Tag : Infographic

288 ผลลัพธ์
การจัดห้องน้ำให้ถูกหลักฮวงจุ้ย

การจัดห้องน้ำให้ถูกหลักฮวงจุ้ย

การจะจัดห้องน้ำให้ถูกหลักฮวงจุ้ย มีหลักการดังนี้ครับ   1. อย่าวางตำแหน่งห้องน้ำไว้ใกล้ประตูบ้านมากเกินไป เพราะโดยทั่วไปซินแสจะจัดให้ประตูบ้านของท่านรับกับพลังงานที่ดีประจำยุค (ยุคปัจจุบันคือยุคที่ 8 ปี พศ.2547-2567 ในฮวงจุ้ยระบบดาวเหิน หรือ Xuan Kong Flying Star) ดังนั้นหากห้องน้ำมาอยู่ใกล้ประตูหน้าของบ้านมากเกินไป จะเป็นตัวดูดกระแสโชคเข้าไปที่ห้องน้ำและไหลออกไปทั้งหมด เป็นที่มาของการเสียหายทางด้านโชคลาภและความเจริญรุ่งเรือง   หากจำเป็นต้องวางตำแหน่งห้องน้ำไว้ใกล้ประตูหน้าบ้านจริงๆ ก็ขอให้อย่าหันหน้าชนกับประตูหน้าบ้านโดยตรงนะครับ เพราะสภาวะของกระแสไหลออกจะได้ไม่รุนแรง หรือ หากจำเป็นต้องวางห้องน้ำให้ใกล้ประตูหน้าจริงๆ และยังต้องหันหน้าชนประตู ก็จำเป็นต้องบังคับตัวเองให้ปิดประตูห้องน้ำทุกๆครั้งที่เราไม่ใช้งานครับและก็ควรจะใช้ประตูห้องน้ำที่เป็นลักษณะบานทึบเพื่อกันให้กระแสอากาศไหลเข้าไปในห้องน้ำได้น้อยที่สุดครับ ส่วนการวางตำแหน่งของห้องน้ำที่ดีที่สุดหากเลือกได้ จะพยายามวางให้มองไม่เห็นประตูห้องน้ำจากตำแหน่งของประตูเข้าบ้าน   2. วางตำแหน่งห้องน้ำไว้ให้อยู่ในส่วนที่มีพลังงานที่ไม่ดีสะสมอยู่ สำหรับซินแสที่มีความสามารถและประสบการณ์ มักจะเลือกวางตำแหน่งห้องน้ำให้ตรงกับจุดที่มีพลังงานที่ไม่ดีของฮวงจุ้ยในระบบดาวเหิน เนื่องจากรู้ว่าห้องน้ำมีสภาวะการไหลออกของกระแสอยู่ตลอดเวลา หากเราสามารถเลือกตำแหน่งห้องน้ำให้ตรงกับพลังงานที่ไม่ดี ก็จะนำพาพลังงานที่ไม่ดีดังกล่าวออกไปได้มากเป็นพิเศษด้วย เรียกว่าเป็นการใช้ห้องน้ำให้เป็นประโยชน์ได้ดีมากๆเลยครับ   3. ไม่ควรหันหัวสุขภัณฑ์หนัก อ่างล้างหน้า หรือ ฝักบัว ให้ชนกับหัวเตียง โดยไม่สนใจว่าจะเป็นห้องน้ำในห้องนอนเราหรือห้องน้ำของห้องคนอื่นๆในบ้านนะครับ เนื่องจากเมื่อมีการใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวจะเกิดเสียงและโดยเฉพาะสุขภัณฑ์หนักนั้นการใช้งานจะก่อให้เกิดประจุ “อิออนบวก” ซึ่งจะเข้ามารบกวนการทำงานของร่างกายเราได้ ดังนั้นหากเรานอนหันหัวเตียงเข้าหาอุปกรณ์ดังกล่าวก็ถือว่าเป็นข้อเสียต่อสุขภาพมากทีเดียวครับ หรือหากให้ดีไปกว่านั้นเราจะพิจารณาว่าเตียงที่หันหัวนอนชนผนังผืนเดียวกับอุปกรณ์ดังกล่าวก็ผิดหลักฮวงจุ้ยด้วยเช่นเดียวกันครับ   4. ห้องน้ำควรวางไว้ในตำแหน่งที่ใกล้กับผนังด้านนอกบ้านหรือมีแสงสว่างเพียงพอ เพราะห้องน้ำเป็นห้องที่มีความชื้นสูง เป็นที่สะสมของเชื้อโรค หากเราไม่วางห้องน้ำไว้ในตำแหน่งที่มีอากาศถ่ายเท ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีแสงแดดเข้า ก็จะยิ่งทำให้มีความชื้นสูงมากขึ้นไปอีก เป็นที่มีความสุขภาพที่ไม่ดีได้ครับ โดยสำหรับห้องน้ำที่ไม่มีส่วนเปียกหรือส่วนอาบน้ำ จะไม่พิจารณาว่าหลักการนี้มีความสำคัญมากนักครับ   5. ประตูห้องน้ำไม่ควรชนเตียงนอน พิจารณาหลักการข้อนี้สำหรับห้องนอนที่นอนมากกว่าหนึ่งคนครับ เพราะหากมีการเปิดปิดประตูห้องน้ำเมื่อใช้งานเมื่อไร ก็จะมีการรบกวนการนอนของผู้ที่นอนอยู่ได้ครับ จะเป็นที่มีของการรบกวนการนอน ทำให้สุขภาพไม่ดี  
6 วิธีประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อน

6 วิธีประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อน

วิธีประหยัดค่าไฟ วิธีประหยัดค่าไฟบ้าน ไม่ได้ทำยากอย่างที่คิดนะคะ เพราะแม้อากาศจะร้อนขึ้นทุกวัน ๆ แต่ถ้าเราอยากจะลดค่าไฟบ้านในช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ต้องรีบไปดูทริคประหยัดไฟด่วน ด้วยอุณภูมิของอากาศที่พุ่งสูงขึ้นแบบไม่ปรึกษาเทอร์โมมิเตอร์กันสักนิด เลยทำให้อุณหภูมิภายในบ้านของเราร้อนตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ และในเมื่อร้อนจนเหงื่อแตกพลั่ก จะไม่เปิดแอร์ หรือเร่งพัดลมให้เป็นเบอร์ที่แรงที่สุดก็คงทนไม่ไหวแน่ ๆ แต่ก็เพราะใช้ไฟเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมินี่ล่ะค่ะ ที่ทำให้ค่าไฟตอนสิ้นเดือนเพิ่มขึ้นจนต้องสะดุ้งเบา ๆ ถ้าอย่างนั้นเรามาประหยัดค่าไฟบ้านด้วยวิธีง่าย ๆ ตามนี้ดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาปาดเหงื่อซ้ำตอนได้รับบิลค่าไฟ   1. ปรับอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสเสมอ ถึงจะเป็นคำแนะนำที่ฟังกันมาจนชิน แต่หลายคนก็ยังเปิดแอร์ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสอยู่บ่อย ๆ เช่น 22 องศาเซลเซียส เป็นต้น ซึ่งเราก็เข้าใจว่าอากาศมันร้อนจริง ๆ แต่รู้ไหมคะว่า หากคุณคงอุณหภูมิแอร์ให้ไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสได้ล่ะก็ ค่าไฟของคุณจะลดลงไปอีกหลายบาทจนน่าแปลกใจเลยล่ะ ไม่เชื่อลองทำแบบนี้ดูสักเดือนสิ   2. เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า เลิกใช้ซะ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้มานาน มีสภาพเกือบทำงานไม่ไหวแล้ว เป็นตัวเพิ่มกำลังไฟชั้นดีให้บ้านเราอย่างคาดไม่ถึงเลยนะคะ ดังนั้นหากคุณมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อายุการใช้งานเกิน 3 ปีขึ้นไป ต้องหมั่นตรวจสอบสภาพการใช้งานของเหล่านี้กันหน่อย หรือถ้าเป็นไปได้ก็เลิกใช้ไปซะน่าจะประหยัดกว่า   3. ทำความสะอาดตู้เย็นให้หมดจด การทำความสะอาดตู้เย็นในที่นี้หมายถึง ให้คุณจัดการเคลียร์อาหารเก่าเก็บ เน่าเสียออกจากตู้เย็นเป็นประจำ รวมทั้งหมั่นกดละลายน้ำแข็ง และทำความสะอาดตู้เย็นไม่ให้มีคราบสกปรกด้วย เนื่องจากตู้เย็นที่เต็มไปด้วยของมากมาย แถมยังไม่ค่อยได้รับการดูแลเท่าที่ควร จะใช้พลังงานมากกว่าปกติอีกหลายเท่า เพิ่มค่าไฟให้สูงขึ้นอย่างไร้ประโยชน์ใด ๆ   4. ถอดปลั๊กทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน หลายคนอาจจะคิดว่า แค่กดปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงกริ๊กเดียว ก็เท่ากับตัดกระแสไฟฟ้าไม่ให้ไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าได้แล้ว แต่จริง ๆ ต้องบอกอย่างนี้ค่ะว่า หากคุณปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ไม่ได้ถอดปลั๊กไฟ กระแสไฟฟ้าก็ยังคงไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าตามปกติ เพื่อเป็นการสแตนด์บายให้คุณกดเปิดสวิตช์ใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกครั้งได้เลยทันที ฉะนั้นการถอดปลั๊กจึงเป็นวิธีตัดกระแสไฟฟ้าที่ชัวร์ที่สุด โดยเฉพาะเหล่าเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบเปิด-ปิด อัตโนมัติ เมื่อไม่ใช้งานก็ควรต้องถอดปลั๊กทุกครั้งด้วยนะคะ   5. มาใช้หลอดไฟ LED กันเถอะ ด้วยข้อดีที่ช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าหลอดไส้ธรรมดาถึง 80-90% และอายุการใช้งานที่คงทนมากว่า 11 ปี หรือราว ๆ 1 แสนชั่วโมง เลยทำให้หลอดไฟ LED กลายเป็นหลอดไฟที่บ้านสมัยใหม่เลือกใช้เป็นอันดับหนึ่ง และเมื่อได้รู้อย่างนี้แล้ว ก็หันมาใช้หลอดไฟ LED กันน่าจะประหยัดกว่า   6. ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ปริมาณการใช้ไฟน้อย ช่วงเวลาที่ปริมาณการใช้ไฟน้อยจะอยู่ราว ๆ 22.00-06.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนกำลังนอนหลับ และการเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ทำงานในเวลานี้ จะทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้ามีกำลังไฟสำหรับการนำไปใช้งานได้อย่างเต็มที่ การทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าก็จะเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้เวลาในการทำงานน้อยลง ประหยัดไฟบ้านได้อีกหลายบาทเชียวล่ะ ค่าไฟจะมากหรือจะน้อย ไม่ได้อยู่ที่ประสิทธิภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของเราเองด้วย ดังนั้นนอกจากทำตามคำแนะนำเหล่านี้แล้ว ก็อย่าลืมสอดส่องเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านด้วยนะคะ หากพบเจอว่าปลั๊กตรงไฟเสียบคาไว้ โดยไม่ได้ใช้งาน ก็ให้รีบถอดปลั๊กออกด่วน ๆ เลย เป็นต้น  
กำจัดขนสัตว์จากโซฟาผ้าแค่เรื่องจิ๊บๆ

กำจัดขนสัตว์จากโซฟาผ้าแค่เรื่องจิ๊บๆ

กำจัดขนสัตว์จากโซฟาผ้า แค่เรื่องจิ๊บ ๆ ขนสัตว์ติดโซฟาผ้า กำจัดยังไงดี หลายคนยังไม่รู้วิธีเด็ด ๆ วันนี้เราเลยมีเคล็ดลับกำจัดขนสัตว์จากโซฟาผ้ามาบอกต่อ ถ้าอยากรู้แล้วรีบไปทำความสะอาดขนสัตว์บนโซฟาผ้ากันเลย สำหรับคนรักสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นน้องหมา น้องแมว หรือสัตว์ชนิดอื่น ๆ ก็เชื่อได้เลยว่าต้องเจอปัญหาขนสัตว์ร่วงติดโซฟาแน่ ๆ โดยเฉพาะโซฟ้าผ้าที่กำจัดออกได้ยากเย็น แต่ถ้าคุณกำลังมองหวิธีจัดการกับขนสัตว์ที่ติดโซฟาผ้าอยู่ เราก็มีเคล็ดลับดี ๆ มาแนะนำให้นำทำความสะอาดขนสัตว์ที่ติดอยู่บนโซฟาผ้า และเฟอร์นิเจอร์บุนวมชนิดอื่น ๆ ด้วย 1. เคลียร์พื้นที่ ขั้นตอนแรกให้ใช้เครื่องดูดฝุ่นกำจัดขนสัตว์ออกไปให้ได้มากที่สุดก่อน หรือคุณจะอาศัยแปรงสำหรับหวีขนสัตว์ ที่ยังไม่ได้ใช้มาแปรงเบา ๆ เพื่อเก็บเส้นขนที่ติดอยู่ในโซฟาช่วยอีกแรงก็ได้ 2. ถุงมือยางจุ่มน้ำ เทคนิคพิเศษ เติมน้ำอุณภูมิห้องใส่กะละมังพอประมาณจากนั้นสวมถุงมือยางแล้วจุ่มมือที่สวมถุงมือยางลงในถังน้ำ เสร็จแล้วใช้มือไล่ถูไปตามโซฟา เก็บเศษเส้นขนที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งวิธีนี้อาจจะต้องทำซ้ำกันหลาย ๆ ครั้ง 3. ใช้ตัวช่วยกำจัดขน อุปกรณ์ช่วยกำจัดขนสัตว์ที่ติดอยู่บนเฟอร์นิเจอร์บุนวมทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นฟองน้ำกำจัดขนสัตว์ ลูกกลิ้งกำจัดขนสัตว์ หรือแปรงกำจัดขนสัตว์ที่มีขายอยู่ทั่วไปตามร้าน Pet Shop ต่าง ๆ ก็เป็นตัวช่วยที่น่าสนใจ เพราะแต่อุปกรณ์ก็มีสรรพคุณในการกำจัดขนสัตว์ที่แตกต่างกันไป อย่างฟองน้ำก็เหมาะกับพื้นที่ขนาดใหญ่ มีขนสัตว์ติดอยู่บางเบา ๆ ไม่ฝังแน่น ส่วนแปรงและลูกกลิ้ง ก็ใช้กำจัดขนสัตว์ที่ติดฝังแน่นพอประมาณไปจนถึงขั้นติดแน่นฝังลึก ซึ่งความต้องการใช้ของคุณเป็นแบบไหน ก็ลองไปซื้อมาใช้กันดู 4. ซื้อเบาะรองนั่งให้สัตว์เลี้ยง ถ้ามีเบาะนอนเป็นของตัวเอง น้องหมา น้องแมวของเราก็จะไม่ค่อยมายุ่งกับโซฟา หรือเฟอร์นิเจอร์ของมนุษย์สักเท่าไร เพราะมัวแต่ซุกตัวอุ่น ๆ อยู่บนที่นอนของตัวเอง แค่นี้โซฟาของเราก็จะมีโอกาสรอดจากขนสัตว์มากขึ้นแล้วล่ะ 5. เลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่เหมาะสม ไม่เพียงแต่เจ้าของสัตว์เลี้ยงจะต้องหมั่นดูดฝุ่นให้บ้านบ่อย ๆ เท่าที่จะทำได้เท่านั้น แต่ทั้งนี้คุณก็ต้องเลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่เหมาะสมด้วย เช่น หากคุณเลี้ยงสัตว์ไม่กี่ตัว มีปัญหาขนสัตว์ติดเฟอร์นิเจอร์ไม่มาก กรณีนี้สามารถใช้เครื่องดูดฝุ่นชนิดมือจับได้เลย แต่หากว่าเลี้ยงสัตว์ไว้หลายตัว และปวดหัวกับปัญหาขนสัตว์ติดโซฟาน่าดู แบบนี้ควรต้องเลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นขนาดใหญ่ ที่มีถังเก็บฝุ่นประมาณ 4.5 ลิตรขึ้นไปถึงจะเหมาะ เคล็ดลับกำจัดขนสัตว์ติดโซฟาก็เป็นเค่เรื่องจิ๊บ ๆ ที่ทำได้ง่าย แต่อย่างไรก็ดีหากว่าคุณไม่อยากเสียเวลากำจัดขนสัตว์อีกต่อไป ถ้าเป็นไปได้ให้แบ่งโซนสำหรับสัตว์เลี้ยงไปเลยดีกว่า แยกให้เป็นสัดส่วนแบบนี้ จะได้หมดปัญหาสัตว์ติดเฟอร์นิเจอร์อีกต่อไปจ้า
เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดกินไฟแค่ไหน

เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดกินไฟแค่ไหน

เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิด กินไฟแค่ไหนมาดูกัน ! เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เราใช้งานกันอยู่ในบ้าน แต่ละชนิดก็ใช้พลังงานแตกต่างกันออกไป แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดไหน กินไฟเท่าไหร่กันบ้าง แน่นอนว่าเครื่องใช้ไฟฟ้า คืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต เพราะทุกบ้านก็ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่มากมายหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น พัดลม แอร์ โทรทัศน์ ตู้เย็น หม้อหุงข้าว หรือแม้กระทั่งไฟส่องสว่าง ก็ล้วนแล้วแต่ต้องใช้พลังงานที่ถูกคำนวณออกมาเป็นค่าไฟทั้งสิ้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงมีความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับการใช้ไฟมาฝากกัน แต่ละชนิดใช้ไฟเปลืองแค่ไหน ลองไปดูแล้วเตรียมตัวประหยัดไฟให้ถูกจุดกันจ้า   กิโลวัตต์ คืออะไร การใช้ไฟฟ้าเรามักจะเห็นคิดค่ากำลังไฟกันเป็น กิโลวัตต์ ซึ่งก็คือแรงเทียน หรือกำลังไฟฟ้าที่ใช้งานไปนั่นเอง (1 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง = 1,000 วัตต์) หากมีจำนวนวัตต์มากก็จะยิ่งเปลืองไฟมาก ซึ่ง 1 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง จะเท่ากับ 1 ยูนิตหรือ 1 หน่วย ตามบิลค่าไฟฟ้า ตัวอย่างเช่น   ในบ้านมีหลอดไฟจำนวน 100 วัตต์ 10 หลอด เท่ากับ 100x10 = 1,000 วัตต์ (1 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง) ถ้าเปิดไฟทั้ง 10 ดวง นาน 2 ชั่วโมง เท่ากับ 1,000x2 = 2,000 วัตต์ (2 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง) ดังนั้น 2 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง = 2 ยูนิต หรือ 2 หน่วย ตามบิลค่าไฟฟ้า   เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดใช้ไฟกี่วัตต์ พัดลมตั้งพื้น 45-75 วัตต์ พัดลมเพดาน 70-104 วัตต์ หม้อหุงข้าวไฟฟ้า 500-1,000 วัตต์ เครื่องปิ้งขนมปัง 600-1,000 วัตต์ ไดร์เป่าผม 300-1,300 วัตต์ เตารีดไฟฟ้า 430-1,600 วัตต์ เครื่องทำน้ำอุ่น 900-4,800 วัตต์ เครื่องซักผ้า 250-2,000 วัตต์ ตู้เย็น (2-12 คิว) 53-194 วัตต์ แอร์ 680-3,300 วัตต์ เครื่องดูดฝุ่น 625-1,000 วัตต์ เตาไฟฟ้าแบบเดี่ยว 300-1,500 วัตต์ โทรทัศน์สี 43-95 วัตต์ เครื่องอบผ้า 650-2,500 วัตต์   ได้รู้จักกับข้อมูลการใช้ไฟครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ไปแล้ว ก็อย่าลืมเลือกปิด-เปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า กันอย่างเหมาะสมด้วยนะคะ จะได้ประหยัดค่าไฟในบ้านให้ลดน้อยลงได้ ชิ้นไหนไม่ได้ใช้งานก็ถอดปลั๊กให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้มีกระแสไฟปล่อยออกมา หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นไหนกินไฟหนัก ๆ ก็หลีกเลี่ยงไปใช้วิธีอื่นที่ประหยัดกว่าแทน เช่น กวาดบ้านด้วยไม้กวาดแทนเครื่องดูดฝุ่น หรือไม่เปิดเครื่องทำน้ำอุ่นถ้าไม่จำเป็น เป็นต้นจ้า
ใช้แอร์อย่างไร? ให้ถูกวิธี

ใช้แอร์อย่างไร? ให้ถูกวิธี

ใช้แอร์อย่างถูกวิธี ประหยัดไฟฟ้า ด้วยการปฏิบัติ ดังนี้ - หมั่นล้างแอร์ อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง โดยช่างผู้ชำนาญทุก 6 เดือน และถอดหน้ากากแอร์ออกมาล้างเอง เป็นประจำ เดือนละครั้ง เพื่อให้แอร์ทำงาน ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพไม่มีฝุ่นอุดตัน ซึ่งนอกจาก ช่วยยืดอายุการใช้งานแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าไฟได้ 10% - ตั้งอุณหภูมิแอร์ ต้องไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส และทดลองตั้งที่ 26-27 องศาเซลเซียส แล้วใช้พัดลมเบอร์ 5 พัดกระจายความเย็น ก็จะช่วยให้ประหยัดไฟฟ้าได้ถึง 10-30% เลยทีเดียว - ไม่ควรนำความชื้นเข้าไปในห้องแอร์ เช่น ไม่นำผ้าเปียกๆเข้าไปตาก ไม่ควรวางกระถางต้นไม้ ไว้ในห้องที่มีแอร์ และไม่ควรเปิดบานเกล็ด ระบายอากาศของประตูห้องน้ำ เพราะไม่เช่นนั้น แอร์จะทำงานหนัก ในการต้องรีดความชื้น ออกจากห้อง ทำให้ต้องสูญเสียพลังงานไปโดยใช่เหตุ - ไม่ควรนำของร้อนเข้าไปในห้องแอร์ เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองไฟฟ้ามาก ดังนั้นจึงไม่ควรนำเตาไฟฟ้า หม้อต้มน้ำ หม้อสุกี้ เข้าไปในห้องแอร์ ควรปรุงให้เสร็จในครัว และอนุโลมให้นำมารับประทานในห้องแอร์ได้ - ก่อนเปิดแอร์ให้เปิดประตู หน้าต่างให้อากาศภายนอก เข้าไปแทนที่อากาศภาย ในห้องเป็นการถ่ายเทความร้อน สัก 15 นาที เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดพัดลมระบายอากาศ และแอร์ไม่ต้องทำงานหนักเกินไป - ปิดประตู หน้าต่างให้สนิทขณะเปิดแอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศร้อน หรือความชื้นจากภายนอกเข้ามา เพราะจะทำให้ เครื่องปรับอากาศ ทำงานหนักขึ้น - ปรับทิศทางของช่องจ่ายลมเย็น และความแรงของลมให้เหมาะสม กับตำแหน่งที่ต้องการ เพื่อจะได้เย็นเร็วขึ้น และไม่ต้องปรับอุณหภูมิให้เย็นขึ้น เพราะจะทำสิ้นเปลืองค่าไฟฟ้า