ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 2 3 ... 105
เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น คว้ารางวัล Mall of the Year - Thailand

เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น คว้ารางวัล Mall of the Year - Thailand

เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น คว้ารางวัล Mall of the Year - Thailand จากเวที Retail Asia Awards 2025 ด้วยวิสัยทัศน์ AWC ร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก   แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ตอกย้ำความสำเร็จบนเวทีระดับภูมิภาคอีกครั้ง ด้วยการนำ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น (Asiatique The Riverfront Destination) คว้ารางวัล Mall of the Year - Thailand (รางวัลศูนย์การค้าแห่งปี – ประเทศไทย) จากงาน Retail Asia Awards 2025 สำหรับโครงการภายใต้ AWC’s Lifestyle Destination โมเดลที่โดดเด่นในฐานะรีเทล-เทนเม้นท์ (Retail-Tainment’) ริมแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดของไทย รวมที่สุดของทุกกิจกรรมการท่องเที่ยวเช้าจรดค่ำสำหรับทุกคนในครอบครัวภายใต้แนวคิด “All Day Everyday Happiness” นำเสนอประสบการณ์ที่หลากหลายทั้งด้านการช้อปปิ้ง มรดกทางวัฒนธรรม และนวัตกรรมด้านอาหาร ผสานประสบการณ์ความบันเทิงระดับโลก เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ พร้อมเตรียมสร้างความตื่นเต้นต่อเนื่องกับการเปิดตัวโครงการ Jurassic World: The Experience อย่างเป็นทางการในวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ควบคู่กับ Jurassic World: The Experience Hatch Dome ที่นำเสนอประสบการณ์เรียนรู้ด้านความยั่งยืน “Better World, Better Future” ผ่านเทคโนโลยี 4D เสมือนจริง โดยแหล่งท่องเที่ยวใหม่เหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกรุงเทพฯ ให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านรีเทล-เทนเม้นท์ระดับโลก สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ AWC ในการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนผ่านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก     มร. ไมเคิล ฮาริท หัวหน้าคณะกลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียล แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “AWC รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัล ‘Mall of the Year – Thailand’ และขอขอบคุณท่านลูกค้า ผู้เช่าทุกท่าน รวมถึงพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ให้การสนับสนุนทางโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น มาโดยตลอดจนได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในวันนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนาโครงการในรูปแบบ AWC’s Lifestyle Destination ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างจุดหมายปลายทางอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งขับเคลื่อนด้วยประสบการณ์ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านรีเทล-เทนเม้นท์ชั้นนำของประเทศ โดย AWC มุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์ระดับโลกแก่ผู้มาเยือนผ่านการสร้างสรรค์ 3 ประสบการณ์สำคัญ ได้แก่ การนำเสนอประสบการณ์ระดับโลกภายใต้แนวคิด Festival Village อาทิ Jurassic World: The Experience และประสบการณ์ 4D ด้านความยั่งยืน‘Better World, Better Future’ รวมถึงการสร้างความโดดเด่นในฐานะจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุด โดยมีไฮไลต์ใหม่ล่าสุดอย่างห้องอาหารภายใต้ธีม Jurassic World แห่งแรกของโลกนอกสวนสนุก รวมถึงการสร้างสรรค์ Lifestyle Market ที่คัดสรรแบรนด์ชั้นนำและร้านค้าท้องถิ่นหลากหลาย ภายใต้พันธกิจของเราที่จะ ‘Building Better Future For All’ เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้ทุกคน”     รางวัล Retail Asia Awards จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีโดยนิตยสาร Retail Asia ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องมากว่า 20 ปี เพื่อยกย่องความเป็นเลิศขององค์กรชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มีบทบาทโดดเด่นในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมค้าปลีก ทั้งในด้านนวัตกรรม ประสบการณ์ลูกค้า ความยั่งยืน และการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสังคมและเศรษฐกิจ โดยการคว้ารางวัล Mall of the Year - Thailand สะท้อนถึงความสำเร็จของ AWC ในการพัฒนาโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ให้เป็นแลนด์มาร์กสำคัญระดับโลก โดยโครงการนี้ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของ AWC River Journey Project ที่เชื่อมโยงแลนด์มาร์กทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวริมสายน้ำเจ้าพระยา โดยตั้งอยู่บนพื้นที่ประวัติศาสตร์ซึ่งเดิมเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าแห่งแรกของประเทศไทยในยุครัชกาลที่ 5 ซึ่ง AWC ได้พลิกโฉมพื้นที่แห่งนี้ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พร้อมผสานประสบการณ์และการบริการทันสมัย ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกไลฟ์สไตล์ตามคอนเซปต์ “All Day Everyday Happiness” นำเสนอกิจกรรมหลากหลาย ตั้งแต่ร้านอาหารริมแม่น้ำ ประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม การช้อปปิ้ง ไปจนถึงความบันเทิงระดับโลก     นอกจากนี้ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ยังสร้างความตื่นเต้นอย่างต่อเนื่องในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลก ด้วยการเตรียมเปิดตัว “Jurassic World: The Experience” ประสบการณ์ความบันเทิงรูปแบบอิมเมอร์ซีฟครั้งยิ่งใหญ่ใหม่ที่สุดในโลกสำหรับครอบครัวและนักท่องเที่ยวทุกวัย เคียงคู่กับ Jurassic World: The Experience Hatch Dome ที่นำเสนอ “Better World, Better Future” ประสบการณ์เรียนรู้ด้านความยั่งยืนของ AWC ผ่านเทคโนโลยี Liminal 4D Experience ผ่านเรื่องราวการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เข้ากับการตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติในปัจจุบัน นอกจากนี้ AWC ยังได้ขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับหลากหลายพันธมิตร ทั้งหน่วยงานภาครัฐ พันธมิตรระดับโลก และเครือโรงแรมชั้นนำมากมาย เพื่อนำเสนอประสบการณ์ด้านอาหารและการบริการริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านการคัดสรรร้านอาหารคุณภาพเยี่ยมที่หลากหลาย อาทิ Jurassic World: The Experience Fossil & Flame Restaurant ห้องอาหารธีม Jurassic World แห่งแรกของโลกนอกสวนสนุก ที่ผสานเรื่องราวจากภาพยนตร์เข้ากับประสบการณ์การรับประทานอาหารในรูปแบบอิมเมอร์ซีฟ ห้องอาหาร “เอเชียทีค แอนเชี่ยนท์ ที เฮ้าส์”  ร้านติ่มซำที่บอกเล่าเรื่องราวเชื่อมโยงระหว่างราชอาณาจักรสยามและนานาชาติบนพื้นที่ประวัติศาสตร์ ห้องอาหาร “เดอะ คริสตัลล์ กริลล์ เฮาส์” ร้านสเต็กเฮาส์และซีฟู้ดกริลล์สุดพิเศษ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากประวัติศาสตร์การค้าขายของสยามกับนานาประเทศในช่วงรัชกาลที่ 5 เชื่อมโยงกับ “เรือสิริมหรรณพ” ที่สร้างจากต้นแบบเรือใบสามเสาลำสุดท้ายในราชนาวีไทยที่นำพาความรุ่งเรืองจากโพ้นน้ำตะวันตกมาสู่ผืนดินสยาม รวมถึง “โอกุระ ครุซ” เรือไคเซกิและเทปันยากิสุดหรูลำแรกของโลกโดยโอกุระ ที่มอบประสบการณ์ระดับไฟน์ไดนิ่งหรูหราไม่ซ้ำใคร ผสานประเพณีการทำอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมเข้ากับเรื่องราวแบบร่วมสมัย ซึ่งล้วนแต่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ     ด้วยวิสัยทัศน์ในการพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด AWC’s Lifestyle Destination เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ AWC มุ่งมั่นสร้างสรรค์โครงการแลนด์มาร์กที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก ด้วยพันธกิจ Building Better Future For All หรือ สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้ทุกคน   ข่าวที่น่าสนใจ AWC ร่วมกับ แมริออท เปิดตัว “รร. พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา” บนหาดจอมเทียน AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์ AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น
Midea รุกตลาดระบบปรับอากาศสำหรับอาคารพาณิชย์ ตั้งโรงงานใหม่ในระยอง

Midea รุกตลาดระบบปรับอากาศสำหรับอาคารพาณิชย์ ตั้งโรงงานใหม่ในระยอง

Midea รุกตลาดระบบปรับอากาศสำหรับอาคารพาณิชย์ ตั้งโรงงานใหม่ในระยอง Midea (ไมเดีย) ผู้นำด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอัจฉริยะระดับโลก เดินหน้าขยายธุรกิจภายใต้ชื่อ Midea Building Technologies (MBT) ขยายทีมบริการครบวงจร เดินหน้าสร้างพันธมิตรคู่ค้าทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมความพร้อมรุกตลาดระบบปรับอากาศสำหรับอาคาร พร้อมเปิดโรงงานบนพื้นที่ 46 ไร่ในนิคมอุตสาหกรรมซีพีจีซี จังหวัดระยอง ด้วยงบลงทุน 2,260 ล้านบาท ชูนวัตกรรมระบบปรับอากาศสำหรับอาคารเชิงพาณิชย์ที่ประหยัดพลังงาน ลดต้นทุนการติดตั้ง และมีอายุการใช้งานยาวนาน พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมระบบปรับอากาศไทย ขับเคลื่อนแรงงานศักยภาพและเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน   ปัจจุบันความต้องการระบบทำความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศ (HVAC) ในภาคครัวเรือน เชิงพาณิชย์ และภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งแปรผันตามการขยายตัวของเมืองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา โดยคาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมระบบ HVAC ทั่วโลกจะเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ร้อยละ 6.4 ตั้งแต่ปี 2567 ถึงปี 2574 คิดเป็นมูลค่า 218,320 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2567 และเติบโตถึง 338,620 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2574 โดยตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับระบบ HVAC เนื่องจากปัจจัยขับเคลื่อนต่าง ๆ อาทิ การเติบโตของประชากร สภาพภูมิอากาศ การขยายตัวของเมืองที่เพิ่มขึ้น และภาคการก่อสร้างเชิงพาณิชย์ที่ขยายตัว[1]     ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องปรับอากาศที่สำคัญระดับโลก และส่งออกเครื่องปรับอากาศแบบติดผนังมากกว่า 21 ล้านเครื่องในปี 2567 คิดเป็นมูลค่าการส่งออกถึง 7,044 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปี 2566 ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและเม็กซิโก [2]   นายแจ๊ปสัน ไจ๋ ผู้อำนวยการ Midea Building Technologies ประเทศไทย กล่าวว่า “การขยายธุรกิจของไมเดียสู่ตลาดระบบปรับอากาศสำหรับอาคารเชิงพาณิชย์ภายใต้ชื่อ Midea Building Technologiesนับเป็นก้าวสำคัญภายใต้กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของไมเดียเพื่อตอกย้ำการเป็น World’s No. 1 Air Treatment Brand โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพทั้งในเชิงพื้นที่และตลาดเครื่องปรับอากาศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ไมเดียเชื่อมั่นว่าการเปิดโรงงานผลิตระบบปรับอากาศสำหรับอาคารแห่งนี้จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจระบบปรับอากาศในเมืองไทยให้เติบโตยิ่งขึ้น ผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดระยองและจังหวัดใกล้เคียง”     “ไมเดียได้เตรียมความพร้อมในการรองรับการขยายธุรกิจสำหรับระบบปรับอากาศสำหรับอาคารเชิงพาณิชย์ในด้านบุคลากรที่จะสนับสนุนการบริการครบวงจร ทั้งทีมขาย ทีมวิศวกรรม และทีมผู้เชี่ยวชาญด้านระบบปรับอากาศสำหรับอาคารเชิงพาณิชย์ รวมถึงมีแผนในการตั้งศูนย์ Training Center ระดับ 5 ดาวอย่างเป็นทางการแห่งแรกในประเทศไทยภายในปลายปีนี้ เพื่อรองรับการพัฒนาศักยภาพแรงงานและส่งเสริมบุคลากรสำหรับตลาดระบบปรับอากาศสำหรับอาคาร  นอกจากนี้ยังมีการขยายและสร้างพันธมิตรทางธุรกิจให้มีความหลากหลายเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด HVAC ในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นตั้งแต่วิศวกรผู้ออกแบบระบบจนถึงเจ้าของโครงการทั้งภาครัฐและเอกชน” นายแจ๊ปสัน กล่าวเสริม     ล่าสุดไมเดียได้เปิดโรงงานแห่งใหม่สำหรับผลิตระบบปรับอากาศโดยเฉพาะบนพื้นที่ 46 ไร่ในนิคมอุตสาหกรรมซีพีจีซี อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง ด้วยงบการลงทุน 2,260 ล้านบาท ซึ่งมีกำลังการผลิต 600,000 ยูนิตต่อปี โดยใช้เทคโนโลยีโลจิสติกส์อัจฉริยะ “1+3+3+N” ประกอบด้วย ศูนย์โลจิสติกส์ 1 แห่ง คลังสินค้าสามมิติ 3 แห่ง สายพานลำเลียงแบบพิเศษ 3 ชุด และรถขนส่งอัตโนมัติ (AGV) จำนวน N ชุด โดยผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในโรงงานแห่งนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เลือกใช้วัสดุในการผลิตที่สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ ทั้งพลาสติกรีไซเคิลและวัสดุทางเลือก รวมถึงการใช้สารทำความเย็นที่มีค่า GWP ต่ำ เช่น R454B และ R290 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างห่วงโซ่อุปทานสีเขียวและสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และนโยบายการดำเนินธุรกิจของไมเดียในการให้ความสำคัญด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมและลดคาร์บอนอย่างต่อเนื่อง อันเป็นรากฐานในการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน   สำหรับผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศสำหรับอาคารที่ผลิตในโรงงานแห่งนี้ ประกอบด้วย Variable Refrigerant Flow (VRF) ระบบปรับอากาศแบบปรับปริมาณน้ำยาอัตโนมัติที่ออกแบบโดยคำนึงถึงนวัตกรรมการประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสำคัญซึ่ง VRF ของ MBT มีนวัตกรรมที่โดดเด่น ดังนี้ เทคโนโลยี HyperLink ชิปบัสการสื่อสารที่ช่วยให้การติดตั้งง่ายขึ้น ลดต้นทุนการติดตั้ง และรองรับการเดินสายแบบยืดหยุ่น ช่วยให้ระบบสามารถใช้ไฟฟ้าได้สม่ำเสมอ เหมาะสำหรับอาคารขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อน เทคโนโลยี Shieldbox ตู้ควบคุมไฟฟ้าแบบปิดมาตรฐาน IP55 ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รับความเสียหายจากปัจจัยภายนอก มาพร้อมกับการระบายความร้อนและพัดลมหมุนเวียนอากาศเพื่อรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสม เทคโนโลยี Midea Evaporating Temperature Alternation (META) 2.0 เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้าได้มากกว่าร้อยละ 28 ด้วยเซนเซอร์ปรับระดับสารทำความเย็นและปรับอุณหภูมิการระเหยตามสภาพแวดล้อมในห้องเพื่อควบคุมอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำ Midea Magnetic Chiller เครื่องทำความเย็นแบบแรงเหวี่ยงแม่เหล็กประสิทธิภาพสูงซึ่งสามารถทำความเย็นได้รวดเร็วและทั่วถึง ช่วยประหยัดพลังงานและมีอายุการใช้งานยาวนาน นับเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากตลาดอย่างกว้างขวาง       ปัจจุบัน ประเทศไทยมีโรงงานภายใต้ไมเดียกรุ๊ป จำนวน 8 แห่ง ครอบคลุมการผลิตตั้งแต่เครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และระบบปรับอากาศสำหรับอาคารเชิงพาณิชย์ รวมกำลังการผลิตทั้งสิ้น 4 ล้านเครื่องต่อปี ซึ่งการตั้งโรงงานผลิตระบบเครื่องปรับอากาศสำหรับอาคารแห่งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยผ่านการสร้างงานและพัฒนาทักษะวิชาชีพให้ผู้คนในพื้นที่จังหวัดระยองและบริเวณใกล้เคียง รวมไปถึงกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งระบบขนส่งพิเศษและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ Midea Building Technologies ประเทศไทยยังมุ่งผลักดันและส่งเสริมอุตสาหกรรม HVAC ด้วยการสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สมาคมวิศวกรรมปรับอากาศแห่งประเทศไทย และสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาเครื่องกลและไฟฟ้าไทย การเข้าร่วมและสนับสนุนการจัดงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดังกล่าว รวมถึงการส่งเสริมความรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์แก่นักเรียนนักศึกษา ด้วยความมุ่งหวังในการเป็นฟันเฟืองที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเติบโตอย่างยั่งยืน   “การขยายธุรกิจและการเปิดโรงงานแห่งใหม่ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไมเดียในการนำเสนอนวัตกรรมที่ครอบคลุมความต้องการและสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีแก่ผู้บริโภค และความตั้งใจในการเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันอุตสาหกรรมปรับอากาศไทยและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต ควบคู่ไปกับการสร้างโอกาสทางอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับแรงงานศักยภาพไทย” นายแจ๊ปสัน กล่าวสรุป   [1] https://www.benchmarkintl.com/insights/2024-construction-spotlight-global-hvac-industry-report/ [2] https://www.aseanbriefing.com/news/thailand-a-global-leader-in-air-conditioner-manufacturing-and-export/    
“โซลเลซ พหลฯ–ประดิพัทธ์” คว้า 2 รางวัลระดับ 5 ดาว จาก International Property Award – Asia Pacific 2025

“โซลเลซ พหลฯ–ประดิพัทธ์” คว้า 2 รางวัลระดับ 5 ดาว จาก International Property Award – Asia Pacific 2025

ปรีดา เรียลเอสเตส สร้างชื่อบนเวทีระดับนานาชาติ “โซลเลซ พหลฯ–ประดิพัทธ์” คว้า 2 รางวัลระดับ 5 ดาว จากเวที International Property Award – Asia Pacific 2025 หนึ่งในรางวัลด้านอสังหาริมทรัพย์ทรงเกียรติที่สุดของภูมิภาค ตอกย้ำความสำเร็จในฐานะ Flagship Project ใจกลางกรุงเทพฯ โดดเด่นในเรื่องของความสวยงามรายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ผสานการออกแบบ คุณภาพ และความปลอดภัยไว้อย่างลงตัว   นายปิติพัฒน์ ปรีดานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปรีดา เรียลเอสเตส จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัท ตอกย้ำความแข็งแกร่งในฐานะผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพของไทย หลังจากโครงการ “โซลเลซ พหลฯ–ประดิพัทธ์” ได้รับรางวัลระดับนานาชาติถึง 2  สาขา จากเวที International Property Award – Asia Pacific 2025 หนึ่งในรางวัลด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ทรงเกียรติที่สุดของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างสรรค์โครงการที่มีคุณภาพระดับโลกและตอบโจทย์ชีวิตเมืองยุคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์   รางวัลที่ได้รับในปีนี้ ได้แก่ รางวัล 5 ดาว Best Residential High Rise Development Thailand และ รางวัล Award Winner – Apartment/Condominium Development Thailand  นอกจากนี้โครงการโซลเลซ พหลฯ–ประดิพัทธ์ ยังได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในตัวแทนภูมิภาคจากประเทศไทย เพื่อเข้าร่วมการประกวดในระดับโลก Top Three of Asia Pacific โดยคัดเลือกจากผู้ชนะรางวัลสูงสุดในแต่ละประเทศ ถือเป็นความสำเร็จที่สะท้อนศักยภาพของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยบนเวทีสากลได้อย่างชัดเจน     “ถือเป็นความภาคภูมิใจของบริษัทอย่างยิ่ง ที่โครงการ ‘โซลเลซ พหลฯ–ประดิพัทธ์’ ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ในฐานะโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Mixed-Use สูง 50 ชั้น ที่โดดเด่นเรื่องความสวยงามพร้อมพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ เรามุ่งมั่นพัฒนาโครงการ Flagship ที่มีมาตรฐานสูงสุด พร้อมนำเสนอที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุด ในราคาที่เข้าถึงได้ ภายใต้แนวคิด ‘โลกความสุขแนวตั้งที่ครบที่สุด’ (Live Worldticle Life) ซึ่งสะท้อนความตั้งใจของเราที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย หนึ่งในจุดเด่นสำคัญของโครงการ คือการออกแบบห้อง TYPE LOFT ที่มีฝ้าเพดานสูงถึง 4.6 เมตร แบบ Double Space ที่สามารถมองเห็นชั้นลอยได้อย่างเต็มตา ให้ความรู้สึกโปร่งโล่งและกลิ่นอายเสมือนอยู่บ้านเดี่ยว 2 ชั้นในบรรยากาศใจกลางเมือง ” นายปิติพัฒน์กล่าว     ด้านนางสาวปิยะฉัตร ปรีดานนท์ กรรมการผู้จัดการ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความสำเร็จในครั้งนี้สะท้อนถึงความร่วมมือและความทุ่มเทของทีมงานทุกฝ่าย ตั้งแต่ทีมคณะผู้บริหาร สถาปนิก วิศวกร และฝ่ายพัฒนาโครงการ  ที่ตั้งใจพัฒนา ให้เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย แต่เป็นพื้นที่ที่เติมเต็มทุกมิติของการใช้ชีวิตในเมือง ด้วยคุณภาพที่กล้าท้าทายมาตรฐานระดับสากล โครงการโซลเลซ พหลฯ–ประดิพัทธ์ เป็นโครงการคอนโดมิเนียม สูง 50 ชั้น ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพในย่าน New CBD โซนสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ถนนประดิพัทธ์–พหลโยธิน เชื่อมต่อโซนพหลโยธิน–อารีย์–สะพานควายได้อย่างสะดวก รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งระบบขนส่งมวลชน ศูนย์การค้า โรงพยาบาล และแหล่งงานขนาดใหญ่   โดยมีการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ครบครันกว่า 6 ชั้น และพื้นที่สีเขียวแนวตั้งแนวราบมากที่สุดเกือบ 2 ไร่ เป็นโครงการ Mixed Use ที่มีทั้งโซนพักอาศัย, สำนักงานให้เช่า และพื้นที่เชิงพาณิชย์  ตัวอาคารได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันในทุกมิติ ทั้งด้านฟังก์ชันการอยู่อาศัย พื้นที่ส่วนกลาง และมาตรการความปลอดภัยขั้นสูง โดยเฉพาะการออกแบบโครงสร้างให้รองรับแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 8 ริกเตอร์ ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานที่กฎหมายไทยกำหนดอย่างมากเพื่อเสริมความมั่นใจให้กับผู้อยู่อาศัยในระยะยาว  
ICS ร่วมกับ SIRIRAJ H SOLUTIONS ฉลองครบรอบ 2 ปี เปิดเวทีสุขภาพฟรี!

ICS ร่วมกับ SIRIRAJ H SOLUTIONS ฉลองครบรอบ 2 ปี เปิดเวทีสุขภาพฟรี!

ICS ร่วมกับ SIRIRAJ H SOLUTIONS ฉลองครบรอบ 2 ปี เปิดเวทีสุขภาพฟรี! ไอซีเอส ไลฟ์สไตล์ คอมเพล็กซ์ ตรงข้ามไอคอนสยาม จับมือ ศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันและบูรณาการสมดุลชีวิต SIRIRAJ H SOLUTIONS เฉลิมฉลองครบรอบ 2 ปีของการเปิดศูนย์ฯ จัดงาน “ปีที่ 2 แห่งแรงบันดาลใจของการใส่ใจสุขภาพในทุกวินาที : The 2nd Year of Health Inspirations in Every Second” นำเสนอกิจกรรมพิเศษ ทั้งเสวนาด้านสุขภาพในหลากหลายหัวข้อน่าสนใจ บูธนิทรรศการให้ความรู้ การแสดงดนตรีสด และร่วมสนุกลุ้นรับของรางวัลมากมาย ณ Event Space ชั้น M ไอซีเอส ระหว่างวันที่ 7-11 กรกฎาคม 2568 พร้อมมอบโปรโมชันสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ให้สมาชิก ONESIAM ลูกค้า SIRIRAJ H SOLUTIONS แลกรับของรางวัลมูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท         ศ.ดร.นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันและบูรณาการสมดุลชีวิต SIRIRAJ H SOLUTIONS ได้เปิดให้บริการ 19 คลินิก ที่ครอบคลุมทุกเพศ ทุกวัย และเข้าถึงง่ายในการดูแลสุขภาพครบวงจร พร้อมให้การดูแลด้านการฉีดวัคซีนตามช่วงอายุ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีน HPV วัคซีนไข้เลือดออก วัคซีนงูสวัด และหัตถการที่รองรับการคัดกรองความเสี่ยงทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น การตรวจ CT Low dose การคัดกรองภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง หรือการคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยการตรวจ Mammogram โดยศูนย์ถันยรักษ์ เป็นต้น ซึ่งนับตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2567 มีจำนวนผู้รับบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งรายบุคคล ตลอดจนในรูปแบบองค์กรภาครัฐและเอกชน รวม 2 ปี มีผู้รับบริการไปแล้วกว่า 48,000 ราย โดยคลินิกที่มีผู้รับบริการมากที่สุด 5 ลำดับ ได้แก่ คลินิกเลเซอร์ผิวหนังและความงาม, ศูนย์ตรวจสุขภาพ, คลินิกอายุรศาสตร์, ศูนย์ถันยรักษ์ และคลินิกสุขภาพหญิง ตามลำดับ นับได้ว่าเป็นความสำเร็จอีกขั้นของการให้บริการด้านการแพทย์โดยทีมแพทย์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในการให้บริการทางการแพทย์ภายนอกโรงพยาบาลศิริราช     “จากสถิติในปีที่ผ่านมา มีผู้มารับบริการที่ SIRIRAJ H SOLUTIONS ในวันจันทร์-วันศุกร์ เฉลี่ย 250-300 รายต่อวัน และในวันเสาร์-วันอาทิตย์ เฉลี่ย 400-500 รายต่อวัน โดยส่วนใหญ่เป็นชาวไทย 90% ชาวต่างชาติ 10% และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ย 5-10% ต่อเดือน ตามกระแสความต้องการของผู้ใส่ใจสุขภาพที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น สำหรับปีที่ 3 ที่กำลังมาถึง เราตั้งเป้าที่จะเพิ่มการบริการให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาได้เปิดคลินิกใหม่ 2 คลินิกบริการ คือ คลินิกทันตกรรม ซึ่งมีผู้สนใจเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพฟัน การขูดหินปูน การถอนฟัน การผ่าฟันคุด รวมถึงการรักษาโรคเหงือก นับตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา มียอดผู้รับบริการมากกว่า 500 รายแล้ว และคลินิก Sleep @SIRIRAJ H SOLUTIONS ที่เปิดให้ผู้มีปัญหาด้านการนอนกรนซึ่งส่งผลต่อภาวะสุขภาพ สามารถรับบริการขอคำปรึกษาโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนได้ อีกทั้งยังมีบริการ Sleep Test @Home รับเครื่องตรวจการนอนหลับไปทดสอบการนอนที่บ้าน โดยที่ผู้รับบริการไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้รับบริการรายใหม่มากขึ้น 20% โดยมีแผนรองรับผู้ใช้บริการประมาณ 500-1,000 รายต่อวัน นอกจากนี้ยังมีแผนการขยายฐานผู้รับบริการในปี 2569 ไปยังผู้รับบริการแบบองค์กรภาครัฐและเอกชนด้วยการเพิ่มบริการตรวจสุขภาพและบริการฉีดวัคซีนนอกสถานที่โดย Mobile Checkup เพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละองค์กรและสถานประกอบการ” ศ.ดร.นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร กล่าว     ด้าน คุณไพรัช วิเศษศิริลักษณ์ ผู้บริหารสายงานบริการลูกค้า บริษัท ไอซีเอส จำกัดกล่าวว่า “ปัจจุบัน ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับการใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จนเทรนด์การดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตกลายเป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของผู้คนยุคใหม่ ซึ่ง SIRIRAJ H SOLUTIONS ถือเป็นหนึ่งในโมเดลที่ตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างรอบด้าน ด้วยการให้บริการด้านสุขภาพเชิงลึกโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมองค์ความรู้ที่น่าเชื่อถือของศิริราช โดยความสำเร็จตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า SIRIRAJ H SOLUTIONS ได้กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายที่คนรักสุขภาพทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความไว้วางใจ เป็นศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันและบูรณาการที่เข้าถึงได้สะดวก และมั่นใจได้ในคุณภาพมาตรฐาน ยิ่งไปกว่านั้น SIRIRAJ H SOLUTIONS ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเทรนด์ Wellness Tourism การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ตอบรับกับวิถีชีวิตยุคใหม่ ให้เดินหน้าเติบโตอย่างมีศักยภาพ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ไอซีเอส ในการสร้างคอมมูนิตี้ที่ส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างสมดุล มีคุณภาพ และมีความสุขในทุกวัน เราเชื่อว่านับจากนี้ ไอซีเอส และ SIRIRAJ H SOLUTIONS จะจับมือเป็นพันธมิตรที่ร่วมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสังคมต่อไปอีกในปีที่ 3 และปีต่อ ๆ ไปอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต”   "SIRIRAJ H SOLUTIONS คือภาพของความร่วมมือระหว่างภาคการแพทย์ระดับแนวหน้ากับภาคธุรกิจและชุมชน ที่ร่วมกันคิด ร่วมกันสร้าง และผลักดันนวัตกรรมสุขภาพให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด Co-creation ของ ICS ที่เชื่อว่าทุกภาคส่วนสามารถร่วมกันขับเคลื่อนสังคมคุณภาพได้" คุณไพรัช กล่าวเพิ่มเติม     โดยในโอกาสครบรอบ 2 ปีของการเปิดให้บริการนี้ SIRIRAJ H SOLUTIONS และ ไอซีเอส ได้ร่วมกันจัดงาน “ปีที่ 2 แห่งแรงบันดาลใจของการใส่ใจสุขภาพในทุกวินาที : The 2nd Year of Health Inspirations in Every Second” ขึ้นระหว่างวันที่ 7-11 กรกฎาคม 2568 นำเสนอกิจกรรมพิเศษหลากหลายให้ลูกค้าทุกท่านได้เก็บเกี่ยวสาระความรู้ด้านสุขภาพและการแพทย์ ร่วมถึงกิจกรรมความบันเทิงมากมาย ณ Event Space ชั้น M ไอซีเอส ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น.   วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 เปิดเวทีเสวนาในหัวข้อ การดูแลตนเองด้วยหลักธรรมานามัยตามศาสตราการแพทย์แผนไทย, กิจกรรม Health Talk เรื่อง “HPV” และคำแนะนำปฏิบัติตนภายหลังการรับวัคซีน และบรรยายพิเศษเรื่อง เท้าแบนในเด็ก และการบำบัดด้วยกายอุปกรณ์ วันที่ 8 กรกฎาคม 2568 แนะนำรายการตรวจสุขภาพ และโปรแกรมวัคซีนตามช่วงวัย, เสวนาในหัวข้อ SMART USE, SAFER HEALTH : ใช้ยาอย่างฉลาด และปลอดภัย และให้ความรู้บริหารร่างกาย เพื่อลดการเกิด “Office Syndrome” วันที่ 9 กรกฎาคม 2568 กิจกรรม Sport Performance Center และ ศิลปะเพื่อสุขภาวะ โดย อ. สุชาติ วงษ์ทอง วันที่ 10 กรกฎาคม 2568 กิจกรรม HEALTH TALK เรื่อง “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” ชมการแสดงจากทีมนักร้องประสานเสียง “The Melodies of Triam 38” และร่วมสนุกกับการตอบคำถามรับของรางวัล วันที่ 11 กรกฎาคม 2568 ประชาสัมพันธ์ โปรแกรมวัคซีนตามช่วงวัย และการให้บริการของ SIRIRAJ H SOLUTIONS ก่อนรับชมการแสดงดนตรี   นอกจากนี้ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จในปีที่ 2 ก้าวสู่ปีที่ 3 ของ SIRIRAJ H SOLUTIONS ไอซีเอส ยังมอบโปรโมชั่นพิเศษสุดเอ็กคลูซีฟ “The 2nd Anniversary Healthy Verse 2Gether” ให้สมาชิก ONESIAM ที่ซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพหรือหัตถการความงามกับ SIRIRAJ H SOLUTIONS ครบ 5,000 บาทขึ้นไป แลกรับ SIAM GIFT CARD มูลค่า 1,000  บาท ได้ทันที จำนวน 100 สิทธิ์ตลอดรายการ รวมมูลค่า 100,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 7 - 31 กรกฎาคม 2568 ติดตามเงื่อนไขการรับรางวัลได้ที่เฟสบุ๊ก ICS     ขอเชิญคนรักสุขภาพและผู้สนใจ มาร่วมเก็บเกี่ยวความรู้ในการดูแลตัวเอง สนุกกับกิจกรรมสุดพิเศษ เพื่อฉลองให้กับ “ปีที่ 2 แห่งแรงบันดาลใจของการใส่ใจสุขภาพในทุกวินาที : The 2nd Year of Health Inspirations in Every Second” ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 11 กรกฎาคม 2568 ณ Event Space ชั้น M ไอซีเอส และรับโปรโมชันสุดคุ้มจากไอซีเอส และ SIRIRAJ H SOLUTIONS ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 กรกฎาคม 2568   SIRIRAJ H SOLUTIONS เปิดให้บริการแก่ผู้ที่รักสุขภาพทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-22.00 น. บนชั้น 5 ไอซีเอส สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 02-414-1144 หรือติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ Website : https://sirirajhsolutions.com/  หรือ Facebook : SIRIRAJ H SOLUTIONS   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ “JUMBO Seafood” พร้อมเสิร์ฟ 7 เมนูใหม่ให้ลิ้มลองเฉพาะที่ไอคอนสยามเท่านั้น EnergyLIB เปิดตัว “LIB Solar Townhome” เปิดแอร์ชิล 8 ชั่วโมง  
AWC ร่วมกับ แมริออท เปิดตัว “รร. พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา” บนหาดจอมเทียน

AWC ร่วมกับ แมริออท เปิดตัว “รร. พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา” บนหาดจอมเทียน

AWC ร่วมกับ แมริออท เปิดตัว “รร. พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา” บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร และแมริออท อินเตอร์เนชันแนล (Marriott International) ผู้นำเครือโรงแรมชั้นนำระดับโลก เปิดตัว “โรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา” (Pattaya Marriott Resort and Spa) โรงแรมภายใต้แบรนด์แมริออทแห่งแรกบนหาดจอมเทียน เมืองพัทยา ที่จะร่วมสร้างความแข็งแกร่งให้การท่องเที่ยวเมืองพัทยาสู่การเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกอย่างยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจาก คุณฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คุณธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี คุณปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา คุณระพีพรรณ รัตนเหลี่ยม นายกเทศมนตรีตำบลนาจอมเทียน เป็นประธานร่วมในพิธีเปิด โดยมี คุณบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานกรรมการ และคุณวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) และ มร. แบรด เอ็ดแมน รองประธานกรรมการประจำประเทศไทย กัมพูชา และเมียนมา แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ให้การต้อนรับ     โรงแรมระดับพรีเมียมแห่งนี้ประกอบไปด้วยอาคารสูง 14 ชั้น ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวและไลฟ์สไตล์ที่มองหาประสบการณ์การพักผ่อนสุดประทับใจ ประกอบด้วยห้องพักทั้งหมด 289 ห้อง รวมถึงห้องสวีทวิวทะเลพร้อมอ่างจากุซซี่ ห้อง Pool Sky Villas และยังเตรียมกิจกรรมและเครื่องเล่น Waterplay สุดพิเศษมากมาย ทั้งสระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้พูลที่มองเห็นวิวพระอาทิตย์ตก สระว่ายน้ำสำหรับครอบครัว และสไลเดอร์ยักษ์ที่เห็นวิวทะเลที่สวยที่สุด เชื่อมต่อพื้นที่หลากหลายความสนุกของเมืองพัทยาตอบโจทย์ความสุขให้กับนักเดินทางทุกเจเนอเรชันและทุกคนในครอบครัว โดดเด่นด้วยการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์จากแรงบันดาลใจภายใต้แนวคิด “Sugar Palm Trees Paradise” ที่ผสานกลิ่นอายวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้ากับสไตล์ทรอปิคอลร่วมสมัย สร้างสรรค์ประสบการณ์การเข้าพักที่เชื่อมโยงความยั่งยืน ความสะดวกสบาย และเสน่ห์เฉพาะตัวเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน พร้อมมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารอันหลากหลาย ตั้งแต่อาหาร  อิตาเลียนชั้นเลิศ อาหารญี่ปุ่นพร้อมวิวทะเลแบบพาโนรามา ไปจนถึงมื้อสบายๆ กับบรรยากาศชายทะเล โดยโรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา จะร่วมเป็นพลังสนับสนุนเมืองพัทยาในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพอย่างยั่งยืน     นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า  “AWC และแมริออท อินเตอร์เนชันแนล มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการพัฒนาโครงการคุณภาพภายใต้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมระดับสากล พร้อมมุ่งสร้างคุณค่าองค์รวมให้กับชุมชนและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เราเชื่อมั่นว่าโรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา จะเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางแห่งความสุขที่ตอบโจทย์การท่องเที่ยวสำหรับทุกคนในครอบครัว”   “โครงการนี้พัฒนาตามกลยุทธ์การเติบโตของ AWC ด้วยการเพิ่มสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างกระแสรายได้ที่มั่นคง ด้วยโครงสร้างและวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยโครงการได้รับการพัฒนาให้เป็นจุดหมายปลายทางริมทะเลที่เติมเต็มความสุขสุดพิเศษสำหรับครอบครัว และมีแผนพัฒนาต่อเนื่องในเฟสที่สองพร้อมอาคารใหม่อีกหนึ่งอาคารที่จะเสริมจำนวนห้องพัก ห้องประชุม และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อรองรับทั้งกลุ่มลูกค้าครอบครัว และกลุ่ม MICE โดยเน้นการสร้างคุณค่าระยะยาวทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการสนับสนุนการเติบโตของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)”     นายแบรด เอ็ดแมน รองประธานกรรมการประจำประเทศไทย กัมพูชา และเมียนมา แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สานต่อความร่วมมือกับ AWC ผ่านการเปิดตัวโรงแรมพัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขยายพอร์ตโฟลิโอของแมริออทในประเทศไทย การเปิดตัวในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมการบริการในประเทศไทย ด้วยการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูงในทำเลที่กำลังเติบโตอย่างมีศักยภาพ โรงแรมแห่งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในระยะยาวของแมริออทที่มีต่อประเทศไทย พร้อมถ่ายทอดคำมั่นสัญญาของแบรนด์ในการมอบประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์เพื่อตอบโจทย์นักเดินทางยุคใหม่ได้อย่างลงตัว และด้วยเครือข่ายสมาชิกของ Marriott Bonvoy ที่มีอยู่ทั่วโลก แขกผู้เข้าพักจะได้เพลิดเพลินกับสิทธิประโยชน์มากมาย พร้อมทั้งได้สัมผัสจิตวิญญาณของท้องถิ่นผ่านประสบการณ์ที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน” โรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา เป็นโรงแรมระดับพรีเมียมจากเครือโรงแรมระดับโลกแห่งแรกบนหาดจอมเทียน ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักเดินทางหลากหลายรูปแบบ ทั้งครอบครัว คู่รักที่ต้องการช่วงเวลาสุดโรแมนติก กลุ่มเพื่อนที่ร่วมเดินทางด้วยกัน หรือผู้ที่ต้องการผสมผสานการทำงานและการพักผ่อนไว้ในทริปเดียว ผู้เข้าพักสามารถเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมสำหรับครอบครัวอย่างครบวงจร รวมถึงสไลเดอร์น้ำสุดพิเศษ ที่พร้อมเติมเต็มประสบการณ์การเข้าพักด้วยบรรยากาศริมทะเลอันมีชีวิตชีวาและเสน่ห์เฉพาะตัวของเมืองพัทยา       นอกจากนี้ โรงแรมยังพร้อมตอบโจทย์ผู้เข้าพักในทุกไลฟ์สไตล์ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย ครอบคลุมการพักผ่อน การทำงาน และการดูแลสุขภาพ อาทิ สระว่ายน้ำอินฟินิตี้พูลที่มองเห็นวิวพระอาทิตย์ตก สระว่ายน้ำสำหรับครอบครัว Quan Spa และสวนเพื่อสุขภาพ รวมถึงสวนและบาร์บนชั้นดาดฟ้า พร้อมห้องประชุม 4 ห้อง เอ็กเซ็กคิวทีฟเลานจ์ และฟิตเนสเซ็นเตอร์ที่ทันสมัย เหมาะสำหรับการจัดสัมมนาองค์กรและกิจกรรมกลุ่ม   ด้านการรับประทานอาหาร ทางโรงแรมมีห้องอาหารและบาร์หลากหลายรูปแบบที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็น Goji Kitchen Grill & Bar นำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาตลอดทั้งวัน พร้อมด้วยครัวเปิดและบรรยากาศแสนอบอุ่น ห้องอาหาร La Familiare ที่ให้บริการอาหารอิตาเลียนรสเลิศ ห้องอาหารญี่ปุ่นพร้อมวิวหาดจอมเทียนแบบ 180 องศา ร้าน Siam Bakery ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากร้านเบเกอรีแบบคลาสสิก Siam Pool Bar & Lounge บาร์ริมสระว่ายน้ำพร้อมบริการเครื่องดื่มเติมความสดชื่นตลอดวัน และ Sunbird Bar ในบรรยากาศหรูหราพร้อมวิวทะเลแบบพาโนรามา นอกจากนี้ยังมีเมนูอาหารเพื่อสุขภาพและแผนโภชนาการเฉพาะบุคคลที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์ผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ เพื่อมอบประสบการณ์การพักผ่อนที่สมดุลทั้งกายและใจ     “ด้วยพันธกิจ “Building Better Future For all” ของ AWC โรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา ได้รับการออกแบบตามมาตรฐาน LEED ระดับ Gold สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ AWC ในการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้สิ่งแวดล้อม สังคมและชุมชนในเมืองพัทยา ซึ่งถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดย AWC ได้พัฒนาโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ อีกหลายโครงการในพื้นที่ รวมถึง The Aquatique Destinations Pattaya โครงการระดับแฟลกชิปภายใต้แนวคิด AWC’s Lifestyle Destination ที่สะท้อนความมุ่งมั่นในการร่วมเสริมภูมิทัศน์การท่องเที่ยวของเมืองพัทยา และสนับสนุนประเทศไทยในฐานะผู้นำด้านการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ และการท่องเที่ยวยั่งยืนในระดับโลก” นางวัลลภากล่าวสรุป   ผู้สนใจสามารถสำรองห้องพักได้ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสำรองห้องพักได้ที่อีเมล pattaya.reservations@marriott.com โทร +66 (0) 33 168 542 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ www.marriottpattaya.com   ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์ AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น
“JUMBO Seafood” พร้อมเสิร์ฟ 7 เมนูใหม่ให้ลิ้มลองเฉพาะที่ไอคอนสยามเท่านั้น

“JUMBO Seafood” พร้อมเสิร์ฟ 7 เมนูใหม่ให้ลิ้มลองเฉพาะที่ไอคอนสยามเท่านั้น

“JUMBO Seafood” พร้อมเสิร์ฟ 7 เมนูใหม่ให้ลิ้มลองเฉพาะที่ไอคอนสยามเท่านั้น ไอคอนสยาม แลนด์มาร์กระดับโลกริมแม่น้ำเจ้าพระยา ร่วมต้อนรับฤดูกาลใหม่ ชวนเหล่านักชิมและคนรักอาหารทะเลมาชิมรสชาติความอร่อยประจำฤดูกาลของร้านอาหารชื่อดังจากสิงคโปร์ “JUMBO Seafood” ที่ยกเอา 7 เมนูใหม่ ซึ่งเป็นเมนูเด็ดประจำร้านในทั่วโลก มาให้ชาวไทยได้พิสูจน์ความอร่อยระดับพรีเมียม ณ ร้าน JUMBO Seafood ชั้น G โซน Veranda ไอคอนสยาม ตั้งแต่ 20 มิถุนายนนี้ เป็นต้นไป     “JUMBO Seafood”  ร้านอาหารชื่อดังระดับตำนานที่ครองใจคนชอบอาหารซีฟู้ดสไตล์สิงคโปร์-จีน มายาวนานเกือบ 40 ปี และมีสาขาทั่วโลกมากกว่า 30 สาขา รวมถึงสาขาไอคอนสยาม ซึ่งเป็นแฟลกชิพสโตร์สาขาแรกในประเทศไทย ที่เสิร์ฟความอร่อยพร้อมบรรยากาศอันรื่นรมย์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีจุดเด่นที่การเน้นวัตถุดิบสดใหม่ คุณภาพเยี่ยม ปรุงรสด้วยสูตรลับตามแบบฉบับอาหารสิงคโปร์สไตล์จีน เสิร์ฟมาในจานใหญ่ให้อร่อยอย่างเต็มอิ่ม และเพื่อต้อนรับการมาถึงของฤดูกาลใหม่ JUMBO Seafood สาขาไอคอนสยาม ได้รังสรรค์เมนูพิเศษนำเสนอเฉพาะสาขาประเทศไทยเท่านั้น พร้อมคัดสรรเมนูเด็ดจากร้าน JUMBO Seafood ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก มาให้นักชิมชาวไทยได้ลิ้มลองรวม 7 เมนูใหม่ โดยทุกเมนูรังสรรค์ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากอาหารสิงคโปร์-จีนต้นตำรับ ผสานความคิดสร้างสรรค์และเทคนิคการปรุงอย่างประณีต เพื่อมอบประสบการณ์มื้อพิเศษให้กับทุกคน พร้อมเสิร์ฟตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2568 นี้เป็นต้นไป เฉพาะที่ไอคอนสยามเท่านั้น    โดยเมนูต้อนรับฤดูกาลใหม่ครั้งนี้ มีไฮไลต์เป็น “ซี่โครงหมูมองโกเลีย” เป็นซี่โครงหมูรสเข้มข้น ผัดซอสมองโกเลียสูตรพิเศษ เคลือบไข่เค็ม โรยอัลมอนด์หอมใบ Curry Leaves,   “ข้าวผัดหอยเป่าฮื้อ” เป็นข้าวผัดระดับพรีเมียม ปรุงรสด้วยซอสหอยเป่าฮื้อ พร้อมไก่ กุ้ง และหอยเป่าฮื้อนุ่มละมุน และ “เส้นใหญ่กรอบทะเลหยก” เส้นใหญ่กรอบฟูมาพร้อมน้ำซุปหอยเป่าฮื้อเข้มข้น และซีฟู้ดจัดเต็ม ทั้งกุ้ง ปลาหมึก และหอยเชลล์ ทั้งสามเมนูเป็นเมนูเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะที่ JUMBO Seafood ประเทศไทยเท่านั้น   ถัดมาเป็นเมนู “เนื้อวากิวออสเตรเลียผัดซอสน้ำผึ้งพริกไทยดำ” เมนูพิเศษจาก JUMBO Seafood ประเทศจีน เป็นเนื้อวากิวหั่นเต๋าผัดซอส รสหวาน เผ็ดร้อน เสริมความอร่อยด้วยถั่วลันเตาหวาน      นอกจากนี้ยังมี สองเมนูจาก JUMBO Seafood ประเทศไต้หวัน  “คอหมูย่างซอสพริกเต้าซี่สูตรพิเศษ” ที่นำคอหมูนุ่มชุ่มฉ่ำผัดเข้ากับซอสเผ็ดเต้าซี่ เห็ดหอมสด และแตงกวาญี่ปุ่น เสิร์ฟให้ลิ้มรสบนกระทะร้อน,   และ “ไก่สามรส” ซึ่งเป็นเมนูไต้หวันชื่อดัง ที่นำไก่ หน่อไม้จีน และใบโหระพา มาปรุงรสชาติด้วยซีอิ้ว เหล้าจีน และน้ำมันงา อย่างละหนึ่งถ้วย เสิร์ฟในหม้อดินให้ได้ความอร่อยยิ่งขึ้น, เสริมทัพความอร่อยด้วย เมนูจาก JUMBO Seafood ประเทศสิงคโปร์ “เส้นหมี่กรอบหอยตลับซอสปู” เป็นเส้นหมี่ทอดกรอบเสิร์ฟพร้อมซุปข้นจากปูและหอยตลับ รสเข้ม หอมละมุน      ไม่เพียงเท่านั้น JUMBO Seafood สาขาไอคอนสยาม ยังมี 10 เมนูติ่มซำสุดสร้างสรรค์ที่ถ่ายทอดศิลปะอาหารจีนร่วมสมัยได้อย่างถึงรสชาติ อาทิ จัมโบ้ทังเปา, ฮะเก๋าปลาทอง, เกี๊ยวหูฉลามจักรพรรดิ, ฝั่นโก๋ไส้กุ้งและเห็ดทรัฟเฟิล ฯลฯ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ สั่งติ่มซำครบ 5 เข่งขึ้นไป รับส่วนลดทันที 50% ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เฉพาะเวลา 11:00 – 16:00 น.     เชิญพิสูจน์ความอร่อยระดับพรีเมียมกับเมนูพิเศษประจำฤดูกาล และจานอร่อยสไตล์สิงคโปร์-จีน ได้ที่ร้าน JUMBO Seafood ชั้น G โซน Veranda ไอคอนสยาม พร้อมเสิร์ฟเมนูพิเศษแล้วตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2568 นี้เป็นต้นไป ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: JUMBO Seafood Bangkok และ Facebook: ICONSIAM    
โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ 10 ปีแห่งความสำเร็จในการบริหารโรงแรมครบวงจร ตั้งเป้าไป 10 ประเทศใน 6 ทวีป

โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ 10 ปีแห่งความสำเร็จในการบริหารโรงแรมครบวงจร ตั้งเป้าไป 10 ประเทศใน 6 ทวีป

โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ 10 ปีแห่งความสำเร็จในการบริหารโรงแรมครบวงจร ตั้งเป้าไป 10 ประเทศใน 6 ทวีป บริษัท โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KGH บริษัทรับบริหารจัดการโรงแรมอย่างมืออาชีพที่ก่อตั้งในประเทศไทยโดยผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่น ที่มุ่งมั่นส่งมอบบริการที่เป็นมิตรและน่าประทับใจของคนไทย ผสานกับระบบการทำงานด้วยมาตรฐานญี่ปุ่นอย่างลงตัว ต่อยอดทศวรรษแห่งความสำเร็จจากการนำโมเดลการจัดการจากส่วนกลาง (Centralized Operation) มาเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายให้กับโรงแรมขนาดกลางภายใต้การบริหารจัดการโดย KGH ทั้ง 41 แห่ง ด้วยการเดินหน้าเปิด 3 บริการใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์เจ้าของโรงแรม ช่วยสร้างผลตอบแทนและขยายฐานลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เล็งสยายปีกการให้บริการไปยังฟิลิปปินส์ พร้อมขับเคลื่อนสู่เป้าหมายระดับโลก ตั้งเป้าร่วมมือพันธมิตรในการบริหารโรงแรม 1,000 แห่งใน 10 ประเทศ จาก 6 ทวีปทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมุ่งพัฒนาบุคลากรมืออาชีพที่มีเส้นทางความก้าวหน้าที่ชัดเจนและพัฒนาศักยภาพจนกลายเป็นมืออาชีพตัวจริง   ปรัชญาและกลยุทธ์เบื้องหลังทศวรรษแห่งความสำเร็จในธุรกิจรับบริหารโรงแรมครบวงจรของ KGH   นายเรย์ มัทสึดะ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “กลยุทธ์ความสำเร็จตลอด 10 ปีของการดำเนินธุรกิจที่เข้ามาพลิกโฉมการบริหารงานโรงแรมในประเทศไทยของ KGH เป็นการนำแนวคิดการทำงานตามปรัชญาไคเซ็น (Kaizen) ของญี่ปุ่นเข้ามาใช้ โดยเน้นระบบการจัดการ ความเที่ยงตรง ความใส่ใจในรายละเอียด และการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยตอบโจทย์ความท้าทายต่าง ๆ ที่เจ้าของโรงแรมขนาดกลางต้องเผชิญตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจเลยทีเดียว โดยโมเดลการบริหารจัดการจากส่วนกลาง (Centralized Operation) ของ KGH ช่วยให้การบริหารมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยใช้บุคลากรหน้างานน้อยลงและต้นทุนลดลง พร้อมทีมสนับสนุนหลังบ้านที่มีประสิทธิภาพจากสำนักงานใหญ่ การสนับสนุนของทีมงานช่วยให้โรงแรมแต่ละแห่ง สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการขายและสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้ ขณะที่มีต้นทุนการบริหารลดลง ตัวอย่างเช่น โรงแรมขนาด 75 ห้อง ที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีพนักงานให้บริการที่โรงแรมเพียง 17 คน สำหรับปฏิบัติงานด้านต่าง ๆ เช่น ผู้จัดการโรงแรม ต้อนรับและบริการลูกค้า แม่บ้าน และวิศวกร สำหรับงานบางตำแหน่ง เช่น เชฟ ฝ่ายบัญชี ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายไอที ฝ่ายขายและการตลาด และฝ่ายทรัพยากรบุคคล อาจไม่จำเป็นต้องประจำที่โรงแรม แต่ดำเนินงานโดยทีมสนับสนุนจากส่วนกลางหรือสำนักงานใหญ่ สำหรับโรงแรมที่มีฝ่ายงานต่าง ๆ คล้ายกันนี้ และมีห้องอาหารด้วย ก็อาจต้องมีพนักงานประจำเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว”   นอกจากนี้ KGH ยังจัดตั้ง KokoHub ศูนย์กลางระบบจัดซื้อและกระจายสินค้าจากส่วนกลาง เพื่อให้บริการแบรนด์โรงแรมในเครือ KGH ทั้งหมด การมีทีมงานมืออาชีพจากส่วนกลางและอำนาจต่อรองจากการสั่งซื้อจำนวนมาก ทำให้พันธมิตรได้ประโยชน์จากราคาที่ถูกลง ลดความถี่ในการจัดส่ง และลดความเสี่ยงที่จะเกิดข้อผิดพลาดได้อีกด้วย KGH กับมาตรฐานการดำเนินงานเหนือระดับและอินไซต์เชิงลึก “บริษัทประสบความสำเร็จในระดับสูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรม โดยมีอัตรากำไรจากการดำเนินการของอสังหาริมทรัพย์ (Profit Margin at Property Level) ที่ 57% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานของโรงแรมระดับกลาง (Industry Average) ที่ 25% - 35% ส่วน ADR(Average Daily Rate) ก็ทำได้สูงขึ้นแบบมีนัยสำคัญกว่าก่อนหน้าที่ KGH จะเข้ามาร่วมบริหาร ตัวอย่างเช่น โคโคเทล แบงค็อก เทวา ทองหล่อ ที่มีอัตราค่าห้องเฉลี่ยต่อวัน (ADR) เพิ่มขึ้น 106% จาก 694 บาท ก่อนที่ KGH จะเริ่มดำเนินการในปี 2563 เป็น 1,434 บาท ในปี 2567 ความสำเร็จเหล่านี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบริหารงานอย่างมืออาชีพของเรา ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้บริษัทสามารถบรรลุข้อตกลงได้ทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ซึ่งเรามั่นใจว่าจะสามารถปิดดีลได้ประมาณ 100 แห่งภายในปี 2569”   ทั้งนี้ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ได้ประเมินว่าธุรกิจโรงแรมและที่พักจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2568 จากการที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากทั้งจีน เอเชียใต้ ยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก รวมทั้งการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยไปยังเมืองหลักและเมืองรอง นอกจากนี้ ยังมีการเดินทางท่องเที่ยวแบบหมู่คณะกับครอบครัวและเพื่อนกันมากขึ้น สอดคล้องกับผลการสำรวจผู้เข้าชมงานไทยเที่ยวไทยประจำปี 2567 ที่พบว่า 35% ของนักท่องเที่ยวแบบ Tribe Travel ให้ความสนใจซื้อแพ็คเกจที่พักและจองทัวร์แบบหมู่คณะ   “สำหรับประเทศไทย มีโรงแรมขนาดกลางประมาณ 5,400 แห่ง แต่ละแห่งมีห้องพัก 50-200ห้อง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ KGH ให้ความสำคัญ โดยหวังจะนำความรู้ความเชี่ยวชาญของบริษัท เข้าไปช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการในการเพิ่มรายได้ ด้วยการลดต้นทุน ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานบริหาร พร้อมสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าและทำให้เกิดความผูกพันกับโรงแรมมากขึ้น” นายเรย์ กล่าว เปิดตัว 3 บริการใหม่ ขับเคลื่อน “วิสัยทัศน์แห่งอนาคต” (Future Vision) เพื่อเติบโตไปด้วยกัน ด้านนายภวัติ เพียรเพ็ญศิริวงศ์ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจ การสร้างสรรค์แบรนด์และการออกแบบโรงแรม บริษัท โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะบริษัทบริหารจัดการโรงแรมที่มีแบรนด์ไลฟ์สไตล์หลากหลาย บริการใหม่ที่จะนำเสนอ จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำการตลาดและการขายได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ช่วยให้การดำเนินงานของโรงแรมในเครือแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยทั้ง 3 บริการได้รับการออกแบบมาให้ตอบโจทย์ตรงใจ มั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าเดิม ประกอบด้วย บริการสนับสนุนการขายออนไลน์ ( โดยรับผิดชอบด้านการขายออนไลน์และการจัดการรายได้ ซึ่งรวมถึงการบริหารแพลตฟอร์มการจองที่พักและเดินทาง (OTA) ปรับอัตราค่าห้องพักผ่านระบบให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้ รวมทั้งทำรายงานวิเคราะห์คู่แข่ง บริการสนับสนุนการตลาดออนไลน์ ที่ช่วยวางแผนแพ็คเกจห้องพักและโปรโมชั่นต่าง ๆ พร้อมจัดทำโฆษณาออนไลน์ บริหารเว็บไซต์ และบัญชีโซเชียลมีเดีย (Facebook และ Instagram) สามารถผนวกแพ็คเกจนี้เข้ากับบริการสนับสนุนการขายออนไลน์ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพิ่มโอกาสการจดจำและรับรู้แบรนด์โรงแรม กระตุ้นให้มีการจองมาทางออนไลน์ และเพิ่มอันดับของโรงแรมบนแพลตฟอร์ม OTA ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก บริการด้านการบริหารและให้คำปรึกษา บริการใหม่ล่าสุดที่ KGH จะมอบหมายให้ผู้จัดการทั่วไปที่ผ่านการฝึกอบรมและมีประสบการณ์ เข้าไปทำงานที่โรงแรมนั้น ๆ และดูแลการบริหารงานประจำวันของโรงแรมโดยตรง   “KGH มุ่งมั่นปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์ “ว้าว” ให้กับแขกผู้มาเยือน เจ้าของกิจการ รวมทั้งพนักงาน การเปิดตัว 3 บริการใหม่นี้ก็เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการในระดับโลก สะท้อนความมุ่งมั่นของเราที่พร้อมจะร่วมก้าวเดินกับเจ้าของโรงแรมสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จในการบริหารโรงแรมในเครือทั้งในประเทศไทยและระดับโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมั่นคงในฐานะบริษัทรับบริหารจัดการโรงแรมมืออาชีพ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายบริหารโรงแรม 100 แห่งภายในปี 2569 และขยายเครือข่ายโรงแรมในเครือให้ได้ถึง 1,000 แห่ง ใน 10 ประเทศภายในปี 2578”    
EnergyLIB เปิดตัว

EnergyLIB เปิดตัว "LIB Solar Townhome" เปิดแอร์ชิล 8 ชั่วโมง ครั้งแรกกับระบบโซลาร์ออกแบบเฉพาะสำหรับทาวน์โฮม

EnergyLIB เปิดตัว "LIB Solar Townhome" เปิดแอร์ชิล 8 ชั่วโมง EnergyLIB (เอเนอร์จี้ลิบ) ผู้เชี่ยวชาญด้านโซลาร์โซลูชันเพื่อที่อยู่อาศัย ตอกย้ำความเป็นSolar Expert ขยายการเข้าถึงเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ให้ระบบโซลาร์เป็นเรื่องใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น ด้วยการเปิดตัว "LIB Solar Townhome" ครั้งแรกในประเทศไทย นวัตกรรมระบบโซลาร์ที่ออกแบบมาเพื่อผู้อยู่อาศัยทาวน์โฮมโดยเฉพาะมาพร้อมสโลแกน “เปิดแอร์ชิล 8 ชั่วโมง”* ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ทุกคนในครอบครัว ให้หน้าร้อนนี้ไม่ต้องทนร้อนเวลากลางวันอีกต่อไป   ตลาดโซลาร์เซลล์ในประเทศไทยมีการเติบโตสองดิจิตอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยคาดการณ์ว่าในปี 2568 มูลค่าตลาดโซลาร์เซลล์ไทยจะสูงกว่า 67,000 ล้านบาท* ด้วยความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่สูงมากขึ้น จากปัจจัยสำคัญ อาทิ ความนิยมในการใช้รถยนต์ไฟฟ้า การทำงานที่บ้าน การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้าน และ สิ่งสำคัญคือ สภาพอากาศที่ร้อนมากขึ้น โดยคาดการณ์ความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.0-6.0% ต่อปี ตั้งแต่ปีนี้ – 2570* เมื่อความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงมากขึ้น โซลาร์เซลล์ เทคโนโลยีช่วยเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟ้าจึงเริ่มมีความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มที่พักอาศัย อย่างไรก็ตาม โซลาร์โซลูชันสำหรับครัวเรือนในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังตอบโจทย์เฉพาะผู้อยู่อาศัยบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด สำหรับบ้านทาวน์โฮมการติดตั้งโซลาร์เซลล์ยังถือเป็นความท้าทายเนื่องจากข้อจำกัดด้านพื้นที่และราคาที่เอื้อมถึงได้ยาก นี่จึงเป็นโอกาสสำหรับ EnergyLIB ในการนำเสนอโซลาร์โซลูชันที่ออกแบบเฉพาะสำหรับทาวน์โฮม โดยเล็งเห็นถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้อยู่อาศัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความแตกต่างในตลาดพลังงานทดแทน   นายทวนทอง ศรีวิเชียร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอเนอร์จี้ลิบ (ประเทศไทย) กล่าวว่า "ปัจจุบันการรับรู้ของ เทคโนโลยีโซลาร์เซลล์ ในกลุ่มครัวเรือนยังเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและเข้าถึงยาก แต่สำหรับ EnergyLIB เรามุ่งมั่นที่จะทำให้พลังงานสะอาดเป็นเรื่องง่ายและทุกครัวเรือนเข้าถึงได้ การเป็น Solar Expert ของเราไม่ได้หมายถึงแค่การมีความรู้ทางเทคนิคเท่านั้น แต่หมายถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคไทย ไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในบ้านรูปแบบใด ด้วยความเชื่อที่ว่าทุกคนควรมีสิทธิ์เข้าถึงพลังงานสะอาดได้อย่างเท่าเทียม LIB Solar Townhome จึงเกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะมอบโอกาสให้กลุ่มผู้อยู่อาศัยในทาวน์โฮมให้สามารถใช้พลังงานได้อย่างสบายใจ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับสมาชิกในบ้าน ไม่ต้องทนร้อนในบ้านเวลากลางวันอีกต่อไป"   นับเป็นก้าวสำคัญของ EnergyLIB ที่ได้เข้าสู่ตลาดโซลาร์เซลล์ด้วยวิสัยทัศน์ที่แตกต่าง มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาอย่างเข้มข้นเพื่อนำเสนอโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองในตลาด และให้ความสำคัญต่อทีมงานที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน ส่งผลให้ EnergyLIB สามารถพัฒนานวัตกรรมและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ EnergyLIB P1 All-In-One และ P1 Lite โซลาร์โซลูชันครบวงจรสำหรับที่พักอาศัยเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับผลตอบรับอย่างท่วมท้นจากคนไทย การันตีด้วยยอดขายที่ทะยานสู่ 100 ล้านบาทภายในเดือนแรกหลังเปิดตัว LIB Solar Townhome ผลงานจากการระดมความคิดที่ต้องการตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยที่อาศัยอยู่ในบ้านทาวน์โฮม ซึ่งได้ออกแบบโซลูชันเฉพาะทางเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ครอบครัวทาวน์โฮมให้เพลิดเพลินกับเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ครั้งแรกในไทย มาพร้อมแนวคิด "เปิดแอร์ชิล 8 ชั่วโมง*" ยกระดับคุณภาพชีวิตให้คนที่คุณรัก ไม่ต้องทนร้อนในบ้านอีกต่อไป โดยมาพร้อมนวัตกรรมและดีไซน์ใหม่ล่าสุด ดังนี้ ปลดล็อกอิสระด้านพลังงาน ให้เปิดแอร์ชิล 8 ชั่วโมง* : ด้วยความสามารถในการผลิตพลังงานไฟฟ้าได้สูงสุดถึง 7-9 kW ต่อวัน* รองรับการเปิดแอร์ได้สูงสุด 8 ชั่วโมง* มอบอิสระในการใช้พลังงานไฟฟ้า และยกระดับคุณภาพชีวิตของครอบครัว พลิกโฉมวงการโซลาร์เซลล์ ด้วยไมโครอินเวอร์เตอร์ดีไซน์ใหม่: ก้าวข้ามขีดจำกัดของดีไซน์ไมโครอินเวอร์เตอร์เดิมๆ ด้วยดีไซน์ใหม่ จากการผสานความสวยงามและความทันสมัยของนวัตกรรมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว มีดีไซน์มินิมอล สีขาวโค้งมนวางจุดไหนของบ้านก็สวยงามพรีเมียม แผงโซลาร์ทาวน์โฮมสุดล้ำ บางและน้ำหนักเบา ติดตั้งได้แม้กระทั่งบนหลังคาโรงจอดรถทาวน์โฮม: แผงโซลาร์ทาวน์โฮมมาพร้อมนวัตกรรมที่จะมาปฏิวัติวงการโซลาร์เซลล์ ออกแบบเฉพาะสำหรับทาวน์โฮม ขนาดเล็กลง บางกว่าและเบากว่า ติดตั้งง่าย พร้อม LIB Home แอปพลิเคชันจัดการพลังงานอัจฉริยะได้เพียงปลายนิ้ว: ออกแบบเพื่อการติดตั้งแบบ Plug-and-Play ใช้คนเพียง2 คน ไม่ว่าจะติดตั้งเอง* ใช้ช่างไฟ หรือ ช่างหมู่บ้าน ก็ติดตั้งได้อย่างง่ายดาย รวมถึงสามารถมอนิเตอร์ระบบได้แบบเรียลไทม์ผ่านแอปพลิเคชัน LIB Home     นายทวนทอง เปิดเผยถึงกลยุทธ์ทางการตลาดว่า "เรามุ่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับโซลาร์เซลล์ให้ใกล้ตัวคนไทยมากขึ้น จึงได้เปิดตัวพรีเซนเตอร์คนแรกของแบรนด์ 'ใบเฟิร์น-พิมพ์ชนก ลือวิเศษไพบูลย์' เพื่อสื่อสารถึงความเข้าใจง่ายของเทคโนโลยีที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เพราะความแตกต่างของ LIB Solar Townhome คือการออกแบบที่เข้าใจวิถีชีวิตคนไทยอย่างแท้จริง ทั้งในแง่ของการใช้งานที่ง่ายและดีไซน์สวยพรีเมียม นอกจากนี้เรายังขยายความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์และดีลเลอร์ทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้สนใจได้สัมผัสผลิตภัณฑ์จริงและพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจ โดยเราได้มีการจัดวางผลิตภัณฑ์จริงแล้วที่ BaNANA, HomePro, Power Buy รวมถึงมีการเปิด LIB Experience Store ภายใต้แบรนด์ของเราเองในห้างสรรพสินค้าอีกด้วย โดยการลงทุนในครั้งนี้ ต้องการให้คนไทยมีโอกาสได้สัมผัสประสบการณ์เทคโนโลยีโซลาร์และรับประสบการณ์จริงจากผลิตภัณฑ์ของ EnergyLIB ได้มากยิ่งขึ้น"   "เราเห็นความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของคนไทย จึงทุ่มเทสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพราะ การได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ แต่มีความหมายต่อคุณภาพชีวิตของคนไทยด้วยกัน คือ แรงขับเคลื่อนที่ทำให้เรามุ่งมั่นพัฒนาต่อไป ในฐานะSolar Expert เราจึงมุ่งมั่นออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนไทยอย่างแท้จริง โดยเราวางแผนที่จะขยายสายผลิตภัณฑ์ใหม่ในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ ได้แก่ สายผลิตภัณฑ์ไฟส่องสว่างพลังงานแสงอาทิตย์ สายอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยจากพลังงานแสงอาทิตย์ สายผลิตภัณฑ์แบตเตอรี่สำรองแบบพกพา และสายผลิตภัณฑ์ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนไทยให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น” นายทวนทอง กล่าวปิดท้าย LIB Solar Townhome ราคา 69,900 บาท พร้อมโปรโมชันสำหรับพรีออเดอร์ รับส่วนลดพิเศษ 5,000 บาท* ตั้งแต่วันที่ 7 - 21 พฤษภาคม 2568 เท่านั้น โดยโปรโมชันมีจำนวนจำกัด สามารถพรีออเดอร์ได้แล้วผ่านช่องทางออนไลน์ร้านค้า EnergyLIB Official ที่ Shopee, Lazada และ NocNoc รวมถึงร้านค้า BaNANA, HomePro, Power Buy และผู้จัดจำหน่ายที่ร่วมรายการทั่วประเทศ สามารถสัมผัสผลิตภัณฑ์จริงได้ที่ร้าน BaNANA, HomePro และ Power Buy ดูรายละเอียดสาขาที่มีสินค้าได้ที่ Facebook Official Page: EnergyLIB หรือสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call center 02-070-7888     บทความอื่นที่น่าสนใจ เปิดแล้ว ‘Design Village Ratchada’ Community Living Mall 5 สิ่งที่คนติดตั้งโซลาร์เซลล์บ้านห้ามพลาด! ไขข้อสงสัย? บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์  
didacta asia 2025 เตรียมจัดงานมหกรรมการศึกษาและประชุมสัมมนาครั้งที่ 2

didacta asia 2025 เตรียมจัดงานมหกรรมการศึกษาและประชุมสัมมนาครั้งที่ 2

didacta asia 2025 เตรียมจัดงานมหกรรมการศึกษาและประชุมสัมมนาครั้งที่ 2 โชว์นวัตกรรมล้ำสมัยเพื่อการเรียนรู้แบบองค์รวม    ภาครัฐ-เอกชน ผนึกกำลังเตรียมพร้อมจัดงาน didacta asia 2025 ครั้งที่ 2 ภายใต้แนวคิด Gateway to Tomorrow's Education ส่งเสริมโอกาสในการอัพเดทเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ ผลักดันการพัฒนาการศึกษาในภูมิภาคเอเชียด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย พร้อมเป็นเวทีสำหรับผู้นำในอุตสาหกรรมด้านการศึกษา ได้แลกเปลี่ยนความรู้ นำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆ และแนวทางการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์การพัฒนาทักษะและการเตรียมความพร้อมของบุคลากรในยุค AI และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล     นายฮันส์ สโตเตอร์ กรรมการผู้จัดการประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีน ของ Messe Stuttgart – ผู้จัดงาน didacta asia กล่าวว่า ในยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ระบบการศึกษาไม่สามารถยึดติดอยู่กับรูปแบบเดิมได้อีกต่อไปห้องเรียนอัจฉริยะและปัญญาประดิษฐ์ (AI) จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้และสร้างความเท่าเทียมในการศึกษา เพื่อเตรียมบุคลากรสำหรับอนาคต การจัดงาน didacta asia 2025 ถือเป็นความร่วมมือระหว่าง Didacta Association Koelnmesse และ Messe Stuttgart ที่มุ่งเป็นเวทีในการนำเสนอเทคโนโลยีทางการศึกษาและสร้างพันธมิตรในอุตสาหกรรมนี้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และระดับนานาชาติ โดยมีผู้บริหารสถาบันการศึกษา นักศึกษา ผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และผู้แสดงสินค้าเทคโนโลยีทางการศึกษาทั่วโลก มาร่วมค้นหาแนวโน้มและแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการพัฒนาการศึกษาในประเทศไทยและภูมิภาคนี้ พร้อมจัดแสดงเทคโนโลยีการศึกษาล้ำสมัยในทุกมิติ สำหรับงาน didacta asia 2025 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15–17 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา โดยในปีนี้จะขยายพื้นที่จัดงานให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับผู้จัดแสดงสินค้า และผู้เข้าชมงานกว่า 4,000 ราย ซึ่งไฮไลต์ในงานประกอบด้วย นิทรรศการนานาชาติแสดงนวัตกรรมด้านการศึกษาและโซลูชั่น AI, พื้นที่จัดแสดงของนานาชาติ (International Pavilions), งานประชุม didacta asia congress เวทีสัมมนาระดับโลกสำหรับครู นักวิชาการ นักเรียน และประชาชนทั่ว และกิจกรรมการแข่งขันทักษะด้านเทคโนโลยี     ด้าน นายพิเชฐ โพธิ์ภักดี รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า “กระทรวงศึกษาธิการมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและจัดงาน didacta asia congress 2025 ภายใต้แนวคิด ‘Gateway to Tomorrow’s Education’ ซึ่งนับเป็นเวทีสำคัญระดับภูมิภาคในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ เทคโนโลยีทางการศึกษา และนวัตกรรมด้านการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ยุคสมัยที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการก้าวเข้าสู่สังคมฐานความรู้และเศรษฐกิจดิจิทัล งาน didacta asia 2025 และ didacta asia congress ในครั้งนี้จะเป็นหนึ่งในการสนับสนุนการศึกษาไทยในยุคดิจิทัล และการปฏิรูปการเรียนการสอนอย่างเป็นรูปธรรม การปรับระบบการศึกษาให้เท่าทันกับความเปลี่ยนแปลง และตอบโจทย์โลกอนาคต โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงแทบทุกมิติของชีวิต นอกจากนี้ ยังถือเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้เกิดการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งในประเทศและระดับภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นนักการศึกษา ผู้กำหนดนโยบาย นักวิชาการ และภาคเอกชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ และต่อยอดสู่ความร่วมมือที่ยั่งยืนทั้งในประเทศไทยและทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย     ขณะที่ ดร.พันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า การจัดงาน didacta asia และ didacta asia congress 2025 ถือเป็นเวทีสำคัญระดับนานาชาติที่จะขับเคลื่อนนวัตกรรมการเรียนรู้รูปแบบใหม่เข้าสู่ระบบการศึกษาไทย โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา ซึ่งเป็นกลไกหลักในการพัฒนากำลังคนที่มีคุณภาพของประเทศ งานนี้เป็นโอกาสให้ภาครัฐ ภาคพาณิชย์ ภาคอุตสาหกรรม ได้ร่วมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และต่อยอดนวัตกรรมการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมยุคใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่มุ่งผลักดันการปรับเปลี่ยนด้วยเทคโนโลยี AI และนวัตกรรมดิจิทัลอื่นๆ ที่มีบทบาทในการพัฒนาประเทศในอนาคต เพื่อโอกาสในการก้าวข้ามขอบเขตใหม่ๆ และเร่งสร้างศักยภาพกำลังคนให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 21 รวมถึงผลักดันไทยให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมและการศึกษาในระดับภูมิภาคและระดับโลก   ดาตุ๊ก ดร. ฮาบิบะ อับดุล ราฮิม ผู้อำนวยการสํานักงานเลขาธิการองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่ง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMEO) กล่าวว่า สำหรับ didacta asia 2025 ในปีนี้ จะเป็นการผนวกรวมความเชี่ยวชาญในระดับภูมิภาคและเครือข่ายของ SEAMEO เข้ากับความมุ่งมั่นมาอย่างยาวนานของ didacta ในการยกระดับนวัตกรรมทางการศึกษาให้เข้าถึงผู้เรียนอย่างทั่วถึง ความร่วมมือครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการบูรณาการทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และแนวทางการเรียนรู้ให้ผู้เรียนต่อยอดได้ในอนาคต เรามุ่งมั่นร่วมกันในการเชื่อมโยงการศึกษากับภาคอุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนระบบการศึกษาที่ครอบคลุม ปรับตัวได้ และมีคุณภาพสูงเพื่อเตรียมเยาวชนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้พร้อมรับมือกับความท้าทายของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว     โดยการจัดงานแถลงข่าวในวันนี้ได้รับเกียรติจากผู้ทรงคุณวุฒิมากมาย ประกอบด้วย นายคมกฤช จันทร์ขจร รองเลขาธิการ คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน, ผศ. ดร.พลรพี ทุมมาพันธ์ รองเลขาธิการ คุรุสภา และ ดร.จารุรินทร์ ภู่ระย้า รักษาการในตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มาร่วมอภิปรายในหัวข้อ “Educational Technology for Skill Development in Tomorrow's Industries” ให้กับผู้ร่วมงานได้เห็นถึงมิติใหม่ทางการศึกษาแห่งอนาคต ก่อนที่จะถึงไฮไลท์ต่างๆ จากงานที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือน ตุลาคม ด้วย    
Cloud 11 เดินหน้าสร้างย่านนวัตกรรมสุขุมวิทใต้ เตรียมพร้อมเปิด Q4 นี้

Cloud 11 เดินหน้าสร้างย่านนวัตกรรมสุขุมวิทใต้ เตรียมพร้อมเปิด Q4 นี้

Cloud 11 เดินหน้าสร้างย่านนวัตกรรมสุขุมวิทใต้ ขยายมูลค่าโครงการแตะ 4.3 หมื่นล้าน โครงการ Cloud 11 ประกาศเพิ่มการลงทุนอีก 3,000 ล้านบาท ส่งผลให้มูลค่ารวมของโครงการแตะระดับ 43,000 ล้านบาท โดยเงินลงทุนเพิ่มเติมดังกล่าวจะใช้ในการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Facilities) และโครงสร้างพื้นฐานของย่านสุขุมวิทใต้ เพื่อผลักดันให้พื้นที่นี้กลายเป็นย่านนวัตกรรมและสร้างสรรค์แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ทั้งนี้ Cloud 11 ยังวางแผนจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาทักษะด้านดนตรีและครีเอทีฟ โดยร่วมมือกับ 1500 Sound Academy จากสหรัฐอเมริกา พร้อมจัดสรรพื้นที่สำหรับการผลิตคอนเทนต์ เช่น สตูดิโอภาพ–เสียง พื้นที่ Post Production และ Co-working สำหรับผู้ผลิตคอนเทนต์มืออาชีพ นอกจากนี้โครงการ Cloud 11 ยังจะเป็นพื้นที่สำหรับการแสดงผลงานและกิจกรรมเชิงพาณิชย์ เพื่อเปิดเวทีให้ศิลปินรุ่นใหม่ได้มีพื้นที่แสดงศักยภาพ อาทิ Cloud 11 Hall, Blackbox Theatre และพื้นที่รีเทลภายใต้แนวคิด Passion Playground ซึ่งออกแบบมาเพื่อสนับสนุนครีเอเตอร์ในการต่อยอดผลงานเชิงธุรกิจ ในขณะเดียวกันโครงการ Cloud 11 ยังมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของย่านไปพร้อมๆ กัน รวมถึงการปรับปรุงทางเท้า พื้นที่สาธารณะ และพื้นที่ริมคลอง เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ของสุขุมวิทใต้ให้กลายเป็น Creative & Innovation District โดยอยู่ระหว่างหารือความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ เช่น สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ (THACCA) และยังวางแผนให้การร่วมจัดเทศกาลงานสร้างสรรค์อย่าง Bangkok Design Week อย่างต่อเนื่องอีกด้วย ในเรื่องการก่อสร้างโครงการ Cloud 11 ขณะนี้มีความคืบหน้าราว 80% และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในช่วงปลายปี 2568  ซึ่งได้รับการออกแบบโดย Snøhetta สตูดิโอสัญชาตินอร์เวย์ ร่วมกับสถาปนิกไทย A49 และดำเนินการก่อสร้างโดยบริษัท นันทวัน จำกัด (Thai Obayashi) ที่มีจุดเด่นเรื่องการก่อสร้างที่ใช้มาตรฐานจากประเทศญี่ปุ่น และมีประสบการณ์ยาวนานกว่า 50 ปี โดยใช้เทคโนโลยีโครงสร้าง Steel Reinforced Concrete (SRC) และ Box Girder Beam เพื่อความแข็งแรงและปลอดภัย โดยเฉพาะการรับมือแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ทั้งนี้จากการตรวจสอบหลังเหตุแผ่นดินไหวปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ไม่พบความเสียหายต่อโครงสร้างอาคาร จึงเชื่อว่าจะสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและผู้เช่าได้ถึงคุณภาพการก่อสร้างและความปลอดภัยของโครงการ หลังจากนี้จะเข้าสู่ในช่วงการดำเนินงานตกแต่งภายใน เพื่อจะเริ่มทยอยส่งมอบพื้นที่ให้ผู้เช่า Retail เข้าตกแต่งภายในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งนอกเหนือจากพื้นที่ร้านค้า โครงการ Cloud 11 ยังมีพันธมิตรหลักอย่าง theCOMMONS ที่เตรียมเปิดสาขาใหม่บนพื้นที่ 5,420 ตร.ม. ใน Cloud 11 ภายใต้คอนเซปต์ "South Sukhumvit's Backyard" สวนหลังบ้านสำหรับย่านสุขุมวิทใต้ ซึ่งเกิดจากการผสานจุดแข็งในการสร้าง Whooesome Community ของ theCOMMONS กับแนวคิด Empowering Creators ของ Cloud 11 ที่จะช่วยเติมเต็มในเรื่องพื้นที่ความคิดสร้างสรรค์ และอีกพันธมิตรที่สำคัญอย่าง YOTEL สมาร์ทโฮเทลจากอังกฤษ ที่จะเปิดสาขาแรกในไทยเพื่อรองรับนักสร้างสรรค์และนักธุรกิจจากทั้งในและต่างประเทศ ก็เตรียมพร้อมประสบการณ์พักผ่อนที่แปลกใหม่ตั้งแต่การเช็คอินจนกระทั่งเช็คเอาท์ ผ่านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัย เช่น การใช้โรบอตเป็นผู้ช่วยในการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เข้าพัก ด้วยจำนวนห้องที่พร้อมรองรับนักธุรกิจ และนักท่องเที่ยวมากถึง 25o ห้อง นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งโรงแรม 5 ดาว Sangsan Bangkok (สร้างสรรค์ แบงค็อก) ภายใต้การบริหารในเครือ Marriott International ที่จะเปิดในบริการในพื้นที่โครงการ Cloud 11 เช่นกัน ข้อมูลเพิ่มเติมของโครงการ www.cloud11bangkok.com บทความอื่นที่น่าสนใจ ชาญอิสสระ กางแผนปี 68 เปิด 6 โครงการซูเปอร์ลักชัวรี่ AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์  

"Taiwan in Design" ยกขบวน 10 แบรนด์ชั้นนำ ร่วมงาน STYLE Bangkok 2025

"Taiwan in Design" ยกขบวน 10 แบรนด์ชั้นนำ ร่วมงาน STYLE Bangkok 2025 "Taiwan in Design" งานจัดแสดงสินค้าการออกแบบครั้งใหญ่จากไต้หวัน เปิดตัวแล้ว ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ในงาน STYLE Bangkok 2025 ระหว่างวันที่ 2-6 เมษายน 2568 โดยงานจัดแสดงนี้จะนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่หลากหลายประเภทจากไต้หวันกว่า 10 แบรนด์ชั้นนำ ครอบคลุมสินค้าไลฟ์สไตล์ เครื่องเขียน โคมไฟ เครื่องประดับแฟชั่น และ IoT ตอกย้ำความเป็นเลิศด้านการออกแบบที่การันตีรางวัลจากระดับโลกของไต้หวัน     งานจัดแสดงสินค้าการออกแบบจัดแสดงโดยหน่วยงานบริหารการค้าระหว่างประเทศ ของไต้หวัน (Taiwan International Trade Administration (TITA) และ สภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) ได้นักออกแบบและตัวแทนแบรนด์ของไต้หวันมาแนะนำนวัตกรรมล่าสุด พร้อมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปรัชญาการสร้างสรรค์ ซึ่งงานนี้จะเป็นโอกาสพิเศษสำหรับผู้ซื้อและสื่อมวลชนนานาชาติในการสำรวจเทรนด์ล้ำสมัยด้านการออกแบบที่ยั่งยืน นวัตกรรมที่มีวิสัยทัศน์ และงานฝีมือที่ยอดเยี่ยม   สำหรับ 10 แบรนด์ไต้หวันที่เข้าร่วมงานครั้งนี้ ได้แก่ Dian-Ya Design Studio เครื่องประดับอันประณีตที่ทำจากหยกและเงินโบราณ ผสมผสานความสง่างามเหนือกาลเวลาเข้ากับสุนทรียศาสตร์ร่วมสมัย Pai Pen Pro International Ltd. ผู้เชี่ยวชาญด้านปากกาหมึกซึมสุดหรูที่ประดับด้วยองค์ประกอบเครื่องประดับชั้นดี ผสานงานฝีมือเข้ากับความสวยงามที่เหนือจะบรรยาย     The One Inc. บริษัทที่พัฒนาโซลูชันบ้านอัจฉริยะที่เปิดใช้งาน AIoT ซึ่งผสานรวมเข้ากับ Google Home และ Apple HomeKit ได้อย่างราบรื่น เพิ่มความสะดวกสบายและการเชื่อมต่อ ในขณะเดียวกันมาพร้อมกับLumi Décor Co., Ltd. ผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมไฟ LED ที่ล้ำสมัยพร้อมปรับแต่งตามไลฟ์สไตล์ของคุณ เสริมด้วย Microlite Industrial Co., Ltd. บริษัทผู้จัดจำหน่ายวัสดุสะท้อนแสงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความยั่งยืนในภาคส่วนต่าง ๆ   Rose O’Neill Kewpie International IP Ltd. ผสานความคิดถึงในอดีตกับคาแรกเตอร์ Kewpie ที่คุ้นเคย เข้ากับความสร้างสรรค์ ตีความภาพลักษณ์ Kewpie ขึ้นมาใหม่ให้สดใสขึ้น KenmouEnterprise บริษัทที่นำเสนอโซลูชันบรรจุภัณฑ์สั่งทำพิเศษ ที่หรูหราระดับไฮเอนด์ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความพิเศษเฉพาะตัวของผลิตภัณฑ์และแบรนด์ได้อย่างลงตัว Camaleon Co. ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะกระดาษทิชชู่พิมพ์ลาย และ กระดาษอาร์ตคุณภาพสูง สำหรับงานเดคูพาจ สร้างสรรค์ชิ้นงานตกแต่งอันโดดเด่นที่เปี่ยมเสน่ห์และไม่เหมือนใคร ในโลกแห่งแฟชั่น ForyuDesign Co., Ltd. ผู้สร้างคอลเลกชันกระเป๋า SOAR ONE ที่ได้รับรางวัล Paperworld Middle East Award ประจำปี 2024 อันทรงเกียรติจากการออกแบบและการใช้งานที่หลายหลาย Emjour International Co., Ltd. แสดงงานฝีมือปักผ้าอันประณีตผ่านแบรนด์ EMJOUR อันเป็นเอกลักษณ์ ที่สะท้อนถึงความพิถีพิถันและความเคารพต่อขนบธรรมเนียมดั้งเดิม แม้ว่าภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่อุตสาหกรรมการออกแบบแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ในบ้านยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดเอเชีย ส่งผลให้งานจัดแสดงสินค้าและการออกแบบนี้พร้อมที่จะนำเสนอมุมมองใหม่ ๆ และมอบประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นให้กับผู้ร่วมงานจากทั่วโลก "Taiwan in Design" งานจัดแสดงสินค้าและการออกแบบจากไต้หวัน ขอต้อนรับผู้ร่วมงานจากทั่วโลก ตัวแทนสื่อมวลชน และผู้ที่ชื่นชอบการออกแบบ เพื่อสัมผัสกับความคิดสร้างสรรค์และงานฝีมือที่ดีที่สุดจากไต้หวัน มาร่วมค้นพบอนาคตของการออกแบบไต้หวันไปพร้อมกัน       เกี่ยวกับหน่วยงานบริหารการค้าระหว่างประเทศ ของไต้หวัน (TITA) หน่วยงานบริหารการค้าระหว่างประเทศ ของไต้หวัน (Taiwan International Trade Administration : TITA) ก่อตั้งภายใต้กระทรวงเศรษฐกิจ มีหน้าที่รับผิดชอบในการส่งเสริมการค้าโลกและการพัฒนาเศรษฐกิจของไต้หวัน โดย TITA มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายการค้า เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ และสนับสนุนธุรกิจไต้หวันในการขยายการเข้าถึงทั่วโลก โดยการส่งเสริมนวัตกรรม อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงตลาด และยกระดับไต้หวันในการค้าระหว่างประเทศ TITA ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันระดับโลก เว็บไซต์: www.trade.gov.tw   เกี่ยวกับสภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) สภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) ก่อตั้งขึ้นในปี 1970 เป็นองค์กรส่งเสริมการค้าที่ไม่แสวงหาผลกำไรของไต้หวัน เพื่อช่วยเหลือบริษัทในไต้หวันในการขยายตลาดไปสู่ทั่วโลก โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและสมาคมการค้าต่างๆ ทั้งนี้ TAITRA มีเครือข่ายสำนักงานกว่า 60 แห่งทั่วโลก พร้อมด้วยสาขาภายในประเทศ 5 แห่งในเถาหยวน ซินจู๋ ไถจง ไถหนาน และเกาสง เพื่อให้การสนับสนุนที่ครอบคลุมแก่ธุรกิจไต้หวันทั่วโลก อีกทั้ง TAITRA ยังทำงานร่วมกับ Taiwan Trade Center (TTC), Taipei World Trade Center (TWTC) และ Far East Trade Service (FETS) เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและส่งเสริมความร่วมมือทางธุรกิจระดับโลก เว็บไซต์: https://www.taitra.org.tw/en/
มอนท์เอซัวร์ เปิดบทใหม่แห่งการลงทุน บนทำเลใจกลางหาดกมลา ภูเก็ต

มอนท์เอซัวร์ เปิดบทใหม่แห่งการลงทุน บนทำเลใจกลางหาดกมลา ภูเก็ต

มอนท์เอซัวร์ เปิดบทใหม่แห่งการลงทุน บนทำเลใจกลางหาดกมลา ภูเก็ต มอนท์เอซัวร์ จัดงาน 'Investment Chronicle' เปิดบทใหม่แห่งการลงทุน กับ MGallery Residences MontAzure บนทำเลศักยภาพใจกลางหาดกมลา ภูเก็ต พร้อมข้อเสนอสุดเอ็กซ์คลูซีฟในงาน ตั้งแต่วันนี้ ถึง 16 มีนาคมนี้ ณ ห้างเอ็มโพเรียม   มอนท์เอซัวร์ (MontAzure) อาณาจักรมิกซ์ยูสซูเปอร์ไฮเอนด์ บนทำเลอันเป็นเอกลักษณ์ของหาดกมลา ภูเก็ต มอบประสบการณ์การพักผ่อนระดับโลกสำหรับผู้ที่มองหาที่พักตากอากาศเหนือระดับ ท่ามกลางทัศนียภาพอันงดงามของพระอาทิตย์อัสดง พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษภายในงาน "Investment Chronicle" เปิดบทใหม่แห่งการลงทุนกับ MGallery Residences MontAzure (เอ็มแกลเลอรี เรสซิเดนซ์ มอนท์เอซัวร์) โดยถือเป็น ‘เอ็มแกลเลอรี เรสซิเดนซ์’ แห่งแรกในประเทศไทย ที่ได้รับการบริหารโดยกลุ่มโรงแรมชื่อดังระดับโลกอย่าง แอคคอร์ (Accor) บนทำเล Ultimate Beachfront Community ที่มีศักยภาพการเติบโตสูงของภูเก็ต ตอบโจทย์ทั้งนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์และผู้ที่มองหาบ้านพักตากอากาศหลังที่สองสำหรับการอยู่อาศัย ซึ่งโครงการมีกำหนดทยอยแล้วเสร็จและพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป ราคาพิเศษเฉพาะในงาน เริ่มต้นเพียง 9.29 ล้านบาท ณ ห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม ตั้งแต่วันที่ 11 – 16 มีนาคมนี้ เท่านั้น     MGallery Residences MontAzure ประกอบด้วยห้องชุดสุดหรูจำนวน 227 ยูนิต ขนาดตั้งแต่ 47 ตร.ม. ขึ้นไป มีทั้งยูนิตแบบสตูดิโอ และ 1 ห้องนอน ให้เลือกทั้งวิวทะเลสาบและทิวเขา ห้องชุดทุกยูนิตได้รับการตกแต่งอย่างพิถีพิถันแนวร่วมสมัยที่เปี่ยมด้วยสุนทรียภาพและเอกลักษณ์ที่โดดเด่น เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์เครื่องใช้ที่ทันสมัยครบครัน เสริมด้วยบริการระดับพรีเมียม ให้ประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ในแบบลักชัวรี เจ้าของห้องชุดยังจะได้รับสิทธิประโยชน์และข้อเสนอระดับวีไอพีของแอคคอร์ผ่าน Accor Ownership Benefits Program ซึ่งสามารถใช้บริการได้ตามโรงแรมและรีสอร์ตในเครือทั่วโลก และได้รับเชิญเข้าร่วมเป็นสมาชิกไดมอนด์ของ Le Club AccorHotels ซึ่งเป็น Loyalty Program ระดับสูงสุดของแอคคอร์โดยสมาชิกจะได้รับการดูแลในแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่สุดและพร้อมสิทธิพิเศษมากมายจากโรงแรมในเครือ     ปัจจุบัน MGallery Residences MontAzure ราคาเริ่มต้นที่ 9.29 ล้านบาท ให้กรรมสิทธิ์ถือครองแบบFreehold พร้อมมอบโปรแกรมการบริหารปล่อยเช่าห้องชุดซึ่งให้ผลตอบแทนสูง ข้อเสนอสุดพิเศษภายในงานกับโอกาสการลงทุนสุดเอ็กซ์คลูซีฟ! เป็นเจ้าของ MGallery Residences MontAzure พร้อมสิทธิประโยชน์เหนือระดับ อาทิ ราคาสุดพิเศษ – ส่วนลดเงินสดสูงสุด 1 ล้านบาท* ยูนิตราคาพิเศษ เริ่มต้นเพียง 29 ล้านบาท* ฟรี! แพ็กเกจเฟอร์นิเจอร์ครบชุด ฟรี! ค่าบำรุงรักษา 1 ปี ฟรี! ค่ากองทุนแรกเข้า ฟรี! ค่าโอนกรรมสิทธิ์ ฟรี! MontAzure Card และ สมาชิก Accor Diamond ฟรี! ทริปสุดเอ็กซ์คลูซีฟสู่ภูเก็ต รับบัตรกำนัล Emporium มูลค่า 50,000 บาท เอกสิทธิ์เหนือระดับทั้งหมดนี้สำหรับผู้ลงทะเบียนล่วงหน้าและจองภายในงานเท่านั้น  *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด ขึ้นอยู่กับยูนิตที่มีเพื่อการขาย​     ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนล่วงหน้าได้ทาง https://montazure.com/mgallery-event/register/en สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือนัดชมโครงการ โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.montazure.com, อีเมล sales@montazure.com หรือโทร 093-624-8800   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ เปิดแล้ว  ‘Design Village Ratchada’ Community Living Mall แห่งใหม่ใจกลางเมือง ชาญอิสสระ กางแผนปี 68 เปิด 6 โครงการซูเปอร์ลักชัวรี่ ทั้งในกรุงเทพฯ – ต่างจังหวัด เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68      
ชาญอิสสระ กางแผนปี 68 เปิด 6 โครงการซูเปอร์ลักชัวรี่ ทั้งในกรุงเทพฯ - ต่างจังหวัด

ชาญอิสสระ กางแผนปี 68 เปิด 6 โครงการซูเปอร์ลักชัวรี่ ทั้งในกรุงเทพฯ - ต่างจังหวัด

ชาญอิสสระ กางแผนปี 68 เปิด 6 โครงการซูเปอร์ลักชัวรี่ ทั้งในกรุงเทพฯ - ต่างจังหวัด มูลค่ารวมกว่า 16,000 ล้านบาท เตรียมขยายไลน์ธุรกิจสุขภาพ - ความงาม เสริมทัพการเติบโต พร้อมมุ่งสู่ปรัชญาการดำเนินธุรกิจบนนิยามความเป็นชาญอิสสระ “Live Excellence”   นางธีราภรณ์ ศรีเจริญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจโดยยึดหลักปรัชญา สัจจะเป็นหลัก สามัคคีเป็นเลิศ สุขภาพยิ่งใหญ่ ซึ่งถือเป็นปรัชญาของกลุ่มชาญอิสสระ ที่ถ่ายทอดมาอย่างยาวนานจากรุ่นสู่รุ่น ที่มุ่งสร้างความสุขให้กับพนักงาน ลูกค้า คู่ค้า พันธมิตร ได้รับสิ่งที่ดี มีคุณภาพ มีความสุขในการอยู่อาศัย ตลอดจนมีความสุขในการได้ร่วมงานกับกลุ่มชาญอิสสระ   “เราจึงมี DNA 3 อย่างที่สำคัญ ที่สะท้อนความเป็นชาญอิสสระอย่างชัดเจน ได้แก่ Trusty ความน่าเชื่อถือ มีความซื่อสัตย์ ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า คู่ค้า มาตลอดระยะเวลา 70 ปี Synergy ความร่วมมือร่วมใจ มุ่งมั่นในการทำงาน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและผลลัพธ์ที่ดี มีคุณภาพด้วยการทำงานเป็นทีมทั้งภายในกับภายนอกองค์กร และCreativity ที่เราภูมิใจในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบที่แตกต่าง มีความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้มีที่อยู่อาศัย โรงแรม ที่มีเอกลักษณ์ มีความอยู่สบาย ด้วยฟังก์ชั่นที่ครบครัน” นางธีราภรณ์ กล่าว   คุณค่าของความเป็น “Live Excellence” จึงมีองค์ประกอบของ Empathy มีความเข้าใจผู้บริโภค จากมุมมองที่หลากหลาย จนสามารถพัฒนา ออกแบบโปรดักส์ที่ตอบโจทย์ของลูกค้า สร้างความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมที่ดีในการอยู่อาศัย นอกจากนี้ยังคิด พร้อมนำ Innovation นวัตกรรมใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดี เกิดความสุขที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบต่อสังคม และความเป็น Craftmanship ที่กลุ่มชาญอิสสระพร้อมทุ่มเทเวลา และกลั่นกรองในการพัฒนาโปรดักส์ ออกมาเพื่อให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด มีความแตกต่าง และถูกใจลูกค้า     ด้านนายดิฐวัฒน์ อิสสระ กรรมการและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2568 กลุ่มชาญอิสสระ เตรียมเปิดโครงการใหม่มูลค่ารวมกว่า 16,000 ล้านบาท เป็นลักชัวรี่คอมมูนิตี้ ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เริ่มจากบริเวณพระราม 9 - กรุงเทพกรีฑา มี 2 โครงการ คือ โครงการ อิสสระ เรสซิเดนท์ บนที่ดิน 19 ไร่ จำนวน 23 ยูนิต และ โครงการ บ้านอิสสระ บนที่ดิน 21 ไร่ จำนวน 67 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 5,123 ล้านบาท โครงการมิกซ์ยูส บนเกาะภูเก็ต “ศรีพันวา ลากูน” บนที่ดิน 62 ไร่ มูลค่าโครงการ 8,000 ล้านบาท ที่มีทั้งโรงแรมหรู วิลล่า และคอมมูนิตี้ ย่านเชิงทะเล, The Sky Series เวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่า บนที่ดินกว่า 2 ไร่ จำนวน 4 หลัง มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท, โครงการ อิสสระ วิลล์  หัวหิน (ISSARAVILLE) ลักชัวรี่พูลวิลล่า หัวหิน บนที่ดิน 4 ไร่ จำนวน 8 ยูนิต มูลค่าโครงการ 144 ล้านบาท ที่นำความสมดุลของธรรมชาติ เป็นจุดเชื่อมต่อให้กับทุกการพักผ่อนได้สัมผัสธรรมชาติในทุกมิติ รวมถึง โครงการ ซาซ่าส์ หัวหิน (SASA HUA HIN) A NEW STYLISH BEACH CONDOMINIUM บนที่ดิน 3 ไร่ จำนวน 248 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,706 ล้านบาท ที่ได้ทั้งวิวทะเล และวิวสนามกอล์ฟแบบเต็มๆ     สำหรับธุรกิจโรงแรม มุ่งหน้าขยายสู่ Wellness ระดับ World Class โดยความร่วมมือกับ BDMS เพื่อให้ศรีพันวาเป็นที่พักผ่อน ผสมผสานไปกับการดูแลสุขภาพกายและใจ ให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) อย่างแท้จริง   “เร็วๆ นี้ โรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ BDMS Wellness Clinic ในการมอบประสบการณ์ด้านสุขภาพที่ครอบคลุมร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ผสานความเป็นเลิศทางการแพทย์ และการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล ภายใต้การดูแลของ BDMS Wellness Clinic เข้ากับการพักผ่อนที่หรูหราและสงบสุขของศรีพันวาเพื่อการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และฟื้นฟูความสมบูรณ์ของร่างกายอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีโปรแกรมดูแลสุขภาพ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคอยให้บริการอย่างใกล้ชิด ลดการใช้สารเคมี เน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก ส่งเสริมการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การออกกำลังกาย และใช้ชีวิตที่คำนึงถึงธรรมชาติ” นายดิฐวัฒน์ กล่าว     นอกจากนี้ ยังเตรียมพัฒนาโปรดักส์ใหม่ในกลุ่มของธุรกิจดูแลสุขภาพผิว ภายใต้แบรนด์ BABA SKIN CLUBด้วยแนวคิด Skin Vacation นวัตกรรมใหม่เพื่อให้ผิวได้รับการบำรุง, พักผ่อน ซึ่งใช้ สารสกัดจากธรรมชาติมาเป็นส่วนผสม โดยคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2568 โดยมีคุณกรัชเพชร อิสสระ รับตำแหน่ง เป็นแบรนด์ไดเร็กเตอร์ ของผลิตภัณฑ์ BABA SKIN CLUB   “BABA SKIN CLUB เป็นไลน์ธุรกิจใหม่ โดยจะนำร่องเป็นผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดเป็นชุดแรกที่คำนึงถึงกลุ่มลูกค้าทุกเพศ ทุกวัย ให้สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ได้จบครบในหลอดเดียว ทั้งปกป้อง ดูแล ฟื้นฟู ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม”นายดิฐวัฒน์ กล่าว    อย่างไรก็ตามจากนโยบาย และกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่กล่าวไปข้างต้น กลุ่มชาญอิสสระเชื่อมั่นว่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุน ให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในการมุ่งสู่การพัฒนาธุรกิจ ตรงตามนิยามความเป็นชาญอิสสระ “Live Excellence”   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ เบิร์กลีย์ กรุ๊ป เปิดตัวคอนโดหรู ย่าน Prime Central London เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68
เปิดแล้ว  ‘Design Village Ratchada’ Community Living Mall แห่งใหม่ใจกลางเมือง

เปิดแล้ว  ‘Design Village Ratchada’ Community Living Mall แห่งใหม่ใจกลางเมือง

เปิดแล้ว ‘Design Village Ratchada’ Community Living Mall แห่งใหม่ใจกลางเมือง พร้อมส่งมอบ Finest Lifestyle Norm ยกระดับคุณภาพชีวิตชาวรัชดาให้อยู่ดี-กินดี-สุขภาพดี   Design Village (ดีไซน์วิลเลจ) ผู้นำ Community Living Mall ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เดินหน้าเปิดให้บริการโครงการ Design Village Ratchada (ดีไซน์วิลเลจ รัชดา) อย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ บนพื้นที่ 13 ไร่ ติดถนนรัชดาภิเษก ด้วยเงินลงทุนกว่า 400 ล้านบาท ปักหมุดเป็นจุดหมายปลายทางแห่งการใช้ชีวิตครบวงจร พร้อมส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตกับสิ่งพิเศษให้เป็นเรื่องปกติ (Finest Lifestyle Norm) ให้ชาว Ratchadanista อยู่ดี (Good Living) – กินดี (Good Eats) – สุขภาพดี (Good Health) ภายใต้คอนเซ็ปต์  The Seamless Aspiring Destination on Ratchada ที่ผสานการทำงาน การพักผ่อน และการดูแลสุขภาพเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ยกระดับการใช้ชีวิตให้ลื่นไหลยิ่งกว่าที่เคย     นายสิทธิศักดิ์ ทยานุวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญถาวร รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)กล่าวว่า “Design Village มีจุดเริ่มต้นจากความมุ่งมั่นในการปรับตัวให้ตอบสนองต่อทิศทางตลาดและพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับลูกค้าบุญถาวรมีความพิถีพิถัน และใช้เวลาในการเลือกซื้อสินค้านานขึ้น นำมาสู่การพัฒนาโครงการ Design Village เป็นส่วนต่อขยายของบุญถาวร ที่มีร้านค้าอื่นๆ นอกเหนือจากสินค้าหลักของบุญถาวร เช่น ร้านอาหาร การบริการ สุขภาพ เพื่อยกระดับการบริการของบุญถาวรให้ทันสมัย ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มลูกค้าเดิมและกลุ่มลูกค้าใหม่”     ที่ผ่านมาได้เปิดตัวโครงการ Design Village ไปแล้ว 4 สาขา คือ (1) Design Village Ratchaphruek (ดีไซน์วิลเลจ ราชพฤกษ์) เปิดให้บริการเป็นสาขาแรกในปี 2561 (2) Design Village Phutthamonthon (ดีไซน์วิลเลจ พุทธมณฑล) เปิดในปี 2563 (3) Design Village Kaset-Nawamin (ดีไซน์วิลเลจ เกษตร-นวมินทร์) เปิดในปี 2564 และ (4) Design Village Bangna (ดีไซน์วิลเลจ บางนา) เปิดในปี 2566 ซึ่งทั้ง 4 สาขา ถือเป็นบทพิสูจน์ความสำเร็จในการปรับตัวให้ตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภค และการพัฒนาพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นำมาสู่การพลิกโฉมบุญถาวร สาขารัชดา สู่ Design Village Ratchada เป็นสาขาที่ 5 ในครั้งนี้ “บุญถาวร สาขารัชดา ถือเป็นจุดกำเนิดของอาณาจักรและเครือข่ายบุญถาวร เราเติบโตมาพร้อมกับย่านรัชดาภิเษก จนปัจจุบันย่านนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ หรือ New CBD (Central Business District) ของกรุงเทพฯ ส่งผลให้พื้นที่โดยรอบโครงการคึกคักมากขึ้น และถือว่าเป็นย่านที่มีศักยภาพในการเติบโตทางธุรกิจเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นย่านที่ดูมีความพร้อม แต่ผู้คนในย่านยังคงมองหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่ แตกต่าง และประณีต เราจึงเล็งเห็นโอกาสที่จะยกระดับการให้บริการสู่การเป็น Community Living Mall ที่พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ส่งมอบประสบการณ์ที่พวกเขามองหา ยกระดับคุณภาพชีวิต และเติมเต็มวันธรรมดาของชาวรัชดานิสต้าให้พิเศษกว่าที่เคย” นายสิทธิศักดิ์ กล่าวเสริม     Design Village Ratchada เป็นโครงการที่มีจุดแข็งที่โดดเด่นถึง 3 เรื่อง ได้แก่ ที่ตั้งโครงการ -  เป็น Community Mall โครงการเดียวตั้งแต่แยกห้วยขวางไปจนถึงแยกรัชโยธิน -  โครงการมีหน้ากว้างยาวกว่า 200 เมตร และใกล้สถานีรถไฟฟ้า MRT ถึงสองสถานี คือ สถานีสุทธิสาร และสถานีรัชดาภิเษก -   มีประชากรหนาแน่นในรัศมี 3 กม.ซึ่งประกอบด้วยที่อยู่อาศัยกว่า 25,000 ยูนิต อาคารสำนักงานกว่า 30 อาคาร ซึ่งมีประชากรรวมกว่า 600,000 คน  ความสะดวก -   มีที่จอดรถแบบ On Ground ที่รองรับได้ถึง 350 คัน ให้ลูกค้าสามารถเลือกจอดรถใกล้บริเวณที่ต้องการไป และเข้าใช้บริการได้สะดวก รวดเร็ว Anchor - Design Village เป็นโครงการที่มี Anchor หลักคือบุญถาวร ซึ่งการมีบุญถาวรที่อยู่ในพื้นที่นี้มาแล้วกว่า 40 ปี สามารถให้ความมั่นใจกับอีกกว่า 40 ร้านค้าที่มาเช่าพื้นที่ได้ว่าจะมีการบริหารโครงการและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง   ปัจจุบัน Design Village Ratchada ปล่อยเช่าพื้นที่ไปแล้ว 85% และยังคงมองหาแบรนด์ร้านค้าและบริการชั้นนำเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบ Finest Lifestyle Norm ให้กับลูกค้า Design Villageทั้ง 5 สาขา   ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อนัดหมายเพื่อเข้าชมโครงการ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แผนกพื้นที่เช่า โทร 062 863 4444 อีเมล: leasing.designvillage@boonthavorn.com ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมของ Design Village ได้ที่ Facebook: Design Village   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68 AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์    
ซีคอน เปิดตัวโครงการบ้าน Your Home: Your Family ซีรีส์ 2 ต่อยอดความสำเร็จจากซีรีส์แรก

ซีคอน เปิดตัวโครงการบ้าน Your Home: Your Family ซีรีส์ 2 ต่อยอดความสำเร็จจากซีรีส์แรก

ซีคอน เปิดตัวโครงการบ้าน Your Home: Your Family ซีรีส์ 2 ซีคอน สร้างรากฐานความยั่งยืนด้วยนวัตกรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมเปิดตัวโครงการบ้าน Your Home: Your Family ซีรีส์ 2 ต่อยอดความสำเร็จจากซีรีส์แรก ซีคอน เปิดฉากปี 2568 เดินเกมรุกด้วยแนวคิด “SEACON Growing Together” เน้นเติบโตบนบริบท ESG มุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพสินค้าและบริการมากคุณภาพสู่มือผู้บริโภค พร้อมสานต่อความสำเร็จด้วยโครงการบ้าน Your Home: Your Family ซีรีส์ 2  ตั้งเป้ายอดขายปี 2568 ที่ 1,690 ล้านบาท   นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด เปิดเผยว่า แม้ในปีที่ผ่านมาซีคอนต้องเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลาย แต่ก็สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกลุ่มลูกค้าหลักยังเป็นกลุ่มครอบครัวขนาดใหญ่ที่ 48.45% ราคาสั่งสร้างประมาณ 8-50 ล้านบาทต่อหลังและพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 351 ตารางเมตรขึ้นไป ตามมาด้วยกลุ่มครอบครัวขนาดกลางที่ 34.65%  ราคาสั่งสร้างประมาณ 5-7.90 ล้านบาทต่อหลังและพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 200 – 350 ตารางเมตร และกลุ่มครอบครัวขนาดเล็กที่ 16.90% ราคาสั่งสร้างประมาณ 1.39-4.50 ล้านบาทต่อหลังและพื้นที่น้อยกว่า 200 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นยอดจองช่องทาง Offline คิดเป็น 78.05% และยอดจองผ่านช่องทาง Online อยู่ที่ 21.95% ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา     โดยนายมนูได้ชี้แจงถึงแนวทางการดำเนินงานและกลยุทธ์ของซีคอนในปี 2025 ว่า บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านธุรกิจรับสร้างบ้านของประเทศไทย ด้วยการพัฒนาคุณภาพงานด้านการก่อสร้างและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบบ้านที่มากด้วยคุณภาพให้แก่ลูกค้า โดยได้วางกลยุทธ์ปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์และแคมเปญบ้านราคาพิเศษ รวมถึงการบริหารจัดการด้านราคาของโครงสร้างกึ่งสำเร็จรูปที่ผลิตเองภายในโรงงาน พร้อมรับประกันคุณภาพนานถึง 20 ปี นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งหาโอกาสในการลงทุนด้านเทคโนโลยีและปรับรูปแบบการทำงานโดยนำระบบ ERP (Microsoft Dynamics 365 Business Center) เข้ามาใช้เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงลงทุนในการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของพนักงาน เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดีและความโปร่งใสในการสื่อสารภายในองค์กร เพื่อก้าวสู่เป้าหมายการเติบโตของยอดขายที่ 1,690 ล้านบาทในปี 2568     จากความสำเร็จอย่างงดงามของโครงการบ้าน Your Home Series เพื่อเจาะกลุ่มข้าราชการไทยที่ได้เปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ในปี 2568 ซีคอนได้สานต่อแคมเปญดังกล่าวโดยได้เปิดตัวโครงการบ้าน “Your Home: Your Family #2” ที่มาพร้อมกับดีไซน์และสไตล์ที่หลากหลาย คงความโดดเด่นในเรื่องสีสันและความอ่อนละมุน รวมถึงมีขนาดบ้านให้เลือกมากขึ้นและฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน ซึ่งจะเปิดตัวครั้งแรกผ่านช่องทางออนไลน์ในต้นเดือนมีนาคมนี้ และจึงจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Focus 2025” ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี ฮออล์ 8 ระหว่างวันที่ 12 – 16 มีนาคม 2568 รวมทั้งงาน “บ้านและสวน Select 2025” ที่ไบเทค บางนา ระหว่างวันที่ 22 – 30 มีนาคม 2568 โดยมีแบบบ้านให้เลือกตั้งแต่ 5 ถึง 8 แบบ ราคาเริ่มต้นที่ 5 ล้านบาท พร้อมทั้งจัดโปรโมชันพิเศษในช่วง Early Bird ตั้งแต่มีนาคมถึงมิถุนายน 2568   ทั้งนี้ ในด้านกิจกรรมเพื่อสังคม ซีคอน ได้ดำเนินโครงการ “SEACON ป้อนฝัน ปันให้น้อง (ปีที่ 1)” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความยั่งยืนและพัฒนาศักยภาพของเยาวชน โดยเน้นสนับสนุนโอกาสทางการศึกษาสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาและนักศึกษาที่มีผลการเรียนดีแต่มีฐานะยากจน จากการคัดเลือกพบว่ามีผู้สมัคร 13 คน และได้คัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการจริง 11 คน โดยให้ทุนการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาทุนละ 20,000 บาท และระดับอุดมศึกษาทุนละ 40,000 บาท พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมของบริษัทฯ เพื่อเตรียมความพร้อมสู่อนาคต ในขณะเดียวกัน SEACON ยังได้ริเริ่มโครงการ “สร้างงาน สร้างคุณค่า ส่งเสริมสวัสดิภาพคนพิการอย่างเท่าเทียม” ด้วยการปรับเปลี่ยนแนวทางจากการส่งเงินสมทบให้กับการจ้างงานคนพิการในรูปแบบสัญญาจ้างรายปี โดยร่วมมือกับมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมเพื่อคัดเลือกและจ้างคนพิการที่มีความประพฤติและตั้งใจประกอบอาชีพ ซึ่งการจ้างงานในรูปแบบใหม่นี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้พวกเขามีรายได้ที่เพียงพอต่อการดำรงชีพ แต่ยังช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตและสร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวอีกด้วย   นอกจากนี้ ซีคอน ยังได้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ภายในองค์กร “SEACON Learning Center (SCL)” เพื่อพัฒนาความรู้และทักษะด้านงานก่อสร้างและ soft skills ของพนักงาน โดยมีการจัดฝึกอบรมมาตรฐานที่ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งลงทุนในระบบ Knowledge Management System ที่ให้บุคลากรสามารถเข้าศึกษาและเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อรองรับความต้องการด้านคุณภาพการบริการและการก่อสร้างที่ได้มาตรฐานในทุกขั้นตอน นอกจากนี้ องค์กรยังให้ความสำคัญกับการตรวจสอบภายใน (Internal Audit) เพื่อประเมินและตรวจสอบระบบควบคุมภายในอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปตามนโยบายและมาตรฐาน ลดความเสี่ยง และเสริมสร้างความโปร่งใสในทุกกระบวนการบริหารจัดการ   ด้านแนวทางการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม บริษัทฯ ได้ริเริ่มโครงการรีไซเคิล “กระเป๋าผ้าใบจากป้ายไวนิล” ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากแนวคิด ESG ภายในองค์กร โดยมีการผลิตกระเป๋าผ้าไวนิลชุดแรกจำนวน 200 ใบ เพื่อนำไปแจกให้กับเด็กด้อยโอกาสในถิ่นทุรกันดาร รวมทั้งวางจำหน่ายในงาน Exhibition โดยรายได้ที่ได้จะนำมอบให้กับผู้ด้อยโอกาส นอกจากนี้ ยังมีการนำ waste รูปแบบอื่นๆ เช่น กระดาษที่ใช้แล้วในสำนักงานมารีไซเคิลร่วมกับพันธมิตร SEACON X SCGP recycle เพื่อใช้ภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ   ในด้านการบริหารจัดการ Carbon Footprint บริษัทฯ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับฉลากเขียวจากงานก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น ผลิตภัณฑ์ Thai Metal Aluminium ที่สามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 437.65 ตัน CO₂ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 17,500 ต้น รวมถึงสี Beger ที่ลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 38.02 ตัน CO₂ เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 625 ต้น และยังมีการใช้พลังงานสะอาดจากโซล่าเซลล์ในโรงงานซีคอน พรีคาสท์แฟคทอรี่ (SF) เพื่อผลักดันแนวทางการลดการปล่อยคาร์บอนในทุกปี โดยบริษัทฯ มุ่งมั่นในการสนับสนุนและพัฒนาการลดการปล่อยคาร์บอนอย่างต่อเนื่อง   “SEACON Growing Together เป็นการเดินหน้าที่ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงผลประกอบการที่มั่นคงอย่างยั่งยืน แต่ยังสะท้อนความมุ่งมั่นในการพัฒนาบนบริบทที่ครอบคลุมด้าน ESG ทั้งด้านนวัตกรรมการก่อสร้าง บริการที่มีคุณภาพ และการดำเนินโครงการที่มุ่งสร้างความยั่งยืนในสังคมและสิ่งแวดล้อม ความมุ่งมั่นนี้เป็นหลักการที่ขับเคลื่อนบริษัทฯ ให้เติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสียโดยรวม ด้วยการนำหลักการดำเนินธุรกิจในแบบ "Triple Bottom Line" หรือ 3P ที่ประกอบด้วย People, Planet, Profit มาใช้ประเมินความสำเร็จขององค์กรอย่างครอบคลุมและยั่งยืนจากปัจจุบันสู่อนาคต” นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กล่าวสรุป   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ เสนา ลุยเจ้าตลาด Affordable 1-3 ล้านบาท ปี68 เร่งเปิด 12 โครงการใหม่ ORN ประกาศแผนปี 68 ทุ่ม 2,148 ล้านบาท เปิด 3 โครงการ  
เอพี ไทยแลนด์ ปี68 พร้อมต่อยอดครองความเป็นหนึ่ง สร้างที่สุด...ให้ชีวิตดีที่สุด

เอพี ไทยแลนด์ ปี68 พร้อมต่อยอดครองความเป็นหนึ่ง สร้างที่สุด...ให้ชีวิตดีที่สุด

เอพี ไทยแลนด์ ปี68 พร้อมต่อยอดครองความเป็นหนึ่ง สร้างที่สุด...ให้ชีวิตดีที่สุด เปิดโครงการใหม่มูลค่า 65,000 ล้านบาท ที่สุดทุกมิติในอุตสาหกรรม    บมจ. เอพี ไทยแลนด์ ตั้งเป้าปี 2568 ขยายพอร์ตสินค้าในเครือเอพีพร้อมขายกระจายทั่วประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 226 โครงการ โดยเป็นโครงการพัฒนาใหม่ จำนวน 42 โครงการ มูลค่าประมาณ 65,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 26,500 ล้านบาท ทาวน์โฮม และบ้านแฝด 18 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 20,200 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่า 3,300 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขาย 55,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 52,900 ล้านบาท   ผลการดำเนินงานปีที่ผ่านมา (2567) บริษัทฯ มียอดขายสุทธิสูงสุดในอุตสาหกรรมถึง 46,752 ล้านบาท มีรายได้รวมจากสินค้ากลุ่มแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 47,125 ล้านบาท กำไรสุทธิเท่ากับ 5,020 ล้านบาท และมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.70 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนในระดับที่ไม่เกิน 1 เท่า ณ 23 กุมภาพันธ์ 2568 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้มูลค่า 41,621 ล้านบาท     เจาะกลยุทธ์ เอพี “สร้างที่สุด...ให้ชีวิตดีที่สุด”   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า บริษัทฯ​ ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ใหญ่ “ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้” และในปี 2568 นี้ถือเป็นอีกหนึ่งปีของความท้าทายด้วยปัจจัยต่างๆ รอบด้าน แต่อย่างไรก็ตามเพื่อคงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในปีนี้ทุกกลุ่มธุรกิจในเครือเอพี ไทยแลนด์ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจไปด้วยกัน ภายใต้แผนกลยุทธ์ “สร้างที่สุด...ให้ชีวิตดีที่สุด” ด้วยการสร้างที่สุดในทุกๆ มิติ ทั้งผ่านสินค้าหลักอย่างบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม บ้านแฝด และคอนโดมิเนียม หรือผ่านประสบการณ์การอยู่อาศัยด้วยเซอร์วิสต่างๆ ที่บริษัทฯ พัฒนาขึ้น เพื่อส่งมอบชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ให้กับทุกคน   ทั้งนี้ปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายอสังหาริมทรัพย์ไว้ที่ 55,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 52,900 ล้านบาท กับที่สุดแรกด้วยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 42 โครงการ มูลค่า 65,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 26,500 ล้านบาท ทาวน์โฮมและบ้านแฝด จำนวน 18 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 20,200 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่า 3,300 ล้านบาท และเมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (ongoing projects) จะทำให้ เอพี ไทยแลนด์เป็นที่สุดด้วยจำนวนโครงการมากที่สุดรวม 226 โครงการ ทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย   ด้วยเทรนด์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เอพีเราไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจนเซอร์วิสต่างๆ ให้สอดรับกับวิถีชีวิตและความต้องการที่เปลี่ยนไป ซึ่งภายใต้กลยุทธ์ “สร้างที่สุด...ให้ชีวิตดีที่สุด” นั้น บริษัทฯ ได้ทำงานร่วมกับทุกกลุ่มธุรกิจในเครือ เพื่อนำพาเอพีครองความเป็นหนึ่ง ตลอดจนสร้างที่สุดให้เกิดขึ้นในทุกๆ Touch Point ของการอยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์เครือเอพี โดยมี 3 DNA สำคัญในการส่งมอบความเป็นที่สุดที่ลูกค้าจะสัมผัสได้จากโครงการใหม่ที่เตรียมเปิดตัวในปีนี้ ได้แก่     Diversity & Desires สร้างที่สุด...ให้ทุกพื้นที่สะท้อนตัวตน บนความเข้าใจในความแตกต่างและความชอบส่วนตัว เพื่อให้สิ่งที่เป็นที่สุดในชีวิต อยู่กับคุณตลอดไป ครอบคลุมทุกมิติของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่การให้ความสำคัญในการพัฒนาแบบบ้านโมเดลใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกพื้นที่รองรับกับไลฟ์สไตล์ที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น รวมถึงการเลือกทำเลศักยภาพ ซึ่งเป็นจุดแข็งของเอพี เพื่อให้บ้านที่คุณเลือก เป็นที่สุดในชีวิตที่อยู่กับคุณตลอดไป   Craft Space & Design สร้างที่สุด...ในทุกรายละเอียดของการออกแบบ ด้วยการออกแบบที่พิถีพิถันในทุกรายละเอียด เพื่อการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ ด้วยการออกแบบที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดด้วยแนวคิด Empathy Design ที่นอกเหนือจากการสร้างพื้นที่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แล้ว แต่ยังเติมเต็มสุนทรียศาสตร์ในการอยู่อาศัย สร้างเสน่ห์ให้ทุกประสบการณ์พิเศษและแตกต่าง ด้วยดีไซน์ที่งดงามเหนือกาลเวลา   Elevation & Intuitive Living สร้างที่สุด...ให้ทุกสิ่งรอบตัวเป็นเรื่องง่าย เพื่อชีวิตดีๆ ที่ไม่ต้องคิด ด้วย Service ที่ทำให้ทุกเรื่องง่าย ตอบโจทย์ชีวิตอย่างลงตัว ด้วยความตั้งใจในการออกแบบประสบการณ์ที่ทำให้การอยู่อาศัยเป็นเรื่องง่าย สบาย และสมบูรณ์แบบ โดยไม่ต้องคิดหรือจัดการให้ยุ่งยาก เพราะทุกอย่างถูกคิดและเตรียมไว้ให้แล้ว ด้วยบริการต่างๆ ในเครือเอพี ไทยแลนด์ ที่ครอบคลุมทุกเรื่องการอยู่อาศัย   เบอร์ 1 ผู้นำตลาดทาวน์โฮมและบ้านแฝดที่ไม่หยุดนิ่ง  นายเมธา รักธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าทาวน์โฮมและบ้านแฝด บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมเอพีมีอัตราการเติบโตด้านยอดขายที่เพิ่มขึ้นกว่า 30% ในปีที่ผ่านมา จนทำให้วันนี้เรายังคงครองอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มสินค้าทาวน์โฮมและบ้านแฝดมากที่สุด สำหรับในปีนี้กลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมและบ้านแฝดยังคงเดินหน้าอย่างไม่หยุดนิ่งในทุกมิติ โดยตั้งเป้าสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมสานต่อกลยุทธ์หลักขององค์กร ในการ “สร้างที่สุด...ให้เกิดขึ้นในทุกมิติ เพื่อให้ลูกค้าก้าวไปสู่ที่สุดของชีวิต” โดยในปีนี้เรามีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 18 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาท ครอบคลุมครบทั้ง 6 Sub-Brand ตั้งแต่ระดับราคา 1.49 - 25 ล้านบาท   ทั้งนี้ สร้างที่สุดแรกคือ การเป็นอันดับ 1 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีโครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดครอบคลุมทุกโซนของกรุงเทพฯ มากที่สุด ภายใต้กลยุทธ์ Zoning Expansion Strategy ถือเป็น key สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงการที่ครอบคลุมทั้งในแง่ของจำนวน รูปแบบโครงการ และแพ็กเกจราคาที่หลากหลาย ที่สอดรับกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจมีจำนวนโครงการที่กระจายครอบคลุมพื้นที่มากถึง 11 โซน กับจำนวนโครงการพร้อมอยู่มากที่สุดกว่า 70 โครงการ ซึ่งมั่นใจว่าสินค้าทาวน์โฮมและบ้านแฝดเอพีมีสินค้าที่พร้อมขาย พร้อมโอนมากที่สุดในอุตสาหกรรม   ที่ผ่านมาการพัฒนาโครงการของเอพีประสบความสำเร็จอย่างมาก สร้าง AP Community ให้เกิดขึ้นในหลายทำเลใหญ่ ซึ่งถ้านับ AP Community ที่เอพีลงทุนพัฒนาไปแล้วรวมได้กว่า 1,000 ไร่ ซึ่งในปีนี้มีแผนขยายความสำเร็จในการสร้าง AP Community ไปยังทำเล เมืองเอก วิภาวดี-รังสิต ด้วยขนาดที่ดินรวมกว่า 120 ไร่ ด้วยศักยภาพของทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต เชื่อมต่อทางด่วนบางพูน และ ติดถนน 345 เชื่อมไปยังโซนราชพฤกษ์ เพื่อเข้าสาทร หรือ ถนนกาญจนาภิเษก-วงแหวน ไปยังนนทบุรี พระราม 5 ได้หลากหลายเส้นทาง โดยเตรียมเปิดตัวทาวน์โฮมและบ้านแฝดใหม่ในทำเล เมืองเอก วิภาวดี-รังสิต จำนวน 3 โครงการ ซึ่งพร้อมจะเปิดขายโครงการแรก คือ Grande Pleno วิภาวดี-รังสิต บ้านแฝดไซส์ใหญ่ เริ่มต้น 5.49 ล้านบาท ในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้     สร้างที่สุดในมิติที่ 2 กับที่สุดของแบบบ้านที่มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ตอบทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในทุกเซกเมนต์  ซึ่ง ณ ปัจจุบันเรามีแบบบ้านกว่า 100 โมเดล และในปีนี้มีการพัฒนาแบบบ้านใหม่ เพิ่มขึ้นอีก 13 โมเดล ด้วยทาวน์โฮมและบ้านแฝดในคอนเซ็ปต์ใหม่ เช่น CoLive Model ทาวน์โฮมแรกที่ลูกค้าสามารถปล่อยเช่าแยกชั้นได้ ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่ม Solo Living ที่ชอบใช้ชีวิตคนเดียว Mirth Model ทาวน์โฮม 2 ชั้นที่มาพร้อมกับ Duplex Space พื้นที่พิเศษที่เพิ่มมากขึ้น Xavier Model ทาวน์โฮม 3 ชั้นที่มากับคอนเซ็ปต์บ้านเล่นระดับ หรือ Asher Model บ้านแฝดหน้ากว้างสุด 16.4 เมตร เป็นต้น     สร้างที่สุดที่ 3 กับการสร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่ส่วนกลางที่ดีที่สุดในทาวน์โฮมและบ้านแฝด เพื่อให้พื้นที่ส่วนกลางไม่ได้เป็นเพียงจุดพักผ่อน แต่คือการออกแบบส่วนกลางที่ผสานแนวคิดความยั่งยืน โดยไม่ลดทอนความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน พร้อมยังทำให้สภาพแวดล้อมภายในโครงการร่มรื่นสวยงามน่าอยู่ ด้วยการให้ความสำคัญกับการใช้นวัตกรรมมาช่วยในการประหยัดพลังงาน เช่น 24Fitness ฟิตเนสที่พร้อมเปิด 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่ต่างกันในแต่ละช่วงเวลา และมีการออกแบบระบบเปิด-ปิดไฟแยกตามโซนการใช้งานเพื่อประหยัดพลังงาน การออกแบบ Eco Waste Station สถานีจัดการขยะอย่างเป็นระบบเพื่อความสะอาดและความยั่งยืน โดยในทาวน์โฮมและบ้านแฝดทุกโครงการจะมีการออกแบบตัวอาคารที่เป็นจุดจัดการขยะไว้อย่างเป็นสัดส่วนตามมาตรฐานการแยกขยะที่ทางภาครัฐกำหนดขึ้น พร้อมรณรงค์ผ่านแคมเปญ แยก.เท.ได้ เพื่อเชิญชวนลูกบ้านร่วมกันแยกขยะก่อนทิ้ง โดยในปีนี้มีการตั้งเป้า recycle ขยะให้ได้ที่ 100 ตัน จากทุกโครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝด เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 20,000 ต้น หรือการใช้ระบบ Solar Roof เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลาง โดยจะติดตั้งเพิ่มเติมในส่วนของ Main Gate นอกเหนือจากติดตั้งไปแล้วในส่วนของพื้นที่ Club House     The Greatest Home ที่สุดของบ้านที่เข้าใจชีวิต นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า บ้านเดี่ยวเอพีเรายังคงพัฒนาสินค้าภายใต้จุดยืน FUNCTIONAL IS BEAUTIFUL บ้านที่สวยที่สุด คือบ้านที่เข้าใจชีวิต ที่ที่ทุกตารางนิ้วถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้ใช้งานได้จริง และเข้าใจทุกชีวิตในบ้านมากที่สุด โดยในปีนี้กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวมีแผนเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 15 โครงการ มูลค่า 26,500 ล้านบาท โดยในปีนี้กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวพร้อมจะสร้างที่สุดภายใต้แนวคิด The Greatest Home เพื่อสร้างที่สุดของที่อยู่อาศัย ที่เติมเต็มทุกพื้นที่ชีวิตของทุกเจเนอเรชัน ซึ่งนอกเหนือจากการ Maintain ความสำเร็จในตลาดบ้านเดี่ยวระดับราคา 7-20 ล้านบาท ปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่บ้านเดี่ยวเอพีมีการเปิดตัวแบบบ้านใหม่ครบทุกแบรนด์พร้อมกัน การเปิดตัวโปรดักต์ใหม่ทั้งหมดนี้เพื่อให้เติมเต็มความต้องการพื้นที่ชีวิตที่แตกต่าง และครอบคลุมทุกเซกเมนต์ นอกจากนี้เพื่อสร้างการเติบโตที่มากยิ่งขึ้น เราจึงมาพร้อมที่สุดแรกกับการ เปิดตัว ‘Majestic Collection’ คอลเลกชันบ้านเดี่ยวระดับอัลตร้าลักซ์ชัวรี แบรนด์ The Palazzo และบ้านกลางกรุง ในเซกเมนต์ราคาประมาณ 50-100 ล้านบาทขึ้นไป โดย ‘Majestic Collection’ สะท้อนนิยามของความสง่างามเหนือกาลเวลา ด้วยการออกแบบที่งดงามเหนือกาลเวลา ที่ไม่เพียงแต่เป็นบ้าน แต่คือผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ที่ผสานความประณีตในทุกรายละเอียดเข้ากับความหรูหราสง่างาม ตอบโจทย์ผู้ที่มองหาที่สุดของการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง     3 ที่สุดของโครงการกับ ‘Majestic Collection’ 1) The Palazzo กรุงเทพกรีฑา ราคา 75-120 ล้านบาท 2) The Palazzo ปิ่นเกล้า-บรมฯ ราคา 50-85 ล้านบาท 2 ที่สุดของบ้านเดี่ยวระดับ Flagship ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมระดับ World-Class ผสานงานดีไซน์ที่พิถีพิถันในทุกรายละเอียด สร้างสรรค์พื้นที่อยู่อาศัยให้เป็นเสมือน ‘Masterpiece’ ที่หลอมรวมทั้งความโอ่อ่าของพื้นที่ ฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ระดับสูง และงานออกแบบที่สะท้อนรสนิยมเหนือระดับ กับจุดเด่นคฤหาสน์หรูที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขนาดพื้นที่ใช้สอยสูงสุดกว่า 1,000 ตร.ม. พิเศษด้วยการออกแบบพื้นที่พิเศษเฉพาะในแต่ละเจเนอเรชัน และส่วนกลางที่ไม่ได้เป็นเพียง Facilities แต่เป็นแลนด์มาร์กแห่งการใช้ชีวิตระดับ Majestic Living อย่างแท้จริง ซึ่งพร้อมเปิดให้เข้าชมแบบ Private Preview ในวันที่ 29-30 มีนาคมนี้ และ 3) บ้านกลางกรุง สาธุประดิษฐ์ 57 The Rarest of Rarity ที่สุดของดีไซน์และโลเคชันสุดยูนีคใจกลางเมือง กับบ้านแนวคิดใหม่สูง 4-5 ชั้น พร้อมชั้นดาดฟ้า เพียงแค่ 9 หลัง มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท ที่ให้ทั้งความเป็นส่วนตัว ความโอ่อ่า และความสะดวกสบาย ในพื้นที่แนวตั้ง ซึ่งพร้อมเปิดขายในช่วงไตรมาส 2     อีกหนึ่งไฮไลต์ที่น่าสนใจในปีนี้กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยว มีแผนเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ภายใต้ชื่อ BEON [บีร์ออน] เพื่อยกระดับที่อยู่อาศัยให้เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับการใช้ชีวิต กับที่สุดของบ้านเดี่ยวสุดโมเดิร์นสูง 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 614- 814 ตารางเมตร ดีไซน์ใหม่สุด Exclusive พิเศษในเรื่องของการออกแบบสเปซให้มี Ultra Volume เชื่อมต่อพื้นที่ทุกชั้นภายในเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีไลฟ์สไตล์ Unique และมองหาบ้านเดี่ยวในสไตล์โมเดิร์นคลาสสิก โดยมีแผนเปิดตัวโครงการภายใต้แบรนด์ “BEON” ในทำเลแรกแถวนวลจันทร์ ซึ่งพร้อมเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง     LIFE Condo ให้ความสำเร็จได้ใช้ชีวิต  นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ในปีนี้กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม พร้อมสร้างที่สุด...เพื่อให้คุณเริ่มชีวิตที่อยากใช้ ไปกับคอนโดใหม่จากเอพี โดยในปีนี้มีแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 6 โครงการ มูลค่า 20,200 ล้านบาท ด้วยการสร้างเมจิกให้เกิดขึ้นผ่านวิธีคิดในการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางและสเปซภายในห้องชุด ทลายข้อจำกัดเดิมๆ ในการใช้ชีวิตแนวตั้ง เพื่อสร้างความรู้สึกใหม่ให้ทุกพื้นที่สะท้อนตัวตน โดยคีย์ไฮไลต์ของปีกับ LIFE CONDO ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Version 2025: Success Like no Others - ให้ความสำเร็จได้ใช้ชีวิต ซึ่ง LIFE CONDO Version 2025 พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่เกิดขึ้นในทุก Moment ของชีวิต ด้วย 5 นวัตกรรมพื้นที่ขอบคุณชีวิต ได้แก่     Modular Flow Design แนวคิดในการออกแบบเพื่อสร้างพื้นที่ใช้สอยใหม่ ค้นหาพื้นที่ที่ซ่อนอยู่ ด้วยวิธีคิดใหม่ในการจัดสรรสเปซ ทั้งในมิติแนวตั้ง (Vertical) และแนวนอน (Horizontal) จนเกิดเป็นสเปซใหม่ที่ให้ความรู้สึกใหม่ ทั้งยังให้ทุกพื้นที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างกลมกลืนและลงตัว ตลอดจนการให้ความสำคัญกับแสงและการไหลเวียนของอากาศ Openness to Biodiversity เชื่อมต่อชีวิตเมืองเข้ากับธรรมชาติ ด้วยการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อสุขภาพกายและใจ ให้รู้สึกและเข้าถึงความเป็นธรรมชาติได้ในทุกสัมผัส ด้วยแนวคิด Stand-alone facilities พื้นที่ส่วนกลางที่ทำให้ธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของฟังก์ชันการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น Botanical Gym ที่ทำให้การออกกำลังกาย แวดล้อมเหมือนอยู่ในสวน หรือ ‘Biodiverse Co-Working Forest’ ที่ช่วยสร้างพื้นที่ทำงานในบรรยากาศของป่าในเมือง New Feel-Safe Design แนวคิดในการออกแบบที่มุ่งสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์ที่เป็นมิตรกับทุกชีวิตที่อยู่อาศัยภายในโครงการ ครอบคลุมไปถึงการออกแบบที่อยู่อาศัยร่วมกันระหว่างมนุษย์และสัตว์เลี้ยง ด้วยความใส่ใจในการออกแบบอาคารอยู่อาศัยที่มี function พิเศษให้ความอุ่นใจเกิดขึ้นทั้งกับเจ้าของสัตว์เลี้ยงและตัวสัตว์เลี้ยงเอง A Building That Gives Back สะท้อนถึงความรับผิดชอบที่เรามีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยไม่เพิ่มภาระหรือค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้า เช่น การเลือกใช้พรรณไม้ช่วยฟอกอากาศ เพื่อร่วมสร้างอากาศที่ดีให้กับลูกค้า และคืนอากาศที่ดีกลับให้ชุมชนข้างเคียง การติดตั้งระบบ EV Charger การติดตั้งหลอดไฟที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว หรือการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ ในพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน เป็นต้น Choose the Persona of Your City คอนเซ็ปต์ในการพัฒนา LIFE CONDO ที่มอบทางเลือกให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมือง Micro-Village in Inner City Concept เป็น Low-Rise Rare Collection ถึงทำเลจะตั้งอยู่ในเมือง แต่ยังคงบรรยากาศที่สงบและส่วนตัว และ Metropolis-Within City Concept เป็น High-Rise Super Facilities โครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองอย่างแท้จริง ที่ไม่เพียงแต่สะดวกในการเข้าถึงชีวิตเมืองที่เต็มไปด้วยกิจกรรม แต่ยังมาพร้อมกับ ‘Super Facilities’ ที่ครบและจัดเต็มในแบบเอพี     โดย LIFE สาทร-นราธิวาส 22 คือ LIFE CONDO ในคอนเซ็ปต์ใหม่ที่เตรียมเปิดตัวเป็นโครงการแรก ซึ่งมาในรูปแบบ Micro-Village in Inner City Concept สูง 8 ชั้น 2 อาคาร มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท จำนวน 416 ยูนิต ทำเลที่ตั้งอยู่ในซอยนราธิวาส 22 ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการความเงียบสงบในบรรยากาศรีทรีต โดยเตรียมเปิดจองรอบ VVIP Day ในวันที่ 22 - 23 มีนาคมนี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 3.6 ล้านบาท ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมได้ที่ https://apth.ly/oj6r   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ ซีคอน เปิดตัวโครงการบ้าน Your Home: Your Family ซีรีส์ 2 เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68 AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์  
เสนา ลุยเจ้าตลาด Affordable 1-3 ล้านบาท ปี68 เร่งเปิด 12 โครงการใหม่

เสนา ลุยเจ้าตลาด Affordable 1-3 ล้านบาท ปี68 เร่งเปิด 12 โครงการใหม่

เสนา ลุยเจ้าตลาด Affordable 1-3 ล้านบาท ปี68 เร่งเปิด 12 โครงการใหม่ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดแผนธุรกิจปี 2568 ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Sustainable Living Leader) มุ่งเน้นการพัฒนาและยกระดับการอยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพ ตอบโจทย์ทุกมิติของผู้บริโภค ภายใต้กลยุทธ์ "Refined Focus" ต่อยอดจุดแข็งของธุรกิจ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจหลัก พร้อมเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลคุณภาพ ทั้งคอนโดมิเนียมและแนวราบ รวม 12 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 15,500 ล้านบาท และยอดโอนกรรมสิทธิ์ 10,000 ล้านบาท   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ (ดร.ยุ้ย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทาย ทั้งปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน การปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดของสถาบันการเงิน อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น และโครงสร้างเศรษฐกิจที่ต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว แต่บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ให้ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปี 2567 บริษัทมียอด Pre-Sales สูงถึง 12,500 ล้านบาท โดยเฉพาะโครงการ LivNex เช่าออมบ้าน ที่มียอดขาย 1,900 ล้านบาท จาก 976 ยูนิต และมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 6,515 ล้านบาท พร้อมกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความสามารถและศักยภาพของเสนาในการดำเนินธุรกิจอย่างมั่นคง    สำหรับปี 2568 บริษัทเตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ 12 โครงการ แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 11 โครงการ และโครงการแนวราบ 1 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท โดยยังคงเน้นตลาด Affordable Segment ซึ่งเป็นกลุ่มที่เสนาครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดถึง 20% หรือมากกว่า 20,000 ยูนิต ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 15,500 ล้านบาท และยอดโอน 10,000 ล้านบาท ซึ่งได้รวมสัดส่วนรายได้จากโครงการ LivNex เช่าออมบ้าน   เสนาพร้อมขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2568 เพื่อก้าวข้ามทุกความท้าท้ายและยกระดับมาตรฐานของการเป็น ผู้นำด้านการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน (Sustainable Living Leader) ผ่านกลยุทธ์ "Refined Focus" ที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การพัฒนา แต่คือการยกระดับโครงการและบริการที่มีอยู่ให้ดีที่สุด โดยแบ่งออกเป็น 4 แกนหลัก ดังนี้ No.1 in Affordable Market: เสนาเป็นผู้นำตลาด Affordable ปัจจุบันมีบ้านและคอนโดรวม 12,600 ยูนิต มูลค่ารวม 30,600 ล้านบาท ตอบโจทย์กลุ่มเรียลดีมานด์ ซึ่งมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน คิดเป็น 54% ของครัวเรือนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เสนาเชี่ยวชาญในตลาดนี้และพร้อมยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัยให้เข้าถึงได้จริง Strong Partnership: ความร่วมมือกับ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ปพันธมิตรทางธุรกิจที่ยาวนานกว่า 9 ปี พัฒนาโครงการรวม 66 โครงการ มูลค่ากว่า 83,000 ล้านบาท ไม่เพียงเสริมศักยภาพทางการเงินเพื่อการเติบโตที่แข็งแกร่ง แต่ยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและไว้วางใจในการบริหารของเสนาด้วยธรรมาภิบาลที่ดีและมาตรฐานการพัฒนาโครงการที่ยั่งยืน และยังคงเดินหน้า จับมือร่วมทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัยและเดินหน้าพัฒนาโครงการคุณภาพร่วมกัน SENA Eco System to Make Us Stronger: การขับเคลื่อนธุรกิจที่เสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ของกลุ่มธุรกิจหลัก SenX (เซ็นเอกซ์) – ยกระดับบริการอสังหาริมทรัพย์ด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี Customer-Centric Data Center: SenX ศูนย์ข้อมูลที่ร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการกับเสนา เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า Service Excellence: มุ่งเน้นคุณภาพบริการ โดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญกว่า 16 ปี ตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย Sustainable Management: ใช้ Smart Tech บริหารจัดการที่อยู่อาศัยในโครงการอย่างยั่งยืน เช่น ระบบ BMS, Carbon Monitoring, และ Waste Management ผ่านความร่วมมือกับ Recycle Day Smart Application: Always on Connectivity กับ แอปพลิเคชัน และเทคโนโลยีดิจิทัลในการบริการด้านที่พักอาศัย แบบ Seamless เพื่อให้ลูกบ้านสามารถใช้ชีวิตแบบ "LIFE SIMPLIFIED" ได้ในทุก ๆ วัน SENA Green Energy – ก้าวสู่ธุรกิจพลังงานสะอาด The New S-Curve ขยาย SENA Green Automotive สู่การเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้า3 แบรนด์ NETA, LEAP และ DEEPAL รองรับเทรนด์พลังงานสะอาดและอนาคตของการขับเคลื่อน SENA Solar Energy เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์แบบครบวงจร ด้วยประสบการณ์ติดตั้งมากกว่า 1,000 ครัวเรือน SENA Reforestation ตั้งเป้าปลูกป่า 2,000 ไร่ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ประมาณ 11,334 ตันต่อปี ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนความยั่งยืนและการรักษาสิ่งแวดล้อม SENA Eco System ไม่ใช่แค่การพัฒนาโครงการ แต่คือการสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน     4. Sustainable Living Leadership มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ได้แก่ เดินหน้า แนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ (Zero Energy House concept) พัฒนา 42 โครงการ รวมจำนวน 4,290 ยูนิต ลดการปล่อยคาร์บอนได้ไม่ต่ำกว่า 6,993 ตันคาร์บอนต่อปี อีกขั้นของการพัฒนาที่อยู่อาศัยแห่งอนาคต บ้าน ZEH (Zero Energy House )New Model บ้านเดี่ยวติดโซลาร์รูฟพร้อมแบตเตอรี่ กับ Segment High Class “Grand Serie” และ เตรียมเปิดตัวครั้งแรก ที่โครงการ เสนา พาร์ค แกรนด์ กม. 9 (SENA Park Grand Ramindra KM.9) ตอกย้ำความสำเร็จ SENA Low Carbon ด้วยการเปิดตัวครั้งแรก แฟล็กชิป คอนโดโลว์คาร์บอน พร้อมเข้าอยู่ 2 โครงการ คือ เฟล็กซี่ เมกะ สเปซ บางนา(Flexi Mega Space Bangna) และ นิช โมโน บางโพ (Niche Mono Bangpo) เสนาเป็นบริษัทอสังหาฯ รายแรกในไทยที่มุ่งมั่นปลดล็อกโอกาสการเข้าถึงที่อยู่อาศัยผ่านการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่และ Generation Rent ที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นทางการเงิน และมองหาทางเลือกที่อยู่อาศัยที่ไม่จำกัดแค่การซื้อขาด เสนาจึงได้เปิดตัว “LivNex” นวัตกรรมเช่าออมบ้าน เมื่อปีที่ผ่านมา และปีนี้พบ “RentNex” Subscription คอนโด โมเดลของวงการอสังหาฯ ซึ่งได้รับความสนใจและผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของแนวทางนี้อย่างชัดเจน โดยมีลูกค้าเข้าร่วมโครงการ LivNex แล้วกว่า 976 ยูนิต มูลค่า 1,900 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนการเข้าถึงที่อยู่อาศัยให้เป็นจริงได้ในยุคที่เศรษฐกิจและสังคมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังช่วยตอบสนองความต้องการของตลาดและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน เดินหน้าบริการ V-Move, Smart Mobility concept นวัตกรรมที่ใช้รถพลังงานไฟฟ้าเชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะ ตั้งเป้าพัฒนา 24 โครงการ แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 20 โครงการ และบ้าน 4 โครงการ ตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนได้ไม่ต่ำกว่า 11,720 ตันคาร์บอนต่อปี เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ 1,172,006 ต้น The First EV Ready อสังหาฯ รายแรกของไทยที่ติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) ในโครงการบ้านและที่อยู่อาศัย และรวมถึงติดตั้ง EV Station ส่วนกลางรายแรก เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับยานยนต์แห่งอนาคต เดินหน้าพัฒนา Smart Application ต่างๆ ได้แก่ SENA 360 ให้บริการครอบคลุมทุกเรื่องของการซื้อที่อยู่อาศัย, Sen Prop ให้บริการลูกบ้านทุกเรื่องของการอยู่อาศัยในโครงการ และ Smartify Home ผู้ช่วยในการตกแต่งบ้านและคอนโด เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพการอยู่อาศัย นวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย นวัตกรรมทางการเงิน และ พันธมิตรที่แข็งแกร่ง ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้เสนาสามารถปรับตัวและรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นคง และเสนาจะเดินหน้าพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนเป็นเรื่องง่ายและเป็นไปได้จริงสำหรับทุกคน   “เสนาไม่ได้มุ่งมั่นแค่การเติบโตทางธุรกิจให้แข็งแกร่งทางการเงินเพื่อความมั่นคงขององค์กรเท่านั้น แต่เรายังเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และคุณภาพชีวิตของผู้คน เรามุ่งสร้างที่อยู่อาศัย ชุมชน และสังคมที่ช่วยลดคาร์บอน ผ่านนวัตกรรมและโซลูชันที่จับต้องได้ สิ่งที่เราภูมิใจที่สุด ไม่ใช่แค่การสร้างและขายบ้าน แต่คือการมอบ ‘Decarbonized Lifestyle’ ให้กับลูกบ้าน เพียงใช้ชีวิตตามปกติ ก็สามารถมีส่วนร่วมในการดูแลโลกได้ ในปีนี้เสนาตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนไม่น้อยกว่า 10,235 ตัน หรือเทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 1,020,000 ต้น ควบคู่ไปกับการตั้งเป้าเพิ่มโอกาสให้ผู้ที่มีข้อจำกัดทางการเงินสามารถเป็นเจ้าของบ้านคุณภาพได้ง่ายขึ้น จำนวน 1,000 ยูนิต ภายใต้โครงการ ‘LivNex เช่าออมบ้าน’ ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยสร้างความมั่นคงในชีวิต เสนาเชื่อว่าความยั่งยืนและการเติบโตทางธุรกิจต้องไปด้วยกัน รายได้สำคัญ การดูแลโลกก็สำคัญไม่แพ้กัน และเราจะเดินหน้าต่อไป ในฐานะ Sustainable Living Leader ที่สร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม” ดร.ยุ้ย-เกษรา กล่าวทิ้งท้าย
ORN ประกาศแผนปี 68 ทุ่ม 2,148 ล้านบาท เปิด 3 โครงการ

ORN ประกาศแผนปี 68 ทุ่ม 2,148 ล้านบาท เปิด 3 โครงการ

ORN ประกาศแผนปี 68 ทุ่ม 2,148 ล้านบาท เปิด 3 โครงการ ตั้งเป้ารายได้โตแรง 60% พร้อมเร่งเครื่อง 2 ธุรกิจใหม่ ORN ประกาศแผนธุรกิจปี 68 เดินหน้าลุยอสังหาฯ เชียงใหม่-ภูเก็ต เตรียมเปิดตัว 3โครงการใหม่ “HABITAT” “THE ASTRA” และคอมมูนิตี้มอลล์ครบวงจร THE BACKYARD มูลค่ารวม 2,148 ล้านบาท โชว์ Backlog แน่น 1,763 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ 68-69 ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 2,218 ล้านบาท โตไม่ต่ำกว่า 60% ขณะที่ Mill Hill International School Thailand พร้อมเปิดการเรียนการสอน ก.ย. 68     นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) (ORN) กล่าวว่า บริษัทฯ เดินหน้าลุยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดเชียงใหม่และภูเก็ตเต็มกำลัง โดยมุ่งมั่นพัฒนาโครงการอสังหาฯ แนวราบ แนวสูง ระดับกลาง-บน ที่มีคุณภาพตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าชาวไทยและต่างชาติได้อย่างครอบคลุม โดยปีนี้บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,148  ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการแนวราบ HABITAT บ้านหรูสไตล์ Neo Classic มูลค่าโครงการ 568 ล้านบาท เปิดตัวภายในไตรมาส 4/2568 โครงการคอนโดมิเนียม THE ASTRA คอนโดฯระดับลักชัวรี บนทำเลศักยภาพ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มูลค่าโครงการ 1,380 ล้านบาท เปิดตัวภายในไตรมาส 4/2568 โครงการคอมมูนิตี้มอลล์ THE BACKYARD ขนาด 4,000 ตร.ม. มูลค่าโครงการรวม 200 ล้านบาท ศูนย์กลางใหม่แห่งการช้อปปิ้งและการพักผ่อนครบวงจร ภายในโครงการประกอบด้วย ร้านค้า ร้านอาหาร ศูนย์สุขภาพ และ พื้นที่การศึกษา บนอาคาร 2 ชั้น พร้อมให้บริการภายใน ไตรมาส 4/2568     ส่วนงบประมาณลงทุนปีนี้อยู่ที่ 2,595 ล้านบาท แบ่งเป็น ลงทุนซื้อที่ดินในจ.เชียงใหม่ และภูเก็ต จำนวน 500 ล้านบาท งบรองรับการพัฒนาโครงการใหม่จำนวน 1,469 ล้านบาท และงบปรับปรุงการดำเนินงาน การก่อสร้าง ให้สอดรับต่อการดำเนินการด้าน ESG จำนวน 626 ล้านบาท   นายอรรคเดช อุดมศิริธำรง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ORN กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ยังสามารถขยายตัวต่อได้ ปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของเมือง การเติบโตของภาคการท่องเที่ยว และนโยบายภาครัฐกระตุ้นภาคอสังหาฯ เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติสามารถเช่าอสังหาฯ ในประเทศไทยระยะยาว เป็นกลไกสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนชาวไทยที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุนปล่อยเช่า และ ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่มากขึ้น ORN ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความท้าทาย และสร้างโอกาสในตลาดที่เปลี่ยนแปลง โดยมุ่งเน้นพัฒนาบ้านและคอนโดฯ ให้สอดรับกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ การให้ความสำคัญด้านการออกแบบพื้นที่สอดคล้องกับทุกไลฟ์สไตล์และความปลอดภัยด้านสุขภาพ พัฒนานวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงกลยุทธ์การตลาดส่งเสริมการขายอย่างเข้มข้นและการบริการหลังการขาย อีกทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน โดยผสานแนวคิดด้าน ESG ในการกำหนดนโยบายแนวทางการดำเนินงาน รวมถึงการพัฒนาโครงการอสังหาฯแนวราบ-แนวสูงทุกโครงการ ช่วยเพิ่มโอกาสทางการขาย ทั้งนี้ โครงการแนวราบ-แนวสูงกลุ่มราคาระดับกลาง-บน ยังคงมีความต้องการจากกลุ่มลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ แม้ตลาดอสังหาฯเชียงใหม่จะเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันที่สูงขึ้น ORN มั่นใจในศักยภาพการแข่งขัน ด้วยคุณภาพของโครงการที่ตอบโจทย์ด้านการออกแบบให้รองรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างลงตัว พิถีพิถันในการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก่อสร้างด้วยเทคโนโลยีที่มีมาตรฐาน ควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน การกำหนดราคามี่เหมาะสม-คุ้มค่า เพื่อส่งมอบโครงการคุณภาพบนทำเลศักยภาพแก่ลูกค้า ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการอยู่ระหว่างขายทั้งหมด 27 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 14 โครงการ แนวสูง 13 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,551 ล้านบาท และมียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 1,763 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในปี 2568 -69 โดยตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ไว้ที่ประมาณ 2,218 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 60%     สำหรับความคืบหน้าของธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ Mill Hill International School Thailand โรงเรียนสัญชาติอังกฤษแห่งแรกในจังหวัดเชียงใหม่ มีเป้าหมายนำปรัชญาและคุณค่าตามมาตรฐานการศึกษาระดับโลก เข้ามาเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาการศึกษาที่มีคุณภาพในจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ   ปัจจุบันการก่อสร้างเฟสแรกแล้วเสร็จ ประกอบด้วย อาคารอำนวยการ และอาคารเรียนชั้นปฐมวัย โดยอยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 4 อาคาร มีนักเรียนให้ความสนใจสมัครแล้วกว่า 130 ราย และอยู่ระหว่างการคัดเลือกคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ โดยจะรองรับนักเรียนตั้งแต่อายุ 3 ถึง 10 ปี มีกำหนดเปิดทำการในเดือนกันยายนปี พ.ศ. 2568 เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล-Year 6 ซึ่งจะสามารถเริ่มทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 4/2568 เป็นต้นไป พร้อมแผนขยายไปยังระดับYear 13 ในอนาคต  ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ สร้างความมั่นคงของรายได้ในระยะยาว    
เบิร์กลีย์ กรุ๊ป เปิดตัวคอนโดหรู ย่าน Prime Central London

เบิร์กลีย์ กรุ๊ป เปิดตัวคอนโดหรู ย่าน Prime Central London

เบิร์กลีย์ กรุ๊ป เปิดตัวคอนโดหรู ย่าน Prime Central London บริษัท เบิร์กลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (Berkeley Group Holdings plc) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้สร้างบ้านชั้นนำจากประเทศอังกฤษประกาศเปิดตัวโครงการใหม่ “TRILLIUM” London W2, Zone 1 บนทำเลศักยภาพ ย่าน Prime Central London เจาะกลุ่มนักลงทุน ราคาเริ่ม 28.6 ล้านบาท มั่นใจตลาดลอนดอนยังน่าลงทุน และเป็นโอกาสระยะยาวสำหรับนักลงทุน   นางสาวณชนกช์ ปัญญาหิตานนท์  กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลดีเอ็นลักซ์ ลิฟวิ่งส์ จำกัด  เปิดเผยว่าบริษัท เบิร์กลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (Berkeley Group Holdings plc) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้สร้างบ้านชั้นนำจากประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและพื้นที่เชิงพาณิชย์ในลอนดอนและเขต South East ของอังกฤษ ได้เปิดตัวโครงการใหม่ ภายใต้ชื่อ “TRILLIUM” London W2, Zone 1 บนทำเลศักยภาพ ย่าน Prime Central London  รองรับความต้องการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพ ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม และความสะดวกสบาย ย่านใจกลางกรุงลอนดอน เพื่อการลงทุน และ อยู่อาศัย โดยมีราคาเริ่มต้น 675,000 ปอนด์ หรือ 28.6 ล้านบาท   การพัฒนาโครงการดังกล่าว มีความเหมาะสมเพื่อการอยู่อาศัย โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างชุมชนที่ยั่งยืน  และตอบสนองต่อความต้องการของสังคมสมัยใหม่ ซึ่งให้ความสำคัญในการออกแบบและพัฒนาโครงการที่เน้นคุณภาพด้านการก่อสร้างและการออกแบบที่พิถีพิถัน ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีแบรนด์ในเครือหลายแบรนด์ที่เน้นพัฒนาตลาดเฉพาะ เช่น Berkeley Homes, St George, St James, St Edward, St William และ St Joseph ซึ่งแต่ละแบรนด์มีจุดเด่นในการพัฒนาโครงการที่หลากหลาย ตั้งแต่โครงการบ้านพักอาศัยหรูหราไปจนถึงพื้นที่อุตสาหกรรมที่ปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่อยู่อาศัย ที่สำคัญทางบริษัทให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  โดยการออกแบบโครงการที่สอดคล้องกับแนวคิดของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)     นายฌอน บาร์เร็ตต์ กรรมการผู้จัดการ และ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ฟายน์ แอนด์ คันทรี กล่าวถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษมองว่าในปี 2568  ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าราคาอสังหาริมทรัพย์อาจปรับตัวขึ้นประมาณ 2-4% หากเศรษฐกิจอังกฤษฟื้นตัวและธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย สถานการณ์ดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้ซื้อและนักลงทุน โดยเฉพาะในย่านใจกลางเมืองและพื้นที่ที่มีการคมนาคมสะดวก เช่น ย่านธุรกิจสำคัญและพื้นที่ใกล้ระบบรถไฟใต้ดิน รวมถึงโครงการ Cross rail ที่ยังคงดึงดูดความสนใจจากผู้ซื้อและนักลงทุน   อย่างไรก็ตาม ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนยังมีความแตกต่างกันในแต่ละโซน โดยเฉพาะย่านใจกลางเมืองและพื้นที่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานดียังคงมีดีมานด์สูงและราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ย่านชานเมืองมีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัว หากเศรษฐกิจอังกฤษมีเสถียรภาพและฟื้นตัวจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อ Real Demand กลุ่มคนทำงาน – นักศึกษาต่างชาติ และนักลงทุน (Investor) แถบเอเชียและตะวันออกกลาง ซึ่งยังคงให้ความสนใจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ระดับหรู (luxury property) โดยเฉพาะโครงการเพื่อการลงทุน   ขณะเดียวกัน ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยยังมีข้อจำกัด ทั้งการปรับตัวตามต้นทุนและการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่สูงขึ้น โดยการเติบโตของรายได้จะช่วยให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยได้ในปีนี้ ทั้งนี้มองว่าปัจจัยและโอกาสในการลงทุนเช่าในลอนดอนยังมีแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากลอนดอนมีความต้องการ(Demand) การเช่ามากกว่าซัพพลาย (Property Supply) ที่มีอยู่ในตลาด ขณะที่ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Yield Guarantee) เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะย่าน Prime Central London  (อ้างอิงจากผลประกอบการของโครงการ West End Gate) ที่ตั้งอยู่ใกล้กับตั้งโครงการ “TRILLIUM” London W2, Zone 1     ด้านนางนาเน็ต ฮวง หัวหน้าฝ่ายขาย เซนต์เอ็ดเวิร์ด โฮม บริษัท เบิร์กลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กล่าวถึงศักยภาพของทำเลที่ตั้งโครงการ “TRILLIUM” LONDON W2 Zone 1 ซึ่งอยู่ในย่าน West End ใจกลางกรุงลอนดอน หรือ ลอนดอน โซน 1 (London Zone 1) ถือเป็นย่านที่คนไทยคุ้นชิน โดยรายล้อมด้วยแลนด์มาร์คที่สำคัญ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ด้วยศักยภาพทำเลที่ตั้งคอนโดมิเนียม TRILLIUM LONDON W2 เป็นย่านที่มีความต้องการสูง ทั้งกลุ่มลูกค้าซื้อเพื่อการลงทุน (Investor) และซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง (Real Demand) เพราะสามารถเดินทางไปยังถนนอ็อกซ์ฟอร์ด (Oxford Street)  ได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็ว ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ตรงข้ามกับ Edgware Road Station ใกล้กับสถานีแพดดิงตัน (Paddington)ที่เป็นสถานีหลักของกรุงลอนดอน และรายล้อมไปด้วยแหล่งสถานศึกษามหาวิทยาลัยชั้นนำของกรุงลอนดอน เช่น London Business School เป็นต้น   สำหรับรายละเอียดโครงการ TRILLIUM London W2, Zone 1 ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการทั้งหมด 3 ไร่ จำนวน 3 อาคาร รวมทั้งหมด 556 ยูนิต แบ่งออกเป็นแบบ Manhattan, 1-3 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 40 - 109 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น £675,000 หรือ 28.6 ล้านบาท  คาดว่าจะสร้างเสร็จภายในปี 2028     ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการพรั่งพร้อมไปด้วย พื้นที่สวนสาธารณะ ,สระว่ายน้ำ สระไฮโดร และสปาเท้า ห้องเกลือ ห้องอบไอน้ำ และซาวน่าอินฟราเรด ,ห้องอาหารส่วนตัว ห้องสตูดิโอและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า,ห้องทรีตเมนต์สปา รวมถึงซาวน่า นอกจากนี้ยังมีพื้นที่พักผ่อนส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็นน้ำพุน้ำแข็ง,ห้องรับรองสำหรับผู้อยู่อาศัย ห้องฉายภาพยนตร์ และCo working Space พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถเข้าใช้ยิมภายในโครงการ West End Gate ได้เช่นกัน   นางแคเรน เจีย ผู้อำนวยการภูมิภาค เอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เบิร์กลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กล่าวถึงด้านกลยุทธ์ทางการตลาดว่าทางบริษัทให้ความสำคัญในการทำการตลาดเชิงรุกในต่างประเทศเน้นการขายโครงการให้กับลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนจากเอเชียตะวันออกกลางผ่านการจัดโรดโชว์และงานนิทรรศการในต่างประเทศและการร่วมมือกับตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทั่วโลก   ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท เบิร์กลีย์ กรุ๊ป Berkeley Homes ก่อตั้งขึ้นในปี 1976 ถือเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของสหราชอาณาจักร ซึ่งได้รับรางวัลมากมายจากความมุ่งมั่นในด้านคุณภาพ การออกแบบ และการบริการลูกค้า รวมถึงรางวัล Queen’s Award for Enterprise in Sustainable Development ประจำปี 2014 และรางวัล Britain’s Most Admired Company ในปี 2011คุณภาพเป็นหัวใจสำคัญของทุกกิจกรรมของ Berkeley ไม่เพียงแต่ในด้านการก่อสร้างบ้าน แต่ยังรวมถึงการบริการลูกค้า การส่งเสริมการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการฟื้นฟูพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ (brownfield sites)   โครงการพัฒนาของ Berkeley ทุกโครงการได้รับการออกแบบ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบอย่างยั่งยืน ผ่านความเป็นเลิศในการออกแบบ การจัดภูมิทัศน์ที่สอดคล้องกับธรรมชาติ และการบูรณาการพื้นที่ตามมาตรฐานอย่างเหมาะสมทุกโครงการ  
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68 ปักธงกลยุทธ์ “กอด - Secure Core, Embrace Future” มัดใจลูกค้าเดิม-เจาะลูกค้าใหม่ เน้นยืดหยุ่นตามดีมานด์ พร้อมเสิร์ฟสินค้า-บริการที่ตรงใจ   เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย เปิดแผนธุรกิจปี 68 ชูกลยุทธ์ “กอด - Secure Core, Embrace Future” กอดลูกค้าให้มั่น จับมือกันให้แน่น โฟกัสการดำเนินงาน 3 มิติ Flexible-Feeling-Focus ขับเคลื่อนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย-อุตสาหกรรม-พาณิชยกรรมเติบโตมั่นคงท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ พร้อมดึง AI ยกระดับการทำงานไปอีกขั้น เสริมความแข็งแกร่งเป็นแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ด้วยเป้าหมายเป็น Real Estate as a Service Brand    นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Country Chief Executive Officer) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 เผชิญหน้ากับความท้าทายหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น ภูมิรัฐศาสตร์โลกจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ การขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งต้องจับตาถึงสงครามการค้าที่จะสะเทือนไปทั่วโลก ด้านสถานการณ์ในประเทศ กำลังซื้อยังคงซบเซา พร้อมหนี้ครัวเรือนและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่    ขณะเดียวกัน หลายสินค้าในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์อยู่ในสภาวะซัพพลายล้นตลาด อย่างบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีที่จำนวน ซัพพลายสะสมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สวนทางกับดีมานด์ที่ลดลง ขณะที่ตลาดอาคารสำนักงานมีการแข่งขันสูงจากอาคารสำนักงานเกิดใหม่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างที่เตรียมเปิดตัวในอนาคต รวมถึงคลังสินค้าให้เช่าที่เริ่มมีสัญญาณซัพพลายทะลัก หลังจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายกระโดดเข้ามาเล่นในตลาดนี้เพิ่มขึ้น   ท่ามกลางความผันผวนในไทยและต่างประเทศ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยวางแผนอย่างระมัดระวังเพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคง โดยในปีงบการเงิน 2568 (ต.ค. 2567 – ก.ย. 2568) ตั้งเป้ารายได้ 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 11 % เมื่อเทียบกับปีงบการเงิน 2567 (ต.ค. 2566 – ก.ย. 2567) ด้วยกลยุทธ์ “กอด - Secure Core, Embrace Future” ซึ่งจะกอดฐานลูกค้าเดิมให้แน่น พร้อมเดินหน้าหาลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ผ่านการดำเนินงานใน 3 มิติ ประกอบด้วย  Flexible – ปรับตัวให้ยืดหยุ่นตามดีมานด์ของตลาด ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยืดหยุ่น ด้วยจุดแข็งการเป็นแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรที่มีธุรกิจที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม สามารถสร้างรายได้จากการขายและค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ จึงมีกระแสรายได้ต่อเนื่อง อีกทั้งยังปรับรูปแบบของสินค้าและบริการให้ยืดหยุ่นตามความต้องการของลูกค้า เช่น ระยะเวลาการทำสัญญาเช่าที่เลือกได้ การพัฒนาพื้นที่แบบมัลติฟังก์ชันที่สามารถเปลี่ยนได้ตามลักษณะการใช้งาน เป็นต้น Feeling – สร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับ ส่งมอบความประทับใจให้กับลูกค้าผ่านการรังสรรค์บรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดีในทุกพื้นที่การให้บริการ พร้อมด้วยการให้บริการหลังการขายอย่างจริงใจและเอาใจใส่ ผ่านการออกแบบการดูแลที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ในการมัดใจและรักษาลูกค้าให้อยู่กับบริษัทในระยะยาว Focus – มุ่งพัฒนาสินค้าและบริการที่เชี่ยวชาญ ใช้ Data-driven insights วิเคราะห์แนวโน้มตลาดและความต้องการลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) เพื่อนำไปสู่การสร้างโซลูชันใหม่ ๆ ที่สามารถเสริมมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ และตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างทันท่วงที    ทั้งนี้ กลยุทธ์ “กอด - Secure Core, Embrace Future” ได้นำมาปรับใช้ในแต่ละกลุ่มธุรกิจของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ดังนี้ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย พลิกโฉมการพัฒนาที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ให้กับลูกค้า ทั้งดีไซน์และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ เสริมด้วยบริการหลังการขายสุดแกร่งที่ดูแลลูกค้าตั้งแต่วันแรกทั้งก่อนและหลังเข้าอยู่ โดยมีแผนเปิด 6 โครงการใหม่ในกรุงเทพมหานคร นครราชสีมา และขอนแก่น รวมมูลค่า 9,803 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับลักชัวรีและระดับบน 3 โครงการ ภายใต้แบรนด์ The Grand, Grandio และแบรนด์ใหม่ Gramour พร้อมด้วยทาวน์โฮมพรีเมียม 1 โครงการในแบรนด์ใหม่ Goldina และคอนโดมิเนียมแบรนด์ KLOS อีก 1 โครงการ ขณะเดียวกัน เดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้นด้วยการจัดโรดโชว์ที่ประเทศจีน เจาะกลุ่มลูกค้าที่สนใจซื้อโครงการคอนโดมิเนียม   อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม ปัจจุบันเป็นเบอร์ 1 ของตลาดโรงงาน-คลังสินค้าให้เช่าด้วยพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการ 3.66 ล้านตร.ม. ทั้งในไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ตั้งเป้าขยายพื้นที่เพิ่มอีกกว่า 150,000 ตร.ม. และสร้างอัตราการเช่ารวมของพอร์ตโฟลิโอสูงกว่า 88% เดินหน้าพัฒนาอาคารอุตสาหกรรมทั้งแบบสำเร็จรูป (Ready-Built) แบบสร้างความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) และแบบสร้างตามฟังก์ชันพร้อมใช้ (Built-to-Function) ที่บริษัทเป็นเจ้าแรกของตลาดในการพัฒนาสินค้ารูปแบบนี้และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สามารถปิดดีลลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน บริษัทจะเข้าไปร่วมพัฒนาโครงการ Industrial Township พื้นที่ 4,600 ไร่ ตั้งอยู่บริเวณ ถ.บางนา -ตราด กม.32 ซึ่งพร้อมเปิดตัวโครงการในเดือนก.พ. 2568      อสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม ยกระดับการให้บริการและคุณภาพอาคารสำนักงานเกรด A อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้อาคารทุกกลุ่ม ผสมผสานการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับผู้เช่า ซึ่งเป็นจุดเด่นของบริษัทที่ทำให้สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมได้อย่างเหนียวแน่น ยิ่งกว่านั้น มีแผนดึงดูดลูกค้าต่างชาติกลุ่มใหม่ ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาลงทุนในไทยจากการย้ายและขยายฐานการผลิตอีกด้วย ในส่วนของพื้นที่รีเทลจะเพิ่มเติมร้านค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้โภคมากขึ้น ผนวกการจัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบที่สร้างประสบการณ์เหนือระดับ เพื่อปลุกสีสันตลาดและเพิ่มยอดทราฟฟิก โดยมองว่าปีนี้จะสามารถรักษาอัตราการเช่าของพอร์ตโฟลิโออสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมได้สูงกว่า 90%      นอกจากนี้ บริษัทได้นำ AI (Artificial Intelligence) และ Data Analytics เข้ามาใช้ในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของธุรกิจ ทั้งการออกแบบและสร้างสรรค์โครงการ วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและบริการที่สร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า รวมถึงส่วนของออฟฟิศด้านการจัดการบัญชีและการเงิน เป็นต้น ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่ายและเวลาในกระบวนการต่าง ๆ อีกทั้งยังมีโครงการ Everyday AI ที่ส่งเสริมการเรียนรู้การใช้ AI ให้กับพนักงาน เพื่อนำไปปรับใช้กับการทำงานให้มีศักยภาพมากขึ้น เป็นการสร้างรากฐานองค์กรให้ก้าวสู่อนาคตได้อย่างแข็งแกร่งในยุคที่การแข่งขันสูงและการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว   “ด้วยกลยุทธ์และแผนงานที่ถูกวางอย่างเข้มแข็งและรอบคอบ บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลักดันธุรกิจเติบโตมั่นคงท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ยังเป็นการเดินหน้าตามแผนการขับเคลื่อนเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยสู่ Real Estate as a Service Brand ด้วยการต่อยอดนวัตกรรมการบริการ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการบริการที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ควบคู่กับความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) อันสอดคล้องกับเจตนารมณ์ขององค์กรในการสร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.)” นายธนพลกล่าวสรุป    
AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์

AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์

AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์  พลิกโฉมพื้นที่ประวัติศาสตร์ด้วยงบลงทุนสูงที่สุดกว่า 16,000 ล้านบาท สร้างเป็นแลนด์มาร์กระดับโลก เตรียมเปิดบริการปี 2572   บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร สร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของบริษัทจัดพิธีลงเสาเอก“เวิ้งนครเกษม เยาวราช” (Woeng Nakornkasem Yaowaraj) โครงการมิกซ์ยูสระดับแลนด์มาร์กที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัทบนพื้นที่ยุทธศาสตร์กว่า 14 ไร่ (22,400 ตารางเมตร) ใจกลางเยาวราช หนึ่งในย่านเก่าแก่และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ และศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและการค้าที่สำคัญมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 ด้วยงบลงทุนสูงที่สุดของบริษัทกว่า 16,000 ล้านบาท พร้อมพลิกโฉมไชน่าทาวน์สู่มิติใหม่ภายใต้แนวคิด “Legacy of the Past, Inspiration of Tomorrow” เชื่อมคุณค่าจากอดีตสู่แรงบันดาลใจแห่งอนาคต สร้างสีสันและความมีชีวิตชีวาให้กับเยาวราชผ่านการออกแบบที่ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทย-จีนอย่างลงตัว ด้วยพื้นที่ชอปปิ้งระดับพรีเมียม โรงแรมลักชัวรี 2 แห่ง ศาลาจีนร่วมสมัย และพื้นที่วัฒนธรรมเพื่อชุมชนและครอบครัว นอกจากนี้ โครงการยังตั้งเป้าหมายเป็นอาคารสีเขียวตามมาตรฐานสากล ผสานแนวคิดความยั่งยืนเพื่อคุณค่าองค์รวมแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อร่วมสร้างเยาวราชสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และการพักผ่อนอย่างครบวงจร พร้อมสนับสนุนกรุงเทพมหานครสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนชั้นนำระดับโลก โดยโครงการมีกำหนดเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในปี 2572   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) (AWC) กล่าวว่า "เวิ้งนครเกษมถือเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อยู่คู่กับกรุงเทพมหานครมาอย่างยาวนาน พร้อมด้วยเสน่ห์ของไชน่าทาวน์ที่เต็มไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรมไทย-จีนอันทรงคุณค่า  การพัฒนาโครงการ ‘เวิ้งนครเกษม เยาวราช’ จึงถือเป็นหมุดหมายสำคัญในฐานะโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ระดับแฟลกชิปแห่งแรกของ AWC ที่ทุกคนรอคอย ด้วยขนาดพื้นที่ใหญ่ที่สุดและใช้งบลงทุนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาสู่การเป็น AWC’s Lifestyle Destination ที่พร้อมสร้างสรรค์ประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ครบวงจรสำหรับทุกคน ควบคู่การอนุรักษ์เชื่อมต่อคุณค่าจากอดีตสู่แรงบันดาลใจแห่งอนาคตเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลกอย่าง เครืออินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป (IHG Hotels & Resorts) หนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านธุรกิจโรงแรม และไทย โอบายาชิ (Thai Obayashi) บริษัทก่อสร้างชั้นนำมาตรฐานระดับโลก รวมถึงชุมชนโดยรอบโครงการที่ให้การสนับสนุนการพัฒนาโครงการ พร้อมเชิญชวนพันธมิตรที่สนใจร่วมสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาให้ ‘เวิ้งนครเกษม เยาวราช’ เป็นจุดหมายปลายทางแห่งความภาคภูมิใจของชาวเยาวราชและคนไทยทุกคน พร้อมร่วมสร้างกรุงเทพฯ ให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวยั่งยืนชั้นนำระดับโลก"     โครงการ “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” ตั้งอยู่บนพื้นที่ประวัติศาสตร์ขนาด 14 ไร่ ใจกลางย่านเยาวราช ด้วยพื้นที่การพัฒนากว่า 135,000 ตารางเมตร ที่ได้รับการออกแบบเพื่อสะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมไทย-จีนของย่านไชน่าทาวน์ ผ่านการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดั้งเดิมและการสร้างสรรค์องค์ประกอบใหม่ที่สอดคล้องกับความทันสมัยเพื่อพลิกฟื้นมรดกแห่งเยาวราช ซึ่งประกอบไปด้วยพื้นที่สำคัญ 3 ส่วน ไม่ว่าจะเป็น   ศาลาจีน (Chinese Pavilion) ความสูง 8 ชั้น พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของไชน่าทาวน์ ที่ได้รับการออกแบบอย่างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เปิดให้ผู้คนได้เข้ามาสักการะเพื่อเสริมโชคลาภและความเป็นสิริมงคล รวมถึงพิพิธภัณฑ์เวิ้งนครเกษมที่จัดแสดงภาพประวัติศาสตร์ ตลอดจนสิ่งของในวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน เสริมสร้างการเรียนรู้เชิงวัฒนธรรม และเพิ่มพื้นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจในใจกลางเมือง   โรงแรมระดับลักชัวรี (World-Class Hospitality) แห่งแรกของไชน่าทาวน์ จำนวน 2 โรงแรม รวมห้องพักกว่า 500 ห้อง ประกอบไปด้วย โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (InterContinental) จำนวนกว่า 300 ห้องพัก โดดเด่นด้วยอาคารหลักสูง 10 ชั้น และอาคารพาณิชย์เก่าแก่ที่ได้รับการอนุรักษ์โครงสร้างเดิมและปรับปรุงอย่างพิถีพิถันให้กลายเป็นห้องสวีทสุดหรู พร้อมด้วยการบริการอันเป็นเอกลักษณ์จากแบรนด์โรงแรมระดับโลกแห่งแรกในย่านไชน่าทาวน์ โดดเด่นด้วยห้องบอลรูมขนาดใหญ่ที่สุดในเยาวราชกว่า 1,100 ตารางเมตรที่สามารถรองรับได้ถึง 750 คน รวมถึงโรงแรมระดับลักชัวรีในเครือ IHG (Luxury Hotel) จำนวนกว่า 200 ห้องพัก บนพื้นที่อาคารหลักสูง 10 ชั้น และอาคารพาณิชย์อนุรักษ์บริเวณริมคลองโอ่งอ่าง นำเสนอความสง่างามเหนือกาลเวลา ผสมผสานระหว่างประเพณีและความทันสมัยอย่างไร้ที่ติ พร้อมด้วยการบริการ รวมถึงห้องอาหารและบาร์อันโดดเด่น       ศูนย์การค้าระดับไอคอนิค (Iconic Heritage And Luxury Retail) จุดหมายปลายทางอันโดดเด่นด้านไลฟ์สไตล์สำหรับนักท่องเที่ยวและทุกครอบครัวด้วยพื้นที่รวมกว่า 68,000 ตารางเมตร ภายในพื้นที่อาคารหลัก พื้นที่พลาซ่ากลางแจ้งขนาดใหญ่ใจกลางไชน่าทาวน์บริเวณอาคารพาณิชย์อนุรักษ์ที่เป็นสัญลักษณ์โดดเด่นของเวิ้งนครเกษม และพื้นที่ชั้นใต้ดินในฐานะหนึ่งในพื้นที่ชอปปิ้งใต้ดินขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร รวบรวมร้านค้าแบรนด์เนมหรูชั้นนำ ร้านค้าคอนเซ็ปต์ใหม่ ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ คาเฟ่ และร้านค้าท้องถิ่นของชุมชนที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี เพื่อร่วมถ่ายทอดเรื่องราวและความเจริญรุ่งเรืองของพื้นที่การค้าไทย-จีนในอดีต เติมเต็มสีสันให้กับการชอปปิ้งด้วยการตกแต่งร่วมสมัย และพื้นที่กิจกรรมที่จะมาร่วมสร้างความสนุกตลอดปีให้กับนักเดินทางทุกวัยด้วยงานเทศกาลที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมของย่านไชน่าทาวน์ ร่มรื่นด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่และสวนลอยฟ้าบริเวณฟาซาดของอาคาร พร้อมลานจอดรถชั้นใต้ดินที่สามารถรองรับได้ถึง 750 คัน     นอกจากนี้ โครงการ “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” ยังได้รับการพัฒนาขึ้นโดยให้ความสำคัญกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานอาคารสีเขียว (Green Building Standard) เพื่อผลักดันอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชนโดยรอบ มุ่งสู่การรับรองมาตรฐานระดับสากล สนับสนุนการเติบโตและเศรษฐกิจของชุมชนโดยรอบ สานความสัมพันธ์อันมีความหมายระหว่างคนในชุมชนเพื่อคุณค่าองค์รวมให้ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ส่งเสริมการเรียนรู้และความเข้าใจในมรดกทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองและการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน       “เวิ้งนครเกษม เยาวราช ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สำคัญของย่านไชน่าทาวน์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงคุณค่าทางประวัติศาสตร์เข้ากับอนาคต ซึ่ง AWC มุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์อันน่าจดจำและเป็นที่ภาคภูมิใจให้กับชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก พร้อมส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในชุมชนโดยรอบ โดยโครงการมีกำหนดเริ่มต้นการก่อสร้างในปี2568 และพร้อมเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2572” คุณวัลลภา กล่าวเสริม สำหรับผู้ที่ต้องการติดต่อเช่าพื้นที่ใน “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” สามารถติดต่อฝ่ายขายได้ที่หมายเลข 084-262-3651 หรือ Line Official ที่ https://lin.ee/oYc7lxi หรือสนใจศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.assetworldcorp-th.com/th/woeng-nakorn-kasem-yaowaraj   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ชวนคนรุ่นใหม่ประกวดวงดนตรี ชิงทุนฯ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68    
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ชะลอลงทุนเร่งระบายสต๊อก ลุยรร.กระจายความเสี่ยง

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ชะลอลงทุนเร่งระบายสต๊อก ลุยรร.กระจายความเสี่ยง

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ชะลอลงทุนเร่งระบายสต๊อก ลุยรร.กระจายความเสี่ยง จากสภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทอสังหาฯบิ๊กเนมอย่างบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ตัดสินใจลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2568 เพียงแค่ 4 โครงการ มูลค่ารวม 11,180 ล้านบาท ลดลงถึง 64% เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มีโครงการเปิดใหม่รวม 12 โครงการ มูลค่า 30,850 ล้านบาท จากแผนเดิมที่จะเปิด 11 โครงการ และมีมูลค่าลดลงถึง 74% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีการเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 17 โครงการ มูลค่ารวม 43,460 ล้านบาท   นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่ง่ายเหมือนในอดีตจากหลากหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบตลาดมาอย่างต่อเนื่อง และทำให้ดีมานด์ลดลง   “ภาพรวมของตลาดอสังหาฯที่ผ่านมาจะเห็นว่า มีปัญหาที่สืบเนื่องมาค่อนข้างเยอะ ย้อนหลังไป 5-7 ปี จะเห็นว่าทุกคนมีซัพพลายเข้ามาในตลาดค่อนข้างมากในแง่ของคอนโดมิเนียม เมื่อตลาดคอนโดเริ่มชะลอตัวก็เริ่มย้ายมาทำโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ในปี 2567 ที่ผ่านมาจะเห็นว่าในครึ่งปีหลังทั้งคอนโดและบ้านแนรวราบจะเปิดโครงการใหม่กันไม่ค่อยมากแล้ว มันเป็นช่วงที่มีตลาดปรับสมดุลระหว่างดีมานด์และซัพพลาย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าดีมานด์นั้นลดลงจริงๆ จากปัญหาหนี้ครัวเรือน ความสามารถในการใช้จ่าย การปล่อยกู้สินเชื่อจากธนาคาร ซึ่งต้องยอมรับว่ามันเป็นตลาดที่ไม่ง่ายเหมือนในอดีต เพราะมีปัจจัยที่เข้ามากระทบค่อนข้างมากจากปัญหาที่เกิดขึ้นมาต่อเนื่อง ไม่ได้เกิดขึ้นช่วงสั้นๆ 2-3 ปี ทำให้เศรษฐกิจซึมและความเชื่อมั่นที่ไม่กลับมาสักที”   นายนพพร มองว่าต้องกลับมาดูพื้นฐานเรื่องของงบกระแสเงินสด (Cash Flow) กลยุทธ์ที่จะใช้ ซึ่งมันจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด จึงต้องดูว่าการกระจายความเสี่ยงออกไปในแต่ละช่วงจะทำอะไรได้บ้าง นอกจากของที่มีขายในสต๊อคทั้งหมดมีอะไรบ้างเทียบกับอัตราการดูดซับในตลาด และการกระจายความเสี่ยงไปทำโรงแรมมากขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาทั้งโรงแรมที่ไทยและสหรัฐอเมริการวมแล้วหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็น Recurring income และ Capital Gain อันใหม่ที่จะเข้ามา     ขณะที่นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า "ตัวเลขการโอนที่อยู่อาศัยในรอบ 10 เดือนของปี 2567 มีการโอนลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแสดงให้เห็นว่าอุปสงค์โดยรวมของที่อยู่อาศัยค่อนข้างจะอ่อนตัวลง โดยที่อยู่อาศัยแนวราบลดลงถึง 22% ขณะที่คอนโดมิเนียมอยู่ในภาวะทรงตัว ด้านอุปทานที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ลดลงประมาณ 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน บ้านเดี่ยวเปิดขายใหม่ลดลง 20% ขณะที่ความต้องการบ้านเดี่ยวมีน้อยกว่าจำนวนยูนิตที่เปิดใหม่ประมาณ 50% ส่งผลให้หน่วยเหลือขายในตลาดเพิ่มขึ้นในปี 2568 เป็นเหตุให้บ้านเดี่ยวซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทยังคงมีการแข่งขันที่สูงมาก นอกจากนี้ ความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแรงกดดันจากยอดคงค้างของ NPL และปัญหาหนี้ครัวเรือน ทำให้สถาบันการเงินยังคงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อทำให้ผู้ประกอบต้องให้ความสำคัญในการรักษาสภาพคล่อง และระมัดระวังในการลงทุนพัฒนาโครงการ   “ในปี 2568 เนื่องจากบริษัทยังมีสินค้าคงเหลือขายในระดับที่เพียงพอที่จะขายในปี 2568 จึงมีแผนเปิดโครงการใหม่แค่ 4 โครงการ มูลค่ารวม 11,180 ล้านบาท เป็นโครงการในระดับกลาง-บน ทั้งหมดจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยว ประกอบด้วย สีวลี บางนา กม.13 จำนวน 326 หลัง มูลค่า 3,040 ล้านบาท วีเว่ ภูเก็ต 36 หลัง มูลค่า 1,300 ล้านบาท วีเว่ กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ 73 หลัง มูลค่า 4,620 ล้านบาท และ นันทวัน ราชพฤกษ์-พรานนก 34 หลัง มูลค่า 2,220 ล้านบาท”     ในส่วนของคอนโดมิเนียมยังคงเป็นอีก 1 ปีที่แลนด์แอนด์เฮ้าส์จะยังไม่มีการพัฒนาโครงการใหม่ โดยนายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ขยายความว่า การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในปี 2567 มีจำนวนประมาณ 3.7 หมื่นยูนิต ถือว่าใกล้เคียงกับปี 2566 ขณะที่จำนวนหน่วยเปิดใหม่ลดจากเกือบๆ 5 หมื่นยูนิต เหลือ 2.7-2.8 หมื่นหน่วย หรือลดลงประมาณ 43% จากปีก่อน ขณะที่ซัพพลายคงค้างเหลืออยู่ประมาณ 8-9 หมื่นยูนิต   คาดว่าทิศทางของตลาดคอนโดในปี 2568 จะเป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปไม่หวือหวา เพราะหลายๆ อย่างยังไม่ได้มีปัจจัยเกื้อหนุนอะไรที่ชัดเจน ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศดูแล้วเหมือนยังช้าอยู่ ขณะที่บริษัทมีคอนโดมิเนียมในมือพร้อมขายทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 13,500 ล้านบาท เป็นโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอน 5 โครงการ มูลค่าประมาณ 6,200 ล้านบาทและโครงการวันเวลาที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีกกว่า 7,300 ล้านบาท ในปี 2568 บริษัทจะเน้นการขายสินค้าคอนโดมิเนียมจากโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นหลัก   นายอาชวิณ อัศวโภคิน (ทายาทอัศวโภคินรุ่นที่ 3) รองกรรมการผู้จัดการและผู้บริหารสูงสุดด้านการเงิน กล่าวว่า ในปี 2567 บริษัทยังคงมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงจากการบริหารจัดการสภาพคล่องที่ดีและจากสินทรัพย์ลงทุนที่มีอยู่ ขณะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าและบริการ ซึ่งประกอบด้วยโรงแรม Grande Centre Point ที่เปิดดำเนินการแล้ว 7 แห่ง อยู่ระหว่างก่อสร้าง 3 แห่ง ศูนย์การค้า Terminal 21 3 แห่ง อพาร์ตเมนต์และโรงแรมในสหรัฐอเมริกาอีก 5 แห่ง มีการเติบโตได้ดีกว่าแผนที่วางไว้ โดยคาดว่ารายได้ทั้งปีจะอยู่ที่ 9,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 16% จากปีก่อนที่มีรายได้ 7,800 ล้านบาท จากธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย และในปีนี้คาดว่า โรงแรมจะดียังต่อเนื่อง   นอกจากนี้ยัง มีการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าและบริการ มูลค่ารวม 5,800 ล้านบาท ประกอบด้วย ซื้อโรงแรม Residence Inn Manhattan Beach 2,400 ล้านบาท พัฒนาโครงการ Grande Centre Point Lumphini 2,100 ล้านบาท และพัฒนาธุรกิจโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์อื่นๆ อีก 1,300 ล้านบาท     ในปี 2568 บริษัทเดินหน้าธุรกิจให้เช่าอย่างต่อเนื่อง และลดระดับหนี้สินต่อทุน โดยได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 8,500 ล้านบาท สำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 4,000 ล้านบาท และงบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 4,500 ล้านบาท และในปีนี้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่อีก 1 แห่งในเดือนเมษายนคือ Grande Centre Point Lumphini ซึ่งเป็นอาคารประเภท Mixed Use ประกอบด้วยพื้นที่สำนักงานประมาณ 12,700 ตร.ม. และโรงแรม 512 ห้อง พร้อมทั้งพื้นที่จัดเลี้ยงที่มากที่สุดในเครือโรงแรม Grande Centre Point ตามด้วย Grande Centre Point Ratchadamri2 ในปี 2569 และ Grande Centre Point Pattaya 3 ในปี 2570   นอกจากนี้ บริษัทจะปรับมีการพอร์ตการลงทุนในสหรัฐอเมริกา โดยลดสัดส่วนของอพาร์ตเมนต์ลงตามสถานการณ์หลังการแพร่ระบาด COVID-19 ที่ส่วนใหญ่ยังคงรูปแบบการทำงานแบบ Work From Home อยู่ และหันมาเน้นการดำเนินธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก ขณะเดียวกันในปี 2568 บริษัทมีแผนที่จะออกหุ้นกู้มูลค่า 12,000 ล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนด และคาดว่า ณ สิ้นปี 2568 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิจะอยู่ในระดับประมาณ 1 เท่า ซึ่งจะลดลงจากสิ้นปี 2567 ที่มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ประมาณ 1.3 เท่า     ข่าวอื่นที่น่าสนใจ AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์ AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68
[PR] ORN งัดกลยุทธ์อัดโปรโมชัน เตรียมกวาดยอดขายทั้งแนวราบ-แนวสูง

[PR] ORN งัดกลยุทธ์อัดโปรโมชัน เตรียมกวาดยอดขายทั้งแนวราบ-แนวสูง

อรสิริน (ORN) งัดกลยุทธ์อัดโปรโมชัน เตรียมกวาดยอดขายทั้งแนวราบ-แนวสูง ไฮไลท์โครงการอะไรซ์ ฮิลล์, ดิแอสตร้า สกายริเวอร์, บีลีฟ วงแหวนสันกำแพง, ฮาบิแทท รวมโชค, ฮาบิแทท วงแหวนสันกำแพง เดอะเน็กซ์ รวมโชค ซิตี้ ฮอลล์, เดอะเน็กซ์ เจ็ดยอด 2 ฯลฯ ตอกย้ำศักยภาพพัฒนาโครงการตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าชาวไทย-ต่างชาติครอบคลุม ชูจุดเด่นทำเลศักยภาพ ราคาเข้าถึงได้ เดินหน้าจัดโปรโมชันพิเศษ GET SET GO รับโบนัสสูงสุด 2 ล้าน ฟรีทุกค่าใช้จ่ายฯ กระตุ้นยอดขาย ดันผลงาน Q1/68   จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของยอดขายที่ผ่านมา ทำให้เห็นถึงความต้องการที่สูงขึ้นของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดเชียงใหม่ – ภูเก็ต ประกอบกับกลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) หรือ ORN ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ทั้งด้านการดีไซน์ ทำเลที่ตั้ง และสิ่งอำนวยความสะดวก ในระดับราคาที่เหมาะสม ทำให้โครงการได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายชาวต่างชาติและชาวไทย โดยโครงการแนวราบ-แนวสูงที่ได้รับความสนใจ อาทิ โครงการ อะไรซ์ ฮิลล์, ดิแอสตร้า สกายริเวอร์, บีลีฟ วงแหวนสันกำแพง, ฮา บิแทท รวมโชค, ฮาบิแทท วงแหวนสันกำแพง เดอะเน็กซ์ รวมโชค ซิตี้ ฮอลล์, เดอะเน็กซ์ เจ็ดยอด 2 ฯลฯ       ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นยอดขายและตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ บริษัทเร่งจัดโปรโมชันพิเศษโปรเสริมช่วงเทศกาลตรุษจีน ช่วงวันที่ 16-31 ม.ค. 68 รับเพิ่ม ทองสูงสุด 6 บาท* สร้างโอกาสให้ลูกค้ารับสิทธิประโยชน์สูงสุดในช่วงเทศกาลมงคลช่วงตรุษจีนถือเป็นช่วงเวลาแห่งโชคลาภและการเริ่มต้นสิ่งดีๆ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า คาดว่าจะมียอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกในช่วงไตรมาส 1/2568  
มูลนิธิ แอสเสท เวิรด์ จัดงานวิ่งการกุศลใจกลางเมือง “CBD We Run 2025”

มูลนิธิ แอสเสท เวิรด์ จัดงานวิ่งการกุศลใจกลางเมือง “CBD We Run 2025”

มูลนิธิ แอสเสท เวิรด์ เพื่อการกุศล ร่วมกับ กทม. และพันธมิตร จัดงานวิ่งการกุศลใจกลางเมือง “CBD We Run 2025” วิ่งสุขสันต์เมืองยั่งยืน   มูลนิธิ แอสเสท เวิรด์ เพื่อการกุศล หรือ AWFC ซึ่งก่อตั้งโดย บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร และเครือข่ายพันธมิตร จัดกิจกรรมวิ่งการกุศล “CBD We Run 2025” ภายใต้โครงการ “GIVE GREEN CBD” หนึ่งในงานวิ่ง City Run ประจำปีที่นักวิ่งรอคอยและมีการจัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 ในคอนเซปต์  “วิ่งสุขสันต์เมืองยั่งยืน” ร่วมสร้างกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองสีเขียวรวมถึงไม่สร้างขยะตลอดการแข่งขัน ผ่านการสนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมของกรุงเทพมหานคร   และนำรายได้ส่วนหนึ่งเข้าสมทบโครงการ “ปันรักษ์” เพื่อสิ่งแวดล้อมของมูลนิธิ AWFC โดยภายในงาน ได้รับเกียรติจากนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในการปล่อยตัวกิจกรรมวิ่งการกุศล “CBD We Run 2025” รวมถึงพันธมิตรกว่า 70 ราย โดยมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้จำนวน 2,400 คน ณ จุดปล่อยตัว อาคาร “เอ็มไพร์”       กิจกรรมวิ่งการกุศล “CBD We Run 2025” เป็นงานวิ่งฮาล์ฟมาราธอนการกุศลกลางเมือง เพื่อส่งมอบคุณค่าและประโยชน์องค์รวมทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคม โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็นทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ “Fun Run” ระยะทาง 4.2 กิโลเมตร “Mini Marathon” ระยะทาง 10.5กิโลเมตร และ “Half Marathon” ระยะทาง 21 กิโลเมตร ด้วยเส้นทางวิ่งพิเศษผ่านพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญใจกลางเมือง กับไฮไลท์สำคัญในเส้นทางวิ่ง อาทิ อาคาร ‘เอ็มไพร์’ อาคารสำนักงานแบบไลฟ์สไตล์ระดับแฟลกชิปของ AWC สวนสาธารณะคลองช่องนนทรี ถนนสาทร ลัดเลาะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมด้วยวิวอาทิตย์ขึ้นยามเช้าบริเวณสะพานตากสิน และจุดกลับตัวที่อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (วงเวียนใหญ่)     ทั้งนี้ “CBD We Run 2025” จัดขึ้นภายใต้โครงการ “GIVE GREEN CBD” มุ่งเดินหน้าขับเคลื่อนความยั่งยืน ผ่าน 3 กิจกรรม คือ ตลาดนัดเพื่อการกุศล “AWC's Charity Market Around” กิจกรรมการกุศลใต้ต้นคริสต์มาส "A Charity Christmas Tree" และงานซิตี้รัน วิ่งฮาล์ฟมาราธอนการกุศลกลางกรุง “CBD We Run 2025” ชวนคนไทยรวมพลังกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อส่งต่อคุณค่ากลับคืนสู่สังคม มุ่งรณรงค์ให้ทุกคนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ พร้อมส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและไม่สร้างขยะเพิ่มเติม แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยการนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) จากซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดต่างๆ ที่หมดอายุการใช้งาน มาใช้ประโยชน์ต่อด้วยการนำมารีไซเคิลเป็นเหรียญรางวัล เสื้อวิ่งที่ผลิตจากเส้นใยพลาสติก Recycled PET รวมถึงรณรงค์ให้นักวิ่งใช้ขวดน้ำซิลิโคนแบบพกพาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อไม่สร้างขยะตลอดการแข่งขัน     โครงการ “GIVE GREEN CBD” ได้รับการสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมจากพันธมิตรชั้นนำ ประกอบด้วย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง ประจำกรุงเทพมหานคร, เคพีเอ็มจี ประเทศไทย, บริษัท นวกิจ อลูมินัม แอนด์ กลาส (2009) จำกัด, บริษัท จาร์ดีน ชินด์เล่อร์ (ไทย) จำกัด, บริษัท บางกอก เดค-คอน จำกัด (มหาชน), บริษัท ซี.อี.เอส จำกัด, บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท หลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), บริษัท เทอร์มีเดซ จำกัด, บริษัท เอเวอเรสต์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด, บริษัท ฟิวเจอร์ วิชวล ซิสเต็ม จำกัด, กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี, บริษัท โอกุระ นิกโก้ โฮเทล แมนเนจเม้นท์ จำกัด, บริษัท อัซบิล (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด, บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด และอื่น ๆ รวมกว่า 70ราย   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ชวนคนรุ่นใหม่ประกวดวงดนตรี ชิงทุนฯ AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น JLLชูเทคโนโลยี AI โซลูชั่น นวัตกรรม บริการอสังหาฯก้าวสู่ยุค‘อุตสาหกรรม5.0’  

1 2 3 ... 105