Tag : Infographic

288 ผลลัพธ์
สูตรเด็ดเคล็ดลับ ลงทุนคอนโด การรันตีผลตอบแทน

สูตรเด็ดเคล็ดลับ ลงทุนคอนโด การรันตีผลตอบแทน

“คอนโด การันตีผลตอบแทน” หรือที่ในต่างประเทศนิยมเรียกว่า “Sales & Leaseback Stratgies (คอนโดที่ขายโดยใช้กลยุทธ์ขายแล้วเช่ากลับคืน) ” ในแง่การลงทุนแล้วจัดว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง คอนโดแบบนี้มักพบเจอได้ไม่ยากตามหัวเมืองท่องเที่ยวต่างๆ อาทิ พัทยา หัวหิน ภูเก็ต และเชียงใหม่ รวมถึงในกรุงเทพฯ ด้วย จุดน่าสนใจของคอนโดฯ ลักษณะนี้อยู่ตรงที่ผู้ลงทุนที่ซื้อเป็นเจ้าของจะมีสิทธิได้รับผลตอบแทนจากการที่โครงการรับเอาไปบริหารจัดการปล่อยเช่า โดยอาจทำเป็นโรงแรมหรือเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ให้แทน โดยผลตอบแทนนี้จะได้รับแน่ๆ ตามข้อตกลงหรือสัญญาที่การันตีเอาไว้ ซึ่งปกติมักจ่ายออกมาในรูปของค่าเช่านั่นเอง ไม่เพียงเท่านั้นการถือครองคอนโดฯ แบบนี้ยังช่วยให้เจ้าของไม่มีภาระจ่ายค่าส่วนกลางในระหว่างการถือครอง ขณะเดียวกันก็ยังมีโอกาสกลับมาใช้ประโยชน์คอนโดฯ เพื่อพักผ่อนในยามที่ต้องการได้ด้วย และข้อดีสุดท้ายก็คือเมื่อคิดขายเมื่อไร คอนโดฯ แบบนี้ก็มักขายได้ง่ายและได้ราคากว่าคอนโดฯ ทั่วไป แม้คอนโดฯ ประเภทนี้จะน่าจูงใจอย่างยิ่งต่อการลงทุนซื้อ แต่ความสำเร็จสำคัญในการลงทุนจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับคุณลักษณะและทำเลที่ตั้งของตัวคอนโดฯ เป็นสำคัญ ซึ่งจะต้องเหมาะกับการนำมาใช้หาผลประโยชน์ในการปล่อยเช่าด้วย หากไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว คนที่ลงทุนก็มีโอกาสประสบปัญหาต่างๆ ได้เช่นกัน อาทิ ทำสัญญากันแล้วไม่อาจ ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในระยะยาว หรือบางครั้งอาจเลวร้ายถึงชั้นมีการผิดสัญญาเกขึ้นได้ ในบ้านเราเมื่อไม่นานมานี้ได้เคยมีผู้ทำการวิจัยและศึกษาคอนโดฯ การันตีผลตอบแทนเอาไว้ โดยพบว่าปัจจัยกำหนดความสำเร็จในการซื้อคอนโดฯ แบบขายแล้วเช่ากลับคืนมาบริหาร โดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับ 7 ปัจจัยสำคัญดังนี้ วิวทิวทัศน์และบรรยากาศ เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ ที่จะช่วยให้คอนโดฯ ปล่อยเช่าง่าย ได้ราคาและประสบความสำเร็จ ทำเลที่ตั้ง คอนโดฯ ที่ทำเลที่ตั้งที่ดีกว่า เมื่อนำห้องชุดไปบริหารเป็นโรงแรมก็จะทำให้มีลูกค้ามาใช้บริการมากกว่าตามไปด้วย การเพิ่มมูลค่าคอนโดฯ หลังลงทุนไป ต้องเน้นเลือกคอนโดฯ เฉพาะที่อยู่ในทำเลที่มีแนวโน้มเพิ่มค่าได้ดีเท่านั้น คือต้องเป็นพื้นที่ที่มีแนวโน้มเจริญขึ้นได้เรื่อยๆ และไม่มีปัญหาการแข่งขันทั้งในปัจจุบันและในอนาคต การการันตีค่าเช่า ควรต้องมีระบุในสัญญาไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษรณ์อักษร ผลตอบแทนและความคุ้มค่าในการลงทุน ต้องพิจารณาดูว่าผลตอบแทนที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมากน้อยแค่ไหนและคุ้มค่าเพียงใด ปกติเกณฑ์ที่ใช้วัดความคุ้มค่าควรต้องสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อคอนโดฯถัวเฉลี่ยอย่างน้อย 1% ความปลอดภัยในโครงการ โดยทั่วไปคอนโดฯ ที่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยมักส่งผลลบตามมา ทำให้คอนโดฯนั้น มีปัญหาในการปล่อยเช่าในอนาคต การมีสิทธิได้กลับมาพักที่โครงการ ถือเป็นส่วนที่ทำให้ผู้ซื้อเกิดความภาคภูมิใจและรู้สึกดีที่ได้เป็นเจ้าของคอนโดฯ เพราะมีโอกาส มาใช้พักผ่อนเมื่อต้องการได้
ก่อสร้างหรือดัดแปลงบ้าน ต้องมีระยะร่น

ก่อสร้างหรือดัดแปลงบ้าน ต้องมีระยะร่น

กฎหมายควบคุมอาคารมีข้อกำหนดให้อาคารทุกประเภทต้อง “ร่นแนวอาคาร” จากแนวเขตที่ระบุไว้ นอกเหนือจากการต้องเว้นให้มีที่ว่างสำหรับอาคารทุกหลังที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงแล้ว กฎหมายควบคุมอาคารยังมีข้อกำหนดให้อาคารทุกประเภทต้อง ร่นแนวอาคาร  จากแนวเขตที่ระบุไว้ ไม่ว่าจะเป็นการต้องร่นแนวอาคารจากเขตถนนสาธารณะ หรือร่นจากเขตทางน้ำสาธารณะ บางข้อกำหนดให้ ผนังหรือระเบียงต้องห่าง  จากแนวเขตที่ดิน หรือต้องห่างจากผนังอาคารของผู้อื่นที่อยู่ข้างเคียง หรือต้องห่างจากผนังหรือระเบียงอาคารอื่นที่อยู่ในที่ดินเจ้าของเดียวกัน หลายคนเรียกข้อกำหนดนี้ว่า “ระยะร่น” และ “ระยะห่าง” ของอาคาร ก่อนดูในรายละเอียดของระยะร่น ท่านเจ้าของบ้านควรต้องทราบแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการร่นแนวอาคาร เพราะกฎหมายควบคุมอาคารกำหนดให้ต้อง ร่นแนวอาคาร  แต่ไม่ได้เขียนให้ชัดว่า แนวอาคาร  ที่ว่านั้นหมายถึงแนวไหนของตัวอาคาร หากไม่ใช่ข้อกำหนดที่ระบุชัดว่าเป็นผนังหรือระเบียง หลายคนเลยอาจคิดว่าแนวอาคารอาจหมายถึง แนวชายคา แนวกันสาด หรือแนวใดๆของอาคารยื่นออกไปมากที่สุด ปัจจุบันแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นโดยทั่วไปแล้วจะพิจารณาแนวอาคาร โดยถือเอาแนวผนังอาคาร หรือแนวเสาของอาคารที่อยู่ริมด้านนอกสุด แต่จะไม่รวมถึงกันสาด ชายคา หรือหลังคา  (อ้างอิงจากหนังสือตอบข้อหารือของกรมโยธาธิการและผังเมือง ที่ มท.0710/10880 และที่ มท.0710/13604) โดยระยะร่นทั้งหลายก็ให้วัดจากแนวเขตที่กฎหมายกำหนด เช่น กึ่งกลางถนนสาธารณะไปจนถึงผนังอาคารหรือเสาที่อยู่ริมนอกสุดของอาคารที่จะ ก่อสร้างหรือดัดแปลงนั่นเอง อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นเพียงแนวปฏิบัติ ดังนั้นในอนาคตก็อาจมีแนวปฏิบัติที่แตกต่างออกไป ระยะร่นอาคารจากแนวเขตที่กฎหมายกำหนดที่สำคัญ คือ ระยะร่นจากถนนสาธารณะ  เนื่อง เพราะถนนเป็นที่สาธารณะ ซึ่งอาคารส่วนใหญ่มักจะก่อสร้างใกล้ถนน และต้องก่อสร้างไม่ให้ส่วนใดของอาคารล้ำเข้าไปในที่สาธารณะ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นกรณีไป ระยะร่นจากถนนสาธารณะ กฎหมายควบคุมอาคารกำหนดให้อาคารทุกประเภทที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงต้องมีระยะร่นจากถนนสาธารณะ โดยระยะที่ต้องร่นแนวอาคารขึ้นกับว่าถนนสาธารณะที่อยู่ใกล้นั้นมีความกว้างเท่าใด และขึ้นกับว่าอาคารที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงนั้นเป็นอาคารประเภทใด โดยกฎหมายเขียนเรื่องนี้อยู่ในข้อเดียวกัน แต่เขียนเป็นสองวรรค (แต่ละวรรคก็คือแต่ละย่อหน้านั่นเอง เพียงแต่กฎหมายในระดับรอง เช่นกฎกระทรวงหรือข้อบัญญัติ ใช้คำเรียกว่า “วรรค” ในที่นี้จึงขอเขียนคำว่าวรรคนำหน้าเพื่อให้อ้างอิงได้) - วรรคแรก ถนนสาธารณะที่มีความกว้างเขตทางน้อยกว่า 6 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนสาธารณะไม่น้อยกว่า 3 เมตร กรณีนี้ไม่ได้ระบุประเภทอาคารจึงบังคับใช้กับทุกอาคาร - วรรคสอง สำหรับอาคารที่สูงเกิน 2 ชั้นหรือเกิน 8 เมตร ห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว อาคารพาณิชย์ โรงงาน อาคารสาธารณะ ป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้าย หรือคลังสินค้า ที่ก่อสร้างสร้างใกล้ถนนสาธารณะที่มีความกว้างต่างๆ ให้มี ระยะร่นดังนี้ 1. ถนนสาธารณะที่มีความกว้างน้อยกว่า 10 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนสาธารณะไม่น้อยกว่า 6 เมตร 2. ถนนสาธารณะที่มีความกว้างตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป แต่ไม่เกิน20 เมตร ให้ ร่นแนวอาคารห่างจากเขตถนนสาธารณะไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของความกว้างของเขตถนนนั้นๆ เช่น ถ้าถนนกว้าง 12 เมตร แนวอาคารต้องร่นห่างจากเขตถนนเท่ากับ 1.20 เมตร 3. ถนนสาธารณะที่มีความกว้างตั้งแต่ 20 เมตรขึ้นไป ให้ร่นแนวอาคารห่างจากเขตถนนสาธารณะไม่น้อยกว่า 2 เมตร หลายคนอ่านแล้วอาจคิดต่อว่าในวรรคสอง (1) กำหนดความกว้างของถนนสาธารณะว่ากว้างน้อยกว่า 10 เมตร แปลว่า ถ้าถนนกว้างเพียง 4 เมตร จะเข้าเกณฑ์ทั้งวรรคแรกและวรรคสอง (1) แล้วจะใช้ระยะร่นตามวรรคไหน เพราะวรรคแรกให้ร่นเพียง 3 เมตรแต่วรรคสอง (1) ให้ร่นถึง 6 เมตร แต่ให้สังเกตว่าในวรรคสองนั้นมีกำหนดประเภทของอาคารไว้ด้วย หมายความว่าอาคารตามที่ระบุเท่านั้นจึงใช้ตัวเลขระยะร่นตามวรรคสอง (1) นอกจากนั้นจึงให้ใช้ตัวเลขระยะร่นตามวรรคแรก ซึ่งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดก็มีระบุไว้แตกต่างกัน ดังนั้น ถ้าสร้างบ้านใกล้ถนนสาธารณะที่กว้างน้อยกว่า 6 เมตร จะใช้ระยะร่นตามวรรคแรกก็ต่อเมื่อ บ้านนั้นสูงไม่เกิน 2 ชั้นหรือไม่เกิน 8 เมตร กรณีสร้างอยู่ต่างจังหวัด แต่หากเป็นบ้านที่สร้างในกรุงเทพฯ จะต้องเป็นบ้านที่สูงไม่เกิน 3 ชั้นหรือไม่เกิน 10 เมตร และพื้นที่ไม่เกิน 1,000 ตารางเมตร โดยบ้านที่สร้างนั้นต้องไม่ใช่ห้องแถว ตึกแถวหรือบ้านแถว นอกเหนือจากนี้ต้องใช้ตัวเลขระยะร่นตามวรรคสอง (1) ตัวอย่างเช่น ถ้าก่อสร้างบ้านพักอาศัยสูง 4 ชั้นใกล้กับถนนสาธารณะที่กว้างน้อยกว่า 6 เมตร จะต้องร่นแนวอาคารจากกึ่งกลางถนนสาธารณะไม่น้อยกว่า 6 เมตร ประเด็นสำคัญที่ท่านเจ้าของบ้านต้องทราบไว้ คือ หากท่านหรือใครก็ตามเป็นเจ้าของที่ดินในต่างจังหวัด แล้วยินยอมให้คนทั่วไปใช้ที่ดินนั้นเป็นทางผ่าน โดยจะเก็บค่าผ่านทางหรือไม่ก็ตาม กฎหมายควบคุมอาคารจะถือว่าที่ดินนั้นเข้าข่ายเป็น “ถนนสาธารณะ” ทันที เมื่อเป็นถนนสาธารณะ อาคารที่สร้างใกล้กับที่ดินที่ยอมให้คนทั่วไปผ่านนั้น ก็ต้องก่อสร้างให้มีระยะร่นเช่นเดียวกับที่ต้องร่นจากถนนสาธารณะ สำหรับในเขตกรุงเทพฯ ที่ดินที่ยินยอมให้คนทั่วไปใช้เป็นทางผ่าน หากมีความยาวไม่เกิน 500 เมตรหรือมีการปักป้ายหวงห้ามกรรมสิทธิ์ไว้ จะถือว่าเป็น “ทางส่วนบุคคล” ไม่ถือเป็นถนนสาธารณะ แต่หากไม่เข้าสองเงื่อนไขนี้จะเข้าข่ายเป็นถนนสาธารณะตามกฎหมายควบคุมอาคารและก็จะต้องมีระยะร่นเช่นกัน เรื่องของกฎหมายควบคุมอาคารเกี่ยวกับระยะร่นหรือระยะห่างอาคารนั้น มีข้อกำหนดอยู่ค่อนข้างมาก จะค่อยๆ นำแต่ละกรณีมาเขียนให้ทราบต่อไป หมายเหตุ : ท่านที่ต้องการอ้างอิงข้อกฎหมายในเรื่องระยะร่นจากถนนสาธารณะ หากเป็นที่ดินในต่างจังหวัดให้ดูกฎกระทรวงฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ข้อ 41 หากเป็นที่ดินในกรุงเทพฯ ให้ดูข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544 ข้อ 50   ขอขอบคุณแหล่งที่มาจาก คมกฤช ชูเกียรติมั่น ผู้อำนวยการสถาบันสถาปนิกสยาม สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์
เงื่อนไขดีๆ เมื่อคิดรีไฟแนนซ์

เงื่อนไขดีๆ เมื่อคิดรีไฟแนนซ์

ในช่วงแรกของการผ่อนชำระหนี้บ้านธนาคารมักให้อัตราดอกเบี้ยคงที่ หรืออัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น เพื่อจูงใจให้เราตัดสินใจกู้ซื้อบ้านกับธนาคารนั้นๆ เชื่อว่าหลายคนเมื่อผ่อนชำระหนี้บ้านไปสักระยะหนึ่ง โดยผ่านพ้นอัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่นไปแล้ว ก็มักคิดที่จะหาดอกเบี้ยถูกด้วยการรีไฟแนนซ์ไปธนาคารอื่น แต่รู้หรือไม่ว่าการรีไฟแนนซ์เราสามารถเปลี่ยนเงื่อนไขบางอย่างเพื่อให้เป็นประโยชน์มากขึ้น เพิ่มผู้กู้ สร้างความสามารถในการชำระหนี้ เมื่อมีความจำเป็นที่ต้องขอสินเชื่อเพิ่ม เช่น จำเป็นต้องกู้ซื้อรถยนต์ไปใช้ในการทำงานหรือทำธุรกิจ หรือต้องการกู้เงินเพื่อใช้ศึกษาต่อ แต่ความสามารถในการชำระหนี้ไม่เพียงพอ เพราะติดภาระผ่อนหนี้บ้านอยู่ การรีไฟแนนซ์สามารถเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้ด้วยการเพิ่มผู้กู้ที่เป็นเครือญาติได้ครับ ซึ่งหลังจากที่เรารีไฟแนนซ์โดยเปลี่ยนจากการกู้คนเดียวเป็นการกู้ร่วมแล้ว ในการขอสินเชื่อครั้งต่อไป ภาระผ่อนที่ธนาคารนำไปพิจารณาก็จะหารตามจำนวนผู้กู้ร่วมแทนที่จะคิดเต็มจำนวน ทั้งนี้การกู้ร่วมช่วยให้เรามีโอกาสกู้ผ่านได้ก็จริง แต่ควรให้ความสำคัญกับการผ่อนชำระหนี้ด้วยครับว่า มีรายได้เพียงพอสำหรับการชำระหนี้หรือไม่ ในกรณีที่เราต้องเป็นผู้จ่ายชำระหนี้เพียงคนเดียวซึ่งอาจจะส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาทางด้านการเงินได้ หากมีรายได้ตามที่แจ้งกับธนาคารเท่านั้น แต่ถ้ามีรายได้อื่นๆ ที่ธนาคารไม่ได้นำมารวม เช่น รายได้จากอาชีพเสริม ก็จะช่วยให้เรามีรายได้เพิ่มในการจ่ายชำระหนี้ได้เป็นปกติ และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาการผ่อนชำระหนี้ แนะนำว่าควรมีภาระผ่อนต่อเดือนไม่เกิน 30% ของรายได้ครับ เช่น มีรายได้เดือนละ 40,000 บาท ควรมีภาระผ่อนต่อเดือนไม่เกิน 12,000 บาท เพิ่มระยะเวลาผ่อน ลดภาระค่าใช้จ่าย หากใครที่ทำสัญญาวงเงินกู้กับธนาคารเดิมไว้ โดยเลือกระยะเวลาการผ่อนชำระสั้นกว่าที่ธนาคารกำหนด เช่น มีสิทธิที่จะกู้ได้สูงสุดถึง 30 ปี แต่เลือกกู้เพียงแค่ 15 ปี ทำให้ยอดผ่อนชำระต่อเดือนเป็นจำนวนเงินที่สูง หากต่อมาปัจจุบันมีภาระค่าใช้จ่ายอย่างอื่นเพิ่มมากขึ้น ทำให้ไม่สามารถผ่อนหนี้บ้านได้ตามปกติ การรีไฟแนนซ์สามารถเลือกยืดระยะเวลาการผ่อนครั้งใหม่ ให้ผ่อนได้ยาวขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าผ่อนต่อเดือนลดลง โดยระยะเวลาผ่อนที่เลือกใหม่จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่ธนาคารแห่งใหม่กำหนด อย่างไรก็ตามการเพิ่มระยะเวลาในการผ่อนชำระถึงแม้จะช่วยให้ภาระผ่อนต่อเดือนน้อยลงก็จริง แต่ต้องไม่ลืมว่าการผ่อนชำระด้วยจำนวนเงินที่น้อยลงจะส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายโดยรวมสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการผ่อนสั้นด้วยจำนวนเงินที่มากกว่า เพิ่มวงเงิน มีเงินไว้ใช้จ่ายยามจำเป็น สำหรับวงเงินกู้ของการรีไฟแนนซ์ไม่จำเป็นต้องเท่ากับภาระหนี้คงเหลือจากธนาคารเดิมเสมอไปครับ ถ้าหากใครที่กำลังคิดจะรีไฟแนนซ์ และมีความจำเป็นต้องใช้เงิน เช่น อยากซ่อมแซมบ้าน ก็สามารถขอวงเงินเพิ่มให้สูงกว่าภาระหนี้คงเหลือได้ ซึ่งวงเงินทั้งหมดจะต้องไม่เกินมูลค่าหลักประกันตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด เช่น วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 80% ของราคาประเมิน หรือบางธนาคารอาจกำหนดเงื่อนไขการได้เพิ่มวงเงิน เช่น สามารถขอเพิ่มได้ไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นต้น แต่การขอวงเงินเพิ่มธนาคารจะต้องพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ประกอบด้วยครับว่า รายได้เมื่อเปรียบเทียบกับภาระหนี้แล้วเพียงพอ สามารถผ่อนชำระหนี้ได้ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนดหรือไม่
การเลือกอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ และการเลือกธนาคาร

การเลือกอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ และการเลือกธนาคาร

ปัจจุบันหลายธนาคารต่างก็ออกสินเชื่อรูปแบบต่างๆ รวมทั้งเงื่อนไข และอัตราดอกเบี้ยที่น่าจูงใจมากมาย พอถึงเวลาที่เราจะต้องตัดสินใจเลือกกู้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านหรือคอนโดซักครั้ง เลยเกิดอาการตาลาย มึนกับข้อมูลต่างๆ จนทำให้ตัดสินใจเลือกไม่ได้ หรือถ้าเลือกได้ก็อาจจไม่ใช่เงื่อนไขที่ดีที่สุดตามใจเรา วันนี้เราเลยนำหลักเกณฑ์ง่ายๆ ในการตัดสินใจเลือกธนาคาร และอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้สินเชื่อมาให้เป็นข้อมูลเพื่อช่วยให้การตัดสินใจง่ายขึ้น ก่อนอื่นเรามาดูกันที่อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ กันก่อน โดยหลักๆ แล้ว มักจะมีให้เลือกกัน 3 แบบคือ 1. สินเชื่อดอกเบี้ยแบบลอยตัว (Floating Rate Loan) คือ อัตราดอกเบี้ยที่คิด ณ วันที่ทำสัญญาที่ผู้กู้ตกลงกู้ ซึ่งทางธนาคารสามารถปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นลงได้ตามสถานการณ์ตลาดเงิน หรือต้นทุนทางการเงินของธนาคาร โดยการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยอาจจะกระทบต่อเงินงวดในแต่ละเดือนซึ่งอาจจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ข้อดีคือ ถ้าอัตราดอกเบี้ยลดลง เงินงวดที่เคยจ่ายก็จะนำไปตัดเงินต้นได้เยอะขึ้น ทำให้เราสามารถผ่อนได้หมดเร็วขึ้น 2. สินเชื่อดอกเบี้ยแบบคงที่ (Fixed Rate Loan) คือ อัตราเงินกู้ที่กำหนดเอาไว้ให้คงที่ เช่นเดียวกันกับจำนวนเงินที่ต้องชำระในแต่ละงวดก็จะเท่ากันตลอดระยะเวลากู้ ซึ่งมักจะเป็นแบบดอกเบี้ยคงที่ระยะสั้น 1-2 ปี ข้อดีก็คือ เราสามารถวางแผนการเงินได้ เพราะเงินค่างวดไม่เปลี่ยนแปลง 3. สินเชื่อดอกเบี้ยแบบผสม (Rollover Mortgage Loan) คือ การกู้เงินที่ใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ในระยะหนึ่ง แต่เมื้อพ้นกำหนดไปแล้ว จะเปลี่ยนเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัวแทน ซึ่งสินเชื่อแบบนี้จะมีอัตราดอกเบี้ยในช่วงแรกค่อนข้างถูก ทำให้ผู้กู้สามารถโปะเงินงวดเพื่อลดเงินต้นได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ผู้กู้ควรคำนวนอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหมดให้รอบคอบเสียก่อนด้วย ** ทั้งนี้ หลังจากวันที่ 1 สิงหาคม 2556 เป็นต้นมา ทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดให้สถาบันการเงินต้องแสดงอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (Effective Interest Rate - EIR) เพื่อช่วยเป็นแนวทางในการเปรียบเทียบดอกเบี้ยจากโปรโมชั่น และอัตราดอกเบี้ยจริง แต่อย่างไรก็ดี ผู้กู้ก็ควรสังเกตุฐานการคำนวนของแต่ละธนาคารด้วยว่าใช้วงเงินและระยะเวลาผ่อนชำระเท่าไหร่ในการคำนวน   พอได้อัตราดอกเบี้ยที่ต้องการแล้ว การเลือกธนาคาร ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กันนะครับ ซึ่งเราควรพิจารณาจาก อัตราดอกเบี้ย ที่ต้องจ่าย วงเงินสินเชื่อ ที่ทางธนาคารให้ครอบคลุมกับวงเงินที่ต้องการหรือไม่ ระยะเวลาในการผ่อนชำระค่างวด ให้ดูว่าเหมาะสมกับกำลังการจ่ายของเราด้วยหรือไม่ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการขอสินเชื่อ เช่น ค่าธรรมเนียมสินเชื่อ ค่าจดจำนอง เป็นต้น ความรวดเร็วในการอนุมัติสินเชื่อ เงื่อนไขอื่นๆ เกี่ยวกับการชำระเงินงวด ค่าธรรมเนียม หรือค่าปรับต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกรณีจ่ายค่างวดล่าช้า หรือผิดนัด เงื่อนไขในการรีไฟแนนซ์ หรือการปิดบัญชี มีค่าปรับหรือค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ความสะดวกในการใช้บริการ เช่น มีจุดจ่ายเงินหลายแห่ง หรือธนาคารสาขาอยู่ใกล้บ้าน เป็นต้น โดยปกติแล้ว เรามักจะให้ความสำคัญกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำที่สุด แต่ก็ไม่ควรลืมพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ตามหัวข้อในข้างต้น เพื่อให้ได้ธนาคารที่มีทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเรา ที่สำคัญต้องไม่ลืมดูเงื่อนไขต่างๆ ให้ครบถ้วนทุกข้อด้วยนะครับ เพื่อจะได้ไม่มีข้อเสียเปรียบธนาคารในภายในหลังยังไงล่ะครับ  
ผู้ซื้ออาคารชุดต้องพิทักษ์สิทธิตนเอง

ผู้ซื้ออาคารชุดต้องพิทักษ์สิทธิตนเอง

ผู้ซื้อที่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในอาคารชุดตามสัญญา และเข้าอยู่อาศัยในห้องชุดที่เป็นทรัพย์ส่วนบุคคลของตน และเป็นผู้ใช้สิทธิในห้องชุดแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเจ้าของห้องชุดแต่ละห้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมในทรัพย์ส่วนกลาง ดังนั้นแต่ละคนมีหน้าที่ร่วมกันออกค่าใช้จ่ายเพื่อบำรุงดูแลรักษาทรัพย์สินส่วนกลางได้แก่ (1) ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการบริการส่วนรวม เช่น ค่าจ้างยามรักษาความปลอดภัย ค่าจ้างเก็บขยะ ค่าจ้างดูแลรักษาความสะอาด (2) ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากเครื่องมือเครื่องใช้ที่มีไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น ค่ากระแสไฟฟ้าสำหรับลิฟท์ส่วนกลาง (3) ค่าภาษีอากร เช่น ค่าภาษีอากรที่จะต้องชำระในนามของอาคารชุดและเกิดขึ้นจากการดูแลรักษา และการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลางเท่านั้น (4) ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดูแลรักษาทรัพย์ส่วนกลาง (5) ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์ส่วนกลาง เช่น เงินเดือนของผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด ค่าเครื่องใช้และอุปกรณ์ต่างๆ ในสำนักงานนิติบุคคลอาคารชุด เป็นต้น ทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุด ได้แก่ (1) ที่ดินแปลงที่ปลูกสร้างอาคารชุด (2) ที่ดินที่มีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกันเช่น ที่ดินสวนพักผ่อนร่วมกัน ที่ลานจอดรถยนต์ร่วมกัน (3) โครงสร้างและสิ่งก่อสร้างเพื่อความมั่นคงและป้องกันความเสียหายต่ออาคารชุด เช่นรากฐาน เสาเข็ม หลังคา ฝาผนังด้านนอกโดยรอบ เขื่อนกั้นน้ำ (4)อาคารหรือส่วนของอาคารและเครื่องอุปกรณ์ที่มีไว้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน เช่นอาคารที่เก็บรถยนต์ร่วมกัน ระเบียงที่มีไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน (5) เครื่องมือและเครื่องใช้ที่มีไว้เพื่อใช้หรือเพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น เครื่องดับเพลิงส่วนรวม เครื่องดูดฝุ่นส่วนรวม (6) สถานที่มีไว้เพื่อบริการส่วนรวม เช่น สระว่ายน้ำ ห้องรับแขกร่วมกัน (7) ทรัพย์สินอื่นที่มีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น ลิฟท์ เป็นต้น นิติบุคคลอาคารชุด เป็นองค์กรจัดการดูแลทรัพย์สินส่วนกลางของอาคารชุด โดยมีคณะกรรมการควบคุมการจัดการนิติบุคคลอาคารชุด เป็นผู้บริหารจัดการดูแลทรัพย์ส่วนกลางในนามของนิติบุคคลอาคารชุด ในการดำเนินการจะเป็นไปตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุด ผู้ดำเนินการแทนนิติบุคคลอาคารชุดที่เรียกว่า ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดนั้นจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ ซึ่งเจ้าของห้องชุดแต่ละห้องต้องจัดให้มีคณะกรรมการเข้าควบคุมการจัดการนิติบุคคลอาคารชุดด้วยตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด กำหนดให้เจ้าของห้องชุดแต่ละห้อง มีหน้าที่ร่วมกันตรวจสอบการบริหารงานของนิติบุคคลอาคารชุดว่าเป็นไปตามข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดหรือไม่หากพบว่าผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ไม่มีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดปัญหาอาคารชุดดังกล่าว ตามกฎหมายกำหนดให้เจ้าของห้องชุดมีสิทธิเรียกประชุมเจ้าของห้องชุด เพื่อให้ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดชี้แจงข้อเท็จจริง หากผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดไม่ชี้แจงหรือปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ก่อให้เกิดความเสียหาย ก็ให้เจ้าของห้องชุดนำเรื่องเสนอที่ประชุมเจ้าของร่วมทั้งหมด เพื่อมีมติถอดถอนผู้จัดการได้ ทั้งนี้โดยได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนคะแนนเสียงของเจ้าของร่วมทั้งหมดนั้น
รับโอนบ้าน คอนโดฯ ทั้งที่ยังมีจุดแก้ไข จะกลายเป็นไก่รองบ่อน

รับโอนบ้าน คอนโดฯ ทั้งที่ยังมีจุดแก้ไข จะกลายเป็นไก่รองบ่อน

เรื่องหนึ่งที่อยากจะเตือนผู้ซื้อบ้าน หรือคอนโดทั้งหลายให้จำขึ้นใจไว้เลยว่า หากบ้านหรือคอนโดที่เราซื้อไว้ ยังมีจุดที่ต้องแก้ไขในระหว่างขั้นตอนการตรวจรับ เราจะต้องแน่ใจว่าทางโครงการได้ทำการแก้ไขให้เราครบถ้วนเรียบร้อยตามที่เราพอใจ ก่อนจะเซ็นรับโอนบ้านหรือคอนโด ไม่ว่าจะเป็นจุดบกพร่องเหล่านั้นจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม บางทีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อย่าง งานเก็บสีเลอะเทอะตามขอบประตู หน้าต่าง, ประตูปิดไม่สนิท หรือหน้าต่างฝืดเปิด-ปิดลำบาก และแม้กระทั่งพวกปัญหารอยรั่วซึมนิดๆ หน่อยๆ ในห้องน้ำที่เราอาจจะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรวุ่นวาย อาจจะกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องตามแก้กันยาวนานให้เราปวดหัวซ้ำแล้วซ้ำอีก ยิ่งถ้าเราโชคร้ายไปเจอกับโครงการที่ไร้ความรับผิดอบ ไม่ใส่ใจไม่ทำตามสัญญาทั้งๆ ที่รับปากกันไว้แล้ว หรือกว่าจะมาแก้ให้ก็ต้องโทรตามช่างกันถี่ยิบ หรือตามจิกกันเป็นเดือนๆ จาก และอาจจะต้องเสียเงินเพิ่มเติมถ้าปัญหาเหล่านั้นเรื้อรังต้องซ่อมต้องแก้กันจนเกินระยะเวลาประกัน บางครั้งทางโครงการอาจจะพยายามยื่นข้อเสนออันน่าจูงใจเพื่อให้เราเซ็นรับมอบไปก่อน แล้วค่อยมาแก้ปัญหา (ที่คิดว่า) เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ทีหลัง โดยสัญญากันปากเปล่าไม่มีหนังสืออะไรรับรอง ถ้าหากเราเกิดเห็นแก่ข้อเสนอหรือของแถมเพิ่มเติม เช่น บัตรกำนัลเฟอร์นิเจอร์, ส่วนลดค่าโอน หรือออกค่าใช้จ่ายในการโอนให้ทั้งหมด ยอมเซ็นรับมอบโอนบ้านหรือคอนโดไปแล้ว ทางโครงการอาจตุกติกไม่ยอมเข้ามาซ่อมแก้ไขให้ตามที่สัญญา ดึงเวลาให้ยืดเยื้อยาวนานออกไปอีก ทีนี้ก็เท่ากับเราตกหลุมพลางที่ถูกหลอกล่อไว้ด้วยสิ่งจูงใจเพียงเล็กน้อย เข้าตำรา " เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย" แล้วต้องกลายมาเสียสุขภาพจิต หรือเสียเงินจ้างช่างมาซ่อมเองเสียอีก....จะได้ไม่คุ้มเสียเอานะครับ จำไว้!!!
เรื่องต้องรู้ก่อนกู้ร่วมซื้อบ้าน

เรื่องต้องรู้ก่อนกู้ร่วมซื้อบ้าน

“กู้ร่วมซื้อบ้าน เป็นทางออกหนึ่งของผู้ที่กู้คนเดียวอาจผ่านยาก หรือต้องการวงเงินกู้บ้านที่สูงขึ้น” “อยากมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลังหนึ่ง” เชื่อว่าเป็นความฝันที่ทุกคนมีเหมือนๆ กัน ซึ่งปัจจุบันเราสามารถเป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องรอเก็บเป็นเงินก้อนใหญ่ก็สามารถกู้เงินซื้อบ้านได้ โดยผู้ที่มีฐานรายได้สูงอาจทำเรื่องกู้บ้านเพียงคนเดียวก็ผ่าน แต่ผู้ที่มีรายได้ไม่สูงนัก หรือมีภาระค่าใช้จ่ายด้านอื่นมากทำให้มีความสามารถในการผ่อนชำระค่าบ้านลดลง หากยังต้องการซื้อบ้าน เพื่อให้สามารถกู้ผ่าน ก็จะต้องหาผู้กู้ร่วม ทั้งนี้ การกู้ร่วมนั้นมีประเด็นสำคัญๆ ที่ควรคำนึงถึง 3 เรื่องด้วยกัน ผู้กู้ร่วมซื้อบ้าน ... เป็นใครได้บ้าง แม้ว่าการกู้ร่วมจะเป็นทางออกที่ช่วยให้การกู้เงินซื้อบ้านง่ายขึ้น และได้วงเงินกู้เพิ่มขึ้น แต่ใช่ว่าจะเลือกใครมาเป็นผู้กู้ร่วมก็ได้ หรือกู้ร่วมกี่คนก็ได้ เนื่องจากธนาคารจะมีเงื่อนไขของการกู้ร่วมไว้ โดยทั่วไปกำหนดว่าผู้กู้ร่วม ต้องมีสายโลหิตเดียวกัน หรือมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติ เช่น - ผู้ที่มีนามสกุลเดียวกัน อาจเป็นสามีภรรยา พี่น้อง พ่อ/แม่กับลูก รวมทั้งเป็นญาติกันโดยมีนามสกุลเดียวกัน - พี่น้องท้องเดียวกันแต่คนละนามสกุลก็สามารถกู้ร่วมกันได้ เพียงแต่แสดงทะเบียนบ้านหรือสูติบัตรระบุว่าพ่อแม่เดียวกัน - กรณีสมรสไม่จดทะเบียนก็แสดงหลักฐาน เช่น ภาพถ่ายงานแต่ง การ์ดแต่ง หรือการมีบุตรร่วมกัน แต่กรณีผู้ที่เป็นแฟนกันเฉยๆ โดยทั่วไปมักจะกู้ร่วมไม่ได้ นอกจากนี้ ธนาคารอาจกำหนดจำนวนผู้กู้ร่วมไว้ เช่น กู้ร่วมได้ไม่เกิน 2 คน เป็นต้น สำหรับการอนุมัติสินเชื่อบ้านของการกู้ร่วม จะพิจารณารายได้ของทุกคน หักภาระค่าใช้จ่ายของทุกคนแล้วดูว่ามีความสามารถที่จะผ่อนได้ต่อเดือนเท่าไรแล้วพิจารณาวงเงินสินเชื่อกู้บ้าน กรรมสิทธิ์ในอสังหาฯ ... เป็นของคนเดียว หรือ หลายคน แน่นอนว่ากรณีของการกู้เดี่ยว เมื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้านหมดแล้ว กรรมสิทธ์ในบ้านหลังนั้นจะเป็นของผู้กู้ สำหรับกรณีของการกู้ร่วมนั้น โดยทั่วไป การกู้ร่วมซื้อบ้านทำได้ 2 แบบ แบบแรกคือ การใส่ชื่อคนเดียวเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่เวลากู้ยืมใช้หลายคนมากู้ร่วม และแบบที่สอง การกู้ร่วมโดยใส่ชื่อผู้กู้ร่วมทุกคนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ในทางปฏิบัติ ส่วนใหญ่แล้วผู้กู้จะเลือกแบบที่สอง เพราะผู้กู้ทุกคนมีกรรมสิทธิ์ในบ้านหรืออสังหาฯ นั้นร่วมกัน แต่การถือกรรมสิทธิ์ร่วม มีเรื่องที่ต้องคำนึงคือ หากต้องการขายบ้านหรืออสังหาฯ นั้น จะทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับการยินยอมจากผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมทุกคน หรือแม้กระทั่ง ต้องการยกกรรมสิทธิ์ในบ้านหรืออสังหาฯ ให้เป็นของบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่อยู่ในชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมนั้น กรมที่ดินจะถือว่า มีการซื้อขายบ้านหรืออสังหาฯ เกิดขึ้น ทำให้มีค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย รวมถึงค่าอากรแสตมป์หรือภาษีธุรกิจเฉพาะเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย สิทธิประโยชน์ด้านภาษีจากดอกเบี้ยจ่าย ... ลดหย่อนอย่างไร ดอกเบี้ยจ่ายของเงินกู้บ้านสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงแต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อปีภาษี ดอกเบี้ยจ่ายของเงินกู้บ้านสามารถดูได้จากหนังสือรับรองดอกเบี้ยจ่ายที่สถาบันการเงินจะส่งมาให้ผู้กู้ตอนต้นปี กรณีของการกู้เดี่ยว การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากดอกเบี้ยบ้านดังกล่าวจะเป็นของผู้กู้เพียงผู้เดียว จ่ายดอกเบี้ยทั้งปีเท่าไร ก็ลดหย่อนได้เท่านั้น แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เช่น ดอกเบี้ยจ่ายทั้งปี 80,000 บาท ก็สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ 80,000 บาท แต่หากดอกเบี้ยจ่ายทั้งปีอยู่ที่ 120,000 บาท ก็ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เพียง 100,000 บาท สำหรับกรณีของการกู้ร่วม ให้หารเฉลี่ยตามจำนวนผู้กู้ กรณีกู้ร่วมสองคนก็คือหารครึ่งนั่นเอง สมมติจ่ายดอกเบี้ยทั้งปี 80,000 บาท สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้คนละ 40,000 บาท จะแบ่งเองว่าฝ่ายหนึ่งมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ทั้งนี้ มีข้อควรทราบเกี่ยวกับการใช้สิทธิลดหย่อนดอกเบี้ยสำหรับการกู้ร่วมคือ สมมติว่ากู้ร่วมกันสองคน ปรากฏว่าทั้งปีจ่ายดอกเบี้ยไป 140,000 บาท ไม่ใช่ว่า จะสามารถหารครึ่งแล้วใช้สิทธิลดหย่อนภาษีคนละ 70,000 บาท เนื่องจากสัญญาเงินกู้บ้านนั้นจะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เพียง 100,000 บาท นั่นคือ จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุดคนละ 50,000 บาท อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้จะสังเกตได้ว่าแต่ละฝ่ายยังใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากดอกเบี้ยไม่เต็มสิทธิ 100,000 บาท ดังนั้น หากมีดอกเบี้ยเงินกู้อสังหาฯ อื่น เช่น อาจกู้ไว้เองหรือกู้ร่วมกับคนอื่น ก็ยังสามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนได้เพิ่มเติมสูงสุด 50,000 บาท กรณีที่ต้องการซื้อบ้านหรือที่อยู่อาศัย แต่กู้คนเดียวไม่ผ่านหรือรายได้ไม่พอ การกู้ร่วมเป็นทางออกหนึ่งของปัญหาที่นิยมเลือกใช้ ทั้งนี้ ก่อนจะกู้ซื้อบ้าน ต้องคำนวณความสามารถในการผ่อนชำระ ซึ่งตามเกณฑ์คือยอดผ่อนชำระไม่เกิน 40% ของรายได้ และควรมีเงินก้อนเผื่อเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นด้วย เช่น ค่าธรรมเนียมการจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้ ค่าธรรมเนียมการโอน คิดที่ 2% ของราคาประเมิน (ขึ้นอยู่กับว่าผู้ซื้อ หรือผู้ขายจะเป็นผู้ออก หรือแบ่งครึ่งกัน) รวมถึงค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็นค่าส่วนกลางกรณีซื้อบ้านในโครงการหมู่บ้านจัดสรร หรือค่าเฟอร์นิเจอร์ ค่าตกแต่งบ้านต่างๆ จะต้องวางแผนการเงินให้รอบคอบ เพื่อชีวิตจะได้มีความสุข
ยื่นขออนุญาตก่อสร้างบ้านให้ผ่านก็สร้างบ้านได้

ยื่นขออนุญาตก่อสร้างบ้านให้ผ่านก็สร้างบ้านได้

การจะปลูกสร้างบ้านซักหลัก เราจะต้องยื่นคำขออนุญาตก่อสร้างตามที่กฏหมายกำหนดซะก่อน ซึ่งขั้นตอนการยื่นเรื่องขออนุญาตก่อสร้างนั้น เจ้าบ้านอาจจะรู้สึกกังวลใจ กลัวว่าจะมีขั้นตอนยุ่งยากสารพัด แต่ในความเป็นจริงแล้วถ้าเรามีการเตรียมพร้อมเป็นอย่างดี มีเอกสารแบบบ้านจากสถาปนิกและวิศวกรครบถ้วน ก็จะช่วยให้ผ่านขั้นตอนการยื่นขออนุญาตไปได้ และไม่มีปัญหาก่อนลงมือสร้างตามมาทีหลัง ซึ่งครั้งนี้เรามีขั้นตอนในการเตรียมตัวเพื่อยื่นขออนุญาตมาให้ทราบกันครับ เตรียมเอกสารให้พร้อม สถาปนิกและวิศวกรจะเป็นผู้เตรียมเอกสารเกี่ยวกับแบบทั้งหมดให้เรา ทั้งแบบก่อสร้าง และรายการคำนวณต่างๆ รวมทั้งเอกสารหลักฐานการประกอบวิชาชีพของผู้ออกแบบ ซึ่งในส่วนของเจ้าบ้านจะต้องเตรียมเอกสารส่วนตัว เช่น สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาโฉนดที่ดิน เป็นต้น โดยเราสามารถตรวจรายการเอกสารที่ต้องเตรียมได้ที่ กองควบคุมอาคารสำนักการโยธา หรือ เว็บไซต์ตามแต่ละสำนักงานเขต ยื่นขออนุญาต เมื่อเอกสารพร้อมแล้ว เจ้าบ้านสามารถยื่นขออนุญาตก่อสร้างได้ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายโยธาสำนักงานเขต หรือ อบต. ที่รับผิดชอบพื้นที่ที่กำลังจะก่อสร้างบ้าน ซึ่งขั้นตอนนี้จะมีค่าธรรมเนียมเล็กน้อย เช่น ค่าอากรแสตมป์ ค่าเอกสาร เป็นต้น หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเอกสารเบื้องต้นว่าครบถ้วนหรือไม่ แล้วนัดวันเข้าตรวจที่ดิน หากมีการแก้ไขแบบที่ยื่นขอฯ เจ้าจะหน้าที่แจ้งเจ้าบ้านให้ทราบเพื่อให้สถาปนิกนำไปแก้ไขให้ถูกต้อง ระหว่างรอใบอนุญาตก่อสร้าง เจ้าหน้าที่โยธาจะตรวจสอบแบบที่จะก่อสร้างทั้งหมดให้ถูกต้องตามกฏหมายควบคุมอาคาร และดูว่าการออกแบบทั้งหมดสอดคล้องกัน มีข้อมูลทั้งหมดถูกต้องไม่มีส่วนใดขัดแย้งกัน ซึ่งขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 30 วัน แต่ทั้งนี้ระยะเวลาในการตรวจสอบก็จะขึ้นอยู่กับปริมาณงานที่ต้องแก้ไขด้วย ได้ใบอนุญาตก่อสร้าง เมื่อได้รับใบอนุญาตก่อสร้างมาแล้ว เจ้าบ้านควรถ่ายสำเนาแล้วแจกจ่ายให้กับ สถาปนิก วิศวกร และผู้รับเหมาไว้อย่างน้อยคนละหนึ่งชุด เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานในการก่อสร้างบ้าน ซึ่งปกติแล้วใบอนุญาตนี้จะมีอายุ 1 ปี นับจากวันอนุมัติที่ระบุในใบอนุญาต โดยเจ้าบ้านจะต้องก่อสร้างบ้านให้เสร็๗ทันเวลาที่กำหนด แต่ถ้าไม่สามารถสร้างเสร็จได้ทันเวลา จะต้องทำการขอต่ออายุเพิ่ม ขั้นตอนการขออนุญาตจริงๆ แล้วไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย และเป็นเรื่องที่เจ้าบ้านทุกคนควรทำ เพื่อเป็นข้อยืนยันว่าบ้านของเรานั้น มีการก่อสร้างที่ถูกต้อง มั่นคง แข็งแรง และสามารถอยู่อาศัยได้อย่างปลอดภัยด้วย แต่ทั้งนี้เจ้าบ้านทุกคนก็ควรจะให้ความใส่ในขั้นตอนการก่อสร้าง และดูแลงานก่อสร้างด้วย เพื่อให้ตรงตามแบบที่ยื่นขออนุญาตไว้ จะไม่ได้มีส่งผลกระทบจนต้องเกิดข้อร้องเรียน หรือทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามมาในภายหลัง  
OLYMPUS DIGITAL CAMERA

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

เราเชื่อว่าหลายๆ คนอยากจะสร้างความมั่นคงในชีวิต หน้าที่การงาน การเงิน รวมถึงมีครอบครัว โดยเฉพาะคนที่ทำงานเก็บเงินมาได้สักระยะหนึ่ง ย่อมอยากที่จะซื้อบ้านสักหลังเป็นของตัวเอง เพราะหลายๆ คนคิดว่าบ้านคือวิมานของครอบครัว แต่บอกเลยว่าถ้าผ่อนไม่ไหว ก็จะกลายเป็นวิมาร(ผจญ) ทันที วันนี้เราจึงจะมาช่วยแบ่งปันความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการกู้ซื้อบ้าน รวมถึงการจัดสรรเรื่องการเงินเพื่อให้ครอบครัวมีความมั่นคงแข็งแรง มาดูกันดีกว่าครับ ว่าต้องทำยังไงกันบ้าง วางแผนผ่อนบ้านให้มีสุข หลายคนต้องการจะซื้อบ้าน แต่ลืมวางแผนหรือหาข้อมูลเพิ่มเติมให้ครบถ้วนเสียก่อน ไหนจะเรื่องภาระต่างๆ ที่ต้องรับผิดชอบ รายได้กับรายจ่ายไม่สัมพันธ์กัน อาจจะส่งผลให้มีเงินไม่เพียงพอต่อการผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน ทำให้ภาระหนี้สินเพิ่มมากขึ้น และที่เลวร้ายที่สุดคือ ทำให้บ้านที่เราตั้งใจหาเงินมาทั้งชีวิต อาจจะถูกยึดได้!!! ดังนั้น เราควรจะวางแผนให้รอบคอบ และเตรียมความในด้านต่างๆ ซึ่งเรื่องแรกที่ควรรู้ก็คือ การวางแผนการเงิน จะมีเรื่องอะไรบ้างไปดูกันเลยครับ   การประเมินและประมาณเงินที่ต้องผ่อน เราควรเก็บเงินออมเตรียมไว้เพื่อเป็นเงินดาวน์ประมาณ 10-15% ของราคาบ้าน จะได้ไม่เป็นภาระหนักเกินไปในการผ่อนแต่ละงวด โดยทั่วไปธนาคารมักจะอนุมัติให้วงเงินผ่นอต่องวดประมาณ 30-40% ของรายได้ของผู้กู้ เข้าใจเรื่องรูปแบบอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สินเชื่อบ้าน โดยทั่วไปธนาคารจะมีอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน 2 รูปแบบ ซึ่งเราควรเลือกให้เหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนของเรา ทั้งแบบคงที่ และแบบลอยตัว หรือส่วนใหญ่ทางธนาคารจะผสมผสานการคิดดอกเบี้ยทั้ง 2 แบบเข้าด้วยกัน ลองเข้าไปดูรายละเอียดเรื่องดอกเบี้ยเกี่ยวกับบ้านได้ที่  ดอกเบี้ย-เกี่ยวกับบ้าน หาสินเชื่อประเภทที่เหมาะกับตัวเอง ปัจจุบันนี้ ทางธนาคารมักมีสินเชื่อให้เลือกหลากหลายประเภท แบ่งแยกไปตามกลุ่มลูกค้า สาขาอาชีพ หรือความต้องการของลูกค้า รวมถึงบริการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น สินเชื่อเพื่อการต่อเติมบ้าน หรือตกแต่งบ้าน ซึ่งเราควรวางแผน และทำการเปรียบเทียบข้อมูลสินเชื่อของแต่ละธนาคารให้ดีเพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ดีและเหมาะสมกับเรามากที่สุด ผ่อนบ้านอย่างมีชั้นเชิง แน่นอนว่าใครก็ต้องการจะปลดภาระการผ่อนบ้านให้หมดเร็วๆ และต้องการจะประหยัดดอกเบี้ยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งมีวิธีที่สามารถทำได้ทั้ง การจ่ายเงินต่อเดือนเพิ่ม และการทำการรีไฟแนนซ์บ้าน ก็จะช่วยให้เรามีโอกาสผ่อนดอกเบี้ยได้ถูกลง รวมถึงการโปะเงินก้อนลงไปคราวละมากๆ ก็จะช่วยลดระยะเวลาในการผ่อนบ้านได้ด้วยเช่นกันยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเลือกจ่ายค่าผ่อนบ้านเพิ่มขึ้นอีก 10% ต่อเดือน เราจะมีโอกาสผ่อนบ้านหมดเร็วขึ้นประมาณ 7 ปีเลยทีเดียว รวมถึงค่าใช้จ่ายของดอกเบี้ยบ้านก็สามารถนำไปลดหย่อยภาษีได้มาถึง 1 แสนบ้านด้วย ถ้าเราวางแผนให้ดีๆ ก็จะช่วยให้เราลดหย่อนภาษีได้มากขึ้น เป็นการแปรภาษีมาเป็นเงินออม สร้างความมั่นคงและมั่งคั่งได้อีกทาง   วางแผนป้องกันความเสี่ยง แบบมีเงินเหลือใช้ การวางแผน และป้องกันความเสี่ยง ก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน เพื่อให้ไม่ต้องนำเงินเก็บออกมาใช้หมดในยามฉุกเฉิน และไม่ต้องมีหนี้สินก้อนโดให้เป็นภาระไปถึงคนอื่นๆ ในครอบครัวด้วย ซึ่งวิธีง่ายๆ ที่เราสามารถทำได้ในการกำจัดความเสี่ยงก็คือ การเตรียมเงินฉุกเฉินให้เพียงพอ การทำประกันชีวิต หรือการซื้อกองทุน RMF ไว้เป็นเงินออมยามเกษียณ แถมยังสามารถนำไปลดหย่อยภาษีได้อีกทาง แค่นี้เราก็จะสามารถสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตให้มากขึ้น แม้ว่าจะมีภาระจากการผ่อนบ้านก็ตาม
OLYMPUS DIGITAL CAMERA

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ใครๆ ก็อยากมีบ้านในฝันจริงมั้ยครับ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถซื้อบ้านได้ด้วยเงินสดก้อนโต กว่าจะรอเก็บเล็กผสมน้อยให้ได้จำนวนเงินก้อนใหญ่ ราคาบ้านก็พุ่งสูงจนเกินเอื้อมอีกแล้ว ดังนั้นการกู้สินเชื่อเผื่อซื้อบ้านจึงเป็นทางเลือกที่จะทำให้ฝันของเราเป็นจริงได้มากที่สุดใช่มั้ยล่ะครับ แต่หลายคนก็ยังกังวลว่าจะกู้ไม่ผ่าน เราจึงมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่จะมาช่วยให้คุณยื่นขอกู้สินเชื่อแล้วมีโอกาสผ่านเกณฑ์มากขึ้น เลือกจ่ายเงินดาวน์ก้อนใหญ่ โดยปกติจำนวนเงินดาวน์มักจะคิดเป็น 20% ของราคาบ้าน ดังนั้นธนาคารจะปล่อยสินเชื่อให้เราอีกประมาณ 80% ดังนั้นถ้าหากว่าเรามีแนวโน้มไม่สามารถผ่านเกณฑ์การพิจารณาเนื่องจาก รายได้น้อยกว่าความสามารถในการผ่อนชำระ ทางออกที่จะสามารถช่วยเราได้ก็คือ การจ่ายเงินดาวน์ในจำนวนที่มากขึ้น เช่น เพิ่มเป็น 30% หรือ 40% ของราคาบ้าน ทำให้ค่างวดในการผ่อนชำระแต่ละเดือนลดลง แค่นี้โอกาสที่จะกู้ผ่านก็มากขึ้นแล้วครับ หาผู้กู้ร่วม ทางออกที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการผ่อน ถ้าหากมีเงินเก็บไม่มากพอที่จะจ่ายเงินดาวน์ก้อนโต ดังนั้นทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการดาวน์น้อยผ่อนสบาย ก็คือ หาผู้กู้ร่วม โดยที่ผู้กู้ร่วมจะต้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง คู่สมรส หรือแม้แต่ลูกก็ได้ เพราะอย่างไรแล้ว เมื่อรวมรายได้ของผู้กู้ร่วม ก็จะทำให้ความสามารถในการผ่อนชำระเพิ่มมากกว่าการเลือกผ่อนคนเดียวจริงมั้ยครับ แต่ทั้งนี้คนทั้งคู่ก็ต้องไม่มีภาระผ่อนชำระอื่นๆ ค้างอยู่นะครับ ไม่อย่างนั้นทางธนาคารก็จะมองว่า ความสามารถในการชำระหนี้ของคุณน้อยลง เลือกขนาดบ้านให้เล็กลง หากบ้านในฝันมีราคาที่สูงจนเกินไป และไม่สามารถใช้ทางออกในข้อข้างต้นได้ การเลือกบ้านที่มีขนาดเล็กลง หรือเลือกบ้านที่มีราคาลดลงกว่าที่ฝันไว้ ก็พอจะทำให้ชีวิตเราสบายมาขึ้น ไม่ต้องสร้างภาระหนี้ก้อนใหญ่เกินตัว รวมถึงไม่ต้องรบกวนคนอื่นให้มากู้ร่วมด้วยนะครับ นอกจากเรื่องการกู้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านแล้ว อย่าลืมเตรียมเงินไว้สำหรับ ค่าโอนกรรมสิทธิ์ ค่ามัดจำมิเตอร์น้ำและไฟฟ้า ค่าส่วนกลางที่ต้องจ่ายล่วงหน้าตามที่โครงการกำหนด รวมถึงค่าตกแต่งบ้านอีก และที่สำคัญก็คือ การกันเงินสำรองไว้เผื่อกรณีฉุกเฉินอีกก้อนด้วยนะครับ ถึงเวลาจำเป็นขึ้นมาจะได้ไม่เดือดร้อนมากจนเกินไป... การมีบ้านในฝันเป็นเรื่องดี แต่ก็อย่าให้เป็นภาระหนักจนต้องเป็นทุกข์นะครับ
4 ปัจจัย ผ่อนบ้านให้สบายกระเป๋า

4 ปัจจัย ผ่อนบ้านให้สบายกระเป๋า

4 ปัจจัย ผ่อนบ้านให้สบายกระเป๋า เงินดาวน์มีเท่าไรตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดให้ผู้ที่จะซื้อบ้านต้องมีเงินดาวน์ไม่น้อยกว่า 10% ของราคาบ้าน ดังนั้น หากจะซื้อบ้านราคาสัก 3 ล้านบาท ต้องมีเงินเก็บเพื่อเป็นเงินดาวน์อย่างน้อย 3 แสนบาท การเก็บออมเงินดาวน์อาจจะเก็บออมในรูปของกองทุนรวมตลาดเงิน เพื่อให้มีสภาพคล่องและมีผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป   ยอดผ่อนชำระต่อเดือนปกติแล้วภาระการผ่อนรายเดือนที่ไม่หนักจนเกินไป หรือไม่ควรเกิน 40% ของรายได้ก่อนภาษี หากรายได้คนเดียวผ่อนไม่ไหว สามารถกู้ร่วมได้ ทั้งนี้ ผู้กู้ร่วมต้องมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด หรือเป็นสามีภรรยา ปกติทั่วไป หากขอสินเชื่อ จำนวน 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อน 30 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 7% ต่อปี จะมียอดผ่อนชำระประมาณ 8,000 บาทต่อเดือน จึงควรลองพิจารณาปัจจัยดังที่ได้กล่าวในเบื้องต้นว่า จะผ่อนบ้านอย่างไรให้สบายกระเป๋ากัน   ระยะเวลาในการผ่อนชำระปกติจะผ่อนสูงสุดไม่เกิน 30 ปี และเมื่อรวมกับอายุของผู้กู้แล้ว ต้องไม่เกิน 60-65 ปี (ช่วงอายุเกษียณ) ระยะเวลาผ่อนสั้นยอดผ่อนชำระรายเดือนจะมากกว่าระยะเวลาผ่อนยาว หากมีความสามารถในการผ่อนสูงสามารถเลือกผ่อนสั้นได้เพื่อให้หมดภาระได้เร็วและประหยัดค่าดอกเบี้ยจ่าย   รูปแบบอัตราดอกเบี้ยสถาบันการเงินมักมีทางเลือกให้กับผู้ขอสินเชื่อ ดังนั้นควรเลือกอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ เมื่ออัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และควรเลือกอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว เมื่ออัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง   นอกจากนี้ อย่าลืมพิจารณาเรื่องการวางแผนภาษี เนื่องจากสิทธิสำหรับผู้ที่ซื้อบ้านสามารถนำดอกเบี้ยจ่ายมาลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท เป็นการบรรเทาค่าใช้จ่ายทางภาษีได้อีกทางหนึ่ง (เพิ่มเงินในกระเป๋ามากขึ้น) ซึ่งชื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านหรือคอนโดฯ ก็เป็นเรื่องสำคัญในการวางแผนภาษีด้วย ที่มา : http://k-expert.askkbank.com/
9 จุดต้องตรวจก่อนรับโอนบ้าน

9 จุดต้องตรวจก่อนรับโอนบ้าน

9 จุดต้องตรวจ ก่อนรับโอนบ้าน ใกล้จะเป็นเจ้าของบ้านเต็มทีแล้ว อยากจะอยู่บ้านใหม่เต็มแก่ แต่ก่อนรับโอนบ้าน ต้องอย่าลืมว่าควรตรวจสอบบ้านให้ดีก่อน เพื่อไม่ให้มีปัญหา และไม่ต้องปวดหัวหลังจากเข้าไปอยู่ สำหรับการตรวจสอบบ้าน แนะนำให้ตรวจสอบในทุกๆ จุด ทุกพื้นที่ โดยตรวจสอบทั้งภายนอกและภายในบ้าน ดังนี้ ภายนอก - สีทาอาคารบ้าน เป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด ดังนั้น สีที่ทาต้องมีความสม่ำเสมอ ไม่มีรอยด่าง สีไม่ลอกหลุดล่อนหรือปูดโปนง่าย - หลังคา ต้องมีสภาพดี สีไม่เก่า แนะนำให้ฉีดน้ำขึ้นหลังคาเพื่อดูว่ามีรอยรั่ว หรือมีแสงลอดผ่านลงมาหรือไม่ ภายใน - ฝ้าเพดาน เป็นสิ่งที่อยู่ส่วนบน แนะนำให้สังเกตดูให้ทั่วทุกห้อง โดยจะต้องได้ระดับเสมอกันตลอดห้อง ไม่เป็นริ้วคลื่น ที่สำคัญต้องดูว่ามีร่องรอยน้ำที่รั่วจากหลังคาหรือไม่ - ผนัง ดูว่ามีรอยแตกลายงาหรือไม่ ซึ่งอาจเกิดจากการแยกตัวของปูนฉาบที่แห้งไม่สม่ำเสมอกัน สามารถให้ช่างมาแก้ไขโดยการโป๊วสี หรือการสกัดปูนฉาบหน้าออกและฉาบทับ ใหม่ รวมถึงสีที่ทาต้องสม่ำเสมอกัน - ประตูหน้าต่าง ดูความเรียบร้อยของอุปกรณ์และบาน ทดลองเปิด-ปิด ว่ามีเสียงรบกวนหรือเกิดการติดขัดหรือไม่ กลอนประตูหน้าต่างต้องสามารถใช้ได้ดี ตำแหน่งของรูกลอนต้อง พอดีกับกลอน ไม่หลวมจนล็อคไม่อยู่ หรือฝืดจนไม่สามารถล็อคได้ - ระบบไฟฟ้า แนะนำให้เปิดไฟทุกดวงในบ้าน ว่าไฟติดทุกดวงหรือไม่ รวมถึงปุ่มเปิดปิดไฟมีปัญหาติดขัดไหม นอกจากนี้ แนะนำให้ทดลองใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า เพื่อดูว่าปลั๊กไฟมีกระแสไฟ เข้าเรียบร้อยดีทุกจุด - ระบบน้ำ ทดลองเปิดก๊อกน้ำทุกก๊อก ไม่ว่าจะเป็นอ่างล้างหน้า อ่างล้างจาน รวมถึงดูทางเดินน้ำทิ้งว่าน้ำสามารถไหลได้สะดวกหรือไม่ หากมีน้ำขังแสดงว่าท่ออาจอุดตันหรือท่อเล็กเกินไป - มิเตอร์น้ำ-ไฟ ในกรณีที่ปิดไฟทุกดวง ปิดสวิทช์ไฟ และปิดก๊อกน้ำทุกจุด หากมิเตอร์ยังหมุนอยู่ อาจเกิดจากท่อน้ำรั่ว หรือกระแสไฟฟ้ารั่ว - พื้น ต้องเรียบเสมอกัน ไม่แอ่น โก่งตัว หรือยุบ นอกจากนี้หากเป็นพื้นที่ใช้สำหรับการซักล้าง ต้องดูว่ามีความลาดเอียงเพียงพอให้น้ำสามารถระบายได้สะดวก มีน้ำไม่ระบาย หรือเป็น แอ่งขังอยู่หรือไม่ หากทำการตรวจสอบและให้ช่างมาแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถรับโอนบ้านได้อย่างสบายใจ แต่หากตรวจบ้านแล้ว ผู้ขายไม่มาทำการแก้ไขให้ หรือทำการแก้ไขให้ล่าช้าทำให้เราเสียสิทธิในการเข้าอยู่อาศัยบ้าน ผู้ซื้อสามารถปรับผู้ขายเป็นรายวันในอัตราไม่ต่ำกว่า 0.01% ของราคาที่ดินพร้อมบ้าน แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 10% ของราคาที่ดินพร้อมบ้าน โดยต้องดูในสัญญาว่ามีเงื่อนไขข้อนี้ระบุด้วยหรือไม่ เช่น มูลค่าบ้านพร้อมที่ดิน 1 ล้านบาท สามารถปรับได้วันละ 100 บาท แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท ดังนั้น นอกเหนือจากการตรวจสอบก่อนรับโอนบ้านแล้ว อย่าลืมอ่านสัญญาให้ดีๆ ก่อนด้วยครับ  
3 คำถามฮิตก่อนคิดจะซื้อบ้าน

3 คำถามฮิตก่อนคิดจะซื้อบ้าน

3 คำถามฮิตที่คิดจะซื้อบ้าน “รายได้และภาระหนี้ในปัจจุบัน เป็นปัจจัยหลักที่ธนาคารใช้ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อบ้าน” “อยากกู้ซื้อบ้านต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง” เชื่อว่าคำถามนี้คงเกิดขึ้นในใจของผู้ที่อยากเป็นเจ้าของบ้าน เพราะเมื่อคิดจะซื้อบ้านและต้องขอสินเชื่อกับธนาคาร มีหลายปัจจัยที่เราต้องพิจารณาและเตรียมตัวให้พร้อม แล้วมีปัจจัยอะไรบ้าง มาดูกันเลยครับ 1. รายได้เท่าไรจะขอสินเชื่อได้ รายได้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะบอกว่า เราสามารถกู้ซื้อบ้านได้หรือไม่ และกู้ได้เป็นเงินเท่าไร ปกติแล้ว รายได้ขั้นต่ำที่จะขอสินเชื่อได้อยู่ที่ประมาณ 10,000-15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร โดยรายได้มาก ก็จะมีโอกาสขอสินเชื่อได้วงเงินสูงขึ้น ถ้าหากใครเป็นมนุษย์เงินเดือน การขอกู้มักทำได้ไม่ยาก เพราะมีหลักฐานแสดงว่ามีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ แต่ถ้าเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ ไม่ได้มีรายได้ประจำ ก็ควรแสดงให้ธนาคารเห็นว่า มีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ โดยนำรายได้ฝากเข้าธนาคารในวันเดียวกันเป็นประจำทุกเดือน เช่น นำเงิน 20,000 บาท ฝากทุกวันที่ 30 ของทุกเดือน 2. มีภาระผ่อนอยู่แล้ว จะขอสินเชื่อได้หรือไม่ แม้ว่าปัจจุบันจะมีภาระหนี้สินอยู่แล้ว ก็ยังมีโอกาสขอสินเชื่อบ้านได้ครับ ปกติแล้ว ในการพิจารณาสินเชื่อ ธนาคารจะมีเกณฑ์ว่า ภาระหนี้ในแต่ละเดือนต้องไม่เกิน 40-60% ของรายได้ต่อเดือน ในเบื้องต้น เราสามารถเช็คด้วยตัวเองง่ายๆ ว่า จะขอสินเชื่อกับธนาคารผ่านหรือไม่ เช่น ปัจจุบันเงินเดือน 20,000 บาท ถ้าธนาคารตั้งเกณฑ์ไว้ว่า ภาระผ่อนต้องไม่เกิน 40% ของรายได้ ดังนั้น ภาระผ่อนโดยรวมต้องไม่เกิน 8,000 บาท โดยลองคำนวณดูว่า ถ้ามีภาระผ่อนหนี้อื่นอยู่ หากผ่อนบ้านเพิ่มขึ้น จะทำให้ภาระผ่อนโดยรวมสูงเกินเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนดหรือไม่ ถ้าไม่เกิน ก็มีโอกาสขอสินเชื่อบ้านได้ สำหรับการคำนวณภาระผ่อนของสินเชื่อบ้าน อาจคำนวณง่ายๆ ได้ว่า สินเชื่อบ้าน 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อน 30 ปี ยอดผ่อนต่อเดือนจะประมาณ 7,200 บาทครับ 3. ต้องเตรียมเงินสำหรับค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ในการกู้ซื้อบ้าน นอกจากเงินดาวน์ประมาณ 20% ของราคาบ้านที่เราต้องเตรียมให้พร้อมแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการกู้ซื้อบ้านที่เราต้องเตรียม โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1. ค่าใช้จ่ายของธนาคาร เช่น ค่าประเมินหลักทรัพย์ (ขึ้นอยู่กับธนาคารกำหนด) ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย (ขึ้นอยู่กับมูลค่าบ้าน) 2. ค่าใช้จ่ายของกรมที่ดิน เช่น ค่าธรรมเนียมการจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้ และค่าธรรมเนียมการโอน 2% ของราคาประเมิน ดังนั้น แม้ว่าคุณสมบัติต่างๆ ในด้านรายได้และภาระหนี้จะผ่านเกณฑ์ขอสินเชื่อบ้านกับธนาคารแล้ว ก็ต้องไม่ลืมที่จะเตรียมเงินสำหรับดาวน์บ้านและค่าใช้จ่ายต่างๆ ไว้ด้วยนะคะ เมื่อขอสินเชื่อบ้านผ่านแล้ว สามารถหมดภาระหนี้ได้เร็วขึ้นด้วยการโปะหนี้บ้านหรือชำระหนี้มากกว่ายอดผ่อนที่กำหนดไว้ในแต่ละเดือน เพราะการโปะหนี้จะทำให้ยอดเงินต้นลดลง และประหยัดดอกเบี้ยจ่าย ดังนั้น หากได้รับโบนัสหรือเงินก้อนพิเศษเข้ามา การนำไปโปะหนี้บ้านจะช่วยให้ภาระหนี้บ้านหมดไวขึ้นครับ
6 เหตุผลที่ควรลงทุนอสังหาฯ ก่อนอายุ 30

6 เหตุผลที่ควรลงทุนอสังหาฯ ก่อนอายุ 30

การลงทุนยิ่งเริ่มต้นไว ยิ่งได้ผลตอบแทนเร็ว วัยที่เหมาะกับการลงทุนมากที่สุด คือ วัยที่จบการศึกษาและมีงานมีการทำเรียบร้อย นั่นคือช่วงอายุระหว่าง 25 – 30 ปี แต่ในวัยดังกล่าว มักเป็นวัยที่มีสิ่งยั่วยุสูง เพราะเพิ่งเริ่มต้นสัมผัสอำนาจของเงินและรายได้ด้วยตัวเองรายได้ของคนในวัยนี้จึงมักละลายไปกับสังคม ข้าวของ ท่องเที่ยว จนพบได้บ่อยๆ ว่าคนทำงานช่วง 2 – 3 ปีแรกไม่สามารถเก็บเงินได้ จะเริ่มมีเงินเก็บจริงๆ จังๆ คือเมื่อเริ่มแตะหลัก 30 ไปแล้ว ซึ่งหากเทียบกับคนที่เตรียมตัวไวกว่าก็ถือเป็นการเสียโอกาส หนึ่งในการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับคนวัยไม่ถึงเลข 3 คือ การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีข้อดีคือได้ผลตอบแทนในระยะยาว เป็นเงินจำนวนมาก และสม่ำเสมอ การลงทุนอสังหาริมทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ ควรเริ่มต้นก่อนอายุ 30 ด้วย 6 เหตุผล ต่อไปนี้ เป็นที่อยู่อาศัย คนวัยก่อน 30 หลายคนทำงานไกลบ้าน พักอยู่หอพักและเสียค่าเช่าทุกเดือน ซึ่งจำนวนค่าเช่าที่เสียไป สามารถนำมาผ่อนบ้านหรือคอนโดมิเนียมได้ เป็นการกู้ยืมอัตราดอกเบี้ยต่ำ ระยะยาว ดอกเบี้ยบ้านคือดอกเบี้ยที่น้อยที่สุดกับเงินก้อนใหญ่และมีระยะเวลาในการผ่อนชำระนานที่สุด การผ่อนบ้าน มีระยะเวลาในสัญญาสูงสุดนานถึง 30 ปี และด้วยอัตราดอกเบี้ยที่หลากหลาย การซื้ออสังหาริมทรัพย์จึงไม่ใช่ภาระหนักอึ้ง ปล่อยเช่าได้ (Passive Income) อสังหาริมทรัพย์มีข้อดีที่สุดคือเป็นทรัพย์สินถาวร และมีมูลค่าเพิ่มตลอดเวลา ยิ่งซื้อบ้านและปล่อยเช่าเมื่ออายุน้อยเท่าไหร่ รายรับที่ได้ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย เช่น ซื้อคอนโดมิเนียมมา 2 ล้านบาท ปล่อยเช่าเดือนละ 15,000 บาท สินทรัพย์ชิ้นนี้จะทำรายได้ 180,000 บาท/ปี และอาจเพิ่มได้เรื่อยๆตามศักยภาพของทำเล หากปล่อยเช่าเมื่ออายุ 25 เมื่ออายุ 30 จะมีรายได้จากคอนโดมิเนียมแห่งนี้แล้ว 900,000 บาท ทำเงินได้เกือบล้าน เมื่ออายุ 30 น่าสนใจใช่ไหม เป็นมรดก อสังหาริมทรัพย์ถือเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่คนทุกยุคทุกสมัยเลือกที่จะนำมาเป็นสินทรัพย์ที่สร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองและจุดเด่นอีกจุดหนึ่งคือนำมาเป็นมรดกส่งต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานได้ จะเห็นได้จากนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จหลายคนที่ได้รับมรดกจากพ่อแม่และบรรพบุรุษทั้งที่ดิน บ้าน โรงแรม เป็นต้น แล้วสามารถนำทรัพย์สินเหล่านั้นมาพัฒนาหรือขายต่อเพื่อก่อร่างสร้างตัวจากอสังหาริมทรัพย์จนประสบความสำเร็จในอนาคตได้ เป็นหลักประกันชั้นเยี่ยม อสังหาริมทรัพย์เป็นหลักประกันที่ทุกสถาบันการเงินอ้าแขนรับหากต้องการเงินลงทุนก้อนใหญ่ อสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในมือจะแปรเป็นเงินได้อย่างง่ายดาย เพราะชีวิตคือความไม่แน่นอน ยิ่งในคนอายุน้อยๆการเปลี่ยนแปลงทางหน้าที่การงานหรือความผิดพลาดทางธุรกิจคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เป็นการลงทุนที่ชนะเงินเฟ้อ เนื่องจากในปัจจุบันปัญญาเงินเฟ้อเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะลดทอนมูลค่าเงินในกระเป๋าของท่านให้มีค่าลดน้อยลง การลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถเอาชนะกับปัญหาเงินเฟ้อได้คือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ บางคนอาจจะบอกว่าก่อนอายุ 30 ปี จะมีเงินพอได้อย่างไรที่จะนำเงินไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงหลักแสนหลักล้าน เพราะคนส่วนใหญ่ในช่วงอายุนี้ทำงานประจำและเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีเงินไม่มากพอที่จะลงทุน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ได้ถูกแก้ปัญหาออกไปเนื่องจากนวัตกรรมทางด้านการเงินที่เปลี่ยนแปลงไปสามารถนำอสังหาริมทรัพย์แบ่งออกเป็นหน่วยย่อยๆได้เพื่อให้คนหลายๆคนสามารถเข้ามาถือครองในอสังหาริมทรัพย์ชิ้นนั้นเป็นการถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันได้ เราเรียกการลงทุนนี้ว่า การลงทุนในกองทุนรวมอสังริมทรัพย์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องลงทุนหลักแสน หลักล้าน เพียงแค่มีเงินลงทุนขึ้นต่ำ 500 บาท ขึ้นไป สามารถลงทุนได้ การลงทุนก่อนอายุ 30 เป็นสิ่งที่ดีและควรทำที่สุดด้วยเหตุผลต่างๆที่กล่าวมาแล้ว แต่คนวัยนี้มักมีข้อจำกัดคือยังไม่สามารถหาทุนมาใช้กับอสังหาริมทรัพย์ได้ เพราะช่วงเวลา 2 – 3 ปีแรก รายได้จากการทำงานไม่ได้มากมายและอำนาจของเงินที่ได้ด้วยตัวเองก็ช่างเย้ายวน ดังนั้นเมื่อเริ่มทำงานใหม่ๆจึงควรตั้งสติให้มั่นและเก็บเงินเก็บทองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่ออนาคต   ขอขอบคุณข้อมูลจาก : www.terrabkk.com
3 ข้อต้องคิดก่อนรีไฟแนนซ์

3 ข้อต้องคิดก่อนรีไฟแนนซ์

ความฝันของผู้ที่มีบ้านส่วนใหญ่ คือ อยากจะปิดหนี้ไวๆ ยิ่งเมื่อได้รับใบเสร็จจากธนาคารทุกคนคงตกใจ เมื่อเห็นว่าเงินที่ผ่อนชำระเกือบทั้งหมดเป็นส่วนของดอกเบี้ย แทบจะไม่ได้ลดเงินต้นลงเลย จนทำให้รู้สึกว่า “การผ่อนบ้านนั้นช่างยาวนานเสียเหลือเกิน” และเมื่อกู้เงินผ่านมาสักระยะหนึ่ง คนส่วนมากจะคิดถึงการ “รีไฟแนนซ์บ้าน” เพื่อให้ภาระดอกเบี้ยลดลง การรีไฟแนนซ์ คือ การกู้เงินก้อนใหม่ไปชำระหนี้ยอดเดิมที่มีอยู่ ทำให้การผ่อนต่อเดือนน้อยลง โดยขยายระยะเวลากู้ออกไป หรือขอลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลงตามโปรโมชั่นที่มีอยู่ของสถาบันการเงิน นอกจากนี้ สถาบันการเงินบางแห่งยังยื่นข้อเสนอเพิ่มเงินกู้ให้อีก หากมูลค่าบ้านในการประเมินครั้งใหม่สูงกว่ายอดหนี้เดิมที่มี อย่างไรก็ดี บทความนี้มี 3 ข้อควรคิด…ก่อนวางแผนรีไฟแนนซ์ ที่ควรพิจารณาให้รอบคอบ ดังนี้ 1.ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์ แบ่งเป็น - ค่าใช้จ่ายให้กับสถาบันการเงินเดิม ได้แก่ ค่าปรับกรณีไถ่ถอนหลักประกันก่อนกำหนด ซึ่งโดยทั่วไปมักกำหนดระยะเวลาห้ามไถ่ถอนไว้ที่ไม่เกิน 3 ปีนับจากวันเริ่มกู้ และมักมีค่าปรับประมาณ 2-3% ของยอดหนี้ - ค่าใช้จ่ายให้กับสถาบันการเงินใหม่ ได้แก่ ค่าประเมินมูลค่าหลักประกัน ค่าธรรมเนียมการใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Fix Rate) และนอกจากนี้ยังมีเบี้ยประกันอัคคีภัย หากกรมธรรม์เดิมยังมีความคุ้มครอง เจ้าของบ้านสามารถแจ้งโอนผลประโยชน์จากสถาบันการเงินเดิม เพื่อยกผลประโยชน์ให้สถาบันการเงินแห่งใหม่ได้ - ค่าใช้จ่ายกรมที่ดิน ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการจดจำนอง 1% และค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ 2.ผลประโยชน์ที่ได้รับเพิ่มขึ้นจากการรีไฟแนนซ์ เช่น หากมียอดหนี้ที่ต้องการโอน 1 ล้านบาท ปัจจุบันเสียอัตราดอกเบี้ยที่ 7.13% ต่อปี ขณะที่สถาบันการเงินแห่งใหม่เสนออัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี เท่ากับ 3.45% ต่อปี คิดเป็นส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ 3.68% ต่อปี หรือสามารถประหยัดดอกเบี้ยในช่วง 3 ปี ได้ถึง 108,253 บาท (คิดแบบลดต้นลดดอกเบี้ย) 3.เงื่อนไขอื่นๆ จากการรีไฟแนนซ์ เพื่อใช้ในการพิจารณาก่อนการตัดสินใจ - พิจารณาค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น หากมีโครงการที่จะขายบ้านในช่วง 3 ปีหลังรีไฟแนนซ์ อาจมีค่าปรับในการปิดบัญชีก่อนกำหนดเพิ่มอีก 2-3% ของวงเงินกู้ - พิจารณายอดหนี้และระยะเวลาการผ่อนชำระที่เหลือ เช่น หากยอดหนี้คงเหลือไม่มากนัก ระยะเวลาการผ่อนเหลืออีกแค่ 1-2 ปี หรืออาจมีเงินโบนัสมาปิดหนี้ก่อนกำหนด การรีไฟแนนซ์อาจเป็นทางเลือกที่ได้ไม่คุ้มเสีย - พิจารณาเงื่อนไขอื่น เช่น สถาบันการเงินบางแห่งมีเงื่อนไขให้ผ่อนค่างวดได้ไม่เกิน 2 เท่าของยอดผ่อนปกติ หรือมีค่าปรับกรณีชำระหนี้ก่อนกำหนด เท่ากับว่าหากมีเงินสดก็ไม่สามารถลดยอดหนี้ได้ในระยะเวลาที่ใช้อัตราดอกเบี้ยคงที่ การวางแผนรีไฟแนนซ์จะคุ้มค่าหรือไม่นั้น เจ้าของบ้านควรเปรียบเทียบค่าใช้จ่าย ผลประโยชน์ที่ได้รับเพิ่มขึ้นและเงื่อนไขอื่นๆ ที่เป็นข้อจำกัด ทั้งนี้ ควรพิจารณาถึงปัจจัยที่ไม่ได้เป็นตัวเงินด้วย เช่น ค่าเดินทาง ค่าเสียเวลาในการประเมินหลักประกัน ฯลฯ สำหรับหลายๆ ท่านที่ติดเงื่อนไขการไถ่ถอนหลักประกันก่อนกำหนด ทำให้ต้องเสียค่าปรับเพิ่ม 2-3% หากตัดเงื่อนไขนี้ออกไปแล้ว จะทำให้การรีไฟแนนซ์นั้นได้รับประโยชน์มากขึ้น ดังนั้น การรีไฟแนนซ์ที่ดีควรดูช่วงจังหวะเวลาที่เหมาะสมด้วยจึงจะได้ประโยชน์สูงสุด   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
ทริคเด็ดๆ แต่งคอนโดเล็กให้เหมือนห้องใหญ่

ทริคเด็ดๆ แต่งคอนโดเล็กให้เหมือนห้องใหญ่

10 ทริคเด็ด คอนโดพื้นที่เล็ก ก็รู้สึกเหมือนห้องใหญ่ ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าเดี๋ยวนี้โครงการสร้างคอนโด ผุดขึ้นมาเยอะและรวดเร็วอย่างกับดอกเห็ด เพราะคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนในเมืองนั้น นิยมอยู่ในคอนโดมากกว่าบ้านที่มีพื้นที่กว้าง ๆ เสียอีก เพราะการอยู่คอนโดทำให้ชีวิตสะดวกสบายมากกว่า ไม่ต้องเหนื่อยทำความสะอาดพื้นที่กว้าง ๆ แถมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันรอบ ๆ คอนโดอีกด้วย แต่ถ้าหากคุณต้องอยู่ในคอนโดที่มีพื้นที่เล็ก คุณก็อาจจะรู้สึกอึดอัดถ้าไม่จัดให้เป็นระเบียบ หรือตกแต่งไม่เป็น แต่ไม่ต้องกลุ้มไป เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมได้นำ 10 ทริคเด็ดในการใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดห้องเล็ก ให้รู้สึกเหมือนได้อยู่ในคอนโดห้องใหญ่ มาฝากกันแล้ว  วัดขนาดให้เป๊ะ  พื้นฐานการตกแต่ง และจัดระเบียบคอนโดที่ดี มาจากการวางแผนที่ถูกต้อง เริ่มจากการวัดขนาดห้องทั้งความยาว ความกว้าง และความสูงของเพดาน หรือหน้าต่างให้เป๊ะเสียก่อน เมื่อได้ขนาดที่แน่นอนออกมาแล้ว จึงค่อยตัดสินใจซื้อเฟอร์นิเจอร์ และของใช้ที่จะเอาเข้ามาวางในห้องได้ถูกต้อง จึงทำให้ห้องเล็กที่เคยมีนั้น กลับดูใหญ่ขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อเลย  ร่างแบบห้องในโปรแกรม 3 มิติ  เพื่อความแน่ใจอีกระดับหนึ่ง ลองลงมือร่างแปลนห้องในแบบ 3 มิติออกมา โดยการดาวน์โหลดโปรแกรม เพื่อให้รู้ว่าถ้าตั้งเฟอร์นิเจอร์ตัวนี้ ตรงตำแหน่งนี้ จะเหลือพื้นที่อีกมากเท่าไร เพราะการร่างแปลนห้องในแบบ 3 มิตินี้ จะทำให้เห็นภาพห้องกว้าง ๆ ได้ชัดขึ้น ไม่ว่าจะทำผิดพลาด หรืออยากเปลี่ยนตำแหน่งกี่ครั้ง ก็ไม่ต้องเหนื่อยย้ายเฟอร์นิเจอร์ให้ยุ่งยากด้วย  ควรซ่อน หรือโชว์อะไรบ้าง  ก่อนที่จะย้ายเข้าสู่คอนโดพื้นที่เล็กนี้ ต้องถามตัวเองก่อนว่า ของใช้อะไรบ้างที่จำเป็น ถ้าอันไหนที่ใช้ทุกวันก็หยิบมาวางไว้ให้มองเห็นได้ง่าย ส่วนของที่ไม่ได้ใช้แล้ว ให้เก็บทิ้งไปบ้างอย่าเสียดายขยะเหล่านั้น และของที่ไม่ค่อยได้ใช้ให้เก็บไว้ในกล่องรวมกัน แล้วนำไปวางให้พ้นสายตา อีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือ บรรดาสายไฟและสายเคเบิลต่าง ๆ นั้น เป็นตัวการที่ทำให้ห้องดูรกรุงรัง และดูแคบลงมากเลยทีเดียว ทางที่ดีควรหาวิธีเก็บสายไฟและสายเคเบิลเหล่านั้นให้พ้นสายตาไปจะดีกว่า รับรองว่าจะเหลือพื้นที่ใช้สอยอีกเป็นกอง  เลือกสีที่ใช่ให้ห้องสวยขึ้น  ลองสังเกตดี ๆ ว่าคอนโดของคุณนั้นเป็นเน้นการใช้โทนสีอะไรเป็นหลัก แล้วจึงค่อยเลือกเฟอร์นิเจอร์เข้ามาตกแต่งในโทนสีเดียวกัน หรือแบบที่ไปด้วยกันได้อย่างลงตัว แต่ก่อนที่จะซื้อเฟอร์นิเจอร์สีต่าง ๆ มาตกแต่งในห้องนั้น อย่าลืมถามผู้ที่อาศัยร่วมห้อง ว่าพวกเขามีความคิดเห็นอย่างไรกับเฟอร์นิเจอร์สีเหล่านั้นด้วยนะ  เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แบบมัลติฟังก์ชั่น  ด้วยความที่คอนโดมีพื้นที่เล็ก จึงมีข้อจำกัดบางประการในการเลือกเฟอร์นิเจอร์เข้ามาวางในคอนโด ถ้าหากเลือกเฟอร์นิเจอร์แบบมัลติฟังก์ชั่นได้ จะถือว่าคุณได้ใช้พื้นที่ทุกตารางเมตรในห้องได้คุ้มค่ามาก ๆ ถ้าเพดานในคอนโดสูงพอ ลองเลือกใช้เตียง 2 ชั้น หรือถ้าเพดานสูงไม่มากนัก ก็ลองเลือกโซฟาที่เป็นเตียงได้ด้วย เวลาไม่ได้ใช้นอนแล้วก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นโซฟานั่งดูทีวีได้สบายเลย ทั้งยังไม่ต้องเปลืองเงิน เปลืองพื้นที่ซื้อทั้งเตียง ซื้อทั้งโซฟาอีกด้วย  เฟอร์นิเจอร์เคลื่อนย้ายง่ายกว่าเยอะ  เพราะพื้นที่เล็ก ทำให้ต้องพิถีพิถันในการเลือกเฟอร์นิเจอร์กันหน่อย คุณควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีล้อเลื่อน หรือพับเก็บได้ งอไปซ้ายไปขวาได้ตามใจ จะดีกว่าเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินหรือเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่น้ำหนักมาก เพราะเฟอร์นิเจอร์แบบนี้ เวลาจะเคลื่อนย้ายในห้องเล็กขนาดนี้แต่ละที ก็เป็นเรื่องที่ลำบากอยู่ไม่น้อย ฉะนั้นลองเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เคลื่อนย้ายง่ายมาไว้ในห้องดีกว่าครับ  เปลี่ยนบรรยากาศยามนั่งทำงาน  ถ้าคุณเป็นนักเรียน หรือมีธุรกิจทำงานที่บ้าน คงอาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการนั่งทำงานในห้องเล็ก ๆ แบบนี้ ฉะนั้นควรจัดมุมทำงานไว้สัก 3 มุม ในที่ที่คุณสามารถเปลี่ยนอิริยาบถได้ ที่สำคัญลองเปลี่ยนสีของดวงไฟให้ต่างกันในแต่ละมุมดู คราวนี้ล่ะไม่ว่าจะทำงานนานเท่าไร ก็เป็นเรื่องสบาย ๆ อยู่แล้ว  หลีกเลี่ยงการติดไฟกลางห้อง  การติดไฟกลางห้องถือว่าเป็นวิธีที่ดีและง่ายในการเดินสายไฟ แต่ทว่ากลับไม่ทั่วถึงไปทุกมุม ฉะนั้นควรเปลี่ยนมาติดไฟให้กระจายออกไปในทุกมุมของห้องดีกว่า จะทำให้ห้องดูหรูหรา และน่าสนใจมากกว่าติดไฟสว่างจ้าไว้ดวงเดียวกลางห้องเสียอีก แบบนั้นดูเหมือนมีพระอาทิตย์อยู่กลางห้องมากกว่านะ  รับแขกด้วยที่นอนปิคนิค  หากมีเพื่อนอยากมานอนค้างที่ห้อง บอกได้เลยว่าไม่เป็นปัญหา เพราะถ้าคุณเริ่มลงมือจัดระเบียบห้องตั้งแต่แรก รับรองว่าต้องเหลือที่อีกเยอะไว้เผื่อให้เพื่อนมานอนค้างแน่นอน ลองซื้อที่นอนปิกนิค เตียงเป่าลม หรือจะใช้เก้าอี้นวมเอนหลังที่ปรับระดับได้มาไว้เพื่อรองรับแขกในวันที่จำเป็น เมื่อเพื่อนกลับบ้านไปแล้ว ก็เก็บของเหล่านั้นไว้ในกล่องของที่ไม่ค่อยได้ใช้ เพียงเท่านี้บ้านก็จะกลับมามีระเบียบเหมือนเดิม  จัดมุมต่าง ๆ ให้เหมือนบ้านอันอบอุ่น  เมื่อเข้ามาอยู่ในคอนโดแล้ว ก็เปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่งของคุณ ที่อาจจะมีพื้นที่เล็กกว่าบ้านไปหน่อย แต่ก็ทำให้อบอุ่นได้ไม่แพ้กัน ฉะนั้นควรใส่ใจในการตกแต่ง และยอมเสียเวลาสักหน่อยเพื่อให้คอนโดออกมาสวย มีพื้นที่ใช้เยอะ ๆ ดีกว่าต้องมารู้สึกอึดอัดเวลาที่ได้อยู่ในคอนโดของคุณนะครับ  ถ้าหากวางแผนในการจัดห้องมาอย่างดีตัั้งแต่แรก จะช่วยทำให้ไม่ต้องจัดห้องบ่อย ๆ หรือแทบจะไม่ต้องจัดเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าห้องจะเล็กขนาดไหน ก็มั่นใจได้เลยว่าจะไม่อึดอัดอย่างที่คิด ฉะนั้นยอมเหนื่อยตั้งแต่ตอนแรกดีกว่ามานั่งแก้ไขปัญหาไม่จบในภายหลังนะครับ
4 สัญญาณอันตราย เสี่ยงกู้ไม่ผ่าน

4 สัญญาณอันตราย เสี่ยงกู้ไม่ผ่าน

ใครที่กำลังจะก่อหนี้เพิ่มตอนนี้ต้องคิดให้ดีๆ โดยมี 4 สัญญาณอันตรายซึ่งอาจจะมีผลต่อการขอสินเชื่อหรือทำให้กู้ไม่ผ่านดังนี้ 1.ก่อหนี้ได้ไม่เกิน 40% ของรายได้ ปัจจุบันคนไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 25,405 บาท มีรายจ่ายเฉลี่ย 19,259 บาท หรือมีสัดสวนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ 75.8% มีหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือน 159,492 บาท ขณะที่หนี้สินต่อรายได้มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยกว่า 10,000 บาท ต่อเดือนที่มีอยู่ประมาณ 1.6 ล้านครัวเรือน แต่มีภาระหนี้สินที่ต้องจ่ายถึง 61% (ณ ปี 2556) ส่วนกลุ่มรายได้ 10,000-30,000 บาทต่อเดือนซึ่งถือเป็นกลุ่มใหญ่สุด 3.7 ล้านครัวเรือน มีภาระหนี้สินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจากประมาณ 1 ใน 4 (24% ณ ปี 2552) มาเป็น 1 ใน 3 (34% ณ ปี 2556) ของรายได้ สำหรับเกณฑ์ที่ยอมรับได้คือ 40% หากตัวเลขยังเพิ่มขึ้นโอกาสที่จะขยายสินเชื่อของครัวเรือนก็อาจจะน้อยลงไป 2.เป็นหนี้รถยนต์คนแรก+หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล ทั้งสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อส่วนบุคคล (กู้เป็นก้อน ผ่อนเป็นงวด) ทางสถาบันการเงินได้ให้ความสำคัญในการติดตามค่อนข้างมาก เนื่องจากสัญญาณการเริ่มผิดนัดชำระหนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก แม้ว่าการค้างจะยังไม่เกิน 90 วัน (ถ้าเกินจะกลายเป็นบัญชีลูกหนี้ที่เป็น NPL) ตัวเลขหนี้เสียจากสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อส่วนบุคคลเริ่มมีสัญญาณการค้างชำระ 31-90 วันเพิ่มขึ้นถึง 38% โดยตัวเลขบัญชีสินเชื่อที่ยังมีการเคลื่อนไหว ณ ไตรมาสแรกของปี 2557 มีจำนวน 47.4 ล้านบัญชี จากทั้งหมด 71.5 ล้านบัญชี ดังนั้นคนที่มีหนี้รถยนต์คันแรกกับหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลอยู่แล้ว หากจะขอกู้เพิ่มเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยจึงมีโอกาสกู้ไม่ผ่าน เพราะความสามารถในการชำระหนี้ลดลง 3.เคยมีประวัติค้างชำระหนี้ จำนวนสมาชิกของเครดิตบูโรที่เป็นสถาบันการเงินทั้ง 79 รายในปัจจุบัน มีการเรียกดูข้อมูลลูกค้าเก่าเพิ่มขึ้นจาก 6.5 ล้านครั้งต่อปี (ในปี 2555) เพิ่มเป็น 16 ล้านครั้งต่อปีในปี 2556 และข้อมูล 4 เดือนแรกของปีนี้มีการเรียกดูข้อมูลไปแล้วถึง 11 ล้านครั้ง ซึ่งระบบสถาบันการเงินมีความเข้มงวดมากขึ้นในกระบวนการวิเคราะห์สินเชื่อ โดยบางแห่งได้กำหนดเป็นนโยบายให้ตรวจดูทุกบัญชีและดูทุกเดือนเพื่อประเมินความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด และการเช็คเครดิตบูโรก็เพื่อดูข้อมูลของลูกค้าในด้านสินเชื่อที่มีอยู่กับสถาบันการเงินอื่นๆ เช่น จำนวนหนี้คงค้าง การชำระหนี้ ประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมาในอดีต การที่สถาบันการเงินที่กำลังพิจารณาสินเชื่อได้เห็นพฤติกรรม เห็นการผ่อนชำระหนี้ว่ามีการจ่ายครบ  จ่ายตรง หรือมีการผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ การรู้จักตัวตนของลูกค้าที่มีขอสินเชื่อ ก็จะทำให้การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อมีความแม่นยำมากขึ้น และสุดท้ายคือป้องกันการเกิด NPL ได้ ขณะที่การมีประวัติค้างชำระคือชำระแบบเลี้ยงงวดหรือชำระแบบงวดเว้นงวด  ย่อมส่งผลให้ประวัติของเจ้าของบัญชีนั้นๆ เกิดสิ่งที่เรียกว่า “การมีประวัติการค้างชำระ” ซึ่งจะส่งผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ เนื่องจากสถาบันการเงินอาจไม่แน่ใจ หรืออาจจะรอดูอีกระยะหนึ่ง (เรียกว่าระยะดูใจ) เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่เรื่องที่เกิดจากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ยื่นกู้ แต่อาจเป็นเหตุที่เกิดขึ้นได้ โดยระยะดูใจนี้จะนานหรือไม่นานก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันการเงิน 4.มีบัญชีหนี้เกินกว่า 5 บัญชีขึ้นไป โดยปกติแล้วแต่ละคนไม่ควรมีบัญชีหนี้สินกิน 5 บัญชี หากเกินกว่านี้อาจมีผลต่อการจะก่อหนี้เพิ่มในอนาคตได้ ทั้งนี้และทั้งนั้นการตรวจสุขภาพทางการเงินของตัวเอง ทั้งในเรื่องของการก่อหนี้และการชำระหนี้ของผู้ที่กำลังวางแผนจะขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เรียกว่าเป็นการรู้จักตัวเองก่อนไปขอกู้ เพราะถึงอย่างไรสถาบันการเงินก็จะตรวจสอบดูประวัติการก่อหนี้และการชำระหนี้ของผู้กู้อยู่แล้ว ที่สำคัญประวัติการการชำระหนี้ที่ดีนั้นไม่มีขาย ถ้าอยากได้คุณต้องลงมือทำเอง   ที่มา : www.home.co.th
3 สัญญาซื้อขายคอนโด-บ้าน ก่อนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์

3 สัญญาซื้อขายคอนโด-บ้าน ก่อนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์

ซื้อคอนโดไม่ใช่เรื่องเล็ก ต้องเช็คสัญญาให้ดี รู้หรือไม่ การซื้อบ้านหนึ่งหลัง ผู้ซื้ออาจต้องทำสัญญาถึง 3 สัญญาด้วยกัน จึงจะได้กรรมสิทธิ์ในตัวบ้านโอนมาเป็นของคนซื้อ อาจจะฟังดูเหมือนการซื้อบ้านหลังหนึ่งมีความซับซ้อน แต่จริงๆ แล้ว หากเข้าใจความหมายและหน้าที่ของสัญญาทั้ง 3 แล้ว จะพบว่าไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิดไว้เลย ซึ่งสัญญาทั้ง 3 ที่ผู้ซื้อสามารถพบเจอได้นั้น ประกอบไปด้วย สัญญาจอง ซื้อเป็นสัญญาแรกที่เกิดขึ้น แต่อาจไม่ได้เกิดกับผู้ซื้อทุกคน สัญญาประเภทนี้คือ เมื่อผู้ซื้อตกลงใจที่จะซื้อบ้านก็ต้องวางเงินจองเอาไว้ก่อน ซึ่งสัญญาจองซื้อนี้ระบุเงื่อนไขให้ผู้ซื้อต้องผ่อนเงินดาวน์ไปเรื่อยๆ ตามรายการแนบท้ายสัญญา แต่สัญญาจองซื้อนี้จะมีข้อเสียเปรียบตรงที่ หากผู้ขายได้รับใบอนุญาตให้ปลูกสร้างจากหน่วยงานราชการแล้ว ผู้ซื้อต้องเข้ามาทำสัญญาจะซื้อจะขายอีกครั้ง และมักมีเงื่อนไขระบุว่า หากไม่มาทำสัญญาจะซื้อจะขาย จะถือเป็นการยกเลิกสัญญาและจะริบเงินมัดจำทั้งหมด แต่หากครบกำหนดผ่อนชำระแล้ว ผู้ขายไม่สามารถขออนุญาตก่อสร้างได้ก็จะคืนเงินให้แต่ไม่มีดอกเบี้ย สัญญาจะซื้อจะขาย เป็นสัญญาที่กฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะต้องทำ แต่ในชีวิตจริงเรื่องบ้านถือเป็นเรื่องใหญ่ รวมถึงอาจมีการขอสินเชื่อ ดังนั้นเพื่อความมั่นใจของทั้ง 2 ฝ่าย จึงเกิด “สัญญาจะซื้อจะขาย” ขึ้น โดยสัญญาจะซื้อจะขายนี้ แตกต่างจากสัญญาจองซื้อตรงที่ผู้ซื้อมีหน้าที่จ่ายเงินตามสัญญา เมื่อครบกำหนดผู้ขายมีหน้าที่โอนกรรมสิทธิ์บ้านโดยทำสัญญาซื้อขาย หากผู้ซื้อผิดสัญญา ผู้ขายสามารถยกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำหรือเงินดาวน์ที่ผ่อนมาได้ตามกฎหมาย หากผู้ขายผิดสัญญา ผู้ซื้อสามารถฟ้องให้โอนกรรมสิทธิ์ได้ หรือยกเลิกสัญญาและให้คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่โครงการผิดนัด สัญญาซื้อขาย เป็นสัญญาที่กฎหมายบังคับให้ทำ โดยมีชื่อเป็นทางการว่า “หนังสือสัญญาขายที่ดิน” โดยวันที่เซ็นสัญญาเป็นวันที่กรรมสิทธิ์ในตัวบ้านจะโอนมาเป็นของคนซื้อ ดังนั้น ผู้ขายต้องแจ้งผู้ซื้อล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วันก่อนวันทำสัญญาซื้อขาย สำหรับผู้ซื้อในวันทำสัญญาซื้อขายจะเป็นวันที่พร้อมชำระเงินหรือได้รับสินเชื่อจากธนาคารพร้อมที่จะจ่ายเงินให้กับผู้ขาย และเป็นวันที่ผู้ซื้อต้องเซ็นสัญญาซื้อขายที่สำนักงานที่ดิน จดทะเบียนการโอน และจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด   ดังนั้น ในการซื้อบ้านหนึ่งหลัง อาจต้องทำสัญญากันถึง 3 ครั้ง แต่สัญญาครั้งสุดท้าย ถือเป็นสัญญาที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ สัญญาซื้อขาย ที่จะทำให้เรามีกรรมสิทธิ์ในตัวบ้านนั่นเอง เกี่ยวกับสัญญาซื้อขายคอนโดเพิ่มเติม ศึกษากฎหมายเกี่ยวกับอสังหาฯ ที่ควรรู้ และหนังสือสัญญาซื้อขายบ้าน-คอนโด ก่อนทำการลงทุน เกี่ยวกับการซื้อ-ขาย คอนโดฯ เคล็ด (ไม่) ลับ เลือกธนาคารกู้ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง? ทางเลือกซื้อคอนโด สำหรับคนงบน้อย  
แต่งห้องนั่งเล่น หลากสไตล์ไอเดีย

แต่งห้องนั่งเล่น หลากสไตล์ไอเดีย

หลากสไตล์ไอเดียแต่งห้องนั่งเล่น ห้องนั่งเล่นเป็นส่วนสำคัญของบ้านที่เกิดกิจกรรมขึ้นหลากหลาย การตกแต่งห้องนั่งเล่นให้สวยงามน่าอยู่นอกจากจะตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยแล้ว ยังเป็นการแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของเจ้าของบ้านได้อีกด้วย - Light Background ใช้สี Neutral ได้แก่ สีโทนขาว ครีม ไปจนถึงเทาอ่อน เป็นสีหลักบนผนัง เพราะนำไปใช้ร่วมกับสีอื่นๆ ได้ง่าย และ สไตล์ eclectic นี้มีของตกแต่งหลากหลายอยู่แล้ว การใช้ผนังสีอ่อนจะช่วยทำให้ห้องไม่ดูแน่น และอึดอัดเกินไป - Expect the Unexpected วางของตกแต่งที่ดูแปลกที่แปลกถิ่นในห้อง ทำให้ที่นี่ดูน่าตื่นเต้นเสมอ และถ้าคุณสะสมงานศิลปะ หรือทำงาน DIY ล่ะก็ อย่าพลาดโอกาสโชว์ผลงานชิ้นโปรดที่จะกลายเป็นเอกลักษณ์ของห้องอีกด้วย - Clutter-less ลดฉากกั้น หรือผนังในห้อง เพื่อโชว์ความแตกต่างของ เฟอร์นิเจอร์ texture รูปทรง สีสัน ลวดลาย และแพทเทิร์น ที่เรานำมาผสมผสานเข้าด้วยกัน - Make a decision หากคุณมีสไตล์ที่ชอบหลากหลายจนไม่รู้จะใช้แบบไหน นั่นไม่เป็นปัญหากับการตกแต่งแบบ eclectic เพียงคุณเลือกออกมา 3 - 4 สไตล์ แล้วยึดไว้เป็นหลักตลอดการตกแต่ง - Old, New and Unique เอกลักษณ์สำคัญของสไตล์ eclectic ก็คือการผสมผสานของเก่าเข้ากับของร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้มรดกตกทอดจากคุณตาคุณยาย ผลงาน DIY ไปจนถึงหมอนอิงลวดลายกราฟฟิกแบบอินเดียก็สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้แบบไม่รู้สึกขัดแย้ง   ที่มา : www.home.co.th
เลือกคอนโดเสริมร่ำรวย

เลือกคอนโดเสริมร่ำรวย

 เลือกคอนโดฯ เสริมร่ำรวย คอนโดมิเนียมเป็นทางออกที่ดีมากสำหรับการอยู่อาศัยในเมือง เพราะสะดวกสบาย ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกและการเดินทางไปทำงาน แต่เราจะเลือกคอนโดฯ ให้ส่งเสริมโชคลาภ และจัดฮวงจุ้ยอย่างไร เพื่อแก้ไขสิ่งร้ายให้กลายเป็นโชค (มากขึ้น) ลองพิจารณาคำแนะนำเหล่านี้ครับ     1.ทางเข้าออก ภาพของรวมโครงการ :   คอนโดฯ ที่ดีควรมีทางเข้าออกกว้างและสะดวก มีสวนหรือพื้นที่สีเขียวส่วนกลางมากๆ และเห็นกระแสพลังไหลเข้า เช่น เห็นสายน้ำไหลมาหา ถนนสายใหญ่มีรถวิ่งมาหาจำนวนมาก เพราะบริเวณดังกล่าวนี้ก็จะเป็นจุดสะสมกระแสพลังให้ภาพรวมของโครงการที่เราอาศัยอยู่นั้นเกิดความเจริญรุ่งเรืองและมีมูลค่าในระยะยาว สำหรับการอยู่อาศัยในเชิงพาณิชย์หรือเก็งกำไรก็ควรเลือกทิศที่ระเบียงอยู่ในแนวทิศเหนือ-ใต้เป็นหลัก เพราะสามารถรับลมได้ดี สามารถหาคนเช่าอาศัยต่อได้ง่าย   2.กระแสพลัง :   พลังงานต้องมีทิศทางวิ่งเข้าหาห้องพักของเราได้ จุดเด่นของคอนโดฯ คือ ระเบียง เราถือว่าภายนอกอาคารนั้นระเบียงเป็นทิศจ่ายกระแสพลังงาน ลมต้องไหลเวียนเข้าจากระเบียงได้ดี การอยู่ชั้นสูงๆ จะได้เปรียบเรื่องทางลม ลมเข้ามากก็มีโอกาสรวยมาก ยิ่งอยู่ในชั้นที่เปิดประตูระเบียงแล้วไม่มีสิ่งปลูกสร้างบังเลย ก็จะทำให้โอกาสทางการเงินมากกว่าห้องอื่นๆ ระเบียง คือ ตำแหน่ง “เหม่งตึ๊ง” หรือเปรียบดัง “สถานที่สะสมความมั่งคั่ง” ให้กับคอนโดฯจึงควรมีสภาพโล่งกว้างที่สุด ไม่วางโต๊ะเก้าอี้เกะกะ หรือมีต้นไม้ปลูกบังขวางทางเดินและทิศทางลม สำหรับระเบียงที่อยู่สูงจากสระว่ายน้ำส่วนกลางไม่มากนักสัก 1-2 ชั้น ถือเป็นตำแหน่งดีด้วยเช่นกัน เพราะที่สระว่ายน้ำนั้นน้ำจะมีสภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นการกระตุ้นพลังอยู่ตลอดเวลา ถือว่าเป็นการเสริมโชคที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้การวางโซฟาบริเวณโถงที่ติดกับระเบียงไม่ควรเลือกโซฟาชนิดหนา บังระเบียงจนทึบ ส่วนแหล่งจ่ายกระแสพลังภายในอาคารให้พิจารณาห้องพักตำแหน่งใกล้กับลิฟต์ ถือเป็นห้องที่รับกระแสพลังที่ดี หากบริเวณทางเข้าประตูห้องของเราไกลจากลิฟต์หรือมืด แนะนำให้ติดไฟให้สว่างบริเวณปากทางเข้าห้อง หากทำได้ให้ติดทั้งนอกและในห้องเลย ก็จะช่วยให้สภาพประตูมีความเป็นหยาง หรือพลังคึกคัก โชคลาภก็จะวิ่งเข้าประตูได้ดีขึ้น   3.การเลือกทิศหันหัวนอน :   หลักของการวางตำแหน่งหัวนอนในคอนโดฯ นั้น ใช้หลักของชัยภูมิที่ดี คือ ควรมองเห็นประตู เห็นคนที่จะเดินเข้าห้องและเห็นทิวทัศน์ที่หน้าต่างด้วย ถ้าจะให้ดีจริงๆ ก็คือ ก่อนไปเลือกซื้อควรปรึกษาซินแสว่าทิศไหนเป็นทิศหัวนอนที่ดีต่อเราจริงๆ จะได้เลือกตอนซื้อไปเลยเพราะคอนโดฯ บางแห่งเขาได้บังคับตำแหน่งหัวนอนตามรูปห้องไว้แล้ว ทำให้เราหาทิศเข้ากับดวงนั้นทำได้ยาก การหันทิศหัวนอนทางทิศตะวันตกไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้ายอย่างที่หลายๆ ท่านเข้าใจ เพราะทิศตะวันตกเป็นทิศธาตุทอง ซึ่งเพิ่มพลังแห่งการตัดสินใจที่เฉียบขาดให้ท่านและช่วยให้การควบคุมลูกน้องในปกครองเป็นไปได้ดี แต่สำหรับบางท่านที่ประสงค์จะทำการปล่อยให้เช่าหรือขายต่อ ท่านก็ต้องพิจารณาเลี่ยงการซื้อห้องซึ่งมีทิศหัวนอนทางทิศนี้ เนื่องจากผู้เช่าอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้องอยู่ การปล่อยห้องให้เช่าหรือขายต่อก็อาจจะยากกว่าปกติ   4.ของใช้เพื่อการอยู่อาศัย :   ควรมีเท่าที่จำเป็น เพราะข้าวของที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้พื้นที่ใช้สอยและการไหลเวียนของพลังงานในห้องพักลดน้อยลง หากจำเป็นต้องมีหรือเก็บไว้ควรหาตู้เก็บเป็นสัดส่วน ไม่วางระเกะระกะจนรกไม่น่าอยู่ แนวทางในการจัดฮวงจุ้ยเพื่อให้มีพลังที่ดีแบบเฉพาะเจาะจงก็ยังสามารถใช้แนวทางของดวงชะตาและดาวเหินได้อีกด้วย   สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามได้ที่ www.100fs.com  
วิธีขจัดคราบเขม่า ควันไฟ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

วิธีขจัดคราบเขม่า ควันไฟ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

วิธีขจัดคราบเขม่าควันไฟที่ติดเสื้อผ้า พรม ม่าน หรือวัสดุอื่น ๆ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด แค่รู้เคล็ดลับกำจัดคราบเขม่าควันไฟให้หมดจดเหล่านี้ก็เอาอยู่ ปัญหาคราบเขม่าควันไฟไม่ได้แค่เปื้อนดำพื้นผิววัสดุเท่านั้น แต่กลิ่นเขม่าควันจาง ๆ ก็ยังติดอยู่บนเสื้อผ้าและวัสดุต่าง ๆ อย่างฝังแน่น ทำเอาแม่บ้านหลายคนกุมขมับกับการขจัดทั้งคราบและกลิ่นเขม่าควันไฟที่ติดบนเสื้อผ้า โซฟา ผ้าม่านกันเป็นแถว แต่ปัญหาคราบเขม่าควันเปื้อนดำก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนะคะ เพราะเพียงแค่เจอวิธีขจัดคราบเขม่าควันไฟเหล่านี้ของเราเท่านั้น รับรองเลยว่าทั้งคราบและรอยเปื้อนดำของเขม่าควันไฟที่ติดฝังแน่นอยู่บนวัสดุไหนก็ตาม จะต้องยอมแพ้และจางหายไปในที่สุด 1.ผ้าที่ไม่สามารถซักล้างได้ ก็ขจัดคราบเขม่าได้ สำหรับผ้าที่ไม่สามารถซักล้างได้ เช่น ผ้าขนสัตว์, กำมะหยี่, ผ้าอะซิเตท, ผ้าไหม, ไฟเบอร์กลาส, ผ้าเรยอน, พรมขนสัตว์ และพรมเส้นใยสังเคราะห์ ให้เริ่มกำจัดคราบเขม่าควันติดฝังแน่นด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดให้ทั่วรอยเปื้อน จากนั้นโรยผงซักฟอกลงไปบาง ๆ ให้ทั่วบริเวณ ตามด้วยใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดคลุมทับไว้ หมั่นคอยเปิดผ้าคลุมดูทุก ๆ 5 นาที หากผ้าคลุมเริ่มซับคราบเปื้อนออกมาได้มากแล้วให้เปลี่ยนผ้าคลุมผืนใหม่โดยด่วน แต่สำหรับคราบเขม่าควันที่ดื้อด้าน ฝังแน่นไม่ยอมไปไหน แนะนำให้หยดแอมโมเนียลงไปสลายคราบดำประมาณ 2-3 หยด (ยกเว้นกับผ้าไหมและผ้าขนสัตว์) แล้วใช้ผ้าชุบน้ำคลุมทับจนกว่าคราบเปื้อนจะจางหายไป ขั้นตอนสุดท้ายให้เช็ดด้วยผ้าชุบน้ำสะอาดอีกครั้ง 2.ผ้าที่สามารถซักล้างได้ ขจัดคราบเขม่าได้ง่ายกว่า ถ้าคราบเขม่าควันเปื้อนผ้าที่สามารถซักล้างได้ เช่น ผ้าอะคริลิค, ผ้าฝ้าย, ผ้าลินิน, ไนลอน และโพลีเอสเตอร์ สามารถกำจัดได้ง่าย ๆ แค่ใช้น้ำล้างทันทีที่เกิดคราบ แต่หากคราบเปื้อนฝังแน่นอยู่นานแล้ว ให้คุณโรยผงซักฟอกหรือน้ำยากำจัดคราบลงไป จากนั้นทับด้วยผ้าชุบน้ำสักพัก สำหรับคราบเปื้อนฝังแน่นมาก อาจเพิ่มแอมโมเนียลงไปผสมกับน้ำยากำจัดคราบสัก 2-3 หยดก็ได้ ทิ้งไว้สักพักเพื่อให้น้ำยาสลายคราบเขม่าควัน ก่อนจะนำผ้าไปซักและตากแห้งตามปกติ 3.ขจัดคราบเขม่าที่ติดผิววัสดุเนื้อแข็ง นอกจากเนื้อผ้าแล้ว คราบเขม่าก็อาจไประรานวัสดุเนื้อแข็งอย่างพลาสติก, เซรามิก, แก้ว, กระเบื้อง, ยูรีเทน, พอร์ซเลน, สเตนเลส และผ้าไวนิลได้เหมือนกัน ซึ่งวิธีกำจัดคราบเขม่าควันออกจากวัสดุเนื้อแข็งก็ทำได้ง่ายเว่อร์ เพียงแค่ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเกือบร้อนมาเช็ดทำความสะอาดคราบเปื้อนจากเขม่าควันไฟ จากนั้นเช็ดด้วยผ้าแห้งอีกสักครั้งก็เรียบร้อยจ้า 4.วัสดุก่อสร้าง ขจัดคราบเขม่าได้ง่าย สำหรับคราบเขม่าควันบนวัสดุก่อสร้างอย่างอิฐ, หิน, ดินเผา, ปูน และกระเบื้อง ให้คุณผสมน้ำยาขจัดคราบชนิดใดก็ได้ในปริมาณ ½ ถ้วยตวงต่อน้ำสะอาด 1 แกลลอน จากนั้นนำมาล้างคราบเขม่าควันโดยจะใช้ฟองน้ำหรือแปรงขัดเป็นอุปกรณ์เสริมก็แล้วแต่สะดวก เสร็จแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดเพื่อเก็บงานอีกครั้งเป็นอันเรียบร้อย 5.ขจัดคราบเขม่าบนหนังและหนังกลับเนื้อนิ่ม ผสมสบู่สูตรอ่อนโยนกับน้ำอุ่นจัด ตีจนเกิดฟองสบู่หนานุ่ม แล้วจึงนำฟองสบู่ที่ได้มาป้ายลงบนรอยเปื้อน จากนั้นใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์หรือฟองน้ำเช็ดกำจัดคราบอย่างเบามือ ตามด้วยใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดล้างคราบสกปรกทุกอย่างออกให้หมดจด แล้วตากลมให้แห้งสนิท 6.ขจัดคราบเขม่าบนผิวไม้  ปกติแล้วไม้กับไฟเป็นของที่ใกล้กันไม่ได้ แต่หากไม้ของคุณถูกไฟไหม้จนเกิดรอยเขม่าควันไฟ ให้รีบใช้ผ้าชุบฟองสบู่มาเช็ดทำความสะอาดเนื้อไม้โดยด่วน จากนั้นจึงเช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำธรรมดาอีกครั้ง พร้อมทั้งเช็ดให้แห้งด้วยผ้านิ่มและขัดแว๊กซ์เคลือบเนื้อไม้ปิดท้าย นอกจากการขจัดคราบเขม่า ยังมีเทคนิคทำความสะอาดบ้านต่างๆ เทคนิคทำความสะอาดบ้านแบบง๊ายง่าย ห่างไกล “ภูมิแพ้” วิธีทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ไม้แบบง่ายๆ การดูแลทำความสะอาดพื้นลามิเนต ทำความสะอาดโซฟาผ้า ไม่ยากอย่างที่คิด