Tag : Infographic

288 ผลลัพธ์
13 เช็คลิสต์บ้านปลอดภัย ก่อนทิ้งไว้ในวันหยุดยาว

13 เช็คลิสต์บ้านปลอดภัย ก่อนทิ้งไว้ในวันหยุดยาว

วันหยุดยาว อีกไม่กี่วัน เราก็จะได้มี วันหยุดยาว ในช่วงเทศกาลปีใหม่ไทย หรือเทศกาลสงกรานต์กันอีกแล้ว เชื่อว่าใครหลายคนก็วางแผนท่องเที่ยว หรือไม่ก็เดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ทำให้ต้องปิดบ้านที่อยู่ปัจจุบันไว้หลายวัน หลายคนจึงมีความกังวลใจถึงเรื่องความปลอดภัย ที่จะเกิดขึ้นกับตัวบ้าน หรือทรัพย์สินภายในบ้าน   วันนี้เราจึงจะมาชวนเช็คความเรียบร้อยของบ้าน ก่อนที่จะเดินทางท่องเที่ยวกันหลายวัน เพื่อความสบายใจ กลับมาแล้วบ้านเราก็ยังคงอยู่ดี ทรัพย์สินไม่สูญหาย หรือไม่เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น กับ 13 เช็คลิสต์ ก่อนทิ้งบ้านไว้ในวันหยุดยาว 13 เช็คลิสต์ ก่อนทิ้งบ้านไว้ในวันหยุดยาว 1.ตรวจเช็คไฟฟ้า ถอดปลั๊กไฟ้ในอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งานออกให้หมด และควรตรวจเช็คอุปกรณ์ไฟฟ้า ระบบเบรกเกอร์ ว่ายังใช้งานได้ดีเป็นปกติ ไม่ชำรุดเสียหายด้วย   นอกจากนี้ อาจมีการติดตั้งหลอดไฟโซลาร์เซลล์ หรือระบบการเปิด-ปิดอัตโนมัติ ก็ช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับบ้านได้ เพราะหากกลางคืนบ้านมืดสนิทตั้งแต่หัวค่ำ โจรขโมยอาจจะรู้ได้ว่าบ้านนี้ไม่มีคนอยู่อาศัย จึงอาจเข้ามาลักหรือขโมยทรัพย์สินภายในบ้านได้ 2.เช็คกล้องวงจรปิด-สัญญาณกันขโมย ปัจจุบันหลายบ้านติดกล้องวงจรปิด หรือสัญญาณกันขโมย ก่อนจะทิ้งบ้านไปเที่ยวในวันหยุดยาว ก็ควรตรวจสอบการใช้งานว่าจะยังดี อุปกรณ์ไหนต้องใช้แบตเตอรี่ก็ตรวจเช็คด้วยว่ายังมีพลังไฟเหลือเพียงพอหรือไม่ด้วย   แม้บางบ้านจะติดระบบสัญญาณกันขโมย แต่ระบบกลอนประตู-หน้าต่าง ซึ่งเป็นอุปกรณ์พื้นฐาน ก็ไม่ควรจะต้องเสียหายหรือชำรุด ก่อนออกจากบ้านก็ควรดูแลให้ใช้งานได้ดี โดยเฉพาะห้องนอนหรือห้องที่มีสิ่งของมีค่า 3.ปิดระบบน้ำประปา ​ ปิดก๊อกน้ำ ระบบน้ำประปาให้สนิทก่อนออกจากบ้าน และควรเช็คดูด้วยว่ามีอุปกรณ์ไหนชำรุดเสียหาย หากตรวจพบ ก็ต้องซ่อมแซมให้เรียบร้อย 4.อย่าลืมกุญแจ ก่อนออกจากบ้าน ก็อย่าลืมตรวจสอบด้วยว่าเราได้นำกุญแจบ้าน กุญแจห้องต่าง ๆ ติดตัวมาหรือยัง หากกลัวว่าถ้าจะเกิดการหลงลืม การนำเอากุญแจสำรองไปฝากไว้ที่บ้านญาติ หรือเก็บไว้ในจุดที่เราสามารถหยิบมาใช้งานได้สะดวกและปลอดภัยก็ควรทำด้วย 5.เช็คระบบแก๊ส-เตาไฟ อีกจุดที่ต้องให้ความสำคัญ คือ ระบบแก๊ส เตาไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ครัวที่ต้องใช้แก๊สหรือไฟฟ้า ตรวจเช็คให้แน่ใจว่าได้ปิดไว้เรียบร้อยแล้วก่อนออกจากบ้าน 6.จัดเก็บของมีค่า สิ่งของมีค่าต่าง ๆ ควรจัดเก็บไว้ในที่ปลอดภัย หรือถ้าเป็นไปได้ควรเอาไปฝากไว้ที่ตู้เซฟของธนาคาร เพื่อความสบายใจ แต่ก็จะมีค่าบริการการรับฝากด้วย นอกจากของมีค่าในบ้านแล้ว บางครั้งเราอาจจะมีสิ่งของ หรือของมีค่าที่วางไว้นอกบ้าน หากเป็นไปได้ก็ควรจัดเก็บไว้ภายในบ้าน เพื่อไม่ให้โดยขโมยได้ 7.แจ้งนิติบุคคล เพื่อนบ้าน หรือตำรวจ การฝากบ้านไว้กับคนอื่น ก็เป็นอีกทางเลือกที่ปลอดภัย เช่น แจ้งนิติบุคคลของโครงการ เพื่อให้เขาคอยดูแล หรือไปฝากบ้านไว้กับตำรวจก็ได้ นอกจากนี้ หากเรามีความสนิทสนมกับเพื่อนบ้าน และสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การฝากบ้านไว้กับเพื่อนบ้านก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดี ถ้าเขาไม่ได้เดินทางไปไหน 8.ไม่โพสต์โซเชียล ไม่ควรโพสต์โซเชียลต่าง ๆ ว่าเราไม่อยู่บ้านหลายวัน เพราะอาจจะเป็นเป้าให้กับโจร ขโมยได้ 9.ทิ้งขยะ-เคลียร์ของในตู้เย็น ก่อนออกจากบ้าน ควรจะทิ้งขยะภายในบ้านให้หมด เพราะหากเป็นขยะเน่าเสียได้ ก็จะทำให้เกิดกลิ่นเหม็น และเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ต่าง ๆ มาคุ้ยเขี่ยทำให้เกิดเชื้อโรค หรือความสกปรกได้  รวมถึงการตรวจเช็คของกินของใช้ภายในตู้เย็น ว่ามีวันหมดอายุวันไหน ผักและผลไม้ ควรนำมากินให้หมดก่อนที่จะเน่าเสีย เมื่อเราออกไปเที่ยวในวันหยุดยาวหลายวัน 10.ทำความสะอาดบ้าน-ซักเสื้อผ้า ถ้ามีเวลาและเป็นไปได้ ควรทำความสะอาดบ้านก่อนไปเที่ยวในวันหยุดยาวสักครั้ง เพราะเมื่อกลับมาบ้านจะได้ไม่สกปรกมากนัก ควรคลุมเตียงและโซฟาด้วยผ้าเอาไว้ เพื่อไม่ให้เกิดฝุ่นสะสมบนเตียงหรือโซฟาของเรา เพราะปกติเรามักจะเหนื่อยกับการเดินทาง กลับมาถึงบ้านก็ไม่มีอารมณ์อยากจะทำอะไรแล้ว รวมถึงไม่ควรทิ้งผ้ากองโตไว้ เพราะจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค และหากเราซักผ้าไว้ก่อน กลับมาเราก็จะมีเสื้อผ้าสวมใส่   อีกจุดที่ต้องทำความสะอาด คือ ห้องน้ำและชักโครก ซึงปกติหากเราไม่ได้ไปไหน ชักโครกจะมีการใช้งานเป็นประจำทุกวัน แต่หากเราออกจากบ้านไปหลายวัน สิ่งปฏิกูลจะค้างท่ออยู่ทำให้อาจเกิดกลิ่นเหม็นได้ จึงควรกดชักโครกสักสองครั้ง เพื่อไล่สิ่งสกปรกออกจากระบบท่อไปก่อน 11.เคลียร์ตู้จดหมาย บ้านไหนมีตู้จดหมาย ควรจะเก็บจดหมายออกให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตของโจรขโมย 12.ดูแลต้นไม้ เรื่องต้นไม้ ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่เราควรให้ความสำคัญ ทั้งการรดน้ำให้เพียงพอ การตัดแต่งกิ่งต้นไม้ไม่ให้รกรุงรัง และการจัดเก็บใบไม้ไม่ให้รก เพื่อความสะอาดและปลอดภัย ไม่เป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์มีพิษ  หากใครกังวลว่าจะมีสัตว์มีพิษเข้ามาในบ้าน ให้โรยปูนขาวไว้รอบ ๆ บ้าน เพื่อป้องกันสัตว์มีพิษหรืองูที่จะเข้ามาในบ้าน​ 13.ให้อาหารสัตว์เลี้ยง-ฝากเลี้ยง นอกจากต้นไม้แล้ว สัตว์เลี้ยงก็เป็นสิ่งมีชีวิตอีกชนิด ที่หลายคนรัก ถ้าหากเราไม่สามารถนำสัตว์เลี้ยงไปด้วย หาจจะต้องให้อาหารทิ้งไว้ให้เพียงพอ หรืออาจจะต้องนำไปฝากเลี้ยงที่สถานรับเลี้ยง หรือไม่ก็ต้องนำไปฝากไว้กับเพื่อน หรือญาติที่เขาจะดูแลได้   ทั้งหมดนี้ ก็เป็น 13 เช็คลิสต์ ก่อนทิ้งบ้านไว้ในวันหยุดยาว ซึ่งดูแล้วอาจจะมีจุดที่ต้องตรวจเช็คเยอะ แต่ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวบ้าน และทรัพย์สิน ที่เราจะไม่ต้องมานั่งปวดหัวหรือมีปัญหาให้แก้ไขภายหลัง   ที่มา - อนันดา,​ดีพี พร็อพเพอร์ตี้,พฤกษา​     อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -5 จุดเหมาะติดกล้องวงจรปิด ก่อนทิ้งบ้านยาวช่วงวันหยุดยาว -7 เช็คลิสต์สำคัญในบ้าน ที่ควรเช็คก่อนไปท่องเที่ยววันหยุด
10 อุปกรณ์รอบตัว ตรวจคอนโดด้วยตัวเอง ได้ง่าย ๆ

10 อุปกรณ์รอบตัว ตรวจคอนโดด้วยตัวเอง ได้ง่าย ๆ

สำหรับใครที่จองซื้อคอนโดมิเนียมเอาไว้ และได้ผ่อนดาวน์จนครบ หรือถึงกำหนดเวลาที่คอนโดได้สร้างเสร็จ  พร้อมที่จะให้เราเข้าไปอยู่ ก็ต้องถึงคิวการ ตรวจคอนโด เพื่อโอนกรรมสิทธิ์มาให้เราได้เป็นเจ้าของเสียที   แต่การจะรับมอบโอนคอนโด ที่สำคัญเราคงต้องตรวจดูสภาพของห้อง ว่าเป็นไปตามสเป็คที่ทางคอนโดได้โฆษณาไว้ตั้งแต่แรกไหม รวมถึงคุณภาพของการก่อสร้างได้มาตรฐาน และอยู่ในสภาพที่ดี สมบูรณ์ พร้อมการใช้งานหรือเปล่า ซึ่งหากสภาพคอนโดห้องของเราไม่ได้เป็นไปตามที่โฆษณาไว้  หรือไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดี มีอุปกรณ์หรือสภาพห้องชำรุดเสียหาย เราอย่าไปเซ็นรับมอบคอนโดเด็ดขาด เพราะจะเป็นการยอมรับในข้อบกพร่องของห้องนั้น   การตรวจรับคอนโด สามารถทำได้ด้วยตนเอง หรือใครจะจ้างบริษัทที่รับตรวจคอนโดโดยเฉพาะ ก็สามารถทำได้ ราคาก็หลักพันบาทเท่านั้น ขึ้นอยู่กับขนาดของห้องเป็นหลัก แต่ใครไม่อยากจ้างบริษัทมาตรวจ ก็สามารถทำได้ด้วยตนเอง ซึ่งไม่ได้ยุ่งยากหรือมีขั้นตอนที่ซับซ้อนอะไร แถมอุปกรณ์ที่จะตรวจก็สามารถหาได้ทั่วไป บางอย่างเราก็มีใช้กันอยู่แล้วในบ้านหรือที่ทำงาน​ 10 อุปกรณ์รอบตัว ตรวจคอนโด ด้วยตัวเอง ได้ง่าย ๆ   1.สมุด-ปากกา ก่อนจะ ตรวจคอนโด เราต้องวางแผนจดรายการที่จะต้องตรวจไว้ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ไปถึงหน้างานแล้วหลงลืม ทำเป็นเช็คลิสต์เอาไว้ก่อน และเมื่อไปถึงหน้างาน เมื่อเจอจุดบกพร่องต้องซ่อมแซมหรือแก้ไข ก็จดรายละเอียดเอาไว้ให้ทางโครงการซ่อมแซมหรือเอาไว้ตามงานจะได้ไม่หลงลืม​ 2.โพสต์อิท เมื่อตรวจสอบพื้นที่ต่าง ๆ หรืออุปกรณ์ ที่พบว่าชำรุด เสียหาย หรือไม่เป็นไปตามสเป็ค ก็ติดโพสต์อิทเอาไว้ให้เห็นชัดเจน จะได้เห็นชัดเจน และเอาไว้ตรวจสอบหลังจากซ่อมแซมแล้วในภายหลัง 3.โทรศัพท์มือถือ เดี๋ยวนี้โทรศัพท์มือถือมีฟังก์ชั่นที่มีประโยชน์มากมาย และนำเอามาใช้ตรวจรับคอนโดเราได้ด้วย  เช่น ไฟฉาย สำหรับการส่องดูจุดต่าง ๆ ในมุมอับของห้อง กล้องถ่ายรูป เอาไว้เก็บหลักฐาน จุดที่ต้องซ่อมแซม ระบบวัดระดับน้ำ ที่เอาไว้วัดความลาดเอียงของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีการติดตั้งว่าได้ระดับหรือไม่ เป็นต้น 4.เหรียญบาท การตรวจสอบผนัง หรือพื้นที่มีการปูด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น กระเบื้อง เราสามารถตรวจสอบความเรียบร้อย หรือการชำรุดของผนังหรือพื้น ได้ด้วยการนำเหรียญบาทมาใช้เคาะพื้นและผนัง เพื่อหาจุดบกพร่อง ชำรุด หรือการปูได้ไม่สนิทได้ ซึ่งเมื่อเราเคาะดูแล้วจะได้ยินเสียงที่แตกต่างไปจากบริเวณอื่น ๆ ต้องให้ทางโครงการตรวจสอบอีกครั้ง 5.ลูกแก้ว-ลูกปิงปอง ลูกแก้วหรือลูกปิงปอง ใช้สำหรับตรวจสอบความลาดเอียงของพื้นห้อง พื้นห้องน้ำ หรือพื้นระเบียง เพื่อตรวจสอบว่าได้ปูพื้นลาดเอียงเหมาะสม สำหรับน้ำที่จะไหลลงไปสู่ท่อระบายน้ำได้ ไม่อย่างนั้นน้ำจะท่วมขังไม่ลงในท่อระบาย ซึ่งลูกแก้หรือลูกปิงปอง บางคนอาจจะไม่มีติดบ้านไว้ ก็อาจจะต้องหาซื้อเพิ่ม ซึ่งราคาไม่ได้สูงมาก ตามร้านสินค้าทุกอย่าง 20 บาทก็มีขาย 6.ถังน้ำ ถังน้ำเอาไว้สำหรับรองน้ำ และเทตรวจสอบ การไหลและระบายของน้ำ และยังทดสอบระบบน้ำประปาของห้องว่าไหลได้ปกติหรือไม่ด้วย ​ 7.ไขควงวัดไฟ-สายชาร์จโทรศัพท์ การตรวจสอบระบบไฟฟ้า และปลั๊กไฟต่าง ๆ ปกติจะใช้ไขควงวัดไฟ มาเป็นอุปกรณ์ช่วยตรวจ แต่ปัจจุบันปลั๊กไฟบางชนิดมีระบบการทำงานที่จะต้องเสียบขาปลั๊กไฟพร้อมกัน 2 ข้าง ปลั๊กไฟจึงจะทำงาน ซึ่งอุปกรณ์ที่นำมาใช้ทดแทนได้ดีไม่แพ้ไขควงวัดไฟฟ้าก็คือ สายชาร์จโทรศัพท์นั่นเอง ให้เราทดสอบการเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าในเต้าเสียบทุกจุด เพื่อตรวจสอบว่ามีกระแสไฟฟ้าเดินมาเป็นปกติ 8.ตลับเมตร ใช้วัดพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อดูว่าขนาดพื้นที่จริง กับแปลนห้องมีขนาดที่ตรงกันหรือไม่ 9.ขนมปังแผ่น การตรวจสอบโถชักโครกว่าใช้งานได้ปกติหรือไม่ จะใช้ขนมปังแผ่นในการทดสอบแทนสิ่งปฏิกูล โดยให้ฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และกดชักโครกดู หากไหลลงปกติแสดงว่า โถสุขภัณฑ์ทำงานได้ปกติ 10.กระดาษทิชชู สำหรับพื้นห้องน้ำ หรือพื้นครัว หรือจุดที่จะมีน้ำรั่วซึมได้ ให้ใช้กระดาษทิชชูทดสอบความชื้น การรั่วซึมของน้ำในบริเวณต่าง ๆ เหล่านั้น เพราะหากมีการั่วซึมกระดาษจะเปียกชื้นนั่นเอง   ทั้งหมดนี้ ก็เป็น 10 อุปกรณ์รอบตัว ตรวจคอนโด ด้วยตัวเอง ได้ง่าย ๆ ที่เชื่อว่าทุกคนทำตามได้ไม่ยาก ​ซึ่งนอกจากการตรวจสอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว การตรวจด้วยสายตา และการทดลองใช้งานจริงอย่างละเอียด ก็จะทำให้เราสามารถหาจุดบกพร่องของอุปกรณ์ หรือสภาพของห้องได้ด้วย เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า ก็ต้องลองเปิด-ปิดการใช้งาน ประตู-หน้าต่างก็ตรวจสอบการเปิดปิด ดูจุดการติดตั้ง เฟอร์นิเจอร์ที่ทางโครงการแถมให้ ก็ดูความเรียบร้อยของการติดตั้ง ดูสภาพของเฟอร์นิเจอร์ตรงไหนเสยหายหรือไม่ เป็นต้น   ที่มา : SCB, แสนสิริ,​ อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -10 จุดตรวจเช็คสุขภาพบ้าน เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน
9 ข้อห้ามทำ ขัดโชคลาภวันตรุษจีน

9 ข้อห้ามทำ ขัดโชคลาภวันตรุษจีน

9 ข้อห้ามทำ ขัดโชคลาภวันตรุษจีน  เทศกาลตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ของจีน เรียกกันว่า “วันลีชุน” ซึ่งหมายถึงวันแรกของฤดูใบไม้ผลิ โดยจะมีธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ แบ่งเป็นวันดังนี้   วันจ่าย  เป็นวันก่อนวันสิ้นปี ที่ผู้คนจะออกมาจับจ่ายซื้ออาหาร ผลไม้ และเครื่องเซ่นไหว้ต่างๆ วันไหว้  จะเป็นวันสิ้นปี ในวันนี้จะมีพิธีไหว้เทพเจ้าต่างๆ รวมถึงไหว้บรรพบุรุษ และการรวมญาติพี่น้องเพื่อรับประทานอาหารร่วมกัน วันเที่ยว  หรือวันตรุษจีน ถือเป็นวันที่เป็นสิริมงคล ในการเริ่มต้นปีใหม่ ดังนั้นในวันนี้จะเป็นวันที่จะต้องออกเดินทางไปไหว้ขอพรผู้ใหญ่ หรือไปท่องเที่ยว   ตามความเชื่อที่ว่า วันตรุษจีน หรือวันชิวอิก  เป็นวันสิริมงคล สำหรับการเริ่มต้นปีใหม่ ดังนั้นชาวจีนและชาวไทยเชื้อสายจีนจะมีความเชื่อในเรื่องโชคลาง  เราจึงได้ยินข้อห้ามต่างๆ ที่ไม่ควรทำในวันตรุษจีน เพื่อจะได้ไม่เป็นการขัดโชคลาภ ในวันนี้เราควรจะทำแต่เริ่องดีงาม งดทำบาปทั้งปวง ให้สมกับเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่ดี   เราไปดูกันว่า มีเรื่องอะไรบ้างที่เราไม่ควรทำในวันตรุษจีน   9 ข้อห้ามทำ ขัดโชคลาภวันตรุษจีน ห้ามกวาดบ้าน หรือทำความสะอาดบ้าน มีความเชื่อว่าการทำความสะอาดบ้านในวันนี้ จะเป็นการกวาดเอาโชคลาภ เงินทองออกไปจากบ้าน ห้ามสระผม หรือตัดผม เพราะเป็นเหมือนการตัดความมั่นคงออกไป เพราะคำว่าผมในภาษาจีน พ้องเสียงกับคำว่า มั่งคั่ง นั่นเอง ห้ามพูดคำหยาบ และห้ามทะเลาะเบาะแว้ง มีความเชื่อว่า การพูดในสิ่งไม่ดีจะนำความโชคร้ายมาให้ จึงให้พูดแต่คำมงคล และพูดถึงสิ่งดีๆ ไว้ ห้ามร้องไห้ มีความเชื่อว่า หากร้องไห้ในวันตรุษจีน เราจะพบเจอแต่เรื่องไม่ดี และเสียใจไปตลอดทั้งปี ดังนั้น ในวันนี้แม้แต่เด็กๆ จะดื้อและซน ก็มักจะไม่โดนดุให้ร้องไห้ ห้ามทำของแตก หากทำของแตกในวันนี้เชื่อว่าลางร้ายจะมาเยือน อาจจะมีคนในบ้านเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเกิดการแตกแยก ห้ามใช้ของมีคม ไม่ว่าจะเป็นกรรไกร มีด กรรไกรตัดเล็บ หรือของมีคมอื่นๆ เพราะเชื่อว่าจะตัดโชคลาภออกไป ห้ามใส่ชุดขาว-ดำ เพราะชุดสีขาว-ดำ หมายถึงลางร้าย ดังนั้นในวันตรุษจีนจึงนิยมสวมใส่เสื้อผ้าสีแดง หรือสีสันสดใส รวมถึงการสวมชุดใหม่ด้วย ห้ามเข้าห้องนอนคนอื่น มีความเชื่อกันว่า หากเข้าห้องนอนของคนอื่นในวันนี้จะเกิดความโชคร้าย ห้ามยืมเงินคนอื่น ไม่ว่าจะให้ใครยืมเงิน หรือเป็นคนขอยืม รวมถึงห้ามพูดว่าไม่มีเงินในวันนี้ด้วย เพราะเชื่อว่าจะต้องเป็นหนี้ตลอด หรือมีคนมาขอยืมตลอดนั่นเอง   นอกจากข้อห้ามต่างๆ ที่ไม่ควรทำในวันตรุษจีนแล้ว การปฏิบัติแต่สิ่งดีๆ และกระทำเรื่องมงคล ก็เรื่องสิ่งที่นิยมทำกันในวันตรุษจีนด้วย เช่น การงดเว้นการรับประทานเนื้อสัตว์ เพื่อความเป็นสิริมงคล การทำบุญ ไหว้พระขอพร เพื่อให้เป็นการเริ่มต้นปีใหม่ที่ดี ให้มีแต่โชคดีเข้ามาตลอดทั้งปีด้วย   บทความที่เกี่ยวข้อง เปิดความหมาย 9 ของขวัญวันตรุษจีนมงคล ตรุษจีนนี้ ทำความสะอาดบ้านต้อนรับความเฮง ผลไม้ต้องห้าม ไม่ควรไหว้ตรุษจีน  
10 พืชโปรตีนสูง ไม่ง้อเนื้อสัตว์

10 พืชโปรตีนสูง ไม่ง้อเนื้อสัตว์

10 พืชโปรตีนสูง ไม่ต้องง้อเนื้อสัตว์ ถ้าโปรตีนจากเนื้อสัตว์ปรับราคาสูงขึ้น บางทีการหาโปรตีนทางเลือกอื่นๆ เช่น โปรตีนจากพืช และจากผักชนิดต่างๆ ก็ดูจะเป็นทางออกที่น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะเทรนด์การรับประทาน Plant Base การเป็นรับประทานมังสวิรัติ หรือการรับประทานแบบ Vegan  ก็กำลังได้รับความนิยมไม่น้อยเลย ซึ่งแต่ละรูปแบบการทางอาหารที่ปราศจากเนื้อสัตว์ ก็มีความเข้มงวดในการเลือกวัตถุดิบที่ต่างกัน แต่ที่แน่ๆ ร่างการคนเราควรได้รับสารอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ซึ่งโปรตีนก็เป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก ทั้งในเรื่องของการเจริญเติบโตของร่างกาย การซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ การสร้างและรักษามวลกล้ามเนื้อ การช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดด้วย รวมถึงการผลิตฮอร์โมนและเอมไซม์ชนิดต่างๆ เพื่อให้ระบบร่างกายทำงานได้ปกติ   รู้หรือไม่? ร่างการต้องการโปรตีนปริมาณแค่ไหนในแต่ละวัน โปรตีน เป็นสารอาหารที่จำเป็น แต่รู้หรือไม่ว่าคนส่วนใหญ่มักจะขาดโปรตีน หรือได้รับโปรตีนไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน   โดยทั่วไป บุคคลธรรมดา ควรได้รับโปรตีนประมาณ 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ลองคำนวณง่ายๆ ก็คือ ถ้าน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม ร่างกายเราจะต้องการโปรตีน 50 กรัมต่อวัน   แต่ปริมาณโปรตีนที่ร่างกายต้องการก็จะแตกต่างกันไปในบางบุคคล เช่น ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังก่อนฟอกไต จะต้องจำกัดโปรตีนในปริมาณ 0.6-0.8 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ในขณะที่นักกีฬา หรือผู้ที่ต้องการสร้างกล้ามเนื้อ หรือผู้ป่วยบางประเภท เช่น ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ป่วยโรคตับ ฯลฯ จะมีความต้องการโปรตีน 1.2-2 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม     โปรตีนจากพืช มีอะไรบ้าง? ถ้าเรามีเหตุผลที่ไม่สามารถรับประทานโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ ในขณะที่ร่างกายก็ไม่สามารถขาดโปรตีนได้เช่นกัน แล้วโปรตีนทางเลือกจากพืชมีอะไรบ้างที่มี โปรตีนสู๊งสูง   เมล็ดฟักทอง จัดว่าเป็นแหล่งโปรตีนจากพืชที่ดี ที่มีปริมาณโปรตีนสูงสุดๆ ในปริมาณ 100 กรัม มีโปรตีนถึง 30 กรัมกันไปเลย แล้วยังอุดมไปด้วย แมกนีเซียม แมงกานีส เหล็ก สังกะสี และทองแดง ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเรื่องการนอนหลับด้วย   ต้นอ่อนทานตะวัน  ในปริมาณ 100 กรัม ไม่น่าเชื่อว่าจะมีโปรตีนสูงถึง 23 กรัม สูงเทียบกับเนื้อสัตว์ในปริมาณเท่าๆ กันได้เลย ในต้นอ่อนทานตะวันมีแร่ธาตุมากมาย เด่นทั้ง วิตามิน A วิตามิน B1 B6 โอเมก้า 3 6 9 แคลเซียม โฟเลต และอื่นๆ อีกมากมาย   เต้าหู้ เรารู้กันดีอยู่แล้วว่า ถั่วเหลือง เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี สำหรับผู้ที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ แต่เมื่อนำมาแปรรูปเป็นเต้าหู้แล้ว ในเต้าหู้ 100 กรัม มีโปรตีนถึง 17 กรัม แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำนมถั่วเหลืองที่ใช้ผลิตด้วย หรือจะเลือกดื่มเป็นน้ำเต้าหู้ก็ดีเช่นกันนะ เพราะเราจะได้ทั้งไขมันดี เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และวิตามิน   ข้าวโอ๊ต เป็นหนึ่งในสุดยอดอาหารไขมันต่ำ และเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ที่มักจะถูกแนะนำให้รับประทานในช่วงลดน้ำหนัก นอกจากจะให้พลังงานที่สูงแล้ว ข้าวโอ๊ตปริมาณ 100 กรัม ยังมีปริมาณโปรตีนที่สูง 15 กรัม แล้วยังมีใยอาหารที่สูงไม่แพ้กัน รวมถึงกรดอมิโน วิตามิน และแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายอีกมากมาย   ถั่วงอก  ที่หลายคนไม่ชอบ และอาจมองข้าม แต่รู้หรือไม่ว่าถั่วงอก ในปริมาณ 100 กรัม มีโปรตีนมากถึง 13 กรัมเลยทีเดียว แถมยังอุดมไปด้วย แคลเซียม ธาตุเหล็ก และวิตามินต่างๆ   ถั่วแระญี่ปุ่น  หรือ อิดามาเมะ จัดว่าเป็นแหล่งโปรตีนราคาย่อมเยา ซึ่งในปริมาณ 100 กรัม มีโปรตีนถึง 11 กรัม แล้วยังให้พลังงานและไขมันต่ำ มีวิตามิน A B C K รวมถึงแร่ธาตุอย่าง แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส โฟเลต และเบต้าแคโรทีน ในถั่วแระญี่ปุ่นมีใยอาหารสูงจึงช่วยลดอาการท้องผูกได้อีกด้วย   ถั่วลันเตา ผักยอดนิยมที่มีราคาไม่แพง และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่ดี ที่สำคัญในถั่วลันเตา 100 กรัม จะมีโปรตีน 8.6 กรัม เป็นอีกทางเลือกที่ดีของผู้ที่ไม่ต้องการบริโภคโปรตีนจากเนื้อสัตว์   ผักโขม เป็นผักอีกชนิดที่มีโปรตีนสูง เข้ารอบมาเป็นอันดับต้นๆ ของผักใบเขียว เพราะในปริมาณ 100 กรัม ผักโขมมีโปรตีน 5.2 กรัม รวมถึงสารอาหารอื่นๆ อีกมากมายที่ดีต่อร่างกาย เช่น ธาตุเหล็ก แคลเซียม แมกนีเซียมื วิตามินA B K   ตำลึง ในปริมาณ 100 กรัม มีโปรตีน 4.1 กรัม ผักพื้นบ้าน ผักริมรั้วที่เราคุ้นเคยกันดี มีวิตามินเอ และสารต้านอนุมูลอิสระสูงปรี๊ด ราคาก็ไม่แพงด้วย   เห็ดนางฟ้า มีสารอาหารและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายอยู่มากมาย และเชื่อว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระและต้านทางการเกิดโรคมะเร็งได้ ในเห็ดนางฟ้าปริมาณ 100 กรัม มีโปรตีนสูง 3.4 กรัม ด้วยคุณสมบัติที่ย่อยง่ายกว่าโปรตีนจากเนื้อสัตว์จึงเป็นผลดีต่อระบบทางเดินอาหาร และเหมาะกับการรับประทานเพื่อควบคุมน้ำหนัก   บทความที่น่าสนใจ หมูแพงใช่ไหม?  กินอะไรแทน
5 คำถามเริ่มต้นที่ต้องตอบ สำหรับคนที่คิดจะสร้างบ้าน

5 คำถามเริ่มต้นที่ต้องตอบ สำหรับคนที่คิดจะสร้างบ้าน

การมีบ้านสักหลังคงเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน ยิ่งในภาวะปัจจุบัน ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงมีอยู่  การอยู่บ้านที่มีพื้นที่กว้าง ๆ เพื่อใช้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน การทำงาน หรือการเรียน เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องการ มากกว่าการอยู่ในห้องคอนโดมิเนียม เป็นทางเลือกที่คนส่วนใหญ่ต้องการ แต่การจะมีบ้านสักหลัง คนส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกซื้อจากดีเวลลอปเปอร์ ที่พัฒนาขึ้นมาขายมากมายหลายรูปแบบ หลายทำเล และระดับราคา แต่ก็มีไม่น้อยเลือกที่จะปลูกสร้างบ้านเอง ตามรูปแบบและขนาดที่ต้องการ โดยเฉพาะเลือกที่จะอยู่ในทำเลเดิมที่คุ้นเคย บนที่ดินของตนเอง แล้วการจะปลูกสร้างบ้านของตนเอง จะต้องเริ่มต้นอย่างไรดี เราจึงมี 5 คำถามสำคัญ สำหรับคนที่ต้องการปลูกสร้างบ้านเอง มาใช้เป็นแนวทางการวางแผน เพื่อให้ได้บ้านที่ถูกใจ ตรงความต้องการของผู้อยู่อาศัยมากที่สุด มาเป็นไอเดียกัน ​ 1.เริ่มต้นด้วยแบบและขนาดเท่าไรดี จุดเริ่มต้นของการสร้างบ้าน คนส่วนใหญ่จะคิดถึงรูปแบบและหน้าตาของบ้าน ว่าตนเองต้องการบ้านสไตล์ไหน หน้าตาบ้านเป็นอย่างไร หลังจากนั้นก็จะลงไปในรายละเอียดของตัวบ้าน ว่าจะต้องมีขนาดพื้นที่เท่าไร มีกี่ห้องนอน มีพื้นที่อะไรบ้าง   ปัญหาที่ต้องเจอหากเริ่มต้นแบบนี้ คือ ความไม่สอดคล้องกันของการใช้งานกับขนาดสัดส่วน รูปร่างหน้าตาของบ้านในภายหลัง  ซึ่งทางออกของปัญหานี้ คงต้องเริ่มจากการสำรวจความต้องการของสมาชิกภายในบ้านก่อน ทั้งความต้องการใช้งานและด้านความสวยงาม เมื่อรวบรวมมาได้ส่วนหนึ่งจะถูกแปลงไปเป็นขนาดพื้นที่ใช้สอย ทำให้ขนาด สัดส่วน รูปร่างหน้าตา สอดคล้องกับการใช้งาน อีกทั้งขนาดพื้นที่ใช้สอยยังสามารถนำมาตั้งต้นประเมินค่าใช้จ่ายในงานออกแบบก่อสร้างอย่างคร่าว ๆ ได้อีกด้วย 2.เตรียมงบประมาณเท่าไรจะพอ เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เป็นหัวใจสำคัญของการปลูกสร้างบ้านของตนเอง เพราะปัญหาที่มักจะพบบ่อยเสมอ คือ งบประมาณบานปลาย จากเดิมที่วางไว้เท่านี้ แต่พอสร้างจริงก็มีค่าใช้จ่ายงอกขึ้นมา โดยเฉพาะหากมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการก่อสร้าง ขนาด หรือวัสดุที่ใช้   โดยเราสามารถประเมินค่าใช้จ่ายในการสร้างบ้านได้ตั้งแต่ต้น ซึ่งตัวเลขเบื้องต้นที่ได้มานั้น จะมีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงค่อนข้างมาก แต่จะทำให้เจ้าของบ้านเห็นวงเงินงบประมาณที่ต้องเตรียมเอาไว้ใช้จ่ายได้ในภาพรวมได้ โดยรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมไว้ จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ค่าออกแบบ และ ค่าก่อสร้าง   อัตราค่าออกแบบ ส่วนมากจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของค่าก่อสร้าง โดยสมาคมสถาปนิกกำหนดมาตรฐานค่าก่อสร้างบ้านพักอาศัยไว้ที่ 7.5% ของค่าก่อสร้าง โดยค่าออกแบบจะมากหรือน้อย นอกจากจะขึ้นอยู่กับพื้นที่ก่อสร้างแล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ความยากง่ายของแบบ,  ระดับของการให้บริการ, ความน่าเชื่อถือ เป็นต้น  อัตราค่าก่อสร้าง มักจะแตกต่างกันตามข้อจำกัดของสภาพที่ตั้ง สภาพแวดล้อม, ความยากง่ายในงานก่อสร้าง, ค่าจ้างแรงงาน, ค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าดำเนินงานของผู้รับเหมา   แต่หากต้องการตัวเลขค่าใช้จ่ายที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น จำเป็นจะต้องดำเนินการออกแบบให้แล้วเสร็จก่อน จากนั้นจึงทำการคิดคำนวณค่าก่อสร้างจากการถอดปริมาณวัสดุ และปริมาณเนื้องาน ออกมาจากแบบก่อสร้าง รวมกับค่าดำเนินงานของผู้รับเหมา เพื่อเป็นราคารวมทั้งหมด ซึ่งวิธีนี้เราก็จะได้ค่าก่อสร้างที่ใกล้เคียงความจริง รวมถึงเห็นค่าใช้จ่ายแยกตามรายการงานแต่ละส่วนอย่างชัดเจน หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ BOQ (Bill of Quantity) นั่นเอง 3.เลือกใช้วัสดุอย่างไรในแบบที่ไช่ การเลือกใช้วัสดุ เป็นหนึ่งขั้นตอนในงานออกแบบ ที่ทางสถาปนิกจะทำหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าของบ้านหรือเจ้าของงาน เลือกวัสดุเพื่อนำมาใช้ในงานก่อสร้างได้อย่างเหมาะสม ตรงตามความต้องการทั้งด้านการใช้งาน ความสวยงาม และการควบคุมงบประมาณ ในกรณีที่เจ้าของบ้านต้องเลือกวัสดุด้วยตัวเอง ควรศึกษา และทำการเปรียบเทียบคุณสมบัติ ความยากง่ายในการใช้งาน ราคา รวมถึงพิจารณาความยากง่ายในการจัดหามาซ่อมแซมเมื่อเกิดการชำรุดในภายหลังเอาไว้ด้วย   ในปัจจุบันเพื่ออำนวยความสะดวก และเป็นทางเลือกใหม่ให้กับเจ้าของงาน ผู้ผลิตสินค้าวัสดุก่อสร้างจึงมักจะมีบริการสินค้าพร้อมงานติดตั้งในรูปแบบของ Solution งานส่วนต่าง ๆ ของบ้าน ให้เจ้าของงานเลือกใช้แทนการขายแค่ตัววัสดุก่อสร้างเป็นชิ้น ๆ แถมยังมีการรับประกันงานติดตั้ง ช่วยลดความกังวลหลังงานก่อสร้าง เช่น งานมุงกระเบื้องหลังคา, งานติดตั้งประตูหน้าต่างไวนิล, งานจัดสวนปูทางเดิน, งานติดตั้งฉนวนกันความร้อน และ งานปรับปรุงห้องน้ำ เป็นต้น 4.ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะได้อยู่บ้าน การสร้างบ้านสักหลังจะใช้ระยะเวลานานแค่ไหน สามารถพิจารณาจากระยะเวลาที่ใช้ในงานออกแบบ หรือระยะเวลาที่ใช้ในการจัดหาแบบก่อสร้างบ้าน รวมเข้ากับระยะเวลาที่ใช้ในงานก่อสร้างบ้าน โดยปกติสถาปนิกมักจะใช้ระยะเวลาในงานออกแบบบ้านตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป บ้านบางหลังที่เจ้าของบ้านพิถีพิถันในงานออกแบบอาจจะใช้ระยะเวลาในการออกแบบยาวนานมากกว่าหนึ่งปีเลยทีเดียว   ในส่วนของงานก่อสร้างถ้านับระยะเวลาที่ใช้ตั้งแต่จัดหาผู้รับเหมา ทำเรื่องขออนุญาตก่อสร้างกับทางราชการ จนถึงงานก่อสร้างบ้านแล้วเสร็จ ยกตัวอย่างบ้านที่มีรูปแบบเรียบง่ายไม่มีรายละเอียดงานก่อสร้างที่ซับซ้อน มักจะใช้ระยะเวลาดำเนินงานประมาณ 8-12 เดือน โดยยังไม่รวมระยะเวลาของงานตกแต่งภายในและการจัดสวนรอบบ้าน 5.เจอปัญหากับผู้รับเหมา แก้ไขอย่างไรไม่ให้ปวดหัว ปัญหาส่วนใหญ่ที่เจ้าของบ้านไม่อยากพบเจอในช่วงงานก่อสร้าง คือ งานก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามกำหนด ไม่เป็นไปตามข้อตกลง ผู้รับเหมาทิ้งงาน, คุณภาพงานก่อสร้างไม่ตรงตามความคาดหวัง งานไม่ตรงแบบ งานไม่เรียบร้อย, งานก่อสร้างยืดเยื้อ ปรับแก้แบบหน้างาน ทำให้ค่าใช้จ่ายบานปลาย  ฯลฯ   ปัญหาเหล่านี้มักทำให้งานก่อสร้างสะดุด เจ้าของบ้าน และช่างผู้รับเหมารู้สึกกังวลใจ แต่ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นสามารถควบคุมดูแลได้ด้วยการมีแบบก่อสร้างคุณภาพดี มีรายละเอียดงานก่อสร้างครบถ้วน, มีคนคอยควบคุมงานก่อสร้างพร้อมมีทีมช่างก่อสร้างที่มีประสบการณ์ เอาใจใส่คอยติดตามตรวจสอบแก้ไขข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ และที่สำคัญเจ้าของบ้าน กับช่างผู้รับเหมาจะต้องรับรู้และมีความเข้าใจเนื้อหาของแบบและงานก่อสร้างไปในทิศทางเดียวกัน มีการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน ต่อกันโดยตลอดระหว่างงานก่อสร้าง เพียงเท่านี้งานก่อสร้างก็จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น   ทั้งหมดนี้ ก็เป็น 5 คำถามสำคัญสำหรับผู้ที่คิดจะปลูกสร้างบ้านเอง แทนการไปเลือกซื้อจากโครงการบ้านจัดสรรต่าง ๆ หวังว่าจะใช้เป็นแนวทางการวางแผน เพื่อปลูกสร้างบ้านและได้บ้านตามที่ฝันไว้ ที่สำคัญควรปรึกษาและเลือกใช้บริการจากผู้ที่มีประสบการณ์และเชื่อถือได้เสมอ   ที่มา : SCG Home  
อัพเดต 5 เทรนด์ที่อยู่อาศัย-การก่อสร้าง มาแรงปี 2022

อัพเดต 5 เทรนด์ที่อยู่อาศัย-การก่อสร้าง มาแรงปี 2022

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กินเวลานานกว่า 2 ปี รวมถึงวิกฤติโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุกบริบทของการใช้ชีวิต และการทำงาน ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์โลกวิถีใหม่ ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นวิถีชีวิตปกติของวันนี้ หรือ Now Normal ที่ทุกคนเริ่มคุ้นเคย เรียนรู้ที่จะวางแผน และปรับชีวิตให้เข้ากับสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปีหน้าที่กำลังจะมาถึงเรายังคงต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เชื่อว่าทุกคนจะเรียนรู้และปรับตัวรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจต่าง ๆ เอง ก็ต้องหากลยุทธ์และแผนธุรกิจออกมารองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยคงต้องประเมินและวิเคราะห์ถึงเทรนด์ในอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น   สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะด้านที่อยู่อาศัยเอง ก็ต้องพัฒนาที่อยู่อาศัยและการก่อสร้าง ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ที่มีพฤติกรรมการอยู่อาศัยไม่เหมือนเดิม ซึ่ง SCG ได้ทำการวิเคราะห์และประเมินพฤติกรรมการอยู่อาศัยและความต้องการของผู้บริโภคในปี 2565 ที่จะมาตอบโจทย์ภายใต้วิถีชีวิต Now Normal  โดยจะมี 5 เทรนด์สำคัญ คือ 1.Smart Living and Building การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบบ้าน หรือใช้สั่งเปิด-ปิด และควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน และอาคาร เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย ปลอดภัย และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น เช่น ระบบสั่งการด้วยเสียง หรือเซนเซอร์ แอปพลิเคชัน ดิจิทัลแพลตฟอร์ม รวมไปถึงเครื่องใช้ภายในบ้านระบบอัตโนมัติต่างๆ 2.Health & Well-Being ในยุคนี้ เรื่องสุขอนามัยเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะโควิด-19 ฝุ่น PM 2.5 เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย ต่างก็สร้างความกังวลให้เราทุกคน ดังนั้นคงจะดีไม่น้อย ถ้าเราปรับบ้าน และอาคารให้พร้อมรับมือกับความกังวลเหล่านี้ เพื่อดูแลสุขอนามัยของผู้อยู่อาศัยในระยะยาว พร้อมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และเด็กเล็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ 3.Sustainable Living ความยั่งยืนเป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ที่คนทั่วโลกให้ความสำคัญ หลายคนหันมาใส่ใจและเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่มอบความยั่งยืน ทั้งด้านเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดทรัพยากร ประหยัดพลังงาน และปลอดภัยต่อผู้อาศัย 4.Home Transformation ทุกวันนี้บ้านได้กลายเป็น “Multi-functional Space” ที่เป็นทั้งบ้าน ออฟฟิศ โรงเรียน ฟิตเนส ที่พักผ่อน ฯลฯ หลายคนจึงหันมาปรับและต่อเติมพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะกับการใช้งานของสมาชิกแต่ละคน โดยเน้นให้มีความยืดหยุ่น และใช้งานได้อย่างเอนกประสงค์มากที่สุด เช่น แบ่งสัดส่วนห้องทำงาน/ห้องเรียนในห้องนอน หรือห้องนั่งเล่น จัดสรรพื้นที่ในห้องครัวเป็นโซนนั่งชิล โต๊ะทำงาน และทานอาหาร ตกแต่งสวนหน้าบ้านให้เป็นสนามเด็กเล่น พื้นที่ออกกำลังกาย มุมพักผ่อน และโรงจอดรถ เป็นต้น 5.Construction Transformation การออกแบบและก่อสร้างอาคารแห่งอนาคต กำลังถูกทรานฟอร์มด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรมการก่อสร้างมากมาย ซึ่งจะเข้ามาช่วยลดเวลา ลดเศษวัสดุในไซต์งานก่อสร้าง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงมีความแม่นยำสูง และครบวงจร โดยเทคโนโลยีที่มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ได้แก่ นวัตกรรม 3D Cement Printing ใช้สร้างสรรค์ได้ทั้งงานก่อสร้าง และงานตกแต่งที่มีความซับซ้อน สามารถครีเอทลายปรินท์ได้อย่างหลากหลาย ขึ้นรูปชิ้นงานได้ตามรูปแบบที่ต้องการ เทคโนโลยี Building Information Modeling (BIM) ที่ช่วยสร้างความแม่นยำในการออกแบบ บริหารจัดการและควบคุมคุณภาพงานก่อสร้างตั้งแต่ก่อนโครงการขณะก่อสร้างและหลังจบโครงการ และ Drone นวัตกรรมประเมินพื้นที่ก่อนออกแบบผังโครงการ ช่วยลดความผิดพลาดในการก่อสร้าง เพิ่มความปลอดภัยในไซต์งาน เป็นต้น   นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า โควิด-19 และโลกร้อนกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการอยู่อาศัย และการก่อสร้างวิถีใหม่ โดยผู้คนต้องการที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย มีสุขอนามัย เอื้อต่อการสร้างเสริมสุขภาพที่ดี สะดวกสบาย และตอบการใช้งานที่หลากหลาย ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงการประหยัดพลังงาน ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ทุกคนเริ่มปรับตัว และพัฒนาวิถีชีวิตให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงสู่ยุค Now Normal ซึ่งบ้านถือเป็น Safe Space ในการใช้ชีวิต และทำทุกกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งทำงาน เรียน พักผ่อน และอีกมากมาย ​​
10 จุดตรวจเช็คสุขภาพบ้าน เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน

10 จุดตรวจเช็คสุขภาพบ้าน เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน

สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ร่างกายคนเราแข็งแรงและมีสุขภาพดีได้ คือ การตรวจร่างกายประจำปี เพราะจะทำให้เรารู้ว่าร่างกายเรามีอะไรต้องดูแล  ซ่อมแซม หรือฟื้นฟูให้กลับมาเป็นปกติ หรืออย่างน้อยก็ไม่ให้เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา สำหรับบ้านพักอาศัยที่เราอยู่ ก็ไม่ได้ต่างจากร่างกายมนุษย์  การจะทำให้บ้านยังมีความมั่นคงแข็งแรง และมีสภาพการใช้งานที่ดีอยู่เสมอ ก็ต้องมีการตรวจสุขภาพบ้านด้วยเช่นกัน เพราะจะได้รู้ว่ามีส่วนไหนต้องซ่อมแซม และดูแล เพื่อให้บ้านมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน อายุบ้านกับจุดที่ต้องดูแล สำหรับบ้านที่ก่อสร้างมา มีจุดการตรวจสอบแตกต่างกันเป็นพิเศษบ้าง ตามระยะเวลาหรืออายุของตัวบ้าน ดังนี้ -บ้านที่มีอายุ 0-5 ปี ปัญหาที่พบส่วนใหญ่มักเกิดจากความบกพร่องของการก่อสร้าง เรียกว่า Defect อาทิ การแตกร้าวของผนังจากการฉาบ หรือเลือกใช้ปูนฉาบที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือความบกพร่องของอุปกรณ์ภายในบ้านที่มาจากการติดตั้งไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ อาจพบปัญหาดินรอบบ้านทรุดตัว จนเกิดโพรงใต้บ้าน ซึ่งหากเป็นบ้านในโครงการและอยู่ในช่วงรับประกัน ให้สอบถามทางโครงการว่าปัญหานี้อยู่ในเงื่อนไขการรับประกันหรือไม่ แต่หากเป็นบ้านสั่งสร้างก็อาจจะพิจารณาซ่อมแซมเป็นจุด ๆ ไป -บ้านที่มีอายุ 5-15 ปี เป็นช่วงเวลาควรเริ่มทำการตรวจสอบและบำรุงรักษา ซึ่งหากแก้ไขได้ทันจะช่วยลดการเกิดปัญหาที่อาจบานปลายในอนาคตได้ โดยเน้นตรวจ 3 จุดสำคัญ ได้แก่ ภายนอกบ้าน, ภายในบ้าน และโครงสร้างของบ้าน 10 จุดตรวจสุขภาพบ้าน 1.รอยร้าวที่ผนังบ้าน การตรวจสอบ: สามารถตรวจสอบได้ด้วยตา โดยจะเห็นรอยร้าวขนาดเล็กแตกยาวไปมาแบบไร้ทิศทาง สร้างความเสียหายให้ผนังและสีภายนอก โดยเฉพาะทิศที่ได้รับความร้อนจากแสงแดดตลอดวัน เช่น ทิศใต้ และทิศตะวันตก รอยร้าวชนิดนี้ไม่อันตราย ไม่ส่งผลกับโครงสร้างอาคาร แต่ถ้าปล่อยไว้นานอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการรั่วซึมของน้ำฝนเข้าสู่อาคารได้ การแก้ไข: แก้ไขได้โดยแต่งรอยแตกร้าวให้กว้างขึ้นเล็กน้อยเป็นรูปตัววี พร้อมทำความสะอาดให้เรียบร้อย หลังจากนั้นทำการทารองพื้นปูนเก่า และเก็บรอยร้าวด้วยวัสดุอุดโป้วที่มีความยืดหยุ่นสูง ก่อนทาสีทับหน้าชนิดยืดหยุ่นตามระบบการทาสีที่ถูกต้อง   แต่หากเป็นรอยเพียงเท่าเส้นผมให้ทาสีทับหน้าชนิดยืดหยุ่นตัวสูงทาทับปิดรอยแตกร้าวได้เลย 2.การรั่วซึมที่ผนัง การตรวจสอบ: รอยรั่วบริเวณมุมประตูหน้าต่างมักมาพร้อมรอยแตกร้าวบริเวณมุมวงกบ ทำให้น้ำรั่วซึมเข้าบ้าน  อาจเกิดจากไม่ได้ใส่ลวดกรงไก่ จึงสร้างรอยร้าวเวลาใช้งานประตูหรือหน้าต่าง การแก้ไข: ควรใส่ลวดกรงไก่เพื่อป้องกันรอยแตกร้าวอันเป็นสาเหตุรั่วซึม 3.รอยรั่วบริเวณรอยต่อผนังชนท้องคาน การตรวจสอบ: แตกร้าวเป็นเส้นระหว่างใต้คานกับผนัง ทำให้น้ำฝนไหลเข้าตัวบ้าน สาเหตุมักเกิดตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง การผิดขั้นตอน หรือเร่งฉาบปูนเร็วเกินไป ทำให้ปูนเกิดการหดตัวลง การแก้ไข: ใช้ซิลิโคน หรืออครีลิกยิงเข้าไประหว่างร่อง ความยืดหยุ่นของสารเชื่อมประสานจะช่วยอุดรอยร้าวได้ 4.รอยรั่วบริเวณรอยต่อแนวดิ่งข้างเสา สาเหตุอาจเกิดจากการเก็บงานรอยต่อจุดนี้ไม่ดี หรือร้ายแรงหน่อยคือ ไม่ได้เสียบเหล็กหนวดกุ้งระหว่างเสากับผนังบ้าน การตรวจสอบ : จุดรอยรั่วบริเวณรอยต่อแนวดิ่งข้างเสา การแก้ไข:  สกัดรอยแตกร้าวให้ใหญ่ขึ้นเป็นรูปตัววี จากนั้นยาด้วย PU แล้วทาสีเก็บความเรียบร้อย และควรใส่เหล็กหนวดกุ้งทุกครั้งในการก่อผนังชนเสา 5.การทรุดตัวของดินและพื้นรอบบ้าน การตรวจสอบ: หลังจากที่พบการทรุดตัวของดินรอบบ้านในช่วง 5 ปีแล้วนั้น ปัญหาที่มักตามมาคือ ปัญหาพื้นรอบบ้านและพื้นจอดรถมีการทรุดตัวเสียหาย เป็นเพราะพื้นส่วนนี้ส่วนใหญ่มักไม่ได้ทำการลงเสาเข็ม หรือเป็นการลงเสาเข็มแบบสั้นที่อาศัยแรงฝืดในชั้นดินช่วยพยุงน้ำหนักของพื้นไว้ และเมื่อเวลาผ่านไปพื้นดินมีการทรุดตัวตามธรรมชาติ ทำให้เกิดความเสียหายตามมา  โดยหากหากเป็นพื้นคอนกรีตจะเริ่มจากการสังเกตเห็นว่ามีระดับที่เอียงผิดปกติ และหากมีการทรุดมากขึ้น จะเห็นรอยแตกร้าวบริเวณพื้นตามมา การแก้ไข : หากเป็นพื้นจอดรถควรทำการลงเข็ม เพื่อช่วยลดการทรุดตัวในอนาคต และควรแยกขาดจากตัวบ้านเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในกรณีที่มีการขยับตัวของโครงสร้าง 6.ตรวจสอบหลังคาเพื่อป้องกันสัตว์เล็ก ปัญหาสัตว์เล็กทำลายหลังคา ทั้งกัดกินโครงสร้างและเข้ามาทำรัง ซึ่งสัตว์เล็ก ๆ เหล่านี้คือตัวการที่ทำให้หลังคาบ้านโดนทำลาย ผุพังง่าย ก่อความรำคาญทั้งกลิ่นและเสียง รวมถึงทำให้บ้านสกปรก การตรวจสอบ: ครอบข้าง  อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่พบช่องว่าง, สันหลังคา  ไม่ชำรุด เเตกร้าว, เชิงชายอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่แตกหัก, สันตะเข้  อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่พบช่องว่าง, ครอบปิดปลายสันตะเข้ อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่พบช่องว่าง และ ฝ้าชายคา ไม่ชำรุด เเตกหักเสียหาย การแก้ไข: ติดตั้งระบบหลังคากันสัตว์เล็ก SCG เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์ต่างๆ เข้ามาทำลายโครงสร้างหลังคาหรือเข้ามาอยู่อาศัยได้ ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ 5 ชนิด ช่วยป้องกันจุดเสี่ยง 5 จุดด้วยกัน ได้แก่  แผ่นปิดครอบข้าง  แผ่นปิดครอบสันหลังคา  แผ่นปิดเชิงชาย แผ่นปิดครอบสันตะเข้  แผ่นปิดปลายสันตะเข้ 7.การรั่วซึมที่หลังคา การตรวจสอบ: สังเกตรูปทรงหลังคาว่าได้ระดับ มีความสมมาตรดีหรือไม่ กระเบื้องมุงหลังคาติดตั้งได้แนว ไม่เผยอ ไม่มีรอยแตกร้าว, ครอบหลังคาทั้งแนวสันหลังคาและตะเข้สันปิดมิดชิด  ถ้าครอบเปียกให้สังเกตว่าปูนใต้ครอบมีรอยร้าวหรือไม่ เพราะเป็นจุดที่น้ำซึมผ่านได้, มองหาคราบน้ำบนฝ้าชายคาว่ามีหรือไม่ และลองเปิดฝ้าเพดานชั้นบนแล้วสังเกตดูว่ามีช่องของแสง หรือคราบน้ำในโถงหลังคาหรือไม่ การแก้ไข : ปรึกษาช่างผู้ชำนาญและมีประสบการณ์ 8.พื้นไม้กับปัญหาเรื่องปลวก การตรวจสอบพื้นที่ภายในบ้าน การตรวจสอบ: ตรวจสอบพื้นไม้ภายในบ้านว่ายังใช้งานได้ดี มีปัญหาเรื่องปลวกหรือไม่ ตรวจพบมีรอยทางเดินปลวกภายในบ้าน, ตรวจพบเศษปีกหรือมูลของแมลงเม่าภายในตัวบ้าน, ประตูหน้าต่างที่เป็นไม้เมื่อใช้งานเริ่มฝืดและเปิดยากขึ้น และได้ยินเสียงปลวกที่กำลังกินไม้อยู่ การแก้ไข: ควรเรียกบริษัทกำจัดปลวกมาทำการฉีดพ่นน้ำยาทั้งภายนอกและภายในบ้าน ทุก 1-3 ปี หรือ เลือกใช้วิธีเพาะเชื้อ เพื่อความปลอดภัยกับสุขภาพของผู้อยู่อาศัย  9.พื้นกระเบื้องเซรามิค การตรวจสอบ:พื้นกระเบื้องเมื่อใช้งานไปนาน ๆ อาจเกิดปัญหากระเบื้องหลุดร่อน หรือยาแนวหลุดวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นสามารถทำการแก้ไขเป็นจุด ๆ ได้ การแก้ไข: แนะนำว่าให้เตรียมซื้อกระเบื้องเซรามิคในเฉดสีเดียวกันสำรองไว้ เผื่อต้องการปรับปรุงหรือซ่อมแซมในบางจุด เพราะหากดำเนินการซื้อภายหลังอาจทำให้เฉดสีกระเบื้องแตกต่างกันได้ หรือบางรุ่นอาจไม่ทำการผลิตแล้ว อาจจะเช็คกับทางบริษัทผู้ผลิต เพื่อตรวจสอบกระเบื้องรุ่นที่เคยซื้อมาว่ายังมีหรือไม่  10.การตรวจสอบโครงสร้างของบ้าน รอยแตกร้าวที่อันตรายกับโครงสร้าง จะมีรูปแบบรอยแตกร้าวที่มีขนาดใหญ่ ในตำแหน่งโครงสร้าง เช่น เสา คาน พื้น ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าโครงสร้างของบ้านอาจมีปัญหา และไม่ปลอดภัยสำหรับผู้อยู่อาศัย การตรวจสอบ: พบรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ที่ตำแหน่งเสา คาน พื้น ร้ายแรงหน่อยอาจเห็นเหล็กเสริมภายในโครงสร้าง, พบรอยแตกร้าวหรือรอยแตกเฉียง 45 องศาที่ผนัง, พบรอยแยกแตกแยกระหว่างโครงสร้างบ้านเดิมกับส่วนต่อเติม, พบเหล็กเส้นที่ตำแหน่งท้องพื้นชั้นดาดฟ้า และพบการล้มเอียงของพื้น หรือผนังของตัวบ้าน การแก้ไข: แนะนำให้ปรึกษาวิศวกรโครงสร้างเพื่อทำการแก้ไข   ทั้งหมดนี้ก็เป็นการตรวจสุขภาพบ้านทั้ง 10 จุดที่สำคัญ ซึ่งมักจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับบ้านที่ปลูกสร้างมาเป็นระยะเวลานาน ๆ และเป็นปัญหาที่มีผลต่อโครงสร้างของความมั่นคงแข็งแรง เราจึงควรหมั่นตรวจสอบและดูแลเป็นประจำทุก ๆ ปี โดยเฉพาะหลังจากหมดฤดูฝน หรือก่อนเข้าสู่ฤดูฝน เพราะบางปัญหาอาจจะลุกลามใหญ่โตได้ หากโดยน้ำฝน เช่น ปัญหารั่วซึมของโครงสร้างหลังคา หรือรอยร้าวของผนังบ้าน เป็นต้น   ที่มา SCG HOME  
4 เรื่อง ที่เจ้าของบ้านควรรู้ ก่อนปลูกสร้างบ้าน

4 เรื่อง ที่เจ้าของบ้านควรรู้ ก่อนปลูกสร้างบ้าน

หนทางในการจะมีบ้านสักหลัง การเลือกซื้อจากดีเวลลอปเปอร์ ที่พัฒนาออกมาขาย ก็ถือว่าเป็นวิธีการที่ง่าย สะดวก สามารถเลือกแบบบ้านต่าง ๆ หรือเลือกทำเลที่อยากอยู่อาศัยได้ ภายใต้งบประมาณที่ลูกค้ามี และมีโครงการต่าง ๆ ให้เลือกมามาย  แต่การเลือกซื้อบ้านจัดสรร ก็อาจจะไม่ได้บ้านตรงใจเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหน้าตา ขนาดพื้นที่ ดีไซน์ และฟังก์ชั่น ซึ่งถูกกำหนดและออกแบบไว้แล้ว ​ การจะเปลี่ยนแบบหรือฟังก์ชั่นในอย่างที่เราต้องการ หรือแม้จะเลือกในทำเลที่อยากอยู่จริง ๆ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก   ทางเลือกหนึ่งของคนที่อยากมีบ้าน ในแบบที่ฝันเอาไว้คงต้องสั่งสร้างเอง  สามารถเลือกทำเลที่ต้องการ แบบบ้าน รวมถึงก่อสร้างภายใต้กรอบงบประมาณที่เตรียมเอาไว้ได้ แต่การจะสั่งสร้างบ้านในแบบที่เราต้องการได้นั้น  คงต้องวางแผนและเตรียมตัวให้ดี เพราะหากขาดการวางแผน และเตรียมความพร้อมในเรื่องต่าง ๆ เอาไว้ก่อน  อาจมีปัญหาตามมาได้มากมายเหมือนกัน   นอกจากนี้ การปลูกสร้างบ้านเอง ยังมีหลายวิธีด้วยเช่นกัน หลายคนอาจจะใช้วิธีการว่าจ้างบริษัทรับสร้างบ้าน ที่มีให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่เริ่มต้นจนส่งมอบบ้าน เพียงแค่เลือกแบบบ้านและงบประมาณที่ต้องการจะปลูกสร้างบ้าน  แต่หลายคนก็เลือกที่ใช้วิธีการออกแบบบ้านเอง หรือหาแบบบ้านที่ไม่เหมือนกับที่บริษัทรับสร้างบ้านมีให้บริการ แล้วว่าจ้างผู้รับเหมาให้สร้างบ้านตามแบบบ้านที่ตัวเองต้องการ  ก็เป็นทางเลือกที่หลายคนนิยม แต่กระบวนการต่าง ๆ ของการปลูกสร้างบ้าน เราคงต้องดำเนินการเองและต้องควบคุมงานเองทั้งหมด เพื่อให้บ้านในฝันออกมาตรงตามที่อยากได้   สำหรับคนที่ต้องการมีบ้านในแบบฉบับของตนเอง เรื่องที่ต้องทำก่อนอื่น คงเป็นการหารูปแบบของบ้านที่ต้องการอาจจะจ้างสถาปนิกออกแบบ หรือหาแบบบ้านฟรี ที่มีหลายหน่วยงานจัดทำแจกให้กับประชาชนทั่วไป หรือตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ก็พอจะหาได้​ หลังจากได้แบบบ้านมาแล้ว กระบวนการปลูกสร้างบ้านยังมีขั้นตอนอีกหลายอย่าง วันนี้เราจึงจะมาแนะนำ 4 เรื่อง ที่เจ้าของบ้านควรรู้ ก่อนปลูกสร้างบ้านเอง   1.กระบวนการยื่นเพื่อขออนุญาต เรื่องแรกที่เจ้าของบ้านควรรู้หลังจากได้แบบบ้านฟรีมาแล้ว คือ การสร้างบ้านจะต้องมีการยื่นขออนุญาตกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานเขต หรือเทศบาล โดยปกติแล้วเอกสารที่ต้องใช้ในการขออนุญาต ประกอบด้วย แบบ ข.1 คำขออนุญาตก่อสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคาร หรือรื้อถอนอาคาร เอกสารแปลนบ้าน แบบบ้าน และรายละเอียดการก่อสร้างที่ได้มาตรฐานมีสถาปนิกและวิศวกรเป็นผู้เซ็นรับรองแบบ หนังสือรับรองจากสถาปนิกผู้ออกแบบบ้าน ผู้ควบคุมและเอกสารจากวิศวกรงานก่อสร้าง สำเนาโฉนดที่ดินที่จะสร้าง หรือเอกสารสิทธิแสดงความเป็นเจ้าของที่ที่ดินผืนนั้น หรือกรณีเช่าที่ดินปลูกสร้างบ้าน จะต้องมีเอกสารแสดงสิทธิที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของด้วย สำเนาบัตรประชาชน หรือทะเบียนบ้านเจ้าของอาคาร ในกรณีเป็นนิติบุคคลใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียน กรณีที่ไม่ได้ยื่นขออนุญาตก่อสร้างด้วยตัวเอง จะต้องมีหนังสือแสดงการมอบอำนาจให้กับผู้ที่เป็นตัวแทนในการยื่นขออนุญาตก่อสร้าง 2. ประเมินงบประมาณที่จำเป็น การทราบงบประมาณที่ต้องใช้ในการก่อสร้างเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญ แบบบ้านฟรีจำนวนไม่น้อยจะมาพร้อมกับรายการประมาณการสินค้าที่ต้องใช้แบบคร่าว ๆ ซึ่งว่าที่เจ้าของบ้านสามารถใช้คำนวณงบประมาณคร่าว ๆ ได้ แต่หากแบบบ้านที่ไม่มาไม่มีรายการประมาณสินค้า หรือไม่แน่ใจว่าจะคำนวณเองได้ถูกต้องหรือไม่ ก็สามารถปรึกษาหรือว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญอย่างสถาปนิกให้คำนวณให้ได้ 3. แบบสถาปัตยกรรม อีกเรื่องที่ควรรู้คือ แบบบ้านที่ได้มานั้นมีแบบสถาปัตยกรรมด้วยหรือไม่ เพราะจะเป็นตัวระบุการติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ตำแหน่งและทิศทางของพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน เป็นต้น ทั้งนี้ แบบสถาปัตยกรรมต้องระบุมาอย่างละเอียดมากเพียงพอที่จะเข้าสู่กระบวนการก่อสร้างได้ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าของบ้านก็มีหน้าที่ต้องศึกษาและทำความเข้าใจเบื้องต้นกับแบบสถาปัตยกรรมด้วย เช่น ห้องนอน หรือห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใช้สอยบ่อยที่สุด หากอยู่ตรงกับทิศตะวันตกที่โดนแดดส่องแรงมาก ๆ ในยามบ่าย อาจส่งผลกระทบเมื่อเข้าอยู่อาศัยจริงก็เป็นได้ ดังนั้น หากเจ้าของบ้านเข้าใจตรงจุดนี้แล้ว ก็จะสามารถปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญอย่างเช่นสถาปนิก หรือวิศวกรเพื่อปรับปรุงแบบก่อนที่จะเริ่มสร้างได้ 4. ให้ความสำคัญกับรายละเอียด เรื่องสุดท้ายที่ควรรู้หลังจากได้แบบบ้านฟรีก็คือ รายละเอียดในชุดต่าง ๆ อย่างระบบไฟฟ้าและระบบประปา เพราะหากสร้างบ้านโดยไม่มีรายละเอียดเหล่านี้แล้ว จะมีปัญหาตามมาอย่างแน่นอน สำหรับระบบไฟเจ้าของบ้านควรตรวจสอบว่าแบบบ้านนั้น แสดงตำแหน่งอุปกรณ์ไฟฟ้า สเปคของอุปกรณ์ ควบคุมไฟ และระบุชนิด, ขนาดของสายไฟที่เหมาะสมจะใช้ในบ้านได้หรือไม่ ส่วนระบบประปาและสุขาภิบาล แบบบ้านควรแสดงขนาดและตำแหน่งของถังเก็บน้ำ ปั๊มน้ำ หรือแนวการเดินท่อน้ำดีน้ำเสียเอาไว้ และบ้านที่ต้องการความปลอดภัย อาจลองพิจารณาดูว่าแบบบ้านนั้นมีเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย อย่างเช่น กล้องวงจรปิด สายโทรศัพท์ หรือสายอินเทอร์เน็ต มาให้ด้วยหรือไม่   การสร้างบ้านอยู่เอง อาจจะมีขั้นตอนและซับซ้อนอยู่บ้าง แต่จะสร้างความภาคภูมิใจผ่านไอเดียของเราเอง และตอบโจทย์การอยู่อาศัยของสมาชิกภายในบ้านได้อย่างแท้จริง สิ่งสำคัญอย่าลืมปฏิบัติตาม 4 เรื่องควรรู้หลังจากได้แบบบ้านฟรี ซึ่งจะช่วยให้การสร้างบ้านราบรื่นขึ้นได้อย่างแน่นอน   ขอขอบคุณข้อมูลจาก SCG HOME Experience  
เปิดทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไหร่

เปิดทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไหร่

เปิดทิ้งไว้1 ชั่วโมงเราเสียค่าไฟเท่าไหร่  หลายคนกำลังทำงานอยู่ที่บ้านเพื่อป้องกันการระบาดของไวรัส(COVID-19) ทำให้ต้องใช้เครื่องใช้ไฟฟ้ามากขึ้นและแน่นอนต้องเสียค่าไฟฟ้าเพิ่มแน่นอน Review Your Living  ขอสรุปแบบง่าย ๆ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่อำนวยความสะดวกให้เรา ถ้าเปิดไว้ 1 ชม. อุปกรณ์แต่ละชิ้นกินไฟเท่าไหร่ ไปดูกัน เปิดทิ้งไว้ 1 ชม. เสียค่าไฟเท่าไหร่ พัดลมตั้งพื้น 12-18 นิ้วค่าไฟ 0.15-0.25 บาท พัดลมตั้งพื้น  70-104 วัตต์ ค่าไฟ 0.50-0.75 บาท ตู้เย็น 2 ประตู 5.5 -12.2 คิว ค่าไฟ 0.30-0.40 บาท โทรทัศน์ LED 43-65 นิ้ว ค่าไฟ 0.40- 1 บาท เตารีดไฟฟ้าขนาด 1000-2800 วัตต์ค่าไฟ 3.5-10 บาท เครื่องปิ้งขนมปัง 760-900 วัตต์ค่าไฟ 3-3.5 บาท เตาปิ้ง 1-2 หัว ขนาดเตา 2000-3500 วัตต์ ค่าไฟ 8-14 บาท เครื่องซักผ้า 10 KG ค่าไฟ 2-8 บาท เครื่องอบผ้า 650-2,500 วัตต์ ค่าไฟ 3-10 บาท หม้อหุงข้าว 1.0-1.8 ลิตร ค่าไฟ 3-6 บาท ไมโครเวฟ 20-30 ลิตร ค่าไฟ 3-4 บาท เครื่องปรับอากาศ 9,000-22,000 BTU ค่าไฟ 2.5-6 บาท ไดร์เป่าผม  1,600-2,300 วัตต์ค่าไฟ 6-9 บาท เครื่องทำน้ำอุ่น 3,500-6,000 วัตต์ค่าไฟ 13.5-23.5 บาท เครื่องดูดฝุ่น 1,400-2,000 วัตต์ค่าไฟ 6-8 บาท   เรามีอุปกรณ์ไฟฟ้าอะไรบ้าง? ใช้ไฟฟ้าอย่างปลอดภัย อย่าลืมถอดปลั๊กเมื่อไม่ใช้ เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร และยังช่วยประหยัดค่าไฟได้อีกด้วย                
4 เทรนด์การเลือกซื้อบ้าน หลังหมดโควิด-19 ยุควิถีชีวิต Nex normal

4 เทรนด์การเลือกซื้อบ้าน หลังหมดโควิด-19 ยุควิถีชีวิต Nex normal

การแพร่ระบาดของ​ไวรัสโควิด-19 ถือได้ว่าเป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายเรื่อง ทั้งเรื่องการดำเนินชีวิตประจำวัน และการทำงาน ที่ชัดเจนอย่างมากคือ การทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) ซึ่งต้องอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงาน หรือแม้แต่การใช้ดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกในการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้า รวมถึงการให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของตนเองเพิ่มมากขึ้น   เมื่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปตามแรกดดันของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้หลายธุรกิจต้องปรับตัวเพื่อให้ทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป กลายเป็นอีกโจทย์ความท้าทายของยุคโควิด และแม้ว่าหลังจากนี้สถานการณ์ทุกอย่างจะปรับตัวดีขึ้น ทุกอย่างก็คงจะไม่เหมือนเดิม และทุกคนคงต้องอยู่ภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ หรือ New Normal   ในเรื่องของการเลือกที่อยู่อาศัย ต่อไปก็คงเปลี่ยนแปลง โลเกชั่นอาจจะไม่ใช่ตัวเลือกแรกของการตัดสินใจซื้อที่อยู่แล้วก็ได้ โดยเฉพาะทำเลในกลางเมือง ผู้คนอาจจะขยับขยายออกไปยังทำเลที่อยู่แล้วสะดวกสบาย มีพื้นที่รองรับมากขึ้น ในราคาบ้านที่จับต้องได้ เพราะบ้านจากที่เคยมีบทบาทเป็นปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต ตอนนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ส่วนรวมของคนในครอบครัวที่เป็นมากกว่าเพียงแค่การพักผ่อน ส่งผลให้ผู้บริโภคเริ่มมองหาความยั่งยืนที่จะเข้ามายกระดับที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในระยะยาวอย่างมีคุณภาพ   การพัฒนาอย่างยั่งยืนจึงเป็นคำตอบในการใช้ชีวิตของผู้บริโภคยุคนี้ ทุกคนหันมาตระหนักถึงผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้แนวคิดเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เข้ามามีอิทธิพลในการดำเนินชีวิต และชัดเจนขึ้นจากการปรับตัวของภาคธุรกิจต่าง ๆ เพื่อรับเทรนด์นี้ จากผลสำรวจ Global Consumer Insights Pulse Survey ของ PwC เผยว่า 76% ของผู้บริโภคชาวไทยต้องการซื้อสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือใช้บรรจุภัณฑ์น้อยที่สุด ขณะที่ 78% เลือกซื้อเฉพาะผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่มีจิตสำนึกและสนับสนุนการปกป้องสิ่งแวดล้อมเท่านั้น เห็นได้ชัดถึงแนวโน้มการเติบโตของแนวคิดรักษ์โลกที่มีอิทธิพลชัดเจนยิ่งขึ้นในทุกธุรกิจ   ในขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยก็มีทิศทางการเติบโตในเทรนด์นี้เช่นกัน ผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุดเผยว่า ผู้บริโภคกว่า 9 ใน 10 (93%) ให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน ที่จะช่วยผสมผสานไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตเข้ากับบ้านที่เป็นสถานที่พักผ่อนได้อย่างลงตัว ที่อยู่อาศัยในอุดมคติจึงต้องมาพร้อมกับการออกแบบภายใต้แนวคิดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความยั่งยืนในการอยู่อาศัยในระยะยาว ผู้พัฒนาอสังหาฯ จึงต้องหันมาให้ความสำคัญกับการออกแบบฟังก์ชั่นที่อยู่อาศัยทั้งในส่วนพื้นที่พักอาศัยและพื้นที่ส่วนกลางภายใต้แนวคิดการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนและรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และสร้างจุดต่างในการดึงดูดผู้บริโภคมากกว่าการแข่งขันสงครามราคาที่อาจจะดูฉาบฉวยในสายตาผู้ซื้อตอนนี้” 4 เทรนด์การเลือกซื้อบ้าน หลังหมดโควิด-19 ล่าสุด ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty)  ได้เผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study  ในอุดมคติของผู้บริโภคในยุค Next Normal  ต่อไปมีความต้องการอย่างไร  เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตอย่างราบรื่นและยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งพบว่ามี 4 เทรนด์สำคัญ ดังนี้ 1.เลือกซื้อบ้านประหยัดพลังงาน เทรนด์รักษ์โลกส่งเสริมการใช้ชีวิตประหยัดพลังงาน การ Work from Home ทำให้บ้านกลายมาเป็นสถานที่ทำงาน/เรียนออนไลน์ หรือแม้แต่พื้นที่ออกกำลังกายดูแลสุขภาพ กิจกรรมเหล่านี้ทำให้เกิดการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นและกลายเป็นค่าไฟที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทำให้ผู้บริโภคหันมาเลือกที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานภายใต้แนวคิดรักษ์โลกที่ช่วยประหยัดการใช้พลังงาน   โดยมากกว่าครึ่ง (62%) ต้องการบ้าน/คอนโดฯ ที่มีระบบหลังคาโซล่าเซลล์ (Solar Rooftop) เพื่อสร้างพลังงานทางเลือกทดแทนการใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังให้ความสำคัญกับบ้าน/คอนโดฯ ที่มาพร้อมระบบระบายความร้อน (58%) และฟังก์ชั่นดูดซับมลพิษภายในบ้าน (48%) เพื่อช่วยให้การใช้ชีวิตภายในบ้านมีความสะดวกสบายและมั่นใจยิ่งขึ้น เมื่อต้องรับมือปัญหาภาวะโลกร้อนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่เรื่อย ๆ 2.เลือกบ้านมีนวัตกรรมการดูแลสุขภาพ นวัตกรรมมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพ การที่ผู้บริโภคหันมาตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลสุขภาพมากขึ้น ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรมที่ชัดเจนที่สุดหลังเผชิญวิกฤติการแพร่ระบาดฯ ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรรมมาช่วยยกระดับการดูแลสุขภาพให้ง่ายขึ้นแม้ในช่วงที่ยังต้องเว้นระยะห่างทางสังคม ผ่านบริการดูแลสุขภาพแบบออนไลน์ รวมไปถึงการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ที่ช่วยให้เข้าถึงการตรวจรักษาและรับการวินิจฉัยจากแพทย์ได้โดยตรง   ในตลาดที่อยู่อาศัย นอกจากผู้พัฒนาอสังหาฯ จะหันมาจับมือโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสุขภาพเพื่อเพิ่มบริการดูแลสุขภาพหรือบริการทางการแพทย์ไว้ในโครงการฯ แล้ว นวัตกรรมที่เลือกใช้ในการก่อสร้างโดยตรงก็เป็นปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญเช่นกัน มากกว่าครึ่งนึงของผู้บริโภค (60%) มองว่า บ้าน/คอนโดฯ ที่ถูกออกแบบให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นนวัตกรรมการก่อสร้างที่ช่วยให้บ้านเย็นขึ้นและสะท้อนความร้อนภายนอก บ้านที่มีระบบสร้างอากาศบริสุทธิ์ ป้องกันฝุ่น PM 2.5 หรือบ้านปลอดไวรัส ก็ล้วนมีผลต่อการเลือกซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยไม่น้อย 3.เลือกบ้านมีพื้นที่พร้อมรองรับ Work from Home    พื้นที่ใช้สอยต้องพร้อมรองรับ Work from Home ระยะยาว แม้การทำงานที่บ้านจะไม่ใช่เรื่องใหม่และอาจกลายเป็นวิถีชีวิตที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องแม้การแพร่ระบาดฯ จะหมดไป แต่การลงทุนสร้างห้องทำงานไว้ที่บ้านอาจไม่ใช่เรื่องจำเป็นของทุกคน ดังนั้น พื้นที่ใช้สอยในบ้าน/คอนโดฯ จึงต้องสามารถปรับเปลี่ยนให้รองรับการ Work from Home และอำนวยความสะดวกให้สามารถทำงานออนไลน์ได้อย่างราบรื่นเช่นกัน ผู้บริโภคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในเรื่องการจัดแต่งสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับการทำงาน ซึ่งจะส่งผลดีและช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น   โดยเน้นไปที่สภาพแวดล้อมที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก (65%) ตามมาด้วยการมีระบบถ่ายเทความร้อนและประหยัดพลังงานภายในห้อง (49%) และมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงรองรับการทำงานที่ลื่นไหล (48%) ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ไม่ได้จำกัดเพียงการทำงานที่บ้านเท่านั้น แต่ยังอำนวยความสะดวกให้คนในครอบครัวสามารถใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ได้อย่างราบรื่นอีกด้วย 4.เลือกบ้านมีจุดชาร์จรถไฟฟ้า   รถยนต์ไฟฟ้า พลิกโฉมการเดินทางยุคใหม่ การเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าและขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้บริโภคตื่นตัวและหันมาพิจารณาข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น เพราะนอกจากจะช่วยลดการเกิดมลพิษแล้ว ยังประหยัดค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบสันดาป ข้อมูลจากศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS เผยว่า ยอดใช้ยานยนต์ไฟฟ้าสะสมในไทยมีโอกาสแตะ 1 ล้านคันได้ในปี 2028 หรือขยายตัวเฉลี่ยปีละ 23.7% จากแรงผลักดันของยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดเป็นสำคัญ   นอกจากนั้น รถยนต์ไฟฟ้ายังถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจก่อนเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยอีกด้วย จากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study เผยว่า ผู้บริโภคเกือบ 2 ใน 3 (64%) มองว่า การมาของรถยนต์ไฟฟ้ามีอิทธิพลในการเปลี่ยนแผนการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคต โดยผู้บริโภคจะให้ความสนใจพิจารณาบ้าน/คอนโดฯ ที่รองรับการติดตั้งที่ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า หรือมีสถานีชาร์จให้บริการในพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อรองรับการวางแผนเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต   แม้ผลกระทบจากภาพรวมเศรษฐกิจจะยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็ว ๆ นี้ แต่ความท้าทายจากการใช้ชีวิตในสถานการณ์ปัจจุบันได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผลักดันให้ผู้บริโภคเกิดการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้รวดเร็วขึ้น การก้าวข้ามไปสู่ประสบการณ์ใหม่หลังรับมือวิกฤติในครั้งนี้ถือเป็นบททดสอบที่ทำให้ผู้บริโภคได้มองย้อนกลับไปทบทวนความต้องการและเป้าหมายในการใช้ชีวิต มองเห็นความสำคัญของการดำเนินชีวิตที่เชื่อมโยงเข้ากับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การให้ความสำคัญกับแนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวและความยั่งยืนในการใช้ชีวิตจึงถือเป็นเทรนด์ที่ภาคธุรกิจไม่ควรมองข้าม   อย่างไรก็ตาม แม้การแพร่ระบาดฯ จะหมดไปในอนาคต แต่ความสำคัญด้านสุขภาพและความยั่งยืนในการดำเนินชีวิตจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคยังคงมองหาจากผู้ประกอบการ และช่วยกระตุ้นให้ทุกคนหันมาตระหนักถึงบทบาทที่ควรรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น  
ผังเมือง เรื่องใกล้ตัว

ผังเมือง เรื่องใกล้ตัว

ผังเมือง เรื่องใกล้ตัว ผังเมืองคืออะไร? ผังเมือง คือ การกำหนดการใช้พื้นที่ให้เป็นระบบ เพื่อการวางแผนหรือพัฒนาเมืองให้เป็นไปตามกรอบการพัฒนาด้านกายภาพในระดับประเทศ ระดับภาค ระดับจังหวัด ระดับเมือง ระดับชนบท และพื้นที่เฉพาะควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อการพัฒนาเมือง บริเวณที่เกี่ยวข้อง หรือชนบทให้ดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านสุขลักษณะ ความสะดวกสบาย ความเป็นระเบียบ ความสวยงาม การใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง ความปลอดภัยของประชาชน สวัสดิภาพของสังคม การป้องกันภัยพิบัติ และการป้องกันความขัดแย้งในการใช้ประโยชน์ที่ดิน รวมถึงเพื่อการบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเพื่อประโยชน์อื่นๆ ในการใช้พื้นที่อย่างเหมาะสม   ปัจจุบันการกำหนดพื้นที่ต่าง ๆ ในผังเมืองจะยึดตาม พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. 2562 ซึ่งเป็นฉบับที่ได้มีการปรับปรุงเนื้อหาใหม่ให้มีความทันสมัยและเหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน  และยังช่วยให้มีการวางผังเมืองได้ทั้งระบบตั้งแต่ระดับประเทศจนถึงระดับท้องถิ่น เพื่อให้เกิดการพัฒนาเมือง, การดำรงรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, รักษาคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรม และยังมีการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถวางผังได้เองด้วย ประเภทของผังเมืองแบ่งออกเป็น 2 ระดับ 5 ประเภท ดังนี้ ผังนโยบายการใช้ประโยชน์พื้นที่ซึ่งจะใช้เฉพาะกับหน่วยงานของรัฐ เป็นการกำหนดแนวทางการใช้ที่ดินต่างๆ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาประเทศโดยนำมาจากยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ผังนโยบายระดับประเทศ ผังนโยบายระดับภาค ผังนโยบายระดับจังหวัด ผังกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดิน จะใช้กับหน่วยงานของรัฐและประชาชน ซึ่งอาจจะมีขนาดพื้นที่เต็มทั้งจังหวัด พื้นที่ระดับเมืองหรือชุมชนที่มีข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินกำหนดไว้ให้ปฏิบัติตาม เช่น การกำหนดรายละเอียดของการใช้ที่ดินในระดับพื้นที่และจัดสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อรองรับการอยู่อาศัยอย่างปลอดภัย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ผังเมืองรวม มีการกำหนดโซนของการใช้ประโยชน์ที่ดินเป็นสีต่างๆ ผังเมืองเฉพาะ จะเป็นการเลือกพื้นที่พิเศษ และกำหนดจุดเด่นของเมืองเพื่อการออกแบบผังเมืองให้มีความเป็นอัตลักษณ์   โดยการวางผังเมืองต่างๆ จะมีผู้วางผัง 2 หน่วยงาน คือ “กรมโยธาธิการและผังเมือง” ซึ่งสามารถวางผังเมืองได้ทุกประเภท และ “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” สามารถวางผังเมืองได้ 2 ประเภท คือ ผังเมืองรวม และผังเมืองเฉพาะที่อยู่ในเขตพื้นที่ของตนเอง แต่ละต้องสอดคล้องเชื่อมโยงกับผังแต่ละระดับนั้นด้วย เพื่อให้เป็นระบบและมีทิศทางเดียวกัน   ผังเมือง เรื่องใกล้ตัว - โซนสี ต้องรู้ก่อนซื้อ ก่อนสร้าง สีแดง - ย่านธุรกิจการค้าที่หนาแน่น สีเหลือง – เขตที่อยู่อาศัย สีส้ม – เขตที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง สีม่วง - พื้นที่อุตสาหกรรมและคลังสินค้า สีน้ำเงิน – ที่ตั้งหน่วยงานราชการ สีเขียว - พื้นที่เกษตรกรรม สีเขียวอ่อน – พื้นที่โล่งเพื่อการพักผ่อนและรักษาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ   ผังเมือง เป็นเรื่องของประชาชน ผังเมืองทั้ง 5 ประเภท ประชาชนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้ เมื่อจะมีการวางผังเมือง ผู้วางผังจะประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ และแจ้งข้อมูลของผังให้ดูเพื่อทำความเข้าใจร่วมกัน ก่อนที่จะจัดประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็น เพื่อนำความเห็นเหล่านั้นมาประกอบการจัดทำผัง โดยขั้นตอนวางผังเมืองจะมีการปิดประกาศ 90 วัน เพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสียมายื่นคำร้องสงวนสิทธิ์ไว้ล่วงหน้าเป็นหนังสือตามระยะเวลาที่กำหนด เมื่อผ่านขั้นตอนต่างๆ แล้ว ผังเมืองทุกประเภทจะมีผลใช้บังคับเมื่องได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว   โดยทั่วไปผังเมืองทุกประเภทจะไม่มีการกำหนดระยะเวลาในการใช้บังคับ แต่ผังนโยบายระดับประเทศ ผังนโยบายระดับภาค และผังนโยบายระดับจังหวัด จะต้องมีการทบทวนผังทุกๆ 5 ปี หรือก่อน 5 ปีหากมีความจำเป็น ส่วนผังเมืองรวมต้องมีการประเมินผลภายในเวลาไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ผังเมืองรวมใช้บังคับ หากผลของการทบทวนหรือประเมินผลเห็นว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลง ผู้วางผังก็จะต้องจัดทำผังขึ้นใหม่ เพื่อใช้แทนผังเดิม บทลงโทษหากทำผิดผังเมือง เมื่อมีบทใช้บังคับแล้ว หากมีผู้กระทำผิดไม่ปฏิบัติตามผังเมืองรวม หรือผังเมืองเฉพาะ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมีโทษปรับรายวันอีกวันละไม่เกิน 30,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง และถ้านิติบุคคลกระทำผิด ผู้สั่งการของนิติบุคคลนั้นต้องรับโทษด้วย     ข้อมูลจาก : พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ.2562 ฉบับประชาชน บทความน่าสนใจ ผังเมืองกรุงเทพหลากสี แบ่งไปทำไมกัน? ซื้อบ้านให้ไกลจากน้ำท่วม ควรดูอะไรบ้าง?    
5 เหตุผล ต้องเลือกนิติบุคคลมืออาชีพ

5 เหตุผล ต้องเลือกนิติบุคคลมืออาชีพ

5 เหตุผล ต้องเลือกนิติบุคคลมืออาชีพ เมื่อเลือก “บริษัทบริหารนิติบุคคล” ของโครงการที่อยู่อาศัยประเภทต่างๆ ทั้งบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมนั้น หลายต่อหลายครั้ง ที่ประชุมลูกบ้านมักเคาะจบด้วยเกณฑ์ราคา เพราะเชื่อว่าบริษัทไหนก็น่าจะเหมือนกัน แต่ความเป็นจริงแล้ว ทักษะ ประสบการณ์ ความชำนาญ และเทคโนโลยีที่แต่ละบริษัทใช้นั้นมีความแตกต่างกัน ส่งผลอย่างยิ่งต่อคุณค่าที่ผู้บริโภคจะได้รับและมูลค่าเพิ่มของโครงการในอนาคต การเลือกบริษัทบริหารนิติบุคคลที่ดี จึงมีความจำเป็นอย่างมาก   โครงการที่พักอาศัยในระยะยาวจะดีหรือแย่ ขึ้นอยู่กับ บริษัทนิติบุคคล ที่เลือกมาบริหารเป็นอันดับแรก เบื้องหลังที่ดีก็สะท้อนถึงภาพลักษณ์โครงการ การบริหารที่ช่วยเพิ่มมูลค่าของโครงการ การมี service mind เข้าใจความคิด ความต้องการของลูกบ้านทุกประเภท พร้อมยืดหยุ่นได้ตามสภาพการณ์แต่ไม่ขัดต่อข้อบังคับ เสริมด้วยกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์ลูกบ้าน และการทำงานอย่างมืออาชีพจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางจิตใจให้กับลูกบ้านอย่างแน่นอน   เรามีคำตอบมาเฉลยกับ 5 เหตุผลสำคัญ ที่ควรใช้ในการคัดเลือกบริษัทบริหารนิติบุคคลมืออาชีพ   5 เหตุผล ต้องเลือกนิติบุคคลมืออาชีพ 1.มั่นใจได้ในความปลอดภัย คำว่า “ความปลอดภัย” ไม่ได้หมายถึงการมี “พนักงานรักษาความปลอดภัย” แต่หมายถึงทุกองค์ประกอบภายในอาคารต้องปลอดภัย บริษัทบริหารงานนิติบุคคลที่เป็นมืออาชีพ จะพัฒนาศักยภาพทีมงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความปลอดภัยอยู่เสมอ ตั้งแต่ทีมรักษาความปลอดภัย ที่จะต้องผ่านการฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติตามมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยมาเป็นอย่างดี ทีมวิศวกรที่ผ่านการพัฒนาองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญเรื่องการดูแลระบบเครือข่ายต่างๆ ของโครงการ อาทิ ระบบน้ำ ระบบไฟ และดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์ด้านการรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานต่างๆ อาทิ กล้อง CCTV สัญญาณเตือนกรณีเกิดเพลิงไหม้ ให้ครอบคลุมในทุกจุดสำคัญ เพื่อสร้างความมั่นใจและอุ่นใจในการพักอาศัยให้กับลูกบ้านในโครงการ   2.แก้ปัญหาได้ทันท่วงที การบริหารงานนิติบุคคล เป็นงานละเอียดอ่อนที่ต้องอาศัยประสบการณ์ที่หลากหลาย ทั้งทักษะการบริหารจัดการ เช่น โครงการที่เข้าไปบริหารเป็นโครงการที่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ดังนั้น ทีมนิติบุคคลต้องมีการกำหนดข้อปฏิบัติเพื่อการอยู่อาศัยร่วมกัน การใช้พื้นที่ส่วนกลางและการดูแลสุขอนามัยของสัตว์เลี้ยงอย่างเหมาะสม หรือทักษะการแก้ปัญหาในภาวะเร่งด่วน พร้อมดูแลตลอด 24 ชั่วโมง เพราะปัญหาที่จะเกิดขึ้นในโครงการหนึ่งแห่งนั้นมีความแตกต่าง และสามารถมีปัญหาใหม่ๆ ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ เช่น วิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ ที่สร้างความหวั่นวิตกให้กับประชาชนไม่น้อย โดยเฉพาะกลุ่มผู้พักอาศัยในโครงการคอนโดมิเนียม เพราะเป็นพื้นที่ปิดและมีผู้พักอาศัยจำนวนมาก มีการใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกัน ซึ่งอาจจะง่ายต่อการแพร่กระจายของเชื้อ การมีมาตรการรักษาความสะอาดและควบคุมดูแลอย่างเป็นระบบจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความมั่นใจต่อการพักอาศัยในโครงการได้เป็นอย่างดี อาทิ มาตรการด้านการคัดกรองผู้เข้าออกในโครงการ มาตรการด้านการทำความสะอาดเช็ดฆ่าเชื้อบริเวณจุดสัมผัสร่วม เป็นต้น ในทางกลับกันหากโครงการไม่มีการบริหารจัดการอย่างมีระบบจากทีมนิติบุคคลมืออาชีพ ก็อาจทำให้ผู้พักอาศัยเกิดความหวั่นวิตกและขาดความเชื่อมั่นในโครงการ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโครงการได้ในระยะยาว   3.หมดห่วงเรื่องเงินส่วนกลาง ในหนึ่งปี บริษัทบริหารนิติบุคคล ต้องบริหารเงินให้กับลูกบ้านตั้งแต่หลักล้านไปจนถึงหลักสิบล้าน ขึ้นอยู่กับขนาดโครงการ รวมถึงต้องบริหารเงินกองทุนของโครงการอีก 1 ก้อน เงินทั้ง 2 ส่วนนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญในการหล่อเลี้ยงโครงการที่อยู่อาศัยให้คงอยู่ในสภาพเหมือนเมื่อครั้งก่อสร้างเสร็จใหม่ๆ บริษัทบริหารนิติบุคคลที่เข้ามาดูแลบริหารจัดการ จึงต้องมีความเป็นมืออาชีพ ทำงานอย่างเป็นระบบ มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ ยังต้องจัดสรรเงินทั้ง 2 ส่วนให้ถูกวัตถุประสงค์ โดยเงินค่าส่วนกลาง จะถูกนำไปบริหารจัดการทรัพย์ส่วนกลางและการให้บริการแก่ลูกบ้าน อาทิ ค่าใช้จ่ายด้านบริการรักษาความปลอดภัย, การดูแลความสะอาด, การจัดการสวนส่วนกลาง ขณะที่ เงินกองทุน จะถูกนำมาใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือยามจำเป็นเท่านั้น เช่น ทาสีอาคารประจำปี ซึ่งเงินส่วนนี้เป็นเงินที่ใช้แล้วหมดไป ดังนั้นบริษัทที่เก่งจะต้องสามารถบริหารจัดการเงินกองทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและเกิดดอกผลงอกเงย เช่น ในรูปแบบเงินฝากประจำ, การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือการลงทุนในกองทุนที่การันตีผลตอบแทนและการันตีคืนเงินต้น 100% ยิ่งนิติบุคคลสามารถวางแผนการบริหารจัดการค่าส่วนกลางและเงินกองทุนของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าใด ก็จะช่วยลดปัญหาการขาดสภาพคล่องในอนาคตได้ดีเท่านั้น   4.สร้างมูลค่าเพิ่มให้โครงการ             การที่นิติบุคคลนำเงินค่าส่วนกลางและเงินกองทุนมาบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการทำให้โครงการอยู่สภาพงดงาม พร้อมใช้งาน และเหมือนใหม่อยู่เสมอนั้น จะเป็นการช่วยเพิ่มมูลค่าของโครงการได้ในระยะยาว ทั้งการขายต่อหรือปล่อยเช่า ในทางกลับกันหากบริษัทบริหารนิติบุคคลปล่อยปละละเลย ทำให้โครงการมีสภาพทรุดโทรม ไม่น่าอยู่ กรณีที่ผู้ซื้อต้องการขายต่อหรือปล่อยเช่าในอนาคตก็จะไม่ได้ราคาเมื่อเทียบกับโครงการที่มีบริษัทบริหารนิติบุคคลดูแลอย่างดี เช่น โครงการที่อายุกว่าสิบปีแต่ยังอยู่ในสภาพดี น่าอยู่ไม่ต่างจากวันแรก และมีมูลค่าเพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่โครงการก่อสร้างแล้วเสร็จและโอนกรรมสิทธิ์จนถึงปัจจุบัน บริษัทที่รับหน้าที่บริหารจัดการงานนิติบุคคลมีการปรับปรุง ซ่อมแซม และรักษาสภาพแวดล้อมของโครงการอย่างสม่ำเสมอ ทำให้โครงการยังคงความสวยงามและน่าอยู่ เป็นที่ต้องการของทั้งผู้ซื้อ/เช่า เมื่อเทียบกับโครงการในพื้นที่เดียวกัน ลักษณะโครงการเหมือนกัน แต่ขาดการบริหารจัดการอย่างถูกวิธี   5.สร้างสัมพันธ์อันดีในชุมชน นอกจากการดูแลในส่วนของอาคารและพื้นที่ส่วนกลางแล้ว นิติบุคคลยังต้องคอยดูแลความเป็นอยู่ของลูกบ้านโดยรวมอีกด้วย ในกรณีที่ลูกบ้านมีปัญหาหรือมีความขัดแย้งกัน นิติบุคคลจะทำหน้าเป็นสื่อกลางในการไกล่เกลี่ย หาทางออก ตลอดจนเจรจาเพื่อลดความขัดแย้ง ขณะเดียวกันก็เดินหน้าสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้พักอาศัยในโครงการ เพื่อให้ลูกบ้านได้มีโอกาสพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์อันดีต่อกัน ผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ อาทิ กิจกรรมทำบุญใส่บาตร กิจกรรมสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ ซึ่งการให้ลูกบ้านได้มีกิจกรรมร่วมกัน ถือเป็นการช่วยลดความขัดแย้งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตได้เป็นอย่างดี รวมถึงกิจกรรมที่ให้ลูกบ้านสามารถส่งต่อสู่ชุมชนภายนอกโครงการ อาทิ การร่วมบริจาคสิ่งของให้กับหน่วยงานต่างๆ ที่ต้องการความช่วยเหลือในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดโควิด-19   ด้วยเหตุผลทั้ง 5 ข้อนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะตัดสินใจเลือกบริษัทที่มีประสบการณ์ด้านการบริหารงานนิติบุคคลระดับมืออาชีพ เพื่อลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการได้ในอนาคต   ข้อมูลโดย : บริษัท เอ็มดีพีซี จำกัด  MDPC Expertise Meets Excellence   บทความอื่นที่น่าสนใจ 6 ข้อกฎหมายพื้นฐานควรรู้ ถ้าคิดจะซื้อคอนโด  
4 วิธีอย่างง่าย ปรับบ้านให้มีสุขภาวะที่ดีรับ WFH 

4 วิธีอย่างง่าย ปรับบ้านให้มีสุขภาวะที่ดีรับ WFH 

ชั่วโมงนี้ เรื่องของสุขภาพดี ใคร ๆ ก็ต้องการ อยากให้ร่างกายของตนเองแข็งแรง และห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงระบาดอยู่ในขณะนี้ ทำให้มาตรการ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ยังเป็นสิ่งจำเป็น และทุกคนควรร่วมมือกันปฏิบัติ จนกว่าสถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้น การฉีดวัคซีนให้กับประชาชนครอบคลุมมากกว่านี้   แม้ว่าเราจะอยู่บ้าน แต่ก็ยังคงทำงานกันเป็นปกติ ตามวิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) แต่การทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) ในแต่ละวันเป็นระยะเวลานาน ๆ โดยเฉพาะการนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ สิ่งที่อาจจะตามมาได้ ก็คงเป็นโรคออฟฟิศซินโดรม เพราะหากอยู่ในสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม หรือนั่งทำงานกับอุปกรณ์ที่ไม่ถูกต้องตามสรีระศาสตร์ ก็อาจจะเกิดภาวะปวด เมื่อย ได้เช่นกัน หรือแม้แต่การทำงานที่เราแทบจะไม่ได้พบปะกับเพื่อนร่วมงาน หรือผู้คนทั่วไป เจอกันแต่ทางออนไลน์ ภาวะครามเครียดก็อาจจะเข้ามาถามหาได้เหมือนกัน   ดังนั้น วันนี้ เราจะมีคำแนะนำ ​ 4 วิธีอย่างง่ายในการปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้มีสุขภาวะที่ดีตามเกณฑ์ของ WELL Building Standard หรือมาตรฐานการออกแบบอาคารที่คำนึงถึงสุขภาวะและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัย ที่ออกแบบมาตรฐานโดย สถาบันอินเตอร์เนชั่นแนล เวลล์ บิลดิ้ง (International WELL Building Institute: IWBI) ในช่วงเวลาที่หลายคนต้องทำงานที่บ้าน  ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาฝากกัน เป็นบทความจากบริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom : LWS) บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) 4 แนวทางการปรับปรุงที่พักอาศัยให้มีสุขภาวะที่ดี เหมาะกับการทำงานที่บ้าน ประกอบด้วย 1.การเลือกมุมทำงานแสงธรรมชาติส่องถึง การเลือกมุมทำงานในพื้นที่ที่แสงธรรมชาติสามารถส่องเข้าถึงได้ เพื่อลดการใช้แสงจากหลอดไฟ ถ้าในที่พักอาศัยมีแสงธรรมชาติไม่เพียงพอจำเป็นต้องใช้แสงไฟจากดองโคม  ควรเลือกหลอดไฟที่มีความคล้ายคลึงกับแสงอาทิตย์ เพื่อให้เกิดความสบายตาในการทำงาน และมีคุณภาพของสีที่ตรงกับความเป็นจริง และต้องทำการจัดตำแหน่งโคมไฟให้เหมาะสม ไม่ทำให้เกิดเงาและแสงสะท้อนบนหน้าจอเนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการปวดตา และส่งผลเสียต่อดวงตาในระยะยาวได้ คุณภาพแสงที่ดีจะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพการนอนหลับให้ดีขึ้นได้อีกด้วย 2.พื้นที่ทำงานอากาศต้องถ่ายเทสะดวก​ พื้นที่ทำงานควรมีอากาศที่ถ่ายเทได้อย่างสะดวก มีคุณภาพอากาศที่ดี ในห้องหรือในพื้นที่ทำงานภายในที่อยู่อาศัย ควรมีอากาศถ่ายเทไม่ควรเป็นพื้นที่ปิดที่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลา เนื่องจากการทำงานในพื้นที่ที่อากาศไม่ถ่ายเทหรือต้องเปิดเครื่องปรับอากาศตลอดเวลา อาจจะกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อรา ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจได้ 3.ใช้อุปกรณ์สำนักงานถูกหลักสรีระศาสตร์    เลือกใช้อุปกรณ์สำนักงานที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ (Ergonomic Design) การทำงานที่บ้านควรเลือกใช้โต๊ะและเก้าอี้ทำงานที่เป็นไปตามหลักสรีรศาสตร์ เพื่อลดความเสี่ยงของการเป็น Office Syndrome จากการนั่งทำงานติดต่อกันเป็นเวลาหลายๆ ชั่วโมง ในขณะเดียวกันควรปรับตำแหน่งอุปกรณ์สำนักงานให้สอดคล้องกับกระบวนการทำงาน อาทิ  ตำแหน่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ หน้าจอคอมพิวเตอร์ควรสามารถปรับระดับได้ตามความต้องการของผู้ใช้งานให้ขอบบนของหน้าจอควรอยู่ระดับสายตาพอดีหรือต่ำกว่าระดับสายตาเล็กน้อย หากใช้คอมพิวเตอร์แบบ Labtop ก็ควรต่อจอมอนิเตอร์แยก และจัดให้มีชุดคีย์บอร์ด, เม้าส์ต่างหาก ผู้ใช้งานจะได้ไม่ต้องก้มลง หรือเกร็งกล้ามเนื้อเพื่อใช้ Trackpad ที่ติดมากับตัวเครื่อง, ความสูงของโต๊ะทำงาน โต๊ะทำงานควรจะปรับระดับได้ตามสรีระของผู้ใช้งาน ทั้งการนั่ง หรือการยืนทำงาน เพื่อส่งเสริมให้ผู้ทำงานขยับร่างกายมากขึ้น ไม่ต้องนั่งอยู่ในท่าเดียวกันเป็นเวลานาน, เก้าอี้ทำงาน เก้าอี้ที่ใช้ทำงานควรมีที่พิงหลัง ที่วางแขน สามารถปรับระดับความสูงได้ตามความเหมาะสม โดยให้ที่วางแขนอยู่ในระนาบเดียวกับขอบโต๊ะ เพื่อให้สามารถรองรับแขนและข้อมือได้ โดยไม่รู้สึกเมื่อยช่วงไหล่ 4.ดูแลสุขภาพใจควบคู่สุขภาพกาย ดูสุขภาพกายแล้ว อย่าลืมดูแลสุขภาพใจด้วย ปัญหาที่หลายๆ คนพบในระหว่างการทำงานแบบ Work from Home คือ การที่ทำงานเพลินจนลืมเวลา และรู้สึกว่ามีพลังในการทำงานน้อยลง เนื่องจากสถานที่ที่ปกติแล้วใช้พักผ่อนหย่อนใจกลับโดนบุกรุกด้วยงานจากที่ทำงานจนเหมือนไม่มีพื้นที่ในการใช้ชีวิตส่วนตัวแบบที่เคย ดังนั้น การทำงานที่บ้านนอกจากการดูแลเรื่องสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีที่ที่พักแล้ว ต้องให้ความสำคัญกับเรื่อง “จิตใจ” เป็นอย่างมาก โดย WELL กำหนดเป็น 1 ใน 10 หัวข้อหลักที่ต้องปฏิบัติเมื่อยื่นขอรับรองอาคาร เน้นย้ำว่าชีวิตการทำงานที่ดีต้องมี Work Life Balance ไม่ก่อให้เกิดความเครียดโดยไม่จำเป็น มีพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับผู้ที่ทำงานในสำนักงานแยกออกจากบริเวณที่ทำงานอย่างเป็นสัดส่วน ซึ่งเราสามารถนำมาปรับใช้กับการทำงานที่บ้านได้อย่างง่ายๆ โดยเลือกพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งในบ้านเป็นพื้นที่ทำงานโดยเฉพาะ เพื่อไม่ให้เรื่องงานและเรื่องส่วนตัวใช้พื้นที่ทับซ้อนกัน และควรมีเวลาพักผ่อนเป็นเวลา 30 นาที ในช่วงกลางวัน เพื่อเป็นการรีเฟรชสมองให้ปลอดโปร่ง ไม่จมอยู่กับความเครียดของการทำงานจนมากเกินไป   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ ลุมพินี วิสดอม  เปิดเผยว่า ในช่วงเวลาที่หลายคนต้องทำงานที่บ้าน การปรับปรุงที่พักอาศัยให้เหมาะสมกับการทำงานและสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อน เป็นสิ่งจำเป็น การนำมาตรฐาน WELL เข้ามาใช้ในการปรับปรุงไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมากแต่เน้นการปรับพื้นที่โดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมเป็นหลัก เมื่อปรับปรุงพื้นที่ได้เหมาะสมจะเป็นประโยชน์ในการทำงาน พักผ่อน ให้การอยู่อาศัยมีสุขภาวะที่ดีในภาวะที่โควิด-19 แพร่ระบาดอยู่ในปัจจุบัน   การปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้เป็นไปตามเกณฑ์ของ WELL คำนึงถึงสภาพแวดล้อมเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมากยึดการออกแบบจากทิศทางของแสงและลมเป็นหลัก        
5 ทริคปรับคอนโดไซส์เล็กให้ดูกว้าง รับวิถี W​FH

5 ทริคปรับคอนโดไซส์เล็กให้ดูกว้าง รับวิถี W​FH

จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ที่เข้ามาเชื่อมต่อคนในยุคปัจจุบัน ให้สามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา แถมภายใต้ภาวะเกิดโรคระบาดโควิด-19 ส่งผลให้หลายองค์กรต้องปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินงานของคนในองค์กร  ด้วยรูปแบบการทำงานจากที่บ้าน หรือ  Work From Home มากขึ้น นิยามของ Workplace จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในออฟฟิศเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  บ้านหรือที่อยู่อาศัย จึงถูกใช้ประโยชน์มากกว่าการเป็นที่พักหรืออยู่อาศัย  แต่เป็นพื้นที่สำหรับการทำงานและการใช้ทำธุรกิจได้ด้วย   แต่ด้วยการเติบโตของตลาดคอนโดมิเนียม ซึ่งตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนเมือง เนื่องจากอยู่ในทำเลใกล้สถานที่ทำงาน หรือการคมนาคมคนส่ง รวมถึงระดับราคาที่คนส่วนใหญ่หาซื้อได้  จึงทำให้คนทำงานในเมืองส่วนใหญ่ เลือกที่จะพักอาศัยในคอนโด แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องของระดับราคาคอนโด ที่คนส่วนใหญ่จะเลือกซื้อได้ ห้องพักที่ตรงโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมือง จึงมักจะเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่มาก โดยเฉลี่ยก็ระดับพื้นที่ 30 ตารางเมตรบวกลบไม่มากนัก เพราะส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่อาศัยกันเพียง 1-2 คนเท่านั้น   ด้วยดีไซน์ให้คอนโดมีขนาดห้องที่พอเหมาะกับการอยู่อาศัย แต่อาจจะไม่เหมาะสมกับการทำกิจกรรมอื่น ๆ มากนัก จึงทำให้พื้นที่ห้อง หากจะต้องถูกนำมาใช้เพื่อการทำงาน อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยน ปรับรูปแบบหรือเติมฟังก์ชั่นอื่น ๆเข้าไปเสริมด้วย ซึ่งวันนี้ บริษัท เอ็มดีพีซี จำกัด MDPC Expertise Meets Excellence ได้นำเสนอเทคนิคการตกแต่งที่อยู่อาศัยให้เหมาะกับวิถีชีวิต Work From Home ในปัจจุบัน โดยเฉพาะห้องพักในโครงการคอนโดที่ส่วนใหญ่จะมีพื้นที่ใช้สอยกะทัดรัดประมาณ 29 ตร.ม. ให้รองรับทั้งชีวิตการทำงานและพักผ่อนได้อย่างลงตัวด้วย 5 เทคนิคสำคัญ ดังนี้ 1.ตกแต่งผนังห้องด้วยสีเอิร์ทโทน การแต่งห้องด้วยการใช้สีเอิร์ทโทน หรือ Earth Tone นอกจากช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายและรู้สึกสบายตาแล้ว การเลือกใช้วอลเปเปอร์สีโทนธรรมชาติ ลักษณะเอิร์ทโทน โดยเฉพาะสีเบจ (Beige) และสีเบจอมเทา (Greige) จะช่วยให้ห้องแลดูมีพื้นที่กว้างขวาง และสว่างมีชีวิตชีวาโดยไม่สะท้อนแสงไฟจนรบกวนสายตาเกินไป เหมาะกับช่วงเวลาที่ต้องใช้สมาธิและความสร้างสรรค์  ขณะเดียวกัน สีโทนนี้ยังเข้ากันได้กับอีกหลายโทนจึงง่ายต่อการตกแต่ง ช่วยขับให้เฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นภายในห้องพักดูโดดเด่น และยังสะดวกต่อการหามุมสำหรับ Video Conference 2.วางเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ชิดผนัง การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ให้ชิดผนังหรือเข้ามุม แล้วเปิดพื้นที่กลางห้องให้โล่ง มีทางเดิน จะช่วยให้ห้องดูโปร่ง เช่น วางโต๊ะทำงานชิดผนังห้อง เพื่อให้มีพื้นที่โล่งด้านหลัง ช่วยลดความรู้สึกอึดอัดขณะนั่งทำงาน และสะดวกต่อการถอยเก้าอี้  ทั้งนี้ ควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ที่มีดีไซน์เรียบง่าย มีทรงเหลี่ยมจะจัดวางได้ง่ายกว่าทรงอื่น รวมถึงการใช้เฟอร์นิเจอร์แนวสูงอย่างชั้นเก็บของแบบเข้ามุม จะช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บของได้มากขึ้น 3.เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แบบ Dual-purpose โครงการคอนโด ส่วนใหญ่มักติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ Built-in ที่ออกแบบมาให้เหมาะกับขนาดห้องพัก อย่างตู้เสื้อผ้า เคาน์เตอร์ครัว หรือชั้นวางแบบติดผนัง แต่เฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ เช่น เตียง โต๊ะรับประทานอาหาร โต๊ะกลางหน้าโซฟา และโซฟา จะเป็นเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวซึ่งใช้พื้นที่ใช้สอยมากกว่า จึงควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แบบ Dual-purpose หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานได้มากกว่า 1 ฟังก์ชัน และเฟอร์นิเจอร์พับเก็บได้ อย่างเตียงที่มีลิ้นชักเก็บของ โซฟาเบด และเก้าอี้ที่สามารถเก็บของได้จะช่วยลดจำนวนเฟอร์นิเจอร์ในห้องและประหยัดพื้นที่ใช้สอย 4.กั้นห้องด้วยฉากโปร่งใส แม้พื้นที่ในห้องพักจะไม่เหมาะกับการแบ่งห้อง แต่หากต้องการจัดพื้นที่พักผ่อนในห้องนอนกับพื้นที่ทำงานแยกออกจากกัน ควรใช้ฉากกั้นแบบโปร่งใส ประตูกระจกบานเลื่อน ติดตั้งม่านที่สามารถเลื่อนเก็บได้ หรืออาจจะใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีลักษณะโปร่ง เช่น ชั้นวางของที่ไม่มีผนังทึบ ซึ่งยังสามารถมองเห็นบริเวณอื่นของห้องได้ ช่วยไม่ให้ห้องดูคับแคบจนเกินไป มอบความรู้สึกโล่งสบายขณะพักอาศัย 5.ติดกระจกเงาบานใหญ่ การนำกระจกเงาบานใหญ่ติดตั้งบนผนังห้องในมุมทำงานหรือมุมนั่งเล่น และเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์อย่างตู้เสื้อผ้าที่มีกระจกเงาตรงประตู และตู้เก็บอุปกรณ์ในห้องน้ำที่เป็นบานกระจก นอกจากจะใช้งานได้แบบ Dual-purpose แล้ว ยังช่วยสะท้อนภาพให้ห้องพักดูกว้างขึ้น   ถือเป็น 5 เทคนิคที่เชื่อว่าหากนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละห้อง ก็น่าจะช่วยทำให้ห้องที่เล็กมีพื้นที่จำกัด ดูกว้างขวางมากขึ้น และทำให้การทำงานจากที่บ้านเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ได้ทั้งงานได้ทั้งความสุขกันทุกคน
เลี้ยงสัตว์อย่างไรไม่ต้องทะเลาะกับเพื่อนบ้าน

เลี้ยงสัตว์อย่างไรไม่ต้องทะเลาะกับเพื่อนบ้าน

เลี้ยงสัตว์อย่างไรไม่ต้องทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าหลายคนหันมาเลี้ยงสัตว์กันมากขึ้น และหลายคอนโดก็อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้บ้างแล้ว หลายคนเลือกจะมีสัตว์เลี้ยงไว้ช่วยสอดส่องดูแลบ้าน บางคนก็เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนคลายเหงา สำหรับสัตว์เลี้ยงของเรานั้น ไม่ว่าจะเป็นน้องหมา น้องแมว หรือสัตว์ชนิดอื่นๆ ก็ล้วนแต่น่ารัก น่าเอ็นดูทั้งสิ้น ถึงแม้สัตว์เลี้ยงของเราจะทำอะไรผิดไปบ้าง เช่น อึ-ฉี่ไม่เป็นที่ ส่งเสียงดังรบกวนเมื่อเจอคนแปลกหน้า เรื่องเหล่านี้จะดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เจ้าของสัตว์มักจะคิดว่าสามารถตักเตือนและให้อภัยกันได้ แต่อย่าลืมว่า สิ่งที่สัตว์เลี้ยงแสดงออกมานั้น อาจรบกวน “เพื่อนบ้าน” ที่แสนน่ารักของเราด้วย ซึ่งคงจะดีหากเราหาวิธีดูแลสัตว์เลี้ยงไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เรามีวิธีดีๆ มาฝากกันค่ะ เลี้ยงสัตว์อย่างไรไม่ต้องทะเลาะกับเพื่อนบ้าน 1. ศึกษาวิธีการดูแลสัตว์ก่อนนำมาเลี้ยง เนื่องจากสัตว์แต่ละชนิดต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน บางชนิดสามารถเลี้ยงในระบบปิดได้ ในขณะที่สัตว์บางชนิดหรือบางสายพันธุ์เหมาะที่จะเลี้ยงแบบปล่อยหรือมีพื้นที่ให้พวกมันวิ่งเล่นได้มากกว่า ทั้งนี้หากไม่อยากให้สัตว์ไปรบกวนเพื่อนบ้านมากนัก ควรพิจารณาเลือกสัตว์ที่สามารถเลี้ยงแบบระบบปิด หรือเลี้ยงในบ้านได้ เช่น แมวหรือสุนัขพันธุ์เล็กถึงขนาดกลางที่ไม่ค่อยส่งเสียงเห่าบ่อย ๆ เช่น สุนัขพันธ์    คาวาเลียร์ คิง ชาลส์ สแปเนียล, สุนัขพันธุ์บาเซนจิ, สุนัขพันธุ์เฟรนช์ บูลด็อก, สุนัขพันธุ์ชิบะ เป็นต้น 2. แจ้งให้เพื่อนบ้านทราบ ไม่ว่าเราจะอาศัยในละแวกนั้นมานาน หรือเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ใหม่ ๆ แต่ถ้ามีการเลี้ยงสัตว์ ก็ควรบอกกล่าวกับให้เพื่อนบ้านทราบ และขออภัยไว้ล่วงหน้าหากสัตว์เลี้ยงของเราไปรบกวน ในขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดโอกาสให้เพื่อนบ้านเข้ามาพูดคุยหรือให้คำแนะนำกับเราหากสัตว์เลี้ยงของเราไปสร้างความเดือดร้อนให้กับพวกเขาในอนาคต 3. หมั่นทำความสะอาดของใช้สัตว์เลี้ยง เพื่อลดและป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นเหม็นรบกวน โดยเฉพาะกระบะทรายหรือจุดที่สัตว์เลี้ยงมักไปอึหรือฉี่เป็นประจำ ด้วยการเก็บกวาดทุกครั้งที่มีการขับถ่าย หมั่นล้างทำความสะอาดและเปลี่ยนทรายในกระบะทุก ๆ 2 สัปดาห์ ที่สำคัญคือวางกระบะทรายไว้ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี และฉีดสเปรย์ดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ช่วยอีกทางหนึ่งก็ได้ 4. ใส่สายจูงทุกครั้งที่พาไปเดินเล่น สำหรับเจ้าของที่กลัวว่าสัตว์เลี้ยงจะเบื่อ อยากพาไปเดินเล่นออกกำลังกายบ้าง ก็ควรใส่สายจูงทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้สุนัข-แมวของเราไปรบกวนหรือทำอันตรายคนอื่นขณะวิ่งเล่น พร้อมกับพกอุปกรณ์สำหรับเก็บและทำความสะอาดบริเวณที่สัตว์เลี้ยงอุจจาระไปทิ้งในถังขยะทุกครั้งด้วย  5. ให้เวลาและใส่ใจสัตว์เลี้ยงให้มากขึ้น บางครั้งการที่สัตว์เลี้ยงส่งเสียงดังรบกวน เช่น สุนัขเห่าบ่อย ๆ ไม่ได้เป็นเพราะว่ากำลังเจอสิ่งผิดปกติเสมอไป เพราะบางครั้งอาจเป็นการเรียกร้องความสนใจจากเจ้าของ ทั้งนี้หากเกิดขึ้นนาน ๆ ครั้งก็คงไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่ถ้าเกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็จะสร้างความรำคาญให้เพื่อนบ้านได้ ดังนั้นให้เจ้าของลองสังเกตดูว่ามีสาเหตุมาจากอะไร แล้วรีบแก้ไข เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรม    6. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้เรียบร้อย ไม่ใช่แค่เป็นการป้องกันโรคให้กับสัตว์เลี้ยงของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับเพื่อนบ้านของเราด้วย โดยการปรึกษากับสัตวแพทย์ว่าสัตว์เลี้ยงของเราควรฉีดวัคซีนใดบ้าง และพาไปรับวัคซีนต่อเนื่องเมื่อถึงกำหนดหรือเกิดโรคระบาดบ่อย ๆ เช่น วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า โรคอันตรายที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงทั้งหลายพึงระวัง 7. ศึกษากฎระเบียบของที่พักอาศัย เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีข้อกฎหมายหรือข้อตกลงที่ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านจัดสรร คอนโด หรือหอพัก ซึ่งอาจจะมีการจำกัดชนิดของสัตว์เลี้ยง รวมถึงขนาดของสัตว์ตัวน้อย ดังนั้นเราควรศึกษากฎระเบียบ ข้อบังคับ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้มีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ และทำให้รบกวนเพื่อนบ้าน   ที่สำคัญอย่าลืมศึกษาข้อมูลให้ครบทุกด้านก่อนการเลี้ยงสัตว์นะคะ ไม่ว่าจะเป็นอุปนิสัยของสัตว์เลี้ยงที่เราอยากจะรับมาอยู่ด้วย รวมถึงกฎระเบียบต่างๆ ของที่พักอาศัย พร้อมกับพูดคุยกับเพื่อนบ้านให้เข้าใจไว้ก่อน จะได้สบายใจกันทุกฝ่าย แฮปปี้กันทุกคนจ้า   CR : ข้อมูลจาก PetExpoClub   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง คิดอยากจะเลี้ยงสัตว์เล็กๆ สักตัว ในคอนโดฯ เลี้ยงอะไรดีล่ะ? ทำความสะอาดบ้านไกล “ภูมิแพ้”  
ก่อผนัง.. ต้องใช้วัสดุเท่าไหร่? คำนวนได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

ก่อผนัง.. ต้องใช้วัสดุเท่าไหร่? คำนวนได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

ก่อผนัง ต้องใช้วัสดุเท่าไหร่? คำนวนได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง การสร้างบ้านหรือตกแต่งบ้านแต่ละครั้ง อะไรที่ประหยัดได้ เราก็อยากจะประหยัดจริงมั้ยครับ พอได้แบบบ้านและตกลงพื้นที่การใช้วัสดุต่างๆ ตามแบบแล้ว เรื่องต่อมาที่ต้องคำนวณก็คือ จำนวนวัสดุก่อสร้างที่เราต้องใช้ เพื่อจะได้สั่งซื้อได้ถูกต้อง ไม่เกิดปัญหาของขาดหรือสั่งมาเป็นจำนวนมาเกินจำเป็น และช่วยควบคุมงบประมาณไม่ให้บานปลายได้อีกด้วย   การก่อผนังบ้านเป็นส่วนที่มีความจำเป็นต้องใช้วัสดุค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นโครงการหลักๆ ของตัวบ้าน รวมถึงเป็นส่วนที่จะใช้แบ่งพื้นที่ห้องต่างๆ ภายในบ้านด้วย ซึ่งการเลือกใช้วัสดุแต่ละชนิดก็มีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป หลายคนไม่รู้ว่าจะต้องสั่งซื้อ อิฐ ปูน หิน และทรายในปริมาณเท่าไหร่ดี เราเลยเอาวิธีการคำควณแบบเบื้องต้นที่เราสามารถทำได้เองง่ายๆ มาฝากกันครับ   การคำนวณขั้นต้นนี้เป็นประโยชน์ทั้งในกรณีที่เราต้องเป็นคนสั่งซื้อของเอง หรือเอาไว้ตรวจสอบการทำงานของผู้รับเหมาอีกที ทั้งนี้ในหน้างานจริงอาจจะต้องใช้มากกว่าหรือน้อยกว่าที่สูตรคำนวณ ขึ้นอยู่กับเทคนิคของช่าง และปัจจัยอื่นๆ เพิ่มเติม ก่อผนัง ต้องใช้วัสดุเท่าไหร่? คำนวนได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง 1. ผนังก่ออิฐมอญ 120-150 ก้อน / ตร.ม. *คำนวณจากอิฐมอญขนาด หนา 3-3.5 ซม. กว้าง 6-6.5 ซม. ยาว 14.5-15 ซม. ปูนสำหรับงานก่ออิฐมอญ ปูนก่อสำเร็จรูป 1 ถุง 50 กก.  ก่อได้ 1-1.5 ตร.ม. (หนา 1-1.5 ซม.) ปูนก่อผสม 1 ถุง 50 กก. ก่อได้ 2.4-3.6 ตร.ม. (หนา 1-1.5 ซม.) โดยใช้ปูนซีเมนต์ ผสม ทรายหยาบ อัตราส่วน 1 ต่อ 2.5-3 ปูนสำหรับงานฉาบผิว ปูนฉาบสำเร็จรูป 1 ถุง 50 กก. ฉาบได้ 2-2.5 ตร.ม. (หนา 1-1.5 ซม.) ปูนฉาบผสม 1 ถุง 50 กก. ฉาบได้ 4-4.5 ตร.ม. (หนา 1-1.5 ซม.) โดยใช้ปูนซีเมนต์ ผสมทรายละเอียด อัตราส่วน 1 ต่อ 2.5-3 2. ผนังก่ออิฐบล็อก 12.5 ก้อน / ตร.ม. *คำนวณจากอิฐบล็อกขนาด หนา 6.5-7 ซม. กว้าง 19 ซม. ยาว 39 ซม. ปูนสำหรับงานก่ออิฐบล็อก ปูนก่อสำเร็จรูป 1 ถุง 50 กก. ก่อได้ 2-2.5 ตร.ม. (หนา 1-1.5 ซม.) ปูนก่อผสม 1 ถุง 50 กก. ก่อได้ 4.8-6 ตร.ม. (หนา 1-1.5 ซม.) โดยใช้ปูนซีเมนต์ ผสม ทรายหยาบ อัตราส่วน 1 ต่อ 2.5-3 ปูนสำหรับงานฉาบผิว ปูนฉาบสำเร็จรูป 1 ถุง 50 กก. ฉาบได้ 2-2.5 ตร.ม. (หนา 1-1.5 ซม.) ปูนฉาบผสม 1 ถุง 50 กก. ฉาบได้ 4-4.5 ตร.ม. (หนา 1-1.5 ซม.) โดยใช้ปูนซีเมนต์ ผสมทรายละเอียด อัตราส่วน 1 ต่อ 2.5-3 3. ผนังก่ออิฐมวลเบา 8.3 ก้อน / ตร.ม. *คำนวณจากอิฐมวลเบาขนาด หนา 7.5 ซม. กว้าง 20 ซม. ยาว 60 ซม. ปูนสำหรับงานก่ออิฐมวลเบา ปูนก่อสำเร็จรูป 1 ถุง 50 กก. ก่อได้ 38-40 ตร.ม. (หนา 2-3 มม.) ปูนสำหรับฉาบอิฐมวลเบา ปูนฉาบสำเร็จรูป 1 ถุง 50 กก. ฉาบได้ 2-2.5 ตร.ม. (ฉาบหนา 1-1.5ซม.)   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่ดินทรุด ปัญหาที่เช็กและแก้ได้ ซื้อบ้านให้ไกลจากน้ำท่วม ควรดูอะไรบ้าง?
เก็บผัก-ผลไม้ยังไง? ให้สดใหม่ตลอดช่วงกินเจ

เก็บผัก-ผลไม้ยังไง? ให้สดใหม่ตลอดช่วงกินเจ

ช่วงเทศกาลถือศีลกินเจปี 2563 ตรงกับวันที่ 17-25 ตุลาคมนี้ รวมระยะเวลา 9 วัน แต่หลายคนอาจจะมีธรรมเนียม เริ่มกินเจก่อน 1 วัน คือ วันที่ 16 ตุลาคม 2563 ตามความเชื่อว่าเป็นการเตรียมตัวก่อนกินเจอย่างจริงจัง หรือ ที่มักเรียกว่า การล้างท้อง   ช่วงเทศกาลกินเจของทุกปี  บรรดาผักและผลไม้ มักจะมีการปรับราคาสูงขึ้น ตามหลักดีมานด์และซัพพลาย ทำให้ราคาอาหารเจอาจจะแพงกว่าอาหารปกติ  บางคนจึงมักเลือกซื้อวัตถุดิบมาปรุงอาหารกินเอง โดยเฉพาะหากอยู่กันหลายคนในครอบครัว การทำอาหารเจกินเอง ถือเป็นทางเลือกที่ประหยัดกว่า สำหรับการปรุงอาหารกินเอง ตลอดเทศกาลกินเจ 2563 นี้   แต่หากใครซื้อผักและผลไม้มาจำนวนมาก แล้วเก็บรักษาไม่ดี ผลตามมา ก็อาจจะทำให้ผักและผลไม้เน่าเสีย ก่อนที่จะกินได้หมด  ทำให้เสียเงินมากกว่าปกติไปอีก ซึ่งวันนี้เรามีเคล็ดลับดี ๆ จาก บริษัทแอลจี อีเลคทรอนิคส์ ประเทศไทย (จำกัด)  ที่มาแนะนำ วิธีเก็บผักผลไม้ให้สด ให้สดนาน แถมอร่อย และเต็มไปด้วยคุณค่า รับเทศกาลกินเจมาฝาก เพื่อให้นำไปปรับใช้กันตามความเหมาะสม   ผักใบเขียว เช่น ผักกาด ผักโขม และผักคะน้า จะสามารถเก็บไว้ได้นานยิ่งขึ้น หากล้างน้ำให้สะอาด แล้วนำไปเช็ดด้วยกระดาษทิชชู่หรือผ้าเช็ดจาน ก่อนนำไปใส่กล่องหรือถุงเพื่อแช่เก็บไว้ในตู้เย็น ซึ่งนอกจากจะช่วยยืดอายุการใช้งานแล้ว ยังทำให้สามารถนำไปใช้งานสะดวกขึ้นอีกด้วย   ผักสลัดและผักสมุนไพร นำผักสลัดและผักสมุนไพรไปใส่ไว้ในถุงที่มีอากาศเล็กน้อย พร้อมปิดซีลให้สนิท อีกวิธีการหนึ่งคือเด็ดใบที่เสียออกไป ก่อนจะนำผักไปห่อด้วยกระดาษทิชชู่อเนกประสงค์ ใส่ไว้ในถุงซิปล็อก แล้วจึงนำไปแช่ตู้เย็น บร็อคโคลีและกะหล่ำดอก มีวิธีการเก็บรักษาง่ายๆ เพียงแค่นำไปแช่ในตู้เย็นโดยใส่ในกล่องแยกต่างหาก ไม่ปะปนกับผัก ผลไม้ หรืออาหารชนิดอื่น ก็ช่วยยืดอายุให้กับผักสองชนิดนี้ได้   แครอท ตัดก้านใบสีเขียวที่ติดมากับแครอทออก เนื่องจากใบดังกล่าวสามารถดูดสารอาหารออกจากแครอทได้ จากนั้นนำแครอทไปแช่ลงในกล่องที่มีน้ำ เพราะแครอทเป็นพืชที่ชอบความชื้น และห่อด้วยฟิล์มยืดถนอมอาหาร ก่อนนำไปแช่ตู้เย็น   ส้ม สามารถเก็บได้ยาวนานยิ่งขึ้นด้วยการแยกเก็บในกล่องใส่ผลไม้ในตู้เย็น หรือใส่ไว้ในถุงตาข่ายหรือถุงที่มีรูพรุน และนำไปแช่ตู้เย็น   แอปเปิล การนำแอปเปิลไปแช่ในตู้เย็นจะทำให้สามารถยืดอายุให้อยู่ได้นานกว่าสัปดาห์ สำหรับแอปเปิลที่หั่นแล้วกินไม่หมด ให้นำไปแช่ในน้ำเกลือเพื่อช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น โดยผสมน้ำเย็นประมาณ 1 ลิตร เข้ากับเกลือในปริมาณไม่เกิน ½ ช้อนชา และแช่ไว้เป็นเวลา 5 นาที ก่อนนำมาทำผึ่งให้แห้ง นำไปใส่ในถุงสุญญากาศ และแช่ไว้ในตู้เย็น   วิธีการเหล่านี้ ถือเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ไม่ยาก ซึ่งหากใครจะกินเจปีนี้  นอกจากการหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แล้ว  ควรปฏิบัติตัวให้ถูกต้องตามหลักการถือศีลกินเจด้วย ซึ่งก็คือ การถือศีล ทำใจให้สงบ ควบคู่กันไปด้วย  ซึ่งจะทำให้เทศกาลถือศีลกินเจ 2563 นี้  ผู้ที่ปฏิบัติจะได้ทั้งบุญและได้ทั้งสุขภาพที่ดี ที่สำคัญต้องบริโภคแต่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไปด้วย
เทคนิคเตรียมตัวให้พร้อมก่อนซื้อบ้าน

เทคนิคเตรียมตัวให้พร้อมก่อนซื้อบ้าน

เทคนิคเตรียมตัวให้พร้อมก่อนซื้อบ้าน ช่วงที่ผ่านมา คนไทยต้องเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ต้องปรับตัว ปรับวิถีชีวิต การอยู่อาศัย การใช้ชีวิตประจำวัน และการทำงานกันใหม่ ไปสู่ความปกติวิถีใหม่ หรือ New Normal  รวมถึงการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home)   ขณะที่แวดวงธุรกิจ ก็ต้องเผชิญความท้าทาย กับปัจจัยลบที่เกิดขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งทำให้ต้องปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจ  เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก  รวมถึงต้องทุ่มเททำการตลาดอย่างหนัก เพื่อกระตุ้นยอดขาย สร้างรายได้กลับเข้ามา   ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ช่วงที่ผ่านมาก็เจอความเปลี่ยนแปลง ไม่แตกต่างจากธุรกิจอื่น ที่สำคัญ ต้องหันมาโหมทำการตลาดกันอย่างหนัก จัดโปรโมชั่นกันชนิดที่ไม่เคยทำกันมาก่อน  โดยเฉพาะการลดราคา และแคมเปญอยู่ฟรี ไม่นับรวมกับโปรโมชั่นอื่น ๆ อีกสารพัด เพื่อสร้างกระแสเงินสด เพิ่มสภาพคล่อง ทำให้ปีนี้นับเป็นโอกาสทองของคนอยากมีบ้าน และมีความสามารถที่จะซื้อ เพราะราคาถือว่าค้าค่าจริง ๆ   แล้วหากจะเลือกซื้อบ้านสักหลัง หรือคอนโดมิเนียมสักห้อง เราควรเตรียมตัวก่อนการซื้อบ้านอย่างไร สำหรับมือใหม่ที่ไม่เคยซื้อมาก่อน หรือไม่เคยศึกษาการซื้อบ้าน ทางธนาคารกรุงเทพ มีคำแนะนำเบื้องต้นให้กับลูกค้า ได้ศึกษาและใช้เป็นแนวทางในการเตรียมตัว เพื่อจะทำให้ได้บ้านตามที่ต้องการ เทคนิคเตรียมตัวให้พร้อมก่อนซื้อบ้านก่อนกู้บ้านต้องเตรียมตัวอย่างไร  ข้อที่ 1. เลือกทำเล บ้านที่ชอบ พื้นที่ใช้สอยให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ ขึ้นอยู่กับขนาดครอบครัวและไลฟ์สไตล์ของคุณเองว่าต้องการบ้านแบบไหน เช่น คอนโดมีเนียมกลางเมืองเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ทาวน์เฮ้าส์พร้อมกรรมสิทธิ์ที่ดิน หรือบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่อยู่อาศัยและใช้สอยมากกว่า มองหาทำเลที่ชอบ เลือกทำเลที่คิดว่าสามารถเดินทางได้สะดวก โดยเฉพาะไปทำงาน หรือทำเลที่คุ้นเคยก็ได้ ตรวจสอบราคาจากโครงการที่สนใจหรือที่อยู่อาศัยในละแวกเดียวกัน หรือสอบถามสำนักงานที่ดินเพื่อขอราคาประเมินที่ดิน ประกอบการตัดสินใจก็ได้ กรณีผู้กู้มีบ้านอยู่แล้ว 1 หลัง ต้องการซื้อบ้านหลังที่ 2 หรือ บ้านพักตากอากาศ ควรคำนึงความจำเป็น และความสามารถในการผ่อนชำระ เนื่องจาก การผ่อนชำระบ้านเพิ่มขึ้นอีก 1 หลัง จะเป็นการเพิ่มภาระในการผ่อนชำระให้หนักมากขึ้น นอกจากนี้ ลูกค้าอาจจะได้วงเงินกู้บ้านที่น้อยกว่าการซื้อบ้านหลังแรก ข้อที่ 2. เริ่มต้นประเมินความสามารถทางการเงินของตนเอง ลูกค้าควรจะทราบความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อของตนเอง ซึ่งมีวิธีคำนวณง่ายๆ คือ ประมาณการยอดผ่อนชำระรายเดือน โดยยอดผ่อนชำระรายเดือนควรประมาณ 1 ใน 3 ของรายได้รวมต่อเดือน หรือประมาณ 40% ของรายได้คงเหลือสุทธิต่อเดือน ซึ่งเป็นรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าผ่อนสินค้า ค่างวดผ่อนรถยนต์ ค่าใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต เป็นต้น รายได้คงเหลือหลังหักภาระผ่อนเดิมและภาระผ่อนสินเชื่อบ้านครั้งนี้แล้ว ควรมีเงินเหลือเพียงพอสำหรับการดำรงชีพขั้นต่ำของผู้ขอสินเชื่อ หากเป็นไปได้ ในช่วงก่อนที่จะกู้เงินซื้อบ้าน ไม่ควรมีการก่อหนี้ หรือซื้อสินค้าเงินผ่อน เพราะยิ่งก่อหนี้มากขึ้นเท่าไหร่ จะทำให้ความสามารถในการขอสินเชื่อน้อยลงเท่านั้น ข้อที่ 3. เงินดาวน์/การเก็บออม ลูกค้าควรมีเงินออมเพื่อชำระเงินดาวน์ 10-30% ของราคาบ้านที่ต้องการซื้อ ปัจจุบันการให้วงเงินสินเชื่อของธนาคาร จะให้อัตราส่วนวงเงินกู้ต่อราคาบ้านตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะขึ้นอยู่กับลำดับที่สัญญาสินเชื่อบ้านที่ลูกค้ามีอยู่กับสถาบันการเงินต่างๆ เช่น กรณีซื้อบ้านราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท ควรมีเงินดาวน์ หรือเงินออม ไม่น้อยกว่า 5%-10% ขึ้นไปสำหรับการขอสินเชื่อสัญญาบ้านหลังแรก, ไม่น้อยกว่า 10% - 20% ขึ้นไปสำหรับการขอสินเชื่อบ้านสัญญาบ้านหลังที่สอง, ไม่น้อยกว่า 30% ขึ้นไป สำหรับการขอสินเชื่อบ้านสัญญาบ้านหลังที่สาม การดำรงยอดเงินฝากคงเหลือในบัญชีหรือการแสดงหลักฐานการออมและความสามารถในการชำระคืน แม้ว่าจะมีเงินได้เข้าบัญชีเป็นจำนวนมาก แต่หากไม่มียอดเงินคงเหลือในบัญชีหรือไม่มีหลักฐานเงินออมอื่นเลย ก็อาจทำให้ไม่มีศักยภาพการขอสินเชื่อเพียงพอได้ เช่น มีเงินได้เข้าบัญชีเงินฝาก 100,000 บาท/เดือน แต่มีการถอนออกไปใช้ทั้งหมด โดยมีเงินคงเหลือเพียงหลักร้อย และ ไม่มีหลักฐานการออมเงินอื่นประกอบ เป็นต้น จะเห็นได้ว่า ยิ่งเรามีจำนวนเงินที่ผ่อนดาวน์ หรือเงินออมมากขึ้นเท่าใด จะทำให้มีศักยภาพเพียงพอในการขอสินเชื่อมากขึ้นเท่านั้น ข้อที่ 4. การเดินบัญชีธนาคารก่อนการยื่นกู้ ควรแสดงหลักฐานรายได้ผ่านบัญชีธนาคาร ควรมีการเดินบัญชีอย่างสม่ำเสมอ และสอดคล้องกับรายได้ เตรียมเอกสารหลักฐานประเภทต่างๆให้พร้อม เช่น หลักฐานด้านรายได้, หลักฐานเงินออมในรูปกองทุนรวม LTF, RMF, ประกัน หรือการลงทุนในทรัพย์สินต่างๆ เป็นต้น ปัญหาสำคัญที่ทำให้กู้บ้านไม่ผ่าน มาจากสาเหตุสำคัญอะไรบ้าง แม้ว่าหลายคนจะเตรียมตัว เตรียมเอกสาร ศึกษาข้อมูลมาอย่างดี แต่บางครั้งอาจจะยื่นกู้แล้วไม่ได้รับการอนุมัติสินเชื่อก็เป็นไปได้ ซึ่งอาจจะมีหลายสาเหตุ ลองมาพิจารณาข้อมูลเหล่านี้ ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุ ที่ทำให้สถาบันการเงินปฏิเสธการให้สินเชื่อลูกค้าก็เป็นไปได้ 1. มีรายได้ไม่มั่นคง หรือรายได้ไม่เพียงพอในการขอสินเชื่อ ปัญหาสำคัญที่ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่กู้บ้านไม่ผ่าน จะเป็นเรื่องของรายได้ไม่มั่นคง หรือรายได้ไม่เพียงพอในการผ่อนชำระสินเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกค้าที่ประกอบธุรกิจส่วนตัว อาชีพอิสระ หรือ ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ อย่างไรก็ตาม หากผู้กู้มีการเตรียมตัวที่ดี และจัดเตรียมเอกสารแสดงรายได้ที่ชัดเจน เช่น  เอกสารแสดงกระแสเงินได้, บัญชีลูกหนี้การค้า ก็จะมีส่วนช่วยให้ธนาคารพิจารณาอนุมัติเงินกู้ได้ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น กรณีประกอบธุรกิจส่วนตัว หากจดทะเบียนกิจการ ให้แสดงทะเบียนพาณิชย์/ทะเบียนการค้า/หรือหนังสือรับรองการจดทะเบียน และ statement การเดินบัญชีที่แสดงกระแสเงินสดไม่น้อยกว่า 6 เดือน กรณีเป็นลูกจ้างตามสัญญา ควรมีหนังสือรับรองสัญญาจ้างที่มีการระบุระยะเวลาสัญญาชัดเจน ประกอบกับสลิปเงินเดือนและ statement การเดินบัญชี อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาการให้กู้ อาจขึ้นอยู่กับระยะเวลาในสัญญาจ้าง ซึ่งหากระยะเวลาในสัญญาจ้างสั้น อาจทำมีภาระผ่อนในจำนวนที่สูง และไม่สามารถขอสินเชื่อได้ กรณีฟรีแลนซ์ หรือประกอบอาชีพอิสระ ควรมีการแสดงเอกสารรายรับ-รายจ่ายที่ชัดเจน เช่น ช่างแต่งหน้า/ช่างภาพอิสระ ควรแสดงสัญญาว่าจ้างหรือใบรับงานจากงานต่างๆ และ เอกสารแสดงการรับเงินจากผู้ว่าจ้าง กรณีรับเป็นเงินสด ควรนำเงินฝากเข้าผ่านบัญชีธนาคารอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องตามข้อเท็จจริง โดยควรแสดงหลักฐานรายได้ย้อนหลังไม่น้อยกว่า 6-12 เดือน ควรนำเงินได้เข้าบัญชีให้สอดคล้องกับรายได้ที่ได้รับมา รวมถึงเอกสารแสดงผลงาน เช่น รูปภาพผลงานการแต่งหน้าจากงานต่างๆ เป็นต้น ก่อนนำไปชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ นอกจากนี้ เอกสารอื่นๆที่ช่วยให้ธนาคารพิจารณาอนุมัติเงินกู้ได้ง่ายขึ้น เช่น หลักฐานการออม , สำเนาโฉนดที่ดินที่ปลอดภาระ, พันธบัตร, สลากออมสิน เป็นต้น 2.มีภาระหนี้เกินเกณฑ์ ธนาคารจะพิจารณาความสามารถในการผ่อนชำระหนี้โดยคำนวณภาระหนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลภาระหนี้ของลูกค้าในข้อมูลเครดิตบูโร กรณีที่มีภาระหนี้ที่ต้องผ่อนชำระสูงอยู่แล้ว ทั้งภาระหนี้บัตรเครดิต / เช่าชื้อ / ผ่อนชำระรถยนต์ / เครื่องใช้ไฟฟ้า / ผ่อนชำระทรัพย์สินอื่น ธนาคารอาจพิจารณาลดวงเงินหรือ ปฎิเสธวงเงินที่ขอเพิ่มครั้งนี้ได้ ผู้กู้ควรเตรียมตัวให้พร้อมด้วยการชำระหนี้ทั้งหมดเรียบร้อย สร้างความมั่นคงและความน่าเชื่อถือทางการเงินใหม่ด้วยเงินออม หรือ เอกสารแสดงรายได้ต่างๆ ตามความเหมาะสม  ท่านไม่ควรมีหนี้ค้างชำระ ในขณะขอสินเชื่อ และหากเคยมีประวัติการค้างชำระหนี้ใน 3 ปีที่ผ่านมา ควรชี้แจงสาเหตุการค้างชำระและแสดงหลักฐานการชำระประกอบตามเหตุผลที่สมควร กรณีมีบัตรเครดิตหรือมีภาระหนี้อื่นๆก่อนการขอสินเชื่อ ควรลดภาระการผ่อนสินเชื่อบุคคลที่ไม่จำเป็น เช่น การชำระค่าสินค้าเงินผ่อน 6-12 เดือน, ปิดบัญชีวงเงินสินเชื่อที่ใกล้ครบกำหนด/ยอดเงินไม่สูงมาก หรือ ควรยกเลิกบัตรเครดิตที่ไม่จำเป็น ช่องทางสำคัญ เพื่อสานฝันของคนอยากมีบ้านให้เป็นจริง ลูกค้าที่สนใจสามารถ ตรวจสอบคุณสมบัติ พร้อมทราบผลพิจารณาเบื้องต้น โดย เพียงกรอกข้อมูลผ่านทาง เว็บไซต์ธนาคารกรุงเทพ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ หรือ สามารถติดต่อสาขาที่ลูกค้าสะดวก สำหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านใหม่จากโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นพันธมิตรกับธนาคาร สามารถสอบถามเจ้าหน้าที่ขายของโครงการ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารให้บริการด้านสินเชื่อได้ เรื่องควรรู้อื่นๆ เพิ่มเติม ค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ผู้ยื่นกู้อาจต้องชำระเพิ่มเติมนอกเหนือจากอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านและค่าสำรวจประเมินราคาหลักประกันแล้ว ลูกค้าอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในส่วนอื่นๆ ดังนี้ ค่าใช้จ่ายที่ชำระให้กับสำนักงานที่ดิน ได้แก่ 1.ค่าโอนกรรมสิทธิ์ 2% ของราคาซื้อขาย (ส่วนใหญ่ ผู้ประกอบการ อาจเป็นผู้ชำระแทนหรือ ชำระครึ่งหนึ่ง ตามแคมเปญหรือรายการส่งเสริมการขายของโครงการ), ค่าจดจำนอง 1% ของวงเงิน (กรณีขอสินเชื่อกับธนาคาร) ค่าใช้จ่ายที่ชำระให้กับโครงการ เช่น ค่าใช้จ่ายในการดูแลทรัพย์สินส่วนกลาง, ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการโอน เช่น ค่ามิเตอร์น้ำ ค่ามิเตอร์ไฟ ค่าใช้จ่ายที่ชำระให้กับบริษัทประกันภัย กรณีทำประกันภัย/ประกันชีวิต เช่น ค่าเบี้ยประกันชีวิต และ ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย (กรณีขอสินเชื่อกับธนาคาร) ค่าใช้จ่ายอื่นๆเพิ่มเติมของลูกค้า เช่น ค่าใช้จ่ายในการตกแต่งเพิ่มเติม ปี 2563 มาตรการลดค่าโอน และค่าจดจำนอง 0.01% มีเงื่อนไขอย่างไรบ้าง และช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้กู้เพิ่มขึ้นอย่างไรบ้าง   มาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการเรียกเก็บค่าจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์ และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ เหลืออัตรา 0.01% โดยมีเงื่อนไข คือ การซื้ออสังหาริมทรัพย์จากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนเป็นผู้จัดสรรเท่านั้น เป็นที่ดินพร้อมอาคารประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชย์ หรือ ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) ในราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท ไม่รวมการซื้อขายบ้านมือสอง ปลูกสร้างที่อยู่อาศัย และการรีไฟแนนซ์ที่อยู่อาศัย มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 – 24 ธันวาคม 2563   ดังนั้น ลูกค้าที่ซื้อบ้านหรือคอนโด และกู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยจดจำนองไม่เกินปลายปีนี้ ก็จะเสียค่าโอนและค่าจดจำนองเพียงอัตรา 0.01% จากปกติจะต้องเสียค่าโอน 2% และค่าจดจำนอง 1% ซึ่งถือว่าช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของผู้กู้ลงไปค่อนข้างมาก    บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง กู้สินเชื่อบ้านผ่านง่าย หากมีรายได้เสริม วิธีเตรียมกู้ซื้อบ้าน สำหรับอาชีพอิสระ 5 ข้อต้องรู้ก่อนจะเป็น “ผู้กู้ร่วม”    
9 วิถี New Normal ชีวิตหลังโควิด-19

9 วิถี New Normal ชีวิตหลังโควิด-19

9 วิถี New Normal ชีวิตหลังโควิด-19 สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ขณะนี้ถือว่าประเทศไทยเรา “เอาอยู่” ของจริง เพราะไม่พบผู้ป่วยหรือผู้ติดเชื้อรายใหม่ในประเทศไทย ต่อเนื่องมานานนับเดือนแล้ว ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่า ไม่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยแล้ว จะมีก็แต่ผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วยที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศเท่านั้น   แต่เพื่อไม่อยู่ในความประมาณ คนไทยทุกคนยังต้องปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย ในการป้องกันการแพร่หรือรับเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงต้องปรับตัวเข้าสู่วิถีชีวิตปกติใหม่ หรือ New Normal ไม่ให้เกิดการระบาดซ้ำระลอก 2 New Normal คำว่า ความปกติใหม่ ในช่วงเวลานี้ จึงเป็นคำที่ถูกพูดถึงกันอย่างมาก  และคงจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  ส่วนวิถีชีวิต ตามความปกติใหม่ มีเรื่องอะไรบ้างนั้น  มีนักวิเคราะห์และสำนักข่าวมากมายออกมาร่วมกันวิเคราะห์พฤติกรรม “New Normal” หรือ “ความปกติใหม่” ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และกลุ่มธุรกิจใดบ้างที่จะได้รับผลกระทบ   หากแต่ทั้งหมดยังเป็นการคาดการณ์และยังไม่มีข้อมูลที่ชี้ชัดให้เห็นถึงปริมาณการเปลี่ยนแปลงที่จะช่วยประกอบการตัดสินใจในการวางแผนการรับมืออย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคคนไทยก็อาจจะไม่มีข้อมูลเชิงลึกที่มีประสิทธิภาพมากพอในการเห็นภาพทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจริงๆ   ศูนย์วิจัยเทรนด์และคอนเซปต์แห่งอนาคต Baramizi Lab ร่วมกับรศ.ดร.ณัฐพล อัสสะรัตน์ ประธานหลักสูตร MBA Executive คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงร่วมกันจัดทำงานวิจัยชุด “The Day After Crisis” ขึ้น เพื่อถอดรหัสและคาดการณ์ความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคแห่งอนาคตที่จะส่งผลต่อการเฝ้าระวังและการเตรียมการรับมือของภาคธุรกิจ   โดยวิธีการวิจัยคือการเก็บแบบสอบถามออนไลน์จากกลุ่มผู้บริโภคจำนวน 443 ตัวอย่าง (ช่วงเวลาการเก็บข้อมูล 23 เมษายน – 3 พฤษภาคม 2563) โดยชุดคำถามที่ทีมวิจัยสร้างขึ้นนี้ตั้งอยู่พื้นฐานที่ เราทราบเงื่อนไขดีว่า ช่วงเวลาขณะนี้อาจจะยังเร็วเกินไปที่จะฟันธงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนเนื่องจากผู้บริโภคเองก็อาจไม่สามารถมองเห็นอนาคตที่ชัดเจนได้   แต่อย่างไรก็ตาม พวกเราทุกคนในช่วงเวลาที่ทำแบบสอบถามนั้นล้วนแล้วแต่ได้เผชิญสภาวะวิกฤตที่เราถูกบีบให้ต้องรับมือกับมันมาเป็นระยะเวลากว่า 2 เดือนแล้ว เราตั้งสมมติฐานว่าเป็นช่วงเวลาที่นานพอที่เราจะเรียนรู้ผลกระทบ และซึมซับและวัดผลพฤติกรรมใหม่ที่เข้ามาในชีวิตเรา และพอจะเลือกได้แล้วว่าอะไรเป็นพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มันดีขึ้น ที่เราอยากจะตัดสินใจให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราต่อไปแม้จะจบวิกฤตครั้งนี้ไปแล้วก็ตาม ชุดคำถามทั้งหมดจึงค่อนข้างเน้นย้ำไปที่การเชิญชวนให้ผู้ร่วมทำวิจัยตอบคำถามโดยพิจารณาถึงการใช้ชีวิตของตัวเองเป็นหลักว่าอะไรคือสิ่งที่พวกเขาเลือกแล้วว่าจะทำต่อไป หรือเลิกทำเปรียบเทียบปริมาณระหว่างช่วงหลังจากคลาย Lock Down กับช่วงเวลาปกติก่อนเกิด COVID-19   การประมาณการของน้ำหนักในค่าบวกและลบของงานวิจัยชิ้นนี้น่าจะพอให้มุมมองที่สามารถตีความต่อได้ว่าส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจต่างในระดับไหน อย่างไร และเอื้อให้ผู้ประกอบการได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นว่าวิกฤตต่อธุรกิจของตนที่เกิดตามมาจากสภาวะเศรษฐกิจและเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้คนในยุคใหม่จะต้องเตรียมรับมืออย่างไร   โดยส่วนหนึ่งของงานวิจัย สะท้อนออกมาใน  9 วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19  ผ่านพ้นไปแล้ว ได้แก่ 1.วางแผนการเงิน หารายได้เสริม พัฒนาตัวเอง ผู้คนในยุคปัจจุบันนับจากนี้ จะให้น้ำหนักและความสำคัญกับการวางแผนการเงิน การหารรายได้เสริม รวมถึงการพัฒนาตัวเอง เพิ่มมากขึ้น 55.7% เพราะช่วงที่ผ่านมาพบว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่มีใครคาดคิด และยังส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านรายได้ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโดยรวมด้วย 2.ใช้ชีวิตในบ้าน และดูแลสุขภาพ การเสียชีวิตของผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แสดงให้เห็นว่า แม้ว่าจะเป็นเชื้อไวรัสธรรมดา แต่หากร่างกายไม่แข็งแรง ก็สามารถรับเชื้อและเจ็บป่วยได้ง่าย ผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง จะมีภูมิต้านทานโรคได้ดีกว่า ดังนั้น ผู้คนนับจากนี้จึงมองเรื่องสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอันดับต้น ๆ และพยายามจะหลีกเลี่ยงการต้องออกไปในสถานที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมาก  เพราะอาจจะเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรคกลับมาได้  วิถีชีวิตของคนแบบ New Normal นอกจากใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองแล้ว ยังเลือกจะใช้ชีวิตในบ้านมากขึ้นด้วย  โดยผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึง 38.2% 3.ติดใจ Work From Home จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้สำนักงานและออฟฟิศต่าง ๆ ให้พนักงานและลูกจ้าง ต้องอยู่บ้าน รวมถึงภาครัฐเองก็รณรงค์ให้คนไทย อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ลดอัตราการแพร่กระจายและการติดเชื้อ จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 พนักงานและลูกจ้างส่วนใหญ่จึงต้องทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home ซึ่งหลายคนพบว่า การทำงานที่บ้าน ไม่ได้แตกต่างจากการทำงานที่ออฟฟิศ แถมบางคนยังสามารถทำงานได้ทั้งปริมาณและประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นด้วย  เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปกับการเดินทาง ผู้ที่ตอบแบบสองถาม จึงมองว่าวิถีชีวิตปกติใหม่ อาจจะต้องทำงานที่บ้านมากขึ้น และติดใจกับการ Work From Home เพิ่มขึ้นถึง 29.8% 4.ทำอาหารเอง กินเอง ที่บ้าน นอกจากการทำงานที่บ้านแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นพฤติกรรมที่แทบจะเรียกได้ว่า ทุกคนทำเหมือนกัน คือการเข้าครัวทำอาหารกินเอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะร้านค้าส่วนใหญ่ปิดกิจการชั่วคราว และส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีเวลาว่างมาก ทำให้ต้องหากิจกรรมทำ และการทำอาหารกินเองที่บ้าน ก็เป็นกิจกรรมอันดับแรก ๆ ที่คนส่วนใหญ่ทำกัน   เมื่อทำกันต่อเนื่องจึงเป็นพฤติกรรมที่ต่อไปคนจะทำอาหารกินเองที่บ้านมากขึ้นถึง 23.6% 5.ใช้ออนไลน์ดำเนินชีวิตหลากมิติ ก่อนหน้าจะมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 วิถีชีวิตของคนยุคดิจิทัล ก็ก้าวเข้าไปสู่โลกของออนไลน์อยู่แล้ว แต่อาจจะไม่ได้ใช้ในหลายมิติ ส่วนใหญ่อาจจะเป็นเพียงการติดต่อสื่อสาร ผ่านสังคมออนไลน์ หรือการเสพคอนเทนต์และความบันเทิงออนไลน์  แต่จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 วิถีชีวิตของคนได้เข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์เกือบ 100%  ใช้ออนไลน์มาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตไปในแต่ละวัน ทั้งเรื่องการงานและเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะการทำงานที่สามารถพูดคุยและประชุมกันได้ผ่านโลกออนไลน์  วิถีชีวิตปกติใหม่นับจากนี้ จึงจะมีออนไลน์เข้ามาอยู่ในหลากหลายมิติมากขึ้น ผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าจะเพิ่มขึ้น 21.3% 6.สุขภาพวิถีใหม่ ใช้เทคโนโลยี และเข้าถึงจิตใจ จาแนวโน้มของการใส่ใจสุขภาพของตัวเอง และการเอาโลกออนไลน์มาเติมเต็มชีวิตในทุกมิติแล้ว เรื่องของการดูแลตนเองและการดูแลสุขภาพ จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่คนจะนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยส่งเสริมสุขภาพ เพราะการไปโรงพยาบาลก็ถือว่ามีความเสี่ยงในการได้รับเชื้อไม่น้อยกว่าสถานที่ที่มีคนจำนวนมาก การดูแลสุขภาพของตนเองตามความปกติใหม่ จึงต้องพึ่งพาและอาศัยเทคโนโลยเข้ามาช่วย ผู้ตอบแบบสอบถามมองว่าจะมีพฤติกรรมด้านนี้เพิ่มขึ้น 17.3% 7.การทำงานและเรียนที่สถานที่จริง นอกจากพฤติกรรมหลายอย่างจะถูกให้ความสำคัญ และทำเพิ่มมากขึ้นแล้ว ขณะเดียวกันก็มีหลายพฤติกรรที่คนยุคหลังโควิด-19 จะทำลดน้อยลงด้วย อย่างเช่น การทำงานหรือเรียนที่โรงเรียนหรือสถานศึกษา แต่จะใช้วิธีการทำงานที่บ้าน หรือเรียนออนไลน์มากกว่า การทำงานที่สำนักงานหรือการเรียนที่สถานที่จริงน่าจะลดลงไปถึง 12% 8.การกลับไปใช้ชีวิตนอกบ้านตามเดิม นอกจากพฤติกรรมการทำงานและเรียนที่สถานที่จริงจะลดลงลดลงแล้ว การใช้ชีวิตนอกบ้านก็คาดว่าจะลดลงด้วย เพราะทุกคนคำนึงถึงความปลอดภัยมากขึ้น และพยายามที่จะลดความเสี่ยงจากการการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ ผู้ตอบแบบสอบถามมองกว่าจะลดพฤติกรรมการใช้ชีวิตนอกบ้าน 10.6% 9.การไปตลาด การซื้อแผงลอย จากเหตุผลของการกังวลเรื่องความปลอดภัย และการได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึงการจับจ่ายใช้สอยในปัจจุบันที่มีความสะดวกสบายจากการสั่งสินค้าผ่านออนไลน์ หรือแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ทำให้คนส่วนใหญ่จะลดการออกไปตลาด หรือการซื้อสินค้าแผงลอยลง โดยผู้ตอบแบบสอบถามตอบว่า จะลดพฤติกรรมการไปตลาดและการซื้อของแผงลอยลง 12.8%   นี่คือ 9 วิถีชีวิต ตามความปกติใหม่ ที่คาดว่าทุกคนจะปรับตัวไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งโลกอนาคตอาจจะยังบอกไม่ได้ว่า ความเป็นจริงจะเกิดอะไรขึ้น แต่สุดท้ายเราต้องปรับตัว ปรับพฤติกรรมให้เหมาะกับสถานการณ์เท่านั้นเอง​   บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง หนีไปไกลๆ!! ไวรัส COVID-19 มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกจิไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม 12 บทสรุปราคาคอนโด ท่ามกลางวิกฤต COVID-19  
แปลง “ขยะ” เป็น “เงิน” หลังหมดช่วง Work From Home

แปลง “ขยะ” เป็น “เงิน” หลังหมดช่วง Work From Home

แปลง “ขยะ” เป็น “เงิน” หลังหมดช่วง Work From Home สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ขณะนี้ ถือว่าประเทศไทยทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก เพราะเราไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศแล้ว และหลายคนคงกลับไปทำงานที่ออฟฟิศกันบ้างแล้ว แม้ว่าการทำงานที่ออฟฟิศอาจจะต้องอยู่ภายใต้ชีวิตปกติวิถีใหม่ หรือ New Normal และอาจจะต้องปรับรูปแบบการทำงานให้เหมาะสมกับสถานการณ์บ้าง เช่น การสลับวันทำงานระหว่างพนักงาน  ภายใต้มาตรการการเว้นระยะห่างสังคม หรือ Social Distancing แต่เชื่อว่าการทำงานที่บ้าน หรือ Work From Home น่าจะลดลงกว่าช่วงที่ผ่านมาแล้ว   การทำงานที่บ้าน สิ่งหนึ่งที่น่าจะเป็นผลพวงตามมา คือ ปริมาณขยะต่าง ๆ ที่เกิดจากการใช้ชีวิตอยู่ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นภาชนะ หรือบรรจุภัณฑ์จากสั่งอาหารมากินที่บ้าน ไม่ว่าจะพลาสติก หรือขวดแก้ว เศษกระดาษ จากเอกสารการทำงาน ใบปลิวโฆษณา หรือกล่องบรรจุภัณฑ์พัสดุ ที่เกิดจากการช้อปปิ้งออนไลน์  เชื่อว่าตลอดระยะเวลา Work From Home น่าจะมีปริมาณมากอยู่พอสมควร   วันนี้เราอยากจะแนะนำวิธีการหารายได้จากปริมาณขยะต่าง ๆ ที่มีอยู่ภายในบ้าน ซึ่งหลายคนอาจจะไม่รู้ว่าขยะเกือบทุกชนิด สามารถสร้างมูลค่าให้เป็นเงินขึ้นมาได้ เพราะขยะและของเหลือใช้เหล่านั้น สามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบ สู่กระบวนการรีไซเคิล เพื่อผลิตวัสดุนั้นกลับมาใช้งานได้ การขายขยะเหล่านั้นไม่เพียงแต่เป็นการสร้างมูลค่าเป็นตัวเงินกลับมาได้แล้ว ประโยชน์ที่ชัดเจนอีกเรื่อง คงเป็นการช่วยกันแยกขยะ และลดปริมาณขยะ เป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นด้วย ถือว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากวัสดุสิ่งของอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง   มาดูกันว่าขยะแต่ละประเภท มีมูลค่าและราคามากน้อยแค่ไหน ซึ่งราคาที่นำมาอ้างอิงครั้งนี้ เป็นราคาการรับซื้อจากบริษัท วงษ์วาณิชย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้รับซื้อขยะเพื่อนำไปรีไซเคิล รายใหญ่แห่งหนึ่งของไทย เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2563 โดยหากจะขายสินค้าวันไหน ลองเข้าไปเช็คราคาเบื้องต้นก่อนก็ได้ที่เว็บไซต์ของบริษัท (www.wongpanit.com) ราคารับซื้อขยะแต่ละชนิด ขวดแก้ว,เศษแก้ว มีราคาตั้งแต่ 0.30-19.00 บาท  ซึ่งขวดแก้ว ที่สามารถนำมาขายได้ มีตั้งแต่ขวดเบียร์  ขวดเหล้า จนไปถึงขวดซีอิ้ว น้ำปลา ขวดยาเขาก็รับซื้อ  ส่วนการรับซื้อมีทั้งซื้อแบบเป็นขวด และแบบเหมาลัง เช่น  ขวดเหล้าขาวหรือขวดสุราชุมชน กล่อง 24 ขวด ราคา  19 บาท หรือขวดเบียร์ลีโอ ใบละ 0.30 บาท เป็นต้น กระดาษ ราคารับซื้อตั้งแต่ 0.70-3.00 บาทต่อกิโลกรัม โดยกระดาษที่ทางร้านรับซื้อ ตั้งแต่กระดาษเอกสาร A4 ไปจนถึงกล่องกระดาษสีน้ำตาล หรือกล่องรองเท้าก็รับซื้อ หรือจะเป็นหนังสือหรือนิตยสารเขาก็ซื้อเหมือนกัน แต่ราคาก็แตกต่างกันไป อย่างกระดาษหนังสือเล่ม จะรับซื้อกิโลกรัมละ 0.80 บาท กระดาษขาวดำ ราคาขึ้นอยู่กับเกรดกระดาษ มีราคาตั้งแต่ กิโลกรัมละ 0.70-3.00 บาท กระดาษถุงปูนเขาก็รับซื้อเหมือนกัน ถ้าใครกำลังก่อสร้างบ้านหรือมีการซื้อปูนซีเมนต์มาซ่อมแซม เก็บถุงปูนไว้ขาย ได้กิโลกรัมละ 0.60 บาท พลาสติก พลาสติกที่ทางร้านรับซื้อมีระดับราคาตั้งแต่ 0.10-8.50 บาทต่อกิโลกรัม ขึ้นอยู่กับชนิด สภาพ ความสะอาด ซึ่งมีการรับซื้อที่หลากหลายมากมายหลายชนิด ตั้งแต่เบสิกเลยก็ขวดน้ำพลาสติกสีขาวใส และสีขาวขุ่นที่เราซื้อน้ำเปล่ากินกันทุกวันนี้ หรือจะเป็นพลาสติกพีวีซี ถุงดำชนิดไม่เปียก เขาก็รับซื้อเหมือนกัน และมีพลาสติกอีกสารพัดชนิดที่สามารถแปลงเป็นเงินกลับมาได้ เช่น พลาสติกแผ่น VCD ราคากิโลกรัมละ 11.00 บาท ขวดพีวีซีราคากิโลกรัมละ 0.40 บาท สายยาง กิโลกรัมละ 2.00 บาท หรือแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดสีดำก็ขายได้กิโลกรัมละ 1.20 บาท โลหะต่างๆ โลหะก็เป็นอีกวัสดุหนึ่ง ที่นำกลับมารีไซเคิลได้อย่างดี ทำให้เป็นวัสดุที่มีราคาค่อนข้างสูง และมีความหลากหลายในการรับซื้อมาก โดยราคามีตั้งแต่ 2.00-131 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งโลหะที่นิยมซื้อมากสุดคงเป็นอลูมิเนียมชนิดต่างๆ เช่น อลูมิเนียมกระป๋องโค้กราคากิโลกรัมละ 24.00 บาท อลูมิเนียมล้อแมกซ์ราคากิโลกรัมละ 31.00 บาท อลูมิเนียมกระทะไฟฟ้า ราคากิโลกรัมละ 7.00 บาท สแตนเลท รับซื้อราคากิโลกรัมละ 10.00 บาท เหล็ก เหล็กก็เป็นโลหะอีกหนึ่งชนิด ที่มีการรับซื้อกันมาก เพราะรีไซเคิลได้ดีเช่นกัน โดยมีราคารับซื้อตั้งแต่กิโลกรัมละ1.00-7.00 บาท เช่น เหล็กตะปู 5.60 กิโลกรัมละ บาท กระป๋องเหล็กกิโลกรัมละ 4.60 บาท และมีเหล็กอีกหลายชนิดที่เขารับซื้อ แต่บางอย่างอาจจะไม่ได้พบเจอในชีวิตประจำวันของหนุ่มสาวชาวออฟฟิศเท่าไรนัก แต่อย่างไรก็ตาม หากมีเหล็กอยู่ในบ้าน ลองเช็คชนิดและราคากับทางร้านก่อนว่ารับซื้อหรือไม่ เพราะดีกว่าทิ้งให้เป็นขยะที่ไร้ค่า เครื่องใช้สำนักงาน เชื่อว่าหลายคนในช่วงเวลา Work From Home คงอาจจะต้องซื้อเครื่องใช้สำนักงานใหม่ ทดแทนกับเครื่องเก่าที่ชำรุด หรืออาจจะล้าสมัยไปแล้ว หากเครื่องใช้สำนักงานยังไม่ได้ถูกทิ้งลงถังขยะไปเสียก่อน ลองมาเช็คดูว่าสามารถนำไปขายเป็นขยะรีไซเคิลได้หรือไม่ ซึ่งทางร้านวงษ์วาณิชย์ เขาก็รับซื้อขยะที่เป็นประเภทเครื่องใช้สำนักงานด้วย มีราคาตั้งแต่ 0.50-150 บาทต่อกิโลกรัมเลยทีเดียว อาทิ จอแก้วของจอคอมพิวเตอร์ กิโลกรัมละ 0.50 บาท เครื่องสำรองไฟ กิโลกรัมละ 7.00 บาท เครื่องถ่ายเอกสาร กิโลกรัมละ 2.00 บาท เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีบรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าที่เขาก็รับซื้อด้วยนะ ไม่ว่าจะเป็นทีวี ตู้เย็น ไมโครเวฟ เครื่องซักผ้า และอีกสารพัด ลองเช็คราคาได้ในเว็บไซต์ อื่นๆ นอกเหนือจากขยะต่าง ๆ ทั้งหมดแล้ว ยังพบว่ามีของเหลือใช้บางอย่าง ที่บางครั้งเราก็ละเลย และอาจจะมองข้ามไป ไม่รู้ว่าสิ่งของเหล่านั้น ก็มีราคมและมีมูลค่าด้วย เช่น น้ำมันพืชเก่า ที่บรรจุในปี๊บใหม่ ราคา  160 บาท เศษเทียนไข กิโลกรัมละ 3.00 บาท กากมะพร้าว กิโลกรัมละ 3.00 บาท เป็นต้น   สิ่งของเหลือใช้ในบ้านหากไม่ใช้แล้ว สามารถนำเอามาขายสร้างเป็นรายได้กลับมาได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร แค่จัดเก็บรวบรวมให้มีปริมาณมากพอ แล้วขนไปขายตามร้านรับซื้อของเก่าใกล้บ้าน เราก็จะมีเงินกลับเข้ามา แม้ว่าบางครั้งอาจจะไม่ได้มีมูลค่ามากมาย แต่ก็ถือว่าดีกว่าทิ้งให้ไปเป็นขยะ เพราะบางครั้งอาจจะมีคนมาเก็บขยะไปขาย แต่หากของที่เราทิ้งไปรวมกับขยะชนิดอื่น ซึ่งไม่สะอาดหรือเสียหาย หรือคนเก็บเก็บไม่หมด ขยะเหล่านั้นก็อาจจะไร้ค่าลงไปอีก  แต่หากใครไม่อยากขายนำเอาของเหลือใช้ ที่สภาพยังดีอยู่ไปบริจาค ก็ไม่ว่ากัน เพราะปัจจุบันมีหลายองค์กรและหลายหน่วยงานที่รับของบริจาค  เพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ หรือปรับปรุงสภาพให้ใช้งานได้ดีเหมือนเดิม  ก็ลองเลือกแนวทางที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคลกันดูนะ   บทความที่เกี่ยวข้อง รวมคอนเทนต์ เคล็ดลับคลีนบ้าน เวลาว่าง ช่วง Work Form Home “ฮาวทูเคลียร์..ตู้เย็น” ไม่ให้เหลือทิ้ง ลดปริมาณขยะตามแบบฉบับของเบโค  Work from home อย่างไรให้ได้งาน  
เรื่องต้องรู้ !! “ภาษีและค่าธรรมเนียม” ก่อนซื้อขายอสังหาฯ

เรื่องต้องรู้ !! “ภาษีและค่าธรรมเนียม” ก่อนซื้อขายอสังหาฯ

ถ้าตอนนี้ ใครมีความคิดจะซื้ออสังหาริมทรัพย์  ไม่ว่าจะเป็นบ้าน คอนโดมิเนียม หรือที่ดินเปล่า หรือจะเอาอสังหาฯ ที่มีอยู่ออกขาย ไม่ว่าจะเหตุผลอะไร และเป็นมือใหม่เพิ่งจะเริ่มทำธุรกรรมนี้เป็นครั้งแรก ยังไม่เคยซื้อหรือขายอสังหาฯ มาก่อน เรามี ภาษี และ ค่าธรรมเนียม เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อขายอสังหาฯ ก่อนซื้อขายอสังหาฯ มาให้เรียนรู้ และทำความเข้าใจ เพราะเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้นั่นเอง ถ้าหากจะต้องทำธุรกรรมเกี่ยวกับอสังหา   สำหรับผู้สนใจการลงทุนในอสังหาฯ ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งการลงทุนทางเลือกที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นแบบซื้อมาเพื่อปล่อยเช่า หรือเพื่อการเก็งกำไร โดยคาดหวังว่าจะได้ส่วนต่างกำไรจากราคาอสังหาฯ  ที่ซื้อมาและขายไป อย่างไรก็ตามการขายอสังหาฯ ย่อมมีภาระภาษี ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมต่างๆ มาเกี่ยวข้องเสมอ   โดยบทความ ซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งที ต้องรู้เรื่องภาษีและค่าธรรมเนียมกันก่อน จาก “นิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์” CFP®   นักวางแผนการเงินอิสระ นักเขียนและวิทยากร ได้นำเสนอข้อมูลไว้อย่างน่าสนใจ  ซึ่งระบุว่า กรณีที่เป็นบุคคลธรรมดา หากขายอสังหาฯ จะต้องเสียภาษี ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมต่างๆ ภาษี และ ค่าธรรมเนียม เรื่องต้องรู้ก่อนซื้อขายอสังหาฯ ดังนี้1.ค่าธรรมเนียม เป็นค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ คิดในอัตรา  2% จากราคาประเมินหรือราคาขาย แล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่า ก็ใช้ราคานั้นในการคำนวณ โดยราคาประเมิน คือ ราคาที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นราคากลางของอสังหาฯ ทั่วประเทศ เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการคิดค่าธรรมเนียมและภาษีจากการซื้อขายอสังหาฯ โดยจะมีการปรับราคาประเมินใหม่ทั่วประเทศทุก ๆ 4 ปี   ปัจจุบันกรมที่ดินอัพโหลดข้อมูลเกี่ยวกับราคาที่ดินทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าไปตรวจสอบเบื้องต้น บนเว็บไซต์ http://property.treasury.go.th/pvmwebsite/index.asp เพื่อให้ผู้ที่จะซื้อหรือจะขายที่ดิน จะได้กำหนดราคาได้เหมาะสม ซึ่งราคาประเมินอาจจะสูงหรือต่ำกว่าราคาซื้อขายจริงก็ได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วราคาประเมินจะต่ำกว่า ส่วนราคาตลาด คือ ราคาที่ใช้ในการซื้อขายกันจริง ซึ่งจะสอดคล้องกับดีมานด์และซัพพลายของตลาดในแต่ละช่วงเวลา มีการปรับตัวตามภาวะค่าครองชีพอยู่ตลอดเวลา  ราคาตลาดจึงมักสูงกว่าราคาประเมิน 2.ค่าอากรแสตมป์ คือ ค่าอากรแสตมป์ที่ผู้ขายต้องเสียในขั้นตอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ อยู่ที่  0.5% ของราคาซื้อขายหรือราคาประเมินโดยเลือกราคาที่สูงกว่ามาใช้ในการคำนวณ 3.ภาษีธุรกิจเฉพาะ กรณีผู้ขายถือครองอสังหาฯ เป็นเวลาน้อยกว่า 5 ปี (แบบนับวันชนวัน) จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งคิดในอัตรา 3.3% ของราคาซื้อขาย หรือราคาประเมิน โดยเลือกราคาที่สูงกว่ามาใช้เป็นฐานในการคำนวณ กรณีที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ จะได้รับยกเว้นค่าอากรแสตมป์ในข้อ 2 แต่ถ้าถือครองนานเกินกว่า 5 ปี หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านนานกว่า 1 ปี จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 4.ภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่าย เนื่องจากเงินจากการขายอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นรายได้ จึงต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย โดยใช้ราคาประเมิน (40(8) มาตรา 49 ทวิ แห่ง ประมวลรัษฎากร) หักด้วยค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 165 พ.ศ. 2529) ตามจำนวนปีที่ถือครอง ดังนี้ หากอสังหาฯ นั้น ได้รับมาโดยทางมรดก หรือ รับจากการให้โดยเสน่หาให้หักค่าใช้จ่ายได้ 50% จำนวนปีที่ถือครองนั้นจะนับตามปีบัญชี โดยหนึ่งปีจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมไปจนถึง 31 ธันวาคมของปีเดียวกัน การซื้อขายภายในปีเดียวกันนับเป็นการถือครอง 1 ปี หากครอบครองตั้งแต่เดือนธันวาคมปีนี้ถึงมีนาคมปีหน้าก็ให้นับเป็นถือครอง 2 ปี กรณีการขายอสังหาฯ ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งค้ากำไร ภาษีที่คำนวณหัก ณ ที่จ่าย สูงสุดต้องไม่เกิน 20% ของราคาขาย แต่หากเป็นกรณีขายโดยมุ่งค้ากำไร จะไม่มีการจำกัดเพดานภาษี นอกจากนี้การขายอสังหาฯ ที่ตั้งอยู่นอกเขตกรุงเทพมหานคร เทศบาล สุขาภิบาล หรือ เมืองพัทยา ยังได้รับยกเว้น 200,000 บาทก่อน เหลือเท่าใดจึงนำไปคำนวณหักค่าใช้จ่าย ตัวอย่างวิธีคำนวณภาษีเงินได้ นายมั่งคั่งได้ซื้อที่ดินมาเดือนมิถุนายน 2555 และขายไปเมื่อเดือน มกราคม 2562 ในราคา 4,000,000 บาท * การคำนวณภาษีจากการขายอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้รับยกเว้นสำหรับเงินได้สุทธิ 0 - 150,000 บาทแรก ** การนับจำนวนปีในการถือครองอสังหาริมทรัพย์ เศษของปี ให้นับเป็น 1 ปี และหากถือครองเกิน 10 ปี ให้นับเพียง 10 ปี ทั้งนี้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ได้มุ่งค้ากำไร ผู้มีเงินได้มีสิทธิ์เลือกที่จะเสียภาษีตามจำนวนที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้ โดยไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีกับรายได้อื่นตามปกติได้ จากตัวอย่างการซื้อขายที่ดินข้างต้น จะมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด ดังนี้ 1.ค่าธรรมเนียมการโอน 2% ของราคาซื้อขาย หรือเท่ากับ 2% x 4,000,000 = 80,000 บาท ซึ่งค่าธรรมเนียมการโอนนี้สามารถเจรจาต่อรองระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายได้ว่าใครจะเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมนี้ 2.ค่าอากรแสตมป์ 0.5% ของราคาซื้อขาย หรือเท่ากับ 0.5% x 4,000,000 = 20,000 บาท ผู้ขายเป็นผู้ชำระ 3.ภาษีธุรกิจเฉพาะ เนื่องจากนายมั่งคั่ง (ผู้ขาย) ถือครองที่ดินมาเกินกว่า 5 ปีจึงได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะนี้ 4.ภาษีเงินได้หักภาษี ณ ที่จ่าย ผู้ขายเป็นผู้ชำระตามที่ได้คำนวณดังตารางข้างต้น   ที่มา : www.scb.co.th   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ลดหย่อนภาษี สำหรับมนุษย์เงินเดือน ครม. ลดภาษี 90% ช่วยเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดนพิษโควิด-19 EIC วิเคราะห์ ใครคือผู้ได้รับผลกระทบจากภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง  
10 วิธีป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้าน ช่วงหน้าฝน

10 วิธีป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้าน ช่วงหน้าฝน

แม้ว่าตอนนี้ เมืองไทยอากาศจะร้อนถึงร้อนมาก แต่ถือว่าเข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ฝนอาจจะตกบ้างไม่ตกบ้าง หรือตกน้อยกว่าที่ควรจะเป็นก็ตาม ยังไงเราก็อยู่ในช่วงหน้าฝนกันแล้ว (10 วิธีป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้าน ช่วงหน้าฝน)   เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน สิ่งที่น่าห่วงและน่ากังวลคงมีด้วยกันหลายเรื่อง สำหรับการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหา น้ำรั่ว น้ำขัง หรือน้ำท่วม ปัญหาเชื้อโรคที่มากับหน้าฝน หรือการเจ็บป่วย ปัญหาการเดินทางที่ไม่สะดวกสบาย และอีกสารพัดปัญหา นอกจากนี้ ยังมีปัญหาที่อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ก็เป็นปัญหาสำคัญสำหรับการอยู่อาศัย ในช่วงหน้าฝนนี่ เพราะจากปัญหาเล็กๆ อาจจะลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ได้ นั่นก็คือ ปัญหาสัตว์มีพิษเข้าบ้าน   สัตว์มีพิษ ที่มักจะเข้ามาในบ้าน ก็เพราะพวกสัตว์เหล่านั้น ต้องการหาที่หลบฝน ไม่อยากโดนน้ำฝนท่วมตาย จึงพยายามหาสถานที่เพื่อหลบภัย ซึ่งก็มักจะไม่ใช่ที่ไหน แต่เป็นบ้านของพวกเรานั้นเอง ยิ่งการอยู่อาศัยในเมือง ป่าหรือสวนซึ่งเป็นสถานที่ธรรมชาติ ให้สัตว์มีพิษอยู่อาศัยนั้นแทบจะไม่มี บ้านพักอาศัยจึงเป็นที่พึ่งพิงของ สัตว์มีพิษ   สัตว์มีพิษ มีมากมายหลายชนิด ที่ชอบเข้ามาหลบฝนอยู่ในบ้านของเรา นับตั้งแต่แมลงตัวเล็กมีพิษไม่มาก อย่างมด แมลงก้นกระดก แมลงป่อง ตะขาบ ไล่ไปจนถึงสัตว์มีพิษ ที่ทุกคนคงไม่ชอบ และมีอันตรายมากที่สุด อย่างงูต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงูมีพิษ ประเภทงูเห่า งูจงอาง หรืองูขนาดใหญ่ ไม่มีพิษ แต่ก็มีอันตรายสูง อย่างงูเหลือม งูหลาม เป็นต้น   เราจะมีวิธีการป้องกัน สัตว์มีพิษ เข้าบ้านได้อย่างไร วันนี้มีเทคนิคและเคล็ดไม่รับ ซึ่งสามารถนำเอาไปปรับใช้กันได้ ตามสะดวก และตามความเหมาะสม เพื่อให้หน้าฝนนี้ บ้านที่เราอยู่อาศัย จะได้ห่างไกลจาก สัตว์มีพิษ เข้ามาทำร้าย และสร้างความน่ารำคาญ ในช่วงหน้าฝนนี้ 10 วิธีป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้าน ช่วงหน้าฝน ได้แก่ 1.ทำความสะอาดรอบบ้าน การทำความสะอาดบ้าน ถือเป็นเรื่องพื้นฐานเริ่มต้น และช่วยป้องกัน สัตว์มีพิษ​ เข้ามาในบ้านได้อย่างง่ายๆ ไม่เสียเงินมากมาย แถมยังทำให้บ้านที่เราอยู่อาศัย มีสุขลักษณะที่ดี เป็นระเบียบน่าอยู่อาศัยด้วย   การป้องกัน สัตว์มีพิษ​ เข้ามาในบ้านช่วงหน้าฝน เราจึงต้องกำจัดขยะ สิ่งของต่างๆ รอบบ้าน เพราะการมีขยะ ก็จะทำให้มีแหล่งอาหารและแหล่งซ่อนตัว ของบรรดาสัตว์มีพิษทั้งหลาย นอกจากการจัดขยะ และทำความสะอาดบ้านแล้ว เราควรจัดบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอด้วย เพราะบ้านที่สกปรกไม่ใช่เป็นแค่ที่หลบภัยของสัตว์มีพิษ ที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคต่างๆ ที่เรามองไม่เห็นอีกมากมายด้วย 2.ตรวจเช็คจุดอับของบ้าน สาเหตุสำคัญของ สัตว์มีพิษ เข้ามาในบ้านช่วงหน้าฝน เป็นเพราะต้องการหาที่หลบฝน ซึ่งหนีไม่พ้นจุดอับ หรือซอกหลืบต่างในบ้าน เพื่อใช้เป็นที่พรางตัวและหลบฝน รวมถึงหลบภัยจากศัตรูของพวกมันเองด้วย การที่บ้านมีมุมอับ มีซอกหลืบ ที่มีสิ่งของระเกะระกะจึงเป็นจุดซ่อนตัวของสัตว์มีพิษได้อย่างดี จึงต้องรีบจัดระเบียนโดยเร็ว   3.ปิดจุดแตกร้าวของผนังบ้าน-รูโหว่รอบบ้าน อีกหนึ่งจุด ที่สัตว์มีพิษ แอบซ่อนตัวเสมอๆ ต่อไม่ให้ใช่ช่วงหน้าฝนก็ตาม คือ จุดแตก รอยร้าว หรือรูโหว่ต่างๆ ของบ้าน  เพื่อไม่ให้สัตว์มีพิษ ไม่ว่าจะเป็นประเภทอะไรซ่อนตัวอยู่ จึงต้องสำรวจดูให้ดี โดยเฉพาะตามรอยต่อของผนัง วงกบของหน้าต่าง หากตรวจพบต้องรีบดำเนินการอุดรูรั่ว ช่องโหว่นั้นทันที อาจจะใช้กาวยาแนว ซิลิโคลน หรือปูนซีเมนต์ มาเป็นตัวช่วยก็ได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุที่ต้องการจะปกปิด ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านวัสดุก่อสร้างทั่วไป หากไม่รู้ว่าจะใช้ชนิดอะไร ปรึกษาทางร้านได้ แต่หากไม่อยากลงมือทำด้วยตัวเอง หรืองานซ่อมแซมมีขนาดใหญ่เกินไป งานนี้คงต้องเรียกช่างมาซ่อมแซมแทน 4.ตัดแต่ง-ดูแลกระถางต้นไม้ สำหรับบ้านที่มีการปลูกต้นไม้ มีรั้วต้นไม้ หรือไม้กระถาง สถานที่เหล่านั้น คือ แหล่งที่อยู่อาศัยโดยธรรมชาติ ของบรรดา สัตว์มีพิษทั้งหลาย เพื่อไม่ให้ต้นไม้ที่เราปลูกไว้ ต้องมีสัตว์มีพิษมาอยู่อาศัย จึงต้องดูแลในเรื่องของการตัดแต่งกิ่งไม้ที่มีพุ่มหนา กำจัดวัชพืช ทำให้สนามหรือต้นไม้มีความโปร่ง เพื่อไม่ให้เป็นสถานที่ซ่อนตัวของสัตว์มีพิษได้ รวมถึง กระถางต้นไม้ ต้องจัดระเบียบให้เรียบร้อย โดยเฉพาะบริเวณใต้กระถาง สัตว์มีพิษมักจะแฝงตัวอาศัยอยู่เสมอ ๆ 5.ใช้สารเคมีโรยรอบบ้าน อีกวิธีสำหรับการป้องกัน สัตว์มีพิษ เข้าบ้าน ที่ดูจะเป็นวิธีที่สะดวก และอาจจะเรียกได้ว่า เป็นยาแรงในการป้องกันสัตว์มีพิษ คือ การใช้สารเคมีประเภทต่างๆ มาโรยไว้รอบบ้าน หรือตามจุดที่คาดว่าจะเป็นทางเดินของสัตว์มีพิษ  รวมถึงตามท่อระบายน้ำ เช่น กำมะถันผสมน้ำ ป้องกันงูพิษ การใช้โซดาไฟ ไล่ตะขาบ ตามท่อระบายน้ำ เป็นต้น ซึ่งสารเคมีที่ใช้กำจัดพิษมีมากมาย รวมถึง ผงเคมีที่ใช้กำจัดสัตว์มีพิษแต่ละชนิดโดยตรง ก็มีวางจำหน่ายเช่นกัน 6.ปลูกต้นไม้ไร้สัตว์มีพิษ วิธีนี้ อาจจะเป็นการป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้าน แบบที่เรียกว่า ธรรมชาติบำบัด คือ การปลูกต้นไม้บางชนิดไว้รอบๆ บริเวณบ้าน ซึ่งต้นไม้หรือดอกไม้บางชนิด สามารถป้องกันสัตว์มีพิษได้   เช่น ฟ้าทะลายโจร นอกจากจะช่วยเรื่องป้องกันโรคไข้หวัดอย่างดีแล้ว ฟ้าทะลายโจร ยังป้องกันงูเข้าบ้านได้ด้วย แถมมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า หญ้ากันงู  ไม่ใช่แค่ชื่อ เพราะคุณสมบัติของฟ้าทะลายโจร ที่เมื่องูสัมผัสกับราก หรือใบ จะทำให้ผิวหนังเกิดการปวดบวมได้ ดอกดาวเรือง ดอกไม้สีเหลืองสวยงาม มักนำมาร้อยเป็นอุบะพวงมาลัย และยังมีประโยชน์ทั้งการไล่แมลงศัตรูพืชบางชนิด จากกลิ่นขอดอกดาวเรืองนั่นเอง รวมถึงงูด้วย นอกจากยางในลำต้นของดอกดาวเรือง ก็มีฤทธิ์ทำให้งูระคายเคืองผิว และทำให้สายตาของงูพร่าเลือนได้ด้วย ดอกไพรีทรัม ป้องกันแมลงก้นกระดกได้ เพราะกลิ่นของดอกไม้ชนิดนี้ จะช่วยทำลายระบบประสาทของแมลงก้นกระดก ทำให้ให้แมลงสลบและอาจถึงตายได้ด้วย 7.เลี้ยงสัตว์เลี้ยง การเลี้ยงสัตว์ นอกจากจะมีความสุขทางใจ และมีสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนเล่นแล้ว สัตว์บางชนิด ยังมีประโยชน์ในการป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้านได้อีกต่างหาก เช่น ไก่ จะกำจัดตะขาบ เมื่อพบเห็น เพราะตะขาบคืออาหารอันแสนอร่อยของไก่ หรือแม้แต่สุนัข อาจจะไม่ได้กินหรือกัดสัตว์มีพิษ แต่ก็มักจะเป็นหน่วยเตือนภัยสัตว์เหล่านั้นได้เป็นอย่างดี เพราะสุนัขเจอสัตว์พิษ ก็จะเห่าส่งสัญญาณเตือนภัยให้เราได้รู้ล่วงหน้าเสมอ 8.ติดตาข่าย-มุ้งลวด การติดตาข่าย หรือมุ้งลวด เป็นอีกวิธีที่ไม่ยุ่งยาก และได้ผลดี แต่อาจจะต้องลงทุนในการทำบ้าง โดยเฉพาะการติดตาข่ายไว้รอบบริเวณบ้าน เพื่อป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้านในด่านแรก ซึ่งส่วนใหญ่อาจจะป้องกันได้เฉพาะสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น งู สัตว์ขนาดเล็ก อย่างตะขาบ หรือแมลงก้นกระดก อาจจะต้องป้องกันอีกชั้นหนึ่ง ด้วยมุ้งลวดตามประตูและหน้าต่างของบ้าน รวมถึงช่องลม หรือจุดที่แมลงและสัตว์มีพิษจะเข้ามาในบ้านได้ 9.ทำรัวทึบ การทำรั้วทึบและให้สูงพอที่สัตว์จะไม่เข้ามาภายในบ้านได้  ก็นับเป็นวิธีที่ป้องกันสัตว์มีพิษ เข้ามาในบ้านได้ค่อนข้างดี และป้องกันได้อย่างระยะยาว แต่อาจจะมีสัตว์ขนาดเล็ก หรือสัตว์มีพิษบางชนิด ที่เล็ดลอดออกมาได้ หากรั้วที่เราทำไว้ เกิดการแตกร้าวหรือมีช่องโหว่ ซึ่งเราก็ต้องตรวจตราดูแล รวมถึงซ่อมแซมให้ดีอยู่เสมอเช่นกัน 10.อุปกรณ์เสริมอื่นๆ บางครั้ง การป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้าน ก็อาจจะต้องมีตัวช่วย เช่น การใใช้อุปกรณ์เสริมอื่นๆ อาทิ การติดแผ่นกันงู หรือเครื่องไล่แมลง เพราะวิธีการป้องกันต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น อาจจะไม่สามรถป้องกันได้ 100% หรือบางครั้งอาจจะเกิดจากความผิดพลาดของผู้อยู่อาศัยเองได้เช่นกัน การป้องกันที่ดีที่สุดอาจจะต้องใช้หลายๆ วิธีร่วมกัน   นี่ก็คือ 10 วิธีป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้าน ช่วงหน้าฝน ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยทำให้บ้านที่เราอยู่อาศัย ห่างไกลจากสัตว์มีพิษ และทำให้คนในบ้านอยู่กันอย่างปลอดภัยในช่วงหน้าฝนนี้ ยังไงลองนำไปปรับใช้กันดูตามสะดวกได้เลย   เรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มันมากับหน้าฝน ตะขาบเข้าบ้านทำอย่างไรดี วิธีป้องกันงูเข้าบ้าน ง่ายๆ แต่ได้ผล 10 จุดเสี่ยงของบ้าน ต้องเช็กด่วน!! ก่อนสร้างปัญหาในหน้าฝน    
10 จุดเสี่ยงของบ้าน ต้องเช็กด่วน!! ก่อนสร้างปัญหาในหน้าฝน

10 จุดเสี่ยงของบ้าน ต้องเช็กด่วน!! ก่อนสร้างปัญหาในหน้าฝน

เข้าหน้าฝนแล้วเรามี 10 จุดเสี่ยงของบ้าน ต้องเช็กด่วน ก่อนสร้างปัญหาในหน้าฝน มาเป็นตัวช่วยให้เช็คลิสต์ จะได้ไม่ต้องปวดใจ ปวดหัว รวมถึงปวดเงินในกระเป๋าด้วย   ปัญหาใหญ่ที่กวนใจคนอยู่อาศัยในช่วงหน้าฝนเสมอๆ คงเป็นเรื่องผลกระทบจากฝนตก โดยเฉพาะปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้าสู่ตัวบ้าน ซึ่งไม่ใช่ปัญหาแค่การอยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาที่ทำให้เราต้องเสียเงิน ในการดูแลซ่อมแซมด้วย ซึ่งหากไม่ป้องกันก่อนจะเกิดปัญหา ปล่อยให้เกิดความเสียหายมาก เงินในกระเป๋าเราก็จะหายไปมากเช่นกัน   เพื่อไม่ให้น้ำฝนมาสร้างปัญหาและความเสียหายกับบ้านเราได้ เราจึงต้องเช็คก่อนว่าบ้านเราอยู่ในสภาพสมบูรณ์ หรือมีปัญหาตรงจุดไหนที่จะต้องแก้ไขโดยด่วน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาและความเสียหายกับบ้านและเฟอร์นิเจอร์ในบ้านรวมถึงผู้อยู่อาศัยเองด้วย 10 จุดเสี่ยงของบ้าน ต้องเช็กด่วน ก่อนสร้างปัญหาในหน้าฝน ได้แก่ 1. ระบบหลังคาและฝ้าเพดาน จุดใหญ่ที่มักเกิดปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้าสู่ตัวบ้าน มักจะเกิดบริเวณหลังคา ต่อเนื่องมายังฝ้าเพดาน เพราะระบบหลังคารับน้ำฝนเต็มๆ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องตรวจเช็ค ไม่ให้เกิดรอยรั่ว หรือรอยร้าว โดยเฉพาะบริเวณจุดเชื่อมต่อของหลังคา ตามหน้าจั่ว และเช็คฝ้าเพดานว่ามีน้ำหยด รั่วซึมมาหรือไม่ หากตรวจพบต้องรีบดำเนินการแก้ไขโดยเร็ว 2. กันสาดและระแนงกันฝน บริเวณกันสาด และระแนงกันฝน ก็เป็นจุดใหญ่ที่ปะทะกับน้ำฝนที่ตกลงมา ดังนั้นจึงควรตรวจสอบสภาพการใช้งาน ทั้งในเรื่องของความแข็งแรง ไม่พุกร่อนของวัสดุ หรืออุปกรณ์ยึดติดกับตัวบ้าน รวมถึงต้องตรวจสอบว่าไม่มีรอยรั่ว หรือการแตกร้าวของวัสดุ เพราะไม่อย่างนั้น กันสาดและระแนงกันฝน ก็ไม่สามารถป้องกันน้ำฝนเข้าสู่ตัวบ้านได้ 3. ประตู-หน้าต่าง บริเวณประตูและหน้าต่าง เราต้องตรวจสอบบริเวณวงกบ และจุดเชื่อมต่อระหว่างหน้าต่างกับผนังบ้าน ต้องไม่มีรอยแตกร้าว หรือรูโหว่ เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะมีน้ำรั่วซึมเข้าสู่ตัวบ้านได้เช่นกัน หากพบต้องทำการอุดซ่อมแซมโดยเร็ว นอกจากนี้ อุปกรณ์ที่เป็นโลหะ เช่น บานพับ ก็ต้องตรวจสอบดูว่าไม่เกิดสนิม เพราะอาจจะทำให้เราปิดประตูและหน้าต่างได้ไม่สนิท และบางครั้งยังเกิดเสียงดัง สร้างความรำคาญได้ด้วย โดยเฉพาะประตูและหน้าต่างรุ่นเก่าๆ วิธีการแก้ไขเบื้องต้นหากเกิดเสียงดัง สามารถใช้น้ำมันหล่อลื่นหยดบริเวณบานพับได้ 4. ผนังบ้านและบริเวณรอยต่อผนัง ผนังบ้านและบริเวณรอยต่อของผนัง อีกจุดหนึ่งที่มักก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ ในเรื่องน้ำรั่วซึมเข้าสู่ตัวบ้าน ผู้อยู่อาศัยจึงต้องคอยหมั่นสั่งเกต และตรวจสอบว่ามีน้ำฝนไหลซึม หรือเกิดรอยแตกร้าวหรือไม่ หากตรวจพบกต้องรีบแก้ไขโดยเร็ว 5. รางน้ำฝน และระบบท่อระบายน้ำ สำหรับบ้านเรือนที่มีรางน้ำฝน และท่อระบายน้ำ สิ่งที่ต้องทำคือการดูแลเรื่องของความสะอาด ไม่มีขยะ หรือสิ่งสกปรก ใบไม้ หรือเศษวัสดุอะไร มาขวางกั้นการระบายน้ำ เพราะหากมีจะทำให้เกิดปัญหาน้ำเอ่อล้นเข้าสู่ตัวบ้าน หรือน้ำท่วมขังได้เช่นกัน รวมถึงต้องมีฝาท่อปิดท่อระบายน้ำ หรือรางระบายน้ำ ซึ่งต้องตรวจเช็คว่าสามารถปิดได้แนบสนิทหรือไม่ 6. พื้นบ้านด้านนอก-ระเบียง พื้นบ้านด้านนอก และบริเวณระเบียงของบ้าน ช่วงหน้าฝนอาจจะไม่ได้สร้างปัญหาต่อตัวบ้าน หรือโครงสร้าง แต่อาจจะสร้างปัญหากับผู้อยู่อาศัย ที่อาจจะส่งผลในเรื่องของการบาดเจ็บ จากพื้นที่ลื่นเพราะฝนตก การมีตะไคร่น้ำเกาะอยู่ หรือมีเชื้อรา เชื้อโรคตามพื้น เพื่อความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย ในหน้าฝนจึงต้องหมั่นตรวจสอบความสะอาดของพื้นระเบียง และบริเวณพื้นบ้านด้านนอก ไม่ให้ก่อเกิดอันตราย หรือมีเชื้อโรค 7. ระบบไฟฟ้ารอบบ้าน-สนามหญ้า อันตรายมากที่สุดของช่วงหน้าฝน คือ ปัญหาไฟรั่ว หรือไฟฟ้าช็อต จากอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุด หรือไฟฟ้ารั่วซึม โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่อยู่ภายนอกบ้าน บริเวณสนามหญ้า ทั้งปลั๊กไฟ หลอดไฟ โคมไฟต่างๆ ที่มีระบบไฟฟ้าเข้าไปเกี่ยวข้อง ก่อนฝนจะตกต้องตรวจสอบอุปกรณ์เหล่านั้น ไม่ให้ชำรุดเสียหาย หรือเสื่อมสภาพ เพราะอาจจะทำอันตรายผู้อยู่อาศัยได้ถึงชีวิตเลยทีเดียว 8. ต้นไม้ใหญ่-กระถางต้นไม้ อีกหนึ่งปัญหาที่สร้างความเสียหายต่อตัวบ้าน รวมถึงผู้อยู่อาศัยได้ แบบที่ไม่ควรละเลยหรือมองข้าม คือ การโค่นล้มของต้นไม้ใหญ่ หากบริเวณบ้านมีต้นไม้ใหญ่ จึงจำเป็นต้องตัดแต่งกิ่งแห้ง หรือกิ่งที่อาจจะหักโค่นล้มทับตัวบ้าน นอกจากนี้ ควรตัดแต่งให้ต้นไม้มีความโปร่ง เพื่อป้องกันการอยู่อาศัยของสัตว์มีพิษ รวมถึงการตรวจเช็คกระถางต้นไม้ ต้องตั้งอยู่ในจุด ที่จะไม่ล้มเสียหาย หรือเป็นแหล่งซ่อนตัวของสัตว์พิษ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เราไม่ควรละเลย หรือมองข้าม 9. เฟอร์นิเจอร์นอกบ้าน นอกจาก การดูแลต้นไม้ และกระถางต้นไม้นอกบ้านแล้ว เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ที่อยู่นอกบ้าน หรือบริเวณที่อาจจะถูกน้ำฝนสาด ควรจะจัดเก็บไว้ในที่ปลอดภัย  ไม่โดนน้ำฝน หรืออาจจะหาวัสดุมาคลุมป้องกัน ไม่ให้เกิดความเสียหายจากน้ำฝนก็ได้ 10. ภาชนะ หรือสิ่งของ และความสะอาดของบ้าน วิธีสุดท้ายของ 10 จุดเสี่ยงของบ้าน ที่ต้องเช็กด่วน ก่อนสร้างปัญหาในหน้าฝน คงเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ทำได้ไม่ยาก คือ การดูแลความสะอาดของบ้าน การจัดบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และการจัดเก็บวัสดุ สิ่งของไม่ให้เป็นแหล่งน้ำขัง เพราะอาจจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง รวมถึงอาจจะเป็นที่ซ่อนตัวของสัตว์มีพิษได้เช่นกัน   ทั้ง 10 จุดเสี่ยงของบ้าน ต้องเช็กด่วน ก่อนสร้างปัญหาในหน้าฝน จะเห็นว่า ผู้อยู่อาศัยสามารถตรวจสอบด้วยตนเองเบื้องต้น และบางอย่างเราก็สามารถทำได้เอง แต่หากปัญหาไหนใหญ่เกินไป คงต้องเรียกช่างผู้ชำนาญมาเป็นผู้ช่วย ซึ่งเราควรตรวจเช็คและป้องกันปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อไม่ให้ปัญหาเล็กกลายเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งจะทำให้หน้าฝนนี้ เราไม่ต้องปวดหัว ปวดใจ และเสียเงินในกระเป๋าจำนวนมากๆ   infographic อื่นที่เกี่ยวข้อง วิธีแก้ปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้าบ้าน คู่มือเตรียมบ้านให้พร้อมรับมือกับหน้าฝน รีโนเวทบ้านหลังหน้าฝน    
How to #save ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน

How to #save ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน

ฤดูร้อนปีนี้แวะมาทักทายกันตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ และดูท่าจะอยู่กับเราไปอีกหลายเดือน เชื่อว่าหลายคนต้องรู้สึกแบบเดียวกันแน่เลย ว่าฤดูร้อนปีนี้อากาศร้อนกว่าปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน แค่ก้าวพ้นหลังคาก็เหงื่อแตกแสบผิวไปหมด แถมด้วยสถานการณ์ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ทำให้แทบไม่อยากออกจากบ้านไปไหน ยิ่งอยู่บ้านนานๆ ช่วงอากาศร้อนแบบนี้ ค่าไฟก็ยิ่งทวีคูณ เรียกได้ว่าโลกร้อนขึ้นไม่พอ ยังต้องเสียเงินเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก! แต่เรามี วิธีประหยัดค่าไฟฟ้าในบ้าน และประหยัดเงินในกระเป๋าคุณด้วย   8 เครื่องใช้ไฟฟ้า กับ วิธีประหยัดค่าไฟในบ้าน หลอดไฟ หลอดไฟที่ให้แสงสว่างในบ้านเรา มักมีอายุการใช้งานยาวนานจนลืมใส่ใจดูแล แต่หารู้ไม่ว่า! ควรเป็นสิ่งแรกที่ต้องหันกลับมาสำรวจ เพราะเราต้องกดสวิตซ์เปิดไฟทุกวัน และเป็นส่วนหนึ่งในการประหยัดค่าไฟได้ โดยเริ่มจาก   เลือกหลอดไฟที่ได้รับการรับรองมาตรฐานว่าประหยัดไฟ และกำลังวัตต์เหมาะสมกับการใช้งาน อาทิ หลอดฟลูออเรสเซนต์แบบผอม หลอดคอมแพ็กฟลูออเรสเซนต์ (หลอดตะเกียบ) โคมไฟแบบสะท้อนแสง เป็นต้น หลอดไฟ LED จะใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำให้แสงสว่างเท่าหลอดไฟแบบฟลูออเรสเซนต์-หลอดไส้ ให้ความร้อนน้อยกว่าหลอดฟลูออเรสเซนต์ และอายุการใช้งานยาวนาน ทำความสะอาดอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง เพราะฝุ่นอาจเกาะจนทำให้ประสิทธิภาพการส่องสว่างลดลง สังเกตบริเวณขาหลอดไฟ หากเริ่มเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล สีดำ ให้รีบเปลี่ยนหลอดไฟ เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร ตู้เย็น ทุกบ้านต้องมีตู้เย็นแน่นอน เพียงแค่ขนาดจะแตกต่างกันออกไปตามความต้องการใช้งานของแต่ละครอบครัว นอกจากจะเลือกใช้ตู้เย็นแบบประหยัดไฟแล้ว เมื่ออายุการใช้งานนานขึ้นก็ต้องคอยตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานด้วย   วางตู้เย็นให้ห่างจากผนังอย่างน้อย 15 เซนติเมตร เพื่อช่วยระบายความร้อนได้ดีกว่า และทำให้ประหยัดไฟได้มากกว่า ตรวจสอบการทำงานของตู้เย็น เช่น ขอบยางประตูตู้ปิดสนิท ข้างตู้เย็นถ้ามีมีไอน้ำเกาะ หรือมีหยดน้ำเกาะแสดงว่าฉนวนเสื่อม ตั้งอุณภูมิช่องธรรมดาประมาณ 3-6 องศาเซลเซียส และช่องฟรีซไม่ต่ำกว่า -15 องศาเซลเซียส หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้ตู้เย็นทำงานหนักขึ้น อาทิ ปล่อยให้น้ำแข็งเกาะช่องฟรีซหนาเกินไป นำของร้อนแช่ในตู้เย็น เปิด-ปิดตู้เย็นบ่อย และเก็บอาหารในตู้เย็นจนแน่นตู้มากเกินไป เครื่องซักผ้า หากเป็นเครื่องซักผ้าส่วนตัวที่บ้านเราเอง ก็จะดูเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ถูกใช้งานไม่บ่อยมากนักเมื่อเทียบกับเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดอื่นๆ ที่เปิดใช้กันทุกวัน แต่ถ้าใช้แบบไม่ถูกวิธีก็กินไฟเหมือนกันครับ เรามาดูวิธีประหยัดค่าไฟสำหรับเครื่องซักผ้ากัน   ปริมาณผ้าที่ซักพอเหมาะกับขนาดถังของเครื่อง ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป เครื่องซักผ้าบางรุ่นจะสามารถเลือกซักระบบน้ำอุ่นได้ เพื่อใช้สำหรับผ้าที่เปื้อนไขมันมากๆ แต่ถ้าเป็นการซักผ้าธรรมดาแนะนำให้ใช้น้ำอุณภูมิปกติจะประหยัดไฟมากกว่าการซักด้วยน้ำอุ่น หลีกเลี่ยงอบผ้า เพราะกินไฟมาก ให้เลี่ยงไปใช้การตากผ้าปกติแทน โทรทัศน์ บ้านไหนต้องเปิดโทรทัศน์รับชมข่าวสารและความบันเทิงต่างๆ ทุกวันบ้างครับ? ไม่ว่าจะมีจอเล็กหรือจอใหญ่ก็มีวิธีประหยัดค่าไฟเหมือนกัน ดังนี้   ไม่ปรับจอสว่างจนเกินไป เปิดระดับเสียงที่พอดี ถ้าไม่มีคนดูก็ปิด ไม่เปิดควรเปิดทิ้งไว้ เตารีด เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อนถือเป็นเครื่องที่กินไฟมากในการใช้งานแต่ละครั้ง ดังนั้นควรจะรู้จักวิธีการใช้งานอย่างถูกต้อง เพื่อให้เราประหยัดค่าไฟได้มากที่สุด   เสียบปลั๊กเตารีดในเตารับที่แน่นหนา ฉนวนยางที่หุ้มสายไฟต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เพราะเตารีดต้องใช้กระแสไฟฟ้าจำนวนมาก ควรรีดผ้าครั้งเดียวหลายชิ้นจนเสร็จครั้งเดียว จะช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าการรีดผ้าครั้งละไม่กี่ชิ้น โดยขณะที่เตารีดยังไม่ร้อนมากให้เริ่มรีดจากผ้าเนื้อบางก่อน ไม่ควรพรมน้ำบนผ้ามากเกินไปจนแฉะ เพราะจะทำให้เตารีดต้องใช้ความร้อนหนักขึ้น ก่อนรีดผ้าเสร็จประมาณ 2-3 นาที ให้ดึงปลั๊กออกก่อน เพราะกว่าเตารีดจะเย็นลงต้องใช้เวลาสักระยะ ไมโครเวฟ เตาอบ หนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน หากใช้งานไม่ถูกวิธีก็จะเสียความร้อนโดยเปล่าประโยชน์ อาหารสุกช้าลง และยังต้องใช้ไฟเพิ่มขึ้นด้วย โดยวิธีใช้ให้ประหยัด คือ   ควรใช้ภาชนะ ก้นแบน เนื้อโลหะ เพราะจะรับความร้อนได้ดี ทำให้อาหารสุกง่ายขึ้น ขณะอบอาหารอย่าเปิดตู้อบบ่อย ๆ ถอดปลั๊กออกทันทีเมื่อใช้งานเสร็จ เตาไฟฟ้า กระทะไฟฟ้า นิยมใช้กันมากในคอนโดฯ หรืออพาร์ทเม้นท์ เพราะใช้งานสะดวก ประหยัดพื้นที่ แต่ก็ได้ขึ้นชื่อว่ากินไฟมากพอตัวเลยครับ แต่พอจะมีวิธีใช้ให้กินไฟไม่มากเกินไปอยู่บ้าง ได้แก่   เลือกใช้รุ่นที่มีระบบตัดไฟอัตโนมัติ สายไฟ เต้าเสียบ ต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อนใช้งาน เนื่องจากจะมีการนำความร้อนมาก ปิดเตาก่อนอาหารสุก 5 นาที ถอดปลั๊กออกทันทีเมื่อใช้งานเสร็จ เครื่องปรับอากาศ สุดท้ายจะไม่เอ่ยถึงเลยไม่ได้เด็ดขาด สำหรับเครื่องปรับอากาศที่ทุกบ้านต้องใช้งานกันอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน แม้จะแลกมากับค่าไฟที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวก็ตาม แม้จะเลี่ยงการใช้งานไม่ได้ก็มาดูวิธีใช้อย่างประหยัดกันครับ   เลือกเครื่องปรับอากาศขนาดเหมาะสมกับพื้นที่ห้อง และเป็นเครื่องที่ได้รับการรับรองมาตรฐานประหยัดไฟ ติดตั้งเครื่องปรับอากาศเว้นระยะห่างจากเพดานให้พอดี เพื่อระบายความร้อนจากตัวเครื่องได้ดีขึ้น ทำความสะอาดฟิลเตอร์แอร์ และบำรุงรักษาเครื่องอยู่เสมอ จะช่วยลดการทำงานหนักของเครื่องปรับอากาศได้ ตั้งอุณหภูมิไม่ควรต่ำกว่า 26 องศาเซลเซียส ปิดประตู หน้าต่างให้มิดชิด เพื่อไม่ให้ความเย็นรั่วไหลออกนอกห้อง และยังช่วยไม่ให้ความร้อนจากภายนอกเข้ามา ช่วยลดภาระการทำงานของเครื่องปรับการ   วีธีการเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องของการประหยัดค่าไฟบ้านเท่านั้น แต่ยังช่วย #Save ความปลอดภัยให้บ้านเราได้อีกทางหนึ่งด้วยนะครับ เพราะหากเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหลายในบ้านเราได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย ก็จะป้องกันการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร สาเหตุหลักของกาเกิดอัคคีภัยได้อีกด้วย และอย่าลืม! หลังการใช้งานปิดสวิตซ์ ถอดปลั๊กทุกครั้งด้วยนะครับ   ลองไปดูวิธีการอื่นๆ เพื่อการประหยัดไฟในบ้านกัน จัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์ สาเหตุหลักที่ทำให้แอร์ไม่เย็นฉ่ำ คำนวน BTU แอร์ ให้เหมาะกับขนาดห้อง