครดิต) ทางที่ดีคือไม่ควรมีการชำระล่าช้า เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี ก็จะทำให้มีโอกาสได้รับการอนุมัติมากขึ้นครับ เทคนิคที่ 2 ปิดบัตรเครดิตที่ไม่ได้ใช้ หลายคนอาจยังไม่รู้จักคำว่า “ความสามารถในการก่อหนี้” ซึ่งดูง่ายๆ จากวงเงินสินเชื่อที่เราสามารถทำการเบิกกู้ได้ ถ้าจะให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือ บัตรเครดิตนี่แหละครับ สมมติเราเงินเดือน 50,000 บาท แต่มีบัตรเครดิต 3 ใบ วงเงินใบละ 200,000 บาท ถ้าวันดีคืนดี เราดันไปรูดจนเต็มวงเงินทุกใบ กลายเป็นว่ามีหนี้ 600,000 บาททันที แบบนี้ธนาคารก็อาจมองว่าจะเอาเงินที่ไหนมาผ่อนบ้าน จึงเป็นที่มาของคำแนะนำในข้อนี้ว่าถ้าหากมีบัตรเครดิตหลายใบ และมีใบที่ไม่ได้ใช้จริงๆ ก็ปิดไปดีกว่าครับ เทคนิคที่ 3 เดินบัญชีธนาคาร (Statement) อย่างสม่ำเสมอ หนึ่งในรายการเอกสารที่ทุกธนาคารขอเวลาเรายื่นใบสมัครรีไฟแนนซ์บ้าน/รีไฟแนนซ์คอนโด ก็คือรายการเดินบัญชีย้อนหลัง เพื่อนำมาดูว่าเรามีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอหรือไม่ และแต่ละเดือนมีเงินเข้า/ออกอย่างไรบ้าง ซึ่งก็แล้วแต่ธนาคารว่าจะดูย้อนหลังกี่เดือน บางธนาคารก็ 6 เดือน หรือบางธนาคารอาจขอดูยาวถึง 2 ปีเลยก็มี เทคนิคที่ 4 สลิปเงินเดือนหรือหนังสือรับรองเงินเดือน บางคนอาจเคยได้ยินว่า สลิปเงินเดือนต้องใช้สลิปคาร์บอนเท่านั้น แต่หลายๆบริษัทสมัยนี้ไม่ใช้กระดาษคาร์บอนในการพิมพ์สลิปเงินเดือนแล้ว จึงสงสัยกันว่าถ้าสลิปเงินเดือนไม่ใช่กระดาษคาร์บอน จะกู้ผ่านไหม ก็ขอตอบกันตรงนี้ให้หายข้อข้องใจเลยแล้วกันครับว่า “ได้เหมือนกัน” เพียงแต่สลิปคาร์บอนจะดูน่าเชื่อถือกว่าเล็กน้อยเท่านั้นเอง แต่เราก็สามารถขอใบรับรองเงินเดือนจากบริษัทมาประกอบ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือได้เช่นกันครับ เทคนิคที่ 5 ลายเซ็นต้องเหมือนกันทุกแผ่น คุณรู้หรือไม่ว่าเอกสารทุกใบที่ส่งไปธนาคารจะพูดตรวจสอบให้แน่ใจว่า ไม่ได้เป็นมิจฉาชีพมาแอบอ้างขอสินเชื่อ ดังนั้นการเซ็นรับรองในเอกสารทุกใบควรเซ็นให้เหมือนกัน เพราะแต่ละวันมีเอกสารจำนวนมากถูกปฏิเสธเพราะลายเซ็นไม่ตรงกัน ทำให้ต้องเสียเวลาไปเซ็นใหม่อีกรอบ ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.refinn.com/เพิ่มโอกาสอนุมัติรีไฟแนนซ์บ้าน
Top 5 เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดูดเงินในกระเป๋าคุณ แบบร้องไห้หนักมาก

Top 5 เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดูดเงินในกระเป๋าคุณ แบบร้องไห้หนักมาก

หลายๆ ท่าน ที่เห็นบิลค่าไฟตอนสิ้นเดือน อาจจะร้องไห้หนักมากเนื่องจากเห็นตัวเลขที่สูงปรี๊ด เรามาดู Top 5 เครื่องใช้ไฟฟ้าต้องสงสัย ที่ดูดเงินในกระเป๋าอย่างไม่ปราณี กันเลยดีกว่า   เครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟ อันดับ 1 "เครื่องปรับอากาศ"  เครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟอันดับ 1 ภายในบ้านที่กินไฟเปลืองมาก และยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมากสู่ชั้นบรรยากาศ เครื่องปรับอากาศ 1 เครื่อง จะกินไฟ ประมาณ 680 – 3,330 วัตต์ บวกกับสภาพอากาศบ้านเราเป็นเมืองร้อน ทำให้บ้านหลายหลังต้องเปิดเครื่องปรับอากาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำค่าไฟในบ้านเลยสูงปรี๊ดเลยทีเดียว เครื่องใช้ไฟฟ้าตัวเล็กกินไฟ "เครื่องทำน้ำอุ่น"  ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เราใช้งานไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน แต่มีอัตราการกินไฟสูงไม่ใช่เล่น เครื่องทำน้ำอุ่น 1 เครื่อง กินไฟประมาณ 900 – 4,800 วัตต์ อัตราการกินไฟเยอะขนาดนี้ เรามากลั้นใจอาบน้ำเย็นกันดีกว่า ตู้เย็น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีกันทุกบ้าน ตู้เย็น ขนาด 2 – 12 คิว จะกินไฟประมาณ 53 – 194 วัตต์ ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟไม่มาก แต่เพราะเราเสียบปลั๊กตู้เย็นไว้ 24 ชั่วโมง จึงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดูดเงินในกระเป๋าคุณออกไปมากจนแทบอยากร้องไห้ เครื่องซักผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องใช้ให้ดี เหตุผลที่คุณแม่บ้าน ต้องซักผ้าครั้งละมากๆ ก็เพราะ เครื่องซักผ้า 1 เครื่อง กินไฟประมาณ  250 – 2,000 วัตต์ หากซักผ้าน้อยชิ้น แต่ซักบ่อยๆ คุณแม่บ้านอาจจะกระเป๋าตังค์ฉีกไม่รู้ตัวนะ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เลี่ยงไม่ได้ "เตารีด" และก็เช่นเดียวกับการซักผ้าครั้งละมากๆ คุณแม่บ้าน ก็ควรจะรีดผ้าครั้งละมากๆ ด้วยเหมือนกัน เพราะเตารีด 1 เครื่อง จะกินไฟประมาณ 430 – 1,600 ทั้งนี้ เทคนิคการรีดผ้า การเลือกใช้อุณหภูมิให้เหมาะสมกับเนื้อผ้า ก็สามารรถช่วยคุณแม่บ้าน ประหยัดขึ้นได้นะคะ   ทีนี้เรามีวิธีคำนวณอัตราการกินไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบง่ายๆ มาฝาก เพื่อคุณจะได้รู้ว่าจะต้องเตรียมเงินค่าไฟให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านประมาณเท่าไหร่ บ้านมีหลอดไฟจำนวน 100 วัตต์ 10 หลอด เท่ากับ 100 x 10 = 1,000 วัตต์ (1 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง) ถ้าเปิดไฟทั้ง 10 ดวง นาน 2 ชั่วโมง เท่ากับ 1,000 x 2 = 2,000 วัตต์ (2 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง) ดังนั้น 2 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง = 2 ยูนิต หรือ 2 หน่วย ค่าไฟฟ้าหน่วยละประมาณ 4 บาท = 2 x 4 = 8 บาท อัตราค่าไฟฟ้าปัจจุบันสำหรับบ้าน การไฟฟ้านครหลวง บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง 4 วิธีกำจัดสิ่งสกปรกในเครื่องซักผ้า ถอดรหัสกระแสบ้านอัจฉริยะ วิธีใช้ปลั๊กพ่วงอย่างไรให้ปลอดภัย
5 ทำเลเลี่ยงได้ให้เลี่ยงเมื่อซื้อคอนโด

5 ทำเลเลี่ยงได้ให้เลี่ยงเมื่อซื้อคอนโด

การเลือกที่อยู่อาศัยก็เหมือนเลือกทำเลให้กับร้านค้า หากได้พักอาศัยในทำเลที่ดีก็จะช่วยให้คุณสะดวกสบายและช่วยให้มีความสุขมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าองค์ประกอบรอบๆ ข้างแย่ เราก็ควรหลีกเลี่ยงด้วยเช่นกัน 1. ไม่ควรซื้อคอนโดที่อยู่ใกล้แนวสายไฟฟ้าไฟแรงสูงถ้าให้ดีควรเลือกคอนโดหรือห้องที่อยู่ห่างเสาไฟฟ้าหรือสิ่งที่จะทำให้เกิดอันตรายได้ อย่างน้อย 300 เมตรขึ้นไป ทั้งนี้ยังสามารถประเมินความปลอดภัยเรื่องอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น อยู่ใกล้กับอาคารที่ง่ายต่อการลุกลามของเชื้อเพลิงหรือไม่ 2.ลองสังเกตถึงหม้อแปลงกระแสไฟฟ้าให้ดี ในพื้นที่ชุมชนเรามักจะเห็นหม้อแปลงไฟฟ้าอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ดีแน่ถ้าสิ่งนี้จะอยู่ละแวกเดียวกับที่อยู่อาศัยของเราควรเลือกห้องที่อยู่ไกลหม้อแปลง ออกมาหน่อยอย่างน้อย 100 เมตร หรือในระยะที่ประเมินได้ว่าการระเบิดของมันจะไม่ส่งผลกระทบกับห้องของเรา 3.ถอยให้ห่างเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่มีใครที่อยากเข้าใกล้เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ แต่นั่นก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ลองสำรวจและเลือกคอนโดที่อยู่ไกลจากแหล่งส่งสัญญาณโทรศัพท์ 300 เมตรเป็นอย่างน้อย เพราะนั่นจะดีกับตัวคุณ 4.ไม่ใกล้วัดและเมรุเผาศพข้อนี้คงเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ถ้าหลีกเลี่ยงได้เราก็ขอแนะนำว่าคงไม่ดีแน่ถ้าห้องของเราหันหน้าไปทางวัด หรือต้องเห็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตลอดเวลา โดยเฉพาะเมรุเผาศพ ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ควรจะหลีกเลี่ยงดีกว่า 5.อยู่ห่างกองขยะเข้าไว้เพราะนอกจากจะไม่อยู่ในรัศมีของกลิ่นเน่าเหม็นแล้ว กองขยะยังเป็นสัญลักษณ์ของเชื้อโรค ฝุ่นละออง ที่ปลิวมากับอากาศ มันคงไม่ดีแน่ถ้าคุณต้องสูดดมมันทุกวัน เพราะนั่นเป็นบ่อเกิดของโรค ซึ่งทำให้คุณต้องเจ็บป่วย ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.plus.co.th/condo-for-sale/condo-checklist
เลือกซื้อแอร์อย่างไรให้คุ้มค่า เข้ากับทุกขนาดและสไตล์การแต่งห้อง

เลือกซื้อแอร์อย่างไรให้คุ้มค่า เข้ากับทุกขนาดและสไตล์การแต่งห้อง

ย่างเข้าสู่  “ฤดูร้อน” กันแล้ว อย่างที่ทราบกันดีว่าสภาพอากาศช่วงหน้าร้อนของประเทศไทยนั้นทวีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศา กันเลยทีเดียว วิธีรับมือส่วนใหญ่ของใครหลายๆ คนคงเป็นการมองหาเครื่องปรับอากาศเครื่องใหม่เพื่อมาคลายร้อนให้กับตัวเอง แต่ปัจจุบันการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศโดยคำนึงเพียงแค่ขนาด BTU และราคานั้นไม่ได้แล้วนะคะ เพราะด้วยสภาวะแวดล้อม คุณภาพของอากาศ หรือไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เราต้องคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้เพิ่มเติมนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น   ซึ่งจะดีแค่ไหนถ้ามีเครื่องปรับอากาศสักตัวที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความเย็น ดีไซน์ คุณภาพ และราคา ที่สำคัญต้องประหยัดไฟฟ้า แน่นอนว่าผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty จึงได้ปล่อยผลิตภัณฑ์ที่หลายครอบครัวกำลังมองหานั่นคือให้ทั้งความคุ้มค่า ที่มาพร้อมประสิทธิภาพทรงพลัง ด้วยนวัตกรรมการผลิตที่ตอบโจทย์ได้ทุกไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพของผู้ใช้ และความสะดวกสบายจากการใช้งาน วันนี้เราจึงมีข้อแนะนำในการเลือกขนาดเครื่องปรับอากาศให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละห้อง ที่จะทำให้วันสบายๆ ของคุณหมดกังวลเรื่องความร้อน แถมยังประหยัดและดีต่อสุขภาพมาฝากกันค่ะ..   ถ้ารู้ขนาดห้องที่ชัดเจน ก็จะเลือกเครื่องปรับอากาศง่าย!   สิ่งแรกต้องรู้ในการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ คือจะใช้แอร์กี่ บีทียู (BTU) โดยค่า BTU คือหน่วยบอกความสามารถในการถ่ายเทหรือดึงความร้อนออกจากห้อง และทำความเย็นภายในห้อง ซึ่งคิดหน่วยต่อชั่วโมง (BTU/h) เราจึงต้องเลือก BTU ให้เหมาะกับขนาดห้อง ในการซื้อแอร์มาติดตั้ง ซึ่งสูตรสำเร็จง่ายๆ ที่เราอยากแนะนำ คือโดยทั่วไปแล้ว เครื่องปรับอากาศแบบติดผนัง หรือเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก จะมีมาตรฐานเริ่มต้นที่ 9000-24,000 บีทียู ขนาด 9,000 BTU จะเหมาะกับห้องขนาด 9-12 ตารางเมตร หรือห้องนอนขนาดเล็ก 12,000 BTU เหมาะกับห้องขนาด 12-16 ตารางเมตร หรือห้องนอนมาตรฐานของคอนโดฯ ทั่วไป ถ้าเป็นขนาด 18,000 BTU จะเหมาะกับห้องขนาด 16-24 ตารางเมตร ซึ่งสามารถเป็นเครื่องปรับอากาศตัวเดียวของห้องสตูดิโอในคอนโดได้ และ 24,000 BTU เหมาะกับห้องขนาด 24-32 ตารางเมตร ใช้กับขนาดของห้องโถงในบ้าน หรือสตูดิโอขนาดใหญ่นั่นเองค่ะ   ถ้าเน้นประหยัดไฟ ต้องเลือกเครื่องปรับอากาศแบบประหยัดพลังงาน   การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่มีระบบ Inverter จะช่วยประหยัดไฟได้จริงนะคะ เพราะระบบนี้จะเน้นสร้างความเย็นคงที่ อุณหภูมิจะไม่สวิงไปมา จึงมีความเงียบในการใช้งาน เนื่องจากคอมเพรสเซอร์ในระบบนี้ทำงานต่อเนื่องแบบลดรอบ ซึ่งต่างจากคอมเพรสเซอร์ธรรมดาที่ทำความเย็นถึงจุดหนึ่งแล้วตัด แล้วก็เริ่มทำความเย็นใหม่เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น เครื่องปรับอากาศที่มีระบบ Inverter อาจจะมีราคาสูงสักหน่อย แต่ลงทุนระยาวถือว่าคุ้ม น่าสนใจไม่น้อย แต่เครื่องปรับอากาศ ระบบ inverter ในท้องตลาดนั้นมีมากมายหลายรุ่นหลายยี่ห้อเลยะคะ แถมยังมีราคาที่สูงกว่าระบบธรรมดาอีกด้วย ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่ได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ที่จะช่วยประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายได้ ที่สำคัญควรคำนึงถึงประสิทธิภาพการทำงาน และชิ้นส่วนประกอบภายในของเครื่องปรับอากาศแต่ละเครื่องที่เรียกว่า ระบบ inverter แท้ทั้งระบบ (100% Real Inverter) เพื่อประสิทธิภาพในการประหยัดไฟที่มากกว่า คุ้มค่ากว่าในระยะยาว   ถ้าเครื่องปรับอากาศมันเก่ากินไฟ ก็อย่าฝืนใช้ต่อเลย..   หลายๆ คนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าเครื่องปรับรุ่นเก่า หรือเครื่องที่ใช้งานมาอย่างหนักหน่วงยาวนานนั้นกินไฟมาก ดังนั้นแนะนำให้ตัดใจเลือกซื้อใหม่ดีกว่าค่ะ เพราะเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่นั้นมีความสามารถในการทำความเย็นได้ดี ในขณะที่กินไฟน้อย ทั้งยังมีระบบทำความเย็นต่างๆ ที่เราสามารถเลือก หรือปรับใช้ให้เหมาะกับพื้นที่ พร้อมสู้หน้าร้อนได้สบาย แถมยังมีคุณสมบัติพิเศษรวมอยู่ในตัวด้วยเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าแก่ผู้ใช้มากที่สุด เช่น SENSOR ที่จะคอยตรวจจับความเคลื่อนไหวของเราและเลือกโหมดการทำงาน, อุณหภูมิ หรือระดับพัดลมโดยอัตโนมัติ ให้เหมาะสมกับจำนวนคนและจำนวนคนและการทำกิจกรรมต่างๆ ภายในห้อง, โหมดประหยัดพลังงาน หลีกเลี่ยงการทำให้อากาศภายในห้องเย็นจนเกินไป ด้วยการเพิ่มอุณหภูมิและลดระดับพัดลมให้ต่ำลง เพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงานมากที่สุด, ระบบเร่งทำความเย็น ที่จะเร่งการทำงานเมื่อเปิดเครื่องให้อุณหภูมิห้องลดลงอย่างรวดเร็ว และลมแรงทำให้เรารู้สึกเย็นสบายขึ้นเมื่อเข้าในห้อง, ฟังก์ชั่นที่ปิดการใช้งานเครื่องปรับอากาศโดยอัตโนมัติหากไม่มีคนอยู่ในห้องเป็นเวลานาน หรือโหมดอัจฉริยะต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนการทำงานตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้งานแต่ละคน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้มีอยู่ในเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty รุ่นใหม่ทุกข้อเลยนะคะ   Mitsubishi Heavy Duty 5 ทศวรรษในประเทศไทย 5 ปีรับประกันทุกชิ้น และเย็นเร็วทันใจ   Mitsubishi Heavy Duty คือเครื่องปรับอากาศแบรนด์ดังจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีจุดแข็งในการผลิตเครื่องจักรกล เครื่องยนต์กลไก เครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งในครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม ทำให้เครื่องปรับอากาศของแบรนด์นี้ ขึ้นชื่อด้านประสิทธิภาพ มาตรฐานการผลิต ความทนทาน ตลอดจนมีตัวแทนจำหน่าย และบริการหลังการขายที่ครองใจและเคียงคู่คนไทยมากว่า 5 ทศวรรษ ด้วยการสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดเทคโนโลยีวิศวกรรมระดับโลกที่มีอยู่ในเครื่องปรับอากาศ อีกทั้งยังคงจุดเด่น “ประหยัดทนทานทุกงานหนัก” ไม่ว่าจะเป็นขนาด หรือฟังก์ชั่นการใช้งานแบบใด เครื่องปรับอากาศแบรนด์นี้ทุกรุ่น ล้วนมีประสิทธิภาพ ประหยัด ทนทานสมชื่อ Heavy Duty ที่เป็นจุดขายอย่างยาวนาน     ความคุ้มค่าของเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty ไม่ได้หมดเพียงเท่านี้ ยังมีระบบ Jet Flow ที่ทำให้เครื่องปรับอากาศ ลมแรงเย็นเร็วทันใจ แถมยังช่วยประหยัดไฟได้มากกว่า ด้วย Inverter แท้ทั้งระบบ  และยังคงใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยงดใช้สารทำความเย็นที่เป็นอันตรายต่อชั้นบรรยากาศโอโซน ตามนโยบายของบริษัท “Move the world forward” มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่ออนาคต ทั้งสังคม อุตสาหกรรมและชีวิตประจำวัน ที่สดใสยิ่งขึ้น     Mitsubishi Heavy Duty ช่วยประหยัดและทนทานทุกงานหนัก   เมื่อเครื่องปรับอากาศ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น Mitsubishi Heavy Duty จึงคิดค้นนวัตกรรมใหม่ที่มาช่วยให้อากาศเย็นขึ้น ดีต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย และมาพร้อมดีไซน์อันโดดเด่น โดยล่าสุดปี 2561 นี้ได้เปิดตัวเครื่องปรับอากาศ inverter แท้ทั้งระบบ (100% Real Inverter) รุ่น SRK-ZSXS SERIES ซึ่งเป็นเครื่องปรับอากาศระดับลักชัวรี่ จุดเด่นอยู่ที่ทุกรุ่นทุกขนาดครอบคลุมทุกความต้องการการใช้งาน ตั้งแต่ 9,000, 12,000, 18,000 และ 24,000 BTU ที่เหนือกว่าด้วยดีไซน์สวยงาม เหมาะแก่การติดตั้งเข้ากับขนาดและสไตล์การแต่งห้อง แถมยังได้รับรางวัล A’ Design award 2017 มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานอันสะดวกสบายและทันสมัย เช่น Motion Sensor ที่คอยตรวจจับความเคลื่อนไหวของมนุษย์อยู่ภายในห้อง, ECO OPERATION ที่ทำงานร่วมกับ Motion Sensor โดยการปรับความเหมาะสมของอุณหภูมิและระดับพัดลมให้เหมาะสมกับจำนวนคนที่อยู่ในห้อง, AUTO OFF ฟังก์ชั่นที่ปิดการใช้งานเครื่องปรับอากาศโดยอัตโนมัติหากไม่มีคนอยู่ในห้องนานกว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไป, PRESET OPERATION ให้ผู้ใช้สามารถเลือกโหมดการทำงานล่วงหน้าได้, LED BRIGHTNESS ADJUSTMENT ให้ผู้ใช้งานสามารถหรี่ไฟ LED หน้า Panel แอร์โดยเพื่อไม่ให้รบกวนการนอน เป็นต้น   เครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty รุ่นล่าสุดปี 2561 SRK-ZSXS SERIES ที่มี inverter แท้ทั้งระบบ  (100% Real Inverter) Design : Italian Designได้รับรางวัล A’ Design award   Mitsubishi Heavy Duty รุ่น SRK-ZSXS SERIES ดีต่อสุขภาพมากกว่า   นอกจาก Mitsubishi Heavy Duty inverter รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง SRK-ZSXS SERIES จะมาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานอันสะดวกสบายและทันสมัยแล้ว ยังมีฟังก์ชั่นเอาใจคนรักสุขภาพ โดยการใช้ Filter ที่สามารถเลือกเปลี่ยนได้ ตามฟังก์ชั่นเพื่อสุขภาพต่างๆ เช่น Natural Enzyme Filter ที่มีส่วนประกอบของเอ็นไซม์ธรรมชาติ สามารถป้องกันและทำลายเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ, Natural Solar Filter ช่วยกรองอากาศกำจัดกลิ่นเหม็นและกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ทำให้อากาศในห้องมีความสดชื่นมากยิ่งขึ้น, Anti-allergy & Activated carbon filter ช่วยกำจัดสารก่อภูมิแพ้ ดูดซับก๊าซอันตรายและฝุ่นละอองในอากาศ, Vitamin C Filter ช่วยทำให้อากาศที่ออกมามีวิตามิน C ทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื่น เครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty รุ่น SRK-ZSXS SERIES ขนาด 9,000 BTU ที่ออกแบบให้มีหน้าตาเหมือนกันทุกขนาด Btu เหมาะกับห้องขนาด 9-12 ตารางเมตร ซึ่งเมื่อนำไปติดตั้งบริเวณห้องนั่งเล่นของคอนโดมิเนียมก็มีความลงตัว ทั้งขนาดของพื้นที่ และดีไซน์ที่เข้ากับทุกการตกแต่งห้องทุกๆ สไตล์   สุดท้ายนี้ คงไม่มีใครไม่อยากหายใจเอาอากาศดีๆ เข้าปอดหรอกใช่ไหมคะ ดังนั้นการเลือกเครื่องปรับอากาศสักเครื่องหนึ่งก็ถือว่าเป็นตัวช่วยทำให้บรรยากาศดีขึ้นได้เยอะเลยนะคะ โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty รุ่นใหม่ SRK-ZSXS SERIES ที่มาพร้อมระบบ inverter แท้ทั้งระบบ เหนือกว่าแบรนด์คู่แข่งทั้งหมด อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นการทำงานแบบครบครันทันสมัย ที่สำคัญตัวแบรนด์ยังความน่าเชื่อถือและมาตรฐานการผลิตที่ดีเยี่ยม โดยทุกเครื่องที่ผลิตและจัดจำหน่ายในประเทศไทยนั้นได้ผ่านการตรวจรับรองคุณภาพตามมาตรฐานโลกเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นที่ QC กันทุกชิ้นส่วนตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการ Packaging สินค้าลงกล่อง ทำให้กล้ารับประกันทุกชิ้นส่วนเป็นระยะเวลา 5 ปี แถมดีไซน์ก็ยังสวยงามเข้ากับทุกสไตล์ห้อง ในขณะที่ขนาด BTU ก็มีให้เลือกมากมาย จึงมั่นใจในคุณภาพได้ว่า Mitsubishi Heavy Duty เป็นเครื่องปรับอากาศที่จะช่วยเติมเต็มช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัวคุณเสมอ   และอีกหนึ่งโปรโมชั่นสุดคุ้มเพียงซื้อเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty รุ่น SRK10CRV และ SRK13CRV รับไปเลย ลำโพง JBL Go สุดคุ้ม 1 เครื่อง ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มี.ค. 2561 เท่านั้น   ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2561 เมื่อซื้อเครื่องปรับอากาศซีรี่ย์ SRK-CVV ทุกรุ่น รับไปเลยเสื้อยืดสุดเท่ห์จาก MITSUBISHI HEAVY DUTY   หน้าร้อนนี้ไม่ว่าจะซื้อรุ่นไหน รับรองได้เลยว่าคุ้ม!!!   หมายเหตุ : เฉพาะสินค้ารุ่นที่ร่วมรายการ และห้างสรรพสินค้าที่ร่วมรายการเท่านั้น โปรดสอบถามข้อมูล ณ จุดขาย ดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ www.mitsuheavythai.com     #หนีร้อนมาพึ่งโอ้ #HeavyDutyชื่อนี้ไม่ได้มีไว้เล่นๆ #MitsubishiHeavyDuty #เย็นเร็วทนทานประหยัดไฟ
แต่งบ้านสวยดูแพง ในงบหลักร้อย จากอิเกีย บางใหญ่

แต่งบ้านสวยดูแพง ในงบหลักร้อย จากอิเกีย บางใหญ่

อย่างที่หลายๆ คนทราบกันดีอยู่แล้วว่า "อิเกีย บางใหญ่" ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เรียกว่าสร้างความตื่นเต้นให้ย่านบางใหญ่กลับมาคึกคักยิ่งขึ้น เนื่องจากเป็นสโตร์อิเกียที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยเนื้อที่รวมถึง 50,278 ตารางเมตร มาพร้อมสินค้าให้เลือกสรรกว่า 8,000 รายการ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าสำหรับแต่งบ้าน อาทิ ห้องนอน, ห้องนั่งเล่น, ห้องครัว และห้องน้ำ จุดเด่นของเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านภายใต้แบรนด์ อิเกีย นั้นอยู่ในช่วงราคาย่อมเยา แต่มาพร้อมดีไซน์ที่ดูดีทันสมัยและฟังก์ชั่นที่โดนใจใช้งานได้ดี วันนี้ทีมงาน “Review Your Living” เลยขอเอาใจคนรักบ้าน ที่มีความสุขกับการแต่งบ้านโดยคัดสรรเฟอร์นิเจอร์และสินค้าไอเท็มเด็ดๆ ราคาโดนใจในราคาหลักร้อยจาก อิเกีย บางใหญ่ มาให้แล้ว บอกเลยว่านอกจากจะใช้งานได้ดี ยังตอบโจทย์ความต้องการให้กับผู้ที่กำลังมองหาตัวช่วยที่ทำให้บ้านหลังสวย หรือคอนโดมิเนียมสุดที่รักได้ปรับเปลี่ยนตามพื้นที่ที่มีอยู่แบบจำกัด แถมยังประหยัดงบในกระเป๋าสตางค์ด้วย   1. จัดห้องน้ำให้งาม และใช้ง่าย     เพราะเราต่างเริ่มต้นวันใหม่ทุกวันที่ “ห้องน้ำ” ไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ก็ถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้ห้องอื่นๆ ของบ้าน เพราะเป็นพื้นที่ที่ทำให้เรารู้สึกดีเสมอ ช่วยสร้างความสุขให้ผู้ใช้ได้แม้ในระยะเวลาไม่นานนักก็ตาม เมื่อห้องน้ำมีความสำคัญมากขนาดนี้ เราจึงอยากแบ่งปันไอเท็มดีๆ ราคาหลักร้อย ที่จะช่วยให้คุณใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่ายิ่งขึ้น..   1.1 VESKEN เวสเก้น ชั้นวางของ ราคา 399 บาท  ชั้นวางของ VESKEN เวสเก้น ที่ใครๆ ก็สามารถประกอบได้ง่าย ไม่ต้องใช้เครื่องมือ เพียงต่อให้ลงล็อกก็พร้อมใช้งาน ชั้นผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล จึงใช้เก็บของกระจุกกระจิกในห้องน้ำได้สบายๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องขึ้นเชื้อรา 1.2. BRICKAN บริคกัน ชั้นวางของ ราคา 790 บาท ชั้นวางของ BRICKAN บริคกัน ที่ใช้ในห้องน้ำขนาดเล็กได้อย่างลงตัว และช่วยให้คุณหาของที่ต้องใช้ได้รวดเร็วทันใจ มี 2 ฟังก์ชันการใช้งาน ใช้ชั้นเก็บผ้าเช็ดตัวที่ยังไม่ได้ใช้และใช้ตะขอแขวนผ้าเช็ดตัวผืนที่ใช้งานอยู่ 1.3.  ฮูร์เน็น ราวม่านห้องน้ำ ราคา 399 บาท ราวม่านห้องน้ำฮูร์เน็น ที่สามารถติดตั้งง่ายโดยไม่ต้องเจาะรูหรือขันสกรู มีปลอกพลาสติกหุ้มรอยต่อราวม่าน ช่วยให้เลื่อนผ้าม่านได้ไม่สะดุดเพราะราวม่านมีระบบสปริง จึงยึดติดกับผนังได้มั่นคง ทั้งนี้ที่ครอบปลายราวม่านทำจากยาง จึงไม่ก่อให้เกิดร่องรอยขีดขวนบนผนังหรือกระเบื้อง ทนทานและดูแลทำความสะอาดง่าย เพราะทำจากสแตนเลส และสามารถยืดออกได้ตั้งแต่ 70 ถึง 120 ซม. 1.4. บาลุงเง่น ราวตากผ้า ราคา 590 บาท ราวตากผ้าซีรีส์ BALUNGEN/บาลุงเง่น ได้แรงบันดาลใจจากห้องน้ำในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ต้นศตวรรษที่ 19 สกรูที่ซ่อนอย่างแนบเนียน และผิวชุบโครเมียม จึงทนทาน ไม่ผุกร่อน ช่วยให้ห้องน้ำดูสวยเนี้ยบกลมกลืนกันทั้งห้อง 1.5. คนอดด์ ถังขยะมีฝาปิด ราคา 299 บาท ถังขยะมีฝาปิด คนอดด์ ฝามีตะขอใช้เกี่ยวขอบถังเวลาเปิด ทำให้ไม่ต้องหาที่วางฝา สามารถใช้ได้ทุกที่ในบ้าน แม้แต่ในที่เปียกชื้น อย่างในห้องน้ำ   2. แต่งห้องนอนให้ชวนฝัน     “ห้องนอน” ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มีความสำคัญไม่แพ้มุมอื่นๆ ภายในบ้าน เนื่องจากเป็นแหล่งพักผ่อนและเป็นห้องที่สมาชิกในบ้านใช้เวลากับมันมากที่สุดในแต่ละวัน ทั้งนี้ตามศาสตร์ของเรื่องฮวงจุ้ย การตกแต่งห้องนอนให้เป็นระเบียบและเรียบร้อยอยู่เสมอจะส่งผลถึงดวงชะตาในชีวิต ดังนั้นไม่ควรพลาดไอเท็มเด็ด ราคาหลักร้อย ที่จะทำให้ห้องนอนของคุณน่าทิ้งกายพักผ่อนชวนฝันมากกว่าที่เคย   2.1 เซียลเย่ โต๊ะข้างเตียง สีขาว ราคา 999 บาท โต๊ะข้างเตียงดีไซน์เรียบง่าย มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานสุดเจ๋ง เพียงร้อยสายไฟปลั๊กพ่วงสำหรับเสียบที่ชาร์จออกทางด้านหลังลิ้นชัก เท่านี้คุณก็มีที่ชาร์จอยู่ใกล้มือ สะดวกสบาย แถมยังเก็บสายไฟได้เรียบร้อยมิดชิดในราคาสบายกระเป๋า 2.2 ทูฟเบร็กก้า ปลอกผ้านวม และปลอกหมอน2ใบ สีดำ/ขาว ราคา 990 บาท เติมเต็มความสุขในการนอนด้วยปลอกผ้านวมเนื้อนุ่ม ทอด้วยเส้นใยฝ้ายที่ทนทาน ระบายอากาศ และซึมซับความชื้นได้ดี ให้สัมผัสนุ่มสบายผิว ปลอกผ้านวมมีลายทางที่วาดด้วยมือที่ได้รับความนิยมในยุค 70 หากลองสังเกตดีๆ จะเห็นว่าลายเส้นไม่ตรงนัก เพราะดีไซเนอร์วาดลวดลายขึ้นเองกับมือ และปลอกผ้านวมลายหน้าหลังต่างกัน ใช้ได้ทั้งสองด้าน สลับได้ตามชอบ อีกทั้งยังติดกระดุมแป๊กซ่อน ช่วยให้ผ้านวมเรียบ ไม่เป็นกระจุกอีกด้วย 2.3 EIDSÅ กระจกเงา ราคา 699 บาท ให้คุณเตรียมพร้อมก่อนออกจากบ้านด้วยกระจกเงารุ่น EIDSÅ ขนาด 48 x 120 ซม. ดีไซน์สวยเหนือกาลเวลา จะแขวนในห้องนั่งเล่นหรือห้องน้ำก็ได้ และยังเลือกติดแนวตั้งหรือแนวนอนได้ตามความชอบและขนาดพื้นที่ 2.4 โลเต้ ตู้ 3 ลิ้นชัก สีขาว ราคา 999 บาท ออกแบบตู้เสื้อผ้าได้ตามความต้องการจัดเก็บอย่างแท้จริง เพียงเลือกใช้ตู้ลิ้นชักน้ำหนักเบาและมีมือจับอยู่ข้างตู้ จึงเคลื่อนย้ายได้สะดวกสบาย และจัดเก็บเสื้อผ้าหรือข้าวของได้อย่างเป็นระเบียบ 2.5 ÄNGLAND (แองแลนด์) โคมไฟตั้งพื้น ราคา 790 บาท สร้างบรรยากาศอบอุ่น แสนสบาย ด้วยโคมไฟตั้งพื้นและฐานเหล็กเป็นการผสมผสานแบบคลาสสิกที่ลงตัว ช่วยเพิ่มกลิ่นอายของความดั้งเดิมในห้องของคุณ ที่ช่วยกระจายแสงไฟให้ดูนวลตา โคมไฟ ÄNGLAND (แองแลนด์) จึงตอบโจทย์ทุกความต้องการของโคมไฟด้วยลุคเดียวที่ลงตัว   3. แต่งครัวให้สวยดั่งใจนึก   “ห้องครัว” หนึ่งในหัวใจสำคัญอีกห้องหนึ่งของบ้านที่ขาดไม่ได้ เพราะนอกจากจะเป็นบริเวณประกอบอาหาร ยังกลายเป็นมุมสำหรับพูดคุยเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตประจำวันของคนในครอบครัวได้อย่างมีอรรถรส ดังนั้นเราควรตกแต่งห้องครัวให้สวยงามดั่งใจจากไอเท็มสำคัญราคาหลักร้อย ดังต่อไปนี้..   3.1 วาเรียร่า ถาดเก็บช้อนส้อม ราคา 990 บาท ครัวที่สมบูรณ์แบบคือครัวที่แก้ปัญหาความไม่ลงตัวในชีวิตประจำวันได้ อาทิ การเลือกใช้ถาดเก็บช้อนส้อมวาเทียร่า เพื่อจัดระเบียบอุปกรณ์ครัว ซึ่งผลิตจากไม้จริง เป็นวัสดุธรรมชาติที่ทนทานการใช้งาน ขนาด 52 x 50 ซม. คุ้มค่าในราคาไม่ถึง 1,000 บาท 3.2 เวียดดิงเง บานตู้ สีขาว ราคา 1,000 บาท ตู้ครัวที่เหมาะกับการใช้งานจะช่วยให้คุณประหยัดเวลาและพลังงานทุกครั้งที่คุณทำอาหารหรือจัดการงานครัว อิเกียมีตู้ครัวหลากหลายแบบและราคาให้เลือกสรร แต่ที่น่าสนใจทั้งในแง่ของคุณภาพและราคาก็คือ บานตู้ รุ่น เวียดดิงเง สีขาวที่ดูสบายตา สะท้อนสไตล์โมเดิร์นที่ดูสบายตาในราคาน่าคบหา 3.3 วาเรียร่า ที่วางจาน ราคา 359 บาท จานชามที่วางตั้งอยู่ธรรมดาคงดูไม่สวยงามเท่าไหร่ แนะนำให้เลือกใช้ วาเรียร่า ที่วางจาน ขนาด 21 - 31 ซม. ซึ่งสามารถปรับความกว้างได้ตามขนาดของจานชาม วางเก็บในลิ้นชักสูง บนชั้นวาง หรือบนโต๊ะได้ตามใจ และเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกด้วย 3.4. RIMFORSA (ริมฟอร์ซา) ที่วางแท็บเล็ต ราคา 490 บาท ผู้ช่วยของครัวยุคใหม่คงหนีไม่พ้น RIMFORSA (ริมฟอร์ซา) ที่ตั้งแท็บเล็ตให้คุณเห็นการคลิปการทำอาหารชัดๆ และไม่เกะกะเลอะเทอะ ขณะคุณยุ่งอยู่กับการปรุงอาหารสูตรใหม่ 3.5 ฟินทอร์ป ที่คว่ำจาน สีดำกัลวาไนซ์ ราคา 429 บาท ถ้าตู้ครัวและลิ้นชักเก็บของมีพื้นที่ไม่พอเก็บเครื่องครัวและของใช้ต่างๆ ที่เก็บของแขวนผนังคือทางเลือกที่ลงตัว นอกจากจะเลือกออกแบบได้ตอบโจทย์การใช้งาน ด้วยราวแขวน ตะขอ ภาชนะใส่ของ และชั้นวางของแบบต่างๆ แล้ว ยังช่วยให้คุณเก็บเครื่องครัวได้อย่างเป็นระเบียบ อยู่ใกล้มือหยิบใช้ง่าย เช่นเดียวกับ ฟินทอร์ป ที่คว่ำจาน สำหรับแขวนติดผนังหรือตั้งโต๊ะ มีถาดรองน้ำใต้ที่คว่ำจาน ช่วยป้องกันพื้นเปียกเลอะเทอะ   4. แต่งแต้มห้องนั่งเล่นในฝัน     การมี "ห้องนั่งเล่น" ไว้พักผ่อนในวันหยุด ก็ทำให้เราหายเหนื่อยจากการทำงานทั้งสัปดาห์ได้เป็นอย่างดี วันนี้เราจึงรวบรวมไอเท็มน่าสนใจจากอิเกียบางใหญ่ ที่จะช่วยให้ห้องนั่งเล่น ต่างสไตล์ ที่ใช้เป็นพื้นที่พักผ่อน ดูทีวี และทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวมาฝาก   4.1 ลัค โต๊ะกลาง ราคา 790 บาท ห้องนั่งเล่นเป็นสถานที่ที่บอกเล่าความเป็นตัวตนคุณ จึงไม่ควรวางข้าวของให้รกรุงรัง แนะนำให้ใช้โต๊ะกลาง รุ่นลัค ที่มีชั้นวางของใต้โต๊ะ เก็บนิตยสารและของต่างๆ ได้เป็นระเบียบ ไม่รกบนโต๊ะ ก็ช่วยทำให้ห้องดูน่าอยู่ขึ้นมาง่ายๆ 4.2 อัลเซด้า สตูลเตี้ย ราคา 990 บาท มีโต๊ะกลางแล้ว ก็ต้องมีสตูลเล็กๆ อย่าง อัลเซด้า สตูลทรงเตี้ย ที่ทำจากใยกล้วย ให้ผิวสัมผัสธรรมชาติ แต่เมื่อนำไปวางไว้ในห้องนั่งเล่นก็ช่วยทำให้ห้องดูมีสไตล์มากขึ้น 4.3 โอสเตียด พรมทอเรียบ ราคา 990 บาท ไม่ว่าจะตกแต่งสบายแค่ไหน แต่การให้นั่งพักผ่อนในห้องที่คุณไม่รู้สึกเป็นตัวของตัวเองก็คงไม่น่าอภิรมย์เท่าไหร่นัก การใช้พรมเข้าไปตกแต่งก็ช่วยให้ห้องดูโดดเด่นขึ้นมาง่ายๆ ซึ่งเราขอแนะนำ โอสเตียด พรมทอเรียบ สีน้ำตาล ขนาด 80 x 140 ซม. พรมทอจากใยป่านศรนารายณ์ ซึ่งเป็นเส้นใยที่ได้จากต้นอะกาเว่ (Agave) ทำให้พรมมีความเหนียวทนทานเป็นพิเศษ 4.4 ยิลล์ฮอฟ ปลอกหมอนอิง ราคา 599 บาท เมื่อใดที่คุณเริ่มรู้สึกเบื่อห้องนั่งเล่นเดิมๆ แนะนำให้เปลี่ยนหมอนอิง และปลอกหมอนใหม่ ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายดาย รวดเร็ว และสบายกระเป๋าสตางค์ ในการเพิ่มความแปลกใหม่ให้ห้อง เช่นเดียวกับ ยิลล์ฮอฟ ปลอกหมอนอิงลวดลายป่าทรอปิคอล ขนาด 40 x 65 ซม. สีสันสดใสที่จะทำให้ห้องนั่งเล่นของคุณมีเสน่ห์มากขึ้น 4.5 SJÖPENNA (เคอเพนนา) โคมแขวนเพดาน ราคา 790 บาท เพราะแสงไฟจากโคมไฟแต่ละชิ้นสร้างความแตกต่างได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นห้องนั่งเล่นที่ดีนอกจากมีแสงสว่างจากธรรมชาติสาดส่องเข้ามาเพียงพอแล้ว แสงประดิษฐ์จากโคมไฟก็มีความจำเป็นเช่นกัน ซึ่งเราขอแนะนำ SJÖPENNA (เคอเพนนา) โคมแขวนเพดาน ทรงรี ขนาด 35 ซม. ที่จะช่วยกระจายแสง ให้แสงสว่างทั่วบริเวณห้องนั่งเล่นของคุณได้อย่างทั่วถึงในราคาแสนประหยัด  
เคล็ดลับเลือกวัสดุออกแบบบ้านให้เย็นสบาย ไม่ซ้ำใคร สไตล์ “ยิปซัม ตราช้าง”

เคล็ดลับเลือกวัสดุออกแบบบ้านให้เย็นสบาย ไม่ซ้ำใคร สไตล์ “ยิปซัม ตราช้าง”

  ถึงเวลาที่สภาพอากาศเดินทางเข้าสู่หน้าร้อนทีไร ก็เป็นต้องเหนื่อยหน่าย หงุดหงิด ไม่สบอารมณ์ทุกครั้ง เพราะระดับความร้อนในบ้านเราเพิ่มขึ้นทุกปีๆ จะออกไปข้างนอกก็เจอแดดเผา จะอยู่ในบ้านก็อบอ้าวเหลือทน เนื่องจากความร้อนจากภายนอกได้เข้ามาสะสมภายในบ้านผ่านหลายช่องทาง ส่วนที่มีผลต่ออุณภูมิภายในบ้านหลักๆ เลยได้แก่หลังคาและผนัง หากต้องการอยู่ในบ้านโดยไม่ต้องพึ่งแอร์ หรือช่วยให้แอร์ทำงานน้อยที่สุดเพื่อเป็นการประหยัดไฟ ก็จำเป็นต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยป้องกันความร้อนที่เหมาะสม “ยิปซัม ตราช้าง” หยิบยกเทคนิคเพื่อการเลือกผลิตภัณฑ์ช่วยลดความร้อนภายในบ้านมานำเสนอ     เทคนิคการเลือกวัสดุ หลังคาบ้าน: 70% ของความร้อนที่เข้าสู่ตัวบ้านมาจากหลังคา เพราะเป็นส่วนที่ต้องรับแสงแดดโดยตรง และส่งความร้อนผ่านลงมาที่ตัวบ้าน ควรเลือกฝ้าเพดานใต้หลังคาที่สามารถสะท้อนความร้อนได้ในตัว มีแผ่นสะท้อนความร้อน การเลือกรูปทรงหลังคายิ่งมีพื้นที่กักเก็บความร้อนด้านบนค่อนข้างมากจะช่วยลดอุณหภูมิของบ้านได้เพราะโดยธรรมชาติอากาศร้อนจะลอยตัวขึ้นสู่ด้านบน ฉนวนกันความร้อน: ด่านแรกในการป้องกันความร้อนจากหลังคาไม่ให้เข้าสู่บ้าน สามารถใช้ฉนวนกันความร้อนติดตั้งเข้าไปอีกชั้นเพื่อลดความร้อนภายในบ้านได้ดียิ่งขึ้น แผ่นฉนวนกันความร้อนสามารถติดตั้งร่วมกับหลังคา ฝ้าเพดาน หรือผนัง เพื่อป้องกันความร้อนเข้าสู่บ้านได้อีกทางหนึ่ง ฝ้าชายคา: ควรเลือกฝ้าที่มีรูหรือช่องระบายอากาศผ่านเข้าออกได้ เพื่อรับลมเย็นและระบายความร้อนที่สะสมใต้โถง หลังคา พื้นบ้าน: ควรเลือกใช้กระเบื้องหรือหินอ่อนปูชั้นล่าง เพราะกักเก็บความเย็นจากพื้นดินได้เป็นอย่างดี ผนังภายใน: เป็นอีกหนึ่งส่วนของบ้านที่ถูกส่งผ่านความร้อนมาจากแสงแดดตลอดทั้งวัน ทำให้เกิดการสะสมความร้อนสูง ควรเลือกใช้วัสดุที่มีค่าการสะสมความร้อนต่ำ เช่น อิฐมวลเบา หรือเลือกใช้แผ่นยิปซัมที่มีความหนาอย่างน้อย 12 มม. และเพิ่มฉนวนกันความร้อนเพิ่มเติมเพื่อลดความร้อน ส่วนผนังภายนอกควรเลือกใช้สีขาว สีครีม สีพาสเทล ที่ช่วยสะท้อนความร้อน       ปัจจุบัน แผ่นยิปซัมมีคุณสมบัติตอบสนองการใช้งานได้หลากหลายทั้งผนังและฝ้าเพดาน นอกจากการติดตั้งที่ไม่ซับซ้อน แผ่นยิปซัมบางประเภทยังผลิตให้มีคุณสมบัติโดดเด่นเฉพาะด้าน  ฮีทบล็อค ตราช้างพลัส เทคโนโลยีของ "ชีตร็อคแบรนด์" สิทธิบัตรจาก ยูเอสจี (USG) ผู้ผลิตชั้นนำจากประเทศสหรัฐอเมริกา เพิ่มคุณสมบัติป้องกันการส่งผ่านความร้อนโดยการบุแผ่นสะท้อนรังสีความร้อนด้านหลังแผ่น สามารถสะท้อนรังสีความร้อนได้ถึง 93.7% พร้อมคุณสมบัติน้ำหนักเบา แข็งแกร่ง ไม่แอ่นตัว เนื้อแผ่นสม่ำเสมอ ผ่านการรับรองตามมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก) และการทดสอบการสะท้อนรังสีความร้อนตามมาตรฐาน JIS R 3106 เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสามารถนำกลับมารีไซเคิลได้อีกด้วย   สภาพอากาศและอุณหภูมิในประเทศเขตร้อนอย่างเรามีแต่จะสูงขึ้นทุกวัน การเลือกใช้วัสดุเพื่อออกแบบและตกแต่งบ้านเพื่อการอยู่อาศัยเพื่อช่วยลดอุณภูมิจึงเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญ เพราะนอกจากจะส่งผลเรื่องอารมณ์และสุขภาพจิตของผู้อยู่อาศัย ยังช่วยในเรื่องค่าไฟฟ้าอีกด้วย ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน ยิปซัม ตราช้าง โทร. 08-9988-5005 หรือ http://www.siamgypsum.comหรือfacebook fanpage:@GypsumTraChangTH  
5 พรรณไม้ที่ควรปลูกไว้ริมรั้ว

5 พรรณไม้ที่ควรปลูกไว้ริมรั้ว

เรามาตกแต่งรั้วบ้านที่เรียบๆ ด้วย “พรรณไม้” ให้กลายเป็นรั้วสีเขียวสวยงามสบายตากันดีกว่าค่ะ โดยทุกบ้านสามารถทำได้แม้จะมีพื้นที่ที่จำกัด เพราะอาศัยเพียงพื้นที่แนวนอนยาวขนาบไปกับตัวรั้วเท่านั้น แถมถ้าเลือกให้ดีต้นไม้บางชนิดยังมีคุณสมบัติช่วยอำพรางสายตาจากคนภายนอกและป้องกันโจรได้ด้วย เพราะไม้บางชนิดมีหนาม หรือจะปลูกไม้พุ่มสูงก็ทำให้โจรเข้ามาในบ้านได้ยากลำบาก ซึ่งการเลือกพรรณไม้สำหรับปลูกริมรั้วนั้นควรเลือกที่ทนแสงแดดและลมแรงได้ อีกทั้งควรเลือกชนิดที่ดูแลง่าย ไปดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้างที่จะเป็นตัวช่วยให้รั้วบ้านของคุณดูสวยงาม ปลอดภัย และโดดเด่นไม่ซ้ำเพื่อนบ้านข้างๆ ต้นไทรเกาหลี ไม้ประดับที่นิยมใช้เป็นไม้แนวรั้วและตัดเเต่งคงหนีไม่พ้น ‘ไทร’ ใช่ไหมคะ? ซึ่งไทรก็แบ่งออกเป็นหลายชนิด แต่ที่เราหยิบยกมาแนะนำวันนี้คือ ไทรเกาหลี ที่มีลักษณะเป็นไม้พุ่มทรงสูงค่อนข้างเเน่น ตัวพุ่มประกอบด้วยใบสีเขียวสดที่เรียงตัวซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ เมื่อโตเต็มที่จะสูงประมาณ 5-6 เมตร ด้วยความที่ไทรเกาหลีเป็นไม้พุ่มแน่นทึบมีใบไม้เรียงตัวซ้อนกันหลายชั้น ทำให้ช่วยกันเเสงเเดดและฝุ่นละอองได้ดี จึงเหมาะที่จะนำมาปลูกกั้นเป็นกำเเพงบดบังสายตาจากคนภายนอก และป้องกันขโมยได้ด้วยเนื่องจากพุ่มสูง ที่สำคัญคือเป็นไม้ที่มีความเเข็งเเรง ทนทาน ดูเเลรักษาง่าย ไม่ค่อยมีโรคหรือเเมลงกวน สามารถเติบโตได้ดีในดินธรรมดา จึงไม่แปลกที่นักจัดสวนส่วนใหญ่นิยมปลูกให้ตามแนวรั้วบ้านนั่นเอง ต้นข่อย ไม้ต้นริมรั้วที่นิยมปลูกตามมาติดๆ ก็คือ ‘ข่อย’ ซึ่งมีลักษณะพุ่มหนา ทนแดดทนลม สูงถึง 5-10 เมตร นิยมปลูกเป็นไม้ริมรั้วเพราะพุ่มแน่นจากโคนถึงยอด หากเจ้าของบ้านหมั่นตัดแต่งดูแลพุ่มก็จะยิ่งแน่นขึ้นและใบจะมีขนาดเล็กลง กลายเป็นรั้วที่สวยงาม หรือบางบ้านอาจปลูกเป็นแนวเพื่อแบ่งอาณาเขตในสวนก็ได้ค่ะ ต้นสลัดได สำหรับใครที่ไม่ชอบพรรณไม้สูงๆ หรือไม้ใหญ่เพราะกลัวแผ่กิ่งก้านสาขาให้เกิดความเสียหายต่อพื้นที่สาธารณะ แนะนำให้ปลูกเป็นไม้พุ่มเตี้ยแทนค่ะ โดยเจ้าของบ้านอาจทำกระบะยกสูงจากพื้นสักระดับหนึ่ง และเลือกปลูก ‘สลัดได’ ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กจำพวกเดียวกับกระบองเพชร มีความสูงประมาณ 3-6 เมตร ลักษณะคือมีหนามทั่วทั้งลำต้น ปกคลุมตามข้อต่อใบ ภายในมียางสีขาวซึ่งเป็นพิษ หากถูกผิวหนังจะระคายเคือง จึงถือเป็นไม้ยอดนิยมที่ปลูกไว้รอบรั้วบ้าน เพราะนอกจากช่วยป้องกันขโมยแล้วยังกันสัตว์ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วยค่ะ ต้นเข็มกุดั่น หากใครถือเคล็ด ไม่อยากให้มีต้นไม้มีหนามไว้ที่บ้าน แต่ก็ยังอยากปลูกไม้พุ่มขนาดเล็กให้สามารถป้องกันโจรได้ด้วย แนะนำให้เลือกปลูก ‘เข็มกุดั่น’ ค่ะ เพราะเป็นไม้พุ่มเตี้ยคล้ายๆ กับสลัดได แต่จะเป็นทรงพุ่มกลม ใบมีลักษณะหนาและแข็งดูแหลมคม ทนต่อสภาพแห้งแล้งที่มีแสงแดดเต็มวันได้ดี อีกทั้งเวลาออกดอกยังมีกลิ่นหอมตอนกลางคืนด้วยค่ะ ซึ่งเหมาะจะปลูกประดับกระบะยกสูงริมรั้วบ้าน หรือประดับตามสวนหิน และควรระวังเด็กๆ มาสัมผัสนะคะเพราะอาจบาดมือได้ ต้นกุหลาบเทียม เอาใจเจ้าของบ้านที่ชอบพรรณไม้ออกดอกมีสีสันเพื่อเพิ่มความสวยงามตลอดแนวรั้ว แนะนำให้ปลูก ‘กุหลายเทียม’ ไม้พุ่มที่บางครั้งมีลักษณะคล้ายไม้เลื้อย ลำต้นแข็งมีหนามยาวสีน้ำตาลแดงออกเป็นกระจุกตามง่ามใบ ซึ่งจะสูงประมาณ 2-5 เมตร ตัวดอกมีสีม่วงอมชมพู เจริญเติบโตง่าย เรียกว่าไม่ต้องคอยดูแลรักษามาก เหมาะที่จะปลูกไว้ริมรั้วหรือริมหน้าต่างเพื่อช่วยป้องกันโจร และสัตว์ร้ายที่จะเข้ามาในบ้านได้ดีทีเดียวค่ะ Tips : สำหรับพรรณไม้ริมรั้วที่เราแนะนำมาทั้งหมดนี้ เจ้าของบ้านควรดูแลควบคุมระบบรากไม่ให้มีโอกาสชอนไชสิ่งปลูกสร้างอย่างรั้วได้นะคะ และหมั่นตัดแต่งกิ่งด้านของต้นไม้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมขนาดของทรงพุ่มไม่ให้แผ่ขยายใหญ่ออกไปเพราะขนาดของทรงพุ่มกับระบบรากนั้นมีความสัมพันธ์กัน หรืออาจบล็อกรากโดยปลูกลงในกระถางและวางในกระบะริมรั้วที่ก่อขึ้นมาแทน เท่านี้ก็สร้างความสวยงามและกันขโมยให้แก่รั้วบ้านของคุณได้แล้วค่ะ
วิธีป้องกันงูเข้าบ้าน ง่ายๆ แต่ได้ผล

วิธีป้องกันงูเข้าบ้าน ง่ายๆ แต่ได้ผล

ในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกลงมาอาจทำให้เกิดน้ำท่วมตามพื้นที่ต่างๆ บรรดาสัตว์เลื้อยคลาน หรือสัตว์มีพิษอย่าง "งู" ที่มักอยู่ตามพื้นดินย่อมอพยพหนีน้ำขึ้นมาสู่พื้นที่ที่สูงกว่า ดังนั้น ถ้ามีงูเลื้อยเข้ามาในบ้าน จึงถือว่าเป็นอันตรายต่อเจ้าของบ้านมาก ยิ่งกรณีที่ขดตัวอยู่ตามกิ่งไม้หรือซุกซ่อนอยู่ตามมุมบ้านยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึ่งประสงค์ เมื่อเราพบเจอควรอยู่ให้ห่างเข้าไว้ หรือไม่ก็แจ้งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญมาจัดการจะดีกว่า แต่จะให้ดีก็ควรหาวิธีป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ วันนี้ทีมงาน Review Your Living จึงขอเสนอวิธีป้องกันงูที่สามารถทำกันง่ายๆ แถมยังช่วยเพิ่มความสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อยให้กับบ้านด้วย วิธีป้องกันงูเข้าบ้าน ง่ายๆ แต่ได้ผล   1. กำจัดขยะแหล่งรวมหนู เหยื่อของงู! หนึ่งในวิธีแก้ไขปัญหาที่ดี คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และสาเหตุหลักที่งูเข้ามาอยู่ในพื้นที่รอบบ้านและสวน ก็เพราะมาหาอาหารอย่างหนูและกบ ซึ่งสัตว์ชนิดนี้ก็ชอบอยู่อาศัยในพื้นที่สกปรกตามแหล่งขยะ ดังนั้น แนะนำให้กำจัดขยะและเศษอาหารโดยการคัดแยกขยะก่อนนำไปทิ้งให้เป็นที่เป็นทาง และควรปิดปากถุงขยะหรือถังขยะให้มิดชิด ก็จะลดปริมาณหนูลงได้ และช่วยส่งผลให้งูไม่เข้ามาอาศัยในบ้านของเราเช่นกัน หรือหากใครเลี้ยงสัตว์ตัวเล็กอย่าง แมว กระต่าย นก หรือลูกไก่ ก็ควรทำกรงให้มิดชิด หรือคลุมตาข่ายขนาดเล็กในตอนกลางคืน เพื่อป้องกันงูเลื้อยเข้ามาอยู่อาศัย และทำอันตรายกับสัตว์เลี้ยงในบ้าน   2. ดูแลสวนอยู่เสมอ หลายๆ คนคงทราบกันดีว่า งูเป็นสัตว์ที่ชอบใช้ใบไม้และเศษดินมาทำรัง ในอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยประมาณ 30 องศาเซลเซียส และมีความชื้นสูงถึง 95% ซึ่งงูสามารถออกล่าเหยื่อได้ทั้งตอนกลางวันที่มีแสงแดดไม่ร้อนจัด และตอนพลบค่ำ ดังนั้น แนะนำให้เจ้าของบ้านหมั่นตัดแต่งสวนให้แสงแดดสามารถส่องถึงพื้นได้ในช่วงกลางวัน และตัดแต่งหญ้ารวมถึงพุ่มไม้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ในขณะที่บริเวณบ่อน้ำที่มีปลาอาศัยชุกชุมก็ควรตัดแต่งต้นไม้ที่อยู่รอบๆ บ่อด้วย เพื่อไม่ให้เป็นที่ซ่อนตัวของงู ซึ่งการดูแลสวนสม่ำเสมอก็ถือว่าเป็นการตรวจตราดูแลว่ามีงูเข้ามาทำรังหรือมีคราบงูอยู่หรือไม่ เพื่อจะได้เตรียมการรับมือต่อไป   3. ใช้งานพื้นที่อย่างคุ้มค่า สำหรับข้อนี้คงต้องขออธิบายก่อนว่าโดยพื้นฐานนั้นสัตว์มีพิษอย่าง "งู" จะกลัวคนมากที่สุด เพราะสัมผัสในรูปแบบของเสียง และการสั่นสะเทือนมีอิทธิพลต่องูมาก จึงควรกำจัดมุมอับ เช่น โพรงใต้บ้าน แปลงต้นไม้ สวนกระถางที่ไม่เป็นระเบียบ หรือมุมที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยๆ โดยอาจเพิ่มกิจกรรม และการใช้งานมุมเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการเลี้ยงสุนัขขนาดใหญ่ หรือห่านที่บริเวณนอกบ้าน ก็มีส่วนช่วยส่งเสียงดังรบกวน  ทำให้งูหวาดกลัวอยู่อาศัยไม่ได้   4. สร้างกับดัก มาถึงข้อสุดท้ายกันแล้ว วิธีป้องกันงูที่เราอยากแนะนำที่สุดนั่นก็คือ การสร้างกับดักให้งูเลื้อยผ่านได้ยาก เพราะวัสดุบางอย่างช่วยให้งูเลื้อยผ่านเข้ามาในสวนเราได้ลำบาก เช่น รั้วตาข่ายขนาดเล็ก หรือพื้นที่โรยด้วยหินกรวดที่มีความคม เช่นเดียวกับต้นไม้บางชนิดที่มีหนามแหลมคม แต่วิธีดังกล่าวแค่ช่วยให้งูเลือกที่จะไม่เข้าใกล้เท่านั้น แต่หากไม่มีทางเลือกอื่น งูก็สามารถเลื้อยเข้ามาได้หากมีแหล่งอาหารที่ล่อตาล่อใจ ปัจจุบันมีนวัตกรรมหลากหลายที่มีคุณสมบัติป้องกันงูได้ไม่ว่าจะเป็น แผ่นกันงูที่มีความลื่นสูงจนงูไม่สามารถเลื้อยผ่านได้ หรือสารเคมีต่างๆ ก็สามารถเลือกนำไปใช้ได้นะคะ "งู" เป็นสัตว์ที่ไม่ชอบอยู่ใกล้มนุษย์ ไม่ชอบเสียงดังและความวุ่นวาย ดังนั้นหากบ้านของเรามีคนอยู่อาศัยตลอดเวลาและมีการใช้งานอย่างทั่วถึงทั้งบ้าน สวนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย หมั่นตัดแต่งทรงพุ่มอยู่เสมอ กำจัดแหล่งอาหารของงู ก็จะช่วยป้องกันงู และลดพื้นที่ที่งูจะอาศัยอยู่ได้เป็นอย่างดี
Freehold กับ Leasehold ต่างกันอย่างไร อย่างไหนดีกว่ากัน

Freehold กับ Leasehold ต่างกันอย่างไร อย่างไหนดีกว่ากัน

ระยะ 1-2 ปีหลังมานี้หากใครติดตามข่าวคราวแวดวงอสังหาริมทรัพย์ก็คงจะได้ยินคำว่า Freehold กับ Leasehold กันบ่อยมากขึ้นใช่ไหมคะ เรื่องนี้ดูจะเป็นเทรนด์ใหม่ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะที่ดินทำเลทองในบ้านเรา แต่สำหรับต่างประเทศเรื่องนี้มีมานานมากแล้วค่ะ แล้วระหว่าง Freehold กับ Leasehold อย่างไหนจะมีดีกว่ากัน เราลองมาเปรียบเทียบกันดูค่ะ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับความแตกต่างของ Freehold กับ Leasehold กันก่อนค่ะ Freehold คือ การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งหมายความว่าคนซื้อก็จะได้กรรมสิทธิ์ไปครอบครอง แต่ทั้งนี้ตามกฎหมายแล้วชาวต่างชาติจะสามารถซื้อห้องชุดในคอนโดมิเนียมลักษณะนี้ได้ 49% จากยูนิตทั้งหมดของโครงการ Leasehold คือ การเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ เรียกง่ายๆ ว่าเช่าในระยะยาว ไม่ได้กรรมสิทธิ์แต่อย่างใด เมื่อครบกำหนดตามสัญญาก็ต้องคืนสิทธิ์ให้เจ้าของหรือต่อสัญญาอีก ซึ่งในบ้านเราก็ตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป และส่วนใหญ่จะเป็นทำเลทองอยู่ใจกลางเมือง   เหตุผลของการต้องมีการซื้อ-ขายแบบ Leasehold กันเกิดขึ้นก็เพราะราคาที่ดินซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าแพงขึ้นอยู่ตลอด ทำให้ราคาแบบเช่าระยะยาวจะมีราคาถูกกว่าซื้อ-ขายขาด ยิ่งทำเลใจกลางเมืองที่ทุกวันนี้ราคาก็ปาเข้าไปหลักล้านบาท/ตารางวา หากจะซื้อที่ดินราคาขนาดนั้นแล้วนำมาพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมก็ย่อมต้องมีราคา/ตารางเมตรสูงมากทีเดียว เฉลี่ยแล้วอย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 200,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งก็เป็นราคาที่ผู้บริโภคทั่วไปเอื้อมถึงได้ยาก ทุกวันนี้เราจึงเห็นโครงการที่ขายแบบ Leasehold จะเป็นโครงการในระดับ Super Luxury ขึ้นไป หรือไม่ก็เป็น Mix Use แบบโปรเจคยักษ์ใหญ่ ประกอบกับเจ้าของที่ดินเหล่านั้นเองก็เริ่มมองเห็นหนทางการสร้างรายได้ระยะยาวเพิ่มมากขึ้นแทนที่จะขายขาดแล้วจบไป เพราะระยะ 2-3 ปีหลังมานี้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดทะลุ 100% เหตุผลอีกประการหนึ่งคือส่วนใหญ่ที่ดินนั้นมีเจ้าของเป็นหน่วยงานภาครัฐ จึงทำให้ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขายขาด เช่น สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์, กรมธนารักษ์, การรถไฟฯ เป็นต้น   แล้วโครงการแบบ Leasehold ขายใครล่ะ? ดูแบบนี้แล้วใครๆ ก็อยากซื้อที่ดินแบบ Freehold กันมากกว่าใช่ไหมคะ แล้วแบบนี้ใครจะซื้อคอนโดมิเนียมแบบ Leasehold ล่ะ ในเมื่อไหนๆ จะเสียเงินก้อนโตหรือต้องผ่อนแบบระยะยาวหลายปีแล้ว ก็ซื้อแบบ Freehold เป็นของตัวไปเลยไม่ดีกว่าหรือ คำตอบนี้แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ค่ะ คือ   กลุ่มคนไทยที่มีกำลังทรัพย์มากพอ ซึ่งยอมจ่ายแพงกว่า แต่แลกกับการได้ทำเลที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองที่หาได้ยากเต็มที พร้อมมีสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมียมอยู่รอบตัว ซึ่งโครงการคอนโดมิเนียมแบบนี้ก็ตามมาด้วยบริการหลังการขายรวมไปถึงการดูแลรอบด้านที่ดีตลอดระยะเวลาในสัญญาตามไปด้วย   กลุ่มชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ ฯลฯ ไม่ว่าจะด้วยการทำธุรกิจ หรือซื้อไว้เป็นบ้านหลังที่ 2 เพราะเมื่อเทียบกับราคาคอมโดมิเนียมในประเทศของตัวเองแล้ว คอนโดมิเนียมในประเทศไทยนั้นก็ถือว่ามีราคาถูกกว่ามาก เช่น คอนโดมิเนียมในเมืองเซี่ยงไฮ้ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบ Leasehold มีราคาเฉลี่ยประมาณ 500,000 บาท/ตารางเมตร ไปจนถึง 1,000,000 บาท/ตารางเมตร และตามกฏหมายแล้วชาวต่างชาติสามารถเข้ามาถือครองคอนโดมิเนียมลักษณะนี้ได้อย่างไม่จำกัด     อีกประเด็นสำคัญที่กำลังเป็นข้อถกเถียงกันใหญ่โตอยู่ในขณะนี้ถึงขั้นตั้งคำถามกันว่านี่จะเป็นการขายชาติหรือไม่ในการให้ต่างชาติมาถือครองที่ดินและการซื้อคอนโดแบบ Leasehold ในเขต EEC แต่ทั้งนี้ทางรัฐบาลก็ได้ออกมาอธิบายแล้วว่าชาวต่างชาติที่สามารถเข้ามาถือครองที่ดินในลักษณะนี้ได้มีการระบุว่าจะถือครองได้ก็ต่อเมื่อเป็นชื่อนิติบุคคลที่มาประกอบกิจการที่เป็นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงภายใต้เงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนด และแม้ว่าในบ้านเราจะยังไม่คุ้นชินกันมากนัก แต่ในต่างประเทศนั้นมีการเช่าซื้อระยะยาวแบบนี้มานานแล้ว จึงทำให้ชาวต่างชาติมีความเข้ากับคำว่า Leasehold อยู่แล้ว   สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นโครงการแบบ Freehold หรือ Leasehold ก็มีทั้งข้อดี-ข้อเสียแตกต่างกันออกไป ใครชอบทำเลใจกลางเมืองมีสิ่งอำนวยความสะดวกอันสมบูรณ์แบบ ใช้ชีวิตแบบคนยุคใหม่ ในอนาคตก็คงต้องเลือกอยู่แบบ Leasehold เพราะเป็นเทรนด์ใหม่ที่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใครที่ยังชอบแบบ Freehold ได้กรรมสิทธิ์เป็นของตัวเองก็ยังคงมีให้เลือกกันอีกมากมากหลายทำเลเลยค่ะ บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ วิเคราะห์ โปรเจ็กต์มิกซ์ยูส มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง 4 เหตุผลสำคัญ ทำไมคอนโดฯ ไฮเอนด์ยังน่าลงทุน ในภาวะตลาดชะลอตัว-คุมเข้ม LTV ตลาดอสังหาฯ จะไปต่ออย่างไร หลังปลดล็อค LTV หนุนตลาดโตเพิ่มแค่ 0.8%  
สาเหตุหลักที่ทำให้แอร์ไม่เย็นฉ่ำ

สาเหตุหลักที่ทำให้แอร์ไม่เย็นฉ่ำ

อัตราการใช้เครื่องปรับอากาศได้เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี เนื่องจากอากาศที่ร้อนจัดในช่วงฤดูร้อน แอร์จึงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความจำเป็นอย่างมาก เพื่อช่วยผ่อนคลายความร้อนโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง และการเรียนรู้วิธีใช้แอร์อย่างถูกวิธีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้แอร์เย็นฉ่ำสบาย แต่การใช้งานแอร์อย่างไม่เหมาะสม ก็ทำให้ต้องสูญเสียพลังงานสูงขึ้น ทำให้แอร์ไม่เย็นตามอุณหภูมิที่ปรับเอาไว้ ลองมาดูถึงสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้แอร์ไม่เย็นฉ่ำว่าเกิดจากอะไรบ้าง 1.มีฝุ่นจับอยู่ที่คอมเพรสเซอร์มากจนเกินไป โดยเฉพาะในส่วนของรังผึ้ง ถ้าสกปรกมากเกินไปก็จะทำให้แอร์ไม่เย็น การใช้แอร์ในระยะเวลานาน อาจทำให้มีการสะสมของฝุ่นและสิ่งสกปรก เพราะหน้าที่ของแอร์นอกจากปรับอุณหภูมิในห้องให้เย็นลงแล้ว แอร์ยังทำหน้าที่ในการกรองอากาศให้สะอาด หากใช้แอร์แล้วไม่ได้ทำความสะอาดเป็นเวลานาน จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง เพราะมีฝุ่นและสิ่งสกปรกสะสม ทั้งยังอุดตันอยู่ตามส่วนต่างๆ ของแอร์ ดังนั้นสามารถแก้ไขง่ายๆ ด้วยการหมั่นล้างทำความสะอาดแอร์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นกรองอากาศ และส่วนอื่นๆ ของแอร์ก็จะช่วยทำให้การทำงานเป็นไปได้อย่างปกติ ช่วยประหยัดพลังงาน ทำให้แอร์เย็นฉ่ำเหมือนใหม่ 2.น้ำยาแอร์หมดหรือเหลืออยู่น้อย การที่น้ำยาแอร์หมดหรือมีเหลืออยู่น้อย ก็นับเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แอร์ไม่เย็น เพราะทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ แอร์จึงไม่เย็นอย่างที่ต้องการ ดังนั้นหมั่นตรวจเช็กอยู่เสมอว่า มีน้ำยาแอร์อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะหรือไม่ หากสังเกตเห็นว่าน้ำยาแอร์เหลือต่ำ ควรติดต่อให้ช่างแอร์มาเติมน้ำยาใหม่ ก็จะทำให้แอร์เย็นฉ่ำมากขึ้น 3.ห้องโดนแสงแดดตลอดเวลา การติดตั้งแอร์ ไม่ควรติดตั้งในห้องที่โดดแสงแดดอยู่ตลอดเวลา เพราะจะทำให้ความร้อนจากภายนอกเข้ามาในห้องอยู่ตลอด ทำให้แอร์ต้องทำงานหนักเพื่อปรับอุณหภูมิในห้องให้เย็นลง ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมากจนเกินไป ดังนั้นก่อนตัดสินใจติดตั้งแอร์ ควรมั่นใจว่าห้องที่จะติดตั้งแอร์ อยู่ในทิศทางที่ไม่โดนแสงแดดหรือโดนแสงแดดน้อย เพียงแค่นี้ก็จะทำให้แอร์เย็นฉ่ำ ทำให้เครื่องไม่ต้องทำงานหนัก และยังช่วยประหยัดพลังงานได้ 4.BTU มีขนาดเล็ก ก่อนติดตั้งแอร์ทุกครั้ง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุดก็คือ ขนาด BTU ที่เหมาะสมกับขนาดของห้องที่จะทำการติดตั้งแอร์ เพราะการใช้แอร์ที่มีขนาด BTU เล็กเกินไป ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แอร์ไม่เย็น เพราะกำลังการกระจายความเย็นไม่ทั่วถึง แต่การติดแอร์ที่มีขนาด BTU ใหญ่มากจนเกินไป ก็ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ โดยทั่วไปแล้วจะมีสูตรในการคำนวณ BTU แอร์ เพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับขนาดของห้อง 5.ในห้องมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน หากในห้องที่ติดตั้งแอร์ มีอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน เช่น มีกระติกน้ำร้อน หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ที่เป็นแหล่งกำเนิดของความร้อน อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ จะทำให้ห้องร้อนขึ้น ทำให้แอร์ไม่เย็นฉ่ำเท่าที่ควร ดังนั้นให้หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอร์ในห้องที่มีอุปกรณ์ทำความร้อน จะทำให้แอร์เย็นฉ่ำได้ตามต้องการ 6.เปิดแอร์ผิดโหมด ในรีโมทแอร์จะมีระบบการทำงานให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบ เช่น ถ้าในช่วงที่มีอากาศร้อน แต่เลือกเปิดเป็นโหมดฝนตก ก็จะทำให้แอร์ไม่เย็นฉ่ำตามที่ต้องการ หรือแม้แต่การตั้งเป็นระบบพัดลม ก็จะทำให้แอร์หยุดทำงาน จึงทำให้อากาศในห้องอุ่นขึ้น การใช้แอร์อย่างถูกวิธี จะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องให้ยาวนานขึ้น การเปิดใช้แอร์ในบางครั้งอาจพบว่าห้องไม่เย็นเท่ากับอุณหภูมิที่ปรับไว้ หากแอร์ไม่เย็นฉ่ำให้ใช้วิธีเหล่านี้แก้ปัญหาในเบื้องต้น หากอาการไม่ดีขึ้น ให้รีบติดต่อช่างแอร์ให้มาตรวจสอบความผิดปกติจะดีที่สุด ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.flowtechworld.com/article/article-3370/
5 ต้นไม้ใหญ่ เสริมสิริมงคล ช่วยให้เย็นสบายที่ควรปลูกไว้ในบ้าน

5 ต้นไม้ใหญ่ เสริมสิริมงคล ช่วยให้เย็นสบายที่ควรปลูกไว้ในบ้าน

ใกล้เข้าสู่ฤดูร้อนคราใด ปัญหากวนใจคงหนีไม่พ้นกับความร้อนระอุของสภาพอากาศที่ทุกคนต่างเคยสัมผัสกันดี เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่บนพื้นที่เขตร้อน อุณหภูมิจึงค่อนข้างสูงในเวลากลางวัน และจะค่อยๆ ทวีคูณความร้อนขึ้นในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ของทุกปี ซึ่งแน่นอนค่ะว่า "หน้าร้อน" กับ "บ้านร้อน" เป็นของคู่กัน ยิ่งอากาศภายนอกสูงเท่าไหร่ แอร์คอนดิชั่นก็ยิ่งทำงานหนักจากการเปิดใช้เครื่องปรับอากาศตลอดทั้งวัน โดยปัญหาที่ตามมาก็คือค่าไฟที่สูงกว่าปกติ นับว่าส่งผลกระทบกับการอยู่อาศัยไม่ใช่น้อยเลยนะคะ ซึ่งวิธีลดความร้อนไม่ให้เข้าสู่ตัวบ้านนอกจากการติดตั้งฉนวนกันความร้อนใต้หลังคา, การทำระแนงไม้กรองแสง หรือจะเป็นการเลือกใช้วัสดุอย่างอิฐมวลเบาแทนการก่อผนังอิฐ และคอนกรีตที่สะสมความร้อนแล้ว ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยป้องกันความร้อนเข้าสู่บ้านได้ง่ายๆ คือ ปลูกต้นไม้ใหญ่ เพื่อช่วยสร้างความร่มรื่นและให้ร่มเงาแก่อาคารที่พักอาศัย นอกจากนี้ยังเป็นไม้ประดับเพื่อโชว์ความสวยงามของลำต้น รูปทรงของเรือนยอด ทรงพุ่มใบ รูปทรงหรือสีสันของดอก และกลิ่นหอมก็ช่วยทำให้บรรยากาศในบริเวณนั้นน่าพักผ่อนมากขึ้นไปอีก นับว่าเป็นวิธีป้องกันความร้อนด้วยธรรมชาติก็ว่าได้ค่ะ   แต่ปัญหากวนใจของการปลูกต้นไม้ใหญ่ หลายคนคงกลัวว่ารากลึกของไม้ใหญ่จะมีผลกระทบต่อโครงสร้าง ซึ่งเราอาจแก้ปัญหานี้ได้โดยเลือกต้นไม้ที่มีพุ่มแผ่กว้าง เลือกต้นไม้ที่รากไม่ลึกนักเพื่อป้องกันการทำลายโครงสร้างนั่นเองค่ะ ทั้งนี้ต้นไม้ใหญ่ก็มีให้เลือกหลากหลายพรรณนะคะ แต่จะมีต้นอะไรบ้างที่ช่วยบดบังแสงแดดทำให้บ้านเย็นสบาย ดูแลรักษาง่าย และเสริมสิริมงคล เรามีคำตอบมาให้แล้วค่ะ 1.มะม่วง ต้นไม้ใหญ่ให้ผลดี ต้นไม้ใหญ่ขนาดกลางที่แนะนำให้ปลูกติดบ้านไว้ ก็คือต้นมะม่วงค่ะ ซึ่งเป็นไม้มงคลที่มีมาตั้งแต่พุทธกาล เชื่อกันว่าหากปลูกมะม่วงเอาไว้ในบ้านจะทำให้คนในบ้านมีความร่ำรวยมากขึ้น และควรปลูกไว้ทางทิศใต้เพื่อความเป็นสิริมงคลหรือปลูกในหน้าฝนเนื่องจากจะเจริญเติบโตได้ดี นอกจากแผ่กิ่งก้านสาขาออกมาให้ความร่มเงากับตัวบ้านแล้ว ในช่วงฤดูร้อนยังออกผลให้เจ้าของบ้านสามารถเก็บรับประทานได้ด้วย สำหรับพันธุ์มะม่วงที่นิยมปลูกกันก็คือ เขียวเสวย, อกร่อง, โชคอนันต์, แรด, น้ำดอกไม้ และฟ้าลั่น หากใครอยากขยายพันธุ์ก็สามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ด หรือการตอนกิ่งง่ายๆ นับว่าเป็นต้นไม้ที่ดูแลไม่ยากและมีประโยชน์อีกด้วยค่ะ   ข้อแนะนำ : ควรปลูกให้ห่างจากรั้วบ้านและตัวบ้าน เนื่องจากการเจริญเติบโตของต้นมะม่วงอาจทำให้เกิดรอยแตกร้าวได้ 2.ต้นหูกระจง หรือต้นไม้ใหญ่แผ่บารมี "หูกระจงควรปลูกให้ห่างจากตัวบ้าน" เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นหูคุ้นตากับประโยคนี้ดี แต่เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมต้องปลูกให้ห่างจากตัวบ้านด้วย เหตุผลก็เพราะต้นหูกระจงค่อนข้างเติบโตเร็ว เมื่อปลูกใกล้ตัวบ้านเวลาโตขึ้นเรื่อยๆ กิ่งก้าน และพุ่มจะขยายใหญ่จนอาจทำให้เกิดความเสียหายกับหลังคาบ้านได้ ดังนั้นจึงควรปลูกโดยเว้นระยะห่างสัก 8 เมตร พุ่มจึงจะแผ่กิ่งก้านออกมาสวยงาม ซึ่งส่วนใหญ่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อให้ความร่มเงาแก่อาคารที่พักอาศัย ซึ่งลำต้นมีความสูงประมาณ 15-20 เมตร ลักษณะเด่นคือมีพุ่มใบละเอียดแผ่เป็นชั้นสวยงาม ใบมีลักษณะเหมือนหูกวาง แต่ขนาดใบเล็กกว่า มักออกดอกช่วงกุมภาพันธ์ถึงเมษายน และมีความเชื่อว่าหากปลูกไว้ในบริเวณบ้านจะทำให้มีบารมีกว้างไกล สามารถใช้เป็นไม้ประธานในสวนได้   ข้อแนะนำ : ไม่ควรปลูกใกล้สระหรือบ่อน้ำ เพราะใบร่วงง่าย 3.อโศกอินเดีย ต้นไม้ใหญ่กันฝุ่นละออง ต้นอโศกอินเดียเป็นไม้ยืนต้นทรงสูงแบบผลัดใบ สูงเต็มที่ได้ถึง 25 เมตร  มีลักษณะเป็นพุ่มพีระมิดแคบๆ กิ่งโน้มลู่ลงทั้งต้น ใบเดี่ยวและปลายแหลม มีสีเขียวเป็นมันเงางาม ขอบใบเป็นคลื่น มักออกดอกในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ทนแดดทนฝนได้ดี สามารถใช้เป็นไม้ประดับอำพรางสายตาจากเพื่อนบ้านได้ เนื่องจากส่วนใหญ่นิยมปลูกไว้ริมรั้วเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัว โดยควรปลูกห่างจากริมรั้วอย่างน้อยประมาณ 30 เซนติเมตร นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยบดบังแสงแดด และป้องกันฝุ่นละอองได้ดี ทั้งยังมีความเชื่อว่าเป็นต้นไม้มงคลที่ใครปลูกไว้ในบริเวณบ้านแล้วจะหมดทุกข์หมดโศกนั่นเองค่ะ   ข้อแนะนำ : ในช่วงหน้าแล้งใบจะร่วงเยอะ ทำให้ต้องหมั่นเก็บกวาดและรดน้ำบ่อยๆ หากเจ้าของบ้านต้องการควบคุมความสูงของลำต้นก็ควรหมั่นตัดยอดเรื่อยๆ นะคะ 4.ต้นสารภี ต้นไม้ใหญ่ดูแลง่าย ต้นสารภี จัดว่าเป็นไม้ดอกยืนต้นขนาดกลาง มีลำต้นสูงประมาณ 10-15 เมตร เป็นไม้ไม่ผลัดใบ ลำต้นตรง มีเรือนยอดเป็นทรงพุ่มทึบ ใช้ปลูกเพื่อให้ความร่มเงาและบังลมได้ อีกทั้งยังมีดอกและพุ่มใบที่สวยงาม จึงใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้ด้วย ทั้งนี้มีความเชื่อว่าหากบ้านไหนปลูกต้นสารภีจะทำให้มีอายุยืนยาว ซึ่งสามารถปลูกในดินได้ทุกสภาพ ปลูกได้ดีทั้งในที่ร่มรำไรและกลางแจ้ง นอกจากนี้ยังออกดอกและผลให้สามารถนำใช้ประโยชน์ได้มากมายไม่ว่าจะเป็น ผลไม้สำหรับรับประทาน, สมุนไพรรักษาโรค และผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ ไม่เพียงเท่านี้เนื้อไม้สารภียังมีความแข็งแรง ทนทาน สามารถนำมาใช้สร้างเป็นที่อยู่อาศัย หรือทำเฟอร์นิเจอร์ได้อีกด้วยค่ะ ข้อแนะนำ : เพื่อความเป็นสิริมงคลคนไทยโบราณเชื่อว่า การปลูกไม้เอาคุณนั้นควรปลูกในวันเสาร์ และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อช่วยป้องกันสิ่งไม่ดี และผู้ปลูกควรเป็นสุภาพสตรีเท่านั้น เนื่องจากสารภีเป็นชื่อที่เหมาะสำหรับสตรี 5.ไทรย้อย ต้นไม้ใหญ่ดูดสารพิษ ต้นไทรย้อยก็เป็นอีกหนึ่งไม้ยืนต้นขนาดกลางไปถึงใหญ่ ที่มีความเชื่อมาตั้งแต่โบราณว่าเป็นที่อาศัยของเทพารักษ์ หากปลูกไว้ในบริเวณบ้านจะทำให้ร่มเย็นเป็นสุข ป้องกันอันตรายทั้งปวง และยังช่วยดูดสารพิษได้ดีด้วย ซึ่งลักษณะของลำต้นจะมีความสูงตรง เมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงประมาณ 10-20 เมตร แตกก้านเป็นพุ่ม มีรากอากาศแตกย้อยห้อยลงมาตามกิ่งก้านและลำต้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ดูสวยงามและสามารถบังแดดได้ดี จัดเป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกไว้ทางทิศตะวันตก เพื่อความเป็นสิริมงคลกับบ้าน นอกจากนี้ยังทนแดด ทนฝนได้ดีอีกด้วยค่ะ   ข้อแนะนำ : หากอยากควบคุมการเจริญเติบโตของรากไม่ให้กระทบโครงสร้าง สามารถสร้างกระบะปลูกต้นไม้ได้นะคะ สำหรับไม้ที่ใหญ่เกินกว่าจะปลูกลงในกระถาง เพื่อให้ต้นไม้เติบโตได้เฉพาะตำแหน่งและพื้นที่ที่กำหนดไว้ สามารถทำได้โดยการก่อกระบะบนผิวดินและฝังไว้ใต้ดิน เพราะการเจริญเติบโตของทรงต้นจะสัมพันธ์กับการแตกทรงพุ่ม ทำให้เราสามารถบังคับทรงพุ่มให้มีขนาดที่ต้องการได้ค่ะ แนะนำต้นไม้กันไปแล้ว หากแฟนๆ ชาว Review Your Living คนไหนอยากตกแต่งสวนในบริเวณบ้านของตัวเองให้ร่มรื่นและเขียวขจี แต่ไม่รู้จะไปหาซื้อต้นไม้ที่ไหนดี วันนี้เรามีแหล่งขายตลาดต้นไม้และอุปกรณ์จัดสวนในราคาย่อมเยามาฝากด้วยค่ะ 1. ตลาดนัดสวนจตุจักร  เรียกได้ว่าเป็นตลาดต้นไม้อันดับต้นๆ ของประเทศกันเลยค่ะ สำหรับตลาดนัดจตุจักร ซึ่งการเดินทางมาตลาดต้นไม้ในครั้งนี้ก็ง่ายและสะดวกมากๆ เพราะสามารถนั่งรถไฟฟ้า BTS มาลงสถานีหมอชิต หรือนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT มาลงที่สถานีกำแพงเพชร เดินเท้าเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้วค่ะ ภายในตลาดมีต้นไม้ให้เลือกซื้อหลากหลายสายพรรณเลยนะคะ ตั้งแต่ต้นไม้ยอดฮิต, ต้นไม้ใหญ่, ไม้มงคล, แคคตัส หรือแม้กระทั่งต้นไม้พันธุ์หายาก ก็มีหมดเลย โดยทุกคนสามารถแวะเวียนไปได้ในช่วงเวลาขายส่ง วันพุธ-วันพฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. ของทุกสัปดาห์ หากใครทำงานไม่มีเวลาช่วงกลางวัน แนะนำให้ไปเดินซื้อในวันอังคารนะคะ เพราะจะมีบรรดาพ่อค้าแม่ค้ามาเริ่มขายตั้งแต่เวลา 15.00 ไปจนถึง 23.00 น. เลยค่ะ 2. ตลาดต้นไม้ บางใหญ่-บางบัวทอง สำหรับใครที่มีรถส่วนตัว แนะนำให้ขับรถลัดเลาะไปตามเส้นทางถนนกาญจนาภิเษก บางใหญ่-บางบัวทอง เรื่อยๆ จะพบกับร้านขายต้นไม้เรียงรายอยู่ริมฝั่งถนนตลอดเส้นทาง ซึ่งก็มีต้นไม้สารพัดชนิดให้เลือกซื้อกลับไปปลูกในสวนที่บ้านไม่ต่างกับตลาดนัดจตุจักรเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ทำสวนขายอีกด้วย โดยตลาดย่านนี้จะเปิดขายทุกวันนะคะ แต่แอบกระซิบว่าวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีร้านต้นไม้มาเปิดขายกันเยอะเป็นพิเศษ 3.ตลาดต้นไม้ คลอง 15 มีทั้งต้นไม้ใหญ่-ไม้ประดับ อีกหนึ่งตลาดต้นไม้แถบชานเมืองที่เรียกว่าขายต้นไม้แบบครบวงจรเลยทีเดียวค่ะ เพราะนอกจากจะเป็นตลาดต้นไม้แล้ว ยังขึ้นชื่อว่าเป็นอันซีนไทยแลนด์อีกด้วย เพราะมีทั้งการจำหน่ายพันธุ์ไม้ดอก-ไม้ประดับ, บอนไซ, ไม้ถัก, ไม้ล้อม, ไม้หายากนานาชนิด และอุปกรณ์ทำสวน ซึ่งตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณ รังสิต-องครักษ์ คลอง 15 หากขับรถลัดเลาะมาตามเลียบคลองรังสิต จะเจอป้ายบอกทางอยู่ตลอดเลยค่ะ ไม่ต้องกลัวหลงนะคะ แถมตลาดต้นไม้ที่นี่ก็เปิดให้บริการทุกวันด้วยค่ะ เมื่อรู้แหล่งซื้อขายต้นไม้ราคาย่อมเยาแบบครบวงจรหลักๆ ที่เราคัดมาแนะนำกันไปแล้ว ก็อย่าลืมจด list ไว้นะคะว่าสนใจต้นไม้ชนิดไหนบ้าง เวลาไปเลือกซื้อจะได้ควบคุมเงินได้ ซึ่ง 5 ต้นไม้มงคล (ขนาดใหญ่) ที่เรานำมาฝากในบทความด้านบนนั้น จัดว่าเป็นไม้ยืนต้นที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ เนื่องจากเป็นต้นไม้หายากที่กำลังจะถูกลืม เพราะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก จึงควรค่าแก่การอนุรักษ์ ทั้งยังเหมาะแก่การนำมาปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อชื่นชมความงามของดอกและผลที่มีลักษณะสวยงาม นอกจากนี้ยังเป็นต้นไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงาม เหมาะแก่การใช้ปลูกเพื่อตกแต่งสวน ปลูกให้ความร่มรื่นและร่มเงาแก่ตัวบ้านให้เย็นสบาย อีกทั้งยังเสริมสิริมงคลตามความเชื่อของคนโบราณได้เป็นอย่างดี รูปภาพจาก : Pinterest รายละเอียดของตลาดไม้เพิ่มเติม ตลาดไท ตลาดต้นไม้ มิกซ์จตุจักร ตลาดต้นไม้ใกล้บ้านเนอวานา   บทความเกี่ยวกับต้นไม้อื่นๆ  9 ต้นไม้มงคล ช่วยเสริมโชคลาภ มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 10 ต้นไม้มงคล ควรปลูกไว้ในบ้าน ต้นไม้ไล่ยุง ปลูกไว้ไร้แมลงร้าย
8 สิ่งควรทำ รับ “หน้าร้อน” แบบ ชิล ชิล

8 สิ่งควรทำ รับ “หน้าร้อน” แบบ ชิล ชิล

อากาศที่ทวีความร้อนขึ้นทุกวัน และยังมีการบอกต่อกันมาอีกว่าในปีนี้จะเป็นปีที่บ้านเรามีอุณหภูมิสูงถึงกว่า 40 องศา แม้อากาศจะร้อนอบอ้าวเพียงใด อยากให้ทุกคนใจเย็นๆ ถือโอกาสเตรียมความพร้อม “บ้าน” ในช่วงหน้าร้อนนี้ซะเลย ทาสีบ้านใหม่ การทาสีบ้านใหม่ในช่วงฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพราะบ้านที่ผ่านร้อน หนาว ฝนมานานสีก็เริ่มจะซีดจาง แล้วแดด กับ ลมในช่วงหน้าร้อนนี่แหละจะทำให้สีแห้งไวกว่าการทาสีบ้านในช่วงฤดูอื่น นอกจากนี้ยังควรทาสีกันผนังชื้นเพื่อป้องกันน้ำฝนที่จะโดนบ้านโดยตรง ล้างแอร์ครั้งสุดท้ายเมื่อไร ในช่วงหน้าร้อนใครๆ ก็หันมาใส่ใจตรวจเช็คการทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ หากเลย 6 เดือนมาแล้วที่คุณยังไม่ได้ล้างแอร์ ก็ควรเรียกช่างให้มาล้างแอร์เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าหน้าร้อนกันเสียที หรือถ้าแอร์โทรมมากแนะนำให้เปลี่ยนเป็นแอร์ประหยัดไฟแบบเบอร์ 5 ทาสีย้อมไม้กันเถอะ ใครมีบ้านไม้ เฟอร์นิเจอร์ไม้ ในช่วงหน้าร้อนเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการทาสีย้อมไม้ หรือลงน้ำมันรักษาเนื้อไม้ เนื่องจากต้องใช้เวลาแห้งนานหลายชั่วโมงถึงจะทารอบใหม่ได้ สำหรับในส่วนของประตูหน้าต่างหรือโครงสร้างไม้นอกบ้าน วิธีการคือเราควรขัดสีที่เสียหายออกให้ถึงเนื้อไม้ ก่อนจะปรับผิวให้เรียบก่อนลงสีใหม่ โดยการทาสีย้อมไม้จะต้องทา 2-3 ชั้น โดยแต่ละชั้นควรทิ้งให้แห้งอย่างน้อย 6 ชั่วโมง สีที่ใช้ควรเป็นสีน้ำมัน สีน้ำพลาสติกสำหรับงานไม้โดยเฉพาะ หรือสีย้อมไม้เพราะจะทนทานต่อน้ำและแสงแดด รวมถึงควรทาน้ำยากันปลวก มด แมลงด้วย ส่วนระเบียงหรือพื้นทางเดินที่ต้องตากแดดตากฝนควรขัดผิวและทาด้วยสีย้อมพื้น หรือสีย้อมไม้สำหรับไม้นอกบ้านทุกๆ 3 ปี ส่วนเฟอร์นิเจอร์การจัดเคลือบผิวจะช่วยให้ไม้ไม่ดูดซับความชื้นมากจนเกินไป เพิ่มกันสาด สำรวจให้รอบๆ บ้านว่ามีพื้นที่ตรงส่วนไหนที่แสงแดดส่องถึงเข้าไปในตัวบ้านได้ โดยดูจากทิศที่แดดส่องถึง ซึ่งจะเป็นทิศใต้กับทิศตะวันตก ทิศตะวันตกเฉียงใต้ จากนั้นดูว่าในบริเวณนั้นมีกันสาดหรือเปล่า โดยเฉพาะทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ ถ้ายังไม่มีกันสาดก็ควรเพิ่มเพราะนอกจากกันสาดจะช่วยกันแดดแล้วยังช่วยกันฝนอีกด้วย หรือถ้าเป็นแสงแดดตอนบ่ายๆ ไปจนถึงตอนเย็นต้องดูว่าสามารถส่องได้ในองศาที่ต่ำประมาณเท่าไร จากนั้นอาจเพิ่มเครื่องกำบังเช่นม่าน ฟิล์มกรองแสง หรือปลูกต้นไม้ในบริเวณนั้น เช็ครางน้ำฝน รองเช็คว่ารางน้ำฝนมีกิ่งไม้ ใบไม้อุดตันหรือเปล่า หากมีให้รีบกำจัดเสียเพราะจะทำให้การระบายน้ำคล่องตัวมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นควรหาตะแกรงมาปิดรางน้ำฝนเพื่อป้องกันเศษใบไม้ตกลงมาสะสมอีก เช็ครอยโหว่ รอยร้าว นอกจากแสงแดดจากหน้าร้อนแล้ว ในหน้าร้อนนี้ยังมีฝนตกร่วมด้วย ดังนั้นหากกรอบหน้าต่างทำด้วยไม้ซึ่งจะมีการยืดหดตัวตามธรรมชาติมีช่องโหว่เกิดขึ้นให้ทาซิลิโคนแบบที่ใช้กับไม้ ชนิดใช้ภายนอกมาอุดรอยโหว่ให้เรียบร้อย ส่วนผนังเราต้องตรวจตราหากมีรอยร้าวจากปูนฉาบแตกร่อน ก็ควรซ่อมแซมเช่นใช้วัสดุยาแนว เช็คบ่อพัก ท่อน้ำทิ้ง ควรตรวจเช็คให้แน่ใจว่ามีสิ่งอุดตันอยู่ในบ่อพักหรือท่อน้ำทิ้งหรือเปล่า ทั้งเศษดิน เศษหิน ใบไม้ ถ้ามีของเหล่านี้ทับถมอยู่ควรขุดลอกเพื่อกำจัดเศษวัสดุต่างๆ ทิ้งไป รั้วบ้าน หากเป็นรั้วเหล็กอาจเกิดสนิมขึ้นได้ง่าย ดังนั้นควรขัดสนิมเก่าออกให้หมดแล้วทาสีใหม่ ส่วนรั้วอัลลอยด์ สีอาจซีดจางดังนั้นควรทำความสะอาดและทาสีใหม่ สำหรับรั้วไม้หากพบว่ามีชิ้นส่วนใดของรั้วไม้เสียหายควรรีบซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ ส่วนรั้วปูนหากพบรอยแตกร้าวควรรีบแก้ไข การตรวจตราบ้านไว้ให้พร้อมก่อนรับหน้าร้อน ถือเป็นการวางแผนการใช้ชีวิตในบ้านอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากหลายๆ วิธีช่วยทำให้บ้านของคุณเย็นลง คุณจะได้ไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศให้เปลืองค่าไฟ รู้แบบนี้แล้วเร่งเตรียมตัวเสียแต่เนิ่นๆ นะคะ ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.sanook.com/home/4077/
“เอสซีจี” แนะเจ้าของบ้าน จบทุกปัญหาหลังคาเก่าอย่างมั่นใจ  ด้วยการเปลี่ยนหลังคาใหม่ และซ่อมแซมให้ถูกจุด

“เอสซีจี” แนะเจ้าของบ้าน จบทุกปัญหาหลังคาเก่าอย่างมั่นใจ ด้วยการเปลี่ยนหลังคาใหม่ และซ่อมแซมให้ถูกจุด

“หลังคา” เป็นองค์ประกอบสำคัญของบ้านที่คอยทำหน้าที่ปกป้องผู้อยู่อาศัยจากสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศภายนอก อย่างลม ฝน พายุ และความร้อน แต่เมื่อใช้งานไปนานหลายปีย่อมเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา  ยิ่งเป็นส่วนที่อยู่สูง จึงยากต่อการดูแลและตรวจสอบความผิดปกติ จะรู้ว่าเกิดปัญหาก็ต่อเมื่อสร้างความเสียหายให้บ้านซะแล้ว ไม่ว่าจะเป็น น้ำไหลซึมบริเวณฝ้าเพดานเพราะหลังคารั่ว  กระเบื้องแตกร้าว  หรือหลุดปลิว  รวมไปถึงสีของหลังคาซีด เก่า โทรม ขึ้นราไม่สวยงาม  “เอสซีจี” ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุก่อสร้าง เล็งเห็นปัญหาของลูกค้า จึงขอนำเสนอแนวทางในการจบทุกปัญหาเรื่องหลังคาอย่างมั่นใจ ด้วยการแก้ไขปัญหาหลังคารั่วอย่างถูกจุด  และเปลี่ยนหลังคาเก่าให้สวยเหมือนใหม่ทั้งผืน  เพื่อให้บ้านพร้อมอยู่อาศัย  ไร้กังวล นายทรงวุฒิ พิมพ์สุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับปรุงหลังคา จาก “เอสซีจี” กล่าวว่า  หลังคาที่ผ่านการใช้งานมาระยะหนึ่ง  เจ้าของบ้านหลายท่านมักต้องพบกับสารพันปัญหากวนใจไม่ว่าจะเป็น หลังคารั่วซึม แตกร้าว ชิ้นส่วนหลังคาหลุด หรือชำรุดเสียหาย รวมไปถึงสีของหลังคาเก่าโทรมไม่สวยงาม เป็นต้น โดยสาเหตุหลักของปัญหามักเกิดขึ้นจาก 2 ปัจจัยหลักๆ คือ ปัจจัยด้านวัสดุ ได้แก่ โครงหลังคา กระเบื้องหลังคา และอุปกรณ์หลังคา อาจมีการเลือกใช้วัสดุที่ไม่ได้คุณภาพ หรือวัสดุมีการเสื่อมสภาพตามการใช้งาน และปัจจัยด้านการติดตั้ง เช่น การติดตั้งไม่ได้มาตรฐาน เนื่องจากช่างขาดทักษะความเชี่ยวชาญในการติดตั้ง  ซึ่งเบื้องต้นเจ้าของบ้านสามารถตรวจเช็คสภาพหลังคาด้วยตนเองได้  ดังนี้ วิธีตรวจเช็คปัญหาหลังคารั่ว อาการที่บ่งบอกว่าบ้านคุณเกิดปัญหาหลังคารั่ว คือ ได้ยินเสียงน้ำไหล หรือเสียงน้ำหยดกระทบกับฝ้าตอนฝนตก  การพบคราบน้ำสีน้ำตาลบนฝ้า รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ใบบริเวณที่หลังคารั่วบวม มีกลิ่นอับชื้น และอาจมีเชื้อราขึ้น รวมไปถึงบริเวณหลอดไฟหากโดนน้ำสามารถเกิดการลัดวงจรได้  และท้ายที่สุดหากปล่อยอาการรั่วทิ้งไว้นานฝ้าเพดานอาจทะลุจนเป็นโพรง สร้างความเสียหายให้กับบ้านมากขึ้น วิธีแก้ไขปัญหา เมื่อทราบว่าบ้านเกิดปัญหาหลังคารั่ว  ควรรีบติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อสำรวจและซ่อมแซมหลังคาจุดที่รั่วซึมทันที และควรเลือกช่างที่มีคุณภาพและประสบการณ์เพื่อตัดปัญหาหลังคากลับมารั่วซ้ำซาก และควรเลือกช่างที่ไว้วางใจเชื่อถือได้  เพื่อตัดปัญหาการทิ้งงานเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของบ้าน ลดความยุ่งยาก และสร้างทางเลือกใหม่ในการหาช่างหลังคาที่มีความเชี่ยวชาญ แก้ไขปัญหาได้ถูกต้องตรงจุด เอสซีจีจึงได้เปิดบริการ “เอสซีจี รูฟ  รีโนเวชั่น” เพื่อมอบโซลูชั่นที่จะช่วยจบทุกปัญหาเรื่องหลังคาอย่างครบวงจร ให้การแก้ปัญหาเป็นเรื่องง่าย  ไร้กังวล โดยมีให้เลือกทั้งบริการซ่อมหลังคารั่วเฉพาะจุด (Roof-Repair) และเปลี่ยนหลังคาเก่าทั้งผืน (Re-Roof) ให้กลับมาสวยงาม ทนทานเหมือนใหม่ โดยปีนี้เน้นให้บริการงานบ้านเดี่ยวก่อน และวางแผนขยายบริการไปสู่ที่อยู่อาศัยรูปแบบอื่นต่อไป “เอสซีจี รูฟ รีโนเวชั่น”  มีสินค้าและบริการที่จะช่วยตอบโจทย์เจ้าของบ้านให้  “มั่นใจ” ด้วยทีมช่างคุณภาพที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรรีโนเวทหลังคามาโดยเฉพาะ มีประสบการณ์จริง  พร้อมการรับประกัน สำหรับงาน Re-Roof  นาน 1 ปีเต็ม “วางใจได้” ด้วยเทคโนโลยีหลังคาและระบบหลังคาคุณภาพเยี่ยม มาตรฐานเอสซีจี  “ไร้กังวล”  จากทีมงานสำรวจหน้างานเพื่อนำมาวางแผนแก้ปัญหาที่ตรงจุด จบปัญหารั่วซ้ำซาก ไม่ทิ้งงานกลางคัน “สบายใจ” ด้วยกระบวนการวางแผนงานติดตั้งอย่างเป็นระบบ  จึงทำให้เจ้าของบ้านสามารถอยู่อาศัยในบ้านได้ตามปกติระหว่างติดตั้ง ไม่ต้องย้ายออก สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถขอรับคำปรึกษาได้ฟรีที่เอสซีจี เอ็กซ์พีเรียนซ์ และเอสซีจี โฮมโซลูชั่น ทุกสาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงสาขาในหัวเมืองใหญ่ อาทิ ชลบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่นและสุราษฎร์ธานี หรือติดต่อเอสซีจี คอนแทค เซ็นเตอร์ โทร.02-586-2222 หรือคลิกเว็บไซต์ www.scgbuildingmaterials.com  
วิธีตรวจสอบที่ดิน และหาราคาประเมิน แบบง่ายๆ แค่คลิ๊กเดียว

วิธีตรวจสอบที่ดิน และหาราคาประเมิน แบบง่ายๆ แค่คลิ๊กเดียว

ยุคนี้จะทำอะไรก็ง่ายแค่คลิ๊กเดียว วิธีตรวจสอบที่ดิน และการหาราคาประเมินก็เช่นเดียวกันค่ะ แค่เปิดเว็บไซต์ค้นหาที่ดินที่เราสนใจจะซื้อ หรือจะเป็นที่ดินของเราอยู่แล้วมาตรวจสอบดูว่าที่ดินตรงนั้นมีขนาดเท่าไร เป็นที่ดินประเภทไหนสามารถนำไปพัฒนาในรูปแบบไหนได้บ้างตามกฎหมายกำหนด และสามารถดูราคาประเมินที่ดินได้ด้วย ที่สำคัญคือสามารถดูได้ทั่วประเทศค่ะ ซึ่งตรงนี้มีประโยชน์มากสำหรับก่อนจะตัดสินใจซื้อที่ดิน หรือจะทำอะไรกับที่ดินก็ตามแต่ ที่สำคัญไม่ต้องเดินทางไปถึงกรมที่ดินเสียเวลาไปเป็นวันแบบสมัยก่อนค่ะ วิธีเช็คที่ดินก็ง่ายมาก ลองทำตามดูทีละข้อนะคะ ขั้นตอนการตรวจสอบที่ดิน 1.เปิดเว็บไซต์กรมที่ดินก็ตรวจสอบที่ดินได้ทันที เลือกจังหวัด อำเภอ ด้านบน หากเรามีฉโนดในมืออยู่แล้วก็ระบุเลขโฉนดลงไปแล้วกดค้นหาได้เลยค่ะ แต่ถ้าในกรณีที่เราสนใจที่ดินผืนไหน หรือแม้กระทั่งคอนโดฯ โครงการไหนก็ลองซูมแผนที่ ไล่หาที่ดินแล้วคลิ๊กตรงที่ดินได้เลยค่ะ จะมีข้อมูลขึ้นมาให้ตามภาพเลย    หาราคาประเมินที่ดินจากกรมธนารักษ์ ในกรณีที่บางที่ดินคลิ๊กขึ้นมาแล้วไม่ได้ระบุราคาประเมินก็ต้องเปิด เว็บไซต์ของกรมธนารักษ์ เราสามารถหาราคาประเมินที่ดินได้จากทั้งเลขที่โฉนด หรือเลขที่ดินก็ได้ค่ะ โดยเอาเลขที่เราได้จากเว็บไซต์กรมที่ดินในข้อที่ 1 มาระบุก็จะได้ราคาประเมินมาค่ะ ซึ่งราคาประเมินที่ได้เป็นเพียงราคาเบื้องต้นเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับราคาที่ดิน รวมถึงราคาตัวบ้านและคอนโดตามไปด้วยค่ะ    ตรวจสอบที่ดิน สีผังเมือง ที่ดินแต่ละแปลงย่อมมีข้อกำหนดเอาไว้ค่ะ ว่าสามารถใช้ประโยชน์แบบไหนได้บ้างตามผังเมือง เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เกิดความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนนั่นเอง 2.ตรวจสอบที่ดิน รายละเอียดการใช้ประโยชน์ ย่อหน้าสุดท้ายของข้อมูลที่ดิน จะระบุเอาไว้ว่าเป็นที่ดินประเภทไหน อย่างในรูปด้านบนนี้เป็นที่ดินประเภท ย.6 ซึ่งที่ดินแต่ละประเภทจะมีข้อกำหนดในการอนุญาตใช้ประโยชน์จากที่ดินได้แตกต่างกัน เช่น ที่ดิน ย.6 อนุญาตให้สร้างที่อยู่อาศัยประเภทอาคารอยู่อาศัยรวม พื้นที่ไม่เกิน 10,000 เมตร ตามเงื่อนไขที่ 3 คือ ตั้งอยู่ริมถนนที่มีเขตทางไม่น้อยกว่า 30 เมตร หรืออยู่ในระยะ 500 เมตร จากสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน, ไม่อนุญาตให้ใช้ที่ดินในเชิงพาณิชยกรรมพื้นที่เกิน 10,000 ตร.ม. เป็นต้น วิธีตรวจสอบที่ดินแบบดูสีผังเมือง ง่ายๆ เลย คือ เมื่อปักแปลงที่ดินที่เราดูไว้แล้วก็แค่คลิ๊กตรงช่อง เปิด/ปิด ผังเมือง ตรงด้านบน แล้วก็จะกลายเป็นสีผังเมืองขึ้นมา สามารถคลิ๊กดูข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินฯ แต่ละสีได้เลย ซึ่งตามภาพตัวอย่างนี้ ที่ดินที่เราดูเอาไว้เป็นสีน้ำตาล เราก็ไปคลิ๊กตารางทางขวามือที่เป็นสีน้ำตาล ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก ก็จะมีรายละเอียดทั้งหมดขึ้นให้อ่านแยกกันไปตามสีผังเมือง หรือสามารถเข้าไปรายละเอียดอ่านข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบตารางให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นได้ที่ เว็บไซต์ของสำนักผังเมือง    3.ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายด้านโยธาธิการและผังเมืองเพิ่มเติม  ถ้าอ่านข้อกำหนดจากข้อ 2 แล้วยังไม่เข้าใจ ก็สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องกฏหมายด้านโยธาธิการและผังเมืองได้ที่ เว็บไซต์ของกรมโยธาธิการและผังเมือง สรุปเว็บไซต์ที่สามารถตรวจสอบที่ดิน และราคาประเมิน ได้ฟรี! ระบบค้นหารูปแปลงที่ดิน กรมที่ดิน ค้าหาราคาประเมินจาก กรมธนารักษ์  รายละเอียดข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินจาก สำนักผังเมือง  ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลที่ทำให้เราสามารถทราบข้อมูลเบื้องต้นของที่ดินแต่ละแปลง และยังสามารถรู้ข้อกำหนดที่สามารถสร้างได้กับที่ดินอย่างคร่าวๆ ด้วยค่ะ  
ผังเมืองกรุงเทพหลากสี แบ่งไปทำไมกัน?

ผังเมืองกรุงเทพหลากสี แบ่งไปทำไมกัน?

หลายครั้งหลายหนที่เราพูดถึงเรื่องที่ดิน แต่ทราบหรือเปล่าคะว่าแต่ละพื้นที่นั้นมีการจัดการวางผังเมืองเอาไว้แบ่งเป็นโซนๆ แล้วในแต่ละโซนก็มีการกำหนดสีเอาไว้ด้วยว่าสีไหนสร้างอะไรบนที่ดินนั้นได้ แล้วสร้างได้ขนาดไหน หรือห้ามสร้างอะไรบ้าง ซึ่งในบทความนี้เราจะโฟกัสพื้นที่ของกรุงเทพฯ ค่ะ   ผังเมือง คือ การจัดการพื้นที่ของเมืองให้เป็นสัดส่วน แล้วตั้งข้อกำหนดเพื่อให้การนำที่ดินไปพัฒนานั้นเกิดประโยชน์สูงสุดและเป็นไปตามแนวทางที่วางเอาไว้ มองภาพรวมแล้วมีความสอดคล้องกันควบคู่ไปกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพทย์สินของประชาชน รวมถึงต้องรักษาสภาพแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไปด้วย ซึ่งในประเทศไทยมีกรมโยธาธิการและผังเมืองที่เป็นหน่วยงานดูแลจัดทำผังเมือง ส่วนในกรุงเทพฯ มีสำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร คอยจัดการดูแล ซึ่งในบ้านเรามีการแบ่งผังเมืองแยกออกเป็นหลายสี แต่ละสีก็มีความหมายรวมถึงมีข้อกฎหมายในการใช้ประโยชน์จากที่ดินแตกต่างกันออกไป จากภาพเราจะเห็นว่ากรุงเทพฯ ถูกแบ่งพื้นที่ออกเป็นหลายสี แต่ละสีก็จะมีความหมายรวมถึงกฎข้อบังคับการใช้ประโยชน์ที่ดินแตกต่างกันออกไป โดยแบ่งตามสีได้ดังนี้        สีเหลือง(ย.1-ย.4) ที่ดินประเภทอยู่อาศัยหนาแน่นน้อย สีส้ม(ย.5-ย.7) ที่ดินประเภทอยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง สีน้ำตาล(ย.8-ย.10)   ที่ดินประเภทอยู่อาศัยหนาแน่นมาก สีแดง(พ.1-พ.5)    ที่ดินประเภทพาณิชยกรรม สีม่วง(อ.1-อ.2)    ที่ดินประเภทอุตสาหกรรม สีม่วงเม็ดมะปราง(อ.3) ที่ดินประเภทคลังสินค้า สีขาวมีกรอบและเส้นทแยงสีเขียว(ก.1-ก.3) ที่ดินประเภทอนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม สีเขียว(ก.4-ก.5) ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม สีน้ำตาลอ่อน(ศ.1-ศ.2) ที่ดินประเภทอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทย สีน้ำเงิน(ส.) ที่ดินประเภทสถาบันราชการการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ   ปัจจุบันกรุงเทพฯ มีการขยายตัวของเมืองออกไปอย่างรวดเร็วตามรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างอยู่หลายสายรวมถึงถนนที่ขยายเส้นทางเพิ่มขึ้น จากเดิมที่กระจุกตัวอยู่แค่ในโซน CBD เช่น สีลม สาทร อโศก สุขุมวิทช่วงต้น รวมถึง New CBD อย่างพระราม9 และพื้นที่อื่นๆ อีกในอนาคต ซึ่งย่อมต้องมีผลกระทบจากการขยายตัวของเมืองแม้จะเกิดผลดีต่อการพัฒนาบ้านเมือง แต่ทั้งนี้ย่อมเกิดผลกระทบด้านลบตามมาด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อไหร่ที่มีความเจริญเข้ามาพื้นที่เกษตรกรรมก็มักจะลดลงตามไปด้วย โดยพื้นที่การเกษตรในเขตกรุงเทพฯ เกิดการใช้ประโยชน์ลดลงกว่า 4% หรือประมาณ 2.6 แสนไร่ จากพื้นที่การเกษตรในกรุงเทพฯ ทั้งหมด 1,500 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 27% แต่ในขณะที่พื้นที่อยู่อาศัยกลับเพิ่มขึ้นประมาณ 7.3% และพื้นที่พาณิชยกรรมเพิ่มขึ้น 25.43%     เมื่อเมืองเกิดการพัฒนาที่ขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้นเช่นนี้แล้วจึงต้องมีการเตรียมปรับปรุงผังเมืองฉบับใหม่ซึ่งฉบับที่กำลังเร่งพลักดันให้ประกาศใช้ในปีนี้นั้นเป็นฉบับที่ 4 โดยการปรับปรุงผังเมืองแต่ละครั้งจะต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญจาก 14 ด้านมาดำเนินงานร่วมกันกับสำนักผังเมือง เพื่อให้ผังเมืองออกมาสมบูรณ์มากที่สุด ได้แก่ ด้านประชากร, เศรษฐกิจ, อุตสาหกรรม, ผังเมือง, การคมนาคมขนส่ง, สิ่งแวดล้อม, สาธารณูปโภค, สังคม, ยุทธศาสตร์ความมั่นคง, การวางผังชุมชนและภูมิทัศน์เมือง, กฏหมาย, สารสนเทศด้านภูมิศาสตร์, การจัดทำร่างผังเมืองรวม และด้านการประชาสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งสาระสำคัญของผังเมืองฉบับใหม่นี้คือการกำหนดการขยายตัวเท่าที่จำเป็น กำหนดโซนเพื่อให้เกิดการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าที่สุดทำให้กระชับเมืองเข้าไปอีก แต่จะไม่เป็นการเสียพื้นที่สีเขียวของกรุงเทพฯ ไป สร้างความสมดุลระหว่างพื้นที่ในเมืองกับชานเมือง ขณะเดียวกันกลุ่มนักลงทุนก็พยายามพลักดันให้เกิดการกระจายของเมืองให้มากขึ้น เพื่อพัฒนาโครงการได้อย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และยังช่วยเรื่องราคาที่ดินได้ด้วย       สุดท้ายแล้วหน้าตาของผังเมืองใหม่จะออกมาเป็นอย่างไร เมื่อบังคับใช้แล้วจะสามารถนำมาใช้จริงโดยไม่เกิดผลเสียต่อฝ่ายใดได้หรือไม่ก็ต้องรอดูกันต่อไปค่ะ  
ปัจจัยหลักในการออกแบบบ้านชั้นเดียวสำหรับผู้สูงอายุ

ปัจจัยหลักในการออกแบบบ้านชั้นเดียวสำหรับผู้สูงอายุ

ใครที่กำลังมองหาที่ดินมาสร้างบ้านชั้นเดียว หรือ มีที่ดินครอบครองอยู่ในมือ แล้วกำลังคิดจะสร้างบ้านชั้นเดียวที่รองรับได้ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และก็ตัวคุณเองที่อายุมากขึ้นเรื่อยๆ ไปตามกาลเวลาก็ได้เวลาอันสมควรที่จะมาดู 5 ปัจจัยหลักในการออกแบบบ้านชั้นเดียวสำหรับผู้สูงอายุแล้ว ว่าควรจัดฟังก์ชันอะไรยังไงบ้างเพื่อตอบโจทย์ความสะดวกสบาย และสามารถรองรับสังคมผู้สูงอายุได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง 1. บ้านชั้นเดียวกับทางเข้าบ้านที่รองรับวีลแชร์ได้ นอกจากบ้านชั้นเดียว ที่เป็นเสมือนหัวใจหลักในการออกแบบบ้านสำหรับผู้ชราแล้ว หลักในการออกแบบบ้านชั้นเดียวเพื่อให้คนชราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอันดับต้นๆ ก็คือ ทางเดินเข้าออกตัวบ้าน ส่วนนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทุกแบบบ้านชั้นเดียวจะต้องมี เนื่องจากเป็นตัวนำพาคนชราเข้าออกสู่บ้านชั้นเดียว ซึ่งจะแบ่งสองส่วนด้วยกันคือ ทางลาด กับ บันไดทางเข้าบ้าน โดยทางเดินเข้าบ้านทั้งสองทางนี้จะต้องมีราจับตลอดแนว และมีความกว้างมากกว่า 50 ซม. ขึ้นไป และไม่น้อยกว่า 90 ซม. เพื่อรองรับผู้สูงอายุที่นั่งวิลแชร์ได้ รวมไปถึงทางลาดทางลาดต้องมีความลาดชันไม่เกิน  1:12 ตามกฎกระทรวงกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคาร สำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และคนชราพ.ศ. 2548 กำหนด 2.บ้านชั้นเดียวกับประตูทางเข้าบานใหญ่ เมื่อผู้ชราผ่านด่านทางเดินเข้าบ้านได้แล้ว ก็จะพบกับด่านสอง นั่นก็คือประตูทางเข้าบ้าน แน่นอนว่าขนาดของประตูทางเข้าออกบ้านจะต้องมีขนาดกว้างกว่าวีลแชร์หรือมากกว่า 36 นิ้วขึ้นไป ประตูจะต้องใช้แรงผลักเข้าออกง่ายไม่ฝืดเคือง แต่ก็ต้องไม่เบามากเพราะผู้ชราที่เปิดเข้าออกอาจจะลื่นล้มไปกับประตูที่ที่เปิดออกด้วยความรวดเร็วมากได้ ดังนั้นประตูทางเข้าบ้านส่วนใหญ่ของแบบบ้านชั้นเดียวสำหรับคนชรานั้นจึงมักเลือกใช้บานประตูแบบเลื่อนสองตอนที่สามารถจับเกาะและพยุงตัวได้ รวมไปถึงสามารถเปิดช่องทางการเข้าบ้านได้เป็นระยะกว้าง ต้องออกแบบให้ลางเลื่อนนั้นขนาบไปกับพื้นบ้านทางเข้าออกเพื่อป้องกันการสะดุดหกล้ม โดยสามารถดรอปพื้นลงไปเพื่อวางลางเลื่อนได้ 3.บ้านชั้นเดียวกับวัสดุที่ตอบโจทย์ความปลอดภัยและสุขภาพ เมื่อเข้ามาในตัวบ้าน สิ่งแรกที่ผู้ชราจะต้องสัมผัสเมื่ออยู่ในตัวบ้านชั้นเดียวก็คือพื้นบ้าน วัสดุตรงนี้ถ้าอยากจะเน้นความสวยงามด้วยการใช้กระเบื้องแบบขัดมันรับรองว่าไม่ปลอดภัยสำหรับคนชราแน่นอน ดังนั้นการออกแบบบ้านชั้นเดียวสำหรับในส่วนของพื้นจะต้องเน้นพื้นกระเบื้องผิวด้าน ซึ่งสามารถศึกษาวัสดุปูเพื่อนเบื้องต้นได้จาก วัสดุปูพื้นบ้าน กระเบื้องแบบไหน ควรใช้งานกับส่วนใด รวมไปถึงผนังบ้าน เพดาน ก็ควรมีการเคลือบผิวด้วยไวนีล เพื่อการทำความสะอาดที่ง่ายและไม่จำเป็นต้องดูแลรักษาเป็นประจำ ส่วนในเรื่องการตกแต่งบ้านชั้นเดียวที่ประกอบไปด้วย เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค และฝุ่น ตรงนี้ตัดทิ้งไปได้เลย เพื่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น พรม ผ้าม่าน และเฟอร์นิเจอร์แบบลอยต่างๆ ควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ขนาดไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป สามารถใช้งานได้แบบไม่ต้องก้มหรือย่อ และควรออกแบบให้บริเวณรอบบ้านมีต้นไม้ใบหญ้าเยอะๆ เพื่อคอยจับฝุ่นที่จะเข้ามาในตัวบ้าน ไม่เพียงแค่นั้นพื้นที่สีเขียวยังช่วยให้บ้านได้รับความร่มรื่นและอากาศบริสุทธิ์อันเป็นที่ชื่นชอบของคนชราด้วย 4.บ้านชั้นเดียวกับห้องนอนที่รองรับความสะดวก สำหรับการออกแบบบ้านชั้นเดียวให้ตอบโจทย์ผู้สูงอายุมากที่สุดต่อมาก็คือการวางตำแหน่งของห้องนอน ควรอยู่ใกล้กับฟังก์ชันอื่นๆ อาทิ ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร หรือ ห้องที่มีการเดินผ่านไปมาของคนภายในบ้าน เพื่อที่ผู้ชราจะสามารถเชื่อมต่อไปใช้งานห้องต่างๆ ได้อย่างสะดวก อีกทั้งคนในบ้านจะได้สามารถดูแลผู้ชราได้อย่างทั่วถึง แต่ทั้งนี้ก็ต้องออกแบบห้องนอนของผู้ชราให้มีความเป็นส่วนตัวไปในตัวด้วย ส่วนใหญ่ Layout ของห้องนอนคนชราจะอยู่บริเวณมุมบ้าน หรือ มุมที่สามารถรับแสงธรรมชาติได้สองด้าน เพื่อเป็นการเปิดห้องให้โล่ง โปร่ง สบาย และสามารถเปิดบานหน้าต่างออกเพื่อรับลมธรรมชาติได้ โดยบานหน้าต่างต้องออกแบบดีไซน์ให้สูงกว่าเอวหรือที่ความสูงประมาณ 1 ฟุต เพื่อป้องกันการพลัดตกลงมาจากห้องนอน ส่วนเตียงไม่ควรมีขอบมุมที่แหลม และไม่จำเป็นต้องสูงมาก ควรวางเข้ามุมเพื่อป้องกันการกลิ้งตกเตียง และต้องเหลือพื้นที่ปลายเตียงและข้างเตียงไว้สำหรับเดินเข้าออกห้องได้อย่างง่ายดายด้วย ซึ่งถ้าจะให้ดีสามารถติดตั้งราวจับตามจุดสำคัญในห้องได้ถ้าห้องมีขนาดกว้างมาก 5.บ้านชั้นเดียวกับห้องน้ำที่ปลอดภัยสำหรับผู้สูงวัย มาที่ส่วนสำคัญส่วนสุดท้ายอย่างห้องน้ำ และเป็นส่วนที่ต้องระมัดระวังที่สุดเพราะผู้สูงอายุจะเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งกับโซนนี้ ดังนั้นห้องน้ำที่ดีควรอยู่บนพื้นที่ที่คนในบ้านเป็นหูเป็นตาด้วยกันได้ โดยแบบแปลนบ้านชั้นเดียวส่วนใหญ่จะออกแบบให้ห้องน้ำอยู่ใกล้กับห้องนอนแต่ไม่อยู่ในห้อง เพื่อป้องกันอันตรายจากอุบัติเหตุ และสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ง่าย ขอบคุณแหล่งที่มา : http://bit.ly/2tql7mY
5 วิธีกำจัดกลิ่นเหม็นและคราบสกปรกในตู้ไมโครเวฟได้อยู่หมัด

5 วิธีกำจัดกลิ่นเหม็นและคราบสกปรกในตู้ไมโครเวฟได้อยู่หมัด

น้ำมะนาว นำน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับกับน้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง จากนั้นนำไปเวฟในไมโครเวฟประมาณ 2-3 นาที ทิ้งไว้สักพักจนกว่าตู้ไมโครเวฟหายร้อน แล้วใช้ฟองน้ำเช็ดทำความสะอาดให้ทั่ว เบกกิ้งโซดา นำเบกกิ้งโซดา 2 ช้อนพูน ผสมกับน้ำเปล่าข่อนแก้ว จากนั้นนำไปเวฟในไมโครเวฟ 3 - 5 นาที ทิ้งไว้สักพัก แล้วเช็ดออกให้สะอาด น้ำยาล้างจาน หยดน้ำยาล้างจนลงไปบนฟองน้ำ จากนั้นนำไปถูในไมโครเวฟ โดยอาจจะใช้แรงขัดสักนิด แล้วใช้ผ้าชุบน้ำสะอาด เช็ดเอาน้ำยาล้างจานออก สุดท้ายใช้ผ้าแห้งเช็ดอีกที ยาสีฟัน หลังจากกำจัดกลิ่นด้วยวิธีตามข้อ 1-2 แล้ว นำยาสีฟันบีบลงไปบนแปรงสีฟันอันเก่าแล้วใช้ขัดทำความสะอาดด้านในให้ทั่ว จากนั้นเช็ดออกด้วยผ้าสะอาด ถ่านหุงต้ม วิธีนี้อาจจะดูโบราณไปสักหน่อย แต่ก็ใช้ได้ผลในกรณีที่ตู้ไมโครเวฟมีกลิ่นเหม็นไม่มาก เพียงแค่นำถ่านหุงต้มใส่ในภาชนะ แล้ววางทิ้งไว้ 2-3 วัน กลิ่นก็จะหายไป เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับ 5 วิธีกำจัดกลิ่นเหม็นและคราบสกปรกในตู้ไมโครเวฟที่เรานำมาฝาก อย่าลืมนำไปปฏิบติกันด้วยนะคะ แหล่งที่มา : http://www.thaiticketmajor.com/variety/lifestyle/7639/
ทางลัดลดค่าไฟ 15 วิธีจัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์

ทางลัดลดค่าไฟ 15 วิธีจัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์

รอมาทั้งปีแต่ลมหนาวก็ไม่มา แต่หลังจากนี้ไม่ต้องทนนอนเหงื่อไหลไคลย้อยหรือเปิดแอร์ให้เปลืองค่าไฟกันอีกต่อไป เพราะมีวิธีจัดห้องนอนให้เย็นสบาย หลับสนิทจนถึงเช้ามาฝากค่ะ  ไม่ต้องตั้งคำถามกันอีกต่อไปว่าเมื่อไหร่อากาศบ้านเราจะหนาวสักที ในเมื่ออากาศมันร้อนทรมานใจไม่หยุดหย่อนขนาดนี้ เราก็ต้องปรับตัวตามอากาศไปให้สิ้นเรื่อง ยิ่งถ้าบ้านใครที่ไม่มีเครื่องปรับอากาศใช้ด้วยแล้วยิ่งต้องรีบทำตามวิธีกำจัดความร้อนในแบบฉบับที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างวิธีจัดห้องนอนที่กระปุกดอทคอมนำมาฝากกันในวันนี้ แล้วอาการกระวนกระวายเพราะร้อนจนนอนไม่หลับจะหายไปทันที 1. เปลี่ยนชุดเครื่องนอนให้เป็นผ้าคอตตอน ชุดเครื่องนอนแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปไม่ว่าจะหนานุ่มหรือเบา สบายก็มีหมด ดังนั้นเมื่ออากาศเข้าสู่สภาวะร้อนจนนอนไม่ค่อยหลับ เราขอแนะนำให้เปลี่ยนชุดเครื่องนอนจากผ้าหนานุ่มมาเป็นผ้าคอตตอนแทนจะดีกว่า เพราะด้วยคุณสมบัติที่เบาสบายและถ่ายเทอากาศได้ดี จึงช่วยให้คุณไม่ต้องทนนอนบนที่นอนร้อนๆ อีกต่อไป 2. ดื่มน้ำก่อนเข้านอน ในช่วงที่อากาศหนาวเย็นหรือเป็นปกติ การดื่มน้ำก่อนเข้านอนคงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร มีแต่จะทำให้เราตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกซะอีก แต่ในทางกลับกันอากาศร้อนหนักขนาดนี้แนะนำให้ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนเข้านอนก็จะช่วยร่างกายไม่ร้อนระหว่างหลับฝันหวานได้ค่ะ 3. เปลี่ยนหมอนใหม่ ศีรษะเป็นส่วนที่ร้อนที่สุดในร่างกาย ดังนั้นนี่อาจหมายถึงเวลาของการเปลี่ยนหมอนใหม่ที่เล็กกว่า ผ้าบางกว่า และระบายอากาศได้ดีกว่าหมอนใบเก่า หากคุณไม่อยากนอนกระสับกระส่ายตลอดทั้งคืนเพราะอากาศที่ร้อนอบอ้าวอีกต่อไป 4. จัดทิศพัดลมให้ถูก เพื่อดูดความร้อนออกนอกบ้าน หลายคนอาจจะยังสับสนว่าทำไมเปิดพัดลมแล้วยังไม่เย็นสักทีมีแต่ร้อนกับร้อน นั่นก็เป็นเพราะว่าพัดลมกำลังดูดความร้อนจากข้างนอกเข้ามาในบ้านยังไงล่ะ ซึ่งวิธีแก้ก็ง่ายนิดเดียวแค่หันด้านหลังพัดลมออกนอกหน้าต่าง แล้วความร้อนภายในบ้านก็จะถูกถ่ายเทออกไป แต่ถ้าบ้านไหนใช้พัดลมเพดานก็แค่ตั้งระบบให้ใบพัดหมุนทวนเข็มนาฬิกาก็ช่วย ไล่ลมร้อนออกจากบ้านได้เหมือนกันค่ะ 5. แขวนผ้าเปียกที่หน้าต่างช่วยปรับอากาศให้เย็นลง บางครั้งการนอนเปิดหน้าต่างเพียงอย่างเดียวก็ไม่ช่วยไล่ความร้อนได้ดีเท่าไร แต่ถ้าเรานำผ้าเปียกบิดหมาดๆ มาแขวนไว้ที่หน้าต่างห้อง ลมจากภายนอกก็จะพัดพาไอเย็นๆ จากผ้าเปียกเข้ามาภายในห้อง คราวนี้ต่อให้อากาศร้อนแค่ไหนก็ไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์ให้เสียค่าไฟแพงๆ อีกแล้ว 6. วางก้อนน้ำแข็งไว้หน้าพัดลม อาจจะดูเป็นวิธีสามัญไปหน่อยแต่ขอบอกเลยว่าได้ผลดีเกือบเทียบเท่าแอร์บ้านเลย ล่ะ ให้นำก้อนน้ำแข็งก้อนใหญ่มาใส่ถาดขนาดพอเหมาะ วางไว้หน้าพัดลมในระยะที่ไม่ใกล้และไม่ไกลพัดลมจนเกินไป คราวนี้จากอากาศร้อนๆ ภายในบ้านก็ถูกแทนที่ด้วยลมเย็นๆ ตอนเปิดพัดลม แต่ความรู้สึกเหมือนนั่งให้ห้องแอร์เลยล่ะ 7. นอนคนเดียวบ้าง ก็ทำให้อุณหภูมิลดลง สังเกตไหมว่าเวลาที่เราอยู่ในที่สาธารณะอัดแน่นไปด้วยผู้คน สถานที่แห่งนั้นจะร้อนอบอ่าวเป็นพิเศษ นั่นเป็นเพราะร่างกายแต่ละคนต่างก็มีความร้อนอยู่ในตัว และเมื่อมารวมตัวกันองศาความร้อนก็ยิ่งเพิ่มสูงมากขึ้น เช่นเดียวกับการนอนเป็นคู่เพราะมันจะทำให้ความร้อนจากร่างกายถูกระบายออกมา 2 เท่า ฉะนั้นหากคืนไหนร้อนๆ ก็นอนแยกกันบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อให้ต่างคนต่างนอนสบายกายขึ้น 8. เปลี่ยนเตียงนอนบ้างเพื่อให้อากาศหมุนรอบตัวเรา การนอนหลับพักผ่อนไม่จำเป็นว่าจะต้องนอนบนเตียงหนาๆ นุ่มๆ เสมอไป ไม่ว่าจะเป็นเปลญวน ตั่งไม้ หรือเตียงแบบโปร่งชนิดอื่นๆ ก็สามารถประยุกต์มันมาเป็นที่นอนในช่วงที่อากาศร้อนได้เหมือนกัน เพราะเตียงนอนในลักษณะนี้มีรูระบายอากาศมากกว่าเตียงนอนเบาะหนาๆ และการแกว่งเปญณวนก็ยังทำให้อากาศเคลื่อนไหวเกิดลมพัดเบาๆ กำลังเย็นสบายในขณะที่คุณนอนด้วย 9.เลือกซื้อชุดนอนแบบผ้าคอตตอนมาสวมใส่ ถ้าการเปลี่ยนชุดเครื่องนอนไปเป็นผ้าคอตตอนยังเย็นไม่พอ เราขอแนะนำให้เปลี่ยนชุดนอนในช่วงหน้าร้อนให้กลายเป็นผ้าคอตตอนไปด้วยเลย รับรองว่าผ้าโปร่งๆ ระบายอากาศอย่างชุดนอนผ้าคอตตอนจะทำให้คุณนอนหลับสนิท แม้ในวันที่อากาศจะร้อนอบอ้าวที่สุดก็ตาม 10. อาบน้ำก่อนนอนช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย หลายคนคงปฏิเสธไม่ลงว่า เคยไม่อาบน้ำแล้วเข้านอนมาก่อน ถึงแม้คุณจะเหนื่อยจากการเดินทาง จากงาน หรืออะไรก็ตามแต่ คุณก็ต้องสละเวลาง่วงเพียงนิดเพื่อตั้งจิตไปอาบน้ำก่อนนอนให้ได้ เพราะนอกจากจะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกได้แล้ว มันยังช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายส่งผลให้นอนหลับสบายได้อีกด้วย 11.  ปิดไฟก่อนนอนช่วยลดปริมาณความร้อนได้ คนที่ไม่กล้านอนปิดไฟอยู่ในความมืดก็ต้องขออภัยเพราะวิธีนี้ช่วยลดความร้อนได้ ดีจริงๆ ค่ะ ขณะที่เรานอนเปิดไฟในห้องทิ้งไว้ พลังงานความร้อนจากหลอดไฟและแสงไฟจะส่งผ่านมารบกวนการนอนทำให้นอนหลับได้ไม่ เต็มที่ แต่จะดีกว่าไหมถ้ายอมปิดไฟนอนเพื่อลดความร้อนในห้องลง 12. วางถังน้ำไว้แช่เท้าไว้ที่ปลายเตียง หากคุณเป็นคนที่ขี้ร้อนจัดไม่ว่าจะลองวิธีไหนก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผล งั้นต้องไปแก้ร้อนที่ปลายเท้าด้วยการหาถังน้ำหรือกะละมังใส่น้ำในปริมาณที่พอเหมาะมาวางไว้ปลายเตียง เมื่อไรที่รู้สึกร้อนจนนอนไม่ได้ก็แค่ลุกขึ้นมาแช่เท้าในถังน้ำให้เย็นสบาย วิธีนี้จะช่วยดูดเอาความร้อนจากร่างกายออกไปได้เยอะเลย 13. นอนชั้นล่างอากาศจะเย็นที่สุด ไม่ต้องอธิบายหลักวิทยาศาสตร์ให้ยุ่งยาก ใครๆ ต่างก็รู้ว่าความร้อนจะลอยตัวสูงขึ้นแล้วความเย็นจะเข้ามาแทนที่ ดังนั้นสถานที่ที่เหมาะสมกับการนอนหลับเห็นทีคงต้องเป็นชั้นล่างของบ้านแล้ว ล่ะ แต่ถ้าบ้านไหนมีแค่ชั้นเดียวแนะนำให้เลือกซื้อเบาะนอนบางๆ หรือปูผ้านอนกับพื้น แล้วความเย็นจากพื้นก็จะช่วยให้คุณไม่รู้สึกว่าคืนนี้ร้อนอบอ้าวอย่างที่ผ่านมา 14. ดึงปลั๊กไฟที่ไม่ใช้งานออกให้หมด ในยามค่ำคืนแห่งการพักผ่อนคงไม่มีใครลุกขึ้นมาใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าหรอกนะคะ ฉะนั้นก่อนจะเข้านอนทุกครั้งควรดึงปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งานออก ให้หมด เพราะการที่คุณเสียบปลั๊กไฟค้างไฟก็เท่ากับว่าเครื่องยังทำงานและยังปล่อย ความร้อนออกมาอยู่ ดังนั้นการถอดปลั๊กจึงช่วยลดอุณหภูมิความร้อนในบ้านลงได้ แถมสามารถช่วยลดค่าไฟ และเป็นการป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรได้อีกต่างหาก 15. ทำแอร์ใช้เอง ราคาแอร์แต่ละเครื่องถูกๆ ซะเมื่อไร แถมยังมีค่าติดตั้งอีก ถ้าไม่อยากจ่ายเพิ่มแล้ว มาทำแอร์ใช้เองกันเถอะ รับรองว่าลมเย็นไม่ต่างกันเลย แถมเจ้าแอร์ทำมือเครื่องนี้ยังช่วยประหยัดได้เยอะเลยด้วย แม้ชาวบ้านเขาจะบ่นว่าอากาศร้อนปรอทแตกแค่ไหน แต่ถ้าคุณได้ลองนำเอาทริคเด็ด ๆ ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไปใช้แล้วละก็ รับรองได้เลยว่าค่ำคืนแห่งการนอนหลับพักผ่อนของคุณจะเย็นสบายไร้ความร้อน รบกวนจนเพื่อนบ้านต้องมาขอเคล็ดลับกันอย่างไม่ขาดสายแน่นอน ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ ขอบคุณแหล่งที่มา : https://home.kapook.com/view137064.html
NPL คือ? ส่งผลต่อคนจะกู้สินเชื่ออย่างไร

NPL คือ? ส่งผลต่อคนจะกู้สินเชื่ออย่างไร

เป็นที่ทราบกันดีว่าเมื่อไรที่เราจะยื่นกู้สินเชื่อบ้านเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยไม่ว่าประเภทไหนก็ตามทางธนาคารจะมีวิธีพิจารณาเพื่ออนุมัติคล้ายๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นรายได้หลัก การเดินบัญชี ฯลฯ หรือแม้แต่ปัจจัยภายนอกอย่าง NPL ที่จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจปล่อยกู้ ซึ่งตัวผู้ที่ต้องการยื่นกู้เองควรจะลองศึกษาหาข้อมูลในเบื้องต้นเอาไว้บ้าง เพื่อเพิ่มโอกาสให้เราได้รับการอนุมัติมากยิ่งขึ้น NPL ย่อมาจาก Non-Performing Loan คือ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือที่เรียกกันว่าหนี้เสีย โดยเกิดจากการที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยและเงินต้นคืนให้สถาบันการเงินเป็นระยะเวลาติดต่อกัน 3 เดือน สถาบันการเงินนั้นจะมองว่าเป็นหนี้เสียทันที โดยหากตัวบุคคลถูกตีว่าติด NPL จะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือทางการเงินอย่างมาก ยิ่งหากจะทำการกู้สินเชื่อไม่ว่าจะประเภทใดก็ตามมักจะถูกปฏิเสธได้ง่าย ซึ่งจากสถิติจากปีที่ผ่านมา NPL ที่พุ่งสูงที่สุด 3 อันดับแรก คือ ธนาคารกรุงเทพ ประมาณ 87,000 ล้านบาท ธนาคารกสิกรไทย ประมาณ 69,000 ล้านบาท และธนาคารไทยพาณิชย์ ประมาณ 65,000 บาท แต่ธนาคารที่มีอัตราลดลง คือ ธนาคารทหารไทย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย และธนาคารเกียรตินาคิน ตามลำดับ   อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นว่าเราจะต้องศึกษาข้อมูลที่เป็นปัจจัยหนึ่งก่อนการยื่นขอสินเชื่อนั่นคือ NPL ที่กล่าวถึงนี้ เพราะหากช่วงไหนที่ภาพรวม NPL ของประเทศสูงจะส่งผลให้ธนาคารมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นโดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ เพราะเมื่อช่วงปีที่ผ่านมามี NPL พุ่งสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสินเชื่อบุคคลประเภทอื่นๆ สาเหตุหลักมาจากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ที่มีรายได้น้อย ส่งผลต่อการถูกปฏิเสธสินเชื่อในกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย-ปานกลาง ซึ่งปีที่แล้วสูงถึง 40-50% และเมื่อยอดปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลาง ทางผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จึงหันไปพัฒนาโครงการระดับสูงทำเลใจกลางเมืองมากกว่า เพราะนอกจากเรื่องของการจับกลุ่มผู้ที่มีกำลังซื้อระดับสูงในประเทศไทยแล้ว ยังหันไปหากลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติโดยเฉพาะในเอเชียด้วยกันที่สนใจซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยกันมากขึ้น แม้ว่าในปี 2561 หลายฝ่ายต่างเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นจากหลายๆ ปัจจัยต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนของยูนิตมากที่สุดในรอบ 4-5 ปี การร่วมทุนระหว่างผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยและจากต่างประเทศ รวมถึงตัวเลข GDP ที่จะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้แนวโน้มของ NPL ค่อยๆ ลดลง แต่การขยายตัวเพิ่มขึ้นของภาคอสังหาริมทรัพย์นี้ยังคงกระจุกตัวอยู่กลางเมืองกรุงเทพฯ ในโครงการที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้มีรายได้สูง  จึงทำให้ธนาคารยังคงต้องพิจารณาการอย่างถี่ถ้วนในการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เพื่อพยายามควบคุมไม่ให้มีตัวเลข NPL ที่สูงขึ้นอีก   แม้ว่าหลายธนาคารจะยังคงเข้มงวดต่อการปล่อยสินเชื่อบุคคลโดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีรายได้น้อย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ปล่อยสินเชื่อให้เลย เพราะหลายคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าในปีนี้อสังหาริมทรัพย์จะดีขึ้นยิ่งกว่าปีที่แล้ว และหากเราแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้ได้ รวมถึงการมีวินัยทางการเงินก็จะทำให้กู้ผ่านได้ไม่ยาก แม้แต่ผู้ที่มีประวัติ NPL ก็สามารถเข้าไปปรึกษากับทางธนาคารได้ แต่จะใช้ระยะเวลานานกว่า และมีข้อแม้หลายอย่างที่ต้องปฏิบัติเสียก่อนจะยื่นกู้ เช่น ต้องจ่ายหนี้สินทั้งหมดให้เรียบร้อยก่อน เป็นต้น   ความรู้อื่นเกี่ยวกับ NPL ธนาคารแห่งประเทศไทย บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง กู้ไม่ผ่าน เกิดจากอะไร วิเคราะห์ LTV หลักเกณฑ์ใหม่ ดีต่อตลาดอสังหาฯ แค่ไหน-ใครได้ประโยชน์ EIC วิเคราะห์ ใครคือผู้ได้รับผลกระทบจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง  
เอสซีจี แนะนำ 4 เรื่อง ระบบท่อที่เจ้าของบ้านควรรู้ก่อนลงมือสร้างบ้าน

เอสซีจี แนะนำ 4 เรื่อง ระบบท่อที่เจ้าของบ้านควรรู้ก่อนลงมือสร้างบ้าน

ผู้ที่กำลังสนใจในการสร้างบ้าน นอกจากการให้ความสำคัญกับการเลือกผู้รับเหมา งานโครงสร้าง การออกแบบดีไซน์ ทั้งภายในและภายนอกแล้ว “งานระบบท่อ” ก็เป็นเรื่องสำคัญที่เจ้าของบ้านหลายคนมักมองข้ามไป เพราะจริงๆ แล้วเมื่อเราสร้างบ้านหนึ่งหลัง ระบบท่อจะอยู่คู่กับบ้านเราไปตลอด หากเริ่มต้นวางระบบท่อไม่ได้มาตรฐาน เลือกใช้วัสดุที่ไม่ได้คุณภาพหรือไม่ตรงกับประเภทการใช้งาน การดูแลซ่อมแซ่ม อาจเป็นเรื่องยุ่งยาก ทำลายทัศนียภาพของบ้าน และมีราคาสูง ท่อเอสซีจี จึงอยากนำเสนอและแนะนำเจ้าของบ้านหรือผู้ที่สนใจกำลังจะสร้างบ้าน เกี่ยวกับระบบท่อก่อนลงมือสร้างจริง ถึงแม้ว่าการวางระบบท่อ เหมือนจะเป็นเรื่องที่ไกลตัว เพราะว่าส่วนใหญ่เรามักจะจ้างผู้รับเหมาให้ดูแลทั้งระบบอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงเราควรรู้จักและรู้ถึงการเลือกใช้ท่อให้เหมาะสมต่อการใช้งาน หรือแม้กระทั้งการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ เพราะเมื่อมีการสร้างจริงแล้ว เจ้าของบ้านจะสามารถรู้ได้ว่าผู้รับเหมาใช้ของที่มีคุณภาพ วางระบบได้มาตรฐานหรือคุ้มกับค่าใช้จ่ายหรือไม่ ท่อเอสซีจี จึงขอแนะนำ 4 เรื่องระบบท่อ ทำไมเจ้าของบ้านควรรู้ก่อนลงมือสร้างบ้าน ดังนี้ การเลือกวัสดุให้เหมาะสมต่อการใช้งานในแต่ละประเภทสำหรับระบบประปา ท่อประปาที่นิยมในท้องตลาดมีทั้งหมด 2 ประเภท ชนิดแรก ท่อพีวีซี (PVC) หรือท่อประปาสีฟ้าที่ใช้งานทั่วไป มีคุณสมบัติเหนียวและยืดหยุ่นสูง สามารถทนต่อสภาพกรดและด่าง ปลอดภัยจากสารพิษ เหมาะสมกับงานภายในอาคาร และน้ำที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 60 องศาเซลเซียส ชนิดที่สอง ท่อพีพีอาร์ (PP-R) ท่อสำหรับระบบประปาน้ำอุ่น และสำหรับน้ำร้อน คุณสมบัติเป็นฉนวนความร้อนช่วยรักษาอุณหภูมิได้ดี  ท่อและข้อต่อเชื่อมเป็นเนื้อเดียวกัน โดยวิธีการให้ความร้อนจากเครื่องเชื่อม นิยมใช้กับงานอาคารสูง ราคาไม่แพง สามารถใช้แทนท่อเหล็กได้ ทั้งนี้การเลือกท่อควรเลือกใช้สินค้าที่มีแบรนด์น่าเชื่อถือและมีตรามาตรฐานการผลิตอุตสาหกรรม (มอก.) พร้อมตัวเลขบอกขนาดกำกับไว้อย่างชัดเจน หรือท่อประปาที่ได้รับฉลากเขียว ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตจากวัสดุที่คำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้งาน ปราศจากสารปนเปื้อนอย่างโลหะหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับท่อพีพีอาร์และท่อซีพีวีซีที่เป็นท่อประปาน้ำร้อนที่ใช้สำหรับอุปโภคบริโภคโดยตรง จึงควรเลือกใช้ที่ได้รับการรับรองความปลอดภัยจากองค์กรส่งเสริมอนามัยแห่งชาติระหว่างประเทศ (NSF International) เท่านี้ก็จะสามารถมั่นใจได้ว่าเจ้าของบ้านจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ เหมาะสมต่อการใช้งาน และไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอีกด้วย การเดินระบบท่อประปาภายในบ้าน สามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้ การเดินท่อแบบลอยตัว คือการวางระบบท่อติดผนังหรือเพดาน การวางระบบท่อในลักษณะนี้ มีข้อดีในการดูแลซ่อมบำรุง หรือการติดตั้งงานระบบเพิ่มเติมภายหลัง แต่มีข้อเสียคืออาจไม่เข้ากับบ้านในดีไซน์ต่างๆ เช่น บ้านที่ต้องการความเรียบร้อยในการตกแต่งเนื่องจากสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน แต่เหมาะสมอย่างยิ่งกับบ้านในสไตล์ลอฟท์ (Loft)หรืออินดัสเทรียล (Industrial) และอีกหนึ่งลักษณะ คือ การเดินท่อแบบฝังภายในพื้นหรือผนัง เป็นการวางระบบท่อแบบเจาะสกัดผนังหรือพื้นเพื่อเดินท่อ ก่อนฉาบปูนทับ มีข้อดีคือทำให้บ้านดูเรียบร้อยและสวยงาม แต่ข้อเสียคือการซ่อมแซมและบำรุงรักษามีความยุ่งยากและราคาสูง หรือควรออกแบบให้มีช่องเซอร์วิสหรือช่องชาฟต์ (Shaft) เพื่อให้ง่ายต่อการซ่อมบำรุง นอกจากการเลือกใช้วัสดุแล้ว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับระบบท่อ ก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน อย่างน้ำยาประสานท่อ ที่มีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน คือ ชนิดเข้มข้น น้ำยามีความหนืดสูง สามารถยึดติดท่อได้อย่างรวดเร็ว และรับแรงดันได้สูง เหมาะกับงานคุณภาพสูง เช่น งานอาคารสูง ส่วนชนิดใสจะมีความหนืดต่ำ ทำให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น  เหมาะสำหรับงานบ้านและอาคารทั่วไป ส่วนเทปพันเกลียว  ใช้สำหรับพันเกลียวข้อต่อของท่อ  เพื่อให้การขันเกลียวมีความหนาแน่นมากขึ้น และกันน้ำไม่ให้รั่วซึมออกมา รวมถึงน้ำยาทำความสะอาดท่อพีวีซี  ใช้สำหรับทำความสะอาดท่อเมื่อข้อต่อเปื้อนคราบน้ำมันหรือสารหล่อลื่นต่างๆ ในท่อ ที่เราไม่สามารถใช้มือเข้าไปทำความสะอาดได้ ทั้งหมดนี้ล้วนควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้การรับรอง หรือสินค้าที่มีคุณภาพเช่นกัน การเลือกผู้รับเหมาที่มีความชำนาญและน่าเชื่อถือได้ ควรเลือกผู้รับเหมาที่มีชื่อเสียง พิจารณาจากผลงานที่ผ่านมา การรับประกันผลงาน และควรสอบถามหาข้อมูลจากหลายๆ เจ้า เพื่อเปรียบเทียบทั้งราคาและคุณภาพ และที่สำคัญคือเจ้าของบ้านและผู้รับเหมาควรมีสัญญาว่าจ้างกันอย่างถูกต้อง ชัดเจนและเป็นไปตามกฎหมาย เพื่อให้งานออกมาตามที่ตกลง และหากมีข้อผิดพลาดเจ้าของบ้านจะสามารถดำเนินการทางกฎหมายได้ จาก 4 ข้อแนะนำจากท่อเอสซีจีเจ้าของบ้าน สามารถนำไปประยุกต์ พูดคุยกับผู้รับเหมาได้อย่างเข้าใจ สามารถต่อรองการใช้สินค้า หรืออุปกรณ์ต่างๆ ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ เพื่องานระบบต่างๆ จะสามารถอยู่คู่กับบ้านเราได้อย่างคงทนถาวรตราบนานเท่านาน ผู้ที่สนใจท่อเอสซีจี สามารถหาข้อมูลได้ที่ www.scgbuildingmaterials.com
12 วิธีทำความสะอาดพื้นไม้ ให้ทนทานไร้รอยขีดข่วน

12 วิธีทำความสะอาดพื้นไม้ ให้ทนทานไร้รอยขีดข่วน

วิธีทำความสะอาดพื้นไม้ที่ถูกต้อง กำจัดได้ทั้งคราบธรรมดาและคราบหนักโดยไม่ทำลายเนื้อไม้ ถ้าอยากรู้ว่าจะมีวิธีไหนที่จะทำให้พื้นไม้ในบ้านของเราสวยงามยาวนาน ทนทาน ไร้รอยขีดข่วนได้ ก็ตามไปชมกันเลยค่ะ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพื้นไม้นั้นมีราคาแพงขนาดไหน หากคิดที่จะแต่งบ้านด้วยพื้นไม้ก็ต้องดูแลและเอาใส่ใจในเรื่องของความสะอาดเป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้พื้นบ้านราคาสุดหรูหรากลายเป็นพื้นธรรมดาราคาถูกไปได้ ดังนั้นกระปุกดอทคอมเลยรวบรวมนำเอาวิธีในการทำความสะอาดพื้นไม้อย่างถูกวิธีมาฝาก เพื่อให้พื้นไม้คงทน สวยงาม ใช้งานไปได้อีกนานแสนนาน 1. แอลกอฮอล์เช็ดรอยขีดเขียน หากพื้นไม้มีรอยขีดเขียน ให้นำแอลกอฮอล์เทลงบนผ้าผืนหนาประมาณ ¼ ช้อนชา แล้วนำไปเช็ดบริเวณที่มีรอยปากกาหรือดินสอ โดยค่อยๆ เช็ดวนรอบๆ ห้ามเช็ดแบบกระจาย มิเช่นนั้นจะทำให้เนื้อไม้ส่วนอื่นเสียหายตามไปด้วย เสร็จแล้วก็ทิ้งไว้ 3-5 นาที แล้วค่อยเช็ดออกด้วยผ้าสะอาดอีกครั้ง 2. เตารีดแก้รอยบุ๋มบนเนื้อไม้ จริงๆ แล้วเราสามารถแก้ไขรอยบุ๋มบนเนื้อไม้ได้ด้วยเตารีด โดยเทน้ำเปล่าลงบนรอยไม้บุ๋ม เมื่อน้ำเริ่มซึม ก็ให้รีบนำผ้าผืนหนามาปิดทับรอยเอาไว้ จากนั้นใช้เตารีดที่ความร้อนสูงนาบลงไปบนผ้า รอให้ผ้าแห้งแล้วค่อยยกเตารีดออก เนื้อไม้ก็จะกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิม 3. แป้งเด็กกำจัดเสียงเอี๊ยด ออกจะน่ากลัวไปนิด เดินบนพื้นไม้ทีไรต้องมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดตามติดทุกฝีก้าว สามารถแก้ไขได้โดยการเทแป้งเด็กลงบนพื้นไม้ตรงจุดที่เกิดเสียง และเกลี่ยแป้งให้ทั่ว เพียงเท่านี้คุณก็ก้าวเดินในบ้านได้อย่างไม่ต้องกังวลกับเสียงชวนสยองอีกต่อไป 4. ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ล้างคราบและกลิ่นฉี่สัตว์เลี้ยง สามารถกำจัดคราบเหล่านี้ได้ด้วยวิธีที่แสนจะง่ายดาย เริ่มจากซับฉี่สัตว์เลี้ยงออกจากพื้นไม้ให้เกลี้ยง แล้วหันมาผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เข้ากับน้ำยาล้างจานและเบกกิ้งโซดาให้ได้เนื้อสครับที่เข้มข้น แล้วนำไปขัดถูลงบริเวณคราบฉี่ ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วค่อยเช็ดออกจนพื้นสะอาด 5. ชาดำทำความสะอาดพื้นไม้ ไม่ทิ้งสารตกค้าง คอน้ำชาทั้งหลาย หากใช้ถุงชงชาดำแล้วอย่าเพิ่งทิ้ง ให้นำมาต้มในน้ำเปล่าประมาณ 2-4 ถุงจนน้ำเริ่มเปลี่ยนสี แต่ถ้าพื้นไม้ที่บ้านเป็นสีอ่อน ก็อย่าต้มนานมิเช่นนั้นสีชาจะเข้มจนเกินไป รอจนกว่าน้ำชาจะเย็นตัวลง จากนั้นก็ให้นำผ้ามาชุบและบิดพอหมาด เช็ดทำความสะอาดพื้นไม้ให้ทั่ว สารโพลีฟีนอลที่อยู่ในน้ำชาดำจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์บนพื้นไม้ได้ แถมยังทำให้พื้นไม้สวยนานขึ้นอีกด้วย 6. สูตรผสมน้ำส้มสายชูเช็ดพื้นไม้ จะทำความสะอาดพื้นไม้ทั้งที จะใช้น้ำยาเคมีได้อย่างไรล่ะ มาลองใช้สูตรน้ำส้มสายชูแบบธรรมชาติให้พื้นไม้สะอาดไร้สารตกค้างกันดีกว่าค่ะ ก่อนอื่นให้นำน้ำมันมะกอก ¼ ถ้วยตวง มาผสมกับน้ำส้มสายชู 1/3 ถ้วยตวง น้ำมันหอมระเหย 12 หยด และน้ำร้อนอีก 5 ถ้วยตวง เมื่อส่วนผสมเข้ากันดีก็ให้นำไปเช็ดทำความสะอาดพื้น 7. ล้างคราบเหนียวออกจากพื้นไม้ หลายครั้งที่ทำอาหารหกเลอะพื้นไม้ แต่ก็ไม่เคยทำความสะอาดจริงจังสักที ฉะนั้นให้นำเทปกาวมาติดที่พื้นเพื่อกั้นเขตรอยเปื้อนอาหารเหนียวๆ นั้นเอาไว้ จากนั้นให้โรยเบกกิ้งโซดาทับลงไป รอให้แห้ง และเช็ดตามด้วยผ้าชุบน้ำในขั้นตอนสุดท้ายก็เป็นอันเรียบร้อย 8. ยาสีฟันลบรอยหมึกปากกาและคราบน้ำ ยาสีฟัน เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สามารถลบรอยขีดเขียนจากน้ำหมึกปากกาและรอยคราบน้ำบนพื้นไม้ให้จางหายไปได้ ไม่ว่ารอยน้ำหมึกนั้นจะมากมายขนาดไหน แค่ป้ายยาสีฟันลงไปบนรอยน้ำหมึก จากนั้นเช็ดออกด้วยผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เพียงเท่านี้พื้นไม้ของคุณก็จะกลับมาสวยงามเหมือนเดิม 9. สูตรกำจัดฝุ่นบนพื้นไม้ ถ้าไม่อยากเสี่ยงทำลายพื้นไม้ในบ้านตัวเอง แนะนำให้ลองผสมน้ำส้มสายชู ¼ ถ้วยตวง น้ำยาล้างจาน 1 ช้อนชา โซเดียมคาร์บอเนต ¼ ถ้วยตวง และน้ำอุ่น 2 แกลลอนให้เข้ากัน จากนั้นนำมาถูพื้นไม้ในบริเวณที่มีฝุ่นเกาะ พื้นก็จะสะอาดใสไม่มีฝุ่นกวนใจแน่นอน 10. ทำความสะอาดพื้นลามิเนต เนื่องจากกระบวนการการผลิตไม้ลามิเนต ที่ต้องบีบอัดเป็นชั้น ๆ เราจึงต้องทำความสะอาดอย่างถูกต้อง ด้วยการดูดฝุ่นพื้นออกก่อน แล้วใช้ไม้ถูพื้นและน้ำยาทำความสะอาดสูตรอ่อนโยนถูลงบนพื้นไม้ จากนั้นเช็ดพื้นให้แห้งอีกครั้งก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ถึงแม้จะไม่ยากอย่างที่คิดแต่จะต้องทำให้ถูกตามขั้นตอน และจะต้องไม่ทิ้งน้ำยาทำความสะอาดไว้บนพื้นลามิเนตนานเกินไป เพราะจะทำให้พื้นเสียหายได้ 11. ลบรอยข่วนจากเล็บสัตว์เลี้ยง แม้ว่ารอยข่วนบนพื้นไม้จากฝีมือของสัตว์เลี้ยง จะแก้ยากขนาดไหนแต่เราก็สามารถแก้ไขได้ เพียงแค่นำสีโป๊วไม้ถูลงบนรอยข่วนเพื่อเติมเต็มร่องเนื้อไม้ จากนั้นใช้ฟองน้ำชุบสีที่เข้มพอ ๆ กับสีเนื้อไม้เดิมซับลงไป ตามด้วยลงแว็กซ์และทิ้งไว้ 5 นาที ใช้ผ้าแห้งเช็ดให้พื้นขึ้นเงาอีกครั้ง รอยข่วนเหล่านั้นก็จะหายไป 12. สเปรย์กำจัดคราบหนักบนพื้นลามิเนต แม้ว่าการทำความสะอาดพื้นลามิเนตอย่างถูกวิธีจะทำให้พื้นสะอาดก็จริง แต่ถ้าพื้นเปื้อนคราบหนักก็ต้องจัดการด้วยสเปรย์สูตรพิเศษ ที่มีส่วนผสมของน้ำเปล่า 1 ถ้วย น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย แอลกอฮอล์ ¼ ถ้วยตวง และน้ำยาล้างจานประมาณ 2-3 หยด ให้เข้ากันดี แล้วเทใส่ขวดสเปรย์เพื่อนำไปฉีดพ่นลงบนคราบหนัก และเช็ดออกให้สะอาด เพราะพื้นไม้นั้นมีมูลค่าค่อนข้างสูง ดังนั้นเราจึงต้องดูแลและทำความสะอาดอย่างถูกวิธี ถ้าไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายมากมายไปกับพื้นไม้โดยใช่เหตุ ก็ต้องดูแลพื้นไม้ให้ถูกวิธีอย่างที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ด้วยนะคะ   ขอบคุณแหล่งที่มา : https://home.kapook.com/view149594.html