Tag : Lifestyle

408 ผลลัพธ์
SECOM Smart Security ระบบรักษาความปลอดภัยครบวงจรอันดับหนึ่งจากญี่ปุ่น

SECOM Smart Security ระบบรักษาความปลอดภัยครบวงจรอันดับหนึ่งจากญี่ปุ่น

SECOM Smart Security ระบบรักษาความปลอดภัยครบวงจรอันดับหนึ่งจากญี่ปุ่น ที่มากกว่ากล้องวงจรปิดทั่วไป เพื่อการดูแลทุกคนในบ้านให้ปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง   SECOM Smart Security คือบริการอะไร? Smart Security Care บริการใหม่เพื่อดูแลผู้สูงวัยในบ้าน อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ควรติดตั้งในบ้าน บริการของ Smart Security care …………………………………………………………………     เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยที่มีแค่กล้องวงจรปิด (CCTV) ไม่สามารถทำให้คุณอุ่นใจ ได้อย่างแท้จริง เพราะหลายเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เราไม่สามารถจัดการเหตุได้อย่างทันท่วงที ยิ่งสังคมในปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตที่ต้องออกไปทำงาน ทำกิจกรรมนอกบ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ การมองหาอุปกรณ์และระบบเพื่อรักษาความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินภายในบ้าน จึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่หลายคนมองหามาติดในบ้าน   ครั้งนี้เราจะมาพูดถึงระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร ภายใต้แบรนด์ “SECOM” ผู้ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยอันดับหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น มีเครือข่ายทั่วโลกครอบคลุม 17 ประเทศ และดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมานานถึง 37 ปี และปัจจุบันมีการขยายศูนย์บริการมากกว่า 50 สาขาแล้ว ซึ่งเป็นเครื่องการันตีความเป็นผู้เชี่ยวชาญและเป็นผู้นำในตลาดระบบรักษาความปลอดภัยได้เป็นอย่างดี     ด้วย “SECOM Smart Security” เป็นโซลูชันที่ครอบคลุมการดูแลความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มให้คำปรึกษา, บริการออกแบบระบบ, บริการติดตั้งโดยทีมงานมืออาชีพ พร้อมบริการเฝ้าระวังสัญญาณผิดปกติตลอด 24 ชั่วโมง, บริการซ่อมบำรุง, รวมถึงระบบวิเคราะห์ภาพอัจฉริยะ (Video Analytics) และเซ็นเซอร์ตรวจจับความผิดปกติ แจ้งเตือนผ่านสมาร์ทโฟน และโทรแจ้งเจ้าบ้าน รวมทั้งบริการส่งทีมเข้าพื้นที่กรณีฉุกเฉินตามความจำเป็น ซึ่งนับเป็นระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรอย่างแท้จริง   ความปลอดภัยที่เหนือกว่า ด้วยจุดเด่นของ SECOM SECOM มีประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพด้านความปลอดภัย และเป็นระบบรักษาความปลอดภัยเดียว ที่ป้องกันความเสี่ยงอย่างครบวงจร ตั้งแต่มาตรการป้องกันก่อนเกิดเหตุไปจนถึงหลังเกิดเหตุ เพื่อควบคุมและลดความเสียหายจากเหตุฉุกเฉิน ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่มีจุดเด่น 3 ด้าน ได้แก่ One Intelligent Platform : บริการสุดทันสมัย ให้คุณจัดการควบคุมทั้งเซ็นเซอร์ กล้อง และระบบอัตโนมัติได้อย่างสะดวกสบายใน Application เดียว Monitoring 24/7 : ศูนย์ควบคุมคอยเฝ้าระวังสัญญาณจากเซ็นเซอร์ตลอด 24 ชม. อุ่นใจได้หากตรวจพบเหตุการณ์ผิดปกติ ทางศูนย์จะติดต่อลูกค้า พร้อมมีบริการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานดับเพลิงได้ตามความต้องการ Interactive Solution : แจ้งเตือนจาก Application เมื่อมีผู้มาเยี่ยมบ้าน หรือตรวจพบผู้บุกรุก พร้อมบันทึกภาพจากกล้องบน Cloud และตรวจจับคนและสัตว์ได้อัตโนมัติ   จากระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะครบวงจรที่กล่าวถึงมาข้างต้นนี้แล้ว ล่าสุด SECOM ได้เปิดตัวบริการ “Smart Security Care” ซึ่งถือเป็นการต่อยอดบริการอีกขั้นของระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับผู้สูงวัยภายในบ้าน     เตรียมป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่า “Smart Security Care” เป็นบริการที่จะมาตอบโจทย์การดูแลผู้สูงวัยที่อาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพัง ภายใต้คอนเซ็ปต์ Caring By Your Side เนื่องจากสังคมประเทศไทยในปัจจุบันก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ที่เริ่มมีจำนวนผู้สูงวัยต้องใช้ชีวิตในบ้านเองเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่สมาชิกของครอบครัวต้องออกไปทำงานนอกบ้าน มีความจำเป็นต้องอยู่อาศัยคนละที่ หรือแม้กระทั่งผู้สูงวัยที่อยู่คนเดียวและอยากดูแลตัวเอง ดังนั้นโซลูชันอัจฉริยะที่ทาง SECOM ออกแบบไว้จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเพื่อลดความกังวลทั้งในด้านความปลอดภัย และด้านสุขภาพ ให้กับสมาชิกในครอบครัว ซึ่งหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจะได้เข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที ซึ่งบริการและอุปกรณ์ที่เพิ่มเติมขึ้นมาจะมีอะไรบ้าง เราไปทำความรู้จักกันได้เลย     3 จุดเด่นของ SECOM SMART security care ด้านความปลอดภัย ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงโดยทีมงานมืออาชีพ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ SECOM จะติดต่อผ่านเบอร์ของลูกค้าที่ลงทะเบียนไว้ และประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้านสุขภาพ โซลูชันติดตามกิจกรรมและพฤติกรรมของผู้สูงวัยผ่านแอปพลิเคชันได้ตลอดเวลา ด้านการช่วยเหลือฉุกเฉิน บริการแจ้งเตือนสมาชิกในครอบครัวทันทีที่เกิดเหตุ และหากมีเหตุฉุกเฉิน SECOM จะช่วยเรียกรถพยาบาลให้ตามความจำเป็น   จุดเด่นของบริการทั้งหมดนี้จะทำงานร่วมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งไว้ในบ้าน เพื่อเฝ้าติดตามกิจกรรมและพฤติกรรมโดยรวมของผู้สูงวัย ทำให้สามารถแจ้งเตือนความผิดปกติผ่านโทรศัพท์มือถือได้ทันที พร้อมรายงานสรุปข้อมูลช่วยให้วิเคราะห์สุขภาพของผู้สูงวัยได้อีกด้วย     สำหรับอุปกรณ์แต่ละตัวที่จะใช้ทำงานร่วมกันก็ยกตัวอย่างเช่น กล้อง Wi-Fi สำหรับใช้ภายในบ้าน (Indoor Wi-Fi Camera) กล้องวงจรปิดที่สามารถพูดคุย โต้ตอบ กับคนในบ้านได้อย่างเรียลไทม์ ผ่านแอปพลิเคชันในมือถือ ถือแม้จะอยู่กันคนละที่ แต่เราก็สามารถทักทาย พูดคุยกับคนที่บ้านได้ตลอดเวลาที่ต้องการ   ปุ่มฉุกเฉินทางการแพทย์ (Medical Button) อุปกรณ์สำหรับขอความช่วยเหลือ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นปุ่มสีแดงที่ติดตั้งในจุดเสี่ยงสำคัญ เช่น ห้องน้ำ ห้องนอน เพื่อส่งสัญญาณแจ้งเตือนให้สมาชิกในบ้านรับรู้ และส่งไปที่ศูนย์ควบคุมของ SECOM เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์และให้ความช่วยเหลือได้ทันที     เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว (Motion Sensor) หรือเซ็นเซอร์เฝ้าระวังการเปิด-ปิดประตู (Door Contact) อุปกรณ์ตัวนี้จะช่วยติดตามการเคลื่อนไหวตามการใช้ชีวิตประจำวัน อย่างเวลาตื่นนอน หรือเวลาที่ใช้ทำกิจกรรมตามจุดต่าง ๆ ในบ้าน ซึ่งข้อมูลนี้จะนำไปวิเคราะห์ว่ามีความผิดปกติในชีวิตประจำวัน หรือใช้วิเคราะห์ปัญหาสุขภาพได้เช่นกัน   ตัวอย่างเหตุการณ์ : หากไม่มีการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาที่ผู้สูงวัยต้องตื่นนอนตามเวลา อาจจะสันนิษฐานได้ว่ามีความผิดปกติอื่น ๆ เกิดขึ้น เช่น เจ็บป่วย ไม่สบายหรือไม่ หรือเกิดอุบัติเหตุที่ส่วนใดของบ้าน ซึ่งเราก็จะสามารถตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชันในมือถือได้ทันที ด้วยการเปิดดูกล้องวงจรปิดในจุดต่าง ๆ ของบ้าน นอกจากนี้ยังสามารถนำเซ็นเซอร์ไปติดตั้งไว้ในกล่องยา เพื่อแจ้งเตือนให้ทานยาให้ตรงเวลาได้ด้วย   เซ็นเซอร์ตรวจจับควัน (Smoke Detector) และเซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำรั่ว (Water Leakage Sensor) เนื่องจากผู้สูงวัยอาจจะมีการหลงลืม เปิดแก๊สทำอาหาร หรือเปิดน้ำทิ้งไว้ การตรวจจับเหล่านี้ ก็จะช่วยแจ้งเตือน และป้องกันความเสียหายจากเหตุไม่คาดคิดได้ทันนั่นเอง   SECOM Smart Security Care ถือเป็นตัวช่วยที่ถูกออกแบบมาเพื่อชีวิตคนยุคใหม่อย่างแท้จริง เพราะด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ลูกหลานอาจจะไม่สามารถอยู่บ้านดูแลผู้สูงวัยได้ตลอดเวลา ด้วยบริการที่มีให้เลือกหลายหลายรูปแบบตามความต้องการ จึงช่วยลดความกังวลใจในเรื่องต่าง ๆ ในบ้านไปได้มากเลยทีเดียว ขณะเดียวกันผู้สูงวัยก็อุ่นใจ ไม่รู้สึกเป็นภาระให้กับลูกหลาน เมื่อลูกหลานต้องออกไปทำงานข้างนอก     ซึ่งเราได้มีโอกาสได้ฟังประสบการณ์การใช้งานจริงจาก Real User คุณบอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ และคุณแม่ เล่าถึงเวลาต้องออกไปทำงาน หรือเดินทางไปต่างประเทศนาน ๆ แล้วคุณแม่ต้องอยู่ที่บ้านคนเดียว Smart Security Care สามารถช่วยเตือนให้คุณแม่ทานยาได้ตามเวลา รวมถึงคุณบอยสามารถเปิดกล้อง พูดคุยกับคุณแม่ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเดินทางอยู่ส่วนไหนของโลกก็ตาม ทำให้รู้สึกใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น รวมถึงเรื่องเล่าจากเหตุการณ์สัญญาณของปุ่มฉุกเฉินทางการแพทย์แจ้งเตือนไปยังศูนย์ควบคุม แล้วเจ้าหน้าที่ต่อสายตรงถึงคุณบอยอย่างรวดเร็ว เพื่อขออนุญาตเข้าดูภาพในระบบว่าเกิดเหตุอะไรภายในบ้าน ก่อนที่จะทราบเรื่องภายหลังว่า คุณแม่พลาดกดถูกปุ่มฉุกเฉินโดยไม่รู้ตัว ซึ่งทำให้ได้รู้เพิ่มเติมว่า “ความเป็นส่วนตัว” เป็นอีกเรื่องที่ทาง SECOM ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน ถึงแม้ศูนย์ควบคุมจะสามารถเข้าดูภาพและข้อมูลได้ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด แต่ก็ต้องผ่านการได้รับความยินยอมจากเจ้าของบ้านก่อนทุกครั้ง ด้วยระบบป้องกันความเป็นส่วนตัวที่แน่นหนา ทำให้ SECOM และคนนอกไม่สามารถเข้าดูภาพและข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างแน่นอน   ดูวิดีโอตัวอย่างการใช้งาน Smart Security Care ได้ที่ bit.ly/3UrtxVN     หลังจากได้รับฟังข้อมูลของ SECOM Smart Security Care พร้อมประสบการณ์ใช้งานจริงแล้ว เราเชื่อว่าการลงทุนติดตั้งบริการเพื่อความปลอดภัยของคนที่เรารักนั้นเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามาก ด้วยค่าบริการรายเดือนเริ่มต้นเพียง 1,099 บาท เพื่อแลกกับความอุ่นใจ และทุกคนในครอบครัวสามารถออกไปทำงาน ไปใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ถือว่าไม่แพงเลย     ใครที่สนใจ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line : @secomthailand โทร. 02-026-6593 หรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://bit.ly/3VTzdt0   บทความอื่นที่น่าสนใจ 5 จุดเหมาะติดกล้องวงจรปิด ไขความลับ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้านยังไง ตอบโจทย์ชีวิตเกษียณ 7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง    
สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล  เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต”

สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต”

สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล  จับมือ 2 ดีเวปลอปเปอร์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  อสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของไทยและ บริษัท ซีจี แคปปิตอล จำกัด  บริษัทบริหารการลงทุนจากตระกูลจิราธิวัฒน์ในรูปแบบกองทุน Private Equity ที่เจาะกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวโครงการ “THE STANDARD RESIDENCES”   ที่พักอาศัยรูปแบบbranded residences บนทำเลสุดฮอตกับ 2 เมืองท่องเที่ยวระดับโลก ได้แก่เดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์หัวหิน โครงการbranded residences แห่งแรกในเอเชีย กับทำเลบีชฟร้อนท์และเดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์ภูเก็ตบางเทา ย่านที่ฮอตที่สุดในภูเก็ต ตอบโจทย์ทั้งการใช้ชีวิตอยู่อาศัยเองและซื้อไว้เป็นฮอลิเดย์โฮมด้วยดีไซน์ทันสมัย แปลกใหม่ และมาตรฐานที่ไม่เหมือนใครในแบบฉบับของ เดอะ สแตนดาร์ด มูลค่าทั้ง 2 โครงการรวมกว่า 8,500 ล้านบาท คุณอมาร์ ลัลวานี่ ประธานกรรมการบริหาร Standard International กล่าวว่า Standard International บริษัทเครือไลฟ์สไตล์โฮเทลระดับโลกและเป็นบริษัทแม่ของเครือโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด  ซึ่งก่อตั้งมากว่า 25 ปีด้วยเอกลักษณ์ ตัวตน เปิดตัวโรงแรมแห่งแรกในฮอลลีวูด รวมทั้งปักหมุดเปิดให้บริการในทำเลสำคัญทั่วโลกได้แก่ นิวยอร์ก, ไมอามี่, ลอนดอน, อิบิซา, มัลดีฟส์, หัวหิน และกรุงเทพมหานครที่เป็นแฟล็กชิพของเอเชีย อย่าง The Standard, Bangkok Mahanakhon   โดยโครงการ The Standard Residences จะหยิบยกเอาจุดเด่นด้านดีไซน์ของโรงแรม The Standard ไม่ว่าจะเป็น ห้องนั่งเล่นที่ดูสนุกสนาน การผสมผสานโทนสี การเลือกสรรวัสดุ และเตียงนอนที่นุ่มสบาย มาต่อยอดกับบริการอันเป็นเอกลักษณ์  และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสร้างประสบการณ์พักผ่อนที่แตกต่าง ตลาด branded residences ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตถึง 216% ด้วยโลเคชั่นที่มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น The Standard Residences จึงไม่จำกัดเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลักแต่ยังเล็งการขยายตัวไปยังเมืองที่มีศักยภาพในการเติบโตและมีเอกลักษณ์โดดเด่น ยกตัวอย่างเช่น บาหลี สิงคโปร์หรือ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น   ทั้งนี้คุณอมาร์ มีความเชื่อมั่นว่า ทั้ง 2 โครงการใหม่ อย่าง The Standard Residences, Hua Hin โดย แสนสิริ และ The Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่ได้ ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity  จะเพิ่มมูลค่าของ branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard มั่นใจว่า 2โครงการนี้จะสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ   คุณอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  แสนสิริ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 40ในฐานะบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์พัฒนามาแล้วรวมกว่า 500 โครงการ ทั้งนี้แสนสิริพัฒนาโครงการรีสอร์ทคอนโดมิเนียม(รวม The Standard Residences, Hua-Hin) ในหัวหินมาแล้วจำนวนรวม 25 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 31,000 ล้านบาท โดย 22 โครงการ Sold out (ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว)   คุณอุทัยกล่าวว่า หัวหินเป็นตลาดที่มีโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจสูง เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ในปี 66 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในหัวหิน 9 ล้านคนและคาดว่าในปี 67จะมีมากขึ้นกว่าเดิมด้วยมาตรการผ่อนปรนต่างๆ ส่งผลให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัย Resort home เป็นบ้านหลังที่ 2 มากขึ้น ทั้งซื้อเพื่ออยู่เองเพื่อการลงทุนของชาวไทยและต่างชาติรวมทั้งปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่กำลังพัฒนา ด้านระบบคมนาคม รวมถึงการผลักดันของภาครัฐให้หัวหินเป็น World Class City of Relaxation ศูนย์กลางของด้าน Wellness และ Medical Tourism Hub การขยายสนามบินเพื่อรองรับไพรเวทเจ็ทของนักท่องเที่ยวกลุ่มลักซ์ซัวรี่และการตั้งเป้าให้หัวหินเป็นสมาร์ทซิตี้ที่มีความทันสมัยและปลอดภัยและที่สำคัญ The Standard Residences, Hua Hin นับเป็นโปรเจกท์ไฮไลท์ของแสนสิริในปีนี้โดยมีมูลค่าโครงการรวม 4,500 ล้านบาทและเป็น Beachfront branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard แห่งแรกในเอเชีย และมีกำหนดเปิดตัวเป็นแห่งที่ 3 ของโลก โครงการตั้งอยู่บนไพร์มโลเคชั่นบนที่ดินหายากติดหาดหัวหิน ที่สามารถพัฒนาโครงการใหญ่แบบฟรีโฮลด์ได้มาพร้อมกับไฮไลท์ Beachfront Pool Villa สุด Rare ราคาแตะ 100 ล้านบาท เพียง 2 ยูนิตเท่านั้น โดดเด่นด้วย programming experience ที่ยกระดับประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสไปกับ experience facilities ที่มีให้เฉพาะลูกบ้านของเรสซิเดนซ์เท่านั้นเพื่อสุดยอดประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่ฉีกกรอบทุกการพักผ่อนอาทิ pickle ball court, the mud lounge, salt sauna และ experience shower จำนวน 245 ยูนิตบนพื้นที่ขนาด9 ไร่เริ่มตั้งแต่ 1 ห้องนอน ขนาด 40-65 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด77-120 ตารางเมตร, 3 ห้องนอน ขนาด107-153 ตารางเมตรและBeachfront Pool Villa สุด Rare ขนาด 220 ตารางเมตร ทั้งนี้โครงการพร้อมเปิดให้ชม sales gallery ครั้งแรกวันที่ 23-24 มีนาคม 2567 นี้และพร้อมเข้าอยู่ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2569 คุณภูมิ จิราธิวัฒน์กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีจี แคปปิตอลจำกัด กล่าวว่า ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity ในเครือเซ็นทรัล ได้จัดตั้ง กองทุนแรกในมูลค่า 10,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวลงทุนหลักได้แก่ 1. ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 2. ธนาคารชั้นนำ 3. นักลงทุนสถาบันระดับโลกซึ่งมีแผนที่จะลงทุนทั้งในส่วนโรงแรม คอนโดมิเนียม สวนสนุกสวนน้ำ และโครงการมิกซ์ยูส ที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นในเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศได้แก่ กรุงเทพมหานครภูเก็ต สมุย และพัทยา โดยคาดว่าจะลงทุนปีละ 3-5 โครงการ   ยิ่งสำคัญ ภูเก็ต เมืองท่องเที่ยวอันโด่งดังติดอันดับ1 ใน 10 ของโลก และยังได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ Workation อันดับ 10 ของโลก หลังช่วงโควิดในปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตแล้วกว่า 11 ล้านคน ทำให้มีการเล็งเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทจากหลายผู้ประกอบการมากที่สุดในเมืองไทยประกอบกับโดยมีโรงเรียนนานาชาติถึง 13 แห่ง และโรงพยาบาลระดับไฮเอ็นด์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของคอนโดมิเนียมในภูเก็ตเพิ่มขึ้นถึง 113% โครงการ The Standard Residences Phuket Bang Tao ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดในย่านที่เป็นไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์ของภูเก็ต อย่างย่านบางเทา การเดินทางจากกรุงเทพฯเพียง 3 ชั่วโมงโดยเครื่องบิน โครงการเดินทางจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตเพียง 25 นาที   พื้นที่ของโครงการทั้งหมดมีขนาด 19 ไร่โดยแบ่งเป็น 3 โปรเจค เริ่มจากThe Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่มีขนาด 12 ไร่ และ โรงแรมเดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา(The Peri Hotel Phuket Bang Tao) รวมถึง F&B Concept ใหม่ล่าสุดจากThe Standard ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันอีก 7 ไร่   ทั้งนี้ตัวโครงการ branded residences ประกอบด้วยอาคาร7 ชั้นรวมแล้ว6 อาคารมีจำนวนห้องทั้งหมด 188 ยูนิตโดยออกแบบให้เป็นห้องตกแต่งพร้อมเฟอร์นิเจอร์เริ่มตั้งแต่1 ห้องนอนขนาด 75 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด 100-120 ตารางเมตร, 3 ห้องนอนขนาด167-172 ตารางเมตร และห้องดูเพล็กซ์สุดหรู ขนาด 301–313 ตารางเมตร โครงการให้บริการพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลาดหลายอาทิ โคเวิร์คกิ้งสเปซ, โซนเกมส์, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำความยาว25 เมตร, สระว่ายน้ำเด็ก และสปา เป็นต้นพร้อมบริการอื่น ๆ ตามมาตรฐานโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ดรวมถึงมีพนักงานดูแลอำนวยความสะดวกตลอด24 ชั่วโมง และบริการรถรับ-ส่งไปยังชายหาดบางเทา ทั้งนี้ The Standard Residences, Phuket Bang Tao เตรียมเปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้นที่ 11.9 ล้านบาท รวมถึงเปิดsales gallery ครั้งแรกในเดือนเมษายนปี 2567 และพร้อมเข้าอยู่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2569   บทความน่าสนใจ เปิดตัว CG Capital บริษัทบริหารกองทุน โดยตระกูลจิราธิวัฒน์ เจาะตลาดอสังหาฯ โรงแรม ในเมืองท่องเที่ยว แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว  
เซ็นทรัลพัฒนา เผยธุรกิจ Central Pattana Residence เติบโตต่อเนื่อง เดินหน้าตลาดลักซูรี

เซ็นทรัลพัฒนา เผยธุรกิจ Central Pattana Residence เติบโตต่อเนื่อง เดินหน้าตลาดลักซูรี

Central Pattana Residence บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาธุรกิจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล, ที่พักอาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ เผยแผนธุรกิจ Central Pattana Residence ช่วง Q3-Q4/2566 ขยายพอร์ตลักซูรี เดินหน้ารุกโครงการแนวราบ เปิดตัวบ้าน แบรนด์ใหม่ล่าสุด “BAAN NIRADA” (บ้านนิรดา) ราคาเริ่มต้นประมาณ 20-30 ล้านบาท   Central Pattana Residence ปักหมุดทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ ได้แก่ พระราม 2 , รวมถึงอุทยาน-อักษะ และเอกชัย- วงแหวน  เชื่อมั่นดีมานด์กลุ่มลูกค้าระดับบนที่ยังคงมีกำลังซื้อต่อเนื่อง โดยคาดว่าปลายปี 66 จะสามารถปิดยอดขายรวมกันทั้งปีได้ 6,000 ล้านบาท  พบกับงานใหญ่แห่งปี ‘Imagining Better Living’ วันที่ 14-17 ก.ย. 66 นี้ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 1 รวบรวมบ้าน, คอนโดฯ และทาวน์โฮมทั้งหมด 18 โครงการ หลากหลายทำเลคุณภาพทั่วไทย พร้อมโปรโมชั่นดีที่สุดแห่งปี และข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองภายในงานเท่านั้น ลดสูงสุด 6,000,000 ล้านบาท* ฟรี ทุกค่าใช้จ่ายวันโอนฯ รับคะแนน The 1 สูงสุด 100,000 คะแนน     คุณวัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “Central Pattana Residence เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง เราลงทุนทั้งเมืองหลัก และเมืองรองขยายโครงการที่อยู่อาศัยครอบคลุมกว่า 18 จังหวัด ซึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมการกระจายความเจริญ สร้างย่าน เมือง ชุมชน สังคม รวมไปถึงสร้างประเทศอีกด้วย โดยโครงการของเรามีจุดแข็งในด้านทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดในทุกย่านและเมือง อีกทั้งยังเชื่อมต่อและ Synergy กับส่วนอื่นๆ ใน The Ecosystem for All ของเรา ทั้งส่วน Retail ที่เป็นหัวใจสำคัญ และในบางทำเลยังเชื่อมกับส่วนของโรงแรม และอาคารสำนักงาน รวมกันเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่มีศักยภาพสูง ดังนั้น เราจึงสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยได้อย่างครอบคลุมทั้ง 360 องศา ไม่ว่าจะเป็นการ Shop-Eat-Work-Play-Stay-Live ตลอด 24 ชม.”   “เรามุ่งมั่นสร้างโครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำอสังหาริมทรัพย์ของเรา และการออกแบบพื้นที่ Place Making เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน เชื่อมโยงไปถึง People และ Planet ดูแลผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ทุกโครงการจึงเน้นการสร้างสังคมคุณภาพและสภาพแวดล้อมที่ดี สร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในทุกมิติ พร้อมส่งมอบบ้านและคอนโดมิเนียมที่มีคุณภาพ ด้วยฟังก์ชั่นที่ครบครันและได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย เอื้อต่อการใช้ชีวิตของทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย” คุณวัลยากล่าว คุณกรี เดชชัย President, Residential Business บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “สำหรับแผนปี 2566 นี้เราเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 7 โครงการ ได้แก่ คอนโดฯ 3 โครงการทั้ง ESCENT ที่เพชรบุรี, บุรีรัมย์ และบางนา รวมทั้งโครงการบ้าน 4 โครงการ ทั้งบ้านนิรติ นครศรีฯ, และบ้านนิรดา แบรนด์ล่าสุดใน  3 ทำเลคือ พระราม 2, อุทยาน-อักษะ, เอกชัย-วงแหวน โดยคาดว่าปลายปีนี้จะปิดยอดขายรวมกันทั้งปี 6,000 ล้านบาท ทั้งนี้มองว่าแนวโน้มไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ตลาดอสังหาฯ ยังคงมีทิศทางที่ดี โดยมีปัจจัยบวกจากความต้องการด้านที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่ยังคงมีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง”   เตรียมพบกับ “บ้านนิรดา พระราม 2” เปิดตัวในวันที่ 7-8 ตุลาคม 2566 นี้ บ้านเดี่ยวหรูสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ติดถนนพระราม 2 ทำเลศักยภาพ เชื่อมต่อย่านเศรษฐกิจ พระราม 3-ยานนาวา-สาทร ได้อย่างสะดวก และยังสามารถเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดปริมณฑลทั้งจังหวัดนครปฐม ผ่าน ถ.พุทธสาคร รวมถึงเป็น South Gate ที่จะเดินทางไปยังภาคใต้ ตอบโจทย์ทุก ไลฟ์สไตล์การใช้ชิวิตทุกรูปแบบ รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทั้ง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 2, Tops Club, เซ็นทรัล มหาชัย รวมถึงแหล่งไลฟ์สไตล์ โรงเรียนนานาชาติ และสถานพยาบาลชั้นนำ เปิดโมเดลธุรกิจและกลยุทธ์แข็งแกร่ง Central Pattana Residence จากจุดเริ่มต้นของ RESIDENCE ด้วยโครงการภายใต้แบรนด์ ESCENT คอนโดฯ ติดศูนย์การค้า ที่ได้รับการตอบรับดีทั่วประเทศ พัฒนาสู่แบรนด์ Phyll คอนโดฯ ระดับพรีเมี่ยม การผนึกกำลังกับทั้งศูนย์การค้าเซ็นทรัล และศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เรียกได้ว่ามี Insight มองเห็น Behavior และ Domestic Demand จริง ทั่วประเทศ มีความพร้อมในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ทุกระดับราคา ภายใต้ Brand และ Product ที่หลากหลายทั้งแนวราบและแนวสูง โดยพัฒนาตั้งแต่โครงการแรกจนถึงสิ้นปี 66 นี้ มีจำนวนโครงการรวมทั้งหมด 35 โครงการ ครอบคลุม 18 จังหวัด โดยมีโครงการที่ขายเสร็จสิ้นไปแล้วกว่า 12 โครงการ ทั้งนี้ในด้าน Sustainability “บ้านและคอนโดฯ เซ็นทรัล” ยังคำนึงถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตที่ดี บ้านทุกหลังเตรียมจุดรองรับ EV CHARGER สำหรับรถยนตร์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทุกรุ่น การใช้เฟอร์นิเจอร์ในพื้นที่ส่วนกลางจากวัสดุรีไซเคิล รวมถึงมีการร่วมมือกับ SCG เลือกใช้วัสดุก่อสร้าง และผลิตภัณฑ์ที่มีฉลาก SCG Green Choice มาใช้ในโครงการ ผนวกกับนวัตกรรม SCG Active AIR Quality ที่ช่วยสร้างอากาศดี ด้วยการกรองฝุ่น PM 2.5 ลดเชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัสเข้าสู่บ้าน และติดตั้งแผง Solar Cell บนหลังคาอาคารสโมสร และไฟ Solar Cell ทางเดินในพื้นที่ส่วนกลาง   บทความน่าสนใจ เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050 เซ็นทรัลพัฒนา ลงทุน 13,900 ล้าน ปั้นแลนด์มาร์ก 3 บิ๊กมิกซ์ยูส
AWC จับมือ 2C2P แพลตฟอร์มชำระเงินระดับโลก ปักหมุดที่เอ็มไพร์ทาวเวอร์

AWC จับมือ 2C2P แพลตฟอร์มชำระเงินระดับโลก ปักหมุดที่เอ็มไพร์ทาวเวอร์

         บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดบ้านเอ็มไพร์ทาวเวอร์ต้อนรับบริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด (2C2P) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการชำระเงินระดับโลก เปิดสำนักงานแห่งใหม่ที่อาคาร ‘เอ็มไพร์’ อาคารสำนักงานไลฟ์สไตล์สเปซ และทำความร่วมมือของทั้งสององค์กรที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับดิจิทัลอีโคซิสเต็ม ตอบโจทย์บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก สร้างพื้นที่สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมต่อองค์กร ผู้คน และชุมชน ผ่านคอนเซ็ปต์ ‘Co-Living Collective: Empower Future’ ที่เป็นเอกลักษณ์ของอาคาร ‘เอ็มไพร์’ พร้อมนำเสนอ AWC Infinite Lifestyle (AWI) โปรแกรมสิทธิประโยชน์สำหรับผู้เช่า ตอบโจทย์ทั้งด้านการทำงานและการพักผ่อนได้อย่างลงตัว โดยอาคาร ‘เอ็มไพร์’ จะสร้างพื้นที่ Co-Living ให้เกิดการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้เช่า ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย รวมถึงการส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ผ่านการจัดกิจกรรม เวิร์คช็อป สัมมนา และการสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน AWC จับมือ 2C2P AWC จับมือ 2C2P           นายปิยชาติ รัตน์ประสาทพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด (2C2P) กล่าวว่า “วิสัยทัศน์ของ 2c2p คือพัฒนาและให้บริการระบบชำระเงินแบบครบวงจร โดยสร้างโครงสร้างพื้นฐานของการชำระเงินผ่านเครือข่ายการชำระเงินที่เป็นพันธมิตรกับเรา เพื่อให้ผู้ใช้มีทางเลือกที่หลากหลายในการชำระเงิน เพราะการชำระเงินถือเป็นส่วนหลักเพื่อสนับสนุนระบบนิเวศแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ 2C2P เราเชื่อว่าบุคลากรคือรากฐานของความสำเร็จของเรา เราดูแลพนักงานของเราและพยายามหาวิธีการเพื่อให้เกิดความสมดุลที่ดีระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว ดังนั้นเราจึงเลือก อาคาร 'เอ็มไพร์' เป็นที่ตั้งสำนักงานแห่งใหม่ของเราเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท การตัดสินใจของเรามีรากฐานมาจากความเชื่อมั่นของเราที่มีต่ออาคาร 'เอ็มไพร์' ที่มีการจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางเพื่อให้ผู้เช่าได้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น พื้นที่ทำงานแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการผสมผสานงานและชีวิตของพนักงานของเราเข้าด้วยกัน และให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน”   “อาคาร ‘เอ็มไพร์’ ยังมีพื้นที่ส่วนกลางที่สามารถใช้ทำงานร่วมกันแบบเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย บวกกับอยู่บนทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง และเพียบพร้อมด้วยสิทธิพิเศษมากมายที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการทำงานของพนักงาน 2C2P ด้วยข้อเสนอสิทธิพิเศษของ AWI (AWC Infinite Lifestyle) ที่นอกจากสามารถใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกของ อาคาร 'เอ็มไพร์’ ร่วมกันอันเป็นอภิสิทธิเฉพาะผู้เช่าเท่านั้น ทางผุ้บริหาร พนักงานของ 2C2P ยังได้สิทธิในการรับบริการพิเศษจากเครือข่ายแบรนด์และพันธมิตรของ AWC ในส่วนของโรงแรม ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงานด้วยเช่นกัน จึงทำให้ทีม 2C2P ลงตัวสำหรับการเลือกที่จะขยับขยายมาที่อาคาร 'เอ็มไพร์”                                ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “AWC และ 2C2P มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการมุ่งสร้างสถานที่ทำงานแห่งความสุขให้กับพนักงาน เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ 2C2P สู่อาคาร ‘เอ็มไพร์’ และเชื่อมั่นว่าความแข็งแกร่งด้านนวัตกรรมการชำระเงินดิจิทัลของ 2C2P ผสานกับคอนเซ็ปต์ ‘Co-Living Collective: Empower Future’ ของอาคาร ‘เอ็มไพร์’ ที่ออกแบบเพื่อรองรับเทรนด์ที่ผสานการทำงานและไลฟ์สไตล์อย่างลงตัว จะตอบโจทย์ความต้องการของคนทำงานและองค์กรรุ่นใหม่ได้อย่างดี และเป็นพื้นที่เสริมความแข็งแกร่งและการเติบโตให้ดิจิทัลอีโคซิสเต็มอย่างไม่มีขีดจำกัด นอกจากนี้ภายใต้แนวคิด Co-Living ยังสร้างพื้นที่สำหรับกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์และความคิดสร้างสรรค์เหมือนกัน มารวมตัวเพื่อสร้างคุณค่าและเติบโตไปด้วยกัน โดยผู้เช่าและพนักงานจะมีโอกาสในการทำความรู้จักและสร้างการเชื่อมต่อเพื่อสร้างการเติบโตและพัฒนาโอกาสทางธุรกิจร่วมกันกับองค์กรอื่นภายในอาคารผ่านแพลตฟอร์มทั้งออฟไลน์-ออนไลน์ รวมถึงการแบ่งปันทักษะ ความรู้ร่วมกัน ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่จัดโดย AWC อาทิ เวิร์คช็อป การสัมมนา โดยความร่วมมือระหว่าง AWC และ 2C2P ครั้งนี้ ยังตอบสนองความต้องการของพนักงานในอีโคซิสเต็มได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการเติบโตอย่างไร้ขอบเขต พร้อมร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้กับพนักงานร่วมกัน”   ทั้งนี้ สำนักงานแห่งใหม่ของ 2C2P จะเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคมปี 2567 มีพื้นที่รวมกว่า 3,000 ตารางเมตร รองรับพนักงานได้กว่า 300 คน โดยอาคาร ‘เอ็มไพร์’ เป็นสำนักงานระดับเกรดเอ ตั้งอยู่ใจกลาง CBD ย่านสาทร ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีใน Co-Living และ Collaborative Spaces ที่ใหญ่ที่สุด พร้อมด้วยการออกแบบตกแต่งที่ผสานพื้นที่ทำงานและพื้นที่ด้านไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว เชื่อมต่อผู้เช่าและพนักงานของบริษัทชั้นนำเข้าในอีโคซิสเต็ม นอกจากนี้ AWC ยังตอบสนองไลฟ์สไตล์การทำงานของผู้เช่าอาคาร ‘เอ็มไพร์’ พร้อมไลฟ์สไตล์สุดพิเศษ ผ่าน AWC Infinite Lifestyle ลอยัลตี้โปรแกรมที่มอบสิทธิประโยชน์ สินค้าและบริการในโครงการคุณภาพของ AWC ทั้งโรงแรม อาคารสำนักงานและคอมมูนิตี้ชอปปิ้งมอลล์ เพื่อส่งเสริมดิจิทัลอีโคซิสเต็มในอาคาร ‘เอ็มไพร์’ แบบครบวงจร “AWC ยังได้ร่วมมือกับ 2C2P ในการพัฒนา Pikul แอปพลิเคชันอสังหาริมทรัพย์เพื่อไลฟ์สไตล์ตัวใหม่ของเรา ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มบูรณาการแบบ Omnichannel ที่ไม่เหมือนใคร โดยจะรวมประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์สุดพิเศษต่าง ๆ ที่ดีที่สุดเข้าด้วยกัน ทั้งการขาย (Sales) การส่งของขวัญ (Gifting) และเกมมิฟิเคชั่นเพื่อแลกรางวัล (Gamification) ในแอปพลิเคชัน โดย Pikul ยังทำงานร่วมกับ 2C2P ในการพัฒนาช่องทางการชำระเงิน e-wallet และ prepaid-card แพลตฟอร์มการชำระเงินที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับ Pikul โดยเฉพาะ เพื่อเสริมศักยภาพและประสบการณ์การใช้ AWC Infinite Lifestyle”   “AWC มุ่งพัฒนาอาคาร ‘เอ็มไพร์’ เป็นอาคารสำนักงานระดับสากลที่รวมบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมาย พร้อมด้วยเครือข่ายดิจิทัลที่เป็นแกนหลักของทุกอุตสาหกรรมธุรกิจ เพื่อสร้างอีโคซิสเต็มที่รวมพลังตอบโจทย์การเติบโตทางธุรกิจ รวมถึงความสุขและไลฟ์สไตล์ของทุกคน ผ่านโมเดลรูปแบบใหม่ Co-Living ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดย AWC เชิญชวนบริษัทชั้นนำระดับโลกมาร่วมส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน ขยายเครือข่าย และสร้างความแข็งแกร่งทางด้านโซลูชั่นระหว่างอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของอีโคซิส สร้างประโยชน์และคุณค่าให้กับทุกคน” นางวัลลภา กล่าวสรุป   บทความน่าสนใจ [PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ
แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ทำผลงาน Q2/66 รายได้-กำไรโตก้าวกระโดด​ ครึ่งปีหลังเดินหน้า​เพิ่มห้องพักและกระแสเงินสด

แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ทำผลงาน Q2/66 รายได้-กำไรโตก้าวกระโดด​ ครึ่งปีหลังเดินหน้า​เพิ่มห้องพักและกระแสเงินสด

แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2566 รายได้รวม 4,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด กำไรสุทธิ 1,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 32% ทำรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก 3,356 บาท สูงขึ้น 82.1% เดินหน้าเพิ่มโครงการ เพิ่มจำนวนห้องพัก เพิ่มกระแสเงินสดพร้อมเติบโตก้าวกระโดด   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 ตามงบการเงินรวมมูลค่ายุติธรรมว่า มีรายได้รวมกว่า 4,518 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตแบบก้าวกระโดดมากกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 อีกด้วย   ทั้งนี้ AWC ยังคงมุ่งพัฒนาโครงการในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ เปลี่ยนทรัพย์สินกำลังพัฒนา (Developing Asset) เป็นทรัพย์สินดำเนินงาน (Operating Asset) ควบคู่การยกระดับโครงการในพอร์ตโฟลิโอ (Assets Enhancement) ของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) สอดคล้องกลยุทธ์ GROWTH-LED เพื่อสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไตรมาส 2 นี้ บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงานรวม 120,307 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้น 36,996 ล้านบาท คิดเป็น 44.4% เทียบกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 ผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2566 ของ AWC มีการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) อยู่ที่ 2,472 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการกลับมาของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น   รวมถึงเทศกาลสงกรานต์ในช่วงเดือนเมษายนที่มีการกลับมาจัดอย่างยิ่งใหญ่เป็นปีแรกหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพฯ และโรงแรมกลุ่มประชุมสัมมนา (MICE) ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าพักโรงแรมในเครือ AWC เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้อัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักในภาพรวม (RevPAR) สูงถึง 3,356 บาท เพิ่มขึ้น  82.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 อยู่ที่ประมาณ 10% รวมถึงมีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate: ADR) เท่ากับ 5,367 บาทต่อคืน เติบโต 25.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังสูงกว่าปี 2562 ด้วยเช่นกัน   สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) AWC ยังคงมุ่งเพิ่มศักยภาพในการสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดในระยะยาว โดยบริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ด้านไลฟ์สไตล์ ตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าและนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน ธุรกิจโรงแรม AWC ทำกำไรเพิ่ม 200% ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการมีกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) อยู่ที่ 660 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะโรงแรมในกลุ่มประชุมสัมมนา และกลุ่มโรงแรมในกรุงเทพฯ ซึ่งมีค่า Revenue Generation Index (RGI) ในภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ โรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ มีค่า RGI เท่ากับ 218 เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งพัฒนาทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการพัฒนาให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) อย่างต่อเนื่อง พร้อมเสริมความแข็งแกร่งพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มโรงแรมที่ตั้งอยู่ในทําเลยุทธศาสตร์ เพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ การเปิดตัวโรงแรม 'INNSiDE by Meliá Bangkok Sukhumvit' แห่งแรกในประเทศไทยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อมอบประสบการณ์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์ให้กับกลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่ และเป็นโรงแรมที่ได้มีการออกแบบและก่อสร้างตามกรอบการรับรองของมาตรฐานอาคาร Excellence in Design for Greater Efficiency (EDGE)   รวมถึงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ Nobu Hospitality ร่วมสร้างโรงแรมระดับอัลตร้า ลักชูรี่ 2 แห่งภายใต้แบรนด์ Plaza Athenee ได้แก่ โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก (Plaza Athenee Nobu Hotel and Spa New York) และโรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก (The Plaza Athenee Nobu Hotel and Spa Bangkok) เชื่อม 2 มหานคร นิวยอร์กและกรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด River Journey Project พร้อมเชื่อมต่อหลากหลายโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาของ AWC สร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวทางสายน้ำให้แก่นักเดินทาง   ปัจจุบัน AWC มีจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้นจำนวน 22 โรงแรม รวมจำนวนห้องพักรวม 5,794 ห้อง และจะเพิ่มขึ้นเป็น 23 โรงแรม ภายในสิ้นปี 2566 รวม 6,034 ห้อง คิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 76 เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ที่จำนวน 3,432 ห้อง ประกอบกับอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ที่สูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าปีก่อนและก่อนสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้มีรายได้ 2,287 ล้านบาท เติบโตขึ้น 76.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ บริษัทมุ่งเพิ่มศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งให้กับบริษัท พร้อมตอบสนองความต้องการนักท่องเที่ยวคุณภาพและจำนวนกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย High-to-Luxury ที่เพิ่มมากขึ้น เอเชียทีค ผู้ใช้บริการเพิ่ม 47% กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานยังคงสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการยกระดับอาคารให้เป็นไลฟ์สไตล์สเปซแห่งใหม่ที่ตอบโจทย์การทำงานและไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ อาทิ การเปิดตัว “Co-Living Collective: Empower Future” ของอาคารเอ็มไพร์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ผสานรูปแบบการใช้ชีวิตในบ้านมาเชื่อมต่อกับการทำงานอย่างลงตัว สร้างความแตกต่างจากอาคารสำนักงานรูปแบบเดิม ซึ่งช่วยรักษาฐานผู้เช่าเก่า พร้อมดึงดูดผู้เช่าใหม่ที่มองหาอาคารสำนักงานคุณภาพ ที่มีพื้นที่ตอบรับเทรนด์การทำงานในรูปแบบไฮบริดที่เพิ่มสูงขึ้น AWC ได้ร่วมมือกับพันธมิตรผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลก เพื่อสร้างดิจิทัลอีโคซิสเต็มที่อาคารเอ็มไพร์ให้เป็นคอมมูนิตี้ดิจิทัลรูปแบบใหม่ เชื่อมต่อผู้เช่าในอุตสาหกรรมดิจิทัลเข้าด้วยกันอีกด้วย ในขณะที่กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการค้า (Retail and Wholesale) สามารถเติบโตได้ดี ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวเติบโตของดัชนียอดขายของร้านค้า และบริษัทได้พัฒนาพื้นที่เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวและกลุ่มลูกค้าอยู่เสมอ โดยโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น มีจำนวนผู้มาใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นถึง 47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากกิจกรรม Disney100 Village at Asiatique พร้อมเสริมความแข็งแกร่งในการเป็นจุดหมายปลายด้านการท่องเที่ยวและด้านอาหารเครื่องดื่มระดับโลกที่ช่วยดึงดูดจำนวนผู้เช่าและจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ   รวมถึงการเปิดตัวโครงการ THE PANTIP LIFESTYLE HUB ที่เชียงใหม่ ภายใต้แนวคิด “EVERY HAPPINESS FOR EVERYONE” มุ่งสร้างแลนด์มาร์คไลฟ์สไตล์สำหรับครอบครัวใจกลางเมืองเชียงใหม่ และโครงการ THE PANTIP AT NGAMWONGWAN โฉมใหม่ภายใต้แนวคิด “TREASURE HUNT” สู่การเป็นศูนย์พระเครื่อง และศูนย์รวมอาหารและไลฟ์สไตล์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุด สำหรับธุรกิจค้าส่ง AWC ได้ร่วมรวมพลังผู้นำธุรกิจอาหารทั้งภาครัฐและเอกชน ขับเคลื่อนประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” ที่ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM ตอบโจทย์การค้าส่งอาหารครบวงจร พร้อมเชื่อมผู้ค้าส่งอาหารทั่วโลกกับผู้ซื้อในเขตเศรษฐกิจอาเซียน   AWC มุ่งมั่นสร้างการเติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน โดยบริษัทได้ลงนามสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) รวมถึงสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จำนวน 20,000 ล้านบาท กับ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เพื่อรองรับแผนการพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์เสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอที่มุ่งเน้นการลดการใช้ทรัพยากร และส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ ร่วมสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวยั่งยืน โดย AWC ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อระยะยาวซึ่งเป็นสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนและสินเชื่อสีเขียวเป็น 100% เพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับสังคมองค์รวม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน   AWC มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยล่าสุดบริษัทได้รับรางวัลที่สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมาตรฐานสากลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในปีนี้ AWC ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประเมินองค์กรด้านความยั่งยืน ในกลุ่มดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) พร้อมได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P Global ESG Score 2022” รวมถึงยังคงรักษาการประเมินจาก MSCI ESG Rating ในระดับ "AA" เป็นต้น สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และสร้างมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยั่งยืนของไทยตามพันธกิจ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” (Building a Better Future)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม
[PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม

[PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม

AWC จับมือกับ Ant Group AWC จับมือกับ Ant Group มุ่งยกระดับเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม สําหรับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ของไทย สร้างโอกาสการทำตลาดร่วมกัน ส่งเสริมการเติบโตอย่างไร้ขีดจํากัด ในการสร้างนวัตกรรมและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้วย omnichannel ช่องทางการตลาดที่เชื่อมออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ เพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงช่องทางการชําระเงินดิจิทัลระดับโลกสําหรับผู้ซื้อและผู้ขาย   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า ได้เซ็นสัญญาความร่วมมือกับ Ant Group ผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลก ร่วมสร้างความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม (Digital Technology Ecosystem) ในกลุ่มธุรกิจของ AWC พร้อมยกระดับโซลูชันการชําระเงินดิจิทัลในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยความร่วมมือกับ Ant Group นี้ จะสร้างประสบการณ์การทําธุรกรรมที่สะดวกสบายอย่างไร้รอยต่อแก่ผู้ซื้อและผู้ขายทั่วโลก นับเป็นก้าวสําคัญในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย ความร่วมมือในครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นของ AWC ในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีดิจิทัลในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นไลฟ์สไตล์ของไทย พร้อมพัฒนาอีโคซิสเต็มทางธุรกิจที่ยั่งยืนให้กับกลุ่มธุรกิจค้าส่ง กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน และกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ โดยโซลูชันนี้ จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงการบริการชําระเงินดิจิทัล และสร้างประสบการณ์ Omnichannel ให้กับผู้ซื้อและผู้ขายทั่วโลก ได้แก่ โซลูชันทางการเงินดิจิทัล (Payment Solution) สําหรับกลุ่มธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ และบริการของ AWC รวมถึง 'PhenixBox' ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Omnichannel ที่เชื่อมโยงการซื้อขายจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ และ Pikul แพลตฟอร์มดิจิทัลอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ของ AWC ซี่งการร่วมมือกันนี้ยังส่งเสริมให้ AWC สามารถขยายอีโคซิสเต็มสำหรับกลุ่มธุรกิจค้าส่งด้วยระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ (Cross-Border Payment Solution) เพื่อสร้างโซลูชันการชําระเงินแบบครบวงจรสําหรับศูนย์กลางการค้าส่งของ AWC และแพลตฟอร์ม PhenixBox ที่จะช่วยให้การชําระเงินระหว่างผู้ค้าส่งและผู้ซื้อทั่วโลกในสกุลเงินต่าง ๆ เป็นไปได้อย่างราบรื่น”Thai translation. นอกจากนี้ AWC มุ่งพัฒนาอาคาร เอ็มไพร์ ให้มี ดิจิทัลอีโคซิสเต็ม (Digital Eco-System) ที่ครอบคลุม ส่งเสริมให้เป็นพื้นที่สำนักงานไลฟ์สไตล์สําหรับบริษัทเทคโนโลยีและดิจิทัล เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจด้านเทคโนโลยี ซึ่งความร่วมมือกับ Ant Group นี้ จะส่งเสริมการทำตลาดร่วมกัน (Cross-Marketing) กระตุ้นการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยาว พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้และความเชี่ยวชาญ เปิดโอกาสทางธุรกิจ และขยายฐานลูกค้า ด้วยจุดแข็งที่แข็งแกร่งของ AWC ในการเป็นเจ้าของพอร์ตโฟลิโอที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการไลฟ์สไตล์ และเครือข่ายสํานักงานที่มีผู้เช่าเป็นบริษัทเทคโนโลยีและดิจิทัล สนับสนุนให้ความร่วมมือกับ Ant Group นี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  ผลักดันการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็มสําหรับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ในระยะยาว   นางวัลลภา กล่าวอีกว่า AWC เดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างโอกาสในการยกระดับประสบการณ์การทําธุรกรรมที่ราบรื่นให้แก่ลูกค้าและผู้ประกอบการทั่วโลก พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจในวงกว้างด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลของ Ant Group ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ตรงกันเพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า เพื่อร่วมกันส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนในธุรกิจด้วยการนําเสนอโซลูชันเทคโนโลยีดิจิทัลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย   นางสาวคลารา ชิ รองประธาน Ant Group และ Head of WorldFirst กล่าวว่า การเป็นพันธมิตรกับ AWC ตอกย้ำถึงความสำคัญของระบบการชำระเงินที่มีความคล่องตัวที่ช่วยสนับสนุนการทำธุรกรรมทั่วโลก และเป็นกลไกสู่ความสำเร็จในโลกปัจจุบันที่เชื่อมต่อถึงกันด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทาง ​​Ant Group ได้พัฒนาโซลูชันการชำระเงินข้ามพรมแดนอย่างครอบคลุมเพื่อเพิ่มความคล่องตัวของระบบการทำธุรกรรมข้ามประเทศ Ant Group มุ่งมั่นในการส่งเสริมธุรกิจต่างๆ ให้สามารถเข้าถึงและมอบประสบการณ์ที่ดีกับทั้งพันธมิตร ผู้ขาย และลูกค้าในแต่ละประเทศผ่านช่องทางการชำระเงินแบบ Omnichannel และการบริการทางการเงินต่างๆ ขององค์กรมากมาย 4 กลุ่มธุรกิจภายใตความร่วมมือ การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่าง AWC และ Ant Group นี้ จะสร้างความร่วมมือในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ได้แก่: กลุ่มธุรกิจค้าส่ง ได้ร่วมมือกับ 'WorldFirst' แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการชำระเงินและบริการทางการเงินแบบครบวงจรสำหรับ SME ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระดับโลกหรือการค้าข้ามพรมแดน ภายใต้ Ant Group มีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจค้าส่งโดยนําเสนอบริการชําระเงินข้ามประเทศ อํานวยความสะดวกสำหรับทุกขั้นตอนการใช้จ่ายจากทางออนไลน์สู่ออฟไลน์ (O2O) พร้อมขยายเครือข่ายผู้ซื้อและผู้ขายในการเป็นแพลตฟอร์ม Business-to-Business (B2B) ที่ทำให้การเข้าถึงบริการทางการเงินของซัพพลายเชนง่ายขึ้น อีกทั้ง AWC วางแผนที่จะเปิดใช้งานโซลูชันการชําระเงินข้ามประเทศในแพลตฟอร์ม  PhenixBox ที่ช่วยส่งเสริมช่องทางการชําระเงินของผู้ซื้อ การค้าขาย และการตลาด ภายในปี 2566 กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และกลุ่มธุรกิจศูนย์การค้า ความร่วมมือกับ 2C2P ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการชำระเงินเต็มรูปแบบและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ Ant Group มีเป้าหมายที่จะยกระดับช่องทางการชําระเงิน วิธีการ และประสบการณ์ของผู้ใช้ให้มีประสิทธิภาพสําหรับนักเดินทางและผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน ด้วยจุดแข็งของ Ant Group ในเทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยสร้างการเชื่อมต่อระหว่างองค์กร ผู้คน และสังคม เพื่อสร้างอีโคซิสเต็มในอาคาร ‘เอ็มไพร์’ ให้เป็นคอมมูนิตี้ดิจิทัลรูปแบบใหม่ เชื่อมต่อผู้เช่าในอุตสาหกรรมดิจิทัลเข้าด้วยกัน กลุ่มธุรกิจในด้านดิจิทัล (Digitalization Business) การทำงานร่วมกับ 2C2P เพื่อเสริมศักยภาพของช่องทางการชําระเงินและโซลูชัน e-wallet บัตรเติมเงิน และโปรแกรมระบบสมาชิกที่ปรับเพื่อการใช้งานอย่างลงตัวใน  Pikul แพลตฟอร์มดิจิทัลอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ของ AWC ที่กําลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC
เผย 7 สไตล์การแต่งบ้านยอดฮิต  คนไทยชื่นชอบแบบ Japandi มากที่สุด

เผย 7 สไตล์การแต่งบ้านยอดฮิต คนไทยชื่นชอบแบบ Japandi มากที่สุด

NocNoc เผย 7 สไตล์การแต่งบ้าน ที่คนไทยชื่นชอบมากที่สุด Japandi  ครองอันดับ 1 ตามด้วยสไตล์ Scandinavian พร้อมเผยสินค้าที่คนซื้อมากที่สุด คือ กลุ่ม Home and Living ด้านแบงก์กรุงศรี มองเทรนด์ตลาดอี-คอมเมิร์ซไทย อีก 2 ปีโต​ 19%   นายอนุพงศ์ ทะสดวก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้าและพาณิชย์ บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลผู้ใช้บริการซื้อสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม NovNoc ได้เห็นเทรนด์ความนิยมในการแต่งบ้านของผู้บริโภคคนไทย ที่พบว่า ชื่นชอบสไตล์การแต่งบ้าน และนิยมมากที่สุด คือ 1.สไตล์ Japandi ในสัดส่วน 25% 2.สไตล์ Scandinavian สัดส่วน 23% 3. สไตล์ Industrial  20% 4. สไตล์ Glam 15% 5.Transitional 10% 6.สไตล์ Shabby Chic 5% และ 7.สไตล์ Mid-Century Modern 2%   หนึ่งในพฤติกรรมของลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ คือเรื่องของ Personalize จะเห็นได้ว่าไลฟ์สไตล์การตกแต่งบ้านของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน โดย NocNoc ให้ลูกค้าเริ่มต้นการใช้งาน Application ด้วยการค้นหาสไตล์ที่ใช่แบบ Personalize ด้วยระบบ AI เพื่อให้แอปนำเสนอสินค้าแต่งบ้านได้ตรงตามสไตล์ของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญการคัดสรรสินค้าที่หลากหลาย เพื่อให้เหมาะกับลูกค้าที่ชื่นชอบการตกแต่งบ้านในสไตล์ที่แตกต่างกัน โดยปัจจุบัน NocNoc แบ่งสินค้าออกเป็น 4 กลุ่มหลัก คือ 1. Home and Living กลุ่มสินค้าตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ 2. Home Appliances กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า 3. Home Improvement กลุ่มสินค้าปรับปรุงบ้าน และ 4. Home Service กลุ่มบริการงานช่างทุกเรื่องบ้าน ซึ่งในแต่ละกลุ่มยังแยกย่อยออกเป็นอีกหลายหมวดสินค้า ทำให้ NocNoc มีสินค้ารวมแล้วกว่า 500,000 ชิ้น จาก 3,000 ร้านค้า นับว่าตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุมสำหรับคนรักบ้าน   นายอนุพงศ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังพบข้อมูลจากพฤติกรรมการซื้อสินค้า ที่ผู้บริโภคซื้อซ้ำมากที่สุดใน  5 หมวดสินค้า ดังนี้ 1.โฮม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ 2.โซฟาและเก้าอี้ 3.ชุดเครื่องนอน 4.ตู้และชั้นวางของ และ 5.เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก โดยพฤติกรรมการกลับมาซื้อซ้ำนั้น จะเป็นสินค้าในหมวดเดียวกัน เช่น กลุ่มเครื่องนอน ลูกค้าซื้อที่นอนขนาด 6 ฟุต  และกลับมาซื้อผ้าปูที่นอน หมอน เพิ่มเติม หรือในกลุ่มโซฟาและเก้าอี้ ซื้อเก้าอี้ทำงานไปในครั้งแรกและกลับมาซื้อโต๊ะทำงานหรือโซฟาเพิ่มเติม แม้ว่าใน 5 หมวดสินค้าดังกล่าวจะเป็นกลุ่มสินค้าที่อาจจะต้องสัมผัสสินค้า หรือเห็นสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อเกือบทั้งสิ้น แต่กลับเป็นกลุ่มสินค้าที่ลูกค้า NocNoc กลับมาซื้อซ้ำอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนให้เห็นว่าการจะซื้อสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ไม่จำเป็นต้องสัมผัสสินค้าจริงก่อนซื้อเสมอไป หรือ อาจจะมีประสบการณ์ทดลองสินค้าจากที่อื่นแล้ว   ให้ความสำคัญกับ DATA นายอนุพงศ์ ยังกล่าวอีกว่า Data-Driven Marketing นับว่ามีความสำคัญ แต่ต้องดูว่าจะนำมาใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์มากที่สุด  NocNoc ให้ความสำคัญกับ Data ของลูกค้า เพราะข้อมูลเหล่านี้สามารถบ่งบอกตัวตนของลูกค้าให้แบรนด์ได้เข้าใจความต้องการ และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของลูกค้าแต่ละคนได้ โดยการนำเอาเทคโนโลยีทางการตลาด MarTech และ AdTech มาใช้ในการวางแผน ดำเนินการ และวัดผลแคมเปญเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าแบบมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด   ประกอบกับการทำ Story-Driven Communication ที่เข้าถึงทุก Journey ของลูกค้าตั้งแต่ Discovery , Inspired , Compare , Selection ไปจนถึง Complete Journey ซึ่งลูกค้าจะเห็นการสื่อสารผ่านเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอช่วยให้พวกเขาได้รู้จัก NocNoc ว่าเรามีดีอะไร สินค้าที่กำลังมองหาตอบโจทย์พวกเขาอย่างไร ช่วยให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อเรื่องบ้านมากขึ้น  และไม่ลืมสร้างประสบการณ์การช้อปในโลกออนไลน์สู่ออฟไลน์ เพื่อ ให้ลูกค้าได้เข้าถึง ใกล้ชิด ได้เห็น Visibility ของแบรนด์มากยิ่งขึ้น   อย่างไรก็ดี มองว่าการพัฒนา Feature บน Application  ให้ตอบโจทย์ Pain Point ของลูกค้า ทำให้ประสบการณ์ในการเข้ามาใช้งาน NocNoc ดีขึ้น และช่วยให้การตัดสินใจซื้อสินค้าแต่งบ้านเป็นเรื่องง่าย เช่น  Image Search หรือการค้นหาด้วยภาพ หากลูกค้าถูกใจโซฟาในคาเฟ่ แต่ไม่รู้รุ่นหรือยี่ห้อของโซฟา ก็สามารถถ่ายรูปและนำไปค้นหาใน NocNoc Application ได้เลย แม้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันจะมีทางเลือกที่หลากหลาย บางครั้งมักจะไปเดินดูของจากร้านค้าอื่นเพื่อนำมาเปรียบเทียบสินค้า ราคา รวมถึงหาไอเดียในการแต่งบ้าน ทั้งสินค้าที่หลากหลายไม่จำกัดที่ร้านใดร้านหนึ่ง แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง NocNoc ให้บริการทางเลือกที่มากกว่า ทำให้ ผู้คนเข้ามาหาไอเดียและแรงบันดาลใจใน Community ทั้งยังสะดวกสบายอยู่ที่ไหนก็ช้อปได้ พร้อมบริการจัดส่งทั่วไทย นับว่าเป็นการแก้โจทย์ ไม่ได้สัมผัสสินค้า ก็ไม่ใช่ปัญหาในการซื้อสินค้าเกี่ยวกับบ้านออนไลน์คาด E-Commerce ไทยโต​ 19% สำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์ ถือว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ​ โดยเฉพาะในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน เห็นได้จากตัวเลขงานวิจัยของกรุงศรี คาดการณ์ว่าในปี 2025 ตลาด E-Commerce ไทยจะเติบโตขึ้นอีก 19% โดยผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ มีแนวโน้มที่จะขยายธุรกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาช่องทางการขายออนไลน์   นายอนุพงศ์ กล่าวอีกว่า แม้ว่าการเติบโตของการช้อปปิ้งออนไลน์จะเติบโตมากเพียงใด แต่ก็ต้องยอมรับว่า Pain point ของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในกลุ่มสินค้าและของตกแต่งบ้าน คือ ลูกค้าไม่สามารถเห็นและสัมผัสได้จริง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากในการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ อาทิ โซฟา ตู้ โต๊ะ เตียง เป็นต้น โดยพฤติกรรมของลูกค้าคือจะมีความกังวลว่าอาจจะได้สินค้าจะไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ทำให้มีผู้บริโภคมีการพิจารณาประเด็นดังกล่าวกันอย่างละเอียด   สำหรับในช่วงที่ผ่านมา NocNoc ก้าวขึ้นมาเป็น Home and Living Platform หรือศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ ที่รวบรวม เฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน วัสดุปูพื้น-ผนัง เครื่องใช้ไฟฟ้า และบริการทุกเรื่องบ้านที่ครบที่สุดรายแรกในไทย และได้ผลักดันให้ข้อจำกัดเหล่านี้หมดไป คลายความกังวล ลดความลังเลในการซื้อสินค้าแต่งบ้านให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สะท้อนจากตัวเลขของลูกค้า 60% ที่มาช้อปสินค้าแต่งบ้านออนไลน์บนแพลตฟอร์ม NocNoc สร้าง ตกแต่ง ต่อเติมบ้านได้ทั้งหลัง เป็นการซื้อสินค้าและบริการครอบคลุมในหลากหลายกลุ่มสินค้าและบริการ เรียกได้ว่าสามารถ Complete Journey ครบ จบ ใน NocNoc ที่เดียว จากข้อมูลเชิงลึกของ NocNoc จะเห็นได้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของ NocNoc เป็นกลุ่มสร้างบ้านและต่อเติมบ้าน (Home Building and Renovator) ประมาณ 60% นับว่าเป็นกลุ่มที่มองหาการซื้อสินค้าและบริการแบบ Complete journey ในการสร้าง ต่อเติม และตกแต่งบ้านทั้งหลัง ทั้งยังมีพฤติกรรมในการซื้อสินค้าหลากหลายหมวดบนแพลตฟอร์มของ NocNoc และกลับมาซื้อซ้ำกว่า 74% เพราะทยอยซื้อของตกแต่งบ้านให้ครบตามความต้องการ   ขณะที่ของตกแต่งบ้านและผู้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป (Home Decoration and Furnishing Shoppers) คิดเป็นอีกประมาณ 40% จะเน้นการตกแต่งเป็นหลัก และมีพฤติกรรมการซื้อซ้ำบนแพลตฟอร์ม NocNoc มากถึง 26% เพราะลูกค้าจะมีไอเดียใน การตกแต่งบ้านอย่างต่อเนื่อง  จากการหาแรงบันดาลใจในการแต่งบ้านจากที่ต่าง ๆ รวมถึงใน NocNoc ที่มีไอเดียในการตกแต่งบ้านมากมาย   ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าจากการทำตลาดเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าในแบบ Complete journey รวมถึงการสร้างประสบการณ์ ช้อปปิ้งที่ดีแก่ผู้บริโภค และนำเสนอประสบการณ์มากกว่าที่ลูกค้าได้คาดหวังไว้ ทำให้ภาพรวมจำนวนผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม NocNoc ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันระหว่างเดือนมกราคม – เมษายน 2566 เพิ่มสูงขึ้น  64% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2565 โดยจากแนวโน้มดังกล่าว คาดว่าในปี 2566 นี้ ยอดขายจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้กว่า 170% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอีกด้วย   นอกจากนี้ หนึ่งในพฤติกรรมของลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ คือเรื่องของ Personalize จะเห็นได้ว่าไลฟ์สไตล์การตกแต่งบ้านของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน โดย NocNoc ให้ลูกค้าเริ่มต้นการใช้งาน Application ด้วยการค้นหาสไตล์ที่ใช่แบบ Personalize ด้วยระบบ AI เพื่อให้แอปนำเสนอสินค้าแต่งบ้านได้ตรงตามสไตล์ของแต่ละบุคคล      
6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่าให้ดูใหม่  ได้ฟังก์ชั่น​ แบบไม่หลุดเทรนด์

6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่าให้ดูใหม่ ได้ฟังก์ชั่น​ แบบไม่หลุดเทรนด์

ปรับบ้านเก่า เคยไหม? อยู่บ้านหลังเดิมไปนาน ๆ แล้วรู้สึกหมดแพชชั่น แต่ก็ไม่อยากซื้อบ้านใหม่หรือไม่อยากย้ายทำเลไปที่อื่น เลยอยากปรับบ้านเก่า แต่งลุคบ้านใหม่ให้ดูต่างออกไปจากเดิม และเพิ่มฟังก์ชันที่หลากหลายในตัวบ้านมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องรื้อบ้านทั้งหลัง หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าวิธีการดังกล่าวเป็นไปได้ยาก รู้หรือไม่ว่าการเปลี่ยนรูปแบบบ้านใหม่แบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ทำได้จริง!     วันนี้มีไอเดียการแปลงโฉมบ้านที่เคยอยู่อาศัยแบบเดิม ๆ มาปรับลุคใหม่โดยที่ไม่ต้องรีโนเวททั้งหลัง แค่ลองปรับเปลี่ยนดีไซน์และฟังก์ชันต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกบ้านใหม่ก็ใช้ได้แล้ว ซึ่งการปรับลุคบ้านใหม่ทำได้หลายวิธี ทั้งการปรับเปลี่ยนหลังคา สีทาบ้าน ผนังบ้าน รั้ว พื้น และสวนนอกบ้าน เพียงแค่เลือกดีไซน์และวัสดุที่ตอบโจทย์กับการใช้งานและความชอบ ลองมาดูกันว่าบ้านหลังเก่าของเราปรับลุคแบบไหนได้บ้าง 6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่า ให้ดูใหม่แถมได้ฟังก์ชั่น​ 1.เปลี่ยนฟาซาด สร้างโฉมบ้านหลังเดิม   บ้านสไตล์คลาสสิกธรรมดาทั่วไป อายุอาจจะมาไกลตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่า ถ้าอยากเปลี่ยนลุคบ้านใหม่ให้ดูโมเดิร์น แนะนำฟาซาด (Façade) ที่สามารถปรับอารมณ์บ้านให้เปลี่ยนไปได้ในทันที โดยฟาซาดจะเป็นการตกแต่งเปลือกอาคารหรือพื้นผิวภายนอกสุดของบ้าน ที่สามารถแสดงคาแรกเตอร์ของบ้านได้อย่างชัดเจนที่สุด ซึ่งนอกจากจะช่วยให้บ้านสวยเหมือนใหม่แล้ว ฟาซาดยังมีคุณสมบัติระบายความร้อน บดบังแสงแดด และสร้างความเป็นส่วนตัวภายในบ้านได้อีกด้วย ฟาซาด มีวัสดให้เลือกหลากหลาย 2.เพิ่มความ natural ด้วยผนังลายไม้ ผนังบ้านขาว ๆ ที่เราเคยชิน ลองสร้างลูกเล่นใหม่ให้น่าสนใจขึ้นได้ไม่ยาก เชื่อว่าหลายคนคงคิดว่าการเปลี่ยนผนังบ้าน คงต้องยุ่งยากและใช้เวลานาน ซึ่งปัจจุบันมีผนังตกแต่งให้เลือกใช้หลากหลาย ตามสไตล์ที่ต้องการ ซึ่งมาพร้อมคุณสมบัติแข็งแรง ทนทาน และลวดลายหลากหลาย สำหรับผู้ที่ต้องการดีไซน์บ้านให้มีลุคความเป็นธรรมชาติ การเลือกใช้ผนังตกแต่งที่ให้ลายไม้เหมือนธรรมชาติ อย่าง ผนังตกแต่ง เอสซีจี รุ่น วูด-ดี ก็นับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ   เนื่องจากให้ทั้งลวดลายที่ใกล้เคียงไม้จริง จากเทคโนโลยีการผลิตแบบ Digital Printing และวัสดุผลิตจากไฟเบอร์ซีเมนต์ ใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก ปลวกไม่กิน ทนทานต่อสภาพอากาศ ไม่บิดหรือแตกเปราะง่าย และยังให้สีสวยแน่นทนทาน จากเทคนิคการเคลือบสีเฉพาะของเอสซีจี รวมถึงได้ผนังเรียบร้อยสวยงาม จากระบบติดตั้งแบบคลิปล็อค ไม่เห็นรอยสกรู โดยสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งงานผนังและงานฝ้า 3.ทำรั้วบ้านสร้างเอกลักษณ์​ ก่อนจะเห็นตัวบ้าน เราต้องมองรั้วบ้านกันก่อนอย่างแน่นอน ถ้ารั้วบ้านสวยมีสไตล์ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของบ้าน ทำให้คนจดจำบ้านหลังนี้ได้ไม่ลืม เพราะฉะนั้นการทำรั้วบ้านให้โดดเด่นเป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ทำได้ 4.คืนพื้นที่รอบบ้าน สร้างพื้นใหม่สวยสะดุดตา บ้านที่มีพื้นที่ภายนอก บางคนปล่อยให้รกร้าง มีของที่ไม่ได้ใช้เกะกะอยู่เต็มพื้นหน้าบ้าน เราสามารถปลุกพื้นที่ตรงนั้นขึ้นมาใหม่ โดยเคลียร์ของที่ไม่ใช้ทิ้งไป แล้วปรับพื้นใหม่ให้แมตช์กับสวนสวยดูเป็นธรรมชาติได้ อาจจะลองเลือกใช้วัสดุกระเบื้องซีเมนต์ตกแต่งพื้น ซึ่งมีรุ่นและลายให้เลือกหลากหลายชนิด 5.เปลี่ยนลุคหลังคาให้บ้านดูโมเดิร์น หลังคาบ้านสวยช่วยทำให้บ้านดูใหม่และดูดีกว่าเดิมได้ ลองสังเกตดูว่าถ้าบ้านไหนปล่อยให้หลังคาชำรุดตัวบ้านก็จะดูทรุดโทรมตามไปด้วย ซึ่งหากสามารถทำการเปลี่ยนหลังคาใหม่ได้ ก็จะช่วยทำให้บ้านดูมีชีวิตชีวา และการใช้งานที่ดี ไม่ต้องห่วงเรื่องฝนตก น้ำรั่วช่วงหน้าฝนได้อีกด้วย ​ 6.ปรับภูมิทัศน์สวนให้สวยน่านั่งเล่น อย่าปล่อยพื้นที่สวนหน้าบ้านให้รกร้างโดยเปล่าประโยชน์ การจัดสวนให้น่าอยู่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเปลี่ยนลุคใหม่ให้บ้าน และยังเติมเต็มอารมณ์ให้ผู้อยู่อาศัยผ่อนคลายขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหากว่าใครยังไม่มีไอเดียการจัดสวน และกลัวว่าจะเหนื่อยถ้าต้องมานั่งจัดสวนเอง เอสซีจีก็มีบริการจัดสวนรอบบ้าน โดยมีรูปแบบสวนกึ่งสำเร็จรูปที่ออกแบบไว้หลากหลายแนวให้เลือกตามใจชอบ ปรับใช้ให้เข้ากับพื้นที่บ้าน รับรองว่ามีสวนสวยรวดเร็วไม่เกินเอื้อมแน่นอน   อย่างไรก็ตาม ใครที่อยากปรับลุคบ้านให้สวยด้วยหลาย ๆ ดีไซน์และฟังก์ชัน อาจจะลองเข้าไปดูตามห้างโมเดิร์นเทรดชั้นนำ หรือผู้ให้บริการด้านการปรับปรุงบ้าน ซึ่งมีหลากหลายมากมาย รวมถึงผู้ให้บริการอย่าง SCG ซึ่งมีบริการหลากหลาย และจำหน่ายสินค้าหลายช่องทาง   ที่มา-SCG Home   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -4 วิธีอย่างง่าย ปรับบ้านให้มีสุขภาวะที่ดีรับ WFH  -“ปรับบ้านรับทรัพย์ ตามหลักฮวงจุ้ย” รับปีใหม่ 2564 กับหมอช้าง
AWC  จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ

AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ

AWC เดินหน้าลงทุนหุ้นธุรกิจโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก พร้อมจับมือแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ โนบุ ฮอสพิทาลิตี้  สร้างโรงแรมระดับไอคอนิก 2 แห่งภายใต้แบรนด์ Plaza Athenee "โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก" และพัฒนาจากอาคาร EAC  เป็น "โรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก"   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า ได้เดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์สร้างการเติบโต โดยจะเข้าลงทุนหุ้นธุรกิจโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก และได้ขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ Nobu Hospitality แบรนด์ไลฟ์สไตล์สุดหรูที่มีการเติบโตรวดเร็วที่สุดในระดับโลก ผสานกับความเชี่ยวชาญของ AWC ด้านการพัฒนาโครงการ เพื่อร่วมสร้างโรงแรมระดับไอคอนิก 2 แห่งภายใต้แบรนด์ Plaza Athenee ได้แก่ 1.โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก (Plaza Athenee Nobu Hotel and Spa New York) ที่จะพัฒนาจากอาคารของโรงแรมพลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก ที่ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดของแมนฮัตตัน และเป็นหนึ่งในโรงแรมที่ดีที่สุดของมหานครนิวยอร์กต่อเนื่องเกือบศตวรรษ โดยมีมูลค่าการลงทุนหุ้นในธุรกิจโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก จำนวน 7,789 ล้านบาท   โดยการลงทุนหุ้นในธุรกิจโรงแรม พลาซ่า แอทธินี นิวยอร์กครั้งนี้ เป็นไปตามกลยุทธ์สร้างการเติบโต และสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยได้รับการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการของบริษัท และอยู่ในขั้นตอนการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้น ซึ่ง AWC เชื่อมั่นว่าการลงทุนในโครงการแฟลกชิปครั้งนี้จะส่งเสริมการเติบโตให้กับองค์กรอย่างยั่งยืน พร้อมขยายกลยุทธ์การดำเนินงานการสร้างผลประกอบการ และฐานลูกค้าของทางบริษัทฯ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น   2.โรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก (The Plaza Athenee Nobu Hotel and Spa Bangkok) ซึ่งจะพัฒนาจากอาคาร EAC (East Asiatique Company) อันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์อายุกว่าศตวรรษ ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดริมแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ โดยเป็นการผนึกความพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมทั้งสองแห่งซึ่งจะพัฒนาจากอาคารที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ มีความสวยงาม และอยู่ในทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดของเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางของโลก   ทั้งนี้ การลงทุนหุ้นในธุรกิจโรงแรมพลาซ่า แอทธินี นิวยอร์ก ซึ่งเป็นอาคารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และมีชื่อเสียงยาวนาน ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดของนิวยอร์ก ได้ให้การต้อนรับบุคคลสำคัญระดับโลกจากนานาประเทศ อีกทั้งยังได้รับรางวัลต่าง ๆ มากมายอย่างต่อเนื่อง จนได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในโรงแรมที่ดีที่สุดในนครนิวยอร์ก อีกทั้งยังเป็นทรัพย์สิน Freehold ที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสุดพิเศษของเมือง ทำให้การลงทุนครั้งนี้เป็นโอกาสก้าวสำคัญของ AWC ในการนำศักยภาพด้านการพัฒนาโครงการระดับโลกของบริษัทไปสู่ตลาดที่มีความมั่นคงสูง เพื่อเสริมการเติบโตของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน   นอกจากนี้ AWC ยังมีความร่วมมือในระยะยาวกับพันธมิตรอย่าง Nobu Hospitality ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ได้รับรางวัลแบรนด์ที่ดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา มีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูง และยังมีวิสัยทัศน์ด้านธุรกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน ที่จะร่วมสร้างคุณค่าให้กับโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับแฟลกชิปของ AWC ในกรุงเทพฯ และนครนิวยอร์กภายใต้แบรนด์ Plaza Athenee ซึ่งจะรวมเอาความพิเศษของแบรนด์ Plaza Athenee ที่มีความหรูหราแบบตะวันตกอย่างเป็นเอกลักษณ์ มาผสานกับการมอบประสบการณ์แบบโมเดิร์นลักซ์ชูรี่วัฒนธรรมมินิมอลตะวันออกของแบรนด์ไลฟ์สไตล์อย่าง Nobu ได้อย่างลงตัว AWC เชื่อมั่นว่าความร่วมมือครั้งนี้ จะสร้างมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมโรงแรมและการบริการระดับลักซ์ชูรี่ โดยโรงแรมทั้งสองแห่งมีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2569 AWC X โนบุ ผุด 2 โรงแรมนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ ด้านนาย เทรเวอร์ ฮอร์เวลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Nobu Hospitality กล่าวว่า โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก ได้รับการพัฒนามาจากโรงแรม Plaza Athenee ซึ่งเป็นอาคารอันทรงคุณค่าประวัติศาสตร์ที่มีอายุเกือบร้อยปี ตั้งอยู่ในย่าน Upper East Side บนถนน 64 ระหว่างถนนปาร์ค อเวนิว และถนนเมดิสัน อเวนิว ซึ่งเป็นย่านที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์ ใกล้สวนสาธารณะ Central Park พิพิธภัณฑ์ สถานกงสุล และแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ โดยมีดีไซน์ที่เป็นการผสมผสานวัฒนธรรมความหรูหราของตะวันตกจากแบรนด์ Plaza Athenee เข้ากับสไตล์โมเดิร์นลักซ์ชูรี่ที่รวมความเรียบง่ายแบบญี่ปุ่นอย่างลงตัว   นอกจากนี้ โรงแรมยังตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ รวมถึงงานศิลปะจากเหล่าศิลปินที่มีชื่อเสียง ประกอบไปด้วยห้องพักจำนวน 145 ห้อง พร้อมด้วยห้องอาหารสไตล์โอมากาเสะ และ Nobu Bar and Lounge ที่ออกแบบขึ้นเพื่อดึงดูดผู้ที่มีชื่อเสียง คนในพื้นที่ และแขกผู้มาเยือน รวมถึงมีรู๊ฟท็อปสำหรับจัดงานปาร์ตี้แบบส่วนตัวที่สามารถชมวิวแบบพาโนรามาของนิวยอร์กซิตี้ พร้อมทั้งออนเซ็นญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม สปา และศูนย์สุขภาพ นอกจากนี้ยังมีห้องสวีทที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยเฉลียงกระจกทั้งในส่วนพื้นที่ร่มและกลางแจ้ง รวมไปถึงเรสซิเดนท์ที่มีเอกลักษณ์พร้อมด้วยการบริการแบบเอ็กซ์คลูซีฟ โดยทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพิเศษให้มหานครนิวยอร์ก เพื่อต้อนรับนักเดินทางระดับชั้นนำจากทั่วทุกมุมโลก   ในขณะที่โรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก จะถูกพัฒนาจากอาคารที่สวยงาม มีเสน่ห์อายุกว่าศตวรรษของบริษัทอีสต์เอเชียติก (EAC) ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีที่สุดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อตั้งขึ้นปี 2427 โดยกัปตัน Hans Niels Andersen นักเดินเรือชาวเดนมาร์ก โดยโรงแรมจะยังคงอนุรักษ์โครงสร้างและศิลปะดั้งเดิมของอาคาร เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและภาคภูมิใจในพื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งนี้ พร้อมทั้งสร้างคุณค่าในระยะยาวและยั่งยืนให้ชุมชนโดยรอบ   โดยโรงแรมแห่งนี้จะมีความคลาสสิกสไตล์ลักซ์ชูรี่ริมสายน้ำ นำเสนอความเชี่ยวชาญด้านอาหารและเครื่องดื่มและการบริการอันเป็นเลิศ พร้อมสร้างปรากกฎการณ์ที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อนผ่านการเชื่อมต่อประสบการณ์รูปแบบใหม่ของประวัติศาสตร์จากอดีตสู่ปัจจุบัน ผ่านเรื่องราวของเมืองและอาคารอันทรงคุณค่า สู่ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ พร้อมมีสายน้ำเจ้าพระยาเชื่อมต่อโครงการริมน้ำต่างๆ ของ AWC ที่มอบความประทับใจให้แก่ผู้เข้าพัก ภายใต้แนวคิด “The River Journey” ควบคู่การเชื่อมต่อวัฒนธรรมอันทรงคู่ค่าของตะวันตกและตะวันออก สร้างมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมถึงยังช่วยเสริมเสน่ห์ให้กับกรุงเทพฯ ในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลก   การลงนามสานต่อความร่วมมือเปิดตัวโรงแรมครั้งนี้ เป็นไปตามการลงนามแบบเอ็กซ์คลูซีฟเมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2565 ที่ผ่านมาระหว่าง AWC และ Nobu Hospitality เพื่อพัฒนาโครงการในประเทศไทย พร้อมเปิดโรงแรมและร้านอาหารภายใต้แบรนด์ Nobu แห่งแรกในไทย ที่จะตั้งอยู่ชั้นบนสุดของอาคาร “เอ็มไพร์” อาคารสำนักงานแนวไลฟ์สไตล์แฟล็กชิพของ AWC ซึ่งตั้งอยู่ในย่านธุรกิจสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -AWC ประกาศ Q1/2566  กำไร 1,422 ล้าน ผลการใช้กลยุทธ์ GROWTH-LED -[PR News] AWC จับมือ Accor เตรียมขยายโรงแรมกว่า 1,000 ห้อง
5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล  ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19

5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19

LWS แนะ 5 ธุรกิจบริการ ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมดิจิทัลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตเพื่อคนทุกวัยที่พัฒนาขึ้นมาที่เติบโตพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล. ดับเบิลยู. เอส. วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) แนะนำ 5 ธุรกิจบริการที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตเพื่อคนทุกวัยในยุคหลังการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ได้แก่ ธุรกิจบริการเพื่อผู้สูงอายุ, สุขภาพ, สิ่งแวดล้อม, ที่อยู่อาศัย และความบันเทิง   หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน เทคโนโลยี่ดิจิทัล เข้ามามีบทบาทในการพัฒนางานบริการอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อสร้างการเข้าถึงข้อมูลและเชื่อมต่อระหว่างผู้คน ไปพร้อมๆ กับการสร้างโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ๆ ทั้งภาคการผลิตและการบริการ โดยเฉพาะงานบริการ เทคโนโลยี่เข้ามามีบทบาทในการเชื่อมต่องานบริการต่างๆ ที่ตอบสนองกับความต้องการของผู้คนในสังคมมากขึ้น และเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่จะพัฒนาต่อยอดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้น 5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยและพัฒนางานบริการของ LWS พบว่า ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี ของการแพร่ระบาดของ COVID-19 งานบริการที่มีการพัฒนาและได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนตั้งแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 และยังคงได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบันที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย แล้ว ประกอบด้วย 5 ธุรกิจที่น่าสนใจและมีศัยกภาพในการเติบโตและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ, สุขภาพ, สิ่งแวดล้อม, ที่อยู่อาศัย, และงานบริการที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงของคนรุ่นใหม่ บริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบเต็มรูปแบบ หนึ่งในธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง คือ ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เนิร์สซิ่งโฮมที่ได้มาตรฐาน และขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพิ่มขึ้นจาก 200 กว่าแห่งในปี 2563 เป็น 450 ยังไม่รวม เนิร์สซิ่งโฮมที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกนับ 1,000 – 2,000 แห่งทั่วประเทศ   นอกจากงานดูแลด้านสุขภาพของผู้สูงอายุที่เนิร์สซิ่งโฮมแล้ว ยังมีพัฒนางานบริการพาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล ท่องเที่ยว ทำบุญ และกิจกรรมต่างๆ โดยมีแพลตฟอร์มที่น่าสนใจอย่าง Joy Ride กับบริการพาผู้สูงอายุไปหาหมอ เป็นงานบริการที่ให้บริการในประเทศไทย และคิดค้นโดยคนไทย ที่มีรูปแบบการให้บริการผู้ดูแลพาผู้สูงวัยและผู้ป่วยไปโรงพยาบาล จากบ้านไปโรงพยาบาล และอยู่เป็นเพื่อนตลอดระยะเวลาของการพบแพทย์ และพากลับมาส่งกลับถึงบ้าน โดยมีการให้บริการในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น บริการพาไปรับวัคซีนป้องกันโควิด, บริการ Welcome Home พาเธอกลับบ้าน ,Joy Go Round พาเที่ยว ทำบุญ ทำธุระ ฯ ล ฯ มีค่าบริการเริ่มต้นเพียง 280 บาทเท่านั้น ซึ่งกลุ่มผู้ใช้บริการไม่มีเพียงแต่ผู้สูงอายุเท่านั้น ยังมีกลุ่มของสตรีมีครรภ์ ที่ไม่สะดวกในการขับรถเองใช้บริการอีกด้วย   นอกจากนี้ ยังมี Senior Move ธุรกิจบริการรถลีมูซีนสำหรับผู้ใหญ่โดยเฉพาะ ให้บริการเป็นรายชั่วโมง โดยผู้ใช้บริการสามารถกำหนดเส้นทาง หรือปรับเปลี่ยนเส้นทางได้ตลอดเวลา ทั้งยังสามารถแวะทำธุระระหว่างทางได้ตามสะดวก เสมือนมีรถและพนักงานขับรถส่วนตัว สามารถจองคิวการใช้บริการผ่าน Line ได้ โดยมีอัตราค่าบริการเริ่มต้นที่ 500 บาทต่อชั่วโมง ได้ถือเป็นธุรกิจงานบริการที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและเป็นโอกาสสำหรับการสร้างธุรกิจใหม่ๆ หลังยุค COVID-19 บริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ จากรายงานของกรมพัฒนาธุรกิจพบว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพถึง 353 ราย เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปี 2564 ที่มีจำนวน 167 รายถึง 90% สะทัอนให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจบริการในหมวดนี้ที่สูงขึ้นตามความต้องการของประชาชนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้นหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19   โดยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพนอกเหนือจากการดูแลสุขภาพแล้ว งานบริการที่เกี่ยวกับสินค้าในหมวดหมู่ที่เกี่ยวกับสุขภาพมีทั้งเรื่องของอาหาร การออกกำลังกาย รวมไปถึงการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เป็นต้น โดยเฉพาะอาหาร ปัจจุบันประชาชนให้ความสนใจกับการเลือกบริโภคอาหารที่ปลอดสารพิษ ทำให้มีการพัฒนางานบริการจัดส่งผัก-ผลไม้ออร์แกนิค จากสวนส่งตรงถึงบ้าน โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมต่อความต้องการของผู้ซื้อไปยังผู้ผลิต และบริการจัดหา อย่าง  Happy Grocers บริการจัดส่งผัก และผลไม้ออร์แกนิค ถึงบ้าน   เป็นธุรกิจที่เกิดจากการพัฒนาของนักศึกษาจากวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากในช่วงของการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ที่ทำให้สินค้าทางการเกษตรไม่สามารถเข้าสู่ตลาดกลางได้ ทำให้นักศึกษากลุ่มนี้เกิดความคิดที่จะเป็นตัวกลางให้ผู้บริโภคและเกษตรกรได้พบกันโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางอีกหลายทอด ช่วยแก้ปัญหาให้เกษตรกรรายย่อยได้มีตลาดระบายสินค้าในราคาที่สมเหตุสมผล และผู้บริโภคได้รับสินค้าคุณภาพจากเกษตรกรโดยตรง มีการนำรถ Grocers Truck นำฟาร์มขนาดย่อมมาให้ลูกค้าถึงหน้าคอนโดมิเนียม โดยมีความพิเศษคือ ลูกค้าเป็นคนส่งคำขอกับทางนิติคอนโดฯให้ทาง Happy Grocers ไปลงพื้นที่เองอีกด้วย โครงการนี้ประสบความสำเร็จและคว้ารางวัลจากเวที Startup Thailand League 2020   อีกหนึ่งในบริการที่มีการเติบโตค่อนข้างสูง และยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องหลังจากการระบาดของโควิด-19 คือ บริการหาหมอออนไลน์ โดยรายงานปี 2563 จากบริษัทวิจัย แกรนด์ วิว รีเสิร์ช มีระบุว่า ตลาดเทเลเมดิซีนมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง โดยปี 2563 มีมูลค่าราว 55,900 ดอลล่าสหรัฐ และคาดว่าในช่วงปี 2564-2571 จะมีการขยายตัวต่อปีที่ 22.4% ซึ่งทำให้คาดว่าทำให้ตลาดเทเลเมดิซีนจะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง บริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เป็นกลุ่มงานบริการที่ได้รับความนิยมมากขึ้นจากแนวคิดเกี่ยวกับ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือ  ESG (Environment, Social, Governance) ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ภาวะโลกร้อน ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึง การพบไมโครพลาสติกในสัตว์ทะเล และปัญหาน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มที่ใช้บริโภคในชีวิตประจำวัน ปัญหาต่างๆด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการผลิตวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การนำขยะมาใช้ในการผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ และของใช้ต่างๆ   รวมไปถึงการให้บริการเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์อย่างบริษัท รีไซเคิล เดย์ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจบริการที่เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดในการเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์ โดยการให้ความรู้ในการแยกขยะไปจนถึงการบริหารจัดการ ผ่านแอพพลิเคชั่น โดยแอพพลิเคชั่น จะบันทึกการจัดเก็บและแยกขยะของแต่ละบ้าน เพื่อให้สามารถแลกเป็นคะแนนไว้ใช้สำหรับแลกของรางวัลหรือเงินคืนได้จำนวนเท่าไหร่ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในการบริหารจัดการขยะ และ   อีกหนึ่งในบริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ และมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆคือ บริการที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งอุปกรณ์พลังงานทดแทน เช่น Pavegen slab ซึ่งเป็นแผ่นพื้นที่สามารถเปลี่ยนแรงกดให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้ โดยบริการนี้เริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ มีการติดตั้งตามเมืองสำคัญหลายจุด เช่น ถนนอ๊อคฟอร์ด กับถนนบาเรท ซึ่งในประเทศไทยเองก็มีการติดตั้งที่ True Digital park และ 101 The Third place อีกด้วย บริการที่เกี่ยวข้องกับบ้าน ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับบ้าน เป็นอีกหนึ่งในงานบริการที่ถูกพัฒนารูปแบบบริการต่างๆให้ครอบคลุมกับความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะการให้บริการดูแลบ้าน ทั้งงานทำความสะอาดไปจนถึงงานช่างและงานซ่อมแซมต่างๆ โดยปัจจุบันมีหลายบริษัทที่พัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้และเรียกใช้บริการได้ตามความต้องการ เช่น Q-Chang คิวช่าง แพลตฟอร์มรวมช่างคุณภาพเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ให้บริการเกี่ยวกับบ้าน เช่น บริการดูแลรักษาบ้าน ,บริการติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ภายในบ้าน ,บริการปรับปรุงและซ่อมแซมบ้าน ฯลฯ   โดย Q-Chang เป็นธุรกิจบริการ ที่มีอัตราการเติบโตจากช่วง 3 ปีได้อย่างชัดเจน ในปี 2565 ที่ผ่านมา มีผู้เข้าใช้บริการผ่านช่องทางเว็ปไซต์เพิ่มขึ้นถึง 6.5 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2564 และมียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว มีมูลค่าการจองใช้บริการสูงสุดถึง 610,000 บาท/คน/ปี ซึ่งท้อนได้ถึงความต้องการในการใช้บริการงานที่เกี่ยวข้องกับบ้านได้อย่างชัดเจน ซึ่งทาง Q-Chang เองก็ได้ขยายบริการจากเว็ปไซต์ เพิ่มขึ้นเป็น Line Official : @q-chang รวมถึงมีการให้บริการรวมกับพาร์ทเนอร์ เช่น SCG, Shopee, Lazada NocNoc เป็นต้น   โดยบริการยอดนิยมจะอยู่ในกลุ่มงานบริการล้างแอร์ ซ่อมแซมหลังคารั่ว บริการล้างเครื่องซักผ้า ฯ ล ฯ นอกจากนี้ผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง SCG ก็ยังมีบริการที่เกี่ยวข้องกับบ้านด้วยเช่นกัน เช่น บริการจาก SCG Heim ซึ่งให้บริการงานต่อเติม ตรวจสอบและซ่อมแซมสภาพบ้าน ตกแต่งภายใน บิ้วอิน เป็นต้น บริการที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ ปัจจุบันผู้คนเริ่มมีความคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยมากขึ้น ทั้งการทำงานและกิจกรรมเพื่อความบันเทิง โดยเฉพาะการเล่นเกมส์ ที่ปัจจุบันกลายเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ถูกบรรจุเป็นกีฬาในระดับภูมิภาค และระดับโลก ในประเทศไทยก็เริ่มมีการเรียนการสอนในโรงเรียนวิชา E-Sport ตั้งแต่ระดับมัธยมในประเทศไทย เช่น โรงเรียนสิรินธร จ.สุรินทร์ ,โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม ที่ได้มีการสร้างห้อง E-Sport Room เพื่อรองรับการส่งเสริมนักเรียนในทุกด้าน และในระดับมหาวิทยาลัยนั้น ภาคเอกชนก็เริ่มนำคอร์สการเรียนที่เกี่ยวข้องกับ E-Sport มาเป็นทางเลือกให้ผู้ที่สนใจในด้านนี้โดยเฉพาะด้วยเช่นกัน   การเติบโตของ E-Sport ทำให้การพัฒนาห้อง E-Sport ภายในที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในอาคารชุดพักอาศัยเริ่มกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นนอกเหนือจาก Co-Working และ Co-Kitchen space โดยปัจจุบันมีโครงการอาคารชุดพักอาศัย อย่าง โครงการ เพลส 168 ปิ่นเกล้า ที่พัฒนาโดยบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) และโครงการอัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร ที่พัฒนาโครงการโดย อัลติจูด ดีเวลลอปเมนท์ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของคนรุ่นใหม่ ที่ใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยมากขึ้น   นอกจากนี้ยังพบว่าธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศก็มีการนำห้อง E-Sport Room เข้ามาใช้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เช่นโรงแรม iHotel — Taoyuan City ประเทศไต้หวัน , โรงแรม The Arcade Hotel ในประเทศเนเธอแลนด์ และ โรงแรม eZONe Cyber Space Hotel ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น โดยการให้บริการจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับเล่นเกมส์ในห้องพักโดยเฉพาะ มีที่นอนภายในห้อง โดยที่พักจะมีเริ่มต้นตั้งแต่ 2 คน ไปจนถึงห้องใหญ่ที่รองรับผู้เข้าพักได้ถึง 5 คน มีค่าบริการเริ่มต้นตั้งแต่ 1,500 เป็นต้นไป   “วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้คนจากวิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) มาสู่วิถีชีวิตปกติถัดไป (Next Normal) ภายหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 งานบริการไม่ใช่งานที่ผู้คนต้องออกจากบ้านเพื่อไปรับบริการแล้ว แต่งานบริการกลายเป็นงานที่ผู้คนสามารถใช้บริการได้จากที่บ้านของพวกเขาเอง ผ่านการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เชื่อมต่อทุกงานบริการเข้าด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้คน จึงเป็นมิติใหม่ของการสร้างโอกาสในการสร้างธุรกิจบริการเพื่อที่จะเข้าถึงผู้คนและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เทคโนโลยี่ดิจิทัล เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโอกาสทั้งทางธุรกิจและเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน”    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -โควิดทุบ SMEs ธุรกิจบริการ-ท่องเที่ยว รายได้หาย 27,000 ล้าน
[PR News] สมาร์ท อัปเกรด Smart World แอปเพื่อการอยู่อาศัย หวังยอดทะลุ 2 แสนราย

[PR News] สมาร์ท อัปเกรด Smart World แอปเพื่อการอยู่อาศัย หวังยอดทะลุ 2 แสนราย

สมาร์ท  อัปเกรด SMART WORLD โมบาย แอปพลิเคชัน ที่ครบ จบ ในแอปเดียว ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ Ultimate Digital Living เพิ่มลูกเล่นและฟังก์ชันการให้บริการที่มากขึ้น   นายสุวัฒน์ กุลไพจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SMART) เปิดเผยว่า บริษัทได้อัปเกรดแอปพลิเคชันสมาร์ท เวิล์ด "SMART WORLD" เวอร์ชันใหม่ ให้เป็นสุดยอดแอปเพื่อการอยู่อาศัย ในคอนเซปต์ SMART WORLD Ultimate Digital Living  เรียกได้ว่าดูแลกันตั้งแต่เริ่มต้นวันแรกของการซื้อบ้าน จนถึงวันโอน และดูแลต่อเนื่องไปตลอดของการพักอาศัย โดยสมาร์ทดำเนินธุรกิจการบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 26ปี ดูแลมากกว่า 390 โครงการ   สำหรับแอปพลิเคชันดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวก ตั้งแต่เรื่องการให้ข้อมูลสินเชื่อธนาคาร รวมถึงสามารถเข้าดูรายละเอียดความคืบหน้าของโครงการได้ด้วยตนเอง ผ่านหน้าแอปฯ และยังทำธุรกรรมการผ่อนดาวน์ , Refund , ยื่นขอเอกสารออนไลน์, ฝากขาย-เช่า ได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว หลังจากการโอนบ้านแล้ว แอปฯ นี้ยังคงดูแลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้ชีวิตในบ้านหลังใหม่เป็นไปอย่างสะดวก ง่ายดาย เป็นตัวเชื่อมติดต่อกับนิติบุคคลของ SMART หรือเพื่อนบ้านในโครงการได้สะดวกผ่านแชท และมีข่าวสารที่คอยอัปเดตเพื่อไม่พลาดทุกการเคลื่อนไหวในโครงการ แจ้งเตือนรับพัสดุ , จ่ายบิล , ประทับตรารถเข้า-ออกโครงการผ่านแอปฯ รวมทั้งสามารถดูกล้องวงจรปิดในพื้นที่ส่วนกลางของโครงการได้ในกรณีที่เราไม่อยู่บ้าน   นอกจากนี้ ยังช่วยจัดการเรื่องบ้านให้สมาร์ทมากขึ้นด้วยฟีเจอร์ Home Service หรือบริการเรื่องบ้าน ทั้งตกแต่งต่อเติมก่อนเข้าอยู่ รีโนเวต รวมถึงบริการต่าง ๆ ที่ช่วยให้บ้านดูสวย ใหม่ และ ดูแลรักษาตลอดเวลา เช่น บริการเรื่องบ้าน ทั้งล้างแอร์ ล้างบ่อดักไขมัน ล้างแทงค์น้ำ ติดตั้งโครงหลังคาจอดรถ ติดตั้งรางน้ำฝน และอื่น ๆ อีกมากมายจากพาร์ทเนอร์มืออาชีพ และยังมีสิทธิพิเศษ ส่วนลดต่างๆ ที่ SMART รวบรวมมาครบทุกแกน ทั้ง ร้านอาหาร กีฬา อุปกรณ์เครื่องใช้ สัตว์เลี้ยง และความงาม เพื่อลูกบ้านโดยเฉพาะ เรียกได้ว่าแค่มีแอปพลิเคชันอยู่ในมือ ก็ตอบโจทย์ตั้งแต่ต้น จนเข้าพักอาศัยแบบครบ จบในแอปเดียว เพียงปลายนิ้วสัมผัส บริษัทคาดว่า แอปพลิเคชั่น สมาร์ท เวิล์ดจะมียอดดาวน์โหลด 200,000 user หรือเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวภายในสิ้นปี      อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เทอร์ร่า เผยเทรนด์การอยู่อาศัยในปี 65 ต้องตอบโจทย์ Well-Being & ความปลอดภัย -[PR News]แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  เปิดให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “iDesign” โฉมใหม่แล้ววันนี้
อมรินทร์กรุ๊ป ทรานส์ฟอร์มจากธุรกิจสิ่งพิมพ์  สู่ Omni Media – Omni Chanel

อมรินทร์กรุ๊ป ทรานส์ฟอร์มจากธุรกิจสิ่งพิมพ์ สู่ Omni Media – Omni Chanel

อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ อย่างเป็นทางการ ตอกย้ำการเป็นธุรกิจที่เป็นมากกว่า พริ้นติ้ง หรือ พับลิชชิ่ง สู่ภาพลักษณ์ใหม่ Omni Media - Omni Chanel เป็นธุรกิจที่มีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจด้านออนไลน์ ธุรกิจด้านอีเวนต์  ธุรกิจด้านดิจิทัล ตั้งเป้าพร้อมขยายโอกาสสู่กิจการด้านอื่นในอนาคต     นางระริน  อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทอมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จำกัด(มหาชน)  กล่าวว่า อมรินทร์กรุ๊ป เป็นองค์กรอันดับ 1 ด้านการสื่อสารแบบครบวงจร ผ่านโมเดลธุรกิจที่เป็นกลยุทธ์หลัก Omni Media - Omni Channel  ครอบคลุมสื่อมากที่สุดในประเทศ ผนึกรวมทุกภาคส่วนในเครือ ทั้ง On Print, Online, On Ground, On Air และ On Shop เราผสานรวมกันเพื่อให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ด้วยความครอบคลุมนี้ถือเป็นจุดแข็งและกลยุทธ์สำคัญในการเดินหน้าทำธุรกิจของอมรินทร์กรุ๊ป ซึ่งแบ่งธุรกิจออกเป็น 5 กลุ่มธุรกิจหลัก และ 2 ธุรกิจที่ร่วมทุน ประกอบด้วย 5 กลุ่มธุรกิจอมรินทร์ 1.ธุรกิจมีเดียแอนด์อีเวนต์   ธุรกิจที่ประสานกับสื่อ นิตยสาร สื่อออนไลน์ ไปจนถึงธุรกิจจัดงานแฟร์และอีเวนต์  ที่จะช่วยให้ลูกค้าของอมรินทร์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.ธุรกิจสำนักพิมพ์  เป้าหมายเพิ่มจำนวนการผลิตหนังสือเล่มประมาณ 500 ปก และหนังสือดิจิทัลประมาณ  770 เรื่องต่อปี อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าโดยสามารถเลือกรูปแบบการอ่านได้มากมายทั้งการอ่านหนังสืออ่านแบบดิจิทัล หรือจะออดิโอ Multi-platformในรูปแบบที่ให้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด และมุ่งขยายความหลากหลายของคอนเทนต์เพื่อเข้าถึงคนทุกเพศทุกวัย สร้างสังคมแห่งการอ่านให้ประเทศไทย 3.ธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์   ธุรกิจการพิมพ์ที่ให้บริการได้ตั้งแต่การพิมพ์หนังสือเล่มเดียวไปจนถึงหลักล้านเล่ม นอกจากนี้ยังมุ่งพัฒนาไปที่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมภายใต้สัญลักษณ์ AM GREEN 4.ธุรกิจจัดจำหน่ายสื่อสิ่งพิมพ์ และ Digital Content  โดยบริษัทอมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ที่มีเครือข่ายร้านพันธมิตรมากกว่า 700 แห่งทั่วประเทศ และธุรกิจค้าปลีกอย่างร้านนายอินทร์ และแพลตฟอร์มดิจิทัล ปัจจุบันมีลูกค้ากว่า 26 ล้านรายต่อปี และมีแพลตฟอร์มใหม่อย่าง Mareads ที่สามารถอ่านนิยายเป็นตอนๆ มาให้บริการ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ช่วยในการขยายฐานการอ่านและรองรับกลุ่มลูกค้าทั้งในไทยและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ 5.ธุรกิจทีวีดิจิทัล  โดยบริษัทอมรินทร์เทเลวิชั่น จำกัด ช่อง AMARIN TV 34HD  เป็นสื่อทีวีดิจิทัลที่ยังรักษาความนิยมของผู้ชมทั่วประเทศอยู่ใน TOP 7 ที่มีครบทุกแพลตฟอร์ม มีรายการที่มีคุณภาพครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายและเข้าถึงผู้ชมทั่วประเทศ ด้วยการเชื่อมต่อประสบการณ์อันหลากหลายผ่านทั้งช่องทาง On Air และ Online ในทุกแพลตฟอร์ม รวมถึงผ่าน 34HD App ที่จะสามารถรับชมรายการผ่านอุปกรณ์ หรือ Device ต่างๆ ได้เข้าถึงง่ายยิ่งขึ้น ทำให้ปัจจุบัน Amarin TV 34HD สามารถเข้าถึงผู้ชมทั่วประเทศเฉลี่ย 10 ล้านคนต่อวัน และมีผู้ติดตามในสื่ออนไลน์ทุกแพลตฟอร์มมากกว่า 42 ล้านคน   ส่วนใน 2 บริษัทที่อมรินทร์ถือหุ้นร่วม คือ บริษัทคาโดคาวะ อมรินทร์ จำกัด เป็นผู้นำในเรื่องของ Light NOVEL และ MANGA และบริษัทเด็กดี อินเตอร์ แอคทีฟ จำกัด ผู้นำตลาดนิยายและ Education Platform ปี 65 ผลประกอบการนิวไฮด์ สำหรับผลประกอบการในปี 2565 ของบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 4,274.45 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนเป็นจำนวนเงิน 1,313.84 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นถึง 44.4 % ซึ่งมีเหตุผลหลักมาจาก รายได้จากธุรกิจผลิตงานพิมพ์และจำหน่ายหนังสือมีการเติบโตถึงร้อยละ 91.5 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2564 โดยมาจากการขยายตัวของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และการเติบโตของธุรกิจการจัดจำหน่ายหนังสือเล่มผ่านหน้าร้านหนังสือต่าง ๆ และโดยเฉพาะผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งมีการอัตราการเติบโตถึงร้อยละ 83.4 รายได้จากธุรกิจมีเดียและอีเวนต์ รวมการให้บริการโฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อออนไลน์ และการจัดงานแสดงสินค้าและอีเวนต์ต่าง ๆ ซึ่งในปี 2565 มีอัตราการเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 72.9 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2564 โดยเฉพาะรายได้จากการจัดงานแสดงสินค้าที่เติบโตถึงร้อยละ 147.6 โดยบริษัทสามารถดำเนินการจัดงานแสดงสินค้าได้ใกล้เคียงกับแผนงานที่วางไว้ทั้งงานบ้านและสวนแฟร์ที่มีการจัดงานถึง 3 ครั้ง งานอมรินทร์ เบบี้แอนด์ คิดส์ แฟร์ ที่มีการจัดงานในระหว่างปีถึง 4 ครั้ง รวมทั้งงานอื่น ๆ รายได้จากธุรกิจสื่อทีวีดิจิทัล ที่ยังคงรักษาระดับรายได้ไว้ได้ แม้ว่ายอดในการซื้อสื่อทีวีดิจิทัลในอุตสาหกรรมจะมีมูลค่ารวมที่ลดลง แต่บริษัทยังมีรายได้ 1,287.33 ล้านบาท ใกล้เคียงกับรายได้ในปี 2564 ที่มีรายได้ 1,282.36 ล้านบาท 3 ปีเตรียมลงทุนกว่า 2,100 ล้าน         ปี 2566-2568 ตั้งงบลงทุนกว่า 2,100 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 800 ล้านบาท โอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ และจากการร่วมมือกับคู่ค้า 600 ล้านบาท คอนเทนต์หนังสือ, ดิจิทัล, โทรทัศน์ ทั้งรูปแบบการซื้อลิขสิทธิ์ต่างประเทศ และสร้าง Local Content เพื่อพัฒนา Soft Power ให้กับประเทศไทย 250 ล้านบาท Infrastructure เช่น การสร้างสตูดิโอใหม่, การพัฒนาพื้นที่ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ 250 ล้านบาท Technology เช่น AI, ML เพื่อต่อยอดธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ 250 ล้านบาท Packaging เครื่องจักรและเทคโนโลยีการพิมพ์รองรับธุรกิจบรรจุภัณฑ์   นอกจากการดำเนินกิจการต่าง ๆ แล้ว  สิ่งที่เราทำควบคู่มาตลอดเกือบครึ่งศตวรรษ ภายใต้พันธกิจหลัก “เราทำงานเพื่อความสุข และความรุ่งโรจน์ของสังคม” ภายในงาน AMARIN EXPO 2023 จะมีการเปิดตัวโครงการ “อมรินทร์ อาสา” 2 โครงการสำคัญในปีนี้ คือ โครงการ “หนึ่งหัวใจ สู่ชีวิตใหม่” ซึ่งเป็นความร่วมมือกับมูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก โดยสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี, บริษัท ซีเจเวิร์ค จำกัด (CJ WORK) และค่ายเพลง   WHAT THE DUCK ในโครงการ “หนึ่งหัวใจ สู่ชีวิตใหม่” ระดมทุน 50 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือเด็กที่ป่วยด้วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดขั้นวิกฤต ผ่านรูปแบบมิวสิคแคมเปญ และโครงการ “อ่านพลิกชีวิต” ร่วมบริจาคหนังสือจำนวน 150,000 เล่ม  ให้ห้องสมุดโรงเรียนกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ   ด้านนายศิริ  บุญพิทักษ์เกศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทอมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด ยังเสริมว่า  Amarin TV 34HD เป็นสื่อที่จะช่วยเชื่อมโยงในทุกภาคส่วนเพื่อสร้างสังคม (Community) แห่งการแบ่งปัน และมอบสิ่งดีๆ กลับคืนสู่สังคม เหมือนที่เราได้ทำมาตลอดโดยเฉพาะในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ด้วยการเป็นสื่อกลางช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด - 19  การระดมทุนจากผู้ชมของเราที่มีจิตศรัทธาเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย การนำเสนอคอนเทนต์ที่มีส่วนช่วยคนในสังคมและชุมชน เพื่อที่เราจะเติบโตไปด้วยกัน บนเส้นทางหรือสังคมที่ยั่งยืน ภายใต้สโลแกนและทิศทางการทำงานของเรา “Sustainable Route” เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนไปกับรายการต่างๆ ของช่องในแบบ “Real Life Entertainment สนุก เข้มข้น บนความจริง” ซึ่งเป็นแนวคิดและจุดยืนหลักของช่อง (Concept & Positioning)  และเป็นเอกลักษณ์ของ Amarin TV 34HD นั่นเอง   ขณะที่นายเจรมัย  พิทักษ์วงศ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจ Media & Event  ยังเสริมว่า ธุรกิจ Media&Event ของเรามีทีมงานที่ทำสื่อหลากหลายในมือ และมีความชำนาญด้านการจัดงานแฟร์และอีเว้นต์  จนได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการให้จัดแคมเปญ วางแผนการตลาด และจัดงานอีเว้นต์อย่างมากมาย และสำหรับงาน AMARIN EXPO 2023 ที่เรากำลังจัดอยู่ เป็นงานแฟร์ล่าสุดที่ตั้งใจรวบรวมเนื้อหา กิจกรรม และสินค้าหลากหลายแบรนด์จากทั้งเครืออมรินทร์ รวมความสุขให้แก่ทุกครอบครัว สร้างประสบการณ์ใหม่กับ 5 โซน ช็อปสนุกกว่า 1,100 บูธ ได้แก่ บ้านและสวน, Amarin Baby&Kids, กินดีอยู่ดี, Explorers และร้านนายอินทร์   พร้อมกิจกรรมสุดพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น  Mini Concert จากศิลปินชื่อดัง, Meet & Greet ศิลปินดารา, พิธีกร และผู้ประกาศข่าวจาก Amarin TV รวมถึงกิจกรรมเสวนาที่น่าสนใจ พร้อม Workshop อีกมากมาย  โดยเราจะใช้ข้อมูลเชิงพฤติกรรมของผู้อ่านจากสื่อออนไลน์ และผู้ชมงาน อีเวนต์ที่จัดในแต่ละปี มาวิเคราะห์อย่างมืออาชีพ และถูกต้องตามหลักการเป็นฐานข้อมูลอ้างอิง เพื่อพัฒนาธุรกิจ  Media & Event ให้เป็นผู้จัดงานที่เข้าถึงผู้บริโภคมากที่สุด และเป็นสื่อออนไลน์ที่ทำได้มากกว่าการเข้าถึง Reach  แต่สามารถให้คำตอบ และทางเลือกที่ดี รวมถึงสร้างความมั่นใจ และสร้างโอกาสให้ธุรกิจต่าง ๆ ให้ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ   นอกจากงานแฟร์ที่เราจัดเป็นประจำอยู่แล้ว ในปีถัดไป  เราได้เตรียมขยายงานแฟร์ใหม่ๆ เช่น งาน AMARIN EXPO ที่จะไปจัดตามส่วนภูมิภาค เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น หาดใหญ่, งานบ้านและสวน Pets Fair, งาน   บ้านและสวน Garden & Farm Festival, งานกินดี อยู่ดี   และจากการร่วมทุนกับ Dek-D ก็จะมีการขยายงาน  T-CAS ของ Dek-D ร่วมกับ National Geographic Thailand เพื่อให้รองรับผู้มาร่วมงานมากยิ่งขึ้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -Review Your Living พาเดินงาน บ้านและสวนแฟร์ 2018
4 ประสบการณ์ใหม่ เกษรอัมรินทร์ การพลิกโฉม อาคารอมรินทร์พลาซ่าอายุ 38 ปี 

4 ประสบการณ์ใหม่ เกษรอัมรินทร์ การพลิกโฉม อาคารอมรินทร์พลาซ่าอายุ 38 ปี 

เกษรวิลเลจ เดินหน้าแผนยกระดับโครงการมิกซ์ยูสเต็มพิกัดสู่การพัฒนา “Placemaking Destination” แห่งแรกและแห่งเดียวใจกลางกรุงเทพฯ เตรียมเผยภาพลักษณ์ใหม่ของ เกษรอัมรินทร์ กับ 4 ไฮไลต์สำคัญ จากการพลิกโฉม อาคารอมรินทร์พลาซ่าอายุ 38 ปี สู่​นิยามใหม่ของพื้นที่ “ที่มีความหมาย”  พร้อมเปิดบริการอย่างเป็นทางการในปลายปี 2566 นี้     นายชาญ ศรีวิกรม์ ประธานบริหารกลุ่มเกษร พร๊อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป เปิดเผยว่า​ การยกระดับเกษรวิลเลจสู่ความเป็น Placemaking Destination หรือ พื้นที่ที่มีความหมาย มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการพัฒนาศูนย์กลางไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ของกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน เราไม่ได้สร้างอาคารขึ้นใหม่ แต่เราเล็งเห็นถึงคุณค่าจากอาคารเก่าที่บ่มเพาะเรื่องราวความเป็นมาและความทรงจำอันรุ่งเรืองในอดีต การรีแบรนด์ “เกษรอัมรินทร์” ครั้งใหญ่ ภายใต้แนวคิด Live your own Legacy   โดยเป็นการนำอาคารอัมรินทร์พลาซ่า ศูนย์การค้าที่เป็นตำนานของกรุงเทพฯ และอยู่คู่ย่านราชประสงค์มานานกว่า 38 ปี มาต่อยอดด้วยดีไซน์และองค์ประกอบใหม่ ๆ ที่สอดประสานไปกับบริบทของโลกปัจจุบันและอนาคต ซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงความผูกพันกับผู้คนและชุมชนที่มีความเชื่อในคุณค่าร่วมกัน จุดมุ่งหมายของเราจึงเป็นการสร้างสรรค์สถานที่  "เดิม" ให้กลายเป็นจุดหมายใหม่ของกรุงเทพฯ สำหรับให้ผู้คนได้มาใช้ชีวิตอย่างสุนทรีย์ ไม่ซ้ำใครในแบบฉบับของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการมาสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ มองหาทางเลือกของสีสันและกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดจนการเติมเต็มประสบการณ์ชีวิตในหลากหลายรูปแบบอย่างที่ใจต้องการอย่างแท้จริง”   ทั้งหมดนี้พร้อมจะพลิกโฉมย่านราชประสงค์สู่ปรากฏการณ์ใหม่ของศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ (Bangkok’s Capital of Lifestyle District) ใจกลางเมืองแห่งแรกหนึ่งเดียวของกรุงเทพฯ ผ่านนิยามใหม่ของวิถีการใช้ชีวิตคนเมืองอย่างสุนทรีย์ ด้วยประสบการณ์ที่แตกต่างกัน 4 รูปแบบ 4 ประสบการณ์ใหม่ เกษรอมรินทร์ 1.#MINGLE – Place for Tasteful Moments  โซนอาหารเลิศรส  ด้วยไฮไลต์สำคัญ Hanging Garden พื้นที่อินดอร์กึ่งเอาท์ดอร์ใหม่ด้านหน้าอาคาร โดยมีดีไซน์ฟีเจอร์ของ Gaysorn Cocoon ที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ต่าง ๆ โอบล้อมเสาโรมันงามสง่าอันเป็นเอกลักษณ์คู่ตึกเกษรอัมรินทร์ สัมผัสกลิ่นอายของสถานที่อันเป็นตำนานในบรรยากาศร่วมสมัย ซึ่งถือเป็นโหนด (Node) สำคัญหนึ่งเดียวใจกลางย่านราชประสงค์ที่ให้ผู้คนในพื้นที่ได้มารวมตัวพบปะกันในแบบฉบับของตัวเอง ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พร้อมดื่มด่ำกับอาหารและเครื่องดื่มในคอนเซปต์ใหม่ ๆ ที่รังสรรค์โดยเชฟและมิกโซโลจิสต์มือรางวัล   ตลอดจนอีเวนต์และเอนเตอร์เทนเมนท์สุดพิเศษที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามโอกาสต่าง ๆ หรืออิ่มเอมกับมื้ออร่อยง่าย ๆ ได้ในทุกวันกับ The COOK ศูนย์รวมความอร่อยจากร้านอาหารสตรีทฟู้ดชื่อดังใจกลางกรุงเทพฯ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมายาวนาน  ทั้งนี้เกษรวิลเลจ ยังจัดงานและกิจกรรมต่างๆ ที่รวมเหล่ากูรูด้านอาหารและเครื่องดื่ม หรือผู้ที่สนใจ ได้พบปะสังสรรค์หรือเฉลิมฉลอง อย่างเช่นงาน “เกษร เล วองดองช์″ (Gaysorn Les Vendanges) เทศกาลไวน์ระดับตำนานที่เปิดโอกาสให้คอไวน์ได้สัมผัสสุนทรียรสของไวน์อันเปี่ยมรสนิยมจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งจัดขึ้นในเดือนกันยายนของทุกปี เป็นต้น 2.#ADORE – Place Where Artisans and Admirers Meet  พื้นที่งานศิลป์ในพื้นที่ที่เป็นมากกว่าแหล่งช็อปปิ้งชื่นชมผลงานและเรื่องราวหลากสไตล์จากนักออกแบบ นักสร้างสรรค์ และช่างฝีมือจากไทยและต่างประเทศ ประกอบด้วยพื้นที่ 3 ส่วน เริ่มตั้งแต่ Piazza ซึ่งเป็นลานเอนกประสงค์ด้านหน้าอาคารที่ออกแบบให้เป็นพื้นที่โล่ง กว้างขวาง ไปจนจรดแนวถนนหน้าตึก เพื่อเปิดรับผู้คน และสามารถรองรับการจัดกิจกรรมและอีเวนต์ในรูปแบบใหม่ ๆ Forum โถงด้านในที่อยู่ภายใต้สกายไลท์ หรือหลังคากระจกฉลุลวดลายดอกไม้อันวิจิตรที่ยังรักษาไว้เป็นเอกลักษณ์สำคัญ เป็นพื้นที่อีเวนต์สเปซ สำหรับการแสดงหรือโชว์เคสโปรดักส์ใหม่ หรือผลงานศิลปะอันหลากหลาย เช่นเดียวกับพื้นที่ Atrium และ Cocoon ที่เกษรเซ็นเตอร์และเกษรทาวเวอร์ ที่ได้ร่วมรังสรรค์ผลงานกับศิลปินและนักออกแบบต่างประเทศ อาทิเช่น Biyan หรือ Dries Van Noten และศิลปินและนักออกแบบไทยอย่าง คุณณอน-ชวนล ไคสิริ หรือ คุณยูน-ปัณพัท เตชเมธากุล Infinity Escalator อีกหนึ่งโซนใหม่ซึ่งเป็นพื้นที่รวมร้านค้าสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ ที่มีเรื่องราวอันโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศ พร้อมรังสรรค์โดยคิวเรเตอร์ซึ่งเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่คร่ำหวอดในแวดวงและมีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัวอันโดดเด่นหลากหลายรูปแบบ นับเป็นการต่อยอดจาก Designer Lane พื้นที่แห่งสุดยอดประสบการณ์แฟชั่น เครื่องประดับ อุปกรณ์พิเศษที่เหมาะกับแต่ละไลฟ์สไตล์ รวบรวมทั้งแบรนด์ไทยและระดับโลก ไม่ซ้ำใคร สู่การเป็นพื้นที่สำหรับกลุ่มผู้คนที่เป็น like-minded community ได้พบปะ มีปฏิสัมพันธ์ เพื่อเติมพลังการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า 3.#BOOST – Place for Urbanist Wellness  เสริมสุขภาวะในแบบฉบับคนเมืองไปกับ Gaysorn Urban Wellness รังสรรค์พื้นที่เพื่อให้คนเมืองได้ดูแล และฟื้นฟูตนเองไปกับ 3 องค์ประกอบ ด้านความงาม (Beauty & Aesthetics) ของร่างกายผิวพรรณใบหน้าและเส้นผม ด้านการดูแลสุขภาพกาย (Health & Wellness) คัดสรรประสบการณ์และบริการทางด้านการชะลอวัย การเสริมภูมิคุ้มกัน และฟื้นฟูให้กับร่างกาย หรือการรับประทานอาหารและอาหารเสริมให้ตรงกับแต่ละบุคคล และด้านสุขภาพใจ (Mental Wellbeing) พื้นที่ที่ให้คนเมืองได้หลบหลีกจากความวุ่นวายเพื่อรีแลกซ์และทำให้ร่างกายและจิตใจสงบ ฟื้นฟูสุขภาพใจจากการทำงานและการใช้ชีวิต ทุกการดูแลจะพรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย พร้อมกับโปรแกรมแบบ Personalized ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาที่มีประสิทธิภาพกับผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง เพื่อสร้างประสบการณ์แห่งการสร้างเสริมสุขภาวะคนเมืองในแบบเฉพาะแต่ละบุคคล 4.#THRIVE – Place to Collaborate & Grow Creatively  สร้างสรรค์ สำเร็จ ในวิถีทำงานคุณภาพ ด้วยสถานที่ทำงานและสังคมที่สร้างแรงบันดาลใจ บนทำเลแยกราชประสงค์ ศูนย์กลางธุรกิจใจกลางเมือง หมุดหมายสำหรับที่ตั้งสำนักงานขององค์กรระดับนานาชาติชั้นนำ ดึงดูดคนทำงานรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ ไปกับการเดินทางที่สะดวกสบายด้วยทางเชื่อมสู่บีทีเอส และพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย บนพื้นที่สำนักงานเกรดเอในอาคารสถาปัตยกรรมโพสต์โมเดิร์น Gaysorn Amarin Tower ซึ่งมีการออกแบบตกแต่งและปรับปรุงพื้นที่ใหม่เพื่อมอบความสะดวกสบายและสุขภาวะที่ดีแก่คนทำงาน   พื้นที่ Co-Working Space พร้อมโซลูชันการทำงานแบบครบวงจร ตลอดจน Working Pods รองรับรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดในโลกธุรกิจยุคใหม่ กระจายอยู่ในจุดต่าง ๆ ทั่วอาคาร เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายนอกออฟฟิศให้ผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เกิดไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ภายในเกษร วิลเลจ จึงมีพื้นที่อันหลากหลายให้ทุกคนสามารถทำงาน และพบปะหรือประชุมกับพันธมิตรทางธุรกิจ   นอกจากนั้น ยังมี Gaysorn Urban Resort ศูนย์กลางแห่งการแลกเปลี่ยนความรู้สำหรับคนทำงาน ด้วยโปรแกรมกิจกรรมและอีเวนต์สำหรับสายธุรกิจอันหลากหลาย เช่นสายเทค สตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการในด้านต่าง ๆ ให้ได้รับรู้ทิศทางธุรกิจของตลาดโลกตลอดทั้งปี ด้วยองค์ประกอบที่ส่งเสริมให้เกิดชุมชนแห่งการทำงานร่วมกัน ทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ บ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ ผลักดันนวัตกรรมใหม่ ๆ และสนับสนุนการให้ทุกคนสร้างเรื่องราวแห่งความสำเร็จให้กับตนเอง “การลงทุนรีแบรนด์เกษรอัมรินทร์และพลิกโฉมเกษรวิลเลจด้วยเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาทครั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจและย่านราชประสงค์ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ต้อนรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในปี 66 นี้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยงต่างชาติเดินทางเข้ามาเพิ่มสูงขึ้นจากปี 65 ถึงหนึ่งเท่าตัว”      อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -4 โซนไฮไลท์ ใน “เกษรอัมรินทร์”  ชื่อใหม่ของ อัมรินทร์พลาซ่า
5 วิธีปล่อยเช่าคอนโด สำหรับมือใหม่ ให้ได้ผู้เช่าแน่นอน

5 วิธีปล่อยเช่าคอนโด สำหรับมือใหม่ ให้ได้ผู้เช่าแน่นอน

ปีนี้ดูเหมือนตลาดคอนโดมิเนียม จะเริ่มกลับมาฟื้นตัวแล้ว ใครที่เป็นเจ้าของคอนโด แล้วไม่อยากอยู่อาศัยเอง หรือซื้อไว้เพื่อการลงทุน และต้องการปล่อยเช่าคอนโด แต่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการปล่อยเช่าคอนโดมาก่อน วันนี้ Reviewyourliving มีคำแนะนำสำหรับมือใหม่อยากปล่อยเช่าคอนโดมาแนะนำ กับ​เทคนิคง่าย ๆ แค่ 5 วิธีก็ปล่อยเช่าคอนโดได้แล้ว 5 วิธี ปล่อยเช่าคอนโด สำหรับมือใหม่  1.ทำห้องให้พร้อมเข้าอยู่ อย่างแรกเลย ห้องพักของเราควรจะพร้อมเข้าอยู่ เพราะผู้เช่ามักจะเลือกเช่าคอนโดที่พร้อมจะหิ้วกระเป๋าเข้าไปอยู่ได้เลย เจ้าของห้องจึงต้องทำให้ห้องพร้อมอยู่ ซึ่งอาจจะไม่ต้องมีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบทุกอย่างก็ได้  แต่ควรมีเท่าที่จำเป็นต่อการอยู่อาศัย ที่สำคัญอุปกรณ์ต้องไม่ชำรุดเสียหาย  และควรมีเฟอร์นิเจอร์พื้นฐานที่จำเป็นต่อการอยู่อาศัย เช่น เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน   นอกเหนือจากการมีเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้ว สิ่งที่เราไม่ควรละเลย คือเรื่องของความสะอาด มีการจัดห้องไว้เป็นเรียบร้อย ไม่มีกลิ่นเหม็นอั บหรือฝุ่นเกาะตามเครื่องใช้หรือเฟอร์นิเจอร์ 2.กำหนดราคาเช่าให้เหมาะสม ถ้าคอนโดอยู่ในทำเลที่ดี เดินทางสะดวก โดยเฉพาะใกล้รถไฟฟ้า รวมถึงมีพื้นที่ส่วนกลางที่หลากหลายไว้บริการจะเป็นแต้มต่อในการปล่อยเช่า ​แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เช่ามักใช้เป็นเกณฑ์ ในการพิจารณาเลือกเช่าคอนโด คือ ราคาค่าเช่า ซึ่งเจ้าของคงต้องกำหนดไว้อย่างเหมาะสม ไม่ถูกจนไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน และไม่แพงเว่อร์จนไม่มีคนมาเช่า หลักคิดสำคัญในการปล่อยเช่า มีดังนี้ -ความคุ้มค่าต่อการลงทุน เจ้าของต้องดูอัตราการผ่อนต่อเดือน ราคาที่เราซื้อมา รวมกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เราเสียไป เช่น ค่าส่วนกลาง ค่าเฟอร์นิเจอร์ แล้วนำมาคำนวณเพื่อที่จะคิดค่าเช่า ว่าต้องการกำไรเท่าไร หรือให้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป -ความเหมาะสมกับกลไกตลาด ต้องดูว่าในโครงการเดียวกัน ขนาดห้องเท่ากัน ปล่อยเช่าราคาเท่าไร หรือในโครงการใกล้เคียงปล่อยเช่าราคาเท่าไร เราเอาข้อมูลประกอบการพิจารณาให้เหมาะสม และคงต้องดูดีมานด์ซัพพลายประกอบด้วย -ความพึงพอใจของเรา บางครั้งเราอาจจะไม่สามารถปล่อยเช่าได้ในราคาที่มีกำไร หรือคุ้มค่ากับเงินลงทุน เพราะคู่แข่งในตลาดเยอะ แต่เราจำเป็นต้องมีรายได้เข้ามาซัพพอตกับการผ่อนคอนโด อาจจะต้องปล่อยเช่าถูกลงหน่อย เพื่อให้มีคนมาเช่า จึงต้องกลับมาตอบคำถามตัวเองว่า เราพอใจในราคาค่าเช่าเท่าไรที่จะรับได้​ 3.รวบรวมข้อมูลคอนโด ขั้นตอนสำคัญในการจะปล่อยเช่าอีกประการ คือ การรวบรวมข้อมูลคอนโดของเรา ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลโครงการ ทำเลที่ตั้ง รายละเอียดต่าง ๆ ภายในโครงการ ที่เป็นจุดน่าสนใจหรือจุดขายในการจะทำให้คนสนใจมาเช่า เหมือนกับความน่าสนใจที่เรามาซื้อโครงการนี้   นอกจากข้อมูลพื้นฐานต่าง ๆ แล้ว เราต้องมีการถ่ายรูปห้อง สภาพภายในโครงการ พื้นที่ส่วนกลาง จุดน่าสนใจต่าง ๆ หากจะให้ดีและถ้าเป็นไปได้ ถ่ายสภาพแวดล้อมโดยรอบโครงการด้วย และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต​ ใกล้โครงการเราก็ควรบอกไว้ด้วย เช่น จะมีศูนย์การค้าใหม่ หรือเส้นทางรถไฟฟ้าสีใหม่เข้ามา นอกจากถ่ายเป็นภาพนิ่งแล้ว ถ้าจะทำให้น่าสนใจอาจจะมีการถ่ายเป็นคลิปวิดีโอสั้น ๆ ไว้ประกอบด้วยก็ดี ​ 4.ลงประกาศให้เช่า เมื่อเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ไว้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ก็ถึงเวลาประกาศหาผู้เช่ากันได้แล้ว ซึ่งวิธีการก็ไปตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เปิดให้บริการโพสต์ประกาศได้ฟรี หรือหากจะลงทุนแบบเสียเงินก็ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของเอง นอกจากเว็บไซต์แล้ว ตามโซเชียลมีเดีย ตามเพจ หรือกลุ่มต่าง ๆ ที่มีพื้นที่ให้โพสต์ข้อมูลได้ฟรี ให้ไปโพสต์ไว้ให้หมด หรือแม้แต่บอร์ดของโครงการที่ห้องนิติบุคคล หรือพื้นที่ส่วนกลางของคอนโด   แต่หากใครมองว่าการประกาศในเว็บช้า ไม่ทันใจ หรือมีโอกาสน้อยที่จะได้ผู้เช่า อาจจะต้องใช้บริการนายหน้าอสังหาฯ หรือเอเย่นต์ต่าง ๆ ที่เป็นมืออาชีพ ก็จะช่วยทำให้มีโอกาสได้ผู้เช่าเร็วขึ้น แต่ก็ต้องยอมเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปด้วย ​ 5.ทำสัญญาเช่าให้ถูกต้อง เมื่อมีผู้สนใจจะมาเช่าห้องของเราแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็เป็นการตกลงทำสัญญาระหว่างเรากับผู้เช่า ซึ่งต้องเตรียมหนังสือสัญญาเช่า เพื่อเซ็นต์ร่วมกัน แต่หากใครให้เอเย่นต์หรือตัวแทนนายหน้า ขั้นตอนการเตรียมเอกสารสัญญาก็เป็นหน้าที่ของตัวแทนนายหน้า หรือเอเย่นต์ที่จะดำเนินการให้เรา แต่สำหรับคนที่ปล่อยเช่าได้ด้วยตนเอง ก็ต้องเป็นผู้เตรียมสัญญาเช่า   โดยหนังสือสัญญาเช่า จริง ๆ สามารถหาได้ตามร้านขายเครื่องเขียนทั่วไป หรือไม่ก็ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ต แต่จะร่างขึ้นมาใหม่ก็ได้ ซึ่งรายละเอียดภายในสัญญาจะต้องเห็นชอบกันทั้ง 2 ฝ่าย และที่สำคัญ ต้องมีการแสดงรายละเอียด และเงื่อนไขภายในสัญญานั้นที่มีรายละเอียด ครอบคลุม และเป็นไปตามมาตรฐานสัญญาเช่า ซึ่งสัญญาเช่าต้องระบุรายละเอียดต่าง ๆ ได้แก่ รายละเอียดเงินจอง ค่าเช่าต่อเดือน กำหนดวันจ่ายค่าเช่า ค่าปรับกรณีจ่ายล่าช้า เงินประกัน เงื่อนไขการคืนเงินประกัน และระยะเวลาที่จะเช่า   ทั้งหมดนี้ก็เป็น 5 วิธี ปล่อยเช่าคอนโด สำหรับมือใหม่ ที่นำเอาไปใช้ได้ไม่ยาก และมีโอกาสที่จะได้ผู้เช่า แต่หากไม่ทันใจ หรือไม่ต้องการจะยุ่งยากในการปล่อยเช่า ก็คงต้องให้มืออาชีพมาช่วย พวกเอเย่นต์หรือนายหน้าอสังหาฯ ซึ่งก็ต้องยอมเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปบ้าง       ที่มา- DDproperty, SCB, ธ.กรุงศรี, moneybuffalo, อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -อยากปล่อยเช่าอสังหาฯ ต้องรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง
บางกอกแลนด์ ลุยธุรกิจโรงเรียนสอนอาหาร ปั้น​ เลอโนท ประเทศไทย ​เจาะตลาดเอเซีย

บางกอกแลนด์ ลุยธุรกิจโรงเรียนสอนอาหาร ปั้น​ เลอโนท ประเทศไทย ​เจาะตลาดเอเซีย

บางกอกแลนด์  ลุยธุรกิจโรงเรียนสอนอาหาร รับเทรนด์อุตสาหกรรมและไมซ์เติบโต ปั้น​ เลอโนท ประเทศไทย ​เสริมทักษะอาชีพ พร้อมตั้งเอเจนต์ขยายฐานนักเรียนกลุ่มต่างชาติทั่วเอเซีย คาดปี 2567 จำนวนนักเรียนเพิ่มเป็น 80% ของหลักสูตรที่เปิดสอน   นายพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารโรงเรียนสอนประกอบอาหาร เลอโนท ประเทศไทย เปิดเผยว่า ​ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมไมซ์ ถือเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจท่องเที่ยวและสร้างรายได้อันดับต้น ๆ ให้แก่ประเทศ สะท้อนจากจำนวนร้านอาหารทั้งกลุ่ม Fine Dining สตรีทฟู้ด ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่จำนวนโรงเรียนสอนประกอบอาหารในไทยกลับมีจำนวนไม่มาก ด้วยแนวโน้มดังกล่าว บริษัทจึงได้เปิดตัวโรงเรียนสอนประกอบอาหาร เลอโนท ประเทศไทย (Lenôtre Culinary Arts School Thailand) อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา  ถือเป็นสาขาแรกนอกประเทศฝรั่งเศส และสาขาเดียวในภูมิภาคเอเซีย โดยหลักสูตรของโรงเรียนสอนประกอบอาหาร เลอโนท ประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่ หลักสูตรประกาศนียบัตร แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ การประกอบอาหารคาว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเชฟมืออาชีพ หรือต้องการเปลี่ยนอาชีพมาสู่การเป็นเชฟผู้เชี่ยวชาญในการผลิตและการจัดการอาหารประเภทอาหารคาวโดยเฉพาะ ใช้ระยะเวลาในการเรียนจำนวน 840 ชั่วโมง การทำขนมอบ  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเชฟมืออาชีพในการผลิตขนมอบหรือการจัดการอาหารประเภทขนมอบโดยเฉพาะ ใช้ระยะเวลาในการเรียนจำนวน 840 ชั่วโมง การทำขนมปัง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเชฟมืออาชีพในการผลิตหรือการจัดการอาหารประเภทขนมปังโดยเฉพาะใช้ระยะเวลาในการเรียนจำนวน 520 ชั่วโมง หลักสูตรระยะสั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในด้านการประกอบอาหารหรือขนมมาก่อน ไปจนถึงผู้เรียนระดับมืออาชีพที่ต้องการเสริมทักษะเพื่อนำไปใช้ต่อยอดธุรกิจ ทั้งยังมีการฝึกอบรมในหัวข้อพิเศษตามฤดูกาลและเทศกาลต่างๆ ที่ใช้ระยะเวลาในการเรียนจำนวน 4 ชั่วโมงขึ้นไป เช่น การทำเมนูพาสต้า Multicolor Tagliatelle Fresh Pasta ,Langoustine Ravioli with Bisque เมนูจากเนื้อสัตว์และสัตว์ปีก(On the ground) เมนูจากเนื้อปลา หอย กุ้งและปู (Under the sea) เมนูตับห่าน (Foie gras) เค้กขอนไม้สำหรับวันคริสมาสต์ (Bûche de Noël) การทำมาการอง ศิลปะการทำช็อกโกแลตและขนมเค้ก เค้กและเค้กเนื้อนิ่ม (Soft Cake and Moelleux) การทำทาร์ตช็อกโกแลตและทาร์ตเลมอน ศิลปะการทำอ็องเทรอแม(Entremet) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีคอร์สวีไอพี และ Chef Table ด้วย ล่าสุดโรงเรียสอนประกอบอาหารเลอโนท ประเทศไทย ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเป็นโรงเรียนนอกระบบ ประเภทวิชาชีพ จากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำไปประกอบอาชีพหรือเพิ่มเติมทักษะในการประกอบอาชีพได้ ขณะเดียวกันได้แต่งตั้งตัวแทน (Agent) เพื่อทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ประสานงาน จัดหานักเรียนหรือผู้สนใจจากทั่วเอเซียเข้ามาเรียนที่โรงเรียนสอนประกอบอาหาร เลอโนท ประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มตลาดจีน เนื่องจากมีความสนใจเรียนประกอบอาหารเพิ่มขึ้น   โดยโรงเรียนสอนประกอบอาหารเลอโนท ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถือเป็นโรงเรียนสอนประกอบอาหารอันดับต้นๆ ที่ได้รับความนิยมจากชาวจีน ซึ่งถือเป็นโอกาสของเลอโนท ประเทศไทย เพราะเดินทางใกล้ ค่าใช้จ่ายถูก ที่สำคัญรูปแบบการเรียนการสอนเป็นไปตามแนวทางที่เลอโนท ปารีส ประเทศฝรั่งเศสกำหนด ด้วยทีมสอนมืออาชีพจากประเทศฝรั่งเศส โดยเปิดรับนักเรียนห้องละ 12 ท่าน เพื่อประสิทธิภาพในการสอน จึงมั่นใจได้ว่ามาเรียนที่เลอโนท ประเทศไทย เสมือนได้บินไปเรียนที่เลอโนท ปารีส ประเทศฝรั่งเศส   สำหรับเดือนพฤษภาคมนี้ได้เปิดหลักสูตรระยะสั้นครอบคลุมทั้งเมนูสำหรับเด็ก อาหารเพื่อสุขภาพ ศิลปะการปั้นน้ำตาล เพื่อพัฒนาทักษะ การทำอาหาร อาทิ KID’S MENU จำนวน 4 ชั่วโมง ราคา 9,000 บาท จะเปิดสอนวันที่ 17 พฤษภาคม 2566 หลักสูตร CHOUX PASTRY จำนวน 6 ชั่วโมง ราคา 12,000 บาท เปิดสอนวันที่ 11 พฤษภาคม 2566 และวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 หลักสูตร BEEF  DAY จำนวน 7 ชั่วโมง ราคา 15,000 บาท จะเปิดสอนวันที่ 13 พฤษภาคม 2566 และวันที่ 21 พฤษภาคม 2566 เป็นต้น การมาเรียนที่เลอโนท ไม่ใช่แค่การเข้าเรียนในห้อง รับสูตรอาหารคาวหวานกลับไปเท่านั้น แต่เรามุ่งมั่นออกแบบหลักสูตร เพื่อให้คุณได้ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติจริง จากทีมเชฟผู้ฝึกสอนที่มากด้วยประสบการณ์ที่จะถ่ายทอดความรู้ทุกขั้นตอนด้วยความเอาใจใส่ และสนับสนุนนักเรียนทุกคนอย่างเต็มที่ เพื่อให้คุณประสบความสำเร็จ โดยเดือนกรกฎาคมนี้เลอโนท ประเทศไทย เตรียมจะเปิดรับสมัครนักเรียนรอบใหม่ เพื่อเข้าเรียนคอร์สระดับเริ่มต้นและระดับสูง ทั้งอาหารคาว ขนมปัง ขนมอบ ทั้งอาหารคาว ขนมปัง ขนมอบ  ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2567 จะมีจำนวนนักเรียนเพิ่มเป็น 80% ของหลักสูตรที่เปิดสอน   นายพอลล์ กล่าวว่า เลอโนท ประเทศไทย ถือเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ ประเทศไทยก้าวสู่การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ อย่างการท่องเที่ยวเชิงอุตสาหกรรมอาหาร (Food Tourism) เพื่อสร้างหมุดหมายใหม่ที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือน ซึ่งเร็วๆ นี้ มีแผนจะเพิ่มหลักสูตรระยะสั้นเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้ามาเรียนประกอบอาหาร รวมถึงกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติที่เดินทางมาร่วมประชุม สัมมนาที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี และต้องการใช้เวลาว่างในการทำกิจกรรมพิเศษ   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -บางกอกแลนด์ เตรียมเปิดใช้รถไฟฟ้าสายสีชมพู 2 สถานีเข้าเมืองทองธานี ปี 68
เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย?

เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย?

เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย?  มาไขคำตอบกัน เพราะแม้ว่าเดือนเมษายน ซึ่งเป็นเดือนที่ประเทศไทยร้อนที่สุดแห่งปี ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมืองไทยจะมีอากาศเย็น เมืองไทยยังคงร้อนเป็นปกติ ซึ่งนั่นหมายความว่า เรายังคงต้องพึ่งพาการเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือพัดลม เพื่อช่วยทำให้ห้องเย็น ทำให้เรายังต้องเสียเงินค่าไฟฟ้าที่สูงอยู่ดี   แต่ก็ยังนับว่าเรายังโชคดี ที่ช่วงระยะเวลา 4 เดือนนี้ คือ พฤษภาคม-สิงหาคม รัฐบาลออกมาตรการมาช่วยลดภาระค่าไฟ จากราคาค่าไฟที่ปรับขึ้นมาแล้ว ดังนั้น แนวทางสำคัญที่จะช่วยลดภาระให้กับเงินในกระเป๋าเราได้ คือ การใช้ไฟอย่างคุ้มค่า หากสามารถประหยัดไฟได้ก็ต้องทำ โดยเฉพาะการเลือกแอร์ที่ประหยัดไฟได้ตั้งแต่ต้น รวมถึงการเลือกติดแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดของห้องด้วย เปิดแอร์ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไร แล้วรู้หรือไม่ว่า แอร์ที่มี BTU แตกต่างกัน เราต้องเสียค่าไฟชั่วโมงละกี่บาท หากคิดตามราคาค่าไฟที่หน่วยละ 2.3488 บาท (อัตราค่าไฟ 1-15 หน่วยแรก) แอร์ 12000 BTU เสียค่าไฟ ชั่วโมงละ 1.37 บาท แอร์ 18000 BTU เสียค่าไฟ ชั่วโมงละ 1.88 บาท ดังนั้น ถ้าจะหาว่าเดือนหนึ่งเราเสียค่าไฟกี่บาท ก็ให้คูณจำนวนชั่วโมงที่เปิด คูณจำนวนวันที่เปิดใช้ และในบ้านมีแอร์กี่เครื่องก็นับรวมกัน จะเป็นค่าไฟที่ต้องเสียแต่ละเดือน แต่ทั้งนี้ ราคาที่เราคำนวณมาให้เป็นค่าไฟโดยประมาณ อาจจะต้องพิจารณาจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น การดูแลรักษาแอร์ เทคโนโลยีของแอร์ ระบบแอร์รุ่นใหม่หรือเก่า เป็นต้น   (หมายเหตุ -ค่าไฟดังกล่าว คำนวณจากแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์, ราคายังไม่รวมค่าบริการ 8.19 บาท ค่า Ft หน่วยละ 0.9827 บาท และค่า Vat 7%) เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย? ตามคำแนะนำของการไฟฟ้าที่ออกมาระบุว่า หากต้องการประหยัดไฟ ให้เปิดแอร์ที่ระดับ 27 องศา ควบคู่กับการเปิดพัดลม จะช่วยประหยัดไฟได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นความจริง เนื่องจากมีงานวิจัย จากดร.มานพ แจ่มกระจ่าง จากมหาวิทยาลัยบูรพา ทำการศึกษาทางเลือกการตั้งอุณหภูมิเคลื่องปรับอากาศที่เหมาะสมเพื่อการประหยัดพลังงาน ด้วยการเปิดแอร์ในระดับอุณหภูมิ 25-27 องศา กับแอร์ที่มีขนาด BTU 9000-18000 พบว่าถ้าตั้งอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศา จะประหยัดไฟเฉลี่ย 20%   ดังนั้น ถ้าหากใครต้องการประหยัดค่าไฟ จากการเปิดแอร์ให้ลดลง ก็อาจจะต้องเปิดพัดลมช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง แต่ทางที่ดี เราควรเลือกแอร์ที่มีประสิทธิภาพประหยัดไฟได้สูงสุดเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะทำการติดตั้งแอร์ แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่ารุ่นทั่วไปก็ตาม รวมถึง หากติดตั้งแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ ก็พบว่าสามารถประหยัดไฟได้ดีกว่าแอร์ปกติถึง 30-35% ด้วย และเราคงต้องดูแลรักษาแอร์ให้อยู่ในสภาพที่ดี ล้างแอร์เป็นประจำตลอดอายุการใช้งาน   ที่มา- การไฟฟ้านครหลวง, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, ช่างสามัญประจำบ้าน   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -แอร์ส่งกลิ่นเหม็นอับ ทำไงดี  
เปิด พฤติกรรมการกิน ของคนไทย สู่คนอ้วนอันดับ 2 ของอาเซียน ​

เปิด พฤติกรรมการกิน ของคนไทย สู่คนอ้วนอันดับ 2 ของอาเซียน ​

พฤติกรรมการกิน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบ้านเรามีร้านบุฟเฟ่ต์สารพัดชนิด หรือจำนวนมากเกินไปหรือเปล่า จึงทำให้คนไทยติดอันดับ 2 ของคนที่มีภาวะโรคอ้วนมากที่สุดในอาเซียน เป็นพลจาก พฤติกรรมการกิน ของคนไทยที่ทำให้ติดอันดับนี้ ข้อมูลล่าสุดเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา บ้านเรามีคนที่เป็นโรคอ้วนมากถึง 26 ล้านคน หรือสัดส่วน 46.2% ของคนไทยทั้งประเทศ   ถามว่าเมื่อมีคนเป็นโรคอ้วนแล้วมีปัญหาอะไรตามมา อย่างที่เห็นชัดเจน ก็คือ ภาวะโรคแทรกซ้อน และโรคที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อาทิ ความดัน ไขมัน ความหวาน หัวใจ เป็นต้น ซึ่งก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล และระบบสาธารณสุข ยังไม่นับรวมกับการสูญเสียแรงงานที่จะเข้ามาสู่ระบบในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีก ประเมินตัวเลขความสูญเสียทางเศรษฐกิจไทยน่าจะมากกว่า 2 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน​1.27% ของ GDP เลยทีเดียว   โดยล่าสุด นักศึกษาปริญญาโท สาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ​ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างประชาชนและวิเคราะห์ข้อมูลงานวิจัยเรื่อง “What If Marketing การตลาดสามมิติสู่การเปลี่ยนแปลง” เพื่อศึกษาพฤติกรรม ทัศนคติและความเชื่อในการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การดูแลสุขภาพจิต และการบริโภคสินค้าเพื่อความยั่งยืน ในแต่ละกลุ่มช่วงอายุ เพศ สู่การคิดค้นกลยุทธ์การตลาดใหม่ที่ให้ความสำคัญต่อ “สุขภาพ-ชีวิต-อนาคต ที่ดีกว่า”โดยเจาะสำรวจกลุ่มตัวอย่าง รวมจำนวน 1,130 ตัวอย่าง แบ่งเป็น โดยพบปัญหาพฤติกรรมเชิงลบของคนไทยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การดูแลสุขภาพใจ และการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่ง Reviewyuorlivig ได้นำประเด็นการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มาฉายภาพให้เห็นว่า ทำไมคนไทยถึงติดอันดับ 2 ที่มีคนอ้วนมากที่สุดในอาเซียน พฤติกรรมการกิน ของคนไทย หลังโควิด-19 โดย พฤติกรรมการกิน ของคนไทยหลังเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้คนไทยน้ำหนักเพิ่ม จากข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ มีดังนี้ กินน้ำหวานมากขึ้น                       18.7% กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากขึ้น        18.3% กินอาหารกระป๋องมากขึ้น            15.6% กินขนกรุบกรอบมากขึ้น               13.6% กินลไม้ลดลง                                 10.5% กินผักน้อยลง                                 8.3% กินขนมหวานหรือลูกอมมากขึ้น    6.8% ขณะที่นางสาวจันทร์กานต์ เบ็ญจพร นักศึกษาปริญญาโท วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า คนไทยมีความต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารให้ดีต่อสุขภาพ แต่ก็ยังพบปัญหาด้านราคาที่สูงกว่าปกติ การหาซื้อที่ยาก และอาหารสุขภาพก็ไม่อร่อย สู้อาหารอื่นไม่ได้   ส่งผลให้ผลการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 1,000 คน พบว่า ปัจจุบันคนไทยยังมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพเพียง 17.09% ของค่าใช้จ่ายการกินอาหารทั้งหมดเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ยังพบว่าเทรนด์การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ (Better Food for Better Health) ก็มีอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคต้องการเ​รักษาและคงสุขภาพระยะยาว ต้องการเสริมภาพลักษณ์ และ ต้องป้องกันโรค โดยประเภทอาหารที่ดีต่อสุขภาพ พบว่า 5 อันดับแรกที่พูดถึงมากที่สุด คือ อาหารออร์แกนิค (Organic) อาหารโลว์คาร์บ (Low Carb) อาหารโพรไบโอติกส์-พรีไบโอติกส์ (Prebiotic/Probiotic) อาหารแพลนต์เบสด์ (Plant-Based) และ อาหารคีโตวีแกน (Keto Vegan) ขณะที่คุณลักษณะของอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ผลวิจัยพบว่า อาหารที่ปลอดสารพิษและยาฆ่าแมลงมาเป็นอันดับสูงสุด รองลงมาคือ อาหารโซเดียมต่ำ และอาหารไขมันต่ำ กลยุทธ์ LIFE สร้างชีวิตให้ดีขึ้น จากปัญหาที่พบจากงานวิจัยดังกล่าว ทางทีมวิจัยจึงได้คิดค้น กลยุทธ์แห่งชีวิตที่จะสร้างชีวิต สังคม และแบรนด์ให้ดีขึ้น เรียกว่า “LIFE” (ไลฟ์) เพื่อนำเสนอกลยุทธ์ใหม่ต่อนักการตลาด ผู้ประกอบการ ตลอดจนเจ้าของธุรกิจกลุ่มอาหาร และสุขภาพ ในการสร้างแรงจูงใจและการสื่อสาร ที่จะทำให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้นในระยะยาวและสร้างโอกาสต่อธุรกิจอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงเน้นการขายของอย่างเดียวดังนี้ L: Less is more - ลดบางอย่างน้อยลงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น แบรนด์สามารถลดส่วนประกอบบางอย่าง เพื่อให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีขึ้น รวมถึงลดการใช้สิ่งที่ไม่จำเป็นบางอย่างในการผลิต เพื่อทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ในมุมของผู้บริโภคก็ต้องพยายามลดการรับประทานอาหารบางอย่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน I: Image – ภาพลักษณ์แบรนด์เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องสร้างความเชื่อต่อผู้บริโภค แบรนด์ควรสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภคในแง่การผลิตสินค้าหรือบริการที่มีความใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกันผู้บริโภคต้องการใช้สินค้าหรือบริการที่เสริมภาพลักษณ์ตนเองให้ดูดีขึ้นเช่นกัน เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร หรือผลิตภัณฑ์กลุ่มอื่นๆ ที่มีความใส่ใจถึงผลดีต่อโลกอย่างแท้จริง F: Fear – ความกลัวเป็นจุดที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลง ทุกคนย่อมมีความกลัว ฉะนั้นแบรนด์ต้องเล่นกับความกลัว โดยสร้างสินค้าหรือบริการให้ตอบโจทย์การแก้ปัญหาความกลัวและสร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภค สามารถใช้การสื่อสารเน้นย้ำให้เห็นผลเสียชัดเจนได้ หรือสื่อสารด้านคุณประโยชน์ที่จะได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือการเปลี่ยนสินค้าว่า ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อสินค้าและบริการของเรา E: Experience - การทำให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับประสบการณ์ความเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีไม่น่ากลัวอย่างที่คิด โดยแบรนด์สามารถสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าสัมผัสจริงได้ไม่ยาก เช่น การทดลองใช้ หรือทดลองชิม เมื่อผู้บริโภคค่อยๆ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทีละน้อย ก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต และทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทำได้ไม่ยากและผลลัพธ์ที่ได้ดีต่อตนเองมากกว่าก่อนหน้านี้ สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องโรคอ้วน ก็คงต้องหันมาปรับ พฤติกรรมการกิน  หันมาดูแลตัวเองกันให้มากขึ้นแล้ว ส่วนใครที่มองเห็นว่า พฤติกรรมการกินของคนไทยที่แย่ลงแบบนี้ แล้วจะสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ ก็คงต้องรีบผลิตสินค้าและบริการออกมารองรับแล้ว เพื่อให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -6 สูตรลับ ปรับกลยุทธ์ธุรกิจอาหารต้องรอดในยุคโควิด-19  -4 แอปสั่งอาหาร อิ่มแบบจุกๆ ส่งฟรี มีโปรฯ แถมสิทธิ์คนละครึ่ง
[PR News] ซีทรูวอลล์  ปลุกอุณหภูมิสถาปนิก’66  นวัตกรรมสระว่ายน้ำแนวอควาเรียม

[PR News] ซีทรูวอลล์ ปลุกอุณหภูมิสถาปนิก’66 นวัตกรรมสระว่ายน้ำแนวอควาเรียม

ซีทรูวอลล์ เจ.ดี.พูลส์สร้างความร้อนแรงงานสถาปนิก’66 โชว์ ซีทรูวอลล์ นวัตกรรมสระว่ายน้ำสร้างประสบการณ์ใหม่แนวอควาเลียม  มั่นใจช่วยยกระดับคุณค่าและมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท   นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช  ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท เจ.ดี.พูลส์ จำกัด  ผู้ผลิตและจำหน่ายสระว่ายน้ำคุณภาพเจ.ดี.พูลส์ (J.D.Pools) เปิดเผยว่า ​ งานสถาปนิก’66 ว่า  บรรยากาศในงานดูคึกคักกว่า 2 ปีที่ผ่านมา  เพราะปีนี้มีผู้ประกอบการจากต่างประเทศนำผลิตภัณฑ์มาร่วมออกบูธจำนวนมาก  ขณะที่ผู้ที่เข้ามาชมงานหรือสนใจมาศึกษาตลาดก็พบว่ามีชาวต่างประเทศจำนวนมากเช่นกันโดยเฉพาะชาวจีน  จึงถือเป็นข้อดีเพราะงานสถาปนิกเป็นงานที่รวบรวมวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง จากทั่วประเทศและทั่วโลกเข้ามาไว้ในจุดเดียวกัน  สมกับสโลแกนที่ว่า “ตำถาด รสนัว”   ขณะนี้บรรยากาศเริ่มเข้าสู่โหมดของการก่อสร้างหลังจากที่โควิดทำให้การก่อสร้างชะลอตัวไประยะหนึ่ง  ตอนนี้การก่อสร้างกลับมาแล้วทั่วประเทศโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว  รวมถึงชาวต่างชาติที่มองหาบ้านหลังที่สอง  และแหล่งลงทุนใหม่ที่ปลอดภัยจากสงครามหรือเป็นทางเลือกใหม่ที่เหมาะสมมีความมั่นคงสำหรับการทำธุรกิจในระยะยาว   ประธานเจ.ดี.พูลส์ กล่าวต่อว่า  งานสถาปนิกคือการบอกเล่านวัตกรรมใหม่ซึ่งเจ.ดี.พูลส์ได้ทำมาตลอด25ปี  มีเรื่องราวของเทคโนโลยีใหม่ๆมานำเสนอจึงประสบความสำเร็จมากกับการใช้เวทีของงานสถาปนิก  ในปีนี้เจ.ดี.พูลส์ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์บรรยากาศของบ้านพักอาศัยราคาแพงหรือบ้านที่มีความหรูหรา  รวมไปถึงบ้านที่ต้องการวิวพันล้านด้วยซีทรูวอลล์ ( C2Wall : See Through Wall ) นวัตกรรมสระว่ายน้ำรุ่นใหม่ของเจ.ดี.พูลส์ ที่ทำให้สระว่ายน้ำเป็นเหมือนอควาเรียมในบ้าน   ซีทรูวอลล์เป็นการออกแบบที่สมบูรณ์แบบ  เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างทีมงานของเจ.ดี.พูลส์กับมืออาชีพด้านอคาเรียม  สร้างประสบการณ์ใหม่ด้วยผนังอะคริลิคคุณภาพสูงที่มีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงงานดันน้ำ  สามารถมองเห็นในตัวสระ เพิ่มความโดดเด่น ทันสมัย สวยงาม  มีประโยชน์ในการเฝ้าระวังเพื่อความปลอดภัย  สามารถประยุกต์ใช้ได้กับสระทุกรูปแบบทั้งไอพาแนลไลเนอร์และคอมโพสิตพูลส์  ออกแบบและติดตั้งโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ   เรามีความตั้งใจในการสร้างมิติใหม่ของสระว่ายน้ำ  เปิดมุมมองใหม่  เปิดความมั่นใจใหม่  นวัตกรรมซีทรูวอลล์จะเป็นการยกระดับสระว่ายน้ำให้เป็นตัวช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับที่อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภททั้งบ้านอยู่อาศัย วิลล่า รีสอร์ท คอนโดมิเนียมและโรงแรม  เพราะเป็นการยกระดับมาตรฐานใหม่ ทั้งด้านคุณค่า และมูลค่า    สำหรับเรื่องที่เจ.ดี.พูลส์ให้ความสำคัญและไม่เคยละเลยคือคุณภาพของน้ำในสระของเจ.ดี.พูลส์   เจ.ดี.พูลส์เริ่มพัฒนาจากการใช้คลอรีนฆ่าเชื้อโรค  ต่อมาได้เป็นผู้นำในการนำระบบเกลือเข้ามาเป็นรายแรกและจำหน่ายมายาวนานหลายปี   ถึงปัจจุบันได้เลิกใช้เกลือโดยเปลี่ยนมาใช้แร่ธาตุจากทะเลเดดซี ประเทศจอร์แดนและอิสราเอล  นำมาพัฒนาร่วมกับเครื่องมือให้เป็นน้ำแร่คุณภาพดี  ช่วยบำรุงผิวพรรณให้กับผู้ใช้สระว่ายน้ำให้นุ่มเนียนขึ้นด้วยออยล์ที่ออกมาจากแร่ธาตุ   ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ  บำบัดความตึงเครียด  ทำให้สดชื่นมีความสุขในขณะว่ายน้ำ   งานสถาปนิก’66 มีกำหนดจัดตั้งแต่วันที่ 25 -30 เมษายน 2566 ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เวลา 10.00 – 20.00 น. ผู้สนใจสามารถแวะชมสระเจ.ดี.พูลส์ ได้ที่โซน Q39 พร้อมโปรโมชั่น J.D.Pools 6 Days Summer Sale  จองสระในงานทุกรุ่น รับฟรีเครื่องทำน้ำแร่  J.D.Mineral Chlorinator และ แร่บริสุทธิ์จากทะเลสาปเดดซีในการบำบัดน้ำครั้งแรก พร้อมแร่เดดซีราคาพิเศษเป็นเวลา 1 ปี   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เจ.ดี.พูลส์ ชู 3 กลยุทธ์สู้โควิด-19 ปั้นรายได้ 1,000 ล้าน
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  ร่วมพันธมิตรออก โทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ ลงทุนแค่ 182 บาท

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ร่วมพันธมิตรออก โทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ ลงทุนแค่ 182 บาท

ออริจิ้น  ผนึกพันธมิตร ด้านการเงิน-ดิจิทัล ร่วมสร้าง โทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ ให้คนรุ่นใหม่ลงทุนอสังหาฯ ปล่อยเช่า ใน 3 โปรเจ็กต์คอนโดใจกลางเมือง เริ่มต้นแค่ 182 บาทต่อโทเคน รับผลตอบแทนสูงสุด 5%   การลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันมีด้วยกันหลากหลายวิธี อย่างพื้นฐานเลยก็ซื้อมาแล้วรอเวลาให้ราคาปรับสูงขึ้น จึงขายออกไปทำกำไร หรือการปล่อยเช่า เพื่อให้ได้ค่าเช่ากลับมา ซึ่งรูปแบบและวิธีการ ไม่ได้สลับซับซ้อนอะไรมากนัก เพียงแต่ต้องบริหารจัดการ อสังหาฯ ที่มีอยู่และหาผู้มาเช่า อาจจะหาเองหรือให้เอเยนซี่ช่วยก็ได้เช่นกัน   ตลาดสังหาฯ จึงมีฐานลูกค้าทั้งที่เป็นผู้อยู่อาศัยเอง และผู้ที่ซื้อมาเพื่อทำธุรกิจ ทำให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องทำตลาด และหาลูกเล่นออกมาจับกลุ่มเป้าหมายทั้งสองไว้ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม จะมีกลุ่มลูกค้านักลงทุนและเก็งกำไรชัดเจน หลัง ๆ เราจึงเห็นดีเวลลอปเปอร์ที่พัฒนาโครงการออกมา มีการีนตีผลตอบแทนเป็นรายปี 4-5% บางรายก็ทำทั้งโครงการ บางรายก็แบ่งสัดส่วนของห้องออกมาจำนวนหนึ่ง แต่ปัจจุบันซึ่งเป็นโลกยุคดิจิทัล ที่ตลาดทางการเงิน ไม่ได้มีเฉพาะตัวเงินที่พิมพ์ออกมาใช้เพียงอย่างเดียว แต่มีการใช้เงินดิจิทัลมาเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยน หรือซื้อสินค้าด้วย ทำให้เงินดิจิทัลได้ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อหลายธุรกิจ รวมถึงธุรกิจอสังหาฯ เพราะสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ ที่เป็นฐานลูกค้าสำคัญต่อไปในอนาคตของตลาดอสังหาฯ 182 บาทก็ลงทุนได้ ล่าสุด บริษัท โทเคน เอกซ์ จำกัด (Token X) บริษัทภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX Group) ในฐานะผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลในประเทศไทย (ICO Portal) ที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ร่วมกับบริษัท เรียล เอสเตท เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด ในฐานะ ผู้ออกโทเคนดิจิทัล ​พัฒนาโทเคนดิจิทัลที่มีคอนโดเป็นสินทรัพย์อ้างอิง (Condo-Backed Token) ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่นักลงทุน คนรุ่นใหม่ ใช้เป็นสื่อกลางในการลงทุนคอนโด ภายใต้ชื่อ “เรียลเอ็กซ์” (RealX Investment Token)   โดยนักลงทุนจะต้องทำการซื้อเหรียญ เรียลเอ็กซ์ ตามความต้องการ ที่มีการเสนอขายที่ราคา 182 บาทต่อโทเคน ซึ่งเงินดังกล่าวจะถูกนำไปลงทุนในสัญญา RSTA (Revenue Sale and Transfer Agreement)  ของบริษัท เรียล เอสเตท อินทิเกรชั่น จำกัด ในฐานะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์คอนโดฯ 3 แห่งของ​บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI จำนวน  3 โครงการ ได้แก่ โครงการพาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงษ์    โครงการพาร์ค ออริจิ้น พญาไท  และโครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ ขณะที่ ออริจิ้น จะมีบริษัทในเครือ คือ บริษัท แฮมตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ แมเนจเม้นท์ จำกัด บริหารคอนโดทั้ง 3 แห่งดังกล่าว ทั้งด้านการจัดหาผู้เช่า โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยระยะยาว การบริหารด้านบริการต่าง ๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนจากการลทุนดังกล่าว ซึ่งผู้ถือโทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ จะได้รับผลตอบแทนการลงทุน 2 ส่วน ได้แก่ 1.ผลตอบแทนจากค่าเช่า นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนจากค่าเช่า เป็นรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิของคอนโด ทั้ง 3 โครงการที่เป็นสินทรัพย์อ้างอิง เป็นระยะเวลา 10 ปีนับจากเริ่มต้นโครงการ โดยในปีที่ 1-5 บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด ในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI จะรับประกันรายรับสุทธิของโครงการที่ 4% 4.25% 4.50% 4.75% และ 5% ต่อปีของมูลค่าเสนอขายโทเคนดิจิทัลฯ ตามลำดับ 2.ผลตอบแทนจากการขายคอนโด นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเป็นรายไตรมาสจากการทยอยจำหน่ายคอนโด ทั้ง 3 โครงการในปีที่ 6-10 (รวมกรณีขยายอายุโครงการ) รวมกับผลตอบแทนรายไตรมาสจากค่าเช่าสุทธิ โดยคอนโดทั้ง 3 โครงการ ได้รับการพิจารณาแล้วว่าเป็นโครงการระดับลักชัวรีที่น่าเชื่อถือ ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ และมีความเหมาะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว เปิดขาย 19 ล้านโทเคน สำหรับโทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ หลังจากได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายโทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ ต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (ICO) ปัจจุบันได้รับการพิจารณาอนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต. แล้ว   ล่าสุด อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเสนอขายโทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ จำนวนไม่เกิน 19,230,769 โทเคน ที่ราคา 182 บาทต่อโทเคน รวมมูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 3,500 ล้านบาท โดยมีอายุโครงการ 10 ปี  ซึ่งนักลงทุนสามารถซื้อได้ตั้งแต่ 1 เหรียญขึ้นไป ในราคาเหรียญละ 182 บาท ต่อตารางนิ้ว สำหรับ​คอนโด 3 โครงการของออริจิ้น นั้น แต่ละโครงการจะมีจำนวนที่ขายเพื่อการลงทุนเพียงบางส่วน คือ ​​ โครงการพาร์ค ออริจิ้น พร้อมพงษ์  จำนวนไม่เกิน 138 ยูนิต​  ตัวโครงารตั้งอยู่บนเนื้อที่ 12 ไร่ ระหว่างซอยสุขุมวิท 22-24 มีพื้นที่ส่วนกลางและพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ จึงมีดีมานด์จากผู้เช่าที่เป็นคนทำงานในย่าน CBD และชาวต่างชาติที่เข้ามาพักอาศัยระยะยาวในประเทศไทย โครงการพาร์ค ออริจิ้น พญาไท  จำนวนไม่เกิน 123 ยูนิต​ ตัวโครงการตั้งอยู่บนเนื้อที่ 2 ไร่ติดถนนพญาไทขาเข้า มีจุดเด่นด้านทำเลที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอสและแอร์พอร์ตเรลลิงก์ โรงพยาบาลและสถาบันการศึกษา โครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ จำนวนไม่เกิน 100 ยูนิต ตั้งบนเนื้อที่ 5 ไร่ในซอยทองหล่อ 10 ซึ่งไม่เหลือที่ดินแปลงใหญ่อีกแล้ว และเป็นแหล่งรวมไลฟ์สไตล์รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล ฯลฯ จึงเป็นนิยมจากผู้เช่าโดยเฉพาะชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัยระยะยาว นายพีระพงษ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้นฯ เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดอสังหาฯ ไทยมีปัญหาคนไทยมีจำนวนที่ลดน้อยลง ทำให้ดีมานด์มีจำกัด การพัฒนาโครงการคอนโดในใจกลางเมืองก็จำกัด แต่ขณะเดียวกันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มมากขึ้น คาดว่าอีก 10 ปีข้างหน้า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาเมืองไทย มีจำนวนมากเท่ากับจำนวนประชากรของไทยทั้งประเทศ ระดับ 60 ล้านคน ทำให้ตลาดอสังหาฯ มีโอกาสในการรองรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ที่จะเข้ามาเป็นผู้เช่าสำคัญ คอนโดในพื้นที่ใจกลางเมือง มีกลุ่มผู้ซื้อสัดส่วนเพียง 10% ของประชากร หากการออกเหรียญโทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ สำเร็จ คนไทยทั้งประเทศสามารถลงทุนได้หมด ต่อไปอสังหาฯ ไม่จำเป็นต้องมีเงินเยอะ ก็ซื้อได้ คนต่างชาติก็ซื้อได้ด้วย เป็นการสร้างอนาคตให้กับธุรกิจอสังหาฯ ไทย อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ วาง 3 แผนงานสร้างการโตไม่สิ้นสุด จับเมกะเทรนด์ลุยธุรกิจทั่วไทย -อสังหาฯ ลุยต่อ “ดิจิทัลแอสเซท” ปี 65 ขน NFT- คริปโทฯ เจาะไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่  
หมดยุคห้างสินค้าไอที พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ  AWC ปรับสู่ศูนย์กลางค้าส่งด้านอาหาร ใหญ่สุดในไทย

หมดยุคห้างสินค้าไอที พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ AWC ปรับสู่ศูนย์กลางค้าส่งด้านอาหาร ใหญ่สุดในไทย

พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ AWC ปิดฉาก พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ ห้างสินค้าไอทีในตำนาน สู่ ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค “AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM” มูลค่ากว่า 10,000 ล้าน ตอบโจทย์อนาคตครบวงจร เชื่อมผู้ค้าส่งอาหารทั่วโลกกับผู้ซื้อทั่ว AEC พร้อมผนึกพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน   ถ้าพูดถึงห้างสรรพสินค้า ที่ขายสินค้าด้านไอทีและอุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่ออดีตหลายปีที่ผ่านมา ชื่อแรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึง ก็คือ ห้างพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ แม้ปัจจุบันห้างแห่งนี้จะไม่ได้รับความนิยม ในการเดินทางไปเลือกซื้อสินค้าไอทีแล้ว เพราะได้ถูกปรับโฉม รีโนเวทใหม่ไปหลายรอบ จนสัดส่วนร้านขายสินค้าไอทีลดลงไปเหลือเพียงไม่มากเหมือนแต่ก่อน นับตั้งแต่ช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา   โดยในปีนี้ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ในฐานะเจ้าของ ได้มีกำหนดฤกษ์ดีที่จะเปิดให้บริการ ห้างพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ โฉมใหม่ ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ กับคอนเซ็ปต์การเป็นศูนย์ค้าส่งด้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ภายใต้ชื่อใหม่ เออีซี ฟู้ด โฮเซล ประตูน้ำ (AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM) ภายใต้แนวคิด “INTEGRATED WHOLESALE PLATFORM FOR NON-STOP OPPORTUNITY ซึ่ง AWC มีเป้าหมายสำคัญที่พัฒนาโครงการนี้ขึ้น คือ การเป็นศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค รองรับกับความต้องการของกลุ่มผู้ประกอบการต่าง ๆ และลูกค้าในภูมิภาคกว่า 800 ล้านคน จากพันธุ์ทิพย์​ ประตูน้ำ สู่​ศูนย์กลางด้านค้าส่งอาหาร สำหรับโครงการ เออีซี ฟู้ด โฮเซล ประตูน้ำ จะเป็นชื่อใหม่ที่ถูกมาแทน ห้างพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ กับมูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท หลังจากได้ใช้เม็ดเงินลงทุน ปรับปรุง ซ่อมแซม และพัฒนา รวม 6,500 ล้านบาท ตั้งแต่เริ่มแรกที่ได้เข้ามาบริหารจนถึงปัจจุบัน เออีซี ฟู้ด โฮเซล ประตูน้ำ ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ โดยมีพื้นที่อาคารรวม (Gross Floor Area) กว่า 67,000 ตร.ม. ใช้เป็นพื้นที่ขายเพื่อให้ผู้ประกอบการด้านธุรกิจอาหารเข้ามาเช่ากว่า 30,000 ตร.ม. รองรับ​ผู้ประกอบการกลุ่มอาหารชั้นนำทั่วโลกกว่า 600 ราย แบ่งเป็น 8 กลุ่มธุรกิจ ​ได้แก่ อาหารแช่แข็ง อาหารแช่เย็นและผลิตภัณฑ์จากนม เครื่องปรุงและวัตถุดิบ ข้าว เครื่องดื่ม กาแฟและชา ขนมขบเคี้ยวและขนมหวาน ของใช้ในครัวเรือน   ตัวโครงการมีทั้งหมด 8 ชั้น รวมชั้นใต้ดิน (B) แบ่งพื้นที่เป็นโซนต่าง ๆ ที่สำคัญดังนี้ FOOD WHOLE SALE SPACE พื้นที่สำหรับให้ผู้ประกอบการทั้ง 8 กลุ่มสินค้ามาเปิดขาย โดยหากเป็นบูธขนาดเล็ก อัตราค่าเช่าจะอยู่ในระดับราคา 30,000-50,000 บาทต่อเดือน พื้นที่ขายสินค้านี้จะอยู่ตั้งแต่ชั้น 1-4 SSC & SHARE SHOP SSC (SERVICE SOLUTION CENTER) หรือ ศูนย์ส่งเสริมผู้ประกอบการ ที่จะคอยช่วยให้คำปรึกษาด้านการส่งออกและนำเข้าสินค้า รวมถึงการบริการด้านภาษา การจัดแสดงและนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ประกอบการ จะอยู่บริเวณ ชั้น 2   นอกจากนี้ ในพื้นที่ชั้น M และชั้น 4 จะส่วนของ SHARE SHOP ที่ไว้คอยบริการผู้ประกอบการที่ยังต้องการขายสินค้า แต่ไม่มีพนักงานหรือเจ้าหน้าที่มาขายสินค้า ให้ TASTE KITCHEN พื้นที่การทดสอบสินค้า สำหรับลูกค้าที่ต้องการทดลองใช้สินค้าจริง ซึ่งจะเป็นกลุ่มเชฟทำอาหาร ที่ต้องการทดสอบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นไปตามที่ต้องการใช้งานหรือไม่ โดยจะอยู่บริเวณชั้น 5 LOGISTIC FACILITIES การให้บริการด้านโลจิสติกส์ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำให้ กระบวนการทางธุรกิจสมบูรณ์แบบ ทาง AWC จึงได้จัดพื้นที่บริเวณด้านหลังโครงการเป็นคลังสินค้าและจุดให้บริการโลจิสติกส์ ขณะที่ทุก ๆ ชั้นของอาคารรถกระบะขนาดเล็กสามารถขับขึ้นมารับ-ส่งสินค้าได้สะดวก SERVICE PROVISERS พื้นที่การให้บริการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนำเข้าและส่งออกอาหาร ซึ่งจะอยู่บริเวณชั้น 5 FOOD LOUNGE & F&B -พื้นที่สำหรับให้ผู้ประกอบการและลูกค้า ได้เจรจาธุรกิจ การซื้อขายและนำเข้าสินค้าต่าง ๆ ซึ่งจะอยู่บริเวณชั้น 5 TRADE HALL & PROMOTION AREA พื้นที่สำหรับการจัดแสดงสินค้า จัดนิทรรศกาลแสดงสินค้า รวมถึงการนำสินค้ามาจัดรายการส่งเสริมการขาย ซึ่งจะอยู่บริเวณชั้น 1 และชั้น M   ส่วนบริเวณชั้น 6 พื้นที่จะถูกใช้เป็น CO-WORKING SPACE ,OFFICE และพื้นที่ MIX-USE   นอกจากพื้นที่ออฟไลน์ ที่ใช้เป็นจุดแสดงสินค้า การเจรจา ซื้อขาย  นำเข้า-ส่งออกสินค้าแล้ว AWC ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ Phenix Box สำหรับการทำธุรกรรมด้านสินค้าออนไลน์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจค้าส่ง ทั้งในแง่การบริการจัดการธุรกรรมที่ตรงกับธุรกิจได้ง่ายขึ้น อาทิ Bulk Purchase, Group Purchase, Multi-Level Procurement และการจัดส่งที่ครอบคลุม พร้อมสนับสนุนเครื่องมือทางการตลาดและโปรแกรมลูกค้าสัมพันธ์ผ่านระบบ Loyalty Program ให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถพบปะเจรจาธุรกิจกันผ่านช่องทางดังกล่าวได้ตลอด 365 วัน และตลอด 24 ชั่วโมง เชื่อมต่อผู้ซื้อผู้ขายได้ทั่วโลก ผนึกพันธมิตรรัฐ-เอกชน การพัฒนา เออีซี ฟู้ด โฮเซล ประตูน้ำ ยังมีความร่วมมือกับพันธมิตร ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ และที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย 15-16 ราย อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และอี้อู (Yiwu) ผู้พัฒนาและบริหารตลาดค้าส่งสินค้าเบ็ดเตล็ดที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากเมืองอี้อู สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งได้มีการลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับทาง AWC เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา   สภาหอการค้าอังกฤษแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย-จีน หอการค้าออสเตรเลีย-ไทย หอการค้าไทย-แคนาดา หอการค้าไทย-นิวซีแลนด์ หอการค้าสวิส-ไทย สมาคมหอการค้าไทย-สเปน บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีพีเอฟ โกล บอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท เบทาโกร จํากัด (มหาชน) บริษัท พี อาร์ จี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า  AWC เชื่อมั่นการรวมพลังของทั้งภาครัฐและเอกชน ในการร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” เชื่อมเครือข่ายค้าส่ง (WHOLESALE ECO-SYSTEM) ตอบโจทย์อนาคตครบวงจร เสริมโอกาสธุรกิจแบบไร้ขีดจำกัด ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มค้าส่งที่เชื่อมโยงออนไลน์-ออฟไลน์ (ONLINE-OFFLINE INTEGRATION) ช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ซื้อและผู้ขายให้สามารถทำธุรกรรมระหว่างกันได้สะดวกยิ่งขึ้นตลอดกระบวนการตั้งแต่ การสรรหาสินค้า ไปจนถึงการจัดส่งและชำระค่าสินค้า   นอกจากนี้การเปิดตัว “AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM” ในครั้งนี้ ยังเป็นการร่วมสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นประตูเชื่อมของอุตสาหกรรมการค้าส่งในตลาด AEC หรือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนกว่า 10 ประเทศสมาชิก ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงด้วยจำนวนประชากรรวมกว่า 700 ล้านคน อีกทั้งประเทศไทยยังมีศักยภาพในการเชื่อมต่อการค้าส่งไปยังประเทศต่างๆ ได้อย่างสะดวกผ่านโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งอีกด้วย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาคอย่างแท้จริง   โครงการ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM จะเป็นเสมือนประตูเชื่อมที่จะพาผู้ประกอบการค้าส่งให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดที่เชื่อมต่อโอกาสในรูปแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์อนาคตครบวงจร ผ่านเครือข่าย Eco-System ที่มี AWC และพันธมิตรจากทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย พร้อมร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมค้าส่งของไทยสู่การเป็นศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาคอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -AWC เดินแผนขยายธุรกิจแสนล้าน เตรียมเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 9 แห่ง
“ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” เปลี่ยนไป  ปรับ 4 โซนใหม่ ครั้งใหญ่รอบ  30 ปี

“ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” เปลี่ยนไป ปรับ 4 โซนใหม่ ครั้งใหญ่รอบ  30 ปี

ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า ฉลองครบรอบ 30 ปี ทุ่มงบกว่า 400 ล้าน อวดโฉมใหม่ “ศูนย์กลางธุรกิจ – ไลฟ์สไตล์ชอปปิ้ง - บ้านพักอาศัย” ใจกลางเกาะรัตนโกสินทร์ บนสุดยอดทำเลการค้า “พาหุรัด – ตรีเพชร – เจริญกรุง - บูรพา” ดึงแบรนด์ดังเสริมทัพส่วนพลาซ่า และศูนย์อาหาร เติมสีสันวิถีชีวิต ดันกราฟธุรกิจเติบโตมั่งคั่งและยั่งยืน   นายอภิชัย สิริดำรงพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจอาคารพาณิชย์ บริษัท สยามสินธร จำกัด  เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งมั่นพัฒนา “ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” ให้เป็นศูนย์กลางการค้าและชอปปิ้งของผู้คนทั้งในกรุงเทพฯ และคนต่างจังหวัด ที่เดินทางเข้ามาติดต่อธุรกิจกับร้านค้าพันธมิตร ซึ่งภาพความสำเร็จดังกล่าวได้เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานร่วม 30 ปี นับตั้งแต่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี 2536 เป็นต้นมา และในครั้งนี้จะเป็นอีกก้าวที่สำคัญกับแผนพัฒนา  “ปรับโฉม” ดิโอลด์ สยาม พลาซ่า ให้เป็นศูนย์กลาง “ธุรกิจ  -ไลฟ์สไตล์ชอปปิ้ง - บ้านพักอาศัย” ให้เต็มไปด้วยสีสันและประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้คนในย่านนี้ และรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี มิกซ์ยูสที่เป็นมิตรใกล้ชิดย่านการค้า “ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” แหล่งธุรกิจที่มีเอกลักษณ์ และเจริญมั่นคงมายาวนาน เป็นศูนย์รวมร้านทองส่ง แหล่งผลิตเครื่องประดับ เพชร ปืน ผ้าไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ นำเข้าผ้าลูกไม้จากต่างประเทศ ศูนย์รวมอาหาร ขนมไทยที่ขึ้นชื่อ และบ้านพักอาศัยที่อยู่สบายใจกลางเมืองติดรถไฟฟ้า นับเป็นโครงการมิกซ์ยูสแห่งแรกบนเกาะรัตนโกสินทร์ และเป็นพลาซ่าที่ใหญ่ที่สุดในทำเลนี้ บนที่ดิน 13.61 ไร่ ซึ่งเดิมเป็นตลาดมิ่งเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นย่านการค้าหลักของกรุงเทพฯ อย่างยาวนาน   ด้วยความโดดเด่นของทำเลที่ตั้ง อยู่ติดกับถนนสายการค้าทั้ง 4 ด้าน คือ พาหุรัด ตรีเพชร เจริญกรุง บูรพา ทำให้มีผู้คนไหลเวียนเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวชม สถานที่สำคัญใกล้เคียง อาทิ พระบรมมหาราชวังฯ วัดพระแก้ว ชมการแสดงโขนที่ศาลาเฉลิมกรุง แวะทานอาหารและขนมไทยที่ศูนย์การค้าฯ นอกจากความเป็นเอกลักษณ์ของย่านการค้าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และความหลากหลายของสินค้าและบริการ เช่น ผ้าไหม ร้านเพชร และขนมไทยที่หาทานได้ยากจะรวมอยู่ที่นี่แล้ว ในด้านการเดินทางมีความสะดวกสบาย ทั้งโดยรถยนต์ส่วนตัว ซึ่งทางศูนย์การค้าฯ มีบริการที่จอดรถมากกว่า 1,100 คัน หรือสะดวกสบายเดินทางโดยรถไฟฟ้า MRT สถานีสามยอด แลนด์มาร์ค "ธุรกิจ – ไลฟ์สไตล์ชอปปิ้ง - เรสซิเดนซ์" แผนพัฒนา “ดิ โอลด์ สยาม” เดินหน้าปรับพื้นที่ภายในและภายนอกทั้งหมด ทั้งในส่วนพลาซ่า และบ้านพักอาศัย โดยคงเอกลักษณ์ของอาคารในสไตล์โคโลเนียลที่มีความคลาสสิค บนพื้นที่ให้บริการ 98,500 ตารางเมตร   ในส่วนของพลาซ่า พื้นที่รวม 17,945 ตารางเมตร เตรียมออกแบบและตกแต่งให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น พร้อมปรับพื้นที่ร้านค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการทั้งลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (B2B : Business to Business) และ ลูกค้ากลุ่มค้าปลีก (B2C : Business to Consumer)   โดยพื้นที่พลาซ่า ชั้น 1 ยังคงเป็นแหล่งรวม ร้านเพชร ร้านทองส่งชั้นนำ ผ้าลูกไม้นำเข้า ร้านเครื่องประดับ และขนมไทยโบราณที่มีชื่อเสียงมายาวนาน   พื้นที่พลาซ่า ชั้น 2 เป็นศูนย์รวมผ้าไหม เครื่องประดับ ห้องเสื้อ ชุดราตรี ชุดแต่งงาน ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ   พื้นที่พลาซ่า ชั้น 3 พบกับโฉมใหม่ ศูนย์รวมร้านอาหาร และ มาร์เก็ต ที่เตรียมยกระดับให้เป็น Food Experience แห่งใหม่ของย่านนี้ ที่จำหน่ายสินค้าและให้บริการที่จะอำนวยความสะดวก และตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้น   ในส่วนของชั้น 4 เป็นพื้นที่บ้านพักอาศัย (Residence) ประกอบด้วย 128 ยูนิต ขนาดพื้นที่เริ่มต้น 95 ตารางเมตร แบบ Duplex 2 ห้องนอน ห้องรับแขกขนาดใหญ่ 1 ห้องครัว  2 ห้องน้ำ พื้นที่รวมทั้งหมด 13,000 ตารางเมตร เตรียมปรับโฉมในคอนเซ็ปต์ที่ทันสมัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้ง Lobby , Outdoor Living , Meeting Room , Fitness และ Sky Pavilion โดยมุ่งไปกลุ่มคนทำงาน นักเรียน นักศึกษา ในพื้นที่ใกล้เคียง และกลุ่มครอบครัวที่ต้องการความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตและการเดินทาง ในราคาเริ่มต้น 3.2 ล้านบาท ส่งต่อธุรกิจมั่งคั่งสู่เจเนอเรชั่นใหม่ สำหรับแนวทางการพัฒนา “ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” ในครั้งนี้นอกจากการปรับปรุงอาคารให้มีความทันสมัย สินค้าที่มีเอกลักษณ์และมีความหลากหลาย รวมถึงบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนทุกช่วงวัย ยังมาพร้อมแนวคิดของการต่อยอดและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้เกิดขึ้น  โดยการปรับรูปแบบการให้เช่าพื้นที่ ที่ครอบคลุมความต้องการ และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีความคล่องตัว ทั้งแบบสัญญาเช่าระยะสั้น และสัญญาเช่าระยะยาว เพื่อให้เอื้อต่อการทำธุรกิจและการพักอาศัย จุดเด่นของดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า คือ ร้านค้ามากกว่า 50% เป็นธุรกิจที่ขายให้กับธุรกิจ หรือ B2B โดยเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการจากรุ่นสู่รุ่น อาทิ ธุรกิจร้านเครื่องประดับ ร้านเพชร  หากต้องการเพชรคุณภาพระดับพรีเมี่ยม หรือ ร้านทองส่ง ให้นึกถึง ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า อีกก้าวใหม่ของความสำเร็จ นายอภิชัย กล่าวว่า จากประสบการณ์และความมุ่งมั่นของทีมงาน ที่พัฒนาโครงการ  “เวลา สินธร วิลเลจ หลังสวน” (Velaa Sindhorn Village Langsuan) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในการบริหารพื้นที่ ที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์และความต้องการของคนเมือง   ในการพัฒนา “ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” ครั้งนี้ก็เช่นกัน ทีมงานมีความมุ่งหวังที่จะเติมสีสันให้กับผู้คนในย่านนี้ และผลักดันธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยวางแผนเพิ่มผู้เช่าในกลุ่มร้านค้าและบริการอื่นๆ เพื่อรองรับความต้องการ ในกลุ่ม B2C ให้มากยิ่งขึ้น เน้นการสร้าง One stop service อีกแห่งใจกลางเมือง พร้อมรับกลุ่มคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มาใช้บริการภายในศูนย์การค้าฯ มากยิ่งขึ้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“สยามสินธร” ดึง “เคมปินสกี้” แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก สร้างสรรค์โครงการใหม่ ที่พักอาศัยและโรงแรมระดับ 5 ดาว
ไขความลับ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้านยังไง ตอบโจทย์ชีวิตเกษียณ 

ไขความลับ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้านยังไง ตอบโจทย์ชีวิตเกษียณ 

เลือกซื้อบ้าน 3 ปัจจัยสำคัญของ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้าน จากปัจจัยภายใน ยังคงเน้นความคุ้มค่า  ขนาด และสิ่งอำนวยความสะดวก ขณะที่ปัจจัยภายนอก เน้นทำเลที่ตั้ง การเดินทางด้วยระบบสาธารณะ และความปลอดภัย พร้อมเลือกโครงการตอบโจทย์ชีวิตพร้อมอยู่ และใกล้ชิดธรรมชาติ   แม้ว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society) ที่มีจำนวนผู้สูงอายุถึง 28% ของประชากรในประเทศ ตามข้อมูลของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แต่ปัจจุบันเราไม่ต้องรอถึงตอนนั้น ประเทศไทยก็เข้า​สู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) เรียบร้อยแล้ว ทำให้หลายธุรกิจหันมาให้ความสำคัญ และทำตลาดกับกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้   สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่ขายบ้านหรือที่อยู่อาศัย ก็ให้ความสำคัญกับลูกค้ากลุ่มนี้ เพราะบ้านคือปัจจัย 4 สำคัญที่ต้องมี และแม้ว่าก่อนหน้านี้คนสูงวัยอาจจะมีบ้านอยู่แล้ว แต่ก็อาจจะไม่ได้สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เป็นคนสูงอายุ ในวัยเกษียณ จึงทำให้คนกลุ่มนี้ยังมีความต้องการซื้อบ้าน หรือเปลี่ยนบ้านหลังใหม่ให้เหมาะสมกับช่วงวัยของตนเอง โดยเฉพาะโครงการที่มีบริการเพิ่มทางด้านการแพทย์ร่วมด้วย​ 3 ปัจจัยภายใน เลือกซื้อบ้าน​ ของคนสูงวัย 1.เน้นความคุ้มค่า   ผู้สูงอายุ มากกว่าครึ่ง (51%) ให้ความสำคัญกับการเลือกบ้านที่ให้ความคุ้มค่ามาเป็นอันดับแรก โดย พิจารณาจากราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรเป็นหลัก   2.ขนาดที่อยู่อาศัย   3.สิ่งอำนวยความสะดวกภายใน   ผู้สูงวัยสัดส่วน​ 45% เลือกบ้านที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายใน ซึ่งจะต้องตอบโจทย์การอยู่อาศัยและสอดคล้องกับวิถีชีวิตในช่วงวัยเกษียณด้วย 3 ปัจจัยภายนอกเลือกซื้อโครงการ 1.ที่ตั้งโครงการ   ที่ตั้งโครงการยังเป็นปัจจัยแรก ของผู้สูงอายุ ในการเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัย ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามมากถึง 66% ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องทำเลที่ตั้งโครงการมากที่สุด   2.เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ   การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เป็นเรื่องสำคัญของผู้สูงวัย เพราะยังมีความจำเป็นในการออกไปใช้ชีวิต โดยสัดส่วน 55% ของผู้สูงอายุ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้   3.ความปลอดภัยของทำเล   เนื่องจากผู้สูงอายุคำนึงถึงการใช้ชีวิตในระยะยาว นอกจากต้องการโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก รองรับการใช้ชีวิตประจำวันด้วยตนเองได้อย่างสบายใจแล้ว ยังจะต้องมีความปลอดภัยด้วย อินไซต์การเลือกบ้านอยู่อาศัย ของคนสูงวัย ถ้าพูดถึงตัวบ้านเป็นหลัก การเลือกซื้อของคนสูงวัย ก็มีเกณฑ์ที่ใช้การพิจารณาเลือกโครงการดังนี้ เลือกห้องตกแต่งครบ พร้อมเข้าอยู่ เมื่อต้องเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ผู้สูงอายุเกือบครึ่ง (46%) จะเลือกโครงการที่ตกแต่งให้ครบแบบพร้อมเข้าอยู่ (Fully Furnished) มากที่สุด โดยมีเหตุผลสำคัญมาจาก ช่วยประหยัดเวลาในการตกแต่ง และไม่ยุ่งยาก สามารถย้ายเข้าอยู่ได้ทันที   ขณะเดียวกันก็มีผู้สูงอายุอีกจำนวนหนึ่ง ที่สนใจโครงการที่ตกแต่งห้องให้บางส่วน (Fully Fitted)  และไม่มีการตกแต่งใด ๆ เพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่ถึง 70% ชื่นชอบการตกแต่งห้องในสไตล์ของตัวเองมากกว่า และมีผู้สูงอายุอีกจำนวนหนึ่ง สัดส่วน 37% คิดว่าสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่มีอยู่ได้ดีกว่า บ้านที่ดีต้องใกล้ชิดธรรมชาติ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตที่บ้านเป็นหลัก จึงเห็นความสำคัญของบทบาทที่อยู่อาศัยในการเสริมสร้างสุขภาพกายควบคู่กับสุขภาพจิตที่ดี เมื่อพิจารณาคุณลักษณะภายในและบริเวณรอบบ้านที่จะช่วยให้มีสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ดีขึ้น   โดยผู้สูงอายุกว่า 2 ใน 3 (70%) ต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้สวนสาธารณะและใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด เนื่องจากการมีพื้นที่สีเขียวไว้พักผ่อนหย่อนใจนั้นจะช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดี และมีผลทางจิตวิทยาทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น รวมทั้งต้องการพื้นที่เปิดโล่งมากขึ้นภายในละแวกบ้าน 68% ตามมาด้วยยูนิตที่มีระยะห่างมากขึ้น 64% เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและต้องการความสงบ   นอกจากนี้ ผู้สูงอายุยังเข้าใจและให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมแนวคิดรักษ์โลก เกือบ 2 ใน 3 (65%) คาดหวังว่าโครงการที่พัฒนาใหม่ทั้งหมดควรจะมาพร้อมกับหลังคาโซล่าเซลล์ (Solar Rooftop) เพื่อช่วยประหยัดรายจ่ายและลดการใช้พลังงานไฟฟ้า สะท้อนให้เห็นว่าผู้สูงอายุมีความตระหนักถึงความสำคัญของการใช้พลังงานทางเลือก   ที่มา : ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด     อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง
ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66

ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66

งานสถาปนิก’66 งานสถาปนิก’66 เป็นอีกงานหนึ่ง ที่คนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และการออกแบบทางสถาปัตยกรรม ต่างตั้งตารอคอย เพื่อเช้าชมงาน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่จะมาโชว์ผลงาน และผู้ที่มามองหาแรงบันดาลใจในการออกแบบ และการใช้วัสดุเพื่อการก่อสร้าง ซึ่งผู้เข้าร่วมงาน จะได้พบกับนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างที่ทันสมัย แปลกใหม่  ที่ถูกออกแบบและพัฒนา แล้วนำมาแสดงภายในงาน เพื่อให้คนในแวดวงได้อัปเดต และนำเอาวัสดุต่าง ๆ เหล่านั้น ไปใช้ในงานก่อสร้าง และงานออกแบบต่าง ๆ ของตนเองหรือลูกค้า   งานสถาปนิก’66 งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน ปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-30 เมษายน 2566 ที่อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี  มาด้วยการจัดงานภายใต้แนวคิด "ตำถาด : Time of Togetherness”   ภายในงาน นอกจากจะยกขบวนนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จากผู้ประกอบการระดับแนวหน้า ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ร่วมแสดงสินค้ากว่า 800 ราย ยังมีการเนรมิตพื้นที่ไฮไลท์ อย่าง Thematic Pavilion โชว์ศักยภาพของวัสดุผ่านการใช้งานในรูปแบบใหม่ ๆ ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับการนำเอาไปใช้ ในการต่อยอดของผู้ประกอบการ สถาปนิก และนักออกแบบ 4 พื้นที่ Thematic Pavilion ใน งานสถาปนิก’66 สำหรับพื้นที่โชว์ศักยภาพของวัสดุ ผ่านการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ มีด้วยกัน 4 พื้นที่ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของแบรนด์ซัพพลายเออร์วัสดุก่อสร้างและสถาปนิก ดังนี้ 1.VG & TOA x Hypothesis  ครั้งแรกกับการร่วมกันระหว่าง VG เจ้าของรางน้ำฝนและหลังคาไวนิลคุณภาพสูง และผู้นำด้านนวัตกรรมสีทาบ้านภายใต้แบรนด์ TOA จับมือ สถาปนิกจาก Hypothesis เนรมิตพื้นที่ให้มีความสมมาตร ตรงกลางมีการติดตั้งพีระมิดกระจกรูปแบบน้ำผุด โดยสามารถเดินเข้ามาได้จากทุกทิศทาง สามารถมองความต่างของวัสดุที่แขวนติดตั้งจากแต่ละแบรนด์อย่างชัดเจน และดูกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อมองจากภายนอก ซึ่งถือเป็นการออกแบบที่โดดเด่นและลงตัวเป็นอย่างมาก 2.WOODDEN x PAVA architects  หยิบอัตลักษณ์อย่างไม้ เปลี่ยนมุมมองใหม่ให้เข้าถึงได้ โดยเฉพาะ "ไม้สัก" ซึ่งเป็นวัสดุที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้สัมผัส บอกเล่าเรื่องราวด้วยการสร้างสรรค์ผ่านมุมมองสถาปนิกให้ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ในรูปแบบ enclosed space ที่จะช่วยให้ผู้เข้าชมสัมผัสความสงบจากป่าไม้สักคอนทราสต์กับบรรยากาศภายนอกทันทีที่ก้าวเข้ามา อีกทั้ง ยังสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับวงจรชีวิตของไม้สักตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ บอกได้เลยว่าผู้ที่หลงใหลวัสดุที่ทำจาก “ไม้” ต้องไม่พลาด 3.THAI KOON STEEL & THAI PREMIUM PIPE x Context Studio  ฉีกกฎเดิมๆ ของงานเหล็ก สู่การสร้างสรรค์ให้พลิ้วไหวจาก Context Studio โดยการนำวัสดุอย่างท่อและโซ่มาออกแบบได้อย่างกลมกลืนและน่าสนใจ สร้างรูปลักษณ์ใหม่ในพื้นที่จำกัด ด้วยวิธีการปรับองศาการติดตั้งท่อเหล็ก เปลี่ยนเส้นตรงให้อยู่ในรูปทรงเกลียว (spiral) สอดประสานกันเพื่อให้ความรู้สึกที่พลิ้วไหวแต่ยังได้ฟังก์ชันที่สอดรับกันเพื่อสร้างความแข็งแรง และโครงสร้างทุกชิ้นสามารถนำกลับไปใช้ใหม่ได้  แบบนี้บอกได้เลยว่าเป็นการออกแบบที่คิดถึงการใช้งานและสิ่งแวดล้อมด้วย 4.EMPOWER STEEL x ACa Architects  ผลงานการถอดรหัสเหล็กที่แข็งแรงสู่โมเลกุลในยูนิตที่เล็กลงทรงเรขาคณิต สื่อถึงความเป็นธาตุโลหะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่มีความพลิ้วไหว สร้างจินตนาการใหม่ๆ โดยใช้เหล็กจาก EMPOWER STEEL ที่มีนวัตกรรมทำสีและพิมพ์ลวดลายมาตัดเป็นชิ้นนับหมื่นแผ่น บากร่องเพื่อต่อขึ้นเป็นโครงสร้าง (Modular Structure) โชว์พื้นผิว สี ฉีกกฎเหล็กจากอุตสาหกรรมทั่วไป สู่งานดีไซน์ที่หลากหลายตามจินตนาการ สำหรับผู้สนใจ สามารถเข้ามาสัมผัส และเรียนรู้แนวคิด การออกแบบสถาปัตยกรรม บนพื้นที่ Thematic Pavilion  ได้ภายในงานสถาปนิก’66 นี้ พร้อมพบกับ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และการออกแบบ รวมถึงแรงบันดาลใจอีกมากมาย ภายในงานสถาปนิก’66    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] เริ่มแล้ว! “สถาปนิก’65”  กระตุ้นเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง – หนุนเม็ดเงินสะพัดกว่า 2 หมื่นล้าน
7 เทคนิค ประหยัดค่าไฟ ในหน้าร้อน ช่วยลดค่าใช้จ่ายไม่ให้พุ่งสูง

7 เทคนิค ประหยัดค่าไฟ ในหน้าร้อน ช่วยลดค่าใช้จ่ายไม่ให้พุ่งสูง

ประหยัดค่าไฟ ตอนนี้อากาศเมืองไทย ร้อนสุด ๆ ร้อนจนแทบจะละลาย ทำให้หลายคนเลือกที่จะอยู่แต่ในบ้าน ในอาคาร หรือไม่ก็ไปเดินห้างสรรพสินค้าตากแอร์ให้เย็นฉ่ำ ส่วนใครที่อยู่บ้านส่วนใหญ่ก็ต้องเปิดแอร์ให้เย็น ลดอากาศที่ร้อนระอุ ทำให้เดือนนี้และอีกหลายเดือนนับจากนี้ ค่าไฟพุ่งสูงแน่นอน   วันนี้ Reviewyourliving จึงจะมาชวนให้ทุกคนประหยัดค่าไฟ กับ 7 เทคนิคประหยัดค่าไฟในหน้าร้อน ด้วยวิธีการที่ทำตามกันได้ง่าย ๆ และได้ประโยชน์ ช่วยลดค่าไฟ ไม่ให้เราต้องเสียเงินเพิ่มมากขึ้น 7 เทคนิค ประหยัดค่าไฟ ในหน้าร้อน 1.เช็คอุปกรณ์ไฟฟ้า วิธีแรกที่ทำเพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า ก็คือการตรวจเช็คอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ดูว่าเครื่องไฟฟ้าไหนชำรุดเสียหาย หรือเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าที่กินไฟ เปลืองพลังงานมาก เราก็ควรเปลี่ยนใหม่ด้วยการใช้เครื่องไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 หรือแม้แต่หลอดไฟที่ใช้ในบ้านหรือโคมไฟ ก็ควรเปลี่ยนเป็นหลอดประหยัดไฟ หรือ หลอด LED เพราะนอกจากประหยัดไฟแล้ว ยังไม่ทำให้อุณหภูมิภายในห้องสูงด้วย ที่สำคัญอีกอย่าง คือ ควรจะปิดสวิสถอดปลั๊กไฟหลังจากการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งด้วย 2.เปิดแอร์ให้ถูกวิธี แอร์ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นในช่วงหน้าร้อน และน่าจะมีชั่วโมงการทำงานต่อวันมากเป็นอันดับต้น ๆ ถ้าไม่นับตู้เย็นที่เราต้องเสียบปลั๊กไฟตลอดเวลา จึงถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟสูงมาก แต่หากเราใช้แอร์อย่างถูกวิธี ก็ช่วยประหยัดค่าไฟได้ไม่น้อยเลย   เริ่มต้นจากก่อนที่จะเปิดแอร์ควรเปิดพัดลมก่อน เพื่อลดอุณหภูมิห้อง หรือเปิดหน้าต่างประตูระบายความร้อนออกไปก่อน โดยเฉพาะเมื่อเราเพิ่งกลับเข้าห้องมา แล้วจึงเปิดแอร์ด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม ประมาณ 25-26 องศา แต่หากจะเปิดแอร์อุณหภูมิ 27-28 องศาก็ช่วยประหยัดไฟได้มากขึ้น แต่คงต้องเปิดพัดลมควบคู่เพื่อความเย็นสบาย   นอกจากนี้ สิ่งที่ช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้อีกทางหนึ่ง คือ การปิดแอร์ก่อนที่จะเลิกใช้งาน เช่นปิดแอร์ก่อนสัก 1 ชั่วโมงก่อนออกจากห้องไปทำธุระ หรือการตั้งเวลาปิดแอร์ก่อนที่เราจะตื่นนอนตอนเช้า ก็ช่วยประหยัดแอร์ได้ดี เพราะอากาศตอนเช้าจะเย็นสบาย ไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์  ที่สำคัญอีกอย่าง ควรหมั่นล้างแอร์ให้สะอาดอยู่เสมอ ตามระยะเวลาการใช้งาน เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดไฟฟ้าได้แล้ว ยังช่วยทำให้อายุการใช้งานของแอร์ยาวนานขึ้นด้วย​ 3.เคลียร์ตู้เย็น-ไม่เปิดบ่อย ตู้เย็น เป็นอุปกรณ์ที่ต้องเสียบปลั๊กตลอดเวลา เพื่อรักษาอาหารให้ไม่เน่าเสีย จึงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟไม่น้อย สิ่งที่ช่วยประหยัดค่าไฟได้ในช่วงหน้าร้อน คือ การเคลียร์ตู้เย็นให้เป็นระเบียบ ไม่มีของรกเต็มตู้ ของไหนไม่ใช้ หมดอายุแล้วก็ควรเอาออก ที่สำคัญอย่าเปิดตู้เย็นบ่อยครั้งจนเกินไป หากต้องทำอาหารก็ควรวางแผนให้ดีว่าต้องใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง หยิบออกมาให้ครบตั้งแต่ครั้งแรก หรืออยากจะประหยัดไปมากขึ้นในช่วงหน้าร้อนนี้ ที่หลายคนจะหิวน้ำเย็นหรือเครื่องดื่มเย็น ๆ ให้ใช้วิธีเอากระติกน้ำหรือกระติกแช่ของมาเป็นตัวช่วยในการแช่น้ำเย็น หรือเครื่องดื่มเย็น ก็จะประหยัดมากขึ้น 4.ปลูกต้นไม้ป้องกันแสงแดด สิ่งที่ควรวางแผนตั้งแต่มีบ้าน ก็คือตัวบ้านฝั่งที่มีทิศโดนแดดตลอดทั้งวัน ด้วยการปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา ป้องกันแสงแดดส่องตรงมายังตัวบ้าน หรือใครที่อยู่คอนโด ไม่สามารถปลูกต้นไม้ป้องกันแสงแดดได้ ก็อาจจะเพิ่มความสดชื่นด้วยการหาต้นไม้มาปลูกในห้อง เพื่อเพิ่มความสดชื่น ลดอุณหภูมิภายในห้องแทนก็ได้ ​ 5.เปิดหน้าต่าง-ประตู ระบายอากาศ บางครั้งเราก็ควรเปิดประตู หรือหน้าต่าง เพื่อระบายอากาศร้อนภายในบ้าน ไม่ให้บ้านอมความร้อนไว้ หรือถ้าประตู-หน้าต่าง อยู่ในทิศทางของลมก็ต้องเปิดเพื่อให้ลมพัดผ่านช่วยทำให้บ้านเย็นขึ้นได้ ซึ่งบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์เลยด้วยซ้ำ 6.ใช้อุปกรณ์ป้องกันแสงแดด เช่น ติดม่าน, ทาสีกันความร้อน นอกจากการปลูกต้นไม้บังแดดแล้ว การติดม่าน หรือแผ่นฟิล์มสะท้อนความร้อน รวมถึงทาสีบ้าน ที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน ก็เป็นตัวช่วยทำให้บ้านเย็น และช่วยทำให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนักมากขึ้น แอร์จึงไม่กินไฟมากนัก 7.ติดโซลาร์เซลล์ วิธีสุดท้ายที่ประหยัดค่าไฟได้ดี คือ การติดแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อสร้างไฟฟ้าไว้ใช้งาน แต่อาจจะต้องลงทุนสูงกว่าวิธีอื่น ๆ และกว่าจะคุ้มค่าการลงทุนก็กินระยะเวลายาวนานพอสมควร แต่ถ้าคิดแล้วถ้าสามารถทำได้ ก็ควรทำเพราะมีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว   ทั้งหมดนี้ เป็น 7 เทคนิค ประหยัดค่าไฟ ในหน้าร้อน ที่ช่วยลดภาระค่าไฟ ที่เชื่อแน่ว่าต้องปรับสูงขึ้น เพราะอากาศแบบนี้ต้องใช้ไฟฟ้ากันเยอะ เปิดแอร์กันนานขึ้นแน่นอน ลองนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกันตามสะดวก     ที่มา-springnews,จระเข้, เชฟไทย, ประชาชาติ, กรุงเทพธุรกิจ,กฝภ.   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -รวมวิธีประหยัดไฟ รับมือค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาท กับสารพัดวิธีเซฟเงินในกระเป๋า -4 เทคนิค ทำความสะอาดตู้เย็น ช่วยลดค่าไฟสร้างสุขอนามัยในหน้าร้อน