ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 2 3 ... 104
[PR] didacta asia 2024 เปิดเวทีการศึกษาครั้งใหญ่ ดึงเหล่ากูรูไทย-เทศ ถกมุมมองนำเสนอนวัตกรรมการศึกษาแห่งอนาคต

[PR] didacta asia 2024 เปิดเวทีการศึกษาครั้งใหญ่ ดึงเหล่ากูรูไทย-เทศ ถกมุมมองนำเสนอนวัตกรรมการศึกษาแห่งอนาคต

didacta asia 2024 พร้อมเปิดฉากงานมหกรรมการศึกษาครั้งยิ่งใหญ่ ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมพลิกโฉมอนาคตการศึกษาไทยสู่สากล ระดมนักวิชาการ-ผู้ทรงคุณวุฒิ ชั้นนำทั้งไทย และต่างประเทศ ขึ้นเวทีเสวนาแลกเปลี่บนมุมมอง นโยบายการศึกษา เดินหน้าพัฒนาครู บุคลากรทางการศึกษา ชูนวัตกรรมการเรียนรู้ใหม่ๆ ผ่านการจัดงานแสดงสินค้า พร้อมรองรับวิวัฒนาการการเปลี่ยนแปลงของโลกการศึกษาแห่งอนาคต   นายฮันส์ สโตเตอร์ กรรมการผู้จัดการประจำเอเชียและจีน ของ Messe Stuttgart – ผู้จัดงาน didacta asia กล่าวว่า ในยุคปัจจุบันการศึกษามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การมีความเข้าใจมุมมองใหม่ รู้จักปรับความรู้ ทักษะ ให้เท่าทันความก้าวหน้า และความเปลี่ยนแปลงของโลก จะเป็นการช่วยเปิดโอกาสให้ผู้คน สังคม รวมไปถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจมีความก้าวหน้าจากนวัตกรรมความเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาที่เกิดขึ้น และเพื่อเป็นการยกระดับแลกเปลี่ยนความรู้และนวัตกรรมทางการศึกษาให้แก่สถาบันการศึกษา  ครู อาจารย์ ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้ให้บริการเทคโนโลยีด้านการเรียนการสอน สมาคมการศึกษาและผู้นำด้านการจัดงานแสดงสินค้าจากประเทศเยอรมันนำโดย Didacta Association, Koelnmesse Thailand / Expolink Global Network Ltd. และ Messe Stuttgart ได้เตรียมจัดงาน didacta asia 2024 ครั้งใหญ่ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้าง พร้อมผลักดันระบบการศึกษาทุกระดับให้มีประสิทธิภาพสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างมีคุณภาพทั้งในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชีย     สำหรับงาน didacta asia 2024 จะจัดขึ้นหว่างวันที่ 16 - 18 ตุลาคม 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ภายใต้แนวคิด Shaping the Future Skills มุ่งเน้นแนวคิด สร้างทักษะเพื่ออนาคต ด้วยการเน้นใช้เทคโนโลยีมายกระดับการเรียนการสอน และพัฒนาการเรียนรู้ในทุกระดับการศึกษา ผสานกับการเรียนการสอนยุคใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และคุณภาพของการศึกษาในภูมิภาค โดยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานการศึกษาในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ในรูปแบบการจัดประชุมระดับนานาชาติ (didacta asia congress), การเปิดเวทีให้บุคลากรทางการศึกษา และผู้มีส่วนร่วม เข้ามาแบ่งปันประสบการณ์ ร่วมพัฒนาการศึกษาแห่งอนาคต จากผู้นำในวงการการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ (didacta asia Forum), การจัดมหกรรมแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา นำเสนอนวัตกรรม โซลูชัน ใหม่ๆ ให้ทดลองใช้ พร้อมจำหน่ายในราคาพิเศษ บนพื้นที่จัดแสดงกว่า 1,500 ตารางเมตร รวมถึงพาวิลเลียนพิเศษจากประเทศเยอรมนี ฮ่องกง จีน และเกาหลีใต้ เป็นต้น (didacta Trade Fair & International Pavilions) และการจัดแข่งขันการควบคุมหุ่นยนต์ ด้วยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ครั้งที่ 3 ชิงถ้วยพระราชทานฯ ในระดับอุดมศึกษา และ อาชีวศึกษา (Skill Competition)     “didacta asia 2024 นับว่าเป็นการจัดขึ้นมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นการจัดครั้งแรก ภายใต้ชื่อ didacta asia ในประเทศไทย ที่มีการรวมบุคลากรด้านการศึกษามากมายมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง แนวคิด พร้อมยกระดับการศึกษาทั้งในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในทุกๆ ระดับการศึกษา ได้นำไปปรับใช้ให้ทันต่อโลกของการเปลี่ยนแปลง” นายฮันส์ กล่าว   ทั้งนี้ภายในงานยังมีหัวข้อการสัมมนามากมายที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเวทีระดับรัฐมนตรี ในหัวข้อ นโยบายการศึกษาเท่าเทียมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บรรยายโดย ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีมีโอ) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชน และกีฬา กัมพูชา, เวทีเสวนา European-Asian-Pacific Dialogue Forum โดย ภาคีหน่วยงานอาชีวศึกษาจากเยอรมนี ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ใน หัวข้อหลัก ความท้าทายในการพัฒนาการศึกษา และการฝึกอบรมวิชาชีพให้มีความยืดหยุ่น ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพ โดยถอดบทเรียนจากการเข้าไปช่วยฝึกสอนจริงในหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บัลกาเรีย และเซอร์เบีย นอกจากนี้ยังมีการเสวนาในเรื่อง AI หรือครู ใครเก่งกว่ากัน จากผู้ทรงคุณวุฒิของประเทศไทย อาทิ เลาขาธิการคุรุสภา ผู้อำนวยการศูนย์ภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเคิร์ฟ จำกัด และ นายกสมาคมเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา และเสวนาปั้นอนาคตด้วย AI: เพิ่มหลักสูตรพลิกเกมในการศึกษาระบบ K-12 โดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) โดยปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่กำลังจะกลายเป็นหลักสูตรใหม่ที่จะเตรียมความพร้อมให้เด็กๆ ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้เรียนรู้พื้นฐานและการประยุกต์ใช้ AI ในชีวิตจริงอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้ก้าวทันเข้าสู่โลกเทคโนโลยีอย่างมั่นใจ ทั้งยังได้ฝึกเป็นนักคิด นักพัฒนา และผู้ใช้เทคโนโลยีที่รับผิดชอบต่อสังคม     อย่างไรก็ตามจากความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่ร่วมกันจัดงาน didacta asia 2024 ในครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและบริษัทเทคโนโลยี รวมถึงการเพิ่มความรู้และทักษะให้กับผู้เข้าร่วมในด้านการนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ในการศึกษา พร้อมการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาและการนำไปใช้ในวงการศึกษาในภูมิภาคเอเชีย และสร้างการรับรู้และขยายตลาดทางการศึกษาสำหรับผู้ประกอบการ ในอนาคตได้อย่างยั่งยืนต่อไป    
AWC เปิดตัว “EA” (เอ-ญ่า) แลนด์มาร์กใหม่ให้ประเทศไทย-ไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ ณ “เอ็มไพร์”

AWC เปิดตัว “EA” (เอ-ญ่า) แลนด์มาร์กใหม่ให้ประเทศไทย-ไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ ณ “เอ็มไพร์”

AWC เปิดตัว “EA” (เอ-ญ่า) เป็นแลนด์มาร์กใหม่ให้ประเทศไทยแล้ว สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกบนไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ ณ “เอ็มไพร์” ต้อนรับทุกคนร่วมสัมผัสไลฟ์สไตล์เดสติเนชั่นสุดพิเศษ   บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร สร้างปรากฎการณ์ระดับโลกเปิดตัว “EA” Rooftop at The Empire (เอ-ญ่า รูฟทอป แอท ดิ เอ็มไพร์) อย่างยิ่งใหญ่แล้ววันนี้ กับแลนด์มาร์กด้านการท่องเที่ยวแห่งใหม่ของประเทศไทย (Landmark Destination of Thailand) ที่รวม Top Cuisine ชั้นนำระดับเวิล์ดคลาสมาสู่รูฟทอปที่วิวสวยที่สุดในกรุงเทพฯ ทั้ง “Nobu Bangkok” (โนบุ แบงค๊อก) กับเชฟระดับตำนาน เชฟโนบุ มัตสึฮิสะ เปิดห้องอาหาร Nobu สูงที่สุดในโลก รวมถึง “EA CHEF'S TABLE” (เอ-ญ่า เชฟ เทเบิล) สัมผัสประสบการณ์เชฟเทเบิลจาก 3 เชฟระดับมิชลินสตาร์ กับห้องอาหารไทยบนรูฟทอปแห่งแรกของโลกโดยเชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร ห้องอาหารในต่างประเทศแห่งแรกของเชฟวิคกี้ เชง และห้องอาหารอิตาเลียนคลาสสิกร่วมสมัยโดยเชฟเปาโล อายราวโด และ “EA Gallery” (เอ-ญ่า แกลลอรี) แหล่งรวมไลฟ์สไตล์ร้านอาหารและคาเฟ่ชั้นนำ พร้อมเชิญชวนคนไทย นักท่องเที่ยว นักชิม ร่วมสัมผัสประสบการณ์ระดับโลกกับจุดหมายปลายทางแห่งไลฟ์สไตล์เหนือระดับ และอีกหนึ่งจุดเช็คอินห้ามพลาดบนไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพของเส้นขอบฟ้าและคุ้งน้ำเจ้าพระยาอันงดงามทั้งกลางวันและกลางคืนแบบ 360 องศา ณ “เอ็มไพร์” อาคารสำนักงานแบบไลฟ์สไตล์ระดับแฟลกชิปของ AWC บนพื้นที่ยุทธศาสตร์ใจกลางพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญย่านสาทร ภายใต้แนวคิด “Celebrating The World’s Newest Horizon” ร่วมสร้างมิติใหม่ให้กับวงการอาหารและการท่องเที่ยวของไทย พร้อมสนับสนุนกรุงเทพฯ ในฐานะศูนย์กลางด้านอาหารและการท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก     นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “AWC มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัว ‘EA’ Rooftop at The Empire ไลฟ์สไตล์เดสติเนชั่นบนรูฟทอปของ ‘เอ็มไพร์’ โครงการระดับแฟลกชิปของ AWC อย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ครอบคลุมพื้นที่รวมกว่า 10,000 ตร.ม. เพื่อเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของประเทศไทย นำประสบการณ์ด้านอาหารและไลฟ์สไตล์ระดับโลกแห่งใหม่มาสู่นครหลวงด้านการท่องเที่ยวอย่างกรุงเทพฯ โดยได้ร่วมมือกับคาเฟ่ ห้องอาหาร เชฟระดับตำนาน และเชฟระดับมิชลินสตาร์ มาร่วมสร้างสรรค์ประสบการณ์ของการรับประทานอาหารเหนือระดับผ่านสุนทรียรส การตกแต่งอันหรูหรา และวิวพาโนรามาของกรุงเทพฯ จากมุมสูงที่ไม่มีใครเหมือน AWC มั่นใจว่า ‘EA’ จะสร้างปรากฎการณ์ใหม่ด้านอาหารและเครื่องดื่มบนรูฟทอป (F&B Rooftop Destination) ที่โดดเด่นและควรค่าแก่การมาเยือนให้กับกรุงเทพฯที่ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ไม่ควรพลาด เพื่อร่วมสนับสนุนการท่องเที่ยวของประเทศในภาพรวม รวมถึงสร้างมิติใหม่ให้กับแวดวงอาหารและเครื่องดื่มของไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก สอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทฯ ที่ต้องการสร้างมาตรฐานและสร้างโอกาสใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยอย่างยั่งยืน รวมถึงขอขอบคุณโรงแรม แบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค พันธมิตรหลักที่มาร่วมสร้างสรรค์โครงการนี้ รวมถึงดูแลระบบการจัดการและการให้บริการของห้องอาหารต่างๆ ภายในโครงการ ‘EA’ อีกด้วย” สัมผัสประสบการณ์เหนือระดับที่ “Nobu Bangkok” ห้องอาหาร Nobu ที่สูงที่สุดในโลก “Nobu Bangkok” ห้องอาหาร Nobu ที่สูงที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 3 ชั้น รวมถึงชั้นดาดฟ้าของ “เอ็มไพร์” นำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ผสานศิลปะการทำอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมเข้ากับอิทธิพลด้านอาหารจากเปรู โดยเชฟระดับตำนานอย่างเชฟโนบุ มัตสึฮิสะ พร้อมด้วยวิวพาโนรามาอันงดงามของกรุงเทพฯ ทั้งกลางวันและกลางคืน ที่จะมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารอันน่าประทับใจเหนือระดับให้กับผู้มาเยือน ด้วยการบริการชั้นเลิศและเมนูอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ ที่เชฟโนบุได้รังสรรค์เมนูอันโดดเด่นผ่านทักษะความเป็นเลิศด้านการทำอาหาร พร้อมได้รับการออกแบบอย่างงดงามโดยบริษัทออกแบบระดับโลก Rockwell Group ด้วยแรงบันดาลใจจากสุนทรียะศิลปะแบบไทยและญี่ปุ่นที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เพื่อช่วยสร้างสรรค์ช่วงเวลาอันน่าจดจำให้กับมื้อสำคัญ หรือค่ำคืนอันน่าประทับใจ กับประสบการณ์สุดพิเศษที่จะยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้มาเยือนไปอีกยาวนาน   “EA CHEF’S TABLE” รวมห้องอาหารโดยเชฟมิชลินสตาร์ “EA CHEF’S TABLE” ตั้งอยู่บนชั้น 56 ของ “เอ็มไพร์” รวม 3 ห้องอาหาร 3 สัญชาติ จาก 3 เชฟระดับมิชลินสตาร์ นับเป็นเชฟเทเบิลที่สูงที่สุดในประเทศไทย นำเสนอไลฟ์สไตล์การกินดื่มเหนือระดับอย่างมีเอกลักษณ์ ท่ามกลางวิวพาโนรามาของกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ประกอบด้วย   “Le Du Kaan” การเดินทางผ่านหลากหลายฤดูกาลของวัฒนธรรมและอาหารไทย  ห้องอาหาร “Le Du Kaan” (ฤดูกาล) โดยเชฟระดับมิชลินสตาร์ เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร ถือเป็นห้องอาหารไทยโดยเชฟมิชลินสตาร์บนรูฟทอปแห่งแรกของโลก นำเสนอเมนูอาหารที่ผสมผสานอาหารไทยร่วมสมัยเข้ากับศิลปะการเล่าเรื่องอย่างมีเอกลักษณ์ เพื่อทำให้ทุกๆ จานเป็นเสมือนการเฉลิมฉลองวัฒนธรรมอันรุ่มรวย และวัตถุดิบคุณภาพในท้องถิ่นอันโดดเด่นที่คัดสรรมาจากชาวนาและชาวประมงไทยโดยตรง พร้อมการตกแต่งอย่างหรูหราราวกับงานศิลปะบนจานอาหาร ภายในร้านประกอบไปด้วยโซนรับประทานอาหารหลากหลายสไตล์รวมถึง บาร์เลานจ์ในร่มสุดชิค บาร์กลางแจ้งสีสันสดใส และพื้นที่ระเบียงกลางแจ้งขนาดใหญ่ เพื่อเป็นพื้นที่อันสมบูรณ์แบบในการชมพระอาทิตย์ตกดินเหนือกรุงเทพมหานคร  เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร กล่าวว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘EA’ ในฐานะห้องอาหารไทยบนรูฟทอปแห่งแรกของโลก การร่วมงานในครั้งนี้ถือเป็นการเดินทางสู่ฤดูกาลใหม่ในจุดหมายปลายทางแห่งใหม่อันเป็นเอกลักษณ์ ร่วมกับเชฟระดับมิชลินสตาร์ที่มีชื่อเสียงจากหลากหลายสัญชาติที่ได้มาร่วมกันอย่างยิ่งใหญ่ ณ EA CHEF’S TABLE ซึ่งจะช่วยสร้างสรรค์ประสบการณ์การรับประทานอาหารที่สุดพิเศษให้กับผู้ที่มาเยือน โดยเฉพาะเมนู ‘กะเพราเนื้อหม้อไฟ’ ที่ได้รับการรังสรรค์มาโดยเฉพาะสำหรับห้องอาหาร ‘Le Du Kaan’ เพื่อมอบความประทับใจและประสบการณ์สุดพิเศษที่ไม่เหมือนใคร”         “K by Vicky Cheng” ผลงานชิ้นเอกของอาหารจีนร่วมสมัย และห้องอาหารจีนสาขาแรกในต่างแดนของเชฟวิคกี้ ลิ้มรสอาหารจีนร่วมสมัยจากเชฟระดับมิชลินสตาร์ เชฟวิคกี้ เชง ได้ง่ายยิ่งขึ้นที่ ห้องอาหาร “K by Vicky Cheng” (เคย์ บาย วิคกี้ เชง) ห้องอาหารในต่างประเทศแห่งแรกของเชฟวิคกี้ ที่จะมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารจีนร่วมสมัยที่ไม่มีใครเหมือนผ่านการผสมผสานรสชาติแบบดั้งเดิม ผนวกกับแนวคิดด้านอาหารที่มีเอกลักษณ์จากแรงบันดาลใจของภูมิปัญญาโบราณของ 24 ภาวะตามปฏิทินจีนเข้ากับการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล เพื่อดึงความโดดเด่นของวัตถุดิบที่ดีที่สุดในแต่ฤดู ภายในห้องอาหารได้รับการออกแบบอย่างโดดเด่นด้วยโทนสีแดงเบอร์กันดีเข้มและศิลปะแบบจีน สะท้อนถึงความเคารพต่อมรดกแห่งอดีตและการโอบรับความทันสมัยของปัจจุบัน รวมถึงลวดลายกิเลนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอายุที่ยืนยาวและความมั่งคั่ง เชฟวิคกี้ เชง กล่าวว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่งที่วันนี้ได้เปิดห้องอาหารในต่างประเทศแห่งแรกของผมที่ ‘EA’ ด้วยความเชื่อมั่นในวิถีแห่งการรับประทานอาหารของคนไทยที่มีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมอาหารจีนในชีวิตประจำวัน ผมหวังว่าเมนูอาหารที่ผมได้สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่นี้ จะมอบความสุขและความเพลิดเพลินให้กับทุกคน และช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างอาหารจีนและวัตถุดิบชั้นเยี่ยมของไทยผ่านมุมองใหม่ ผมมั่นใจว่า ‘K by Vicky Cheng’ จะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เติมเต็มประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่เหมือนใครให้กับทุกท่าน”       “Sartoria by Paulo Airaudo” อิตาเลียนไฟน์ไดนิ่งอันน่าหลงใหล ห้องอาหาร “Sartoria by Paulo Airaudo” (ซาโตเรียอาร์ บาย เปาโล อายราวโด) นำเสนอนิยามใหม่ของเมนูอาหารอิตาเลียนคลาสสิกร่วมสมัยที่ได้รับการรังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถันโดยเชฟระดับมิชลินสตาร์ เชฟเปาโล อายราวโด (Paulo Airaudo) กลั่นกรองจากประสบการณ์การทำอาหารมายาวนาน จากหลายประเทศ หลากวัฒนธรรม เพื่อนำเสนอความหรูหราเหนือระดับด้วยอาหารอิตาเลียนไฟน์ไดนิ่งชั้นสูงจากวัตถุดิบที่ดีที่สุดตามฤดูกาลในแต่ละช่วง คัดสรรจากผู้ผลิตท้องถิ่นที่ดีที่สุดในประเทศไทย พร้อมเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้ชมศิลปะการทำอาหารอย่างใกล้ชิดผ่านครัวแบบเปิด โดยมีทัศนียภาพอันงดงามยามค่ำของกรุงเทพมหานครเป็นฉากหลัง เติมเต็มความสมบูรณ์แบบแห่งช่วงเวลาสุดพิเศษของการรับประทานอาหาร โดยจะพร้อมเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 เชฟเปาโล อายราวโด กล่าวว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสนำเสนออาหารอิตาเลียนแบบไฟน์ไดนิ่งที่ห้องอาหารของผมในกรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นการเปิดห้องอาหารแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของผม ด้วยความตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์สุดพิเศษอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความประทับใจให้กับทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ด้วยเมนูรสเลิศที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นจากมรดกทางวัฒนธรรมของอาหารยุโรป เพื่อมาร่วมเติมเต็มสีสันให้กับจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มแห่งใหม่ที่โครงการระดับโลกอย่าง ‘EA’ ในประเทศไทย”   “EA Gallery” จุดหมายปลายทางด้านไลฟ์สไตล์พร้อมด้วยวิวสุดพิเศษ “EA Gallery” ตั้งอยู่บนชั้น 55 ของ “เอ็มไพร์” ที่ได้เปิดให้บริการตั้งแต่ต้นปี 2567 ที่ผ่านมาและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากมาย นำเสนอความหลากหลายของอาหาร เครื่องดื่ม และความบันเทิงจากร้านอาหาร คาเฟ่ และบาร์ที่มีวิวมุมสูงของกรุงเทพฯ  ประกอบไปด้วย ร้าน % Arabica สาขาที่สูงที่สุดในโลก เพลิดเพลินกับกาแฟหอมกรุ่นพลางดื่มด่ำกับวิวของมหานครเเบบพาโนร่ามาได้ในเวลาเดียวกัน 手qraft (คราฟท์) บริการอาหารเช้าปราณีตสไตล์ตะวันออกร่วมสมัยในคอนเซ็ปต์ ‘oriental brunch’ โดย Peace 和 Oriental Teahouse และ Onggi ร้านอาหารเกาหลีที่คุณสามารถเพลิดเพลินกับ Hanjeongsik ประสบการณ์การทานอาหารแบบเซทต้นตำรับของเกาหลีจากวัตถุดิบไทยกับการหมักแบบเกาหลีดั้งเดิมรวมถึง Invitation Only บาร์ลับบนรูฟทอปที่ให้คุณได้ตื่นตาไปกับวิวกรุงเทพมหานครและเพลิดเพลินไปกับดนตรีสากลย้อนยุค 80s 90s และ 2000 โดยทีมงานจาก The Cassette Music Bar ร่วมชื่นชมแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของประเทศไทย และสัมผัสประสบการณ์การรับประทานอาหารที่สุดพิเศษท่ามกลางทัศนียภาพอันงดงามของกรุงเทพฯ และสายน้ำเจ้าพระยา ณ “EA” ที่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ติดตามข้อมูลของ “EA” ได้ที่ www.empirebuilding.co/th/ea สนใจสำรองที่นั่งห้องอาหาร “Nobu Bangkok” ล่วงหน้าได้ที่ www.noburestaurants.com/bangkok รวมถึง “EA CHEF'S TABLE” สำรองที่นั่งล่วงหน้าสำหรับห้องอาหาร “Le Du Kaan” ได้ที่ www.ledukaan.com และห้องอาหาร “K by Vicky Cheng” ได้ที่ www.kbyvickycheng.com   ข่าวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มีอะไรใหม่ใน เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ หลังทุ่มพันล้านสู่ Co-Living Space เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลาง  
[PR] กลุ่มชาญอิสสระ ดึง KOL ร่วมสร้างคอนเทนต์โปรโมทแคมเปญใหญ่แห่งปี

[PR] กลุ่มชาญอิสสระ ดึง KOL ร่วมสร้างคอนเทนต์โปรโมทแคมเปญใหญ่แห่งปี

กลุ่มชาญอิสสระ นำโดย นางธีราภรณ์ ศรีเจริญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ, นายดิฐวัฒน์ อิสสระกรรมการ และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมจัดงาน ISSARA DAY POWER UP by CHARN ISSARA ชวนเหล่า KOL ร่วมสร้างสรรค์คอนเทนต์ โปรโมทแคมเปญใหญ่แห่งปี CHARN ISSARA POWER UP ซุปเปอร์โปร ซุปเปอร์ดีล แจกรถไฟฟ้าทุกยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.9 ล้านบาท กับ 6 โครงการคุณภาพในเครือ ทั้งในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด ประกอบด้วย โครงการบ้านอิสสระ บางนา, โครงการ ดิ อิสสระ สาทร,โครงการบ้านสีตวัน ปากช่อง-เขาใหญ่, โครงการศศรา หัวหิน, โครงการซาซ่าส์ หัวหิน และ โครงการบลูไดมอนด์ ชะอำ-หัวหิน  โดยเนรมิตโครงการบ้านอิสสระ บางนา ให้เป็นศูนย์กลางในการรวม 6 โครงการคุณภาพที่เข้าร่วมแคมเปญ มาให้ได้สัมผัสถึงบรรยากาศโครงการ และบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของกลุ่มชาญอิสสระ ผ่านโซนกิจกรรมต่างๆ ณ โครงการ บ้านอิสสระ บางนา เมื่อเร็วๆ นี้
CPN ทุ่ม 1.5 หมื่นล้าน พลิกโฉม 4 มิกซ์ยูส และปักหมุดใหม่ “เซ็นทรัล กระบี่”

CPN ทุ่ม 1.5 หมื่นล้าน พลิกโฉม 4 มิกซ์ยูส และปักหมุดใหม่ “เซ็นทรัล กระบี่”

CPN ทุ่ม 1.5 หมื่นล้าน พลิกโฉม 4 มิกซ์ยูส และปักหมุดใหม่ “เซ็นทรัล กระบี่” เซ็นทรัลพัฒนา ผู้นำอสังหาฯไทย ชูกลยุทธ์ ‘The Future-Fluent Transformation’ เดินหน้ามิกซ์ยูสใหม่ภาคใต้และพลิกโฉมมิกซ์ยูสในย่านสำคัญครั้งยิ่งใหญ่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 15,000 ล้านบาท ดันเศรษฐกิจและท่องเที่ยวของประเทศ     ทรานส์ฟอร์มสู่อนาคต ตอกย้ำเป็น Centre of District ของทุกที่สำหรับทุกเจนเนเรชั่น  ปักหมุดมิกซ์ยูสใหม่ยิ่งใหญ่ “เซ็นทรัล กระบี่” ส่งเสริมศักยภาพเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่มีรายได้ท่องเที่ยวมหาศาล, ผู้คนที่มีเอกลักษณ์และหลากหลาย ด้วยไลฟ์สไตล์กำลังซื้อสูง Area of Growth & Area of Affluence พลิกโฉมมิกซ์ยูสแบบ Total Transformation & New Masterplanning ได้แก่ เซ็นทรัล บางนา, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ เพื่อตอบโจทย์กลุ่ม Upper Class และกำลังซื้อสูงแบบย่าน Bangkok CBD พร้อมปั้น เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต เดสติเนชั่นที่ทุกคนต้องมา ตอบรับกำลังซื้อ 3 จังหวัดภาคเหนือ รับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นอย่างล้นหลามจากการขยายสนามบิน / Mega Projects     บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อความยั่งยืน ตอกย้ำความสำเร็จโมเดลธุรกิจ ‘The Ecosystem for All’ เชื่อมโยงทุกธุรกิจทั้ง Retail-Residence-Hotel-Office ประกาศสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ทรานส์ฟอร์มสู่อนาคตด้วยกลยุทธ์ The Future-Fluent Transformation เพื่อพัฒนาย่าน เมือง และประเทศ โดยพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสใหม่และพลิกโฉมโครงการในโลเคชั่นสำคัญต่างๆ รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 15,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการมิกซ์ยูสแห่งใหม่ “เซ็นทรัล กระบี่” มูลค่า 4,500 ล้านบาท เตรียมเปิด Q3/68 และโครงการ Total Transformation & New Masterplanning ของอีก 4 มิกซ์ยูสสำคัญ มูลค่าโครงการมากกว่า 10,000 ล้านบาท ได้แก่ ‘เซ็นทรัล บางนา’ โฉมใหม่ Q1/69, ‘เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า’ โฉมใหม่ Q2/68, ‘เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ’ โฉมใหม่ Q2/68, และ ‘เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต’ โฉมใหม่ Q1/69 ทั้งหมดนี้เพื่อรองรับการขยายตัวของย่านและเมือง ตอบโจทย์ Sophisticated Lifestyle ของลูกค้าที่มีกำลังซื้อและความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ รับชมวิดีโอ คลิก: https://www.youtube.com/watch?v=DYnncAJ4Ra8    นายชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล Chief Development and Commercial Officer บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “เซ็นทรัลพัฒนา พร้อมที่จะทรานส์ฟอร์มสู่อนาคตและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในย่านสำคัญต่างๆ ของกรุงเทพฯ และจังหวัดสำคัญของประเทศ เพื่อตอบโจทย์ Future Consumers โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราเป็นนักพัฒนาที่สร้างสรรค์ Future-Fluent Development ให้กับผู้คน ชุมชน และใส่ใจสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำแนวคิด ‘Centre of Life’ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิต และกระจายความเจริญทั่วประเทศ โดยมีโครงการ Retail-Led Mixed-Use ทั้งหมด 5 โครงการสำคัญที่จะประกาศในวันนี้ ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวมทุกองค์ประกอบทั้งศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย โรงแรม และ Convention Hall รวมกันกว่า 15,000 ล้านบาท นำโดย ‘เซ็นทรัล กระบี่’ โครงการมิกซ์ยูสที่ยิ่งใหญ่แห่งแรกใจกลางกระบี่ และ ยังมีการพลิกโฉมสู่โครงการมิกซ์ยูสแห่งอนาคตครั้งยิ่งใหญ่ในย่านสำคัญต่างๆ แบบ Total Transformation ได้แก่ ‘เซ็นทรัล บางนา’, ‘เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า’, ‘เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ’, และ ‘เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต’ อีกด้วย”   โดยภายในงานแถลงข่าวได้รับเกียรติจากผู้บริหารของเซ็นทรัลพัฒนาร่วมให้วิสัยทัศน์และกลยุทธ นำโดย นายชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล Chief Development and Commercial Officer, ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา Chief Marketing Officer, นายชาตรี โกวิทานุพงศ์ Executive Project Director Regional Development 1 และนายคุณายุธ เดชอุดม Head of Business Development Strategy     เซ็นทรัล กระบี่ มิกซ์ยูสแห่งอนาคต โครงการใหม่ ยิ่งใหญ่แห่งแรกใจกลาง “กระบี่” “เซ็นทรัล กระบี่” (Central Krabi) ด้วยคอนเซ็ปต์ New Haven of Life (Destination | Nature Lifestyle) โครงการมิกซ์ยูสมูลค่าโครงการรวม 4,500 ล้านบาท บนพื้นที่ 114 ไร่ ประกอบด้วย ศูนย์การค้า (GBA: 47,500 sq.m.) เตรียมเปิดให้บริการ Q3/68 และในอนาคต มีแผนที่จะพัฒนาทั้งบ้านระดับพรีเมียม, คอนโดมิเนียม และโรงแรม “กระบี่” จังหวัดท่องเที่ยวศักยภาพสูงของไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลก และมีกำลังซื้อที่แข็งแกร่ง   รายได้การท่องเที่ยวลำดับที่ 6 ของประเทศ และลำดับที่ 3 ของภาคใต้ มีการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยวที่ชัดเจน ในปี 2566 ทำรายได้ 52,500 ล้านบาท และมีจำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาแล้วกว่า 4 ล้านคน อีกทั้งมีแผนขยายสนามบินนานาชาติที่จะสามารถรองรับนักท่องเที่ยว 8 ล้านคนต่อปี จังหวัดกำลังซื้อสูงมี GPP per capita ที่ 190,573 บาทต่อปี คิดเป็นอันดับที่ 4 ของภาคใต้ และการใช้จ่ายต่อครัวเรือนที่สูงติด Top 5 ของประเทศ   High-Quality Catchment Area ประมาณ 480,000 คน จากในเมืองกระบี่และผู้อยู่อาศัยในโครงการบ้านและคอนโดราคาสูงตั้งแต่ 2-10 ล้านบาท ที่มีรวมกว่า 1,000 ยูนิต Extensive Range of Unmet Needs จากความหลากหลายของผู้คน เป็นสังคม ‘Biocultural Harmony’ มีความหลากหลายทั้งเชื้อชาติและศาสนา แต่มีวิถีชีวิตที่อยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน จึงทำให้เกิดความต้องการพื้นที่ในการใช้ชีวิตที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์หลายรูปแบบ โครงการเซ็นทรัล กระบี่จึงคัดสรรไม่ว่าจะเป็น Premium Lifestyle Brands, Food Destination ทั้งอาหารไทย, นานาชาติ และอาหารฮาลาล, Recreation Space พื้นที่สำหรับเด็กและครอบครัว รวมถึง Retail Magnet จากกลุ่มเซ็นทรัลทั้ง Tops, Supersports, Powerbuy, B2S และ Auto1         “เซ็นทรัล กระบี่” ปักหมุดเป็นแลนด์มาร์กที่จะเติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของชาวกระบี่ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ครบตอบโจทย์ทุกกลุ่ม โลเคชั่นที่ดีที่สุด พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วย Tourist Hub ที่ครบวงจร      โดยได้รับการออกแบบ Fully-Integration with Nature แบบ Semi-outdoor สะท้อนธรรมชาติของหมู่เกาะและภูเขาอันเป็นเอกลักษณ์ของกระบี่ และอัตลักษณ์วิถีชุมชน โดดเด่นด้วยกลุ่มอาคารที่นำเอารูปฟอร์มของหมู่เกาะมาออกแบบเป็น Floating Jewel of Krabi พร้อมจุดชมวิวภูเขาแบบพาโนรามิกที่ทุกคนต้องมาเช็คอิน และยังมีโซน Authentic Culture & Product ของกระบี่ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ      นอกจากนี้ ในด้านความยั่งยืนโครงการตั้งเป้าลด Carbon Footprint ตั้งแต่กระบวนการก่อสร้างเพื่อให้ได้ ‘EDGE Certification’ เป็นโครงการแรก นับเป็นอีกระดับของมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมโลก รวมถึงใส่ใจด้าน Energy Savings, Low-Carbon Materials และจับมือกับชุมชนในการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง พร้อมนำขยะจากทะเลและครัวเรือนมา Upcycling อีกด้วย   The District of the Future พลิกโฉมมิกซ์ยูสสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่แห่งอนาคต  ในฐานะผู้นำที่บุกเบิกย่านและเมืองเป็นรายแรก “ศูนย์การค้าเซ็นทรัล” ได้กลายเป็น Centre of District ในปัจจุบัน Affluent Demographic มีความเปลี่ยนแปลง ย่านต่างๆ ขยายเติบโตขึ้น ประชากรมี Sophisticated Lifestyle และกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น จึงมีการพลิกโฉมการพัฒนาโครงการแบบ Total Transformation & New Masterplanning 4 โครงการ ได้แก่ “เซ็นทรัล บางนา” และ “เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า” เป็น 2 ย่านที่ประชากรมีกำลังซื้อสูง แวดล้อมด้วยโครงการที่อยู่อาศัย Luxury โดยเราเห็นกำลังซื้อที่ชัดเจน จากการวิเคราะห์ด้วย AI Data-Driven Insights ของ The1 ว่า 2 สาขานี้ติดอันดับ Top 10 Best Performance ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล โดยมีจำนวนการมาใช้บริการของสมาชิก The 1 ในระดับสูง และมี Affluents Members มากกว่าพื้นที่อื่นถึง 1.5 เท่า และในด้านยอด spending นั้น ติดอันดับท็อปๆ ของเรา รวมไปถึง “เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ” ที่โครงสร้างเมืองขยายรองรับการเติบโตเทียบเท่าย่าน New CBD และ “เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต”  ที่เมืองเติบโตด้วย Mega Projects และ Tourist Influx  โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในครั้งนี้ เป็นการยกระดับทั้ง Brand Mix, Central Group ปรับโฉมคอนเซ็ปต์ใหม่ทั้งหมด, ออกแบบ Customer Journey & Experience ใหม่, และ Total Redesign ใหม่ทั้งหมด   1) เซ็นทรัล บางนา (Central Bangna) – Live Life Xponentially (Luxe | Lush | Lifestyle) ‘Always the Place’ ของคนในย่าน มีความเติบโตชัดเจนเป็น ‘High Quality Catchment Area’ แวดล้อมด้วยโครงการที่อยู่อาศัยกว่า 9 แสนยูนิต และเป็น Luxury Residence กว่า 5,000 ยูนิต มีโรงเรียนนานาชาติระดับ top-tier กว่า 20 แห่ง ประชากรมีรายได้สูงกว่า Bangkok CBD บางย่าน จากศักยภาพจึงได้ทรานส์ฟอร์มสู่ New masterplanning ขยายเป็นโครงการมิกซ์ยูสยิ่งใหญ่ของย่านบนพื้นที่ 55 ไร่ โดยเฟสแรกจะโฟกัสในส่วนศูนย์การค้า ภายใต้คอนเซ็ปต์ Urban Luxe & Lush Lifestyle เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า Upper Class มากขึ้น ยกระดับย่านบางนาไปอีกขั้นหนึ่ง ด้วยการ Curated Merchandising Mix ใหม่: เติมเต็ม Accessible Luxury Brands และมี Upper Lifestyle Brands, Brand Anchors บนพื้นที่ 10,000 ตร.ม. พร้อมด้วยการปรับคอนเซ็ปต์ใหม่ระดับ flagship standard ของห้างเซ็นทรัล และการปรับโฉมใหม่ทั้งหมดของธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล Space Revolution: สร้างสรรค์พื้นที่ใหม่ตั้งแต่ Tops Food Hall ที่มียอดขายติดอันดับ 1 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล, ‘Food Play Yard’ รวมร้านอาหารหลากหลายมากกว่า 100 แบรนด์, ‘Fashion Galleria’ รวมกว่า 100 Modern Luxury Brands และรองรับ 20 Accessible Luxury Fashion Houses, ‘Holistic Wellness’ บนพื้นที่ 3,800 ตร.ม.,‘Multi-Generation Entertainment’ พบกับสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดของย่าน รวมถึงพื้นที่ Happening Event, Pop-Up Market, Art Exhibition     2) เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า (Central Pinklao) – New Soul of the District (Creative | Moment | Magnetic)   แลนด์มาร์กและเมืองหลวงของฝั่งธนบุรี และ Meeting Point ของฐานลูกค้ากลุ่มครอบครัวมีกำลังซื้อ นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลชั้นนำ ปัจจุบันใน Catchment Area มีประชากรหนาแน่นถึง 3,000,000 คน, ราคาที่ดินเติบโตสูง และใกล้โครงข่าย Skytrain Major Interchange ที่ทำให้การเดินทางเชื่อมต่อไปย่านสำคัญอื่นๆ อย่างสีลม, สาทร และเยาวราชได้ง่าย การพัฒนาคอนเซ็ปต์ใหม่จึงยกระดับสู่การสร้างสรรค์ Complete Destination ที่ดีที่สุดในย่าน อาทิ Gastronomy Hub – ครบที่สุดในย่านกรุงเทพฯ ตะวันตก ร้านอาหารกว่า 200 แบรนด์ อาทิ  Tops Food Hall และ New Variety ตั้งแต่ Premium, Casual Lifestyle, Grab & Go, Street Food, Family Food Destination พร้อมด้วยพื้นที่แฮงก์เอาท์ Uplifted Shopping Experience: มี Key Anchor ที่แข็งแรงหลายแบรนด์ทั้ง Fashion & Sport พร้อมเพิ่ม Affordable Luxury Brands  พบกับโฉมใหม่ของธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล นำโดยห้างเซ็นทรัล ระดับ Flagship Standard โรงภาพยนตร์คอนเซ็ปต์ใหม่ Education and Family Destination ศูนย์กลางการเรียนรู้ และพัฒนา Multi-Intelligence Skills มากกว่า 50 สถาบัน สำหรับเด็กและเยาวชนครบทุกด้าน ดีที่สุดในย่านธนบุรี ซึ่งมีทราฟฟิกกลุ่มครอบครัวที่แข็งแกร่งมาก            3) เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ (Central Chaengwattana) - The Life Extraordinaire (Affluent | Vibrant | Art)   ย่านที่เติบโตและเปลี่ยนผ่านจากย่านชานเมืองสู่ New CBD จำนวนประชากรเติบโตเทียบเท่าย่านพระราม 9 และเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูงกว่าย่านอื่นๆ ในนนทบุรี โดยเป็นครอบครัวกำลังซื้อสูง และหมู่บ้านชาวต่างชาติ Expat ที่มีจำนวนมาก โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นกว่า 300% แวดล้อมด้วยออฟฟิศของภาครัฐและเอกชนซึ่งคาดว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้าจะมีจำนวน Office Workers เพิ่มขึ้น 300,000 คนรวมถึงมี New Connectivity ของรถไฟฟ้าสายสีชมพู    การพัฒนาคอนเซ็ปต์ใหม่จึงต้องการ Uplift ประสบการณ์เหนือระดับในทุกด้าน โดยจะเป็นที่ที่มีทราฟฟิกดีทุกวันทั้งวันธรรมดาและวันหยุด จากกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย ในวัน Weekday จะมีกลุ่มพนักงานออฟฟิศจากบริษัทเอกชนและหน่วยงานรัฐ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาถือเป็น High Frequency Shoppers และในช่วง Weekend จะเป็น Quality Shoppers ทั้งกลุ่มครอบครัวและ Expat ซึ่งเป็น The 1 Exclusive หรือกลุ่ม Wealth กว่า 10,000 คน และมียอด Spending มากกว่าที่อื่นถึง 25 เท่า   Complete & Sophisticated Lifestyle: ทั้งห้างเซ็นทรัล ดีไซน์โมเดิร์น, Tops Food Hall กับสินค้าระดับท็อป และ Variety of Fashion Brands ตั้งแต่ International Brands to Street & Sport Fashion และเตรียมพบกับ New Anchor ต่างชาติที่มีแบรนด์ครบทุกไลฟ์สไตล์ ทั้ง Beauty, Food, Fresh Market New Family Magnet: Bounce, HarbourLand, JOYLIDAY รวมพื้นที่กว่า 3,000 ตร.ม. Food Destination: Food Patio เปิดใหม่ที่มียอดขายดี, และร้านอาหารสำหรับครอบครัวอีกมากมาย เช่น MOMO Paradise และ AKA เป็นต้น   Common Space: พื้นที่ Art & Happening ร่วมมือกับศิลปินและสตูดิโอชื่อดัง        4) เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต (Central Chiangmai Airport) – Reimagining Lanna (Authentic | Attraction | Culture)   ปักหมุดใจกลางเมือง ใกล้สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ เมืองขยายตัวอย่างรวดเร็วด้วย Mega Projects ของภาครัฐและแผนเตรียมรับนโยบายเมืองแห่ง Creative Economy Hub ปี 2571 อีกทั้งมี Emerging Demand เพิ่มขึ้นจาก Catchment Area ที่ขยายครอบคลุมประชากรกว่า 2,000,000 คน ในจังหวัดเชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง โครงการที่อยู่อาศัยโตขึ้นกว่า 34%, Luxury Hotels ที่เพิ่มมากขึ้น แวดล้อมด้วยโรงเรียนนานาชาติและมหาวิทยาลัย และมี Tourist Influx ล้นหลาม โตขึ้น 300% จากปี 2562  การพัฒนาคอนเซ็ปต์ใหม่ นำเสนอ Local Essence in Modern Twist เพื่อสร้างเดสติเนชั่นที่ผู้คนต้องมาเยือนและตอบโจทย์ชาวเชียงใหม่ได้ครบวงจร  The Most Complete Mixed-Use Project of the North: เป็น New Masterplanning กว่า 100 ไร่ ทั้งศูนย์การค้า, Convention Hall, Tourist Hub และ Multi-Generation Space รวมถึง Go Wholesale แห่งแรกในภาคเหนือที่เปิดให้บริการแล้ว เติมเต็มแบรนด์ใหม่อีกมากกว่า 50% พร้อมด้วยแบรนด์ดังที่ประสบความสำเร็จแล้ว อาทิ Uniqlo, Nike, Adidas, Puma และ MUJI Flagship Store แห่งแรกของภาคเหนือและใหญ่ที่สุดในไทย สินค้ากว่า 3,000 รายการและมีกระแสตอบรับดีมาก Tourist & Family Destinations บนพื้นที่ 17,000 ตร.ม. โดยขยายพื้นที่ “กาดหลวง แอร์พอร์ต” ถึง 9,000 ตร.ม. ที่ประสบความสำเร็จมากในปัจจุบัน และ Local Food Market ที่ใหญ่ที่สุด มีแบรนด์ Local Michelin Brands ที่ชาวเชียงใหม่ชื่นชอบ รวมถึงสินค้า Hug Craft และ Local Craftmanship      บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เดินหน้าสู่อนาคตภายใต้เจตจำนงค์ของแบรนด์ Imagining better futures for all ด้วยการสร้างและพัฒนาพื้นที่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อม พร้อมดำเนินกลยุทธ์ The Ecosystem for All เป็นระบบที่แข็งแกร่งและยั่งยืน เพื่อเติบโตไปกับทุกฝ่ายควบคู่ไปกับการเป็นพลังขับเคลื่อนหลักที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจและประเทศ   ในปี 2566 เซ็นทรัลพัฒนาก้าวสู่อันดับ 1 องค์กรยั่งยืนระดับโลก โดยได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Top 1% S&P Global Score) จากจำนวนทั้งหมด 299 บริษัททั่วโลก อีกทั้งยังได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใน 2024 Fortune Southeast Asia 500 โดยขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในกลุ่มบริษัท Real Estate ไทยทั้งหมดที่ได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ด้วย ติดตามความเคลื่อนไหวเซ็นทรัลพัฒนา คลิก https://www.centralpattana.co.th/th/shopping/shopping-update/lifestyle-activities ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ เซ็นทรัลพัฒนา เผยธุรกิจ Central Pattana Residence เติบโตต่อเนื่อง “เซ็นทรัลพัฒนา” ย้ำเบอร์หนึ่งผู้นำอสังหาฯ ไทย
[PR] เสนา - ฮันคิว ฮันชิน เสริมแกร่งธุรกิจ เปิดตัวบริษัทร่วมทุน เสนา เอชเอชพี ตอกย้ำความเชื่อมั่นระยะยาว

[PR] เสนา - ฮันคิว ฮันชิน เสริมแกร่งธุรกิจ เปิดตัวบริษัทร่วมทุน เสนา เอชเอชพี ตอกย้ำความเชื่อมั่นระยะยาว

เสนา - ฮันคิว ฮันชิน เสริมแกร่งธุรกิจ เปิดตัวบริษัทร่วมทุน เสนา เอชเอชพี ตอกย้ำความเชื่อมั่นระยะยาว พร้อมลุย 66 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 83,000 ล้าน   SENA เสริมแกร่งธุรกิจ จับมือ HHP เปิดบริษัทร่วมทุนใหม่อย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อ “เสนา เอชเอชพี” สะท้อนความมั่นใจจากพาร์ทเนอร์ ที่พร้อมร่วมลงทุนในระยะยาว เดินหน้ารุกทุกเซกเมนต์สู่การยกระดับประสิทธิภาพรอบด้านทั้ง Credibility, Financial และ Efficiency เพิ่มข้อได้เปรียบทั้งความมั่นคงด้านเงินทุน โอกาสทางการเงิน การบริหารต้นทุน และรูปแบบการดำเนินงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ตั้งเป้าสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ตามแผนลงทุนรวม 66 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 83,000 ล้าน โดยยังคงจุดแข็งบ้านประหยัดพลังงาน หรือ Zero Energy House (ZEH) ที่ยังเดินหน้าพัฒนาให้เข้มข้นมากขึ้นด้วยการผสมผสานเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ จากญี่ปุ่น ที่ตอบโจทย์ Decarbonized Lifestyle และสร้างสังคมการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนให้กับครอบครัวเสนาทุกคน   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ (ดร.ยุ้ย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) SENA กล่าวว่า จากการร่วมทุน (Joint Venture) ของ เสนา และ บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ประเทศญี่ปุ่นที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2016 ธุรกิจมีการเติบโต เปิดโครงการใหม่ และประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในสิ่งสำคัญคือการที่ทั้งสองบริษัทมีแนวทางการดำเนินธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน โดยให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นลำดับแรก (Customer comes first) รวมถึงยังมีความตั้งใจที่จะมาร่วมลงทุนระยะยาวในประเทศไทย โดยวันนี้เป็นอีกโอกาสสำคัญของความร่วมมือเพื่อการก้าวไปสู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่และเติบโตแข็งแกร่งกว่าเดิม โดยเสนา และ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป พร้อมยกระดับการร่วมทุนจากความร่วมมือพัฒนาแบบรายโครงการ สู่การเปิดบริษัทร่วมทุนใหม่ที่พร้อมเดินหน้าต่ออย่างมั่นคงมากยิ่งขึ้น ในชื่อ บริษัท เสนา เอชเอชพี จำกัด     “ความร่วมมือครั้งนี้ นับเป็นก้าวที่สำคัญของการเติบโต และยังสะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพของกันและกัน ตอกย้ำถึงการร่วมเดินหน้าธุรกิจ พร้อมเป็นพันธมิตรในระยะยาว แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายจากปัจจัยลบ ที่สำคัญยังช่วยยกระดับประสิทธิภาพใน 3 ด้าน ที่ประกอบด้วย 1. Credibility คือ ความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น ความมั่นใจจากความร่วมมือในระยะยาวกับบริษัทระดับนานาชาติ การผสมผสานความร่วมมือ และการทำงานแบบมืออาชีพ 2. Financial คือความมั่นคงในด้านเงินทุน ความเชื่อมั่นในสถานภาพทางการเงิน การบริหารจัดการต้นทุนที่จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงโอกาสทางการเงิน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และ 3. Efficiency ที่จะช่วยยกระดับการทำงานให้รวดเร็ว และยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ง่ายต่อการบริหารจัดการ รวมถึงการแลกเปลี่ยนนวัตกรรมความรู้ต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพที่อยู่อาศัยให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบัน”   ดร. ยุ้ย กล่าวย้ำว่า สำหรับเป้าหมายการขยายธุรกิจและสร้างโอกาสในการเติบโต ภายใต้บริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้น  ทางเสนา และ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป  ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยเป็นหลัก ทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง และพร้อมพัฒนาโครงการให้ครอบคลุมครบทุกเซกเม้นท์ และกระจายอยู่ในทำเลศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยพัฒนาเบื้องต้นไว้ที่ 66 โครงการ รวมมูลค่ารวมประมาณ 83,000 ล้านบาท โดยทุกโครงการยังคงพัฒนาบนแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ และคอนโด โลว์คาร์บอน ที่จะเดินหน้าพัฒนา และต่อยอดให้ตอบโจทย์คนไทยมากที่สุด พร้อมผสมผสานเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ จากญี่ปุ่นเพื่อร่วมสร้าง Decarbonized Lifestyle ให้กับลูกบ้าน และสร้างสังคมการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนให้กับครอบครัวเสนาทุกคน      ด้าน มร.มาซะฮิโกะ โทดะ กรรมการบริหาร บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป กล่าวว่า “ตั้งแต่ปี 2016 ที่บริษัทฯ เริ่มขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ และได้ตัดสินใจเข้าร่วมทุนกับเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จากความเชื่อมั่นในความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของเสนาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย รวมถึงการมีทิศทางการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกัน ซึ่งสะท้อนถึงความเข้าใจร่วมกันในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ เรายังชื่นชมในความเป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาลแข็งแกร่งของเสนา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพภายใต้การนำของ ดร.เกษรา และทีมผู้บริหาร รวมถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ที่ได้รับแนวคิดจากญี่ปุ่นมาปรับใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย เช่น บ้านประหยัดพลังงาน (ZEH) และ Condo Low-Carbon และในวันนี้เรายังคงมีความเชื่อมั่นในการบริหารที่มีวิสัยทัศน์และเป็นองค์กรที่มีธรรมภิบาลสูงของเสนา จะส่งผลให้การยกระดับการร่วมทุนในครั้งนี้เติบโตอย่างมั่นคง”   ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลางเมือง “สาทรสแควร์” พานาโซนิคผนึก เสนา-เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง-สถาพร เอสเตท ทดลองระบบ Home IoT  
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลางเมือง เปิดโฉมใหม่ “สาทรสแควร์”

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลางเมือง เปิดโฉมใหม่ “สาทรสแควร์”

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลางเมือง เปิดโฉมใหม่ “สาทรสแควร์”   เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ผู้นำตลาดอาคารสำนักงานเกรดเอและพื้นที่พาณิชยกรรม 2.4 แสนตร.ม.  ชู 5 มิติ    กลยุทธ์ Asset Enhancement Initiative (AEI) ปรับโฉม 2 อาคารสำนักงานใจกลางเมืองทั้งสาทรสแควร์และปาร์คเวนเชอร์ ยกระดับนวัตกรรมการให้บริการ รับศึกอาคารสำนักงานเกิดใหม่ล้นตลาด พร้อมเผยโฉมใหม่ “สาทรสแควร์” ส่งมอบประสบการณ์และบริการที่ดีให้แก่ผู้เช่าและผู้ใช้อาคาร     นายวิทวัส คุตตะเทพ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายโครงการเชิงพาณิชยกรรม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT เปิดเผยว่า บริษัทฯ ในฐานะผู้นำธุรกิจอาคารสำนักงานเกรดเอและพื้นที่พาณิชยกรรมรวม 2.4 แสนตร.ม. มองเห็นทิศทางตลาดอาคารสำนักงานมีแนวโน้มการแข่งขันสูงขึ้นต่อเนื่องจากอาคารสำนักงานเกิดใหม่ทั้งที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกมากถึง 1.6 ล้านตร.ม.ที่มีกำหนดแล้วเสร็จใน 3 ปีข้างหน้า ขณะที่ความต้องการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานในแต่ละปีขยายตัวไม่มากนัก รวมถึงลูกค้าในปัจจุบันไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องทำเลที่ตั้งที่สะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังมองหาอาคารที่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตพนักงานและผู้ใช้อาคารอีกด้วย บริษัทฯ จึงเร่งดำเนินการโครงการยกระดับคุณภาพอาคาร (Asset Enhancement Initiative: AEI) ของสาทรสแควร์ และปาร์คเวนเชอร์ ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์ (GVREIT) ตั้งแต่เมื่อต้นปี 2567 ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันสาทรสแควร์ดำเนินการแล้วเสร็จพร้อมเผยโฉมใหม่แล้ว ส่วนปาร์คเวนเชอร์จะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2567 นี้     เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้าและผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม อีกทั้งสนับสนุนการดำเนินงานตามแนวทางด้านความยั่งยืน โดยได้นำแนวคิดนี้ถ่ายทอดกับการยกระดับนวัตกรรมการให้บริการและคุณภาพอาคารของสาทรสแควร์ ด้วยกลยุทธ์ 5 มิติ สำหรับ Asset Enhancement Initiative (AEI) ในการรักษามาตรฐานอาคารเกรดเอ เพื่อสามารถแข่งขันท่ามกลางอาคารสำนักงานเกิดใหม่เพิ่มขึ้น ได้แก่   1. Smart Technology: ยกระดับความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกด้วยเทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะระบบควบคุมการเข้า-ออกอาคารและการจัดการผู้มาติดต่อสามารถแสดงตนด้วยการสแกนใบหน้า (Face Recognition) หรือสแกน QR Code ผ่านแอปพลิเคชันมือถือ เพิ่มระบบจัดการการเข้า-ออกรถยนต์ภายในอาคารจอดรถที่สามารถตรวจและอ่านป้ายทะเบียนแบบอัตโนมัติ (License Plate Recognition) ชำระค่าจอดรถผ่านระบบออนไลน์ (e-Payment) พร้อมติดตั้งจุดให้บริการ EV Charger สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ อาคารยังรองรับบริการพื้นฐานด้านการเชื่อมต่อดิจิทัล โดยได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ Platinum ด้านการเชื่อมต่อดิจิทัล (Digital Connectivity) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสูงสุดจาก WiredScore     2. Sustainability Excellence: ยกระดับการจัดการอาคารส่งเสริมความเป็นเลิศด้านความยั่งยืน เน้นการประหยัดพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร โดยนำระบบบริหารจัดการอาคาร (Building Management System:BMS) มาเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมงานวิศกรรมอาคารและการจัดการพลังงานภายในอาคาร มี Motion Censor จับความเคลื่อนไหวสำหรับเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติในพื้นที่ใช้งานน้อย และปรับกระบวนการบริหารอาคารโดยจัดการทรัพยากรตามแนวทางอนุรักษ์พลังงาน สานต่อเจตนารมณ์ด้านความยั่งยืนของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ทั่วโลก ซึ่งตอกย้ำจุดเด่นของสาทรสแควร์ตามที่ได้รับการรับรองด้านการประหยัดพลังงานและการอนุรักษ์พลังงานมาตั้งแต่เปิดใช้อาคาร ทั้งมาตรฐานอาคารเขียวระดับโลก LEED ระดับ Gold 2013 (พ.ศ. 2556) รางวัล Thailand Energy Awards 2014 และ ASEAN Energy Awards 2014 (พ.ศ. 2557) รวมถึงรางวัล MEA Energy Awards 2019 (พ.ศ 2562)     3. Superb Well-being: ส่งเสริมสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้อาคาร โดยมีระบบเครื่องปรับอากาศพร้อมกรองอากาศที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 และติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality: IAQ) แสดงสภาพอากาศภายในอาคารเทียบกับอากาศภายนอกอาคาร เพื่อเสริมความมั่นใจ รวมถึงใส่ใจในคุณภาพการใช้ชีวิตด้านต่าง ๆ ของพนักงานออฟฟิศ โดยสาทรสแควร์มีพื้นที่สีเขียวอย่างต้นไม้และน้ำรอบอาคารเพื่อสร้างความผ่อนคลาย และพื้นที่รีเทลที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นฟิตเนส คาเฟ่ ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ร้านอาหารนานาชาติ คลินิคสุขภาพความงาม ที่พบปะสังสรรค์ (Hangout) สำหรับสานสัมพันธ์นอกเวลางาน เติมเต็มการใช้ชีวิตให้ครบครันมากขึ้น     4. Support Tenant Centricity: สร้างความประทับใจให้ผู้เช่าและผู้ใช้อาคารด้วยการมุ่งเน้นส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเป็นสำคัญ ผ่านการสื่อสาร รับฟังความต้องการ และความพึงพอใจ เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจุดเด่นด้านการบริหารอาคารของบริษัทฯ ที่ดำเนินการมาตลอดคือ การจัดกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ในเทศกาลและโอกาสพิเศษต่าง ๆ โดยชักชวนผู้เช่าและผู้ใช้อาคารมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมน่าอยู่ในสาทรสแควร์สำหรับทุกคน   5. Spectacular Design: สวยงามและโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมทั้งภายนอกและภายในอาคาร สะท้อนแนวคิดการออกแบบอาคารอย่างมีเอกลักษณ์ การปรับโฉมล็อบบี้ในครั้งนี้ ผู้ออกแบบได้นำคำว่า “สแควร์” หรือ “รูปทรงสี่เหลี่ยม” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชื่ออาคารมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ ผสมผสานผนังใหม่สีเงินเมทัลลิคที่สะท้อนความทันสมัยและมีพลัง เพิ่มเติมด้วยการติดตั้งจอ LED ขนาดใหญ่ สร้าง “สีสันมิติใหม่” (Neo-vibrant) ที่เป็นตัวตนจุดเด่นสำคัญของอาคาร เพื่อบรรยากาศที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา สร้างความสดใสและแรงบันดาลใจ เติมพลังงานและความกระฉับกระเฉงให้กับผู้ใช้อาคาร สอดรับแนวคิดของสาทรสแควร์กับการเป็น The Neo-vibrant Business Complex     “เราเชื่อมั่นว่าการยกระดับคุณภาพสาทรสแควร์ครั้งนี้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ดึงดูดบริษัทชั้นนำและรักษามาตรฐานคุณภาพอาคารสำนักงานเกรด A ที่สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ดีในการใช้อาคารและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าและผู้ใช้อาคารทุกกลุ่ม มุ่งสู่เป้าหมายขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Real Estate as a Service Brand ครอบคลุมทั้ง Space, Communityและ Sustainability สอดรับกับเจตนารมณ์ของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ในการสร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.) ” นายวิทวัส กล่าวปิดท้าย   ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ พานาโซนิคผนึก เสนา-เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง-สถาพร เอสเตท ทดลองระบบ Home IoT ‘BenQ W5800’ สุดยอดประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในบ้านระดับ 4K “เอ็นริช” ลุยตลาดบ้านลักซ์ชัวรี เปิดตัว “ดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์”  
“เอ็นริช” ลุยตลาดบ้านลักซ์ชัวรีดีไซน์ใหม่  เปิดตัว “ดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์” 

“เอ็นริช” ลุยตลาดบ้านลักซ์ชัวรีดีไซน์ใหม่  เปิดตัว “ดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์” 

“เอ็นริช” ลุยตลาดบ้านลักซ์ชัวรีดีไซน์ใหม่  เปิดตัว “ดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์” ตอบรับการขยายตัว New Luxury Hub แห่งใหม่ บนทำเลทองราชพฤกษ์   กลุ่มบริษัทเอ็นริช ส่ง “ดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์” โครงการระดับลักซ์ชัวรีลุยทำเลทองของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก ทำเลราชพฤกษ์ซึ่งเป็น New Luxury Hub แห่งใหม่  นำเสนอความต่างด้วยแนวคิดที่ถอดแบบจากไลฟ์สไตล์ การดีไซน์ที่คำนึงถึงทุกรายละเอียด เพื่อตอบรับทุกจังหวะของการใช้ชีวิต ผู้บริหารเผยเป็นความร่วมมือระหว่าง 2 ผู้นำตลาดอสังหาฯ ไทย-ญี่ปุ่น สร้างมิติใหม่ของการอยู่อาศัยในตลาดกลุ่มลักซ์ชัวรี ด้านซีบีอาร์อี เผยตัวเลขการเปิดโครงการบ้าน ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 ในบ้านกลุ่มไฮเอ็นด์ และลักซ์ชัวรีบนทำเลกรุงเทพฯ ชั้นนอกฝั่งตะวันตก สัดส่วนเพิ่มสูงกว่า 385% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2566   โครงการ “ดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์” (The Article North Ratchaphruek) เป็นโครงการลักซ์ชัวรีที่เปิดตัวด้วยบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง สร้างความเป็นส่วนตัวสูงสุด ชูจุดเด่นสถาปัตยกรรมทันสมัย เน้นการออกแบบฟังก์ชันและพื้นที่ใช้สอยให้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้อย่างเต็มที่ กลุ่มบริษัทเอ็นริช เลือกพัฒนาทำเลราชพฤกษ์ เพราะมองเห็นแนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มกระจายตัวจากใจกลางเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะทำเลราชพฤกษ์ตัดใหม่ที่แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง พร้อมตอกย้ำแนวคิด “Guiding You to Practical Living” หรือการเป็นคู่คิดสำหรับการใช้ชีวิตจริง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อาศัยได้อย่างลงตัว และสร้างสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน รวมถึงยังผสานกับแนวคิดการจัดบ้านแบบ “คอนมาริ” นักจัดบ้านชื่อดังระดับโลก “มาริเอะ คอนโดะ” ซึ่งเอ็นริชเป็นเจ้าแรกของประเทศที่นำแนวคิดนี้มาใช้ในธุรกิจอสังหาฯ ผ่านตัวแทนที่ปรึกษาระดับมาสเตอร์และได้ผลตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก     นายอนวัช ฉัตรศิริกุล ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทเอ็นริช เปิดเผยว่า การพัฒนาโครงการ “The Article North Ratchaphruek (ดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์)” มูลค่ากว่า 2,400 ล้านบาท  โดยได้ร่วมทุนกับอนาบูกิ โคซัน กรุ๊ป (Anabuki Kosan Group) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่ติดอันดับ 1 ใน 10 จากประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเล็งเห็นการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในทำเลราชพฤกษ์ที่มีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มตลาดบ้านระดับลักซ์ชัวรี แม้ว่าการแข่งขันในทำเลดังกล่าวจะมีสูงแต่เชื่อมั่นว่ายังมีช่องว่างทางการตลาดที่สามารถเข้าไปเจาะและแข่งขันได้   “เรามองว่าสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ มีความท้าทายในหลายๆ ด้านและตลาดมีการแข่งขันสูง การตัดสินใจเลือกซื้อบ้านของผู้บริโภคใช้เวลานานขึ้น แต่แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทยังคงเดินหน้าเพื่อให้บริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมจนถึงระดับลักซ์ชัวรียังมีกำลังซื้อสูง จึงเดินหน้าพัฒนาโครงการเพื่อรองรับกับลูกค้ากลุ่มนี้โดยเลือกทำเลที่มีศักยภาพ พัฒนาโครงการให้มีจุดเด่นที่น่าสนใจด้วยฟังก์ชันและนวัตกรรมด้านการอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ ซึ่งที่ผ่านมาเราสามารถพัฒนาโครงการและประสบความสำเร็จมาแล้วอย่างต่อเนื่อง” นายอนวัช กล่าว     ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทเอ็นริช มีโครงการอสังหาฯ หลากหลายรูปแบบที่พัฒนาออกสู่ตลาด ทั้งยังมีความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพหลายรายในการพัฒนาโครงการร่วมกัน ในปีนี้กลุ่มบริษัทเอ็นริชได้ร่วมมือกับ อนาบูกิ โคซัน กรุ๊ป พัฒนาโครงการดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์ และยังได้ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย (CBRE Thailand) บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลกเข้ามาเป็นตัวแทนที่ปรึกษาทางการตลาด และบริหารงานขายให้กับโครงการอีกด้วย จึงมั่นใจว่าโครงการที่เอ็นริชพัฒนาออกมา มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องของ ดีไซน์ ฟังก์ชัน และการเลือกใช้วัสดุ ทำให้โครงการมีความแตกต่างจากคู่แข่งและเป็นที่ต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับลักซ์ชัวรี   ด้านนางสาวสุพิชา ณัฐสุวรรณพล ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธุรกิจ กลุ่มบริษัทเอ็นริช กล่าวว่า แนวคิดที่กลุ่มบริษัทเอ็นริชยึดถือมาโดยตลอดในการพัฒนาโครงการ คือ “Guiding You to Practical Living” เป็นการคำนึงถึงทุกรายละเอียดของการใช้ชีวิต โดยเน้นในเรื่องคุณภาพและโปรดักส์ที่น่าสนใจ นำมาพัฒนาโครงการ ให้มีจุดเด่น ใส่ใจรายละเอียดในทุกขั้นตอนตั้งแต่กระบวนการแรกในการออกแบบ จนถึงขั้นตอนสุดท้ายที่ลูกค้าได้เข้าอยู่ ลูกค้าต้องได้รับความสะดวกสบายมากที่สุดรวมถึงยังผสานกับแนวคิดการจัดบ้านแบบ “คอนมาริ” ของนักจัดบ้านชื่อดังระดับโลก “มาริเอะ คอนโดะ” ซึ่งเอ็นริชเป็นเจ้าแรกของประเทศ ที่นำแนวคิดนี้มาใช้ในธุรกิจอสังหาฯ ผ่านตัวแทนที่ปรึกษาระดับมาสเตอร์ และได้ผลตอบรับที่ดีเป็นอย่างมากเพื่อให้ลูกค้าได้ศึกษา และนำมาปรับใช้กับบ้านของลูกค้าในอนาคตอีกด้วย   “ด้วยการแข่งขันที่สูงของตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่เดียวกัน เราจึงยิ่งเน้นพัฒนาโครงการให้มีดีไซน์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว รวมถึงให้ความสำคัญในเรื่องประสบการณ์การอยู่อาศัยร่วมกันของทุกคนในครอบครัว  ความพิเศษอีกหนึ่งอย่างของเราคือ การที่เราคำนึงถึงการใช้ชีวิตที่หลากหลาย เราจึงเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนบางอย่างได้ด้วยระบบ Customization เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อาศัยปรับเปลี่ยนไปตามเทรนด์ และไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย ” นางสาวสุพิชา กล่าว     สาเหตุที่เลือกเข้ามาพัฒนาโครงการในทำเลราชพฤกษ์ เป็นเพราะมองเห็นแนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ที่เริ่มกระจายตัวจากใจกลางเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะทางกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก รวมถึงในทำเลดังกล่าวมีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในรูปแบบต่าง ๆ ออกมารองรับการอยู่อาศัยในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น คอมมูนิตี้มอลล์ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง  ซึ่งโครงการ The Article North Ratchaphruek อยู่ใกล้กับ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ เพียง 300 ม. เท่านั้น สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ต้องการขยายครอบครัว มีพื้นที่สำหรับอยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น มีชีวิตการทำงานที่ค่อนข้างยืดหยุ่น สามารถทำงานได้ที่บ้าน หรือหากเดินทางไปทำงานก็สามารถเดินทางได้สะดวก ซึ่งโครงการ The Article North Ratchaphruek ถือว่าตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว   ส่วนนายมาซาอากิ คากาวะ กรรมการผู้จัดการ อนาบูกิ โคซัน กรุ๊ป กล่าวว่า การเข้ามาร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทเอ็นริช เป็นเพราะมีแนวคิดและการทำงานไปในทิศทางเดียวกัน และยังเห็นว่า บริษัท เอ็นริชพัฒนาโครงการอย่างมีคุณภาพ การใส่ใจในด้านงานดีไซน์เป็นพิเศษ การวางแผนและการออกแบบโดยคำนึงถึงความสะดวกสบายของการอยู่อาศัย  การคัดเลือกพัฒนาโครงการบนทำเลที่มีศักยภาพทั้งปัจจุบัน และมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ในอนาคต ที่สำคัญบุคลากรของกลุ่มเอ็นริช มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาโปรดักส์ ซึ่งได้สัมผัสถึงความใส่ใจในรายละเอียด  จึงได้ตัดสินใจที่จะร่วมกันพัฒนาโครงการนี้กับ บริษัท เอ็นริช   “เราเห็นว่าโปรดักส์ของเอ็นริชนั้นมีความโดดเด่น เป็นที่ดึงดูดความสนใจของเรา  เรามองว่าเอ็นริช พัฒนาโปรดักส์ได้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ที่บริษัทเอ็นริชได้ใส่ใจเป็นพิเศษ โดยคำนึงถึงความสะดวกสบาย และการเลือกทำเลการพัฒนาโครงการที่ดีรวมไปถึงมีการวางแผนงานที่ดีอีกด้วย” นายมาซาอากิ กล่าว     ขณะที่ นางสาวอาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมตลาดบ้านในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 มีการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรใหม่มากถึง 31 โครงการ รวม 5,032ยูนิต มีอัตราส่วนเพิ่มขึ้นกว่า 15.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2566 ถือเป็นสัญญาณบวก  โดยพบว่าตั้งแต่ปี 2565-2567 ตลาดบ้านโซนกรุงเทพชั้นนอกฝั่งตะวันตก มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเปิดตัวโครงการบ้านเพิ่มขึ้นกว่า 145% ในปี 2565 และ 18% ในปี 2566 ทั้งนี้สิ้นไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 ยังพบอีกว่าทำเลนี้มีอัตราการเปิดตัวโครงการบ้านสูงที่สุดในกลุ่มทำเลกรุงเทพชั้นนอกซึ่งประกอบไปด้วย 4 ทำเลด้วยกัน ซึ่งหากพิจารณาเจาะลึกเฉพาะกลุ่มเซกเมนต์ไฮเอ็นด์ขึ้นไปในปี 2566 ยังพบด้วยว่ามีการเปิดตัวโครงการบ้านทั้งปีเพิ่มขึ้นกว่า 227% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ทยานสูงขึ้นว่า 385% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันใน ปี 2566   นางสาวอาทิตยา กล่าวเสริมอีกว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดบ้านหรูในโซนราชพฤกษ์เติบโตเป็นเพราะศักยภาพของทำเลที่มีองค์ประกอบสนับสนุนให้ทำเลราชพฤกษ์กลายเป็น New Luxury Hub กล่าวคือ การมีความสมบูรณ์ของระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ทั้งการสร้างและขยายถนน อาทิ ถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ การขยายถนนชัยพฤกษ์ ถนนชัยพฤกษ์เชื่อมกับสะพานพระราม 4 ถนน 10 เลน รวมถึงเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีชมพู ส่งผลให้เกิด Connectivity  ที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อพื้นที่ได้ทั้ง 3 จังหวัด ทั้งกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และปทุมธานี  การพัฒนาโครงการ Shopping Mall ขนาดใหญ่รองรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนในโซนราชพฤกษ์ เช่น Robinson Lifestyle Ratchaphruek, Central Westgate, Central Westville, และ Lotus’ North Ratchaphruek อีกทั้งทำเลราชพฤกษ์โซนนี้ยังเชื่อมต่อไปยังถนนแจ้งวัฒนะ ที่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางย่านธุรกิจซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการสำคัญๆ และบริษัทชั้นนำมากมาย โดยมีพื้นที่อาคารสำนักงานมากกว่า 1,100,000 ตารางเมตร ทำให้เกิดดีมานด์ของคนทำงานภายในย่านนี้ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดที่พักอาศัยในโซนแจ้งวัฒนะ และขยายตัวมายังโซนราชพฤกษ์เช่นกัน   “อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้โครงการ The Article North Ratchaphruek มีความน่าสนใจเป็นเพราะตั้งอยู่ในโซนที่มีการเติบโตสูง ทั้งสภาพแวดล้อม การเดินทาง สิ่งอำนวยความสะดวก ติด Shopping Mall ซึ่งมีข้อดีคือเดินทางสะดวก ประหยัดเวลาในการจับจ่ายใช้สอย โดย Robinson Lifestyle Ratchaphruek ใกล้เพียง 300 เมตร เป็นห้างสรรพสินค้าใหม่ ร้านอาหารมากมาย สามารถจับจ่ายใช้สอยได้สะดวก ง่ายต่อการใช้ชีวิต รวมไปถึงตั้งอยู่ในทำเลที่มีมูลค่าการประเมินที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอดีตราคาที่ดินยังไม่สูงมาก โดยเพิ่มขึ้นกว่า 21% ในรอบการประเมินปี 2566-2569 และมองว่าทำเลนี้มีศักยภาพจะเติบโตได้อีกมากในอนาคต โดยเฉพาะทำเลที่โครงการตั้งอยู่มีโอกาสที่จะเป็น Hub บ้านหรูทำเลถัดไป เช่นเดียวกับทำเลถนนเลียบทางด่วนเอกมัย รามอินทรา  ทำเล กรุงเทพกรีฑา ขณะเดียวกันโครงการยังมีความแตกต่างจากโครงการทั่วไปในตลาดอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ของรูปลักษณ์การดีไซน์ การเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ เป็นตัวเลือกใหม่ๆ ให้กับลูกค้าในทำเลนั้นได้ ในขณะที่ฟังก์ชันถือว่าให้แบบจัดเต็มด้วยพื้นที่ 300-500ตร.ม. ที่จอดรถ 3-4 คัน และยังสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นของบ้านได้ตามต้องการ เรียกว่า ราคา High-end บนทำเลที่ Premium ในโซนราชพฤกษ์เลยทีเดียว” นางสาวอาทิตยา กล่าวในตอนท้าย   ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ พานาโซนิคผนึก เสนา-เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง-สถาพร เอสเตท ทดลองระบบ Home IoT เอพีเปิดตัว LIFE เจริญนคร-สาทร คอนโดวิวแม่น้ำที่ดีที่สุด กับชีวิตที่เหนือกว่า
พานาโซนิค ผนึก เสนา - เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง - สถาพร เอสเตท ทดลองระบบ Home IoT ค้นหาสภาวะน่าสบาย

พานาโซนิค ผนึก เสนา - เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง - สถาพร เอสเตท ทดลองระบบ Home IoT ค้นหาสภาวะน่าสบาย

พานาโซนิค ผนึก เสนา - เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง - สถาพร เอสเตท ทดลองระบบ Home IoT ค้นหาสภาวะน่าสบายและประหยัดพลังงานในโครงการที่อยู่อาศัย    พานาโซนิค และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยกระดับงานวิจัย “การทดลองระบบ Home IoT เพื่อทดสอบ ‘สภาวะน่าสบายและการประหยัดพลังงาน’ ในโครงการที่อยู่อาศัย” ผนึก 3 ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ เสนา - เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง – สถาพร เอสเตท ร่วมสร้างนวัตกรรมที่อยู่อาศัยแบบยั่งยืน ทดลองติดตั้งระบบ Home IoT ในบ้านตัวอย่างเพื่อค้นหาสภาวะอยู่สบายลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสำหรับคนไทย ด้านรัฐบาลไทยโดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงานและภาครัฐญี่ปุ่นโดยองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (NEDO) ประเทศญี่ปุ่น ร่วมแสดงเจตจำนงสร้างความมั่นคงทางพลังงาน พร้อมให้การสนับสนุนเพื่อขยายผลนำไปสู่ต้นแบบการออกแบบบ้านประหยัดพลังงานในประเทศไทยในอนาคต   พานาโซนิคพัฒนาโซลูชั่นส์ Home IoT เร่งวิจัยค้นหาสภาวะน่าสบาย ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน จากวิสัยทัศน์ "Panasonic GREEN IMPACT" ซึ่งเป็นภารกิจด้านสิ่งแวดล้อมแบบระยะยาวของพานาโซนิคทั่วโลก ที่มีเป้าหมายเพื่อให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืน พานาโซนิคจึงพยายามคิดค้นนวัตกรรมที่สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานได้ง่ายด้วยการสร้างโซลูชั่นส์ใหม่ต่อยอดจากผลิตภัณฑ์ของพานาโซนิคที่มีอยู่แล้ว ให้สอดคล้องกับการแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตในที่อยู่อาศัย โดยโซลูชั่นส์แรกที่พานาโซนิคคิดค้นเพื่อมาตอบโจทย์แนวคิดข้างต้น ด้วยการให้เทคโนโลยีอย่าง Home IoT และ algorithm มาช่วยควบคุม โดยคาดหวังว่าผลของการวิจัยจะทำให้สามารถค้นพบ “สภาวะน่าสบายภายในบ้าน” สำหรับคนไทยโดยเฉพาะ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่อยู่อาศัยในอนาคตที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในประเทศไทย     โครงการวิจัยเกี่ยวกับสภาวะน่าสบายของคนไทยร่วมกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2022 โดยมีการสร้างโมเดลที่อยู่อาศัยแบบจำลอง Zen Model ขึ้นที่ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจำลองบรรยากาศที่อยู่อาศัยในสภาวะน่าสบาย และทำการเก็บข้อมูล ก่อนจะนำไปสู่การทดลองกับบ้านจริงหลังแรกภายในบ้านตัวอย่างของโครงการเสนา แกรนด์โฮม บางนา กม. 29 โดยร่วมกับ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป เมื่อปลายปี 2023 ที่ผ่านมา   ในปีนี้ พานาโซนิคจะเร่งเดินหน้าพิสูจน์การทำงานของระบบว่าสามารถเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนการลดการใช้พลังงานภายในบ้าน โดยจะมีการทดสอบระบบในที่อยู่อาศัยจริง จำนวน 12 หลังจากผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ  3 ราย ได้แก่ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) รวมถึง บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด ที่เป็นลูกค้าที่สำคัญกับพานาโซนิคมาอย่างยาวนาน ซึ่งแต่ละหลังมีการออกแบบอาคารที่โดดเด่นเฉพาะตัว ในบริบทที่ต่างกันไป นับเป็นโจทย์ที่น่าสนใจเพื่อใช้ในการทดสอบ พร้อมกันนี้ยังได้รับความร่วมมือจาก สำนักส่งเสริมโครงการระหว่างประเทศ องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (NEDO) ประเทศญี่ปุ่น ที่ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณเพื่อช่วยผลักดันการศึกษาวิจัยให้บรรลุผลสำเร็จโดยเร็ว รวมถึงความร่วมมือจาก กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ของประเทศไทย ในการสนับสนุนด้านข้อมูลพร้อมทั้งเตรียมผลักดันแนวคิดดังกล่าวนี้สู่นโยบายบ้านประหยัดพลังงานในอนาคต   เสนา - เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง – สถาพร เอสเตท สนับสนุนบ้าน 12 หลัง เพื่อการวิจัยร่วมค้นหา ‘สภาวะน่าสบายและการประหยัดงาน’ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  ได้ให้การสนับสนุนการดำเนินงานวิจัยเพื่อค้นหาสภาวะน่าสบายมาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยการให้พานาโซนิคได้ทำการทดสอบระบบในบ้านตัวอย่างของโครงการเสนา แกรนด์ โฮม บางนา กม.29 เมื่อช่วงปลายปี 2023 ที่ผ่านมา เนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นโปรเจคที่ให้คุณค่าต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ตรงกับแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์พลังงานของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ “SENA Low Carbon” ที่สนับสนุนการใช้ชีวิตแบบ Decarbonized Lifestyle ให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดของการใช้ชีวิต สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ได้ให้การสนับสนุนบ้านตัวอย่าง โครงการเสนา วิลเลจ บางนา กม. 29 จำนวน 4 หลัง แบ่งออกเป็น บ้านแฝด THANN+ จำนวน 2 หลัง ขนาดประมาณ 35 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 165 ตร.ม. และบ้านทาวน์โฮม THEE+ จำนวน 2 หลัง ขนาดประมาณ 27 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 140 ตร.ม. สำหรับใช้ในการทดลอง ซึ่งบริษัทฯ  หวังว่าจะสามารถนำไปพัฒนาเป็นเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ     บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) ได้ให้การสนับสนุนบ้านตัวอย่างในโครงการ บ้านฟ้ากรีนเนอรี่ NEOLA รังสิต คลอง 2 เพื่อใช้ในการศึกษาวิจัย จำนวน 4 หลัง แบ่งออกเป็น บ้านแฝด Modish จำนวน 2 หลัง ขนาดพื้นที่ 39 ตารางวา  พื้นที่ใช้สอย 140  ตารางเมตร และบ้านเดี่ยว Louis จำนวน 2 หลัง ขนาด  57 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 155 ตารางเมตร  ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ An Environment Designed for Better Living ที่เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม Active Green การเชื่อมโยงสู่ความเป็นบ้านสภาวะน่าสบาย     บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด มอบบ้านที่สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน 4 หลัง จากโครงการ ดิ อิเธอร์นิตี้ กรีนวู้ด รังสิต- วงแหวน (THE ETERNITY GREENWOOD Rangsit - Wongwaen) บ้านเดี่ยวแบบ Companion จำนวน 1 หลัง ขนาด 53.7 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 220 ตารางเมตร และบ้านเดี่ยวแบบ Beloved จำนวน 3 หลัง ขนาด 50.6 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 185 ตารางเมตร ให้ Panasonic ได้ทำการวิจัยอย่างอิสระ     ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ ‘BenQ W5800’ สุดยอดประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในบ้านระดับ 4K “เมซัน”ประกาศลุยบ้านหรู “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2”  
‘BenQ W5800’ สุดยอดประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในบ้านระดับ 4K ที่สมบูรณ์แบบ

‘BenQ W5800’ สุดยอดประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในบ้านระดับ 4K ที่สมบูรณ์แบบ

BenQ เปิดตัวโปรเจคเตอร์ Home Cinema ระดับเรือธง ‘BenQ W5800’ สุดยอดประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในบ้านระดับ 4K ที่สมบูรณ์แบบ - สัมผัสประสบการณ์ภาพขนาด 200 นิ้วที่คมชัดระดับเลเซอร์ - ปรับตั้งค่าสีแม่นยำ ความครอบคลุมของสี DCI-P3 100% รวมถึงความแม่นยำของสีถึง Delta E <2 พร้อมความสว่างสูงสุด 2600 ANSI Lumens BenQ เปิดตัวโปรเจคเตอร์รุ่นใหม่ ‘BenQ W5800 Home Cinema Projector’ โปรเจคเตอร์แบบ 4K Laser DLP ที่มุ่งเป้าตอบโจทย์ผู้ชื่นชอบดูภาพยนตร์ที่บ้านโดยเฉพาะ โดยปรับปรุงและพัฒนาเพื่อเปลี่ยนประสบการณ์ Audio Visual ในบ้านให้กลายเป็นโรงภาพยนตร์ขนาดย่อม มอบความคมชัดระดับ True 4K UHD และความเที่ยงตรงของสีไม่ต่างจากการดูภาพยนตร์ในโรง BenQ W5800 Home Cinema Projector เป็นโปรเจคเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุดของ BenQ ที่รวมเอาเทคโนโลยี CinematicColour และ HDR-Pro เอกสิทธิ์เฉพาะของ BenQ ไว้ด้วยกัน ปรับโทนภาพอันชาญฉลาดด้วยการจับคู่โทนสีที่ได้รับการปรับแต่งสีถึงสองขั้นตอน สร้างสมดุลรายละเอียดระหว่างฉากสว่างและมืด ช่วยให้โปรเจคเตอร์ฉายภาพได้เสมือนจริง เก็บรายละเอียดของภาพได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่สุดตั้งแต่เคยมีมา สามารถใช้ได้ตั้งแต่ห้องโฮมเธียเตอร์ที่มืดสนิทไปจนถึงห้องนั่งเล่นในเวลากลางวันที่มีแสงส่องเข้ามา “BenQ W5800 เป็นโปรเจคเตอร์โฮมซีเนม่าที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่เราเคยมีมา ทีมวิศกรของเราใช้เวลาพัฒนาและออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้า และมอบประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์แบบโฮมเธียเตอร์ที่ไม่มีใครเทียบ เราเชื่อว่าโปรเจคเตอร์รุ่นนี้จะกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญ และสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่อุตสาหกรรม ช่วยตอบสนองนักดูหนังในบ้าน นำพาความมหัศจรรย์ของโรงภาพยนตร์มาสู่บ้านของคุณโดยตรง” นายโรเจอร์ เฉิน ผู้อำนวยการ บริษัท เบ็นคิว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว BenQ ได้พัฒนา HDR-PRO เทคโนโลยีเหนือระดับซึ่งเป็นเอกสิทธิ์แท้ของตนเอง เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์ภาพยนตร์ได้อย่างถูกต้องและคุณภาพที่ดีที่สุด โดย HDR-PRO ช่วยเพิ่มไดนามิกเรนจ์โดยรวมของโปรเจคเตอร์ด้วย Local Contrast Enhancement และ HDR Tone Mapping ที่เหมาะสม ได้รายละเอียดสมบูรณ์แบบแม้ในเงามืด Local Contrast Enhancer (LCE) ยังเป็นอัลกอริธึมชั้นนำของอุตสาหกรรม ทำหน้าที่แบ่งภาพออกเป็น 1,000+ โซน และปรับแกมม่าของแต่ละโซนให้เหมาะสมอย่างอิสระ โดย Local Contrast Enhancer จะเก็บรายละเอียดปลีกย่อยทั้งในบริเวณที่สว่างและพื้นที่มืดสนิทของหน้าจอ   Local Contrast Enhancer (LCE) อัลกอริธึมชั้นนำ ทำหน้าที่แบ่งภาพออกเป็น 1,000+ โซน และปรับแกมม่าของแต่ละโซนให้เหมาะสมอย่างอิสระ  เลนส์กระจกทั้งหมด 14 ชิ้น 7 กลุ่ม เคลือบด้วยวัสดุการกระจายตัวต่ำ ภาพคมชัดที่ไม่มีใครเทียบ โปรเจคเตอร์รุ่น W5800 มีแหล่งกำเนิดแสงแบบ Laser Array ที่ล้ำสมัย มาพร้อมความสว่าง 2600 ANSI Lumens และเลนส์กระจกทั้งหมดที่มีองค์ประกอบ 14 ชิ้น 7 กลุ่ม เคลือบด้วยวัสดุการกระจายตัวต่ำ ให้ภาพสีสดใสและโดดเด่น ถือเป็นโปรเจคเตอร์เลเซอร์เครื่องแรกของโลกที่มีตัวเลขความสว่างดังกล่าว นอกจากนี้ยังสามารถฉายภาพได้สูงถึง 200 นิ้ว ด้วยฟังก์ชันซูม 1.6 เท่า ซึ่งช่วยให้สามารถฉายภาพขนาด 150 นิ้วที่สมจริงจากระยะเพียง 16.6 ฟุต และยังมีคุณสมบัติการเลื่อนเลนส์ 2D (±50% แนวตั้งและ ±21% แนวนอน) ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถจัดศูนย์กลางของภาพได้ แม้ว่าพื้นที่การวางตำแหน่งจะถูกจำกัดก็ตาม แน่นอนว่า โปรเจคเตอร์โฮมเธียเตอร์ BenQ แต่ละรุ่นยังมาพร้อมระบบ Android TV ที่ผ่านการรับรองจาก Google และ Netflix ที่สามารถโหลดไว้ล่วงหน้าเพื่อการสตรีมมิ่งและการรับชมภาพยนตร์ได้อย่างเพลิดเพลินได้ไม่รู้จบ เสริมด้วยพอร์ตเชื่อมต่อ AV ที่ครบครันและคุณสมบัติด้านการเชื่อมต่อไร้สาย รองรับระบบเสียง 7.1-channel และระบบเสียง Dolby Atmos เติมเต็มทุกความต้องการด้านโฮมเธียเตอร์ให้สมบูรณ์ นอกเหนืออื่นใด W5800 ยังได้รับการออกแบบมาให้มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าหลอดโปรเจคเตอร์ทั่วไป โดยให้คุณภาพของภาพ ความสว่าง และประสิทธิภาพที่เหนือกว่า ซึ่งใช้งานได้ยาวนานถึง 25,000 ชั่วโมง BenQ W5800 Home Cinema Projector เปิดตัวที่ราคา 179,000 บาท ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรเจคเตอร์ BenQ W5800 คลิกไปเลยที่ https://bit.ly/3VRqK9i  หรือ Line Official: @BenQCare
[PR] เอพีเปิดตัว LIFE เจริญนคร-สาทร คอนโดวิวแม่น้ำที่ดีที่สุด กับชีวิตที่เหนือกว่าในทุกมิติ

[PR] เอพีเปิดตัว LIFE เจริญนคร-สาทร คอนโดวิวแม่น้ำที่ดีที่สุด กับชีวิตที่เหนือกว่าในทุกมิติ

เอพีเปิดตัว LIFE เจริญนคร-สาทร คอนโดวิวแม่น้ำที่ดีที่สุด กับชีวิตที่เหนือกว่าในทุกมิติ ห้องชุดดีไซน์ใหม่สูง 3 เมตร เริ่ม 3.59 ล้านบาท   นางสาวนิยมาพร โต๊ะสงวนพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาด และการขายธุรกิจ กลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า “เจริญนคร” ถึงจะเป็นย่านเมืองเก่า แต่ในปัจจุบันมีความหลากหลายของกลุ่มคนในพื้นที่ อีกทั้งการเดินทางที่สะดวกสบาย ทำให้วันนี้ถนนเจริญนครเป็นอีกหนึ่งทำเลที่ดึงดูดสำหรับการอยู่อาศัยและการลงทุนอย่างแท้จริง บริษัทฯ จึงพร้อมเปิดตัวโครงการ “LIFE เจริญนคร-สาทร” คอนโดวิวแม่น้ำที่ดีที่สุด จำนวน 580 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท บนทำเลที่ใช่ เพียง 1 สถานี ถึง CBD โซนสาทร พร้อมจุดขาย 2 วิวแม่น้ำเจ้าพระยาที่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน โดย LIFE เจริญนคร-สาทร พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘BEYOND THE BOUNDARIES – เหนือกว่าทุกข้อจำกัด สู่ความสมดุลของการใช้ชีวิต’ โดยความพิเศษของโครงการนี้นอกจากการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางที่เปิดรับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเต็มที่แล้ว ยังมีผังห้องชุดดีไซน์ใหม่ล่าสุด All New SIMPLEX กับห้องชุด SIMPLE EXTRA HIGH CEILING ห้องชุดเพดานสูง 3 เมตร ที่มาพร้อมฟังก์ชันที่คุ้มค่าในทุกตารางเมตรมากยิ่งขึ้น พร้อมเปิดขายครั้งแรกในวันที่ 29 - 30 มิถุนายนนี้ ราคาขาย 1 ห้องนอนใหญ่ เริ่ม 3.59 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยเริ่ม 114,000 บาท / ตร.ม. ณ สำนักงานขายโครงการ ลงทะเบียนรับส่วนลดเพิ่มเติมสูงสุด 230,000 บาท ได้ตั้งแต่วันนี้ที่ http://apth.ly/Life-CNK-ST   “จาก Consumer Insight ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน เค้ามองหาพื้นที่ที่ช่วย Retreat หรือฟื้นฟูจากความเครียดที่เจอในแต่ละวัน เราจึงเอา Insight นี้ของลูกค้ามาเป็นโจทย์ในการพัฒนาโครงการให้ LIFE เจริญนคร-สาทร พิเศษทั้งในเรื่องของทำเลที่อยู่ในย่าน Heritage และเป็นพื้นที่ที่ RETREAT สำหรับคนเมืองอย่างแท้จริง ซึ่งเราตั้งใจให้ทุกพื้นที่ภายในโครงการนี้เป็นเหมือนบทกวีที่เล่าเรื่องราวความทรงจำเกี่ยวกับเจริญนครได้อย่างสวยงาม ทั้งในงาน Architect งาน Landscape และที่สำคัญมากๆ คือ งาน Interior ที่เรากล้าพูดได้อย่างเต็มปากเลย ว่า Interior ที่นี่จัดเต็มและสวยมากๆ” คุณนิยมาพร กล่าว      คุณแอ-เบญญาภา ศิริโสภณ ผู้ก่อตั้งและดีไซเนอร์ บริษัท VAIR DESIGN จำกัด บริษัทออกแบบอินทีเรียเบอร์ต้นของประเทศไทย Interior Designer ที่ดูแลงานออกแบบตกแต่งภายในโครงการ LIFE เจริญนคร-สาทร กล่าวว่า ความท้าทายในการออกแบบวันนี้ นอกจากการตามเทรนด์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแล้ว คำถามคือ เราจะนำเทรนด์นั้นๆ มา Balance ในการทำงานอย่างไรให้วันที่คอนโดมิเนียมก่อสร้างเสร็จ งาน Interior ที่ออกแบบไว้ไม่ล้าสมัย อีกทั้ง Brand Positioning ในแต่ละแบรนด์ของคอนโด AP มีจุดยืนที่แตกต่างกัน อย่างที่ LIFE เจริญนคร-สาทร เรามีการ Refining คำว่า Heritage ของเจริญนครในมุมมองใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ THE VISUAL JOURNEY OF REFINING CHAROENNAKHON HERITAGE ผ่านการดึงเสน่ห์ความสวยงามของสถาปัตยกรรมบ้านเก่า ท่าเรือ และโกดัง ที่อยู่แวดล้อมในย่านนั้น มาเป็น Inspiration ในงานออกแบบ เพื่อให้ทุกพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการเข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายโครงการ ซึ่งหัวใจสำคัญของงานออกแบบที่เรามองไปในภาพเดียวกับทีมเอพี คือ การออกแบบที่ดีต้องไม่เพียงแต่สวยงามเท่านั้น แต่ต้องใช้งานได้จริง พื้นที่ที่ถูกออกแบบมาอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน จะสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตและสร้างสุนทรีย์ในการอยู่อาศัยของลูกค้าได้ในทุกมิติชีวิต     LIFE เจริญนคร-สาทร กับคอนเซ็ปต์โครงการ ‘BEYOND THE BOUNDARIES – เหนือกว่าทุกข้อจำกัด คืนชีวิตสู่ความสมดุล’ พร้อม 4 จุดขายที่เหนือกว่าในทุกมิติ   1) BEYOND THE SPACE  พื้นที่ที่เป็นมากกว่าแค่ “ที่อยู่” ดื่มด่ำกับสุนทรียภาพเหนือระดับ คอนโด HIGH-RISE สูง 28 ชั้น ที่ออกแบบให้รับวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาแบบเต็มๆ และเอาใจคนเมืองที่ชอบความเป็นส่วนตัว ด้วยจำนวนยูนิตที่น้อยที่สุดเพียง 580 ยูนิต กับขนาดพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่กว่าเคย เหนือกว่าด้วยพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น กับห้องชุดดีไซน์ใหม่ All New SIMPLEX ทั้งโครงการ พร้อมห้องชุดแบบ SIMPLEX EXTRA HIGH CEILING เพดานสูง 3 เมตร เฉพาะในชั้น 25 - 26   ขนาดห้องชุดเริ่มต้นที่ 1 ห้องนอน 29.5 - 35 ตร.ม. ครบทุกพื้นที่การใช้งาน ไฮไลต์พิเศษกับผัง 1 Bedroom Plus ขนาด 35 ตร.ม. ที่มาพร้อมฟังก์ชัน Double Access Bathroom เชื่อมต่อกับ Master Bedroom และ Flexible Room ที่ปรับเป็นพื้นที่ส่วนตัวเพิ่มได้อย่างอิสระ และห้องชุดแบบ 2 Bedroom ขนาดพื้นที่ใช้สอย 42 - 57 ตร.ม. ราคาขาย 1 ห้องนอนใหญ่ เริ่ม 3.59 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยเริ่ม 114,000 บาท / ตร.ม.   2) BEYOND THE LEISURE  มากกว่าการ Relax แต่คือการ Retreat ให้ชีวิต กับพื้นที่ส่วนกลางที่ผสมผสานเสน่ห์ของวัฒนธรรมและสายน้ำเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างสวยงามเหนือกาลเวลา สัมผัสชีวิต ไลฟ์สไตล์ และการพักผ่อนได้มากกว่าที่เคย กับพื้นที่ส่วนกลางที่ออกแบบเพื่อสร้างบรรยากาศและความรู้สึกที่ผ่อนคลาย ทั้งในส่วนของ Lobby ชั้น G สวนชั้น 7 และ Double Roof Top Facilities ในชั้น 27 - 28 ผ่านการเลือกสรรวัสดุในรูปแบบของ Luxury Authentic Material ดีเทลงานคราฟต์ของการตกแต่งอินทีเรียที่สอดแทรกสายน้ำที่กำลังเคลื่อนไหว   ชั้น G กับ Lobby ที่แยกเป็น 2 ส่วน กับ The Parlour Port และ Exclusive Lobby ที่แบ่งแยกโซนเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกัน พร้อมไฮไลต์พิเศษกับ THE THERAPIST ROOM ห้องที่ออกแบบมาเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูจากความเครียด   Double Roof Top Facilities ที่ชั้น 27 - 28 เปิดรับ 2 วิวแม่น้ำเจ้าพระยาไปกับ EXCLUSIVE ARTFUL LOUNGE มุมมองแบบ Panoramic 270 องศา ชมวิวแม่น้ำใน 2 บรรยากาศ ทั้งวิวฝั่งไอคอนสยาม ที่มีสีสัน ครึกครื้น หรือฝั่งของเอเชียทีค ที่นิ่ง สงบ นอกจากนั้น ในส่วนชั้น 27 ก็จะเป็นส่วนของสระว่ายน้ำ ฟิตเนส และพื้นที่สวนพักผ่อน ที่เปิดรับวิวทั้ง river view & city view   3) BEYOND THE LIMITES OF TIME  ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 3-0-55.0 ไร่ ติดถนนเจริญนคร เดินทางสะดวก เพียง 600 เมตร จาก BTS สถานีกรุงธนบุรี เดินทางเข้าเมืองแค่เพียง 1 สถานี ก็ถึง CBD โซนสาทร เชื่อมต่อสาทรเหนือ-พระรามที่ 3-วงเวียนใหญ่ อย่างรวดเร็ว 4) BEYOND THE ORDINARY  ให้ทุกวันคือการใช้ชีวิตที่เหนือกว่าที่เคย กับสิ่งอำนวยความสะดวกที่อยู่แวดล้อมรัศมีโครงการ ใกล้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อย่าง ไอคอนสยาม, เสนา เฟสท์, โรบินสัน บางรัก, เอเชียทีค และ Gump’s Cross ไลฟ์สไตล์คอมมิวนิตีใหม่ รวมถึงคาเฟ่สุดชิคอีกมากมายในย่านเจริญนคร   LIFE เจริญนคร-สาทร คอนโดมิเนียม HIGH–RISE สูง 28 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 580 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท โซนพักอาศัยเริ่มตั้งแต่ชั้น 7 - 26 กับห้องชุด SIMPLEX 3 แบบ 1) 1 Bedroom 29.5 - 35 ตร.ม.  2) 1 Bedroom Plus 35 ตร.ม. และ  3) 2 Bedroom 42 - 57 ตร.ม. ราคาขาย 1 ห้องนอนใหญ่ เริ่ม 3.59 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยเริ่ม 114,000 บาท / ตร.ม. รับโปรโมชันพิเศษจองในวันงาน VVIP Day 29 - 30 มิถุนายนนี้ รับส่วนลดสูงสุด 230,000 บาท ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษได้ที่ http://apth.ly/Life-CNK-ST   ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ [PR] “เมซัน”ประกาศลุยบ้านหรู “แกรนด์ แอสเสทฯ” ดันเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” ข่าวโปรโมชันล่าสุด  
[PR] สิวารมณ์ประกาศความแข็งแกร่ง ปูพรมจาก บางปู - บางแค

[PR] สิวารมณ์ประกาศความแข็งแกร่ง ปูพรมจาก บางปู - บางแค

สิวารมณ์ประกาศความแข็งแกร่ง ปูพรมจาก บางปู - บางแค สิวารมณ์ประกาศความแข็งแกร่ง ปูพรมจาก บางปู - บางแค 𝐍𝐄𝐖 𝐏𝐑𝐎𝐉𝐄𝐂𝐓 𝟐𝟎𝟐𝟒 | 𝐒𝐈𝐕𝐀𝐑𝐎𝐌 𝐇𝐘𝐃𝐄 บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ทุ่มเปิดโครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 850 ล้านบาท ในย่านที่อยู่อาศัย 2 ทำเลฝั่งกรุงเทพตะวันตก #ก้าวอย่างมั่นคง ประกาศความแข็งแกร่ง ปูพรมจาก บางปู - บางแค  ส่งบ้านหรูระดับ UPPER CLASS ที่มาพร้อมกับความเป็นส่วนตัว ส่งมอบความเชี่ยวชาญของการอยู่อาศัย 15-16 มิ.ย.นี้ ก้าวสู่ความสำเร็จใหม่ เปิดจองครั้งแรกสิวารมณ์ ไฮด์ สาทร-บางแค | เริ่มเพียง 16 ล้านบาท*     ภายใต้ CONCEPT ' NERVER HIDE YOUR SUCCESS ' เริ่มต้นแห่งแรก ทำเลแห่งการใช้ชีวิต NEW LIVING COMMUNITY ZONE บางแค ด้วยบ้านเดี่ยวหรูโครงการใหม่ 5 ห้องนอน บนที่ดินเริ่ม 100 ตร.ว. พร้อมพื้นที้ใช้สอยกว่า 500 ตร.ว. เอกสิทธิ์เพียง 29 ครอบครัว ทำเลเชื่อมต่อ CORE CBD สาทร - วงแหวนกาญนาภิเษกฯ ตะวันตก   ‘ 𝐍𝐄𝐕𝐄𝐑 𝐇𝐈𝐃𝐄 𝐘𝐎𝐔𝐑 𝐒𝐔𝐂𝐂𝐄𝐒𝐒 ’ บ้านหรู 5 ห้องนอน พร้อมพื้นที่ใช้สอยกว่า 500 ตร.ม. #NEWBRAND #NEWCOLLECTION     📍ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษก่อนใคร https://sivarom-hyde.com/register.php ☎️ ติดต่อสอบถาม 0632215858 ❇️ Add LINE : https://lin.ee/XX2Pi7K ▪️ Google Location | https://shorturl.at/gksx4 ▪️ ใกล้ MRT หลักสอง ▪️ THE MALL บางแค & THE EXPLACE MALL ▪️ BEST SMART LIVING ▪️ มาตรฐานความปลอดภัยเหนือระดับ ▪️ รปภ. & CCTV 24 ชั่วโมง *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ และธนาคารกำหนด   #SivaromRealEstate #สิวารมณ์ #SivaromHyde #newprojects #SVR #บ้านเดี่ยวสาทร #บ้านบางแค #บ้านกัลปพฤกษ์ #คฤหาสน์ #กาญจนาภิเษก #Homeandliving #land #housing #บ้านโครงการใหม่ #บางแค #บ้านใกล้ห้าง #บ้านใกล้รถไฟฟ้า #บ้านติดถนนใหญ่ #บ้านใกล้ทางด่วน #บ้าน   ข่าวที่เกี่ยวข้อง สิวารมณ์ ปาร์ค วงแหวน – ประชาอุทิศ 76 “เมซัน”ประกาศลุยบ้านหรู “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2”  
[PR] “เมซัน”ประกาศลุยบ้านหรู “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2” รับไตรมาส 2/67

[PR] “เมซัน”ประกาศลุยบ้านหรู “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2” รับไตรมาส 2/67

“เมซัน”ประกาศลุยบ้านหรู “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2” รับไตรมาส 2/67 มั่นใจสินค้าตอบโจทย์ดีมานด์ย่านฝั่งธนฯ-พื้นที่ใกล้เคียง เมซัน ดีเวลลอปเม้นท์ฯ เผยศักยภาพทำเลพระราม 2 ดีมานด์ยังมีความต้องการบ้านแนวราบระดับลักชัวรี ประกาศเดินหน้ารับไตรมาส 2/67 ผุดบ้านหรู โครงการ “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2”ราคาเริ่มต้นที่ 7-14 ล้านบาท มูลค่า 1,   060 ล้านบาท พร้อมเปิดพรีเซลวันที่ 25-26 พ.ค.67 มั่นใจสินค้าตอบโจทย์ดีมานด์ย่านฝั่งธนฯและพื้นที่ใกล้เคียง   นายพงศ์ศักดิ์ สวาทยานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯแนวราบภายใต้แบรนด์ “Maison Development”(เมซัน ดีเวลลอปเม้นท์) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในย่านพระราม 2 ว่า ถือว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพ ดีมานด์ส่วนใหญ่มีความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบในระดับลักชัวรีสูง เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากย่านเศรษฐกิจใจกลางเมือง การคมนาคมเดินทางสะดวกสบาย เมื่อเทียบกับทำเลชานเมืองในโซนอื่นๆของกรุงเทพฯ   ส่งผลให้แผนการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส 2/2567 เปิดตัวโครงการ “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2” (Morgen Bangkhunthian-Rama2) พัฒนาโดยบริษัท เมซัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเพลินพัฒน์ แอสเสทฯ ตั้งอยู่บริเวณย่านบางขุนเทียน บนพื้นที่ 30 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบบ้านเดี่ยว 2 ชั้น สไตล์เฟรสช์โคโลเนียล (French Colonial) ภายใต้คอนเซ็ปต์ "MAGNIFICENT MORNINGS, FINEST URBAN LIVING IN FRENCH COLONIAL"ขนาด 501-74.6 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 216-350 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 7-14 ล้านบาท จำนวน 103 ยูนิต มูลค่า 1,060 ล้านบาท โดยกำหนดเปิดพรีเซลในวันที่ 25-26 พฤษภาคม 2567 ซึ่งมั่นใจสินค้าจะตอบโจทย์ดีมานด์ย่านฝั่งธนฯและพื้นที่ใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี     โดยโครงการดังกล่าวมีบ้านให้เลือก 3 แบบ คือ 1.แบบซาโลเม่ (Salomé) จำนวน 46 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้น 51 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 216.1 ตารางเมตร ฟังก์ชั่นบ้าน 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องรับแขก+รับประทานอาหาร 1 นั่งเล่น 2 จอดรถ 2.แบบบ้านมาเอล(Maël) จำนวน 40 ยูนิต  ขนาดที่ดินเริ่มต้น 60.8 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 275.7 ตารางเมตร ฟังก์ชั่นบ้าน 4 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 แม่บ้าน 1 ห้องรับแขก+รับประทานอาหาร 1 นั่งเล่น 3 จอดรถ 3.แบบบ้านเลออน (Léon) จำนวน 17 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้น 74.6 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 335.2 ตารางเมตร ฟังก์ชั่นบ้าน 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องแม่บ้าน 1 ห้องรับแขก+รับประทานอาหาร 1 นั่งเล่น 1 ซักรีด 4 ที่จอดรถ     ภายในโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ -สวนสาธารณะโครงการขนาดใหญ่ 1-0-05.6 ไร่ ( 405.6 ตารางวา ) -สวนหย่อม จำนวน 7 แห่ง พื้นที่ 461.8 ตารางวา -ClubHouse ประกอบด้วย  ห้องโถงพักผ่อนส่วนกลาง Double Space สระว่ายน้ำระบบเกลือ Jacuzzi และ ห้องออกกำลังกาย -ควบคุมการเข้าออกด้วยระบบ LPR ระบบอ่านป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ -กล้องวงจรปิดรปภ. 24 ชั่วโมง (Smart home)   สำหรับจุดเด่นโครงการ  เป็นโครงการบ้านใกล้เมือง บนทำเลศักยภาพใจกลางพระราม 2 เชื่อมต่อทุกการเดินทาง ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน, 5 นาทีถึงเซ็นทรัลพระราม  2, 15 นาทีถึง พระราม3-สาทร , แบบบ้าน สโมสร สระว่ายน้ำสไตล์ เฟรนช์โคโลเนียล (French Colonial) อีกทั้งอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้ามากมาย อาทิ เซ็นทรัล พลาซา พระราม 2, โลตัส พระราม 2,บิ๊กซี พระราม2,เดอะไบรท์ พระราม 2 รวมไปถึงใกล้สถานศึกษา อาทิ โรงเรียนรุ่งอรุณ ,รร.สวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี,โรงเรียนนานาชาติ เบซิส กรุงเทพฯ ,โรงเรียนทวีธาภิเศก บางขุนเทียน  ,โรงเรียนเลิศหล้า กาญจนาภิเษ ,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้ โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน,โรงพยาบาลนครธน และ โรงพยาบาล บางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล  เป็นต้น   บทความที่เกี่ยวข้อง Maison Hill สุขุมวิท-ศรีราชา บ้าน French Colonial สิวารมณ์ ปาร์ค วงแหวน – ประชาอุทิศ 7 บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่สไตล์นอร์ดิก M Life สุขุมวิท–บางปู 87 บ้านแฝดหรูดีไซน์ใหม่
“แกรนด์ แอสเสทฯ” ดันเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” รุกเจาะดีมานด์ไฮเอน

“แกรนด์ แอสเสทฯ” ดันเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” รุกเจาะดีมานด์ไฮเอน

อสังหาฯ อีอีซี โตไม่แผ่ว! “แกรนด์ แอสเสทฯ” ดันเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” รุกเจาะดีมานด์ไฮเอนด์ ดึงพาร์ทเนอร์ระดับโลก ปั้นโครงการมิกซ์ยูสสุดอลังการหนึ่งเดียวในระยอง โครงการอสังหาฯ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ยังคงร้อนแรงไม่มีแผ่ว ล่าสุด แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเมืองไทย ชี้มูลค่าตลาดอสังหาฯ จังหวัดระยอง พุ่งขึ้น 2 เท่า รับอานิสงส์คนไทย-ต่างชาติย้ายมาอยู่ใกล้ที่ทำงาน-ดำเนินธุรกิจในเขตอีอีซี แกรนด์ แอสเสทฯ เห็นโอกาสเจาะกลุ่มไฮเอนด์และนักลงทุน รุกส่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญเขย่าตลาดอสังหาฯ ระยองกับเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” โครงการระดับอัลตราลักชัวรีติดทะเลอ่าวไทยแห่งแรกและแห่งเดียวในระยอง บนพื้นที่กว่า 92 ไร่ ในทำเลศักยภาพใจกลางอีอีซีและห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 180 กม. กางแผนปั้นเป็นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสสุดยิ่งใหญ่ในจังหวัด อันประกอบด้วย ที่อยู่อาศัยแบบพูลวิลล่าระดับอัลตราลักชัวรี โรงแรม ร้านอาหาร บีชคลับ และบริการด้านสุขภาพองค์รวม โดยแกรนด์ แอสเสทฯ เผยกลยุทธ์การดึงพาร์ทเนอร์ผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ทั้ง “อมาธารา เวลเลเชอร์ รีสอร์ต” แบรนด์เวลเนสชื่อดังจากภูเก็ต นำเสนอบริการสุขภาพรองรับเฮลตี้ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่อย่างครบครัน ทั้งยังเป็นโปรเจ็กต์แรกในไทยที่ได้จับมือกับบริษัทดีไซน์ชื่อดังระดับโลก “IBUKU” มาร่วมออกแบบ “Bambu Beach Club” แลนด์มาร์กติดทะเลสุดอลังการที่โอบรับธรรมชาติตระการตา ล่าสุด อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง เผยโฉมพูลวิลล่าเฟส 2 ปักหมุดวิลล่าบนเนินเขาพร้อมวิวทะเลแห่งแรกในระยอง ทุกสเปซในโครงการชูดีไซน์การออกแบบที่งดงามตระการตาพร้อมโอบรับวิวทะเลอ่าวไทย มั่นใจตอบโจทย์เรียลดีมานด์ที่ซื้ออยู่เองและนักลงทุนเพื่อสร้างกำไรอย่างยั่งยืน   คุณวิทวัส วิภากุล กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงศักยภาพของจังหวัดระยอง ว่า “ระยองเป็นจังหวัดศักยภาพสูงที่มี GDP (Gross Domestic Product) ติดหนึ่งในสามของประเทศ มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Gross Provincial Product: GPP) สูงเป็นอันดับสองของประเทศ (รองจากชลบุรี) เฉลี่ยถึง 7.7% ต่อปี (ในช่วงปี 2547- 2562) ขณะที่รายได้ต่อประชากร (GPP per capita) ก็สูงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ถือว่าเนื้อหอมสำหรับทั้งตลาดอสังหาฯ และการท่องเที่ยว ด้วยจุดแข็งทำเลใจกลางเขตอีอีซี ทั้งยังมีพื้นที่ติดทะเลอ่าวไทย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยววิวทะเลใกล้กรุงเทพฯ ของทั้งชาวไทยและต่างชาติ จ.ระยอง ถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ โดยปัจจุบัน มีโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาแหล่งที่อยู่อาศัยคุณภาพมากมายที่เข้ามารองรับดีมานด์ที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งรวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินในอนาคต ทั้งหมดนี้ ทำให้ชาวไทยและต่างชาติกำลังซื้อสูงซึ่งเข้ามาทำงานและทำธุรกิจในพื้นที่ มีความมั่นใจในการย้ายที่อยู่และลงหลักปักฐาน นอกจากนี้ เหล่านักลงทุนก็พร้อมเข้ามาทำธุรกิจที่ได้ผลตอบแทนสูงอย่างต่อเนื่อง คาดว่าอุปทานที่อยู่อาศัยใหม่ในระยองจะเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.1% ต่อปี ขณะที่ยอดขายใหม่จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.2% ต่อปี”   “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของระยอง เพราะโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสในลักษณะนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นที่ระยอง ซึ่งใกล้จากกรุงเทพฯ ล่าสุดเรามีโครงการอสังหาฯ ระดับอัลตราลักชัวรีวิวทะเลอ่าวไทยที่สวยงามและห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น เราตั้งใจปั้นอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยองให้เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของภาคตะวันออกเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์เหนือระดับ แกรนด์ แอสเสทฯ พัฒนาโครงการเพื่อเจาะกลุ่มกำลังซื้อจริง โดยปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าระดับบนมองหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการสร้างเฮลตี้ไลฟ์สไตล์ด้วยตนเอง ลูกค้ากลุ่มนี้จึงต้องการพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง ความเป็นส่วนตัว พื้นที่สีเขียว และการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีผ่านดีไซน์-ฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย เราได้จับมือ ‘อมาธารา เวลเลชเชอร์ รีสอร์ต’ ผู้นำธุรกิจ Holistic Wellness ระดับ 5 ดาวที่มีชื่อเสียงจากภูเก็ตมาช่วยบริหารบริการเวลเนสในโครงการฯ เพื่อร่วมปั้นอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง ให้เป็น ‘เวลเนสแลนด์มาร์กใหม่’ ระดับเวิลด์คลาสของระยอง ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฮับท่องเที่ยวด้านสุขภาพชั้นนำของโลก” คุณวิทวัส อธิบาย   โครงการ อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง ตั้งอยู่บนพื้นที่ 92 - 3 - 12 ไร่ ที่สุดแห่งการอยู่อาศัยหนึ่งเดียวในระยอง นำเสนอพูลวิลล่าระเบียงส่วนตัววิวทะเลอ่าวไทย พร้อมบริการระดับ 5 ดาว ประกอบด้วย พูลวิลล่าริมชายหาด ปัจจุบันแล้วเสร็จและพร้อมเข้าอยู่ทั้งสิ้น 9 หลัง 18 ยูนิต (อาคารชุด 2 ชั้น) แบบ 2, 3 และ 4 ห้องนอน สไตล์คลาสสิกที่มีกลิ่นอายความเป็นไทยอันเรียบหรู ในราคาเริ่มต้น 50 – 135 ล้านบาท โดยได้รับการตอบรับอย่างยอดเยี่ยมจากลูกค้าและนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ พูลวิลล่าบนเนินเขาวิวทะเลหนึ่งเดียวในระยอง มาพร้อมดีไซน์ทันสมัยในคอนเซ็ปต์ “Sea to Sand” พร้อมกลมกลืนกับธรรมชาติ โดยวิลล่าแต่ละหลังไล่ระดับลงมาจากเนินเขาจนถึงชายหาด มองวิวทะเลแบบพาโนรามาทุกยูนิต ตอบโจทย์ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มองหาบ้านไว้รีชาร์จแบบที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทั้งสิ้น 9 หลัง 18 ยูนิต (อาคารชุด 2 ชั้น) ในราคาเริ่มต้น 39 - 50 ล้านบาท   “ล่าสุดเราได้เผยภาพดีไซน์พูลวิลล่าบนเนินเขาวิวทะเลคอนเซ็ปต์ Sea to Sand ให้ทุกคนได้ชมกันแล้ว ความพิเศษแบบ One and Only ของวิลล่าเฟสนี้คือดีไซน์ที่ทันสมัยกับวิวทะเลพาโนรามาและบ้านที่ลดหลั่นลงมาตามเขาอย่างงดงาม คาดว่า บ้านเฟสนี้เหมาะจะเป็น Hideaway Home ของผู้บริหารรุ่นใหม่กับพูลวิลล่าที่ตอบโจทย์การพักผ่อน อีกหนึ่งโปรเจ็กต์สำคัญที่เข้ามาเติมเต็มการเป็นที่สุดแห่งไลฟ์สไตล์เดสติเนชันของอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง ได้อย่างลงตัว คือ “Bambu Beach Club” แลนด์มาร์กติดทะเลแห่งแรกของเมืองไทยซึ่งเปิดให้บริการแล้ว ผลงานดีไซน์โดยบริษัทชื่อดังระดับโลก IBUKU Design Studio โด่งดังจากผลงานการออกแบบสถานที่จากโครงสร้างธรรมชาติและไม้ไผ่มากกว่า 60 แห่งในบาหลี อินโดนีเซีย รวมถึงผลงานสุดอลังการในลาสเวกัส, ดูไบ, มัลดีฟส์, ฮ่องกง, แอฟริกาใต้ และอีกหลายประเทศ เน้นการผสมผสานความงามของธรรมชาติเข้ากับสเปซและฟังก์ชัน “Bambu Beach Club” นับเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่จะได้ยลโฉมผลงานของ IBUKU โดยไม่ต้องบินไปชมที่ต่างประเทศ คาดว่าแลนด์มาร์กบีชคลับแห่งใหม่นี้ที่เปิดให้บุคลลทั่วไปเข้าไปเช็กอิน จะเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวห้ามพลาดของจังหวัด ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวระยองให้คึกคักกว่าเคย” คุณวิทวัส กล่าวเน้นย้ำ   คุณกนกณัฐ  อรรถญาณสกุล กรรมการบริหาร อมาธารา เวลเลย์เชอร์ รีสอร์ท กล่าวว่า “ปัจจุบัน ลูกค้าระดับบนมองหาคุณภาพชีวิต ให้ความสำคัญกับการหาเวลาดูแลสุขภาพในเชิงป้องกันทั้งร่างกายและจิตใจAmatara WelleisureTM Resort จึงมุ่งสร้างสรรค์สุขภาวะที่ดีแก่ผู้อยู่อาศัย เลือกที่อยู่อาศัยที่มีสภาพแวดล้อมบริสุทธิ์ ส่งเสริมสุขภาพ มีบริการสุขภาพเชิงป้องกัน เพื่อรองรับการใช้ชีวิตของคนทุกเจเนอเรชัน ตลาดอสังหาลักชูรีมาแรงก็จริง แต่เวลเนสก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ไดร์ฟการตัดสินใจของกลุ่ม Wealth ลู สำหรับบริการเวลเนสที่นำเสนอที่อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง เราเน้นเรื่องการผสมผสานของกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกันกับไลฟ์สไตล์ที่มีรูปแบบเข้าถึงง่าย เพลิดเพลิน ผสมผสานภูมิปัญญาของตะวันออกที่เจริญด้วยการเข้าลึกถึงการดูแลสุขภาพจิตใจเข้ากับวิทยาศาสตร์ของตะวันตกซึ่งมุ่งเน้นการดูแลสุขภาพกายที่สัมพันธ์ถึงจิตใจที่นำสมัย  มอบการอยู่อาศัยแบบตามหลัก “WISE” ซึ่งมี 4 องค์ประกอบด้วยกัน ได้แก่ Well-Being การออกแบบประสบการณ์อยู่อาศัยที่ซัพพอร์ตชีวิตและสุขภาพที่ดี, Individualised สร้างสรรค์โครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ให้เหมาะสำหรับแต่ละบุคคล, Small Steps การปรับสมดุลไลฟ์สไตล์ค่อยเป็นค่อยไปแบบยั่งยืนและ Enjoyable ครีเอตการอยู่อาศัยที่ผ่อนคลายสำหรับทั้งครอบครัว ทุกองค์ประกอบช่วยรังสรรค์ให้ที่นี่เป็นที่สุดแห่งที่อยู่อาศัยเหนือระดับเพื่อ Sustainable Well-Being ซึ่ง Bambu Beach Club นี้เป็นสัญลักษณ์ของการสร้างสรรค์กลมกลืนกับธรรมชาติ การสะท้อนถึงความเป็นอยู่ที่เป็นแบบ Sustainable Well-being อย่างแท้จริง” นอกจากโครงการพูลวิลล่าที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากและบีชคลับสุดอลังการที่เปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อย แกรนด์ แอสเสท เผยเร่งพัฒนาอีกหลากหลายโปรเจ็กต์ในอนาคตอันใกล้ ที่จะมาเติมเต็มความสมบูรณ์แบบและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เหนือระดับ ทั้ง Sky Bar ร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งในคอนเซ็ปต์ Sail to Sea และโปรแกรมการดูแลสุขภาพ ทั้งการปรับสมดุลร่างกายและจิตใจ ทรีตเมนต์ การดูแลโภชนาการ การออกกำลังกายและทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยมีผู้เชี่ยวชาญและเทรนเนอร์คอยดูแล อาทิ โยคะ พิลาทิส กีฬาทางน้ำ โดยการบริหารงานของอมาธารา เวลเลชเชอร์ รีสอร์ต     คุณอาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย บริษัท ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เปิดเผยข้อมูล “ปัจจุบันโครงการที่พักอาศัยตากอากาศลักชัวรีในต่างจังหวัดได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ติดชายทะเล ส่วนใหญ่ซื้อไว้สำหรับอยู่อาศัยเองเป็นบ้านพักตากอากาศหลังที่สองและสำหรับลงทุนในระยะยาว ซึ่งตัวโปรดักต์ต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาวได้ โดยโครงการที่อยู่ในมิกซ์ยูสและมีบริการจากเครือโรงแรม (Branded Residence) จะได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากกว่าโครงการทั่วไป  ซึ่งจังหวัดระยองเองยังไม่เคยเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูสที่มีที่พักอาศัยตากอากาศในรูปแบบพูลวิลล่ามาก่อน ทำให้โครงการมีความแตกต่างและคาดว่าจะได้รับความสนใจที่ดีจากกลุ่มลูกค้าระดับบน นอกจากนี้ ความสะดวกสบายจากสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ บริการที่เสมือนอยู่ในโรงแรมที่มีบริการ อาทิ Concierge Service ตลอด 24 ชั่วโมง Wellness Program ที่มาสร้างสุขภาวะที่ดีในการอยู่อาศัย รวมถึงความหลากหลายของตัวโครงการไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม ลักชัวรีพูลวิลล่า พร้อมร้านอาหาร ซึ่งถือว่าตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแบบครบจบในที่เดียว ด้วยองค์ประกอบต่างๆ ที่กล่าวมา ซีบีอาร์อีเชื่อว่าโครงการมิกซ์ยูสและที่พักอาศัยตากอากาศในรูปแบบ Branded Residence Pool Villa จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าและสร้างมูลค่าให้กับโครงการในอนาคตได้” ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง facebook.com/AmataraResidencesRayong และ https://www.grandeasset.com/ หรือ โทร. 0955759999 เพื่อนัดหมายเพื่อเข้าเยี่ยมชมโครงการ   บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ วางเป้า 5 ปีทำรายได้หมื่นล้าน ESTAR ลุยทำเลทอง บ้านฉาง – ระยอง  
[PR News] มิวนีค พร้อมพงษ์ กวาดยอดขาย 90% สุดปังมูลค่ากว่า 3,400 ล้านบาท     

[PR News] มิวนีค พร้อมพงษ์ กวาดยอดขาย 90% สุดปังมูลค่ากว่า 3,400 ล้านบาท     

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ (MJD) ประกาศความสำเร็จโครงการมิวนีค พร้อมพงษ์ (MUNIQ Phrom Phong) เปิดขายรอบ VVIP และพรีเซลในช่วงต้นปี กวาดยอดขายไปกว่า  มูลค่ากว่า 3,400 ล้านบาท มั่นใจพร้อมเปิดขายโครงการระดับลักชัวรีทำเลใจกลางเมืองเพิ่มอีกเร็ว ๆ นี้ ดร. สุริยา พูลวรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือ “MJD” กล่าวว่า ท่ามกลางสภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงชะลอตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2567 โครงการมิวนีค พร้อมพงษ์ เป็นคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีมูลค่าโครงการ 3,700 ล้านบาท ที่มีกระแสตอบรับดีที่สุดในตอนนี้ สามารถทำยอดขายในช่วงพรีเซลได้อย่างถล่มทลายในเวลาเพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น MUNIQ Phrom Phong โครงการมิวนีค พร้อมพงษ์ เป็นคอนโดมิเนียมสูง 34 ชั้น จำนวน 106 ยูนิต ตั้งอยู่บนที่ดิน 1 ไร่ 91 ตารางวา ติดริมถนนสุขุมวิทปากซอยสุขุมวิท 39 ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS พร้อมพงษ์เพียง 20 เมตร และใกล้กับศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ (The EmQuartier) เพียงแค่ 100 เมตร ซึ่งถือเป็นสุดยอดทำเลใจกลางเมืองย่านพร้อมพงษ์และจัดเป็นหนึ่งในทำเลที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ โครงการถูกออกแบบด้วยแนวคิด “Class is Permanent” พร้อมการดีไซน์อาคารในรูปแบบ “Manhattan Motif”     โครงการยังคำนึงถึงความส่วนตัวในการอยู่อาศัย ด้วยจำนวนยูนิตสูงสุดเพียง 5 ยูนิต ต่อชั้นเท่านั้น รูปแบบห้องมี 4 แบบ ได้แก่ 1, 2, 3 และ 4 ห้องนอน ราคาตั้งแต่ 15.9 ล้านบาท พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ได้แก่ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ห้องโยคะ ห้องซาวน่าและสตรีม ห้องจัดเลี้ยงส่วนตัวในแบบ Chef’s Table และที่จอดรถมากถึง 141 คัน     ปัจจุบัน มิวนีค พร้อมพงษ์ ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมโครงการที่ 3 ภายใต้แบรนด์มิวนีค ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้ว หลังจากรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) ได้รับการอนุมัติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ คาดว่าการก่อสร้างทั้งหมดจะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ปี 2570   “กระแสตอบรับที่ดีของมิวนีค พร้อมพงษ์ ทำให้เรามั่นใจในศักยภาพของตลาดและความต้องการของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น และพร้อมเปิดตัวโครงการใหม่ Luxury Condominium opposite Shrewsbury โครงการ Muniq เจริญกรุง ที่กำลังจะเปิดขายเร็วๆนี้” ดร สุริยา กล่าว ซึ่งในปี 2567  บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เจาะหลายเซ็กเมนท์ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการภายใต้แบรนด์ Mayfield (เมย์ฟิลด์) พรีเมียมทาวน์โฮมระดับไฮเอนด์ที่ออกแบบให้ใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ แบรนด์ Mayfield Lane (เมย์ฟิลด์ เลน) แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักชูรีทำเลใจกลางเมือง  แบรนด์ Muniq คอนโดพรีเมียมในกลางเมือง และแบรนด์ใหม่ที่เน้น Super Luxury เพื่อให้สินค้าครอบคลุมทุกพื้นที่ ตั้งแต่ใจกลางย่านธุรกิจ (CBD) ไปจนถึงพื้นที่ใจกลางธุรกิจส่วนต่อขยาย (Extended CBD)   บทความน่าสนใจ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ MAJOR Pet Family Residences ผู้นำที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้ 100% ทุกโครงการ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ อีก 5 ปีทรานฟอร์ม สู่ Lifescape Developer  
[PR News] ชญาดา บิซ เพลส ศรีนครินทร์-อ่อนนุช  ทาวน์โฮมสไตล์ออฟฟิศ  เริ่มต้น 14 ล้านบาท

[PR News] ชญาดา บิซ เพลส ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ทาวน์โฮมสไตล์ออฟฟิศ เริ่มต้น 14 ล้านบาท

“สวอน เอสเตท” เปิดตัวโครงการทาวน์โฮมสไตล์ออฟฟิศ “ชญาดา บิซ เพลส”ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ทาวน์โฮม 3.5 ชั้น 44 ยูนิต แบบ 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ บนทำเลที่มีศักยภาพมากที่สุดพร้อมความโดดเด่นรอบด้าน รองรับความสมดุลที่ลงตัวของการใช้ชีวิตและการทำงาน ด้วยดีไซน์ฟังก์ชันการปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างธุรกิจของตัวเอง บนแนวคิดทำให้ลูกค้าพึงพอใจในยามซื้อ มีความสุขในยามอยู่อาศัย และมีความสบายใจในยามที่ต้องขาย ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองหาการลงทุนที่อยู่อาศัยที่คุ้มค่าระยะยาว เพื่อเป็นรางวัลความสำเร็จในชีวิต เปิดตัวเริ่มต้น 14 ล้านบาท   สวอน เอสเตท   นายเทธดา อุชุปาละนันท์ กรรมการผู้บริหาร บริษัท สวอน เอสเตท จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มการซื้อที่อยู่อาศัยว่า ผู้บริโภครุ่นใหม่ไม่ได้มองการซื้อบ้านเป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต แต่มองเป็นปัจจัยเพื่อการออมเงินและการลงทุนมากกว่า ดังนั้น เทรนด์การซื้อบ้านในปัจจุบันและอนาคตภาพรวม คือ ‘การซื้อที่อยู่อาศัยที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย และมีความคล่องตัวในการซื้อขาย’ จึงมีความสำคัญมากที่โครงการจะต้องเข้าใจในสิ่งที่ผู้บริโภครุ่นใหม่ต้องการ นั่นคือตอบโจทย์ความสมดุลของชีวิตที่ทำงานหนักแต่ก็ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน กลุ่มนี้จึงไม่ลังเลที่จะให้รางวัลเรื่องบ้านกับตัวเอง แต่ต้องเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แม้ราคาสูง-แต่หากทำให้เกิดผลสำเร็จในแผนการดำเนินชีวิตระยะยาวก็พร้อมจะตัดสินใจทันที                ชญาดา บิซ เพลส’(Chayada Biz Place) เจอะกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุ 35-53 ปี บริหารธุรกิจได้ด้วยตัวเอง พร้อมมีความฝันที่จะเป็นเจ้านายตัวเอง ผ่านที่อยู่อาศัยที่มีรูปแบบและทำเลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการเริ่มต้นธุรกิจ เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าให้ไปได้ไกลถึงเป้าหมาย โครงการดังกล่าวจึงมีจุดเริ่มต้นพัฒนาขึ้น ‘ในทำเลที่มีศักยภาพมากที่สุด’ บนโซน ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ซึ่งมีทำเลอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครฯ และติดกับถนนเส้นหลัก ทั้งยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับพื้นทีสมุทรปราการซึ่งเป็นทำเลรอง ทำให้มีราคาที่ตอบโจทย์ต่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย และยังรองรับต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้แบบครอบคลุม             ‘พึงพอใจในยามซื้อ มีความสุขในยามอยู่อาศัย และมีความสบายใจในยามต้องขาย’ เป้าหมายเราจึงเป็นการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดและต้องไม่เป็นภาระให้กับลูกค้าในอนาคต นั่นเพราะเราเข้าใจในวัฏจักรของตลาดบ้านเป็นอย่างดี เพราะหากลูกค้ามีความจำเป็นต้องขายบ้าน เราก็อยากให้ลูกค้าสามารถขายได้รวดเร็วและได้ราคา ซึ่ง ชญาดา บิซ เพลส มีศักยภาพมากพอที่จะตอบโจทย์แนวคิดนี้ทุกด้าน” คุณเทธดา กล่าว             สำหรับ ชญาดา บิซ เพลส (Chayada Biz Place) เป็นทาวน์โฮม 3.5 ชั้น สไตล์โฮมออฟฟิศ เน้นรูปแบบความหรูหราอินเทรนด์ที่สามารถปรับใช้งานได้หลากหลาย มีทั้งหมด 44 ยูนิต แบบ 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ พื้นที่ใช้สอย 248 ตร.ม. บนเนื้อที่เริ่มต้น 24.8 ตร.ว. ที่ตัวบ้านและผังโครงการถูกออกแบบเป็น Private Luxuryโดยเมื่อผ่านเข้ามาทางซุ้มประตูสีขาวขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมสวนและต้นไม้ใหญ่ไว้ จะเห็นตัวอาคารที่ออกแบบไว้อย่างสวยงามล้อมวงหันหน้าเข้าหากัน ต้อนรับผู้มาเยือนด้วยบรรยากาศที่ร่มรื่นน่าอยู่ อีกทั้งในโครงการยังมีอาคารพิเศษ 14 ยูนิตที่สามารถเปิดเข้า-ออกได้ 2 ทาง เพราะมีด้านหลังติดถนนนอกโครงการ เหมาะกับการปรับใช้ประโยชน์เปิดร้านทำธุรกิจ พร้อมจุดเด่นที่ช่วยเติมเต็มความดุลทั้งการพักอาศัย การทำงาน การเดินทาง ได้ครบทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็น จุดเด่นที่ตัวโครงการ เพราะเป็นการผสานกันระหว่าง ทาวน์โฮม กับ โฮมออฟฟิศ จึงเป็นที่มาของคำว่า ‘ทาวน์โฮมสไตล์โฮมออฟฟิศ’ บนทำเลที่ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยและทำธุรกิจ ข้อดีทาวน์โฮมที่ไม่ใช่อาคารพาณิชย์คือลูกค้าสามารถขอสินเชื่อจากธนาคารในเงื่อนไขเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งจะได้ดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า กู้ได้มากกว่าและนานกว่าการกู้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น จุดเด่นที่ทำเลที่ตั้ง ตัวโครงการตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ ปากซอยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 67 เดินทางได้สะดวก ใกล้กับเส้นทางคมนาคมและสถานที่สำคัญหลายเส้นทาง อาทิ ถนนบางนา-ตราด, ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลบางนา, เมกะบางนา, อิเกีย บางนา, รพ.สินแพทย์ ศรีนครินทร์, รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์, สนามบินสุวรรณภูมิ และยังได้เปรียบในแง่ทำเลการขาย-ทำธุรกิจที่เข้าถึงง่าย จดจำง่ายอีกด้วย   จุดเด่นที่เป็นโครงการใหม่ มีบรรยากาศรายล้อมด้วยภูมิทัศน์ธรรมชาติ Panoramic Gaden View ที่กว้างสุดสายตา และพื้นที่ Clubhouse สไตล์โมเดิร์น รองรับการผ่อนคลายจากช่วงเวลาการทำงาน ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยที่ต้องการสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การทำธุรกิจที่ช่วยสร้างภาพจำดีเป็นที่ชื่นชอบของผู้มาเยือน จุดเด่นเรื่องที่จอดรถ ภายในโครงการมี Convenient Parking Lot ที่จอดรถรวมกว่า 200 คัน เป็นที่จอดในแต่ละยูนิตรวม 88 คัน และที่จอดนอกยูนิตอีกกว่าร้อยคัน รวมไปถึงที่จอดนอกโครงการ ซึ่งสามารถรองรับกับลูกบ้านและแขกคนสำคัญที่เข้ามาร่วมทำกิจกรรมหรือการสันทนาการ เพื่อสร้างช่วงเวลาดี ๆ ได้เป็นอย่างดี จุดเด่นเรื่องฟังก์ชัน ตัวบ้านได้รับการออกแบบให้ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย จากรูปแบบ 3.5 ชั้น ที่นำครึ่งชั้นนี้ไปมอบให้กับห้องมาสเตอร์ แบบ Double Volume จนกลายเป็นห้องที่โอ่โถงและกว้างขวางสมเป็นห้องของเจ้าของบ้านอย่างแท้จริง รวมถึงมีฟังก์ชันเพื่อความปลอดภัยแบบ 2 ชั้น Smart Security หรือ Double-gated Security ที่คอยปกป้องดูแลและสอดส่องเฝ้าระวังอันตรายตลอด 24 ชั่วโมง   จุดเด่นเรื่องวัสดุก่อสร้างและคุณภาพ กำแพงก่อด้วยอิฐมวลเบา 2 ชั้น วัสดุเกรด A ตั้งแต่พื้น ประตูหน้าต่าง สุขภัณฑ์ห้องน้ำ ตกแต่งหรูหราเหมือนกับบ้านเดี่ยว พร้อมแนวทางที่จะไม่ลดทอนคุณภาพจากราคาวัสดุเพื่อชดเชยค่าที่ดินที่สูงขึ้นกว่าโครงการอื่นๆ นอกจากนี้ ชญาดา บิซ เพลส ยังมีแนวทางสำคัญที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์กับเทรนด์ความต้องการประสบความสำเร็จบนวิถีแห่งความสมดุลของชีวิต หรือ Work Life Balance & Success ซึ่งเป็นแนวทางคนรุ่นใหม่ที่ทำงานหนักเพื่อความสำเร็จอย่างชาญฉลาด และให้รางวัลกับชีวิตอย่างเต็มที่ โดยด้วยความสามารถในการปรับรวมที่อยู่อาศัยกับที่ทำงานให้เป็นสถานที่เดียวกัน เพื่อช่วยให้ได้ทุ่มเทกับงานและครอบครัวได้อย่างเต็มที่ไปพร้อม ๆ กัน   บทความน่าสนใจ โฮมโปร ประกาศยุทธศาสตร์ 5 ปี สู่ธุรกิจแสนล้าน ปั้นธุรกิจเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน
[PR News]Sansiri Community จัดงาน Sansiri Woof Fun Run สี่ขาพาวิ่งที่เวสต์เกต

[PR News]Sansiri Community จัดงาน Sansiri Woof Fun Run สี่ขาพาวิ่งที่เวสต์เกต

นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การสานต่อโมเดล Sansiri Community สังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ โดยในทุกแผนการปั้น Sansiri Community จะประกอบไปด้วยแผนพัฒนาโครงการและไลน์อัพกิจกรรมไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง แสนสิริส่งมอบคุณภาพการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนให้กับลูกบ้าน ที่เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย และในช่วงต้นปีนี้ เราพร้อมต่อยอดการปั้น “เวสต์เกต คอมมูนิตี้” ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดได้จัดงาน Sansiri Woof Fun Run สี่ขาพาวิ่งที่เวสต์เกต ที่เต็มไปด้วยความสนุก กับกิจกรรมวิ่งของเจ้าของกับน้องหมา รวมกว่า 100 คู่ และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น การตรวจสุขภาพเบื้องต้นของน้องหมา, โซนดนตรีสด, โซนอาหาร-เครื่องดื่ม และโซนร้านค้าสำหรับคนและสัตว์เลี้ยง โดยกิจกรรมได้รับการตอบรับดีเยี่ยม มีผู้เข้าร่วมงานคับคั่ง” Sansiri Community เวสต์เกต คอมมูนิตี้ (Westgate Community) คอมมูนิตี้แห่งใหม่จากแสนสิริ ตั้งอยู่บนพื้นที่รวมประมาณ 215 ไร่ ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพ ที่เข้าสู่การเป็นศูนย์กลางความเจริญทางฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ บริเวณเลียบคลองถนน และ ถนนเลียบคลองบางไผ่ เชื่อมไปถนนกาญจนาภิเษก รัตนาธิเบศร์ ราชพฤกษ์และชัยพฤกษ์ ทำให้เดินทางง่ายทั้งขนส่งสาธารณะและรถยนต์ส่วนตัว ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีคลองบางไผ่ 1.9 กิโลเมตร และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศร์ 4.3 กิโลเมตร ใกล้เซ็นทรัล พลาซ่า เวสต์เกตและอิเกีย บางใหญ่ 4.7 กิโลเมตร   โดยเวสต์เกต คอมมูนิตี้ ได้รับการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ The Seasonal Valley ที่มี 3 ฤดู ได้แก่ Winter Zone, Rainy Zoneและ Spring Zone พร้อมทั้งตกแต่งพื้นที่ในแต่ละโซนด้วยต้นไม้ตามฤดูกาล เพื่อสร้างบรรยากาศร่มรื่นให้กับผู้อยู่อาศัยตลอดโครงการ ให้พื้นที่ทุกตารางเมตร รองรับการใช้ชีวิตของครอบครัวทุกเจเนอเรชั่น ปัจจุบัน ภายในเวสต์เกต คอมมูนิตี้แห่งนี้ประกอบด้วย 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท ได้แก่ ‘อณาสิริ เวสต์เกต’ บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดพร้อมอยู่ สไตล์ Mediterranean และ ‘สราญสิริ เวสต์เกต’ บ้านเดี่ยวสไตล์ Modern Farmhouse     ปัจจุบัน แสนสิริพัฒนา Sansiri Community แล้วทั้งหมดรวม 8 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพกรีฑา, บางนา-เลค 26, รังสิต-บางพูน, ราชพฤกษ์-346, กรุงเทพ-ปทุมธานี, เวสต์เกต, พระราม 2-วงแหวน และประชาอุทิศ 90 และเตรียมเปิดใหม่อีก 4 แห่งในปีนี้ ได้แก่ ศรีนครินทร์-แพรกษา, บางนา กม. 10, ศรีวารี และวงแหวน – ลำลูกกา     บทความน่าสนใจ แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต” แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด
พฤกษา กางแผน ปี67  “อยู่ดี มีสุข” บ้านแบบครบวงจร ตั้งเป้ารายได้ 28,000 ล้านบาท

พฤกษา กางแผน ปี67 “อยู่ดี มีสุข” บ้านแบบครบวงจร ตั้งเป้ารายได้ 28,000 ล้านบาท

นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานในปี 2566 ว่า พฤกษา โฮลดิ้ง มีรายได้ 26,132 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,205 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีการพัฒนาแบรนด์สินค้าใหม่ “บ้านกรีนเฮ้าส์” เพื่อตอบรับกับกำลังซื้อที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการนำเทคโนโลยีและการออกแบบการก่อสร้างแบบใหม่มาใช้ ให้ลูกค้าสามารถผ่อนกับธนาคารได้ เพื่อให้สอดคล้องกับดีมานด์ในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน   สำหรับทิศทางในปีนี้ มุ่งเพิ่มสัดส่วนในสินค้าในกลุ่มเซกเมนต์กลาง-บน ให้สูงขึ้นมากกว่า 50% โดยคาดว่าจากปี 2562 ที่มีสัดส่วนสินค้ากลุ่มราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ราว 70% ในปีนี้วางแผนปรับลดให้เหลือราว 40% เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมากขึ้น ในช่วงปีที่ผ่านมาทางกลุ่มก็ได้มีการปรับโครงสร้าง และโมเดลธุรกิจหลายอย่าง ได้นำบริการด้านสุขภาพจากเครือวิมุต ผนวกกับเทคโนโลยีระบบ Smart Home จากแอปพลิเคชัน MyHuas นำเข้ามาปรับใช้ในการออกแบบโครงการ เพื่อเสริมความแข่งแกร่งของธุรกิจหลัก ด้วยการแยกกลุ่มธุรกิจ ออกมาอีก  4 แกน ได้แก่       ธุรกิจเฮลท์แคร์ ครอบคลุมบริการทางสุขภาพตั้งแต่โรงพยาบาลวิมุต และโรงพยาบาลเทพธารินทร์ มีการสร้างความร่วมมือ และการลงทุนใหม่ ๆ เช่น การลงทุน เข้าถือหุ้น 25% ในบริษัท เค.พี.เอ็น ซีเนียร์ ฮอสปิตัล กรุ๊ป เตรียมขยายการบริการเนอร์สซิ่งโฮม ตั้งเป้าขยาย 600 เตียงภายใน 3 ปี กลุ่มยังมีแผนลงทุน 3,500 ล้านบาท ขยายโรงพยาบาลเฉพาะทางที่สุขุมวิท ขยายเตียงที่โรงพยาบาลวิมุตเป็น 150 เตียง พร้อมเติบโตสู่เป้า 2,300 ล้านบาทในปี 2567   ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ภายใต้การดำเนินงานของ  บริษัท ซินเนอร์จี โกรท จำกัด ในเครือพฤกษา ตั้งเป้าโต 5x ในปี 2567 และหวังสร้างรายได้กว่า 1,000 ล้านบาทใน 3 ปี จะนำเสนอสินค้าและบริการเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ โดยได้พัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีแอปพลิเคชัน MyHaus เพื่อเป็นศูนย์กลางที่จะดูแลทั้งเรื่องความปลอดภัยภายในบ้าน และอำนวยความสะดวกสบายให้ลูกบ้านและนิติบุคคล ด้วยระบบ IOT (Security & Smart Home) ควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ดูแลได้ทั้งบ้านด้วยแอปพลิเคชันเดียว, Visitor Management ระบบคัดครองผู้มาเยือน, Facility Booking ระบบจองสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในโครงการ, Repair Management ระบบแจ้งซ่อมแซมบ้าน เพื่อให้สำนักงานนิติบุคคลติดต่อนัดเวลาช่างเข้าซ่อมอย่างมีระเบียบ รวมไปถึงระบบ Community ที่จะสร้างพื้นที่ให้ลูกบ้านสื่อสารกันได้ ซึ่งได้เตรียมพร้อมที่จะรองรับ การให้บริการแก่ลูกค้าจากกลุ่มเรียลเอสตทของพฤกษา ไปจนถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Clickzy.com (คลิกซิ) ที่รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ให้เลือกช้อปสินค้าที่เกี่ยวกับบ้าน บริการตกแต่งภายในจาก Zdecor และสินค้าเพื่อการดูแลสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์   กลุ่มหน่วยธุรกิจใหม่ ที่แยกออกมาเพื่อรองรับการเติบโต เปิดโอกาสการสร้างรายได้เพิ่มเติม เช่น ธุรกิจพรีคาสท์ จากความประสบความสำเร็จจากการแลกหุ้น ร่วมกับ บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GEL เพื่อเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของ “อินโน พรีคาสท์” เพิ่มโอกาสในการจำหน่ายแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ ทำยอดคำสั่งซื้อและติดตั้ง (Backlog) ทั้งจากพฤกษาและลูกค้ารายอื่น ๆ สูงขึ้นทะลุเป้าหมายอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท สู่ผู้นำที่ใหญ่ที่สุดในไทย ตั้งเป้ารายได้โต 50% สู่ 3,500 ล้านบาท   ในปี 2567 และกลุ่มก็ได้มีการแยกหน่วยงาน ธุรกิจรับก่อสร้าง สำหรับอาคารที่พักอาศัย ออกมาเป็นบริษัทใหม่ “อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น” ซึ่งเป็นการปรับองค์กรครั้งใหญ่เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้นและสามารถรองรับการขยายโอกาสในการเติบโตและสร้างรายได้จากการรับก่อสร้าง ตั้งเป้าปี 2567 จะสร้างรายได้ 5,600 ล้านบาท จากพฤกษาและลูกค้ารายอื่นนอกจากกลุ่ม มุ่งสู่ความเป็นบริษัทรับก่อสร้างบ้านแนวราบที่ใหญ่ที่สุดในไทย   การลงทุนเพื่อรองรับการขยายห่วงโซ่ธุรกิจ ขยายการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์  และ อสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นด้านการดูแลสุขภาพ   จากประกาศความร่วมมือกับ 2 องค์กรชั้นนำจากสิงคโปร์และไต้หวัน  จัดตั้งกองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” มูลค่าทรัพย์สินเป้าหมาย 25,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการคลังจัดเก็บและกระจายสินค้าให้บริการครอบคลุมทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการลงทุนในกองทุน CapitalLand Wellness Fund ( C-Well) มูลค่าทรัพย์สินเป้าหมาย 72,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นด้านการดูแลสุขภาพ ด้วยการรีโมเดลธุรกิจ และโครงสร้างองค์กรในปีที่ผ่านมา ทำให้ในปี 2567 นี้ เราเชื่อว่าพฤกษา โฮลดิ้งพร้อมด้วยกลุ่มบริษัทในเครือทั้งหมด  มีความพร้อมทั้งด้านการปฏิบัติการ และ ความพร้อมทางการเงิน ที่จะเดินหน้าสู่ทิศทางแห่งการเติบโตอย่างก้าวไกลไปอีกขั้น ตามกลยุทธ์ Ready To Thrive  ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับจากการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ในครั้งนี้ได้แก่ (1) ประโยชน์จากการจัดซื้อจ้างในครั้งละจำนวนมาก การขนส่ง และการเพิ่มคุณค่าสินค้าให้โครงการ (2) เพิ่มโอกาสในการขายข้ามกลุ่มสินค้า (Cross-Selling) รองรับความต้องการของลูกค้าในทุกช่วงชีวิต (3) สร้างรายได้เพิ่มเติม จากสินค้าและบริการต่างๆ ที่หลากหลาย ตั้งเป้าในอนาคต เพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำเป็น 25%  โดยผสานประโยชน์จากทุกแพล็ตฟอร์มเพื่อรังสรรค์การอยู่อาศัยที่ “อยู่ดี มีสุข” ตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้  ทั้งนี้ในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้ทั้งกลุ่มรวม 28,000 ล้านบาท เปิดโครงการใหม่มูลค่าราว 29,000 ล้าน ในขณะที่สถานะทางการเงินของพฤกษายังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อหุ้นทุนสุทธิ (Net Gearing Ratio) อยู่ในระดับต่ำที่ 0.27 เท่า และจากผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการบริษัทฯ ก็ได้อนุมัติจะนำเสนอผู้ถือหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผลเท่ากับ 65 สตางค์ รวมเงินปันระหว่างกาลแล้วจ่ายทั้งสิ้นเท่ากับ 96 สตางค์ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 1 มี.ค. โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 เมษายน 2567 มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเท่ากับ 7.5% และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 24 พ.ค.นี้ ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2566 พฤกษาทำรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ราว 22,357 ล้านบาท มียอดขาย 18,540 ล้านบาท  เปิดโครงการใหม่รวม 13 โครงการ มูลค่า 14,200 ล้านบาท  ส่วนในปี 2567 ตั้งเป้ายอดขายที่ 27,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอนที่  25,500 ล้านบาท วางแผนเปิดโครงการใหม่ 30 โครงการ แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 10 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 17 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 3 โครงการ  รวมมูลค่าทั้งหมดราว 29,000 ล้านบาท โดยมีที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ ที่จะแปลงเป็นรายได้ รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท  โดยวางแผนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) ด้วยการเพิ่มสินค้าสำหรับกลุ่มลูกค้าในเซ็กเม้นต์ระดับกลาง - สูง  พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มของแบรนด์ The Palm สู่ราคามากกว่า 30 ล้านบาท ที่นำความร่วมมือ (Synergy) จากธุรกิจเฮลท์แคร์ในเครือเข้ามาผสานใช้ ให้เป็นภาพใหญ่ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น   พร้อมมุ่งบริหารสินทรัพย์ที่มีในมือ  โดยในปี 2567 ตั้งเป้าในการ Re-Stock Landbank ด้วยงบ 10,500 ล้านบาท เพื่อมาต่อยอดการขยาย มุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อจะคงสัดส่วนการพัฒนาตามกลุ่มลูกค้าราคาบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาทให้ไม่เกิน 40% และมากกว่า 7 ล้านบาทให้มากกว่า 30% สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยที่จะเปิดใหม่ในปี 2567 จะยังคงมุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิด “อยู่ดี มีสุข” โดยผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจในเครือพฤกษาทั้งธุรกิจด้านสุขภาพ และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างสรรค์การอยู่อาศัยที่ดี ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เลือกใช้วัสดุอุปกรณ์เพื่อการประหยัดพลังงาน อาทิ โซล่าเซลล์ พัฒนาดีไซน์บ้านเพื่อสุขภาพดี และประหยัดพลังงาน (Healthy living home & Passive design home) ให้ดูแลรักษาง่าย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย (Universal design) และช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้อาศัย พร้อมด้วยการตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เพื่อให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น โดยนำแพลตฟอร์ม MyHuas  ซึ่งป็นเทคโนโลยี Smart Home ควบคุมการทำงานในบ้านได้ที่ปลายนิ้ว มาใช้  พร้อมด้วยมอบบริการเพื่อสุขภาพที่ดีจากโรงพยาบาลวิมุตพันธมิตรในเครือ   ด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ นายแพทย์พิชิต กังวลกิจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต จำกัด   เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2566 ว่า กลุ่มวิมุตมีการเติบโตขึ้นในทุกมิติ มีรายได้รวม 1,820 ล้านบาท เติบโต 50% จากปีก่อน มีจำนวนผู้ป่วย Non-COVID ที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาลวิมุตเพิ่มขึ้น 49%  ในปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลวิมุตประสบความสำเร็จในการเปิดศูนย์ส่องกล้องและหน่วยเฉพาะทางการเคลื่อนไหวระบบทางเดินอาหาร (ENDOSCOPY & GI MOTILITY UNIT)  ผลักดันการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคยากและซับซ้อนที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ เราได้เปิดตัวโปรแกรมการทำเลสิก (LASIK) และ โปรแกรมตรวจสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้เฉพาะบุคคล (Gut Microbiome Test) ร่วมกับแอมิลิ (AMILI) บริษัทเฮลท์เทคชั้นนำจากสิงคโปร์   มุ่งช่วยคนไทยเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยและการรักษาอย่างตรงจุด และยังช่วยให้แพทย์สามารถแนะนำการปรับสมดุลจุลินทรีย์ให้เหมาะกับคนไข้แต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการรักษาสมดุลของไมโครไบโอมในลำไส้ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรคร้าย รวมถึงสร้างสุขภาพกายและใจที่ดีในระยะยาว   นอกจากนี้โรงพยาบาลวิมุตยังคงต่อยอดความร่วมมือกับโรงพยาบาลรามาธิบดี  เพิ่มทางเลือกและการเข้าถึงบริการทางสุขภาพ 17 แพ็คเกจ อาทิ แพ็คเกจผ่าตัดถุงน้ำดี ผ่าตัดมดลูก เต้านม ก้อนเนื้อที่รังไข่ ซ่อมแซมไส้เลื่อน ผ่าตัดริดสีดวงทวาร เปลี่ยนข้อเข่าเทียม ผ่าตัดก้อนหรือผิวหนัง เป็นต้น พร้อมกับได้มีการขยายบริการไปยังกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มประเทศในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับปี 2567 กลุ่มวิมุตตั้งเป้ารายได้ที่ 2,300 ล้านบาท มีแผนการรีแบรนด์โรงพยาบาลเทพธารินทร์ ให้เป็น “โรงพยาบาลวิมุต เทพธารินทร์” พร้อมเปิดตัวในช่วงเดือนเมษายนนี้ นอกจากนี้จากความร่วมมือกับ เค.พี.เอ็น ซีเนียร์ ฮอสปิตัล กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุและเป็นโซลูชั่นในการดูแลผู้สูงอายุครบทุกมิติเพื่อขยายการรองรับสู่สังคมอายุยืน เข้าบริหารเนอร์สซิงโฮมของกลุ่มวิมุตในย่านบางนา แบริ่ง และวัชรพล ซึ่งมีจำนวนรวม 240 เตียง พร้อมโอกาสในการบริหารเนิร์สซิงโฮมอีก 5 แห่ง โดยตั้งเป้าขยายจำนวนเตียงที่ให้บริการรวม 600 เตียง ภายใน 3 ปี พร้อมทั้งยังคงดำเนินการก่อสร้างโรงพยาบาลวิมุต แห่งใหม่ บริเวณถนนสุขุมวิทและย่านฝั่งธนฯ อย่างต่อเนื่อง     “สำหรับการดำเนินงานในก้าวต่อไปพฤกษายังคงมุ่งมั่นสู่การสร้างความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญต่อการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ในปี 2566 กลุ่มได้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ลงได้ 10,000 ตัน จากการติดตั้งโซลาร์, การออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน (Passive Home),  การใช้เทคโนโลยี Smart Home, โครงการร่วมปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศน์, การใช้คอนกรีตสำเร็จรูปชนิดมีรูกลวง (Hollow Core) ลดการใช้ซีเมนต์,  การใช้เทคโนโลยีสีเขียว  “คาร์บอนเคียว”  (CarbonCure)  และยังคงเดินตามแผนที่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ภายในปี 2573 และเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ในปี 2593 ในปี 2566 กลุ่มได้นำการทำอาคารสำนักงานแบบ Smart Office และ Smart Hospital โรงพยาบาลที่ใช้พลังงานน้อย โดยล่าสุดโรงพยาบาลวิมุตได้รับรางวัล MEA Energy Award  จากการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ในโครงการส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารอีกด้วย” นายอุเทนกล่าวทิ้งท้าย   บทความน่าสนใจ แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว SC ASSET ตั้งเป้า5ปี 150,000 ล้าน ภายใต้แนวคิด “มหาศาล มั่นคง สมดุล“    
CHEWA เปิดแผนปี พร้อมลุยจุดแข็ง เสริมแกร่งด้วยพันธมิตร

CHEWA เปิดแผนปี พร้อมลุยจุดแข็ง เสริมแกร่งด้วยพันธมิตร

นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ยังเผชิญปัจจัยลบมากมาย ทั้ง GDP ของประเทศไทยที่คาดว่าจะโตเพียง 3.2% ในปี 2567 ,ระดับหนี้ครัวเรือนสูง แตะ 90% , ระดับความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำในทุกภาคส่วน ,อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูง ,นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เพียงพอ ประกอบกับการเติบโตหยุดชะงักจากสงครามยูเครนและตะวันออกกลางที่กำลังดำเนินอยู่ ปัจจัยทั้งหมดทำให้ความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น   ชีวาทัย ปัจจัยเหล่านี้ยังส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพราะเกณฑ์การจัดหาเงินทุนเพื่อลงทุนในโครงการใหม่มีความเข้มงวดมากขึ้น รวมถึงปัจจัยอื่นๆของตลาดที่อยู่อาศัย ในภาพรวมสะท้อนว่า กำลังซื้อตามไม่ทันปริมาณสินค้าใหม่ที่เกิดขึ้น ตลาดในกลุ่มทาวน์โฮมมีสินค้าเข้าสู่ตลาดมากกว่าความต้องการ จนทำให้เกิดสงครามราคาต่อเนื่องเพื่อลดสต๊อกสินค้าลง ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่กระทบกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น แต่บริษัทยังเห็นโอกาสการเติบโตของตลาดบ้านในช่วงราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท และตลาดของคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ในทำเลคุณภาพที่ราคาไม่แพงซึ่งเป็นจุดแข็งที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเสมอมา บริษัทยังคงค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และเปิดรับการร่วมลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯมีแผนการลงทุนและเปิดโครงการใหม่ เริ่มจากการเปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ชีวารมย์ โครงการ ชีวารมย์ นิว ราชพฤกษ์ อยู่บริเวณถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ (ถนนหมายเลข 346) มูลค่าโครงการประมาณ 687 ล้านบาท  ซึ่งเริ่มรับรู้รายได้แล้วในช่วงไตรมาสที่4 /2566 โครงการคอนโดมิเนียม “ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค เอกมัย-รามอินทรา” อยู่บริเวณถนนนวลจันทร์ ส่วนเชื่อมต่อถนนรัชดา-รามอินทรา มูลค่าโครงการ 1,014 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2025 นอกจากนี้ บริษัทฯยังวางแผนหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการเพิ่มเติม ตามเป้าหมาย 4 โครงการ ภายในปี 2567 มูลค่าโครงการรวม 3,700 ล้านบาท วงเงินค่าที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ประมาณ  600 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ แบรนด์ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ทั้ง 3 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวแบรนด์ชีวารมย์ 1 โครงการ มูลค่า 700 ล้านบาท โดยในปี 2567 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้ 2, 000 ล้านบาท จากโครงการเดิมที่ยังมี Backlog ทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง   บริษัทยังคงค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ บริษัททำการร่วมทุนในโรงงานให้เช่า โดยได้พันธมิตรที่สร้างโครงการให้ชีวาทัยมามากมายอย่างบริษัท ยูเวิร์ค 999 จำกัด หรือ U work มาเป็นหุ้นส่วนร่วมกัน ด้วยแนวคิดที่ตรงกันว่า ธุรกิจโรงงานให้เช่ามีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง   โดยทางชีวาทัย จะทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบงานด้านการจัดหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ,การตลาด, การขาย, การให้เช่า และดูแลการบริหารจัดการให้กับบริษัทร่วมทุน ส่วนทางยูเวิร์ค จะเป็นผู้รับผิดชอบพัฒนาโครงการ ในการก่อสร้าง ให้คำปรึกษา และ ให้บริการวิศวกรรมโครงสร้าง ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมประปา วิศวกรรมโยธา และนักตกแต่งภายใน ซึ่งเป็นการใช้จุดแข็งของทั้งสองบริษัทมาต่อยอดธุรกิจร่วมกัน โครงการมีการเริ่มต้นก่อสร้างแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายในโครงการนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ระยอง จำนวน 4 โรงงาน มูลค่าโครงการ 210 ล้านบาท คาดจะรับรู้รายได้ในไตรมาสที่3 ของปี 2567 พร้อมมีผู้เช่าเต็มจำนวนในปี 2568   นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ตกลงทำความร่วมมือขยายธุรกิจเพื่อต่อยอดแผนการลงทุน ภายใต้การร่วมทุนกับบริษัทนิปปอน สตีล โควะ เรียล เอสเตท จำกัด (NIPPON STEEL KOWA REAL ESTATE) หรือ NSKRE ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และที่อยู่อาศัยรวมถึงอาคารสำนักงานชั้นนำของญี่ปุ่น ที่มีประวัติยาวนานถึง 70 ปี เป็นการรวมตัวของโควะ เรียล เอสเตท หน่วยงานด้านอสังหาริมทรัพย์ของมิซูโฮ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป หนึ่งในกลุ่มธุรกิจการเงินที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และ นิปปอน สตีล ผู้นำด้านธุรกิจเหล็กของโลก โดยบริษัทฯ ถือหุ้น 51% และนิปปอน สตีล โควะ เรียล เอสเตท ถือหุ้น 49% เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน โดยโครงการแรกเป็นคอนโดมิเนียม “ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค เอกมัย-รามอินทรา” เป็นห้องพักจำนวน 413 ยูนิต และอาคารพาณิชย์ 2 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,014 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2025 และนอกจากโปรเจคนี้ ทางNSKRE ยังทำการศึกษาถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับการร่วมทุนในโครงการทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวต้องการที่จะต่อยอดไปไกลกว่าการพัฒนาที่อยู่อาศัย และมีส่วนร่วมในการพัฒนาในด้านอื่นๆอีกในอนาคต ด้านบริการหลังการขายและการดูแลลูกค้า ยังคงยึดมั่นด้านคุณภาพและบริการหลังการขาย จาก “ ชีวาแคร์ ” ยึดมั่นเป้าหมายขึ้นที่ 1 ในใจลูกค้าด้านคุณภาพและบริการ สำหรับกลุ่มบริษัทอสังหาฯ ช่วงรายได้ไม่เกิน 5 พันล้านบาท และยังคงเดินหน้ารักษาคุณภาพสินค้าให้ลูกค้าตรวจ Zero Defect ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าที่มาซื้อโครงการกับชีวาทัย ได้สิ่งที่ดีและมีคุณภาพสูงสุด ตั้งแต่บริการก่อนการขายตลอดจนถึงบริการหลังการขาย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดสู่ลูกค้าทุกคน ” นายบุญ ชุน เกียรติ กล่าว   บทความน่าสนใ ORI รวมพลังกลุ่มธุรกิจคอนโดสู่ “ORIGIN VERTICAL” กางแผนเปิด 14 โครงการใหม่มูลค่า 20,000 ล้าน ซีคอน มั่นใจปี 67 โต พร้อมขยายโรงงานผลิตโครงสร้างแห่งที่ 2  
ORI รวมพลังกลุ่มธุรกิจคอนโดสู่ “ORIGIN VERTICAL”  กางแผนเปิด 14 โครงการใหม่มูลค่า 20,000 ล้าน

ORI รวมพลังกลุ่มธุรกิจคอนโดสู่ “ORIGIN VERTICAL” กางแผนเปิด 14 โครงการใหม่มูลค่า 20,000 ล้าน

ออริจิ้น ปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจคอนโด รวมพลังและทีมงานมืออาชีพจากออริจิ้นคอนโดมิเนียม-พาร์ค ลักชัวรี-ออริจิ้น เนชั่นวายด์ สู่แบรนด์ “ORIGIN VERTICAL” กางแผนเปิด 14 คอนโดใหม่ทั่วประเทศ 20,000 ล้าน ส่งมอบ Creative Living for Allกระจายบุก3 เซ็กเมนท์หลัก ครอบคลุมตลาด Gen Y-Gen Z-เมืองท่องเที่ยวภูเก็ต พร้อมเดินหน้าคอนโดตอบโจทย์ Pet Family ต่อเนื่อง มุ่งมั่นรังสรรค์งานบริการผ่าน 4 แกน ตั้งเป้ายอดขายทั้งปี 36,000 ล้าน คุณเกรียงไกร กรีบงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม ถือเป็นกลุ่มธุรกิจแรกและกลุ่มธุรกิจหลักของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ แต่เมื่อออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างหลากหลาย จึงได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมให้ชัดเจนมากขึ้น รวมทีมงานจากทั้ง 3 บริษัทในเครือเข้าด้วยกัน และรวมศูนย์การสื่อสารภายใต้แบรนด์และชื่อบริษัทเดียว คือ บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL เพื่อยกระดับการบริหารการออกแบบ การก่อสร้าง และนวัตกรรมต่างๆ ตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า และเพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสารและการจดจำของผู้บริโภค โดยโครงการใหม่ๆ ที่จะพัฒนาต่อจากนี้ จะพัฒนาภายใต้ ORIGIN VERTICAL เท่านั้น ทิศทางการดำเนินงานของ ORIGIN VERTICAL จะขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด “Creative Living for All” หรือ สร้างสรรค์ชีวิต คิดเพื่อคุณ พัฒนาคอนโดมิเนียมที่คำนึงถึงทุกมิติของการใช้ชีวิต อาทิ ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย การปรับสมดุลชีวิต การพักผ่อน ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ นำมาสร้างสรรค์และถ่ายทอดผ่านการคัดเลือกทำเลพัฒนาโครงการ การออกแบบ ฟังก์ชัน นวัตกรรมภายในห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลาง ตลอดจนบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น ตู้เก็บเสื้อผ้าอัจฉริยะ หรือ Smart Closet ห้องครัวอัจฉริยะ หรือ Smart Kitchen รวมถึงออกแบบให้ห้องเพดานสูง 4.2 เมตร   โดยกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปี 2567 จะให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง ได้แก่ Insight วิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าด้านต่างๆ อาทิ ทำเล การใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ การลงทุน อย่างจริงจัง เพื่อออกแบบสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าโดยเฉพาะในทำเลนั้นๆ Initiative นำ Insight มาพัฒนาต่อยอด ริเริ่มฟังก์ชันใหม่ โปรดักต์ใหม่อย่างสร้างสรรค์ ตอบสนองทุกมิติของการใช้ชีวิต ตอกย้ำสถานะผู้นำตลาดคอนโดมิเนียม Implementation นำเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ มาช่วยยกระดับคุณภาพมาตรฐานของโครงการ ตลาดจนบริการต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิตของผู้คน จากกลยุทธ์ดังกล่าว กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมภายใต้ ORIGIN VERTICAL มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 2567 ทั้งสิ้น 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท นำร่องในครึ่งปีแรกจำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9,680 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯและปริมณฑล 3 โครงการ ได้แก่ ออริจิ้น เพลส แจ้งวัฒนะ (Origin Place Chaengwattana) ออริจิ้น เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ (Origin Place Taopoon Interchange) ดิ ออริจิ้น เศรษฐบุตร สเตชั่น (The Origin Setthabut Station) โดยทั้ง 3 โครงการเป็นคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ ภายใต้แนวคิด Origin Pet Family Condo ตอบสนองความต้องการและคุณภาพชีวิตของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง ขณะเดียวกัน มีโครงการในภูเก็ตอีก 2 โครงการ ได้แก่ โซ ออริจิ้น บางเทา บีช (So Origin Bangtao Beach) ออริจิ้น เพลส เซ็นเตอร์ ภูเก็ต (Origin Place Centre Phuket) การบุกตลาดในปีนี้ จะเน้นบุกผ่าน 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ ออริจิ้น เพลส (Origin Place) แบรนด์คอนโดมิเนียมที่ผสมผสานการตกแต่งแบบคลาสสิกและร่วมสมัยเข้าด้วยกัน มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นเยี่ยม ตอบสนองการพักผ่อนและการทำกิจกรรม ดิ ออริจิ้น (The Origin) แบรนด์คอนโดมิเนียมที่มาพร้อมกับหลากฟังก์ชัน เพื่อการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในราคาที่จับต้องได้ โซ ออริจิ้น (So Origin) แบรนด์คอนโดมิเนียมสไตล์บูทีค ที่ออกแบบให้ทุกพื้นที่ เติมเต็มทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ด้วยบริการระดับโรงแรม พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี พร้อมอยู่ ใจกลางทำเลย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ   เรื่องความยั่งยืน  บริษัทยังใส่ใจองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน อาทิ การติด Solar Panel ใน Sales Gallery โครงการใหม่ การเตรียมจุดชาร์จสำหรับติดตั้ง EV Charger การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่ทั้งสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ผ่าน Origin Give คาดว่าทั้ง 4 แบรนด์จะเข้าถึงตลาดทั้ง Gen Z, Gen Y ลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว ตลอดจนลูกค้าชาวต่างชาติ จากแผนงานดำเนินธุรกิจดังกล่าว ORIGIN VERTICAL ตั้งเป้าหมายยอดขายทั้งปี 2567 ไว้ที่ 36,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งโครงการ JV และ Non-JV รวมกันไว้ที่ 18,000 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1/2567 เตรียมจัดแคมเปญ Happiness Caravan ประกอบด้วย ดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี, ฟรี แต่งห้องสูงสุด 2 แสนบาทจาก Wyde Interior, ฟรี เครื่องใช้ไฟฟ้า, ฟรี ค่าใช้จ่ายวันโอน, ฟรี ค่าส่วนกลาง 1 ปี, ฟรี ค่ากองทุนแรกเข้า, ฟรี ขยายเวลารับประกันห้องอีก 1 ปี, ฟรี ทำความสะอาด 1 ปี, ส่วนลด Top Up สูงสุด 100,000 บาท เฉพาะผู้ซื้อโครงการในวันอังคารและวันอาทิตย์, พร้อมพบห้องยูนิตราคาพิเศษ ถึงวันที่ 31 มี.ค.67 นี้ โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด     บทความน่าสนใจ “ออริจิ้น” เปิดเมกะโปรเจกต์ “Origin Resort World” ภูเก็ต เขาใหญ่ มูลค่ารวม 11,000 ล้าน  
ซีคอน มั่นใจปี 67 โต พร้อมขยายโรงงานผลิตโครงสร้างแห่งที่ 2

ซีคอน มั่นใจปี 67 โต พร้อมขยายโรงงานผลิตโครงสร้างแห่งที่ 2

ซีคอน  ดึงแนวคิด ESG เข้ามาใช้สร้างสรรค์แผนธุรกิจในปี 2567 เพื่อปูทางสู่ความยั่งยืน  ประกาศพลิกโฉมธุรกิจด้วยกลยุทธ์ SEACON FAST FORWARD ให้เป็นได้ยิ่งกว่าธุรกิจรับสร้างบ้านแบบ Beyond Thinking ติดปีกต่อยอดเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจให้เติบโตกว่าตลาดอย่างมั่นคงและยั่งยืน         นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด เปิดเผยว่า กลยุทธ์ SEACON FAST FORWARD ที่ซีคอนจะให้เป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจในปีนี้นั้นฟ ผสานไปด้วยมิติต่างๆ ที่จะนำสู่ความสำเร็จ ได้แก่ มิติการขับเคลื่อยองค์กรสู่ความยั่งยืนด้วยแนวคิด E-S-G  มิติการนำความเชี่ยวชาญในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้านของไทยมาต่อยอดสู่การพัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อเติมเต็มความต้องการของตลาด และมิติในการพัฒนาศักยภาพทีมซีคอนให้พร้อมสู่การขับเคลื่อนองค์กรที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ให้พร้อมส่งมอบบริการอันเป็นเลิศแก่ลูกค้า ซึ่งทุกมิติจะถูกดำเนินการไปพร้อมๆ กัน เพื่อสร้างให้ซีคอนเป็นได้มากกว่าบริษัทรับสร้างบ้าน สอดรับกับบริบทของสังคมและความต้องการของผู้บริโภคทั้งกลุ่ม B2C และ B2B ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน   ยังคงสานต่อ 3 กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจจากปี 2566 สู่ปี 2567 ซีคอนยังคงยึด 3 กลยุทธ์หลักเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2567 ประกอบด้วย กลยุทธ์ด้านความยั่งยืน (Sustainability) ภายใต้แนวคิด E-S-G, กลยุทธ์การแสวงหาฐานลูกค้ากลุ่มใหม่รวมทั้งพัฒนาโปรดักส์ใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และกลยุทธ์ด้านการตลาดยุคใหม่ที่ผสานความสมดุลระหว่างออนไลน์และออฟไลน์อย่างลงตัว เพื่อคงฐานลูกค้ากลุ่มเก่าไว้ในขณะเดียวกับก็สามารถเจาะเข้าถึงฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ในเวลาเดียวกัน โดยทั้ง 3 กลยุทธ์ดังกล่าวนี้ ซีคอนได้เริ่มใช้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้แก่องค์กรได้อย่างแท้จริง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจที่หลายฝ่ายเชื่อว่าอยู่ในช่วงขาลง แต่ซีคอนก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างดี โดยสร้างยอดขายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา   ในปี 2567 ซีคอน ตั้งเป้าอัตราการเติบโตไว้ประมาณ 10-15% ซึ่งปัจจัยแรกที่ทำให้เติบโตคือการเพิ่มความเข้มข้นในเรื่องการพัฒนาเพื่อให้เกิดความยั่งยืนของธุรกิจ (Business Sustainability) ด้วยกลยุทธ์ ESG ที่องค์กรต้องคำนึงถึงการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (E-Environment) และสังคม (S-Social)  รวมถึงการวางระบบ กำกับกิจการที่ดี (G-Governance)    ตลอดจนการนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)  โดยคำนึงถึงการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล ผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ แบบองค์รวม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ความไว้ใจ และความสามารถในการประกอบการกิจการในฐานะที่เป็นบริษัทผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้านรายแรกของประเทศไทย พร้อมกับประสบการณ์ที่มีมากกว่า 63 ปี สร้างบ้านมากกว่า 25,000 หลัง ทั้งยังเป็นบริษัทรับสร้างบ้านรายเดียวที่ยืน 1 ในเรื่องของการสร้างบ้านที่มีคุณภาพมาโดยตลอด อีกทั้งยังสร้างบ้านจากความฝันของลูกค้าให้กลายมาเป็นบ้านจริงที่สมบูรณ์แบบได้ ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลจึงเป็นการสร้างความมั่นใจในเรื่องของ branding ได้เป็นอย่างดี   การผสานการตลาดแบบออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างสมดุล ปัจจุบันฐานลูกค้าในออนไลน์ของ  ซีคอนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในทุกปีและสามารถแปลงมาเป็นยอดขายได้เป็นอย่างน่าพอใจ สอดคล้องกับการเติบโตของยอดขายในกลุ่มตลาดออฟไลน์ ที่ซีคอนได้จัดกิจกรรมการตลาดและส่งเสริมการขายเพื่อเจาะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพโดยตรง ซึ่งในไตรมาสแรกของปี 2567ซีคอนจะร่วมออกบูธใน 2 งานใหญ่ ประกอบด้วย  งานรับสร้างบ้าน และวัสดุ Focus 2024 จัดขึ้นในวันที่ 17 – 25 กุมภาพันธ์ 2567 ที่อิมแพ็ค ฮออล์ 8 เมืองทองธานี  และงานบ้านและสวน Select 2024 จัดขึ้นในวันที่ 23 – 31 มีนาคม 2567 ที่ไบเทค บางนา   การนำความเชี่ยวชาญในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้านของไทยมาต่อยอดสู่การพัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อเติมเต็มความต้องการของตลาด นำร่องในปี 2567 ด้วยการประกาศสร้างโรงงานผลิตโครงสร้างชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูปแห่งที่ 2 ที่ลำลูกกา คลอง 12 บนเนื้อที่กว่า 26 ไร่ ยังเป็นธงสำคัญในการขยายตัว และขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว และก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องแบบ Fast Forward มีกำลังการผลิตได้สูงถึง 120,000 ชิ้นต่อปี  นอกจากโรงงานแห่งที่ 2 จะสามารถรองรับลูกค้าที่จองสร้างบ้านกับซีคอน และซีคอน ไอดีแล้ว โรงงานดังกล่าวยังสามารถรองรับลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ ลูกค้าบ้านเดี่ยว ลูกค้ากลุ่มธุรกิจรีสอร์ทหรืออพาร์ทเม้นท์ ฯลฯ ได้อีกด้วย       ตามมาด้วยการประกาศร่วมทุน (Joint Venture) กับบริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด ด้วยการนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจรับสร้างบ้านมาสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า และสุดท้ายกับการเปิดตัว 6 แบบบ้านใหม่ที่พัฒนาแบบภายใต้แนวคิด Greenery SEACON ด้วยหัวใจหลักของการพัฒนาที่เน้นการนำธรรมชาติมาเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่ปัจจุบันมีพื้นที่จำกัดท่ามกลางมลภาวะรอบด้านของเมืองในปัจจุบัน ผ่านทาง courtyard หรือลานกลางบ้านที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวเอเชีย ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์และ         จินตนาการของเจ้าของบ้านเองปิดกั้นจากความวุ่นวายภายนอก นอกจากจะให้ความสงบบริเวณใจกลางบ้านแล้ว ลานดังกล่าวยังทำหน้าที่เป็นพื้นที่ถ่ายเทอากาศและรับแสงธรรมชาติ ทั้งยังเป็นจุด view point ของห้องสำคัญทุกห้องภายในบ้านอีกด้วย   บทความที่น่าสนใจ “ซีคอน” รีแบรนด์ครั้งที่ 4 จับตลาดคนรุ่นใหม่ สร้างยอดขาย 1,480 ล้าน  
“แอสเซทไวส์” ลุยศึกอสังหา ปี 2567   เปิด 12 โครงการใหม่ และธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์  

“แอสเซทไวส์” ลุยศึกอสังหา ปี 2567  เปิด 12 โครงการใหม่ และธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์  

แอสเซทไวส์ หรือ ASW  เผยแผนธุรกิจชู 3 กลยุทธ์หลัก “Execute / Expand / Explore” มุ่งนำธุรกิจเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง ด้วยแนวคิด “THE NEW FRONTIERS” ลุยเปิด 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 25,920 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 17,800 ล้านบาท และรุกแผนเปิดโครงการแนวราบ รวมถึงขยายทำเลครอบคลุมกรุงเทพฯ EEC และภูเก็ต เสริมแกร่งด้วยธุรกิจใหม่เพิ่มรายได้ต่อเนื่อง ทั้งคอมมูนิตี้มอลล์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์  และธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพ พร้อมปรับทัพผู้บริหารขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตแข็งแกร่งรับทุกสถานการณ์ นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “ASW” เปิดเผยว่า ปี 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ดีของแอสเซทไวส์ โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น คอนโดมิเนียม, บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และบ้านระดับลักชัวรี เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าในหลากหลายเซ็กเมนต์ บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเฉพาะ จ.ภูเก็ต  ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมรวม 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 30,260 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้เดิม 12 โครงการ และสามารถทำยอดขายปี 2566 ได้ถึง 16,486 ล้านบาท สูงทะลุเป้าที่วางไว้ ซึ่งเติบโตกว่า 16% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา   “สำหรับทิศทางอสังหาฯ ในปี 2567 นี้ แอสเซทไวส์ยังคงเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง โดยปี 2567 ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่า 25,920 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 9 โครงการ และ แนวราบ 3 โครงการ พร้อมตั้งเป้าหมายยอดขายอยู่ที่ 17,800 ล้านบาท เติบโตประมาณ 8% จากปี 2566  และเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 8,700 ล้านบาท  ซึ่งจะขับเคลื่อนด้วยแนวคิด “THE NEW FRONTIERS” กับการพัฒนาแอสเซทไวส์ให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงในทุกมิติ โดยบูรณาการ 3 กลยุทธ์หลักซึ่งประกอบไปด้วย สำหรับพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ที่ภูเก็ต  THE TITLE ภายใต้บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ “TITLE” ในเครือแอสเซทไวส์ ซึ่งล่าสุดได้เปิดขายโครงการ เดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา ในช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา มียอดขายรวมแล้วกว่า 80%  เพื่อต่อยอดความสำเร็จ  ในปี 2567 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัว 3 โครงการใหม่ ได้แก่ โครงการเดอะ ไทเทิล เฮอริเทจ บางเทา มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท  โครงการเดอะ ไทเทิล เซเรนิตี้ ในยาง มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท  และ โครงการเดอะ ไทเทิล ราไวย์  มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้ร่วมลงทุนพัฒนาโครงการ โบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว (BOTANICA Grand Avenue) ลักชัวรี่พูลวิลล่าที่เป็นเมกะโปรเจ็คต์ มูลค่าสูงถึง 13,000 ล้านบาท ในสัดส่วน 30% ทำให้พอร์ตอสังหาฯ ในภูเก็ตของแอสเซทไวส์มีความครบเครื่องมากยิ่งขึ้น มีโปรดักต์ครอบคลุมทั้ง Leisure คอนโดมิเนียม และวิลล่าระดับลักชัวรี สำหรับการหารายได้ประจำสมำเสมอต่อเนื่อง ทางธุรกิจและการลงทุนใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อเป็นการสร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income)  ประกอบด้วยธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ ภายใต้โครงการ Mingle Mall ที่ประกอบไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารต่าง ๆ , Well Aesthetic & Wellness Center  พื้นที่เช่าสำหรับผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจประเภทศูนย์สุขภาพและคลินิกด้านความงาม บนใจกลางย่านรัชดาภิเษก ล่าสุดกับ มิงเกิ้ล สปอร์ต วิลเลจ (Mingle Sport Village at Rangsit) ศูนย์กีฬาในร่มเอาใจสายรักสุขภาพ รวมถึง Rocket Fitness  บริหารงานของ “บริษัท เทรเชอร์ เอ็ม จำกัด” ในเครือแอสเซทไวส์ รวมถึง ZAAP World ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอนเสิร์ตและอีเวนท์ต่าง ๆ  ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่จะเข้ามาเติมเต็ม และเสริมความแข็งแกร่งด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของแอสเซทไวส์อีกด้วย พร้อมกันนี้ แอสเซทไวส์ยังมีโครงการที่สร้างเสร็จใหม่พร้อมโอนในปี 2567 อีกจำนวน 9 โครงการ ซึ่งแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม จำนวน 7  โครงการ มูลค่ารวมกว่า 9,557 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 2 โครงการ และปัจจุบัน บริษัทฯ มียอด Backlog อยู่ ถึง 19,500 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนโครงการในกรุงเทพและปริมณฑล จำนวน13,700 ล้านบาท โครงการในทำเล EEC จำนวน 1,800 ล้านบาท และโครงการในภูเก็ตอีกกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2567 ต่อเนื่องไปถึงปี 2569 บทความน่าสนใจ AssetWise เข้าถือหุ้น 57% TITLE “รุกตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต” สร้างรายได้ 10,000 ล้านบาทใน 3 ปี แอสเซทไวส์  กวาดยอดขายไตรมาสแรกเกือบ  3,500 ล้าน ลุยต่อเปิด 3 โครงการใหม่  
SC ASSET ตั้งเป้า5ปี 150,000 ล้าน ภายใต้แนวคิด “มหาศาล มั่นคง สมดุล“

SC ASSET ตั้งเป้า5ปี 150,000 ล้าน ภายใต้แนวคิด “มหาศาล มั่นคง สมดุล“

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา SC ทำยอดขายนิวไฮ 4 ปีต่อเนื่อง ต่อไปทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในระยะเวลา 5 ปี จากนี้ (2567-2571)  คาดว่าจะสร้างรายได้รวมกว่า 150,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากหลากหลายธุรกิจทั้งในส่วนของ อสังหาฯที่อยู่อาศัย โรงแรม และคลังสินค้า ภายใต้แนวคิด “มหาศาล  มั่นคง สมดุล”   SC ASSET ธุรกิจบนความหลากหลายเริ่มจาก  มหาศาล การสร้างรายได้รวม (portfolio revenue) รวม 5 ปี (2567-2571) จากหลากหลายธุรกิจที่คาดว่าจะทำรายได้มากกว่า 150,000 ลบ. สำหรับเป้าหมายและแผนธุรกิจในปี 2567 คาดการณ์จะทำยอดขายนิวไฮ 28,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็น โครงการแนวราบ 65% และโครงการแนวสูง 35% โครงการเพื่อขายทั้งสิ้น 86 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 91,000 ล้านบาท เป็นการเปิดโครงการใหม่รวม 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 30,000ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบ15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 25,000 ล้านบาท โดยมีไฮไลท์เป็นแบรนด์ใหม่ชื่อ “คอนนาเซอร์” (Connoisseur) ราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท และบ้านไลฟ์สไตล์เฉพาะ และโครงการใหม่แนวสูง 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “เรฟเฟอเรนซ์” (Reference) มั่นคง : ลงทุนอย่างเหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน D/E น้อยกว่า 1.5 สมดุล : ส่วนผสมกำไร จากธุรกิจที่หลากหลาย โดยมีกำไรจากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (engine 2) มากกว่า 25%ในส่วนธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ มาจาก 4 ธุรกิจหลัก แบ่งเป็น 1.อาคารสำนักงานให้เช่า มีพื้นที่เช่ารวม 120,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) จากอาคารสำนักงานรวม 6 อาคาร 2.โรงแรม มีจำนวนห้องพักรวม 545 ห้อง จากโรงแรม 3 โครงการ โดยเปิดแล้วที่ “YANH ราชวัตร” ขนาด 78 ห้องและกำลังจะเปิดปลายปี 2567 นี้ “ครอโม” (Kromo) ทำเลสุขุมวิท 29 บริหารโดย CurioCollection by Hilton จำนวน 306 ห้อง และเปิดต้นปี 2568 ในทำเลพัทยา จำนวน 161 ห้อง 3.คลังสินค้า มีพื้นที่เช่ารวม 160,000 ตร.ม. จากคลังสินค้ารวม4 โครงการ ดำเนินการแล้วที่ทำเลนครสววรค์พื้นที่ 16,000 ตร.ม. กำลังจะเปิดในปี 2567 นี้และปี 2568 อีก 144,000 ตร.ม. ใน 3 ทำเลคือ บางนา กม.20, บางนา กม.22 และแหลมฉบัง และยังมีการร่วมลงทุนกับสตอเรจเอเชีย บุกตลาด Self Storageภายใต้แบรนด์ “i-Store” 4.อสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าในสหรัฐอเมริกา มีห้องพักรวม78 ห้อง ใน 4 ทำเลใจกลางเมืองบอสตัน   ในส่วนของภารกิจ SCeroMission ดำเนินธุรกิจอย่างใส่ใจสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการออกแบบ สร้าง ใช้ ทิ้ง จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก 25% ในปี 2573 ที่ผ่านมาองค์กรได้มีการติดตั้ง Solar Roof บริเวณอาคารสำนักงาน และโครงการบ้าน ติดตั้ง EV Charger ณ อาคารสำนักงาน และคอนโดมิเนียม เปลี่ยนหลอดไฟ LED เปลี่ยนระบบทำความเย็น ในอาคารสำนักงาน ช่วยลด GHG ได้กว่า 1,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี 2565-2566 และตั้งเป้าหมายว่าจะลดก๊าซเรือนกระจก 15% จากการดำเนินงานตามปกติ ในปี 2567 นายณัฐพงศ์ กล่าวสรุปอย่างมั่นใจว่า “SC พร้อมและมุ่งมั่นสำหรับการเติบโตในทศวรรษที่ 3 ตามวิสัยทัศน์ SC the Evolution เติบโตด้วยการปรับตัวตามบริบท เติบโตด้วยการสร้างคุณค่าสู่คนและโลก เติบโตด้วยธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม คลังสินค้า ออฟฟิศ”   บทความน่าสนใจ SC เปิดบ้านหรูซีรีส์ใหม่ “อยู่แบบใหม่ แบบสับ” bangkok boulevard signature westgate Grand Bangkok Boulevard พระราม 9 กรุงเทพกรีฑา โครงการ Modern Luxury เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น  
สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล  เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต”

สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต”

สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล  จับมือ 2 ดีเวปลอปเปอร์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  อสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของไทยและ บริษัท ซีจี แคปปิตอล จำกัด  บริษัทบริหารการลงทุนจากตระกูลจิราธิวัฒน์ในรูปแบบกองทุน Private Equity ที่เจาะกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวโครงการ “THE STANDARD RESIDENCES”   ที่พักอาศัยรูปแบบbranded residences บนทำเลสุดฮอตกับ 2 เมืองท่องเที่ยวระดับโลก ได้แก่เดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์หัวหิน โครงการbranded residences แห่งแรกในเอเชีย กับทำเลบีชฟร้อนท์และเดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์ภูเก็ตบางเทา ย่านที่ฮอตที่สุดในภูเก็ต ตอบโจทย์ทั้งการใช้ชีวิตอยู่อาศัยเองและซื้อไว้เป็นฮอลิเดย์โฮมด้วยดีไซน์ทันสมัย แปลกใหม่ และมาตรฐานที่ไม่เหมือนใครในแบบฉบับของ เดอะ สแตนดาร์ด มูลค่าทั้ง 2 โครงการรวมกว่า 8,500 ล้านบาท คุณอมาร์ ลัลวานี่ ประธานกรรมการบริหาร Standard International กล่าวว่า Standard International บริษัทเครือไลฟ์สไตล์โฮเทลระดับโลกและเป็นบริษัทแม่ของเครือโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด  ซึ่งก่อตั้งมากว่า 25 ปีด้วยเอกลักษณ์ ตัวตน เปิดตัวโรงแรมแห่งแรกในฮอลลีวูด รวมทั้งปักหมุดเปิดให้บริการในทำเลสำคัญทั่วโลกได้แก่ นิวยอร์ก, ไมอามี่, ลอนดอน, อิบิซา, มัลดีฟส์, หัวหิน และกรุงเทพมหานครที่เป็นแฟล็กชิพของเอเชีย อย่าง The Standard, Bangkok Mahanakhon   โดยโครงการ The Standard Residences จะหยิบยกเอาจุดเด่นด้านดีไซน์ของโรงแรม The Standard ไม่ว่าจะเป็น ห้องนั่งเล่นที่ดูสนุกสนาน การผสมผสานโทนสี การเลือกสรรวัสดุ และเตียงนอนที่นุ่มสบาย มาต่อยอดกับบริการอันเป็นเอกลักษณ์  และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสร้างประสบการณ์พักผ่อนที่แตกต่าง ตลาด branded residences ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตถึง 216% ด้วยโลเคชั่นที่มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น The Standard Residences จึงไม่จำกัดเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลักแต่ยังเล็งการขยายตัวไปยังเมืองที่มีศักยภาพในการเติบโตและมีเอกลักษณ์โดดเด่น ยกตัวอย่างเช่น บาหลี สิงคโปร์หรือ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น   ทั้งนี้คุณอมาร์ มีความเชื่อมั่นว่า ทั้ง 2 โครงการใหม่ อย่าง The Standard Residences, Hua Hin โดย แสนสิริ และ The Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่ได้ ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity  จะเพิ่มมูลค่าของ branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard มั่นใจว่า 2โครงการนี้จะสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ   คุณอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  แสนสิริ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 40ในฐานะบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์พัฒนามาแล้วรวมกว่า 500 โครงการ ทั้งนี้แสนสิริพัฒนาโครงการรีสอร์ทคอนโดมิเนียม(รวม The Standard Residences, Hua-Hin) ในหัวหินมาแล้วจำนวนรวม 25 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 31,000 ล้านบาท โดย 22 โครงการ Sold out (ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว)   คุณอุทัยกล่าวว่า หัวหินเป็นตลาดที่มีโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจสูง เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ในปี 66 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในหัวหิน 9 ล้านคนและคาดว่าในปี 67จะมีมากขึ้นกว่าเดิมด้วยมาตรการผ่อนปรนต่างๆ ส่งผลให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัย Resort home เป็นบ้านหลังที่ 2 มากขึ้น ทั้งซื้อเพื่ออยู่เองเพื่อการลงทุนของชาวไทยและต่างชาติรวมทั้งปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่กำลังพัฒนา ด้านระบบคมนาคม รวมถึงการผลักดันของภาครัฐให้หัวหินเป็น World Class City of Relaxation ศูนย์กลางของด้าน Wellness และ Medical Tourism Hub การขยายสนามบินเพื่อรองรับไพรเวทเจ็ทของนักท่องเที่ยวกลุ่มลักซ์ซัวรี่และการตั้งเป้าให้หัวหินเป็นสมาร์ทซิตี้ที่มีความทันสมัยและปลอดภัยและที่สำคัญ The Standard Residences, Hua Hin นับเป็นโปรเจกท์ไฮไลท์ของแสนสิริในปีนี้โดยมีมูลค่าโครงการรวม 4,500 ล้านบาทและเป็น Beachfront branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard แห่งแรกในเอเชีย และมีกำหนดเปิดตัวเป็นแห่งที่ 3 ของโลก โครงการตั้งอยู่บนไพร์มโลเคชั่นบนที่ดินหายากติดหาดหัวหิน ที่สามารถพัฒนาโครงการใหญ่แบบฟรีโฮลด์ได้มาพร้อมกับไฮไลท์ Beachfront Pool Villa สุด Rare ราคาแตะ 100 ล้านบาท เพียง 2 ยูนิตเท่านั้น โดดเด่นด้วย programming experience ที่ยกระดับประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสไปกับ experience facilities ที่มีให้เฉพาะลูกบ้านของเรสซิเดนซ์เท่านั้นเพื่อสุดยอดประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่ฉีกกรอบทุกการพักผ่อนอาทิ pickle ball court, the mud lounge, salt sauna และ experience shower จำนวน 245 ยูนิตบนพื้นที่ขนาด9 ไร่เริ่มตั้งแต่ 1 ห้องนอน ขนาด 40-65 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด77-120 ตารางเมตร, 3 ห้องนอน ขนาด107-153 ตารางเมตรและBeachfront Pool Villa สุด Rare ขนาด 220 ตารางเมตร ทั้งนี้โครงการพร้อมเปิดให้ชม sales gallery ครั้งแรกวันที่ 23-24 มีนาคม 2567 นี้และพร้อมเข้าอยู่ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2569 คุณภูมิ จิราธิวัฒน์กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีจี แคปปิตอลจำกัด กล่าวว่า ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity ในเครือเซ็นทรัล ได้จัดตั้ง กองทุนแรกในมูลค่า 10,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวลงทุนหลักได้แก่ 1. ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 2. ธนาคารชั้นนำ 3. นักลงทุนสถาบันระดับโลกซึ่งมีแผนที่จะลงทุนทั้งในส่วนโรงแรม คอนโดมิเนียม สวนสนุกสวนน้ำ และโครงการมิกซ์ยูส ที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นในเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศได้แก่ กรุงเทพมหานครภูเก็ต สมุย และพัทยา โดยคาดว่าจะลงทุนปีละ 3-5 โครงการ   ยิ่งสำคัญ ภูเก็ต เมืองท่องเที่ยวอันโด่งดังติดอันดับ1 ใน 10 ของโลก และยังได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ Workation อันดับ 10 ของโลก หลังช่วงโควิดในปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตแล้วกว่า 11 ล้านคน ทำให้มีการเล็งเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทจากหลายผู้ประกอบการมากที่สุดในเมืองไทยประกอบกับโดยมีโรงเรียนนานาชาติถึง 13 แห่ง และโรงพยาบาลระดับไฮเอ็นด์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของคอนโดมิเนียมในภูเก็ตเพิ่มขึ้นถึง 113% โครงการ The Standard Residences Phuket Bang Tao ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดในย่านที่เป็นไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์ของภูเก็ต อย่างย่านบางเทา การเดินทางจากกรุงเทพฯเพียง 3 ชั่วโมงโดยเครื่องบิน โครงการเดินทางจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตเพียง 25 นาที   พื้นที่ของโครงการทั้งหมดมีขนาด 19 ไร่โดยแบ่งเป็น 3 โปรเจค เริ่มจากThe Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่มีขนาด 12 ไร่ และ โรงแรมเดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา(The Peri Hotel Phuket Bang Tao) รวมถึง F&B Concept ใหม่ล่าสุดจากThe Standard ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันอีก 7 ไร่   ทั้งนี้ตัวโครงการ branded residences ประกอบด้วยอาคาร7 ชั้นรวมแล้ว6 อาคารมีจำนวนห้องทั้งหมด 188 ยูนิตโดยออกแบบให้เป็นห้องตกแต่งพร้อมเฟอร์นิเจอร์เริ่มตั้งแต่1 ห้องนอนขนาด 75 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด 100-120 ตารางเมตร, 3 ห้องนอนขนาด167-172 ตารางเมตร และห้องดูเพล็กซ์สุดหรู ขนาด 301–313 ตารางเมตร โครงการให้บริการพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลาดหลายอาทิ โคเวิร์คกิ้งสเปซ, โซนเกมส์, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำความยาว25 เมตร, สระว่ายน้ำเด็ก และสปา เป็นต้นพร้อมบริการอื่น ๆ ตามมาตรฐานโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ดรวมถึงมีพนักงานดูแลอำนวยความสะดวกตลอด24 ชั่วโมง และบริการรถรับ-ส่งไปยังชายหาดบางเทา ทั้งนี้ The Standard Residences, Phuket Bang Tao เตรียมเปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้นที่ 11.9 ล้านบาท รวมถึงเปิดsales gallery ครั้งแรกในเดือนเมษายนปี 2567 และพร้อมเข้าอยู่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2569   บทความน่าสนใจ เปิดตัว CG Capital บริษัทบริหารกองทุน โดยตระกูลจิราธิวัฒน์ เจาะตลาดอสังหาฯ โรงแรม ในเมืองท่องเที่ยว แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว  
[PR News]โฮมโปร ประกาศยุทธศาสตร์ 5 ปี สู่ธุรกิจแสนล้าน  ปั้นธุรกิจเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน

[PR News]โฮมโปร ประกาศยุทธศาสตร์ 5 ปี สู่ธุรกิจแสนล้าน ปั้นธุรกิจเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน

“โฮมโปร (HomePro)” ปรับตัวนำเทรนด์ ตอกย้ำความเป็นเบอร์หนึ่งผู้นำธุรกิจด้าน Home Solution and Living Experience ในประเทศไทย ด้วยการประกาศทิศทางและแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ขยายธุรกิจสู่แสนล้านบาท ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดเติบโตต่อเนื่อง พร้อมขับเคลื่อนโมเดลธุรกิจด้วยแผน Sustainability เติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน สู่เป้าหมายองค์กร Net Zero ระดับโลก ภายในปี ค.ศ.2050 และผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน รับเทรนด์โลกอนาคตมุ่งเน้นพลังงานสะอาดครบวงจร พร้อมเปิดตัวครั้งแรก! "First Closed Loop Circular Appliances" ในงาน HOMEPRO NEXT CHAPTER ก้าวไปสู่ความสำเร็จ ภายใต้แนวคิด "MAKE EVERY CHANGE A BETTER LIFE" สร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในทุกความเปลี่ยนแปลงของช่วงชีวิต นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร (HomePro) เปิดเผยว่า “เป็นการพลิกบทบาทธุรกิจครั้งใหญ่ของโฮมโปร บนความท้าทายใหม่ๆ โฮมโปรพร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า คู่ค้า รวมถึงพันธมิตร ตอกย้ำแบรนด์เบอร์หนึ่งผู้นำเรื่องบ้าน ด้วยยุทธศาสตร์ 5 ปี เพื่อก้าวสู่ธุรกิจแสนล้าน ภายใต้แผนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น ขยายสาขาครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ กว่า 170 สาขา ช่องทางการขายออนไลน์ที่ครอบคลุม และเชื่อมถึงกันแบบไร้รอยต่อ รองรับลูกค้า B2C และขยายฐานลูกค้าไป B2B มากขึ้น พร้อมพัฒนา 3 แอปฯ ช้อปได้ไม่มีสะดุด (HomePro Online, Home Service, Home Card) พัฒนาด้านระบบขนส่งและโลจิสติกส์ ขยายพื้นที่เพิ่มกว่า 100,000 ตร.ม. รองรับทุกความต้องการทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพศูนย์กระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย รับและส่งออกสินค้ามากกว่า 400,000 ชิ้นต่อวัน, ระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ-จัดการคลังได้มีประสิทธิภาพ แม่นยำ ลดความผิดพลาด, บริการให้เช่าคลังสินค้า, บริการขนส่งกลับ ด้วยต้นทุนต่ำ ตลอดจนส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ รวดเร็ว ถึงมือลูกค้า ยกระดับประสบการณ์การซื้อสินค้าและบริการสุดพิเศษให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด Lifetime Eco-System โฮมโปร พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแผน Sustainability สร้างองค์กรเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืนในทุกๆ มิติ อาทิ มุ่งสู่เป้าหมายองค์กร Net Zero ระดับโลก ภายในปี ค.ศ.2050 ผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน รับเทรนด์โลกอนาคตมุ่งเน้น ‘พลังงานสะอาดครบวงจร’ เปิดตัวครั้งแรก! "First Closed Loop Circular Appliances" ผู้ค้าปลีกรายแรกที่ดำเนินโครงการ รีไซเคิล Waste of Electrical and Electrical Equipment (WEEE) พัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหมุนเวียนแบบครบกระบวนการ ตั้งแต่การเก็บของที่ใช้งานแล้ว จากบ้านลูกค้า (HomePro Consumers) เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่มีมาตรฐาน GRS รองรับ เพื่อให้ได้เม็ดพลาสติก PCR (Post Consumer Recycled) ที่มีคุณภาพ ในการนำกลับมาผลิตใหม่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ Haier, Toshiba, Venz และ SCG เพื่อเป้าหมายคือ ลดปริมาณขยะให้กับโลก อีกทั้ง ผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน รับเทรนด์โลกอนาคต มุ่งเน้นพลังงานสะอาดครบวงจร ด้านขนส่ง เปลี่ยนเป็นรถขนส่งพลังงานไฟฟ้า (EV Truck) ที่เร่งดำเนินการให้ได้ราว 50% ภายในปี ค.ศ.2030 ติดตั้งโซล่าเซลล์ ไปแล้วกว่า 80 สาขา คิดเป็นกำลังการผลิตไฟมากกว่า 60 MWh และมีแผนที่จะขยายเพิ่มเติมต่อเนื่อง EV Car สนับสนุนและส่งเสริมพนักงานใช้รถพลังงานสะอาด “เชื่อมั่นว่าครั้งนี้ จะเป็นก้าวใหม่ที่นำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนของธุรกิจโฮมโปร สร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ว่าจะเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน” นายวีรพันธ์ กล่าว   โฮมโปรได้รับรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการได้รับคัดเลือกอยู่ใน Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI 2017-2023, MSCI Global Sustainability Index และ MSCI ESG Ratings Index 2015-2023, FTSE4Good Index 2015-2023, Thailand Sustainability Investment (THSI) 2015-2023 รวมถึงได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 บริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยสถาบันไทยพัฒน์ 2015-2023, บริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน SET Awards 2016-2022 และ Thailand’s Top Corporate Brands 2022-2023 ซึ่งรางวัลเหล่านี้ถือเป็นการการันตีว่าโฮมโปรนั้นได้ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการเติบโตที่ยั่งยืนของบริษัทฯ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อีกด้วย   บทความน่าสนใจ ใครท็อปฟอร์มสุด ในธุรกิจ ร้านวัสดุ-เฟอร์นิเจอร์ Q3/65 เช็คให้ชัวร์ !! ซื้อบ้านใหม่ vs สร้างบ้านเอง แบบไหนเหมาะกับคุณ?    

1 2 3 ... 104