Tag : MQDC

48 ผลลัพธ์
ทำอสังหาฯ ต้องแตกต่าง MQDC เปิด Whizdom Club พื้นที่สร้างแบรนด์หนีคู่แข่ง

ทำอสังหาฯ ต้องแตกต่าง MQDC เปิด Whizdom Club พื้นที่สร้างแบรนด์หนีคู่แข่ง

ท่ามกลางการแข่งขันของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โจทย์ใหญ่ คือ ทำอย่างไรให้ครองใจลูกค้าไว้ได้ นอกเหนือไปจาก เรื่องทำเลที่ตั้ง คุณภาพสินค้า และราคาที่คุ้มค่า การนำเรื่องบริการเข้ามาใส่ หรือการดูแลค้าที่ทำให้รู้สึกได้ถึง “ความคุ้มค่า” และมี “มูลค่าเพิ่ม” มากกว่า จึงเป็นสิ่งจำเป็นและไม่อาจละเลยได้ กลยุทธ์เรื่องของการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ หรือ CRM จึงเป็นเรื่องพื้นฐานที่ขาดไม่ได้เช่นกัน หรือแม้แต่การเข้าไปมีส่วนร่วมในการดูแลสังคมรอบข้าง หรือการแบ่งปันให้กับผู้อยู่ร่วมกับสังคมโดยทั่วไปที่มักถูกเรียกว่ากิจกรรมเพื่อสังคม หรือ CSR ผู้ประกอบการก็ต้องทำควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจด้วยเหมือนกัน   MQDC หรือ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ก็เป็นหนึ่งบริษัทที่ให้ความสำคัญกับกิจกรรมเพื่อสังคม และการดูแลลูกบ้านให้ได้รับการบริการด้านต่างๆ ที่ดี ขณะเดียวกันยังต้องหาจุดขายของโครงการที่สามารถสร้างความแตกต่าง ไม่เหมือนกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่สงครามการค้าเดียวกัน เพื่อเป้าหมายสุดท้ายให้ผู้บริโภคเกิดความรักในแบรนด์นั่นเอง ล่าสุด MQDC จึงได้ทุ่มงบประมาณ​กว่า 40 ล้านบาท เปิด Whizdom Club เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และแบ่งปัน ขึ้นภายในโครงการ 101 True Digital Park   นายอัษฎา แก้วเขียว ประธานผู้อำนวยการ-วิสซ์ดอม MQDC เปิดเผยว่า แนวคิดในการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์วิสซ์ดอม (Whizdom) ไม่เป็นการพัฒนาเพียงแค่ที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่เป็นการพัฒนาภายใต้ 3 แนวคิดหลัก คือ 1.Living Place การสร้างที่อยู่อาศัยด้วยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาให้มีคุณภาพ 2.Community HUB การสร้างสังคมของการให้และแบ่งปัน และ 3.Cloud การนำเทคโนโลยีมาเชื่อมต่อการบริการต่างๆ   จากแนวคิดดังกล่าวทำให้บริษัท ได้พัฒนา Whizdom Society ขึ้นมาให้กับลูกบ้าน เพื่อเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้และแบ่งปัน ภายใต้แนวคิด Knowledge Sharing Society ซึ่งมีการจัดกิจกรรมต่างๆ ให้กับลูกบ้านได้เข้าร่วมตลอดทั้งปี แต่การพัฒนา Whizdom Club ถือเป็นพื้นที่ของการแบ่งปันและสร้างสรรค์ให้กับคนชุมชนโดยรอบโครงการ ไม่ได้จำกัดเฉพาะผู้ที่เป็นลูกบ้านของ Whizdom เท่านั้น จึงถือเป็นแนวคิดของการทำกิจกรรมมากกว่า CRM และ CSR ปกติทั่วไป เพราะครอบคลุมทุกเรื่องเพื่อการแบ่งปันและการให้กับสังคม   เปิดพื้นที่ Whizdom Society Whizdom Club ตั้งอยู่ในชั้น 4 ของโครงการ 101 True Digital Park สุขุมวิท 101 มีขนาดพื้นที่รวม 900 ตารางเมตร สามารถรองรับได้ 300 ที่นั่ง ตามแผนจะเปิดให้บริการทุกวันตลอดบริการ 24 ชั่วโมง แต่เบื้องต้นเปิดให้บริการถึงเวลา 22.00 น. ซึ่งให้บริการฟรีสำหรับนักเรียน-นักศึกษาจนถึงสิ้นปีนี้ ส่วนลูกบ้านของโครงการ MQDC เป็นสมาชิกของ Whizdom Society ก็ใช้บริการฟรีเช่นกัน สำหรับพื้นที่ Whizdom Society ประกอบด้วย   1.โซน Workspace Station พื้นที่กว่า 255 ตารางเมตร สำหรับใช้นั่งทำงาน ทำการบ้าน มีโต๊ะ เก้าอี้ อินเตอร์เน็ตไว้คอยบริการ ที่สามารถจัดเป็นกลุ่มการประชุมกลุ่มเล็กเพื่อระดมไอเดีย หรือโซน Focus Area สำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว   2.โซน Whiz Ground พื้นที่สำหรับการจัดประชุม สัมมนา หรือกิจกรรมได้หลากหลายประเภท ด้วยพื้นที่ห้องขนาดใหญ่ รองรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้สูงสุด 160 คน หรือจะแบ่งพื้นที่ออกเป็นห้องขนาดเล็กได้ถึง 3 ห้อง   3.โซน Whiz Studio พื้นที่จุดประกายเสริมสร้างไอเดียใหม่ เหมาะสำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่วัยเรียน หรือเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง โดยพื้นที่นี้มีอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ “FitMe” Table โต๊ะเก้าอี้จับกลุ่มได้หลากหลายรูปแบบ อุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวก ได้แก่ Wheeled Flip Chart & Stationery Box, Personal Movable Locker, Dedicated Wi- Fi Connection, 3D Printers + Filament, Restricted Zone เป็นต้น   4.โซน Exhibition Room พื้นที่แสดงงานนิทรรศการ โดยสิ่งที่นำมาแสดงนั้นจะมีทั้งนวัตกรรม เทคโนโลยี เรื่องราวที่ส่งเสริมการเรียนรู้ใหม่ๆ หมุนเวียนกันไปตาม Trend ในแต่ละช่วงเวลา   สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าใช้บริการ เบื้องต้นคงเป็นคนอยู่ในชุมชนรอบๆ โครงการ ซึ่งในรัศมี 5 กิโลเมตร เป็นที่ตั้งของโรงเรียนมากถึง 40 แห่ง มีจำนวนนักเรียน มีคนอยู่อาศัยกว่า 40,000 คน รวมถึงกลุ่มลูกบ้านของโครงการ 4,000-5,000 คน เฉพาะในพื้นที่โครงการมีจำนวนกว่า 2,000 ยูนิต ซึ่งปีนี้บริษัทยังมีแผนเปิดโครงการอีกกว่า 20,000 ล้านบาท อาทิ โครงการอโศก 500 ยูนิต ฟอเรสเทียอีก 3 อาคาร รวม 1,000 ยูนิต โดยหากเป็นลูกบ้านของ Whizdom ก็จะสามารถใช้บริการของ Whizdom Club ได้ฟรี นอกเหนือจากกิจกรรมอื่นๆ ที่จัดต่อเนื่องตลอดทั้งปีด้วย   “เหตุผลสำคัญที่เปิดพื้นที่ Whizdom Club ก็เพื่อสร้างความชัดเจนของแบรนด์ และยังต้องการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ การทำคอนโดฯ ให้กับคนรุ่นใหม่ หากทำแบบเดิมก็ไม่ตอบโจทย์"      
อิโตชู ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ MQDC พัฒนาวิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท

อิโตชู ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ MQDC พัฒนาวิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท

นับเป็นการลงทุนครั้งแรกในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในรอบกว่า 20 ปี ของอิโตชู (ITOCHU) บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นที่ตัดสินใจร่วมลงทุนในโครงการวิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท คอนโดมิเนียมระดับคุณภาพจาก MQDC ถือเป็นเครื่องยืนยันว่าอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพได้รับความสนใจจากตลาดโลก   MQDC ลงนามร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับอิโตชู (ITOCHU) จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาโครงการวิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท คอนโดมิเนียมสูง 39 ชั้น วิวสวนป่าเบญจกิติ มูลค่าโครงการกว่า 9.5 พันล้านบาท โดยอิโตชู (ITOCHU) ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทรดดิ้งตัดสินใจร่วมลงทุนถือหุ้นในสัดส่วน 38% นับเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยครั้งแรกในรอบ 20 ปี   การร่วมมือในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าทั้งโครงการที่พักอาศัยและจังหวัดกรุงเทพมหานครกำลังได้รับความสนใจจากตลาดโลก กล่าวโดย คุณอัษฎา แก้วเขียว ประธานผู้อำนวยการแบรนด์วิสซ์ดอม บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับสากล “ความร่วมมือทางธุรกิจในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าโครงการวิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท คือสินทรัพย์ที่มีค่าทั้งต่อผู้พักอาศัยและนักลงทุนทั่วโลก อีกทั้งยังทำให้อิโตชู (ITOCHU) หวนกลับมาลงสนามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทยในรอบ 20 ปี ด้วยสุดยอดทำเลที่ตั้ง การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และคุณภาพระดับพรีเมี่ยม” คุณอัษฎากล่าว   “ข้อตกลงนี้ยังแสดงให้เห็นว่าท่ามกลางแนวโน้มของตลาดที่ยังคงลอยตัวต่อโครงการที่พักอาศัยที่ต้องการนำเสนอความเป็นเอกลักษณ์อย่างแท้จริง เช่นวิวทิวทัศน์ที่น่าทึ่งของสวนป่าขนาด 450 ไร่ แต่กรุงเทพมหานครคือสถานที่สำหรับการใช้ชีวิตและเหมาะสมในการลงทุน และเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับอิโตชู (ITOCHU) ซึ่งเป็นบริษัทที่ติดลำดับต้น ๆ ของการจัดอันดับ 500 บริษัทจาก Fortune”   พิธีลงนามความร่วมมือทางธุรกิจนี้ได้จัดขึ้น ณ โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ ซึ่งตั้งอยู่ที่โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด หรือ MRB โดยมีคุณทิพพาภรณ์ อริยวรารมย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทดีทีจีโอคอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ MQDC พร้อมด้วย คุณรัช ตันตนันตา ประธานผู้อำนวยการ บริษัทดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด คุณวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MQDC และคุณอัษฎา แก้วเขียว ประธานผู้อำนวยการ แบรนด์วิสซ์ดอม จาก MQDC เป็นตัวแทนเข้าร่วมงาน   มร. มาซาโตชิ มากิ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ ฝ่ายก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์และโลจิสติกส์ บริษัทอิโตชู (ITOCHU) เป็นตัวแทนลงนามร่วมด้วยมร. โทโมฟุมิ โยชิดะ ประธานกรรมการบริหาร ธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อการอยู่อาศัย และ อสังหาริมทรัพย์ บริษัทอิโตชู (ITOCHU) และ มร. ยูจิ ฟุคุดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทอิโตชู สิงคโปร์ (ITOCHU Singapore Pte Ltd)   MQDC และ อิโตชู มีพันธกิจร่วมกันนั้นคือเรื่องคุณภาพและความยั่งยืน คุณวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ กล่าว “พันธกิจหลักของ MQDC คือ For all well-being ซึ่งแปลว่าเรามุ่งมั่นที่จะสร้างความเป็นอยู่ที่ดีไม่เพียงแค่ผู้อยู่อาศัยในโครงการเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงชุมชน สภาพแวดล้อม และทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ โดยผ่านการดำเนินงานตามแนวคิดนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน” “พันธกิจนี้สอดคล้องกับทางอิโตชู (ITOCHU) ที่ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่ง MQDC เรามุ่งมั่นที่จะร่วมงานกับหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่และได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก ความร่วมมือครั้งสำคัญนี้ไม่เพียงแค่เกิดผลดีต่อ MQDC เท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นว่าทั่วโลกให้ความสนใจธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกรุงเทพฯ อย่างต่อเนื่องอีกด้วย”   อิโตชู (ITOCHU) กำลังมองหาพันธมิตรทางธุรกิจที่ “แข็งแกร่งและยั่งยืน” ซึ่งขยายความไปถึง “ธุรกิจทางนวัตกรรม” ด้วย มร. มากิ กล่าว “นี่เป็นทำเลที่ดีที่สุดด้วยวิวที่หันหน้าสู่สวนเบญจกิติ และเรากำลังมองหาโอกาสในการลงทุนในย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ” มร.มากิกล่าว “อิโตชู (ITOCHU) ร่วมพัฒนาโครงการวิสซ์ดอม อโศก-สุขุมวิท ซึ่งถือได้ว่าเป็นพันธมิตรที่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนได้ และ MQDC คือพันธมิตรที่มีศักยภาพที่ยอดเยี่ยมในการขยายธุรกิจทางด้านนวัตกรรม”      
The Forestias by MQDC ผนึก “GMM Grammy” ลุย Music Platform

The Forestias by MQDC ผนึก “GMM Grammy” ลุย Music Platform

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ผู้ดำเนินกิจการพัฒนา ลงทุน และจัดการอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพ โดย คุณกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส โครงการ THE FORESTIAS  by MQDC–เดอะ ฟอเรสเทียส์ บาย เอ็มคิวดีซี โครงการอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่มุ่งมั่นนำเสนอโมเดลการใช้ชีวิตที่เข้ากับระบบนิเวศอันสมดุลเพื่อความสุขที่ยั่งยืนของทุกชีวิต  กล่าวว่า “ตามที่บริษัทฯ ได้วางแผนเพื่อดำเนินกลยุทธ์การตลาดควบคู่กับการสื่อสารประชาสัมพันธ์ “โครงการ THE FORESTIAS by MQDC – เดอะ ฟอเรสเทียส์ บาย เอ็มคิวดีซี” โดยนำเสนอเรื่องราวความสุขที่จะเกิดขึ้นในโครงการฯ ด้วยมุมมองใหม่ๆ ภายใต้คอนเซ็ปต์หลัก “Imagine Happiness” ล่าสุดเพิ่มกลยุทธ์ลุย Music Platform สร้างการรับรู้แบบวงกว้างโดยเฉพาะเรื่องความสุข ธรรมชาติ และครอบครัว โดยได้ร่วมงานเป็นครั้งแรกกับ “อะตอม ชนกันต์” นักร้องนักแต่งเพลงสุดฮอตแห่งค่ายไวท์มิวสิค (White Music) ในเครือจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ (GMM Grammy) สร้างปรากฎการณ์ความสุขผ่านเสียงเพลง ที่เริ่มต้นการแต่งเพลงด้วยนิยามความคิด “ความสุขที่แท้จริงของคุณคืออะไร” แล้วค้นหาจนได้คำตอบที่ว่า “ความสุขที่แท้จริงของเรา คงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายๆ ที่เราจะค้นหาคำตอบที่ดีที่สุด ตรงใจทุกคนที่สุด เพราะความสุขของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน มีความแตกต่าง และไม่เท่ากัน แต่มีอย่างหนึ่งที่แน่นอน นั้นคือ “ความสุข” ต้องส่งผลให้กับตัวเราเองทั้งร่างกาย จิตใจ ส่งผลต่อคนรอบข้าง และส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา เพราะนี่คือพื้นฐานของนิยาม ความสุขที่ยั่งยืน”  จนเป็นที่มาของเพลง “Feel Like Home” ซึ่งมีความสอดคล้องกับความคิดในการสร้างสรรค์โครงการ THE FORESTIAS by MQDC   ซึ่งเพลง “Feel Like Home” ได้ร่วมงานแบบเอ็กซ์คลูซีฟกับแขกพิเศษมาร่วมฟีเจอริ่งให้เส้นเสียงหนาๆ ทุ้มๆ อย่าง บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ ซึ่งนับเป็นครั้งที่สองในการร่วมกันสร้างสรรค์ผลงาน รวมทั้งได้เชิญ กวิน อินทวงษ์ โปรดิวเซอร์ฝีมือดี มาร่วมเรียบเรียงและถ่ายทอดเนื้อหาของเพลงผ่านดนตรีเป็นสไตล์ป็อป (Pop) แต่มีกลิ่นอายของโซล (Seoul) ที่สื่อถึงความอบอุ่นของเนื้อหา และเสียงใสๆ ของเมโลดี้กีตาร์ที่เข้ามาเป็นเส้นเสียงหลักของเพลงนี้ ในด้านของเนื้อหาเพลงได้โฟกัสถึงเรื่องราวของคนๆ หนึ่งที่ชีวิตนี้โชคดีได้พบกับความรักเข้ามาเติมเต็มทุกช่วงชีวิต เป็นความรักที่แสนอบอุ่น เปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้ใหญ่ที่กว่าจะเติบโต ต้องผ่านแดดร้อน ลมและฝนมากี่ฤดูกาล ซึ่งความรักที่เติบโตขึ้นเหล่านี้ เปรียบเสมือนว่าเป็นบ้านหลังใหญ่ที่รายล้อมด้วยครอบครัวขนาดใหญ่ตั้งแต่ปูทวดไปจนถึงหลานหรือเหลน ทำให้ทุกพื้นที่แห่งนี้เป็นดั่งสวรรค์ของทุกคนที่มีความรัก เป็นพื้นที่ความสุขที่แท้จริง “You’re the one that makes me Feel Like Home”   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้สร้างสรรค์มุมมองความสุขผ่าน VDO story โดยได้ คุณดล ผดุงวิเชียร ผู้กำกับมากฝีมือที่เคยฝากผลงานมิวสิควิดีโอมากมาย อาทิ เพลง ชักดิ้น ชักงอ ศิลปิน พลอยชมพู / เพลง นิรันดร์ ศิลปิน บอดี้สแลม Feat. ปาล์มมี่ นอกจากนี้ ยังได้รับรางวัล Bad Award Thailand เพลง จริงใจไว้ก่อน ศิลปิน ใหม่ เจริญปุระ / MTV Asia Award เพลงจริงไม่กลัว ศิลปิน คริสติน่า อากีเลร่า และเพลง เสียใจได้ยินไหม ศิลปิน ใหม่ เจริญปุระ / Channel V Thailand Award เพลง Too Much So Much Very Much ศิลปิน เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ เป็นต้น มาร่วมกำกับและควบคุมการดำเนินเนื้อเรื่อง ซึ่งแบ่งเป็น 4 เรื่องราว ที่ถ่ายทอดในแต่ละมุมมองของสมาชิกในครอบครัว ตั้งแต่คุณทวดจนมาถึงรุ่นหลาน มาขยายออกมาให้น่าสนใจในรูปแบบใหม่ สอดคล้องกับเรื่องราวในมิวสิค วิดีโอ (Music VDO) ทุกตัวละครและเรื่องราวจะต้องเผชิญปัญหาและอุปสรรคในจังหวะชีวิตของแต่ละคน ซึ่งทุกครอบครัวมักจะต้องเคยเจอปัญหาเหล่านี้อยู่แล้ว ในเนื้อเรื่องจะค่อยๆ คลายให้เห็นว่าทุกปัญหาสามารถแก้ไขได้ ด้วยความรัก ความผูกพัน และความเข้าใจของสมาชิกในครอบครัวทุกคน โดยทุกเรื่องราวแวดล้อมด้วยความสัมพันธ์ของครอบครัว ที่อยู่ร่วมกันท่ามกลาง คน สัตว์ และธรรมชาติ จนเกิดเป็นวงจรความสุขที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน โดยได้ใช้งบกว่า 20 ล้านบาท วางแผนการสื่อสารประชาสัมพันธ์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย เพราะเราเชื่อว่า “ความสุขที่เกิดจากการได้ฟังเพลง เป็นความสุขบริสุทธิ์เต็มเปี่ยมด้วยพลังบวก และเติมเต็มช่องว่างความสุขในใจคนได้อย่างรวดเร็ว” โดยได้ร่วมกับจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ (GMM Grammy) โปรโมทเพลงและมิวสิควิดีโอใหม่ “Feel Like Home” ผ่านรายการโทรทัศน์ในเครือจีเอ็มเอ็ม อาทิ ช่อง ONE และช่อง GMM25  สปอตวิทยุและดีเจแนะนำ Green Wave FM 106.5 MHz., Chill FM 89.0 MHz. และ EFM FM 94.0 MHz. แอฟพลิเคชั่น AtimeOnline มิวสิคเพจชั้นนำ และ YouTube GMM official และ White Music เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดการรับรู้เกี่ยวกับเนื้อหาของความสุขที่ส่งผ่านบทเพลง ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” มากกว่า 10 ล้านครั้ง   รับชมมิวสิควิดีโอ MV เพลง “Feel Like Home” ได้ที่ Facebook fanpage/theforestias และ YouTube GMM official ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2562 เป็นต้นไป   สามารถติดตามข่าวสารและรายละเอียดเพิ่มเติม โครงการ THE FORESTIAS by MQDC – เดอะ ฟอเรสเทียส์ บาย เอ็มคิวดีซี ได้ที่ Website: www.theforestias.com Facebook: https://www.facebook.com/theforestias/ Instagram: https://www.instagram.com/theforestias/?hl=th Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCTEWOryir01jleAEbyQUZSA/featured        
THE FORESTIAS by MQDC ชูจุดเด่น ‘Imagine Happiness’ ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท จุดประกายมุมมองความสุขใกล้ตัว

THE FORESTIAS by MQDC ชูจุดเด่น ‘Imagine Happiness’ ทุ่มงบกว่า 100 ล้านบาท จุดประกายมุมมองความสุขใกล้ตัว

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ผู้ดำเนินกิจการพัฒนา ลงทุน และจัดการอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพ โครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ โครงการอสังหาริมทรัพย์รายแรกที่มุ่งมั่นนำเสนอโมเดลการใช้ชีวิตที่เข้ากับระบบนิเวศอันสมดุลเพื่อความสุขที่ยั่งยืนของทุกชีวิต ประเดิมสร้างการรับรู้ด้วยคอนเซ็ปต์หลัก “Imagine Happiness” ผนึกเอเจนซี่ ค่ายเพลง ศิลปิน และอาร์ทติสชั้นนำของประเทศไทย สะท้อนมุมมองความสุขในรูปแบบต่างๆ ล่าสุดส่งภาพยนตร์โฆษณาชุดแรก ‘The Land of Happiness’ ถ่ายทอดความสุขด้วยมุมมองที่หลากหลายจากจินตนาการของคนทุกวัยสู่ความเป็นหนึ่งเดียว บนพื้นที่ความสุขท่ามกลางระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิตแห่งอนาคต พร้อมทุ่มงบลงทุนกว่า 100 ล้านบาท สร้างช่องทางการสื่อสารแบบ Cross segmentationsเจาะกลุ่มคนกรุงเทพฯ และเออเบิร์น ก่อนเดินเกมระลอกที่สองโปรโมทโครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ ทั่วเอเชีย   คุณกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส โครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า“หลังจากที่เปิดโครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ เมืองแห่งความสุขที่ยั่งยืน สู่สาธารณะแล้วนั้น ทางบริษัทฯ ได้ตอกย้ำความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลกเพิ่มขึ้นอีกหลากหลายสถาบันฯ ได้ดำเนินงานวิจัยในด้านสุขภาวะและความสุขของผู้อยู่อาศัยโดยนักวิจัยจาก Center for climate, health, and the global environment based at the Harvard T.H. Chan School of Public Health และ ITEC ENTERTIANMENT เพื่อดีไซน์ความสุขรูปแบบต่างๆ ด้วยการต่อยอดความคิด ข้อดีและจุดเด่นของผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน อาทิ ธรรมชาติวิทยา นิเวศวิทยา ธรณีวิทยา สถาปัตยกรรม เอ็นเตอร์เทนเม้นต์ วิศวกรรมโยธา นักประดิษฐ์ นักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยสาขาต่างๆ เพื่อนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อการใช้ชีวิตที่ส่งผลดีต่อทุกการดำเนินชีวิตในโลก ภายใต้คำมั่นสัญญาของ MQDC หรือ ‘for all well-being’ ซึ่งเราเชื่อว่า “นวัตกรรมจะไม่ใช่แค่เพื่อคุณภาพชีวิตดี แต่ต้องส่งเสริมให้มนุษย์ดูแลรักษาธรรมชาติและเกิดความยั่งยืนในการพัฒนาและการใช้ชีวิต” ปัจจุบัน โครงการได้ดำเนินการเตรียมพื้นที่สำหรับการก่อสร้างฐานรากของโครงการเสร็จสิ้น พร้อมร่วมมือกับชุมนุมบริเวณใกล้เคียงเริ่มปลูกป่าสาธารณะ “Forest at THE FORESTIAS – ฟอเรส แอท เดอะ ฟอเรสเทียส์” จำนวน 38,000 ต้น บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ หรือ 48,000 ตารางเมตร รวมทั้งดำเนินการก่อสร้าง Forest Pavilion ขนาดพื้นที่ 6,000 ตารางเมตร นับเป็นพาวิเลี่ยนที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา และใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเพื่อนำเสนอองค์ประกอบภายในของโครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ รวมทั้งโปรเจ็กต์อสังหาริมทรัพย์ระดับเอ็กซ์คลูซีฟทั้ง 3 โครงการ เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาสัมผัสประสบการณ์และผู้ที่มีความสนใจได้รับชมและเข้าใจคอนเซ็ปต์ของโครงการอย่างลึกซึ้ง คุณวัสนัย ภคพงศ์พันธุ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร โครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) สำหรับด้านกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดนั้น ได้เตรียมเผยภาพลักษณ์ด้านต่างๆ ของโครงการออกมาให้ทั้งลูกค้า พาร์ทเนอร์ นักลงทุน ได้เห็นถึงศักยภาพ ประสิทธิภาพ และความสมบูรณ์พร้อมของโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบ Mixed-Use Lifestyle โมเดลแรกของโลก ที่นำเสนอนิยามความสุขที่แท้จริงให้กับคนทั่วโลกได้สัมผัสและรับรู้ถึงส่วนต่างๆ ของโครงการ ภายใต้คอนเซ็ปต์หลัก“Imagine Happiness” ซึ่งวางแผนแบ่งระยะการสื่อสารออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 การสร้างการสื่อสารเกี่ยวกับคอนเซ็ปต์และรูปแบบของความสุขในด้านต่างๆ ที่สะท้อนจากมุมมองของกลุ่มเป้าหมายในแต่ละช่วงวัย และช่วงที่ 2 นำเสนอองค์ประกอบทุกส่วนของโครงการและเอ็กซ์คลูซีฟโปรเจ็คที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย สำหรับการสื่อสารได้ใช้งบประมาณกว่า 100 ล้านบาท โดยร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ อาทิ เอเจนซี่โฆษณา สื่อรูปแบบต่างๆ ค่ายเพลง ศิลปิน และอาร์ทติสชั้นนำของประเทศไทย ร่วมสร้างสรรค์การสื่อสารประชาสัมพันธ์แบบ Cross segmentation เจาะกลุ่มคนกรุงเทพฯ และเออเบิร์น เพื่อตอบโจทย์ความสุขและความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่มที่มีความหลากหลายต่างกัน โดยสร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณาชุดแรก ‘The Land of Happiness’ ที่ถ่ายทอดความสุขผ่านมุมมองและจินตนาการของคนแต่ละกลุ่ม ทั้งเด็ก คนทำงาน ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ ที่อาศัยอยู่เป็นครอบครัวเดี่ยว และครอบครัวขยาย เป็นเรื่องราวความสุขในมุมมองที่ตัวเองชื่นชอบในรายละเอียดที่แตกต่างกัน อาทิ วัยเด็ก สะท้อนมุมมองความสุขที่ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการใช้ชีวิตร่วมกับสัตว์นานาพันธุ์ท่ามกลางผืนป่าและธรรมชาติ วัยทำงานและวัยผู้ใหญ่ การมองหาพื้นที่ที่เริ่มต้นชีวิตครอบครัวบนพื้นฐานความปลอดภัย ความสะดวกสบาย มีเวลาได้พบปะเพื่อนฝูง ได้ร่วมทำกิจกรรมบนคอมมิวนิตี้แห่งความสุขกับกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์คล้ายๆ กัน และ ผู้สูงอายุ กับความสุขในการใช้ชีวิตร่วมกับลูกหลานและครอบครัวใหญ่ที่ทุกบ้านสามารถเชื่อมโยงพื้นที่ความสุขของทุกคนในครอบครัวใหญ่เข้าไว้ด้วยกัน ร่วมแบ่งปันเรื่องราวและเวลาให้กันและกัน ซึ่งทุกความสุขเหล่านั้นแวดล้อมไปด้วยสัตว์ ต้นไม้ ธรรมชาติ และระบบนิเวศอันสมบูรณ์ ก่อนที่บทสรุปในทุกจินตนาการจะเผยความจริงว่า ความสุขเหล่านั้นจะเป็นจริงในโครงการ THE FORESTIAS by MQDC พื้นที่ที่ตอบโจทย์ทุกความสุขการใช้ชีวิตบนระบบนิเวศขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อชีวิตแห่งอนาคต ซึ่งภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ได้วางแผนการสื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งออนไลน์และออฟไลฟ์ อาทิ สื่อทีวี สื่อหนังสือพิมพ์ สื่อ OOH สื่อ Transits สื่อ Social Media และ Influencers ในสาขาต่างๆที่จะมาช่วยเพิ่มการรับรู้ในแคมเปญการตลาดใหม่นี้ นอกจากนี้ โครงการฯ ยังได้วางแผนสร้างปรากฎการณ์การสื่อสารในรูปแบบต่างๆ เพื่อนำเสนอเรื่องราวความสุขที่จะเกิดขึ้นในโครงการด้วยมุมมองใหม่ๆ โดยได้ร่วมมือกับค่ายเพลง ศิลปินเพลง และอาร์ทติสระดับแนวหน้าของเมืองไทยเพื่อสร้างปรากฎการณ์ความสุขผ่านเสียงเพลงและงานศิลปะ เตรียมปล่อยเอ็กซ์คลูซีฟซิงเกิ้ลและมิวสิควิดีโอ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของการฟีลเจอร์ริ่งกันของ 2 ศิลปินเพลงชั้นแนวหน้า พร้อมด้วยอีกหนึ่งมิติกับความร่วมมือของ 3 อาร์ทติสชั้นนำ ร่วมเนรมิตผลงานศิลปะแห่งความสุขผ่านการ์ตูนคาแร็กเตอร์อันโดดเด่นที่จะมาโลดแล่นบนกำแพง (Site Hoarding)ขนาดใหญ่ของโครงการ THE FORESTIAS by MQDC นับเป็นการเปลี่ยนสถานที่ที่ไม่มีใครนึกถึงให้เป็นผลงานศิลปะขนาดยักษ์ และสร้างสีสันให้กับบริเวณพื้นที่โครงการฯ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้เตรียมวางแผนกลยุทธ์การตลาดและการสื่อสารประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ ไปยังกลุ่มชาวต่างชาติทั่วเอเชียอีกด้วย” นายวัสนัยกล่าวสรุป      
MQDC x THE FORESTIAS ช่วยชีวิตต้นไม้กว่า 500 ต้น สร้างกำแพงธรรมชาติดักฝุ่น PM 2.5

MQDC x THE FORESTIAS ช่วยชีวิตต้นไม้กว่า 500 ต้น สร้างกำแพงธรรมชาติดักฝุ่น PM 2.5

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ผู้ดำเนินกิจการพัฒนา ลงทุน และจัดการอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพ โครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ สรุปความสำเร็จแคมเปญ “Forest Rescue – ฟอเรส เรสคิว” ปฏิบัติการกู้ชีพต้นไม้รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติมากกว่า 10 ล้านคน โดยลงพื้นที่ช่วยต้นไม้ขนาดใหญ่ได้กว่า 500 ต้น พร้อมย้ายสู่บ้านหลังใหม่ภายในโครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ บนพื้นที่ที่จัดสรรให้ 3 ไร่ หรือ  4,800 ตารางเมตร ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในกำแพงธรรมชาติที่สามารถดักฝุ่น PM 2.5 มากถึง 700 กิโลกรัมต่อปี   นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า “ที่ผ่านมา โปรเจกต์แฟลกชิพ “THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” ซึ่งเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์โครงการแรกที่มุ่งมั่นนำเสนอโมเดลการใช้ชีวิตที่เข้ากับระบบนิเวศอันสมดุลเพื่อความสุขที่ยั่งยืน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” ความสุขในการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติระบบนิเวศขนาดใหญ่ นำเสนอแคมเปญ“Forest Rescue – ฟอเรส เรสคิว” ปฏิบัติการกู้ชีพต้นไม้รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติและต้นไม้ใหญ่ในเมือง ควบคู่กับการจัดตั้งทีมปฏิบัติการ หรือ Forest Rescue Team กระจายตัวลงพื้นที่เพื่อสำรวจ บำบัด และให้ความช่วยเหลือในการขนย้ายต้นไม้จากแหล่งพื้นที่เดิมที่ไม่เหมาะสมไปยังบ้านหลังใหม่ที่มีระบบนิเวศขนาดใหญ่ ภายในโครงการ THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์ บนพื้นที่ที่จัดสรรในการรองรับประมาณ 3 ไร่ หรือ 4,800 ตารางเมตร”   ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้สร้างการรับรู้และตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของธรรมชาติให้กับกลุ่มเป้าหมายทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้มากกว่า 10 ล้านคน ปัจจุบัน ทีมงานได้วิเคราะห์และประเมินข้อมูลของต้นไม้ที่ถูกนำเสนอเรื่องราวความช่วยเหลือกว่า 500 ต้น สำหรับต้นไม้ที่ได้ให้การช่วยเหลือ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่มีอายุเฉลี่ย 5-10 ปีขึ้นไป อาทิ ต้นจามจุรี ต้นก้ามปู ต้นพญาสัตบรรณ ต้นหูกระจง ต้นมะขาม ต้นมะม่วง เป็นต้น ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ให้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อมนุษย์และสัตว์ มีคุณสมบัติในการดูดซับก๊าซที่เป็นพิษต่อร่างกายและสิ่งแวดล้อม เช่น ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ เป็นต้น พร้อมทั้งสามารถสร้างก๊าซออกซิเจนกลับคืนได้ถึง100 – 125 ล้านลิตรต่อปี (ค่าเฉลี่ยต้นไม้ 1 ต้น สามารถผลิตก๊าซออกซิเจนได้ 200,000 – 250,000 ลิตรต่อปี) เท่ากับรองรับความต้องการก๊าซออกซิเจนของมนุษย์ได้ถึง 1,000 คนต่อปี หรือดักจับอนุภาคฝุ่นละออง ควัน และไอพิษต่างๆ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพได้ถึง 700 กิโลกรัมต่อปี (ค่าเฉลี่ยต้นไม้ 1 ต้น ดักจับอนุภาคฝุ่นได้ 1.4 กิโลกรัมต่อปี) สอดคล้องกับงานวิจัยโดยหน่วยงานอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า “บริเวณพื้นที่ต้นไม้ใหญ่ที่ทีมวิจัยออกสำรวจพบว่าอนุภาคฝุ่นละอองลดลงประมาณ 7 – 24% และบริเวณนั้นมีอุณหภูมิเฉลี่ยลดลง เป็นผลมาจากการคายน้ำของต้นไม้แสดงให้เห็นว่าต้นไม้สามารถช่วยแก้ปัญหาหมอกควันในเมืองได้จริง” นอกจากนี้ ในเมื่อปี ค.ศ. 2017 ยังมีรายงานที่เผยแพร่ลงในวารสาร Atmospheric Environment ชี้ว่า “ต้นไม้ใหญ่ช่วยดูดซับมลพิษแค่ในพื้นที่เปิดโล่ง แต่สำหรับในเมือง “พุ่มไม้” เหมาะที่สุดในการดักจับฝุ่นควันที่ส่วนใหญ่แล้วมาจากท่อไอเสียรถยนต์ เนื่องจากบางครั้งต้นไม้ใหญ่ก็สูงเกินไปที่จะจัดการกับมลพิษบนท้องถนน”   ทั้งนี้ ต้นไม้ทุกต้นจะได้รับการดูแลจนกลับมาเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แข็งแรง พร้อมเป็นต้นไม้พี่เลี้ยงให้กับต้นกล้าที่โครงการปลูกด้วยเมล็ด รวมทั้งสิ้นมากกว่า 30,000ต้น ภายใต้ทฤษฎีการปลูกป่าเชิงนิเวศแบบยั่งยืน หรือ Eco-Forest ทำให้เกิดระบบนิเวศที่หลากหลายครอบคลุมพื้นที่ของผืนป่าสาธารณะ “Forest at THE FORESTIAS – ฟอเรส แอท เดอะ ฟอเรสเทียส์” จำนวนทั้งสิ้น 30 ไร่ หรือ 48,000 ตารางเมตร โดยเมื่อโครงการเสร็จสิ้นแล้วจะเปิดบางส่วนเป็นพื้นที่สาธารณะเพื่อให้ประชาชนเข้าชม พักผ่อน หรือศึกษาระบบนิเวศธรรมชาติโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มปริมาณก๊าซอ๊อกซิเจนในอากาศได้สูงถึง6,000 – 7,500 ล้านลิตรต่อปี ดักจับฝุ่นได้มากถึง 420,000 กิโลกรัมต่อปี และทำให้อุณหภูมิในบริเวณพื้นที่มีอุณหภูมิลดลงประมาณ 2-4 องศาเซลเซียส      
MQDC สร้างปรากฎการณ์ต่อเนื่อง “Beautiful Bangkok 2019” บนตึกแมกโนเลียส์ ตอกย้ำกรุงเทพฯขึ้นมหานครชั้นนำระดับโลก หนุนยอดขายทะลุ 80% ปลุกกระแสนักลงทุน-ชาวต่างชาติสนใจโครงการฯ

MQDC สร้างปรากฎการณ์ต่อเนื่อง “Beautiful Bangkok 2019” บนตึกแมกโนเลียส์ ตอกย้ำกรุงเทพฯขึ้นมหานครชั้นนำระดับโลก หนุนยอดขายทะลุ 80% ปลุกกระแสนักลงทุน-ชาวต่างชาติสนใจโครงการฯ

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (MQDC) หนึ่งในผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย สร้างปรากฎการณ์แห่งสีสันสุดอลังการ ตื่นตาตื่นใจให้ย่านราชประสงค์อีกครั้ง ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยจัดกิจกรรม “Beautiful Bangkok 2019 : The Symphony of Happiness” บนตึกสูง 60 ชั้น โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ ผสานเทคโนโลยี ผลงาน 7 ศิลปินไทยชั้นนำ เพื่อมอบความสุขให้กับคนไทยและนักท่องเที่ยว ต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ 2019  ระหว่างวันที่ 18-31 ธ.ค.นี้ คาดมีคนมาชมงานเพิ่มจากปีที่แล้ว 50% จากวันปกติ 600,000 คน/วัน เป็น 900,000 คน/วัน เผยงานปีก่อน เสริมภาพลักษณ์หนุนขายโครงการฯ ทะลุ 80% เหลือเพียง 20% เท่านั้น เชื่อมั่นขายหมดภายในปี 2019 ภูมิใจเตรียมส่งมอบ 2 โครงการหรูระดับโลกบนทำเลทองริมเจ้าพระยาเสริมความแข็งแรงให้แลนด์มาร์กแห่งใหม่ไอคอนสยาม   ภายในงานแถลงข่าววันนี้ ซึ่งจัดขึ้น ที่ชั้น 4 โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ได้รับเกียรติจาก วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (MQDC) พร้อมด้วย ศศินันท์ ออลแมนด์ ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยมี ณัฎฐพร ชีวมงคล ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA) ร่วมด้วย 7 ศิลปินไทยชั้นนำของไทยที่ผลงานเป็นที่รู้จักในระดับอินเตอร์เนชั่นแนล ได้แก่ P7, MUEBON, PAI LACTOBACILLUS, TIKKYWOW, KEEP YOUR EYES ON team, TRK and BONUS TMC ตลอดจนผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชนร่วมงานจำนวนมาก วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า นับเป็นปีที่ 2 แล้ว ที่ MQDC ได้สร้างความฮือฮา โดยจัดกิจกรรม “Beautiful Bangkok” การแสดง แสง สี เสียง  ด้วยเทคนิคพิเศษสุดตระการตา บนตึกสูง 60 ชั้น ณ โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เพื่อสร้างสีสันความสุข ความตื่นตาตื่นใจให้กับคนไทย และนักท่องเที่ยว ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ซึ่งในปีที่แล้วเราได้จัดกิจกรรม “Beautiful Bangkok by Magnolias @Ratchaprasong” (บิวตี้ฟูล แบงค็อก บาย แมกโนเลียส์ แอท ราชประสงค์) ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง สามารถช่วยดึงดูดผู้คนมาเดิน มาเที่ยวชมไฟในย่านราชประสงค์เพิ่มขึ้น   “ในฐานะสมาชิกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ ย่านธุรกิจที่เป็นดั่งหัวใจสำคัญของเมืองไทย และแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วโลก เราเชื่อมั่นว่าด้วยความพร้อมของ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) และโครงการ “แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด” เมื่อได้ร่วมผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกับทางสมาคมฯ เราจะสามารถเข้ามาเติมเต็มทัศนียภาพของ ย่านราชประสงค์-ย่านราชดำริ” “ปีนี้ MQDC พร้อมจะตอกย้ำการเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมฯ โดยสร้างปรากฏการณ์ และสร้างความประทับใจอีกครั้ง ด้วยการสร้างสีสันความสุข และความสมบูรณ์แบบให้ย่านราชประสงค์ โดยจับมือ สมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA) จัดกิจกรรม Beautiful Bangkok 2019 “The Symphony of Happiness” การแสดง แสง สี เสียง ด้วยเทคนิคพิเศษสุดตระการตา บนตึกสูง 60 ชั้น เพื่อต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ 2019 โดยมีจุดประสงค์ที่สำคัญ คือ เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลด้านส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ และส่งเสริมภาพลักษณ์กรุงเทพมหานคร ในฐานะมหานครแห่งการท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก”   วิสิษฐ์ เผยด้วยว่า เราได้จัดสรรงบประมาณไว้ 100 ล้านบาท สำหรับการจัดงานนี้ขึ้น ภายใต้แนวคิด Beautiful Bangkok “The Symphony of Happiness” ถ่ายทอดความคิดสร้างสรรค์ผสานเทคโนโลยี นำเสนอศิลปะอันวิจิตร เปี่ยมสีสัน และชีวิตชีวา ซึ่งเป็นผลงานสร้างสรรค์โดย 7 ศิลปินชั้นนำของไทยที่ผลงานเป็นที่รู้จักในระดับอินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมาเที่ยวชม โดยเราจะใช้ Façade (ฟาซาด) ซึ่งเป็นจุดเด่นส่วนหนึ่งของโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) มาใช้เป็นพื้นที่ในการฉายไฟเข้าไปที่ตึกด้วยเทคโนโลยีระดับสูง เพื่อสะท้อนความสวยงามของกรุงเทพฯ ให้ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วโลกอีกครั้ง เพื่อมอบให้เป็นของขวัญแก่คนกรุงเทพฯ เพื่อสร้างรอยยิ้ม ความสุขและความภาคภูมิใจ เราเชื่อว่างานครั้งนี้จะสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ในช่วงเทศกาลแห่งความสุข ปรากฏการณ์แห่งความตื่นตาตื่นใจนี้ มีกำหนดการแสดง เริ่มตั้งแต่วันอังคารที่ 18 ถึง 31 ธ.ค. 61 โดยวันที่ 18 ธ.ค. 61 จะมี 7 รอบ ในเวลา 19.20/ 19.40/ 20.00/ 20.20/ 20.40/ 21.00 และ 21.20 น. วันที่ 19 – 30 ธ.ค. 61 มี 7 รอบเช่นกัน ในเวลา 19.00/ 19.20/ 19.40/ 20.00/ 20.20/ 20.40 และ 21.00 น. ส่วนวันที่ 31 ธ.ค. 61 เพิ่มรอบส่งท้ายปีเก่า อีก 1 รอบ ในเวลา 23.55 น. วิสิษฐ์ ยังเผยด้วยว่า การร่วมมือกับสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการจัดงานครั้งนี้ MQDC เชื่อว่าจะช่วยหนุนเสริมการพัฒนาย่านราชประสงค์ให้เติบโตสู่ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจระดับโลกต่อไป และเราคาดหวังว่าการแสดง แสง สี เสียง ในปีนี้ จะสามารถดึงดูดผู้คนมาเดินเที่ยวมาชมไฟในย่านราชประสงค์ในเดือนธันวาคมเพิ่มมากขึ้น 50% จากปกติมีคนเดินประมาณ 600,000 คน/วัน เพิ่มขึ้นเป็น 900,000 คน/วัน   “จากการจัด Beautiful Bangkok เมื่อปีที่ผ่านมา มีผู้ให้ความสนใจโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ ส่งผลให้ปัจจุบันโครงการฯ เหลือจำนวนห้องชุดอีกเพียง 20% เท่านั้น ด้วยเหตุปัจจัยที่ตั้งโครงการเป็นทำเลทองผนวกกับความเป็นลักชัวรี่มิกซ์ยูส ซึ่งสามารถตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมี่ยม ทำให้โครงการมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทั้งในแง่การเป็นเจ้าของห้องชุดเพื่อการลงทุน หรือเพื่อการอยู่อาศัยเอง โดยขณะนี้ โครงการของเรามี Rental Yield อยู่ที่ 5-7% ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่สูง เมื่อเทียบกับโครงการอื่นๆ ในย่านเดียวกัน” “จึงอยากเชิญชวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ได้จัดเวลามาชมงานครั้งนี้ ที่ทีมงานของเรามีความตั้งใจและทุ่มเทในการจัดขึ้น เพื่อมอบเป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ให้กับทุกคน ที่จะได้ตื่นตาตื่นใจกับผลงานการสร้างสรรค์ศิลปะโดยศิลปินชาวไทย ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับโลก พร้อมชื่นชม และภาคภูมิใจในความเป็นไทยร่วมกัน” วิสิษฐ์ กล่าว   ด้าน ศศินันท์ ออลแมนด์ ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวเสริมด้วยว่า พร้อมกันนี้ เราอยากเชิญชวนบุคคลทั่วไปได้ร่วมสนุก และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความสมบูรณ์แบบให้กับการแสดงแสงสีเสียงครั้งนี้ โดยโพสต์ภาพความสุขพร้อมชื่อเล่นของคุณบนเฟสบุ๊ค พร้อมพิมพ์ @MQDC ตั้งค่า Public และติด #BeautifullBangkok  เพื่อฉายภาพด้วยเทคนิคเลเซอร์ขึ้นบนอาคารแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับงานสร้างสรรค์ของศิลปินไทยชื่อดัง ระหว่างวันที่ 18-31 ธันวาคมนี้ ขณะที่ ณัฎฐพร ชีวมงคล ในนามตัวแทนสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ หรือ RSTA กล่าวว่า “เรามีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สมาคมฯ ได้รับความร่วมมือ และผนึกพลังกับผู้ประกอบการในย่านนี้ ในการแสดงศักยภาพย่านราชประสงค์ ให้เป็นที่ยอมรับจากคนทั่วโลก ซึ่งโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ภายใต้การบริหารของกลุ่มแมกโนเลีย ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสมาคมฯ โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกันวางแผนพัฒนาและอนุรักษ์ พร้อมผลักดันย่านราชประสงค์สู่การเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของประเทศ”   ณัฎฐพร กล่าวต่อไปว่า ด้วยความพร้อมของ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) และโครงการ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด นับแต่ได้ร่วมผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกับสมาคมฯ ก็ได้เข้ามาช่วยเติมเต็มทัศนียภาพอันงดงามของย่านราชประสงค์-ย่านราชดำริ และเป็นยังส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยตอกย้ำ ให้ที่แห่งนี้กลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ นำไปสู่ก้าวสำคัญของการพัฒนา ย่านราชประสงค์ให้เป็นเมืองแห่งอนาคต ที่รวมความเป็นที่สุดแห่งตลาดรีเทล ตลาดโฮลเซล ตลาดฮอสพิทอลลิตี้ ตลาดลักชัวรี่ เรสซิเดนส์ และตลาดไมซ์ใจกลางกรุงเทพฯ เข้าไว้ เพื่อหนุนเสริมให้ย่านราชประสงค์แข็งแรง พร้อมเป็นศูนย์กลางเวทีเศรษฐกิจระดับโลก “การจัดงาน Beautiful Bangkok 2019 “The Symphony of Happiness” การแสดง แสง สี เสียง ในครั้งนี้ ผู้มาชมงานจะได้สัมผัสความตื่นตาตื่นใจ อิ่มสุข อิ่มใจ และภาคภูมิใจ ในความเป็นไทย และเราเชื่อว่า จะสามารถดึงดูดความสนใจจากนักท่องเที่ยวจำนวนมากในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่นี้” จากนั้น พิธีกรในงาน ได้เปิดตัว 7 ศิลปินชั้นนำของไทยที่ผลงานเป็นที่รู้จักในระดับอินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งแต่ละคนล้วนการรันตีฝีมือด้วยการเดยคว้ารางวัลระดับโลกมาแล้วทั้งสิ้น โดยแต่ละทีมได้เผยความรู้สึกพร้อมเล่าถึงแรงบันดาลใจในการร่วมสร้างสรรค์ผลงานในครั้งนี้ พร้อมชวนมาชมการแสดง ที่จะต้องสร้างความประทับใจให้ผู้ชมอย่างแน่นอน โอกาสนี้ ภายในงาน วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ยังเผยถึงรายละเอียด และความสำเร็จของโครงการต่างๆ ภายใต้ MQDC ให้ทราบด้วย “โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ของเรา มีมูลค่าโครงการราว 11,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันเรามีการตอบรับดีมาก หลังจากการเปิดตัวโรงแรม Waldorf Astoria วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย เป็นโรงแรมสุดหรูระดับตำนานที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มาตั้งอยู่บนโครงการแมกโนเลียส์ฯ ซึ่งถือเป็นแห่งแรกในตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เป็นที่ต้อนรับกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่ได้มาใช้บริการและพักอาศัย   วิสิษฐ์ เผยด้วยว่า “ในด้านความสำเร็จของโครงการ MRB ที่เปิดไปแล้วนี้ ปัจจุบันได้สร้างยอดขายไปแล้ว 80 กว่า % โดยมีจำนวนห้องชุดทั้งหมด 316 ยูนิต มีสัดส่วนลูกค้าที่เป็นชาวไทย 50% และชาวต่างชาติ 50% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวฮ่องกง, สิงคโปร์และไต้หวัน ปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันยอดขายของเราให้เติบโตอย่างต่อเนื่องเป็นที่น่าพอใจ นอกจากทำเลที่เป็น Top destination ระดับต้นๆ ของเมืองไทยแล้ว ก็คือความเป็นมิกซ์ยูสที่ทันสมัย สามารถตอบสนอง ทุกความต้องการของผู้พักอาศัย รวมไปถึงความสมบูรณ์แบบด้านสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้อย่างครบครัน สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ผู้ครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน ที่มีขนาดพื้นที่ 72-106 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ ประมาณ 20 ล้านบาท หรือคิดเป็นราคาเริ่มต้นที่ 270,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งมีจำนวน 220 ยูนิต หรือจะเป็น แบบ เพ้นต์เฮ้าส์ 8 ยูนิต ซึ่งเป็น ดูเพล็กซ์ เพนท์เฮ้าส์ (250- 360 ตารางเมตร) จำนวน 6 ยูนิต และเพนท์เฮ้าส์ (290-300 ตารางเมตร) จำนวน 2 ยูนิต ซึ่งปัจจุบันโครงการขายไปแล้วเหลือเพียง 20% เท่านั้น และเรามั่นใจว่าจะปิดการขายโครงการทั้งหมดได้ในไตรมาสแรกของ ปี 2019”          
MQDC เปิดตัวไฮไลท์ทำเลเด่นที่สุดใจกลาง CBD “วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท” สุดยอดทำเลหายากกลางอโศก ในคอนเซ็ปต์ “Own the rare” วิวสวนป่าเบญจกิติ

MQDC เปิดตัวไฮไลท์ทำเลเด่นที่สุดใจกลาง CBD “วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท” สุดยอดทำเลหายากกลางอโศก ในคอนเซ็ปต์ “Own the rare” วิวสวนป่าเบญจกิติ

MQDC แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียมและโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยแบรนด์ Whizdom (วิสซ์ดอม) เปิดตัวไฮไลท์ทำเลเด่นที่สุดใจกลาง CBD Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) สุดยอดทำเลหายากกลางอโศก ในคอนเซ็ปต์ “Own the rare” วิวสวนป่าเบญจกิติ สวนสาธารณะขนาด 450 ไร่ เดินทางสะดวกสบายใกล้ BTS, MRT อโศกอินเตอร์เชนจ์สเตชั่น และทางด่วนรายรอบ พร้อมส่งมอบที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ด้วยการสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่เหนือกว่าด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี การก่อสร้าง และสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรแก่ผู้พักอาศัย อัษฎา แก้วเขียว ประธานผู้อำนวยการ-วิสซ์ดอม บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ จำกัด (MQDC) หนึ่งในผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า เป็นอีกปีหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างภูมิศาสตร์เมือง จากการเริ่มสร้างรถไฟฟ้าสายใหม่ และบางสายที่จะเริ่มให้บริการ ส่งผลโดยตรงกับราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกทำเล รวมถึงราคาที่อยู่อาศัยก็ปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน คอนโดมิเนียมยังเป็นสินค้าหลักในปัจจุบันและอนาคต แต่ที่ดินใจกลางเมืองมีจำกัด และที่ดินบริเวณรอบนอกเข้าสู่ตลาดที่ดินมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการรายหลายหันมาเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและโครงการ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลง   “โครงการของ Whizdom (วิสซ์ดอม) ออกแบบเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและแรงบันดาลใจของสังคมแห่งการอยู่อาศัย เพื่อขับเคลื่อนรูปแบบชีวิตของคนรุ่นต่อไป ผสมผสานสังคมแห่งการเรียนรู้และแบ่งปัน เพื่อให้ค้นพบศักยภาพของตนเอง ซึ่งโครงการ Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) เป็นโครงการที่ถูกตั้งเป็น Flagship ล่าสุดของแบรนด์ Whizdom (วิสซ์ดอม) ในคอนเซ็ปต์  “Own the rare” ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะ Rare Location ทำเล ‘อโศก” ที่ถือว่าเป็น CBD ที่แท้จริงของกรุงเทพฯ พร้อมด้วยการคมนาคมและสิ่งอำนวยความสะดวกสบายรอบๆ โครงการ ร้านอาหาร ห้างสรรสินค้าชื่อดังต่างๆ  Rare Innovation เพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งที่ต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง การพัฒนาโครงการ Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) ถูกออกแบบมาโดยให้แนวคิดเริ่มต้นด้วยการทำ Co-creation คือการให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมในการเสนอแนวคิด ความต้องการ รวมถึง pain points ที่เจอและอยากเปลี่ยนแปลง รวมถึงการทำ Innovation และมาตรฐานของ MQDC มาใช้อย่างครบถ้วน ทำให้ Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) มีครบทุกองค์ประกอบ เหมาะกับ Rare lifestyle ของการอยู่อาศัยสำหรับคนรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์” โดยแรงบันดาลใจของโครงการ ได้แนวคิดจากมหานครใหญ่ทั่วโลกจะมีสวนป่าขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง ซึ่งเป็นที่ๆ ผู้คนต่างพากันมาใช้เป็นพื้นที่ออกกำลังกาย พบปะเพื่อนฝูง เป็นที่สังสรรค์ และพาครอบครัวมาผ่อนคลาย เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานครที่มีสวนป่าใจกลางเมืองอย่าง “สวนป่าเบญจกิติ” ที่อยู่ใจกลางอโศก พื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 450 ไร่ เป็นศูนย์รวมของพันธุ์ไม้นานาชนิดอยู่ในสวนป่าที่ใหญ่ที่สุด กลายเป็นที่มาของ “Queen of Urban Nature” แนวคิดการพัฒนาโครงการที่ให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เพราะโดยปกตินั้นการที่ผู้คนในมหานครจะได้ใกล้ชิดกับธรรมชาตินั้นเป็นไปได้ยาก หรืออาจจะต้องเลือกที่จะไม่อยู่กลางเมือง เพื่อจะได้สัมผัสและใกล้ชิดกับพื้นที่ สีเขียวขนาดใหญ่ แต่โครงการ Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) เป็นโครงการที่ตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัวที่จะได้อาศัยในเมือง พร้อมสัมผัสพื้นที่สีเขียวผืนใหญ่ได้อย่างเต็มที่และสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มปอด จุดเด่นของโครงการ Whizdom Asoke-Sukhumvit (วิสซ์ดอม อโศก สุขุมวิท) ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง ตามแนวคิด “FOR ALL WELL-BEING” ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาโครงการของ Whizdom (วิสซ์ดอม) ทุกรายละเอียด และด้วยงานวิจัย ที่ตั้งใจคิดค้นและพัฒนามาเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมโดยรอบโครงการ แบ่งออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่   ENERGY & ECOLOGY การคำนึงเรื่องการใช้พลังงานและระบบนิเวศน์รอบโครงการ โดยนำเกณฑ์การออกแบบจากสถาบันอาคารเขียวไทยที่ได้รับความน่าเชื่อถือมาอ้างอิงเพื่อคุณภาพของโครงการตามมาตรฐานการประเมินความยั่งยืนทางพลังงานและสิ่งแวดล้อมไทย (TREES-NC)   HEALTH & WELLNESS การออกแบบทุกรายละเอียดให้อยู่สบายและสุขภาพดี ด้วยการเลือกวัสดุต่างๆ ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ลดการเกิดอุบัติเหตุ การออกแบบระบบปรับอากาศที่ลดการสะสมของฝุ่นและการเกิดเชื้อราเพื่อคุณภาพอากาศภายในห้องที่ดี รวมถึงการออกแบบระบบท่อออกหลัง เพื่อลดปัญหาน้ำรั่วหรือท่ออุดตัน สามารถบำรุงรักษาได้สะดวก โดยไม่รบกวนผู้พักอาศัยห้องอื่นๆ   SENSES & HAPPINESS การออกแบบพื้นที่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน ถูกสุขลักษณะเพื่อการรับรู้ที่ดี (Psychology and Human Perception) ของผู้อยู่อาศัย รวมไปถึงการออกแบบสำหรับทุกคน (Universal Design) เอื้อต่อการใช้งานของคนทุกวัย ในทุกพื้นที่ส่วนกลาง   นอกจากนี้สิ่งที่ทางโครงการเพิ่มเติม คือ เรื่องนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นมา สร้างความสะดวกสบาย ด้วย Smart unit โดยการใส่ระบบ Home intelligent system ที่นอกจากจะตอบโจทย์เรื่องไลฟ์สไตล์และความปลอดภัยแล้วความพิเศษเฉพาะ คือ เป็นระบบที่ออกแบบมาตามแนวคิด Well-Being ตอบโจทย์เรื่อง “สุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย เพราะคุณภาพอากาศที่ดีส่งผลต่อคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดี” โดยมี Indoor Air Quality Sensor ที่คอยตรวจเช็คปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในห้องพักให้อยู่ในระดับที่ไม่มากเกินไป ทำงานร่วมกับระบบระบายอากาศเพื่อถ่ายเทก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป และนำอากาศบริสุทธิ์เข้ามา โดยผ่านเครื่อง ERV ที่ให้ยิ่งกว่าอากาศบริสุทธิ์ เพราะปรับสภาวะอากาศให้อยู่ในความชื้นและอุณหภูมิที่เหมาะสม Smart building ที่ออกแบบอาคารโดยคำนึงถึงเรื่องทิศทางของลม และแสงเพื่อลดความร้อนและมลภาวะจากภายนอกสู่ตัวอาคาร นอกจากนี้ยังมีการออกแบบเพิ่มเติมพื้นที่สีเขียวในรูปแบบของ Pocket garden ที่ช่วยเพิ่มก๊าซออกซิเจนและความสวยงามให้กับตัวอาคาร อีกทั้งยังมีการใช้ระบบ Water cooling ที่ใช้กับโรงแรม 5 ดาว หรือโรงพยาบาลที่เน้นเรื่องสุขภาพของผู้อยู่อาศัยเป็นหลักสำคัญ นอกจากนี้ทางโครงการยังมี Access control & analysis คือการจดจำใบหน้าขอผู้พักอาศัย เพื่อความปลอดภัยและสะดวกสบายในการเข้าและออกอาคาร พร้อม Security Robot ที่จะช่วยตรวจตราวัตถุต้องสงสัยรวมถึงเมื่อมีเหตุฉุกเฉินในที่จอดรถ Security Robot จะมีส่วนเชื่อมต่อกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อให้เกิดการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว ในด้านของระบบจอดรถ ทางโครงการมีระบบจอดรถแบบอัตโนมัติและแบบวนจอด รวมทั้งสิ้น 85% เพื่อประหยัดเวลาในการหาที่จอด   “เป้าหมายสำคัญในการพัฒนาโครงการ คือการมอบที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า และยกระดับคุณภาพคอนโดมิเนียมในประเทศโดยใส่เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทาง Whizdom  (วิสซ์ดอม) มี และได้ศึกษาร่วมกับทาง RISC (Research & Innovation for Sustainability Center) ทั้งนี้ โครงการจะแล้วเสร็จภายในปี ธันวาคม 2021 โดยตั้งยอดขายไว้ 80% ถึงสิ้นปีนี้ โดยจะมีงานเปิดขาย Pre-sales ในวันที่ 3-4 พฤศจิกายน 2561 คาดว่าจะมีลูกค้าสนใจเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมียอดผู้ลงทะเบียนเข้าชมโครงการเป็นจำนวนมาก” อัษฎา กล่าวทิ้งท้าย        
แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด พร้อมเปิดตัวโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ สร้างมูลค่าของการพักอาศัยระดับโลก

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด พร้อมเปิดตัวโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ สร้างมูลค่าของการพักอาศัยระดับโลก

ในยามที่ความต้องการเรสซิเดนซ์ระดับไฮเอนด์กลางเมืองกรุงเทพฯ มีแต่พุ่งสูงขึ้น แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) โครงการห้องชุดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่กลางย่านธุรกิจหลักของเมือง นำเสนอการลงทุนแบบ Leasehold ให้นักลงทุนได้เก็บเกี่ยวผลกำไรยาว ๆ ไปอีก 50 ปี พร้อมประกาศเปิดตัวโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ภายในโครงการ เพื่อเพิ่มมูลค่าของการพักอาศัยและมอบไลฟ์สไตล์สุดหรูด้วยบริการมาตรฐานระดับโลกจากเครือฮิลตัน   สำหรับปี พ.ศ. 2561 นี้ถือเป็นปีแห่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเชิงบวกเมื่อเปรียบเทียบกับ 3 ปีที่ผ่านมาจากอัตราการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งช่วยชดเชยอัตราการบริโภคในประเทศที่ซบเซา รวมถึงการอัดฉีดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น บริษัทต่าง ๆ ในเอเชียต่างมองประเทศไทยเป็นฐานภูมิศาสตร์ด้านกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อการดำเนินธุรกิจที่คุ้มค่าต่อการลงทุน ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ซื้ออสังหาฯ ต่างกำลังมองหาทรัพย์สินในเมืองไทยที่มีมูลค่าสัมพัทธ์ที่ดีเยี่ยมและมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง   ความต้องการของนักลงทุนในเอเชียต่างมุ่งไปที่อสังหาริมทรัพย์ระดับสูง ซึ่งก็คือโครงการเรสซิเดนซ์ใจกลางย่างธุรกิจหลักของกรุงเทพฯ (CBD) นั่นเอง ตลาดอสังหาฯ ระดับนี้นับวันจะมีราคาถีบตัวสูงขึ้นตลอดเวลา เนื่องจากทำเลทองเริ่มหายากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งสวนทางกับความต้องการจากนักลงทุนต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะนักลงทุนจากฮ่องกงที่เริ่มผละจากฮ่องกงไปมองหาทำเลใหม่ๆ ในต่างประเทศ ขณะที่นักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่ยังรู้สึกกังวลในการกลับไปลงทุนในบ้านเกิดและบ่ายหน้าหาทางเลือกอื่นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะฟองสบู่ในประเทศ และในเมื่อราคาห้องชุดหรูในกรุงเทพฯ มีราคาเพียงครึ่งเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับห้องชุดระดับเดียวกันในสิงคโปร์และมีราคาเพียง 1 ใน 5 เมื่อเปรียบเทียบกับฮ่องกง ทำให้กรุงเทพฯ คือเป้าหมายสำคัญของนักลงทุนจากทั่วภูมิภาค   หนึ่งในโครงการที่กำลังเป็นที่จับตามองของนักลงทุนคือแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด (MRB) ซึ่งมีความพิเศษหลายด้าน ทั้งที่ตั้งโครงการซึ่งเป็นทำเลทองผืนสุดท้ายบนถนนราชดำริ รวมถึงคุณภาพการก่อสร้างและการตกแต่งระดับโลก อีกทั้งในปัจจุบัน ยังขยายสัญญา Leasehold จาก 30 ปีเป็น 50 ปี เพื่อให้นักลงทุนสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์กันได้แบบระยะยาว นอกจากนี้ หลังจากมีงานเปิดตัวโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ แบรนด์โรงแรมระดับไฮเอนด์แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของวอลดอร์ฟในเครือฮิลตันโฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท ไปเมื่อวันที่ 30 สิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้เจ้าของห้องชุดหรูของ MRB ได้รับเอกสิทธิ์ระดับวีไอพีเพิ่มเติมอีกด้วย โดยเจ้าของห้องพักทุกท่านสามารถใช้บริการบาร์ และห้องอาหารชั้นนำจากเครือฮิลตันได้เช่นเดียวกับแขกของโรงแรม นับเป็นการยกระดับไลฟ์สไตล์สู่มาตรฐานสากลอย่างแท้จริง   อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า “เศรษฐกิจไทยกำลังกระเตื้องขึ้นจากการเติบโตของภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว โดยในปีที่ผ่านมา ไทยมีอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่ 3.9% ซึ่งเกิดจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในตลาดหลักแห่งอย่างมีนัยสำคัญที่ 9.9% ส่วนภาคการท่องเที่ยวมีอัตราส่วนในผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่ 20% โดยในปี 2560 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนประเทศไทยมากถึง 35.4 ล้านคน และคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในปี 2561 นี้”   เหล่านี้คือสภาพการณ์ที่ดีเยี่ยมต่อการเลือกทำเลในการลงทุน หรือแม้แต่การใช้ประโยชน์จากความพร้อมของเมืองไทยทั้งในด้านวัฒนธรรม ความบันเทิง และมูลค่าทรัพย์สินสำหรับผู้ซื้อที่ต้องการอยู่อาศัย ซึ่งทำให้การซื้อมีความสมเหตุสมผลอย่างมากหากต้องการหวังผลในช่วงเวลานั้น   ตลาดอสังหาฯ ระดับบนยังคงให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีมาก และสำหรับประเทศไทย ผลตอบแทนล้วนขึ้นอยู่กับทำเลและมาตรฐานของโครงการ ซึ่งซีบีอาร์อีเห็นพ้องกับเรื่องนี้ “ราคาที่ดินในย่านธุรกิจหลักจะเพิ่มสูงขึ้นต่อไปโดยเฉพาะในกลุ่มทำเลชั้นเยี่ยมที่ใกล้กับสถานีขนส่งมวลชนต่าง ๆ ซึ่งการขาดแคลนโครงการที่ให้กรรมสิทธ์แบบซื้อขาดในย่านธุรกิจหลัก จะยิ่งทำให้ราคาถีบตัวสูงขึ้นไปอีก” อลิวัสสา กล่าว   สำหรับบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ถือเป็นหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาโครงการระดับคุณภาพที่ได้รับความเชื่อถือมากที่สุดของประเทศไทยและมีผลงานโครงการชั้นเลิศมากมาย โครงการแรกที่สร้างชื่อเสียงคือแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด โดยเป็นอาคารรูปกลีบดอกไม้ที่อ่อนช้อยและสง่างาม ด้วยทุนก่อสร้างถึง 1,100 ล้านบาท โครงการนี้เป็นอาคาร 60 ชั้นความสูง 242 เมตร ทีมสถาปนิกได้แรงบันดาลใจมาจาก “กลีบดอกแมกโนเลีย” ที่หมุนวนจากฐานขึ้นไปสู่ส่วนยอดของอาคาร ทำให้โครงการในภาพรวมแลดูโดดเด่นสมกับเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งของกรุงเทพฯ   เนื่องจาก MRB ตั้งอยู่บนถนนราชดำริ ใกล้แยกราชประสงค์ ซึ่งเป็นย่านธุรกิจสำคัญของเมืองไทยและแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ ช็อปปิ้งมอลล์ โรงแรม 5 ดาว ร้านอาหารชั้นนำ ศูนย์กลางธุรกิจ และสถานบันเทิงที่เหนือระดับและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ทำให้โครงการแห่งนี้ตอบสนองความต้องการด้านพักอาศัยและไลฟ์สไตล์ระดับลักชัวรี่ได้อย่างลงตัว ซึ่งรวมไปถึงการดำเนินธุรกิจ การสร้างเครือข่าย และการติดต่อพบปะสังสรรค์ ตลอดจนการท่องเที่ยวของนักเดินทางที่หลั่งไหลมาจากประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนและทั่วโลก อีกทั้งสามารถเดินทางในกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส และเหนือสิ่งอื่นใด ความหรูหราสะดวกสบายในการใช้ชีวิตจากบริการระดับโลกของเครือฮิลตันจากโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ที่จะทำให้ไลฟ์สไตล์การพักอาศัยใน MRB คือที่สุดของความหรูหราระดับโลก     วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “โครงการแมกโนเลียส์ฯ ปิดการขายห้องชุดไปแล้วกว่า 80% ปัจจัยหลักที่ทำให้เรามียอดขายที่น่าพอใจ เกิดจากทำเลที่ตั้งโครงการซึ่งถือเป็นหนึ่งในทำเลทองชั้นนำของเมืองไทย (ศูนย์กลางธุรกิจย่านราชประสงค์) ทั้งยังเป็นโครงการแบบมิกซ์ยูสที่ตอบสนองความต้องการของผู้พักอาศัยได้ดีเยี่ยมเพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่สมบูรณ์แบบไว้บริการตลอดเวลา และนอกเหนือจากการได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดสุดหรู คือการได้รับสิทธิพิเศษเมื่อใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากร้านค้าภายในโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ”   “สำหรับปีนี้ เรายังได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราจึงอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมด้วยการประสานงานกับธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงเทพ เพื่อนำเสนอระบบเงินกู้สูงสุดถึง 70% และยังขยายสัญญา Leasehold ไปจนถึง 50 ปี (30+20 ปี) โดยสามารถขายสิทธิ์ Leasehold แก่ผู้อื่นได้ ทำให้กรรมกสิทธิ์การครอบครองและการใช้ประโยชน์จากห้องชุดมีความสมบูรณ์และคล่องตัวมากขึ้น”   นอกเหนือจาก “ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่เหนือระดับ” เมื่อมองในแง่การลงทุน MRB ยังให้ผลตอบแทนจากการเช่าที่คุ้มค่าราว 4.5 – 5% ซึ่งสูงกว่าโครงการอื่น ๆ ในย่านเดียวกันมาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ที่ดินของแมกโนเลียส์ฯ ยังมีราคาสูงขึ้นทุกปี โดยเริ่มต้นอยู่ที่ 170,000 บาทต่อตารางเมตรในช่วงพรีเซล และขึ้นมาถึง 270,000 บาทต่อตารางเมตร ในปัจจุบัน   หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม ติดต่อ ซีบีอาร์อี ผู้แทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด 083-095-5054 หรือ sales@magnolias-ratchadamri.com
แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ผนึกวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ  ยันครองตำแหน่งซูเปอร์ลักชัวรี่มิกซ์ยูสกลางใจเมือง

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ผนึกวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ ยันครองตำแหน่งซูเปอร์ลักชัวรี่มิกซ์ยูสกลางใจเมือง

หลังเปิดตัว “วอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ” แบรนด์โรงแรมระดับไฮเอนด์แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของวอลดอร์ฟในเครือฮิลตัน โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท ไปได้อย่างสวยงาม และได้รับคำชมเต็มๆ วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ หัวเรือใหญ่แห่ง MQDC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการคอนโดหรูใจกลางย่านเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ฉลองด้วยการมอบสิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟให้กับผู้พักอาศัย เมื่อใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากร้านค้าภายในโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ นอกเหนือจากการได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ห้องชุดสุดหรู ใจดีและให้ความสำคัญกับลูกค้าแบบนี้ นี่เอง โครงการคอนโดถึงขายดิบขายดี แว่วมาว่า…ปัจจุบันปิดการขายไปแล้วกว่า 80%!
1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ โชว์โปรเจ็กต์มาสเตอร์พีซ  “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ – THE STRAND THONGLOR” มูลค่า 4,800 ล้านบาท

1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ โชว์โปรเจ็กต์มาสเตอร์พีซ “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ – THE STRAND THONGLOR” มูลค่า 4,800 ล้านบาท

  บริษัท 1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (วันพ้อยท์ซิกซ์) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รุ่นใหม่ ภายใต้แนวคิด “The Smart Difference: แตกต่างอย่างชาญฉลาด” กับความมุ่งมั่นที่จะนำมาตรฐานระดับโลกมาสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ที่ดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คำมั่นสัญญา ‘for all well-being’ ร่วมลงทุนและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ - THE STRAND THONGLOR” โครงการแรก มูลค่ามากกว่า 4,800 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “Essentially More” นำเสนอประสบการณ์การอยู่อาศัยในรูปแบบ Mixed-Use บนพื้นที่ “ทองหล่อ” มุ่งเจาะคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายและชื่นชอบการใช้ชีวิตที่มีรูปแบบเฉพาะตัวของย่านทองหล่อ มั่นใจสามารถสร้างยอดขายภายในปลายปี พ.ศ. 2561 มากกว่า 50%     นางสาวธัญทิพ เจียรวนนท์ ประธานบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท 1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นที่จะนำมาตรฐานระดับโลกมาสู่วงการอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ด้วยมุมมองในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เปรียบดั่งการสร้างสรรค์งานศิลปะและงานฝีมือชั้นสูง ทั้งนี้ในปัจจุบัน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเทศไทย ได้นำเสนอจุดเด่นของโครงการโดยเน้นความแตกต่างของทำเลที่ตั้ง เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย ดังนั้น เราจึงได้สร้างสรรค์โครงการที่เข้าใจถึงธรรมชาติและสามารถตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มคนที่นิยมการใช้ชีวิตแบบคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการมาอยู่อาศัยในย่านทองหล่อได้เป็นอย่างดี ด้วยจุดขายที่แตกต่างจากโครงการอื่นๆ ในย่านทองหล่อ ล่าสุด ได้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับมาสเตอร์พีซ “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ - THE STRAND THONGLOR” มูลค่าโครงการกว่า 4,800 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นโครงการคอนโดมิเนียมมิกซ์ยูส (Mixed-use) ในรูปแบบไฮไรส์ (High rise) ครบวงจรระดับอัลตร้าลักชัวรี่ แลนด์มาร์กแห่งใหม่บนทำเลทองหล่อ ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงสำหรับการอยู่อาศัยและการลงทุนในอนาคต โดดเด่นด้วยการออกแบบโครงการที่ผสมผสานทั้งพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่มิกซ์ยูสได้อย่างลงตัว เน้นให้ผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสไลฟ์สไตล์ที่โอบล้อมไปด้วยความมีชีวิตชีวาของย่านทองหล่อแบบออลเดย์และออลไนท์”   โครงการ “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ - THE STRAND THONGLOR” ตั้งอยู่บริเวณปากซอยทองหล่อ (สุขุมวิท 55) ห่างจากรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีทองหล่อ เพียง 30 เมตร เป็นอาคารสูง 30 ชั้น ขนาด 1 ไร่ 2 งาน 46 ตารางวา หรือ 2,584 ตารางเมตร ดำเนินการออกแบบภายใต้แนวคิด “Essentially More” ที่สามารถตอบสนองความต้องการที่แท้จริงให้กับลูกบ้านอย่างรอบด้านมากที่สุด และสามารถแบ่งปันความสุขด้วยการสร้างคุณค่าในทุกๆ ด้านของชีวิต นอกจากความเฉพาะตัวในรูปแบบคอนโดมิเนียมมิกซ์ยูสแล้ว พื้นที่อยู่อาศัยของโครงการฯ ยังได้ออกแบบเพื่อความปลอดภัยระดับสูงสุดและเน้นความเป็นส่วนตัว โดยผู้อยู่อาศัยสามารถเข้าสู่พื้นที่อยู่อาศัยได้ทั้งจากทางเข้าเฉพาะของส่วนอยู่อาศัยและพื้นที่เชิงพาณิชย์ โดยทางเข้าทั้ง 2 ทางมีระบบรักษาความปลอดภัยที่เหนือระดับ และด้วยแนวคิด Low Density Living ที่ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีความเป็นส่วนตัวสูงสุดและมีพื้นที่ใช้สอยมากที่สุด โดยจะมีความหนาแน่นของจำนวนยูนิตต่อชั้นไม่มากนัก ซึ่งโครงการฯ มีจำนวนทั้งสิ้น 198 ยูนิต แบ่งเป็นห้องชุด 4 รูปแบบ ได้แก่   · 1-Bedroom (1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ) มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 48.10 – 55.00 ตารางเมตร จำนวน 124 ยูนิต · 2-Bedroom (2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ) มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 73.00 – 90.60 ตารางเมตร จำนวน 63 ยูนิต · Duplex (2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ) มอบความกว้างขวางบนพื้นที่ขนาด 110.40 ตารางเมตร จำนวน 5 ยูนิต · Penthouse (3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ) มอบความกว้างขวางบนพื้นที่ขนาด 184.20 ตารางเมตร จำนวน 6 ยูนิต   นอกจากพื้นที่อยู่อาศัยแล้ว ยังมีพื้นที่ Micro-Office & Business Lounge พื้นที่ร้านอาหารที่ให้บริการในรูปแบบ All-day dining สปีคอีซี่บาร์ (Speakeasy Bar) และพื้นที่สวนสาธารณะ “The Strand Park” บริเวณด้านหน้าโครงการฯ ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นพื้นที่ส่วนกลางของโครงการฯ และเป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ของชุมชนในบริเวณนั้น นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ใช้สอยที่ได้รับการออกแบบอย่างลงตัว เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานที่สามารถรองรับทุกไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ เพลย์ รูม (The Playroom) และ ติวเตอร์ รูม (Tutor room) บริเวณชั้น 6 เดอะ คลับเฮาส์ (The Clubhouse) ชั้น 27 ซึ่งประกอบด้วย The Living Room ส่วนบริการ Fitness และ Meditation Studio สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้ระบบน้ำเกลือความยาว 25เมตร พร้อมจากุซซี่ สำหรับผู้ใหญ่ และสระว่ายน้ำสำหรับเด็ก รวมถึงส่วนของ Rooftop terrace และ Putting green ตลอดจน เรสซิเด้นส์ ล็อบบี้ (Residential Lobby) ที่ออกแบบ มาเพื่อความเป็นส่วนตัว เป็นต้น โครงการ THE STRAND THONGLOR ราคาเริ่มต้นที่ 330,000 บาทต่อตารางเมตร หรือเริ่มต้นที่ 16.5 ล้านบาท   นางสาวธัญทิพ กล่าวต่อไปว่า “สำหรับนวัตกรรมเพื่อความปลอดภัยและสะดวกสบาย โครงการฯ ได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์นำเสนอ “Intelligent Technology” อาทิ “Secured Private Lift Lobby” ให้ผู้อยู่อาศัยสามารถขึ้นตรงจากพื้นที่ส่วนกลางถึงห้องชุดเสมือนลิฟต์ส่วนตัว ด้วยเทคโนโลยีไมโครชิปเซ็นเซอร์ (Microchip Sensor Technology - RFID) ที่จะส่งผู้อยู่อาศัยไปแต่ละชั้นโดยเฉพาะ พร้อมทั้งมาตรฐานความปลอดภัยภายในลิฟต์ ด้วยระบบ “Active CCTV Monitoring & Control” เชื่อมต่อกับห้องควบคุมตลอดเวลาเพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้อาศัย ระบบ “Automatic Parking” ที่จอดรถอัจฉริยะครบทุกยูนิต นอกจากนี้ เรายังได้พัฒนาแอพลิเคชั่นสำหรับสมาร์ทดีไวซ์ซึ่งผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุมการเปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้องของตนได้ อีกทั้งยังสามารถใช้เรียกบริการพิเศษต่างๆ เช่น แม่บ้าน ช่างซ่อมบำรุง หรือจองพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ เช่น ห้องประชุม หรือ Living Room social lounge ได้ เป็นต้น”     นายชวิน อรรถกระวีสุนทร กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง บริษัท 1.6 ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “โครงการ “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ - THE STRAND THONGLOR” ได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในแต่ละด้านอย่างการออกแบบและดีไซน์ ได้ร่วมมือกับ “เอชบี ดีไซน์ (HB Design)” ที่ปรึกษาด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมของโครงการ “พีไอเอ อินทีเรีย (PIA Interior)” รับผิดชอบด้านการออกแบบภายใน สะท้อนความเป็น Minimal luxury เน้นคุณภาพวัสดุที่ดี ความเรียบหรูอยู่เหนือกาลเวลา (Timeless design) และ “ทร็อพ (TROP)” มาดูแลในด้านภูมิสถาปัตยกรรมของโครงการ และได้บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำอย่าง “บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC)” ร่วมลงทุนในการพัฒนาโครงการดังกล่าว โดย MQDC ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุน แบ่งปันองค์ความรู้ที่ยอดเยี่ยมในการออกแบบและการก่อสร้างในระดับสากล ตลอดจนให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์การตลาดและกลยุทธ์การขาย”   สำหรับกลยุทธ์ในการดำเนินงานเพื่อให้โครงการ The Strand Thonglor บรรลุเป้าหมาย เราได้กำหนดกลยุทธ์ไว้ 3 รูปแบบ คือ · กลยุทธ์การตลาด ที่มุ่งเน้นการสร้างความน่าเชื่อถือของโครงการ เจาะตลาดกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อคนไทย 75% และคนต่างชาติ 25% · กลยุทธ์การสื่อสารประชาสัมพันธ์ เน้นการสื่อสารผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ อาทิ แคมเปญผ่าน โซเชียลมีเดีย (Social Media) ทั้ง เฟสบุ๊ค (Facebook) บทความออนไลน์ (Content online) และอื่นๆ · กลยุทธ์การขาย อาทิ กิจกรรม Private Launch โฟกัสที่กลุ่มเป้าหมายโดยตรง เพื่อให้รับทราบข้อมูลของโครงการและแผนในการพัฒนาการก่อสร้าง กิจกรรม Group Exclusive นำเสนอการขายผ่านกิจกรรมเอ็กซ์คลูซีฟปาร์ตี้ เพื่อสร้างบรรยากาศความเป็นกันเองเสมือนได้มาร่วมจัดปาร์ตี้ภายในยูนิตที่เกิดขึ้นจริงในอนาคต และการจัดกิจกรรม Exclusive Pre-Sale เรียนเชิญกลุ่มลูกค้าเพื่อรับทราบข้อมูลโครงการโดยแจ้งยืนยันเข้าชมล่วงหน้า ระหว่างวันที่ 18 และ 19 สิงหาคมนี้ ที่โรงแรมบางกอก แมริออท โฮเต็ล สุขุมวิท เป็นต้น ทั้งนี้ เราตั้งเป้าว่าจะสามารถสร้างยอดขายภายในปลายปีนี้ (พ.ศ. 2561) ได้มากกว่า 50% และโครงการมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2564 ” คุณชวินกล่าวสรุป
แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จับมือ ซีบีอาร์อี จัดงาน “The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” 10-11 มี.ค.นี้

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จับมือ ซีบีอาร์อี จัดงาน “The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” 10-11 มี.ค.นี้

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ร่วมกับ ซีบีอาร์อี ประเทศไทยจัดงาน “The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” ตั้งแต่วันที่ 10-11 มีนาคม 2561  พร้อมมอบสิทธิพิเศษมากมายสำหรับลูกค้าและนักลงทุนภายในงาน นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(MQDC) กล่าวว่า ซีบีอาร์อี คือหนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก ที่จะช่วยดูแลลูกค้าชาวไทย ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและต้องการโครงการอสังหาริมทรัพย์บนทำเลชั้นเยี่ยม ตลอดจนโอกาสการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งแมกโนเลียส์คือหนึ่งในโครงการที่ดีที่สุดในตลาดห้องชุดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำเสนอโอกาสการลุงทุนที่มีศักยภาพสูงซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยม และสำหรับผู้ที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัย ก็ถือเป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่เหนือระดับและคุ้มค่ามากที่สุดด้วยเช่นกัน นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในโครงการระดับสากลซึ่งเป็นที่ต้องการมากที่สุดในหมู่นักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ นับตั้งแต่เปิดตัว เราได้รับเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมอย่างต่อเนื่องจากผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ระดับสากลจากหลากหลายประเทศ "เรารู้สึกยินดีที่ได้ดูแลโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เชื่อมั่นว่าราคาประเมินของห้องชุดระดับไฮเอนด์ในกรุงเทพฯ ขยับเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 11% ในปีที่แล้ว และยังเป็นที่จับตาของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง และในปัจจุบัน คาดว่าราคาน่าจะขยับสูงขึ้นอีกและเพิ่มโอกาสการซื้อขายในตลาดต่างประเทศมากขึ้น” นางสาวอลิวัสสา กล่าว โดยห้องชุดที่เหลืออยู่ของแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ดในปัจจุบัน คือแบบ 2 ห้องนอนพื้นที่ 75-108 ตารางเมตร และห้องห้องเพนท์เฮ้าส์ พื้นที่ 321-384  ตารางเมตร ภายในโครงการยังเพียบพร้อมด้วยส่วนบริการเพื่อการพักอาศัยระดับไฮเอนด์ ทั้งคลับส่วนตัว ล็อบบี้ส่วนตัวสำหรับผู้พักอาศัย และจุดรับ-ส่ง ห้องประชุมสังสรรค์ เลาจน์ พื้นที่สวนสีเขียวดีไซน์ใหม่ ห้องสมุด ศูนย์ไปรษณีย์ ศูนย์ธุรกิจพร้อมระบบสื่อสารและการเชื่อมต่อออนไลน์แบบครบวงจร ตลอดจนศูนย์ฟิตเนส ลู่วิ่งออกกำลังกลางแจ้ง เซาว์น่า สระว่ายน้ำยาว 70 เมตร พร้อมจากุชชี่และสระเด็ก รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงตลอด 24 ชั่วโมง ภายในงานครั้งนี้ นำเสนอห้องชุด 2 ห้องนอนในราคาสุดพิเศษเริ่มต้น 20 ล้านบาท พร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมายเฉพาะแขกในงานเท่านั้น หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อโทรศัพท์ +66 83 095 5054 อีเมล magnolias@cbre.co.th หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.magnolias-ratchadamri.com
Magnolias Ratchadamri Boulevard นิยามใหม่ของความหรูหรา..ใจกลางเมือง : รีวิวคอนโด

Magnolias Ratchadamri Boulevard นิยามใหม่ของความหรูหรา..ใจกลางเมือง : รีวิวคอนโด

หากพูดถึงคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ เชื่อว่าภาพที่เกิดขึ้นในใจใครหลายคน คงเป็นภาพรูปแบบคอนโดที่ไม่ต่างกันมากนัก แต่แท้จริงแล้วอาคารที่มีลักษณะคล้ายกันทั้งหมดนั้น สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่ดีแล้วหรือไม่? วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปหาคำตอบกันในรีวิวฉบับนี้ กับโครงการมิกซ์ยูส ระดับลักชัวรี่ “Magnolias Ratchadamri Boulevard (แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด)” ผลงานชิ้นโบว์แดงจาก บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) ที่สร้างปรากฏการณ์ตื่นตาตื่นใจให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ของไทยไม่ใช่น้อย ทั้งในแง่ของงานดีไซน์ที่ฉีกรูปแบบคอนโดเดิมๆ ด้วยการออกแบบสไตล์โมเดิร์น โดยได้แรงบันดาลใจในรูปทรงอาคารจากกลีบดอกแมกโนเลีย ทำให้มีความโดดเด่นอ่อนช้อยสวยงาม จนกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางเมืองย่านราชดำริ นอกจากนี้ยังนำเสนอความเป็นที่อยู่อาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมหรู, สำนักงาน และโรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพ (Waldorf Astoria Bangkok) แบรนด์โรงแรมระดับ 6 ดาว ในเครือฮิลตัน ที่มีสาขาอยู่ในเมืองสำคัญทั่วโลก ซึ่งมาเปิดใน South East Asia เป็นแห่งแรกในโครงการนี้ ภายใต้โจทย์ที่พักอาศัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ซึ่งก็สอดคล้องกับปรัชญาของแมกโนเลียที่ว่า “คิดและสร้างสรรค์เพื่อความยั่งยืนของมนุษย์” ได้เป็นอย่างดี     ทำเลศักยภาพใจกลางเมือง   โครงการ “แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด” ตั้งอยู่บนทำเลที่น่าสนใจจริงๆ ค่ะ ตัวโครงการอยู่ติดถนนราชดำริ ฝั่งมุ่งหน้าไปทางสีลม อยู่ใกล้ๆ กับโรงแรมเอราวัณและเพนินซูล่า ซึ่งเป็นทำเลที่ดีที่สุดผืนสุดท้ายของราชดำริ ห่างจากแยกราชประสงค์มาประมาณ 200 เมตร จุดเด่นของโครงการคืออยู่ใจกลางเมือง ใกล้ CBD, แหล่งงาน, สถานศึกษา และห้างสรรพสินค้าชั้นนำมากมาย อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อออกไปยังที่ต่างๆ ได้สะดวก ซึ่งตอบโจทย์ลูกบ้านทั้งคนมีรถและไม่มี สำหรับการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวจะมีจุดขึ้น-ลงทางด่วนใกล้ที่สุดอยู่ที่ถนนพระราม 4 โดยจากถนนราชดำริหน้าโครงการตรงเข้าสู่สี่แยกศาลาแดง เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนพระราม 4 อีกประมาณ 2 กิโลเมตร จะพบกับจุดขึ้น-ลงทางพิเศษเฉลิมมหานคร ไม่ว่าจะออกไปโซนกรุงเทพฯ ตะวันออก, ฝั่งธนบุรี หรือกรุงเทพฯ โซนเหนือก็สะดวกทั้งหมด ซึ่งสามารถเชื่อมต่อไปยังทางยกระดับอุตราภิมุข (โทลเวย์) และจุดขึ้น-ลงทางด่วนอีกเส้นทางหนึ่ง คือวิ่งตรงผ่านหน้าห้างสรรพสินค้า Central World จนถึงสี่แยกราชปรารภ แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนจตุรทิศ เพื่อขึ้นทางพิเศษศรีรัชมุ่งตรงไปเชื่อมต่อกับมอเตอร์เวย์ก็จะไปสนามบินสุวรรณภูมิได้อย่างง่ายดาย     สำหรับการเดินทางด้วยรถสาธารณะ ต้องบอกว่าสะดวกมากที่สุดแล้วค่ะ เพราะอย่างที่บอกว่าตัวโครงการตั้งอยู่ศูนย์กลางธุรกิจและการค้าในย่านราชประสงค์ ใกล้สถานที่สำคัญของกรุงเทพฯ อย่าง ศาลท่านท้าวมหาพรหม รวมทั้งแหล่งช็อปปิ้งสำคัญของกรุงเทพฯ ที่สำคัญคืออยู่ใกล้กับรถไฟฟ้า BTS ถึง 2 สาย ทั้งสายสีเขียว (สถานีชิดลม) และสายสีเขียวเข้ม (สถานีราชดำริ) แถมบริเวณหน้าโครงการก็มีวินมอเตอร์ไซค์, รถเมล์, รถแท็กซี่ผ่านไปมาให้ใช้บริการตลอดทั้งวัน ซึ่งถ้าใครเป็นสายช็อปปิ้งก็คงถูกใจเพราะพิกัดจากโครงการสามารถเดินไปขึ้น Sky Walk เพื่อไปเซ็นทรัลเวิลด์, เกษรพลาซ่า และเซ็นทรัลชิดลม ในระยะเดินเท้าได้สบายๆ หรือถัดไปอีกหน่อยก็จะเป็นสยามสแควร์ ที่มีรถไฟฟ้า BTS สถานีสยาม จุดเปลี่ยนเส้นทางระหว่างสายสุขุมวิทและสายสีลม และมีห้างสรรพสินค้าชื่อดังมากมาย อาทิ สยามพารากอน, สยามเซ็นเตอร์, สยามแสควร์วัน, สยามดิสคัฟเวอรี่ ไปจนถึงมาบุญครอง ให้เลือกจับจ่ายใช้สอยได้อย่างเพลิดเพลิน     และไม่ใช่ว่าเพียบพร้อมไปด้วยแหล่งช็อปปิ้ง สถานที่แฮงค์เอ้าท์เท่านั้นนะคะ ในส่วนของสถานศึกษา สถานพยาบาล รวมถึงสถานที่ราชการก็มีไม่น้อยเลยค่ะ ลองไล่เรียงคร่าวๆ ก็มี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา, โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัย, โรงเรียนสอนภาษา AUA และสถานทูตประเทศต่างๆ ในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลตำรวจ, โรงพยาบาลบีเอ็นเอช สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ แล้วยังมีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, การไฟฟ้านครหลวง สำนักงานใหญ่ เพลินจิต, ราชกรีฑาสโมสร, วัดปทุมวนารามราชวรวิหาร รวมไปจนถึงสวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่างสวนลุมพินี และอีกมากมายจนบรรยายไม่หมดเลยค่ะ   เจาะลึกโครงการ   “แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด” เป็นโครงการลักชัวรี่ มิกซ์ยูส ตัวอาคารสูง 60 ชั้น บนพื้นที่ 6 ไร่ 2 งาน 70 ตารางวา ประกอบด้วยส่วนคอนโดมีเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ (Residence), สำนักงาน และโรงแรม ในส่วนของห้องพักหรูมีจำนวนทั้งหมด 316 ยูนิต เริ่มตั้งแต่ชั้น 17 – 54 ด้วยขนาดห้องชุดตั้งแต่ 48 – 360 ตารางเมตร โดยทำเป็นสัญญาเช่า (Leasehold) ระยะเวลา 30 ปี จากที่ดินสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งทาง MQDC ต้องการความเป็น Masterpiece ให้ได้มาตรฐานระดับสูงสุดเทียบเท่าระดับโลก ทั้งในเรื่องของเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย รวมไปจนถึงการคัดสรรแต่วัสดุคุณภาพระดับพรีเมี่ยมมาใช้ในโครงการ ครั้งนี้จึงเหมือนเป็นการรวมตัวของเหล่าดีไซเนอร์ทั้งชาวไทยและต่างประเทศเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อความเป็นที่สุดของโครงการหรูใจกลางเมือง ซึ่งได้ DI Design และ The Beaumont Partners Co., Ltd. บริษัทออกแบบสัญชาติไทยชื่อดังมาทำงานร่วมกัน อีกทั้งยังมีบริษัทสถาปนิกระดับโลกอย่าง atelier ten จากนิวยอร์ก เข้ามาเป็นที่ปรึกษาการออกแบบเพื่อความยั่งยืน โดยออกแบบให้ตัวอาคารมีเอกลักษณ์เฉพาะด้วยดีไซน์โค้งมนเป็นรูปกลีบดอกแมกโนเลีย ทำให้มีความโดดเด่นอ่อนช้อยสวยงามที่สุดในย่านราชดำริ ซึ่งก็มุ่งเน้นประหยัดพลังงานโดยประยุกต์แนวคิดสถาปัตยกรรมของบ้านไทย ที่เหมาะสมกับสภาพอากาศเมืองร้อนของกรุงเทพฯ โดยเฉพาะทิศทางของแสงแดด มาออกแบบเป็นส่วนชายคา หรือ Sunshade ของตัวอาคารที่ถูกคำนวณอย่างแม่นยำ และดีไซน์ให้กลายเป็นส่วนประดับอย่าง Façade โอบล้อมอาคารร่วมกับการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อการหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ     ในส่วนงานออกแบบ Landscape ก็ได้บริษัท Shma เข้ามาดูแล ส่วนงาน Interior นั้นทางโครงการให้บริษัท PIA ผู้มีชื่อเสียงด้านการออกแบบและมีประสบการณ์กับโครงการระดับหรูมาเป็นผู้ดูแลค่ะ ทั้งนี้โครงการ “แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด” จะเป็นโครงการที่พักอาศัยแห่งแรกของไทยที่กำลังจะได้รองรับมาตรฐาน LEED จากอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพลังงานที่เข้มงวดที่สุดในโลก เพราะทางทีมดีไซเนอร์ได้คำนึงแสง ความร้อน อากาศ และการใช้น้ำในโครงการมาเป็นอย่างดี แถมยังเลือกใช้กระจกแบบ IGU และใช้ Sun Shading เพื่อลดความร้อนให้แก่ห้องอีกด้วยค่ะ นอกจากนี้ยังมีระบบหมุนเวียนน้ำบางส่วนที่คุณภาพดีและสามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ต่อได้ เช่น รดน้ำต้นไม้ ตลอดจนระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ เพื่อใส่อากาศที่ปราศจากสารพิษเจือปนเข้าไปในโครงการ ทำให้มั่นใจได้เลยค่ะว่านอกจากความสวยหรู และการเดินทางที่สะดวกสบายแล้ว ผู้อยู่อาศัยจะได้คุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาวแน่นอน     ในส่วนของพื้นที่ส่วนกลางทางโครงการก็จัดเต็มแบบสุดๆ เรียกว่าครบครันมากทีเดียวค่ะ ซึ่งคอนเซ็ปต์ของพื้นที่ส่วนกลางถูกออกแบบโดยหลอมรวมความต้องการใช้ชีวิตแบบสังคมเข้ากับความเป็นส่วนตัว สู่รูปแบบของ Facility ที่มีทั้งฟังก์ชั่นการใช้งานร่วมกัน และแยกเป็นส่วนตัว เริ่มจากชั้น 1 เป็นพื้นที่ของเอ็กซ์คลูซีฟล็อบบี้, ห้องจดหมายและตู้ไปรษณีย์ ในส่วนของที่จอดรถก็สามารถจอดได้มากถึง 100% สำหรับ Facility บนอาคารจะอยู่ที่ชั้น 5 และชั้น 10 ประกอบด้วย ห้องสมุดพร้อมวิวสวนโค้งเล่นระดับที่ทางโครงการนำความเขียวขจีของธรรมชาติเข้าไปใส่ไว้ , ศูนย์ฟิตเนสและลู่วิ่งออกกำลังกายริมสวนแนวลาด, ห้องประชุม ห้องพบปะสังสรรค์, สระว่ายน้ำพร้อมสระเด็ก และส่วนจากุชชี่, ห้องอบไอน้ำและซาวน่า, ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมล็อกเกอร์, สำนักงานผู้อำนวยการประจำเรสซิเดนซ์ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. และยังมีกุญแจรีโมทนิรภัย สำหรับเปิดประตูและควบคุมลิฟท์อีกด้วย   เริ่มต้นกันที่บริเวณ Lobby ชั้น Ground Floor ก่อนเลยค่ะ ซึ่งก็จะแบ่งออกเป็นส่วนต้อนรับ, พื้นที่รับรอง และ Mail Box พื้นที่ด้านหนึ่งของโถง Lobby จะเป็นส่วน Mail Box นะคะ มาในส่วนของโถงลิฟท์โดยสารกันบ้างค่ะ ซึ่งมีให้บริการลูกบ้านถึง 4 ตัว ทั้งยังดูหรูหรากว่าคอนโดฯ ทั่วไป ด้วยการประดับตกแต่งด้วยหินอ่อน บรรยากาศภายในห้องสมุดค่ะ ภายในห้องดูสูงโปร่ง โอบล้อมด้วยกระจกใส วิวบริเวณข้างห้องสมุดเป็นสวนนะคะ ข้อดีของการมีสวนอยู่ใกล้ๆ ทำให้เวลาอ่านหนังสือสามารถพักสายตามองต้นไม้สีเขียวขจีได้ จากบริเวณห้องสมุดมองออกไปจะเห็นพื้นที่สวนเล่นระดับด้วยนะคะ พื้นที่สวนขั้นบันไดที่ลูกบ้านสามารถมานั่งเล่นชิลล์ๆ ได้อย่างสบายใจ บันไดวนขึ้นไปยังส่วนของสระว่ายน้ำและฟิตเนสนะคะ เมื่อเดินไต่บันไดขึ้นมาจะพบกับลานกว้างๆ สระว่ายน้ำระบบเกลือขนาดใหญ่ภายใต้บรรยากาศร่มรื่นของพรรณไม้ นอกจากจะมีสระว่ายน้ำสำหรับเด็กแล้วยังมีส่วนของ Jacuzzi ด้วยนะคะ พื้นที่ติดกับสระว่ายน้ำจะเป็นสวนแบบขั้นบันไดนะคะ ซึ่งลูกบ้านสามารถมองวิวเมืองรอบด้านได้อย่างจุใจ เดินต่อเนื่องไปยังห้อง Fitness นะคะ ภายในห้องโอบล้อมด้วยกระจกใส ให้ลูกบ้านสามารถออกกำลังกายไปด้วยชมวิวไปด้วยได้อย่างเพลิดเพลิน ภายในห้องฟิตเนสเต็มไปด้วยอุปกรณ์และเครื่องออกกำลังกายอย่างครบครันเลยนะคะ กลับมาในส่วนของห้องอบไอน้ำและซาวน่า ที่มาพร้อมห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมล็อกเกอร์ แยกฝั่งชาย-หญิงด้วยนะคะ บรรยากาศด้านหน้าห้องอบไอน้ำและซาวน่า ต่อเนื่องมายังห้อง KID'S ROOM ที่ออกแบบมาสำหรับรองรับสมาชิกตัวน้อยในครอบครัวของลูกบ้าน   เปิดแบบห้อง Magnolias Ratchadamri Boulevard   สำหรับห้องพักอาศัยของโครงการ “แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด” มีทั้งหมด 316 ยูนิตนะคะ ซึ่งมีแบบห้องพักหรูให้เลือกด้วยกันถึง 4 แบบ ตั้งแต่ 1 Bedroom ขนาด 48-60 ตารางเมตร จำนวน 88 ยูนิต, 2 Bedroom ขนาดตั้งแต่ 72-106 ตารางเมตร จำนวน 220 ยูนิต, Penthouse ขนาดตั้งแต่ 209-300 ตารางเมตร จำนวน 2 ยูนิต และ Duplex Penthouse ขนาดตั้งแต่ 250-360 ตารางเมตร จำนวน 6 ยูนิต ปัจจุบันตัวโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่แล้วนะคะ เริ่มมีลูกบ้านบางส่วนทยอยโอนห้องกันเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังพอมียูนิตเหลืออีกนิดหน่อย ซึ่งเราจะพาไปชมห้องตัวอย่างกันในครั้งนี้ นั่นคือห้อง 2 Bedroom ขนาด 89.47 และ 92.38 ตารางเมตรค่ะ โดยจะแตกต่างกันที่การจัดวาง Layout และวิวเท่านั้นค่ะ แต่ภายในห้องจะตกแต่งมาให้เสร็จสรรพแล้ว หากลูกบ้านเลือกห้องที่มีเฟอร์นิเจอร์รวมมาด้วย ทางโครงการจะเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์จากแบรนด์ Olivia Living, Sonder Living,  CHANINTR และ Classic Chair เหมือนดั่งห้องตัวอย่างที่เราเก็บมาฝากกันวันนี้   ภายในห้องแต่ละยูนิตมีจุดเด่นคือฟังก์ชั่นที่เป็นสัดส่วน ถูกออกแบบและตกแต่งอย่างพิถีพิถันในสไตล์โมเดิร์นคลาสสิกที่เรียบหรู แต่ยังคงงดงาม แถมยังคัดสรรและเลือกใช้แต่วัสดุคุณภาพแบรนด์ระดับโลก ดีไซน์ให้พื้นที่ส่วนครัวกว้างขวางติดตั้งชุดครัว Bulthaup แบรนด์หรูจากเยอรมนี ในทุกยูนิต อีกทั้งยังผสมผสานห้องครัวและพื้นที่ใช้สอยไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งก็ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันห้องน้ำก็ใช้แต่เครื่องสุขภัณฑ์ชั้นนำเช่นเดียวกับที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์ทั่วโลก แถมยังสั่งทำอ่างอาบน้ำขนาดพิเศษแบรนด์ KASCH มาใช้ในโครงการด้วย ไม่รอช้า.. เราไปเปิดประตูดู Layout ของแต่ละห้องไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่าค่ะ แปลนห้อง 2 Bedroom ขนาด 89.47 ตารางเมตร ประตูจะเป็นแบบ Digital Door Lock นะคะ เปิดประตูเข้ามาเจอห้องน้ำ และห้องนอนเล็กก่อนต่อเนื่องไปยังโถงกลางนะคะ ซึ่งภายในห้องนี้ทางโครงการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ของ Olivia Living ไว้เป็นตัวอย่างทั้งหมด เรามาดูห้องน้ำกันก่อนดีกว่าค่ะ ภายในห้องน้ำแบ่งพื้นที่เปียกและแห้งอย่างชัดเจน ทางโครงการจัดวางสุขภัณฑ์จากส่วนแห้งเรียงเข้าไปยังส่วนเปียก โดยใช้สุขภัณฑ์คุณภาพระดับพรีเมี่ยมทั้งหมด จากภาพจะเห็นว่าส่วนเปียกจะมีบานกระจกกั้นพร้อมยกธรณีสูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อกันน้ำกระเด็นมาส่วนแห้ง ซึ่งที่พื้นด้านในจะเซาะร่องไว้สำหรับกันลื่นด้วยนะคะ ออกจากห้องน้ำมาต่อกันที่ห้องนอนเล็กนะคะ ภายในห้องมีขนาดกระทัดรัด เหมาะสำหรับวางเตียงนอนขนาด 5 ฟุต นอกจากโอบล้อมด้วยหน้าต่างกระจกใสบานใหญ่ บริเวณรอบๆ เตียงยังมีพื้นที่เหลือให้เดินได้ แถมผนังปลายเตียงยังสามารถติดทีวีเพิ่มโดยไม่รู้สึกคับแคบด้วยค่ะ กระจกห้องนอนเป็นบานใหญ่มาก สูง 3 เมตรไม่มีอะไรมาบังสายตาเลยนะคะ ผนังฝั่งที่ติดกับประตู จะเป็นตู้เสื้อผ้าบิลต์อินสูงจรดเพดานที่ได้มาพร้อมกับห้องเลยนะคะ กลับเข้ามาบริเวณโถงกลางจะเป็นส่วนของมุมทำงาน มุมรับประทานอาหาร มุมนั่งเล่น และครัวเชื่อมต่อถึงกันทั้งหมด มุมทำงานที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวทีเดียวเลยนะคะ ต่อเนื่องมายังส่วนครัวถูกจัดให้อยู่ชิดริมผนังฝั่งทางเดิน ตรงข้ามกับมุมนั่งเล่นนะคะ ครัวจัดฟังก์ชั่นเป็นตัวแอล (L) มาพร้อมไอส์แลนด์ตรงกลางสำหรับเตรียมอาหาร ระยะห่างระหว่างเคาน์เตอร์กับไอส์แลนด์มีขนาดกำลังดีเลยนะคะ สามารถเดินได้โดยรอบสบายๆ สำหรับชุดครัวจะเป็นแบรนด์ bulthaup นำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งมาพร้อมเตาไฟฟ้า, เครื่องดูดควัน สำหรับอ่างล้างจานจะเป็นแบรนด์ FRANKE นะคะ ซึ่งก็เป็นแบรนด์คุณภาพที่นำเข้ามาจากต่างประเทศเช่นกัน พื้นที่ติดกับครัวจะเป็นมุมนั่งเล่นนะคะ ซึ่งสามารถวางคอนโซลทีวี โซฟาตัวยาว พร้อมโต๊ะกลางได้สบายๆ สำหรับมุมรับประทานอาหารจะเชื่อมต่อกับมุมนั่งเล่นเลยนะคะ พื้นที่โถงกลางสามารถวางโต๊ะรับประทานอาหารขนาด 3-4 ที่นั่งได้สบายๆ เลยนะคะ มาที่ห้องนอนใหญ่กันบ้าง ภายในห้องนอนจะโอบล้อมด้วยหน้าต่างกระจกใสบานใหญ่นะคะ ซึ่งเป็นประตูบานเลื่อนทั้ง 2 ข้าง สามารถเปิดไปรับลมที่ระเบียงได้ พื้นที่ภายในค่อนข้างกว้างทีเดียวค่ะ เพราะบริเวณรอบๆ เตียงมีพื้นที่เหลือเพียงพอสำหรับวางโต๊ะข้างเตียงด้วย ยิ่งถ้าใครที่ชอบดูทีวีก็สามารถติดตั้งไว้ที่ผนังปลายเตียงได้โดยไม่รู้สึกอึดอัดเลยค่ะ จากระเบียงก็จะมองเห็น City view ประมาณนี้ มุมมองจากระเบียงกลับไปในห้องนอนใหญ่ ผนังหน้าห้องน้ำถูกบิลต์อินให้เป็นตู้เสื้อผ้าทั้งสองฝั่งเลยนะคะ ภายในห้องน้ำแบ่งพื้นที่เปียกและแห้งอย่างชัดเจน ซึ่งรูปแบบจัดวางจะต่างกับห้องน้ำด้านนอก ห้องน้ำในห้องนอนใหญ่จะมีอ่างอาบน้ำแบรนด์ KASCH ที่สั่งทำขึ้นมาพิเศษด้วยนะคะ   ห้องตัวอย่างต่อมาที่เราเก็บภาพมาฝากเพื่อประกอบการพิจารณาเป็นห้อง 2 Bedroom ขนาด 92.38 ตร.ม. จะต่างจากห้อง 1 Bedroom แบบแรกทั้งเรื่องขนาดพื้นที่ใช้สอย และ Layout เลยนะคะ ห้องนี้เมื่อเปิดประตูเข้ามาจะมีโถงกลางขนาดใหญ่ที่เป็นพื้นที่ครัวแบบเปิดเชื่อมต่อกับมุมรับประทานอาหารและพื้นที่นั่งเล่น ส่วนห้องนอนจะถูกแบ่งออกไปทางฝั่งขวา โดยห้องนอนเล็กจะใช้ห้องน้ำร่วมกับห้องโถงกลาง ส่วนห้องนอนใหญ่จะมีห้องน้ำให้ในตัวค่ะ แปลนห้อง 2 Bedroom ขนาด 92.38 ตารางเมตร สำหรับห้องนี้ เมื่อเปิดประตู Digital Door lock เข้ามาในห้องจะเจอส่วนนั่งเล่นและมุมรับประทานอาหารที่อยู่ติดริมระเบียงก่อนเลยนะคะ ภายในห้องนี้ทางโครงการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ของ Olivia Living ไว้เป็นตัวอย่างทั้งหมดเช่นเดียวกับห้องตัวอย่างแรกค่ะ ความแตกต่างนอกจาก Layout และขนาดห้องแล้ว ก็จะเป็นส่วนของวิวนี่แหละค่ะ โดยห้องนี้จะเป็นห้องที่ได้วิวฝั่งเซ็นทรัลเวิลด์ พื้นที่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะรับประทานอาหารจะเป็นส่วนครัวนะคะ ครัวจัดฟังก์ชั่นเป็นรูปตัวแอล (L) จะได้วัสดุเหมือนในห้องตัวอย่างห้องแรกเลยนะคะ มีแตกต่างนิดหน่อยที่ขนาดและตำแหน่งของไอส์แลนด์ พื้นที่รับประทานอาหารที่อยู่ติดกับห้องครัวจะเป็นระเบียงนะคะ ซึ่งข้อดีของระเบียงที่ติดกับมุมนี้คือช่วยระบายอากาศเวลารับประทานอาหารที่มีกลิ่นได้ดี พื้นที่ต่อเนื่องจากครัวเข้าไปข้างในจะเป็นห้องนอนและห้องน้ำนะคะ เรามาเริ่มที่ฝั่งขวามือที่เป็นห้องน้ำก่อนดีกว่าค่ะ ภายในห้องน้ำจะตกแต่งด้วยหินอ่อนเป็นส่วนใหญ่ โทนสีที่นำมาใช้ดูสะอาดตาและเลือกคู่สีได้ค่อนข้างดีเลยค่ะ การวางฟังก์ชันโดยรวมใช้งานได้ดีทุกส่วน พื้นที่ตรงข้ามกับเคาน์เตอร์ล้างหน้าจะเป็นส่วนเปียกนะคะ ผนังฝั่งหนึ่งใน Shower Area จะถูกตกแต่งให้สวยงามด้วยด้วยหินอ่อน ตรงข้ามกับห้องน้ำจะเป็นห้องนอนเล็กนะคะ ภายในห้องโอบล้อมด้วยหน้าต่างกระจกใส ทำให้มีแสงสว่างสาดส่องเข้ามามากพอ ไม่ต้องพึ่งแสงประดิษฐ์ในเวลากลางวัน ภายในห้องนอนเล็กเมื่อวางเตียงขนาด 5 ฟุตแล้วยังเหลือพื้นที่ปลายเตียง ซึ่งสามารถเดินผ่านได้สบายๆ เลยค่ะ หากใครชอบดูทีวีก็สามารถติดตั้งที่ผนังปลายเตียงเพิ่มได้ด้วย พื้นที่ติดกับประตูจะเป็นตู้เสื้อผ้าบิลต์อินสูงจรดเพดานเลยนะคะ ออกมาจากห้องนอนเล็ก เดินตรงเข้ามาที่ห้องนอนใหญ่กันบ้างดีกว่าค่ะ ภายในห้องนอนแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งนะคะ คือโซนพักผ่อน และโซนแต่งตัวที่อยู่ติดกับห้องน้ำ ในส่วนของพื้นที่พักผ่อนจะโอบล้อมด้วยหน้าต่างกระจกใสนะคะ ซึ่งทางโครงการจัดวางเตียงนอนขนาด 6 ฟุตไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง โดยเหลือพื้นที่เดินโดยรอบด้วยค่ะ นอกจากเหลือพื้นที่ให้เดินได้โดยรอบแล้ว ยังมีพื้นที่สำหรับวางโต๊ะข้างเตียงด้วยค่ะ ฝั่งตรงข้ามกับเตียงนอน จะเป็นตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ติดห้องน้ำนะคะ ภายในห้องน้ำใช้วัสดุและสุขภัณฑ์เหมือนๆ กับห้องน้ำด้านนอก จะต่างกันแค่เพิ่มอ่างอาบน้ำแบรนด์ KASCH ที่ทางโครงการสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษ วัสดุอุปกรณ์ในห้องน้ำจะได้อ่างล้างหน้า มาพร้อมกับตู้ลอยที่มีหน้าบานเปิด-ปิดสำหรับเก็บของนะคะ ซึ่งห้องจริงที่ส่งมอบให้ลูกบ้านก็จะได้แบบนี้เลยนะคะ   ด้วยทำเล Prime Location ของกรุงเทพฯ ริมถนนราชดำริ ย่านธุรกิจสำคัญของเมืองไทยและแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับที่เพียบพร้อมแบบนี้โครงการ “แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด” จึงเป็นอีกหนึ่งโครงการหรูที่ถูกจับตามองมากที่สุดโครงการหนึ่ง อย่างที่แจ้งไปแล้วว่าทางโครงการจะขายห้องมาให้แบบ Fully Fitted ดังนั้นในห้องมาตรฐานก็จะมี ชุดครัวแบรนด์ bulthaup ที่มาพร้อมเตาไฟฟ้า, เครื่องดูดควัน, อ่างล้างจาน FRANKE รวมถึงสุขภัณฑ์ในห้องน้ำก็ยังเป็นแบรนด์นำเข้ามาเหมือนกันเกือบทุกรายการค่ะ อาทิ ก๊อกน้ำ Dornbracht และอ่างอาบน้ำ KASCH เป็นต้น ซึ่งทาง MQDC ประกาศราคาเริ่มต้นมาที่ 20 ล้านบาท โดยมีราคาเฉลี่ย ณ ปัจจุบันประมาณ 280,000 บาท/ตร.ม. ถ้าเทียบกับคอนโดมิเนียม Luxury ในระดับเดียวกันแล้ว ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจและคุ้มค่าแก่การลงทุนมากเลยนะคะ เพราะแนวโน้มในการเติบโตของทำเลค่อนข้างดีในอนาคต ไม่ว่าจะซื้อไว้อยู่อาศัยเองหรือเก็งกำไรยังไงก็คุ้มแน่นอน..   ใครที่ไม่ติดเรื่องกำลังทรัพย์และกำลังมองหาคอนโดหรูที่เพียบพร้อมไปด้วยความสะดวกสบายทุกอย่างแบบนี้ แนะนำให้แวะเข้าไปเยี่ยมชมที่โครงการดูบรรยากาศจริงกันก่อนเลยค่ะ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 083-095-5054  หรือ www.magnolias-ratchadamri.com
MQDC ประกาศความสำเร็จ WHIZDOM 101ยอดจองทะลุเป้าเตรียมเปิดโครงการใหม่ “Whizdom Inspire”

MQDC ประกาศความสำเร็จ WHIZDOM 101ยอดจองทะลุเป้าเตรียมเปิดโครงการใหม่ “Whizdom Inspire”

แมกโนเลีย ประกาศความสำเร็จของโครงการ WHIZDOM 101 พร้อมขอบคุณคู่ค้าพันธมิตร ในงาน THANK YOU PARTY ตอกย้ำความเป็นผู้นำโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพยอดเยี่ยมแห่งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยแนวคิดเมืองอัจฉริยะ Smart City และเป็น Third Place ที่ตอบโจทย์เรื่อง Creating Shared Value (CSV)  จับมือ “ทรู ดิจิทัล พาร์ค” (True Digital Park) พัฒนาศูนย์กลางด้านดิจิทัลของไทยใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เตรียมเปิดตัว “Whizdom Inspire” คอนโดมิเนียมที่สร้างแรงบันดาลใจพร้อมไอเดียใหม่ๆ อย่างไร้ขีดจำกัด  และ Innovative Lifestyle Complex ที่สมบูรณ์แบบไตรมาส 4 ปีนี้ นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(MQDC) ในเครือบริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า โครงการ WHIZDOM 101 (วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน) ถือเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจ และความสำเร็จของ MQDC ในด้านการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพชั้นนำของประเทศไทย ที่ได้รับรางวัลระดับประเทศและนานาชาติ ด้วยรางวัลด้านแนวคิดเมืองอัจฉริยะ Smart Cities – Clean Energy จากกระทรวงพลังงาน และยังได้รับรางวัลจากเวทีระดับโลกด้านโครงการมิกซ์ยูสยอดเยี่ยม (Best Mixed-use Development Thailand) จากเอเชียแปซิฟิก พรอพเพอร์ตี้ อวอร์ด (Asia Pacific Property Award) ประจำปี 2016-2017 และล่าสุดเมื่อปลายปี 2560 ยังได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทางด้านความยั่งยืน จากเวที AEC Excellence Awards เมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีโครงการเข้าประกวด 145 โครงการ จาก 32 ประเทศทั่วโลก ซึ่ง “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” ถือเป็นโครงการแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับรางวัลนี้ MQDC เราได้มุ่งมั่นพัฒนาโครงการฯ ด้วยนวัตกรรมการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน (Sustainnovation) เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ทั้งผู้อยู่อาศัย และชุมชนโดยรอบ แมกโนเลียฯ ได้ให้ความสำคัญในการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ช่วยสร้างระบบนิเวศน์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างมูลค่าเพิ่ม ตลอดจนสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับทุกสรรพสิ่งและเป็นประโยชน์ต่อสังคม ทำให้โครงการ “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าและคู่ค้าพันธมิตรต่างๆ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการขายทั้ง 3 ส่วน ประกอบด้วย ที่พักอาศัย คอนโดมิเนียม “วิสซ์ดอม คอนเนค” (Whizdom Connect Sukhumvit) ประมาณ 90% และ “วิสซ์ดอม เอสเซ้นส์” (Whizdom Essence)ประมาณ 80% ร้านค้าในพื้นที่ Innovative Lifestyle Complex มียอดจองพื้นที่กว่า 80% ทั้งร้านอาหารชื่อดัง ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าไลฟ์สไตล์เพื่อรองรับการใช้ชีวิตในทุกๆ วัน และพื้นที่สำนักงานบรรลุเป้าการขาย 100% โดยวิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน ได้จับมือกับ “ทรู ดิจิทัล พาร์ค” (True Digital Park) ในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของไทยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เน้นสร้าง Startup Ecosystem แบบครบวงจร ด้วยแนวคิด Open Innovation จากการรวมตัวกันของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เหล่าสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการ นักลงทุน สำหรับความคืบหน้าและมูลค่าโดยรวมของโครงการ “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยมีโครงการที่พักอาศัยส่วนแรก ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม High-Rise จำนวน 3 อาคาร ที่ทุกยูนิตจะมีความพิเศษด้วย "Home Intelligent Systems" เทคโนโลยีอันทันสมัยและชาญฉลาดที่ทำให้ผู้พักอาศัยสามารถควบคุมและสั่งการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ในบ้านแม้อยู่นอกบ้าน จะเริ่มส่งมอบพื้นที่คอนโดมิเนียม “วิสซ์ดอม คอนเนค” ต้นเดือนมีนาคม 2561 และจะเตรียมเปิดโครงการใหม่ “วิสซ์ดอม อินสปาย” (Whizdom Inspire) เจาะกลุ่มนิวเจนฯ ที่เต็มไปด้วย Passion ใส่ใจสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม ดูแลสุขภาพ และพิถีพิถันในการใช้ชีวิต ให้คนรุ่นใหม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้ด้วยตัวเองอย่างไร้ขีดจำกัด พร้อมสังคมคุณภาพ และ Innovative Lifestyle Complex ที่สมบูรณ์แบบ เพื่อรองรับการใช้ชีวิตที่ดีในทุกๆ วัน ภาพรวมดำเนินงานไปแล้วกว่า 80% และคาดว่าจะพร้อมเปิดตัว Innovative Lifestyle Complex “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 นายสุทธา เรืองชัยไพบูลย์ ประธานผู้อำนวยการ MQDC กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงาน MQDC ประกาศความสำเร็จของโครงการ WHIZDOM 101 พร้อมขอบคุณคู่ค้าพันธมิตรต่างๆ ในงาน THANK YOU PARTY และเปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานว่า วัตถุประสงค์การจัดงานนี้เพื่อเป็นการขอบคุณสื่อมวลชน คู่ค้าพันธมิตร และลูกค้าทุกท่านที่ให้การสนับสนุนโครงการ “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” อย่างต่อเนื่อง และเพื่อเป็นการแจ้งความคืบหน้าและความสำเร็จของโครงการฯ เชื่อว่าเมื่อ “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” พร้อมเปิดให้บริการจะเป็นหนึ่งในโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพยอดเยี่ยมแห่งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยแนวคิดเมืองอัจฉริยะ Smart City และเป็น Third Place ที่ตอบโจทย์เรื่อง Creating Shared Value (CSV) และ นวัตกรรมการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน (Sustainnovation) ที่เพียบพร้อมไปด้วยความสะดวกสบายและทันสมัยที่สุด อีกทั้งจะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่สำหรับคนกรุงเทพฯ ด้วยสังคมคุณภาพ และ Innovative Lifestyle Complex ที่สมบูรณ์แบบ เพื่อรองรับการใช้ชีวิตที่ดีในทุกๆ วัน ซึ่งตรงกับความเป็น smart city ของ WHIZDOM 101 ด้วยคอนเซ็ปต์ The Great Good Place โดยโครงการฯ ได้รับความสนใจจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งเรามีความยินดี หากท่านใดสนใจก็สามารถนำคอนเซ็ปต์ไปต่อยอดในการพัฒนาโครงการได้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ด้านกิจกรรมการตลาดโครงการฯ ให้ความสำคัญต่อกิจกรรมการตลาดเป็นอย่างมาก เพราะโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพ ต้องเน้นการพัฒนาด้วยแนวคิดเมืองอัจฉริยะ Smart City การเป็น Third Place ที่ทุกท่านสามารถมาใช้ชีวิตได้ นอกจากบ้านและที่ทำงาน เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ และเพิ่มคุณค่าให้กับสังคม Creating Shared Value (CSV) และ การพัฒนานวัตกรรมการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน Sustainnovation เป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมที่จะเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ และทั้งหมดนี้เป็นเทรนด์ที่กำลังจะมาอย่างแน่นอน เมื่อโครงการ WHIZDOM 101 เปิดแล้ว จะเป็นการเสริมศักยภาพ เพิ่มคุณค่า Value Added ให้ชุมชนโดยรอบซึ่งจะเป็น platform ให้ชุมชนมาใช้ประโยชน์ ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่สร้างประสบการณ์ให้กับทุกท่าน พร้อมตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ดีในทุกๆ วัน
แมกโนเลีย ปลุกกระแสการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดสัมมนาประจำปีระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกในเอเชีย ผนวกเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีกับความยั่งยืน ดึงผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมาร่วมให้ความรู้

แมกโนเลีย ปลุกกระแสการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดสัมมนาประจำปีระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกในเอเชีย ผนวกเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีกับความยั่งยืน ดึงผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมาร่วมให้ความรู้

แมกโนเลีย ควอลิติ้ ดีเวล็อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC)  บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติ เป็นเจ้าภาพจัดงานสัมมนาใหญ่ประจำปีในหัวข้อการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีและอย่างยั่งยืนขึ้นเป็นครั้งแรกในเอเชีย ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ในงานสัมมนานี้มุ่งชูประเด็นความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี โดยผู้เชี่ยวชาญที่เข้าร่วมเสวนามาร่วมกระตุ้นให้วงการธุรกิจให้ความสำคัญกับประเด็นความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมที่ดีในการทำธุรกิจและวางแผนงาน ซึ่งต่างก็ได้แบ่งปันประสบการณ์จากการทำงานในสาขาที่ตนเชี่ยวชาญ ได้แก่ สถาปัตยกรรม การออกแบบ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับผู้บริโภค สาขาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุและสาขาสาธารณสุข MQDC ตั้งเป้าในการมีส่วนร่วมกระตุ้นให้เกิดการปรับกระบวนความคิดในการดำเนินกิจการ ท่ามกลางกระแสท้าทายของโลก คุณ รัช ตันตนันตา ประธานผู้อำนวยการบริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น บริษัทแม่ของ MQDC กล่าว “MQDC มุ่งมั่นในพันธกิจที่จะร่วมสร้างโลกที่ดีขึ้น โดยเน้นที่สองประเด็น ประเด็นแรกคือเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์และประเด็นที่สองคือ สภาพแวดล้อมที่ยั่งยิน สองค่านิยมหลักนี้เป็นหัวใจสำคัญของหลักการ “นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน” ซึ่งเป็นปรัชญาในการทำงานของเรา” คุณ รัช กล่าว “วัตถุประสงค์ของเราในการจัดงานสัมมนาใหญ่ประจำปีขึ้นครั้งนี้ เพื่อร่วมสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นให้ประชาชนเกิดความมุ่งมั่นที่จะร่วมปลูกฝังวัฒนธรรมใหม่ที่มุ่งเน้นเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีและความยั่งยืนเป็น ค่านิยมหลักในการใช้ชีวิตทั้งในเรื่องส่วนตัวและในการประกอบอาชีพ  ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้มีความสำคัญมากท่ามกลางกระแสโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะปัญหาจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงภาวะสภาพภูมิอากาศ การขยายตัวของชุมชนเมือง การดูแลทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาคุณภาพชีวิต งานสัมมนานี้ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยมีจำนวนผู้จองที่นั่งผ่านระบบออนไลน์มากกว่าพันที่นั่ง ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนคนที่เข้าร่วมสัมมนาเป็นกลุ่มนักธุรกิจและหนึ่งในสามเป็นนักวิชาการ ที่เหลือเป็นสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป คุณ วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MQDC กล่าวว่าความตื่นตัวของกระแสตอบรับต่องานสัมมนาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรับรู้ของสังคมว่าสิ่งที่สังคมต้องการขณะนี้คือการจัดลำดับความสำคัญเสียใหม่ ให้ความเป็นอยู่ที่ดีและยั่งยืนเป็นอันดับแรก “MQDC ดำเนินธุรกิจภายใต้พันธกิจหลักที่ต้องการผลักดันให้เรื่อง “ความเป็นอยู่ที่ดี” เป็นประโยชน์ไม่ใช่เพียงแค่กับมนุษย์แต่กับทุก ๆ สรรพสิ่งที่มีชีวิต เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมนำเสนอวิธีใหม่ ๆ เพื่อให้มีการนำไปใช้แก้ไขปัญหาจริง ๆ ไม่ใช่เฉพาะในวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่เพื่อทุก ๆภาคส่วนต่างสามารถนำไปใช้ได้” “กระแสตอบรับเป็นอย่างดีที่มีต่อการสัมมนานี้ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในประเด็นเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีและความยั่งยืน MQDC รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับองค์กรชั้นนำต่าง ๆ จากทั่วโลกเพื่อมาช่วยทำให้โครงการของเราร่วมสร้างชีวิตที่ดีและความยั่งยืนมากขึ้น การสัมมนานี้ได้รวบรวมผู้รู้และมีความเชี่ยวชาญจากหลากสาขาเข้ามาช่วยกันให้ความรู้และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ให้เห็นว่าเราสามารถผนวกเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีและความยั่งยืน เข้าไปในงานวิชาการและสาขาอาชีพต่างๆได้อย่างไร” ด้วยแนวคิดล่าสุดในวงการสถาปัตยกรรม คุณ โทบี้ บลันท์ หุ้นส่วนอาวุโสและรองหัวหน้าสตูดิโอชื่อดังจากอังกฤษ ฟอสเตอร์แอนด์พาร์ทเนอร์ส ในฐานะของสถาปนิกระดับโลกได้กล่าวถึงการออกแบบมาสเตอร์แพลนเพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีและเพื่อความยั่งยืนไปพร้อม ๆ กัน คุณ บิล โคน กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง ไอเทค เอ็นเทอเทนเมนท์ ได้กล่าวถึงประสบการณ์ของเขาในการออกแบบและก่อสร้างสวนสนุกแบบธีม พาร์ค ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างเสริมสุขภาพอันดีเข้าไปในการออกแบบและพัฒนาโครงการด้วย รศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และหัวหน้าศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) ของ MQDC ก็ได้กล่าวถึง เรื่องการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนนั้นสามารถพัฒนาให้หยั่งรากลึกจนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้อย่างไร ทางด้าน ดร วิลเลี่ยม ริชแมน จากศูนย์ดูแลรักษาผู้สูงอายุ เบย์เครสจากแคนาดา ได้นำเสนอในหัวข้อว่าควรพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างไรจึงจะเป็นผลดีต่อการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งประเด็นเรื่องอัตราการเติบโตของจำนวนประชากรสูงวัยกำลังเป็นที่น่ากังวลอยู่ในปัจจุบัน ศาสตราจารย์ จอห์น ดี. สเปงเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที.ชาน. สคูล ออฟ พับลิคเฮลท์ ได้ร่วมแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับมาตรฐานชี้วัดเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนและการนำประเด็นเหล่านี้ไปใช้ประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจ
ครั้งแรกของโลกที่ป่าธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมือง THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” โดย MQDC ปรากฏการณ์ที่สร้างบนพื้นฐาน “ความสุขที่แท้จริง”

ครั้งแรกของโลกที่ป่าธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมือง THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” โดย MQDC ปรากฏการณ์ที่สร้างบนพื้นฐาน “ความสุขที่แท้จริง”

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) สร้างสรรค์พื้นที่ความสุขครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัว ท่ามกลาง   ระบบนิเวศของผืนป่าธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ เปิดตัวโปรเจกต์แฟลกชิพ “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์” ครั้งแรกของโลกที่ธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมือง คุณวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า “ด้วยคำมั่นสัญญาของแบรนด์ ‘for all well-being’ ที่มุ่งมั่นและตั้งใจในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตเพื่อส่งผลดีต่อทุกการดำเนินชีวิตในอนาคต และเป็นส่วนหนึ่งของโลกผ่านการออกแบบที่ใส่ใจธรรมชาติ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ในการร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ (Sustainnovation) ประกอบกับการนำคำว่า “ความสุขที่แท้จริง” เป็นโจทย์ในการดำเนินงานเพื่อสร้างสรรค์โครงการ เพื่อมอบความสุขที่แท้จริงในกับคนในยุคปัจจุบันและอนาคต จึงเป็นที่มาของโครงการ “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์ ครั้งแรกของโลกที่ป่าธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกันในเมืองบนพื้นที่กว่า 300 ไร่ บริเวณบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 5-7 มูลค่าโครงการมากกว่า 90,000 ล้านบาท ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” โดยมีองค์ประกอบสำคัญทั้ง 4 หมวดใหญ่ หรือ Eternal 4 อันเป็นพื้นฐานของความสุขที่แท้จริง ได้แก่ 50 Shades of Nature ความสุขในการใช้ชีวิตท่ามกลางระบบนิเวศขนาดใหญ่ Connecting 4 Generations ความสุขในการดีไซน์พื้นที่ความอบอุ่นให้กับครอบครัวได้ใช้ชีวิตร่วมกันครอบคลุมถึง 4 เจนเนเรอชั่น Community of Dreamsความสุขบนพื้นที่และสาธารณูปโภคที่ให้ทุกคนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน Sustainnovation for Well-being ความสุขด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ซึ่งนับเป็นดีเอ็นเอของ MQDC ที่สร้างแนวคิดใหม่ของการใช้ชีวิตทั้งในวันนี้และในอนาคต” ในครั้งนี้ ได้เปิดเผยภาพลักษณ์และคอนเซ็ปต์ของโครงการ ภายในงาน “World Premiere of THE FORESTIAS” ที่นำเสนอประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ผ่านนิยามแห่งความสุขทั้ง 4 ที่รายล้อมภายในโครงการ โดยได้รับเกียรติจาก คุณทิพพาภรณ์ อริยวรารมย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร – กลุ่มบริษัท ดีทีจีโอ คุณรัช ตันตนันตา ประธานผู้อำนวยการ - กลุ่มบริษัทดีทีจีโอ คุณศศินันท์ออลแมนด์ ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายการตลาดและการสื่อสารองค์กร และคณะผู้บริหาร MQDC ร่วมให้การต้อนรับพันธมิตรทางธุรกิจ บุคคลทางสังคม เซเลบริตี้ทั่วฟ้าเมืองไทยร่วมงานอย่างคับคั่ง อาทิ ดร. แคทลีน มาลีนนท์, คุณชาลอต โทณวณิก, คุณศรันย์ภัค เพ็ญชาติ, คุณภีมนิดา อุตสาหจิต, คุณจรสพรรณ สวัสดิวัฒน์ ณ อยุธยา, คุณหฤทัย ไชยันต์ ณ อยุธยา, คุณกติกากร วรวรรณ ณ อยุธยา, คุณพัชมน สินธนเจริญวงศ์ คุณสิรีภัทร มหาดำรงกุล เป็นต้น และดาราสุดฮอต อาทิ คุณธีรนัยน์ ณ หนองคาย,   คุณก้อง สหรัถ, คุณนนท์ ธนนท์, คุณพัดชา อเนกอายุวัฒน์, คุณต้น ธนษิต และคุณปุ๊ อัญชลีเป็นต้น เพื่อร่วมสัมผัสความสุขที่แท้จริง และร่วมเฉลิมฉลองในการเปิดคอนเซ็ปต์ครั้งสำคัญของโปรเจกต์แฟลกชิพครั้งแรกของโลก “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์”
MQDC เปิดโปรเจกต์แฟลกชิพ “THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” ครั้งแรกของโลกที่ธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกัน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” นิยามความสุขที่แท้จริง มูลค่าโครงการมากกว่า 90,000 ล้านบาท

MQDC เปิดโปรเจกต์แฟลกชิพ “THE FORESTIAS – เดอะ ฟอเรสเทียส์” ครั้งแรกของโลกที่ธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกัน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” นิยามความสุขที่แท้จริง มูลค่าโครงการมากกว่า 90,000 ล้านบาท

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC)  หนึ่งในธุรกิจภายใต้กลุ่มบริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (DTGO) ดำเนินกิจการพัฒนา ลงทุน และจัดการอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพ แบรนด์แมกโนเลียส์ (Magnolias) ดิ แอสเพน ทรี (The Aspen Tree) และ วิสซ์ดอม (Whizdom) เปิดตัวแผนพัฒนาธุรกิจบนพื้นที่บางนาสู่การพลิกวงการอสังหาริมทรัพย์ จับมือพาร์ทเนอร์ระดับโลกร่วมสร้างสรรค์โครงการ “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์” โปรเจกต์แฟลกชิพครั้งแรกของโลก มูลค่าไม่ต่ำกว่า 90,000 ล้านบาท นำเสนอโมเดลการใช้ชีวิตเข้ากับระบบนิเวศที่สมดุลเพื่อความสุขที่ยั่งยืน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” โดดเด่นด้วยการสร้างสรรค์ประสบการณ์แบบ Mixed-Use Lifestyle บนพื้นที่กว่า 300 ไร่ รายล้อมด้วยโครงการที่อยู่อาศัย พื้นที่รีเทล อาคารและสำนักงาน ศูนย์สุขภาพ อาคารนวัตกรรมแห่งอนาคต ผืนป่าสันทนาการ พื้นที่กิจกรรมสำหรับชุมชน ศูนย์เรียนรู้ และนับเป็นครั้งแรกของการสร้างระบบนิเวศของผืนป่าที่สมบูรณ์ขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย เพื่อตอบโจทย์ทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัว โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้าง ในปี พ.ศ. 2561 และแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2565 คุณวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า “ปัจจุบัน ความเจริญด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีนับว่ามีบทบาทความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมทั้งเชื่อมโยงชีวิตและไลฟ์สไตล์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งท่ามกลางความเจริญด้านวัตถุ ได้ส่งสัญญาณถึงปัญหาระดับโลกที่กำลังแทรกซึมและส่งผลกระทบต่อโลก อาทิ ระบบนิเวศธรรมชาติเสื่อมถอย เกิดช่องว่างของสมาชิกในครอบครัว สมาชิกต่างคนต่างใช้ชีวิต จนเกิดเป็นความห่างเหิน การเก็บตัว และอาจนำ ไปสู่ภาวะซึมเศร้า หรือการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสังคมผู้สูงอายุ เป็นต้น บริษัทมีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์และพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อลดช่องว่างและสร้างความสุขอย่างยั่งยืน ภายใต้คำมั่นสัญญา ‘for all well-being’ คือความตั้งใจในการสร้างสรรค์สิ่งที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตเพื่อส่งผลดีต่อทุกการดำเนินชีวิต พร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโลก ผ่านการออกแบบที่ใส่ใจธรรมชาติ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ในการร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงการเพิ่มพื้นที่เพื่อให้คนในครอบครัวทั้ง 4 เจนเนอเรชั่น ได้แก่ ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ลูกหลาน และเหลน ได้ใช้เวลาร่วมกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันและกัน จนเกิดเป็นคอมมิวนิตี้ที่น่าอยู่ขึ้น “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์” เกิดบนคำถามที่ว่า “ความสุขที่แท้จริงของชีวิตเราคืออะไร?” อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ง่ายในการตอบ เพราะความสุขของแต่ละคนแตกต่างและไม่เท่ากัน แต่มีอย่างหนึ่งที่แน่นอนคือ ความสุขนั้น ต้องส่งผลให้กับตัวเราทั้งร่างกาย จิตใจ คนรอบข้าง และสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา และนี่คือพื้นฐานของนิยาม “ความสุขที่ยั่งยืน” คุณกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า “ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในการสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่นำคำว่า “ความสุขที่แท้จริง” เป็นโจทย์ในการดำเนินงาน โดยเราได้ร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกมาร่วมดีไซน์และสร้างสรรค์โครงการ เพื่อมอบความสุขที่แท้จริงในกับคนในยุคปัจจุบันและอนาคต จึงเกิดเป็นโปรเจกต์แฟลกชิพครั้งแรกของโลก “THE FORESTIAS - เดอะฟอเรสเทียส์” นิยามแห่งการสร้างสรรค์โครงการอสังหาริมทรัพย์สู่ปรากฏการณ์ใหม่ มูลค่าโครงการมากกว่า 90,000 ล้านบาท พัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ “Imagine Happiness” ที่ให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่มีความสุขอย่างยั่งยืน โดยเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์แบบ Mixed-Use Lifestyle โมเดลแรกของโลกที่ครบบริบูรณ์รายล้อมด้วยโครงการที่อยู่อาศัย พื้นที่รีเทล อาคารและสำนักงาน ศูนย์สุขภาพ อาคารนวัตกรรมแห่งอนาคต ผืนป่าสันทนาการ พื้นที่กิจกรรมสำหรับชุมชน ศูนย์เรียนรู้ และนับเป็นครั้งแรกของการสร้างธรรมชาติระบบนิเวศของผืนป่าที่สมบูรณ์ขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชีย โดยในโครงการได้ใช้องค์ประกอบสำคัญ 4 หมวดใหญ่ หรือ Eternal 4 ประกอบด้วย คือ 50 Shades of Nature ความสุขในการใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติระบบนิเวศขนาดใหญ่ Connecting 4 Generations ความสุขในการดีไซน์พื้นที่ความอบอุ่นให้กับครอบครัวได้ใช้ชีวิตร่วมกันครอบคลุมถึง 4 เจนเนอเรชั่น Community of Dreams ความสุขบนพื้นที่และสาธารณูปโภคที่ให้ทุกคนได้ทำกิจกรรมร่วมกัน Sustainnovation for Well-being ความสุขด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ซึ่งนับเป็นดีเอ็นเอของ MQDC ที่สร้างแนวคิดใหม่ของการใช้ชีวิตทั้งในวันนี้และในอนาคตต่อไป”   “เราจับมือร่วมกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มาร่วมสร้างสรรค์ประสบการณ์การอยู่อาศัยภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุข นับเป็นโมเดลแรกของโลก ได้แก่ Foster + Partners ที่ปรึกษาการออกแบบวางผังและงานสถาปัตยกรรม EEC Engineering Network ร่วมวิจัยและพัฒนางานระบบอาคาร ตามแนวทางของบริษัทเรา คือ ยึดหลัก Sustainnovation ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้ามาสร้างต้นแบบของงานระบบอาคารที่เน้นความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมของโครงการ Atelier Ten ร่วมทำวิจัย ศึกษาและวางแผนการป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งรวมไปถึงระบบนิเวศให้มีความสมดุลและยั่งยืน โดยการใช้นวัตกรรมต่างๆ รวมถึงเป็นผู้ตรวจสอบและควบคุมการออกแบบและการก่อสร้างเพื่อเป็นต้นแบบของการพัฒนาโครงการชั้นนำของโลก ITEC Entertainment จะเป็นผู้สร้างสรรค์ประสบการณ์และสันทนาการที่จะเกิดขึ้นภายในโครงการ เพื่อทำให้ผู้อยู่อาศัยและผู้เยี่ยมเยือนโครงการได้พบกับประสบการณ์ที่พิเศษสุด Six Senses ร่วมบริหารและให้บริการด้านการบริหารโรงแรมและที่อยู่อาศัย (Hospitality and Residential) ที่ยึดหลักการอยู่อาศัยร่วมกับธรรมชาติ สุขภาพ และความยั่งยืน” คุณกิตติพันธุ์ กล่าวเสริม รวมทั้งคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่เข้ามาร่วมทำการศึกษา ซึ่งนับเป็นงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ครั้งใหม่ที่มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบจากการออกแบบพื้นที่และดีไซน์ของโปรเจกต์นี้ ที่มีต่อสุขภาพมนุษย์ ซึ่งการพัฒนาเมืองในโมเดลใหม่นี้ เป็นการผสมผสานการออกแบบอาคารให้ดีต่อสุขภาพ ควบคู่ไปกับความหลากหลายทางธรรมชาติ และโครงสร้างที่ก่อให้เกิดกิจกรรมที่ดีต่อสุขภาพ สิ่งนี้คือรากฐานของความสุข ทั้งนี้ โครงการ “THE FORESTIAS - เดอะ ฟอเรสเทียส์” ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 300 ไร่ บริเวณบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 7 โดยเริ่มต้นดำเนินการก่อสร้างปี พ.ศ. 2561 และจะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. 2565
MQDC เปิดตัว “บ.แอสเพน คอร์ปอเรชั่น จำกัด” รุกธุรกิจดูแลผู้สูงวัยครบวงจร

MQDC เปิดตัว “บ.แอสเพน คอร์ปอเรชั่น จำกัด” รุกธุรกิจดูแลผู้สูงวัยครบวงจร

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในระดับสากล เปิดตัว “บริษัท แอสเพน คอร์ปอเรชั่น จำกัด” ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลผู้สูงวัย โดยมีแผนจะเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยและบริการครบวงจร ซึ่งถูกพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญระดับโลก เพื่อที่จะให้เป็นที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัย ที่สมบูรณ์แบบด้วยมาตรฐานระดับสากล แอสเพน คอร์ปอเรชั่น มุ่งหวังที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ด้านการดูแลผู้สูงวัย ในประเทศไทย อาทิเช่น “การดูแลตลอดชีวิต” และ “การออกแบบสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงวัย ในรูปแบบที่ให้ผู้พักอาศัย สามารถอยู่อาศัยในบ้านของตนเองได้อย่างยาวนานยิ่งขึ้น และสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้พักอาศัย” ผู้พักอาศัยสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เช่น ด้านการป้องกันโรคภาวะสมองเสื่อม เป็นต้น คุณวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) กล่าวว่าการให้บริการดูแลผู้สูงวัยอย่างครบวงจร ของ บริษัท แอสเพน คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะตอบโจทย์ของสังคมผู้สูงวัยในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ “สำหรับตลาดอสังหาฯ เพื่อผู้สูงวัยในประเทศไทย ได้จำกัดทางเลือกสำหรับผู้สูงอายุและคนวัยเกษียณ ด้วยรูปแบบการพัฒนาโครงการในประเภทรีสอร์ท ซึ่งไม่มีการให้บริการแบบครบวงจร หรือประเภทเนอร์สซิ่งโฮม ซึ่งไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านไลฟ์สไตล์”  คุณวิสิษฐ์กล่าว “จากงานวิจัยเราพบว่า คนเราให้ความสำคัญในเรื่อง “aging in place” อย่างมาก โดยคนส่วนใหญ่ต้องการที่จะใช้ชีวิตในสถานที่ และสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย มากกว่าที่จะต้องย้ายสถานที่ เมื่อต้องการการดูแลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการออกแบบและการให้บริการโดยผู้เชี่ยวชาญ จะเอื้อให้ผู้พักอาศัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยภายในบ้านของตัวเองได้อย่างยาวนานที่สุด” การที่ MQDC เปิดตัวธุรกิจดูแลผู้สูงอายุครบวงจรนั้น สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้าน “นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน” (Sustainnovation) ของบริษัท ซึ่งมีการนำความรู้ด้านจิตวิทยาและผลงานวิจัยด้านต่างๆ มาผสมผสานกันเพื่อสร้าง “ระบบนิเวศของมนุษย์” ที่จะเติมเต็มความต้องการของผู้คนในปัจจุบัน คุณ เฮ จูน พาร์ค ประธานผู้อำนวยการ บริษัท แอสเพน คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า “บริษัทจะสร้างสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบเสมือนกับการพักอาศัยอยู่บ้านของตนเอง โดยจะออกแบบให้ผู้สูงวัยมีสังคม มีความสนุกสนาน และสามารถพึ่งพาตนเองได้” “โครงการจะนำความรู้และแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดทั่วโลก มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสม ซึ่งในการออกแบบได้นำแรงบันดาลใจจากครอบครัวมาสู่การมีปฏิสัมพันธ์เชื่อมต่อทางสังคมกับเพื่อนบ้านและสังคมแวดล้อมมากขึ้นด้วย” คุณ เฮ จูน พาร์ค กล่าวสรุป “โครงการของเราจะตอบโจทย์รูปแบบการใช้ชีวิตหลากหลายสไตล์ ซึ่งเหมาะกับทั้งผู้สูงวัยที่ยังสามารถพึ่งพาตนเองได้ และผู้สูงวัยที่ต้องการการดูแลมากขึ้น” คุณ เฮ จูน พาร์ค ผู้บริหารชาวเกาหลีใต้ มากด้วยประสบการณ์ในด้านการให้บริการ และการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในระดับสากล ทั้งใน ทวีปเอเชีย ยุโรป ตะวันออกกลาง และอเมริกาเหนือ ธุรกิจการดูแลผู้สูงวัย มีตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย โดยภายในปี 2583 มีการคาดการณ์ว่ามากกว่า 1 ใน 4 ของประชากรไทยจะมีอายุมากกว่า 65 ปี (ข้อมูลอ้างอิงจากการประมาณการณ์ของธนาคารโลก)
แมกโนเลียฯ ปักธงผู้นำคอนโดมิเนียมระดับคุณภาพ เปิดตัว “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์นิวเจนฯ

แมกโนเลียฯ ปักธงผู้นำคอนโดมิเนียมระดับคุณภาพ เปิดตัว “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์นิวเจนฯ

ที่สุดแห่งความสะดวกด้านการเดินทาง ติดรั้ว MRT สถานีลาดพร้าว ใส่ใจคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยด้วยการออกแบบที่เน้นเรื่องการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยพื้นที่สีเขียวทั้งบนดินและสวนลอยฟ้าขนาดใหญ่กว่า 1,700 ตรม. ตอบโจทย์นิวเจนฯด้วย customer activities ทุกแง่มุมของชีวิต & Sense of Living ล้ำด้วยคุณภาพโครงสร้างอาคารที่รับประกันนานถึง 30 ปี พร้อมส่งมอบด้วย Zero Defects Delivery และสิทธิพิเศษวันนี้ถึง 30 กันยายน 2560 บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัดหรือ MQDC หนึ่งในผู้นำธุรกิจพัฒนา ลงทุน และจัดการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยทั้งแบบบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม และโครงการมิกซ์ยูส ภายใต้แบรนด์ แมกโนเลียส์ และ วิสซ์ดอม ปักธงผู้นำคอนโดมิเนียมระดับคุณภาพ โดยเปิดตัว “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” (Whizdom, Avenue Ratchada-Ladprao) ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์นิวเจนฯ ที่เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัยเพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ด้วยทำเลที่ติดกับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลาดพร้าว โดยโครงการวิสซ์ดอมฯ ลาดพร้าว ใส่ใจคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ด้วยการออกแบบที่เน้นเรื่องการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยพื้นที่สีเขียวทั้งบนดินและสวนลอยฟ้าขนาดใหญ่กว่า 1,700 ตรม. พร้อมตอบโจทย์นิวเจนฯด้วย customer activities ที่มีกิจกรรมหลากหลาย และ Sense of Living ตอบสนองทุกแง่มุมของการใช้ชีวิต พร้อมรับประกันโครงสร้างอาคาร-การใช้งานและการรั่วซึมของน้ำฝน บานวงกบ ประตู และหน้าต่าง นานถึง 30 ปี และเสริมทัพด้วย Zero Defects Delivery พร้อมส่งมอบความสมบูรณ์แบบให้ลูกค้าและสิทธิพิเศษส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท วันนี้ถึง 30 กันยายน 2560 นายอัษฎา แก้วเขียว ประธานผู้อำนวยการ-วิสซ์ดอม บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวถึง “โครงการ วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” ว่า “เราเจาะกลุ่มเป้าหมายคนเมืองและคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย และพิถีพิถันในการเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง โดยมี 5 ปัจจัยหลักที่ตอบโจทย์  ได้แก่ ทำเลของโครงการถือว่าอยู่ใน The best location ด้วยที่ตั้งของโครงการติดกับสถานี MRT ลาดพร้าว ทางออกหมายเลข 1 ซึ่งถือว่าเป็น One Step จากรถไฟฟ้าอย่างแท้จริง และในอนาคตอันใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่จะเชื่อมต่อการคมนาคมเส้นลาดพร้าวไปยังสำโรงอีกด้วย โครงการตั้งอยู่บนถนนลาดพร้าว แยกรัชดา-ลาดพร้าว ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพแห่งหนึ่งของกรุงเทพที่ใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่าง อาทิเช่น ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ โรงเรียน โรงพยาบาล และยังเป็นทำเลที่ถูกเรียกว่าเป็นใจกลางธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) ของกรุงเทพฯ ที่เชื่อมต่อถนนรัชดาภิเษก-พระราม 9 และสามารถเชื่อมต่อไปยั่งพื้นที่อื่นๆได้สะดวก-รวดเร็วอีกด้วย รับประกันนานถึง 30 ปี (ซึ่งถือเป็นผู้นำธุรกิจอสังหาฯ รายแรกที่กล้าให้การประกันคุณภาพยาวนานที่สุด) โดยรับประกันด้านคุณภาพโครงสร้างอาคาร ใน 4   เรื่องหลัก รอยร้าว และกำลังคอนกรีต เสา คาน พื้น เรื่องความแข็งแรงทั่วไปและการรั่วซึมของหลังคาและดาดฟ้า การรั่วซึมของท่อน้ำในระบบประปาและสุขาภิบาล การรั่วของกระแสไฟฟ้า การใช้งานและการรั่วซึมของน้ำฝน ของบานวงกบ ประตู และหน้าต่าง การออกแบบอย่างพิถีพิถันและใส่ใจในทุกรายละเอียด ผสมผสานการวิจัยและพัฒนา เข้ากับการดีไซน์ และความใส่ใจในเรื่องการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม ออกแบบตามมาตรฐาน “สถาบันอาคารเขียวไทย” (Thai Green Building Institute) เพื่อนำเสนอโครงการคุณภาพที่ตอบสนองทุกฟังก์ชั่นของชีวิต และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในทุกวัน อาทิ รูปแบบและการจัดวางพื้นที่ภายในห้องพักสอดคล้องกับหลักสรีระศาสตร์เหมาะสมกับระยะร่างกายของมนุษย์เพื่อความสะดวกสบายสำหรับทุกกิจกรรม อยู่สบายและไม่รู้สึกอึดอัด การวางตำแหน่งไฟ ตำแหน่งแอร์ที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย ทิศทางการวางตำแหน่งตัวตึกสอดคล้องกับทิศทางแสงอาทิตย์และทิศทางลม เพื่อลดความร้อน และเพิ่มการหมุนเวียนถ่ายเทของอากาศภายในห้องพัก เป็นการช่วยประหยัดพลังงาน และเพิ่มความสบายให้ผู้อยู่อาศัย การจัดวางห้องพักซึ่งเริ่มต้นที่ชั้น 5 เพิ่มความเป็นส่วนตัวและห่างไกลจากเสียงรบกวน มีการออกแบบสวนและแนวต้นไม้ช่วยบังแนวเสียงและฝุ่นละอองในอากาศที่จะพัดเข้าสู่ตัวอาคาร เป็นต้น customer activities/services เป็นกิจกรรมที่ตอบสนองคนรุ่นใหม่ (New Generation) ที่มีกิจกรรมหลากหลายรูปแบบตอบสนองคน WHIZDOM ทุกแง่มุมของชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่ององค์ความรู้ที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตการทำงาน Entertainment สุขภาพ Networking, knowledge sharing และอื่นๆ นอกจากนี้เรามีการเพิ่ม Senses ของการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง หรือ “Sense of Living” การใส่ใจด้านการอยู่อาศัยจริงของคนปัจจุบันที่อาศัยอยู่คอนโด อาทิเช่น การเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้าน เช่น พื้นที่สำหรับล้างรถ ที่ชงชากาแฟที่ล็อบบี้ เตา BBQ เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญพร้อมที่อบผ้า อุปกรณ์ปฐมพยาบาล First aid kit, อุปกรณ์ซ่อมบำรุง Maintenance box ที่ลูกค้าใช้ได้ง่ายๆ และอื่นๆ เสริมทัพด้วย Zero Defects Delivery เป็นการรับประกันว่าลูกค้าสามารถตรวจรับห้องได้ด้วยความพึงพอใจที่สุด ด้วยการใช้ technology ต่างๆมาช่วยตั้งแต่ขั้นตอนแรก เช่นการออกแบบ เราออกแบบเพื่อลดสิ่งที่จะก่อให้เกิด defects ตั้งแต่แรกและด้วยการนำ BIM (Building Information Model) มาใช้เพื่อขึ้นรูปแบบ 3 มิติก่อนสร้างจริง พร้อมทั้งขั้นตอนการควบคุมและตรวจสอบคุณภาพงานก่อสร้างในทุกขั้นตอนโดยทีม MQDC ด้วยเครื่องมือการตรวจสอบที่มีความแม่นยำสูงและทันสมัย ลดงาน re-work ที่อาจจะกระทบงานตกแต่งอื่นๆ การติดตามงานแก้ไข ด้วยโปรแกรม "Novade” ซึ่งเป็นโครงการแรกของประเทศไทยที่นำโปรแกรมนี้มาใช้ในการตรวจ defects นอกจากนี้ นายอัษฎา แก้วเขียว ยังกล่าวถึงภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีแรก2560 ว่า  “ภาพสรุปของอสังหาฯในกรุงเทพ ครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีการขยายตึกต่อเนื่องจากช่วงที่ผ่านมาจากหลายปัจจัย อาทิเช่น การลงทุนโครงการรถไฟฟ้าหลายสายของภาครัฐ การเร่งเปิดตัวของผู้ประกอบการหลายราย โดยที่ตลาดคอนโดมิเนียมเป็นตลาดหลักที่ใหญ่ที่สุดประมาณ 60% ของตลาดรวม ในอีกด้านหนึ่งคือการขยายตัวของภาคอสังหาฯ ก็คือ ราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมาก ส่งผลโดยตรงต่อราคาที่อยู่อาศับ จากสภาวะปัจจุบันโอกาสในการเกิดโครงการในเมืองลดลงแต่การเปิดโครงการมากขึ้นในบริเวณส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าต่างๆ  ทิศทางการพัฒนาที่เกิดขึ้นในกรุงเทพและปริมณฑลได้เริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและรูปแบบการอยู่อาศัยของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง” “สำหรับการวางแผนธุรกิจของ MQDC ในส่วนของ Whizdom Project ในครึ่งปีหลัง เรามุ่งเน้น การส่งมอบคุณภาพการอยู่อาศัย”ของโครงการ Whizdom ลาดพร้าว มูลค่ากว่า 2,700 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ผ่านมานั้นได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม เช่น โครงการวิสซ์ดอม รัชดา-ท่าพระ หลังจากเปิดตัวไปเดือนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมา  มียอดจองกว่า 90% และปัจจุบันได้ปิดยอดจองไปแล้ว ส่วนโครงการวิสซ์ดอม รัชดา-ลาดพร้าว แห่งนี้ ถือว่าเราประสบความสำเร็จ มียอดจองไปราว 90% เหลือเพียง 10% เท่านั้น และขณะนี้ก็เป็นการทยอยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด คาดว่าจะหมดเร็วๆนี้ โดยเราจะทำการเปิดตัวครั้งแรกในงาน Whizdom Avenue Ratchada-Ladprao Grand Opening ในวันที่ 2 กันยายน 2560 นี้ ซึ่งเรามีห้องตัวอย่างถึง 7 แบบ เพื่อให้ลูกค้าเลือกชมเป็นไอเดียการตกแต่งห้องตามความชอบ โดยร่วมกับแบรนด์ CK furniture ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับโลกที่จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ เรามีการทำ Co-branding แพคเกจ furniture “Fully furnished by CK furniture” อีกด้วย  
MQDC พัฒนานวัตกรรมหุ่นยนต์อัจฉริยะ

MQDC พัฒนานวัตกรรมหุ่นยนต์อัจฉริยะ

บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในระดับสากล เผยเทคโนโลยีหุ่นยนต์ที่พัฒนามาเพื่อโครงการที่อยู่อาศัย โดยบริษัทร่วมพัฒนาในบริษัทหุ้นส่วน Obodroid เตรียมเริ่มใช้งานหุ่นยนต์ที่โครงการ วิสซ์ดอมอเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว และจะมีการเปิดตัวต่อสาธารณะในไตรมาส 4 ปีนี้ จะมีการเปิดตัวหุ่นยนต์ รปภ เป็นกลุ่มแรก แต่ MQDC และ Obodroid มีแผนที่จะพัฒนาระบบดูแลที่จอดรถอัตโนมัติและหุ่นยนต์บัตเลอร์ในอนาคต หุ่นยนต์ รปภ มีความสูงราว 150 ซม. เพื่อที่จะทำให้มีรูปลักษณ์ที่ดูจริงจังและน่าเชื่อถือมากขึ้น “หุ่นยนต์เหล่านี้ไม่สามารถจับผู้ร้ายได้ แต่สามารถส่งสัญญาณแจ้งเหตุ บันทึกภาพ และติดตามเป้าหมาย เพื่อที่จะช่วยผู้คนในเหตุฉุกเฉินได้” นายพลณัฏฐ์กล่าว การทดสอบหุ่นยนต์สูง 90 ซม. ที่งาน TEDx ที่จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ Siam One ได้รับการตอบรับที่ดีมาก คุณพลณัฏฐ์ เฉลิมวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Obodriod กล่าว “เราได้ทดสอบลักษณะการตอบสนอง 4 รูปแบบของหุ่นยนต์ เพื่อดูว่าผู้คนจะมีการตอบสนองอย่างไร เราพบว่าหุ่นยนต์สามารถเข้ากับผู้คนได้ดี และผู้เข้าร่วมงาน TEDx ก็ชอบเล่นและสื่อสารพูดคุยกับหุ่นยนต์ของเรา” ดร. มหิศร ว่องผาติ ผู้ร่วมก่อตั้ง HG Robotics กล่าวว่า หุ่นยนต์ในที่อยู่อาศัยนั้นได้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่มีการใช้ในกิจกรรมทางการทหารมาก่อน ดร. มหิศร ว่องผาติ ผู้ร่วมก่อตั้ง HG Robotics กล่าวว่า หุ่นยนต์ในที่อยู่อาศัยนั้นได้ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยที่มีการใช้ในกิจกรรมทางการทหารมาก่อน “เราเคยสร้าง เครื่องบินไร้คนขับ (Unmanned Aerial Vehicles: UAVs) ขนาด 6 เมตร ให้กองทัพไทยโดรนไร้คนขับ และเรือไร้คนขับมาก่อน เรามองว่าหุ่นยนต์ทั้งหมดถูกสร้างมาจากระบบควบคุมและสังเกตุการณ์แบบเดียวกัน” “สำหรับหุ่นยนต์ในที่อยู่อาศัย นายมหิศรกล่าวถึงงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า รปภ มีหน้าที่มากกว่าการรักษาความปลอดภัยในคอนโด รปภ มีหน้าที่หลายอย่างมาก รวมถึงการช่วยโบกรถ ถ้ามีคนจอดผิดที่หรือขวางรถคันอื่น” นายมหิศรกล่าว สำหรับหุ่นยนต์ รปภ ของ MQDC มารยาทถือเป็นสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน “การปรับให้หุ่นยนต์เข้ากับวัฒนธรรมของท้องถิ่นนับเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์ หุ่นยนต์ไทยต้องสุภาพ อย่างโรงแรมหรูๆ นั้นปรกติมีป้ายน้อยทำให้แขกต้องคอยสอบถามข้อมูลต่างๆ จากพนักงาน ซึ่งหุ่นยนต์สามารถทำงานนี้ได้เป็นอย่างดี” นายมหิศรกล่าว คุณมหิศร ได้ลงแข่งขันหุ่นยนต์ตั้งแต่ยังศึกษาในระดับปริญญาตรี และได้สำเร็จการศึกษาปริญญาเอกในสาขาที่เกี่ยวข้องกับหุ่นยนต์ เขาได้ทำงานกับบริษัท NDR ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาระบบจักรกล และ Toshiba TEC เพื่อพัฒนาระบบหุ่นยนต์รถเข็นซื้อของที่ประเทศญี่ปุ่นเขากล่าวว่า “ผมอ่านหนังสือการ์ตูนโดราเอมอนตอนเด็กๆ และผมอยากได้เป็นของผมเองซักตัว” “ปัจจุบัน กว่า 20-30% ของของวิเศษของโดราเอมอนนั้นได้เกิดขึ้นจริงในโลกทุกวันนี้แล้ว เราจะมีหุ่นยนต์บัตเลอร์ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า” MQDC กำลังลงทุนในเทคโนโลยีหุ่นยนต์ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นนโยบายที่บริษัท ฯ ยึดมั่น โดยมีจุดมุ่งหมายหลัก เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และความเป็นอยู่ที่ดีแบบยั่งยืน  
MQDC เปิดตัว “ดิ เอสเตท ไทยแลนด์”  (The Estate Thailand)

MQDC เปิดตัว “ดิ เอสเตท ไทยแลนด์” (The Estate Thailand)

MQDC เปิดตัว “ดิ เอสเตท ไทยแลนด์”  (The Estate Thailand)  รุกธุรกิจบริการขายต่อและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจรแห่งแรกในไทย  ตั้งเป้าปีแรกยอดขายกว่า 1,000 ล้านบาท   MQDC จับกลยุทธ์ขยายไลน์ธุรกิจบริการขายต่อและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ตั้งเป้าปีแรกมียอดขายกว่า 1,000 ล้านบาท ในอนาคตวางแผนขยายไปตลาดต่างประเทศ ครั้งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์กับการบริการการขายต่อและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ครอบคลุมทุกด้านในการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิต ตอบโจทย์ลูกค้าตั้งแต่เริ่มหาที่พักอาศัย รวมไปจนถึงบริการย้ายเข้า-ออก และให้บริการด้านการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตั้งแต่ทำความสะอาดไปถึงงานซ่อมบำรุง บริการที่ปรึกษาส่วนตัวในการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ (Exclusive Property Investment Consultant) ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญกว่า 20 ปี การันตีคุณภาพที่อยู่อาศัยถึง 30 ปี ภายใต้มาตรฐาน MQDC พร้อมใบประกาศนียบัตรรับรองคุณภาพ บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด เริ่มให้บริการในเดือนพฤษภาคม 2560            31 พฤษภาคม 2560 -  กรุงเทพฯ  – บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC)  ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยและมิกซ์ยูสคุณภาพ แบรนด์ แมกโนเลียส์ (Magnolias)  และวิสซ์ดอม (Whizdom) เปิดตัว “บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด” ดำเนินธุรกิจด้านการบริหารการขายและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทางด้านการซื้อ-ขายที่อยู่อาศัย การลงทุน รวมถึงความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต เริ่มตั้งแต่บริการให้คำปรึกษาในการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์แบบพิเศษส่วนตัว (Exclusive Property Investment Consultant) ด้วยทีมงานที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี บริการหาที่พักอาศัยให้ตรงกับวัตถุประสงค์และความต้องการของลูกค้า รวมไปจนถึงบริการย้ายเข้า – ออก แบบครบวงจร และการให้บริการด้านการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตั้งแต่ทำความสะอาดไป จนถึงงานซ่อมบำรุงเบื้องต้น พร้อมทั้งการติดตามผลและบริการหลังการเข้าอยู่อาศัยของลูกค้าอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า             คุณอัษฏา แก้วเขียว รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ MQDC กล่าวว่า  “จากการศึกษาโครงสร้างธุรกิจฝากขาย – ให้เช่าในประเทศไทย พบว่าช่องว่างคือการสร้างความมั่นใจ และความน่าเชื่อถือของกลุ่มลูกค้า และบริการหลังการขาย ซึ่งถือเป็นอีกแรงขับเคลื่อนสำคัญของวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น MQDC  ในฐานะผู้พัฒนาอสังริมทรัพย์ที่เข้าใจความต้องการของผู้บริโภค เราจึงปรับแผนงานและโครงสร้างทางธุรกิจ เพื่อสอดคล้องกับความต้องการเหล่านี้ โดยจัดตั้ง บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด ที่ครอบคลุมทุกด้านในการอยู่อาศัย การลงทุน และการใช้ชีวิต โดยให้บริการและคำแนะนำตั้งแต่ก่อนขาย หลังการขาย ไปจนถึงดูแลให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด” “บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด ถือเป็นธุรกิจเสริมที่จะมาช่วยสร้างความเป็นเลิศในการให้บริการลูกค้า การให้บริการด้านการขาย ให้เช่า และเป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจัง เราดูแลตั้งแต่การวิเคราะห์ที่อยู่อาศัยที่ลูกค้านำมาฝากไว้ให้ตรงกับความต้องการของตลาด ทั้งด้านงานออกแบบ ขนาด ที่ตั้งและราคา รวมถึงวิเคราะห์คู่แข่งอีกด้วย โดยที่บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด จะสร้างความแตกต่างด้วยการเพิ่มการดูแลการเข้าอยู่อาศัยตั้งแต่การย้ายเข้า – ออก แบบครบวงจร การให้บริการด้านการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตั้งแต่การทำความสะอาด ล้างแอร์ รวมจนถึงงานซ่อมบำรุงเบื้องต้นของที่อยู่อาศัย โดยที่อยู่อาศัยที่ได้รับการดูแลจาก บริษัท ดิ เอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัดและผ่านเกณฑ์การรับรองมาตราฐานของบริษัทจะได้รับใบประกาศนียบัตรพร้อมด้วย การรับประกันคุณภาพถึง 30 ปีตามโครงการ ที่ครอบคลุม 4 ด้านได้แก่ ความแข็งแรงของโครงสร้างอาคาร การรั่วซึมของหลังคา การใช้งานประตูหน้าต่าง และการรั่วซึมของท่อน้ำ ภายใต้การรับรองจาก MQDC” คุณอัษฏากล่าว
MQDC เปิดตัวกรอบแผนงาน ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี วิวัฒนาการเพื่อยกระดับด้านสุขภาพโดยรวมและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ที่เป็นมากกว่าแค่ ‘การอยู่อาศัย’

MQDC เปิดตัวกรอบแผนงาน ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี วิวัฒนาการเพื่อยกระดับด้านสุขภาพโดยรวมและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ที่เป็นมากกว่าแค่ ‘การอยู่อาศัย’

MQDC คาดว่าจะใช้งบระมาณลงทุนกว่า 6,000 ล้านบาทในระยะ 10 ปีข้างหน้า MQDC ร่วมมือกับพันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ เพื่อนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีให้กับลูกค้าผ่านระบบกลไกโรโบติกส์และนวัตกรรมสมองอัจฉริยะ (Artificial Intelligence – Ai) และบูรณาการการบริการลูกค้าทั้งหมดเข้าด้วยกันในแพลตฟอร์มเดียวกัน ทั้งในด้านการตรวจสอบและการควบคุมระบบต่าง ๆ โครงการ วิสซ์ดอม รัชดา-ท่าพระ ซึ่งจะเปิดตัวในปีหน้านี้ จะเป็นโครงการแรกในประเทศไทยที่จะเปิดตัวระบบการอยู่อาศัยอัจฉริยะเต็มรูปแบบโดยมุ่งเน้นเพื่อการยกระดับในด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยรวม รวมไปถึงด้านความปลอดภัย และการประหยัดพลังงาน ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (The Research and Innovation for Sustainability Center หรือ RISC) – เป็นหน่วยงานของ MQDC ที่มุ่งทำงานค้นคว้า วิจัย และออกแบบนวัตกรรมการอยู่อาศัย โดยผ่านการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการใช้ชีวิตจริง และการประยุกต์ใช้กับนวัตกรรมสมองอัจฉริยะ (Artificial Intelligence – Ai) อย่างลงตัว โดยศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน หรือ RISC จะทำงานร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำและ Start-ups กรุงเทพ, 18 พฤษภาคม 2560 - แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC), ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยและอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูสในระดับสากล และเป็นเจ้าของแบรนด์ แมกโนเลีย และ วิสซ์ดอม ได้ตอกย้ำความมุ่งมั่นที่จะตอบโจทย์เทคโนโลยีความเป็นอยู่ เพื่อนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่เป็นมากกว่าแค่ ‘การอยู่อาศัย’ แต่เป็นวิวัฒนาการเพื่อยกระดับในด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยรวม โดยจะมีการลงทุนมากกว่า 6,000 ล้านบาทในช่วง 10 ปีข้างหน้า ทางบริษัทฯ ได้ประกาศว่าจะเปิดตัว โครงการ วิสซ์ดอม รัชดา-ท่าพระ บ้านอัจฉริยะเต็มรูปแบบแห่งแรกในประเทศไทยที่มุ่งเน้นการพัฒนาความเป็นอยู่และสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ความปลอดภัย และการประหยัดพลังงาน ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาสที่ 3/2561 นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า แผนการลงทุนดังกล่าวนั้น สอดคล้องกับแนวคิดเรื่องนวัตกรรมที่ยั่งยืน (Sustainovation) ของบริษัทแม่กลุ่มบริษัทดีที (DTGO Corporation Limited - DTGO) ที่จะนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยและผู้เช่าในโครงการของ MQDC  “เราเชื่อในการลงทุนในความคิดใหม่ ๆ เหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้โครงการของเราพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และจะเป็นผลดีต่อความเป็นอยู่โดยรวมของผู้อยู่อาศัยในโครงการของเรา” นายวิสิษฐ์กล่าว “MQDC นำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่เป็นมากกว่าแค่ ‘การอยู่อาศัย’ แต่เป็นวิวัฒนาการเพื่อการยกระดับในด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นโดยรวม การหาพาทเนอร์ที่เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี มาพัฒนาร่วมกัน ถือเป็นหัวใจสำคัญของแผนแม่บทของ MQDC สำหรับการสร้างและบูรณาการ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการในอนาคตของเรา การลงทุนเหล่านี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า MQDC ประยุกต์นวัตกรรมที่ยั่งยืนเข้ากับการใช้งานในชีวิตจริง แต่อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้ใส่ใจเพียงเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ เท่านั้น หากเรายังใส่ใจเรื่องการใช้นวัตกรรมเหล่านั้น ที่ตอบสนองความต้องการที่ลูกค้าเองยังไม่ทราบ และเชื่อมต่อกับบริการอื่น ๆ ในแพลตฟอร์มเดียวกันซึ่งนำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ” “ การเปลี่ยนแนวคิดให้เป็นความเป็นจริงนั้น การยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ว่าจะเกิดจากรายละเอียดเล็กๆ หรือนวัตกรรมที่เปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตของเรา และการน้อมรับมุมมองใหม่ๆ ทั้งจากในและต่างประเทศ ทำให้เราสามารถสร้างสังคมที่ยั่งยืน ซึ่งส่งผลให้การดำเนินชีวิตของเรามีความงดงาม มีแรงบัลดาลใจ และปลอดภัยมากขึ้น” นายวิสิษฐ์กล่าวสรุป ศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (Research and Innovation for Sustainability Center หรือ RISC) ของ MQDC จะร่วมทำงานร่วมกับบริษัท Obotron ซึ่งเป็น Start-ups เพื่อที่จะออกแบบ และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีความเป็นอยู่ การเก็บรวบรวมข้อมูล และนวัตกรรมสมองอัจฉริยะ (Artificial Intelligence – Ai)  เรามุ่งเน้นที่จะพัฒนานวัตกรรมด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาสุขภาพ และระบบการจัดการชีวิตประจำวัน เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการอสังหาริมทรัพย์ของ MQDC โดยจะครอบคลุม 3 ส่วนหลักดังต่อไปนี้ ระบบการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ (Energy Efficiency Awareness): การรายงานสภาพการใช้กระแสไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ ระบบที่ตอบสนองด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น (Health System): โดยเซ็นเซอร์ตรวจจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งจะเชื่อมต่อกับระบบระบายอากาศแบบประหยัดพลังงานเพื่อทำให้ผู้อยู่อาศัยได้รับอากาศบริสุทธิ์ภายในห้อง และยังประหยัดการใช้ไฟฟ้า ระบบการควบคุมเพื่อตอบสนองวิถีการใช้ชีวิตเพื่อความสะดวกสบาย (Lifestyle Control): โดยนำเสนอระบบควบคุมอัจฉริยะซึ่งจะสามารถทำให้ผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุมทุกระบบในบ้านได้จากโทรศัพท์มือถือ เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ระบบแสงสว่างอัตโนมัติ ระบบประตูหน้าต่างล็อคแม่เหล็กระบบดิจิตอลเพื่อเพิ่มความปลอดภัย โครงการยังมีการติดตั้งระบบกล้องวงจรปิดซึ่งเชื่อมต่อระบบความปลอดภัยที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน โดยที่ระบบทั้งหมดสามารถควบคุมได้ผ่านโทรศัพท์มือถือของลูกค้า
MQDC คว้า 8 รางวัลจากงาน ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2016

MQDC คว้า 8 รางวัลจากงาน ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2016

กรุงเทพฯ, 26 กันยายน 2559 – MQDC แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น ประสบความสำเร็จสูงสุดจากงาน ไทยแลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ อวอร์ดส์ 2016 โดยคว้า 8 รางวัลชนะเลิศ รวมถึงรางวัล Best Developer อันทรงเกียรติ พร้อมรับอีก 5 รางวัลชมเชย  จากการประกาศรางวัลทั้งหมด 33 รายการของการประกวดซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ รางวัลที่ MQDC ได้รับมีทั้งรางวัลในระดับองค์กรและโครงการ รวมทั้งรางวัลที่สะท้อนความเป็นมืออาชีพในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น รางวัลผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ดีเด่น รางวัลด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้านการดูแลสิ่งแวดล้อม ด้านโครงการระดับท็อปของความหรูหรา โครงการหรูหรา และโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงราคาปานกลาง รวมทั้งรางวัลด้านการออกแบบสถาปัตยกรรม การออกแบบภายใน และการอออกแบบศูนย์การค้า MQDC แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่นเป็นบริษัทในเครือดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น   MQDC เน้นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว และคอนโดมีเนียม ที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดในการก่อสร้างที่มีคุณภาพโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เลือกใช้วัสดุชั้นดี การออกแบบที่พิถีพิถันสอดรับลงตัวกับไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบ และสนับสนุนการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมสร้างโลกที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น ด้วยการออกแบบที่ใส่ใจธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมกับนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาปรับใช้ในการสร้างสรรค์โครงการเพื่อสังคมและร่วมอนุรักษ์โลก รางวัลชนะเลิศ: MQDC Best Developer Special Recognition in Sustainable Development แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนธ์ เรสซิเดนซ์  แอท ไอคอนสยาม Best Luxury Condo Development (Bangkok) เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ Best Residential Interior Design Best Condo Development (Thailand) Best Ultra Luxury Condo Development (Bangkok) วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว Best Green Development วิสซ์ดอม สเตชั่น รัชดา-ท่าพระ Best High-rise Affordable Condo Development (Bangkok) รางวัลชมเชย: แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟร้อนธ์ เรสซิเดนซ์  แอท ไอคอนสยาม Best Residential Architectural Design Best Residential Interior Design เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ Best Residential Architectural Design วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว Best High-rise High End Condo Development (Bangkok) วิสซ์ดอม 101 Best Retail Architectural Design
รีวิวคอนโด ริมแม่น้ําเจ้าพระยา “The Residences@Mandarin Oriental, Bangkok”

รีวิวคอนโด ริมแม่น้ําเจ้าพระยา “The Residences@Mandarin Oriental, Bangkok”

หนึ่งในอภิมหาโปรเจคย่านฝั่งธนฯที่หลายคนให้ความสนใจเป็นอย่างมากเลยก็คือ ICONSIAM ซึ่งโครงการ Magnolias Waterfront Residence ที่เปิดขายไปก่อนหน้านี้ได้ถูกจับจองหมดไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็มาถึงตึกริมแม่น้ำเจ้าพระยาอีกโครงการที่อยู่ในพื้นที่โครงการ ICONSIAM เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury ภายใต้ชื่อ “The Residences@Mandarin Oriental, Bangkok” อีกหนึ่งโครงการที่นับว่ามีราคาแพงที่สุดในตอนนี้ก็กว่าได้ เดี๋ยวเราจะพาไปชมบรรยากาศอันหรูหราของห้องตัวอย่างกันครับ รายละเอียดโครงการคอนโด ริมแม่น้ําเจ้าพระยา ราคาเริ่มต้น    ประมาณ 350,000 บาทต่อตารางเมตร เจ้าของโครงการ   บริษัท ดิ ไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์ เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ลักษณะคอนโด    High Rise สูง 52 ชั้น 1 อาคาร จำนวนห้อง     146 ยูนิต ที่จอดรถ    ประมมาณ 350 คัน พื้นที่โครงการ    ประมาณ 4.9 ไร่ ที่ตั้งโครงการ   ถนนเจริญนคร เขตคลองสาน กรุงเทพฯ คาดว่าจะแล้วเสร็จ    ปลายปี 2561 ค่าส่วนกลาง    160 บาท/ตารางเมตร ทำเลที่ตั้งโครงการคอนโด ริมแม่น้ําเจ้าพระยา The Residences @ Mandarin Oriental, Bangkok ตั้งอยู่ในพื้นที่โครงการ ICONSIAM เลยนะครับ หลายคนคงจะเริ่มคุ้นหูคุ้นตากับ ICONSIAM กันบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ถ้าบอกว่าอยู่ตรงย่านคลองสานคงร้องอ๋อกันทุกคนแน่นอน พื้นที่ของโครงการกินบริเวณกว้างจากริมถนนเจริญนคร ลึกไปถึงริมแม่น้ำเจ้าพระยาเลยทีเดียว กินอาณาบริเวณทั้งหมดก็ 50 ไร่ โดยโครงการ The Residences @ Mandarin Oriental, Bangkok จะเป็นอาคารสูง 52 ชั้น อยู่ในโซนริมแม่น้ำเจ้าพระยานะครับ สามารถเดินทางเข้าออกได้จากทางฝั่งถนนเจริญนคร จะข้ามมาจากสะพานตากสิน สะพานกรุงเทพ หรือจะเดินทางทางเรือก็ได้เช่นกัน แผนที่ของโครงการคอนโด ริมแม่น้ําเจ้าพระยา แผนที่การเดินทางรอบๆ โครงการ การเดินทางในวันนี้เราเริ่มบริเวณถนนสาทรกันเลยนะครับ จากถนนสาทรเราตรงไปขึ้นสะพานตากสินตามป้าย ตรงขึ้นสะพานตากสินไปเลยครับ จะเห็นสถานี BTS สะพานตากสินอยู่ทางขวามือ พอถึงทางลงสะพานให้ชิดซ้ายไปทางถนนเจริญนครตามป้ายนะครับ ลงสะพานมาแล้วตรงไปอีกหน่อยจะเจอสามแยกตัดถนนเจริญนคร จากนั้นให้เลี้ยวซ้ายอีกครั้งเพื่อเข้าสู่ถนนเจริญนคร เลี้ยวซ้ายมาแล้วคราวนี้ตรงยาวเลยครับ ตรงมาเรื่องๆ จะเห็นสถานที่ก่อสร้างโครงการ ICONSIAM อยู่ฝั่งขวามือ เตรียมตัวเลี้ยวได้เลยครับ ทางเข้าสำนักงานขายจะมีป้ายโครงการบอกอย่างชัดเจน ทางเข้าสำนักงานขาย บรรยากาศรอบๆ สำนักงานขายจะอยู่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งตรงข้ามจะเป็นอาคาร CAT Tower   ภาพรวมโครงการ The Residences @ Mandarin Oriental, Bangkok เป็นโครงการที่พักอาศัยภายใต้แบรนด์ “แมนดาริน โอเรียนเต็ล” โครงการแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยยกเอามาตรฐานความหรูหราของแบรนด์ระดับโลกมาไว้ในโครงการด้วย เริ่มต้นจากการออกแบบตกแต่งภายในด้วยฝีมือของดีไซน์เนอร์ระดับโลกอย่าง Joyce Wang ทำให้ได้กลิ่นอายหรูหราในสไตล์ “แมนดาริน โอเรียลเต็ล” ในทุกๆ ตารางนิ้วของห้อง ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของเฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน วอลเปเปอร์ พรมปูพื้น การจัดไฟภายในห้อง ฯลฯ อย่างที่บอกไปแล้วว่าโครงการ The Residences @ Mandarin Oriental, Bangkok เป็นอาคารสูง 52 ชั้นริมแม่น้ำเจ้าพระยานะครับ มียูนิตรวมทั้งหมดเพียง146 ยูนิตเท่านั้น โดยจำนวนยูนิตต่อชั้นสูงสุดเพียง 4 ยูนิตเท่านั้น และทุกยูนิตจะมีลิฟท์ส่วนตัวจอดถึงหน้าห้อง เน้นถึงความเป็นส่วนตัวสูง โครงการนี้ทาง Mandarin Oriental ชูจุดเด่นด้วยบรรยากาศการพักอาศัยแบบ Super Luxury ที่เจ้าบ้านทุกยูนิตจะได้รับการดูแลเอาใจใส่ตามแบบมาตรฐาน Mandarin Oriental ไม่ว่าจะเป็น 24 hour Concierge Services, 24 hour Doorman, 24 hour Car Valet, 24 hour Security รวมถึงบริการอื่นๆ เช่น สิทธิประโยชน์พิเศษจากการได้เป็นสมาชิก Residences Elite Programme ของ Mandarin Oriental ซึ่งครอบคลุมทั่วโลก และสิทธิพิเศษสำหรับการช้อปกับร้านค้าภายในโครงการ ICONSIAM ฯลฯ นอกจากนี้ ภายในโครงการ The Residences @ Mandarin Oriental, Bangkok ยังจัดเตรียม Facility ต่างๆ ที่จะตอบสนองการอยู่อาศัยในรูปแบบที่หรูหราเหนือระดับไว้อีกมากมาย เช่น The Chao Phraya Lounge  The Mandarin Gallery  River Terrace  Outdoor Infinity Swimming Pool & Jacuzzi  Poolside Barbecue Terrace  Garden Loft  Golf Simulator & Virtual Game Room  Game Room  Private Fitness & Wellness Studio  Stream Room & Sauna  Separate Female and Male Changing Rooms  Children's Pool  Children's Playroom  Playground  Garden Loft พวก Facility เด่นๆ จะถูกรวมไว้ที่บริเวณชั้น 4-5 นะครับ ส่วนที่ชั้น 36 จะเป็น Sky Pavillion ซึ่งประกอบไปด้วย The Oriental Salon  Siam Salon  Lotus Business Suite  The Library และที่ลืมพูดถึงไม่ได้เลยก็คือ บริการจอดรถด้วยระบบอัตโนมัติ ที่เราสามารถจอดรถทิ้งไว้ที่ล็อบบี้ทางเข้าได้เลย แล้วจะมีลิฟท์อัจฉริยะช่วยอำนวยความสะดวกในการนำรถไปจอดให้ ซึ่งสามารถรองรับได้มากถึง 350 คันเลยทีเดียว โมเดลจำลองของโครงการ ICONSIAM ทั้งโครงการ ด้านซ้ายมือตึกสูงจะเป็นโครงการ Magnolias Waterfront Residences ส่วนตึกด้านขวามือคือโครงการ The Residences@Mandarin Oriental, Bangkok โมเดลจำลองสระว่ายน้ำของโครงการ ระบบจอดรถอัจฉริยะช่วยจัดการให้จอดรถได้ทั้งหมด 100% ห้องพักอาศัยจะเริ่มต้นตั้งแต่ชั้น 6 ขึ้นไปนะครับ ที่ชั้น 6-42 จะมีชั้นละ 4 ห้อง ส่วนใหญ่จะเป็นห้องแบบ 2 ห้องนอน ขึ้นมาที่ชั้น 43-47 จำนวนห้องจะเหลือ 3 ห้องต่อชั้น แบ่งเป็นห้องแบบ 3 ห้องนอน 2 ห้องและแบบ 2 ห้องนอน 1 ห้อง ชั้น 48-49 จะเหลือ 2 ห้องเป็นห้องแบบ Penthouse ขนาด 380 ตารางเมตร ชั้น 50 จะเหลือห้องเดียวเป็นห้อง Penthouse ขนาด 383 ตารางเมตร ห้องพักอาศัยที่อยู่ชั้นบนสุดที่ชั้น 51 และเป็นห้องไซส์ใหญ่สุดของโครงการเป็น Penthouse ขนาด 707.28 ตารางเมตร ในส่วนนี้เป็นเพียงภาพรวมโดยคราวๆ ของตัวโครงการเท่านั้นนะครับ แน่นอนว่ากลุ่มเป้าหมายหลักที่รักชอบในแบรนด์ Mandarin Oriental อยู่แล้ว คงจะเชื่อมั่นในการบริหารจัดการต่างๆ ที่จะเป็นไปตามมาตรฐานระดับโลกอย่างแท้จริง และคงตัดสินใจได้ไม่ยากเลยในการจับจองเป็นเจ้าของที่พักอาศัยหรูหราซักห้อง จริงมั้ยครับ บรรยากาศภายในห้องชุด เรามาพูดถึงภายในห้องพักอาศัยกันบ้างครับ ขนาดห้องเริ่มต้นของโครงการคือ 128.87 ตารางเมตร ไล่เรียงไปตั้งแต่ห้องแบบ 2 Bedroom, 3 Bedroom, Penthouse ไปจนถึงห้องแบบ Penthouse Duplex ซึ่งมีขนาดใหญ่สุดอยู่ที่ 707.28 ตารางเมตร โดยลูกค้าทุกคนสามารถเลือกได้ว่าจะซื้อแบบ Fully Fitted หรือจะเป็นแบบ Fully Furnished ครับ ตัวอย่างหน้าตาของวัสดุคุณภาพสูงตามมาตรฐานโครงการ ซึ่งใช้กับห้องทุกยูนิต และสิ่งที่จะได้มาพร้อมห้องก็คือ Private Lift Lobby Custom-design Flooring 2 meters Ceiling Height Floor To Ceiling Window Unparalleled View Walk-in Closet Bespoke Specifications Storage & Wash Area World Class Infrastructure System สำหรับ Option ในการเลือกซื้อห้องแบบ Fully Furnished จะมีความพิเศษอยู่ที่ การตกแต่งภายในทั้งหมดจะถูกออกแบบโดย Joyce Wang นักออกแบบตกแต่งภายในชื่อก้องโลก ซึ่งเป็นผู้ที่มีผลงานออกแบบดังๆ มากมาย เช่น The Landmark Mandarin Oriental Hotel ในฮ่องกง, Mandarin Oriental London, Xintaindi Penthouse และสำนักงานใหญ่ KHH และยังเพิ่มความพิเศษเฉพาะตัวให้กับเจ้าของห้องด้วยการเพิ่ม Option ในการเลือกชุดสีของเฟอร์นิเจอร์ภายในห้องได้ด้วยนะครับ  โดยสิ่งที่จะได้เพิ่มเติมมีดังนี้ Loose Furniture Carpets Curtains Wallpaper Tailor-mad Headboards by Fromental of London Lighting Fixtures บริเวณนี้เป็นโถง Private Lift ก่อนจะเข้าไปสู่ห้องพักนะครับ ด้านหน้า Private Lift จะมีตู้สำหรับวางของและเป็นตู้จดหมายไปในตัวด้วย ประตูเข้าห้องพักดีไซน์ไว้ตามแบบฉบับของโรงแรม Mandarin Oriental ประตูจะเป็นแบบ Digital Door Lock ของ Yale ทุกห้องนะครับ พอเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วจะเจอกับห้องโถงเล็กๆ อีกห้องก่อนเข้าสู่ห้องนอนด้านใน จากห้องโถงบริเวณหน้าประตูจะเป็นทางเดินยาวเข้าไปถึง Living Area ด้านใน แต่ก่อนเข้าไปด้านในเราเข้าไปดูห้องนอนเล็กที่อยู่ห้องแรกด้านขวามือกันก่อนนะครับ ห้องแรกเป็นห้องนอนเล็ก แต่ขนาดก็ไม่ได้เล็กเลยนะครับ เข้ามาในห้องนอนเล็กแล้วจะมีตู้เสื้อผ้า Built in อยู่ด้านซ้ายมือ ตู้เสื้อผ้าที่ Built in ไว้จะเป็นตู้ 3 บาน สูงถึงเพดาน ห้องน้ำจะอยู่ฝั่งตรงข้ามตู้เสื้อผ้า การตกแต่งห้องน้ำโครงการใช้โทนสีขาวดูสะอาดตา ผนังปูด้วยหินอ่อนสีขาว ส่วนพื้นจะปูด้วยกระเบื้องโมเสค อ่างล้างหน้าหินแท้สีดำทรงสี่เหลี่ยม วางอยู่บนท็อปหินอ่อนสีขาว พร้อมตู้เก็บของด้านล่าง โถสุขภัณฑ์จะใช้โถสุขภัณฑ์อัจฉริยะของ TOTO Shower Box จะอยู่ด้านในสุด กั้นด้วยกระจกเทมเปอร์สูงถึงฝ้าเพดาน ที่นั่งสำหรับอาบน้ำใน Shower Box ชุดฝักบัวของ Waterworks พร้อม Rain Shower ที่ติดอยู่ด้านบน ใน Shower Box จะมีหน้าต่างอยู่ด้วยนะครับ ทางโครงการก็ติดม่านกั้นมาให้เรียบร้อย เข้าไปดูในห้องนอนกันต่อ พื้นที่ในห้องนอนถือว่ากว้างขวางเลยนะครับ โครงการวางเตียง 5 ฟุตมาให้ ทำให้พื้นที่รอบๆ เหลือเยอะพอสมควร แต่ถ้าใครชอบเตียงใหญ่ๆ ก็สามารถวางเตียง King Size ได้สบายๆ ด้านบนโครงการดรอปฝ้ามาให้แบบนี้เลยนะครับ ปลายเตียงสามารถวางชั้นวางทีวีเล็กๆ ได้ พร้อมยังมีที่เหลือให้เดินได้สบายๆ หน้าต่างในห้องนอนเล็กจะเป็นบานสูงจากพื้นจนถึงฝ้าเพดาน แต่ไม่สามารถเปิดออกไปด้านนอกได้นะครับ อีกด้านโครงการจัดเป็นโต๊ะทำงานเล็กๆ ไว้ติดกับผนังห้อง มุมมองย้อนกลับไปที่หน้าห้อง เดี๋ยวเราไปดูห้องอื่นๆ กันต่อ ออกมาจากห้องนอนเล็กก็จะเจอกับห้องน้ำด้านนอก สุขภัณฑ์ที่ใช้ก็จะเหมือนกันห้องน้ำในห้องนอนเล็กเลยนะครับ โถสุขภัณฑ์อัจฉริยะของ TOTO แต่จะต่างกันตรงที่การตกแต่ง โดยห้องนี้ผนังจะเป็นภาพวาดแทนหินอ่อนเหมือนห้องน้ำในห้องนอนเล็ก ฝั่งตรงข้ามห้องน้ำจะเป็นห้องเก็บเครื่องซักผ้าที่แยกไว้อย่างเป็นสัดส่วน ขยับเข้ามาด้านในอีกหน่อยจะเป็นส่วน Dining Area มีโต๊ะทานอาหารทรงกลมขนาด 4 ที่นั่ง วางอยู่หน้าห้องครัว ห้องครัวจะเป็นแบบปิดนะครับ มีกระจกกั้นอย่างเป็นสัดส่วน เพื่อไม่ให้กลิ่นจากกระทำอาหารฟุ้งเข้าไปในตัวห้อง ชุดครัวจะใช้แบรนด์ระดับท็อปอย่าง Bulthaup ที่ Built in มาให้เรียบร้อย ภายในตู้เย็นที่โครงการ Built in มาให้ เคาน์เตอร์ครัวเป็นท็อปหิน มาพร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้าครบเซท เตาไฟฟ้าของ Gaggenau ด้านบนเป็นฮูดดูดควันยี่ห้องเดียวกัน ส่วนด้านล่างเป็น Microwave Oven ของ Gaggenau เช่นกัน ฝั่งตรงข้ามจะเป็นเคาน์เตอร์ซิงค์ล้างจานแนวยาว มองออกไปเห็น Living Area ที่อยู่ด้านนอก ด้านล่างเป็นตู้เก็บของ พร้อมเครื่องล้างจานของ Siemens ต่อจากห้องครัวไปจะเข้าสู่ส่วน Living Area ส่วน Living Area ถือว่าขนาดใหญ่เลยนะครับ อยู่ติดกับระเบียงมองออกไปเห็นโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา การตกแต่งหรูหราตามสไตล์ Mandarin Oriental โซฟา L-Shape สีครีมวางอยู่กลางห้องนั่งเล่น ฝั่งชั้นวางทีวี Built in มาให้เรียบร้อย จะใช้ทีวีแบบแขวนผนังหรือตั้งพื้นสามารถเลือกได้ตามใจชอบ พื้นที่ระเบียงบริเวณ Living Area จะกว้างพอสมควรเลยนะครับ สามารถวางเก้าอี้ไว้นั่งพักผ่อนรับลมเย็นๆ ชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้เลย มุมมองย้อนกลับเข้าไปในห้อง จาก Living Area เราเข้าไปดูห้อง Master Bedroom กันต่อเลยครับ ภายในห้อง Master Bedroom ถือว่ากว้างเลยนะครับ เตียงที่โครงการวางมาให้จะเป็นเตียง King Size พร้อมหัวเตียงแบบในห้องตัวอย่างเลยนะครับ ออปชั่นพิเศษในห้อง Master Bedroom คือภาพหัวเตียงที่สั่งทำพิเศษโดย Fromental of London ซึ่งมีให้เลือก 3 แบบ ตามตัวอย่างข้างต้น ปลายเตียงโครงการวางชั้นวางทีวีเล็กๆ มาให้ พร้อมเก้าอี้อาร์มแชร์ที่สามารถเลือกสีได้ 3 แบบ ระเบียงภายในห้องจะกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนสูงถึงฝ้าเพดาน พื้นที่ระเบียงจะเชื่อมต่อไปถึง Living Area ราวกันตกจะเป็นกระจกเทมเปอร์ใส กลับมาดูด้านในห้องต่อ ข้างเตียงอีกด้าน โครงการจัดเป็นโต๊ะทำงาน พร้อมชั่นวางของ Built in ติดกันเป็น Walk in Closet ก่อนเข้าไปที่ห้องน้ำ ที่ผนังจะ Built in เป็นตู้เสื้อผ้ายาวไปจนถึงห้องน้ำ พร้อมกับโต๊ะเครื่องแป้งอยู่ตรงหน้าห้องน้ำพอดี ประตูทางเข้าห้องน้ำจะเป็นบานเลื่อนสีทองขนาดใหญ่ 2 บาน เลื่อนเข้าหากัน ห้องน้ำในห้อง Master Bedroom จะได้ขนาดใหญ่เลยนะครับ แยกออกเป็น 2 ฝั่ง ตกแต่งด้วยหินอ่อนทั้งที่พื้นและผนัง มีอ่าง Jacuzzi วางอยู่ตรงกลาง โถสุขภัณฑ์และ Shower Box จะแยกกันอยู่คนละฝั่ง ด้านหน้าห้องน้ำทั้ง 2 ฝั่งจะเป็นเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้า มุมมองจากห้องน้ำย้อนกลับออกไปด้านนอก จะเห็นอ่างล้างหน้าอยู่ทั้ง 2 ฝั่ง เลยเข้ามาด้านในจะเป็นอ่าง Jacuzzi วางอยู่ตรงกลาง ติดกับหน้าต่าง ติดกับ Jacuzzi มีหน้าต่างให้ชมวิวระหว่างนอนแช่น้ำสบายๆ โถสุขภัณฑ์อัจฉริยะของ TOTO จะอยู่ฝั่งซ้ายมือ แยกไว้เป็นสัดส่วน มีประตูกระจกกั้น ส่วน Shower Box จะอยู่ฝั่งขวามือ พื้นที่ Shower Box จะใกล้เคียงกับของห้องนอนเล็ก ชุดฝักบัวของ Waterworks เหมือนเดิมครับ ด้านบนเป็น Rain Shower คราวนี้เรามาดูภาพแบบ 360 องศาของส่วนต่างๆ ภายในห้องกันบ้างนะครับ จะได้เห็นภาพของห้องแบบชัดๆ Click to play Click to play Click to play   ถึงแม้ราคาเริ่มต้นต่อตารางเมตรของโครงการ The Residences @ Mandarin Oriental, Bangkok จะสูงถึง 350,000 บาท แต่ก็เชื่อได้ว่า ความพิเศษของโครงการที่โดดเด่นทั้งทำเลที่ตั้ง และชื่อเสียงของแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกอย่าง Mandarin Oriental  คงจะเป็นเครื่องการันตีได้ว่าเจ้าบ้านทุกยูนิตจะได้รับการบริการที่หรูหราขั้นสุด สมกับความเป็นคอนโดระดับ Super Luxury อย่างแน่นอน และคงหาโครงการอื่นมาเทียบได้ยากมากนะครับ สามารถติดต่อนัดหมายเข้าชมห้องตัวอย่างได้ที่ 02-118-2211 คอนโด ริมแม่น้ําเจ้าพระยา โครงการอื่นๆ RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน The Politan Rive The Politan Breeze
พาชมห้องตัวอย่าง Whizdom Station รัชดา-ท่าพระ : รีวิวคอนโด

พาชมห้องตัวอย่าง Whizdom Station รัชดา-ท่าพระ : รีวิวคอนโด

เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา ทางโครงการ Whizdom Station รัชดา-ท่าพระ ได้เปิดสำนักงานขายให้สื่อมวลชนได้เข้าชมห้องตัวอย่างสวยๆ ก่อนใคร ซึ่งงานนี้ผู้บริหารได้พาชมห้องตัวอย่าง พร้อมบอกเล่ารายละเอียดของโครงการด้วยตัวเองเลยทีเดียว ทางทีมงานจึงไม่พลาดเก็บภาพห้องตัวอย่าง พร้อมรายละเอียดของโครงการมาให้ได้ชมก่อนที่จะมีการเปิดให้ขายจริงวันที่ 12 มีนาคมนี้นะครับ รายละเอียดโครงการ ราคาเริ่มต้น    2 ล้านต้นๆ เจ้าของโครงการ    MQDC (THAILAND) PUBLIC COMPANY LIMITED ลักษณะคอนโด    High Rise สูง 37 ชั้น 1 อาคาร จำนวนห้อง    690 ยูนิต ที่จอดรถ    ประมาณ 295 คันคิดเป็น 43% พื้นที่โครงการ    3 ไร่ 53 ตารางวา ที่ตั้งโครงการ    ถนนรัชดาภิเษก แขวงดาวคะนอง เขตธนบุรี กรุงเทพฯ เริ่มก่อสร้าง    ปลายปี 2016 คาดว่าจะแล้วเสร็จ    ปลายปี 2018 โครงการ Whizdom Station รัชดา-ท่าพระ ตั้งอยู่บนทำเลสวยติดถนนใหญ่ ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าตลาดพลูเพียง 80 เมตร ตัวโครงการประกอบไปด้วยอาคารคอนโดมิเนียม 1 อาคาร สูง 37 ชั้น พร้อมด้วย Facility ครับครันทั้ง สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือแบบ Infinity Pool Edge, Pool Lounge, Fitness, Glass House Sky Lounge, Co-Working Space, E-Library, Life Style Shop และพื้นที่สีเขียว สำหรับห้องตัวอย่างของโครงการ Whizdom Station รัชดา-ท่าพระ มีให้ชมด้วยกัน 3 ห้อง มีทั้ง ห้องแบบ 1 Bedroom และ 2 Bedroom เราไปดูกันเลยดีกว่าครับ ว่าห้องตัวอย่างจะมีหน้าตาสวยถูกใจแค่ไหน ห้องแรกเป็นห้อง 1 ห้องนอน Type B ขนาด 27.82 ตารางเมตร ต่อมาเป็นแบบ 1 ห้องนอนเหมือนกันนะครับ แต่ขนาดจะใหญ่ขึ้นมาอีกเป็น 32.61 ตารางเมตร ห้องสุดท้ายเป็นแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 48.01 ตารางเมตร สำหรับคนที่สนใจสามารถลงทะเบียนล่วงหน้า หรือเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่ http://www.mqdc-whizdom.com/whizdomratchada-thapra.php?m=Project