Tag : Lifestyle

408 ผลลัพธ์
Lazy Toby คาเฟ่ในรูปแบบ Pop up store ใจกลางเมือง ตามแบบฉบับหนุ่มสาวมินิมอล

Lazy Toby คาเฟ่ในรูปแบบ Pop up store ใจกลางเมือง ตามแบบฉบับหนุ่มสาวมินิมอล

เชื่อว่าหลายคนอาจจะรู้จักและคุ้นเคยกับชื่อของ Toby's ร้านกาแฟกึ่งบรันช์ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นสะดุดตากับ อาคารทรงจั่วกรุตกแต่งด้วยอิฐมอญคล้ายกับโกดังในยุโรป ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 38 ล่าสุดทางร้านได้ขยับขยายมาเปิดสาขาใหม่ขนาดกะทัดรัดแบบ Pop up store ที่ J Avenue Thonglor ศูนย์การค้าไลฟ์สไตล์ใจกลางเมือง ซอยทองหล่อ 15 ในพิกัดที่ง่ายต่อการไปถึง ภายใต้ชื่อ Lazy Toby ซึ่งที่มาของชื่อร้านนั้นถูกตั้งจากคาแลคเตอร์ของพาร์ทเนอร์ทั้ง 4 คน โดย Toby's นั้นเปรียบเสมือนเพื่อนสนิทผู้ชายคนที่ 5 มีบุคลิกอบอุ่น สนุกสนาน และเป็นกันเอง นอกจากนี้ยังชอบดื่มกาแฟและทำอาหารด้วย แต่เมื่อเพิ่มโลเคชั่นใหม่ให้ลูกค้าได้เช็คอินทางร้านเลยขอเติมคำว่า Lazy เข้าไปเพื่อบ่งบอกถึงคอนเซ็ปต์ร้านที่เรียบง่าย สบายๆ นั่นเอง     สำหรับบรรยากาศและการตกแต่งร้าน Lazy Toby นั้นจะแตกต่างจาก Toby's แต่ยังคงความอบอุ่นไว้เช่นเคย ตัวร้าน ตกแต่งในสไตล์มินิมอล เน้นโทนสีขาวผสมผสานกับงานไม้เป็นหลักเพื่อให้บรรยากาศแบบโฮมมี่ นอกจากนี้ยังเพิ่มความสดชื่นมีชีวิตชีวาด้วยการประดับประดาต้นไม้เล็กใหญ่ไว้ในกระถาง ให้ได้ถ่ายรูปและนั่งชิลล์กันเพลินๆ     ในส่วนของเมนูเครื่องดื่มและขนมที่นี่จะเน้นเมนูทานง่ายสไตล์ Grab & Go โดยคัดสรรแต่วัตถุดิบคุณภาพดีนำมาครีเอทเป็นเมนูสุขภาพต่างๆ อาทิ น้ำผลไม้สกัดเย็น สมูธตี้ และโยเกิร์ตโฮมเมด เป็นต้น ซึ่งหากติดใจในรสชาติกาแฟที่กลมกล่อมจาก Toby's อยู่แล้ว ก็ยิ่งไม่ควรพลาดเมนูแก้วโปรดหลากหลายสูตรที่ทางร้านนำมาบริการ หรือจะสั่งเมนูขนมโฮมเมดที่จะหมุนเวียนสับเปลี่ยนไปในแต่ละวันมาทานคู่กันก็ยิ่งช่วยเพิ่มอรรถรสให้ละมุนลิ้นมากขึ้น     ปิดท้ายก่อนกลับบ้าน หากแชะภาพสวยๆ ชิมเมนูโปรดกันอย่างเพลิดเพลินแล้ว จะเลือกซื้อขนมโฮมเมดติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านก็ได้อีกเช่นกันค่ะ ซึ่งร้านเก๋ๆ เครื่องดื่ม อย่าง Lazy Toby  ที่เปรียบเหมือนบ้านเพื่อนสนิทใจกลางเมืองทองหล่อแห่งนี้จะเปิดบริการเพียง 6 เดือนเท่านั้น เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ไปจนถึงเดือนธันวาคม 2560 และเปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 09:00 – 20:00 น.  
5 อาคารสถาปัตยกรรมดีไซน์เก๋ในย่านทองหล่อ

5 อาคารสถาปัตยกรรมดีไซน์เก๋ในย่านทองหล่อ

หลายคนอาจจะเข้าใจว่าเมืองไทยของเรานั้นมีอาคารทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นระดับไอคอนเพียงไม่กี่แห่งในกรุงเทพฯ ถ้าเทียบกับอาคารที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในเมืองสำคัญๆ ระดับโลก อย่างเช่น ตึกเอ็มไพร์สเตทและตึกไครส์เลอร์ของนครนิวยอร์ก หรือ อาคาร Burj Khalifa ที่ดูไบ ที่ยังคงรั้งตำแหน่งตึกที่สูงที่สุดในโลกอยู่ในวันนี้ จะยิ่งพบว่าเมืองไทยไม่ได้มีอาคารที่มีความโดดเด่นแบบเดียวกันมากมายเท่าไหร่ ถ้าพูดกันถึงตึกหรืออาคารสูงๆ อาจจะจริง แต่ถ้าพูดในเชิงรายละเอียดของงานสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นนั้น ต้องบอกให้คุณลองคิดดูใหม่ เพราะที่จริงแล้วเมืองไทยยังมีงานสถาปัตยกรรมสวยๆ อีกมาก ยกตัวอย่างเพียงย่านเดียวอย่างย่านทองหล่อก็สามารถนับได้หลายแห่งแล้ว เราลองไปดูกันดีกว่าว่าตอนนี้ที่ ทองหล่อ มีงานสถาปัตยกรรมอะไรน่าพูดถึงบ้าง 72 Courtyard (เซเว่นตี้ทู คอร์ทยาร์ด) โดดเด่นด้วยปูนเปลือยที่ฉาบไว้ตั้งแต่ด้านหน้าอาคารทรงเหลี่ยม ไล่เรื่อยเข้าไปยังตัวอาคารด้านในที่ให้รายละเอียดของการตกแต่งภายในอย่างมีเอกลักษณ์ สำหรับ 72 Courtyard ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างซอยทองหล่อ 16 และทองหล่อ 18 และเป็นสถานที่ที่รวบรวมร้านอาหาร บาร์ และคาเฟ่น่าลิ้มลองไว้เพียบในที่เดียว ดูภายนอก ตัวอาคารอาจจะไห้ความรู้สึกแข็งและดิบ แต่ถ้าลองได้เดินเข้าไปภายในคุณจะพบว่าความดิบที่เห็นเป็นเพียงเปลือกนอกที่ห่อหุ้มความเขียวชอุ่มของต้นไม้ที่ปลูกไว้รายรอบอย่างร่มรื่น ช่วยลดทอนความวุ่นวายของการจราจรในซอยทองหล่อไปได้เยอะทีเดียว ซึ่งเมื่อประกอบกับรายละเอียดการตกแต่งร้านอาหารแต่ละร้านที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกันเลย โดยมีตั้งแต่สไตล์เรโทร ยุโรป ไปจนถึงสไตล์แบบเม็กซิกัน มีการตกแต่งด้วยลายกราฟิติและภาพวาดเต็มพื้นที่ ทั้งหมดนี้ถือว่าช่วยเติมเต็มบรรยากาศของความสนุกในการสังสรรค์และการรับประทานอาหารของคุณได้อย่างลงตัว The Commons (เดอะ คอมมอนส์) คอมมูนิตี้มอลล์ความสูง 4 ชั้นที่ใช้เวลาถึง 4 ปีเต็มกว่าจะสร้างจนจะแล้วเสร็จ ซึ่งตั้งอยู่ในซอยทองหล่อ 17 แห่งนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งอาคารที่มีความโดดเด่นในแง่ของการออกแบบทางสถาปัตยกรรม เพราะซ่อนลูกเล่นและรายละเอียดของประโยชน์ใช้สอยภายในตัวอาคารไว้ได้อย่างแยบยลในลักษณะแบบการสร้างชุมชน ภายใต้แนวคิด “Wholesome Living” หรือการใช้ชีวิตแบบมีสมดุลที่ดี โดยผ่านการแบ่งสัดส่วนของพื้นที่อินดอร์และเอาท์ดอร์อย่างพอเหมาะสอดประสานไปด้วยกัน เพื่อให้การใช้พื้นที่เกิดขึ้นได้อย่างหลากหลายรูปแบบ จะเป็นการมารับประทานอาหารภายในร้าน มาจับจ่าย มาทำกิจกรรมไลฟ์สไตล์ หรือจะซื้ออาหารแล้วออกไปใช้พื้นที่เอาท์ดอร์ตรงกลางส่วนที่เรียกว่า Common Ground ที่จัดไว้เหมือนเป็นสวนหลังบ้านในบรรยากาศสบายๆ ก็สามารถทำได้อย่างเต็มที่เพราะผู้ออกแบบคือ Department of Architecture ตั้งใจให้พื้นที่ตรงนี้เหมือนกล่องโปร่งๆ ที่สบาย รับลมได้ดีทุกทิศ ในขณะที่กันแดดและฝนได้ตลอดเวลา ถือว่าเป็นความลงตัวทางสถาปัตยกรรมที่น่าอิจฉาของคนย่านทองหล่ออย่างแท้จริง KHUN by yoo inspired by Starck (คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค) อีกหนึ่งอาคารที่เพิ่งผุดขึ้นมาใจกลางทองหล่อ ทว่าโดดเด่นไม่แพ้สถาปัตยกรรมอื่นๆ ในย่านนี้ต้องเป็น KHUN by yoo inspired by Starck เพราะแค่รูปลักษณ์ภายนอกของตัวอาคารที่ดูแปลกตากับความโดดเด่นของการเลือกใช้สีทองแดงคอปเปอร์ เป็นมันวาว แค่นี้ก็ดึงดูดความสนใจได้ในทันทีสำหรับทุกคนที่ผ่านไปผ่านมา อาคารขนาดสองชั้นหลังนี้ความเป็นจริงเป็นเซลล์ แกลเลอรี่ของโครงการคอนโดมิเนียมไฮเอนด์แห่งใหม่จาก “แสนสิริ” ที่ร่วมมือกับ “yoo studio” บริษัทออกแบบชื่อดังระดับโลก โดยมี “Philippe Starck” ดีไซเนอร์และนักออกแบบผลิตภัณฑ์อัจฉริยะชื่อก้องโลกมาร่วมสร้างสรรค์การออกแบบในโครงการคอนโดมิเนียมด้วย ทำให้การออกแบบเซลล์ แกลเลอรี่แห่งนี้ แสนสิริจึงต้องการนำเสนอความแปลกใหม่โดยพัฒนารูปแบบการนำเสนอผ่านแกลเลอรี่โชว์ผลงานออกแบบของ “Philippe Starck” แทน โดยผลิตภัณฑ์ของสตาร์คที่หยิบมาโชว์มีทั้งเฟอร์นิเจอร์ สุขภัณฑ์ หรือของประดับตกแต่งบ้านที่โครงการฯจะนำมาใช้จริงทั้งหมด เข้าไปเดินแล้วจะรู้สึกเหมือนมาเดินดูนิทรรศการศิลปะมากกว่า แน่นอนว่าถ้าโครงการ KHUN by yoo inspired by Starck ก่อสร้างจนแล้วเสร็จ อาคารเซลล์ แกลเลอรี่สุดเก๋ที่เราเห็นนี้อาจจะต้องถูกรื้อถอนออกไป แต่แน่ใจได้ตั้งแต่ตอนนี้ว่า ตัวคอนโดมิเนียมจริงที่ก่อสร้างภายใต้แนวคิด “Industrial Heritage” จะสะท้อนความทันสมัยของย่านทองหล่อ ทำเลที่พักอาศัยใจกลางเมือง ผสานกับความหรูหรา ทันสมัย ได้อย่างโดดเด่นไม่แพ้กันแน่นอน สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมโครงการ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sansiri.com/condominium/khunbyyoo หรือโทร 1685 Face Bangkok (เฟส แบงคอก) หมู่อาคารไม้สักทรงไทยล้านนาที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยทองหล่อ 38 แห่งนี้คือที่ตั้งของ Face Bangkok ร้านอาหาร บาร์ และสปาที่สอดประสานอยู่ในหมู่อาคารเดียวกันอย่างกลมกลืน ภายใต้บรรยากาศของเรือนไทยที่แวดล้อมไว้ด้วยสวนสวย และบ่อน้ำที่ให้ความสงบร่มเย็นเหมือนวิถีชีวิตริมคลองของคนไทยในอดีต ทว่าก้าวทันโลกด้วยรายละเอียดของการตกแต่งภายใน ทั้งภาพวาด ของประดับตกแต่ง และศิลปวัตถุทำมือ ที่เผยให้เห็นรายละเอียดของวัฒนธรรมจากนานาชาติในเอเชีย ที่โดดเด่นที่สุดคงเป็นสามชาติสามวัฒนธรรม ได้แก่ ไทย อินเดีย และญี่ปุ่นที่ผสมกลมกลืนกันอยู่ผ่านเมนูอาหารที่จะเลือกสั่งแบบแยกเชื้อชาติจากกันเป็นจานๆ หรือสั่งเมนูที่ผสมข้ามวัฒนธรรมไว้แล้วก็ได้เช่นกัน รายละเอียดของการสร้างตัวอาคารแบบมีใต้ถุนหยิบแรงบันดาลใจมาจากเรือนไม้สักของจิม ทอมป์สัน ทว่าสร้างในขนาดตัวอาคารที่ใหญ่ขึ้นเพื่อให้รองรับการเป็นทั้งร้านอาหาร สปา และบาร์ให้ได้อย่างลงตัว                  ส่วนการตกแต่งนั้นแม้จะเน้นความเรียบง่าย แต่รายละเอียดของวัสดุและของตกแต่งนั้นสะท้อนให้เห็นความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมของทั้งคนไทยและคนเอเชียอย่างเด่นชัด ถือเป็นอีกหนึ่งอาคารทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นอีกแห่งหนึ่งในย่านนี้ Teddy Castle (เท็ดดี้ คาสเซิล) ขอบคุณรูปจากร้าน Teddy Castle พูดถึงดีไซน์ภายนอกของงานสถาปัตยกรรมที่งดงาม โดดเด่นทั้งในแบบโมเดิร์นหรือแบบไทยกันไปหลายแห่งแล้ว ลองมาดูกันที่งานออกแบบสถาปัตยกรรมภายนอกแบบปราสาทที่มีกลิ่นอายของอังกฤษโบราณกันบ้างอย่างร้าน Teddy Castle ที่เป็นทั้งคาเฟ่และอาณาจักรของตุ๊กตาหมีแบรนด์ Teddy House ที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ในใจกลางทองหล่อซอย 5 นอกจากภายนอกที่ดูโดดเด่นท่ามกลางใจกลางเมืองแล้ว ภายในยังได้รับการตกแต่งอย่างละเอียดอ่อนทำให้ผู้มาเยือนเพลิดเพลินกับเสน่ห์อันคลาสสิก ดั่ง ดื่มด่ำอยู่ในปราสาทอังกฤษ เดิมทีปราสาทแห่งนี้เป็นที่ตั้งของร้านอาหารสุดเก๋อย่าง Blue Velvet แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปเจ้าของใหม่ได้เปลี่ยนโฉมปราสาทแห่งนี้ให้เป็นปราสาทหลังงามของเหล่าตุ๊กตาหมีได้อย่างลงตัว โดยอาศัยโครงสร้างที่เลียนแบบสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์จากโซนยุโรปไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างภายนอก เริ่มตั้งแต่สะพานไม้ข้ามคลองเปรียบประหนึ่งจินตนาการที่เห็นในหนังสือการ์ตูนเทพนิยาย การใช้ปูนเปลือยผสมอิฐ การเล่นเลเยอร์ของผนังที่ยิ่งเดินเข้าไปยิ่งเห็นเป็นมิติเหมือนการเดินเข้าไปในโซนลับของปราสาท รวมทั้งดึงเอากลิ่นอายของยุคโกธิคมาเพิ่มเติมความโดดเด่นด้วยกระจกสีเหมือนที่เห็นกันบ่อย ๆ ในโบสถ์ ซึ่งเจ้าของใหม่ได้ใช้รายละเอียดต่าง ๆ ของแต่ละมุมมาผูกโยงเรื่องราวให้กับเหล่าตุ๊กตาหมี ที่สมมติให้มีชีวิต โดยมีพนักงานพาชมและเล่านิทานแห่งเมืองปราสาทหมีนางฟ้าเทวดา เป็นอีกหนึ่งไม้เด็ดในการสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้ลูกค้าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ นอกเหนือจากโซนขายตุ๊กตาหมีและคาเฟ่ที่แบ่งสรรไว้อย่างลงตัว นี่แค่ทองหล่อเพียงย่านเดียว ยังมีตัวอย่างของงานสถาปัตยกรรมที่น่าสนใจมากมายขนาดนี้ แน่ใจได้เลยว่าถ้าลองสำรวจกรุงเทพฯให้ดีๆ เราอาจจะเจอย่านที่เต็มไปด้วยงานสถาปัตยกรรมสวยๆ ที่น่าไปเยี่ยมเยือนอีกหลายแห่งแน่นอน
คนผ่อนบ้านกับผ่อนรถ ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้ใครมากกว่ากัน

คนผ่อนบ้านกับผ่อนรถ ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้ใครมากกว่ากัน

คนที่อยากมีบัตรเครดิตใช้และได้สมัครบัตรเครดิตกับธนาคารไปก็ย่อมอยากรู้ว่าตัวเองจะได้รับการอนุมัติหรือไม่ ซึ่งความกังวลใจเหล่านี้อาจจะมาจากด้วยหลากหลายเหตุผลที่ทำให้ไม่มั่นใจในการขออนุมัติบัตร เช่น เคยมีประวัติจ่ายหนี้ช้าบ้าง แต่ไม่เคยไม่จ่าย หรือปัจจุบันมีภาระหนี้อยู่เยอะ บางคนก็ผ่อนบ้าน บางคนก็ผ่อนรถยนต์ จึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่าระหว่างคนผ่อนบ้านกับผ่อนรถ ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้ใครมากกว่ากัน   หากมองในมุมของระยะเวลาในการผ่อน การผ่อนรถยนต์ก็จะดูเป็นภาระน้อยกว่าเพราะผ่อนไม่กี่ปีก็จบ ในขณะที่คนที่ผ่อนบ้านจะต้องผ่อนเป็นเวลานานเป็นสิบปีถือว่าเป็นภาระหนี้ที่ยาวนาน ถ้ามองในมุมนี้ โอกาสที่ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้กับคนที่ผ่อนรถยนต์ก็มากกว่าคนที่ผ่อนบ้าน   แต่หากมองในอีกมุมเรื่องของเครดิตที่เกิดจากการขอสินเชื่อนั้น การที่คนเราได้รับอนุมัติกู้เงินซื้อบ้านได้ต้องถือว่ามีเครดิตที่ดีมาก ต้องผ่านการพิจารณาหลักเกณฑ์ต่าง ๆ จนธนาคารมั่นใจได้จึงปล่อยเครดิตกู้บ้านให้ได้ หากมองในมุมที่การขอสินเชื่อบ้านนั้นยากกว่าการขอสินเชื่อรถยนต์ ธนาคารก็น่าจะอนุมัติบัตรเครดิตให้กับคนที่ผ่อนบ้านมากกว่าคนที่ผ่อนรถยนต์   ในความเป็นจริงแล้ว เหตุผลที่ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้กับลูกค้าหรือไม่นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องว่าลูกค้าคนนั้นผ่อนบ้านหรือผ่อนรถยนต์อยู่เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องดูปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายด้วย โดยการอนุมัติบัตรเครดิตในปัจจุบันธนาคารจะใช้ระบบที่เรียกว่า Credit Scoring โดยนำหลักเกณฑ์ คุณสมบัติและข้อมูลรายละเอียดของลูกค้ามาจัดทำเป็น Score เพื่อดูว่าลูกค้าคนนั้นผ่านเกณฑ์หรือไม่ หากผ่านเกณฑ์ก็หมายความว่าได้รับอนุมัติ แต่หากไม่ผ่านก็หมายความว่าไม่ได้รับอนุมัตินั่นเอง   โดยข้อมูลที่นำมาเป็นปัจจัยในการทำ Credit Scoring ก็อาจจะแตกต่างกันไปตามนโยบายของแต่ละธนาคาร ธนาคารหลายแห่งใช้ผลวิเคราะห์จากสถิติของลูกค้าธนาคารในอดีตเพื่อนำมากำหนดเป็น Credit Scoring ใช้ในการพิจารณาการอนุมัติหรือไม่อนุมัติบัตรเครดิตใหม่ให้กับลูกค้าด้วย ยกตัวอย่างสิ่งที่จะมีผลกับ Credit Scoring เช่น อายุ คนที่มีอายุน้อยจะได้คะแนนน้อยกว่าคนที่อยู่ในช่วงวัยกลางคนหรือเป็นผู้ใหญ่กว่า เพราะธนาคารมองว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่ทำงานมานานมีความมั่นคงทางการงานและการเงินมากกว่า ส่วนคนที่มีอายุน้อยก็อาจเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นานและยังมีโอกาสที่จะเปลี่ยนงานได้อีก ส่วนคนที่มีอายุมากอยู่ในวัยใกล้เกษียณหรือเกษียณแล้วก็อาจได้คะแนนเครดิตน้อยกว่าคนที่อยู่ในวัยทำงานเพราะธนาคารก็มองอีกเช่นกันว่าคนเหล่านี้อีกไม่นานก็จะถึงวัยที่ไม่ได้ทำงานมีรายได้อีกต่อไป อาชีพ คนที่มีอาชีพมั่นคง เช่น แพทย์หรือวิศวกรมีโอกาสที่จะได้รับอนุมัติบัตรเครดิตมากกว่าอาชีพอื่น ๆ เพราะธนาคารถือว่าการงานมั่นคงต่อให้ต้องย้ายที่ทำงานก็มีงานรองรับแน่นอน เมื่อเทียบกับอาชีพผู้รับเหมาก่อสร้างหรือพนักงานขายที่รายได้อาจจะไม่มั่นคงมีขึ้นมีลงได้ตลอด การศึกษา คนที่มีการศึกษาสูงกว่า เช่น จบปริญญาเอกหรือปริญญาโท มีโอกาสที่จะได้คะแนนเครดิตสูงกว่าคนที่เรียนไม่จบหรือจบแค่ปริญญาตรี เพราะธนาคารมองว่าคือโอกาสในการทำงานที่มีความมั่นคง เพศ มีเช่นกันสำหรับบางธนาคารที่ให้คะแนนเครดิตผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เพราะถือว่าเป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องทำงานและเป็นคนที่มีรายได้ แต่บางธนาคารก็ให้คะแนนเครดิตผู้หญิงมากกว่าก็มี เพราะมองในมุมว่าผู้หญิงมีความรับผิดชอบสูงกว่า ประวัติสินเชื่อ คนที่มีเครดิตคือเคยกู้เงินมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิตใบก่อนหน้า สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์หรือเงินกู้อะไรก็แล้วแต่ ธนาคารจะพิจารณาให้คะแนนเครดิตคนเหล่านี้มากกว่าคนที่ไม่เคยมีเครดิตหรือขอสินเชื่อที่ไหนมาก่อนเลย รายได้ ข้อมูลรายได้ของลูกค้าแน่นอนว่าต้องเป็นส่วนหนึ่งของการให้คะแนนเครดิต คนที่มีรายได้สูงกว่าก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้รับอนุมัติบัตรเครดิตมากกว่าคนที่มีรายได้น้อย ภาระหนี้ ภาระหนี้ที่มีอยู่ในปัจจุบันก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะบอกถึงความสามารถในการชำระหนี้ก้อนใหม่ที่ลูกค้ากำลังสมัครเข้ามา ลูกค้าที่มีภาระหนี้น้อยกว่าก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้รับอนุมัติบัตรเครดิตมากกว่าลูกค้าที่มีภาระหนี้เยอะ   ที่ยกมาก็เป็นเพียงแค่ตัวอย่างของปัจจัยที่มีผลกับ Credit Scoring ที่ธนาคารใช้เป็นเครื่องมือในการพิจารณาอนุมัติบัตรเครดิตให้กับลูกค้าเท่านั้น อาจมีปัจจัยอะไรอื่น ๆ อีกที่เราไม่สามารถรู้ได้ ทั้งนี้เนื่องจากเป็นนโยบายของแต่ละธนาคารที่แตกต่างกันไป น้ำหนักคะแนนของแต่ละปัจจัยว่าเรื่องไหนจะมากหรือน้อยก็ไม่มีสูตรตายตัวแล้วแต่นโยบายของแต่ละธนาคารอีก จึงเป็นเรื่องที่ตอบได้ยากในบางครั้งว่าเพราะเหตุใดบางคนถึงสมัครบัตรเครดิตแล้วไม่ผ่าน หรือบางคนสมัครบัตรเครดิตกับธนาคารหนึ่งไม่ผ่าน แต่สมัครกับอีกธนาคารหนึ่งอาจจะผ่านก็เป็นได้   เรื่องการผ่อนบ้านหรือผ่อนรถธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้กับใครมากกว่ากัน จึงเป็นเรื่องที่ตอบยาก ต้องดูเรื่องภาระหนี้ด้วยเป็นสิ่งสำคัญ หากมีรายได้มากแม้ผ่อนบ้านหรือผ่อนรถแล้ว ภาระหนี้ก็ยังไม่ถึง 40% แบบนี้โอกาสที่จะได้รับอนุมัติบัตรเครดิตก็ย่อมสูงขึ้น อย่างลูกค้าบางรายเมื่อได้รับอนุมัติสินเชื่อบ้านเรียบร้อย ผ่อนจ่ายไปไม่กี่เดือน ธนาคารก็โทรมาเสนอบัตรเครดิตให้ใช้โดยไม่ต้องเสียเวลาสมัครก็มี หรืออย่างคนที่ผ่อนรถอยู่ก็มีที่สมัครบัตรเครดิตแล้วได้หรือไม่ได้รับอนุมัติมีทั้งสองแบบด้วยเหตุผลที่ต่างกันไป   ดังนั้นการที่ธนาคารจะอนุมัติบัตรเครดิตให้หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราผ่อนบ้านหรือผ่อนรถอยู่เท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ประกอบอีกมากมายขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละธนาคาร   ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://money.sanook.com/424023/
ผ่อนบ้าน (คอนโด) แนวฮาร์ดคอร์ หมดภายใน 7-10 ปี

ผ่อนบ้าน (คอนโด) แนวฮาร์ดคอร์ หมดภายใน 7-10 ปี

วิธีผ่อนบ้านหรือคอนโดให้หมดภายใน 7-10 ปี สำหรับคนที่อยากหมดหนี้บ้านหรือคอนโดไว ๆ ไม่ต้องผ่อนนาน อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่ชายคนนี้ก็ทำได้จริง ๆ   ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจอยากมีสินทรัพย์เป็นของตัวเอง ชายคนนี้เลยคิดหาวิธีผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ๆ ที่กล้าบอกเลยว่าทำได้จริง ๆ เพราะเขาทำมาแล้ว อีกทั้งวันนี้ คุณ Mr.Worldwide สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ก็ได้นำประสบการณ์การปลดหนี้บ้านภายใน 7-10 ปีมาบอกต่อกันด้วย ไว้เป็นไกด์ไลน์ให้กับคนที่มีหนี้บ้านหรือคอนโดอยู่ตอนนี้ "ผ่อนบ้าน (คอนโด) แนวฮาร์ดคอร์ หมดภายใน 7-10 ปี" ฟันธง ! โดย คุณ Mr.Worldwide คือผมอยากแชร์ประสบการณ์วิธีผ่อนบ้านและคอนโด ที่ผมเคยทำตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์เงินเดือน เริ่มต้นตั้งแต่สมัยที่ผมยังมีเงินเดือนแค่ 14,000 บาท เมื่อประมาณ 18 ปีที่แล้ว เลื่อนตำแหน่งเปลี่ยนงานมาก็มาก จนปัจจุบันมาทำธุรกิจส่วนตัว จึงมั่นใจว่าวิธีการจัดการผ่อนบ้านของผมค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจสำหรับตัวเอง และคิดว่าน่าจะพอเป็นไกด์ไลน์ให้คนที่กำลังจะซื้อบ้านหรือคอนโดมาให้ทราบกันครับ   ขอบอกว่าแนวทางผมอาจจะ "อึดอัด" และต้องมี "วินัยสูง" แต่รับประกันว่าสามารถลดเวลาผ่อนสินทรัพย์ของท่านจาก 25-30 ปีหรืออาจจะมากกว่าจนผ่อน 7-10 ปีได้ !!! ยกตัวอย่างผ่อนบ้าน ผมเริ่มคิดที่จะมีสินทรัพย์แรกคือ ทาวน์โฮมครับ เป็นทาวน์โฮมที่อยู่เกือบจะในเมืองหรือเกือบจะนอกเมือง 555 (คือมันอยู่ปลาย ๆ พระราม 9) ราคาประมาณ 4 ล้านบาท สมัยนั้นผมทำงานบริษัท หน้าที่การงานดี ได้เงินเดือน ๆ ละ 55,000 บาทครับ พอตัดสินใจจะซื้อ เซลส์มักจะโน้มน้าวเราต่าง ๆ นานา เพราะเห็นว่าเราคงกู้ผ่านแน่ ๆ "ผ่อนเดือนละ 20,000 บาทเองค่ะ สบาย ๆ" ประโยคนี้อันตรายครับ เพราะหากเป็นคนทั่วไปมักจะคิดว่าเงินเดือน 5 หมื่นกว่าบาท ผ่อนแค่ 2 หมื่นบาท ชิล ๆ ใช่ไหมครับ ?   วิธีคิดของผมคือ ถ้าเราชอบสินทรัพย์นั้น ๆ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคอนโด บ้าน หรือทาวน์เฮ้าส์ แต่ท่านตั้งใจจะซื้อแน่นอน "ถ้าเราต้องผ่อน 20,000 บาท (ตัวอย่าง) ให้เราคิดว่าเราต้องผ่อนเป็น "2 เท่า" คือ 40,000 บาทให้ได้ ผมถึงจะซื้อครับ"   อ่านถึงตรงนี้คงมีคนบอก  "ถ้าอย่างนั้นอย่าผ่อนเลย ไม่มีวันมีบ้านหรอกชาตินี้" คิดแบบนั้นก็คือ ผ่อนไปตามนั้นเดือนละ 20,000 บาท ก็จะไปจบที่ผ่อน 25-27 ปี ถึงจะได้เป็นเจ้าของจริง ๆ (โดยประมาณของดอกเบี้ยลดต้นลดดอกของการผ่อนบ้าน) แต่ผมบอกแล้ววิธีผ่อนบ้านของผม "ฮาร์ดคอร์" ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น เพราะรู้ไหมครับว่าดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านแพงมาก ๆ ท่านจะทราบก็ต่อเมื่อเป็นลูกหนี้แล้วเท่านั้น เอาดอกเบี้ยมาตรฐานทั่วไป MLR-1% หรือดอกเบี้ยประมาณ 5-7% ต่อปี เพราะเวลาเราผ่อนบ้าน 1-3 ปีแรก มันจะมีดอกเบี้ยหลายแบบ ทั้ง 0% ปีแรกบ้าง ปีต่อไปลอยตัว (อันนี้ไม่ค่อยมีแล้ว) แบบขั้นบันไดบ้าง ผมขอไม่ลงดีเทลนะครับ ขอสมมุติว่าดอกเบี้ย 5-7% ต่อปีแบบเท่ากันหมด (ซึ่งส่วนใหญ่เราก็ผ่อนกันเกิน 3 ปีกันอยู่แล้ว แล้วค่อยรีไฟแนนซ์ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง) แต่ถ้าเอาแบบบ้าน ๆ ก็คือ เวลาบิลเรียกเก็บค่างวดมาที่บ้าน หากท่านผ่อนเดือนละ 20,000 บาท ท่านจะเห็นในบิลเลยว่า ดอกเบี้ย = 12,000 บาท (หัก) เงินต้น = 8,000 บาท (เอาเลขกลม ๆ) นี่คือค่าผ่อนต่อเดือนนะครับ คราวนี้ดอกเบี้ยแพงหรือยังครับ กู้ไป 4 ล้านบาทเมื่อไรจะหมด ? (4,000,000-8,000 = 3,992,000)   แต่ผ่อน "2 เท่า" ตามวิธีของผมก็คือ 40,000 บาท เหลือกินใช้ 15,000 บาท (สำหรับคนไม่มีภาระนะครับ หากมีภาระแล้ว อยากใช้วิธีนี้แนะนำให้ดูสินทรัพย์ที่ถูกลงมาครับ) "20,000 บาทแรก" (ดอกเบี้ย 12,000 บาท+หักเงินต้น 8,000 บาท) "20,000 บาทหลัง" (หักเงินต้น 100% หรือหักไปเลยอีก 20,000 บาท)  ^_^ หมายความว่า ท่านจะสามารถหักเงินต้นเดือนนั้นได้ถึง 8,000+20,000 บาท หรือ "3.5 เท่า" ของการหักโดยปกติ (4,000,000-28,000 = 3,972,000)   เห็นไหมครับว่าเงินต้นที่กู้ธนาคารมาลดลงเร็วขึ้น เพราะเราได้จ่ายดอกเบี้ยสำหรับค่างวด 20,000 บาทแรกแล้ว ท่านก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ พอสิ้นปีได้โบนัส ถูกหวย หรือได้เงินพิเศษมาก็จ่ายเพิ่มหนักหน่อย แต่บางครั้งเราก็จำเป็นต้องใช้เงิน ท่านก็สามารถลดเงินค่างวดพิเศษลงได้หรือไม่จ่ายเพิ่มในเดือนนั้น แต่อย่าทำบ่อยนะครับ ถ้ามีครั้งแรกย่อมมีครั้งที่ 2 เสมอ   พอผ่านไปสัก 3 ปี ผมกล้าพูดได้เลยว่าเงินต้นที่ท่านกู้จะลดลงไปมาก ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาทแน่นอนครับ หนี้จาก "4 ล้านบาทก็จะเหลือไม่ถึง 3 ล้านบาท ประมาณ 2 ล้านบาทปลาย ๆ (ถ้าผ่อนแบบปกติครบ 3 ปี เงินต้นจะลดไปแค่ 1 แสนบาทเองครับ ลองคิดดู) หากท่านมีวินัย โปะไปเรื่อย ๆ หนี้สินก็จะหมดภายใน 5-7 ปี แล้วท่านก็จะปลอดหนี้ ถ้าไม่สร้างหนี้เพิ่มเหมือนผม   วิธีการคือ ตากปกติธนาคารมักจะให้หักค่างวดจากบัญชีของธนาคารนั้น ๆ เลย (20,000 บาทแรก) โดยเราสามารถจ่ายเพิ่มได้อีก 1 เท่า (20,000 บาทหลัง) ได้โดยการไปจ่ายที่เคาน์เตอร์ธนาคารนั้น ๆ ครับ แนะนำว่าควรไปจ่ายเพิ่มอีก 1 เท่าภายในเดือนนั้น ๆ แต่ควรเป็นต้นเดือน เพราะโดยปกติธนาคารจะเรียกเก็บค่างวดจากการหักบัญชีเราตอนสิ้นเดือน (ส่วนใหญ่วันที่ 30 ของทุกเดือน) เพราะถ้าเราจ่ายวันที่ 1 ของเดือนนั้น ธนาคารจะแอบคิดดอกเบี้ย 1 วัน (ประมาณ 500 บาท) หักเงินต้น (19,500 บาท) อ่าว…ไหนบอกหัก 100% ไง ?? คืออย่าเพิ่งตกใจครับ เพราะตอนธนาคารหักเงินจากบัญชีเรา วันที่ 30 ที่หักค่างวดปกติ ดอกเบี้ยก็จะคิดแค่ 29 วัน ไม่นับวันที่ 1 ที่เราจ่ายแล้วครับ เข้าใจแล้วใช่ไหมครับ   พอครบ 3 ปีเราค่อยไปรีไฟแนนซ์กับธนาคารอื่นที่เราจ่ายดอกเบี้ยน้อยกว่า เพราะจะมีโปรโมชั่นรีไฟแนนซ์ที่ดีกว่า เพราะพอครบ 3 ปีเราจะไม่ได้โปรโมชั่นจากธนาคารเดิมแล้ว "ปีที่ 4 ทุกธนาคารจะคิดดอกเบี้ยลอยตัวหมดครับ"  (ควรไปรีไฟแนนซ์หรือภาษาบ้าน ๆ เรียกว่าไปกู้ธนาคารอื่นครับ เพื่อโปรโมชั่นดอกเบี้ยที่ถูกลง อย่าทำก่อน 3 ปีนะครับ เพราะจะโดนค่าปรับไม่คุ้มครับ)   หวังว่าจะพอเป็นประโยชน์สำหรับคนที่คิดกู้เงินซื้อบ้านนะครับ วิธีการนี้หากใช้ให้เป็น มันสามารถสร้างสินทรัพย์ได้ 4-5 อันในระยะเวลาเท่า ๆ กัน เมื่อเทียบกับคนทั่วไปที่ใช้เวลา 25-30 ปี ในการสร้างสินทรัพย์แค่อันเดียว แล้วถ้าหากสินทรัพย์เหล่านั้นที่ท่านเลือกเป็นสินทรัพย์ที่ดี ออกดอกออกผล สร้างรายได้หรือกระแสเงินสด (Cash Flow) ให้ท่านต่อเดือน เช่น ให้ค่าเช่า มันก็จะเป็นรายได้ให้ท่านอีกทางหนึ่ง หรือที่สมัยนี้นิยมเรียกกันว่า "Passive Income" ขอขอบคุณข้อมูลผ่อนบ้านดีๆ จาก คุณ Mr.Worldwide สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม เกี่ยวกับการผ่อนบ้าน-คอนโด เคล็ดลับผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ดอกเบี้ยลด หมดหนี้ไว ผ่อนบ้านไม่ไหว ควรทำอย่างไรดี ผ่อนบ้านหมดไว เหมือนได้รถใหม่ 1 คัน
เก็บเงินซื้อบ้านทั้งที ต้องเก็บส่วนไหน เก็บอย่างไรบ้าง?

เก็บเงินซื้อบ้านทั้งที ต้องเก็บส่วนไหน เก็บอย่างไรบ้าง?

เชื่อการมีบ้านซักหลังคือความฝันของใครหลาย ๆ คน แม้ว่าการเก็บเงินซื้อบ้านในฝันอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถหากมีความตั้งใจ และหากผู้อ่านก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ฝันอยากจะมีบ้านซักหลัง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นเก็บเงินอย่างไร วันนี้เรามีเทคนิคมาฝากค่ะ สิ่งที่ต้องทำเมื่อคิดจะเก็บเงินซื้อบ้าน 1.ตั้งเป้าหมาย หากคุณตัดสินใจที่จะมีบ้านเป็นของตัวเอง สิ่งแรกที่ควรทำคือ การตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน เช่น ต้องรู้ว่าตัวเองต้องการจะมีบ้านแบบไหน เป็นบ้านเดี่ยว บ้านสองชั้น ทาวน์เฮ้าส์ ห้องแถว หรือคอนโด ต้องการอาศัยอยู่ในพื้นที่ไหนมีทำเลแบบใด (ชานเมือง หรือ ใจกลางเมือง) รวมถึงราคาที่คุณต้องการด้วย 2.ประมวลความสามารถของตัวเอง การประมวลความสามารถ คือ การประมวลว่ามีรายได้และค่าใช้จ่ายต่อเดือนอยู่ที่เท่าไหร่ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นตัวบอกได้ดีว่า คุณมีความสามารถมากพอที่จะรับภาระการเก็บเงินดาวน์บ้าน หรือผ่อนชำระค่างวดบ้านหรือไม่ การประมวลรายรับและรายจ่ายของตัวเอง จะทำให้รู้ตัวเองว่า เป้าหมายที่ตั้งไว้เล็กหรือใหญ่เกินไปนั่นเองค่ะ 3.ลดรายจ่าย การลดรายจ่ายสามารถทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่มีวินัยในการออมและใช้เงินอย่างมีสติ ยิ่งมีความฝันว่าอยากจะมีบ้านเป็นของตัวเองแล้วล่ะก็ การลดรายจ่ายจึงถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากเลยทีเดียว เพราะเมื่อรู้ว่าสิ่งไหนสมควรจ่าย สิ่งไหนเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย จะช่วยลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้ และการลดรายจ่ายจะทำให้มีเงินออมเพิ่มมากขึ้น 4.ปลดหนี้ให้หมดก่อนตัดสินใจกู้ซื้อบ้าน เนื่องจากบ้านหนึ่งหลังมีราคาที่ค่อนข้างสูง และเป็นสินค้าที่ใช้ระยะเวลาในการผ่อนชำระนานกว่าสินค้ารูปแบบอื่น ๆ ดังนั้นหากคิดวางแผนจะซื้อบ้าน แนะนำให้เคลียร์หนี้สินที่ค้างอยู่ให้หมดเสียก่อน เพราะหากต้องผ่อนหนี้อื่นไปพร้อม ๆ กับการผ่อนชำระค่างวดบ้าน จะเป็นภาระที่หนักเกินไป เทคนิคการเก็บเงินซื้อบ้าน 1.เก็บเงินเท่า ๆ กันทุกเดือน แม้ว่าในปัจจุบันธนาคารหลายแห่งจะเปิดโอกาสให้สามารถขอสินเชื่อกู้ซื้อบ้านกันได้ง่ายมากขึ้น เพียงแค่มีสลิปเงินเดือน ก็สามารถยื่นเอกสารขอกู้เงินเพื่อซื้อบ้านได้แล้ว แต่ในความเป็นจริงนั้น อยากให้ลองคิดถึงดอกเบี้ยที่จะตามมาให้เยอะ ๆ เพราะการที่ทำเรื่องกู้ซื้อบ้านจากธนาคาร 100% แม้จะทำให้ได้บ้านในฝันสมใจ แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ ภาะระเงินต้นและดอกเบี้ยที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวแทบไม่ทัน จึงเป็นเหตุผลที่แนะนำให้เก็บเงินให้ได้ซักก้อนก่อนจะตัดสินใจดาวน์บ้าน เพราะยิ่งเก็บเงินดาวน์บ้านได้จำนวนมากเท่าไหร่ เงินต้นและดอกเบี้ยที่ต้องผ่อนกับธนาคารก็จะลดน้อยลงด้วย ซึ่งการทำแบบนี้จะส่งผลดีในระยะยาว และหากตั้งเป้าหมายว่าจะซื้อบ้านซักหลัง แนะนำให้เริ่มต้นเก็บเงิน โดยหักจากรายได้ประจำซัก 15-20% และนำเงินจำนวนนี้ฝากบัญชีสำหรับซื้อบ้านไว้ ในจุดนี้จะต้องมีวินัยทางการเงินเป็นอย่างมาก ห้ามเบิกเงินจากบัญชีสำหรับซื้อบ้านออกมาใช้โดยเด็ดขาด ท่องไว้ว่า “เพื่อบ้านในฝัน” 2.หาช่องทางการลงทุน การเก็บเงินใส่บัญชีเงินฝากของธนาคารไว้ แม้จะเป็นเรื่องที่ควรทำ แต่ก็ได้ผลตอบแทนน้อยเพราะกว่าจะเก็บเงินได้ถึงจำนวนที่ต้องการ ราคาบ้านก็อาจจะสูงขึ้นไปจากเดิม ดังนั้นช่องทางการลงทุนจึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี ซึ่งช่องทางการลงทุนที่อยากแนะนำ คือช่องทางการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนสูง อย่างการลงทุนในกองทุน LTF/RMF การลงทุนพันธบัตรรัฐบาล ซื้อกองทุนรวม เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมว่า ทุกการลงทุนมีความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุนกับกองทุนอะไร ควรศึกษาข้อมูลการลงทุนต่าง ๆ ให้ดีเสียก่อน เพื่อให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ 3.หาอาชีพเสริม หากอยากมีเงินก้อนไปดาวน์บ้านในฝันเร็ว ๆ แต่ไม่อยากเสี่ยงลงทุน การทำงานพิเศษเสริมเพิ่มรายได้ ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี  เมื่อคุณมีอาชีพเสริมก็หมายความว่า รายได้ต่อเดือนจะเพิ่มมากขึ้น และความสามารถในการเก็บเงินก็เพิ่มตามไปด้วย นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว เมื่อตัดสินใจที่จะซื้อบ้าน นอกจากจะเคลียร์หนี้สินก่อนหน้าให้หมด ระหว่างที่ผ่อนชำระบ้านก็ไม่ควรก่อหนี้เพิ่ม เพราะจะทำให้ภาระในการชำระหนี้มีสูงเกินกว่าที่จะรับผิดชอบไหวนั่นเอง   ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.banidea.com/
ปลูกบ้านแล้วขาย..ต้องเสียภาษีอย่างไร?

ปลูกบ้านแล้วขาย..ต้องเสียภาษีอย่างไร?

สำหรับผู้ที่ปลูกสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยบนที่ดินของตัวเองที่มีอยู่ แล้วต่อมาได้ขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างนั้น รู้หรือไม่ว่าจะมีภาษีและค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น ทำให้ต้องสำรองเงินไว้สักก้อนหนึ่งด้วย ซึ่งการคำนวณภาษีและค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไร เรามีข้อมูลมาฝากครับ ก่อนอื่นมาดูกันก่อนว่า เมื่อขายบ้านหรืออสังหาฯ ได้ จะมีภาษีและค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง 1. ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย  คำนวณจากราคาประเมินของกรมที่ดิน หักด้วยค่าใช้จ่าย ซึ่งขึ้นอยู่กับการได้มาของอสังหาฯ นั้น กรณีที่อสังหาฯ ได้มาโดยมรดก สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 50% กรณีที่อสังหาฯ ได้มาโดยการซื้อขาย สามารถหักค่าใช้จ่ายตามจำนวนปีที่ถือครอง โดยนับตามปี พ.ศ. 2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ จะคิดที่ 3.3% ของราคาขายหรือราคาประเมิน โดยดูว่าราคาไหนสูงกว่าก็ใช้ราคานั้นในการคำนวณ แต่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในกรณีดังนี้ (1) ถือครองอสังหาฯ เกิน 5 ปี (2) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเกิน 1 ปี (3) ขายอสังหาฯ ที่ได้รับมาโดยมรดก (4) ถูกเวนคืนบ้านหรือที่ดิน 3. ค่าอากรแสตมป์ ถ้าไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ จะเสียค่าอากรแสตมป์ในอัตรา 0.5% ของราคาขายหรือราคาประเมิน โดยใช้ราคาที่สูงกว่า 4. ค่าโอน อยู่ที่ 2% ของราคาประเมิน ซึ่งค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะขึ้นอยู่กับการตกลงของผู้ซื้อและผู้ขายว่าใครจะเป็นคนจ่าย หรือจ่ายคนละครึ่งครับ ทั้งนี้ กรณีขายบ้านที่ปลูกสร้างบนที่ดินที่มีอยู่ก่อนแล้ว เรียกว่า ได้บ้านและที่ดินมาไม่พร้อมกันนั้น ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายจะแยกคิดระหว่างที่ดินและบ้านหรือสิ่งปลูกสร้างครับ ขอยกตัวอย่างประกอบการคำนวณดังนี้ สมมติได้รับมรดกที่ดินเมื่อ 20 ตุลาคม 2554 สร้างบ้านบนที่ดินเสร็จเมื่อ 15 มกราคม 2556 ต่อมาได้ขายบ้านพร้อมที่ดินเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2559 หากราคาประเมินที่ดินอยู่ที่ 6,000,000 บาท ราคาประเมินบ้านอยู่ที่ 2,000,000 บาท และราคาขายบ้านพร้อมที่ดินอยู่ที่ 10,000,000 บาท   รวมภาษีหัก ณ ที่จ่ายบ้านและที่ดิน เท่ากับ 210,000 + 29,000 = 239,000 บาท ทั้งนี้ การขายอสังหาฯ ที่เป็นมรดก หรือได้มาโดยไม่ได้มุ่งค้าหรือหากำไร สามารถเลือกได้ว่าไม่ต้องนำเงินได้มารวมคำนวณภาษีประจำปี นอกจากนี้ การขายอสังหาฯ ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือค่าอากรแสตมป์อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่ได้มาไม่พร้อมกัน จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรืออากรแสตมป์นั้น ให้พิจารณาจากอสังหาฯ ที่ได้มาภายหลัง โดยหากถือครองไม่เกิน 5 ปี หรือมีชื่อในทะเบียนบ้านไม่ถึง 1 ปี จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% ของราคาขายหรือราคาประเมิน โดยดูว่าราคาไหนสูงกว่าก็ใช้ราคานั้นในการคำนวณ จากตัวอย่างข้างต้น ถือครองบ้านไม่ถึง 5 ปีเต็ม และไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน จะต้องนำบ้านและที่ดินรวมกันเพื่อคำนวณภาษีธุรกิจเฉพาะ ดังนั้น ราคาขายบ้านและที่ดินอยู่ที่ 10,000,000 บาท จะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% x 10,000,000 บาท = 330,000 บาทครับ แต่หากมีการถือครองอสังหาฯ ที่ได้มาภายหลังครบ 5 ปีเต็ม หรือมีชื่อในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า 1 ปี จะเสียค่าอากรแสตมป์ในอัตรา 0.5% ของราคาขายหรือราคาประเมิน โดยใช้ราคาที่สูงกว่าในการคำนวณ นั่นคือ จะเสียค่าอากรแสตมป์ 0.5% x 10,000,000 บาท = 50,000 บาทครับ เห็นได้ว่า หากขายอสังหาฯ ที่เข้าเงื่อนไขเสียค่าอากรแสตมป์จะมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการเสียภาษีธุรกิจเฉพาะครับ สำหรับค่าโอนที่ต้องจ่ายให้กับกรมที่ดินขึ้นอยู่กับการตกลงของผู้ซื้อและผู้ขาย ซึ่งอยู่ที่ 2% ของราคาประเมิน จากตัวอย่างจะมีค่าโอนเกิดขึ้น 2% x 8,000,000 บาท = 160,000 บาทครับ ก่อนขายอสังหาฯ อย่าลืมพิจารณาภาษีและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อวางแผนลดค่าใช้จ่ายลง เช่น ถือครองอสังหาฯ ให้ครบ 5 ปี หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านอย่างน้อย 1 ปี จะช่วยให้เสียค่าอากรแสตมป์เพียง 0.5% ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะถึง 3.3% ดังนั้น หากศึกษาข้อมูลการขายอสังหาฯ ให้ดี ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากทีเดียวครับ   ขอขอบคุณข้อมูลมาก k-expert.askkbank.com
“ราคาที่ดิน” ตัวแปรสำคัญในตลาดคอนโดมิเนียม

“ราคาที่ดิน” ตัวแปรสำคัญในตลาดคอนโดมิเนียม

หลังจากทางภาครัฐได้ประกาศเรื่องการออกกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะกำหนดใช้ประมาณปี 2562 ก็ทำให้ผู้ที่ถือครองที่ดินที่มีมูลค่าสูงเริ่มตื่นตัวมากขึ้นในการหาทางออกให้กับตัวเอง เพราะในข้อกำหนดฉบับใหม่ของพรบ. ฉบับนี้ มีการกำหนดอัตราภาษีใหม่ โดยเฉพาะที่ดินรกร้างว่างเปล่าจะมีอัตราเก็บภาษีสูงสุดเมื่อเทียบกับที่ดินประเภทอื่น จุดนี้เองทำให้หลายคนเชื่อว่าจะเริ่มมีการนำที่ดินออกมาใช้ประโยชน์กันมากขึ้น โดยเฉพาะที่ดินที่มีราคาสูงตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งมีแนวโน้มในการนำมาปล่อยเช่าค่อนข้างสูง เพราะนอกจากจะได้ค่าเช่าแล้ว ยังสามารถผลักภาระการจ่ายภาษีให้กับผู้เช่าจ่ายได้ แต่หากอยู่ในทำเลที่ดีก็ย่อมเป็นที่จับตามองของเหล่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ดินทำเลสวยๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองใหญ่ในหลายจังหวัด มักจะถูกทางผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์กว้านซื้อไปในราคาที่สูงขึ้นตามราคากลาง จึงต้องพัฒนาเป็นโครงการระดับหรูเสียส่วนใหญ่ แต่ดีมานด์ในระดับนี้ยังมีจำนวนจำกัด หลายค่ายจึงหันไปหาลูกค้าชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น และหันไปพัฒนาโครงการแบบมิกซ์ยูส เพื่อกระจายความเสี่ยง เพิ่มรายได้ในลักษณะอื่นๆ ขณะเดียวกันกลุ่มดีมานด์ในระดับกลาง-ล่าง ยังคงมีปัญหาเรื่องหนีครัวเรือนอยู่ตั้งแต่ปีที่แล้วมาจนถึงปีนี้ ซึ่งราคาที่ดินที่สูงที่สุดเป็นสถิติใหม่ของประเทศไทย คือ ที่ดินย่านหลังสวน ซึ่งย่านนี้ถือเป็นที่ดินหายากมากแล้ว โดยแปลงนี้เข้าไปประมาณ 100 เมตร อยู่หลังอาคารเมอร์คิวรี่ ใกล้กับรถไฟฟ้าสถานีชิดลม พื้นที่ประมาณ 2 ไร่กว่า จบราคาประมูลไปที่ 3.1 ล้านบาท/ตร.ว. รวมแล้วที่ดินแปลงนี้อยู่ที่ประมาณ 2,728 ล้านบาท ผู้ที่ชนะการประมูลไปคือบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เข้าร่วมแข่งขันการประมูลนี้กว่าสิบราย แม้จะยังไม่มีการแถลงข่าวนี้ออกมาอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญออกมาวิเคราะห์ว่าหากที่ดินแปลงนี้สร้างเป็นคอนโดมิเนียม คาดว่าจะมีราคาขายอยู่ที่ประมาณ 500,000 บาท/ตร.ม. พูดกันง่ายๆ คือเมื่อต้นทุนสูง ราคาสินค้าก็ย่อมสูงตามไปด้วย ปัญหาที่หลายคนกังวลหลังจากมีการซื้อ-ขายที่ดินในราคาที่ดูจะเกินจริงไปอยู่ไม่น้อยครั้งนี้ คือผลกระทบต่อภาพรวมของราคาที่ดินย่านใจกลางเมืองที่อาจพุ่งตัวสูงขึ้นตามไปอย่างรวดเร็วจนทำให้ไม่สามารถนำมาพัฒนาเป็นโครงการได้ เพราะจะส่งผลไปถึงราคาขายต่อยูนิตจะสูงมากจนเกินเอื้อมถึง ซึ่งในปัจจุบันการซื้อที่ดินหากได้มาในราคาประมาณ 1 ล้านบาท/ตร.ว. เมื่อพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแล้วจะถูกขายอยู่ที่ราคาเฉลี่ย 200,000 บาท/ตร.ม. เป็นราคาที่ยังอยู่ในระดับลูกค้ากลุ่มตลาดบนยังสามารถจับต้องได้ แต่ก็ต้องอยู่ในทำเลที่ดี สเปคสมราคาด้วยเช่นกัน ส่วนในอีกมุมหนึ่งก็มองว่าการพัฒนาคอนโดมิเนียมในระดับซุปเปอร์ลักชัวรี่บนทำเลใจกลางเมืองเช่นนี้ยังมีอยู่ไม่มาก เพราะมีสัดส่วนอยู่ที่ 3% จากจำนวณ    ยูนิตในตลาดคอนโดมิเนียมทั้งหมดประมาณแสนยูนิต และยังถือว่าราคาถูกเมื่อเทียบกับที่อยู่อาศัยในต่างประเทศซึ่งก็เป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายหลักของคอนโดในระดับนี้ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง ส่วนแนวโน้มราคาที่ดินในปี 2561 นี้ หากมองเฉพาะที่ดินโซนใกล้รถไฟฟ้าติดถนนใหญ่ เรียงจากราคาแพงที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ โซนหมอชิต-สยาม-อ่อนนุช ราคาต่ำสุด 580,000 บาท/ตร.ว. ราคาสูงสุด 2,100,000 บาท/ตร.ว. โซนสนามกีฬา-สะพานตากสิน ราคาต่ำสุด 1,150,000 บาท/ตร.ว. ราคาสูงสุด 1,800,000 บาท/ตร.ว. โซนหัวลำโพง-บางซื่อ ราคาต่ำสุด 480,000 บาท/ตร.ว. ราคาสูงสุด 1,700,000 บาท/ตร.ว. โซนพระราม9-ทองหล่อ ราคาต่ำสุด 125,000 บาท/ตร.ว. ราคาสูงสุด 1,650,000 บาท/ตร.ว. โซนแอร์พอร์ตลิงค์ ราคาต่ำสุด 65,000 บาท/ตร.ว. ราคาสูงสุด 1,150,000 บาท/ตร.ว. ปัจจัยที่ทำให้ที่ดินมีราคาสูงหรือต่ำนั้นมีวิธีพิจารณาอยู่หลายอย่าง เช่น ทำเลที่ตั้ง ลักษณะ-รูปร่างของแปลงที่ดิน ทางเข้า-ออกที่ดิน ขนาดที่ดิน ศักยภาพในการพัฒนาต่อไป ซึ่งจะนำมาเปรียบเทียบกับราคาที่ดินบริเวณใกล้เคียงที่มีลักษณะที่ดินคล้ายกัน รวมถึงข้อจำกัดทางกฎหมาย เช่น กฎหมายผังเมือง ซึ่งหากพรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ที่กำลังร่างพิจารณากันอยู่นี้ถูกบังคับใช้เมื่อไร กรมธนารักษ์จะเป็นผู้กำหนดราคากลางทั้งราคาประเมินทุนทรัพย์ที่ดิน ราคาประเมินทุนทรัพย์โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุด และอัตราค่าเสื่อมราคา โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยดุลยพินิจของของเจ้าหน้าที่เหมือนทุกวันนี้อีกต่อไป แต่ผู้ที่จัดเก็บภาษีคือเทศบาลตำบล เทศบาลเมือง เทศบาลนคร องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ซึ่งรายได้จากการจัดเก็บภาษีนี้จะไปอยู่ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หากราคาที่ดินยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ก็มีแนวโน้มว่าทำเลที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าในย่านใจกลางเมืองหรือห่างออกมาไม่กี่สถานี เราจะเห็นโครงการระดับพรีเมียมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะยังคงเกิดโครงการใหม่ขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง เพราะได้กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อ ทั้งการซื้อเพื่อปล่อยเช่า เพื่อเก็งกำไร และกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่แบบระยะยาว หรือซื้อเก็บไว้เป็นบ้านหลังที่ 2 ในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่โครงการระดับกลาง-ล่าง จะเริ่มเข้าไปอยู่ในซอยที่ลึกเข้าไปจากถนนใหญ่ที่ติดรถไฟฟ้า หรือออกไปอยู่แถบชานเมือง อาจมีการเปิดตัวโครงการใหม่น้อยลง แต่อาจมีจำนวนยูนิตที่มากขึ้น  ซึ่งคอนโดมิเนียมในระดับราคาที่ไม่เกิน 3 ล้านบาทตามแถบชานเมืองจะถูกผู้บริโภคนำไปเปรียบเทียบกับทาวน์โฮมที่มีราคาใกล้เคียงกัน ทำเลไม่ต่างกันมาก เพราะได้พื้นที่เยอะกว่า สามารถอยู่อาศัยกันเป็นครอบครัวได้ ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่าราคาที่ดินถือเป็นตัวแปรต้นที่สำคัญสำหรับวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้
สีลม-สาทร น่าลงทุนอย่างไร

สีลม-สาทร น่าลงทุนอย่างไร

ทุกประเทศย่อมจะต้องมีย่านที่เป็นแหล่งเศรษฐกิจสำคัญเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ ซึ่งย่านนั้นก็จะมีภาพของความเป็นเมืองหลวงอย่างชัดเจน มีตึกสูงระฟ้า มีรถสาธารณะผ่านหลายเส้นทาง เดินทางง่าย สิ่งอำนวยความสะดวกชั้นนำรายล้อม ในประเทศไทยก็คงหนีไม่พ้นแถวสีลม-สาทร ศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศไทย     ช่วงถนนสีลม-สาทร ไม่ได้มีเพียงความทันสมัย หรูหราใจกลางเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ เพียงเท่านั้น แต่ยังคงเต็มไปด้วยเรื่องราวตั้งแต่เมื่อร้อยกว่าปีผ่านมาที่การสัญจรทางเรือยังเป็นหัวใจหลักของการไปมาหาสู่และการค้าขายเชิงพาณิชย์กันกับพ่อค้าชาวจีนและชาวยุโรป โดยอาศัยคลองสาทร คลองช่องนนทรี ซึ่งเชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา ย่านนี้จึงเป็นที่อยู่อาศัยของคนหลากหลายกลุ่มทั้งขุนนาง ชนชั้นสูง ไปจนถึงชนชั้นแรงงานในสมัยนั้น ที่ดินก็ถูกจับจองเอาไว้ตั้งแต่สมัยยังเป็นทุ่งนาโล่งและกลายมาเป็นมรดกล้ำค่าในยุคปัจจุบันที่มีราคาสูงมากกว่า 1,450,000 บาท/ตร.ว.   อย่างที่ทราบกันดีว่าราคาที่ดินหลายแห่งถูกปรับสูงขึ้นมาก รวมถึงถนนสีลมที่มีอัตราการเติบโตของราคาที่ดินประมาณ 53% ส่วนถนนสาทรอยู่ที่ 78% ด้วยทำเลที่เรียกได้ว่ามีศักยภาพอันสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ อย่างที่เราเห็นกันว่าเมื่อไหร่ที่มีโครงการคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นใหม่ก็จะถูกจับจองและ Sold out ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว แม้จะมีราคาสูงเฉลี่ยแล้ว 200,000-300,000 บาท/ตร.ม. จุดนี้เป็นกระจกสะท้อนภาพให้เห็นอย่างชัดเจนถึงดีมานด์ในย่านนี้ที่ยังคงมีอยู่มากทีเดียวไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนทำงาน ครอบครัวที่มีลูกเรียนอยู่ในโรงเรียนย่านนี้ คนในพื้นที่เดิม และกลุ่มผู้ลงทุนอสังหาฯ เนื่องจากอยู่ใกล้กับออฟฟิศขนาดใหญ่ทั้งสัญชาติไทยและต่างชาติหลายแห่ง การเดินทางสะดวกทั้งรถไฟฟ้าและรถยนต์ส่วนตัวที่มีจุดขึ้น-ลงทางด่วนอยู่ไม่ไกล สิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครัน เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล สถาบันการศึกษา สถานทูต ร้านอาหาร สวนสาธารณะขนาดใหญ่ ฯลฯ วันทำงานไม่ต้องเดินทางฝ่ารถติดไปไหนไกล ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ จำนวนผู้คนก็เบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งถ้าได้คอนโดมิเนียมโครงการที่ดีมีความเป็นส่วนตัวสูงก็เหมาะมากสำหรับการมีที่อยู่อาศัยทำเลดีใกล้ออฟฟิศและยังมีพื้นที่ส่วนตัวเพื่อการพักผ่อนในวันหยุด   สำหรับการลงทุนในคอนโดมิเนียมย่านนี้คงไม่มีใครปฏิเสธได้ในความคุ้มค่ากับสิ่งที่ลงทุนไป ด้วยองค์ประกอบหลายอย่างที่เพียบพร้อม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ค่ายใหญ่ที่ต่างก็ยังคงมองหาที่ดินในย่านนี้อยู่เสมอ แม้จะเหลือที่ดินที่เหมาะแก่การนำไปพัฒนาต่อน้อยลงไปทุกที ราคาที่ดินก็สูงตาม แต่เมื่อนำมาพัฒนาเป็นโครงการในระดับลักชัวรี่ให้เหมาะสมกับดีมานด์ของย่านนี้ที่ยังมีค่อนข้างสูง ในขณะที่ซัพพลายยังถือว่าไม่ล้นก็ถือว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีการเปิดตัวโครงการใหม่ไปเพียง 5-6 โครงการ ขณะที่ความต้องการยังมีสูงมากกว่า 6,000 ยูนิต  เรื่องของการสร้างผลตอบแทนสำหรับผู้ลงทุนปล่อยเช่าก็ยิ่งได้ราคาดี โดยเฉพาะการปล่อยเช่าชาวต่างชาติที่มีดีมานด์เพิ่มสูงเรื่อยๆ อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 5%/ปี โดยคอนโดที่อยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าจะได้ค่าเช่าเฉลี่ยประมาณ 700-1,000 บาท/ตร.ม. หรือประมาณ 30,000 บาท/เดือน(สำหรับคอนโดมิเนียมในระดับราคา 6.5 ล้านบาทขึ้นไป) และด้วยราคาที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นส่งให้ราคารีเซลจะเพิ่มสูงขึ้นจากราคาตอนเปิดตัวประมาณ 7%   ไม่แปลกที่สีลม-สาทร ยังคงเนื้อหอมเป็นที่หมายปองของทั้งผู้ที่อยู่อาศัยเองและนักลงทุนอยู่เสมอ ด้วยความเพียบพร้อมของสิ่งอำนวยความสะดวกรอบตัว การเดินทางง่ายใกล้ออฟฟิศ สามารถพลิกจากชีวิตที่เร่งรีบตามสไตล์คนเมืองกรุงมาเป็นชีวิตอันแสนง่าย ไม่ต้องเร่งรีบเดินทางไปทำงานทุกวัน วันหยุดก็มีสถานที่พักผ่อนอยู่ไม่ไกล ทั้งที่อยู่ใจกลางเมือง น่าคิดนะคะว่าการอยู่ใจกลางเมืองใกล้ที่ทำงานอาจจะตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ได้มากกว่าการออกไปอยู่ชานเมือง        
เตรียมตัวกู้ซื้อบ้านอย่างไรให้ผ่านฉลุย

เตรียมตัวกู้ซื้อบ้านอย่างไรให้ผ่านฉลุย

หนึ่งในความใฝ่ฝันของชีวิตใครหลายคนก็คงจะอยากมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลัง เพราะที่อยู่อาศัยคือหนึ่งในปัจจัยสี่ของมนุษย์ที่จำเป็นจะต้องมี ซึ่งทุกวันนี้เรามีตัวเลือกมากมายในหลายทำเล หลายระดับราคา ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ หรือคอนโดมิเนียม โดยเมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องเลือกซื้อที่อยู่อาศัยก็ถือเป็นเรื่องที่ต้องคิดหนัก คิดเยอะ คิดให้รอบด้าน เพราะการถือเงินก้อนใหญ่พร้อมยื่นกู้ธนาคาร บางคนอาจเก็บหอมรอมริบมากว่าครึ่งชีวิต แต่ถ้ากู้ไม่ผ่านก็เสียเวลารอทำเรื่องทุกอย่างใหม่ บ้านหลังที่มองไว้ก็อาจจะหลุดมือไป เราลองมาดูเทคนิคการเตรียมตัวก่อนยื่นกู้สินเชื่อบ้านให้ผ่านฉลุยกันค่ะ สำรวจสุขภาพทางการเงินของตัวเองก่อน สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้ได้ ก่อนอื่นเราต้องดูที่รายได้หลักของเราก่อน ยิ่งเป็นมนุษย์เงินเดือนมีรายได้แน่นอนประจำทุกเดือนยิ่งดี แต่บัญชีรายรับของเราทุกเดือนควรจะมีเงินเหลือเก็บ หรือจะเปิดบัญชีเงินฝากประจำเอาไว้ประมาณ 1-2 ปี ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี แต่ถ้าไม่ได้ทำงานประจำก็พยายามเก็บหลักฐานทางการเงิน และนำเงินเข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมอเอาไว้ ในปีที่ผ่านมามียอดการปฏิเสธสินเชื่อสูงกว่า 50% เพราะหนี้ครัวเรือนเป็นสิ่งที่ทำให้ธนาคารปฏิเสธสินเชื่อมากที่สุด ซึ่งหนี้ครัวเรือนหมายถึงภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนของเรา เช่น บัตรเครดิต, ผ่อนรถยนต์ ฯลฯ เมื่อหักลบค่าใช้จ่ายทั้งหมดแต่ละเดือนแล้วไม่ควรเกิน 50-80% ของรายได้ทั้งหมด และถ้าหากจะยื่นกู้ควรจะจัดการภาระเหล่านี้ให้หมดเสียก่อน หรือไม่ก็พยายามลดให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ตัวเราเองมีความสามารถในการชำระหนี้ได้ เพราะหากธนาคารปล่อยกู้ไปทั้งที่ผู้กู้ไม่พร้อมจริงๆ แล้วเกิดไม่มีการชำระติดต่อกัน 3 งวด ทางธนาคารแห่งประเทศไทยจะมองเป็นหนี้เสีย หรือที่เรียกกันว่า NPL (Non Performing Loan) ทันที ข้อควรระวัง คือ อย่าชำระบัตรเครดิต ค่าผ่อนรถยนต์ ฯลฯ ช้าเกินไปจากวันที่กำหนดในแต่ละเดือน เพราะหากเราชำระล่าช้าก็จะส่งผลต่อการพิจารณาของธนาคารทันทีว่าเราไม่มีวินัยทางการเงิน แต่ในทางกลับกันสำหรับผู้ที่ไม่เคยมีบัตรเครดิตเลยก็อาจจะยื่นกู้ไม่ผ่านนะคะ เพราะทางธนาคารจะไม่มีประวัติทางการเงินของเราเพื่อนำมาพิจารณาเลย ในกรณีนี้อาจจะต้องไปสมัครใช้บัตรเครดิต และทำการจ่ายบัตรเครดิตให้ดี ตรงเวลาสม่ำเสมออย่างต่ำประมาณ 6 เดือน ก่อนจะยื่นกู้ อายุก็มีผล ในการยื่นกู้นั้นนอกจากธนาคารจะมองที่หนี้ครัวเรือนกับความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลักแล้ว ทางธนาคารก็ยังมองที่ความมั่นคงของบริษัทที่เราทำงาน, อายุงาน(ต้องทำงานที่ปัจจุบัน 6 เดือนขึ้นไป หรือบางแห่งก็พิจารณาที่ 1-2 ปี) และอายุจริงของเราว่าเหลืออีกกี่ปีถึงจะเกษียณ เหล่านี้ก็มีผลต่อการยื่นกู้ทั้งสิ้น เพราะในการยื่นกู้สินเชื่อบ้านนั้นเป็นการผ่อนในระยะยาว 25-30 ปี ยิ่งเราเหลือปีที่ทำงานมากเท่าไหร่ก็จะได้เปรียบมากกว่า ฉะนั้นเราควรวางแผนอนาคตเอาไว้ให้รอบคอบที่สุดนะคะ ชื่อเสียงของเจ้าของโครงการ ก่อนจะตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย เชื่อว่าหลายคนต้องดูเอาไว้หลายโครงการก่อนจะตัดสินใจซื้อโครงการที่ลงตัวกับเราเองมากที่สุด ซึ่งการเลือกโครงการก็สำคัญมากเช่นกัน นอกจากเราจะได้คุณภาพแล้ว ก็ยังจะได้ความไว้วางใจจากทางธนาคาร ส่งผลถึงยอดเงินที่ให้กู้ด้วย เพราะในบางโครงการธนาคารจะให้วงเงินในการกู้สูงมากกว่า 100% เลยทีเดียว การยื่นกู้ แม้ว่าเราจะมีสิทธิ์ยื่นกู้ได้ 100% เต็มของราคาบ้านที่เราจะกู้ แต่เราแนะนำว่าไม่ควรจะกู้ 100% ค่ะ เพราะภาระผ่อนจ่ายในแต่ละเดือนจะสูงจนเกินไปจนอาจทำให้เราขาดสภาพคล่องทางการเงินได้ อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้ธนาคารเห็นด้วยว่าเรามีสภาพคล่องมากพอ สามารถวางเงินดาวน์ได้ และสุดท้ายคือเตรียมเอกสารทุกอย่างไปให้พร้อม ได้แก่ สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน, ใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล(ถ้ามี), สลิปเงินเดือนหรือใบรับรองเงินเดือน, เอกสารแสดงการเดินบัญชี (Statement) 6 เดือนย้อนหลัง, ใบสัญญาที่เราได้ทำการจองกับโครงการ สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีเงินเดือนประจำให้ยื่นสำเนาทะเบียนการค้า, รูปถ่ายกิจการ เพิ่มเติมไปด้วย ขั้นตอนการเตรียมตัวที่เรานำมาฝากกันในบทความนี้ ดูแล้วไม่ยากเลยใช่ไหมคะ เพียงแต่เราต้องมีวินัยทางการเงิน รวมถึงต้องมีระยะเวลาการวางแผนเตรียมตัวก่อนจะยื่นกู้ให้ดี เพื่อให้เมื่อถึงเวลายื่นกู้จริงจะได้รับการอนุมัติอย่างง่ายดาย ไม่เสียเวลา หากทำตามวิธีเหล่านี้ก็จะสามารถยื่นกู้สินเชื่อบ้านได้อย่างแน่นอนค่ะ  
9 เทคโนโลยีสุดล้ำที่ทำให้ชีวิตในบ้านง่ายขึ้น

9 เทคโนโลยีสุดล้ำที่ทำให้ชีวิตในบ้านง่ายขึ้น

ปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างไม่หยุดยั้ง นั้นช่วยทำให้ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น เพราะไม่เพียงแต่ให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังสร้างสรรค์การทำงานบ้านที่ใครหลายคนแสนจะเบื่อหน่ายกลับกลายเป็นเรื่องง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่รอช้าที่จะแสวงหาไอเท็มเด็ด มากระตุ้นต่อมอยากให้คุณแม่บ้านหลายครัวเรือนได้เลือกสรร 1. The smoke alarm เครื่องตรวจดักจับควันอัจริยะ ภาพ via nest.com ล่าสุดแบรนด์ Nest ต่อยอดพัฒนาความสามารถของเครื่องตรวจดักจับควันตัวนี้ให้ ทั้งสามารถพูดคุยตอบโต้ได้ พร้อมแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินทันทีผ่านระบบ Smartphone อีกทั้งยังตรวจจับควันได้ทั้งแบบปกติและแบบชนิดที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างคาร์บอนมอนอกไซด์ ได้ด้วย สนนราคาเพียง $99 หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 3,000 บาท 2. Nest Thermostat ตัวช่วยเปลี่ยนอุณหภูมิในบ้านให้เหมาะสม ภาพ via nest.com อีกหนึ่งนวัตกรรมการพัฒนาอุปกรณ์ภายในบ้านของ Nest ที่จะช่วยทำให้รับรู้ถึงอุณหภูมิในบ้านอันเหมาะสมต่อสมาชิกในครอบครัว แถมยังปรับเปลี่ยนได้ตามใจต้องการ อีกทั้งยังสามารถสั่งงานผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือได้อีกด้วย 3. เติมสีสันหลอดไฟในบ้าน ด้วย Philips Hue ภาพ via macrumors.com ถึงเวลาเปลี่ยนหลอดไฟ ด้วยขีดความสามารถของ Philips Hue อันช่วยสร้างสีสันภายในบ้าน เพียงเลือกเฉดสีผ่านระบบสัมผัส พร้อมเพิ่มความสว่างสดใสได้แสนง่าย โดยซิงค์กับโทรศัพท์มือถือคู่กาย พร้อมสั่งงานผ่านแอพพลิเคชั่น เท่านี้ก็สามารถควบคุมหลอดไฟในบ้านได้แล้ว แถมยังสั่งงานได้สูงสุดถึง 50 ดวง ใครสนใจสามารถไปเลือกสรรได้แล้วที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ สนนราคาประมาณ 6,000 บาท 3. บ้านปลอดภัยหายห่วง ด้วย Canary ภาพ via  canary.is ด้วยระบบเตือนภัยอัจริยะ ที่สามารถแจ้งเตือนทุกที่ ทุกเวลา ผ่านแอพพลิเคชั่น แถมยังติดตั้งง่าย และเป็นได้มากกว่าการส่งสัญญาณความปลอดภัย เพราะสามารถบันทึกเหตุการณ์ที่กำลังเป็นอันตรายต่อสมาชิกภายในบ้าน รวมทั้งยังสามารถวัดอุณหภูมินอกบ้าน ผ่านระบบ built-in sensor สนนราคาเริ่มต้น $199 หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 6,000 บาท 5. Belkin Wemo สวิตช์ไฟที่ช่วยให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น ภาพ via belkin.com ถือได้ว่าเป็นสวิตช์ไฟฟ้าที่มีความเรียบง่าย และสามารถเสียบใช้งานกับอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะพัดลม หรือแม้กระทั่งแอร์ โดยสั่งงานผ่านระบบอินเทอร์เนต หรือผ่านแอพพลิเคชั่นในมือถือ แม้ว่าจะอยู่นอกบ้านก็สามารถสั่งงานเปิด-ปิดได้ สนนราคา $49.99 หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,600 บาท 6. Netatmo พยากรณ์อากาศ ภาพ via netatmo.com เครื่องนี้สามารถช่วยให้คุณรู้ และอัพเดตได้ตลอดเวลาว่า ณ ขณะนี้ เกิดอะไรขึ้นในบ้านได้อย่างแม่นยำ เช่น ลมแรง ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เป็นต้น สนนราคา $49 หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,500 บาท 7. iKettle สุดยอดกาน้ำล้ำสมัย ภาพ via  firebox.com ความไม่ธรรมดาของกาน้ำนี้ คือสามารถเชื่อมต่อกับระบบอินเทอร์เน็ตได้ แม้หลายคนอาจจะงงว่าเพื่ออะไร แต่นี้สามารถช่วยให้คุณได้น้ำร้อน ก่อนที่จะเดินเข้าไปในครัว และมันก็จะช่วยให้ไม่ต้องเสียเวลาเรอ อีกทั้งยังสามารถตั้งเวลาได้อีกด้วย สนนราคา $149.99 หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 5,000 บาท 8. Logi Circle ติดตามความเคลื่อนไหวสัตว์เลี้ยงสุดโปรด ภาพ via cnet.com เพียงวาง Logi Circle ไว้ในบ้าน ในวันที่ต้องออกไปทำกิจวัตรประจำวันข้างนอก หลังจากนั้น login live ผ่านแอพพลิเคชั่น เจ้าเครื่องนี้จะส่งภาพ ติดตามความเคลื่อนไหวสัตว์เลี้ยงจอมซนของคุณในบ้านทันที แถมยังสามารถเอ็ดเจ้าสุนัขหรือแมวตัวโปรดที่กำลังกัดเฟอร์นิเจอร์ชิ้นงามได้ทันที สนนราคา $169.99 หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 5,500 บาท 9. iRobot Roomba ทำให้เรื่องดูดฝุ่น ง่ายจนคาดไม่ถึง ภาพ via irobot.com เพียงวางหุ่นยนต์ Roomba มันจะทำการเคลื่อนไหวไปรอบๆ บ้านหรือภายในห้องทันที พร้อมกับดูดจัดเก็บฝุ่น สิ่งปฏิกูลไม่ผึงประสงค์ทันที ใครสนใจสามารถไปเลือกสรรได้แล้วที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ สนนราคาเริ่มต้นประมาณ 15,000 – 30,000 บาท และนี้คือ 9 อย่างที่คุณสามารถลองหามาใช้ในบ้าน จะได้ช่วยให้เรื่องงานบ้านแสนปวดหัวของคุณหายห่วง ถึงแม้จะไม่ได้อยู่บ้านก็ตาม   ขอขอบคุณข้อมูลจาก th.theasianparent.com  
10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน

10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน

การปลูกบ้าน หรือสร้างบ้านใหม่ จะเริ่มสร้างจากล่างขึ้นบน กล่าวคือต้องเริ่มจากโครงสร้างเสาเข็ม ฐานราก จากนั้นจะเริ่มงานโครงสร้างจากชั้นหนึ่ง และชั้นสองตามลำดับ แล้วจึงติดตั้งหลังคา ก่อผนัง เตรียมงานระบบ จนเมื่องานโครงสร้างเรียบร้อยก็จะตกแต่งงานสถาปัตย์ เก็บรายละเอียดงาน ทำความสะอาดจนพร้อมส่งมอบบ้านให้แก่เจ้าของบ้าน ทั้งนี้ แต่ละขั้นตอนต้องวางแผนการดำเนินงานเป็นอย่างดี เพราะมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย และสำหรับตัวเจ้าของบ้านเองควรเข้าใจลำดับขั้นตอนเพื่อสามารถตรวจและควบคุมงานในเบื้องต้น รวมถึงจดบันทึกตำแหน่งหรือข้อมูลทั้งงานระบบท่อไฟฟ้า-ประปา ตำแหน่งระบบสุขาภิบาล เผื่อการบำรุงซ่อมแซมในอนาคต 10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน ที่เจ้าของบ้านทุกคนควรทราบ มีดังนี้ 1.เริ่มขั้นตอนสร้างบ้าน โดยการเตรียมพื้นที่ เมื่อมีแบบก่อสร้างบ้าน และทำสัญญากับผู้รับเหมาเรียบร้อยแล้ว ทางผู้รับเหมาจะเริ่มเข้าหน้างานเตรียมพื้นที่ กำหนดจุดวางและขนย้ายเครื่องมืออุปกรณ์ อาจมีสถานที่พักสำหรับคนงาน (ในกรณีที่คนงานพักในพื้นที่) หากมีบ้านเดิมจะต้องรื้อถอนออกก่อน หรือหากเป็นที่ดินเปล่าจะมีการขอน้ำและไฟฟ้าชั่วคราวสำหรับใช้งาน สำหรับงานเตรียมพื้นที่ จะครอบคลุมอยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่ระดับพื้นบ้านที่ต้องพิจารณา อาจต้องถมที่ดินเพื่อปรับระดับ ให้เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปจะถมให้สูงกว่าระดับถนน 50-80 ซม. และควรสูงกว่าท่อระบายน้ำสาธารณะ ส่วนระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการถมดินอยู่ในช่วงหน้าแล้ง (ช่วงเดือนธันวาคม – พฤษภาคม) เพราะสามารถทำงานได้สะดวก ได้ดินที่แน่นและมีคุณภาพ เพราะหากถมในช่วงหน้าฝนอาจเกิดเหตุการณ์ดินไหลได้ ภาพ: การปรับระดับดินก่อนลงเสาเข็ม 2.งานวางผังอาคาร ขั้นตอนสร้างบ้านที่ต้องวางแผนให้ดี เมื่อเตรียมพื้นที่เรียบร้อย จะเริ่มวางผังแนวอาคารซึ่งเป็นการกำหนดตำแหน่งของเสาเข็มโดยอ้างอิงจากแบบ เพื่อให้ทุกฝ่ายทั้งเจ้าของบ้าน ผู้ออกแบบ วิศวกร บริษัทรับเหมาก่อสร้าง และบริษัทรับเหมางานเสาเข็มมีความเข้าใจที่ตรงกัน ในขั้นตอนนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับระยะต่างๆ ให้เหมาะสมได้เนื่องจากอาจพบอุปสรรคที่หน้างาน เช่น แนวต้นไม้ใหญ่ แนวเสาเข็มโครงสร้างอาคารเดิม หรือตำแหน่งอาคารข้างเคียงที่มีผลต่อพื้นที่ใช้สอยอาคาร เป็นต้น โดยผู้รับเหมาจะนำเสนอแนวทางแก้ไขให้ผู้ออกแบบเซ็นชื่อรับรอง เพื่อดำเนินการก่อสร้างต่อไป ภาพ: ตรวจแบบก่อสร้างเพื่อเตรียมวางผังอาคาร (กำหนดจุดลงเสาเข็ม) 3.หนึ่งในขั้นตอนสร้างบ้านสำคัญ คือ งานเสาเข็ม สำหรับงานเสาเข็มมักจะจ้างบริษัทรับเหมางานเสาเข็มโดยเฉพาะ ซึ่งทางผู้ออกแบบจะสำรวจหน้างานและกำหนดมาแล้วว่าบ้านแต่ละหลังเหมาะจะใช้เสาเข็มประเภทใด ไม่ว่าจะเป็นเสาเข็มตอกหรือเสาเข็มเจาะ (อ่านรายละเอียด Material Guide ทรุดไม่ทรุด จุดเริ่มต้นอยู่ที่เสาเข็ม) การตรวจสอบคุณภาพเสาเข็มต้องทดสอบความแข็งแรง (Load Test) สามารถรับน้ำหนักได้ตามมาตรฐาน ไม่เยื้องศูนย์ แต่หากเกิดความผิดพลาดหรืออุปสรรคในการตอกหรือเจาะเสาเข็ม ผู้ออกแบบอาจต้องแก้ไขแบบเพื่อให้เสาเข็มและฐานรากดังกล่าวสามารถรับน้ำหนักได้ นอกจากนี้สำหรับการตัดหัวเสาเข็มเพื่อเตรียมหล่อฐานราก ผู้รับเหมางานเสาเข็ม และผู้รับเหมาหลักต้องยืนยันระดับฐานรากให้ตรงกันก่อนส่งต่องาน ภาพ: การทำเสาเข็มเจาะ 4.ขั้นตอนสร้างบ้านของงานฐานรากโครงสร้างชั้นล่าง เมื่อตัดหัวเสาเข็มแล้ว ผู้รับเหมาหลักจะเริ่มงานส่วนโครงสร้างฐานรากซึ่งประกอบด้วยฐานรากและเสาตอม่อจากนั้นจึงขึ้นโครงสร้างชั้น 1 ซึ่งประกอบด้วย คานคอดิน เสา คาน และพื้นชั้นล่าง โดยอาจอาจเลือกเป็นพื้นหล่อในที่ (พื้นห้องน้ำ) ร่วมกับพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป หากโครงสร้างต่างๆ เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ควรมีขนาดและค่ากำลังอัด ตามที่วิศวกรได้คำนวณไว้ ซึ่งต้องใช้เวลาในการบ่มคอนกรีต และถอดแบบค้ำยัน ช่วงระยะเวลาหนึ่ง (ประมาณ 14-28 วัน ขึ้นอยู่กับลักษณะงานและประเภทปูน) เพื่อให้โครงสร้างมีความแข็งแรง พร้อมรับน้ำหนักโครงสร้างอื่นๆ ต่อไป แต่ในกรณีที่สร้างบ้านโครงสร้างเหล็ก ก็จะเริ่มนำชิ้นส่วนเหล็กในแต่ละส่วนมาเชื่อมกันทั้งในส่วน เสา คาน ตง เป็นต้น ในระหว่างขั้นตอนนี้ จะมีการขุดดินเพื่อวางระบบสุขาภิบาล เช่น บ่อพัก  Manhole ระบบท่อน้ำทิ้ง ท่อประปา เป็นต้น ซึ่งเจ้าของบ้านควรถ่ายรูปและจดบันทึกตำแหน่งและระยะงานระบบเอาไว้เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงหากมีการซ่อมแซมในอนาคต ภาพ: งานเตรียมเหล็กเสริมโครงสร้างคานและเสาชั้นล่าง 5. งานโครงสร้างชั้นสอง โครงหลังคา และโครงสร้างงานระบบสุขาภิบาล งานโครงสร้างชั้นสองก็ทำเช่นเดียวกับโครงสร้างชั้นล่าง ทั้งเสา คานอะเส(คานหลังคา) และอาจมีงานหล่อชิ้นส่วนตกแต่ง เช่น บัว กันสาด ขอบปูน ซึ่งโครงสร้างแต่ละส่วนจะต้องใช้ระยะเวลาบ่มคอนกรีตเช่นเดียวกับโครงสร้างชั้นล่าง นอกจากนี้จะเริ่มขึ้นโครงหลังคา ซึ่งมีหลายประเภท เช่น โครงหลังคาเหล็ก หรือโครงหลังคาสำเร็จรูป เป็นต้น ในส่วนของงานระบบประปาและสุขาภิบาลทั้งถังเก็บน้ำใต้ดิน ท่อน้ำทิ้ง และถังบำบัดจะถูกติดตั้งในช่วงนี้โดยสมบูรณ์เพื่อเตรียมการเดินท่อเข้าภายในบ้าน ภาพ: ติดตั้งโครงหลังคาเหล็ก 6.ขั้นตอนสร้างบ้าน งานมุงหลังคา และโครงสร้างบันได เมื่องานโครงสร้างหลักเสร็จเรียบร้อย จะเริ่มติดตั้งวัสดุมุงหลังคาเพื่อให้ภายในบ้านมีร่มเงาและลดอุปสรรคจากลมฟ้าอากาศในการทำงาน ในช่วงนี้จะเริ่มหล่อโครงสร้างบันไดคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือติดตั้งบันไดเหล็กตามที่แบบระบุ นอกจากนี้อาจเก็บงานโครงสร้างในส่วนอื่นๆ ให้พร้อมก่อนเริ่มงานก่อผนังและติดตั้งวัสดุปิดผิว ภาพ: (บน) มุงหลังคากันแดดและฝน  (ล่าง) ติดตั้งบันไดโครงสร้างเหล็ก 7.งานก่อผนัง ติดตั้งวงกบไม้ประตู-หน้าต่าง และงานระบบไฟฟ้า-ประปา เมื่อมุงหลังคาเรียบร้อย จะเข้าสู่ขั้นตอนการก่อผนังและหล่อเสาเอ็น-คานเอ็น ในขั้นตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับบ้านแต่ละหลังว่าเลือกใช้ผนังบ้านแบบใด เช่น ผนังก่ออิฐ หรือผนังเบา ซึ่งในช่วงนี้จะเดินท่องานระบบต่างๆ ที่ฝังในผนังไปด้วย ทั้งระบบไฟฟ้าและประปา รวมถึงติดตั้งวงกบไม้ประตูหน้าต่างตามตำแหน่งที่ระบุตามแบบ ภาพ: การก่อผนัง หล่อเสาเอ็น-คานเอ็น และฝังท่อไฟฟ้า-ประปาในผนัง 8.ขั้นตอนสร้างบ้าน งานฉาบผนัง และงานติดตั้งฝ้าเพดาน  ในงานฉาบผนังก่ออิฐ จะต้องจับปุ่มจับเซี้ยม หรืออาจขึงลวดกรงไก่ เพื่อฉาบผนังให้เรียบสม่ำเสมอ ส่วนผนังเบาจะต้องฉาบเก็บรอยต่อระหว่างแผ่นผนังให้เรียบเนียน เตรียมพร้อมก่อนขั้นตอนการปิดผิว ในขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความชำนาญของช่างเพื่องานที่ละเอียดเรียบร้อย ผนังต้องได้ดิ่ง-ฉากทุกพื้นที่ สำหรับฝ้าเพดานจะมีการกำหนดระดับความสูงตามแบบทั้งภายในและภายนอกบ้าน โดยติดตั้งโครงฝ้าและปิดด้วยวัสดุฝ้าเพดาน เช่น แผ่นยิปซั่ม แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ เป็นต้น ในขั้นตอนนี้จะมีการติดตั้งระบบไฟฟ้า โคมไฟ และช่องเซอร์วิสไปพร้อมกัน ภาพ: การฉาบผนัง และติดตั้งฝ้าเพดานทั้งภายนอกและภายใน 9. งานวัสดุตกแต่งพื้นผิว ขั้นตอนสร้างบ้าน ติดตั้งอุปกรณ์ ติดตั้งประตู-หน้าต่าง และงาน Build-In เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยความประณีตของช่างอย่างมาก เพราะทำให้บ้านเนี้ยบสวยงาม ซึ่งในขั้นตอนนี้จะประกอบไปด้วย   9.1 วัสดุตกแต่งผนังและพื้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบและความชอบของเจ้าของบ้าน โดยวัสดุพื้นผิวผนัง เช่น ทาสี ฉาบสกิมโค้ท ปูกระเบื้องเซรามิก ติดวอลล์เปเปอร์ ฯลฯ ส่วนวัสดุพื้น เช่น หินขัด กรวดล้าง/ทรายล้าง ปูกระเบื้องเซรามิก ไม้ปาร์เกต์ ไม้ลามิเนต เป็นต้น 9.2 ระบบแสงสว่างและติดตั้งดวงโคมการติดตั้งแสงสว่างและหลอดไฟจะเริ่มในช่วงนี้เพราะติดตั้งฝ้าเพดาน โคมไฟ และเดินงานระบบเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ช่างจะเดินสายไฟเชื่อมกับสวิตช์ไฟ ปลั๊ก และติดตั้งเครื่องปรับอากาศ 9.3 ติดตั้งบานประตู หน้าต่างไม้ ชุดประตู-หน้าต่างไวนิล/อะลูมิเนียม ขั้นตอนนี้จะเป็นการติดตั้งบานประตู บานกระจก หน้าต่างเข้ากับวงกบไม้ที่ติดตั้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ รวมถึงติดตั้งชุดประตู-หน้าต่างไวนิลหรืออะลูมิเนียมเข้ากับผนังที่เว้นช่องไว้ ซึ่งขอบผนังโดยรอบต้องเรียบสม่ำเสมอ ได้ระดับดิ่ง-ฉาก เพื่อให้ชุดประตู-หน้าต่างติดตั้งได้พอดี ลดความเสี่ยงการรั่วซึมในอนาคต 9.4 งาน Build-in ด้านงาน Build-in อาจมารวมอยู่ในช่วงนี้ได้ เช่น ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของ เคาน์เตอร์ครัว เป็นต้น 9.5 ติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ และอุปกรณ์เครื่องครัว วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เมื่อติดตั้งแล้วควรคลุมด้วยพลาสติกเพื่อป้องกันฝุ่นละออง รอยขีดข่วน และสีที่อาจกระกระเด็นเปรอะเปื้อนในช่วงการเก็บงาน 9.6 สวนและทางเดินรอบบ้านอาจเริ่มทำในช่วงนี้ หรืออาจทำในช่วงที่บ้านสร้างเสร็จแล้วก็ได้ ภาพ: การตกแต่งภายใน ติดตั้งวัสดุปูพื้น-ผนัง ประตูหน้าต่าง (บานเฟี้ยม) และงานBuild-in 10. ทำความสะอาดและตรวจความเรียบร้อยในการเก็บงาน ขั้นตอนสร้างบ้านสุดท้าย ช่างจะเก็บรายละเอียดต่างๆ เช่น งานทาสี ตรวจสอบงานระบบต่างๆ ซึ่งในช่วงนี้เจ้าของบ้านควรเข้ามาตรวจสอบด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าเจอข้อผิดพลาด ควรแจ้งให้ช่างแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนจะส่งจะส่งมอบงาน จากนั้นจะเริ่มทำความสะอาด (โดยมากจะจ้างบริษัททำความสะอาดหลังงานก่อสร้างโดยตรง) แล้วเสร็จจนพร้อมส่งมอบงานให้เจ้าของบ้านขนย้ายเฟอร์นิเจอร์เข้าอยู่ ภาพ: บ้านที่อยู่ในช่วงการเก็บงาน การเรียงลำดับขั้นตอนตามที่กล่าวมาอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือซ้อนทับกันได้ในแต่ละงาน อาจมีเพิ่ม หรือแยกย่อยมากกว่า 10 ลำดับได้ขึ้นอยู่กับปลายปัจจัย เช่น วัสดุที่เข้าหน้างาน ความถนัดของช่าง/ผู้รับเหมา ปัจจัยสภาพคล่องทางการเงิน ปัญหาแรงงานช่าง และสภาพลมฟ้าอากาศที่ไม่อำนวย เป็นต้น Tip: เจ้าของบ้านควรตรวจสอบสัญญาการรับประกันผลงานของทั้งผู้รับเหมา และตัวผลิตภัณฑ์สินค้า รวมถึงการติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตามที่ระบุในเอกสาร เพื่อรับรองคุณภาพการก่อสร้าง และตัวสินค้าให้ได้ตามมาตรฐาน ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก www.scgbuildingmaterials.com เกี่ยวกับการสร้างบ้านอื่นๆ ซื้อบ้านจัดสรรกับสร้างบ้านเอง แบบไหนดีกว่ากัน สร้างบ้านใหม่เลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้นดี? จะก่อสร้างบ้านต้องรู้เรื่องระยะห่างระหว่างอาคารกรณีอยู่ในที่ดินเจ้าของเดียวกัน 7 ความผิดพลาดในการสร้างบ้าน ที่ควรใส่ใจ  
“Functional is Beautiful” บ้านที่สวยที่สุด..คือบ้านที่เข้าใจชีวิต

“Functional is Beautiful” บ้านที่สวยที่สุด..คือบ้านที่เข้าใจชีวิต

เมื่อคำนิยามของ “บ้าน” ไม่ได้เป็นแค่เพียงที่อยู่อาศัย และ “บ้าน” ไม่ใช่แค่สถานที่ที่ใช้หลบแดดหลบฝน แต่ “บ้าน คือ ชีวิต” เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตเราเริ่มต้นและจบลงที่ “บ้าน” พื้นที่ที่สมาชิกทุกคนในครอบครัวได้แบ่งปัน เติบโต และมอบความอบอุ่นให้แก่กันและกัน   จุดเริ่มต้นของการเลือกบ้านซักหลัง อาจไม่ใช่บ้านหลังใหญ่ที่สุด หรูหราที่สุด หรือมีรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยที่สุด แต่สิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องการคือ การที่ได้เห็นทุกคนในบ้านได้ใช้ชีวิตร่วมกัน ได้ยินเสียงหัวเราะ ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน หรือแม้กระทั่งการที่ได้ปลดปล่อยและเป็นตัวของตัวเอง   ที่เอพี พื้นที่ทุกตารางนิ้วของบ้านถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้ใช้งานได้จริง และตอบโจทย์ชีวิตที่สุด ด้วยแนวคิด FUNCTIONAL IS BEAUTIFUL ด้วยฟังก์ชั่นภายในบ้านที่สัมพันธ์กับการใช้ชีวิตของสมาชิกทุกคนในครอบครัว ที่แม้จะมีความฝันและไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน แต่ทุกคนก็สามารถใช้ทุกพื้นที่ร่วมกันได้ ทำให้พื้นที่ภายในบ้านอัดแน่นและอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ เกิดเป็นความอบอุ่นที่ช่วยเติมพลังให้กับทุกคน เป็นการสร้างความรู้สึกดีจากรุ่นสู่รุ่น เรียงร้อยเป็นความทรงจำใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้แบบไม่รู้จบ   2 KITCHEN IN 1CONCEPT   แม้การออกแบบครัวฝรั่งจะเป็นชื่นชอบในปัจจุบัน แต่คนไทย ยังไงต้องมีครัวไทย ซึ่งถ้ามองลึกไปถึงขั้นตอนกระบวนการทำอาหารไทย ย่อมต้องมีกลิ่นเครื่องแกงต่าง ๆ มากกว่าอาหารฝรั่ง เอพี จึงออกแบบให้มีทิศทางการระบายกลิ่นที่ดี ทิศทางของแสงเพื่อให้อาหารดูสวยงามน่ารับประทาน มีการคำนึงพื้นที่ทำอาหาร ให้ครอบครัวได้ทำอาหารพร้อมกัน และพิจารณาการเข้าถึงได้ง่ายตั้งแต่ที่จอดรถ โดยไม่ต้องผ่านส่วนที่เป็น LIVING AREA     EXTENDED FAMILY SPACE   เมื่อความสุขทุกรูปแบบมักเกินขึ้นที่โต๊ะอาหาร การรังสรรค์เมนูเด็ด การสร้างแรงบันดาลใจ บทสนทนา พื้นที่นี้จึงเป็นส่วนสำคัญหลักของบ้าน FAMILY SPACE จึงอถูกออกแบบให้เชื่อมโยงกับพฤติกรรมเจ้าของบ้าน พื้นที่ DINING จึงไม่เป็นเพียงโต๊ะทานอาหาร หากแต่เป็น FAMILY SPACE ที่เชื่อมต่อกับ FAMILY LIVING,PANTRY และ KICHEN  เข้าด้วยกัน พื้นที่ลักษณะสี่เหลี่ยมผื้นผ้าที่ง่ายต่อการจัดวางและการปรับเปลี่ยน ช่องแสงที่เปิดรับเป็นจังหวะและสัดส่วน ให้เกิดการระบายอากาศได้ดี และปรับขยายเพื่อรองรับกิจกรมของครอบครัว แค่พลิกการวางเฟอร์นิดจอร์ ความเป็นส่วนตัวที่ยังต้องการสัมพันธ์ของครอบครัวก็ยังเกิดขึ้นได้       COURTYARD GARDEN   สวนสีเขียวที่ไม่ได้มีแค่โชว์ สวนจึงถูกออกแบบให้โอบล้อมรอบบ้านทั้ง 3 ด้าน ที่สัมผัสธรรมชาติได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน สามารถใช้งานได้หลากหลายทุกรูปแบบ แต่ยังคงไว้ด้วยความสงบด้วยกำแพงต้นไม้ทุกด้านที่โอบล้อม การจัดวางต้นไม้ที่คำนึงถึงทิศทางของแสงแดดที่ตกกระทบผ่านเข้ามาในตัวบ้าน ไม่เพียงแต่สร้างเงาที่สวยงาม แต่ยังให้ความร่มรื่น ออกมานั่นอ่านหนังสือในยามบ่ายแบบส่วนตัวแต่ยังคงมีปฎิสัมพันธ์กับครอบครัวได้อยู่     ความสวยงามในชีวิตจริงเหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนที่เอพีให้ความสำคัญในการออกแบบ ซึ่งยังมีอีกหลากหลายฟังก์ชั่นกับแนวคิดที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานอย่างแท้จริง  เพราะทุกพื้นที่ทุกตารางนิ้วของที่นี่ คือการส่งต่อความรู้สึกที่ไม่มีวันสิ้นสุด พบ 7 โครงการบ้านเดี่ยวแนวคิดใหม่ THE CITY และ CENTRO จากเอพี  Grand Opening  18 - 19 พ.ย. นี้ พร้อมรับส่วนลดสูงสุดกว่า 2 ล้านบาท ที่ Sales Gallery ชมโครงการคุณภาพจากเอพี และอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://goo.gl/psh6v1    
สร้างรั้วบ้านอย่างไร ถูกทั้งกฎหมาย และไม่ทะเลาะกับเพื่อนบ้าน

สร้างรั้วบ้านอย่างไร ถูกทั้งกฎหมาย และไม่ทะเลาะกับเพื่อนบ้าน

"รั้วบ้าน" อาจไม่ใช่ส่วนหลักของบ้านที่เรานึกถึง แต่ในความเป็นจริงแล้ว รั้วบ้านกลับมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าส่วนประกอบอื่นๆ ของตัวบ้าน เนื่องจากโดยหน้าที่แล้วรั้วบ้านช่วยป้องกันอันตราย และยังเป็นเหมือนด่านแรกที่คนมองเห็นจากภายนอก หากแต่ก็มีปัญหาเรื่องบ้านส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากเรื่องของ "รั้ว" ซึ่งบางทีเลยเถิดจนกลายเป็นปัญหาระหว่างเจ้าของบ้าน เราจึงอยากแนะนำเรื่องการสร้างรั้วที่จะไม่สร้างปัญหาให้กับคุณมาฝาก 1.ด้านที่ติดกับทางสาธารณะ เราต้องสร้างรั้วไว้ในเขตพื้นที่บ้านของเรา 2.สำหรับรั้วที่ติดกับบ้านหลังข้างๆ ให้เราสร้างรั้วไว้ตรงกลางของเส้นแบ่งที่ดิน 3.รั้วที่สร้างติดกับทางสาธารณะต้องมีความสูงไม่เกิน 3 เมตร โดยนับจากระดับทางเท้าหรือถนนสาธารณะ ทั้งด้านหน้า ด้านข้างหรือด้านหลัง 4.เราไม่ควรสร้างรั้วบ้านแบบทึบ เพราะทำให้ลมไม่สามารถพัดผ่านได้ นอกจากนี้รั้วบ้านที่ทึบในทางกลับกันยังจะกลายเป็นที่ซ่อนตัวของโจรหลังปีนเข้ามาภายในบ้านอีกด้วย   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.sanook.com
10 สิ่งในบ้านที่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย

10 สิ่งในบ้านที่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย

บ้านน่าจะเป็นสถานที่ๆ เมื่อเข้ามาแล้วรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย ได้พักผ่อน แต่ทั้งนี้มีหลาย ๆ คนรู้สึกเหนื่อยล้า ไม่สดชื่น ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเลย นั่นเป็นเพราะมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยและสิ่งเหล่านั้นมีอะไรบ้างมาดูกัน   1. ความรก แน่นอนว่าถ้าคุณพักผ่อนอยู่ในที่ๆ ไม่สะอาด มันก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้น อาจจะรู้สึกเหนื่อยมากขึ้นด้วยซ้ำ มีการสำรวจพบว่าบรรยากาศที่รกรุงรังทำให้เกิดความเครียด และก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยมากขึ้น   2. การทาผนังสีฟ้า จากการทำรวจห้องนอนสีต่าง ๆ จะนวน 2,000 ห้อง พบว่าบ้านที่ทาห้องนอนด้วยสีฟ้าช่วยให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง ลดความดันโลหิต และทำให้รู้สึกง่วง ดังนั้นสีฟ้าจึงเป็นสีที่เหมาะกับการใช้ในห้องนอน แต่จะไม่เหมาะที่จะนำไปใช้ในห้องอื่น   3. โทรทัศน์และจอคอมพิวเตอร์ ทั้งสองอย่างนี้มีคลื่นสีฟ้า และมันจะส่งผ่านไปที่สมอง สมองก็จะผลิตเมลาทนิน ที่ทำให้รู้สึกเหนื่อย   4. เครื่องต้มกาแฟ แม้ว่ามันจะดีสำหรับในช่วงเช้า แต่ไม่ค่อยเหมาะสำหรับในช่วงบ่ายหรือค่ำ ถ้าคุณดื่มกาแฟในช่วงอาหารค่ำ คาเฟอีนก็จะไปกระตุ้นพลังงาน ซึ่งไม่ดีสำหรับการเตรียมตัวนอนหลับพักผ่อน   5. เซ็ทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางคนเห็นว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สักเล็กน้อยก่อนนอน จะช่วยให้หลับง่าย แต่คุณภาพการหลับของคุณจะไม่ดี และทำให้ไม่สดชื่นเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า   6. เทียนหอมลาเวนเดอร์แม้ว่ากลิ่นจะช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ในบางกรณีก็ทำให้เหนื่อย ผู้เชี่ยวชาญจาก Wesleyan University ศึกษาพบว่า การดมกลิ่นลาเวนเดอร์ก่อนนอนมีแนวโน้มที่จะทำให้นอนหลับอุตตุ ดังนั้น ในช่วงกลางวัน ไม่ควรจุดเทียนหอมกลิ่นลาเวนเดอร์ ลองเปลี่ยนเป็นกลิ่นส้มแทน และกลิ่นลาเวนเดอร์ ก็ใช้เฉพาะตอนกลางคืน   7. อาหารขยะฝรั่งอบกรอบ อาหารที่มีน้ำตาลสูง คาร์โบไฮเดรตสูง จะทำให้คุณรู้สึกเหนื่อยอยู่ตลอดเวลา   8. การตั้งอุณภูมิในห้อง จากการศึกษาพบว่า อุณภูมิที่ค่อนข้างเย็น คือประมาณ 16-20 องศาเซลเซียส จะทำให้รู้สึกง่วง หากตั้งอุณภูมิในบ้านไว้ในระดับนี้ทั้งวัน จะทำให้รู้สึกอยากนอนกลางวัน   9. โทรศัพท์มือถือ แน่นอนว่าเป็นอุปกรณ์ที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้ แต่มันทำให้เรารู้สึกเหนื่อยมากขึ้นในระหว่างวัน ร้อยละ20 ของคนหนุ่มสาว อายุ 19-29 ปี มักจะถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืนเพราะการโทรศัพท์ การส่งข้อความ และอีเมล์ ซึ่งนั่นรบกวนการนอนหลับ ทั้ง ๆ ที่เราเหนื่อยกับการทำงานมาทั้งวันแล้ว   10. ม่านหน้าต่าง มีการสำรวจสถานที่ทำงานที่มีหน้าต่าง กับไม่มีหน้าต่าง พบว่า คนที่ได้รับแสงจากธรรมชาติในช่วงกลางวัน จะนอนหลับได้ดีกว่าคนที่ทำงาน ในที่ที่ไม่มีแสงธรรมชาติส่องผ่านเข้ามา ดังนั้นที่บ้านก็เช่นกัน เราควรเปิดรับแสงจากธรรมชาติ เพื่อให้สามารถนอนหลับพักผ่อนในช่วงกลางคืนได้อย่างเต็มที่     ขอบคุณข้อมูลจาก www.housebeautiful.co.uk home.sanook.com            
สถานะการสมรสมีผลต่อการกู้อย่างไร?

สถานะการสมรสมีผลต่อการกู้อย่างไร?

ในการพิจารณาตัวผู้กู้จากการให้ยืมของสถาบันการเงินนั้น สถาบันการเงินจะให้ความสำคัญในเรื่องความสามารถในการชำระหนี้และความตั้งใจในการชำระหนี้ของตัวผู้กู้มากที่สุด แต่ในที่นี้ เราจะกล่าวถึงสถานภาพการสมรสต่อการกู้ เหตุผลที่สถาบันการเงินต้องทราบสถานภาพการแต่งงานนั้น ก็เพื่อพิจารณาความตั้งใจในการชำระหนี้ เพราะการแต่งงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มั่นใจในตัวผู้กู้ในการปักหลักปักฐานได้ และมีผลต่อความตั้งใจในการชำระหนี้ได้เป็นอย่างดี ผู้กู้จะถูกพิจารณาจากสถานภาพสมรสในแต่ละสถานะแตกต่างกันไป โดยถ้ามีข้อด้อยในจุดใดก็ตาม ให้แสดงข้อเด่นของผู้กู้ที่จะออกมาสร้างความมั่นใจทดแทนกันได้ 1. โสด สถานะนี้แม้จะยังไม่มีภาระด้านครอบครัว และการตัดสินใจยังขาดความระมัดระวัง แต่สามารถแสดงว่ามีหน้าที่การงานและมีอายุการทำงานที่มั่นคง 2. สมรส สถานะนี้จะมีความรับผิดชอบต่อครอบครัวสูง และถ้าหากมีบุตร ก็ยิ่งมีภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน แต่แสดงให้ทราบถึงรายได้ที่ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายของครอบครัว 3. หย่า สถานะนี้จะแสดงถึงความล้มเหลวในการใช้ชีวิตคู่ ซึ่งอาจเกิดจากการขาดความรับผิดชอบ และผู้ที่หย่าแล้วมีบุตรจะมีความรับผิดชอบสูงยิ่งขึ้นอีกด้วย แต่สามารถแสดงปัจจัยความมั่นคงในหน้าที่ของการงานและรายได้ 4. หม้าย สถานะนี้จะแสดงให้เห็นว่ารายได้รวมของครอบครัวลดลง และยิ่งถ้ามีบุตรก็มีความรับผิดชอบสูงขึ้นด้วย  แต่สามารถแสดงรายได้ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้     ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.co.th
“โสสุโก้” เผยเคล็ด(ไม่)ลับดูแลพื้นผิวกระเบื้องรับหน้าฝน

“โสสุโก้” เผยเคล็ด(ไม่)ลับดูแลพื้นผิวกระเบื้องรับหน้าฝน

ในฤดูฝนแบบนี้ สายฝนที่เย็นชุ่มฉ่ำมักมาพร้อมกับการเกิดคราบสกปรกบนพื้นผิวกระเบื้องปูพื้นหรือบุผนังบริเวณภายนอกบ้านหรืออาคารที่โดนฝนหรือมีน้ำขัง รวมถึงคราบเกาะติดตามร่องยาแนวกระเบื้อง ซึ่งหากปล่อยไว้นาน คราบเหล่านี้จะยิ่งฝังแน่น ทำความสะอาดยาก และทำลายความสวยงามของกระเบื้องในที่สุด ดังนั้นวันนี้ บริษัท โสสุโก้ แอนด์ กรุ๊ป (2008) จำกัด ผู้ดำเนินการตลาดและการขายกระเบื้องเซรามิกปูพื้น และบุผนังตราโสสุโก้ มีเคล็ด(ไม่)ลับในการความสะอาดพื้นกระเบื้องเซรามิกที่เกิดคราบสกปรกจากน้ำฝนหรือน้ำขังสะสมมาฝากกัน ด้วย 3 วิธีง่ายๆ ดังนี้ ฟองน้ำหรือผ้าสะอาดชุบน้ำ สำหรับคราบน้ำฝนที่เกิดขึ้นใหม่ยังไม่ติดแน่นมากนัก สามารถรับมือได้ไม่ยาก เพียงใช้ฟองน้ำหรือผ้าสะอาดชุบน้ำแล้วเช็ดที่กระเบื้อง แต่ถ้าบนพื้นกระเบื้องมีคราบสกปรกฝั่งแน่นมาก แนะนำให้ใช้น้ำผสมน้ำยาทำความสะอาดเล็กน้อยเช็ดบริเวณที่เป็นคราบ และเพื่อป้องกันการเกิดคราบสกปรกต่างๆ ควรหมั่นทำความสะอาดทั้งพื้นและผนังกระเบื้องให้แห้งสะอาดอยู่เสมอ การดูแลรักษาอยู่เสมอไม่เพียงทำให้บ้านดูสวยงามน่าอยู่ แต่ยังทำให้บ้านปลอดภัยจากเชื้อโรคและสิ่งสกปรกสะสม เพื่อสุขอนามัยที่ดีของผู้อยู่อาศัยนั่นเอง อุปกรณ์ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง การเลือกใช้อุปกรณ์ในการจัดการกับคราบสกปรกฝังลึกต่างๆ ที่ขจัดได้ยากไม่ว่าจะเป็นคราบจากตะไคร้น้ำ หรือคราบน้ำขลังจากฝน การขจัดคราบเหล่านี้ถือเป็นปัญหาสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคุณแม่บ้านโดยเฉพาะพื้นกระเบื้องที่ต้องการอุปกรณ์ที่แข็งแรงพอจะจัดการคราบสกปรกทั้งแบบเปียก และแบบแห้งได้อยู่หมัด แต่ในขณะเดียวกันอุปกรณ์ก็ต้องมีความอ่อนโยนกับพื้นผิวกระเบื้องไม่ทำให้พื้นกระเบื้องเกิดรอยขูดขีดด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราควรเลือกอุปกรณ์ที่เหมาะสมกับพื้นผิวกระเบื้อง เช่น ไม้ม็อป ควรเป็นไม้ม็อปที่สามารถถอดหัวเปลี่ยนได้ สะดวกต่อการทำความสะอาด มีเนื้อผ้าที่นุ่ม หรือใช้แปรงที่มีขนแปรงนุ่มแต่ทนทานพอที่จะขจัดคราบได้ เป็นต้น ผงสารพัดประโยชน์ ผงซักฟอกถือเป็นผงสารพัดประโยชน์จริงๆ ณ เวลานี้ เพราะนอกจากจะขจัดคราบบนเสื้อผ้าได้อย่างสะอาดเอี่ยมแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สามารถขจัดคราบบนแผ่นกระเบื้องได้อย่างสะอาดหมดจดในเวลาอย่างรวดเร็วอีกด้วย กับวิธีง่ายๆ เพียงโรยผงซักฟอกเล็กน้อย และใช้อุปกรณ์ขจัดคราบขัดเบาๆ เท่านี้คราบสกปรกฝังแน่นบนกระเบื้องก็จะหลุดออกอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเหนื่อยแรงในการขัดแถมยังเป็นอุปกรณ์ที่มีติดอยู่ทุกบ้านอีกด้วย การดูแลบ้านในช่วงหน้าฝนไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องเอาใจใส่ดูแลอย่างสม่ำเสมอไม่ปล่อยทิ้งไว้นาน เพียงเท่านี้บ้านก็จะคงความสวยงามและเป็นที่ที่ทุกคนในครอบครัวสามารถใช้เวลาพักผ่อนร่วมกันได้อย่างมีความสุข ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของ “กระเบื้องโสสุโก้” ได้ที่แฟนเพจ www.facebook.com/ sosuco2008 หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ โทร. 0 2938 9833 และอีเมล callcenter@sosuco2008.co.th
5 เรื่องต้องคิดก่อนเป็นเจ้าของคอนโด

5 เรื่องต้องคิดก่อนเป็นเจ้าของคอนโด

ท่ามกลางคอนโดมิเนียมที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ  ตามความนิยมที่เน้นความสะดวกสบาย สำหรับมือใหม่หัดซื้อหรือต้องการเป็นเจ้าของครั้งแรก จะมีวิธีเลือกซื้อคอนโดฯ อย่างไรให้ถูกใจ หากเป็นคอนโดเก่า หรือคอนโดสร้างเสร็จแล้วนั้น ง่ายตรงที่สามารถเข้าไปสำรวจโครงการและห้องจริง เพื่อการตัดสินใจเลือก แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นตอนนั้น ลองดู 5 เรื่องต้องคิดก่อนเป็นเจ้าของคอนโด จาก Maestro 02 Ruamrudee (มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี) คอนโดโลว์ไรซ์ ในซอยร่วมฤดี 2 สงบเงียบ สวรรค์แห่งการหยุดพัก เลือกคอนโดแบบที่คนไม่พลุกพล่าน หรือแบบโลว์ไรซ์ (Low Rise) ด้วยจำนวนชั้นไม่เกิน 8 ชั้น และจำนวนห้องที่ไม่มากนัก ช่วยทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ด้วยเสียงรบกวนที่อาจไม่มากจนน่าหงุดหงิดแบบบางคอนโดที่มีจำนวนห้องหลายร้อยยูนิต ส่งผลให้สภาพแวดล้อมของโครงการเงียบสงบ สะอาด และเป็นส่วนตัวมากกว่า นอกจากนี้ ยังเลี่ยงปัญหาเรื่องลิฟต์ที่ต้องรอนาน ทำเลทอง ที่อยู่อาศัยบนที่ดินผืนงามจะช่วยประหยัดเวลาการเดินทาง และเพิ่มช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน ควรพิจารณาโครงการที่อยู่ใกล้เส้นรถไฟฟ้า รถใต้ดิน ทางด่วน และมีเส้นทางเข้าออกหลายช่องทาง เพื่อหลีกเลี่ยงรถติด คอนโดบางแห่งแม้จะอยู่ในซอย ไม่ติดถนนใหญ่ก็มีข้อดีตรงที่ความเงียบ เหมาะกับคนรักความสงบ อย่าลืมมองหาทำเลใกล้ร้านอาหาร หรือห้างสรรพสินค้า ก็เพิ่มความสะดวกเมื่อต้องซื้อของกินของใช้ประจำวัน ครบครันสิ่งอำนวยความสะดวก เอาใจไลฟ์สไตล์ที่บาลานซ์ระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้เป็นอย่างดี แค่เปิดประตูห้อง ลงลิฟต์ก็ได้ใช้ facilities ต่างๆ ครบครัน ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ที่สำคัญคอนโดแบบโลว์ไรซ์ยังมีข้อดีตรงที่จำนวนผู้อยู่อาศัยน้อย ทำให้การใช้บริการส่วนกลางเป็นไปได้อย่างทั่วถึง ไม่แออัด ต่อยอดถึงการลงทุน นอกจากทำเลที่ดีจะง่ายต่อการขายต่อหรือปล่อยเช่าแล้ว คอนโดแบบโลว์ไรซ์ก็มีแนวโน้มว่าเจ้าของสามารถนำออกมาปล่อยเช่าได้ง่ายกว่า เนื่องจากมีจำนวนคู่แข่งน้อยกว่าเมื่อเทียบกับโครงการคอนโดแบบไฮไรส์ที่มีจำนวน ยูนิตมาก โครงการน่าเชื่อถือ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน จะช่วยการันตีประสิทธิภาพการบริหารโครงการได้ระดับหนึ่ง นอกจากนี้ เมื่อต้องขายหรือปล่อยเช่า  หากเจ้าของโครงการมีชื่อเสียงหรือเป็นที่รู้จัก ก็มีแนวโน้มจะขายง่ายขึ้นอีกด้วย 5 ข้อชวนคิดเหล่านี้ น่าจะทำให้การตัดสินใจเลือกซื้อคอนโดมิเนียมดีๆ ที่เหมาะกับการอยู่อาศัย ง่ายและคุ้มค่าขึ้นอย่างแน่นอน Maestro 02 Ruamrudee แลนด์มาร์คแห่งใหม่ในซอยร่วมฤดี 2 ถนนเพลินจิต พร้อมเข้าอยู่ ภายใต้การดูแลบริหารของ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ราคาเริ่มต้นที่ 4.9 ล้านบาท สนใจสามารถชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร 02 116 1111 หรือเว็บไซต์ www.mde.co.th และ www.facebook.com/maestro.residences
10 วิธีไล่นกพิราบ บนระเบียงและหลังคาบ้าน วิธีง่าย ๆ ที่ได้ผลจริง

10 วิธีไล่นกพิราบ บนระเบียงและหลังคาบ้าน วิธีง่าย ๆ ที่ได้ผลจริง

วิธีไล่นกพิราบ นกตัวน้อยแต่สร้างความรำคาญให้ไม่น้อยหน้าหนูและแมลง มาดูกันว่าเรามีวิธีไล่นกพิราบไม่ให้มาเกาะที่ระเบียง หลังคา หรือคอนโดได้อย่างไร โดยที่ไม่ต้องใช้ยาเบื่อและวิธีรุนแรง   นกพิราบ ศัตรูตัวฉกาจที่คอยสร้างความรำคาญไม่น้อยไปกว่าหนูและแมลง นอกจากจะชอบบินมาเกาะตามระเบียงและหลังคาแล้วยังปล่อยของเสียพร้อมส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ไปทั่ว แถมยังทำความสะอาดยาก และยิ่งไปกว่านั้นพวกมันอาจเห็นบ้านของคุณเป็นที่พึ่งแห่งใหม่ คาบเศษหญ้าเศษใบไม้มาทำรังอยู่ถาวร สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีไล่นกพิราบบนระเบียง หลังคา หรือคอนโด ก็นำ 10 วิธีไล่นกพิราบที่เรานำมาฝากกันนี้ไปใช้ได้เลยครับ 1.วิธีไล่นกพิราบ ด้วยการ DIY หนาม ใช้ลวดเส้นเล็กปักลงบนฟิวเจอร์บอร์ดในแนวตั้งความสูงประมาณ 3  นิ้ว ปักถี่ ๆ ให้ทั่วแผ่นแล้วนำไปวางไว้ที่ระเบียงหรือบนหลังคา เนื่องจากขาของนกพิราบสั้น ถ้าบินมาเกาะหนามกันนกที่ทำไว้แล้วจะทำให้ลวดทิ่มทั้งเท้าและลำตัวจนไม่กล้าบินลงมาเกาะอีก 2.ใช้เคเบิลไทร์ไล่นกพิราบ เคเบิลไทร์หรือเข็มขัดรัดสายไฟ มีลักษณะเป็นพลาสติกเส้นเล็ก ๆ สามารถไล่นกพิราบได้ โดยการนำไปรัดกับระเบียงโดยที่ไม่ต้องตัดส่วนที่เหลือ เพราะสายส่วนที่ชี้ออกมา จะทำหน้าที่เหมือนหนามแหลมตำเท้านกไม่ให้มาเกาะ แต่จะไม่คมและไม่เจ็บเมื่อคนสัมผัส แต่ควรต้องรัดถี่ ๆ เพื่อไม่ให้เหลือที่ว่างจนนกบินลงมาเกาะได้ 3.ตอกตะปูกับไม้อัด ก็ช่วยไล่นกพิราบ วิธีนี้ใช้หลักการเดียวกับข้อ 1 และข้อ 2 ซึ่งสามารถใช้ได้กับทั้งการไล่นกพิราบที่ระเบียงและไล่พิราบบนหลังคา เพราะไม้อัดและตะปูมีน้ำหนักพอสมควร ไม่ปลิวตามแรงลม สามารถนำไปตั้งไว้ได้ วิธีทำนั้นก็ง่ายมากโดยตอกตะปูลงไปบนแผ่นไม้อัดถี่ ๆ จากนั้นนำไม้อัดไปวางหงาย อาจจะทำตัวยึดช่วยยึดระหว่างพื้นระเบียงหรือหลังคากับแผ่นไม้อัดด้วยก็ได้ 4.ไล่นกพิราบด้วยการติดตาข่ายพีวีซี การติดตาข่ายเป็นอีกวิธีที่ช่วยป้องกันไม่ให้นกพิราบบินเข้ามาในระเบียง โดยนำตาข่ายพีวีซีขึงปิดช่องว่างระหว่างเพดานกับพื้นระเบียงให้มิดชิด แต่ถ้าไม่อยากให้ตาข่ายบดบังทัศนียภาพ อาจเปลี่ยนจากตาข่ายพีวีซีธรรมดาเป็นตาข่ายพีวีซีใส ที่มีความทนทาน แข็งแรง และยังสามารถมองเห็นวิวนอกระเบียงได้ดีกว่าด้วย 5.กำจัดรังนก วิธีไล่นกพิราบอีกทางหนึ่ง นอกจากนกพิราบจะชอบมาเกาะหลังคาหรือระเบียง แถมยังอึจนสร้างความสกปรกให้บ้านแล้ว มุมอับอย่างข้างกระถางต้นไม้หรือคอมเพรสเซอร์แอร์ก็เป็นอีกจุดที่นกพิราบชอบสร้างรัง วิธีกำจัดก็คือหยิบรังนกไปทิ้ง ไม่ให้เหลือเศษหญ้าหรือเศษไม้ที่นกนำมาทำรัง เมื่อนกพิราบเริ่มทำรังอีกรอบก็ให้รีบจัดการ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วนกพิราบจะบินหนีไปทำรังที่อื่นโดยปริยาย 6.ใช้แผ่นซีดีสะท้อนแสงไล่นกพิราบ หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าแสงวิบวับจากแผ่นซีดีนี่แหละ ช่วยไล่นกพิราบได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ โดยการนำแผ่นซีดีเก่ามาร้อยเข้าด้วยกัน จากนั้นนำไปแขวนตามระเบียงหรือหลังคา นอกจากนี้ในเวลาที่ลมพัดเสียงแผ่นซีดีที่กระทบกันยังช่วยไล่นกพิราบได้อีกทางหนึ่งด้วย 7.ไล่นกพิราบด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์ ถ้าหากที่บ้านมีกองหนังสือพิมพ์ที่อ่านแล้วจำนวนมากรอวันกำจัด แทนที่จะนำไปทิ้งหรือชั่งกิโลขาย ก็นำกระดาษหนังสือพิมพ์เหล่านั้นไปปูบริเวณที่นกชอบมาเกาะหรือมาขี้ใส่ แล้วใช้เทปกาวติดขอบไว้กันหนังสือพิมพ์ปลิว เมื่อนกพิราบบินลงมาเหยียบก็จะเกิดเสียงที่เนื้อกระดาษ ทำให้นกพิราบตกใจไม่สามารถเดินต่อได้และจะไม่บินลงมาที่ระเบียงหรือหลังคาบ้านอีก 8.แขวนโมบาย สวยด้วย ไล่นกพิราบได้ด้วย ตามธรรมชาตินกพิราบจะตกใจเสียงและสิ่งของที่ขยับได้ เมื่อโมบายโดนลมพัดหรือโดนปีกนกพิราบที่บินมาใกล้ ก็จะเกิดเสียงและทำให้นกพิราบตกใจจนบินหนีไป โดยควรเลือกโมบายที่มีน้ำหนักเบา เมื่อโดนลมพัดแล้วมีเสียง ยิ่งมีแสงสะท้อนวิบวับด้วยยิ่งดี 9.ฉีดน้ำไล่นกพิราบ วิธีนี้ต้องอาศัยความขยันและอดทน เพราะการฉีดน้ำไล่ใช่ว่าจะได้ผลตั้งแต่ครั้งแรกหรือช่วงแรก ๆ ต้องหมั่นทำบ่อย ๆ ยิ่งฉีดน้ำไล่ทุกครั้งที่นกพิราบบินโฉบลงมาเกาะระเบียงหรือพื้นยิ่งดี ถ้าจะไล่แบบถาวรต้องอาศัยความอดทนทำไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็อาจจะกินเวลายาวนานเป็นเดือนก็ได้ 10.เลี้ยงสัตว์ช่วยไล่นกพิราบ ให้เจ้าตูบและเจ้าเหมียวเป็นผู้อารักขาระเบียง ถึงแม้จะเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านแต่สัญชาตญาณการเป็นผู้ล่ายังคงมีในตัวอยู่ เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าพวกมันชอบวิ่งไล่จับนกแค่ไหน ไม่ต้องเสียเวลาออกคำสั่ง แค่เห็นนกพิราบบินลงมาพวกมันก็เต็มใจลุกขึ้นวิ่งไล่จับนกพิราบให้แล้ว   จากวิธีที่กล่าวมา อาจจะไม่ได้ช่วยไล่นกพิราบแบบถาวร เพียงแค่ช่วยบรรเทาและไล่ไม่ให้นกพิราบเข้าใกล้บ้าน แต่ที่สำคัญก็อย่าลืมทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่นกพิราบทิ้งไว้ด้วยนะครับ เคล็ดลับอื่นๆ สำหรับบ้านคุณ  วิธีกำจัดแมลงสาบในบ้านง่ายๆ ได้ผลดีที่สุด 6 วิธีเด็ดไล่ตุ๊กแก ให้รีบเผ่นหนีออกจากบ้าน หมดกังวลเรื่องหยากไย่! 5 วิธีไล่แมงมุม แบบไม่ต้องฆ่า
รอแยลเฮ้าส์ชี้เทรนด์บ้าน 2017 รักษ์โลก-ลดขนาด-คุ้มค่าบนพื้นที่จำกัด มั่นใจประชาชนสร้างบ้านมากขึ้นช่วงปลายปี เผยยอดขาย 2 ไตรมาสแรก 450 ล้าน

รอแยลเฮ้าส์ชี้เทรนด์บ้าน 2017 รักษ์โลก-ลดขนาด-คุ้มค่าบนพื้นที่จำกัด มั่นใจประชาชนสร้างบ้านมากขึ้นช่วงปลายปี เผยยอดขาย 2 ไตรมาสแรก 450 ล้าน

บริษัท รอแยลเฮ้าส์ จำกัด เปิดเผยถึงผลประกอบการใน 2 ไตรมาสแรกของปี 2559 ว่าบริษัทปิดยอดผลประกอบการที่ 450 ล้านบาท โดยคาดการณ์ว่าในไตรมาสที่ 3 และ 4 ผู้ต้องการสร้างบ้านจะปรับตัวได้ในสภาวะเศรษฐกิจที่ทรงตัว ส่งผลให้ตัดสินใจสร้างบ้านมากขึ้นในช่วงปลายปีหลังจากที่รอโอกาสในการสร้างบ้านมาตลอด 6 เดือน ทิศทางของธุรกิจรับสร้างบ้านในครึ่งปีหลังจึงมีความเคลื่อนไหวในเชิงบวกมากกว่าลบ ส่วนการแข่งขันด้านราคาที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในวงการอสังหาริมทรัพย์จะส่งผลดีต่อผู้ต้องการสร้างบ้านเป็นอย่างมาก โดยนายโกศล โควิสุทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท รอแยลเฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า “จากสถิติของรอแยลเฮ้าส์ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่าผู้ต้องการสร้างบ้านมักจะตัดสินใจสร้างบ้านในช่วงปลายปีมากกว่าต้นปี ส่งผลให้ไตรมาสที่ 3 และ 4 มียอดขายที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ปัจจัยบวกของธุรกิจรับสร้างบ้านในครึ่งปีหลังจึงเป็นความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภคที่ชะลอตัวและเฝ้าสังเกตการณ์มาตั้งแต่ต้นปี ส่วนปัจจัยลบอย่างการขึ้นราคาของวัสดุ เนื่องจากภาครัฐมีการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่จนส่งผลให้ความต้องการวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อรอแยลเฮ้าส์แต่อย่างใด เพราะมีระบบการจัดการวัสดุที่ดีเยี่ยม ดังนั้น รอแยลเฮ้าส์จะไม่ลงไปมีส่วนร่วมในเรื่องการแข่งขันการลดราคาอย่างเช่นบริษัทรับสร้างบ้านอื่นๆ แต่จะใช้จุดเด่นในเรื่องของมาตรฐานการก่อสร้างและการรับประกันโครงสร้างของบ้านและการบริการอย่างครบถ้วนในการนำเสนอลูกค้า เพราะเราเชื่อว่ามากกว่าเรื่องราคา คือเรื่องของมาตรฐานการก่อสร้างและความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ลูกค้าจะให้ความสำคัญ” ด้านนายประสงค์ โควิสุทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท รอแยลเฮ้าส์ จำกัด เผยถึงแผนในครึ่งปีหลังของรอแยลเฮ้าส์ว่า “ใน 2 ไตรมาสสุดท้ายของปี รอแยลเฮ้าส์ตั้งเป้าทำยอดขายให้ถึง 550 ล้านบาท โดยจะมีการออกบูธในงานธุรกิจสร้างบ้านต่างๆ ทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ซึ่งเน้นการรุกตลาดในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคอีสานที่มีอัตราการเติบโตมากถึง 25% นำไปสู่การเปิดสาขาที่ 12 ของรอแยลเฮ้าส์ที่จังหวัดอุบลราชธานีในปลายปี 2559 ที่มีการลงทุนไปกว่า 100 ล้านบาทเพื่อตอบสนองต่อความต้องการสร้างบ้านของลูกค้าในภาคอีสาน  พร้อมกันนี้ รอแยลเฮ้าส์ก็ยังคงเดินหน้าและรักษาไว้ซึ่งมาตรฐานในการก่อสร้างแบบรอแยลเฮ้าส์  โดยเพิ่งทำการตรวจรับรองมาตรฐาน ISO 9001ประจำปี 2559 ไป โดยผลการตรวจเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก เนื่องจากเราผ่านการตรวจตามมาตรฐาน ISO เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งเรายังเป็นบริษัทรับสร้างบ้านรายเดียวที่มีคู่มือตรวจงานให้ลูกค้าได้เข้าใจวิธีการก่อสร้างตั้งแต่ต้นจนจบ” และนายโกศล โควิสุทธิ์ ยังได้เปิดเผยถึงเทรนด์ในการสร้างบ้านของปี 2017-2020 ดังนี้ 1. Eco Friendly บ้านประหยัดพลังงานและรักษ์โลก : จุดประสงค์หลักคือการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าโดยไม่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม บ้านประเภทนี้จึงมักถูกออกแบบให้โปร่ง โล่ง สบาย เพื่อรับลมและความเย็นจากธรรมชาติ ในขณะเดียวกันก็ป้องกันความร้อนที่จะสะสมในบ้าน โดยทั่วไปการออกแบบบ้านประหยัดพลังงานจะเน้นวิถีทางธรรมชาติ (Passive Cooling) เป็นหลัก แต่ต้องผสมผสานการออกแบบ ที่เตรียมการสำหรับการทำให้เกิดความเย็น ด้วยวิธีกลไกและการพึ่งพาเทคโนโลยี (Active Cooling) โดยอาจมีการติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อช่วยประหยัดพลังงานเพิ่มในบ้าน รวมทั้งการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อเก็บเป็นพลังงานทดแทน ซึ่งจะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านไปในที่สุด 2. Small is cool บ้านพื้นที่เล็กแต่ประโยชน์ใช้สอยคุ้มค่า : จากรายงานของ IFDA (International Furnishings and Design Association) พบว่า 49% ของคนอเมริกัน ต้องการบ้านที่มีขนาดเล็กลง แต่ตอบสนองได้ทุกความต้องการ ซึ่งมีแนวโน้มว่าเทรนด์นี้จะได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยอาจลดทอนห้องบางห้องที่ใช้ประโยชน์น้อยที่สุดออก หรือรวมห้องบางห้องเข้าด้วยกันแล้วใช้งานแบบมัลติฟังก์ชั่น โดย 76% ของสมาชิก IFDA มีแนวโน้มที่จะตัดห้องทานอาหาร หรือห้องนั่งเล่นอย่างเป็นทางการออก แล้วเปลี่ยนเป็นห้องที่ใช้งานได้อย่างหลากหลายสำหรับสมาชิกทุกคนในบ้าน ซึ่งสอดคล้องกับ 92% ที่บอกว่า ห้องที่สร้างขึ้นมาสำหรับคนแค่คนเดียวภายในบ้าน เช่น ห้องทำงานของพ่อ ห้องเก็บเสื้อผ้าของแม่ จะต้องกลายเป็นพื้นที่ส่วนรวมของทุกคนในบ้านภายในปี 2020 3. Home Tech บ้านอัจฉริยะ : ในอนาคต การสร้างบ้านจะต้องคำนึงถึงการรองรับกับระบบเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาไปอย่างรุดหน้าและแพร่ขยายการใช้งานจนกลายเป็นมาตรฐานเดียวกัน นั่นหมายความว่าทุกบ้านจะใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการอำนวยความสะดวกสำหรับการอยู่อาศัย โดยคาดว่าปี 2020 บ้านที่สร้างใหม่ทุกหลังจะเริ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบบางอย่าง เช่น การควบคุมระบบไฟด้วยรีโมต, Gesture Control หรือการสั่งการด้วยเสียง นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงขั้นตอนการสร้างบ้านและนวัตกรรมการสร้างบ้านที่มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่หรือเทคนิคการสร้างแบบใหม่เข้ามาใช้ เช่น บ้านโครงสร้างเหล็ก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นบ้านที่ออกมาตรงตามความต้องการทุกอย่าง 4. Elderly Care บ้านสำหรับผู้สูงอายุ : ปัจจุบัน ประเทศไทยมีสัดส่วนประชากรสูงวัยมากที่สุดในอาเซียน โดยคิดเป็น 10% ของประชากรทั้งหมด ตามมาด้วยสิงคโปร์ 9% และอินโดนีเซีย 7% ซึ่งในอีก 10 ปีข้างหน้า ผู้สูงอายุของไทยจะมีจำนวนมากถึง 20% ของประชากรทั้งประเทศ และอีก 20 ปีข้างหน้าไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสุดยอด คือมีประชากรผู้สูงอายุมากกว่า ร้อยละ 25 ของประชากรทั้งหมดดังนั้น การสร้างบ้านที่มีสมาชิกครอบครัวเป็นผู้สูงอายุจึงต้องออกแบบและปรับเปลี่ยนรายละเอียดต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกและสอดคล้องกับความต้องการของผู้สูงอายุด้วย เนื่องจากใน 1 วัน ผู้สูงอายุมักจะใช้เวลาอยู่ในบ้านไม่น้อยกว่า 18 ชั่วโมง “บ้าน” จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผู้สูงอายุ 5. Cluster บ้านหลายหลังในพื้นที่เดียวกัน : แนวโน้มของราคาที่ดินที่สูงขึ้น และความหนาแน่นของที่อยู่อาศัยที่เริ่มกระจายตัวออกไปเรื่อยๆ ส่งผลให้เกิดความนิยมสร้างบ้านที่ใช้พื้นที่ส่วนรวมด้วยกัน โดยเป็นความนิยมแบบไทยและการมองถึงประโยชน์ร่วมของการอยู่รวมกันแบบเป็นครอบครัวใหญ่ โดยบ้านลักษณะนี้ มักเป็นบ้านของพ่อแม่ ลูกชาย ลูกสาว หรือพี่น้อง ที่ตัดสินใจสร้างบ้านอาศัยอยู่บนพื้นที่เดียวกัน และพื้นที่ส่วนรวมของบ้านก็มักจะเป็น ที่จอดรถ สระว่ายน้ำ หรือสวนของบ้านนั่นเอง หรืออาจจะเป็นลักษณะ Multi Family เป็นการอยู่อาศัยแบบหลายครอบครัวแต่เป็นการขยายไปแนวสูง คือ หลายชั้นแต่มีส่วนบริการและสันทนาการร่วมกัน เช่น สระว่ายน้ำ ห้องทานอาหาร ฟิตเนส 6. Back to nature บ้านอิงธรรมชาติ : กระแสการหวนคืนสู่ธรรมชาติกำลังมาแรงเป็นอย่างมาก และมีทีท่าว่าจะเป็นที่นิยมไปอีกหลายปี เนื่องจากผู้คนในยุคปัจจุบันรักตัวเอง รักสุขภาพ และรักธรรมชาติกันมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความนิยมการสร้างบ้านแบบใกล้ชิดธรรมชาติ และสัมผัสกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ เช่น การสร้างบ้านแบบเปิดโล่งเพื่อรับลมและรับแสงธรรมชาติ การแบ่งพื้นที่ของบ้านทำสวน ปลูกผัก ปลูกสมุนไพร โดยสมาชิกของ IFDA ยืนยันว่าบ้านจะต้องมีพื้นที่ส่วนนอกที่ไม่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษามากเพื่อให้ได้สามารถใกล้ชิดกับธรรมชาติได้ในทุกวัน 7. Personalization Selected บ้านตามความต้องการส่วนบุคคล : ลักษณะพื้นฐานของบ้านแบบ 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก จะต้องเปลี่ยนไปเพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคคลให้มากขึ้น โดยอิงกับเทรนด์ของการลดขนาดบ้านและการลดทอนห้องบางห้อง เพื่อให้บ้านกลายเป็นบ้านอย่างแท้จริง เช่น บางบ้านไม่มีห้องรับแขกแต่มีห้องซ้อมดนตรีของพ่อกับลูกชาย บางบ้านไม่มีห้องทานอาหาร แต่มีห้องสมุดและห้องทำงานของทุกคนในครอบครัว เป็นต้น นำมาซึ่งการสร้างบ้านแบบ Open Plan ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้อย่างหลากหลายตามความต้องการของแต่ละบุคคล พร้อมกันนี้ ยังพบว่าเทรนด์การตกแต่งบ้านในปี 2017-2020 ยังคงให้ความสำคัญในเรื่องของห้องน้ำ โดยเน้นความสำคัญของห้องน้ำมากขึ้น จากการตกแต่งห้องน้ำที่ได้รับความสนใจมาในระยะหนึ่ง จะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นไปอีกในปีหน้า โดยพบว่าจะมีการใช้อ่างอาบน้ำ และติดตั้งจอโทรทัศน์ในห้องน้ำเพิ่มมากขึ้น ในส่วนของเฟอร์นิเจอร์ จะต้องเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้สอยได้หลากหลาย โดยลักษณะของเฟอร์นิเจอร์ที่ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้หลากหลายจะได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก เพื่อตอบโจทย์ให้สอดคล้องกับบ้านในยุคสมัยใหม่ที่พื้นที่เล็กลง แต่ใช้งานได้คุ้มค่ามากขึ้น ซึ่งได้รับความนิยมนำหน้าการบิลด์อินและเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ และยังมีการเพิ่มความน่าสนใจให้กับบ้านด้วย LED โดยไฟแบบ LED จะเข้ามาเติมเต็มจินตนาการแนว sci-fi ให้กับบ้าน สร้างสีสัน สร้างบรรยากาศที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลาของบ้าน จนกล่าวได้ว่าระบบไฟ LED นั้นจะกลายมาเป็นงานศิลปะอีกชิ้นหนึ่งของบ้าน สุดท้าย คือเรื่องของห้องครัว โดยมีแนวโน้มว่าห้องครัวของบ้านจะถูกใช้งานเพิ่มขึ้นนอกเหนือไปจากการใช้ประกอบอาหารเพียงอย่างเดียว นั่นคือการใช้เป็นสถานที่ทานข้าวของครอบครัวไปด้วย โดยการออกแบบห้องครัวจะต้องเพิ่มพื้นที่และโต๊ะสำหรับทานข้าวเข้าไป ซึ่งเป็นการประหยัดพื้นที่และค่าใช้จ่าย รวมทั้งเป็นการสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นให้กับครอบครัวอีกด้วย ด้านนายประสงค์ โควิสุทธิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ซึ่งจากเทรนด์การสร้างบ้านดังกล่าวนี้ รอแยลเฮ้าส์ก็ได้นำมาพัฒนาและออกแบบบ้านเพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น โดยเรามีแบบบ้านใหม่ถึง 5 แบบ มานำเสนอให้ทุกท่านได้ชมกัน ซึ่งทุกท่านจะสามารถพบกับแบบบ้านใหม่นี้ และแบบบ้านทั้งหมดของรอแยลเฮ้าส์ พร้อมทั้งคำแนะนำและการให้คำปรึกษาในทุกเรื่องของการสร้างบ้าน ได้ในงานมหกรรมรับสร้างบ้าน ระหว่างวันที่ 18-21 สิงหาคม 2559 ที่บูธหมายเลข B7 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์”
เดินชมงานสถาปนิก ’59 และบูธ SCG อัพเดทเทรนด์วัสดุก่อสร้างเพื่ออนาคต

เดินชมงานสถาปนิก ’59 และบูธ SCG อัพเดทเทรนด์วัสดุก่อสร้างเพื่ออนาคต

เมื่อถึงเดือนเมษายน คงเป็นที่ทราบกันว่าเป็นช่วงเดือนที่มีการจัดงาน สถาปนิก เป็นประจำทุกปี ซึ่งปีนี้ก็เช่นกัน งานสถาปนิก 59 หรือ Architect Expo 16 จัดขึ้นในวันที่ 26 เมษายน - 1 พฤษภาคม 2559 ที่ชาเลนเจอร์ฮอลล์ เมืองทองธานี เช่นเคย ครั้งนี้กับธีมการจัดงานที่มีชื่อว่า “ASA BACK TO BASIC” สถาปัตยกรรมและการออกแบบ ที่จะย้อนไปยังพื้นฐาน หรือความสามัญที่เป็นสิ่งจำเป็นได้อย่างไร เราลองไปชมพร้อมๆกันค่ะ นิทรรศการชุด Vernadoc ด้านหน้าฮอลล์ ในส่วนของ BASIC OF THE PAST ส่วนแสดงงาน 100 Selected Project ทุกวันนี้เรารับข่าวสาร ข้อมูล มากมายจากสื่อหลากหลายทาง จนบางครั้งเราก็รู้สึกว่ามันมากเกินไป นำมาซึ่งวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปตามข้อมูลที่พุ่งเข้ามา และอาจทำให้ชีวิตยุ่งยากขึ้น แนวคิดหลักของงานปีนี้ จึงเป็นการกลับไปตั้งคำถามพื้นฐาน ว่าจริงๆแล้ว เราต้องการอะไรเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต และการอาศัยอยู่ในโลกใบนี้ ทั้งหมดถ่ายทอดผ่าน 3 ส่วนด้วยกัน ส่วนหน้าฮอลล์จะเป็นส่วนของ BASIC OF THE PAST คือการเล่าเรื่องประทับใจในอดีต ผ่านการจัดแสดงภาพถ่ายซึ่งมีคุณค่าควรค่าแก่การอนุรักษณ์ รวมถึงนิทรรศการชุด Vernadoc ที่เล่าเรื่องชุมชนเพื่อให้เห็นความสำคัญและคุณค่าในแง่ประวัติศาสตร์ ถัดเข้าไปด้านในเป็นส่วนของ BASIC OF THE PRESENT เป็นผลงานที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันที่จะมีความสำคัญและส่งผลไปยังอนาคต และส่วนสุดท้ายเป็น BASIC OF THE FUTURE คือมุมมองที่มีต่องานสถาปัตยกรรมและเมืองในอนาคต ร่วมเสนอแนวทาง แก้ไข ป้องกัน พัฒนาให้เมืองเป็นไปในทางที่ดีขึ้น งานออกแบบของคุณดวงฤทธิ์ บุญนาค (งานออกแบบของ Vaslab Architect) เมื่อเข้าไปด้านใน จุดที่เรียกว่าเป็นจุดที่ดึงความสนใจจากเหล่านักออกแบบและคนทั่วไปได้ดีคือส่วนของ 100 Selected Project และส่วน ASA Competition ที่จัดแสดงงานจากบริษัทสถาปนิกจำนวน 100 ชิ้นงาน ในรูปแบบโมเดล และงานประกวดแบบที่มีโจทย์ในการประกวด เป็นโจทย์เดียวกับธีมงานคือ BACK TO BASIC ใครที่ได้ไปชมงานส่วนนี้เรียกได้ว่าเป็นการเปิดจินตนาการมากๆ ได้เห็นงานของสถาปนิกชั้นแนวหน้าของไทยและการตีโจทย์งานประกวดแบบที่เราเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน และก็มาถึงบูธที่เราใช้เวลามากที่สุดในการมางานสถาปนิกทุกครั้ง คือบูธของ SCG เรียกว่าเข้าไปเมื่อใด ต้องกลับมาพร้อมวัสดุใหม่ที่อัพเดทมาอย่างเต็มหัว ครั้งนี้มีอะไรน่าสนใจบ้างลองไปดูกัน บูธ SCG ในงานสถาปนิก 59 ตัวอย่างหน้าเว็บลงทะเบียนก่อนเข้าชมบูธของ SCG หนังสือชุด Home Inspiration Book ที่จะได้เมื่อลงทะเบียนก่อนเข้าร่วมงาน ก่อนจะเข้าชมที่บูธ เค้าจะให้เราลงทะเบียนก่อนเข้างานเพื่อที่จะได้รู้ว่าเราเป็นใคร ซึ่งเราก็ลงไปในส่วนที่เป็นนักออกแบบค่ะ พอลงแล้วก็มีอีเมลส่งมาให้เพื่อบอกรายละเอียดงาน ไว้ศึกษาในแต่ละส่วนหรือไฮไลท์สินค้าเจ๋งๆ ส่วนเจ้าของบ้านทั่วไปก็มีให้ลงทะเบียน และเห็นว่าจะได้รับสิทธิพิเศษมากมายในงานด้วย (ขอแนบลิ้งค์ลงทะเบียนเผื่อใครสนใจค่ะhttp://www.scgbuildingmaterials.com/th/ASA2016.aspx) หลังจากลงทะเบียนเราจะได้รหัสเพื่อนำมาลงทะเบียนที่หน้างาน ยื่นรหัสไปเราก็ได้หนังสือชุด Home Inspiration มาครอบครอง เค้าว่ามีจำนวนจำกัดด้วยล่ะค่ะ ในส่วนของเจ้าของบ้านก็จะได้รับสิทธิพิเศษหากกำลังจะสร้างบ้านหรือปรับปรุงบ้านในส่วนของหลังคา SCG ก็มีบริการให้คำปรึกษา พร้อมออกแบบ และสำรวจหน้างานฟรี เพียงนำแบบบ้านไปยังบูธ SCG และแอบมีของรางวัลล่อใจ ให้ลุ้น iPad Mini 4 ทุกวัน ทั้งหมดเฉพาะผู้ที่ลงทะเบียนก่อนเข้างานเท่านั้น หรือใครจะไปลงทะเบียนที่หน้างานก็ได้เหมือนกันค่ะ แต่ระวังของจะหมดก่อนนะคะ ^^ Y-BOX Pavilion โชว์นวัตกรรมของ 3D Printing เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง เมื่อเข้าไปด้านในบูธ ไฮไลท์หลักที่เห็นคือส่วนของ Y-BOX Pavilion, 21st C. Cave หรือถ้ำแห่งศตวรรษที่ 21 มีลักษณะเป็นโครงสร้างที่ใช้นวัตกรรมปูนซีเมนต์สูตรเฉพาะของ SCG เป็นวัสดุหลักในการผลิต ผสานกับ 2 เทคโนโลยีการพิมพ์แบบ 3 มิติ ได้แก่ Powder-bed inkjet head printing  และ Extrusion printing เพื่อสร้างผลงานที่ท้าทายความสามารถของโครงสร้าง ให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของการออกแบบสถาปัตยกรรมแบบที่เราคุ้นเคย ลักษณะเป็นเสาที่ทำจากการพิมพ์คอนกรีตแบบ 3 มิติ ให้เสาไม่ได้เป็นเหลี่ยมตรงอีกต่อไป ได้ประโยชน์เรื่องการสร้างสเปซที่น่าตื่นเต้น เพราะเสาเหล่านี้ทำหน้าที่ทั้งรับน้ำหนัก และเป็นผนังของห้องไปด้วยในเวลาเดียวกัน มุมสำหรับทำควิซ หาเทรนด์ออกแบบที่เป็นตัวคุณ "Grab A Trend" เล่นแล้วได้ถุงผ้าน่ารักๆ เมื่อมาอัพเดทเทรนด์การออกแบบ ก็อย่าลืมมาค้นหาว่าตัวเราเป็นคนที่ได้รับอิทธิพลจากการออกแบบประเภทไหนมากที่สุด ที่จุดนี้เลย "Grab A Trend" ที่จะมีควิซสนุกๆ ให้เล่นกันแบบสั้นๆ พอเล่นเสร็จก็ได้รับถุงผ้าคูลๆ เหมาะกับนักออกแบบอย่างเรา ถัดเข้าไปเป็นส่วนของ Beautiful Bathroom โดย COTTO ที่มีการยกส่วนให้คำปรึกษามาตั้งไว้ที่งานนี้ให้ผู้สนใจเข้ามาสอบถามเรื่องแบบ เรื่องการสร้างห้องน้ำที่ดีได้อย่างเต็มที่ พร้อมบริเวณเดียวกันนี้ยังจัดแสดงห้องน้ำในหลากสไตล์การตกแต่งและแนวคิด เป็นแรงบันดาลใจที่สามารถเห็นภาพและนำไปประยุกต์ใช้ได้ไม่ยากเลย ผนังเทอราซโซ แนวคิด "ถ้ำเสือ" ของคุณวสุ วิรัชศิลป์ "เก้าอี้เสือ" โดยคุณศิริยศ ชัยอำนวย จากการใช้ เสือ เดคอร์ และ Compacting Mortar ผลงานประติมากรรมนูนต่ำ จากหลากหลายผลิตภัณฑ์จาก เสือ เดคอร์ โดยคุณรักกิจ ควรหาเวช หรับใครที่ชอบหรือสนใจงานฉาบแต่งผิว การขึ้นรูปทรงด้วยวัสดุซีเมนต์ ต้องถูกใจกับส่วนนี้เพราะคือส่วนของ เสือ เดคอร์ โดยเชิญสถาปนิกและศิลปินชื่อดังของไทยมาร่วมออกแบบชิ้นงานที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของเสือ เดคอร์ ทั้งคุณวสุ  วิรัชศิลป์ ผู้ก่อตั้ง Vaslab Architect ที่ใช้เทอราซโซ มาออกแบบส่วนของพื้น ผนังแนวคิดถ้ำเสือ คุณศิริยศ  ชัยอำนวย ผู้ออกแบบรีสอร์ทศาลา อยุธยา และศาลา เขาใหญ่ ที่สร้างผนังจากการทดลองใช้ Skim Coat ที่นำมาหล่อแทนการฉาบ และคุณรักกิจ  ควรหาเวช หนึ่งในศิลปินงานแสดงศิลปะ Bukruk Urban Arts Festival 2013 ที่สร้างประติมากรรมนูนต่ำเป็นรูปหน้าเสือจากตัว Skim Coat และ Marble Render ทุกคนใช้ความถนัดของตนออกแบบชิ้นงานที่ผสานกับวัสดุได้อย่างตรงประเด็น ห้องโชว์ชิ้นงานเทอร์ราซโซเรืองแสงได้ "Glow in the Dark" จาก เสือ เดคอร์ อีกหนึ่งมุมน่าสนใจ ที่ดึงดูดให้เราเข้าไปถ่ายรูปก็คือ ห้องที่มีชื่อว่า Glow in the Dark ที่หยิบจับงานพื้นเทอร์ราซโซมาเพิ่มลูกเล่นโดยการเพิ่ม Aggregate ที่สามารถเรืองแสงได้ในที่มืด ทำให้งานออกแบบมีสีสันขึ้นไปอีกระดับ ไม้ตกแต่งผนัง SCG รุ่นโมดิน่า รุ่นไม้ฝา และบังใบ ต่อมาที่วัสดุผนังอย่างไม้สังเคราะห์ SCG ที่มีเทคโนโลยีการผลิตใหม่น่าสนใจคือ Extrusion Technology ที่ช่วยสร้างลวดลายและเพิ่มมิติให้กับบ้าน เป็นการสร้างเส้นสายที่น่าสนใจและเทคโนโลยีนี้ยังช่วยให้น้ำหนักของวัสดุไม่มากตามรูปแบบที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงความแข็งแรงเช่นเดิม เช่นไม้ตกแต่งผนังรุ่น โมดิน่า และไม้ฝา รุ่นบังใบ "Active AIRflow System" นวัตกรรมเพื่อบ้านอยู่สบาย คลายร้อน และสำหรับใครที่กำลังมองหานวัตกรรมที่จะช่วยให้บ้านของเราหายร้อน มีการระบายอากาศที่ดีเพื่อสภาวะการอยู่อาศัยที่สุดสบายแล้ว ต้องมาที่ส่วนของ Active AIRflow System เป็นกลไกการถ่ายเทอากาศและการระบายความร้อนเพื่อสร้างคุณภาพอากาศที่ดี และความสบายในการอยู่อาศัย อาศัยหลักการง่ายๆในการถ่ายเทอากาศร้อนออกไปนอกบ้าน และดึงอากาศที่เย็นกว่าเข้ามาแทนที่ ผ่านช่อง Intake Air Grille เข้ามาดันอากาศเก่าภายตัวบ้าน โดยผ่านทางฝ้าเพดาน และ โถงใต้หลังคาเพื่อดันออกทางปล่องบริเวณใกล้สันหลังคา กลไกดังกล่าวจะช่วยลดอุณหภูมิชั้นโถงหลังคา และชั้นอยู่อาศัยให้ลดลงได้โดยกลไกทั้งหมดจะทำงานอัตโนมัติ ผนังสำเร็จรูปที่เพิ่มลูกเล่นและดีไซน์เก๋ไก๋ ไม่จำเจ Decorative Precast คือนวัตกรรมเพื่อการก่อสร้างบ้านและอาคาร ที่สะดวก รวดเร็ว ช่วยให้การก่อสร้างมีประสิทธิภาพและประหยัดเวลามากขึ้น ด้วยแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูปที่ผลิตมาจากโรงงาน เพิ่มดีไซน์ที่สามารถนำมาตกแต่งบ้านหรืออาคารให้ดูน่าสนใจขึ้นได้ ทั้งนี้รูปแบบยังสามารถทำตามแบบที่ต้องการได้ แต่อาจต้องใช้งานในปริมาณที่มากเสียหน่อย เพราะหากใช้ปริมาณพื้นที่น้อย ค่าใช้จ่ายอาจสูงเกินความจำเป็นได้ เมื่อพูดถึงบ้านหรือวัสดุสำเร็จรูป คงไม่พูดถึง SCG HEIM ไม่ได้ บ้านสำเร็จรูปที่มีคุณภาพดีที่สุดในตลาดตอนนี้ทั้งเรื่องความแข็งแรง สุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย การบริการที่เป็นหนึ่ง ล่าสุดมีแบบบ้านรุ่น Ultimate, HARMONY และ SMART ที่ออกมาเป็นบ้านชั้นเดียวแล้ว เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้ามากขึ้น หลังจากเก็บความรู้และข้อมูลมาเต็มที่จนลืมเวลา ก็คงต้องกลับไปทำงานออกแบบที่รักกันต่อไป โดยนำความรู้วันนี้ไปใช้ได้ ไม่มากก็น้อย สำหรับใครที่อยากเห็นวัสดุใหม่ๆล้ำๆ แนะนำมาที่งานสถาปนิกและบูธต่างๆ มีสินค้าใหม่ๆมาแสดงกันมากมายเลยทีเดียว รับรองว่าไม่ผิดหวังค่ะ
เลือกวัสดุปูพื้นอย่างไร ให้ตอบโจทย์การใช้งาน

เลือกวัสดุปูพื้นอย่างไร ให้ตอบโจทย์การใช้งาน

คุณแน่ใจแล้วหรือยังว่าวัสดุปูพื้นที่คุณเลือกใช้นั้นสามารถตอบโจทย์การใช้งานได้เป็นอย่างดี เพราะห้องแต่ละห้องมีการใช้งานที่แตกต่างกัน วัสดุปูพื้นที่จะนำมาใช้จึงควรผ่านการพิจารณาก่อนนำมาติดตั้งเพื่อรองรับการใช้งานได้อย่างเต็มที่ การเลือกวัสดุปูพื้นที่เหมาะสมจะช่วยยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน ง่ายต่อการดูแลรักษา และปลอดภัยสำหรับสมาชิกในบ้าน 1. ห้องโถงและทางเดิน - เป็นบริเวณที่ใช้สัญจรเข้าออกตั้งแต่เช้าจรดเย็นตลอดเวลา และยังเป็นพื้นที่ที่ต้องการโชว์ความสวยงามสำหรับแขกผู้มาเยือน  ดังนั้น นอกจากความสวยงามที่แสดงออกถึงสไตล์การตกแต่งแล้ว พื้นที่ส่วนนี้จึงควรมีความทนทานแข็งแรง ไม่ลื่นจนเกินไป และทนต่อการขีดข่วนโดยเฉพาะเจ้าของบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงในบ้าน วัสดุปูพื้นสามารถเลือกใช้เป็นหินแกรนิต หินขัด (Terrazzo) ที่มีทั้งความสวยงาม ความแข็งแกร่ง และความทนทานสูง หรือหากไม่ชอบอะไรที่จำเจ สามารถเลือกเป็นกระเบื้องเซรามิกที่มีความหลากหลายทั้งโทนสี และผิวสัมผัสก็ได้ หรือหากต้องการให้บ้านดูอบอุ่นขึ้นมาหน่อยอาจเลือกใช้ไม้ลามิเนตแทนการใช้ไม้จริง เนื่องจากทนต่อการขีดข่วนได้ดี และยังดูเป็นธรรมชาติ ภาพ: ห้องโถง (ซ้าย) ปูด้วยกระเบื้อง Cotto Italia / (ขวา)พื้นไม้ลามิเนต 2. ห้องรับแขก และห้องนั่งเล่น - นับเป็นอีกห้องที่ใช้งานหนัก ไหนจะมีเครื่องเรือนทั้งโต๊ะ โซฟา เคาน์เตอร์วางทีวี ตู้โชว์ ตู้ปลา หรือตู้หนังสือจัดวาง วัสดุปูพื้นสำหรับห้องนี้คล้ายห้องโถงและทางเดิน คือควรมีลักษณะทนทาน ไม่เป็นรอยง่ายอย่าง หินแกรนิต ไม้ลามิเนต หินขัด หรือกระเบื้องเซรามิก นอกจากนี้ การปูพรมเสริมภายในห้อง ก็ช่วยให้ห้องดูอบอุ่นสบายตายิ่งขึ้น ภาพ: ห้องรับแขกปูด้วยกระเบื้อง Cotto Italia 3. ห้องครัว และห้องทานอาหาร - ห้องครัว หรือห้องทานอาหารมักอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน เป็นห้องที่บางบ้านอาจใช้งานบ่อย หรือบางบ้านอาจใช้ไม่บ่อยนัก แต่ด้วยการใช้งานมีไว้สำหรับไว้ทำอาหาร จึงมีโอกาสเกิดคราบสกปรกที่พื้นและผนังได้ง่าย ทั้งเศษอาหาร ไขมัน น้ำ และกลิ่น ทั้งนี้ วัสดุปูพื้นจึงควรเลือกเป็นวัสดุที่ทำความสะอาดง่าย ไม่สะสมเศษสกปรกหรือกลิ่น เช่น กระเบื้องเซรามิก กระเบื้อง PVC เป็นต้น ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงพื้นหินอ่อน ไม้จริง กระเบื้องดินเผา และพรม เพราะจะสกปรกง่าย และทำความสะอาดยาก   ภาพ: ห้องทานอาหารพื้นด้วยกระเบื้องเซรามิก 4. ห้องน้ำ - เป็นพื้นที่ต้องรองรับความเปียกชื้น รวมถึงน้ำยา และสารเคมีต่างๆ เช่น สบู่ แชมพู และน้ำยาล้างห้องน้ำ ซึ่งส่งผลต่อพื้นผิววัสดุปูพื้นโดยตรง ดังนั้นควรเลือกวัสดุปูพื้นที่มีคุณสมบัติกันน้ำ กันลื่น ไม่ขึ้นรา ทำความสะอาดง่ายอย่างกระเบื้องเซรามิก โดยเลือกเป็นประเภทที่มีค่าดูดซึมน้ำต่ำ รวมถึงควรมีค่า R (ค่ากันลื่น) ที่ 10 ขึ้นไป หรือหากต้องการตกแต่งห้องน้ำสไตล์ธรรมชาติ สามารถใช้กรวดล้างทรายล้าง หรือใช้พื้นไม้สังเคราะห์ประเภทไฟเบอร์ซีเมนต์ หรือไวนิลสลับกับการโรยด้วยกรวดหินก็เป็นอีกวิธีที่นิยม นอกจากนี้ ต้องยาแนวกระเบื้องอย่างถูกวิธี และอย่าลืมทำระบบกันซึมบนพื้นคอนกรีตโครงสร้าง เพื่อป้องกันน้ำรั่วซึม ภาพ: ห้องน้ำปูกระเบื้องเซรามิก 5. ห้องนอน - เป็นพื้นที่พักผ่อนส่วนตัวที่ควรมีบรรยากาศผ่อนคลาย สามารถเลือกวัสดุปูพื้นได้หลายประเภทตามแต่เจ้าของห้องต้องการ เพราะเป็นบริเวณที่ไม่ได้ใช้งานหนัก โดยมากจะเลือกเป็นพื้นไม้ ไม่ว่าจะเป็นไม้จริงหรือไม้เทียมต่าง ๆ เพราะให้ความรู้สึกอบอุ่น ไม่เย็นเท้า หรือสามารถเลือกเป็นกระเบื้องเซรามิก หินขัด และปูพรมบางส่วน โดยเฉพาะบริเวณรอบเตียง เพื่อช่วยเพิ่มความนุ่มนวล และลดความแข็งกระด้าง ภาพ: ห้องนอนปูด้วยพื้นไม้ 6. ชาน และระเบียงบ้าน - ชาน และพื้นระเบียงที่อยู่ชั้นบนหรือชั้นล่าง มีโอกาสเจอทั้งแดดและฝน ดังนั้น ควรพิจารณาเลือกใช้วัสดุที่แข็งแรง อายุการใช้งานยาวนานอย่างไม้สังเคราะห์ไฟเบอร์ซีเมนต์ หรือไวนิล สำหรับเจ้าของบ้านที่ชอบสไตล์ธรรมชาติ หรือเลือกใช้เป็นกระเบื้องเซรามิกที่ทำความสะอาดง่าย ทนทานต่อสภาพแวดล้อม ภาพ: ระเบียงนอกบ้านปูด้วยไม้สมาร์ทวูด Floor Plank 7. บันได - สำหรับบ้านพักอาศัยส่วนใหญ่จะเลือกใช้วัสดุประเภทเดียวกันหรือใกล้เคียงกับวัสดุปูพื้นชั้นล่าง หรือวัสดุปูพื้นชั้นบน อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อให้กลมกลืนต่อเนื่องกัน และควรมีจมูกบันไดที่เป็นวัสดุกันลื่น เพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้ หากมีงบประมาณสามารถปูพรมเพื่อความปลอดภัย และลดเสียงเวลาใช้งานได้ด้วย ภาพ: (ซ้าย) บันไดปูไม้บันไดสมาร์ทวูด/ (ขวา) บันไดปูกระเบื้องเซรามิกลายหินอ่อน อย่างไรก็ตาม การเลือกวัสดุปูพื้นในแต่ละห้องต้องไม่ลืมนึกถึงสมาชิกในบ้านด้วย เช่น หากมีเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ ควรเลือกวัสดุปูพื้นที่มีคุณสมบัติกันลื่น หรือเลือกใช้สีพื้นต่างกันในพื้นที่ต่างระดับ เป็นต้น ทราบอย่างนี้แล้ว อย่าลืมศึกษาทั้งคุณสมบัติและการติดตั้งก่อนตัดสินใจ และหมั่นทำความสะอาด บำรุงรักษาวัสดุปูพื้นเพื่อยืดอายุการใช้งานให้สวยงามอยู่เสมอ ขอขอบคุณภาพประกอบและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
ซื้อบ้านหลังแรกช่วยลดภาษีได้อย่างไร?

ซื้อบ้านหลังแรกช่วยลดภาษีได้อย่างไร?

ข่าวดีสำหรับคนที่เพิ่งซื้อบ้านไปเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว หรือมีแพลนจะซื้อบ้านในปีนี้ ถ้าไม่เคยซื้อบ้านหรือมีชื่อเป็นเจ้าของบ้านมาก่อน สามารถนำเงินค่าซื้อบ้านมาลดหย่อนภาษีได้นะครับ ซึ่งรายละเอียด เงื่อนไขเป็นอย่างไรนั้น เรามีข้อมูลมาฝากครับ บ้านแบบไหนลดหย่อนภาษีได้ บ้านที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีกรณีบ้านหลังแรกได้นั้น ต้องเป็นบ้านพร้อมที่ดิน หรือเป็นคอนโดฯ จะเป็นมือ 1 หรือมือ 2 ก็ได้ แต่ต้องมีราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท และจะซื้อด้วยเงินสด หรือเงินผ่อนก็ได้ แต่ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในช่วง 13 ตุลาคม 2558 - 31 ธันวาคม 2559  ดังนั้น ถ้าโอนกรรมสิทธิ์ไม่ทันช่วงเวลานี้ ก็อดหมดสิทธิลดหย่อนภาษีจากบ้านหลังแรกนะครับ รวมถึงถ้ามีที่ดินอยู่แล้ว จะปลูกสร้างบ้านหรือที่อยู่อาศัยบนที่ดินนั้น แม้ไม่เคยเป็นเจ้าของบ้านมาก่อน ก็ไม่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนบ้านหลังแรกได้เช่นกันครับ ลดหย่อนภาษีได้เท่าไร ผู้ที่ซื้อบ้านหรือคอนโดฯ โดยที่ตัวเองไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในบ้านหรืออสังหาฯ เพื่อที่อยู่อาศัยใดๆ มาก่อน ถ้ามีรายได้อยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษี จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากบ้านหลังแรกได้ โดยสามารถนำ 20% ของราคาบ้านมาเฉลี่ยลดหย่อนภาษีได้เป็นเวลา 5 ปี หรือก็คือ ลดหย่อนภาษีได้ปีละ 4% ของราคาบ้านเป็นเวลา 5 ปีนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น ซื้อบ้านหรือคอนโดฯ หลังแรกราคา 3 ล้านบาท จะสามารถลดหย่อนภาษีได้เป็นเวลา 5 ปี ปีละ 120,000 บาท โดยบ้านที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วง 13 ตุลาคม 2558 - 31 ธันวาคม 2558 จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับเงินได้ของปี 2558-2562 ส่วนบ้านที่โอนกรรมสิทธิ์ในปี 2559 จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับเงินได้ของปี 2559-2563 แล้วตอนที่ยื่นภาษีเพื่อใช้สิทธิลดหย่อนบ้านหลังแรกรอบนี้ จะกรอกเป็นค่าลดหย่อนในช่อง “เงินได้ที่จ่ายเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์” ซึ่งต่างจากมาตรการบ้านหลังแรกที่ออกมาในช่วงปี 2554-2555 ที่ตอนยื่นภาษีจะกรอกในช่อง “ภาษีเงินได้ที่ได้รับยกเว้นจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์” นะครับ ร่วมกันซื้อบ้าน ลดหย่อนภาษีอย่างไร ถ้าหลายคนซื้อบ้านหรือคอนโดฯ ร่วมกัน จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ทุกคน โดยหารเฉลี่ยเท่ากัน แต่เมื่อรวมกันทั้งหมดแล้วต้องไม่เกิน 20% ของราคาบ้านหรือคอนโดฯ นั้น เช่น ซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาท โดยกู้ร่วมกัน 3 คน จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากบ้านหลังแรกได้คนละ 40,000 บาทต่อปี รวมกันแล้วอยู่ที่ 120,000 บาท ซึ่งไม่เกิน 20% ของราคาบ้าน 3 ล้านบาท แต่ในกรณีที่เป็นสามีภรรยากู้ร่วมกันซื้อบ้าน การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากบ้านหลังแรกจะต้องดูรายได้ของแต่ละฝ่ายก่อนนะครับ ถ้าสามีหรือภรรยามีรายได้แค่ฝ่ายเดียว ให้ฝ่ายที่มีรายได้สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เต็มจำนวน แต่ถ้ามีรายได้ทั้ง 2 ฝ่าย การใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องดูว่ายื่นภาษีแบบไหนครับ - ถ้าต่างฝ่ายต่างแยกยื่นรายได้ของตัวเอง หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยื่นเฉพาะเงินเดือน (รายได้ตามมาตรา 40(1)) แล้วนำรายได้อื่นไปยื่นรวมกับอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ละฝ่ายจะใช้สิทธิลดหย่อนได้คนละครึ่ง เช่น สามีภรรยาซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาทร่วมกัน จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้คนละ 60,000 บาทต่อปีครับ - ถ้าสามีภรรยายื่นภาษีร่วมกัน ให้ฝ่ายที่ยื่นแบบได้ใช้สิทธิลดหย่อนบ้านหลังแรกของตนเอง และใช้สิทธิในส่วนของสามีหรือภรรยาด้วย เช่น สามีภรรยาซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาทร่วมกัน ถ้ายื่นภาษีร่วมกัน ผู้ที่ยื่นแบบจะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้รวมเท่ากับ 120,000 บาทต่อปีครับ ใช้หลักฐานอะไรบ้างในการลดหย่อนภาษี ผู้ที่ต้องการลดหย่อนภาษีบ้านหลังแรก อย่าลืมเตรียมหลักฐานต่างๆ เพื่อใช้ยื่นภาษีให้พร้อมจะได้ไม่พลาดสิทธิดีๆ นะครับ มีอะไรบ้างมาดูกันครับ 1. หนังสือรับรองจำนวนเงินที่ชำระค่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ (สามารถดูแบบฟอร์มของกรมสรรพากร) 2. หนังสือรับรองการซื้ออสังหาริมทรัพย์ว่าเป็นที่อยู่อาศัยหลังแรก (สามารถดูแบบฟอร์มของกรมสรรพากร) 3. สำเนาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ 4. สำเนาสัญญากู้ยืมเงิน (กรณีขอสินเชื่อจากธนาคารหรือสถาบันการเงิน) อยากขายบ้านที่ใช้สิทธิบ้านหลังแรกทำได้หรือไม่ สำหรับผู้ที่ใช้สิทธิลดหย่อนบ้านหลังแรก จะต้องมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านที่ซื้อไม่น้อยกว่า 5 ปีนับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ จึงจะขายบ้านได้โดยไม่ผิดเงื่อนไข แต่ถ้ามีการทำผิดเงื่อนไข เช่น ขายบ้านก่อนถือครองครบ 5 ปี จะทำให้หมดสิทธิการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี แถมยังต้องคืนภาษีที่ได้ลดหย่อนจากบ้านหลังแรก พร้อมเงินเพิ่มอีก 1.5% ต่อเดือนของจำนวนเงินภาษีที่ได้ลดหย่อนไป นับตั้งแต่เดือนเมษายนของปีที่ผู้ซื้อบ้านยื่นขอลดหย่อนภาษีจนถึงเดือนที่มีการยื่นคืนเงินภาษี   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
ช่วยกิจการครอบครัวไม่ต้องกลัวเรื่องกู้บ้าน

ช่วยกิจการครอบครัวไม่ต้องกลัวเรื่องกู้บ้าน

มีหลายคนเมื่อเรียนจบแล้ว เลือกที่จะทำงานดูแลกิจการของครอบครัว แต่ด้วยความเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในครอบครัว การจ่ายค่าจ้างหรือเงินเดือน ก็อาจไม่ได้ชัดเจนเหมือนพนักงานทั่วๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นวิธีการจ่าย จำนวนเงินเดือน หรือตำแหน่งงานที่รับผิดชอบ จึงทำให้หลายคนที่เลือกทำงานกับครอบครัวประสบปัญหาในการยื่นกู้ซื้อบ้าน แล้วความชัดเจนในการทำงานกับครอบครัวจะพิสูจน์ให้ธนาคารรู้ได้อย่างไร เรามีคำตอบครับ รายได้ต้องเข้าระบบบัญชีเงินเดือน ถึงแม้จะทำงานกับครอบครัว แต่หากรับรายได้จากครอบครัวเป็นแบบค่าจ้างหรือเงินเดือน ก็ถือว่าเราเป็นพนักงานคนหนึ่งของกิจการครับ และเมื่อมีรายได้เป็นแบบเงินเดือน การรับเงินจึงควรรับผ่านระบบบัญชีเงินเดือน หรือที่เรียกกันว่า Payroll เหมือนกับพนักงานประจำทั่วไปครับ โดยลักษณะการรับเงินผ่านระบบ Payroll นายจ้างจะจ่ายเงินเดือนให้ด้วยการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากที่ลูกจ้างหรือพนักงานเปิดไว้กับธนาคาร เพื่อรองรับเงินเดือนนั่นเอง ที่สำคัญการรับเงินเดือนผ่านระบบ Payroll ในสมุดบัญชีเงินฝากจะต้องแสดงรหัส (Code) เป็นรหัสเฉพาะของ Payroll ตามที่ธนาคารกำหนด ซึ่งจะไม่เหมือนกับรหัสการโอนเงินเข้าบัญชีแบบทั่วๆ ไป ดังนั้นหากเรามีการรับเงินเดือนผ่านระบบ Payroll แล้ว ในสมุดบัญชีเงินฝากจะแสดงยอดจำนวนเงินเดือนและมีรหัสที่แสดงว่ามีการรับเงินผ่านระบบ Payroll เราก็สามารถใช้รายการเดินบัญชีย้อนหลัง (Statement) จากบัญชีนี้ เป็นหลักฐานในการยื่นกู้ซื้อบ้าน ซึ่งช่วยยืนยันรายได้และการทำงานของเราได้ครับ ทำงานจริงต้องมีเอกสารยืนยัน สำหรับเอกสารที่ใช้ในการยื่นกู้ซื้อบ้าน เพื่อแสดงรายได้และยืนยันการทำงานกับกิจการของครอบครัว จะใช้เอกสารเช่นเดียวกับการยื่นกู้ซื้อบ้านกรณีเป็นพนักงานประจำครับ ซึ่งเอกสารที่ต้องเตรียมให้กับธนาคาร ได้แก่ - สลิปเงินเดือนหรือหนังสือรับรองเงินเดือน - เอกสารการเสียภาษี เช่น หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) - รายการเดินบัญชีย้อนหลัง โดยต้องเป็นบัญชีเงินฝากที่ใช้รับเงินเดือน เอกสารต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้ธนาคารรู้ว่า การทำงานกับกิจการของครอบครัวของเรานั้น  ทำงานในตำแหน่งอะไร  มีรายได้จากเงินเดือนเท่าไร และทำมานานแค่ไหนครับ การพิสูจน์ให้ธนาคารเห็นว่า เรามีการทำงานกับครอบครัวจริงๆ และมีรายได้ประจำจากเงินเดือนอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการมีเอกสารที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือ ก็จะช่วยให้เพิ่มโอกาสในการยื่นกู้ซื้อบ้านให้ผ่านได้ครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert