Infographic

 

Infographic ล่าสุด

1 ... 10 11 12 13
ทริคเด็ดๆ แต่งคอนโดเล็กให้เหมือนห้องใหญ่

ทริคเด็ดๆ แต่งคอนโดเล็กให้เหมือนห้องใหญ่

10 ทริคเด็ด คอนโดพื้นที่เล็ก ก็รู้สึกเหมือนห้องใหญ่ ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าเดี๋ยวนี้โครงการสร้างคอนโด ผุดขึ้นมาเยอะและรวดเร็วอย่างกับดอกเห็ด เพราะคนส่วนใหญ่โดยเฉพาะคนในเมืองนั้น นิยมอยู่ในคอนโดมากกว่าบ้านที่มีพื้นที่กว้าง ๆ เสียอีก เพราะการอยู่คอนโดทำให้ชีวิตสะดวกสบายมากกว่า ไม่ต้องเหนื่อยทำความสะอาดพื้นที่กว้าง ๆ แถมยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันรอบ ๆ คอนโดอีกด้วย แต่ถ้าหากคุณต้องอยู่ในคอนโดที่มีพื้นที่เล็ก คุณก็อาจจะรู้สึกอึดอัดถ้าไม่จัดให้เป็นระเบียบ หรือตกแต่งไม่เป็น แต่ไม่ต้องกลุ้มไป เพราะวันนี้กระปุกดอทคอมได้นำ 10 ทริคเด็ดในการใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดห้องเล็ก ให้รู้สึกเหมือนได้อยู่ในคอนโดห้องใหญ่ มาฝากกันแล้ว  วัดขนาดให้เป๊ะ  พื้นฐานการตกแต่ง และจัดระเบียบคอนโดที่ดี มาจากการวางแผนที่ถูกต้อง เริ่มจากการวัดขนาดห้องทั้งความยาว ความกว้าง และความสูงของเพดาน หรือหน้าต่างให้เป๊ะเสียก่อน เมื่อได้ขนาดที่แน่นอนออกมาแล้ว จึงค่อยตัดสินใจซื้อเฟอร์นิเจอร์ และของใช้ที่จะเอาเข้ามาวางในห้องได้ถูกต้อง จึงทำให้ห้องเล็กที่เคยมีนั้น กลับดูใหญ่ขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อเลย  ร่างแบบห้องในโปรแกรม 3 มิติ  เพื่อความแน่ใจอีกระดับหนึ่ง ลองลงมือร่างแปลนห้องในแบบ 3 มิติออกมา โดยการดาวน์โหลดโปรแกรม เพื่อให้รู้ว่าถ้าตั้งเฟอร์นิเจอร์ตัวนี้ ตรงตำแหน่งนี้ จะเหลือพื้นที่อีกมากเท่าไร เพราะการร่างแปลนห้องในแบบ 3 มิตินี้ จะทำให้เห็นภาพห้องกว้าง ๆ ได้ชัดขึ้น ไม่ว่าจะทำผิดพลาด หรืออยากเปลี่ยนตำแหน่งกี่ครั้ง ก็ไม่ต้องเหนื่อยย้ายเฟอร์นิเจอร์ให้ยุ่งยากด้วย  ควรซ่อน หรือโชว์อะไรบ้าง  ก่อนที่จะย้ายเข้าสู่คอนโดพื้นที่เล็กนี้ ต้องถามตัวเองก่อนว่า ของใช้อะไรบ้างที่จำเป็น ถ้าอันไหนที่ใช้ทุกวันก็หยิบมาวางไว้ให้มองเห็นได้ง่าย ส่วนของที่ไม่ได้ใช้แล้ว ให้เก็บทิ้งไปบ้างอย่าเสียดายขยะเหล่านั้น และของที่ไม่ค่อยได้ใช้ให้เก็บไว้ในกล่องรวมกัน แล้วนำไปวางให้พ้นสายตา อีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือ บรรดาสายไฟและสายเคเบิลต่าง ๆ นั้น เป็นตัวการที่ทำให้ห้องดูรกรุงรัง และดูแคบลงมากเลยทีเดียว ทางที่ดีควรหาวิธีเก็บสายไฟและสายเคเบิลเหล่านั้นให้พ้นสายตาไปจะดีกว่า รับรองว่าจะเหลือพื้นที่ใช้สอยอีกเป็นกอง  เลือกสีที่ใช่ให้ห้องสวยขึ้น  ลองสังเกตดี ๆ ว่าคอนโดของคุณนั้นเป็นเน้นการใช้โทนสีอะไรเป็นหลัก แล้วจึงค่อยเลือกเฟอร์นิเจอร์เข้ามาตกแต่งในโทนสีเดียวกัน หรือแบบที่ไปด้วยกันได้อย่างลงตัว แต่ก่อนที่จะซื้อเฟอร์นิเจอร์สีต่าง ๆ มาตกแต่งในห้องนั้น อย่าลืมถามผู้ที่อาศัยร่วมห้อง ว่าพวกเขามีความคิดเห็นอย่างไรกับเฟอร์นิเจอร์สีเหล่านั้นด้วยนะ  เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แบบมัลติฟังก์ชั่น  ด้วยความที่คอนโดมีพื้นที่เล็ก จึงมีข้อจำกัดบางประการในการเลือกเฟอร์นิเจอร์เข้ามาวางในคอนโด ถ้าหากเลือกเฟอร์นิเจอร์แบบมัลติฟังก์ชั่นได้ จะถือว่าคุณได้ใช้พื้นที่ทุกตารางเมตรในห้องได้คุ้มค่ามาก ๆ ถ้าเพดานในคอนโดสูงพอ ลองเลือกใช้เตียง 2 ชั้น หรือถ้าเพดานสูงไม่มากนัก ก็ลองเลือกโซฟาที่เป็นเตียงได้ด้วย เวลาไม่ได้ใช้นอนแล้วก็สามารถปรับเปลี่ยนเป็นโซฟานั่งดูทีวีได้สบายเลย ทั้งยังไม่ต้องเปลืองเงิน เปลืองพื้นที่ซื้อทั้งเตียง ซื้อทั้งโซฟาอีกด้วย  เฟอร์นิเจอร์เคลื่อนย้ายง่ายกว่าเยอะ  เพราะพื้นที่เล็ก ทำให้ต้องพิถีพิถันในการเลือกเฟอร์นิเจอร์กันหน่อย คุณควรเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีล้อเลื่อน หรือพับเก็บได้ งอไปซ้ายไปขวาได้ตามใจ จะดีกว่าเฟอร์นิเจอร์บิวท์อินหรือเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่น้ำหนักมาก เพราะเฟอร์นิเจอร์แบบนี้ เวลาจะเคลื่อนย้ายในห้องเล็กขนาดนี้แต่ละที ก็เป็นเรื่องที่ลำบากอยู่ไม่น้อย ฉะนั้นลองเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่เคลื่อนย้ายง่ายมาไว้ในห้องดีกว่าครับ  เปลี่ยนบรรยากาศยามนั่งทำงาน  ถ้าคุณเป็นนักเรียน หรือมีธุรกิจทำงานที่บ้าน คงอาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการนั่งทำงานในห้องเล็ก ๆ แบบนี้ ฉะนั้นควรจัดมุมทำงานไว้สัก 3 มุม ในที่ที่คุณสามารถเปลี่ยนอิริยาบถได้ ที่สำคัญลองเปลี่ยนสีของดวงไฟให้ต่างกันในแต่ละมุมดู คราวนี้ล่ะไม่ว่าจะทำงานนานเท่าไร ก็เป็นเรื่องสบาย ๆ อยู่แล้ว  หลีกเลี่ยงการติดไฟกลางห้อง  การติดไฟกลางห้องถือว่าเป็นวิธีที่ดีและง่ายในการเดินสายไฟ แต่ทว่ากลับไม่ทั่วถึงไปทุกมุม ฉะนั้นควรเปลี่ยนมาติดไฟให้กระจายออกไปในทุกมุมของห้องดีกว่า จะทำให้ห้องดูหรูหรา และน่าสนใจมากกว่าติดไฟสว่างจ้าไว้ดวงเดียวกลางห้องเสียอีก แบบนั้นดูเหมือนมีพระอาทิตย์อยู่กลางห้องมากกว่านะ  รับแขกด้วยที่นอนปิคนิค  หากมีเพื่อนอยากมานอนค้างที่ห้อง บอกได้เลยว่าไม่เป็นปัญหา เพราะถ้าคุณเริ่มลงมือจัดระเบียบห้องตั้งแต่แรก รับรองว่าต้องเหลือที่อีกเยอะไว้เผื่อให้เพื่อนมานอนค้างแน่นอน ลองซื้อที่นอนปิกนิค เตียงเป่าลม หรือจะใช้เก้าอี้นวมเอนหลังที่ปรับระดับได้มาไว้เพื่อรองรับแขกในวันที่จำเป็น เมื่อเพื่อนกลับบ้านไปแล้ว ก็เก็บของเหล่านั้นไว้ในกล่องของที่ไม่ค่อยได้ใช้ เพียงเท่านี้บ้านก็จะกลับมามีระเบียบเหมือนเดิม  จัดมุมต่าง ๆ ให้เหมือนบ้านอันอบอุ่น  เมื่อเข้ามาอยู่ในคอนโดแล้ว ก็เปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่งของคุณ ที่อาจจะมีพื้นที่เล็กกว่าบ้านไปหน่อย แต่ก็ทำให้อบอุ่นได้ไม่แพ้กัน ฉะนั้นควรใส่ใจในการตกแต่ง และยอมเสียเวลาสักหน่อยเพื่อให้คอนโดออกมาสวย มีพื้นที่ใช้เยอะ ๆ ดีกว่าต้องมารู้สึกอึดอัดเวลาที่ได้อยู่ในคอนโดของคุณนะครับ  ถ้าหากวางแผนในการจัดห้องมาอย่างดีตัั้งแต่แรก จะช่วยทำให้ไม่ต้องจัดห้องบ่อย ๆ หรือแทบจะไม่ต้องจัดเลยด้วยซ้ำ แม้ว่าห้องจะเล็กขนาดไหน ก็มั่นใจได้เลยว่าจะไม่อึดอัดอย่างที่คิด ฉะนั้นยอมเหนื่อยตั้งแต่ตอนแรกดีกว่ามานั่งแก้ไขปัญหาไม่จบในภายหลังนะครับ
4 สัญญาณอันตราย เสี่ยงกู้ไม่ผ่าน

4 สัญญาณอันตราย เสี่ยงกู้ไม่ผ่าน

ใครที่กำลังจะก่อหนี้เพิ่มตอนนี้ต้องคิดให้ดีๆ โดยมี 4 สัญญาณอันตรายซึ่งอาจจะมีผลต่อการขอสินเชื่อหรือทำให้กู้ไม่ผ่านดังนี้ 1.ก่อหนี้ได้ไม่เกิน 40% ของรายได้ ปัจจุบันคนไทยมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 25,405 บาท มีรายจ่ายเฉลี่ย 19,259 บาท หรือมีสัดสวนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ 75.8% มีหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือน 159,492 บาท ขณะที่หนี้สินต่อรายได้มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยกว่า 10,000 บาท ต่อเดือนที่มีอยู่ประมาณ 1.6 ล้านครัวเรือน แต่มีภาระหนี้สินที่ต้องจ่ายถึง 61% (ณ ปี 2556) ส่วนกลุ่มรายได้ 10,000-30,000 บาทต่อเดือนซึ่งถือเป็นกลุ่มใหญ่สุด 3.7 ล้านครัวเรือน มีภาระหนี้สินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นจากประมาณ 1 ใน 4 (24% ณ ปี 2552) มาเป็น 1 ใน 3 (34% ณ ปี 2556) ของรายได้ สำหรับเกณฑ์ที่ยอมรับได้คือ 40% หากตัวเลขยังเพิ่มขึ้นโอกาสที่จะขยายสินเชื่อของครัวเรือนก็อาจจะน้อยลงไป 2.เป็นหนี้รถยนต์คนแรก+หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล ทั้งสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อส่วนบุคคล (กู้เป็นก้อน ผ่อนเป็นงวด) ทางสถาบันการเงินได้ให้ความสำคัญในการติดตามค่อนข้างมาก เนื่องจากสัญญาณการเริ่มผิดนัดชำระหนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก แม้ว่าการค้างจะยังไม่เกิน 90 วัน (ถ้าเกินจะกลายเป็นบัญชีลูกหนี้ที่เป็น NPL) ตัวเลขหนี้เสียจากสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อส่วนบุคคลเริ่มมีสัญญาณการค้างชำระ 31-90 วันเพิ่มขึ้นถึง 38% โดยตัวเลขบัญชีสินเชื่อที่ยังมีการเคลื่อนไหว ณ ไตรมาสแรกของปี 2557 มีจำนวน 47.4 ล้านบัญชี จากทั้งหมด 71.5 ล้านบัญชี ดังนั้นคนที่มีหนี้รถยนต์คันแรกกับหนี้สินเชื่อส่วนบุคคลอยู่แล้ว หากจะขอกู้เพิ่มเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยจึงมีโอกาสกู้ไม่ผ่าน เพราะความสามารถในการชำระหนี้ลดลง 3.เคยมีประวัติค้างชำระหนี้ จำนวนสมาชิกของเครดิตบูโรที่เป็นสถาบันการเงินทั้ง 79 รายในปัจจุบัน มีการเรียกดูข้อมูลลูกค้าเก่าเพิ่มขึ้นจาก 6.5 ล้านครั้งต่อปี (ในปี 2555) เพิ่มเป็น 16 ล้านครั้งต่อปีในปี 2556 และข้อมูล 4 เดือนแรกของปีนี้มีการเรียกดูข้อมูลไปแล้วถึง 11 ล้านครั้ง ซึ่งระบบสถาบันการเงินมีความเข้มงวดมากขึ้นในกระบวนการวิเคราะห์สินเชื่อ โดยบางแห่งได้กำหนดเป็นนโยบายให้ตรวจดูทุกบัญชีและดูทุกเดือนเพื่อประเมินความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด และการเช็คเครดิตบูโรก็เพื่อดูข้อมูลของลูกค้าในด้านสินเชื่อที่มีอยู่กับสถาบันการเงินอื่นๆ เช่น จำนวนหนี้คงค้าง การชำระหนี้ ประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมาในอดีต การที่สถาบันการเงินที่กำลังพิจารณาสินเชื่อได้เห็นพฤติกรรม เห็นการผ่อนชำระหนี้ว่ามีการจ่ายครบ  จ่ายตรง หรือมีการผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ การรู้จักตัวตนของลูกค้าที่มีขอสินเชื่อ ก็จะทำให้การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อมีความแม่นยำมากขึ้น และสุดท้ายคือป้องกันการเกิด NPL ได้ ขณะที่การมีประวัติค้างชำระคือชำระแบบเลี้ยงงวดหรือชำระแบบงวดเว้นงวด  ย่อมส่งผลให้ประวัติของเจ้าของบัญชีนั้นๆ เกิดสิ่งที่เรียกว่า “การมีประวัติการค้างชำระ” ซึ่งจะส่งผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ เนื่องจากสถาบันการเงินอาจไม่แน่ใจ หรืออาจจะรอดูอีกระยะหนึ่ง (เรียกว่าระยะดูใจ) เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่เรื่องที่เกิดจากความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ยื่นกู้ แต่อาจเป็นเหตุที่เกิดขึ้นได้ โดยระยะดูใจนี้จะนานหรือไม่นานก็ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันการเงิน 4.มีบัญชีหนี้เกินกว่า 5 บัญชีขึ้นไป โดยปกติแล้วแต่ละคนไม่ควรมีบัญชีหนี้สินกิน 5 บัญชี หากเกินกว่านี้อาจมีผลต่อการจะก่อหนี้เพิ่มในอนาคตได้ ทั้งนี้และทั้งนั้นการตรวจสุขภาพทางการเงินของตัวเอง ทั้งในเรื่องของการก่อหนี้และการชำระหนี้ของผู้ที่กำลังวางแผนจะขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เรียกว่าเป็นการรู้จักตัวเองก่อนไปขอกู้ เพราะถึงอย่างไรสถาบันการเงินก็จะตรวจสอบดูประวัติการก่อหนี้และการชำระหนี้ของผู้กู้อยู่แล้ว ที่สำคัญประวัติการการชำระหนี้ที่ดีนั้นไม่มีขาย ถ้าอยากได้คุณต้องลงมือทำเอง   ที่มา : www.home.co.th
3 สัญญาซื้อขายคอนโด-บ้าน ก่อนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์

3 สัญญาซื้อขายคอนโด-บ้าน ก่อนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์

ซื้อคอนโดไม่ใช่เรื่องเล็ก ต้องเช็คสัญญาให้ดี รู้หรือไม่ การซื้อบ้านหนึ่งหลัง ผู้ซื้ออาจต้องทำสัญญาถึง 3 สัญญาด้วยกัน จึงจะได้กรรมสิทธิ์ในตัวบ้านโอนมาเป็นของคนซื้อ อาจจะฟังดูเหมือนการซื้อบ้านหลังหนึ่งมีความซับซ้อน แต่จริงๆ แล้ว หากเข้าใจความหมายและหน้าที่ของสัญญาทั้ง 3 แล้ว จะพบว่าไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คิดไว้เลย ซึ่งสัญญาทั้ง 3 ที่ผู้ซื้อสามารถพบเจอได้นั้น ประกอบไปด้วย สัญญาจอง ซื้อเป็นสัญญาแรกที่เกิดขึ้น แต่อาจไม่ได้เกิดกับผู้ซื้อทุกคน สัญญาประเภทนี้คือ เมื่อผู้ซื้อตกลงใจที่จะซื้อบ้านก็ต้องวางเงินจองเอาไว้ก่อน ซึ่งสัญญาจองซื้อนี้ระบุเงื่อนไขให้ผู้ซื้อต้องผ่อนเงินดาวน์ไปเรื่อยๆ ตามรายการแนบท้ายสัญญา แต่สัญญาจองซื้อนี้จะมีข้อเสียเปรียบตรงที่ หากผู้ขายได้รับใบอนุญาตให้ปลูกสร้างจากหน่วยงานราชการแล้ว ผู้ซื้อต้องเข้ามาทำสัญญาจะซื้อจะขายอีกครั้ง และมักมีเงื่อนไขระบุว่า หากไม่มาทำสัญญาจะซื้อจะขาย จะถือเป็นการยกเลิกสัญญาและจะริบเงินมัดจำทั้งหมด แต่หากครบกำหนดผ่อนชำระแล้ว ผู้ขายไม่สามารถขออนุญาตก่อสร้างได้ก็จะคืนเงินให้แต่ไม่มีดอกเบี้ย สัญญาจะซื้อจะขาย เป็นสัญญาที่กฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะต้องทำ แต่ในชีวิตจริงเรื่องบ้านถือเป็นเรื่องใหญ่ รวมถึงอาจมีการขอสินเชื่อ ดังนั้นเพื่อความมั่นใจของทั้ง 2 ฝ่าย จึงเกิด “สัญญาจะซื้อจะขาย” ขึ้น โดยสัญญาจะซื้อจะขายนี้ แตกต่างจากสัญญาจองซื้อตรงที่ผู้ซื้อมีหน้าที่จ่ายเงินตามสัญญา เมื่อครบกำหนดผู้ขายมีหน้าที่โอนกรรมสิทธิ์บ้านโดยทำสัญญาซื้อขาย หากผู้ซื้อผิดสัญญา ผู้ขายสามารถยกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำหรือเงินดาวน์ที่ผ่อนมาได้ตามกฎหมาย หากผู้ขายผิดสัญญา ผู้ซื้อสามารถฟ้องให้โอนกรรมสิทธิ์ได้ หรือยกเลิกสัญญาและให้คืนเงินพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่โครงการผิดนัด สัญญาซื้อขาย เป็นสัญญาที่กฎหมายบังคับให้ทำ โดยมีชื่อเป็นทางการว่า “หนังสือสัญญาขายที่ดิน” โดยวันที่เซ็นสัญญาเป็นวันที่กรรมสิทธิ์ในตัวบ้านจะโอนมาเป็นของคนซื้อ ดังนั้น ผู้ขายต้องแจ้งผู้ซื้อล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วันก่อนวันทำสัญญาซื้อขาย สำหรับผู้ซื้อในวันทำสัญญาซื้อขายจะเป็นวันที่พร้อมชำระเงินหรือได้รับสินเชื่อจากธนาคารพร้อมที่จะจ่ายเงินให้กับผู้ขาย และเป็นวันที่ผู้ซื้อต้องเซ็นสัญญาซื้อขายที่สำนักงานที่ดิน จดทะเบียนการโอน และจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด   ดังนั้น ในการซื้อบ้านหนึ่งหลัง อาจต้องทำสัญญากันถึง 3 ครั้ง แต่สัญญาครั้งสุดท้าย ถือเป็นสัญญาที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือ สัญญาซื้อขาย ที่จะทำให้เรามีกรรมสิทธิ์ในตัวบ้านนั่นเอง เกี่ยวกับสัญญาซื้อขายคอนโดเพิ่มเติม ศึกษากฎหมายเกี่ยวกับอสังหาฯ ที่ควรรู้ และหนังสือสัญญาซื้อขายบ้าน-คอนโด ก่อนทำการลงทุน เกี่ยวกับการซื้อ-ขาย คอนโดฯ เคล็ด (ไม่) ลับ เลือกธนาคารกู้ซื้อบ้าน ซื้อคอนโด มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง? ทางเลือกซื้อคอนโด สำหรับคนงบน้อย  
แต่งห้องนั่งเล่น หลากสไตล์ไอเดีย

แต่งห้องนั่งเล่น หลากสไตล์ไอเดีย

หลากสไตล์ไอเดียแต่งห้องนั่งเล่น ห้องนั่งเล่นเป็นส่วนสำคัญของบ้านที่เกิดกิจกรรมขึ้นหลากหลาย การตกแต่งห้องนั่งเล่นให้สวยงามน่าอยู่นอกจากจะตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยแล้ว ยังเป็นการแสดงออกถึงเอกลักษณ์ของเจ้าของบ้านได้อีกด้วย - Light Background ใช้สี Neutral ได้แก่ สีโทนขาว ครีม ไปจนถึงเทาอ่อน เป็นสีหลักบนผนัง เพราะนำไปใช้ร่วมกับสีอื่นๆ ได้ง่าย และ สไตล์ eclectic นี้มีของตกแต่งหลากหลายอยู่แล้ว การใช้ผนังสีอ่อนจะช่วยทำให้ห้องไม่ดูแน่น และอึดอัดเกินไป - Expect the Unexpected วางของตกแต่งที่ดูแปลกที่แปลกถิ่นในห้อง ทำให้ที่นี่ดูน่าตื่นเต้นเสมอ และถ้าคุณสะสมงานศิลปะ หรือทำงาน DIY ล่ะก็ อย่าพลาดโอกาสโชว์ผลงานชิ้นโปรดที่จะกลายเป็นเอกลักษณ์ของห้องอีกด้วย - Clutter-less ลดฉากกั้น หรือผนังในห้อง เพื่อโชว์ความแตกต่างของ เฟอร์นิเจอร์ texture รูปทรง สีสัน ลวดลาย และแพทเทิร์น ที่เรานำมาผสมผสานเข้าด้วยกัน - Make a decision หากคุณมีสไตล์ที่ชอบหลากหลายจนไม่รู้จะใช้แบบไหน นั่นไม่เป็นปัญหากับการตกแต่งแบบ eclectic เพียงคุณเลือกออกมา 3 - 4 สไตล์ แล้วยึดไว้เป็นหลักตลอดการตกแต่ง - Old, New and Unique เอกลักษณ์สำคัญของสไตล์ eclectic ก็คือการผสมผสานของเก่าเข้ากับของร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้มรดกตกทอดจากคุณตาคุณยาย ผลงาน DIY ไปจนถึงหมอนอิงลวดลายกราฟฟิกแบบอินเดียก็สามารถนำมาใช้ร่วมกันได้แบบไม่รู้สึกขัดแย้ง   ที่มา : www.home.co.th
เลือกคอนโดเสริมร่ำรวย

เลือกคอนโดเสริมร่ำรวย

 เลือกคอนโดฯ เสริมร่ำรวย คอนโดมิเนียมเป็นทางออกที่ดีมากสำหรับการอยู่อาศัยในเมือง เพราะสะดวกสบาย ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกและการเดินทางไปทำงาน แต่เราจะเลือกคอนโดฯ ให้ส่งเสริมโชคลาภ และจัดฮวงจุ้ยอย่างไร เพื่อแก้ไขสิ่งร้ายให้กลายเป็นโชค (มากขึ้น) ลองพิจารณาคำแนะนำเหล่านี้ครับ     1.ทางเข้าออก ภาพของรวมโครงการ :   คอนโดฯ ที่ดีควรมีทางเข้าออกกว้างและสะดวก มีสวนหรือพื้นที่สีเขียวส่วนกลางมากๆ และเห็นกระแสพลังไหลเข้า เช่น เห็นสายน้ำไหลมาหา ถนนสายใหญ่มีรถวิ่งมาหาจำนวนมาก เพราะบริเวณดังกล่าวนี้ก็จะเป็นจุดสะสมกระแสพลังให้ภาพรวมของโครงการที่เราอาศัยอยู่นั้นเกิดความเจริญรุ่งเรืองและมีมูลค่าในระยะยาว สำหรับการอยู่อาศัยในเชิงพาณิชย์หรือเก็งกำไรก็ควรเลือกทิศที่ระเบียงอยู่ในแนวทิศเหนือ-ใต้เป็นหลัก เพราะสามารถรับลมได้ดี สามารถหาคนเช่าอาศัยต่อได้ง่าย   2.กระแสพลัง :   พลังงานต้องมีทิศทางวิ่งเข้าหาห้องพักของเราได้ จุดเด่นของคอนโดฯ คือ ระเบียง เราถือว่าภายนอกอาคารนั้นระเบียงเป็นทิศจ่ายกระแสพลังงาน ลมต้องไหลเวียนเข้าจากระเบียงได้ดี การอยู่ชั้นสูงๆ จะได้เปรียบเรื่องทางลม ลมเข้ามากก็มีโอกาสรวยมาก ยิ่งอยู่ในชั้นที่เปิดประตูระเบียงแล้วไม่มีสิ่งปลูกสร้างบังเลย ก็จะทำให้โอกาสทางการเงินมากกว่าห้องอื่นๆ ระเบียง คือ ตำแหน่ง “เหม่งตึ๊ง” หรือเปรียบดัง “สถานที่สะสมความมั่งคั่ง” ให้กับคอนโดฯจึงควรมีสภาพโล่งกว้างที่สุด ไม่วางโต๊ะเก้าอี้เกะกะ หรือมีต้นไม้ปลูกบังขวางทางเดินและทิศทางลม สำหรับระเบียงที่อยู่สูงจากสระว่ายน้ำส่วนกลางไม่มากนักสัก 1-2 ชั้น ถือเป็นตำแหน่งดีด้วยเช่นกัน เพราะที่สระว่ายน้ำนั้นน้ำจะมีสภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นการกระตุ้นพลังอยู่ตลอดเวลา ถือว่าเป็นการเสริมโชคที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้การวางโซฟาบริเวณโถงที่ติดกับระเบียงไม่ควรเลือกโซฟาชนิดหนา บังระเบียงจนทึบ ส่วนแหล่งจ่ายกระแสพลังภายในอาคารให้พิจารณาห้องพักตำแหน่งใกล้กับลิฟต์ ถือเป็นห้องที่รับกระแสพลังที่ดี หากบริเวณทางเข้าประตูห้องของเราไกลจากลิฟต์หรือมืด แนะนำให้ติดไฟให้สว่างบริเวณปากทางเข้าห้อง หากทำได้ให้ติดทั้งนอกและในห้องเลย ก็จะช่วยให้สภาพประตูมีความเป็นหยาง หรือพลังคึกคัก โชคลาภก็จะวิ่งเข้าประตูได้ดีขึ้น   3.การเลือกทิศหันหัวนอน :   หลักของการวางตำแหน่งหัวนอนในคอนโดฯ นั้น ใช้หลักของชัยภูมิที่ดี คือ ควรมองเห็นประตู เห็นคนที่จะเดินเข้าห้องและเห็นทิวทัศน์ที่หน้าต่างด้วย ถ้าจะให้ดีจริงๆ ก็คือ ก่อนไปเลือกซื้อควรปรึกษาซินแสว่าทิศไหนเป็นทิศหัวนอนที่ดีต่อเราจริงๆ จะได้เลือกตอนซื้อไปเลยเพราะคอนโดฯ บางแห่งเขาได้บังคับตำแหน่งหัวนอนตามรูปห้องไว้แล้ว ทำให้เราหาทิศเข้ากับดวงนั้นทำได้ยาก การหันทิศหัวนอนทางทิศตะวันตกไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้ายอย่างที่หลายๆ ท่านเข้าใจ เพราะทิศตะวันตกเป็นทิศธาตุทอง ซึ่งเพิ่มพลังแห่งการตัดสินใจที่เฉียบขาดให้ท่านและช่วยให้การควบคุมลูกน้องในปกครองเป็นไปได้ดี แต่สำหรับบางท่านที่ประสงค์จะทำการปล่อยให้เช่าหรือขายต่อ ท่านก็ต้องพิจารณาเลี่ยงการซื้อห้องซึ่งมีทิศหัวนอนทางทิศนี้ เนื่องจากผู้เช่าอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้องอยู่ การปล่อยห้องให้เช่าหรือขายต่อก็อาจจะยากกว่าปกติ   4.ของใช้เพื่อการอยู่อาศัย :   ควรมีเท่าที่จำเป็น เพราะข้าวของที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้พื้นที่ใช้สอยและการไหลเวียนของพลังงานในห้องพักลดน้อยลง หากจำเป็นต้องมีหรือเก็บไว้ควรหาตู้เก็บเป็นสัดส่วน ไม่วางระเกะระกะจนรกไม่น่าอยู่ แนวทางในการจัดฮวงจุ้ยเพื่อให้มีพลังที่ดีแบบเฉพาะเจาะจงก็ยังสามารถใช้แนวทางของดวงชะตาและดาวเหินได้อีกด้วย   สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดตามได้ที่ www.100fs.com  
วิธีขจัดคราบเขม่า ควันไฟ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

วิธีขจัดคราบเขม่า ควันไฟ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

วิธีขจัดคราบเขม่าควันไฟที่ติดเสื้อผ้า พรม ม่าน หรือวัสดุอื่น ๆ ไม่ได้ยากอย่างที่คิด แค่รู้เคล็ดลับกำจัดคราบเขม่าควันไฟให้หมดจดเหล่านี้ก็เอาอยู่ ปัญหาคราบเขม่าควันไฟไม่ได้แค่เปื้อนดำพื้นผิววัสดุเท่านั้น แต่กลิ่นเขม่าควันจาง ๆ ก็ยังติดอยู่บนเสื้อผ้าและวัสดุต่าง ๆ อย่างฝังแน่น ทำเอาแม่บ้านหลายคนกุมขมับกับการขจัดทั้งคราบและกลิ่นเขม่าควันไฟที่ติดบนเสื้อผ้า โซฟา ผ้าม่านกันเป็นแถว แต่ปัญหาคราบเขม่าควันเปื้อนดำก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนะคะ เพราะเพียงแค่เจอวิธีขจัดคราบเขม่าควันไฟเหล่านี้ของเราเท่านั้น รับรองเลยว่าทั้งคราบและรอยเปื้อนดำของเขม่าควันไฟที่ติดฝังแน่นอยู่บนวัสดุไหนก็ตาม จะต้องยอมแพ้และจางหายไปในที่สุด 1.ผ้าที่ไม่สามารถซักล้างได้ ก็ขจัดคราบเขม่าได้ สำหรับผ้าที่ไม่สามารถซักล้างได้ เช่น ผ้าขนสัตว์, กำมะหยี่, ผ้าอะซิเตท, ผ้าไหม, ไฟเบอร์กลาส, ผ้าเรยอน, พรมขนสัตว์ และพรมเส้นใยสังเคราะห์ ให้เริ่มกำจัดคราบเขม่าควันติดฝังแน่นด้วยการใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดเช็ดให้ทั่วรอยเปื้อน จากนั้นโรยผงซักฟอกลงไปบาง ๆ ให้ทั่วบริเวณ ตามด้วยใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดคลุมทับไว้ หมั่นคอยเปิดผ้าคลุมดูทุก ๆ 5 นาที หากผ้าคลุมเริ่มซับคราบเปื้อนออกมาได้มากแล้วให้เปลี่ยนผ้าคลุมผืนใหม่โดยด่วน แต่สำหรับคราบเขม่าควันที่ดื้อด้าน ฝังแน่นไม่ยอมไปไหน แนะนำให้หยดแอมโมเนียลงไปสลายคราบดำประมาณ 2-3 หยด (ยกเว้นกับผ้าไหมและผ้าขนสัตว์) แล้วใช้ผ้าชุบน้ำคลุมทับจนกว่าคราบเปื้อนจะจางหายไป ขั้นตอนสุดท้ายให้เช็ดด้วยผ้าชุบน้ำสะอาดอีกครั้ง 2.ผ้าที่สามารถซักล้างได้ ขจัดคราบเขม่าได้ง่ายกว่า ถ้าคราบเขม่าควันเปื้อนผ้าที่สามารถซักล้างได้ เช่น ผ้าอะคริลิค, ผ้าฝ้าย, ผ้าลินิน, ไนลอน และโพลีเอสเตอร์ สามารถกำจัดได้ง่าย ๆ แค่ใช้น้ำล้างทันทีที่เกิดคราบ แต่หากคราบเปื้อนฝังแน่นอยู่นานแล้ว ให้คุณโรยผงซักฟอกหรือน้ำยากำจัดคราบลงไป จากนั้นทับด้วยผ้าชุบน้ำสักพัก สำหรับคราบเปื้อนฝังแน่นมาก อาจเพิ่มแอมโมเนียลงไปผสมกับน้ำยากำจัดคราบสัก 2-3 หยดก็ได้ ทิ้งไว้สักพักเพื่อให้น้ำยาสลายคราบเขม่าควัน ก่อนจะนำผ้าไปซักและตากแห้งตามปกติ 3.ขจัดคราบเขม่าที่ติดผิววัสดุเนื้อแข็ง นอกจากเนื้อผ้าแล้ว คราบเขม่าก็อาจไประรานวัสดุเนื้อแข็งอย่างพลาสติก, เซรามิก, แก้ว, กระเบื้อง, ยูรีเทน, พอร์ซเลน, สเตนเลส และผ้าไวนิลได้เหมือนกัน ซึ่งวิธีกำจัดคราบเขม่าควันออกจากวัสดุเนื้อแข็งก็ทำได้ง่ายเว่อร์ เพียงแค่ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเกือบร้อนมาเช็ดทำความสะอาดคราบเปื้อนจากเขม่าควันไฟ จากนั้นเช็ดด้วยผ้าแห้งอีกสักครั้งก็เรียบร้อยจ้า 4.วัสดุก่อสร้าง ขจัดคราบเขม่าได้ง่าย สำหรับคราบเขม่าควันบนวัสดุก่อสร้างอย่างอิฐ, หิน, ดินเผา, ปูน และกระเบื้อง ให้คุณผสมน้ำยาขจัดคราบชนิดใดก็ได้ในปริมาณ ½ ถ้วยตวงต่อน้ำสะอาด 1 แกลลอน จากนั้นนำมาล้างคราบเขม่าควันโดยจะใช้ฟองน้ำหรือแปรงขัดเป็นอุปกรณ์เสริมก็แล้วแต่สะดวก เสร็จแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดเพื่อเก็บงานอีกครั้งเป็นอันเรียบร้อย 5.ขจัดคราบเขม่าบนหนังและหนังกลับเนื้อนิ่ม ผสมสบู่สูตรอ่อนโยนกับน้ำอุ่นจัด ตีจนเกิดฟองสบู่หนานุ่ม แล้วจึงนำฟองสบู่ที่ได้มาป้ายลงบนรอยเปื้อน จากนั้นใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์หรือฟองน้ำเช็ดกำจัดคราบอย่างเบามือ ตามด้วยใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดล้างคราบสกปรกทุกอย่างออกให้หมดจด แล้วตากลมให้แห้งสนิท 6.ขจัดคราบเขม่าบนผิวไม้  ปกติแล้วไม้กับไฟเป็นของที่ใกล้กันไม่ได้ แต่หากไม้ของคุณถูกไฟไหม้จนเกิดรอยเขม่าควันไฟ ให้รีบใช้ผ้าชุบฟองสบู่มาเช็ดทำความสะอาดเนื้อไม้โดยด่วน จากนั้นจึงเช็ดทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำธรรมดาอีกครั้ง พร้อมทั้งเช็ดให้แห้งด้วยผ้านิ่มและขัดแว๊กซ์เคลือบเนื้อไม้ปิดท้าย นอกจากการขจัดคราบเขม่า ยังมีเทคนิคทำความสะอาดบ้านต่างๆ เทคนิคทำความสะอาดบ้านแบบง๊ายง่าย ห่างไกล “ภูมิแพ้” วิธีทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ไม้แบบง่ายๆ การดูแลทำความสะอาดพื้นลามิเนต ทำความสะอาดโซฟาผ้า ไม่ยากอย่างที่คิด  
การจัดห้องน้ำให้ถูกหลักฮวงจุ้ย

การจัดห้องน้ำให้ถูกหลักฮวงจุ้ย

การจะจัดห้องน้ำให้ถูกหลักฮวงจุ้ย มีหลักการดังนี้ครับ   1. อย่าวางตำแหน่งห้องน้ำไว้ใกล้ประตูบ้านมากเกินไป เพราะโดยทั่วไปซินแสจะจัดให้ประตูบ้านของท่านรับกับพลังงานที่ดีประจำยุค (ยุคปัจจุบันคือยุคที่ 8 ปี พศ.2547-2567 ในฮวงจุ้ยระบบดาวเหิน หรือ Xuan Kong Flying Star) ดังนั้นหากห้องน้ำมาอยู่ใกล้ประตูหน้าของบ้านมากเกินไป จะเป็นตัวดูดกระแสโชคเข้าไปที่ห้องน้ำและไหลออกไปทั้งหมด เป็นที่มาของการเสียหายทางด้านโชคลาภและความเจริญรุ่งเรือง   หากจำเป็นต้องวางตำแหน่งห้องน้ำไว้ใกล้ประตูหน้าบ้านจริงๆ ก็ขอให้อย่าหันหน้าชนกับประตูหน้าบ้านโดยตรงนะครับ เพราะสภาวะของกระแสไหลออกจะได้ไม่รุนแรง หรือ หากจำเป็นต้องวางห้องน้ำให้ใกล้ประตูหน้าจริงๆ และยังต้องหันหน้าชนประตู ก็จำเป็นต้องบังคับตัวเองให้ปิดประตูห้องน้ำทุกๆครั้งที่เราไม่ใช้งานครับและก็ควรจะใช้ประตูห้องน้ำที่เป็นลักษณะบานทึบเพื่อกันให้กระแสอากาศไหลเข้าไปในห้องน้ำได้น้อยที่สุดครับ ส่วนการวางตำแหน่งของห้องน้ำที่ดีที่สุดหากเลือกได้ จะพยายามวางให้มองไม่เห็นประตูห้องน้ำจากตำแหน่งของประตูเข้าบ้าน   2. วางตำแหน่งห้องน้ำไว้ให้อยู่ในส่วนที่มีพลังงานที่ไม่ดีสะสมอยู่ สำหรับซินแสที่มีความสามารถและประสบการณ์ มักจะเลือกวางตำแหน่งห้องน้ำให้ตรงกับจุดที่มีพลังงานที่ไม่ดีของฮวงจุ้ยในระบบดาวเหิน เนื่องจากรู้ว่าห้องน้ำมีสภาวะการไหลออกของกระแสอยู่ตลอดเวลา หากเราสามารถเลือกตำแหน่งห้องน้ำให้ตรงกับพลังงานที่ไม่ดี ก็จะนำพาพลังงานที่ไม่ดีดังกล่าวออกไปได้มากเป็นพิเศษด้วย เรียกว่าเป็นการใช้ห้องน้ำให้เป็นประโยชน์ได้ดีมากๆเลยครับ   3. ไม่ควรหันหัวสุขภัณฑ์หนัก อ่างล้างหน้า หรือ ฝักบัว ให้ชนกับหัวเตียง โดยไม่สนใจว่าจะเป็นห้องน้ำในห้องนอนเราหรือห้องน้ำของห้องคนอื่นๆในบ้านนะครับ เนื่องจากเมื่อมีการใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวจะเกิดเสียงและโดยเฉพาะสุขภัณฑ์หนักนั้นการใช้งานจะก่อให้เกิดประจุ “อิออนบวก” ซึ่งจะเข้ามารบกวนการทำงานของร่างกายเราได้ ดังนั้นหากเรานอนหันหัวเตียงเข้าหาอุปกรณ์ดังกล่าวก็ถือว่าเป็นข้อเสียต่อสุขภาพมากทีเดียวครับ หรือหากให้ดีไปกว่านั้นเราจะพิจารณาว่าเตียงที่หันหัวนอนชนผนังผืนเดียวกับอุปกรณ์ดังกล่าวก็ผิดหลักฮวงจุ้ยด้วยเช่นเดียวกันครับ   4. ห้องน้ำควรวางไว้ในตำแหน่งที่ใกล้กับผนังด้านนอกบ้านหรือมีแสงสว่างเพียงพอ เพราะห้องน้ำเป็นห้องที่มีความชื้นสูง เป็นที่สะสมของเชื้อโรค หากเราไม่วางห้องน้ำไว้ในตำแหน่งที่มีอากาศถ่ายเท ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีแสงแดดเข้า ก็จะยิ่งทำให้มีความชื้นสูงมากขึ้นไปอีก เป็นที่มีความสุขภาพที่ไม่ดีได้ครับ โดยสำหรับห้องน้ำที่ไม่มีส่วนเปียกหรือส่วนอาบน้ำ จะไม่พิจารณาว่าหลักการนี้มีความสำคัญมากนักครับ   5. ประตูห้องน้ำไม่ควรชนเตียงนอน พิจารณาหลักการข้อนี้สำหรับห้องนอนที่นอนมากกว่าหนึ่งคนครับ เพราะหากมีการเปิดปิดประตูห้องน้ำเมื่อใช้งานเมื่อไร ก็จะมีการรบกวนการนอนของผู้ที่นอนอยู่ได้ครับ จะเป็นที่มีของการรบกวนการนอน ทำให้สุขภาพไม่ดี  
6 วิธีประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อน

6 วิธีประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อน

วิธีประหยัดค่าไฟ วิธีประหยัดค่าไฟบ้าน ไม่ได้ทำยากอย่างที่คิดนะคะ เพราะแม้อากาศจะร้อนขึ้นทุกวัน ๆ แต่ถ้าเราอยากจะลดค่าไฟบ้านในช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ต้องรีบไปดูทริคประหยัดไฟด่วน ด้วยอุณภูมิของอากาศที่พุ่งสูงขึ้นแบบไม่ปรึกษาเทอร์โมมิเตอร์กันสักนิด เลยทำให้อุณหภูมิภายในบ้านของเราร้อนตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ และในเมื่อร้อนจนเหงื่อแตกพลั่ก จะไม่เปิดแอร์ หรือเร่งพัดลมให้เป็นเบอร์ที่แรงที่สุดก็คงทนไม่ไหวแน่ ๆ แต่ก็เพราะใช้ไฟเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมินี่ล่ะค่ะ ที่ทำให้ค่าไฟตอนสิ้นเดือนเพิ่มขึ้นจนต้องสะดุ้งเบา ๆ ถ้าอย่างนั้นเรามาประหยัดค่าไฟบ้านด้วยวิธีง่าย ๆ ตามนี้ดีกว่า จะได้ไม่ต้องมาปาดเหงื่อซ้ำตอนได้รับบิลค่าไฟ   1. ปรับอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสเสมอ ถึงจะเป็นคำแนะนำที่ฟังกันมาจนชิน แต่หลายคนก็ยังเปิดแอร์ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสอยู่บ่อย ๆ เช่น 22 องศาเซลเซียส เป็นต้น ซึ่งเราก็เข้าใจว่าอากาศมันร้อนจริง ๆ แต่รู้ไหมคะว่า หากคุณคงอุณหภูมิแอร์ให้ไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสได้ล่ะก็ ค่าไฟของคุณจะลดลงไปอีกหลายบาทจนน่าแปลกใจเลยล่ะ ไม่เชื่อลองทำแบบนี้ดูสักเดือนสิ   2. เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า เลิกใช้ซะ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้มานาน มีสภาพเกือบทำงานไม่ไหวแล้ว เป็นตัวเพิ่มกำลังไฟชั้นดีให้บ้านเราอย่างคาดไม่ถึงเลยนะคะ ดังนั้นหากคุณมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อายุการใช้งานเกิน 3 ปีขึ้นไป ต้องหมั่นตรวจสอบสภาพการใช้งานของเหล่านี้กันหน่อย หรือถ้าเป็นไปได้ก็เลิกใช้ไปซะน่าจะประหยัดกว่า   3. ทำความสะอาดตู้เย็นให้หมดจด การทำความสะอาดตู้เย็นในที่นี้หมายถึง ให้คุณจัดการเคลียร์อาหารเก่าเก็บ เน่าเสียออกจากตู้เย็นเป็นประจำ รวมทั้งหมั่นกดละลายน้ำแข็ง และทำความสะอาดตู้เย็นไม่ให้มีคราบสกปรกด้วย เนื่องจากตู้เย็นที่เต็มไปด้วยของมากมาย แถมยังไม่ค่อยได้รับการดูแลเท่าที่ควร จะใช้พลังงานมากกว่าปกติอีกหลายเท่า เพิ่มค่าไฟให้สูงขึ้นอย่างไร้ประโยชน์ใด ๆ   4. ถอดปลั๊กทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน หลายคนอาจจะคิดว่า แค่กดปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงกริ๊กเดียว ก็เท่ากับตัดกระแสไฟฟ้าไม่ให้ไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าได้แล้ว แต่จริง ๆ ต้องบอกอย่างนี้ค่ะว่า หากคุณปิดสวิตช์เครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ไม่ได้ถอดปลั๊กไฟ กระแสไฟฟ้าก็ยังคงไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าตามปกติ เพื่อเป็นการสแตนด์บายให้คุณกดเปิดสวิตช์ใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกครั้งได้เลยทันที ฉะนั้นการถอดปลั๊กจึงเป็นวิธีตัดกระแสไฟฟ้าที่ชัวร์ที่สุด โดยเฉพาะเหล่าเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบเปิด-ปิด อัตโนมัติ เมื่อไม่ใช้งานก็ควรต้องถอดปลั๊กทุกครั้งด้วยนะคะ   5. มาใช้หลอดไฟ LED กันเถอะ ด้วยข้อดีที่ช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าหลอดไส้ธรรมดาถึง 80-90% และอายุการใช้งานที่คงทนมากว่า 11 ปี หรือราว ๆ 1 แสนชั่วโมง เลยทำให้หลอดไฟ LED กลายเป็นหลอดไฟที่บ้านสมัยใหม่เลือกใช้เป็นอันดับหนึ่ง และเมื่อได้รู้อย่างนี้แล้ว ก็หันมาใช้หลอดไฟ LED กันน่าจะประหยัดกว่า   6. ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ปริมาณการใช้ไฟน้อย ช่วงเวลาที่ปริมาณการใช้ไฟน้อยจะอยู่ราว ๆ 22.00-06.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนกำลังนอนหลับ และการเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ทำงานในเวลานี้ จะทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้ามีกำลังไฟสำหรับการนำไปใช้งานได้อย่างเต็มที่ การทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าก็จะเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ใช้เวลาในการทำงานน้อยลง ประหยัดไฟบ้านได้อีกหลายบาทเชียวล่ะ ค่าไฟจะมากหรือจะน้อย ไม่ได้อยู่ที่ประสิทธิภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของเราเองด้วย ดังนั้นนอกจากทำตามคำแนะนำเหล่านี้แล้ว ก็อย่าลืมสอดส่องเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านด้วยนะคะ หากพบเจอว่าปลั๊กตรงไฟเสียบคาไว้ โดยไม่ได้ใช้งาน ก็ให้รีบถอดปลั๊กออกด่วน ๆ เลย เป็นต้น  
กำจัดขนสัตว์จากโซฟาผ้าแค่เรื่องจิ๊บๆ

กำจัดขนสัตว์จากโซฟาผ้าแค่เรื่องจิ๊บๆ

กำจัดขนสัตว์จากโซฟาผ้า แค่เรื่องจิ๊บ ๆ ขนสัตว์ติดโซฟาผ้า กำจัดยังไงดี หลายคนยังไม่รู้วิธีเด็ด ๆ วันนี้เราเลยมีเคล็ดลับกำจัดขนสัตว์จากโซฟาผ้ามาบอกต่อ ถ้าอยากรู้แล้วรีบไปทำความสะอาดขนสัตว์บนโซฟาผ้ากันเลย สำหรับคนรักสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นน้องหมา น้องแมว หรือสัตว์ชนิดอื่น ๆ ก็เชื่อได้เลยว่าต้องเจอปัญหาขนสัตว์ร่วงติดโซฟาแน่ ๆ โดยเฉพาะโซฟ้าผ้าที่กำจัดออกได้ยากเย็น แต่ถ้าคุณกำลังมองหวิธีจัดการกับขนสัตว์ที่ติดโซฟาผ้าอยู่ เราก็มีเคล็ดลับดี ๆ มาแนะนำให้นำทำความสะอาดขนสัตว์ที่ติดอยู่บนโซฟาผ้า และเฟอร์นิเจอร์บุนวมชนิดอื่น ๆ ด้วย 1. เคลียร์พื้นที่ ขั้นตอนแรกให้ใช้เครื่องดูดฝุ่นกำจัดขนสัตว์ออกไปให้ได้มากที่สุดก่อน หรือคุณจะอาศัยแปรงสำหรับหวีขนสัตว์ ที่ยังไม่ได้ใช้มาแปรงเบา ๆ เพื่อเก็บเส้นขนที่ติดอยู่ในโซฟาช่วยอีกแรงก็ได้ 2. ถุงมือยางจุ่มน้ำ เทคนิคพิเศษ เติมน้ำอุณภูมิห้องใส่กะละมังพอประมาณจากนั้นสวมถุงมือยางแล้วจุ่มมือที่สวมถุงมือยางลงในถังน้ำ เสร็จแล้วใช้มือไล่ถูไปตามโซฟา เก็บเศษเส้นขนที่หลงเหลืออยู่ ซึ่งวิธีนี้อาจจะต้องทำซ้ำกันหลาย ๆ ครั้ง 3. ใช้ตัวช่วยกำจัดขน อุปกรณ์ช่วยกำจัดขนสัตว์ที่ติดอยู่บนเฟอร์นิเจอร์บุนวมทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นฟองน้ำกำจัดขนสัตว์ ลูกกลิ้งกำจัดขนสัตว์ หรือแปรงกำจัดขนสัตว์ที่มีขายอยู่ทั่วไปตามร้าน Pet Shop ต่าง ๆ ก็เป็นตัวช่วยที่น่าสนใจ เพราะแต่อุปกรณ์ก็มีสรรพคุณในการกำจัดขนสัตว์ที่แตกต่างกันไป อย่างฟองน้ำก็เหมาะกับพื้นที่ขนาดใหญ่ มีขนสัตว์ติดอยู่บางเบา ๆ ไม่ฝังแน่น ส่วนแปรงและลูกกลิ้ง ก็ใช้กำจัดขนสัตว์ที่ติดฝังแน่นพอประมาณไปจนถึงขั้นติดแน่นฝังลึก ซึ่งความต้องการใช้ของคุณเป็นแบบไหน ก็ลองไปซื้อมาใช้กันดู 4. ซื้อเบาะรองนั่งให้สัตว์เลี้ยง ถ้ามีเบาะนอนเป็นของตัวเอง น้องหมา น้องแมวของเราก็จะไม่ค่อยมายุ่งกับโซฟา หรือเฟอร์นิเจอร์ของมนุษย์สักเท่าไร เพราะมัวแต่ซุกตัวอุ่น ๆ อยู่บนที่นอนของตัวเอง แค่นี้โซฟาของเราก็จะมีโอกาสรอดจากขนสัตว์มากขึ้นแล้วล่ะ 5. เลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่เหมาะสม ไม่เพียงแต่เจ้าของสัตว์เลี้ยงจะต้องหมั่นดูดฝุ่นให้บ้านบ่อย ๆ เท่าที่จะทำได้เท่านั้น แต่ทั้งนี้คุณก็ต้องเลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นที่เหมาะสมด้วย เช่น หากคุณเลี้ยงสัตว์ไม่กี่ตัว มีปัญหาขนสัตว์ติดเฟอร์นิเจอร์ไม่มาก กรณีนี้สามารถใช้เครื่องดูดฝุ่นชนิดมือจับได้เลย แต่หากว่าเลี้ยงสัตว์ไว้หลายตัว และปวดหัวกับปัญหาขนสัตว์ติดโซฟาน่าดู แบบนี้ควรต้องเลือกใช้เครื่องดูดฝุ่นขนาดใหญ่ ที่มีถังเก็บฝุ่นประมาณ 4.5 ลิตรขึ้นไปถึงจะเหมาะ เคล็ดลับกำจัดขนสัตว์ติดโซฟาก็เป็นเค่เรื่องจิ๊บ ๆ ที่ทำได้ง่าย แต่อย่างไรก็ดีหากว่าคุณไม่อยากเสียเวลากำจัดขนสัตว์อีกต่อไป ถ้าเป็นไปได้ให้แบ่งโซนสำหรับสัตว์เลี้ยงไปเลยดีกว่า แยกให้เป็นสัดส่วนแบบนี้ จะได้หมดปัญหาสัตว์ติดเฟอร์นิเจอร์อีกต่อไปจ้า
เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดกินไฟแค่ไหน

เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดกินไฟแค่ไหน

เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิด กินไฟแค่ไหนมาดูกัน ! เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เราใช้งานกันอยู่ในบ้าน แต่ละชนิดก็ใช้พลังงานแตกต่างกันออกไป แล้วคุณรู้หรือไม่ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดไหน กินไฟเท่าไหร่กันบ้าง แน่นอนว่าเครื่องใช้ไฟฟ้า คืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต เพราะทุกบ้านก็ต้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่มากมายหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น พัดลม แอร์ โทรทัศน์ ตู้เย็น หม้อหุงข้าว หรือแม้กระทั่งไฟส่องสว่าง ก็ล้วนแล้วแต่ต้องใช้พลังงานที่ถูกคำนวณออกมาเป็นค่าไฟทั้งสิ้น วันนี้กระปุกดอทคอมจึงมีความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับการใช้ไฟมาฝากกัน แต่ละชนิดใช้ไฟเปลืองแค่ไหน ลองไปดูแล้วเตรียมตัวประหยัดไฟให้ถูกจุดกันจ้า   กิโลวัตต์ คืออะไร การใช้ไฟฟ้าเรามักจะเห็นคิดค่ากำลังไฟกันเป็น กิโลวัตต์ ซึ่งก็คือแรงเทียน หรือกำลังไฟฟ้าที่ใช้งานไปนั่นเอง (1 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง = 1,000 วัตต์) หากมีจำนวนวัตต์มากก็จะยิ่งเปลืองไฟมาก ซึ่ง 1 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง จะเท่ากับ 1 ยูนิตหรือ 1 หน่วย ตามบิลค่าไฟฟ้า ตัวอย่างเช่น   ในบ้านมีหลอดไฟจำนวน 100 วัตต์ 10 หลอด เท่ากับ 100x10 = 1,000 วัตต์ (1 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง) ถ้าเปิดไฟทั้ง 10 ดวง นาน 2 ชั่วโมง เท่ากับ 1,000x2 = 2,000 วัตต์ (2 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง) ดังนั้น 2 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง = 2 ยูนิต หรือ 2 หน่วย ตามบิลค่าไฟฟ้า   เครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละชนิดใช้ไฟกี่วัตต์ พัดลมตั้งพื้น 45-75 วัตต์ พัดลมเพดาน 70-104 วัตต์ หม้อหุงข้าวไฟฟ้า 500-1,000 วัตต์ เครื่องปิ้งขนมปัง 600-1,000 วัตต์ ไดร์เป่าผม 300-1,300 วัตต์ เตารีดไฟฟ้า 430-1,600 วัตต์ เครื่องทำน้ำอุ่น 900-4,800 วัตต์ เครื่องซักผ้า 250-2,000 วัตต์ ตู้เย็น (2-12 คิว) 53-194 วัตต์ แอร์ 680-3,300 วัตต์ เครื่องดูดฝุ่น 625-1,000 วัตต์ เตาไฟฟ้าแบบเดี่ยว 300-1,500 วัตต์ โทรทัศน์สี 43-95 วัตต์ เครื่องอบผ้า 650-2,500 วัตต์   ได้รู้จักกับข้อมูลการใช้ไฟครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ไปแล้ว ก็อย่าลืมเลือกปิด-เปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า กันอย่างเหมาะสมด้วยนะคะ จะได้ประหยัดค่าไฟในบ้านให้ลดน้อยลงได้ ชิ้นไหนไม่ได้ใช้งานก็ถอดปลั๊กให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้มีกระแสไฟปล่อยออกมา หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นไหนกินไฟหนัก ๆ ก็หลีกเลี่ยงไปใช้วิธีอื่นที่ประหยัดกว่าแทน เช่น กวาดบ้านด้วยไม้กวาดแทนเครื่องดูดฝุ่น หรือไม่เปิดเครื่องทำน้ำอุ่นถ้าไม่จำเป็น เป็นต้นจ้า

1 ... 10 11 12 13