เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ปรับแผนธุรกิจปี 65 เพิ่มพอร์ต บ้านหรู ปูทางโตอย่างยั่งยืน เล็งรายได้คอนโด 20%

ติดต่อโครงการ


Fpt Frasers Home 5

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ปรับแผนธุรกิจปี 65 เพิ่มพอร์ต บ้านหรู ปูทางโตอย่างยั่งยืน เล็งรายได้คอนโด 20%

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ลุยธุรกิจ ปี 65 ปรับพอร์ตใหม่ ลุยตลาดบ้านเดี่ยว พร้อมเปิดตัวบ้านหรู 200 ล้าน ชู 4 กลยุทธ์สร้างรายได้ 13,000 ล้าน หวังสร้างการเติบโตบนความยั่งยืน  ขณะเดียวกัน เตรียมซื้อที่ดินสร้างรายได้คอนโด 20% ในปี 68

 

เฟรเซอร์ส พร็อพเพรอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) ได้เคยประกาศแผนธุรกิจไว้ว่าจะขึ้นเป็นผู้นำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ติดอันดับ 3 ภายในระยะปี 2566 กับยอดรายได้ 20,000 ล้านบาท โดยเฉพาะการเป็นเบอร์ 1 ในตลาดบ้านแฝดและบ้านแนวราบในต่างจังหวัด แต่ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ที่ต่อเนื่องมากว่า 2 และส่งผลกระทบที่รุนแรง ทำให้หลายธุรกิจเกิดการชะลอตัวลง กำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ลดลง โดยเฉพาะกับกลุ่มคนระดับกลาง-ล่าง ที่กำลังซื้อหายไปมาก แถมยังมีหนี้ครัวเรือนพุ่งสูงอีกด้วย

Frasers Home

กลุ่มคนดังกล่าว ถือเป็นตลาดหลักที่เฟรเซอร์ส พร็อพเพรอร์ตี้ โฮม โฟกัสอยู่ เพราะเป็นฐานลูกค้าสำคัญของกลุ่มสินค้าบ้านแฝดและทาวน์โฮม ส่งผลให้​เฟรเซอร์ส พร็อพเพรอร์ตี้ โฮม กลับมาปรับแผนธุรกิจกันใหม่ ด้วยการมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ซึ่งตามความหมายของ นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวไว้ คือ การมีสินค้าครบวงจรมากขึ้น

 

จากเดิมที่ตลาดหลักโฟกัสอยู่ที่กลุ่มทาวน์โฮม จนขึ้นเป็นผู้นำติดอันดับต้น ๆ ของวงการอสังหาฯ การเติบโตของบริษัทที่ผ่านมาก่อนจะพบกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงยืนอยู่บนกลุ่มสินค้าทาวน์โฮม แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังจากพบว่ากลุ่มลูกค้าหลักได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจ ปีนี้จึงได้ปรับเพิ่มสัดส่วนสินค้าประเภทบ้านเดี่ยว บ้านในเมืองมากขึ้น ขณะเดียวกันวางแผนไปสู่การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมอีกด้วย

เฟรเซอร์ส พร็อพเพรอร์ตี้ โฮม ขายบ้านหลังละ 200 ล้าน

กลุ่มลูกค้าที่ถือว่ายังมีกำลังซื้อดีและไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ คือ กลุ่มลูกค้าระดับบนและเศรษฐี ซึ่งยังมีความต้องการซื้อบ้านเดี่ยว เพื่อการขยายครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น ปีนี้บริษัทจึงบุกตลาดกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับบนมากขึ้น ในระดับราคาตั้งแต่ 8 ล้านบาทขึ้นไป  โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเดี่ยวตลาดลักชัวรี่ ซึ่งปีนี้วางแผนขายบ้านระดับราคาสูงถึงหลังละ 200 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์เดอะรอยัล เรสซิเดนซ์ (The Royal Residence) หลังจากช่วงปีที่ผ่านมา ได้เข้าซื้อบริษัท ทีซีซีซีแอล เสนา จำกัด เจ้าของโครงการเดอะรอยัล เรสซิเดนซ์ เป็นเงินกว่า 591 ล้านบาท และ​ทำตลาดโครงการบ้านเดี่ยวแบบใหม่ “แกรนดิโอ” (GRANDIO) และ City Home อย่างแบรนด์ เดอะ แกรนด์ วิภาวดี 60” (THE GRAND Vibhavadi 60)  

Fpt Frasers Home 4

โดยสัดส่วนการเปิดโครงการในปี 2565 บริษัทจะเน้นการขยายตลาดไปยังกลุ่มบ้านเดี่ยว กลุ่มบ้านในเมือง และบ้านระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ สัดส่วน 35% และบ้านแฝด สัดส่วน 20% ทาวน์โฮม สัดส่วน  35% และตลาดต่างจังหวัด 10% จากปีที่ผ่านมาตลาดหลักเป็นกลุ่มทาวน์โฮม สัดส่วน 60% บ้านแฝด 20% บ้านเดี่ยว 10% และต่างจังหวัด 10%

 

นอกจากนี้ ยังพบว่าตลาดทาวน์โฮมได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อ และความสามารถในการขอสินเชื่อ ซึ่งพบว่ากลุ่มลูกค้าทาวน์โฮมในปีที่ผ่านมาถูกปฏิเสธสินเชื่อ 60-70% หากไม่ได้ทำการตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นก่อนการขอสินเชื่อธนาคาร (Pre-approved) แต่หากมีการทำ Pre-approved แล้วก็ยังพบว่ามีกลุ่มลูกค้าที่ถูกปฏิเสธการขอสินเชื่ออยู่ 20-30% ซึ่งในภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าระดับบนและกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อมีศักยภาพมากกว่า ประกอบกับสถานการณ์ปัจจุบัน ลูกค้าต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ เพื่อการใช้ชีวิตในบ้านมากขึ้น และการอยู่อาศัยกันคนจำนวนมาก

เล็งปั้นรายได้คอนโด 20%

ในปีนี้บริษัทจะเริ่มต้นขยายไปสู่ตลาดคอนโด  ด้วยการเตรียมจัดหาซื้อที่ดิน 1 แปลง ภายใต้งบประมาณ 300-400 ล้านบาท เพื่อเตรียมพัฒนาโครงการคอนโด 1 โครงการ โดยมองช่องว่างของตลาดว่ายังมีโอกาส สำหรับการพัฒนาในทำเลแนวรถไฟฟ้า ย่านรอบ ๆ ใจกลางเมือง เน้นความสะดวกสบายของการเดินทาง  โครงการขนาดเล็ก หรือโลว์ไรซ์ มีจำนวนห้องต่อโครงการประมาณ 200 ยูนิต ซึ่งจะจับกลุ่มเป้าหมายคนเจนวาย และเจนเอ็กซ์ เป็นพนักงานประจำ ซึ่งมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 40,000 บาทขึ้นไป สามารถซื้อคอนโดในระดับราคา 2-3 ล้านบาทต่อยูนิตได้

 

สำหรับแผนการพัฒนาโครงการคอนโด ในปีแรกจะมองหาซื้อที่ดิน 1 แปลง และขอ EIA หรือ รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งคาดว่าใช้เวลาประมาณ 1 ปี และเปิดการขายพรีเซลล์ หลังจากนั้นจะเริ่มการก่อสร้าง เพื่อวางแผนรับรู้รายได้โครงการแรกในปี 2568 ซึ่งเฟรเซอร์ส พร็อพเพรอร์ตี้ โฮวางแผนการพัฒนาโครงการคอนโดต่อเนื่องใน 4 ปี  ซึ่งในปี 2566 จะหาซื้อที่ดินอีก 2 แปลง ปี 2567 ซื้ออีก 5 แปลง และปี 2568 จะซื้ออีก 7 แปลง ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้จากโครงการคอนโดประมาณ 20% ภายในปี 2568 ตามเป้าหมายที่วางไว้​

Fpt Frasers Home 2

วาง 4 กลยุทธ์ก้าวสู่การเติบโตที่ยั่งยืน

สำหรับปี 2565 ฟรเซอร์ส พร็อพเพรอร์ตี้ โฮม วางเป้าหมายราได้ไว้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากโครงการที่เปิดขายแล้ว 62 โครงการ และมีการเปิดโครงการ 25 โครงการ มูลค่า 29,500 ล้านบาท ประกอบด้วย ทาวน์โฮม 10 โครงการ  นีโอ โฮม บ้านแฝด 2 โครงการ บ้านเดี่ยว 10 โครงการ และ โครงการต่างจังหวัด 3 โครงการ ซึ่งปีนี้บริษัทไม่มุ่งเน้นในด้านยอดขายมากนัก เนื่องจากไม่สามารถประมาณการรายได้ตามจริงได้ จากสถานการณ์การปฏิเสธสินเชื่อ หรือภาวการณ์แข่งขัน ที่พบว่ารุนแรงมากขึ้น คู่แข่งบางรายพร้อมเสนอโปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์ ให้กับลูกค้าที่ผ่านคุณสมบัติการได้รับวงเงินกู้จากธนาคาร เพื่อแย่งชิงฐานลูกค้าไปก็มีให้เห็นหลายราย

 

ปัจจุบันยอดขายไม่ได้สำคัญมากนัก เพราะก็ไม่สามารถประมาณการรายได้ แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่า คือ ความมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของลูกค้าในการซื้อบ้าน ที่จะทำให้บริษัทก้าวไปสู่ความยั่งยืนได้อย่างแท้จริง จึงเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญมาตลอดในการพัฒนาบ้านให้เป็นบ้านที่ตรงความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ที่โดดเด่นสวยหรูถูกใจ ทำเลที่มีศักยภาพสูง พร้อมฟังก์ชั่นครบคุ้มโดนใจ ที่นับเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจซื้อของลูกค้า

 

เพื่อให้ฟรเซอร์ส พร็อพเพรอร์ตี้ โฮม สามารถสร้างรายได้เติบโตตามเป้าหมาย จึงได้วาง 4 กลยุทธ์ในการทำตลาดในปีนี้ ภายใต้ปัจจัยลบต่าง ๆ ที่มีมากมาย ดังนี้

1.Land Bank Development

บริษัทได้เปรียบจากต้นทุนที่ดินเดิม ที่ซื้อไว้ก่อนหน้า ซึ่งราคาที่ดินเพิ่มขึ้นทกปี ในปี 2562 ปรับเพิ่มขึ้น 25% ปี 2563 ปรับเพิ่มขึ้น 29% และปี 2564 ปรับเพิ่มขึ้น 20%  โครงการที่เปิดในปีนี้ บริษัทมีที่ดินเดิมรองรับการพัฒนา 90%

ปีนี้บริษัทเตรียมงบประมาณการซื้อที่ดินไว้ 5,000 ล้านบาท จากในอดีตที่ใช้งบซื้อที่ดินปีละ 10,000-12,000 ล้านบาท

2.Portfolio Diversification

การกระจายพอร์ตสินค้า เพิ่มแบรนด์ให้หลากหลาย โดยการปรับสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นการกระจายรายได้ และส่วนแบ่งของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัท โดยวางกลยุทธ์ของแต่ละผลิตภัณฑ์ ดังนี้

 

-บ้านเดี่ยว & City Home พัฒนาแบบบ้านเดี่ยวรุ่นใหม่ให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามากขึ้น ยกระดับการใช้ชีวิตในสังคมการอยู่อาศัย ทั้งดีไซน์ ฟังก์ชั่น บนทำเลศักยภาพสูง

-ทาวน์โฮม​ รักษาตลาดทาวน์โฮม ในการเป็นผู้นำนวัตกรรมทาวน์โฮมที่มีคุณภาพ โดนเด่นด้วยฟังก์ชั่น ที่ครองใจกลุ่มลูกค้า บนทำเลศักยภาพสูง

-นีโอ โฮม บ้านแฝดที่เน้นสไตล์หรูหรา เทียบเท่าบ้านเดี่ยว เน้นทำเลใกล้เมือง ด้วยราคาที่จับต้องได้

-ต่างจังหวัด บุกตลาดใหม่ ในจังหวัดที่มีศักยภาพ และรักษากลุ่มลูกค้าฐานจังหวัดเดิม โดยเปิดโครงการใหม่เพื่อทดแทนโครงการเดิมที่ใกล้จะหมด ด้วยแบบบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต

-คอนโด ซื้อที่ดิน และพัฒนาที่ดิน เน้นกลุ่ม Real Demand อยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก

3.Quality

พัฒนาและรักษามาตรฐานการก่อสร้างในทุกโครงการทั้งตัวบ้านและสาธารณูปโภค ด้วยการดูแลจากทีมงานคุณภาพ Quality Development ของบริษัท ถือเป็นการ Double Inspect และเรื่องการบริการ (Service) บริษัทสร้างความประทับใจ ในทุกระดับ พร้อมบริการเดินสาย Fiber Optic ให้ลูกบ้าน

Fpt Frasers Home 1

4.Technology  

พัฒนาแอปพลิเคชั่นใหม่ HOME+ (โฮมพลัส) ที่จะชวนทุกคนมาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ เหมือนมีผู้ช่วยเรื่องบ้านที่รู้ใจอยู่ใกล้ตัวตลอด 24 ชั่วโมง HOME+ แอปพลิเคชั่นที่มาสร้างสีสันในการใช้ชีวิตมากขึ้น ฟังก์ชั่นพิเศษสะสมคะแนน เพื่อแลกสิทธิพิเศษ ของรางวัลฟรีๆ และส่วนลดมากมาย เต็มอิ่มไปกับสาระน่ารู้ที่สร้างความสนุกสนาน เพลิดเพลิน พิเศษอีกระดับสำหรับลูกบ้านกับบริการครบวงจรและสิทธิพิเศษมากมาย สามารถใช้ได้ทั้งลูกบ้านและประชาชนทั่วไป

ปีนี้เป็นที่ท้าทาย ท่ามกลางการระบาดโควิด -19 ระลอกใหม่ ต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% การปฏิเสธสินเชื่อ ความไม่มั่นใจของลูกค้าในการซื้อบ้าน รายได้ที่ไม่เพียงพอ ภาวการณ์แข่งขันที่สูง ดีเวลลอปเปอร์เข้ามาทำตลาดแนวราบมากขึ้น เพื่อชดเชยรายได้จากคอนโดที่หายไป ​

 

อ่านข่าวเพิ่มเติม

 

บทความ ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด