Tag : Lifestyle

432 ผลลัพธ์
Tips เลือกซื้อบ้านโครงการจัดสรรอย่างไรให้ใช่ และดีที่สุด

Tips เลือกซื้อบ้านโครงการจัดสรรอย่างไรให้ใช่ และดีที่สุด

สำหรับคนที่ใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของบ้านสักหลังแต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกซื้อจากโครงการไหนดี? เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าที่อยู่อาศัยในปัจจุบันถือว่าเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูง ส่วนปัจจัยหลักในการเลือกซื้อบ้านนอกจากเรื่องทำเล, แนวคิดการพัฒนาโครงการ, พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านแล้ว ยังต้องคำนึงถึงชื่อของผู้ประกอบการว่ามีประวัติการสร้างและดูแลลูกค้าในโครงการดีแค่ไหน ดังนั้นก่อนที่จะซื้อบ้านไม่ว่าโครงการใดๆ ผู้ซื้อจึงควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด และทำความเข้าใจกับกฎหมายทางด้านอสังหาริมทรัพย์ให้เข้าใจ เพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจนำไปสู่การเสียเงินและเสียเวลาในภายหลัง ทั้งนี้เพื่อเป็นตัวช่วยในการพิจารณาโครงการบ้านต่างๆ เราจะมาแบ่งปัน Tips เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้โดนใจและดีที่สุด พร้อมกับรายละเอียดดังต่อไปนี้...   ทำเลที่ตั้งของโครงการ ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ค่ะ ว่าเรื่องตำแหน่งที่ตั้งของโครงการเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจ โครงการบ้านที่ดีต้องแวดล้อมไปด้วยสาธารณูปโภคครบครัน ซึ่งแนะนำให้ยึดทำเลที่ตั้งที่สมาชิกในครอบครัวสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกมาเป็นข้อพิจารณาอันดับแรก เช่น การเดินทางไปสถานที่ทำงาน หรือสถานศึกษาของสมาชิกในครอบครัว ระบบโครงข่ายคมนาคมที่มีระบบขนส่งรองรับ ทำให้การเดินทางเพื่อปฏิบัติภารกิจประจำวันสะดวกรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่าย ซึ่งการเลือกทำเลที่ตั้งของบ้านควรพิจารณาจากความเหมาะสมกับความต้องการและวิถีชีวิตของคนในครอบครัวเป็นหลัก   เส้นทางการคมนาคมเข้าสู่ตัวเมือง ประเด็นรองต่อจากเรื่องทำเลที่ตั้งคงหนีไม่พ้นเรื่องของเส้นทางคมนาคมจัดเป็นเรื่องที่สำคัญอันดับต้นๆ ในการที่เราจะตัดสินใจซื้อบ้านสักโครงการหนึ่ง เพราะโครงการที่ดีนั้นควรจะตั้งอยู่ไม่ไกลจากทางด่วนมากนัก หรือมีเส้นทางลัดที่สามารถเชื่อมกับทางด่วนหรือเส้นทางหลักที่ใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ และควรใช้เวลาบนถนนให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเลือกได้ แนะนำว่าถ้ามีเวลาสนใจโครงการไหนก็ลองวนรถดูนะคะ วนเข้า-วนออก, ยูเทิร์น ซึ่งควรลองขับรถไปทั้งวันธรรมดาและวันเสาร์-อาทิตย์ หลาย ๆ ช่วงเวลาดูนะคะว่าจะ "สะดวก" อย่างที่ทางโครงการโฆษณาไหม แล้วจึงค่อยตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง   เลือกโครงการและราคาที่เหมาะสม เมื่อได้ทำเลที่ต้องการแล้ว ควรเลือกโครงการและราคาที่เหมาะสม สำหรับโครงการที่ดีนั้นควรจะมีสาธารณูปโภคและสาธารณูปการที่ครบถ้วน เช่น ถนน ท่อระบายน้ำ ไฟฟ้า ประปา โทรศัพท์ ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายการจัดสรรที่ดินกำหนดหรือไม่ สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ เช่น สระว่ายน้ำ สวนสาธารณะ หรือฟิตเนส มีตรงตามความต้องการของผู้ซื้อไหม? ในบริเวณใกล้เคียงโครงการมีโรงเรียน โรงพยาบาล หรือห้างสรรพสินค้าหรือไม่ รวมถึงสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกโครงการ เหมาะสมกับการอยู่อาศัยของสมาชิกในครอบครัวขนาดไหน   เลือกบริษัทหรือเจ้าของโครงการที่มีประสบการณ์ไว้ก่อน นอกจากเรื่องทำเลที่ตั้งและการเดินทางแล้ว การจะซื้อบ้านโครงการสักหลังยังต้องคำนึงถึงบริษัทหรือเจ้าของโครงการว่ามีความน่าเชื่อถือมีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมากน้อยเพียงใด โดยพิจารณาจากประวัติชื่อเสียงและผลงานในอดีต เพื่อเป็นเครื่องรับประกันในขั้นต้นว่า ผู้ซื้อจะได้บ้านที่มีมาตรฐานทั้งด้านความมั่นคงแข็งแรง และก่อสร้างบ้านให้ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันอย่างตรงเวลา ในกรณีนี้ผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์และมีความเป็นมืออาชีพ จะได้เปรียบกว่าผู้ประกอบการหน้าใหม่ที่ยังไม่เคยมีผลงานในการก่อสร้างเลย   ขนาดพื้นที่บ้าน นอกจากเรื่องแบรนด์ของตัวบ้านแล้วสิ่งที่ทำให้ราคาพุ่งสูงก็คือขนาดพื้นที่ดินที่บ้านหลังนั้นตั้งอยู่นั่นเองค่ะ ยิ่งโครงการตั้งอยู่ในที่เจริญแล้วก็จะยิ่งมีราคาสูงขึ้นไปอีกเนื่องจากราคาที่ดินต่อตารางวา ดังนั้นการที่เราสนใจจะซื้อบ้านสักหลังควรต้องรู้ขนาดที่ดินที่ตั้งของบ้านด้วยนะคะว่ามีขนาดเท่าไหร่ โดยมีหน่วยวัดเป็นตารางวา ซึ่งอาจสอบถามพนักงานขายก็ได้ค่ะ ว่าที่ราคาที่ดินตรงนี้ราคาตารางวาละเท่าไร แล้วจึงลองคูณจำนวนพื้นที่ดู ที่สำคัญคือส่วนที่เหลือจากค่าที่ดินก็คิดเป็นราคาบ้านค่ะ ลองคิดวิเคราะห์ดูครับว่าเงินส่วนที่เหลือประมาณระดับนี้แล้วต้องจ่ายเงินในส่วนที่เหลือก็คือราคาบ้านลองดูว่าวัสดุและเงินส่วนที่เหลือว่าคุ้มค่าแค่ไหน   แบบแปลนบ้าน แบบบ้านก็เป็นอีกหนึ่งความจำเป็นที่ต้องใช้ในการประกอบการตัดสินใจนะคะ เพราะขนาดหน้ากว้างและความลึกของตัวบ้าน ตลอดจนจำนวนที่จอดรถ, จำนวนห้องน้ำ, ห้องนอน, ห้องครัว รวมถึงพื้นที่ใช้สอยรอบบ้านว่าเพียงพอต่อความต้องการไหม นอกจากนี้ยังควรคำนึงถึงอนาคต กรณีที่ครอบครัวไหนจะมีสมาชิกเพิ่มด้วยนะคะ ว่ามีห้องสำหรับลูกสาวลูกชายตัวน้อยหรือเปล่า แนะนำให้ศึกษาดูแปลนบ้านชั้นล่างและชั้นบนโดยละเอียดนะคะ   คุณภาพวัสดุที่ใช้ สำหรับเรื่องของตัวบ้านควรคำนึงถึงเรื่องของคุณภาพของวัสดุที่ใช้เทียบกับราคาของบ้านว่าสมเหตุสมผลมากน้อยแค่ไหน ลองพิจารณาดูนะคะว่าวัสดุและเทคโนโลยีที่ทางโครงการใส่ให้กับบ้านของเราคุ้มค่าไหม ปัจจุบันที่เห็นก็จะเป็นระบบระบายอากาศในบ้าน, ระบบป้องกันความร้อนจากภายนอก เป็นต้น บางคนอาจจะมองหาบ้านที่ใช้อิฐมวลเบาและอิฐมอญ หรือเป็นบ้านแบบ Precast บ้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องคำนึงอย่างละเอียด เพราะทุกชิ้นทุกมุมในบ้านคือสิ่งที่เราต้องจ่ายเงินซื้อรวมไว้ในราคาบ้านแล้วค่ะ ดังนั้นจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบสักนิดหนึ่งเพื่อบ้านที่ใช่และดีที่สุด   สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านโครงการจัดสรรอยู่ ลองนำ Tips เลือกซื้อบ้านอย่างไรให้โดนใจและดีที่สุดที่เรามาฝากกันในวันนี้ไปพิจารณาดูนะคะ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของผู้ซื้อเอง ยังไงผู้เขียนก็ขอเอาใจช่วยให้ทุกคนได้เลือกบ้านที่ใช่ในราคาที่สมเหตุสมผล คุ้มค่าทุกพื้นที่อยู่อาศัยเลยนะคะ          
‘เอพี ไทยแลนด์’ x ‘แฟบริก้า ดีไซน์’ ร่วมมือออกแบบนวัตกรรมพื้นที่แห่งอนาคต เผยผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์จากการทับซ้อนทางดีไซน์ปลดล็อคพื้นที่ใช้สอยที่ถูกซ่อนอยู่ สู่วิถีแห่งการอยู่อาศัยแห่งศตวรรษใหม่ ผ่านโปรเจคต์พิเศษเพื่อสังคม AP SPACE SCHOLARSHIP

‘เอพี ไทยแลนด์’ x ‘แฟบริก้า ดีไซน์’ ร่วมมือออกแบบนวัตกรรมพื้นที่แห่งอนาคต เผยผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์จากการทับซ้อนทางดีไซน์ปลดล็อคพื้นที่ใช้สอยที่ถูกซ่อนอยู่ สู่วิถีแห่งการอยู่อาศัยแห่งศตวรรษใหม่ ผ่านโปรเจคต์พิเศษเพื่อสังคม AP SPACE SCHOLARSHIP

วันนี้ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการ อสังหาริมทรัพย์และเจ้าแห่งนวัตกรรมเพื่อคุณภาพการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตที่ดีกว่าสำหรับคนเมือง ร่วมกับ FABRICA (แฟบริก้า) ดีไซน์สตูดิโอชื่อดังจากประเทศอิตาลี นำเสนอวิธีคิดในการออกแบบ พื้นที่แห่งอนาคตและการคิดค้นนวัตกรรมพื้นที่ที่สาม ที่เกิดจากการทับซ้อนทางดีไซน์ จนเกิดพื้นที่ในมิติใหม่ที่ทลายกรอบความคิดในการออกแบบ ชี้นำพฤติกรรมการอยู่อาศัยของมนุษย์ไปสู่การเปลี่ยนแปลงในบริบทใหม่  ในวันที่เส้นแบ่งชีวิตเรื่องงาน – ส่วนตัว เหลือน้อยลง ผ่านโปรเจคต์พิเศษเพื่อสังคมที่ชื่อว่า AP SPACE SCHOLARSHIP อีกหนึ่งโครงการ CSR ภายใต้การดำเนินการของเอพีที่นำเสนอวิธีคิดใหม่ในการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม โดยใช้ความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์สเปซสำหรับการอยู่อาศัยของเอพี ร่วมกับจุดต่างทางความคิดที่เชื่อมโยงความต่างทางวัฒนธรรมของทาง FABRICA มาร่วมสร้างสรรค์ทุนการศึกษารูปแบบใหม่ที่เป็นการให้ ‘ที่พักอาศัย’ ด้วยห้องชุดในคอนโดเอพี ซึ่งออกแบบโดยทีมงาน AP DESIGN LAB x FABRICA เพื่อเชื่อมต่อการใช้ชีวิตของน้องๆ ที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด มีผลการเรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยเฉพาะเรื่องที่พักอาศัย จำนวน 7 คน ซึ่งต้องย้ายเข้ามาศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในกรุงเทพมหานคร  ซึ่งผู้ที่สนใจศึกษาวิธีคิดในการออกแบบที่นำมาซึ่งผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ ปลดล็อคพื้นที่ที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่ วิถีแห่งการอยู่อาศัยแห่งอนาคต ได้ที่นิทรรศการ ‘SPACES WITHIN SPACE, A Vision of Co-Living Generation’ ที่จะจัดแสดงขึ้นระหว่าง 22-26 พฤศจิกายนนี้ เวลา 10.00-18.00 น. ณ Woof Pack Space ศาลาแดง ซอย 1 ถนนพระราม 4 บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) ได้ต่อยอดวิธีคิดการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมในรูปแบบใหม่ โดยใช้ความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์สเปซสำหรับการอยู่อาศัย กับจุดต่างทางความคิดเฉพาะตัวของทีมดีไซเนอร์จากทาง FABRICA ร่วมกันสร้างสรรค์และยกระดับศักยภาพของเด็กไทยบนพื้นฐานของการให้ ด้วยการออกแบบห้องชุดในโครงการเพื่อสังคม “AP SPACE SCHOLARSHIP – ทุนที่พักอาศัย เพื่อการเริ่มต้นของคนคุณภาพ” โดยมอบทุนการศึกษาเป็นตารางเมตร ในคอนโดมิเนียมที่บริหารจัดการโดยบริษัทในเครือเอพี เพื่อเชื่อมต่อการใช้ชีวิตของน้องๆ ที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด มีผลการเรียนดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์โดยเฉพาะเรื่องที่พักอาศัย จำนวน 7 คน ซึ่งต้องย้ายเข้ามาศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาในกรุงเทพมหานคร ได้เริ่มต้นชีวิตระหว่างเรียนร่วมกันได้ อย่างมีความสุข สร้างสรรค์ และปลอดภัย ภายในห้องชุดที่ได้รับการออกแบบพื้นที่ใช้สอยเป็นพิเศษโดยทีม AP Design Lab ร่วมมือกับ FABRICA ดีไซน์สตูดิโอที่รวบรวมหนุ่มสาวนักคิด นักออกแบบ เพื่อสร้างสรรค์พื้นที่ ให้สามารถใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าใน 2 โครงการที่ใกล้สถานศึกษา ได้แก่ โครงการ Aspire รัตนาธิเบศร์ 2 และ Aspire สาทร-ตากสิน นายสรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง ผู้อำนวยการคอร์ปอเรทมาร์เก็ตติ้ง และเอพี ดีไซน์ แล็บ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “โปรเจคต์นี้เอพีมุ่งนำเสนอการออกแบบที่อยู่อาศัยร่วมกันแห่งอนาคต ผ่านการศึกษาและค้นหาพื้นที่ที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่ หรือที่ทางทีมเอพีเรียกว่า ‘พื้นที่ที่สาม’ และวิธีการมองสเปซในทุกมิติด้วยประสบการณ์ 25 ปีของเราที่เข้าใจการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์คนเมือง เรามีความเชี่ยวชาญในการออกแบบพื้นที่การใช้ชีวิตคุณภาพ โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียมที่ทุกตารางนิ้วมีคุณค่าจึงต้องใช้ได้อย่างมากประโยชน์ ในครั้งนี้เราได้ผสานความเชี่ยวชาญของ FABRICA ที่มีจุดเด่นทางความคิดที่เชื่อมโยงความต่างทางวัฒนธรรม ก่อเกิดผลงานที่เข้าถึงและกินใจคนทั่วโลก มาร่วมกันสร้างสรรค์พื้นที่อยู่อาศัยสำหรับน้องๆ นักศึกษาทั้ง 7 คนที่เดินทางมาจากคนละจังหวัดให้อยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีความสุข และพร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตในเมืองใหญ่ได้อย่างมั่นใจ โดยเรื่องราวของการให้ทุนที่เป็น ‘ที่อยู่อาศัย’ นั้น ทางเอพีได้ถ่ายทอดผ่านนิทรรศการ ‘SPACES WITHIN SPACE, A Vision of Co-Living Generation’ ซึ่งผู้ที่สนใจในแนวคิดของการทำกิจกรรมเพื่อสังคมในโครงการ AP SPACE SCHOLARSHIP หรือวิธีคิดในการออกแบบที่ผสานความต่างทางวัฒนธรรม สามารถเข้ามาชมได้ตั้งแต่วันที่ 22-26 พฤศจิกายนนี้ ณ WOOF PACK Space ศาลาแดง ซอย 1 ซึ่งในนิทรรศการจะมีการจำลองห้องชุดทั้ง  2 ห้องในมิติที่เสมือนจริงมาให้ทุกคนได้ลองค้นหาความหมายของพื้นที่ที่สาม นวัตกรรมพื้นที่แห่งอนาคตในมุมมองของ AP และ FABRICA” “เอพีให้ความสำคัญกับการออกแบบและก่อสร้างห้องของน้องๆ เด็กทุน AP SPACE SCHOLARSHIP เป็นอย่างมาก ทีม AP Design Lab ของเราจึงเลือกร่วมงานกับดีไซน์สตูดิโอชื่อดังระดับโลกอย่าง FABRICA ที่เป็นศูนย์รวมของเหล่านักคิด นักออกแบบรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์จากทั่วโลก ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี นำโดย Mr. Sam Baron (มร. แซม บารอง) ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ FABRICA ผู้มีชื่อเสียงระดับโลกในวงการออกแบบ เป็นไอดอลของนักออกแบบรุ่นใหม่ และได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในดีไซเนอร์ที่มีความสามารถแห่งทศวรรษมาช่วยในการออกแบบ ให้สามารถค้นพบและนำพื้นที่ที่สามที่เกิดจากการทับซ้อนของการออกแบบ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดทุกตารางนิ้ว และมีดีไซน์สวยงามล้ำสมัย” คุณสรรพสิทธิ์ กล่าว มร. แซม บารอง ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ FABRICA กล่าวว่า “ในฐานะตัวแทนจากทีมงาน FABRICA ผมขอชื่นชมเอพี (ไทยแลนด์) ที่สร้างสรรค์โครงการดีๆ เพื่อสังคมอย่าง SPACE SCHOLARSHIP  ในมุมมองของผมโครงการนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเยาวชนในสังคมไทย เป็นส่วนหนึ่งในการมอบ โอกาสในชีวิต รวมถึงการสร้างคนคุณภาพให้กับสังคมไทย โปรเจคต์ SPACE SCHOLARSHIP ค่อนข้างท้าทาย วิธีคิดในการออกแบบของผมและทีม เพราะโจทย์ในการออกแบบคือ การออกแบบพื้นที่พักอาศัยใน คอนโดมิเนียม สำหรับการอยู่อาศัยร่วมกันของเด็ก 7 คนที่ไม่รู้จักกันมาก่อน และเดินทางมาจากคนละจังหวัด มีภูมิหลังและวัฒนธรรมที่ต่างกัน โดยแบ่งเป็นห้องสำหรับการอยู่ร่วมกันสำหรับเด็กผู้ชาย 4 คน 1 ห้อง  และสำหรับเด็กผู้หญิง 3 คน 1 ห้อง ซึ่งปรัชญาการออกแบบอย่างหนึ่งของทีม FABRICA คือการเชื่อมโยงความต่างทางวัฒนธรรมให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งจุดเด่นอย่างหนึ่งที่ทำให้ FABRICA สามารถสร้างผลงานที่เข้าถึงคนทั่วโลกได้ คือ  FABRICA DESIGN TEAM เกิดขึ้นจากรวมตัวกันของหนุ่มสาวนักคิด นักออกแบบจากหลากหลายเชื้อชาติมาร่วมกันสร้างสรรค์งานดีไซน์ที่เข้าใจและสะท้อนคุณค่าทางวัฒนธรรมได้อย่างชัดเจน” “สำหรับคอนเซ็ปต์ในการออกแบบของโปรเจคต์ SPACE SCHOLARSHIP เกิดขึ้นภายใต้แนวคิด ‘SUM’ (Some of Small Parts) ซึ่งสิ่งที่แนวคิด ‘SUM’ ตั้งคำถามคือเราจะสร้างพื้นที่แห่งการแบ่งปันไปพร้อมๆ กับการสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัยได้อย่างไร ‘SUM’ จึงสะท้อนวิธีคิดในการจัดวางพื้นที่สำหรับการอยู่ร่วมกัน ที่ช่วยส่งเสริมการสื่อสาร และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ โดยผลรวมของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมด ในห้องชุดคือการเรียบเรียงองค์ประกอบอันหลากหลายให้เติมเต็มและเพิ่มคุณค่ากันและกัน เกิดเป็นสังคมใหม่ เป็นทั้งพื้นที่แห่งการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ การแบ่งปัน และการอยู่ร่วมกัน ซึ่งเมื่อห้องชุดก่อสร้างแล้วเสร็จ เด็กๆ ย้ายเข้าอยู่เราก็เริ่มเห็นผลจากงานดีไซน์ที่เชื่อมความต่างของทุกคนเข้าหากันได้อย่างลงตัว ซึ่งเรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจคต์เพื่อสังคมดีๆ นี้ครับ”  มร. บารอง กล่าว บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) มุ่งหวังว่าโครงการเพื่อสังคม AP SPACE SCHOLARSHIP จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยยก ระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของคนในสังคม ส่งเสริมความกล้าในการที่จะคิดและทำต่างอย่างสร้างสรรค์ นับว่าเป็นการต่อยอดวิสัยทัศน์ในการ “คิดต่าง” (Think Different) ของเอพี ในการเดินหน้า คิดค้นและนำเสนอนวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตของคนเมือง ที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งในด้าน ‘คุณภาพ’ ‘บริการ’ ‘ความ-สะดวกสบาย’ และ ‘ความปลอดภัย’ โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือ การมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด ให้กับการอยู่อาศัยในเมือง ทั้งนี้ นิทรรศการ ‘SPACES WITHIN SPACE, A Vision of Co-Living Generation’ จะจัดแสดง ระหว่าง 22-26 พฤศจิกายนนี้ เวลา 10.00-18.00 น. ณ Woof Pack Space ศาลาแดง ซอย 1 ถนนพระราม 4 เพื่อแสดงผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ที่เกิดจากการทับซ้อนทางดีไซน์ เกิดเป็นนวัตกรรมพื้นที่แห่งอนาคต สู่วิถี-แห่งการอยู่อาศัยในวันข้างหน้า ผ่านการออกแบบในโปรเจคต์พิเศษเพื่อสังคม AP SPACE SCHOLARSHIP ข้อมูลเพิ่มเติม www.apthai.com/apspacescholarship
เลือกเหล็กดัดอย่างไรให้เข้ากับบ้าน

เลือกเหล็กดัดอย่างไรให้เข้ากับบ้าน

“เหล็กดัด” จัดว่าเป็นอีกหนึ่งวัสดุยอดฮิตของหลายๆ บ้านที่สถาปนิกและผู้รับเหมานิยมติดตั้งเพื่อป้องกันปัญหาบุกรุกและขโมยขึ้นบ้าน เนื่องจากมีความแข็งแรง ทนทาน และสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้แก่ผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี แต่ในเรื่องของความสวยงามนั้นกลับเป็นปัญหาให้เจ้าของบ้านกังวลใจไม่ใช่น้อยเลย เพราะเหล็กดัดที่เราเห็นทั่วไปมักมีลวดลายทำให้รูปลักษณ์ของบ้านดูสวยน้อยลง ซึ่งองค์ประกอบหลักของการเลือกเหล็กดัดให้เข้ากับบ้านนั้นก็มีอยู่ไม่กี่ข้อ เราไปดูกันดีกว่าค่ะว่ามีอะไรบ้าง เลือกเหล็กดัดแบบที่ใช่ในสไตล์ที่ชอบ ขั้นตอนแรกของการเลือกเหล็กดัดให้เข้ากับตัวบ้าน แนะนำให้ลองหารูปภาพแบบที่ชอบในอินเตอร์เน็ต หรือหนังสือต่างๆ เพื่อเป็นภาพตัวอย่างให้แก่ช่างผู้ชำนาญหรือสถาปนิกผู้ออกแบบ นอกจากนี้ควรเลือกลวดลายให้รับกับสไตล์ของบ้าน เช่น บ้านสไตล์โมเดิร์น ก็ควรเลือกเหล็กดัดเป็นเส้นสายเรียบๆ ไม่ต้องมีลวดลายหรือเกิดความรกสายตาจนเกินไป เพราะถ้าออกแบบให้ดีก็สามารถเป็นส่วนตกแต่งที่ดีและโดดเด่นของบ้านได้ ก่อนติดเหล็กดัด ต้องทำความรู้จักกับชนิดของเหล็กก่อน แน่นอนว่าเหล็กดัดทำจากวัสดุที่มีความแข็งแรงทนทาน ซึ่งเหล็กก็มีหลายประเภทด้วยกัน ทั้งเหล็กแผ่น เหล็กเส้น และเหล็กรูปทรงต่างๆ ส่วนใหญ่เราจะชินกับเหล็กกลมหรือเหลี่ยมเท่านั้น ดังนั้นแนะนำให้ศึกษาข้อมูลชนิดต่างๆ ของเหล็กให้ดี เพื่อจะได้เลือกวัสดุที่มีความสวยงาม แข็งแรงและปลอดภัยกับบ้านนั่นเองค่ะ เช็คขนาดและระยะห่างให้ดี ก่อนติดเหล็กดัด เมื่อเลือกรูปแบบ ลวดลาย ที่ชอบเหมาะกับบ้านได้แล้ว ขั้นตอนต่อมาแนะนำให้คำนวณขนาดและช่องว่างให้ดี เพราะความสวยงามเส้นสายต่างๆ ของเหล็กดัดที่เกิดขึ้น ต้องทำให้เกิดช่องว่างที่ไม่มากเกินไป ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยในการป้องกันไม่ให้ตัวคนหรือแขนลอดผ่านได้ง่าย เลือกช่างที่ชำนาญในการติดตั้งเหล็กดัด ขั้นตอนสุดท้ายเมื่อมีแบบคร่าวๆ ก่อนที่จะให้ช่างลงมือทำ แนะนำให้เลือกช่างที่มีความชำนาญเกี่ยวกับเหล็กโดยตรง และช่วงติดตั้งนั้นเจ้าของบ้านควรหมั่นเข้ามาดูงานบ่อยหน่อย เผื่อมีการแก้ไขจะได้ทำทันที ส่วนจะติดเหล็กดัดข้างในหรือข้างนอกบ้านอาจไม่สำคัญเท่ารูปแบบ เพราะอย่างไรเหล็กดัดเหล่านี้ก็เป็นเกราะป้องกันให้แก่บ้านอยู่ดีค่ะ องค์ประกอบเพื่อความปลอดภัยที่สำคัญของบ้านอย่างเหล็กดัด นับเป็นอีกหนึ่งรายละเอียดที่เจ้าของบ้านควรใส่ใจ ทั้งในด้านการออกแบบ,การเลือกวัสดุคุณภาพ และช่างผู้ชำนาญก็ช่วยทำให้มั่นใจได้อีกขั้นหนึ่ง ขอแค่เลือกให้เข้ากับสไตล์ของบ้านแค่นี้ก็ได้บ้านสวยและอยู่สบายแล้วค่ะ ตัวอย่างเหล็กดัดชนิดต่างๆ baanandbeyond เรื่องราวเกี่ยวกับประตู-หน้าต่าง อื่นๆ ประตู หน้าต่าง เลือกใช้วัสดุแบบไหนดี? ผนัง Precast สามารถเจาะเพิ่มช่องประตูหรือหน้าต่างได้หรือไม่ ‘ทอสเท็ม’ นำเสนอ ‘บานประตูและประตูรั้วอะลูมิเนียมสำเร็จรูป’ รุ่นใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการหลากหลายของผู้อยู่อาศัย  
ข้อควรรู้เมื่อบ้านเกิดรอยร้าว

ข้อควรรู้เมื่อบ้านเกิดรอยร้าว

อีกหนึ่งปัญหาสำหรับเจ้าของบ้านที่สร้างความกังวลใจอย่างมากก็คือ “รอยร้าว” ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับทุกๆ บ้านเมื่อมีอายุการใช้งานไปสักระยะหนึ่ง แต่เจ้าของบ้านส่วนใหญ่กลับละเลยและไม่ลงมือซ่อมแซมรอยร้าวเหล่านี้ทันที เพราะคิดว่าไม่เป็นอันตรายและเป็นการสิ้นเปลืองค่าซ่อมแซม โดยที่ไม่ทราบเลยว่ารอยร้าวบางลักษณะก็เป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับบ้าน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับโครงสร้างอาคารโดยตรง หากปล่อยทิ้งไว้นานเข้าอาจเป็นอันตรายถึงขั้นทำให้บ้านถล่มได้เลยนะคะ วันนี้เราจึงรวบรวมรอยร้าวทุกอาการที่พบบ่อยซึ่งมีทั้งแบบไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้าง และรอยร้าวที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้าง พร้อมวิธีแก้ปัญหาดังกล่าว... รอยร้าวที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้าง รอยร้าวแนวดิ่งบนผนังและคาน รอยร้าวแนวดิ่งบนผนังและคานเป็นรอยร้าวที่เกิดจากการแอ่นตัวของพื้นและคานที่อยู่ใกล้บริเวณนั้น เนื่องจากรองรับน้ำหนักมากเกินไป ทำให้คานแอ่นและดันผนังใต้คานให้เกิดรอยร้าวแนวดิ่งตามมาด้วย หากพบรอยร้าวแนวนี้ แนะนำให้รีบเคลื่อนย้ายข้าวของที่มีน้ำหนักมากๆ ออกทันที เพื่อลดน้ำหนักกดทับและใช้เหล็กค้ำยันเพื่อช่วยแบ่งเบาน้ำหนัก จากนั้นจึงให้วิศวกรเข้ามาตรวจสอบและจ้างผู้รับเหมาหรือช่างที่ชำนาญซ่อมแซมในขั้นตอนต่อไป รอยร้าวบริเวณกลางพื้นหรือบนเพดาน ถ้าเกิดรอยร้าวบริเวณนี้นับว่าเป็นรอยร้าวอันตรายที่สุดเลยค่ะ สาเหตุเกิดจากพื้นชั้นบนรับน้ำหนักมากเกินไป จนเกินขีดความสามารถ การที่เกิดรอยร้าวจึงเป็นสัญญาณเตือนภัยก่อนพื้นจะพังทลายลงมา วิธีรับมือที่ดีสุดคือควรรีบเคลื่อนย้ายข้าวของบริเวณใต้รอยร้าวและบนรอยร้าวให้เร็วที่สุด จากนั้นจึงติดต่อให้วิศวกรเข้ามาตรวจสอบและทำการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน รอยร้าวทแยงมุมบนผนัง รอยร้าวทแยงมุมบนผนังเกิดจากการทรุดตัวของฐานรากหรือเสาบ้านที่อยู่ใกล้ผนังบริเวณนั้น ซึ่งรอยร้าวลักษณะนี้บ่งบอกถึงความไม่แข็งแรงของโครงสร้างบ้าน แนะนำให้ปรึกษาช่างผู้ชำนาญหรือสถาปนิกมาตรวจสอบและแก้ไขโดยด่วน ซึ่งวิธีแก้ไขรอยร้าวชนิดนี้ อาจต้องเสริมเสาเข็มและฐานรากหรือใช้วิธียกบ้านขึ้นชั่วคราวเพื่อทำฐานรากใหม่ หากเจ้าของบ้านปล่อยให้เกิดรอยร้าวลักษณะนี้ต่อไปเรื่อยๆ อาจต้องทุบอาคารทิ้งทั้งหมดเลยนะคะ เพราะฉะนั้นรีบแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่าค่ะ รอยร้าวที่ไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้าง รอยร้าวที่ขอบวงกบประตู- หน้าต่าง เชื่อว่ารอยร้าวนี้ทุกคนต่างพบเจอเยอะที่สุดตามที่อยู่อาศัยแล้วค่ะ สาเหตุหลักๆ มักเกิดจากวงกบประตูหรือหน้าต่างไม้ ซึ่งไม้เป็นวัสดุที่มีการยืดหดตัวง่าย เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องอุณหภูมิและความชื้น ก็จะส่งผลให้ปูนฉาบบริเวณนี้เกิดรอยร้าวได้นั่นเอง วิธีแก้ไขแนะนำให้ติดต่อผู้รับเหมาหรือช่างที่มีความชำนาญ เข้ามาขัดแต่งรอยร้าวและฉาบปูนปิดทับลงไปให้เรียบเนียนเสมอกัน รอยร้าวแตกลายงาทั่วผนัง อีกหนึ่งรอยร้าวที่มีให้พบเห็นตามบ้านและอาคารทั่วไปบ่อยๆ คงหนีไม่พ้นรอยร้าวแตกลายงาทั่วผนังนี่แหละค่ะ สาเหตุนั้นมักเกิดจากงานฉาบที่ไม่ได้มาตรฐาน เมื่อผนังผ่านความชื้นและอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงขึ้น จึงเกิดการยืดหดขยายและกลายเป็นรอยร้าวในที่สุด ซึ่งสามารถเกิดรอยได้ทั้งพื้นและผนังเลยนะคะ วิธีแก้ไขก็คือฉาบปูนปิดลงไปให้เสมอกัน โดยกรีดบริเวณรอยร้าวให้เป็นปากฉลาม (กว้างประมาณ 2 มิลลิเมตร) และใช้ปูนกาวโป๊เก็บบริเวณรอยต่อ จากนั้นก็ขัดให้เรียบร้อยแล้วจึงทาสีชนิดที่ปกปิดรอยร้าว เท่านี้ก็ผนังหรือพื้นที่มีรอยร้าวก็กลับมาสวยงามดังเดิมแล้วค่ะ รอยร้าวบริเวณรอยต่อระหว่างผนังกับโครงสร้างเสาและคาน รอยร้าวสุดท้ายที่มักเกิดขึ้นในบ้านมากที่สุดและไม่อันตรายต่อโครงสร้าง คือรอยร้าวบริเวณรอยต่อระหว่างผนังกับโครงสร้างเสาและคาน สาเหตุเกิดจากขั้นตอนการก่อสร้างผนังที่ผู้รับเหมาหรือช่างอาจไม่ได้เสียบเหล็กหนวดกุ้งเพื่อเกาะยึดกับโครงสร้างเสาด้านข้าง หรืออาจจะเสียบแต่ไม่แน่นพอ ทำให้ผนังเกิดรอยร้าวระหว่างรอยต่อของเสาได้ จึงมองดูแล้วไม่สวยงาม วิธีแก้ไขคือติดต่อให้ช่างที่มีความชำนาญอุดรอยต่อหรืออุดรอยร้าวโดยใช้โฟมหรือ PU และจึงทาสีทับให้กลับมาสวยงามดังเดิม รอยร้าวที่เรารวบรวมมาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงรอยร้าวที่มักพบบ่อยตามอาคารที่อยู่อาศัยซึ่งมีทั้งแบบไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้าง และรอยร้าวที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้าง ทั้งนี้หากใครพบรอยร้าวตามที่กล่าวมา แนะนำให้ปรึกษาวิศวกรที่มีความชำนาญเข้ามาทำการตรวจสอบเพื่อแก้ไขในขั้นตอนต่อไป ทางที่ดีไม่ควรชะล่าใจปล่อยรอยร้าวทิ้งไว้นานนะคะ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อสมาชิกในครอบครัวได้
เฟอร์นิเจอร์ไม้แบรนด์ไทยน่าช็อป ในงานบ้านและสวนแฟร์ 2017 (PART 2)

เฟอร์นิเจอร์ไม้แบรนด์ไทยน่าช็อป ในงานบ้านและสวนแฟร์ 2017 (PART 2)

สำหรับใครที่กำลังมองหาของแต่งบ้านที่มีสไตล์เป็นของตัวเองคงจะเพลิดเพลินกับเฟอร์นิเจอร์ไม้แบรนด์ไทยน่าช็อป ในงานบ้านและสวนแฟร์ 2017 (PART 1) จากโซน SELECTED ZONE ในงานที่เราคัดมาแนะนำกันไปแล้ว ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ไม้ก็เป็นอีกหนึ่งงานดีไซน์ที่เข้ามาช่วยสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้ดูทันสมัยในสไตล์มินิมอลที่เรียบง่าย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น ที่สำคัญสามารถสร้างเอกลักษณ์ที่คงความโดดเด่นได้ไม่ซ้ำใคร แม้เวลาจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม แต่ชิ้นงานเหล่านี้ก็ยังคงงดงาม มีคุณค่าในความเป็นแบรนด์สัญชาติไทยที่ดูอย่างไรก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่จะมีเฟอร์นิเจอร์ไทยแบรนด์ไหนที่น่าสนใจอีกบ้าง ไปดูพร้อมๆ กันเลยดีกว่าค่ะ Flo ถ้าพูดถึงสไตล์การแต่งห้องแบบมินิมอล หลายคนคงจะนึกถึงการแต่งอะไรน้อยๆ แต่ก็ดูมีอะไรขึ้นมาได้ ซึ่งคอนเซ็ปต์หลักจะเน้นที่ความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ประโยชน์ใช้สอยไม่ได้น้อยตามเลย เช่นเดียวกับ Flo (ฟโล) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อความลงตัว และตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่โดยเฉพาะ ซึ่งวัสดุหลักของแบรนด์จะเป็นไม้ เฟอร์นิเจอร์ของฟโลแต่ละชิ้นได้ถูกสร้างสรรค์ออกมาอย่างมีคุณภาพ และใส่ใจในรายละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว จนออกมาเป็นชิ้นงานที่เรียบง่ายแต่ว่าสวยงาม ดูดี อย่างที่เราได้เห็นกันนั่นเองค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.flofurniture.com หรือโทร. 088-220-8611 Niiq อีกหนึ่งแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้สไตล์มินิมอลที่ได้รับรางวัลการันตีมากมายอย่าง Niiq ดีไซน์ของแบรนด์ไม่ได้คำนึงถึงแต่ความเรียบหรือเก๋เท่านั้น แต่ยังคงให้ความสำตัญในเรื่องดีเทล ฟังก์ชั่น ออฟชั่นในการใช้งานต่างๆ ด้วย ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นของแบรนด์นั้นให้ความรู้สึกที่น่าใช้งาน ดูโปร่งสบายตา และสีของไม้จะค่อนข้างนุ่มนวล ไม่เข้มจนเกินไป เรียกได้ว่าถ้าซื้อไปใช้ที่บ้านหรือคอนโดฯ ก็ช่วยเติมความอบอุ่นให้กับบรรยากาศของห้องได้ดีเลยทีเดียวค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.niiqshop.com หรือโทร. 02-002-2860-1 odst เฟอร์นิเจอร์สวยๆ ที่ได้แรงบันดาลใจและดีไซน์จากความงดงามของศิลปะและธรรมชาติอย่าง odst ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่คนรักบ้านไม่ควรพลาดเลยค่ะ เพราะด้วยสไตล์มินิมอลที่ดูทันสมัยผสมผสานเข้ากับลูกเล่นให้เฟอร์นิเจอร์ดูน่าดึงดูดมากขึ้น ไอเท็มเด็ดของแบรนด์คงหนีไม่พ้นเฟอร์นิเจอร์ไม้หลากหลายโทนสี ตั้งแต่ไม้สีอ่อนที่ดูอบอุ่น ไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มที่ให้อารมณ์แตกต่างกันออกไป แต่ยังคงความเรียบง่ายอย่างกลมกล่อมเอาไว้ในตัว ถ้าลองเลือกไปตกแต่งบ้านหรือคอนโดดูบ้าง คงเพิ่มความมีสไตล์ให้กับพื้นที่ธรรมดาๆ ได้ไม่น้อยเลยค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.odstmaker.com หรือโทร. 02-933-5040 Romanee เฟอร์นิเจอร์ไม้สไตล์มินิมอลอีกหนึ่งแบรนด์ แน่นอนว่าต้องมาในคอนเซ็ปต์ความเรียบง่าย ดีไซน์ไม่ซับซ้อน แต่จุดเด่นของ Romanee น่าจะเป็นเรื่องของความโค้งมนที่ซ่อนอยู่ในการออกแบบของเฟอร์นิเจอร์แต่ละตัว รวมถึงความง่ายต่อการใช้สอย และก็เหมาะกับชีวิตความเป็นอยู่สไตล์คนเมืองมากๆ ไม่ต้องเยอะ แต่ก็ดูมีเสน่ห์ได้ ไอเท็มที่น่าสนใจก็มีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเซตโต๊ะรับประทานอาหาร เตียงนอนสไตล์ญี่ปุ่น โต๊ะ ตู้ และเก้าอี้ เป็นต้น เชื่อว่าใครเห็นก็คงอยากได้มาครอบครองไว้ใช้ที่บ้านแน่นอนค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : http://romaneedesign.com  หรือโทร. 02-890-5051-5 Hari Ora Hari Ora คือแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ฝีมือดีไซน์เนอร์ไทยรุ่นใหม่ ที่ตั้งใจออกแบบให้ผลิตภัณฑ์ตอบสนองไลฟ์สไตล์ทั้งเรื่องความสวยงามและการใช้งาน โดยเลือกใช้วัสดุที่เป็นไม้โอ๊คเกือบทั้งหมดเพราะมีความเหนียว แข็งแรง และให้ลวดลายไม้สวยงาม โดยนำเสนอผ่านสไตล์มินิมอลและสแกนดิเนเวียที่ดูเรียบง่าย ไม่รกสายตา แต่แอบแฝงความอบอุ่นไว้ด้วยโทนสีและผิวสัมผัสจากธรรมชาติ ทั้งยังคำนึงถึงประโยชน์ของการใช้พื้นที่ให้มากที่สุดอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณภาพและยังสวยงามตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคจริงๆ ค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.hariora.com หรือโทร. 080-934-9347 Chaw Cher : ฌ เฌอ แค่ชื่อก็น่าสนใจแล้วล่ะ สำหรับแบรนด์นี้ Chaw Cher : ฌ เฌอ เฟอร์นิเจอร์ดีไซน์โดยคนไทย แน่นอนว่าต้องมีความมินิมอลที่เรียบง่ายในตัวอยู่แล้ว แต่จุดเด่นของแบรนด์อยู่ที่การนำกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นเข้ามาผสมผสานในเฟอร์นิเจอร์อย่างลงตัว ซึ่งก็มีทั้ง โต๊ะ เก้าอี้ เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า ที่ทำมาจากไม้วอลนัทที่ขึ้นชื่อว่าเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงคงทน ส่วนเรื่องดีไซน์นั้นจะเน้นออกแบบให้ดูเรียบง่าย ใช้งานได้จริง แต่ขณะเดียวกันก็มีรายละเอียดและลูกเล่นที่สวยงามซ่อนอยู่ ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์เลยล่ะ ใครที่ชอบแต่งบ้านสไตล์ญี่ปุ่น คงรู้สึกดีต่อใจกับแบรนด์นี้แน่นอน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.chawcher.com  หรือโทร. 095-490-3174 Many go Round แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ขนาดเล็กที่เติมเต็มช่องว่างความต้องการของคนเมืองที่อาศัยอยู่ในคอนโดพื้นที่จำกัด เนื่องจากเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่มีขายอยู่มากมาย จึงทำให้แบรนด์ Many go Round คิดผลิตเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเล็ก โดยหยิบเอาวัสดุใกล้ตัวอย่างแม่พิมพ์เก่ามาดัดแปลงผสมผสานกับงานออกแบบจนกลายเป็นโต๊ะและเก้าอี้ Wood composite plactic ที่เติมความสนุกและพื้นที่การใช้งาน โดยดีไซน์ให้ผลิตภัณฑ์สามารถถอดประกอบง่ายทั้งยังเอื้อต่อการขนส่ง แต่ก็ยังเน้นในเรื่องของความแข็งแรง ทนทาน เหมาะแก่การใช้ตกแต่งบ้านที่มีขนาดเล็กหรือคอนโดที่มีพื้นที่จำกัดได้เป็นอย่างดี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.manygoround.com  หรือโทร. 086-365-9716 Filobula แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่มีจุดเด่นอยู่ที่งานดีไซน์ โดยเอาความโค้งมนใส่เข้าไปในงานออกแบบเกือบทุกชิ้น ให้ความรู้สึกที่ดูเป็นกันเอง นุ่มนวล ดูอบอุ่นขึ้น และยังมีโทนสีของเนื้อไม้ให้เลือกหลากหลายเฉด อีกทั้งยังมีโทนสีของผ้าที่นำมาประกอบในเฟอร์นิเจอร์ให้เราสามารถจับ Mix & Match กันได้หลากหลายสีอีกด้วย ใครอยากให้บ้านและคอนโดฯ มีความ Unique ไม่ซ้ำใคร คงต้องเพิ่มเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ Filobula เข้าไปอยู่ใน shopping list แล้วล่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.facebook.com/Filobula/   หรือโทร. 099-421-5553 เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้จากฝีมือดีไซเนอร์ไทยที่เราคัดมาแนะนำกันใน PART 2 นี้ ใครที่ชื่นชอบงานสไตล์มินิมอลที่เรียบง่ายอยู่แล้ว ก็คงถูกใจกับรูปฟอร์มและดีไซน์ของแต่ละแบรนด์ที่มีความน่ารัก เก๋ไก๋ มากฟังก์ชั่นในตัวเอง จนกลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ใครเห็นแล้วเป็นต้องหลงรักอย่างแน่นอน หากลิสช็อปปิ้งยังไม่เต็มสามารถเข้าไปเลือกเฟอร์นิเจอร์จาก PART ก่อนหน้าได้ที่นี่เลยค่ะ สำหรับงานบ้านและสวนแฟร์ 2017 นี้จัดขึ้นวันที่ 27 ตุลาคม ไปจนถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2560 ตั้งแต่เวลา ตั้งแต่เวลา 9:30 - 21:00 น. ณ ชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
5 ต้นไม้ริมรั้วบ้าน สวยงาม แถมปลูกไว้กันขโมย!

5 ต้นไม้ริมรั้วบ้าน สวยงาม แถมปลูกไว้กันขโมย!

เรามาตกแต่งรั้วบ้านที่เรียบๆ ด้วย “พรรณไม้” ให้กลายเป็นรั้วสีเขียวสวยงามสบายตากันดีกว่าค่ะ โดยทุกบ้านสามารถทำได้แม้จะมีพื้นที่ที่จำกัด เพราะอาศัยเพียงพื้นที่แนวนอนยาวขนาบไปกับตัวรั้วเท่านั้น แถมถ้าเลือกให้ดีต้นไม้บางชนิดยังมีคุณสมบัติช่วยอำพรางสายตาจากคนภายนอกและป้องกันโจรได้ด้วย เพราะไม้บางชนิดมีหนาม หรือจะปลูกไม้พุ่มสูงก็ทำให้โจรเข้ามาในบ้านได้ยากลำบาก ซึ่งการเลือกพรรณไม้สำหรับปลูกริมรั้วนั้นควรเลือกที่ทนแสงแดดและลมแรงได้ อีกทั้งควรเลือกชนิดที่ดูแลง่าย ไปดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้างที่จะเป็นตัวช่วยให้รั้วบ้านของคุณดูสวยงาม ปลอดภัย และโดดเด่นไม่ซ้ำเพื่อนบ้านข้างๆ ต้นไม้ริมรั้วบ้านแบบพุ่มสูงสวย "ต้นไทรเกาหลี" ไม้ประดับที่นิยมใช้เป็นไม้แนวรั้วและตัดเเต่งคงหนีไม่พ้น ‘ไทร’ ใช่ไหมคะ? ซึ่งไทรก็แบ่งออกเป็นหลายชนิด แต่ที่เราหยิบยกมาแนะนำวันนี้คือ ไทรเกาหลี ที่มีลักษณะเป็นไม้พุ่มทรงสูงค่อนข้างเเน่น ตัวพุ่มประกอบด้วยใบสีเขียวสดที่เรียงตัวซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ เมื่อโตเต็มที่จะสูงประมาณ 5-6 เมตร ด้วยความที่ไทรเกาหลีเป็นไม้พุ่มแน่นทึบมีใบไม้เรียงตัวซ้อนกันหลายชั้น ทำให้ช่วยกันเเสงเเดดและฝุ่นละอองได้ดี จึงเหมาะที่จะนำมาปลูกกั้นเป็นกำเเพงบดบังสายตาจากคนภายนอก และป้องกันขโมยได้ด้วยเนื่องจากพุ่มสูง ที่สำคัญคือเป็นไม้ที่มีความเเข็งเเรง ทนทาน ดูเเลรักษาง่าย ไม่ค่อยมีโรคหรือเเมลงกวน สามารถเติบโตได้ดีในดินธรรมดา จึงไม่แปลกที่นักจัดสวนส่วนใหญ่นิยมปลูกให้ตามแนวรั้วบ้านนั่นเอง ต้นไม้ริมรั้วบ้านยอดนิยม "ต้นข่อย" ไม้ต้นริมรั้วที่นิยมปลูกตามมาติดๆ ก็คือ ‘ข่อย’ ซึ่งมีลักษณะพุ่มหนา ทนแดดทนลม สูงถึง 5-10 เมตร นิยมปลูกเป็นไม้ริมรั้วเพราะพุ่มแน่นจากโคนถึงยอด หากเจ้าของบ้านหมั่นตัดแต่งดูแลพุ่มก็จะยิ่งแน่นขึ้นและใบจะมีขนาดเล็กลง กลายเป็นรั้วที่สวยงาม หรือบางบ้านอาจปลูกเป็นแนวเพื่อแบ่งอาณาเขตในสวนก็ได้ค่ะ ต้นสลัดได ต้นไม้ริมรั้วบ้านที่กันขโมยได้ด้วย! สำหรับใครที่ไม่ชอบพรรณไม้สูงๆ หรือไม้ใหญ่เพราะกลัวแผ่กิ่งก้านสาขาให้เกิดความเสียหายต่อพื้นที่สาธารณะ แนะนำให้ปลูกเป็นไม้พุ่มเตี้ยแทนค่ะ โดยเจ้าของบ้านอาจทำกระบะยกสูงจากพื้นสักระดับหนึ่ง และเลือกปลูก ‘สลัดได’ ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กจำพวกเดียวกับกระบองเพชร มีความสูงประมาณ 3-6 เมตร ลักษณะคือมีหนามทั่วทั้งลำต้น ปกคลุมตามข้อต่อใบ ภายในมียางสีขาวซึ่งเป็นพิษ หากถูกผิวหนังจะระคายเคือง จึงถือเป็นไม้ยอดนิยมที่ปลูกไว้รอบรั้วบ้าน เพราะนอกจากช่วยป้องกันขโมยแล้วยังกันสัตว์ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วยค่ะ ทนแดดจัดสำหรับต้นไม้ริมรั้วบ้านต้อง "ต้นเข็มกุดั่น" หากใครถือเคล็ด ไม่อยากให้มีต้นไม้มีหนามไว้ที่บ้าน แต่ก็ยังอยากปลูกไม้พุ่มขนาดเล็กให้สามารถป้องกันโจรได้ด้วย แนะนำให้เลือกปลูก ‘เข็มกุดั่น’ ค่ะ เพราะเป็นไม้พุ่มเตี้ยคล้ายๆ กับสลัดได แต่จะเป็นทรงพุ่มกลม ใบมีลักษณะหนาและแข็งดูแหลมคม ทนต่อสภาพแห้งแล้งที่มีแสงแดดเต็มวันได้ดี อีกทั้งเวลาออกดอกยังมีกลิ่นหอมตอนกลางคืนด้วยค่ะ ซึ่งเหมาะจะปลูกประดับกระบะยกสูงริมรั้วบ้าน หรือประดับตามสวนหิน และควรระวังเด็กๆ มาสัมผัสนะคะเพราะอาจบาดมือได้ ต้นกุหลาบเทียม ต้นไม้ริมรั้วบ้านมีดอกสวย  เอาใจเจ้าของบ้านที่ชอบพรรณไม้ออกดอกมีสีสันเพื่อเพิ่มความสวยงามตลอดแนวรั้ว แนะนำให้ปลูก ‘กุหลายเทียม’ ไม้พุ่มที่บางครั้งมีลักษณะคล้ายไม้เลื้อย ลำต้นแข็งมีหนามยาวสีน้ำตาลแดงออกเป็นกระจุกตามง่ามใบ ซึ่งจะสูงประมาณ 2-5 เมตร ตัวดอกมีสีม่วงอมชมพู เจริญเติบโตง่าย เรียกว่าไม่ต้องคอยดูแลรักษามาก เหมาะที่จะปลูกไว้ริมรั้วหรือริมหน้าต่างเพื่อช่วยป้องกันโจร และสัตว์ร้ายที่จะเข้ามาในบ้านได้ดีทีเดียวค่ะ Tips : สำหรับพรรณไม้ริมรั้วที่เราแนะนำมาทั้งหมดนี้ เจ้าของบ้านควรดูแลควบคุมระบบรากไม่ให้มีโอกาสชอนไชสิ่งปลูกสร้างอย่างรั้วได้นะคะ และหมั่นตัดแต่งกิ่งด้านของต้นไม้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมขนาดของทรงพุ่มไม่ให้แผ่ขยายใหญ่ออกไปเพราะขนาดของทรงพุ่มกับระบบรากนั้นมีความสัมพันธ์กัน หรืออาจบล็อกรากโดยปลูกลงในกระถางและวางในกระบะริมรั้วที่ก่อขึ้นมาแทน เท่านี้ก็สร้างความสวยงามและกันขโมยให้แก่รั้วบ้านของคุณได้แล้วค่ะ ไอเดียทำต้นไม้ริมรั้วบ้านอื่นๆ DIY ชั้นวางต้นไม้ริมรั้ว การต้นไม้ริมรั้วบ้าน ในแบบอื่นๆ ต้นไม้ตามริมรั้วบ้าน ควรตัด ดูแลให้ดี จะมีบริวารที่ดี โดย อ.ธนากร ตันอาวัชนการ ซินแสมังกร 5 ต้นไม้ใหญ่ เสริมสิริมงคล ช่วยให้เย็นสบายที่ควรปลูกไว้ในบ้าน 9 ต้นไม้มงคล ช่วยเสริมโชคลาภ มอบเป็นของขวัญปีใหม่
เฟอร์นิเจอร์ไม้แบรนด์ไทยน่าช็อป ในงานบ้านและสวนแฟร์ 2017

เฟอร์นิเจอร์ไม้แบรนด์ไทยน่าช็อป ในงานบ้านและสวนแฟร์ 2017

“เราจะไม่ลืม” งานบ้านและสวนแฟร์ปีนี้ชวนให้เราย้อนรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระบรมราโชวาทที่ชี้แนะให้ทุกคนคำนึงถึงการรักษาความสมดุลในการใช้ชีวิต พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันระหว่างผู้คนกับธรรมชาติรอบตัว ภายในงานกลับมาพร้อมกับโซนสินค้าและงานดีไซน์ที่ชวนตื่นตาตื่นใจหลายโซน เริ่มตั้งแต่นิทรรศการและกิจกรรมที่ให้ความรู้ ข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย, บ้านตัวอย่าง, บูธวัสดุก่อสร้าง, เครื่องใช้ไฟฟ้าและครัว, ของแต่งสวนไปจนถึงพรรณไม้นานาชนิด และหนึ่งในโซนที่คนรักบ้านไม่ควรพลาดก็คือ SELECTED ZONE โซนเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่มากร้านละลานตาเต็มไปหมด ซึ่งแต่ละร้านก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร เราเลยอาสาพาไปช้อปปิ้งในโซนนี้กัน รับรองว่าแต่ละแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เราเลือกมานั้นสวยและดี เหมาะแก่การแต่งบ้านและคอนโดฯ อย่างแน่นอน oggi เรามาเริ่มแบรนด์แรกกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เพิ่มความอบอุ่นให้แก่บ้านอย่าง oggi ที่เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2006 โดยยึดคอนเซ็ปต์เรียบง่ายและซุกซนเพื่อแสดงถึงตัวตนของแบรนด์ โดยเฟอร์นิเจอร์ในร้านจะมีตั้งแต่โต๊ะ ตู้ เก้าอี้ เตียงนอน ที่ทำมาจากไม้โอ๊ค ลวดลายธรรมชาติและมีดีไซน์ที่สามารถตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ซึ่งนอกจากความสวยงามแล้วเรื่องของคุณภาพก็ยังมีรางวัลการันตรีมากมายอีกด้วยค่ะ สำหรับผู้ที่สนใจ Oggi มีโชว์รูมอยู่ที่ซอยนาคนิวาส 47 ซึ่งสามารถติดต่อขอเข้าชมโชว์รูมได้ แต่ต้องทำการนัดหมายก่อนนะคะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.oggi-living.com หรือโทร. 087-700-5401 KILTT เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เราตกหลุมรักในความเรียบง่ายและน่ารักจริงๆ ค่ะ สำหรับ KILTT (คิลท์) เฟอร์นิเจอร์ใช้งานภายในบ้านที่ทำจากไม้จริง ในรูปแบบเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และฟังก์ชั่นที่เหมาะแก่การใช้งาน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยต่อผู้ใช้ทุกวัยในครอบครัวเป็นหลัก ซึ่งทุกขั้นตอนล้วนผ่านกระบวนการคิด ความใส่ใจในรายละเอียด ผลิตด้วยทักษะของงานช่างฝีมือผสมผสานกับเครื่องจักรในระบบอุตสาหกรรม จนกลายเป็นเฟอร์นิเจอร์คุณภาพที่มีความน่ารักสดใส ใครอยากแต่งบ้านในสไตล์ญี่ปุ่นที่เรียบง่าย แต่ว่าครบครันทุกความต้องการ คงต้องมีครอบครองไว้สักชิ้นแล้วล่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.kilttdesign.com หรือโทร. 092-529-5465 3. Skog “ไม่ใช่แค่เฟอร์นิเจอร์ แต่แสดงออกถึงตัวตนของคุณ show YOUR style with your FURNITURE” นี่คือนิยามของแบรนด์ Skog เฟอร์นิเจอร์ที่เน้นความเป็นธรรมชาติของวัสดุและดีไซน์ โดยใช้ไม้ธรรมชาติอย่างไม้แอชและไม้โอ๊คดีไซน์สวยหรู ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่สไตล์โมเดิร์นไปจนถึงสไตล์วินเทจสอดแทรกอยู่ในความสวยงามของเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้น ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ โซฟา รวมไปถึงของแต่งบ้านมากมายหลายชนิดที่รอให้ทุกคนไปจับจองเป็นเจ้าของ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.skog-home.com หรือโทร. 086-561-9000 MAHASAMUT เฟอร์นิเจอร์แบรนด์ไทยที่นำวัสดุที่ให้ความรู้สึกแข็งแรงอย่างเหล็กมาผสมผสานดีไซน์กับงานไม้ solid จนออกมาเป็นเฟอร์นิเจอร์สไตล์โมเดิร์น ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่ก็แฝงด้วยเส้นสายเฉียบคม สมกับความเป็นเฟอร์นิเจอร์สไตล์โมเดิร์น  หากใครอยากตกแต่งบ้านให้ดูทันสมัย รับรองว่าเฟอร์นิเจอร์ของ MAHASAMUT จะต้องถูกใจคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่นิยมงานดีไซน์ที่มี detail ไม่เยอะ แต่ยังสร้างเอกลักษณ์ที่คงความโดดเด่นได้ไม่ซ้ำใคร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.mahasamut.com หรือโทร. 02-811-8054 POOM แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เหมาะกับการนำไปตกแต่งในคอนโดมิเนียมและบ้านที่มีพื้นที่จำกัด ดีไซน์ของแบรนด์จะผสมผสานระหว่างสไตล์ญี่ปุ่นและสแกนดิเนเวียน แต่ชื่อของสินค้าจะเป็นภาษาไทยทั้งหมด งานทุกชิ้นจึงมีเอกลักษณ์ที่ทำให้ผู้คนจดจำได้ง่ายด้วยรูปฟอร์มโค้งมน เรียบง่าย แต่ก็ยังแอบซ่อนฟังก์ชันที่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ตรงใจ ในส่วนของการเลือกใช้วัสดุนั้นก็เน้นความเป็นธรรมชาติอย่าง ไม้อเมริกันแอช แอชวูด ไม้นำเข้าเนื้อแข็งจากอเมริกา ซึ่งเป็นพืชป่าปลูกโดยเฉพาะ เรียกว่าไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและยังเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ที่อยู่อาศัยไปในตัวด้วยค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.poom-home.com หรือโทร. 092-456-9555 Easy Cozy เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ อย่างมีสไตล์ เพราะสินค้าของ Easy Cozy นั้นผลิตจากไม้ยางพาราเกรดคุณภาพ ลายสวยและไม่มีตาไม้ ออกแบบมาให้ต่างจากเฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพาราทั่วไป ด้วยดีไซน์ Minimalist เรียบง่ายแต่มีสไตล์ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับไอเดียการใช้งานเอนกประสงค์สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามใจ ด้วยรูปแบบที่เรียบง่ายแต่มีความเก๋ไก๋อยู่ในตัว ทั้งยังเหมาะแก่การใช้สอยในบ้าน คอนโดฯ หรือแม้แต่ร้านค้า เพราะสามารถเข้ากับเฟอร์นิเจอร์อื่นได้อย่างกลมกลืน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.easycozyfurniture.com หรือโทร. 081-771-2298 นอกเหนือจากเฟอร์นิเจอร์ไม้แบรนด์ไทยที่เรานำมาแนะนำในวันนี้แล้ว ยังมีร้านเฟอร์นิเจอร์ไม้อีกหลากหลายแบรนด์ ที่เหมาะแก่การนำมาตกแต่งบ้านและคอนโดในสไตล์มินิมอล หากใครสนใจและอยากรู้ว่าจะมีแบรนด์อะไรในโซน SELECTED ZONE ที่น่าสนใจอีกบ้าง ก็สามารถติดตาม PART 2 ได้ที่นี่เลยค่ะ :))
“STYLE” งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ที่ครบครันที่สุดในภูมิภาค เปิดเวทีเจรจาการค้าการส่งออกดึงผู้ซื้อจากทั่วโลกกว่า 60,000 ราย พร้อมดันไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับภูมิภาค

“STYLE” งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ที่ครบครันที่สุดในภูมิภาค เปิดเวทีเจรจาการค้าการส่งออกดึงผู้ซื้อจากทั่วโลกกว่า 60,000 ราย พร้อมดันไทยเป็นศูนย์กลางสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับภูมิภาค

เริ่มต้นอย่างยิ่งใหญ่กับ “STYLE” งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่ที่ครบครันที่สุดในภูมิภาค รวม 3 เทรดแฟร์ระดับประเทศ BIFF&BIL, BIG+BIH และ TIFF ไว้ด้วยกันเป็นครั้งแรกจัดโดย DITP ระหว่างวันที่ 17-21 ตุลาคมศกนี้ ณ ไบเทค บางนา รวมผู้ประกอบการไทย-เทศ กว่า 2,000 คูหา ร่วมจัดแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ ต่อสายตานักธุรกิจและผู้นำเข้าจากทั่วโลก คาดเงินสะพัดมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในพิธีเปิดงานว่า “อุตสาหกรรมไลฟ์สไตล์เป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นอุตสาหกรรมครบวงจร โดยมีผู้ประกอบการไทยทั้งที่เป็นรายเล็ก หรือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) จำนวนมาก และที่เป็นสตาร์ทอัพ (Start-Up) อยู่มากกว่าร้อยละ 90 ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ก่อให้เกิดการจ้างแรงงานกว่าหนึ่งล้านคน รัฐบาลจึงมีแนวคิดที่จะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิต การตลาด และ การค้าสินค้าไลฟ์สไตล์ระดับภูมิภาค กอปรกับการที่รัฐบาลไทยมีนโยบายส่งเสริมการเป็นสังคมสร้างสรรค์ ภายใต้นโยบาย “Creative Thailand” จึงเห็นว่าอุตสาหกรรมไลฟ์สไตล์ของไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นหนึ่งในสินค้าและบริการส่งออกอันดับต้นๆ ได้ โดยการมุ่งสู่การสร้างสรรค์นวัตกรรม และการออกแบบ นำเสนอแนวคิดใหม่ๆ  ซึ่งผู้ประกอบการไทยต้องกล้านำความเสนอคิดและนวัตกรรมใหม่ๆ และมี   การสร้างแบรนด์ของตัวเอง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว ด้านนางจันทิรา ยิมเรวัต วิวัฒน์รัตน์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า งาน“STYLE 2017” เป็นงานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ยิ่งใหญ่และครบครันที่สุดในภูมิภาค เป็น   การยกระดับงานแสดงสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ที่เป็นที่นิยมของกรม ได้แก่ งานแสดงสินค้าแฟชั่นและงานแสดงสินค้าเครื่องหนัง (Bangkok International Fashion Fair and Bangkok International Leather Fair: BIFF&BIL) งานแสดงสินค้าของขวัญและงานแสดงสินค้าของใช้ในบ้าน (Bangkok International Gift Fair and Bangkok International Houseware Fair: BIG+BIH) และงานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ (Thailand International Furniture Fair: TIFF)  ไว้ด้วยกันในงานเดียว จัดขึ้นภายใต้แนวคิด Life+Style และเป็นส่วนหนึ่งของ Creative Thailand ระหว่างวันที่ 17-21 ตุลาคม 2560 โดยได้รับความร่วมมือจาก 24 สมาคมที่เกี่ยวข้อง มีผู้ประกอบการทั้งไทยและต่างชาติเข้าร่วมแสดงสินค้ากว่า 1,000 บริษัท 2,000 คูหา เต็มพื้นที่กว่า 40,000 ตร.ม. ภายในศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา “กรมฯ มั่นใจว่างานนี้จะสามารถตอบโจทย์ผู้ซื้อ ผู้นำเข้า ตัวแทนจัดซื้อของต่างประเทศ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นักออกแบบ ผู้ซื้อจาก Showroom/Selected shop Fashion House ห้างสรรพสินค้าต่างๆ     ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งผู้ที่อยู่ในวงการแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ได้อย่างครบถ้วน นำไปสู่การต่อยอดธุรกิจ ได้อย่างเห็นผลเป็นรูปธรรม โดยคาดว่างานนี้จะสามารถก่อให้เกิดมูลค่าสั่งซื้อภายในงาน กว่า 2,000 ล้านบาท” นางจันทิรากล่าว ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าไลฟ์สไตล์ (แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ไม่รวมอัญมณีและเครื่องประดับ) ปี 2559 คิดเป็นมูลค่าราว 11,260 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือประมาณ 377,000 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 5  ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย โดยช่วง 8 เดือนแรกของปี 2560 มีมูลค่าการส่งออก ประมาณ 7,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (หรือ 256,000 ล้านบาท) ขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สินค้าที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ สิ่งทอ ผ้าผืน เส้นใยประดิษฐ์ และเฟอร์นิเจอร์  ซึ่งกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมั่นใจว่า ปี 2560 นี้ การส่งออกสินค้าดังกล่าวจะขยายตัวต่อเนื่อง และเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ร้อยละ 3 จากที่เคยติดลบในปีก่อนหน้านี้ ภายในงาน STYLE 2017 นี้ มีกิจกรรม บริการและนิทรรศการที่หลากหลาย ที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ความต้องการของทุกฝ่าย และจัดบริการพิเศษเพื่ออำนวยความสะดวกผู้ที่ทำธุรกิจ อาทิ การบริการเจรจาธุรกิจ (Business Matching) เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจ ณ Buyer Lounge พร้อมล่ามภาษาต่างๆ เช่น อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น อารบิค เป็นต้น ทั้งยังมีศูนย์ให้คำปรึกษาด้านโลจิสติกส์การค้า และ DITP SERVICE CENTER รวบรวมบริการต่างๆ ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศไว้ ณ จุดเดียว เพื่อให้คำปรึกษาผู้ประกอบการในการขยายตลาดส่งออก นอกจากนี้ งาน “STYLE 2017” ยังรวบรวมนิทรรศการที่น่าสนใจกว่า 20 นิทรรศการไว้ด้วยกัน ทั้งนิทรรศการที่เน้นการสร้างแรงบันดาลใจ อัพเดทเทรนด์ใหม่ๆ เพื่อให้เกิดการต่อยอดสู่การทำธุรกิจ อาทิ นิทรรศการแนวโน้มแฟชั่น ปี 2561 (Trend Forum 2018), นิทรรศการโครงการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการสินค้าแฟชั่น (QURATED Fashion Incubation Project), และยังมีนิทรรศการที่กรมได้ร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อส่งเสริมให้นักออกแบบ และผู้สร้างสรรค์ได้มีพื้นที่แสดงออกและต่อยอดความคิดให้เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้ร่วมกับมูลนิธิชัยพัฒนาจัดนิทรรศการเพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และมีกิจกรรมการประดิษฐ์ดอกไม้จันทน์จากหญ้าแฝกภายในงานด้วย “STYLE 2017” งานแสดงสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ยิ่งใหญ่และครบครันที่สุดในภูมิภาคจัดขึ้นระหว่างวันนี้ ถึง 21 ตุลาคมนี้   (สำหรับวันเจรจาธุรกิจ คือวันที่ 17-19 ตุลาคม 2560ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. ส่วนวันจำหน่ายปลีก วันที่ 20- 21ตุลาคม 2560 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 21.00 น.) ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ
ต่อเติมครัวไทยหลังบ้าน แบบโปร่งหรือแบบทึบ ดีกว่ากัน?

ต่อเติมครัวไทยหลังบ้าน แบบโปร่งหรือแบบทึบ ดีกว่ากัน?

บทความฉบับนี้ขอเอาใจคนที่มีบ้านใหม่ ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมโครงการต่างๆ ที่จำนวนห้องและพื้นที่ใช้สอยมักจะไม่เพียงพอต่อความต้องการสักเท่าไหร่ เพราะบ้านจัดสรรส่วนใหญ่นั้นจะออกแบบครัวเป็นแบบเปิดอยู่ติดกับห้องนั่งเล่น ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดกลิ่นรบกวนได้ อย่างที่ทราบกันดีแหละค่ะว่าครอบครัวคนไทยมักจะประกอบอาหารจำพวกต้ม, ผัด, แกง, ทอด ที่ก่อให้เกิดทั้งเสียง, กลิ่น, ควัน แผ่ฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งบ้านอยู่เสมอ ซึ่งเมนูเหล่านี้ไม่เหมาะกับพื้นที่ปรุงอาหารในบ้านขนาดเล็กและกลางเนื่องจากมีช่องระบายอากาศได้น้อย นี่จึงเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เจ้าของบ้านหลายๆ หลังต้องต่อเติมครัวไทยแยกออกมาจากตัวบ้านเพื่อประโยชน์ใช้สอยที่มากขึ้น แต่จะทำเป็นครัวแบบไหนดี? ระหว่างครัวแบบโปร่งและครัวแบบทึบ ครัวทั้งสองแบบนั้นมีข้อดี-ข้อเสียอย่างไรบ้าง หาคำตอบได้ที่นี่ค่ะ ครัวไทย แบบโปร่ง เน้นความโล่งสบายๆ การต่อเติมครัวแบบโปร่งในรูปแบบที่เน้นความโปร่งโล่งนั้น มีจุดเด่นอยู่ที่เวลาประกอบอาหารกลิ่นควันและความอับชื้นต่างๆ จะระบายออกง่าย สามารถฉีดน้ำล้างทำความสะอาดครัวได้แต่ต้องมีทางระบายน้ำรองรับนะคะ ซึ่งวัสดุที่ใช้กับครัวแบบนี้จะต้องมีน้ำหนักเบา ส่วนใหญ่มักทำเป็นแผงระแนงไม้, ไม้เทียมแทนผนัง บางทีอาจเลือกทำผนังทึบเฉพาะช่วงล่าง ส่วนด้านบนปล่อยโล่งหรือทำเป็นแผงระแนง เพื่อความปลอดภัยและเป็นส่วนตัว ในส่วนของหลังคานั้นอาจทำติดลอยไว้กับผนังบ้านเดิมโดยซื้อกันสาดสำเร็จรูปมาติด หรือจะใช้โครงสร้างเสาส่วนต่อเติมรับหลังคาเช่นเดียวกับครัวแบบทึบ ซึ่งครัวแบบโปร่งมีข้อดีข้อเสียดังนี้ค่ะ ข้อดี ก่อสร้างได้ง่ายและรวดเร็วกว่าครัวแบบทึบ การต่อเติมครัวแบบโปร่งเป็นรูปแบบที่เน้นความโปร่งโล่งจะง่ายและรวดเร็วกว่า เพราะแค่ติดหลังคากันสาดและก่อปูนเป็นเคาน์เตอร์ครัวก็เรียบร้อยแล้วค่ะ หรือจะเลือกซื้อชุดครัวสำเร็จรูปมาติดตั้งเลยก็ได้ค่ะ ระบายอากาศได้ดี เหมาะกับครัวไทยที่อาหารบ่อย การต่อเติมครัวแบบโปร่งโล่งนั้นจะทำให้กลิ่นควันเวลาประกอบอาหาร รวมถึงความอับชื้นต่างๆ ภายในครัวจะระบายออกง่าย เนื่องจากไม่มีอะไรปิดกั้นผนังรอบด้าน สามารถทำความสะอาดง่าย เพราะครัวไทยจะเลอะเทอะง่ายกว่า ครัวแบบโปร่งบางบ้านอาจแค่เทปูนคอนกรีตธรรมดาพร้อมมีทางระบายน้ำรองรับ ทำให้สามารถฉีดน้ำหรือทำความสะอาดได้ง่ายกว่าครัวแบบปิดที่ปูพื้นด้วยกระเบื้อง ข้อเสีย สิ่งแปลกปลอมเข้ามาง่าย แน่นอนว่าครัวแบบเปิดส่วนใหญ่จะเป็นผนังเปิดโล่ง อาจทำให้มีน้ำฝน, ฝุ่นและสิ่งปรกต่างๆ สาดเล็ดรอดเข้ามาได้ง่าย อีกทั้งต้องคอยระวังป้องกันไม่ให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยอย่างแมลง นก หนู รวมถึงแมวหรือสุนัขตัวเล็กเข้ามาก่อกวนภายในห้องครัว ซึ่งในส่วนนี้เจ้าของบ้านอาจติดตั้งมุ้งลวดเข้ามาช่วยป้องกันได้ค่ะ อาจส่งกลิ่นรบกวนต่อเพื่อนบ้านได้ เพราะครัวไทยกลิ่นฉุนกว่า เมนูอาหารจำพวกต้ม, ผัด, แกง, ทอด ที่มีกลิ่นฉุนและควันรวมถึงไอน้ำมันเวลาประกอบอาหาร อาจจะกระจายไปถึงเพื่อนบ้านได้ ดังนั้นจึงต้องคอยระมัดระวังให้ดีค่ะ ครัวไทย แบบทึบ ปกปิดมิดชิด สำหรับบ้านที่มีพื้นที่ด้านนอกสำหรับใช้สอยไม่มาก ก็สามารถใช้วิธีกั้นพื้นที่บางส่วนภายในตัวบ้านด้วยผนังทึบ และติดตั้งพัดลมดูดอากาศ เพื่อช่วยระบายอากาศดูดกลิ่นและควันออกสู่ภายนอกไม่ให้รบกวนภายในบ้าน ซึ่งการต่อเติมครัวแบบทึบที่มีผนัง 4 ด้านล้อมรอบโดยเจาะช่องเปิดตามความเหมาะสม พร้อมทำหลังคาครอบมิดชิดนั้น..มีข้อดีข้อเสียดังนี้ค่ะ ข้อดี ป้องกันสิ่งสกปรกได้ดี เมื่อเป็นครัวแบบทึบมีผนังปิดล้อม 4 ด้าน ดังนั้นจึงสามารถป้องกันสิ่งสกปรกและสิ่งไม่พึงประสงค์จากภายนอกได้ดีกว่าครัวแบบโปร่งนั่นเองค่ะ ป้องกันกลิ่นรบกวนเพื่อนบ้าน เพราะความมิดชิดของรูปแบบครัว ทำให้เจ้าของบ้านอาจต้องเสียเงินซื้ออุปกรณ์ช่วยอย่างเครื่องดูดควันพร้อมปล่องระบายอากาศเพิ่ม แต่ก็ยังมีข้อดีช่วยป้องกันกลิ่นควันจากการประกอบอาหารไม่ให้รบกวนเพื่อนบ้านได้ง่ายด้วย ปลอดภัยกว่า แน่นอนค่ะว่าครัวแบบทึบปกปิดมิดชิดนั้นให้ความรู้สึกปลอดภัยและเป็นส่วนตัวมากกว่าครัวแบบเปิดโล่ง นอกจากนี้บริเวณผนังโดยรอบยังสามารถติดตั้งชั้นเก็บของได้มากขึ้นอีกด้วยค่ะ ข้อเสีย บ้านมีโอกาสทรุดตัว การต่อเติมครัวแบบทึบส่วนใหญ่จะใช้วัสดุที่มีน้ำหนักมากกว่าครัวแบบทึบ จึงทำให้บ้านมีโอกาสทรุดตัวเร็วกว่า เพราะส่วนต่อเติมส่วนใหญ่จะใช้เสาเข็มสั้นซึ่งจะทรุดตัวเร็วกว่าตัวบ้านเดิม ทางที่ดีเจ้าของบ้านควรต่อเติมแบบแยกส่วนกันเพื่อลดปัญหาบ้านทรุด เนื่องจากการดึงรั้งกันและเกิดการฉีกขาดของโครงสร้าง ซึ่งอาจเป็นปัญหาใหญ่ที่อาจตามมาได้ค่ะ ค่าใช้จ่ายมากกว่า ครัวแบบทึบ ปิดมิดชิดนั้นก็ไม่ต่างกับห้องเปล่าหนึ่งห้อง ดังนั้นถ้าจะประกอบอาหารเจ้าของบ้านจึงต้องลงทุนซื้ออุปกรณ์ช่วยอย่างเครื่องดูดควันหรือพัดลมระบายอากาศเพิ่ม นอกจากนี้การสร้างห้องครัวแบบทึบจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าห้องครัวแบบโปร่ง ด้วยปริมาณวัสดุ โครงสร้าง และการเตรียมงานระบบที่มากกว่านั่นเองค่ะ ปฎิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าการต่อเติมครัวนอกบ้านนั้นเป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะนอกจากจะสะดวกต่อการประกอบอาหารไม่ว่าจะผัด โขลก สับ แล้วยังสามารถระบายอากาศได้ดีกว่าครัวในบ้าน แต่ไม่ว่าจะเลือกต่อเติมครัวแบบไหน แนะนำให้ลองศึกษาสถาปนิกหรือผู้รับเหมาที่มีความชำนาญเพื่อออกแบบและคำนวณให้ถูกต้องเหมาะสม นอกจากนี้ควรศึกษากฎเกณฑ์ของโครงการบ้านจัดสรรนั้นๆ รวมถึงได้รับการยินยอมจากนิติบุคคลก่อนทำการต่อเติมด้วยนะคะ เรื่องราวเกี่ยวกับการต่อเติมบ้าน 4 ปัญหาคาใจต่อเติมครัวแล้วทรุด 10 วิธี เปลี่ยนบ้านจัดสรรให้สวยงาม มีสไตล์ เหมาะสมกับการใช้งาน ต่อรั้วบ้านเดิมเพิ่มความส่วนตัว
สาเหตุและวิธีรับมือปัญหารั่วซึมจากพื้นห้องน้ำ

สาเหตุและวิธีรับมือปัญหารั่วซึมจากพื้นห้องน้ำ

เมื่อห้องน้ำเป็นอีกหนึ่งห้องสำคัญประจำบ้านที่ทุกคนต่างต้องใช้งานกันทุกวัน เราจึงควรให้ความสำคัญตั้งแต่เรื่องโครงสร้าง วัสดุอุปกรณ์ สุขภัณฑ์ รวมถึงระบบสุขาภิบาล เพื่อป้องกันปัญหาการรั่วซึมในอนาคตนะคะ เพราะถึงแม้จะมีการก่อสร้างและออกแบบห้องน้ำที่ถูกต้องตามหลักการแล้วแต่ปัญหาการรั่วซึมก็อาจเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งมักพบบ่อยในบ้านสองชั้นบริเวณห้องน้ำชั้นสอง โดยจุดสังเกตจะเริ่มจากคราบน้ำบนฝ้าเพดานที่อยู่ใต้ห้องน้ำชั้นบน จะมีลักษณะเป็นวงขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และหากเปิดฝ้าดูก็อาจจะพบคราบน้ำตามคาน, ท้องพื้น และรอยต่อท่อ เป็นเหตุทำให้หลายบ้านที่ประสบปัญหาดังกล่าวต่างไม่สบายใจ วันนี้เราจึงรวบรวมสาเหตุพร้อมกับวิธีรับมือปัญหารั่วซึมจากพื้นห้องน้ำมาฝาก เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขให้กับผู้อ่านค่ะ สาเหตุของปัญหาพื้นห้องน้ำรั่วที่มักพบบ่อย ปัญหาจากการก่อสร้าง ปัญหาส่วนใหญ่มักจะเกิดจากขั้นตอนการเจาะท่อ แล้วทำให้เกิดช่องว่างระหว่างท่อกับพื้นห้องน้ำ ช่างส่วนใหญ่จะนำเศษกระดาษมาอุดช่องว่างไว้ แล้วจึงใช้ปูนซีเมนต์เทอุดรอบๆ ท่อ จึงทำให้เกิดรั่วซึมบริเวณท่อได้ง่าย ความชำนาญและวิธีการก่อสร้างของช่าง ก่อนปูพื้นกระเบื้องห้องน้ำ ช่างต้องเทกันซึมให้ก่อนปูกระเบื้องค่ะ แต่บ้านบางหลังช่างก็ไม่ได้เทกันซึมให้ จึงเป็นสาเหตุทำให้พื้นห้องน้ำรั่วซึมได้ง่ายค่ะ การใช้งานของผู้อยู่อาศัย การใช้งานของผู้อยู่อาศัยก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญนะคะ เพราะการทำความสะอาดและการใช้ห้องน้ำบ่อยๆ อาจทำให้ปูนยาแนวหลุดร่อน น้ำจะซึมผ่านร่องยาแนวไปสะสมอยู่ใต้พื้นกระเบื้องและโครงสร้างพื้นคอนกรีต หากปล่อยทิ้งไว้นานเข้าจะก่อเกิดสนิมที่เหล็กเสริมโครงสร้าง จนทำให้คอนกรีตแตก หลุดร่อน และอาจทำให้เป็นสาเหตุให้น้ำรั่วซึมได้นั่นเองค่ะ วิธีรับมือการแก้ปัญหาพื้นห้องน้ำรั่วซึมอย่างอยู่หมัด แก้ไขที่ปูนยาแนว การแก้ไขที่ปูนยาแนว สามารถทำได้โดยลอกยาแนวที่เสื่อมสภาพออก แล้วจึงทำความสะอาดพื้น จากนั้นก็รอให้ความชื้นระเหยออกมา โดยวิธีตรวจสอบความชื้นนั้นสามารถใช้แผ่นพลาสติกปิดบริเวณร่องยาแนวและสังเกตว่ามีหยดน้ำเกาะหรือไม่ หากพบว่าไม่มีความชื้นแล้ว จึงใช้ปูนยาแนวที่มีคุณภาพอุดบริเวณร่องยาแนวกระเบื้องต่อไป วิธีนี้จะช่วยระงับปัญหาได้ประมาณ 1-2 ปี เลยค่ะ แก้ไขทั้งระบบเพื่อป้องกันปัญหาระยะยาว สำหรับการแก้ไขทั้งระบบเพื่อป้องกันปัญหาระยะยาวนั้น ขั้นตอนแรกควรสกัดรื้อกระเบื้องและปูนทรายปรับระดับออก แล้วจึงตรวจสอบก่อนจะซ่อมรอยแตกร้าวด้วยปูนซ่อมโครงสร้างโดยใช้ผลิตภัณฑ์สูตรซีเมนต์ ตามด้วยการปูกระเบื้องพื้น ซึ่งควรเลือกชนิดกระเบื้องที่มีค่าการดูดซึมน้ำต่ำเหมาะสำหรับการใช้งานในห้องน้ำ อีกทั้งควรติดตั้งโดยใช้ปูนทรายปรับระดับที่มีส่วนผสมของน้ำยากันซึมด้วยนะคะ และเมื่อซ่อมแซมเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงให้ช่างปิดฝ้าเพดานและเก็บงานทาสีให้เรียบร้อยก็ใช้งานต่อไปยาวๆ ได้อย่างสบายใจแล้วค่ะ ปัญหาท่อน้ำรั่ว ถ้าปัญหาห้องน้ำรั่วซึมของบ้านคุณเกิดจากปัญหาท่อน้ำรั่ว แนะนำให้ลองเปิดฝ้าเพื่อดูตำแหน่งท่อ จากนั้นจึงตรวจสอบดูว่าท่อรั่วหรือไม่ หากมีการรั่วซึมให้รื้อกระเบื้องโดยรอบออก จากนั้นก็ผสมปูนซีเมนต์กับน้ำรวมถึงน้ำยากันซึมก่อนจะเทรอบท่อ โดยเทให้สูงกว่าปากท่อที่ตัดออกและปล่อยทิ้งไว้จนแห้งจึงเอาเศษท่อที่ครอบไว้ออก ขั้นตอนสุดท้ายก็ติดตั้งชักโครก หรือปูกระเบื้องพื้นห้องน้ำให้สวยงามดังเดิม เพียงเท่านี้ก็สามารถแก้ปัญหาท่อน้ำรั่วได้อย่างตรงจุดแล้วค่ะ สาเหตุและวิธีรับมือปัญหารั่วซึมจากพื้นห้องน้ำที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาและวิธีแก้ไขที่มักพบเจอบ่อยนะคะ ดังนั้นหากบ้านไหนกำลังประสบปัญหานี้อยู่แนะนำให้ลองตรวจสอบให้ดีก่อนจะนำวิธีที่เราเอามาฝากไปแก้ไขดู ทั้งนี้ควรติดตั้งตำแหน่งสุขภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน ตามตำแหน่งที่เหมาะสม เลือกใช้วัสดุคุณภาพ และเลือกใช้บริการช่างที่มีความชำนาญ รวมถึงการใช้อุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่ช่วยป้องกันปัญหาการรั่วซึม เพื่อไม่ให้ปัญหาเกิดซ้ำอีกนั่นเอง
ไอเดียเปลี่ยนพื้นที่ใต้บันไดให้ใช้งานได้อย่างมีสไตล์!

ไอเดียเปลี่ยนพื้นที่ใต้บันไดให้ใช้งานได้อย่างมีสไตล์!

หนึ่งในองค์ประกอบของบ้านที่มักจะถูกละเลยอยู่เสมอคงหนีไม่พ้น “พื้นที่ใต้บันได” ด้วยลักษณะการใช้งานที่ทุกคนในบ้านเพียงแค่เดินผ่านขึ้นลง อีกทั้งยังมีพื้นที่น้อยและเป็นมุมอับดูไม่ค่อยน่าสนใจ จึงทำให้เจ้าบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าไหร่นัก ทั้งที่ความจริงแล้วเราสามารถดัดแปลงพื้นที่เหล่านี้ให้ดูโดดเด่นและใช้ประโยชน์ได้อีกมากมายเลยนะคะ แต่จะมีอะไรบ้างนั้น ต้องตามไปดูไอเดียจัดพื้นที่ใต้บันไดที่เรารวบรวมมาฝากให้นำไปประยุกต์ใช้กันดูค่ะ ตู้เก็บของสารพัดประโยชน์ หลายคนอาจจะคุ้นชินกับการวางของไว้ใต้บันไดโดยไม่สนใจว่าพื้นที่ตรงนั้นดูไม่น่ามองสักเท่าไหร่ใช่ไหมคะ ซึ่งวิธีง่ายๆ ที่จะเปลี่ยนพื้นที่ใต้บันไดให้เป็นตู้เก็บของโดยการบิวต์อินชั้นวางหรือเฟอร์นิเจอร์ลอยตัวตามรูปทรงของพื้นที่ใต้บันได เพียงเท่านี้คุณเองก็จะมีมุมเก็บของที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ว่าใครเดินผ่านไปมาก็ต้องสนใจแล้วค่ะ เปลี่ยนให้เป็นมุมทำงานส่วนตัว อีกหนึ่งฟังก์ชั่นที่น่าสนใจก็คือมุมทำงานนั่นเองค่ะ ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนพื้นที่ใต้บันไดไว้ใช้นั่งทำงานคิดไอเดียสร้างสรรค์ หรือใช้เป็นพื้นที่ให้ลูกทำการบ้านก็ยังได้ โดยการบิลต์อินดั่งในภาพให้เป็นมุมขนาดพอเหมาะ ตกแต่งด้วยไม้เพิ่มความรู้สึกอบอุ่นชวนนั่ง หรือใครอยากประหยัดก็สามารถเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ลอยตัวดีไซน์เรียบง่าย แต่ต้องมีความยาวพอดีกับความกว้างของพื้นที่ใต้บันไดนะคะ ซึ่งแค่จัดวางคู่กับเก้าอี้นั่งสบายๆ รับรองไม่ว่าใครได้นั่งทำงานตรงนี้ ไอเดียพุ่งกระฉูดแน่นอนค่ะ เนรมิตเป็นมุมนั่งเล่น พื้นที่ใต้บันไดให้ก็สามารถเปลี่ยนเป็นมุมนั่งเล่นให้คนในบ้านใช้พักผ่อนได้นะคะ เพราะเพียงแค่วาง Day Beds เบาะนุ่มขนาดพอดีกับพื้นที่ ประดับด้วยหมอนและตุ๊กตาตัวโปรดก็ชวนนั่งทั้งวันแล้วค่ะ นอกจากนี้หากคุณเป็นหนอนหนังสืออยากมีที่สำหรับเก็บของเพิ่มขึ้นก็สามารถบิวต์อินตู้หนังสือเพิ่มที่ผนังเหนือเตียง เท่านี้ก็จะเป็นมุมนั่งเล่นที่ชวนนั่งแถมยังเก็บหนังสือได้อีกด้วย ทำเป็นบ้านสัตว์เลี้ยงแสนรัก สำหรับทาสหมาทาสแมวที่เลี้ยงสัตว์เลี้ยงตัวโปรดไว้ในบ้าน คงอยากให้พวกเขามีพื้นที่ส่วนตัวไว้พักผ่อนเหมือนกับคนใช่ไหมคะ การทำพื้นที่ใต้บันไดให้เป็นบ้านสัตว์ก็เป็นอีกหนึ่งไอเดียที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยค่ะ เพราะเพียงแค่ก่อผนังใต้บันไดปิดทึบพร้อมเจาะช่องประตูไว้สำหรับเป็นทางเข้าออกให้เหล่าสัตว์เลี้ยงและติดไฟด้านในไว้สักดวงหนึ่ง พร้อมวางเบาะนุ่มและของเล่นไว้ให้เขา เพียงเท่านี้พื้นที่ใต้บันไดก็กลายเป็นพื้นที่ที่ดีต่อใจของคุณและสัตว์เลี้ยงแล้วค่ะ จัดสวนซะเลย! สำหรับคนที่อยากเพิ่มความสดชื่นไว้ในบ้าน ก็สามารถเปลี่ยนพื้นที่ใต้บันไดให้เป็นสวนในบ้านได้ง่ายๆ เพียงปลูกต้นไม้ในร่ม อาทิ จั๋ง, เข็มสามสี, ลิ้นมังกร, จันผา และสับปะรดสี เป็นต้น ซึ่งแนะนำให้เลือกต้นที่ขนาดกำลังดี ไม่สูงและโตไวเกินไป พร้อมโรยหินกรวดมนเพิ่มความสวยงาม เท่านี้ก็มีมุมพักสายตาในบ้านแล้วค่ะ ไอเดียที่เรารวบรวมมาฝากวันนี้ นับว่าน่าสนใจและสามารถใช้ได้จริงทั้งหมดเลยนะคะ ยิ่งบ้านไหนปล่อยให้พื้นที่ใต้บันไดว่างเปล่าเฉยๆ ไม่ได้ตกแต่งหรือใช้ทำอะไร แนะนำให้ลองนำไอเดียด้านบนไปประยุกต์ใช้ดูนะคะ รับรองว่านอกจากจะทำให้บ้านของคุณมีฟังก์ชั่นใช้งานเพิ่มขึ้นแล้วยังมีสไตล์ไม่ซ้ำใครอีกด้วย อีกทั้งแขกไปใครมาต่างก็ต้องชื่นชมกับไอเดียเหล่านี้แน่นอน
รวมพืชผักสวนครัวที่ควรปลูกไว้ที่บ้าน ตามรอยแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ของรัชกาลที่ ๙

รวมพืชผักสวนครัวที่ควรปลูกไว้ที่บ้าน ตามรอยแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ของรัชกาลที่ ๙

“การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป ”  พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ เกี่ยวกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเมื่อปี พ.ศ. 2517 จากพระราชดำรัสข้างต้น ผู้เขียนเชื่อเหลือเกินค่ะว่า “แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างเคยได้เรียนรู้และมักพูดถึงกันอยู่บ่อยครั้ง แต่มีน้อยคนนักที่จะเข้าใจหลักปรัชญาและการใช้ชีวิตแบบพอเพียงตามแบบอย่างที่พ่อหลวง (รัชกาลที่ ๙) ทรงมีพระราชดำริไว้จริงๆ ฉะนั้นวันนี้จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะมารำลึกถึงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ตามคำที่พ่อหลวงเคยสอนเราไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน โดยชวนทุกคนให้หันมาปลูกพืชผักสวนครัวไว้ในบ้านเพื่อลดค่าใช้จ่ายเกินจำเป็น ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งวิถีความพอเพียงที่สามารถทำได้ง่ายๆ นอกจากช่วยลดค่าใช้จ่าย ประหยัดเวลาในการออกไปจ่ายตลาดแล้วยังนำมาซึ่งสุขภาพที่แข็งแรง และสร้างความสุขทางใจอีกด้วยค่ะ แต่จะมีผักสวนครัวอะไรที่น่าปลูกและมีสรรพคุณอย่างไรบ้าง ตามไปดูพร้อมกันเลย.. พริก เป็นพืชผักสวนครัวที่นิยมปลูกเป็นอันดับต้นๆ เลยค่ะ เพราะพริกนั้นเป็นสมุนไพรที่ให้รสชาติเผ็ดร้อน มีวิตามินซี วิตามินเอ ช่วยขยายเส้นเลือดในลำไส้และกระเพาะอาหาร อีกทั้งยังทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารได้ดี ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น และสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายอีกด้วย กะเพรา ถือว่าเป็นผักสวนครัวสามัญประจำบ้านที่ควรปลูกติดบ้านไว้เลยค่ะ เพราะเพียงแค่มีพริกกับกะเพราและเนื้อสัตว์ติดตู้เย็นไว้ ก็สามารถประกอบอาหารเมนูยอดนิยมอย่างผัดกะเพราไว้ทำทานได้แล้ว ซึ่งกะเพราเป็นพืชล้มลุกที่ปลูกง่ายนะคะ เพราะเมล็ดที่ร่วงหล่นลงไปนั้นพร้อมที่จะงอกเป็นต้นใหม่ได้ตลอด นอกจากนี้ยังเป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่มีสรรพคุณทางยาช่วยรักษาโรคได้อีกด้วยค่ะ ตะไคร้ สำหรับตะไคร้นี่ถือว่าเป็นผักสวนครัวและสมุนไพรไทยที่สามารถช่วยรักษาอาการปวดท้อง ลดอาการจุดเสียดและแน่นท้องได้ และยังคงมีสรรพคุณที่สามารถช่วยในการขับปัสสาวะได้อย่างเห็นผลอีกด้วยค่ะ นอกจากนี้ยังเป็นวัตถุดิบหลักในการประกอบอาหารรสแซ่บด้วยนะคะ เรียกว่าบ้านไหนปลูกไว้นี่ยังไงก็ได้ใช้ประโยชน์แน่นอน คะน้า ผักสวนครัวอย่างคะน้าไม่ควรพลาดที่จะปลูกไว้ที่บ้านเลยนะคะ เพราะคะน้าประกอบไปด้วยวิตามินเอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา อีกทั้งยังคงมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส ที่สามารถบำรุงกระดูกและฟันได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ข้าวผัด, ผัดคะน้า หรือแม้แต่ทำราดหน้าก็มักใช้คะน้าเป็นส่วนประกอบ ผักบุ้งจีน ผักบุ้งจีนก็เป็นอีกหนึ่งผักสวนครัวที่มีติดบ้านไว้ยังไงก็ได้ใช้ประโยชน์แน่นอนค่ะ เพราะนอกจากจะนำไปประกอบอาหารได้แล้ว ผักบุ้งจีนยังมีสรรพคุณช่วยในการบำรุงสายตา ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน และยังคงสามารถป้องกันโรคโลหิตจางได้ด้วย เนื่องจากผักบุ้งจีนนั้นเป็นผักที่มีทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก รวมไปจนถึงวิตามินบีและซีเลยค่ะ มะกรูด จัดว่าเป็นพืชสวนครัวที่อยู่ในกลุ่มของสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว แต่ประโยชน์ก็จัดจ้านไม่น้อยเลยค่ะ แถมกลิ่นของต้นมะกรูดยังช่วยไล่แมลงบางชนิดได้อีกด้วย นอกจากจะเป็นส่วนประกอบของเครื่องแกง ช่วยดับกลิ่นคาวในอาหารแล้ว มะกรูดยังมีสรรพคุณช่วยบำรุงเลือด และส่งผลทำให้เลือดลมภายในร่างกายหมุนเวียนได้เป็นอย่างดี ถั่วฝักยาว ถั่วฝักยาวเป็นผักสวนครัวที่มักถูกนำไปประกอบอยู่ในเมนูอาหารหลายๆ อย่าง ซึ่งสามารถรับประทานได้ง่าย นอกจากนำไปผัดและทอดแล้ว ยังสามารถรับประทานแบบสดๆ เคียงกับน้ำพริกได้อีกด้วย ซึ่งการรับประทานแบบสดจะมีสรรพคุณช่วยลดอาการแน่นท้องและท้องอืดได้ด้วยค่ะ ตำลึง หนึ่งในเมนูที่ทุกบ้านต้องเคยประกอบอาหารนั่นก็คือต้มจืดตำลึงใส่หมูสับใช่ไหมคะ ซึ่งตำลึงเป็นผักสวนครัวที่มีคุณค่าทางอาหารมากมายเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินเอช่วยบำรุงสายตา เบต้าแคโรทีนป้องกันมะเร็ง นอกจากนี้ยังสามารถปลูกริมรั้วให้เป็นไม้เลื้อยที่สวยงามได้อีกด้วย รู้แบบนี้คงต้องรีบไปปลูกตำลึงกันแล้วล่ะ มะนาว ผักสวนครัวที่เห็นจะพูดถึงคงไม่ได้นั่นก็คือมะนาวค่ะ เพราะในผลกลมๆ นั้นอุดมไปด้วยวิตามินเอ วิตามินซี ธาตุฟอสฟอรัส แคลเซียม กรดมาลิค และกรดซิตริค ที่ถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการ และยังนิยมใช้เป็นเครื่องปรุงรสในเมนูอาหารอีกด้วย พืชผักสวนครัวทั้งหมดที่เรารวมรวบมานี้ คงเป็นพืชผักสวนครัวที่คนไทยทั้งประเทศย่อมรู้จักกันเป็นอย่างดี ซึ่งสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู และการรับประทานพืชผักสวนครัวเป็นประจำนั้น จะช่วยทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง ได้รับวิตามินรวมถึงแร่ธาตุหลากหลายชนิดด้วยกัน ที่สำคัญการปลูกผักสวนครัวไว้กินเองนั้นจะช่วยลดรายจ่าย ทำให้รู้จักใช้จ่ายเท่าที่มี ไม่ใช้จ่ายเกินกำลัง ตามรอยแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ของรัชกาลที่ ๙ บุคคลตัวอย่างในเรื่องของความพอเพียงที่เราทุกคนควรดำเนินรอยตามนั่นเองค่ะ
ซื้อคอนโดอย่างไรให้ได้กำไร

ซื้อคอนโดอย่างไรให้ได้กำไร

ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ว่ามีนักธุรกิจทั้งรายใหม่และรายเก่า ลาออกจากงานประมาจำมาเพื่อธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์กันมากขึ้น หลายๆคนก็ออกหนังสือแนะนำ “รวยด้วยคอนโด” บ้าง “รวยด้วยอสังหาฯ” บ้าง ดังนั้น จึงทำให้นักลงทุนหน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย บางคนก็รุ่ง บางคนก็ล้มเหลว ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าครับว่า หลักการซื้อคอนโดให้ได้กำไร มีอะไรยังไงบ้าง เพื่อที่ทำให้นักลงทุนหน้าใหม่ได้มีโอกาสประสบความเสร็จเป็นนักลงทุนชั้นแนวหน้า 1.ความจำกัดของที่ดิน ความจำกัดของที่ดินในที่นี้ไม่ได้หมายถึงที่ดินของโครงการที่มีจำกัด แต่หมายถึงที่ดิน ทำเลใกล้เคียงของโครงการ โดยการสำรวจที่ดินรอบๆ ว่ายังมีที่ว่างอยู่เยอะไหม เพราะถ้าหากมีที่ดินเปล่าว่างอยู่เยอะนั้น เป็นไปได้ว่ามีโอกาสสูงที่จะมีคอนโดใหม่ๆ ขึ้นอยู่ใกล้กับตัวโครงการของเรา เพราะในความเป็นจริงแล้ว หากมีคอนโดที่ขึ้นใหม่กว่า ซึ่งก็จะทำให้ราคาคอนโดของเราที่จะปล่อย ซื้อ ปล่อยเช่าปล่อยได้ยากขึ้น 2.ใหม่ย่อมดีกว่าเก่า หากต้องมีการเทียบทำเลและคุณสมบัติของคอนโดที่เท่ากันแล้วล่ะก็ ต้องมาดูกันที่อายุของคอนโดครับ ซึ่งก็แน่นอนว่าคอนโดเก่านั้นย่อมจะมีราคาถูกกว่าคอนโดใหม่ เพราะว่าคนทั่วไปมักจะคิดกันเสมอว่า ของใหม่ย่อมจะได้อะไรใหม่ๆกว่า และดีกว่าของเก่าแน่นอน เพราะอย่างนั้นการที่จะซื้อคอนโดเก่าเพื่อขายเก็งกำไรแล้วล่ะก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะยากและเสียเวลาพอสมควร ทางที่ดีควรจะนำไปปล่อยเช่าดูจะคุ้มค่ากว่าขายต่อแน่นอน 3.ทำเลที่อยู่อาศัย ปัจจัยหลักๆ ในการที่คนจะมองหาคอนโดดีๆสักแห่งก็คงหนีไม่พ้นเรื่อง “ทำเล” แน่นอน ยิ่งถ้าหากทำเลดีๆ ที่มีรถไฟฟ้าผ่าน ใกล้สถานที่ทำงาน หรือใกล้แหล่งช้อปปิ้ง เช่น สุขุมวิท พระราม9 ฯลฯ แล้วล่ะก็มักจะเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่คนมองไว้ก่อนแน่นอน แต่ถ้าห่างออกมาจากตัวเมือง หรือแถวๆชานเมืองแล้วล่ะก็มักจะไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร เพราะผู้คนมักจะมองว่าราคาไม่ต่างจากบ้านจัดสรรมากนัก ดังนั้นหากเป็นไปได้ก็จะไปให้ความสนใจกับบ้านจัดสรรมากกว่า เพราะได้เปรียบในเรื่องพื้นที่ใช้สอยและความเป็นส่วนตัวกว่าคอนโด 4.เอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากทำเลแล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้คอนโดนั้นได้ราคาดีก็คือจุดเด่น หรือเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น วิวที่มองออกจากตัวห้อง การออกแบบสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ฟิตเนส สระว่ายน้ำ รวมไปถึงนิติบุคคลของคอนโดนั้นๆ ด้วย ซึ่งเรื่องของวิวนี้ถือได้ว่าเป็นตัวกำหนดราคาของคอนโดได้ดีมากๆ เช่นห้องมุมที่มีวิวแม่น้ำ หรือวิวสวน ย่อมจะดีกว่าห้องที่มีวิวมองไปเห็นตึกตรงข้าม เป็นต้น 5.แปลงช่วงเศรษฐกิจตกต่ำให้เป็นโอกาส คำว่า “ในวิกฤติมักมีโอกาสเสมอ” คำๆ นี้มักใช้ได้ดีในทุกธุรกิจไม่เว้นแม้แต่ด้านอสังหาริมทรัพย์ เพราะในช่วงเวลาปกตินั้น ราคาของอสังหาฯ มักจะปรับตัวขึ้นอยู่เสมอ แต่ราคาจะชะลอตัวและปรับตัวลงในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ดังนั้นการซื้อคอนโดไว้เก็งกำไรช่วงนี้ก็มักจะได้ราคาในช่วงราคาปกติ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนักลงทุนจะต้องศึกษาและวิเคราะห์สถานการณ์ให้แม่นยำ เพราะบางทีในช่วงที่ราคาตกต่ำนั้น อาจจะยังตกต่ำลงได้อีก นั่นหมายความว่าราคาจะสามรถลงได้อีก 6. ห้องว่างไม่เกิน 10% “ยิ่งน้อย ยิ่งมีค่า” คำๆนี้ก็สามารถใช้ได้ดีกับคอนโดเช่นกัน สำหรับราคาของคอนโดนั้นสามารถดูได้จากจำนวนการอยู่อาศัยในปัจจุบัน เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวบ่งบอกได้ชัดเจนว่า คอนโดดังกล่าวยังน่าสนใจหรือไม่ หากมีผู้อาศัยเต็ม หรือมีห้องว่างเหลือเพียงน้อย ก็เป็นสิ่งยืนยันได้ว่าทำเลดังกล่าวนัั้นมีความต้องการที่พักอาศัยสูง แต่ในทางกลับกันหากมีห้องว่างเยอะ มีการประกาศขายกันเยอะ มันสามารถบ่งบอกได้ชัดเจนว่าทำเลนี้ไม่น่าสนใจ หรือมีการเก็งกำไรสูง จนไม่น่าสนใจ หากซื้อคอนโดในลักษณะนี้แล้วมีโอกาสที่่ราคาจะถูกปรับลดลงได้อีกมาก ดังนั้นต้องทำการบ้านให้มากๆ 7. กระแสเงินสดเป็นบวก กฏข้อนี้ไม่เพียงแค่คอนโดเท่านั้น นิยมใช้ร่วมกับอสังหาฯประเภทอื่นๆ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ อาคารพาณิชย์ โดยจะเน้นหาเงินทุนจากการปล่อยเช่า หลักการก็คือ ให้คำนวณดูว่า คอนโดห้องที่เราต้องการจะซื้อนั้น เมื่อเทียบรายได้จากค่าเช่าแล้ว สูงกว่าที่เราผ่อนให้กับธนาคารหรือไม่ หากสูงกว่าจะเท่ากับว่า ผู้ซื้อไม่ได้ใช้เงินตนเองซื้อ แต่ใช้เงินของผู้เช่าซื้อนั่นเองครับ กฏข้อนี้อาจทำยากกันสักนิด ต้องอาศัยความขยันในการค้นหาคอนโดราคาถูก ยิ่งขยันมาก ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นครับ สำหรับกฏทั้ง 7 ข้อนี้ ผู้อ่านอาจเลือกทำในข้อใดข้อหนึ่ง หรือหลายๆข้อผสมรวมกันก็ได้ครับ ในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว การลงทุนช่วงดังกล่าวนั้นมีความเสี่ยงสูง แต่หากผู้ลงทุน มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ศึกษา วิเคราะห์อย่างรอบความ ในความเสี่ยงสูงนั้นอาจช่วยให้เกิดกำไรที่สูงขึ้นเช่นกัน ขอบคุณแหล่งที่มา : www.bkkcitismart.com/บทความ/การซื้อ-และลงทุนอสังหาริมทรัพย์/ซื้อคอนโดอย่างไรให้ได้กำไร
ดูให้ดี!! คอนโดแบบไหนที่ซื้อแล้วราคาตก

ดูให้ดี!! คอนโดแบบไหนที่ซื้อแล้วราคาตก

หลายคนเคยได้ยินว่าอสังหาซื้อแล้วราคาไม่มีตก ซึ่งไม่เป็นความจริงทั้งหมดนะครับ อสังหาบางประเภทสามารถราคาตกได้ เช่นคอนโดมิเนียม คุณต้องเข้าใจก่อนว่าการที่อสังหาจะขึ้นหรือจะลงนั้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับทำเลหรืออะไรก็ตาม แต่มันขึ้นอยู่กับความต้องการในอสังหานั้นๆ ดังนั้นต่อให้อสังหาคุณอยู่ในทำเลที่ดีมาก แต่ถ้าไม่มีคนต้องการ อสังหาอันนั้นก็จะราคาตกอยู่ดี โดยส่วนใหญ่อสังหาจะมีความต้องการในตัวของมันเอง เช่น ที่ดิน หรือ บ้าน แต่ยกเว้น คอนโดมิเนียม สามารถไม่เป็นที่ต้องการได้ สาเหตุหลักหลักก็เพราะว่าคอนโดมิเนียม ไม่สามารถปรับปรุงภายนอกแล้วดูใหม่ ได้เหมือนบ้าน ตึกแถว หรือที่ดิน ทำให้ผู้คนไม่อยากได้คอนโดมิเนียมหรือที่อยู่อาศัยที่หน้าตาเก่า แลดูโทรม และด้วยความมีเจ้าของร่วมหลายคน จึงทำให้การตัดสินใจจะปรับปรุง รีโนเวท หรือ ทาสีตัวอาคารเป็นเรื่องที่ยาก ประกอบกับ การอยู่อาศัย ต้องการที่อยู่ที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีคอนโดมิเนียม เป็นที่พักอาศัยที่อยู่รวมกันหลายคน ดังนั้นมีโอกาสที่สภาพแวดล้อมหรือผู้คน เพื่อนบ้าน อาจจะเป็นกลุ่มที่ไม่พึงประสงค์ทำให้ผู้คนไม่อยากอยู่ แล้วเราจะดูยังไงว่าคอนโดมิเนียม โครงการไหน จะทรุดโทรมและไม่เป็นที่ต้องการในวันหน้า 1. เรื่องแบรนด์มีส่วนสำคัญ คอนโดที่โทรมและราคาตก ส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดที่ มีผู้สร้างโนเนม ผู้สร้างเหล่านี้ อาจจะไม่จำเป็นต้อง ดูแลรักษาอะไรมาก ขายเสร็จก็ไป ต่างจาก developer ที่มีแบรนด์ หรืออยู่ในตลาดหลักทรัพย์ พวกนี้จะค่อนข้าง ดูแล และคิดถึง หลังการขายเยอะกว่า เพราะว่าการที่ตึก หรือโครงการ ของเขา ทรุดโทรม จะทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์เขา ตกต่ำลงด้วย ซึ่งมันจะมีผลต่อราคาหุ้น ของเขา ดังนั้น developer เจ้าใหญ่ จะทุ่ม เพื่อรักษาภาพลักษณ์ ในโครงการของเขา และ จะสรรหา นิติ ที่มีความเป็นมืออาชีพ เพื่อดูแล ตึกของเขา เช่น ลุมพินี มีการดูแลรักษา ตึกอย่างดีเยี่ยม โดย ทำการจัดตั้งนิติของตัวเอง ขึ้นมาดูแลโครงการ ถ้าโครงการไหนที่ขายไม่ได้ และเก็บเงินค่าส่วนกลางได้น้อย ทางบริษัทจะเข้ามาอุ้มเพื่อรักษาไม่ให้ตึกนั้นทรุดโทรม 2. ดูผลประกอบการของนิติ ในกรณีที่เราซื้อคอนโดมือสอง ให้เราไปดูผลประกอบการของนิติที่บอร์ดประชาสัมพันธ์ ของโครงการ ซึ่งจะสามารถรู้ได้ว่านิติบริหารเงินของโครงการได้กำไรหรือขาดทุน ถ้านิตินั้นบริหารขาดทุน เราก็จะพิจารณาได้ว่า โครงการนี้มีโอกาสตกสูง เพราะว่าถ้านิติขาดทุนนิติจะไม่มีเงิน ไปปรับปรุงตึก จึงทำให้เกิดความเสื่อมโทรม ซึ่งจุดนี้ต้องดูให้ดี เพราะ โดยทั่วไปตึกที่มีอายุ 0-5 ปี จะยังดูใหม่ และไม่โทรม แต่เมื่อเลยปีที่ 5 ไปแล้ว อุปกรณ์หรือวัสดุต่างๆจะเริ่มถึงเวลาเปลี่ยน การที่นิติขาดทุน ผลประกอบการแย่จะทำให้ตึกเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็วในปีที่ 6 เป็นต้นไป 3. ถ้าเป็นไปได้ให้เลือกตึกสูง ตึกต่ำกับตึกสูง มีความข้อดีข้อเสียต่างกัน แต่ถ้าวัดกันในเรื่องโอกาสในการที่จะทรุดโทรม ตึกสูงมีโอกาสทรุดโทรมน้อยกว่าตึกต่ำมาก เนื่องจาก ตึกสูงมีจำนวนห้องเยอะกว่า ทำให้การเก็บค่าส่วนกลาง ได้ดีกว่า ตึกต่ำ เพราะว่า ตึกสูงถึงมีบางห้องที่ไม่จ่ายค่าส่วนกลาง ทางโครงการก็ยังอยู่ได้เพราะมีห้องจำนวนมากแต่ถ้าเป็นตึกต่ำ ถ้ามีคนไม่จ่ายเยอะๆ จะทำให้ขาดสภาพคล่องอย่างหนัก เพราะมีห้องน้อย อีกทั้ง เหตุผลสำคัญ คือ การที่จะมาเป็นนิติในโครงการ จำเป็นต้องประมูล ตึกสูง จะต้องแข่งกันเยอะกว่า และ ส่วนใหญ่จะได้นิติที่เข้มแข็ง มีความเป็นมืออาชีพ แต่ตึกต่ำ มีโอกาสได้นิติ ที่ ไม่เข้มแข็งเท่าตึกสูง ทำให้การบริหารบางอย่างอาจจะทำได้ไม่ดีเท่า และเป็นสาเหตุจะให้ตึกทรุดโทรม 4. ซื้อคอนโดที่เกรดดีหน่อย อย่าซื้อคอนโดที่ราคาถูกเกินไป (หลักแสน) คอนโดที่โทรมส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดราคาถูก แทบทั้งนั้น ยิ่งคอนโดเกรดดีขึ้นมาเท่าไหร่ โอกาสที่จะโทรมก็มีน้อยขึ้นเท่านั้น คอนโด ระดับสูง นอกจากจะออกแบบเรียบหรู ให้ไม่มีวันดูเก่าเเล้ว วัสดุต่างๆก็ใช้ที่เก่ายากอีกด้วย อย่างเช่น ตึกมหานครเลือกให้กระจกทั้งอาคารเพื่อให้ดูใหม่เสมอและ อีกเหตุผลนึงที่คอนโดหรู ราคาจะไม่ตก ก็คือ “คนรวย”อยู่ นอกจากจะเป็นสภาพเเวดเเวดล้อมที่ดี เพื่อนบ้านคุณภาพ ดึงดูดผู้คนมาอยู่แล้ว การเก็บเงินค่าส่วนกลางทำได้ง่าย เเละ ไม่มีปัญหา อยากจะบอกว่าคอนโดระดับบน เก็บค่าส่วนกลางสูงมาก จึงไปเเปลกที่ โครงการจะดูดีอยู่เสมอ นอกจากราคาไม่ตกเเล้ว ยังจะถีบตัวสูงขึ้นอีกด้วย แนะนำว่าใครที่ชอบเล่น ส่วนต่างกำไร ให้เลือกเล่นคอนโดระดับสูงดีกว่า เพราะ ราคาพุ่งไวจริงๆหวังว่า หลักการดูง่ายๆนี้จะทำให้เพื่อนๆ สามารถเลือกคอนโดดีๆของตัวเองได้นะครับ ปล. ทั้งหมดเป็นเเค่ คำแนะนำคร่าวๆ ไม่ได้เหมารวมว่าทุกโครงการที่เข้าหลักข้างบนจะเเย่เสมอไปนะครับ ของเเบบนี้ต้องดูหลายปัจจัย ปล. ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมครับ Kim Property Live ขอบคุณแหล่งที่มา : www.properth.com/คอนโดราคาตก/
ไอเดียเปลี่ยนคอนโดเก่าให้ดูน่าเช่า แบบงบประหยัด!

ไอเดียเปลี่ยนคอนโดเก่าให้ดูน่าเช่า แบบงบประหยัด!

ว่ากันว่า “การปล่อยเช่าคอนโดเปรียบเสมือนเงินบำนาญวัยเกษียณ” เราเชื่อว่าใครหลายคนใฝ่ฝันอยากมีชีวิตบั้นปลายที่สุขสบายจากการกินเงินบำนาญ แต่กว่าวันนั้นจะมาถึงเราก็ต้องเตรียมตัววางแผนทุกอย่างให้ดีนะคะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิตครอบครัว อาชีพการงาน สุขภาพ เงินเก็บ หรือการลงทุน ซึ่งการลงทุนซื้อคอนโดมือสองทำเลดี หรือใครที่มีคอนโดเก่าก็สามารถสร้างมูลค่าได้โดยปรับปรุงพื้นที่แบบประหยัด และปล่อยเช่าเพื่อผลตอบแทนในระยะยาว แต่จะทำยังไงให้คอนโดของเราดูน่าสนใจ ปล่อยเช่าง่ายแถมได้ราคาดีเหมือนมีเงินบำนาญไว้ใช้จ่ายทุกเดือน ลองทำตามวิธีด้านล่างดูสิ!   สำรวจสภาพห้อง แน่นอนค่ะว่าห้องเก่าต้องมีบางจุดที่ทรุดโทรมไปตามเวลา ดังนั้นหากคิดจะเปลี่ยนโฉมห้องใหม่หรือซื้อคอนโดเก่าเพื่อปล่อยเช่าให้คนสนใจ แนะนำให้ตรวจเช็คทุกซอกทุกมุมให้ดี เช่น การรั่วซึมของน้ำตามจุดสำคัญ ตรวจสภาพอุปกรณ์ต่างๆ ในห้องน้ำ รวมไปจนถึงพื้นและเฟอร์นิเจอร์ในห้องทั้งหมด ว่าชิ้นไหนยังใช้งานได้บ้าง ต้องซื้ออะไรเพิ่ม ต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง ที่สำคัญควรเปลี่ยนวัสดุที่เสียหายง่ายให้คงทนอย่างพื้นกระเบื้องเซรามิกเก่าก็เปลี่ยนเป็นกระเบื้องแกรนิตโต้ที่แข็งแกร่งกว่า จะได้ไม่ต้องเสียสตางค์เปลี่ยนบ่อยๆ   ดีไซน์ให้แตกต่าง ผู้เช่าที่มีกำลังทรัพย์สูงอย่างชาวต่างชาติหรือกลุ่มผู้สูงอายุ ย่อมมีความต้องการสูงมากกว่าผู้เช่าทั่วไป ฉะนั้นควรดีไซน์ห้องรองรับคนกลุ่มนี้ให้ใช้งานง่ายขึ้น อาทิ ทำประตูเผื่อสัดส่วนชาวต่างชาติกว้างอย่างน้อย 90 เซนติเมตร เพื่อความสะดวกในการขนย้ายของ ดีไซน์รองรับผู้สูงอายุในห้องน้ำ (Universal design) โดยทำราวจับและพื้นกันลื่นในส่วนเปียก ทั้งนี้อาจเพิ่มระบบความปลอดภัยโดยติดตั้งระบบกันขโมย มีกล้องวงจรปิด ก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าและโอกาสในการปล่อยเช่าได้มากขึ้น   แค่เปลี่ยนสี ห้องก็เปลี่ยน! วิธีเนรมิตห้องเก่าให้เป็นห้องใหม่ง่ายๆ แถมประหยัดสตางค์ด้วยก็คือการทาสีนั่นเองค่ะ ยิ่งถ้าห้องเดิมติดวอลเปเปอร์แล้วล่ะก็นานวันไปก็มีแต่หลุดร่อน สีคล้ำลง ไม่สวยงาม ดังนั้นควรลอกออกและทาสีแทนเลยค่ะ แนะนำให้ทาผนังด้วยสีชนิดเช็ดทำความสะอาดได้ จะช่วยลดภาระในการดูแลรักษาของทั้งผู้เช่าและเจ้าของ ควรใช้สีพื้นอย่างสีขาว off white เพื่อช่วยให้ห้องดูสว่างขึ้น ทั้งยังง่ายต่อการตกแต่งอีกด้วยค่ะ   ผ้าม่านก็ช่วยได้นะ คอนโดส่วนใหญ่มักโอบล้อมไปด้วยกระจกใส ดังนั้นทุกห้องต้องมีม่าน ยิ่งถ้าอยู่ฝั่งแดดร้อนแล้วล่ะก็ผ้าม่านจะมีส่วนช่วยไม่ใช่น้อยเลยนะคะ แต่ก่อนปรับคอนโดให้เช่าควรเปลี่ยนผ้าม่านสักนิด ซึ่งการเลือกชนิดของผ้าม่านก็มีหลายแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นแบบกรองแสงหรือกันแสง แต่ข้อแนะนำในเลือกสีของผ้าม่านนั้น หลักสำคัญง่ายๆ คือ เลือกตามความชอบและคุมโทนให้เข้ากับสีเฟอร์นิเจอร์ค่ะ หากต้องการให้ห้องดูสว่างควรเลือกสีโทนอ่อน เพราะสีอ่อนจะสะท้อนแสงและยอมให้แส่งผ่านได้ดีกว่าสีเข้ม   ครบครันทุกฟังก์ชั่น การให้เช่าที่อยู่อาศัยที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ให้ผู้เช่าหิ้วกระเป๋าเข้ามาอยู่ได้เลย จะมีมูลค่าต่างกับคอนโดที่ห้องว่างเปล่า หากอยากได้ค่าเช่าสูงขึ้นควรมีเฟอร์นิเจอร์พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็น ทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า รวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่อย่างเตียงนอน โซฟา และโต๊ะด้วย ในส่วนครัว ควรเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้แบบถาวรไว้ให้พร้อม เพราะความสะดวกสบายเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้เช่าตัดสินใจและพร้อมจ่ายได้ง่ายขึ้นค่ะ ข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นเป็นแค่ไอเดียที่เรานำมาฝากส่วนหนึ่งเท่านั้นนะคะ หากคุณผู้อ่านคิดอยากเนรมิตคอนโดเพื่อปล่อยเช่าเก็บเงินระยะยาว อย่าลืมเช็คงบประมาณให้ดีดด้วย เพราะยิ่งปรับเปลี่ยนเท่าไหร่งบก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น ดังนั้นคำนวณทุกอย่างให้พอดีไว้ค่ะ จะได้คุ้มค่ากับการลงทุนทุกบาททุกสตางค์ :)  
ข้อดีและข้อเสีย ของการแต่งบ้านสไตล์ลอฟท์

ข้อดีและข้อเสีย ของการแต่งบ้านสไตล์ลอฟท์

การแต่งบ้านสไตล์ลอฟท์ มองเผิน ๆ แล้วการตกแต่งสไตล์ลอฟท์จะเหมือนห้องใต้หลังคา มุงหลังคาสูง กับพื้นบ้านที่ค่อนข้างกว้างและโปร่ง เน้นพื้นที่ใช้สอยเป็นสำคัญ และตกแต่งในแบบที่ผู้อาศัยสามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ไปตามความต้องการของตัวเองได้ ซึ่งการตกแต่งสไตล์ลอฟท์ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากแบบแปลนการก่อสร้างของโรงงานหรือโกดังนั่นเอง แต่ในปัจจุบัน สถาปนิก นำสไตส์ลอฟท์ดิบๆ มาปรับเปลี่ยน เพื่อให้เข้ากับความต้องการ และยุคสมัย เลยออกมาเป็น บ้าน และการตกแต่งสไตส์ลอฟท์แบบเจ๋งๆ หลายแบบ จะสวย เก๋ อินดี้แค่ไหนมาดูกัน ข้อดีของบ้านสต์ลอฟท์ เพดานสูง จุดเด่นของบ้านสไตล์ลอฟท์อยู่ที่ความสูงของหลังคา ซึ่งก็ไม่เพียงแต่ทำให้บ้านดูโปร่งและกว้างขวางเท่านั้น แต่ยังช่วยให้บ้านมีบรรยากาศที่แตกต่างไปจากสไตล์การแต่งบ้านแบบอื่นอีกด้วย ได้รับแสงธรรมชาติเต็มๆ นอกจากเพดานบ้านสไตล์ลอฟท์จะค่อนข้างสูงแล้ว อีกส่วนหนึ่งที่ถือว่าเป็นจุดเด่นของสไตล์การแต่งบ้านแบบนี้ก็อยู่ที่หน้าต่างบ้าน ซึ่งมักจะเน้นติดหน้าต่างขนาดกว้างและยาว เพื่อให้บ้านดูสว่าง และเปิดรับแสงจากธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยได้ตามสะดวก แปลนบ้านสไตล์ลอฟท์หลายแบบไม่ค่อยเน้นสร้างกำแพงให้บ้านสักเท่าไร พื้นที่ในบ้านตกแต่งสไตล์นี้จึงค่อนข้างโล่งและดูกว้าง ที่สำคัญเมื่อปราศจากกำแพงมาวางกั้น เราก็สามารถดีไซน์การตกแต่งภายในได้ตามใจชอบ หรือจะปรับเปลี่ยนการตกแต่งให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ตอนไหนก็สะดวก ดีไซน์แปลกตา ความดิบที่แฝงความเก๋ไก๋ในการแต่งบ้านสไตล์ลอฟท์เป็นประเด็นหลักที่มัดใจคนชอบความต่างได้อยู่หมัด โดยแนวการแต่งบ้านสไตล์นี้คุณจะมีวัสดุในการก่อสร้างและตกแต่งอยู่หลายตัวเลือกด้วยกัน เช่น สร้างผนังปูนเปลือย หรือตกแต่งผนังด้วยอิฐบล็อกดิบ ๆ ไร้สีสันแต่งแต้ม   ขอบคุณแหล่งที่มา  :  https://www.rukban.com/15462186/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B9%8C%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B8%97%E0%B9%8C  
7 เทคนิคดีๆ ของการเลือกตึกแถว

7 เทคนิคดีๆ ของการเลือกตึกแถว

มนุษย์ต้องใช้ปัจจัยสี่ในการดำรงชีวิต ซึ่งทุกคนย่อมรู้จักกันดีอยู่แล้ว อย่างอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค ถ้าไม่มีอาหารแน่นอนว่าขาดสารอาหาร ถ้าไม่มีเครื่องนุ่งห่มจะใช้อะไรปกปิดร่างกาย ขาดยารักษาโรคไปก็ไม่มีอะไรบรรเทาความเจ็บปวด และที่อยู่อาศัยก็จำเป็นต่อคนยุคก่อน เพราะเป็นการแสดงอาณาเขตของใครของมัน ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลส่งผลตรงมายังยุคปัจจุบัน สรุปว่าทุกปัจจัยสำคัญเท่าๆ กัน แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงที่อยู่อาศัยกันนะคะ บางคนอาจจะเลือกซื้อ บ้าน เป็นที่พักพิง หรือ คอนโด เพราะว่าสะดวกสบาย เดินทางง่าย มีทุกอย่างภายในห้องเดียว แต่บางคนเลือกซื้อตึกแถวเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อประกอบสัมมาอาชีพไปในตัว หรือซื้อไว้ลงทุนอะไรสักอย่าง เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะตึกแถวมีรูปร่างตามชื่อเป็นตึกที่เป็นแถว จะมีกี่ชั้นก็ว่ากันไปตามสะดวกของการสร้างในเริ่มแรกสำหรับคนที่อยากมีตึกแถวก็คงนั่งคิดนอนคิดว่าจะใช้อะไรเป็นตัวตัดสินใจดีหนอ ไม่ต้องกังวลใจเดี๋ยวเราจะช่วยคุณเอง วันนี้เรารวบรวมข้อมูลดีๆ ของการเลือกตึกแถวมาให้แล้วจ้า   คนพลุกพล่าน บางคนอาจจะชอบความเงียบสงบไม่วุ่นวาย แต่สำหรับตึกแถวแล้วยิ่งอยู่ในย่านที่คนพลุกพล่านยิ่งดีค่ะ เพราะว่าเป็นทำเลชั้นยอด เป็นโอกาสในการลงทุน ถ้าเลือกตึกแถวในเส้นทางที่มีคนสัญจรไปมา เพราะผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา ณ ตอนนั้น ในอนาคตอาจจะมาเป็นลูกค้าหากเราเปิดกิจการอะไรสักอย่างตรงตึกแถวนั้นก็เป็นได้   สะดุดตา สมมติว่าเลือกตึกแถวที่ทำเลในซอยอันคับแคบ คงสร้างความลำบากให้ลูกค้าที่จะมาอุดหนุนอยู่ไม่น้อย ดังนั้น ตึกแถวต้องเด่นชัด มองเห็นได้จากถนนยิ่งดี เพราะว่าคนที่มาติดต่อซื้อขายจะได้ไม่เสียเวลาหาสถานที่ตั้งของกิจการให้ยุ่งยาก ถ้าโชคเข้าข้าง ป้ายโฆษณาต่างๆ อาจจะติดต่อขอเช่าพื้นที่ในส่วนของตึกที่ว่างๆ เพื่อติดป้ายโฆษณาอีกด้วย   ที่จอดรถ ทุกกิจการย่อมไม่อยากย่ำอยู่กับที่ อยากก้าวไปข้างหน้า ที่จอดรถก็ไม่ควรมองข้าม หากลูกค้าที่มาอุดหนุนมองหาที่จอดรถไม่เจอก็คงจะผ่านเลยไป กิจการนั้นไม่อาจสร้างความประทับใจในแรกพบได้ ถ้ามีที่จอดรถไว้รองรับ ก็จะลดทอนความยากลำบาก เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าอีกด้วยนะ   ห้องริม ตึกแถวจะติดกันเป็นแถวยาว ลองเลือกตึกแถวที่อยู่ห้องริมหรือห้องหัวมุมสุด เพราะมันน่าลงทุนที่สุด! น่าลงทุนมากกว่าตึกแถวที่อยู่ห้องอยู่ตรงกลาง สำหรับกิจการสามารถมีทางเข้าออกได้ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง พื้นที่อื่นๆ ที่เหลือก็ใช้สอยได้มากกว่าตึกแถวห้องกลาง แถมยังดูสบายตา ไม่อึดอัด ไม่คับแคบ หรือถ้าเลือกตึกแถวไว้ปล่อยเช่าก็มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม   ห้องคู่ ถ้าเป็นไปได้นอกจากจะห้องริมหรือห้องหัวมุมสุดแล้ว เป็นห้องคู่ก็จะดียิ่งขึ้นไปอีก จริงอยู่ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเป็นอีกเท่าตัว แต่รับรองว่าได้คุ้มกว่าเสีย เพราะห้องคู่ดูกว้างขวางกว่าเดิม มีพื้นที่ใช้สอยประโยชน์มากกว่าเดิม เรียกได้ว่ามีความยืดหยุ่นในการใช้งาน ยิ่งถ้าเป็นห้องหัวมุมสุดและเป็นห้องคู่ จะเจ๋งยิ่งกว่าเดิม หรือจะปล่อยเช่ามูลค่าก็จะได้เพิ่มมากกว่าเดิมอีกด้วย   โครงสร้าง ไม่ว่าจะเลือกซื้อตึกแถวตอนสร้างเสร็จใหม่ๆ หรือสร้างเสร็จมานานแล้ว โครงสร้างที่มั่นคงและแข็งแรงจึงเป็นอีกข้อที่มองข้ามไม่ได้ เพราะเราไม่อาจมั่นใจได้เลยว่าความแข็งแรงของตึกแถวจะคงทน 100% หรือเปล่า เพราะปูนที่ฉาบ อิฐที่ก่อ ทรายที่ผสมก็ดูคล้ายคลึงกันไปซะหมด ถ้าสร้างเสร็จใหม่ๆ ก็ควรดูตั้งแต่เริ่มสร้างเลยจะดีมาก แต่ถ้าสร้างเสร็จมานานแล้วก็ควรตรวจเช็กให้ดีก่อนนะจ๊ะ เพื่อคุณภาพตึกแถวที่ดี   ต้องดูราคาให้ดีด้วย เพราะเงินคือปัจจัยหลักในการได้ตึกแถวมาครอบครอง การคำนวณราคาของตึกแถวก็จะละทิ้งไม่ได้เลย จะถูกหรือแพงอยู่ที่ว่าพื้นที่ตรงนั้นทำอะไรได้บ้าง ในย่านธุรกิจอาจมีราคาที่สูงอยู่พอสมควร ในบางทำเลก็มีราคาไม่เพียงกี่ล้าน การเช็กราคาหรือคำนวณ นอกจากจะดูรายได้ที่เราสามารถสร้างเงินได้แล้ว ควรดูจากสถาบันการเงินด้วยว่าสามารถปล่อยเงินกู้ให้ได้หรือเปล่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถึงจะไม่ได้อยู่ในย่านธุรกิจเท่าที่ควร แต่ถ้าคิดอยากทำกิจการสักอย่าง ถ้ามีการประชาสัมพันธ์ดีๆ เพราะเดี๋ยวนี้มีโลกโซเชียลเป็นสื่อกลางแล้วนะ ก็จะทำให้กิจการรุ่งเรืองก็เป็นได้ อย่าลืมว่าอสังหาริมทรัยพ์ไม่ใช่ราคาถูกๆ จับจองเป็นเจ้าของก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จะซื้อทั้งทีควรเลือกตึกแถวให้ดี บางคนใช้เวลานานมากกว่าจะได้ครอบครอง และกิจการที่ฝันไว้จะรุ่งเรืองได้ ความเข้าใจในการลงทุนก็เป็นส่วนสำคัญไม่แพ้กัน ใช้ศาสตร์แล้วก็อย่าลืมใช้ศิลป์ด้วยนะจ๊ะ เพื่อที่ว่าจะได้ประสบความสำเร็จตามที่วางแผนไว้   เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://finance.rabbit.co.th/blog/7-tips-for-tenement-house
7 ผักสวยงามปลูกในกระถาง เด็ดกินก็ได้ วางประดับบ้านก็ดี

7 ผักสวยงามปลูกในกระถาง เด็ดกินก็ได้ วางประดับบ้านก็ดี

ผักสวยงามปลูกในกระถาง สำหรับปลูกประดับในบ้าน เช่น ห้องครัว มาดูกันว่าผักสวยงามปลูกในกระถางเหล่านี้ มีผักชนิดใดที่น่าปลูกในบ้านของเราบ้าง  ผักหลาย ๆ ชนิดก็สวยงาม ไม่แพ้ต้นไม้จัดสวนทั่วไปเลย วันนี้กระปุกดอทคอมเลยจะชวนทุกคนหาผักมาปลูกกัน เป็นผักสวยงามไว้ปลูกกินและประดับบ้านก็ได้ สามารถปลูกได้ในกระถางเล็ก ๆ แถมวิธีการปลูกนั้นก็ง่ายนิดเดียว แถมยังออกดอกหลากหลายสีสันที่จะช่วยให้บ้านของเราดูสดชื่นขึ้นด้วย จะรอช้าอยู่ทำไม...ตามไปดูผักสวยงามที่เรานำมาฝากกันในวันนี้พร้อม ๆ กันเลยค่ะ   1. ผักชี ผักชี ผักหอม หรือผักหอมน้อย เป็นพืชล้มลุกที่สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่จะเจริญเติบโตไวที่สุดในช่วงหน้าหนาว ลักษณะของต้นผักชีคือ ลำต้นตั้งตรง ภายในกลวง กิ่งเล็ก ไม่มีขน สูงประมาณ 8-15 นิ้ว มีสีเขียว แต่เมื่อแก่จัดจะกลายเป็นสีเขียมอมน้ำตาล ใบแผ่ออกแบบรูปพัด ลักษณะขอบใบคล้ายขนนก ใบที่โคนต้นจะมีขนาดใหญ่กว่าใบส่วนยอด ดอกขนาดเล็ก มีทั้งสีขาวและชมพูอ่อน ออกเป็นช่อ มีผลทรงกลมขนาด 3-5 มิลลิเมตร นิยมขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด   2. ผักชีลาว ผักชีลาว ผักพื้นบ้านที่จัดอยู่ในกลุ่มพืชล้มลุกตระกูลเดียวกับผักชี มีอายุไม่ถึง 1 ปี ความสูงประมาณ 40-120 เซนติเมตร ลำต้นกลม เล็ก สีเขียวเข้ม เนื้ออ่อน หักงอง่าย แตกกิ่งตั้งแต่โคนต้น ก้านใบยาว 10-20 เซนติเมตร มีใบย่อยแตกออกตรงข้ามกันเป็นคู่จำนวนมาก ลักษณะใบเป็นเส้นขนาดเล็ก ปลายเรียวแหลม ความยาวไม่เกิน 2 เซนติเมตร มีดอกสีเหลืองออกเป็นช่อบริเวณส่วนยอดของลำต้น โดย 1 ดอก จะให้ผล 1 เมล็ด ทรงรี แต่จะมีลักษณะแบนเมื่อเมล็ดแห้งและแก่จัด เพาะด้วยการใช้เมล็ด ก่อนปลูกควรนำดินไปตากแดดเพื่ฆ่าเชื้อโรคและวัชพืช ประมาณ 10 วัน จากนั้นนำดินมาผสมกับปุ๋ยคอก ใส่ลงไปในกระถางแล้วเอาเมล็ดมาฝังกลบ พร้อมกับรดน้ำให้ชุ่ม ตั้งในบริเวณที่โดนแดด   3. ผักชีฝรั่ง ผักชีฝรั่ง เป็นผักที่มีชื่อเรียกหลากหลายตามถิ่นที่อยู่ อาทิ ผักชีดอย ผักชีใบเลื่อย ฯลฯ เป็นพืชล้มลุก จัดอยู่ในวงศ์ผักชีเช่นเดียวกัน เป็นผักที่มีเหง้าใต้ดิน ลักษณะเป็นกะเปราะทรงกลมรี ใบแทงออกจากเหง้า ความยาวประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร ปลายใบแหลม ขอบหยักเหมือนฟันเลื่อย ผิวใบกระด้าง สีเขียวสด แต่จะมีสีเข้มเมื่อแก่ ออกดอกเป็นช่อแทงขึ้นกลางลำต้น มีใบประดับที่ก้านดอกรูปหอก กลีบดอกสีขาว มีดอกย่อยมาก อีกทั้งออกผลและให้เมล็ดด้วย วิธีปลูกผักชีฝรั่งด้วยการเพาะเมล็ด เริ่มจากผสมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลงในดิน ว่านเมล็ดลงไปแล้วกลบดินบาง ๆ รดน้ำให้ชุ่ม แต่ไม่ควรมีน้ำท่วมขัง ทุกวันเช้า-เย็น เมื่อเริ่มมีช่อดอกออกให้เด็ดทิ้ง เพื่อบำรุงต้นให้เจริญเติบโต   4. โรสแมรี่   โรสแมรี่ เป็นไม้พุ่ม จัดอยู่ในตระกูลกะเพรา ใบมีลักษณะคล้ายเข็ม ความยาว 2-4 เซนติเมตร ความกว้าง 0.2-0.5 เซนติเมตร ด้านบนของใบมีสีเขียว ท้องใบมีสีขาวและขนเล็ก ๆ ปกคลุม มีดอกหลายสี ได้แก่ ขาว ชมพู ม่วง และฟ้า ปลูกด้วยการปักชำจะง่ายกว่าการเพาะเมล็ด วิธีการปักชำโรสแมรี่ เริ่มจากตัดกิ่งความยาวประมาณ 4 นิ้วจากต้นที่สมบูรณ์ จากนั้นรองก้นกระถางด้วยกรวดหยาบประมาณ 2 ส่วน 3 และพีทมอสอีก 1 ใน 3 ของความสูงกระถาง ตั้งในที่มีแดดรำไร รดน้ำเมื่อสังเกตเห็นดินเริ่มแห้ง และหมั่นตัดแต่งกิ่งให้เป็นพุ่มอยู่เสมอ   5. ต้นไทม์ ต้นไทม์ เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ความสูงของลำต้นประมาณ 15-30 เซนติเมตร แผ่เป็นพุ่มกว้าง 40 เซนติเมตร มีกิ่งก้านหนาแน่น แตกใบเรียงสลับ ออกดอกที่ปลายยอด ดอกมีสีขาวอมม่วง ใช้เมล็ดในการเพาะปลูกได้ ดินที่เหมาะสำหรับการปลูกต้นไทม์คือ ดินที่มีการระบายน้ำดี ได้แก่ ดินร่วนปนทราย หมั่นบำรุงด้วยปุ๋ยคอก วางไว้ที่โดนแสงแดดจัด ระวังอย่าให้ในกระถางมีน้ำขัง เพราะจะทำให้รากและใบเน่า   6. สะระแหน่ สะระแหน่ เป็นพืชไม้เลื้อยคลุมดินสามารถแตกเหง้าขยายเป็นกอใหญ่ได้ ความสูงประมาณ 15-30 เซนติเมตร ลำต้นมีลักษณะเป็นเหลี่ยม ผิวสีแดงอมม่วง แตกกิ่งจำนวนมาก แตกใบเดี่ยวออกเป็นคู่ตรงข้าม ใบหนา โคนใบกลมมน ปลายใบรี ขอบหยักย่น ผิวเป็นลูกคลื่นสีเขียว ออกดอกที่ปลายยอดสีขาวและมีเมล็ดทรงกลมสีดำ ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะชำจะง่ายที่สุด เริ่มจากผสมดินร่วน 2 ส่วน ทราย 1 ส่วน ปุ๋ยหมัก 1 ส่วน และปูนขาวเล็กน้อย คลุกเคล้าให้เข้ากันใส่ลงในกระถาง แล้วตัดกิ่งสะระแหน่ที่ไม่อ่อนหรือแก่ ปักเอนทาบลงไปกับดิน รดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าแฉะ วางในที่มีแสงสว่างแต่ไม่โดนแดดโดยตรง บำรุงด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก หลีกเลี่ยงการใช้ปุ๋ยเคมี   7. ต้นเสจ  ต้นเสจ จัดเป็นไม้พุ่มหรือกึ่งไม้พุ่ม ความสูงลำต้นประมาณ 15-45 เซนติเมตร ลำต้นใสอวบน้ำ แตกใบเป็นคู่ตรงข้าม ลักษณะใบยาวรี มีขนาดเล็ก ความยาวประมาณ 2-10 เซนติเมตร ความกว้าง 1-2.6 เซนติเมตร โคนใบคล้ายรูปหัวใจ ปลายแหลมมน ผิวใบด้านบนสีเขียวอมเทา ใต้ใบสีเทส เนื้อใบนุ่ม เมื่อขยีจะมีกลิ่นหอม มีดอกสีน้ำเงิน ชมพู หรือขาว และมีเมล็ดขนาดเล็กสีดำ ขยายพันธุ์ได้ด้วยการตัดกิ่งที่สมบูรณ์หรือฝังเมล็ดลงในกระถางที่มีดินร่วนปนทราย วางไว้ในบริเวณที่มีแดดรำไร เช่น ใกล้หน้าต่าง หลังรดน้ำครั้งแรกควรรอให้ดินแห้งก่อนจึงค่อยรดน้ำครั้งต่อไป ใบของผักแต่ละต้นเนี่ยสวย ๆ ทั้งนั้นเลย ถ้าอยากลองนำมาปลูกในบ้าน ก็ลองพิจารณากันดูนะคะ เผื่อจะได้มีผักสด ๆ ไว้กินที่บ้าน แถมยังทำให้บ้านสวยงามขึ้นอีกต่างหาก   เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.kapook.com/view176978.html
“เซ้ง” อีกหนึ่งทางเลือกในตลาดอสังหาฯ

“เซ้ง” อีกหนึ่งทางเลือกในตลาดอสังหาฯ

เคยสงสัยไหมคะว่า ‘การเซ้ง’ คืออะไร? ถ้าให้อธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ การเช่าระยะยาว หรือเรียกแบบทางการว่า การรับช่วงสิทธิที่ต้องทำสัญญาโอนให้เช่านั่นเอง ซึ่งการเซ้งเป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมทำกันในแวดวงธุรกิจค่ะ เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักจะเซ้งอาคารพาณิชย์หรือพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าเพื่อทำการค้า เหตุผลที่ต้องเซ้งและไม่ซื้อขาดก็เนื่องจาก เจ้าของอาจไม่ต้องการขายที่ดิน หรืออสังหาริมทรัพย์นั้นๆ เพราะเป็นสมบัติของตระกูล, พื้นที่บริเวณนั้นเป็นของราชพัศดุ, เป็นพื้นที่ในส่วนของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หรือ ที่ดินส่วนนั้นอาจเป็นของสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นต้น โดยส่วนใหญ่แล้วทำเลที่มีการปล่อยเซ้ง มักจะมีศักยภาพในด้านต่างๆ สูง เช่น มีทำเลอยู่กลางใจเมือง เดินทางสะดวกสบาย และสามารถใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้ในอนาคต สำหรับการเซ้งที่ทีมงาน Review Your Living หยิบยกมาพูดถึงในวันนี้ก็คือ การเซ้งที่ดินเปล่าค่ะ เรียกง่ายๆ ก็คือ "สิทธิการเช่าที่ดินในระยะยาว" ซึ่งอาจจะมีระยะเวลาในการเซ้ง 20 ปี, 25 ปี, 30 ปี หรือแล้วแต่การประเมิน โดยเจ้าของที่ดินไม่สามารถขอเรียกคืนก่อนหมดสัญญาเช่าได้ค่ะ หลายคนอาจจะคิดว่าการเซ้งที่ดินเปล่ามาก่อสร้างอาคารนั้นเป็นการเสี่ยงหรือเปล่า และมีข้อดี - ข้อเสียอย่างไร? วันนี้ทีมงานรวบรวมคำตอบมาให้คุณแล้วค่ะ ข้อดี 1. ราคาถูกกว่าการซื้อขาดบ้านโครงการอื่น เนื่องจากที่ดินปล่อยเซ้งนั้นทำเลมักจะดีกว่า เพราะมักอยู่ในจุดศูนย์กลางธุรกิจ แวดล้อมไปด้วยความสะดวกสบายใจกลางเมือง   2. ได้สิทธิ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์การเซ้งต่อ ในกรณีที่ย้ายออกหรือเปลี่ยนที่อยู่ใหม่ก่อนหมดอายุสัญญา   3. สามารถขายกรรมสิทธิ์ต่อได้ ยิ่งถ้าราคาประเมินที่ดินสูงขึ้นเท่าไหร่ราคาเซ้งก็สูงขึ้นด้วย ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจนะคะ เพราะมีโอกาสได้กำไรด้วยค่ะ   ข้อเสีย 1. ไม่ได้ครอบครองโดยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้นโดยตรง เพราะเป็นการเช่าระยะยาวนั่นเอง   2. ต้องคอยต่อสัญญาใหม่เมื่อครบอายุสัญญาเซ้ง ซึ่งเจ้าของที่ดินมีสิทธิ์ในการพิจารณจะให้เราต่อสัญญาหรือไม่ก็ได้ ** ในกรณีที่ผู้เซ้งเล็งเห็นว่าศักยภาพของทำเลดี มีการวางแผนจะลงทุนสิ่งปลูกสร้างด้วยเงินลงทุนจำนวนมาก และต้องการป้องกันปัญหาการต่อสัญญาไม่ได้ในภายหลัง ผู้เซ้งอาจจะเจรจาขอเพิ่มข้อตกลงในสัญญา ให้เจ้าของที่ดินยินยอมให้ทำการต่อสัญญาเซ้งในภายหลัง โดยอาจจะเพิ่มข้อเสนอเรื่องราคา หรือผลตอบแทนอื่นๆ ไว้ล่วงหน้า ซึ่งเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเจรจาหาข้อตกลงระหว่างทั้งสองฝ่ายนะคะ อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนคงจะได้ข้อมูลเรื่อง “การเซ้งอสังหาริมทรัพย์” ไปไม่มากก็น้อยนะคะ หากใครกำลังสนใจจะลงทุนกับการเซ้งบ้านซักแห่ง เรามีโครงการที่น่าสนใจมาแนะนำกันค่ะ โครงการ “เดอะไพร์ม พระราม 9 - รามคำแหง 21” เป็นอีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจไม่น้อยเลยค่ะ เนื่องจากเป็นที่ดินบนทำเลศักยภาพ (ซอยรามคำแหง 21) สามารถเดินทางได้สะดวกสบายทั้งการเดินทางด้วยรถส่วนตัว และระบบขนส่งมวลชน ทั้งรถไฟฟ้า เรือด่วนแสนแสบ และรถประจำทาง อีกทั้งถนนหนทางในย่านนี้ก็เชื่อมต่อเข้าสู่ใจกลางเมืองได้หลายเส้นทางเลยค่ะ ในส่วนของการอยู่อาศัยทำเลในแถบนี้ยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ ห้างสรรพสินค้า สถานพยาบาล สถานศึกษา ศูนย์ราชการ และสถานที่สำคัญๆ อีกหลายแห่งเลยทีเดียว ทั้งนี้โครงการ เดอะไพร์ม พระราม 9 - รามคำแหง 21 มีบริษัท เดอะไพร์ม พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เซ้งที่ดินจากสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้จัดสรรและพัฒนาที่ดินเป็น โฮมออฟฟิศ และอาคารพาณิชย์ สูง 3 ชั้นครึ่ง และเปิดให้เราสามารถเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์การเซ้งที่ดินพร้อมตัวอาคารที่สร้างขึ้นเป็นระยะเวลานานถึง 30 ปี ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 3.45 ล้านบาท ซึ่งโฮมออฟฟิศและอาคารพาณิชย์ในทำเลนี้เหมาะสำหรับการทำธุรกิจ รวมถึงการอยู่อาศัย ด้วยการออกแบบในสไตล์โมเดิร์น เพื่อการดำเนินชีวิตคุณภาพไปพร้อมกับการทำธุรกิจ.... มาร่วมสัมผัสความคุ้มค่าที่ลงตัวทั้งด้านธุรกิจและชีวิตส่วนตัวได้แล้ววันนี้ที่ เดอะไพร์ม พระราม 9 - รามคำแหง 21 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.theprimeliving.com  
แต่งห้องไซส์เล็กให้เป็นห้องใหญ่ง่ายๆ ด้วยเฟอร์นิเจอร์บิวต์อิน!

แต่งห้องไซส์เล็กให้เป็นห้องใหญ่ง่ายๆ ด้วยเฟอร์นิเจอร์บิวต์อิน!

  พูดถึงขนาดห้อง Studio ของคอนโดมิเนียม หลายคนคงนึกถึงภาพห้องที่โล่งเปล่าไม่แบ่งกั้นสัดส่วน มีเพียงห้องน้ำและเคาน์เตอร์ครัวเล็กๆ มากกว่าห้องขนาด 1 Bedroom ที่ใหญ่กว่าและยังแบ่งกั้นพื้นที่นั่งเล่นกับห้องนอนให้เสร็จสรรพ ซึ่งแน่นอนค่ะว่าราคาของไทป์แต่ละห้องย่อมต่างกัน ใครสะดวกใจและมีกำลังซื้อห้องขนาดไหนก็เลือกตามใจชอบได้เลยค่ะ แต่สำหรับคนงบน้อยที่ตัดสินใจซื้อห้อง Studio ขนาดเล็กและไม่รู้จะแต่งห้องยังไง? วันนี้ทีมงาน Review Your Living มีทางออกให้คุณแล้วค่ะ เพราะเราได้นำตัวอย่างการแต่งห้องเล็กให้ดูใหญ่ง่ายๆ ด้วยการออกแบบเฟอร์นิเจอร์บิวต์อินให้เหมาะสมพื้นที่จากแบรนด์ Poom มาให้ดู เผื่อใครจะนำไอเดียไปปรับใช้ให้เข้ากับห้องของตัวเอง ไปดูกันเลย... และนี่คือ Reference : IDEO Q Chula – Samyan ห้อง Studio ขนาด 22 ตารางเมตร ที่ทางแบรนด์ Poom เป็นคนออกแบบให้ค่ะ เมื่อเปิดประตูเข้าไป จะเห็นได้ว่าแปลนห้องก็คล้ายกับคอนโดฯ ทั่วไป คือมีเคาน์เตอร์ครัวเล็กๆ อยู่ด้านซ้ายตรงข้ามกันก็คือห้องน้ำนั่งเอง ห้อง Studio ขนาด 22 ตารางเมตร ที่ได้รับการออกแบบเฟอร์นิเจอร์บิวต์อินให้เหมาะสมกับพื้นที่ เพิ่มพื้นที่ใช้สอยและเก็บของได้อย่างเพียงพอ ทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดและรู้สึกโปร่งโล่งสบายในสไตล์เฟอร์นิเจอร์ไม้ของแบรนด์ Poom ที่ดูเรียบง่าย อบอุ่น น่ารักเหมาะห้องขนาดเล็ก ออกแบบผนังที่ว่างเปล่าอีกฝั่งหนึ่งให้เต็มไปด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครันด้วยชั้นวางของ โต๊ะทำงานหรือเขียนหนังสือโดยไม่ไม่เปลืองเนื้อที่ นอกจากนี้ยังดูน่ารัก น่าใช้ อบอุ่นเข้ากับสไตล์และบรรยากาศห้องได้เป็นอย่างดี   และหากใครสงสัยว่างานบิลต์อินนั้นว่ามีข้อดีและเสียยังไง ทีมงานเราก็รวบรวมคำตอบมาให้คุณเช่นกันค่ะ... ข้อดี สามารถออกแบบและใช้พื้นที่ได้อย่างคุ้มค่า จึงมีประโยชน์ในเรื่องของความสามารถในการจัดเก็บข้าวของได้มากขึ้น มีความแข็งแรง เพราะเป็นการติดตั้งโดยการยึดติดอยู่กับโครงสร้างอาคารหรือพื้นที่นั้นๆ สามารถออกแบบได้ตามใจเพียงแค่บอกความต้องการกับสถาปนิกหรือเจ้าของแบรนด์นั้นๆ อีกทั้งยังสามารถปรับแบ่งพื้นที่การใช้งานให้ตรงตามความต้องการได้อีกด้วย ข้อเสีย ราคาค่อนข้างสูง เนื่องจากมีค่าออกแบบและต้องใช้ช่างที่ชำนาญเป็นคนติดตั้งให้ค่ะ ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้เนื่องจากเป็นการติดตั้งยึดติดกับพื้นที่นั้นๆ ระหว่างการติดตั้งอาจจะมีฝุ่น เศษไม้ กลิ่นทินเนอร์รบกวน ทำให้ใช้พื้นที่บริเวณนั้นไม่ได้   เป็นยังไงกันบ้างคะเมื่อได้ดูไอเดียตัวอย่างการแต่งห้องเล็ก รวมถึงข้อดีข้อเสียของเฟอร์นิเจอร์บิวต์อินกันไปแล้ว สำหรับใครที่คิดว่า “ราคาแพงแน่เลย แต่งเองดีกว่า” ขอแนะนำว่าให้ลองปรึกษาทางสถาปนิกหรือแบรนด์ Poom ดูก่อนก็ได้ค่ะ เพราะทางแบรนด์แอบกระซิบว่าไม่ได้คิดค่าออกแบบเพียงแต่ใช้มัดจำตามขนาดพื้นที่ของห้อง และจึงหักลบกับยอดซื้อภายหลัง ที่สำคัญคือลูกค้าสามารถแจ้งกำหนดงบประมาณที่มีเพื่อการออกแบบที่เหมาะสมได้ด้วยค่า สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อได้ทาง https://www.facebook.com/Poom.living Line: @poomdesign   ขอขอบคุณรูปภาพจากแบรนด์  Poom design
เคล็ดลับทำความสะอาดห้องน้ำ สะอาดวิ้ง ไร้คราบแบบง่ายๆ

เคล็ดลับทำความสะอาดห้องน้ำ สะอาดวิ้ง ไร้คราบแบบง่ายๆ

  เมื่อ ‘ห้องน้ำ’ เป็นอีกหนึ่งห้องสำคัญในบ้านที่ควรเอาใจใส่และไม่ควรมองข้าม นอกจากการออกแบบตกแต่งให้สวยงามแล้ว การทำความสะอาดให้น่าใช้ ดูใหม่เอี่ยมและไร้คราบก็เป็นอีกสิ่งที่จำเป็นไม่แพ้กัน แม้ว่าเราจะทำความสะอาดทุกวันหลังใช้ แต่บางครั้งก็ยังมีคราบลึกหรือจุดที่ยากจะเข้าถึงในการทำความสะอาดอยู่ดี ดังนั้นจึงไม่ควรพลาดเคล็ดลับทำความสะอาดที่เรานำมาฝากกันนะคะ   Cr.Pinterest ศัตรูความสกปรก คือ พื้นห้องน้ำ ห้องน้ำที่สกปรกมีคราบบนพื้นก็คงดูไม่น่าใช้งานเท่าไหร่ แถมใครไปใครมาก็น่าอายเขาอีกนะคะ ดังนั้นถ้าบริเวณร่องยาแนวหรือคราบหินปูนบนกระเบื้องมีจุดสีดำ ให้ใช้น้ำเปล่า 1 ส่วนกับน้ำส้มสายชู 2 ส่วน ใส่ขวดสเปรย์ฉีดทิ้งไว้สัก 15 นาที หลังจากนั้นจึงใช้ฟองน้ำบิดน้ำหมาดๆ เช็ดทำความสะอาดอีกครั้ง แค่นี้คราบสกปรกเหล่านั้นก็หายไปในพริบตาแล้วค่ะ   Cr.Pinterest ผนังห้องน้ำ ก็สกปรกได้เหมือนกันนะ นอกจากพื้นห้องน้ำที่เราต้องหมั่นทำความสะอาดแล้ว ผนังก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เกิดคราบสกปรกได้ง่าย วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยรักษาความสะอาดบนผนังได้คือทุกครั้งหลังใช้ห้องน้ำ ควรฉีดน้ำทำความสะอาดผนังก่อนที่คราบสบู่จะแห้งเป็นคราบ กรณีที่คราบฝังแน่นทำความสะอาดยากแล้ว ให้ใช้น้ำส้มสายชู 1 ส่วนผสมกับน้ำ 4 ส่วน และจึงใช้ผ้าชุบเช็ดผนังบริเวณที่มีคราบสบู่ ล้างด้วยน้ำสะอาด และใช้ผ้าแห้งเช็ดอีกครั้งก็สะอาดวิ้งเหมือนใหม่แล้วค่ะ Cr.Pinterest โถสุขภัณฑ์ยิ่งไม่ควรละเลย ขึ้นชื่อว่าห้องน้ำแน่นอนค่ะว่าโถสุขภัณฑ์ย่อมเป็นสิ่งที่ใช้งานบ่อย และหากโถสุขภัณฑ์บ้านคุณเป็นคราบปัสสาวะฝังแน่น แนะนำให้ใช้น้ำยาซักผ้าขาวสูตรเข้มข้นเทลงไป และใช้แปรงขัด จากนั้นก็ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอีกครั้ง คราบก็จะหายไปแล้วค่ะ หรือใครอยากป้องกันและดับกลิ่นโถปัสสาวะ ก็สามารถทำสเปรย์ดับกลิ่นเองง่ายๆ โดยผสมแอลกอฮอล์ 1 ช้อนชา น้ำมันหอมระเหยกลิ่นสดชื่น 30-40 หยด และน้ำเปล่าเล็กน้อย จากนั้นก็เทใส่ขวดสเปรย์ เก็บไว้ใช้ฉีดที่โถสุขภัณฑ์ทุกครั้งหลังเสร็จธุระ ก็จะช่วยให้กลิ่นในห้องน้ำดูเฟรชขึ้นค่ะ   Cr.Pinterest กระจกวิเศษ..จงใสสะอาดตลอดเถิด! อีกหนึ่งวัสดุสำคัญที่เราเชื่อว่ามีอยู่ทุกห้องน้ำแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ส่องหน้าหรือแม้แต่ฉากกั้นอาบน้ำก็ล้วนแต่เป็นกระจก ดังนั้นพวกคราบสบู่ แชมพูสระผม ยาสีฟันจากการแปรงฟัน ก็สร้างปัญหาคราบสกปรกได้เช่นกัน วิธีทำความสะอาดง่ายๆ เมื่อใช้งานเสร็จทุกครั้งควรรีบเช็ดด้วยผ้าออกก่อนคราบจะแห้งติดเป็นรอย หากสกปรกจนไม่สามารถเช็ดออกได้ สามารถใช้น้ำยาเช็ดกระจกและใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ขัดกระจกก็จะเงาวิ้งสวยงามเช่นเคย   Cr.Pinterest อย่าปล่อยให้อ่างล้างหน้าสกปรกนะ! พื้นที่ใช้งานเป็นประจำในห้องน้ำอย่างอ่างล้างหน้าก็สกปรกได้นะคะ ซึ่งการทำความสะอาดที่ปลอดภัยต่ออ่างล้างหน้า เพื่อไม่ให้สีซีด ผุกร่อน มีวิธีง่ายๆ เพียงใช้เบกกิ้งโซดาปริมาณครึ่งถ้วยเล็กผสมน้ำมะนาวครึ่งลูก นำมาคนให้เข้ากัน และใช้ฟองน้ำชุบส่วนผสมเหล่านั้นไปขัดให้ทั่วอ่าง เพียงเท่านี้อ่างล้างหน้าก็จะสะอาดหมดจดแล้วค่ะ   การทำความสะอาดคราบสกปรกของห้องน้ำดูเป็นเรื่องใหญ่และยากใช่ไหมคะ แต่หากคุณผู้อ่านลองนำเคล็ดลับที่เรานำมาฝากด้านบนไปใช้ เราเชื่อว่าการทำความสะอาดห้องน้ำของคุณจะเป็นเรื่องง่ายทันที อย่าลืมนะคะว่าต่อให้ห้องน้ำดีไซน์สวยแค่ไหน แต่หากละเลยเรื่องความสะอาดความสวยงามก็คงหายไป รู้อย่างนี้คงไม่ปล่อยให้ห้องน้ำสกปรกแล้วใช่ไหมคะ?
REFINANCE ที่อยู่อาศัยแล้วชีวิตดี เงินเหลือใช้ จริงหรือไม่?

REFINANCE ที่อยู่อาศัยแล้วชีวิตดี เงินเหลือใช้ จริงหรือไม่?

หลายคนที่กำลัง ‘ผ่อน’ ที่อยู่อาศัยอยู่ คงมีความรู้สึกอยากผ่อนให้หมดไวๆ ใช่ไหมคะ บ้างก็ใช้วิธีการโปะเพิ่มทุกเดือนเพื่อช่วยร่นระยะเวลาในการผ่อน แต่ความจริงแล้วมีอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้เราประหยัดรายจ่ายในเรื่องของดอกเบี้ย ซึ่งทำให้ผ่อนบ้านหมดเร็วขึ้นคือ การ “REFINANCE” หรืออธิบายง่ายๆ คือการไปกู้เงินจากธนาคารอื่นที่จ่ายดอกเบี้ยถูกกว่ามาจ่ายคืนธนาคารเดิมที่เคยกู้นั่นเองค่ะ สำหรับข้อดีของการ REFINANCE คือตัวช่วยผ่อนบ้านให้หมดไวขึ้น โดยจ่ายค่างวดเท่าเดิมแต่จ่ายส่วนที่เป็นดอกเบี้ยน้อยลง ก็ทำให้ลดเงินต้นได้มากขึ้น หรือบางคนที่ผ่อนบ้านไปแล้วเกิดปัญหาการเงิน กรณีหมุนไม่ทัน ก็สามารถรีไฟแนนซ์เพื่อขอลดค่างวดที่ต้องจ่ายต่อเดือนลงหรือเป็นการยืดระยะเวลาในการผ่อนให้นานขึ้น คนที่สนใจ REFINANCE ต้องเช็คสัญญากู้ก่อนนะคะว่ามีกำหนดระยะเวลาที่สามารถรีไฟแนนซ์ได้เมื่อไหร่ ส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ 3 ปี แต่กรณีที่รีไฟแนนซ์ก่อนกำหนดจะเสียค่าปรับประมาณ 0-3% ของวงเงินกู้เดิม (มีระบุไว้ในสัญญากู้) แนะนำว่ารอให้หมดช่วงก่อนดีกว่าค่ะ เพราะถ้าดอกเบี้ยไม่ได้แพงมากจนเกินไป ส่วนใหญ่รีไฟแนนซ์ก่อนกำหนดมักจะไม่คุ้ม และการรีไฟแนนซ์ทุกครั้งจะมีค่าใช้จ่ายแฝงในอยู่ด้วย ไม่ใช่แค่การคำนวณเพื่อปรับลดดอกเบี้ยเท่านั้น ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์มีอะไรบ้าง เรามาดูไปพร้อมกันเลยดีกว่าค่ะ... 1. ค่าธรรมเนียมการจำนอง กรณีที่รีไฟแนนซ์ธนาคารใหม่จะคิด 1% ของวงเงินกู้ใหม่ เพื่อจ่ายให้กรมที่ดิน 2. ค่าประเมินราคาทรัพย์สิน การ REFINANCE ทั่วไปจะอยู่ที่ 0.25-2% ของราคาประเมินจากกรมที่ดิน หรือคิดเป็นจำนวน 1,500 - 10,000 บาท ขึ้นอยู่กับธนาคาร แต่กรณีที่รีไฟแนนซ์ธนาคารเดิมไม่ต้องจ่ายนะคะ ซึ่งจะเรียกว่าการรีเทนชั่น 3. ค่าธรรมเนียมการปล่อยกู้ จะคิดประมาณ 0-3% ของวงเงินกู้ใหม่ (ซึ่งบางธนาคารก็ไม่คิดค่าธรรมเนียมนี้ สอบถามก่อนก็ดีค่ะ) 4. ค่าอากรแสตมป์ สำหรับค่าอาการแสตมป์นั้นจะคิดเท่ากันทุกธนาคาร คือ 0.05% ของวงเงินกู้ใหม่ค่ะ 5. ค่าประกันอัคคีภัย ในการ REFINANCE ไม่ว่าจะกู้ธนาคารใหม่หรือธนาคารเดิม จะต้องเสียค่าประกันอัคคีภัยซึ่งแต่ละธนาคารจะมีอัตราค่าประกันต่างกัน เมื่อรู้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ก็นำมาเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ธนาคารใหม่กับธนาคารเก่า โดยคิดเฉลี่ย 3 ปี เพราะการรีไฟแนนซ์จะกำหนดให้ทำได้หลัง 3 ปี แต่ต้องระวังเวลาเปรียบเทียบดอกเบี้ยที่เป็น MLR MRR ของแต่ละธนาคารไม่เท่ากัน ตัวอย่างเพื่อทำความเข้าใจอย่าละเอียด สมมุติว่ากู้ธนาคารเดิม 2,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี คือ 4.75% ต่อปี ผ่อนเดือนละ 13,000 บาท ผ่อนไปโปะไปแล้ว 3 ปี มียอดหนี้เหลือ 1,500,000 บาท (เปรียบเทียบดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์มาแล้วทุกธนาคาร) แต่เอาที่ถูกที่สุด คือ ดอกเบี้ยปีแรก 2.5% ปีถัดไป MRR-2% สมมติ MRR ธนาคารที่เราเลือกคือ 7% วิธีคิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีธนาคารใหม่ คือ {(2.5% x 1 ปี) + [(7%-2%) x 2 ปี } / 3 ปี = 4.17% ต่อปี ดูแล้วน่าจะถูกกว่า แต่อย่าลืมคิดค่าธรรมเนียมต่างๆ ด้วยนะคะ อาทิ ค่าธรรมเนียมการจำนอง 1% x 1,500,000 บาท = 15,000 บาท ค่าประเมินราคาสินทรัพย์ สมมติธนาคารคิด 3,000 บาท ค่าธรรมเนียมปล่อยกู้ สมมติให้ไม่มี ค่าอากรแสตมป์ 0.05% x 1,500,000 บาท = 750 บาท ส่วนค่าประกันอัคคีภัย เราไม่ได้เอาไปคิดนะคะ เพราะถึงเราไม่รีไฟแนนซ์ก็ต้องจ่ายค่าประกันนี้ทุก 3 ปีอยู่แล้ว ยกเว้นประกันกับธนาคารเดิมไม่ใช่ 3 ปี หรือธนาคารมีค่าบริการอื่นนอกจากนี้ จะเอาค่าใช้จ่ายนั้นมาคิดรวมด้วย พอรวมค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์ทั้งหมด จะได้เท่ากับ 18,750 บาท จากนั้นก็ลองไปคำนวณเปรียบเทียบดอกเบี้ย 3 ปีของทั้ง 2 ธนาคารดู ถ้ากู้ต่อธนาคารเดิมอัตราดอกเบี้ย 4.75% เมื่อครบ 3 ปี จะจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมดประมาณ 192,450 บาท ยอดหนี้คงเหลือ คือ 1,224,440 บาท ถ้าเปลี่ยนไปกู้ที่ธนาคารใหม่ อัตราดอกเบี้ย 4.17% เมื่อครบ 3 ปี จะจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมดประมาณ 167,435 บาท เมื่อรวมกับค่าธรรมเนียม 18,750 บาท รวมเป็น 186,185 บาท ยอดหนี้คงเหลือ คือ 1,199,430 บาท                  จากตัวอย่างด้านบนเห็นได้ชัดเลยค่ะว่ากรณีรีไฟแนนซ์ทำให้เราประหยัดดอกเบี้ยได้เยอะกว่า และลดเงินต้นได้เยอะขึ้นด้วย แต่ในการคำนวณเราต้องคำนึงแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในอนาคตด้วยนะคะ เพราะ MRR หรือ MLR เป็นตัวเลขที่อาจมีการปรับขึ้นลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ถ้าเราคิดว่าในอนาคตอีก 2-3 ปี อัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้นมากๆ และอัตราดอกเบี้ยที่เรากำลังจ่ายอยู่ขึ้นกับ MRR/MLR การรีไฟแนนซ์ก่อนกำหนดและเสียค่าปรับ ก็อาจจะคุ้มค่ามากกว่าค่ะ :)  
อัพเดตตัวช่วยเทรนด์แต่งบ้านที่จะมาเติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ในแบบคุณ

อัพเดตตัวช่วยเทรนด์แต่งบ้านที่จะมาเติมเต็มทุกไลฟ์สไตล์ในแบบคุณ

ปัจจุบันการออกแบบชีวิตในทุกมิติ เป็นเทรนด์หลักที่ผู้คนต่างให้ความใส่ใจในองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ ดูจะเป็นเรื่องที่นำมาปรุงแต่งให้งานออกแบบ มีเสน่ห์ น่าสนใจเพิ่มมากขึ้น และแน่นอนว่าไลฟ์สไตล์ของการตกแต่ง ที่พักอาศัย ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์จะเป็นหนึ่งในปัจจัยแรกๆ ที่เห็นได้ชัดเจน ด้วยรูปแบบชีวิตและงานอดิเรกที่หลากหลาย ทำให้บางคนที่รักการดูหนัง ย่อมอยากเปลี่ยนมุมหนึ่งในบ้านให้กลายเป็นห้องโฮมเธียเตอร์ขนาดย่อม หรือคนที่รักการฟังเพลงก็อยากใช้เวลาอยู่กับชุดเครื่องเสียงสุดโปรด ไปจนถึงคนที่รักความสงบ ก็อยากอยู่เงียบๆ พร้อมหนังสือดีๆ สักเล่ม ไม่ใช่เฉพาะที่บ้านเท่านั้น ออฟฟิศสำนักงานซึ่งถือเป็นบ้านหลังที่สอง ที่เราต้องใช้เวลาทำงานอยู่ไม่ต่ำกว่า 8-10 ชม. ซึ่งสามารถตกแต่งให้สวยงามและโดดเด่นไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงาน ห้องประชุม ก็สร้างพื้นที่แห่งความสุขได้อย่างลงตัว ฯลฯ ครั้งนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ วัสดุอะคูสติก เอสซีจี สำหรับผนังตกแต่งดูดซับเสียง รุ่น  (Cylence Zandera) ในกลุ่มวัสดุอะคูสติกเอสซีจี ตัวช่วยที่น่าสนใจในการนำมาเติมเต็มการตกแต่ง ที่อาจจะเป็นไอเดียตั้งต้นสำหรับการแต่งบ้านในสไตล์ของคุณเอง ซึ่งกำลังได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นในเวลานี้ เพราะไม่ว่าจะเป็นการตอบโจทย์จากรูปแบบของวัสดุ ที่พัฒนาสีสันที่หลากหลาย และรูปทรงต่างๆ ที่สามารถนำมาในรูปแบบการ Mix & Match ให้ผนังมีมิติ ปรับเปลี่ยนได้ง่ายด้วยคุณสมบัติแบบ DIY คุณภาพดี ราคาไม่แพงจนเกินไป แล้วคุณสมบัติที่ช่วยลดเสียงก้อง หรือเสียงสะท้อนได้มากสุดถึง 75 เปอร์เซ็นต์ โดยมีค่า NRC 0.75 ทำให้คุณสามารถสร้างสรรค์พื้นที่ส่วนตัวได้ดั่งใจแม้จะอยู่ในพื้นที่จำกัด โดยที่ไม่รบกวนผู้อื่น หมดความกังวล และสนุกกับไลฟ์สไตล์ส่วนตัวได้อย่างเต็มที่ เหมาะกับกิจกรรมในการพักผ่อนที่พิเศษสุด นอกจากนี้ การตกแต่งพื้นที่ในส่วนต่าง ๆ นั้น  ก็สามารถใช้ตัวช่วยอย่าง วัสดุอะคูสติก เอสซีจีสำหรับผนังตกแต่งดูดซับเสียง รุ่น Cylence Zandera เข้ามาสร้างสีสันที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณได้อย่างลงตัว เรียบหวาน แบบพอดี  สร้างจินตนาการแต่งแต้มสีสันแห่งความสดใสให้ห้องนั่งเล่น โดยใช้สีชมพูของโซฟา ตัดสลับกับสีฟ้าของผนัง เพิ่มความสนุกสนานให้กับห้องนั่งเล่น ในสไตล์คุณ เพื่อหลีกหนีความจำเจ ในยุคที่ vertical live หรือยุคที่อยู่อาศัยแนวสูงมีมากขึ้นทุกวัน และยังตอบโจทย์วัยรุ่นสมัยใหม่ ที่นิยมการอยู่อาศัยแบบส่วนตัว ชอบสังสรรค์ยังสามารถสร้างกิจกรรม ร่วมกับเพื่อนๆ ได้ด้วย เรียบหรู แต่มีสไตล์ หลีกหนีบรรยากาศของห้องทำงานที่ต้องดูสุขุม ด้วยการใช้วัสดุไม้แบบเดิม ๆ  โดยนำความเป็น minimal และ loft เข้ามาผสมผสานกัน  การใช้สีที่ให้ดูเรียบหรูอย่างสีดำ และเทา พร้อมทั้งเบรคด้วยสีเหลืองโดดเด่น  เพื่อให้เป็นตัวแทนของความคิด และการสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ๆ มนต์เสน่ห์ ที่ดึงดูด เพิ่มเสน่ห์ให้ห้องประชุมที่เป็นมากกว่าการประชุม  ด้วยการนำเส้นสายในรูปทรงของวัสดุเข้ามาช่วยทำให้เกิดลวดลาย  และเพิ่มความเย้ายวนด้วยการใช้สีม่วงเข้าไปผสมผสานทำ ให้มีความเป็น modern classic อย่างน่าหลงไหล เปิดโล่ง พื้นที่เล็ก ๆ แบบมีมิติ เปิด space ให้ดูโล่งและกว้าง ด้วยสีขาวของเฟอร์นิเจอร์ และสร้างมิติให้กับผนังด้วยลวดลายแนว shoots ด้วยสีที่สร้างสมาธิในการทำงาน คือ น้ำเงิน และเทา เหมาะกับคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการ home office ง่ายๆเป็นของตนเองในพื้นที่ที่ไม่กว้างนัก สร้างสรรค์ จินตนาการที่ไม่หยุดยั้ง สร้างจุดสนใจด้วยสีกลุ่ม oasis เสมือนความสดใสกลางทะเลทราย สีเหล่านี้จะช่วยให้เพิ่มความกระปรี้กระเปร่าและดึงความตั้งใจกลับมา และยังช่วยลดทอนความกระด้างของผนังเรียบๆ  บวกกับการใช้รูปทรงสามเหลี่ยมมาช่วยทำให้เพิ่มความหน้าค้นหาและน่าติดตามมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้ อาจเป็นตัวอย่าง ของการใช้ตัวช่วยเล็ก ๆ ในการตกแต่ง พื้นผนัง ให้มีสีสัน เพิ่มมากขึ้น สีที่หลากหลายสไตล์การตกแต่งถึง 17 สี  ของวัสดุอะคูสติก สำหรับผนังตกแต่งดูดซับเสียง รุ่น (Cylence Zandera Scenera Collection) ที่ออกมาแนะนำกันในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น โทนสีไหน ก็ช่วยสร้างบรรยากาศในทุกมุมมอง ตอบโจทย์ทุกการออกแบบอย่างลงตัว และมีความโดดเด่น ในสไตล์ที่คุณต้องการแบบไม่ซ้ำใคร สำหรับผู้ที่สนใจ ชื่นชอบการตกแต่งบ้านด้วยวิธีง่ายๆ และยังได้คุณสมบัติการดูดซับเสียงสามารถเข้าชมสินค้า หรือขอรับตัวอย่างสินค้าและคำปรึกษา  ได้ที่ โฮมโซลูชั่นทุกสาขา และ เอสซีจี เอ็กซ์พี่เรี้ยน หรือติดต่อสอบถามที่ Contact Center โทร 02-586-2222
Survey ทำเลทองรัชดาภิเษก 17

Survey ทำเลทองรัชดาภิเษก 17

  “รัชดาภิเษก” ถนนสายสำคัญที่จัดว่าเป็น New CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ จัดว่าเป็นอีกหนึ่งทำเลทองที่กำลังได้รับความสนใจมากๆ ค่ะ เราจะเห็นได้ว่ามีคอนโดมิเนียมหลายแบรนด์เลือกปักหมุดบนทำเลนี้เป็นจำนวนมาก เนื่องด้วยทำเลบนถนนรัชดาภิเษกมีความพร้อมในหลายๆ ด้านเลยค่ะ... เป็นแหล่งรวมอาคารสำนักงาน มีแหล่งช๊อปปิ้งมากมาย มีความเหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัย แถมยังเดินทางสะดวกด้วยทั้งรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน รถสาธารณะ และรถส่วนบุคคล ปัจจุบันใครๆ ก็รู้ว่าราคาที่ดินบนถนนรัชดาภิเษกหาที่ดินดีๆ ที่เหมาะสมพร้อมสำหรับการทำที่อยู่อาศัยได้ยากมาก ในขณะที่ความต้องการคอนโดดีๆ ในย่านนี้ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง วันนี้เราเลยจะพาไปดูทำเลในย่านรัชดากันค่ะ ซึ่งบริเวณที่เราเห็นว่ามีบรรยากาศคึกคัก และสามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้ดีก็น่าจะเป็นบริเวณช่วง MRT สถานี “สุทธิสาร” ค่ะ   ทำไมต้องเป็นบริเวณ “สุทธิสาร”? ถ้าเราขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT สายสีน้ำเงิน) มาที่สถานีสุทธิสาร จะเห็นได้ว่าบรรยากาศโดยรวมของบริเวณนี้คึกคัก มีผู้คนสัญจรไปมาตลอดเวลา ซึ่งบริเวณรอบๆ นี้แทบจะไม่เคยหลับและไม่เคยเงียบเหงาเลยก็ว่าได้ค่ะ ช่วงกลางวันบรรยากาศจะคึกคักไปด้วยชาวออฟฟิศเป็นจำนวนมากค่ะ เพราะมี “เมืองไทยภัทร” เป็น Office Building ใหญ่ของบริเวณนี้ แถมบริเวณข้างๆ ยังมีตลาดนัดขนาดใหญ่ที่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักช็อปปิ้ง มีพร้อมทั้งของกินของใช้ราคาถูกมากมายเลยค่ะ นอกจากอาคารเมืองไทยภัทรแล้ว ตรงข้ามกันยังเป็นอาคารสำนักงานของ “ธนาคารธนชาติ” ซึ่งก็เป็นอีกแห่งที่รวมร้านอาหารไว้เยอะเลยค่ะ อันนี้แค่บริเวณทางออกของสถานีสุทธิสารเท่านั้นเองนะ ยังคึกคักด้วยร้านค้ามากมายขนาดนี้ บริเวณแยกสุทธิสารตรงปากซอยถนนสุทธิสารวินิจฉัยนี่ไม่ต้องบรรยายเลย ของกินอร่อยๆ เพียบค่ะ อยู่ย่านนี้รับรองว่าอุดมสมบูรณ์มากๆ ไม่มีโอกาสได้ผอมแน่นอน   จะไปไหนก็สะดวก เดินทางก็ง่ายหลายเส้นทาง เรารู้กันดีอยู่แล้วว่าบริเวณแยกสุทธิสารเป็นแยกใหญ่ที่เชื่อมถนนรัชดาภิเษก กับถนนสุทธิสารวินิจฉัยไว้ด้วยกัน ซึ่งสามารถเชื่อมต่อไปยังถนนลาดพร้าว ถนนวิภาวดี-รังสิต และถนนพหลโยธินได้ง่ายมากๆ ค่ะ แถมยังมีถนนหนทางในซอกซอยต่างๆ อีกเพียบที่จะลัดเลาะหลีกเลี่ยงการจราจรที่หนาแน่นได้หายห่วง เด่นๆ เลยก็เห็นจะเป็นซอยรัชดาภิเษก 17 นี่แหละค่ะที่เป็นถนนซอยที่เชื่อมโยงไปออกได้หลายทาง ทั้งออกถนนสุทธิสารฯ, อินทามระ 22, ถนนประชาสงเคราะห์, แยกห้วยขวาง, ม.หอการค้า, สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น และ ถนนดินแดง เป็นต้น ด้วยความที่ถนนในซอยเชื่อมต่อกันเป็นใยแมงมุมแบบนี้ ทำให้การเดินทางไปไหนก็สะดวกมากค่ะ จะขึ้นทางด่วนดินแดง, ทางด่วนพระราม 9 หรือแม้แต่ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมเลยค่ะ นอกจากนี้การเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนก็สะดวกไม่แพ้กันนะคะ เห็นเป็นถนนในซอยแบบนี้ก็มีรถเมล์วิ่งผ่านกับเค้าด้วย ถนนซอยประชาสุข มีรถเมล์มากถึง 4 สาย จะไปไหนมาไหนก็ง่ายเลยค่ะ รถแท็กซี่วิ่งผ่านในซอยก็เยอะนะคะ แถมด้วยพี่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็ไม่น้อยเลย เรียกใช้บริการได้ตลอดเวลา และที่ลืมไม่ได้เลยก็คือ รถไฟฟ้าใต้ดิน ที่อยู่ใกล้ๆ ปากซอยรัชดาภิเษก 17 จะไปไหนมาไหนก็ง่าย สะดวก รวดเร็วทันใจที่สุดเลยค่ะ   ทำเลดีๆ กับคอนโดน่าอยู่ พูดถึงซอยรัชดาภิเษก 17 กันไปพอสมควรแล้ว เชื่อว่าหลายคนน่าจะเริ่มสนใจทำเลนี้มากขึ้นแล้วใช่มั้ยคะ วันนี้เรามีคอนโดมิเนียม "The Excel Ratchada 17" โครงการใหม่ล่าสุดจาก All Inspire มาแนะนำให้รู้จักกันค่ะ นอกจากที่ตั้งโครงการจะอยู่ในซอยรัชดาภิเษก 17 ที่มีความน่าสนใจอย่างที่บอกไปข้างต้นแล้วนั้น โครงการนี้ยังเปิดตัวมาด้วยราคาล้านต้นๆ เท่านั้น ซึ่งเป็นราคาที่พิเศษมากๆ สำหรับย่านรัชดาภิเษก ที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะกับการอยู่อาศัยแบบนี้ ตัวโครงการตั้งอยู่กลางๆ ซอยรัชดาภิเษก 17 ค่ะ ไม่ไกลจากแยกที่ตัดกับซอยประชาสุข ดังนั้นเรื่องการเดินทางจึงสะดวกแบบสุดๆ ไม่ว่าจะขึ้นรถเมล์ ต่อรถไฟฟ้าใต้ดิน เรียกพี่วินมอเตอร์ไซค์ หรือใช้รถส่วนตัว ก็เลือกใช้ได้หลายเส้นทางและหลายช่องทางเลยทีเดียวค่ะ เราลองเดินสำรวจบริเวณซอยรัชดาภิเษก 17 กันมาแล้ว ต้องบอกว่าหมดห่วงเรื่องอาหารการกินไปได้เลย ตั้งแต่ปากซอยรัชดาภิเษก 17 ก็พร้อมไปด้วยร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ และซุปเปอร์มาร์เก็ต ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเช้าก่อนไก่โห่ หรือดึกดื่นแค่ไหน ก็มีที่ให้พึ่งพาฝากท้องได้ทุกเวลาค่ะ นอกจากนี้ในเวลาปกติ ร้านค้าแผงลอย ร้านอาหารในซอยก็เยอะแยะมากมายเลยค่ะ มีอาหารให้เลือกแทบจะทุกประเภทกันเลยทีเดียว แต่ถ้าเหนื่อยไม่อยากเดินไปไหนไกล ตรงแยกซอยประชาสุขก็มี 7-11 นะคะ เดินไม่เกิน 100 เมตรก็เจอเลย บริเวณปากซอยรัชดา 17 กลาสเฮ้าส์ คอมมูนิตี้มอลล์เล็กๆ อยู่ปากซอยรัชดา 17 มีร้านอาหารและร้านสะดวกซื้อรวมอยู่ด้วยกัน Max Valu ซุปเปอร์มาร์เก็ตเปิดตลอด 24 ชั่วโมงพร้อมให้บริการ บรรยากาศภายในซอยมีร้านสะดวกซื้อกระจายอยู่เป็นระยะๆ   ส่วนสถานที่อื่นๆ ที่น่าสนใจรอบๆ โครงการ เราลองยกตัวอย่างระยะทางคร่าวๆ สำหรับการเดินทางไปยังบริเวณใกล้เคียงมาให้แล้วค่ะ รถไฟฟ้า MRT สุทธิสาร - 1 กม. รถไฟฟ้า MRT ห้วยขวาง -  4 กม. แยกสุทธิสาร-วิภาวดี - 4 กม. ตลาดห้วยขวาง - 1 กม. สโมสรทหารบก - 3 กม. The Street รัชดา - 4 กม. Esplanade รัชดา - 9 กม. เซ็นทรัล พระราม 9 - 9 กม. Fortune Tower - 9 กม. ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย - 3 กม. เซ็นทรัล ลาดพร้าม - 3 กม. ด่านทางด่วนพระราม 9 - 6 กม. บรรยากาศในซอยรัชดาภิเษก 17 เหมาะกับการอยู่อาศัยไม่น้อยเลยนะคะ เนื่องจากบริเวณที่ตั้งโครงการยังเป็นโซนพักอาศัยเดิม จึงมีบ้านพักอาศัยในแนวราบเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีตึกมาบังวิวให้เสียอารมณ์เท่าไหร่ค่ะ ช่วงกลางวันรถราที่วิ่งผ่านอาจจะมีมากหน่อย เพราะเป็นซอยที่ลัดไปได้หลายเส้นทางอย่างที่บอก แต่ช่วงค่ำๆ ก็จะเงียบหน่อย เหมาะกับการพักอาศัยเลยค่ะ   ล่าสุดเราแอบเห็นภาพหลุดจากตัวโครงการ “The Excel Ratchada 17” มาบ้าง แอบรู้สึกว่าน่าอยู่เลยทีเดียวค่ะ ทั้งหน้าตาของตัวอาคาร และ Facility ภายในโครงการ สวยงามน่าใช้งานมากๆ อ่านมาถึงตรงนี้เชื่อว่า นอกจากเรื่องทำเลย่านรัชดาภิเษกที่น่าสนใจแล้ว หลายคนคงกำลังอยากเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียม The Excel Ratchada 17 แล้วใช่มั้ยคะ ลองคลิกเข้าไปดูรายละเอียดโครงการได้ที่ลิงค์นี้เลยค่ะ https://goo.gl/HBj7wU หรือถ้าสนใจอยากสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถเข้าไปที่ https://www.allinspire.co.th/register.html