ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 2 3 ... 105
เบิร์กลีย์ กรุ๊ป เปิดตัวคอนโดหรู ย่าน Prime Central London

เบิร์กลีย์ กรุ๊ป เปิดตัวคอนโดหรู ย่าน Prime Central London

เบิร์กลีย์ กรุ๊ป เปิดตัวคอนโดหรู ย่าน Prime Central London บริษัท เบิร์กลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (Berkeley Group Holdings plc) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้สร้างบ้านชั้นนำจากประเทศอังกฤษประกาศเปิดตัวโครงการใหม่ “TRILLIUM” London W2, Zone 1 บนทำเลศักยภาพ ย่าน Prime Central London เจาะกลุ่มนักลงทุน ราคาเริ่ม 28.6 ล้านบาท มั่นใจตลาดลอนดอนยังน่าลงทุน และเป็นโอกาสระยะยาวสำหรับนักลงทุน   นางสาวณชนกช์ ปัญญาหิตานนท์  กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลดีเอ็นลักซ์ ลิฟวิ่งส์ จำกัด  เปิดเผยว่าบริษัท เบิร์กลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (Berkeley Group Holdings plc) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้สร้างบ้านชั้นนำจากประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและพื้นที่เชิงพาณิชย์ในลอนดอนและเขต South East ของอังกฤษ ได้เปิดตัวโครงการใหม่ ภายใต้ชื่อ “TRILLIUM” London W2, Zone 1 บนทำเลศักยภาพ ย่าน Prime Central London  รองรับความต้องการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพ ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม และความสะดวกสบาย ย่านใจกลางกรุงลอนดอน เพื่อการลงทุน และ อยู่อาศัย โดยมีราคาเริ่มต้น 675,000 ปอนด์ หรือ 28.6 ล้านบาท   การพัฒนาโครงการดังกล่าว มีความเหมาะสมเพื่อการอยู่อาศัย โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างชุมชนที่ยั่งยืน  และตอบสนองต่อความต้องการของสังคมสมัยใหม่ ซึ่งให้ความสำคัญในการออกแบบและพัฒนาโครงการที่เน้นคุณภาพด้านการก่อสร้างและการออกแบบที่พิถีพิถัน ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีแบรนด์ในเครือหลายแบรนด์ที่เน้นพัฒนาตลาดเฉพาะ เช่น Berkeley Homes, St George, St James, St Edward, St William และ St Joseph ซึ่งแต่ละแบรนด์มีจุดเด่นในการพัฒนาโครงการที่หลากหลาย ตั้งแต่โครงการบ้านพักอาศัยหรูหราไปจนถึงพื้นที่อุตสาหกรรมที่ปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่อยู่อาศัย ที่สำคัญทางบริษัทให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  โดยการออกแบบโครงการที่สอดคล้องกับแนวคิดของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)     นายฌอน บาร์เร็ตต์ กรรมการผู้จัดการ และ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ฟายน์ แอนด์ คันทรี กล่าวถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษมองว่าในปี 2568  ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าราคาอสังหาริมทรัพย์อาจปรับตัวขึ้นประมาณ 2-4% หากเศรษฐกิจอังกฤษฟื้นตัวและธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย สถานการณ์ดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้ซื้อและนักลงทุน โดยเฉพาะในย่านใจกลางเมืองและพื้นที่ที่มีการคมนาคมสะดวก เช่น ย่านธุรกิจสำคัญและพื้นที่ใกล้ระบบรถไฟใต้ดิน รวมถึงโครงการ Cross rail ที่ยังคงดึงดูดความสนใจจากผู้ซื้อและนักลงทุน   อย่างไรก็ตาม ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนยังมีความแตกต่างกันในแต่ละโซน โดยเฉพาะย่านใจกลางเมืองและพื้นที่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานดียังคงมีดีมานด์สูงและราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ย่านชานเมืองมีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัว หากเศรษฐกิจอังกฤษมีเสถียรภาพและฟื้นตัวจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อ Real Demand กลุ่มคนทำงาน – นักศึกษาต่างชาติ และนักลงทุน (Investor) แถบเอเชียและตะวันออกกลาง ซึ่งยังคงให้ความสนใจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ระดับหรู (luxury property) โดยเฉพาะโครงการเพื่อการลงทุน   ขณะเดียวกัน ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยยังมีข้อจำกัด ทั้งการปรับตัวตามต้นทุนและการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่สูงขึ้น โดยการเติบโตของรายได้จะช่วยให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยได้ในปีนี้ ทั้งนี้มองว่าปัจจัยและโอกาสในการลงทุนเช่าในลอนดอนยังมีแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากลอนดอนมีความต้องการ(Demand) การเช่ามากกว่าซัพพลาย (Property Supply) ที่มีอยู่ในตลาด ขณะที่ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Yield Guarantee) เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะย่าน Prime Central London  (อ้างอิงจากผลประกอบการของโครงการ West End Gate) ที่ตั้งอยู่ใกล้กับตั้งโครงการ “TRILLIUM” London W2, Zone 1     ด้านนางนาเน็ต ฮวง หัวหน้าฝ่ายขาย เซนต์เอ็ดเวิร์ด โฮม บริษัท เบิร์กลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กล่าวถึงศักยภาพของทำเลที่ตั้งโครงการ “TRILLIUM” LONDON W2 Zone 1 ซึ่งอยู่ในย่าน West End ใจกลางกรุงลอนดอน หรือ ลอนดอน โซน 1 (London Zone 1) ถือเป็นย่านที่คนไทยคุ้นชิน โดยรายล้อมด้วยแลนด์มาร์คที่สำคัญ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ด้วยศักยภาพทำเลที่ตั้งคอนโดมิเนียม TRILLIUM LONDON W2 เป็นย่านที่มีความต้องการสูง ทั้งกลุ่มลูกค้าซื้อเพื่อการลงทุน (Investor) และซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง (Real Demand) เพราะสามารถเดินทางไปยังถนนอ็อกซ์ฟอร์ด (Oxford Street)  ได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็ว ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ตรงข้ามกับ Edgware Road Station ใกล้กับสถานีแพดดิงตัน (Paddington)ที่เป็นสถานีหลักของกรุงลอนดอน และรายล้อมไปด้วยแหล่งสถานศึกษามหาวิทยาลัยชั้นนำของกรุงลอนดอน เช่น London Business School เป็นต้น   สำหรับรายละเอียดโครงการ TRILLIUM London W2, Zone 1 ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการทั้งหมด 3 ไร่ จำนวน 3 อาคาร รวมทั้งหมด 556 ยูนิต แบ่งออกเป็นแบบ Manhattan, 1-3 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 40 - 109 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น £675,000 หรือ 28.6 ล้านบาท  คาดว่าจะสร้างเสร็จภายในปี 2028     ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการพรั่งพร้อมไปด้วย พื้นที่สวนสาธารณะ ,สระว่ายน้ำ สระไฮโดร และสปาเท้า ห้องเกลือ ห้องอบไอน้ำ และซาวน่าอินฟราเรด ,ห้องอาหารส่วนตัว ห้องสตูดิโอและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า,ห้องทรีตเมนต์สปา รวมถึงซาวน่า นอกจากนี้ยังมีพื้นที่พักผ่อนส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็นน้ำพุน้ำแข็ง,ห้องรับรองสำหรับผู้อยู่อาศัย ห้องฉายภาพยนตร์ และCo working Space พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถเข้าใช้ยิมภายในโครงการ West End Gate ได้เช่นกัน   นางแคเรน เจีย ผู้อำนวยการภูมิภาค เอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เบิร์กลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กล่าวถึงด้านกลยุทธ์ทางการตลาดว่าทางบริษัทให้ความสำคัญในการทำการตลาดเชิงรุกในต่างประเทศเน้นการขายโครงการให้กับลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนจากเอเชียตะวันออกกลางผ่านการจัดโรดโชว์และงานนิทรรศการในต่างประเทศและการร่วมมือกับตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทั่วโลก   ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท เบิร์กลีย์ กรุ๊ป Berkeley Homes ก่อตั้งขึ้นในปี 1976 ถือเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของสหราชอาณาจักร ซึ่งได้รับรางวัลมากมายจากความมุ่งมั่นในด้านคุณภาพ การออกแบบ และการบริการลูกค้า รวมถึงรางวัล Queen’s Award for Enterprise in Sustainable Development ประจำปี 2014 และรางวัล Britain’s Most Admired Company ในปี 2011คุณภาพเป็นหัวใจสำคัญของทุกกิจกรรมของ Berkeley ไม่เพียงแต่ในด้านการก่อสร้างบ้าน แต่ยังรวมถึงการบริการลูกค้า การส่งเสริมการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการฟื้นฟูพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ (brownfield sites)   โครงการพัฒนาของ Berkeley ทุกโครงการได้รับการออกแบบ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบอย่างยั่งยืน ผ่านความเป็นเลิศในการออกแบบ การจัดภูมิทัศน์ที่สอดคล้องกับธรรมชาติ และการบูรณาการพื้นที่ตามมาตรฐานอย่างเหมาะสมทุกโครงการ  
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68 ปักธงกลยุทธ์ “กอด - Secure Core, Embrace Future” มัดใจลูกค้าเดิม-เจาะลูกค้าใหม่ เน้นยืดหยุ่นตามดีมานด์ พร้อมเสิร์ฟสินค้า-บริการที่ตรงใจ   เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย เปิดแผนธุรกิจปี 68 ชูกลยุทธ์ “กอด - Secure Core, Embrace Future” กอดลูกค้าให้มั่น จับมือกันให้แน่น โฟกัสการดำเนินงาน 3 มิติ Flexible-Feeling-Focus ขับเคลื่อนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย-อุตสาหกรรม-พาณิชยกรรมเติบโตมั่นคงท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ พร้อมดึง AI ยกระดับการทำงานไปอีกขั้น เสริมความแข็งแกร่งเป็นแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ด้วยเป้าหมายเป็น Real Estate as a Service Brand    นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Country Chief Executive Officer) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 เผชิญหน้ากับความท้าทายหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น ภูมิรัฐศาสตร์โลกจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ การขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งต้องจับตาถึงสงครามการค้าที่จะสะเทือนไปทั่วโลก ด้านสถานการณ์ในประเทศ กำลังซื้อยังคงซบเซา พร้อมหนี้ครัวเรือนและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่    ขณะเดียวกัน หลายสินค้าในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์อยู่ในสภาวะซัพพลายล้นตลาด อย่างบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีที่จำนวน ซัพพลายสะสมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สวนทางกับดีมานด์ที่ลดลง ขณะที่ตลาดอาคารสำนักงานมีการแข่งขันสูงจากอาคารสำนักงานเกิดใหม่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างที่เตรียมเปิดตัวในอนาคต รวมถึงคลังสินค้าให้เช่าที่เริ่มมีสัญญาณซัพพลายทะลัก หลังจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายกระโดดเข้ามาเล่นในตลาดนี้เพิ่มขึ้น   ท่ามกลางความผันผวนในไทยและต่างประเทศ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยวางแผนอย่างระมัดระวังเพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคง โดยในปีงบการเงิน 2568 (ต.ค. 2567 – ก.ย. 2568) ตั้งเป้ารายได้ 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 11 % เมื่อเทียบกับปีงบการเงิน 2567 (ต.ค. 2566 – ก.ย. 2567) ด้วยกลยุทธ์ “กอด - Secure Core, Embrace Future” ซึ่งจะกอดฐานลูกค้าเดิมให้แน่น พร้อมเดินหน้าหาลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ผ่านการดำเนินงานใน 3 มิติ ประกอบด้วย  Flexible – ปรับตัวให้ยืดหยุ่นตามดีมานด์ของตลาด ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยืดหยุ่น ด้วยจุดแข็งการเป็นแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรที่มีธุรกิจที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม สามารถสร้างรายได้จากการขายและค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ จึงมีกระแสรายได้ต่อเนื่อง อีกทั้งยังปรับรูปแบบของสินค้าและบริการให้ยืดหยุ่นตามความต้องการของลูกค้า เช่น ระยะเวลาการทำสัญญาเช่าที่เลือกได้ การพัฒนาพื้นที่แบบมัลติฟังก์ชันที่สามารถเปลี่ยนได้ตามลักษณะการใช้งาน เป็นต้น Feeling – สร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับ ส่งมอบความประทับใจให้กับลูกค้าผ่านการรังสรรค์บรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดีในทุกพื้นที่การให้บริการ พร้อมด้วยการให้บริการหลังการขายอย่างจริงใจและเอาใจใส่ ผ่านการออกแบบการดูแลที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ในการมัดใจและรักษาลูกค้าให้อยู่กับบริษัทในระยะยาว Focus – มุ่งพัฒนาสินค้าและบริการที่เชี่ยวชาญ ใช้ Data-driven insights วิเคราะห์แนวโน้มตลาดและความต้องการลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) เพื่อนำไปสู่การสร้างโซลูชันใหม่ ๆ ที่สามารถเสริมมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ และตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างทันท่วงที    ทั้งนี้ กลยุทธ์ “กอด - Secure Core, Embrace Future” ได้นำมาปรับใช้ในแต่ละกลุ่มธุรกิจของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ดังนี้ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย พลิกโฉมการพัฒนาที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ให้กับลูกค้า ทั้งดีไซน์และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ เสริมด้วยบริการหลังการขายสุดแกร่งที่ดูแลลูกค้าตั้งแต่วันแรกทั้งก่อนและหลังเข้าอยู่ โดยมีแผนเปิด 6 โครงการใหม่ในกรุงเทพมหานคร นครราชสีมา และขอนแก่น รวมมูลค่า 9,803 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับลักชัวรีและระดับบน 3 โครงการ ภายใต้แบรนด์ The Grand, Grandio และแบรนด์ใหม่ Gramour พร้อมด้วยทาวน์โฮมพรีเมียม 1 โครงการในแบรนด์ใหม่ Goldina และคอนโดมิเนียมแบรนด์ KLOS อีก 1 โครงการ ขณะเดียวกัน เดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้นด้วยการจัดโรดโชว์ที่ประเทศจีน เจาะกลุ่มลูกค้าที่สนใจซื้อโครงการคอนโดมิเนียม   อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม ปัจจุบันเป็นเบอร์ 1 ของตลาดโรงงาน-คลังสินค้าให้เช่าด้วยพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการ 3.66 ล้านตร.ม. ทั้งในไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ตั้งเป้าขยายพื้นที่เพิ่มอีกกว่า 150,000 ตร.ม. และสร้างอัตราการเช่ารวมของพอร์ตโฟลิโอสูงกว่า 88% เดินหน้าพัฒนาอาคารอุตสาหกรรมทั้งแบบสำเร็จรูป (Ready-Built) แบบสร้างความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) และแบบสร้างตามฟังก์ชันพร้อมใช้ (Built-to-Function) ที่บริษัทเป็นเจ้าแรกของตลาดในการพัฒนาสินค้ารูปแบบนี้และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สามารถปิดดีลลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน บริษัทจะเข้าไปร่วมพัฒนาโครงการ Industrial Township พื้นที่ 4,600 ไร่ ตั้งอยู่บริเวณ ถ.บางนา -ตราด กม.32 ซึ่งพร้อมเปิดตัวโครงการในเดือนก.พ. 2568      อสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม ยกระดับการให้บริการและคุณภาพอาคารสำนักงานเกรด A อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้อาคารทุกกลุ่ม ผสมผสานการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับผู้เช่า ซึ่งเป็นจุดเด่นของบริษัทที่ทำให้สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมได้อย่างเหนียวแน่น ยิ่งกว่านั้น มีแผนดึงดูดลูกค้าต่างชาติกลุ่มใหม่ ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาลงทุนในไทยจากการย้ายและขยายฐานการผลิตอีกด้วย ในส่วนของพื้นที่รีเทลจะเพิ่มเติมร้านค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้โภคมากขึ้น ผนวกการจัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบที่สร้างประสบการณ์เหนือระดับ เพื่อปลุกสีสันตลาดและเพิ่มยอดทราฟฟิก โดยมองว่าปีนี้จะสามารถรักษาอัตราการเช่าของพอร์ตโฟลิโออสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมได้สูงกว่า 90%      นอกจากนี้ บริษัทได้นำ AI (Artificial Intelligence) และ Data Analytics เข้ามาใช้ในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของธุรกิจ ทั้งการออกแบบและสร้างสรรค์โครงการ วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและบริการที่สร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า รวมถึงส่วนของออฟฟิศด้านการจัดการบัญชีและการเงิน เป็นต้น ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่ายและเวลาในกระบวนการต่าง ๆ อีกทั้งยังมีโครงการ Everyday AI ที่ส่งเสริมการเรียนรู้การใช้ AI ให้กับพนักงาน เพื่อนำไปปรับใช้กับการทำงานให้มีศักยภาพมากขึ้น เป็นการสร้างรากฐานองค์กรให้ก้าวสู่อนาคตได้อย่างแข็งแกร่งในยุคที่การแข่งขันสูงและการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว   “ด้วยกลยุทธ์และแผนงานที่ถูกวางอย่างเข้มแข็งและรอบคอบ บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลักดันธุรกิจเติบโตมั่นคงท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ยังเป็นการเดินหน้าตามแผนการขับเคลื่อนเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยสู่ Real Estate as a Service Brand ด้วยการต่อยอดนวัตกรรมการบริการ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการบริการที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ควบคู่กับความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) อันสอดคล้องกับเจตนารมณ์ขององค์กรในการสร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.)” นายธนพลกล่าวสรุป    
AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์

AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์

AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์  พลิกโฉมพื้นที่ประวัติศาสตร์ด้วยงบลงทุนสูงที่สุดกว่า 16,000 ล้านบาท สร้างเป็นแลนด์มาร์กระดับโลก เตรียมเปิดบริการปี 2572   บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร สร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของบริษัทจัดพิธีลงเสาเอก“เวิ้งนครเกษม เยาวราช” (Woeng Nakornkasem Yaowaraj) โครงการมิกซ์ยูสระดับแลนด์มาร์กที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัทบนพื้นที่ยุทธศาสตร์กว่า 14 ไร่ (22,400 ตารางเมตร) ใจกลางเยาวราช หนึ่งในย่านเก่าแก่และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ และศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและการค้าที่สำคัญมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 18 ด้วยงบลงทุนสูงที่สุดของบริษัทกว่า 16,000 ล้านบาท พร้อมพลิกโฉมไชน่าทาวน์สู่มิติใหม่ภายใต้แนวคิด “Legacy of the Past, Inspiration of Tomorrow” เชื่อมคุณค่าจากอดีตสู่แรงบันดาลใจแห่งอนาคต สร้างสีสันและความมีชีวิตชีวาให้กับเยาวราชผ่านการออกแบบที่ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทย-จีนอย่างลงตัว ด้วยพื้นที่ชอปปิ้งระดับพรีเมียม โรงแรมลักชัวรี 2 แห่ง ศาลาจีนร่วมสมัย และพื้นที่วัฒนธรรมเพื่อชุมชนและครอบครัว นอกจากนี้ โครงการยังตั้งเป้าหมายเป็นอาคารสีเขียวตามมาตรฐานสากล ผสานแนวคิดความยั่งยืนเพื่อคุณค่าองค์รวมแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เพื่อร่วมสร้างเยาวราชสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และการพักผ่อนอย่างครบวงจร พร้อมสนับสนุนกรุงเทพมหานครสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนชั้นนำระดับโลก โดยโครงการมีกำหนดเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในปี 2572   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) (AWC) กล่าวว่า "เวิ้งนครเกษมถือเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อยู่คู่กับกรุงเทพมหานครมาอย่างยาวนาน พร้อมด้วยเสน่ห์ของไชน่าทาวน์ที่เต็มไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรมไทย-จีนอันทรงคุณค่า  การพัฒนาโครงการ ‘เวิ้งนครเกษม เยาวราช’ จึงถือเป็นหมุดหมายสำคัญในฐานะโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ระดับแฟลกชิปแห่งแรกของ AWC ที่ทุกคนรอคอย ด้วยขนาดพื้นที่ใหญ่ที่สุดและใช้งบลงทุนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาสู่การเป็น AWC’s Lifestyle Destination ที่พร้อมสร้างสรรค์ประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ครบวงจรสำหรับทุกคน ควบคู่การอนุรักษ์เชื่อมต่อคุณค่าจากอดีตสู่แรงบันดาลใจแห่งอนาคตเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลกอย่าง เครืออินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ลส์ กรุ๊ป (IHG Hotels & Resorts) หนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านธุรกิจโรงแรม และไทย โอบายาชิ (Thai Obayashi) บริษัทก่อสร้างชั้นนำมาตรฐานระดับโลก รวมถึงชุมชนโดยรอบโครงการที่ให้การสนับสนุนการพัฒนาโครงการ พร้อมเชิญชวนพันธมิตรที่สนใจร่วมสร้างสรรค์เพื่อพัฒนาให้ ‘เวิ้งนครเกษม เยาวราช’ เป็นจุดหมายปลายทางแห่งความภาคภูมิใจของชาวเยาวราชและคนไทยทุกคน พร้อมร่วมสร้างกรุงเทพฯ ให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวยั่งยืนชั้นนำระดับโลก"     โครงการ “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” ตั้งอยู่บนพื้นที่ประวัติศาสตร์ขนาด 14 ไร่ ใจกลางย่านเยาวราช ด้วยพื้นที่การพัฒนากว่า 135,000 ตารางเมตร ที่ได้รับการออกแบบเพื่อสะท้อนถึงมรดกทางวัฒนธรรมไทย-จีนของย่านไชน่าทาวน์ ผ่านการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดั้งเดิมและการสร้างสรรค์องค์ประกอบใหม่ที่สอดคล้องกับความทันสมัยเพื่อพลิกฟื้นมรดกแห่งเยาวราช ซึ่งประกอบไปด้วยพื้นที่สำคัญ 3 ส่วน ไม่ว่าจะเป็น   ศาลาจีน (Chinese Pavilion) ความสูง 8 ชั้น พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของไชน่าทาวน์ ที่ได้รับการออกแบบอย่างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ เปิดให้ผู้คนได้เข้ามาสักการะเพื่อเสริมโชคลาภและความเป็นสิริมงคล รวมถึงพิพิธภัณฑ์เวิ้งนครเกษมที่จัดแสดงภาพประวัติศาสตร์ ตลอดจนสิ่งของในวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน เสริมสร้างการเรียนรู้เชิงวัฒนธรรม และเพิ่มพื้นที่สำหรับพักผ่อนหย่อนใจในใจกลางเมือง   โรงแรมระดับลักชัวรี (World-Class Hospitality) แห่งแรกของไชน่าทาวน์ จำนวน 2 โรงแรม รวมห้องพักกว่า 500 ห้อง ประกอบไปด้วย โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล (InterContinental) จำนวนกว่า 300 ห้องพัก โดดเด่นด้วยอาคารหลักสูง 10 ชั้น และอาคารพาณิชย์เก่าแก่ที่ได้รับการอนุรักษ์โครงสร้างเดิมและปรับปรุงอย่างพิถีพิถันให้กลายเป็นห้องสวีทสุดหรู พร้อมด้วยการบริการอันเป็นเอกลักษณ์จากแบรนด์โรงแรมระดับโลกแห่งแรกในย่านไชน่าทาวน์ โดดเด่นด้วยห้องบอลรูมขนาดใหญ่ที่สุดในเยาวราชกว่า 1,100 ตารางเมตรที่สามารถรองรับได้ถึง 750 คน รวมถึงโรงแรมระดับลักชัวรีในเครือ IHG (Luxury Hotel) จำนวนกว่า 200 ห้องพัก บนพื้นที่อาคารหลักสูง 10 ชั้น และอาคารพาณิชย์อนุรักษ์บริเวณริมคลองโอ่งอ่าง นำเสนอความสง่างามเหนือกาลเวลา ผสมผสานระหว่างประเพณีและความทันสมัยอย่างไร้ที่ติ พร้อมด้วยการบริการ รวมถึงห้องอาหารและบาร์อันโดดเด่น       ศูนย์การค้าระดับไอคอนิค (Iconic Heritage And Luxury Retail) จุดหมายปลายทางอันโดดเด่นด้านไลฟ์สไตล์สำหรับนักท่องเที่ยวและทุกครอบครัวด้วยพื้นที่รวมกว่า 68,000 ตารางเมตร ภายในพื้นที่อาคารหลัก พื้นที่พลาซ่ากลางแจ้งขนาดใหญ่ใจกลางไชน่าทาวน์บริเวณอาคารพาณิชย์อนุรักษ์ที่เป็นสัญลักษณ์โดดเด่นของเวิ้งนครเกษม และพื้นที่ชั้นใต้ดินในฐานะหนึ่งในพื้นที่ชอปปิ้งใต้ดินขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร รวบรวมร้านค้าแบรนด์เนมหรูชั้นนำ ร้านค้าคอนเซ็ปต์ใหม่ ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ คาเฟ่ และร้านค้าท้องถิ่นของชุมชนที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี เพื่อร่วมถ่ายทอดเรื่องราวและความเจริญรุ่งเรืองของพื้นที่การค้าไทย-จีนในอดีต เติมเต็มสีสันให้กับการชอปปิ้งด้วยการตกแต่งร่วมสมัย และพื้นที่กิจกรรมที่จะมาร่วมสร้างความสนุกตลอดปีให้กับนักเดินทางทุกวัยด้วยงานเทศกาลที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมของย่านไชน่าทาวน์ ร่มรื่นด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่และสวนลอยฟ้าบริเวณฟาซาดของอาคาร พร้อมลานจอดรถชั้นใต้ดินที่สามารถรองรับได้ถึง 750 คัน     นอกจากนี้ โครงการ “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” ยังได้รับการพัฒนาขึ้นโดยให้ความสำคัญกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามมาตรฐานอาคารสีเขียว (Green Building Standard) เพื่อผลักดันอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชนโดยรอบ มุ่งสู่การรับรองมาตรฐานระดับสากล สนับสนุนการเติบโตและเศรษฐกิจของชุมชนโดยรอบ สานความสัมพันธ์อันมีความหมายระหว่างคนในชุมชนเพื่อคุณค่าองค์รวมให้ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ส่งเสริมการเรียนรู้และความเข้าใจในมรดกทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างความเจริญรุ่งเรืองและการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน       “เวิ้งนครเกษม เยาวราช ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สำคัญของย่านไชน่าทาวน์ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงคุณค่าทางประวัติศาสตร์เข้ากับอนาคต ซึ่ง AWC มุ่งมั่นที่จะสร้างประสบการณ์อันน่าจดจำและเป็นที่ภาคภูมิใจให้กับชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก พร้อมส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจในชุมชนโดยรอบ โดยโครงการมีกำหนดเริ่มต้นการก่อสร้างในปี2568 และพร้อมเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในปี 2572” คุณวัลลภา กล่าวเสริม สำหรับผู้ที่ต้องการติดต่อเช่าพื้นที่ใน “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” สามารถติดต่อฝ่ายขายได้ที่หมายเลข 084-262-3651 หรือ Line Official ที่ https://lin.ee/oYc7lxi หรือสนใจศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.assetworldcorp-th.com/th/woeng-nakorn-kasem-yaowaraj   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ชวนคนรุ่นใหม่ประกวดวงดนตรี ชิงทุนฯ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68    
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ชะลอลงทุนเร่งระบายสต๊อก ลุยรร.กระจายความเสี่ยง

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ชะลอลงทุนเร่งระบายสต๊อก ลุยรร.กระจายความเสี่ยง

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ชะลอลงทุนเร่งระบายสต๊อก ลุยรร.กระจายความเสี่ยง จากสภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่องทำให้บริษัทอสังหาฯบิ๊กเนมอย่างบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ตัดสินใจลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2568 เพียงแค่ 4 โครงการ มูลค่ารวม 11,180 ล้านบาท ลดลงถึง 64% เมื่อเทียบกับปี 2567 ที่มีโครงการเปิดใหม่รวม 12 โครงการ มูลค่า 30,850 ล้านบาท จากแผนเดิมที่จะเปิด 11 โครงการ และมีมูลค่าลดลงถึง 74% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่มีการเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 17 โครงการ มูลค่ารวม 43,460 ล้านบาท   นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไม่ง่ายเหมือนในอดีตจากหลากหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบตลาดมาอย่างต่อเนื่อง และทำให้ดีมานด์ลดลง   “ภาพรวมของตลาดอสังหาฯที่ผ่านมาจะเห็นว่า มีปัญหาที่สืบเนื่องมาค่อนข้างเยอะ ย้อนหลังไป 5-7 ปี จะเห็นว่าทุกคนมีซัพพลายเข้ามาในตลาดค่อนข้างมากในแง่ของคอนโดมิเนียม เมื่อตลาดคอนโดเริ่มชะลอตัวก็เริ่มย้ายมาทำโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ในปี 2567 ที่ผ่านมาจะเห็นว่าในครึ่งปีหลังทั้งคอนโดและบ้านแนรวราบจะเปิดโครงการใหม่กันไม่ค่อยมากแล้ว มันเป็นช่วงที่มีตลาดปรับสมดุลระหว่างดีมานด์และซัพพลาย ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าดีมานด์นั้นลดลงจริงๆ จากปัญหาหนี้ครัวเรือน ความสามารถในการใช้จ่าย การปล่อยกู้สินเชื่อจากธนาคาร ซึ่งต้องยอมรับว่ามันเป็นตลาดที่ไม่ง่ายเหมือนในอดีต เพราะมีปัจจัยที่เข้ามากระทบค่อนข้างมากจากปัญหาที่เกิดขึ้นมาต่อเนื่อง ไม่ได้เกิดขึ้นช่วงสั้นๆ 2-3 ปี ทำให้เศรษฐกิจซึมและความเชื่อมั่นที่ไม่กลับมาสักที”   นายนพพร มองว่าต้องกลับมาดูพื้นฐานเรื่องของงบกระแสเงินสด (Cash Flow) กลยุทธ์ที่จะใช้ ซึ่งมันจะไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด จึงต้องดูว่าการกระจายความเสี่ยงออกไปในแต่ละช่วงจะทำอะไรได้บ้าง นอกจากของที่มีขายในสต๊อคทั้งหมดมีอะไรบ้างเทียบกับอัตราการดูดซับในตลาด และการกระจายความเสี่ยงไปทำโรงแรมมากขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาทั้งโรงแรมที่ไทยและสหรัฐอเมริการวมแล้วหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็น Recurring income และ Capital Gain อันใหม่ที่จะเข้ามา     ขณะที่นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า "ตัวเลขการโอนที่อยู่อาศัยในรอบ 10 เดือนของปี 2567 มีการโอนลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนแสดงให้เห็นว่าอุปสงค์โดยรวมของที่อยู่อาศัยค่อนข้างจะอ่อนตัวลง โดยที่อยู่อาศัยแนวราบลดลงถึง 22% ขณะที่คอนโดมิเนียมอยู่ในภาวะทรงตัว ด้านอุปทานที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ลดลงประมาณ 40% เมื่อเทียบกับปีก่อน บ้านเดี่ยวเปิดขายใหม่ลดลง 20% ขณะที่ความต้องการบ้านเดี่ยวมีน้อยกว่าจำนวนยูนิตที่เปิดใหม่ประมาณ 50% ส่งผลให้หน่วยเหลือขายในตลาดเพิ่มขึ้นในปี 2568 เป็นเหตุให้บ้านเดี่ยวซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทยังคงมีการแข่งขันที่สูงมาก นอกจากนี้ ความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแรงกดดันจากยอดคงค้างของ NPL และปัญหาหนี้ครัวเรือน ทำให้สถาบันการเงินยังคงความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อทำให้ผู้ประกอบต้องให้ความสำคัญในการรักษาสภาพคล่อง และระมัดระวังในการลงทุนพัฒนาโครงการ   “ในปี 2568 เนื่องจากบริษัทยังมีสินค้าคงเหลือขายในระดับที่เพียงพอที่จะขายในปี 2568 จึงมีแผนเปิดโครงการใหม่แค่ 4 โครงการ มูลค่ารวม 11,180 ล้านบาท เป็นโครงการในระดับกลาง-บน ทั้งหมดจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยว ประกอบด้วย สีวลี บางนา กม.13 จำนวน 326 หลัง มูลค่า 3,040 ล้านบาท วีเว่ ภูเก็ต 36 หลัง มูลค่า 1,300 ล้านบาท วีเว่ กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ 73 หลัง มูลค่า 4,620 ล้านบาท และ นันทวัน ราชพฤกษ์-พรานนก 34 หลัง มูลค่า 2,220 ล้านบาท”     ในส่วนของคอนโดมิเนียมยังคงเป็นอีก 1 ปีที่แลนด์แอนด์เฮ้าส์จะยังไม่มีการพัฒนาโครงการใหม่ โดยนายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ขยายความว่า การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในปี 2567 มีจำนวนประมาณ 3.7 หมื่นยูนิต ถือว่าใกล้เคียงกับปี 2566 ขณะที่จำนวนหน่วยเปิดใหม่ลดจากเกือบๆ 5 หมื่นยูนิต เหลือ 2.7-2.8 หมื่นหน่วย หรือลดลงประมาณ 43% จากปีก่อน ขณะที่ซัพพลายคงค้างเหลืออยู่ประมาณ 8-9 หมื่นยูนิต   คาดว่าทิศทางของตลาดคอนโดในปี 2568 จะเป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปไม่หวือหวา เพราะหลายๆ อย่างยังไม่ได้มีปัจจัยเกื้อหนุนอะไรที่ชัดเจน ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศดูแล้วเหมือนยังช้าอยู่ ขณะที่บริษัทมีคอนโดมิเนียมในมือพร้อมขายทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 13,500 ล้านบาท เป็นโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอน 5 โครงการ มูลค่าประมาณ 6,200 ล้านบาทและโครงการวันเวลาที่อยู่ระหว่างก่อสร้างอีกกว่า 7,300 ล้านบาท ในปี 2568 บริษัทจะเน้นการขายสินค้าคอนโดมิเนียมจากโครงการที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นหลัก   นายอาชวิณ อัศวโภคิน (ทายาทอัศวโภคินรุ่นที่ 3) รองกรรมการผู้จัดการและผู้บริหารสูงสุดด้านการเงิน กล่าวว่า ในปี 2567 บริษัทยังคงมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงจากการบริหารจัดการสภาพคล่องที่ดีและจากสินทรัพย์ลงทุนที่มีอยู่ ขณะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่าและบริการ ซึ่งประกอบด้วยโรงแรม Grande Centre Point ที่เปิดดำเนินการแล้ว 7 แห่ง อยู่ระหว่างก่อสร้าง 3 แห่ง ศูนย์การค้า Terminal 21 3 แห่ง อพาร์ตเมนต์และโรงแรมในสหรัฐอเมริกาอีก 5 แห่ง มีการเติบโตได้ดีกว่าแผนที่วางไว้ โดยคาดว่ารายได้ทั้งปีจะอยู่ที่ 9,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 16% จากปีก่อนที่มีรายได้ 7,800 ล้านบาท จากธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย และในปีนี้คาดว่า โรงแรมจะดียังต่อเนื่อง   นอกจากนี้ยัง มีการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าและบริการ มูลค่ารวม 5,800 ล้านบาท ประกอบด้วย ซื้อโรงแรม Residence Inn Manhattan Beach 2,400 ล้านบาท พัฒนาโครงการ Grande Centre Point Lumphini 2,100 ล้านบาท และพัฒนาธุรกิจโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์อื่นๆ อีก 1,300 ล้านบาท     ในปี 2568 บริษัทเดินหน้าธุรกิจให้เช่าอย่างต่อเนื่อง และลดระดับหนี้สินต่อทุน โดยได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 8,500 ล้านบาท สำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 4,000 ล้านบาท และงบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 4,500 ล้านบาท และในปีนี้จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่อีก 1 แห่งในเดือนเมษายนคือ Grande Centre Point Lumphini ซึ่งเป็นอาคารประเภท Mixed Use ประกอบด้วยพื้นที่สำนักงานประมาณ 12,700 ตร.ม. และโรงแรม 512 ห้อง พร้อมทั้งพื้นที่จัดเลี้ยงที่มากที่สุดในเครือโรงแรม Grande Centre Point ตามด้วย Grande Centre Point Ratchadamri2 ในปี 2569 และ Grande Centre Point Pattaya 3 ในปี 2570   นอกจากนี้ บริษัทจะปรับมีการพอร์ตการลงทุนในสหรัฐอเมริกา โดยลดสัดส่วนของอพาร์ตเมนต์ลงตามสถานการณ์หลังการแพร่ระบาด COVID-19 ที่ส่วนใหญ่ยังคงรูปแบบการทำงานแบบ Work From Home อยู่ และหันมาเน้นการดำเนินธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก ขณะเดียวกันในปี 2568 บริษัทมีแผนที่จะออกหุ้นกู้มูลค่า 12,000 ล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนด และคาดว่า ณ สิ้นปี 2568 อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนสุทธิจะอยู่ในระดับประมาณ 1 เท่า ซึ่งจะลดลงจากสิ้นปี 2567 ที่มีอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ที่ประมาณ 1.3 เท่า     ข่าวอื่นที่น่าสนใจ AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์ AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68
[PR] ORN งัดกลยุทธ์อัดโปรโมชัน เตรียมกวาดยอดขายทั้งแนวราบ-แนวสูง

[PR] ORN งัดกลยุทธ์อัดโปรโมชัน เตรียมกวาดยอดขายทั้งแนวราบ-แนวสูง

อรสิริน (ORN) งัดกลยุทธ์อัดโปรโมชัน เตรียมกวาดยอดขายทั้งแนวราบ-แนวสูง ไฮไลท์โครงการอะไรซ์ ฮิลล์, ดิแอสตร้า สกายริเวอร์, บีลีฟ วงแหวนสันกำแพง, ฮาบิแทท รวมโชค, ฮาบิแทท วงแหวนสันกำแพง เดอะเน็กซ์ รวมโชค ซิตี้ ฮอลล์, เดอะเน็กซ์ เจ็ดยอด 2 ฯลฯ ตอกย้ำศักยภาพพัฒนาโครงการตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าชาวไทย-ต่างชาติครอบคลุม ชูจุดเด่นทำเลศักยภาพ ราคาเข้าถึงได้ เดินหน้าจัดโปรโมชันพิเศษ GET SET GO รับโบนัสสูงสุด 2 ล้าน ฟรีทุกค่าใช้จ่ายฯ กระตุ้นยอดขาย ดันผลงาน Q1/68   จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของยอดขายที่ผ่านมา ทำให้เห็นถึงความต้องการที่สูงขึ้นของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดเชียงใหม่ – ภูเก็ต ประกอบกับกลยุทธ์การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) หรือ ORN ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ทั้งด้านการดีไซน์ ทำเลที่ตั้ง และสิ่งอำนวยความสะดวก ในระดับราคาที่เหมาะสม ทำให้โครงการได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายชาวต่างชาติและชาวไทย โดยโครงการแนวราบ-แนวสูงที่ได้รับความสนใจ อาทิ โครงการ อะไรซ์ ฮิลล์, ดิแอสตร้า สกายริเวอร์, บีลีฟ วงแหวนสันกำแพง, ฮา บิแทท รวมโชค, ฮาบิแทท วงแหวนสันกำแพง เดอะเน็กซ์ รวมโชค ซิตี้ ฮอลล์, เดอะเน็กซ์ เจ็ดยอด 2 ฯลฯ       ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นยอดขายและตอกย้ำความเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ บริษัทเร่งจัดโปรโมชันพิเศษโปรเสริมช่วงเทศกาลตรุษจีน ช่วงวันที่ 16-31 ม.ค. 68 รับเพิ่ม ทองสูงสุด 6 บาท* สร้างโอกาสให้ลูกค้ารับสิทธิประโยชน์สูงสุดในช่วงเทศกาลมงคลช่วงตรุษจีนถือเป็นช่วงเวลาแห่งโชคลาภและการเริ่มต้นสิ่งดีๆ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า คาดว่าจะมียอดขายปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกในช่วงไตรมาส 1/2568  
มูลนิธิ แอสเสท เวิรด์ จัดงานวิ่งการกุศลใจกลางเมือง “CBD We Run 2025”

มูลนิธิ แอสเสท เวิรด์ จัดงานวิ่งการกุศลใจกลางเมือง “CBD We Run 2025”

มูลนิธิ แอสเสท เวิรด์ เพื่อการกุศล ร่วมกับ กทม. และพันธมิตร จัดงานวิ่งการกุศลใจกลางเมือง “CBD We Run 2025” วิ่งสุขสันต์เมืองยั่งยืน   มูลนิธิ แอสเสท เวิรด์ เพื่อการกุศล หรือ AWFC ซึ่งก่อตั้งโดย บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร และเครือข่ายพันธมิตร จัดกิจกรรมวิ่งการกุศล “CBD We Run 2025” ภายใต้โครงการ “GIVE GREEN CBD” หนึ่งในงานวิ่ง City Run ประจำปีที่นักวิ่งรอคอยและมีการจัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 ในคอนเซปต์  “วิ่งสุขสันต์เมืองยั่งยืน” ร่วมสร้างกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองสีเขียวรวมถึงไม่สร้างขยะตลอดการแข่งขัน ผ่านการสนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมของกรุงเทพมหานคร   และนำรายได้ส่วนหนึ่งเข้าสมทบโครงการ “ปันรักษ์” เพื่อสิ่งแวดล้อมของมูลนิธิ AWFC โดยภายในงาน ได้รับเกียรติจากนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในการปล่อยตัวกิจกรรมวิ่งการกุศล “CBD We Run 2025” รวมถึงพันธมิตรกว่า 70 ราย โดยมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้จำนวน 2,400 คน ณ จุดปล่อยตัว อาคาร “เอ็มไพร์”       กิจกรรมวิ่งการกุศล “CBD We Run 2025” เป็นงานวิ่งฮาล์ฟมาราธอนการกุศลกลางเมือง เพื่อส่งมอบคุณค่าและประโยชน์องค์รวมทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคม โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็นทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ “Fun Run” ระยะทาง 4.2 กิโลเมตร “Mini Marathon” ระยะทาง 10.5กิโลเมตร และ “Half Marathon” ระยะทาง 21 กิโลเมตร ด้วยเส้นทางวิ่งพิเศษผ่านพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญใจกลางเมือง กับไฮไลท์สำคัญในเส้นทางวิ่ง อาทิ อาคาร ‘เอ็มไพร์’ อาคารสำนักงานแบบไลฟ์สไตล์ระดับแฟลกชิปของ AWC สวนสาธารณะคลองช่องนนทรี ถนนสาทร ลัดเลาะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมด้วยวิวอาทิตย์ขึ้นยามเช้าบริเวณสะพานตากสิน และจุดกลับตัวที่อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (วงเวียนใหญ่)     ทั้งนี้ “CBD We Run 2025” จัดขึ้นภายใต้โครงการ “GIVE GREEN CBD” มุ่งเดินหน้าขับเคลื่อนความยั่งยืน ผ่าน 3 กิจกรรม คือ ตลาดนัดเพื่อการกุศล “AWC's Charity Market Around” กิจกรรมการกุศลใต้ต้นคริสต์มาส "A Charity Christmas Tree" และงานซิตี้รัน วิ่งฮาล์ฟมาราธอนการกุศลกลางกรุง “CBD We Run 2025” ชวนคนไทยรวมพลังกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อส่งต่อคุณค่ากลับคืนสู่สังคม มุ่งรณรงค์ให้ทุกคนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ พร้อมส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและไม่สร้างขยะเพิ่มเติม แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยการนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) จากซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดต่างๆ ที่หมดอายุการใช้งาน มาใช้ประโยชน์ต่อด้วยการนำมารีไซเคิลเป็นเหรียญรางวัล เสื้อวิ่งที่ผลิตจากเส้นใยพลาสติก Recycled PET รวมถึงรณรงค์ให้นักวิ่งใช้ขวดน้ำซิลิโคนแบบพกพาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อไม่สร้างขยะตลอดการแข่งขัน     โครงการ “GIVE GREEN CBD” ได้รับการสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมจากพันธมิตรชั้นนำ ประกอบด้วย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง ประจำกรุงเทพมหานคร, เคพีเอ็มจี ประเทศไทย, บริษัท นวกิจ อลูมินัม แอนด์ กลาส (2009) จำกัด, บริษัท จาร์ดีน ชินด์เล่อร์ (ไทย) จำกัด, บริษัท บางกอก เดค-คอน จำกัด (มหาชน), บริษัท ซี.อี.เอส จำกัด, บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท หลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), บริษัท เทอร์มีเดซ จำกัด, บริษัท เอเวอเรสต์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด, บริษัท ฟิวเจอร์ วิชวล ซิสเต็ม จำกัด, กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี, บริษัท โอกุระ นิกโก้ โฮเทล แมนเนจเม้นท์ จำกัด, บริษัท อัซบิล (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด, บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด และอื่น ๆ รวมกว่า 70ราย   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ชวนคนรุ่นใหม่ประกวดวงดนตรี ชิงทุนฯ AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น JLLชูเทคโนโลยี AI โซลูชั่น นวัตกรรม บริการอสังหาฯก้าวสู่ยุค‘อุตสาหกรรม5.0’  
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ชวนคนรุ่นใหม่ประกวดวงดนตรี ชิงทุนฯรวมกว่า 400,000 บาท*

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ชวนคนรุ่นใหม่ประกวดวงดนตรี ชิงทุนฯรวมกว่า 400,000 บาท*

เฟรเซอร์ส ชวนคนรุ่นใหม่ประกวดวงดนตรี ชิงทุนฯ รวมกว่า 400,000 บาท* เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ชวนคนรุ่นใหม่ร่วมโชว์ศักยภาพทางดนตรี สร้างประสบการณ์ที่ดีครั้งหนึ่งในชีวิต กับการประกวดวงดนตรี โครงการ Frasers Property presents “We Play Together...ร้องด้วยกัน เล่นด้วยกัน อบอุ่นไปด้วยกัน” เปิดโอกาสให้น้อง ๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และระดับมหาวิทยาลัย โชว์ความสามารถกับโจทย์เพลง “อบอุ่น” ชิงทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท* และโอกาสในการร่วมประสบการณ์พัฒนาทักษะกับศิลปินชั้นนำของเมืองไทย เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ ถึง 15 กุมภาพันธ์ ศกนี้     นายสมบูรณ์ วศินชัชวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ได้ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับทุกคนผ่านการสร้างสรรค์เพลง “อบอุ่น” ที่ได้ร่วมกับศิลปินชื่อดังอย่าง ตู่ ภพธร และ แทน ลิปตา ถ่ายทอดความสุขและความอบอุ่นของการอยู่อาศัยในบ้านที่มีฟังก์ชันครบครันจาก เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนทุกเจเนอเรชั่น รวมถึงคนรุ่นใหม่ เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีที่สุด ภายใต้เจตนารมย์ของบริษัทฯ ในการสร้างสรรค์พื้นที่ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.)      “เพื่อเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากบทเพลงดังกล่าว และสร้างประสบการณ์ที่ดีผ่านการใช้ “ดนตรี” เป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความหลงใหลในดนตรี และมองหาโอกาสในการแสดงออกถึงความสามารถ ผ่านการร้องและการเล่นดนตรีร่วมกัน ในปีนี้ เราจึงได้จัดการประกวดวงดนตรีสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่ขึ้น ภายใต้โครงการ Frasers Property presents “We Play Together...ร้องด้วยกัน เล่นด้วยกัน อบอุ่นไปด้วยกัน” เพื่อมุ่งหวังในการส่งเสริมศักยภาพทางด้านดนตรีของคนรุ่นใหม่ พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อขยายโอกาสให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้แสดงความสามารถทางด้านดนตรี และเป็น “พื้นที่” ให้น้อง ๆ ที่มีใจรักในเสียงดนตรีได้ปล่อยพลังความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ ผ่านเสียงเพลงในแบบของคุณ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะจากศิลปินชั้นนำ โดยการประกวดฯ นี้ไม่ได้เพียงแค่เป็นเวทีการแข่งขัน แต่เป็นพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้มาสร้างประสบการณ์ และมอบความสุขผ่านการเล่นดนตรีร่วมกันในบรรยากาศที่อบอุ่นและมีความสุข      โครงการ Frasers Property presents “We Play Together...ร้องด้วยกัน เล่นด้วยกัน อบอุ่นไปด้วยกัน” เป็นโครงการประกวดวงดนตรีสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีใจรักในเสียงดนตรี ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อเปิดโอกาสให้น้อง ๆ ได้ร่วมแสดงความสามารถทางด้านดนตรีผ่านเสียงเพลงในแบบของคุณ พร้อมชิงทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท*และโอกาสในการร่วมประสบการณ์สุดพิเศษกับศิลปินชั้นนำของเมืองไทย โดยจะแบ่งการประกวดออกเป็น 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น High School Class - มัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่า  และรุ่น University Class - มหาวิทยาลัย / อุดมศึกษา หรือเทียบเท่า ซึ่งเปิดรับสมัครอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2568 เท่านั้น โดยจะประกาศผลผู้ที่ผ่านเข้ารอบ Audition จำนวน 20 วง (รุ่นละ 10 วง) ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อทำการแสดงต่อหน้าคณะกรรมการผู้คร่ำวอดในแวดวงดนตรีระดับประเทศที่ให้เกียรติมาร่วมตัดสินในโครงการนี้ อาทิ คุณหนึ่ง – จักรวาล เสาธงยุติธรรม,  คุณแมว - จิรศักดิ์ ปานพุ่ม, คุณฮอล - ชัชชนท อาภาสโชคทวี และ ผู้เชี่ยวชาญจากกองดุริยางค์ทหารอากาศ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน ในวันที่ 8 มีนาคมนี้ และรอบ Final กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 29 มีนาคมนี้ ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์     โดยอีกหนึ่งความพิเศษที่ทางโครงการประกวดฯ เตรียมไว้ในครั้งนี้ คือการนำ 3 ศิลปินชั้นนำของเมืองไทย ได้แก่ คุณคัตโตะ นักร้องนำจากวงลิปตา, คุณมีน มือกีต้าร์จากวงไททศมิตร และ คุณเอก นักร้องนำจากวง Season Five มาร่วมให้คำแนะนำ และเทคนิคต่าง ๆ จากประสบการณ์จริง เพื่อให้น้องๆ สามารถนำไปปรับใช้ในการแสดงดนตรี ทั้งด้านการร้องเพลงและการเล่นเครื่องดนตรี ซึ่งมั่นใจว่าน้อง ๆ ทั้ง 10 ทีมสุดท้าย (รุ่นละ 5 ทีม) ที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศจะได้สัมผัสกับประสบการณ์สุดพิเศษ และได้รับความรู้กลับไปอย่างเต็มที่อย่างแน่นอน      “ขอเชิญชวนเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีใจรักในด้านดนตรี มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการประกวดวงดนตรีฯ ในครั้งนี้กันเยอะๆ เพราะนี่คือโอกาสที่ไม่เพียงแต่จะได้แสดงความสามารถทางด้านดนตรี แต่ยังได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะจากศิลปินมืออาชีพที่มีประสบการณ์จริง เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการทำตามความฝันของทุกคน นอกจากนี้ในอนาคต บริษัทฯ ยังเตรียมเดินหน้าจัดกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี และสร้างการมีส่วนร่วมในหลากหลายด้านมากยิ่งขึ้น เพื่อตอกย้ำเจตนารมณ์ของบริษัทฯ ในการสร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.) พร้อมทำให้เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย เป็นแบรนด์ที่โดดเด่นและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกเจเนอเรชั่นได้อย่างครบถ้วนทุกมิติ” นายสมบูรณ์ กล่าว   ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ Frasers Property presents “We Play Together...ร้องด้วยกัน เล่นด้วยกัน อบอุ่นไปด้วยกัน” พร้อมส่งใบสมัครและผลงานได้ที่ weplaytogethermusiccontest@gmail.com ตั้งแต่วันนี้ - 15 กุมภาพันธ์นี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/FPTFamilyClub     ข่าวอื่นที่น่าสนใจ AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น JLLชูเทคโนโลยี AI โซลูชั่น นวัตกรรม บริการอสังหาฯก้าวสู่ยุค‘อุตสาหกรรม5.0’    
สโคป สร้างสีสันต้อนรับ “สโคป ทองหล่อ” ปล่อยทีเซอร์รูปแบบแอนิเมชัน

สโคป สร้างสีสันต้อนรับ “สโคป ทองหล่อ” ปล่อยทีเซอร์รูปแบบแอนิเมชัน

สโคป สร้างสีสันต้อนรับ “สโคป ทองหล่อ” ปล่อยทีเซอร์รูปแบบแอนิเมชัน บริษัท สโคป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพสูง ปล่อยแอนิเมเต็ดทีเซอร์ต้อนรับ “สโคป ทองหล่อ” โครงการแฟลกชิปใหม่ล่าสุด ที่สะท้อนคุณภาพมาตรฐานของแบรนด์สโคป โดยทีเซอร์หนึ่งตอนความยาว 45 วินาทีนี้ มีชื่อว่า “A Sky Manor” เป็นผลงานของ “อันเดรอา มอนจา” (Andrea Mongia) ศิลปินนักวาดภาพประกอบระดับโลก ชาวอิตาเลียน ที่ถ่ายทอดความเป็นเลิศในทุกตารางเมตรของ สโคป ทองหล่อ ผ่านลายเส้นและสีสันอันเป็นเอกลักษณ์ กับคอนเซปต์ Your Penthouse. Your Floor. Your Horizon. เพื่อให้มุมมองการเป็นเรสซิเดนท์ที่ดีที่สุดในทุกๆ องค์ประกอบพร้อมเส้นขอบฟ้าส่วนตัวของสโคป ทองหล่อ ซึ่งเป็นโครงการที่มีความสูงถึง 32 ชั้น รูปแบบAll Penthouse แห่งแรกและแห่งเดียวในไทย หนึ่งชั้นมีหนึ่งยูนิต จำนวนรวมเพียง 18 ยูนิต ซึ่งพร้อมเปิดตัวให้ได้เยี่ยมชมในไตรมาสแรกปี 2568 นี้     นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโคป จำกัด เผยว่า “โครงการ สโคป ทองหล่อ ถือเป็นอีกก้าวสำคัญที่สะท้อนความตั้งใจของเราที่จะมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยระดับโลกให้แก่ลูกค้า ในครั้งนี้เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับศิลปินระดับโลกอย่าง อันเดรอา มอนจา ซึ่งสามารถถ่ายทอดความพิถีพิถันในทุกองค์ประกอบของ สโคป ทองหล่อ ได้อย่างสมบูรณ์แบบผ่านแอนิเมชันสุดพิเศษ ผมเชื่อมั่นว่าทีเซอร์ชิ้นนี้จะช่วยสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจและใส่ใจในทุกตารางเมตรของทุกโครงการภายใต้แบรนด์สโคป และสร้างความตื่นเต้นก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไตรมาสแรกปี 2568 ของสโคป ทองหล่อ”   มร. อันเดรอา มอนจา เป็นศิลปินนักวาดภาพประกอบและนักออกแบบชื่อดังชาวอิตาเลียน วัย 35 ปี ปัจจุบันพำนักอยู่ที่กรุงโรม มีผลงานที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติด้วยสไตล์การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ เน้นลายเส้นเรียบง่ายแต่มากด้วยรายละเอียด ประกอบกับการใช้สีที่ชวนดึงดูดสายตา อันเดรอาเคยร่วมงานกับแบรนด์และสื่อชั้นนำระดับโลก เช่น Apple, Google, Louis Vuitton, Loro Piana, The New York Times, The Wall Street Journal และ Forbes โดยผลงานถ่ายทอดเรื่องราวและอารมณ์ที่มีความลึกซึ้งในความเรียบง่าย เสมือนกับแนวคิดและการออกแบบของแบรนด์สโคป ที่ความหรูหราถูกเล่าผ่านการเลือกใช้ของคุณภาพสูงในรูปแบบที่เรียบง่ายสไตล์โมเดิร์นมินิมอล     อันเดรอา มอนจา ได้กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานครั้งนี้ว่า “โครงการ สโคป ทองหล่อ มีความโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ทั้งในด้านสถาปัตยกรรมและคุณค่าในทุกองค์ประกอบ การออกแบบที่พิถีพิถันผสมผสานความหรูหรา และความทันสมัย ให้ทุกตารางเมตรสะท้อนถึงความเรียบง่ายที่เหนือกาลเวลา การสร้างสรรค์แอนิเมชันครั้งนี้ ผมจึงได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมที่งดงาม การเชื่อมโยงกับภูมิทัศน์โดยรอบ และพื้นที่อยู่อาศัยที่เปิดโล่งรับแสงสว่างอย่างเต็มที่ ผมต้องการให้ผลงานนี้เชื่อมโยงผู้ชมกับวิสัยทัศน์ของแบรนด์สโคป ทั้งความเรียบง่าย ความหรูหรา และความลงตัวของคุณภาพ ผมหวังว่างานชิ้นนี้จะทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความปรารถนาที่จะส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดของแบรนด์ และสามารถสัมผัสได้ถึงความหลงใหลในรายละเอียดที่ทั้งผมและทีมงานสโคปใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง”   “สโคป ทองหล่อ” ตั้งอยู่บนย่านที่อยู่อาศัยระดับพรีเมียม กับศูนย์กลางของไลฟ์สไตล์คนเมือง เดินทางสะดวกเพียง 1 ก้าว จาก BTS ทองหล่อ หนึ่งในย่านที่มีคุณค่าและได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางของไลฟ์สไตล์ ได้รับออกแบบตกแต่งภายในโดย Thomas Juul-Hansen นักออกแบบภายในระดับโลก (ที่เคยออกแบบให้กับโครงการ สโคป หลังสวน) ซึ่งโครงการ สโคป ทองหล่อ ได้รับการออกแบบเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และรสนิยมของผู้ซื้อ พื้นที่อยู่อาศัยที่สะท้อนทั้งคุณภาพและความพิถีพิถันในทุกองค์ประกอบ และ Thomas Juul-Hansen เองก็เป็นที่ปรึกษาด้านสถาปัตยกรรมของที่นี่ด้วยเช่นกัน (Thomas Juul-Hansen เป็นทั้ง Interior และ Exterior Designer ที่แรกและที่เดียวในไทย) ทำให้ สโคป ทองหล่อ เป็นดั่ง Landmark ใหม่ที่โดดเด่นสะดุดตาบนถนนสุขุมวิท-ทองหล่อ ด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่น เพื่อการอยู่อาศัยที่เหนือระดับ   สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสัมผัส ความเป็น “สโคป ทองหล่อ” ในรูปแบบ animated teaser (แอนิเมเต็ดทีเซอร์) สุดพิเศษได้แล้ววันนี้ที่ https://www.scopecollection.com/residences/scope-thonglor / 02-028-9788 พร้อมเตรียมพบกับการเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการในไตรมาสแรก ปี 2568 นี้  “SCOPE – Simply. Best.” ข่าวอื่นที่น่าสนใจ AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น PROUD ชูแนวคิด ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน  
AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น

AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น

AWC ร่วมกับ NEON และ Universal Destinations & Experiences เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience’  หนึ่งในประสบการณ์การความบันเทิงแบบอิมเมอร์ซีฟที่ใหญ่สุดในโลก พร้อมเปิดในไตรมาส 2 ปี 2568 ที่เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น   บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร สร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในวงการการท่องเที่ยวและความบันเทิง ประกาศความร่วมมือกับ NEON ผู้นำในการสร้างประสบการณ์แบบอิมเมอร์ซีฟและเครื่องเล่นระดับโลก และ Universal Live Events & Location Based Entertainment ด้วยวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันของเหล่าผู้นําในอุตสาหกรรม เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่จุดหมายปลายทางด้านไลฟ์สไตล์ สนับสนุนกรุงเทพมหานครสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและความบันเทิงระดับโลกด้วยการนำประสบการณ์ ‘Jurassic World: The Experience’ มาสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การผจญภัยอันน่าตื่นตาตื่นใจที่จะพาทุกคนย้อนกลับไปสัมผัสประสบการณ์แห่งยุคไดโนเสาร์รูปแบบใหม่ที่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว โดยมีกำหนดเปิดตัวที่โครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น  ในไตรมาส 2 ปี 2568     ด้วยพื้นที่รวมกว่า 6,000 ตารางเมตรของ ‘Jurassic World: The Experience’พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยเข้าสู่การผจญภัยสุดตื่นเต้นที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากแฟรนไชส์ภาพยนตร์ชื่อดัง ‘Jurassic World’ จาก Universal Pictures และ Amblin Entertainment ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ออกเดินทางเข้าสู่โลกแห่งวิทยาศาสตร์และการเรียนรู้ที่ผสานเข้ากับความบันเทิงคุณภาพสูงอย่างลงตัว โดย ‘Jurassic World: The Experience’ มีความพิเศษแตกต่างจากสวนสนุกทั่วไป เพราะนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับประสบการณ์แบบอิมเมอร์ซีฟและเครื่องเล่นระดับโลก รายล้อมไปด้วยไดโนเสาร์แอนิมาทรอนิกส์เสมือนจริง พร้อมบรรยากาศที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากฉากสำคัญในภาพยนตร์ ในระหว่างการเดินทางสำรวจความมหัศจรรย์ของเกาะ Isla Nublar ที่เต็มไปด้วยความลึกลับน่าตื่นเต้นและประสบการณ์อันน่าจดจำ เพื่อเติมเต็มความประทับใจให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เตรียมพบกับ Café & Restaurant แห่งใหม่ที่จะมอบบรรยากาศการรับประทานอาหารสุดพิเศษที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก‘Jurassic World: The  Experience’ โดดเด่นด้วยการผสมผสานการเดินทางท่องโลกไดโนเสาร์แบบอิมเมอร์ซีฟเข้ากับเมนูรสเลิศที่ไม่เหมือนใคร อิ่มอร่อยได้ทุกเพศทุกวัย   ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และ กรุงเทพมหานคร (กทม.) ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก และเป็นศูนย์กลางของการจัดงานอีเว้นท์ ผ่านการมอบประสบการณ์ระดับเวิร์ดคลาส ซึ่งมีส่วนช่วยสนับสนุนการเติบโตให้กับการท่องเที่ยว สร้างงานในภาคอุตสาหกรรมการบริการ และกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับท้องถิ่นโดยรอบจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจากทั่วทั้งภูมิภาค     นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "AWC รู้สึกภาคภูมิใจในคุณค่าที่เราสร้างขึ้นจากความร่วมมือกับ NEON และ Universal Live Events & Location Based Entertainment ที่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและความบันเทิงในการส่งมอบความสุข นวัตกรรม และคุณค่าที่ยั่งยืนสําหรับคนรุ่นต่อๆ ไป ความร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการสร้างจุดหมายปลายทางที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ แต่ยังเป็นการส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ริมสายน้ำเจ้าพระยา ใจกลางกรุงเทพฯ ด้วยพื้นที่การพัฒนารวมทั้งหมดกว่า 10,000 ตารางเมตร โดยมี Jurassic World: The Experience ครอบคลุมพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตรพร้อมพาทุกคนดื่มด่ำไปกับยุคจูราสสิคอย่างใกล้ชิดในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน เปิดประสบการณ์แห่งการผจญภัยครั้งใหม่ที่ท้าทายและน่าตื่นตาตื่นใจอย่างไม่รู้ลืม”   "AWC มุ่งมั่นในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก ที่ซึ่งการท่องเที่ยวและความยั่งยืนสามารถเติบโตไปด้วยกัน โดยความร่วมมือครั้งนี้ สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของ AWC ในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วโลกจากรุ่นสู่รุ่น เพื่อ ‘สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า’ ผ่านการสร้างจุดหมายปลายทางที่ผสมผสานแนวคิดด้านนวัตกรรมและความยั่งยืน เข้ากับประสบการณ์ด้านความบันเทิงอย่างลงตัว”   นายรอน ตัน ประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม NEONกล่าวว่า "NEON รู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมมือกับ Universal Destinations & Experiences และAWC ในการนํา Jurassic World: The Experience มาสู่กรุงเทพมหานคร เมืองที่เต็มไปด้วยสีสันและความมีชีวิตชีวาจากประสบการณ์ในการจัดการแสดงที่ผู้คนให้ความสนใจจองบัตรกันอย่างรวดเร็วในเมืองต่างๆ ทั่วโลก เรามั่นใจว่าความบันเทิงรูปแบบอิมเมอร์ซีฟในประเทศไทยครั้งนี้ จะเข้ามาสร้างมาตรฐานใหม่ให้สูงยิ่งขึ้น มอบประสบการณ์การผจญภัยใน ‘Jurassic World’ เราขอขอบคุณพันธมิตรทุกท่านในการสนับสนุนให้วิสัยทัศน์อันยอดเยี่ยมนี้กลายเป็นจริง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวมากมายที่จะมาร่วมผจญภัยใน ‘Jurassic World: The Experience’ ไปด้วยกัน"   นายเจอรัลด์ เรนส์ รองผู้อำนวยการ Universal Live Events & Location Based Entertainment, Universal Destinations and Experiences กล่าวว่า “เรารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมกับ AWC และ NEON ในการนำประสบการณ์ Jurassic World: The Experienceมาให้เกิดขึ้นจริงที่กรุงเทพฯ ที่พร้อมเปิดประตูต้อนรับผู้เข้าชมทุกท่านในปี 2568”   Jurassic World: The Experience สอดคล้องกับพันธกิจของ AWC ในการนําแนวคิดด้านนวัตกรรมและความยั่งยืนมาสู่จุดหมายปลายทางด้านไลฟ์สไตล์และความบันเทิงของประเทศไทย โครงการนี้เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ในการพัฒนาโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ให้เป็นศูนย์กลางที่ผสานทั้งธุรกิจการค้าปลีก ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม รวมถึงความหลากหลายด้านอาหารและความบันเทิงเข้าไว้ด้วยกันในที่เดียว เพื่อส่งมอบประสบการณ์สุดพิเศษที่ส่งต่อแรงบันดาลใจและแต่งเติมจินตนาการที่ไม่รู้จบให้แก่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก   ‘Jurassic World: The Experience’ เตรียมเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 พร้อมพาทุกท่านสัมผัสกับการผจญภัยอันน่าจดจำสำหรับทุกครอบครัว เตรียมตัวให้พร้อมกับประสบการณ์สุดพิเศษ! สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและรับสิทธิพิเศษก่อนใคร สามารถลงทะเบียน ‘Waiting List’ ได้แล้ววันนี้ที่ https://jurassicworldexhibition.com
PROUD ชูแนวคิด ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืนสำหรับทุกโครงการ

PROUD ชูแนวคิด ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืนสำหรับทุกโครงการ

PROUD ชูแนวคิด ALL IS WELL เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืนสำหรับทุกโครงการ ตั้งเป้าปี 2025 เปิด 3 โครงการหรู ดันรายได้แตะหมื่นล้าน    PROUD พลิกโฉมวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยแนวคิด "ALL IS WELL" มุ่งมั่นสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ทุกมิติของชีวิตเพื่อชีวิตที่ดีและยั่งยืน สัมผัสประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เหนือระดับ ผ่านการออกแบบมาตรฐานระดับโลกที่ใส่ใจสุขภาพของผู้อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันสำหรับทุกการพักผ่อน การบริการพิเศษสำหรับผู้อยู่อาศัยทุกโครงการ สร้างชุมชนที่อบอุ่น และไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรต่อโลก แย้มแผนปี 2025 เตรียมแผนเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ บน 3 ทำเลชานเมืองกรุงเทพ หัวหินและภูเก็ต มูลค่ารวม 9,200 ล้านบาท วางเป้ารายได้แตะ 10,000 ล้านบาท เติบโตอย่างก้าวกระโดด ย้ำพันธกิจ ESG ปรับโครงการสร้างการดำเนินงานสู่ความยั่งยืน วางเป้า Net Zero ภายในปี 2050 พร้อมพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มศักยภาพธุรกิจเข้าเกณฑ์ของกองทุน THAI ESG ในอนาคต   นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เปิดเผยว่า จากการดำเนินงานตลอดมาภายใต้ DNA ของพราวที่ถ่ายทอดสู่การสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ที่ตอบโจทย์ด้านความเป็นอยู่ที่ดี ไม่เพียงทำเลที่ตั้งระดับ Rare Location และการออกแบบอันงดงาม แต่เป็นองค์ประกอบอันครบครันเพื่อการอยู่อาศัย อาทิ การบริการเพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี การดูแลในระยะยาว และความยั่งยืนที่ทำให้สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติและบริบทโดยรอบได้อย่างดี เหล่านี้คือสิ่งสำคัญที่ลูกค้าของพราวให้คุณค่าและตอบรับอย่างดีเสมอมา ทำให้พราว เรียล เอสเตท ประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้    สอดคล้องกับภาพรวมตลาดโลกที่สะท้อนแนวโน้มด้านการให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยข้อมูลจาก Global Wellness Institute ระบุว่า ธุรกิจด้านสุขภาพทั่วโลกเติบโตถึง 7.3% ต่อปี และคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 8.99 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 313 ล้านล้านบาท โดยกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มเติบโตสูงที่สุดในปี 2023-2028    ขณะที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อสุขภาพในไทยเองก็เติบโต 10% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน ซึ่งจะสร้างโอกาสอีกมากมายสำหรับผู้ประกอบการในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ความต้องการเหล่านี้ PROUD จึงมุ่งสร้างโครงการที่อยู่อาศัย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เพื่อรองรับเทรนด์การเติบโตนี้   นางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD  กล่าวว่า PROUD มุ่งมั่นยกระดับธุรกิจผ่านการสร้างเอกลักษณ์และความแตกต่างให้กับอสังหาฯไทยในด้าน well-being and sustainability ด้วยแนวคิดเพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน “ALL IS  WELL” เสริมความชัดเจนของรูปแบบการใช้ชีวิตที่มากกว่า (More Than Just Living) ที่ PROUD มุ่งมั่นสร้างสรรค์มาตลอด โดยในปี 2025 เดินหน้ากลยุทธ์สำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัยในฐานะ Well-being Developer ผ่าน 5 องค์ประกอบเพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน ได้แก่  WELL-CRAFTED DESIGN: การออกแบบเพื่อสุขภาวะและความปลอดภัยของทุกชีวิต WELL-LIVING AMENITIES: สิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการอยู่อาศัยและพักผ่อนกายใจ WELL-CURATED SERVICES: บริการพิเศษและสิทธิประโยชน์ที่พร้อมดูแลบ้านคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย  WELL COMMUNITY: สังคมที่อบอุ่นและน่าอยู่ผ่านการบริหารโครงการและกิจกรรมมากมาย เพื่อสานต่อการดูแลในระยะยาว WELL SUSTAINABILITY: การอยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านการออกแบบเพื่อทุกไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน   ทั้งนี้ PROUD จัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืน โดยร่วมมือกับหน่วยงานชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ เช่น เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ และ Spacely AI เพื่อพัฒนาโครงการที่ได้มาตรฐานระดับโลก พร้อมเดินหน้ายกระดับมาตรฐานอาคารไทยสู่ระดับโลกด้วย Fitwel มาตรฐานอาคารเพื่อสุขภาวะที่ดีและ LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) มาตรฐานอาคารเขียวเพื่อความเป็นผู้นำด้านพลังงานและ สิ่งแวดล้อม ซึ่งได้มีการนำมาตรฐาน FITWEL มาพัฒนาคอนโดมิเนียมและเดินหน้ารับรองในทุกโครงการเพื่อการสร้างรากฐานที่ดีและการดูแลในระยะยาวสำหรับผู้อยู่อาศัย โดยโครงการ InterContinental Residences Hua Hin ที่ได้รับรองมาตรฐาน Fitwel Built Certification ในประเภท Multifamily Residential เป็นแห่งแรกในไทย และโครงการ Vehha Hua Hin ได้รับการรับรอง Fitwel Design Certification เป็นที่เรียบร้อย     สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2025 สานต่อการออกแบบที่อยู่อาศัยและบริการภายใต้แนวคิด ภายใต้แนวคิด  “ALL IS WELL” เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 3 โครงการ มูลค่ารวม 9,200 ล้านบาท บนพื้นที่ 3 ทำเลศักยภาพชานเมืองกรุงเทพฯ  หัวหิน และภูเก็ตซึ่งถือเป็นการขยายสู่ทำเลใหม่ของ PROUD ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการคุณภาพระดับลักชัวรี และขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง     นายพสุ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD  กล่าวว่า PROUD มีพัฒนาการที่ดีต่อเนื่อง จากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ บนทำเลที่มีศักยภาพ เปิดโครงการไม่มากแต่เน้นการออกแบบและบริการที่ดีที่สุด ส่งผลให้ฐานะการเงิน และมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ประสบความสำเร็จเข้าไปทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตของบริษัท และความมั่นใจจากลูกค้ากลุ่มเรียลดีมานด์ จากการตอบรับที่ดีในทุกโครงการของ PROUD ส่งผลให้ ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่าประมาณ 10,899 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ ตั้งแต่ ปี 2024 - ปี 2026 การเติบโตที่แข็งแกร่งสะท้อนภาพที่ชัดเจนว่าบริษัทสามารถเติบโตได้ในสภาวะตลาดอสังหาฯชะลอตัว   อย่างไรก็ตาม PROUD มุ่งมั่นรักษาระดับผลประกอบการให้เติบโต จากการพัฒนาโครงการพร้อมขยายไปบนทำเลที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง และทำเลใหม่ที่ภูเก็ตในปีหน้า โดยตั้งเป้าหมายรายได้ปี 2025 ไว้ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 6 เท่าจากปี 2023 พร้อมตั้งงบประมาณ 3,000 ล้านบาทไว้สำหรับจัดหาที่ดินพัฒนาโครงการเพิ่มเติม   นอกจากนี้ บริษัทให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (ESG) เพื่อสร้างความมั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว สอดคล้องกับบโยบายด้านการพัฒนาความยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยมีเป้าหมายการลดการชดเชยคาร์บอนจนเป็นกลาง ( Carbon Neutrality) ภายในปี 2040 เป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 พร้อมวางแผนการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนผ่านโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืน (ALL IS WELL) สำหรับทุกชีวิตอย่างแท้จริง และพัฒนาบริษัทให้มีศักยภาพเข้าเกณฑ์ของกองทุน THAI ESG ในอนาคต ทำความรู้จัก PROUD (พราว เรียล เอสเตท) หรือสอบถามรายละเอียดโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อชีวิตดีที่ยั่งยืนเพิ่มเติมได้ที่ www.proudrealestate.co.th หรือโทร 02-026-8999  
JLLชูเทคโนโลยี AI โซลูชั่น นวัตกรรม บริการอสังหาฯก้าวสู่ยุค‘อุตสาหกรรม5.0’

JLLชูเทคโนโลยี AI โซลูชั่น นวัตกรรม บริการอสังหาฯก้าวสู่ยุค‘อุตสาหกรรม5.0’

ปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุคปัจจุบันก้าวเข้าสู่ยุค‘อุตสาหกรรม5.0’หรือที่เรียกว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 5 ที่สอดรับการทำงานระหว่างคนกับเครื่องจักรหรือหุ่นยนต์ และยังรวมเอาความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์และความแม่นยำของหุ่นยนต์เข้าด้วยกันเพื่อสร้างความยั่งยืน   ไมเคิล แกลนซี่ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล ประจำประเทศไทยและอินโดนีเซีย กล่าวว่า ในโอกาสการฉลองการดำเนินงานในประเทศไทย 35 ปี เราไม่เพียงแค่มองย้อนกลับไปถึงความสำเร็จของเราเท่านั้น หากยังมุ่งหน้าสู่อนาคตที่เรากำลังสร้างสรรค์ต่อไป ความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืน การนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ และโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลของเจแอลแอล ทำให้เรากลายเป็นแนวหน้าของวิวัฒนาการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของวันนี้ เจแอลแอลกำลังปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอบริการ เพื่อตอบสนองความต้องการที่กำลังเปลี่ยนแปลงของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผ่าน 4 แผนงานหลัก ได้แก่ บริการด้านกลยุทธ์การจัดพื้นที่สำนักงานและการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Workplace Strategy & Change Management) เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้สำนักงานสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พื้นที่และสนับสนุให้การเปลี่ยนแปลงดำเนินไปอย่างราบรื่น ผ่านการจัดลำดับความสำคัญของความต้องการที่แท้จริงของพนักงานและการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปรับเปลี่ยนได้ที่ช่วยเพิ่มกำลังผลผลิต นอกจากนี้ เจแอลแอลยังได้นำเสนอบริการด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Energy & Sustainability Services: ESS) เพื่อสนับสนุนลูกค้าบนเส้นทาง ESG โดยนำเสนอโซลูชันที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสม เพื่อพัฒนาแนวทางปฏิบัติงานที่ยั่งยืนและชี้แนะถึงวิธีการบรรลุเป้าหมายด้าน ESG อย่างเป็นรูปธรรม   ฝ่ายปรับปรุงและพัฒนาสินทรัพย์ (Asset Enhancement) จะช่วยแก้ไขกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่ามาตรฐานตลาด โดยปรับปรุงประสิทธิภาพและปรับคุณสมบัติให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เช่าที่กำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มมูลค่าพอร์ตโฟลิโอให้สูงสุดภายใต้สภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูงนี้ และเพื่อสนับสนุนบริการเหล่านี้ บริการให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (Tech Advisory) ของเจแอลแอลจะช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจเลือกเทคโนโลยีสำหรับนำไปปรับใช้ในโครงการอสังหาริมทรัพย์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการดำเนินงานและการบริหารทรัพย์สิน   แผนงานทั้ง 4 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของเจแอลแอลในการนำเสนอนวัตกรรมที่พร้อมรับมือกับอนาคตเพื่อเพิ่มมูลค่าในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเจแอลแอลวางตำแหน่งบริษัทฯ ในฐานะผู้นำด้านการตอบสนองความต้องการที่หลากหลายและการเปลี่ยนแปลงไปของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ผ่านการนำเสนอบริการที่ครอบคลุมซึ่งตอบโจทย์ด้าน กลยุทธ์ในที่ทำงาน ความยั่งยืน การยกระดับสินทรัพย์ และการใช้งานเทคโนโลยีที่เหมาะสม   พร้อมกันนี้บริษัทได้เตรียมพร้อมสู่การ"ปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 5" ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของ"เทคโนโลยี"ในการกำหนดรูปแบบอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ในอนาคต โดยเฉพาะ"ปัญญาประดิษฐ์" หรือ (AI) ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังให้ความสนใจอย่างมาก เนื่องด้วยบริษัทตระหนักดีว่าการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและ AI ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถช่วยให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการปฏิบัติงานและยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งานทั่วไปได้จริง   สำหรับความสำเร็จของเจแอลแอล ประเทศไทย ในภาคธุรกิจตลาดทุน บริษัทได้ให้คำแนะนำด้านการลงทุน การปล่อยเช่าและซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มูลค่ารวมกว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐหรือ 45,123 ล้านบาทในช่วงปี 2559-2566  สามารถปิดการขายที่มีความซับซ้อนและมูลค่าสูงได้สำเร็จหลายโครงการในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สำหรับลูกค้าที่กำลังต้องการซื้อที่ดินหรือสินทรัพย์ การขายและปล่อยเช่าสินทรัพย์ มองหาพันธมิตรร่วมทุน และบริการจัดหาแหล่งเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์   ส่วนภาคธุรกิจโลจิสติกส์และอุตสาหกรรม เจแอลแอลได้ปิดการขายที่ดินหลายแปลงขนาดรวมประมาณ 1,600 เฮกเตอร์ (10,000 ไร่) ในช่วงปี 2561-2566 ขณะที่ธุรกิจโรงแรมได้เป็นตัวแทนซื้อขาย โรงแรมถึง 54 แห่ง รวมมูลค่ากว่า 66,000 ล้านบาทนับตั้งแต่ปี 2553 ซึ่งรวมถึงการเจรจาซื้อขายโรงแรมมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ตอกย้ำในด้านความเป็นผู้นำ ความเชี่ยวชาญ   นอกจากนี้ เจแอลแอลได้บริหารพอร์ตโฟลิโอสินทรัพย์รวมมากกว่า 7.1 ล้านตารางเมตรทั่วประเทศไทย ซึ่งรวมถึงโครงการระดับโลกที่เพิ่งเปิดใหม่ไปเมื่อไม่นานมานี้อย่าง One Bangkok  ขณะที่แผนกงานบริการวิจัยและให้คำปรึกษาของบริษัทได้รับรางวัล SEA Research Team of The Year ประจำปี 2567 จากทาง RICS (Royal Institution of Chartered Surveyors) และได้ให้คำปรึกษากับโครงการมากกว่า 360 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวมเกินกว่า 500,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน   ที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/property/1155263
ซีคอน ปล่อยแคมเปญ Your Home Series เจาะกลุ่มข้าราชการ เน้นดอกเบี้ยต่ำ

ซีคอน ปล่อยแคมเปญ Your Home Series เจาะกลุ่มข้าราชการ เน้นดอกเบี้ยต่ำ

ซีคอน เผย 3 ไตรมาสแรกยังเดินตามเป้า พร้อมปล่อยแคมเปญพิเศษ "Your Home Series" เจาะกลุ่มข้าราชการไทย ด้วยเงื่อนไข “ราคาสุดคุ้ม ดอกเบี้ยต่ำ”    นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินธุรกิจของซีคอนในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2567 นั้น ใกล้เคียงกับผลการดำเนินธุรกิจช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมาโดยมียอดจองประมาณ 1,060 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากปัจจัยบวกของการเปิดตัวแบบบ้าน Greenery Series เมื่อช่วงต้นปีที่สะท้อนถึงแรงบันดาลใจในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน จนสามารถสร้างกระแสตอบรับที่ดีและสร้างยอดขายได้สูงถึง 100 ล้านบาทภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน ทั้งยังคงครองความนิยมมาถึงปัจจุบัน โดยในส่วนโรงงานผลิตชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูป ซีคอน พรีคาสท์     แฟคทอรี่ (SEACON Precast Factory)นั้น ในปี 2567 สามารถสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างดี เพราะมีการดำเนินการผลิตต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังมีลูกค้าภายนอกอีกหลายรายที่สั่งผลิตชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูปเพื่อใช้สำหรับบ้านเดี่ยว อาคารพาณิชย์ อพาร์ทเม้นท์ โกดัง และงานโครงการ รวมตลอด 3 ไตรมาส มีรายได้รวมประมาณ 100 ล้านบาท จากการผลิตชิ้นส่วน จำนวน 20,000 ชิ้นโดยประมาณ   ในช่วงปลายปี 2567 ซีคอน ได้เดินหน้ารุกตลาดอีกครั้ง ด้วยการพัฒนาแคมเปญพิเศษสานฝันข้าราชการไทย ที่ต้องการสร้างบ้านกับซีคอน โดยกลุ่มข้าราชการไทยถือเป็นลูกค้ากลุ่มหลักที่ให้ความไว้วางใจสร้างบ้านกับซีคอน มากว่า 60 ปี  ซีคอน จึงอยากสานฝันในเรื่องของที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ของทุกคน และใช้งบประมาณ ไม่มากสำหรับการสร้างบ้าน 1 หลัง  ซีคอนจึงต้องการส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มข้าราชการให้มีบ้านตามที่มุ่งหวัง“ข้าราชการเป็นกลุ่มคนที่ทำงานเพื่อประชาชนมานาน แม้รายได้ที่มีอาจไม่สูงมาก แต่ก็มีความฝันอยากมีบ้านของตนเอง อีกทั้งข้าราชการไทย มีข้อได้เปรียบในเรื่องของดอกเบี้ยที่ได้รับในอัตราพิเศษ ซีคอน จึงอยากสร้างฝันให้เป็นจริงสำหรับข้าราชการไทย ในเรื่องของที่อยู่อาศัย ด้วยการนำเสนอแบบบ้าน Your Home Series (Your Home : Your Family) ให้เป็นหนึ่งในทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดในปัจจุบัน” นายมนู กล่าวถึงแคมเปญบ้านเพื่อข้าราชการไทย กลยุทธ์ใหม่ส่งท้ายปี 2567   ทั้งนี้ แบบบ้าน Your Home Series (Your Home : Your Family) มีให้เลือกรวม 6 แบบ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยวขนาดชั้นเดียว จำนวน 2 แบบ และบ้านเดี่ยวขนาด 2 ชั้น จำนวน 4 แบบ ระดับราคาเริ่มต้นที่ 1.399 ล้านบาท โดย ซีคอน ได้จัดโปรโมชันสุดคุ้มกับราคาช่วงเปิดตัวด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 2.50% จำนวนจำกัด ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 เท่านั้น   ด้านมุมมองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคนั้น นายมนู แสดงความเห็นว่า “พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่นั้นต้องการเน้นความคุ้มค่าและตอบโจทย์ความต้องการอย่างตรงจุด สังเกตเห็นชัดว่าในปีนี้ผู้บริโภคระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่ง ซีคอน เองก็เห็นถึงข้อกังวลของผู้บริโภคในส่วนนี้  บริษัทฯ จึงกำหนดกลยุทธ์ในการควบคุมต้นทุนการก่อสร้าง เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภค ประกอบไปด้วย 3 ด้านด้วยกัน คือ 1. มีโรงงานผลิตชิ้นส่วนกึ่ง    สำเร็จรูปที่สามารถบริหารจัดการด้านราคางานโครงสร้างได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังเป็นโรงงานที่มีมาตรฐาน วัสดุผ่านการคัดสรร มีการควบคุมจากผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะในทุกๆ ขั้นตอน รวมทั้งมีการติดตั้ง Solar Cell เพื่อลดการใช้ไฟฟ้าที่มาจากแหล่งพลังงานเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ 2. ยังคง “ยืนราคาเดิม” ให้กับผู้บริโภค เพื่อเป็นของขวัญให้กับผู้บริโภคที่ต้องการปลูกสร้างบ้านในช่วงเศรษฐกิจยุคปัจจุบัน และ 3. ซีคอนเป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งได้รับปัจจัยบวกทางด้าน “การลดหย่อนภาษีการสร้างบ้าน สำหรับผู้ที่ต้องการปลูกสร้างบ้าน มูลค่า 1 ล้านบาท สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ 10,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาท (ราคาบ้านไม่เกิน 10 ล้านบาท) โดยเป็นบ้านสั่งสร้างที่มีการเซ็นสัญญา และเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ 9 เมษายน 2567 ถึง 31 ธันวาคม 2568”   นอกจากความคุ้มค่าด้านคุณภาพ ราคา และเงื่อนไขทางการเงินพิเศษที่ ซีคอน มอบให้แก่ผู้บริโภคแล้ว การคืนกลับสู่สิ่งแวดล้อมและชุมชนก็เป็นประเด็นสำคัญที่ ซีคอน กำหนดกลยุทธ์ในการส่งเสริมด้วยเช่นกัน โดยได้นำแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนเข้ามาพัฒนาใช้ในหลากหลายห่วงโซ่คุณค่า ไม่ได้มุ่งเน้นเฉพาะด้านธุรกิจเพียงมิติเดียว แต่ได้ดำเนินการและรณรงค์ให้พนักงาน รวมถึงจับมือกับพันธมิตร ดำเนินการด้วยแนวคิด  “ลดเพื่อรักษ์” ร่วมกันสร้างสรรค์โครงการต่างๆ อาทิ การพัฒนาเสื้อยูนิฟอร์มสำหรับพนักงานที่ ช่วยในเรื่อง ลดการใช้พลังงาน ทำมาจากผ้า Micro Block ผ้าระบายอากาศดี  ไม่ต้องรีดลดการใช้ไฟ ทำความสะอาดง่ายลดการใช้น้ำ ลดอุณหภูมิร่างกาย ลดปริมาณสารเคมี และปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน การสร้างสรรค์โครงการ SEACON ลดเพื่อรักษ์ ลดการใช้ฉลากจากขวดน้ำดื่ม เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนด้วยการจับมือร่วมกับพันธมิตรผลิตขวดน้ำดื่มที่ไร้ฉลาก รักษ์โลก ภายใต้แบรนด์ซีทรู (C2 water) น้ำดื่มแบรนด์ของคนไทยที่สามารถรีไซเคิลทุกส่วนของขวดน้ำดื่มได้ 100% โครงการ SEACON เลือกใช้พลังงานสะอาด โดยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปรับปรุงคุณภาพอากาศ และลดปัญหาการสะสมก๊าซต่างๆ ในชั้นบรรยากาศด้วยการติดตั้ง Solar Cell ที่โรงงานผลิตชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูป “ระบบซีคอน”  ขนาด 100 kWp 152 Modules เพราะตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ สนับสนุนการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และผลักดันให้เป็นกำลังสำคัญในการเดินทางไปสู่อนาคตแห่งความยั่งยืน นอกจากนี้ ยังได้คัดสรรเลือกใช้วัสดุในการก่อสร้างบ้านที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ เข็มกดไฮโดรลิค ช่วยลดมลภาวะทางเสียงและแรงสั่น สะเทือนที่จะกระทบต่อชุมชนใกล้เคียง  อิฐมวลเบา ช่วยระบายความร้อนได้เป็นอย่างดีและยึดหลักการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการอยู่อาศัยที่ยั่งยืน ฉนวนกันความร้อน ช่วยป้องกันความร้อนที่มาจากโถงหลังคา ผ่านฝ้าเพดานลงมาสู่ตัวบ้าน ผลิตจากวัสดุรีไซเคิล ได้รับฉลากเขียวในการรักษาสิ่งแวดล้อม ช่วยลดความร้อนได้เป็นอย่างดี สี ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง หรือโรคภัยต่างๆ จึงคัดเลือกสีที่ไม่มีส่วนผสมของสารฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งจะส่งผลดีต่อทุกคนภายในบ้านในระยะยาว อลูมิเนียม ช่วยในเรื่องการป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง เพราะเป็นนวัตกรรมปลอดสารก่อมะเร็ง โดยเลือกใช้สาร “เซอร์โคเนียม” แทนสารกลุ่มโครเมี่ยม ผลิตภัณฑ์จากไทยเมทัลจึงปลอดภัย ปราศจากสารก่อมะเร็ง 100% และช่วยลดปัญหาก๊าซเรือนกระจกในด้านการผลิตอีกด้วย วัสดุปูพื้น SPC    นอกเหนือจากกระเบื้องแล้ว ยังคัดสรรวัสดุทดแทนไม้ อย่างเช่น พื้น SPC มาใช้ เพื่อลดการตัดไม้ทำลายป่า เป็นต้น    
เดอะ คิวเว่ เซ็นทรัลพาร์ค นวมินทร์–รามอินทรา - คอนโดติดสวน 76 ไร่

เดอะ คิวเว่ เซ็นทรัลพาร์ค นวมินทร์–รามอินทรา - คอนโดติดสวน 76 ไร่

บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ CMC บุกตลาดย่านนวมินทร์ เปิดตัวโครงการ “เดอะ คิวเว่ เซ็นทรัลพาร์ค นวมินทร์–รามอินทรา” (The Cuvee Central Park Nawamin-Raminthra) คอนโดมิเนียมติดสวนสาธารณะ 76 ไร่ วิวทะเลสาบขนาดใหญ่ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่รักสุขภาพและการออกกำลังกาย ในรูปแบบ Luxury Style   เพื่อให้คุณใช้ชีวิต..ได้มากกว่าเดิม “Life is more” เพราะการใช้ชีวิตไม่ควรมีข้อกำจัด MORE HEALTH สูดอากาศบนโอเอซิสใจกลางเมือง MORE CONNECT เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์กับทุกจุดหมาย MORE SPACE พื้นที่แห่งความสุข เพื่อชีวิตที่ยืนยาว MORE EXPERIENCEสัมผัสชีวิตระดับหรูในทุกย่างก้าว   “เดอะ คิวเว่ เซ็นทรัลพาร์ค นวมินทร์–รามอินทรา” ที่สุดแห่งคอนโด Relax&Recovery เชื่อมต่อโอเอซิสพื้นที่ทะเลสาบใจกลางเมือง เพื่อให้คุณได้พักผ่อนอย่างแท้จริง พร้อมสัมผัสอากาศบริสุทธิ์และความสงบท่ามกลาง “สวนนวมินทร์ภิรมย์” และ “สวนเสรีไทย” เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์กับทุกจุดหมายได้มากกว่า เดินทางสะดวก สามารถเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจด้วย MRT สวนนวมินทร์ภิรมย์ ที่อยู่ใกล้เพียง 200 เมตร ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ที่จะเปิดให้บริการประชาชนได้ภายในปี 2571 เชื่อมต่อการเดินทางแบบไร้รอยต่อ ใกล้ Interchange แยกลำสาลี เพียง 2 สถานีเชื่อมต่อรถไฟฟ้า 3 สาย ได้แก่ สายสีน้ำตาล สายสีเหลือง และสายสีส้ม นอกจากนี้ยังเดินทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิได้ง่าย ๆ เชื่อมต่อ Airport Rail Link     “เดอะ คิวเว่ เซ็นทรัลพาร์ค นวมินทร์–รามอินทรา” คอนโด High Rise สูง 34 ชั้น คอนโดเพื่อคนรักสุขภาพครบที่สุดในย่านนวมินทร์ ตั้งอยู่บนถนนนวมินทร์ ระหว่างซอยนวมินทร์ 20 กับ 22 เนื้อที่โครงการขนาด 4 ไร่ 3 งาน 77 ตารางวา จำนวนห้องพัก 666 ยูนิต มีให้เลือกหลายรูปแบบในวิวธรรมชาติ ทั้ง 1 ห้องนอน 2 ห้องนอน และเพนต์เฮาส์ ที่จอดรถรองรับ 299 คัน พร้อมส่วนกลางที่ออกแบบมาให้สอดคล้องกับเสน่ห์ของธรรมชาติที่ติดสวนสาธารณะ เสมือนให้คุณได้พักผ่อนในทุก ๆ วัน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อสุขภาพ อาทิ FULLY FITNESS CENTER & SPORTS CLUB ออกกำลังกายท่ามกลางวิวสวนสวย AQUA BIKE & YOGA PILATES, ONSEN JACUZZI, SAUNA & STEAM ROOM ให้คุณได้ Relax ได้ทุกวัน INFINITY EDGE POOL สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และร้านค้าอำนวยความสะดวก จำนวน 2 ห้อง   “เดอะ คิวเว่ เซ็นทรัลพาร์ค นวมินทร์–รามอินทรา” มั่นใจในทำเลศักยภาพ เชื่อมต่อถนนเส้นหลัก ใกล้ถนนรามคำแหง 3.2 กม. ใกล้ถนนประเสริฐมนูกิจ 6.2 กม. ใกล้ถนนลาดพร้าว 7 กม. และทางพิเศษกาญจนาภิเษก 12 กม. เชื่อมต่อการเดินทางได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเดินทางไปโรงเรียน สถาบันศึกษา โรงพยาบาล หรือเดินทางไปชอปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ร้านสะดวกซื้อ   MORE DESIGN โครงการถูกออกแบบให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เหนือกาลเวลา ด้วยเส้นสายโค้งมนของอาคาร โอบล้อมด้วยแสงระยิบระยับ สะท้อนภาพจำลองทางช้างเผือกที่ไร้ขอบเขต รูปทรงลื่นไหลของตัวอาคาร แสดงถึงการเดินทางที่ไม่มีจุดสิ้นสุด การออกแบบภายในผสานแรงบันดาลใจของห้องกระจก ที่มอบแสงจากธรรมชาติผ่านเข้าพื้นที่ส่วนกลาง เชื่อมโยงผู้พักอาศัยกับธรรมชาติอย่างไร้รอยต่อ “เดอะ คิวเว่ เซ็นทรัลพาร์ค นวมินทร์–รามอินทรา” คอนโดแห่งการพัฒนาสุขภาพและจิตใจเข้าใจคนวัยทำงานย่านนวมินทร์ที่ต้องการซื้อคอนโดในราคาที่คุ้มค่า ไม่ว่าอยู่เอง ปล่อยเช่า หรือเก็งกำไร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Life is more ใช้ชีวิต...ได้มากกว่าเดิม” เริ่มก่อสร้างแล้ว คอนโดแห่งใหม่แห่งแรกย่านนวมินทร์ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ไปมาง่าย เดินทางได้สะดวก ราคาเริ่มต้นเพียง 1.XX ล้านบาท   Pre-Sale! ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ! พร้อมรับข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ https://bit.ly/4egQVMs โทร 1172 กด 98 ติดต่อสำนักงานขาย : https://maps.app.goo.gl/uf6jZcnp7CrDM6Ls8 LINE : https://lin.ee/TKOpQUO   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ ซีเค แอสเสท เปิดตัวโครงการริมน้ำสุดหรูที่เก่าแก่กว่า 100 ปี
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ขน 8 โครงการ จัดดีลเด็ดมอบส่วนลดและโปรโมชันเพียบ

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ขน 8 โครงการ จัดดีลเด็ดมอบส่วนลดและโปรโมชันเพียบ

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ขน 8 โครงการ จัดดีลเด็ดมอบส่วนลดและโปรโมชันเพียบ ในงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ วันที่ 31 ต.ค. – 3 พ.ย. นี้เท่านั้น บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชูรีและผู้บุกเบิกแนวคิดคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ (Pet Family Residences) จัดเต็มความคุ้มค่า ลดกระหน่ำทุกดีลรับซีซันใหม่ส่งท้ายปี ขนกองทัพโครงการคุณภาพบน Prime Location รวม 8 โครงการ ตอบสนองความต้องการด้านไลฟ์สไตล์ให้ครบทุกครอบครัว ในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม - 3 พฤษจิกายน พ.ศ.2567   เตรียมต้อนรับผู้ที่สนใจเข้าชมบ้านและคอนโดมิเนียมภายในงาน พบโปรโมชันสุดฮอตให้ถึง 2 ดีล และส่วนลดสูงสุดถึง 5 ล้านบาท   โปรโมชัน “PET LOVE HERE เลี้ยงสัตว์ได้ทุกโครงการ” โปรโมชันเอาใจ Pet Lover กับโครงการเลี้ยงสัตว์ได้ คนเลี้ยงก็ใจฟู น้องๆ หนูๆ ก็แฮปปี้ มาพร้อมดีลเด็ดติดไฟ จองภายในงานการันตีราคาดีกว่าที่โครงการ คุ้มที่สุดในรอบปี รับส่วนลด ON-TOP สุดพิเศษ รับฟรี  iPhone 16 Pro Max กับ 3 โครงการ โครงการมิลฟอร์ด ลาดพร้าว - รามคำแหง (MILFORD Ladprao - Ramkhamhaeng) โครงการแนวราบระดับ Wellness Luxury ภายใต้คอนเซ็ปต์อย่างEnglish Eclectic Design ผสานความหรูหราแบบอังกฤษเข้ากับไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ โดดเด่นด้วย Facade Classic Twist และฟังก์ชัน Skybox หนึ่งเดียวบนทำเล ตั้งอยู่บนทำเลทอง New CBD Extension ใกล้ทาวน์อินทาวน์ เพียง 5 นาที* สนนราคาเริ่มต้นที่ 16.9 ล้านบาท โครงการเมทริส ดิสทริค ลาดพร้าว (METRIS District Ladprao) คอนโดใหม่เฟอร์ฯ ครบ ใจกลางห้าแยกลาดพร้าว เพียง 230 เมตร รองรับการใช้ชีวิตยุคใหม่ที่ไร้ขีดจำกัด กับส่วนกลางที่จัดเต็มและตอบโจทย์ทั้งคนและสัตว์เลี้ยง โดดเด่นไม่เหมือนใคร กับWork from home feature เฟอร์นิเจอร์มุมทำงานในทุกยูนิต พร้อม Home Automation รองรับการใช้ชีวิตแบบ Next Normal สนนราคาเริ่มต้นที่ 3.59 ล้านบาท โครงการเมทริส พัฒนาการ – เอกมัย (METRIS Pattakarn – Ekkamai) คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้พร้อมอยู่ เพียง 3 นาทีถึงเอกมัย และ 100 เมตร ถึงจุดขึ้นลงทางด่วน ใกล้ Airport rail link ตอบโจทย์ทุกการเดินทางทั้งเข้าเมืองและออกนอกเมือง กับที่สุดของความเป็นส่วนตัวเพียง 341 ยูนิตทั้งโครงการ สนนราคาเริ่มต้นที่ 2.89 ล้านบาท สอบถามข้อมูลและรับโปรโมชันได้ที่: https://www.major.co.th/th/promotion/majordealday หรือ โทร 02 116 1111 *เงื่อนไขเป็นตามที่บริษัทฯ กำหนด     และ โปรโมชัน “MAJOR BEST DEAL EVER” ดีลสุดพิเศษของคนอยากมีบ้านและคอนโด มอบโปรโดนใจให้ถึง 5 โครงการ ลดสูงสุดถึง 5 ล้านบาท หรือ 25% ฟรีค่าส่วนกลางนานสูงสุด 3 ปี และ ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน พร้อมเอ็กซ์คลูซีฟพริวิเลจเฉพาะผู้ที่มาจองในงานเท่านั้น โครงการมารุ จุฬา (Maru Chula) โครงการเลี้ยงสัตว์ได้ที่เปิดรับวิวพื้นที่สีเขียวอุทยาน 100 ปี และวิวเมืองได้อย่างรอบด้าน เชื่อมต่อถนนเส้นหลักได้อย่างสะดวกสบาย ทั้งสามย่าน, พระราม 4, พญาไท, สีลม, สาธร และเยาวราช พร้อมรูปแบบห้องที่หลากหลายตอบโจทย์ได้ทุกความต้องการ สนนราคาเริ่มต้นที่ 4.29 ล้านบาท โครงการมิวนีค สุขุมวิท 23 (Muniq Sukhumvit 23) โครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการทางไลฟ์สไตล์ได้อย่างสูงสุด ด้วยระยะทาง 200 เมตรจากรถไฟฟ้า MRT สถานีสุขุมวิท และ BTS สถานีอโศก บนทำเลที่รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้งEm-District , Terminal 21 และแนวคิดการออกแบบที่ให้ผู้อยู่อาศัยใช้ชีวิตอย่างมีศิลปะและมีรสนิยม สนนราคาเริ่มต้นที่ 7.8 ล้านบาท โครงการเมย์ฟิลด์ เลน รัชดา ลาดพร้าว (Mayfield Lane Ratchada-Ladprao) บ้านเดี่ยว 3 ชั้น บนทำเลใจกลางลาดพร้าวที่สามารถเชื่อมต่อถนนหลักได้ถึง 3 สายทั้งถนน ลาดพร้าว,รัชดาภิเษก และวิภาวดี-รังสิต พร้อมเชื่อมต่อพื้นที่ทำงานใจกลางเมืองย่านอโศก สนนราคาเริ่มต้นที่ 38 ล้านบาท โครงการเมย์ฟิลด์ ปิ่นเกล้า (Mayfield Pinklao) ลักชูรีทาวน์โฮมบนทำเล Prime Location ใจกลางปิ่นเกล้า รายล้อมด้วยความสะดวกสบายทางไลฟ์สไตล์ อาทิ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า หรือคอมมูนิตี้มอลล์ย่านปิ่นเกล้า อย่าง เดอะ เซ้นส์ ปิ่นเกล้า รวมถึงใกล้รถไฟฟ้าที่เปิดใช้งานแล้วถึง 2 สาย ทั้งสายสีน้ำเงิน สถานีบางยี่ขัน และ สายสีแดงอ่อน สถานีบางบำหรุ สนนราคาเริ่มต้นที่ 12.5 ล้านบาท โครงการเมย์ฟิลด์ รามอินทรา-คู้บอน (Mayfield Ramindra Khubon) บ้านเดี่ยวดีไซน์ European Farmhouse ทำเลใจกลางรามอินทรา ภายใต้แนวคิด Retreat For The Soul รังสรรค์ไลฟ์สไตล์อย่างลงตัว หยุดทุกความวุ่นวาย เพื่อให้ชีวิตค้นพบการเติมเต็มหัวใจ สนนราคาเริ่มต้นที่ 11.9 ล้านบาท สอบถามข้อมูลและรับโปรโมชันได้ที่: Contact center 1266 *เงื่อนไขเป็นตามที่บริษัทฯ กำหนด   พบกับสิทธิพิเศษสุดเอ็กซ์คลูซีฟได้เฉพาะที่งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 46 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ HALL 5 ชั้น LG ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ เผยโฉม วัน แบงค็อก แลนด์มาร์คใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ รังสรรค์โชว์ระดับโลก กลุ่มชาญอิสสระ ดึง KOL ร่วมสร้างคอนเทนต์โปรโมทแคมเปญใหญ่  
เผยโฉม วัน แบงค็อก แลนด์มาร์คใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ รังสรรค์โชว์ระดับโลก

เผยโฉม วัน แบงค็อก แลนด์มาร์คใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ รังสรรค์โชว์ระดับโลก

เผยโฉม วัน แบงค็อก แลนด์มาร์คใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ รังสรรค์โชว์ระดับโลก เฉลิมฉลองยิ่งใหญ่สุดตระการตา    วัน แบงค็อก แลนด์มาร์คระดับโลกใจกลางกรุงเทพมหานคร สร้างสรรค์ขึ้นด้วยแนวคิด “The Heart of Bangkok” เมืองกลางใจ ที่ใช้ใจสร้าง เผยโฉมแล้วอย่างเป็นทางการด้วยปรากฏการณ์เฉลิมฉลองสุดยิ่งใหญ่ ภายใต้ธีม “Let Our Hearts Beat as One”  เนรมิตค่ำคืนแห่งประวัติศาสตร์พร้อมบันทึกทุกช่วงเวลาสุดประทับใจด้วยจังหวะหัวใจใหม่ของกรุงเทพฯ ที่สะกดให้โลกทั้งใบหันมาจับตามองประเทศไทยอีกครั้ง ด้วยการแสดงสุดตระการตาจากทัพนักแสดง ศิลปินไทยและต่างประเทศและทีมงานกว่า 500 คน พร้อมมีแขกผู้มีเกียรติ บุคคลสำคัญจากทั้งภาครัฐและเอกชน พันธมิตรและนักธุรกิจชั้นนำจากทุกแวดวง ตลอดจนเหล่าซูเปอร์สตาร์ เซเลบริตี้ นับพันเข้าร่วมงานอย่างคับคั่ง โดยหลังจากนี้จะยังมีกิจกรรมเฉลิมฉลองและโปรโมชันสุดพิเศษต่อเนื่องถึงสิ้นปีรวมงบประมาณกว่า 1,200 ล้านบาท     นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด กล่าวถึงความภาคภูมิใจของการเปิดตัวโครงการ วัน แบงค็อก อย่างเป็นทางการ ว่า “วัน แบงค็อก คือโครงการอันเป็นที่สุดแห่งความภาคภูมิใจของเรา เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญที่เกิดจากการสานต่อปณิธานอันยิ่งใหญ่ของคุณเจริญ และคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ที่มุ่งมั่นนำพลังความรู้ความสามารถ และทรัพยากรต่าง ๆ ที่เรามีมาพัฒนาถนนพระราม 4 ซึ่งเป็นถนนสายที่มีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของกรุงเทพฯ มายาวนาน ด้วยการพัฒนา วัน แบงค็อก ให้เป็นแลนด์มาร์คระดับโลก ศูนย์กลางแห่งชีวิตที่เชื่อมโยงผู้คน ธุรกิจ และแรงบันดาลใจเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ จุดประกายความเจริญรุ่งเรืองให้กับกรุงเทพมหานครในยุคใหม่ นี่คือก้าวสำคัญในการพัฒนาเมืองหลวงของประเทศไทยให้ก้าวไกลยิ่งขึ้น และยกระดับสู่การเป็นมหานครระดับโลกอย่างแท้จริง”     เริ่มแล้ววันนี้!  กับประสบการณ์ใหม่ที่จะทำให้จังหวะของหัวใจเต้นแรงกว่าเดิม พบกับ One Bangkok Retail ที่ Parade และ The Storeys ปลดล็อคประสบการณ์ชอปปิง ไดนิ่ง และไลฟ์สไตล์ ที่เหนือระดับกับแคมเปญ “Shop to the Beats of Bangkok” กับโปรโมชันเปิดตัวสุดเร้าใจ ข้อเสนอสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่จะมาสร้างสีสันและจังหวะชีวิตที่ต่อเนื่องตลอดทั้งปี และร่วมลุ้นรับรางวัลใหญ่ อาทิ รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ แพ็กเกจห้องพัก Soneva Jani, Maldives, แพ็กเกจทัวร์ล่องเรือยอร์ชจาก Azimut และรางวัลอื่น ๆ อาทิ บัตรกำนัลห้องพักโรงแรมชั้นนำ บัตรกำนัลร้านอาหาร และสินค้าแบรนด์ดัง รวมมูลค่ากว่า 30 ล้านบาท รวมถึงโปรโมชันบัตรเครดิตและข้อเสนอพิเศษจากร้านค้าต่างๆ  รวมถึง สิทธิประโยชน์สุดเอ็กซ์คลูซีฟมากมายจาก One Bangkok Membership Program วันที่จังหวะแห่งความสุขมีได้ไม่จำกัด เฉพาะสมาชิก วัน แบงค็อก  เพียงดาวน์โหลดแอป One Bangkok Retail บนมือ เพื่อไม่ให้พลาดทุกข่าวสารโปรโมชันและอัปเดตกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดปี     การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ วัน แบงค็อก เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปิดประตูสู่ประสบการณ์รูปแบบใหม่ ๆ เพราะ วัน แบงค็อก พร้อมจะเติมเต็มทุกมิติของการใช้ชีวิตอย่างไม่สิ้นสุด ตอกย้ำการเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลก ที่รวบรวมประสบการณ์การใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ มอบคุณภาพชีวิตที่ดีครบจบไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นการชอปปิงเหนือระดับ กับ One Bangkok Retail ที่ Parade และ The Storeys ที่พร้อมเปิดประตูต้อนรับและนำเสนอ  Retail Loop รวบรวมร้านค้าชั้นนำทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศกว่า 750 ร้าน และ Food Loop ที่มีร้านอาหารชื่อดังจากทั่วทุกมุมโลกกว่า 250 ร้าน ซึ่งจะทยอยมาเปิดให้บริการ  อาคารสำนักงานต่าง ๆ ที่นำเสนอมาตรฐานใหม่ของการทำงานแห่งโลกอนาคต ตลอดจน  Art Loop เส้นทางแห่งศิลปะและวัฒนธรรมความยาวกว่า 2 กิโลเมตร ครอบคลุมทั่วทั้งโครงการ รวมถึง The Wireless House One Bangkok ที่รอเผยโฉมให้ได้เห็นเร็ว ๆ นี้ นอกจากนี้ในส่วนของโรงแรม เตรียมพบกับ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ ที่พร้อมเปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายน 2567 และโรงแรมแอนดาซ วัน แบงค็อก โรงแรมแบรนด์แอนดาซแห่งแรกในกรุงเทพฯ ซึ่งพร้อมเปิดให้บริการในปี 2568 รวมถึง เฟรเซอร์ สวีทส์ กรุงเทพ ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2569   ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ AWC เปิดตัว “EA” (เอ-ญ่า) แลนด์มาร์กใหม่ให้ประเทศไทย CPN ทุ่ม 1.5 หมื่นล้าน พลิกโฉม 4 มิกซ์ยูส และปักหมุดใหม่ “เซ็นทรัล กระบี่"    
CPANEL ปรับพอร์ต พุ่งเป้างานภาครัฐ เสริมแกร่งธุรกิจ

CPANEL ปรับพอร์ต พุ่งเป้างานภาครัฐ เสริมแกร่งธุรกิจ

CPANEL ปรับพอร์ต พุ่งเป้างานภาครัฐ เสริมแกร่งธุรกิจ CPANEL เผยทิศทางธุรกิจช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567 ปรับกลยุทธ์รับมือทุกสถานการณ์ ขยายฐานลูกค้างานภาครัฐเพิ่มขึ้น และงานภาคเอกชนต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมายขยับสัดส่วนงานภาครัฐ 40% เอกชน 60% เพื่อลดความผันผวน สร้างการเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมมุ่งเน้นเพิ่มศักยภาพผลิตภัณฑ์ ลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุน แรงงาน ตอบสนองความต้องการของตลาด สร้างยอดขาย รักษา Backlog แตะ 1,418ล้านบาท หนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน   นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) (CPANEL) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) ด้วยระบบอัตโนมัติ (Fully Automated Precast) ที่ใช้สำหรับงานก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจในช่วงโค้งสุดท้ายปี 2567 มีสัญญาณการเติบโตของงานกลุ่มโครงการภาครัฐต่อเนื่อง สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน สนับสนุนความต้องการที่อยู่อาศัยแนวสูงในเมืองใหญ่และแนวโน้มการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนมากขึ้น ผลักดันให้ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างคุณภาพสูงเพิ่มขึ้น       บริษัทฯ จึงปรับกลยุทธ์เพื่อลดความผันผวน กระจายความเสี่ยง และรองรับการเติบโตในระยะยาว โดยมุ่งเน้นขยายฐานลูกค้าในกลุ่มภาครัฐและงานเอกชนประเภทโครงการแนวสูงมากขึ้น รวมถึงงานอาคารสำนักงาน โรงงานอุตสาหกรรม โรงแรม โรงพยาบาล โดยตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนงาน ภาครัฐที่ 40% ภาคเอกชน 60 % ทั้งนี้ คาดว่าจะมีโอกาสเข้ารับงานกลุ่มงานภาครัฐ และงานใหม่เข้ามาเพิ่ม ในช่วงไตรมาส 4/2567  เป็นต้นไป   นอกจากนี้ มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยอยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนาสินค้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุน ประหยัดพลังงาน และเตรียมความพร้อมด้านกำลังการผลิต รองรับงานโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงและงานโครงการภาครัฐ เปิดโอกาสสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น รักษาปริมาณงานในมือ (Backlog) ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ประมาณ 1,418 ล้านบาท     อีกทั้ง บริษัทมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจไปสู่เป้าหมาย Carbon Neutral ในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมและลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้เหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตบนโลก และดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดย CPANEL เป็นบริษัทผู้ผลิตแผ่นผนังคอนกรีตสำเร็จรูปรายแรกของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน Carbon Footprint Organization (CFO)   “ถึงแม้ว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 การก่อสร้างของภาคอสังหาริมทรัพย์และงานโครงการภาคเอกชน ชะลอตัวตามสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม แต่บริษัทยังสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง มีผลการดำเนินงานดีกว่าค่าเฉลี่ยของภาพรวมอุตสาหกรรมการก่อสร้าง บริษัทฯ มั่นใจว่าด้วยกลยุทธ์ที่ชัดเจนและความมุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน CPANEL จะสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเป็นผู้นำในตลาดผนังคอนกรีตสำเร็จรูปของประเทศไทย” นายชาคริต กล่าว   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ ซีเค แอสเสท เปิดตัวโครงการริมน้ำสุดหรูที่เก่าแก่กว่า 100 ปี ใจกลางย่านเชลซี didacta asia 2024 เปิดเวทีการศึกษาครั้งใหญ่     
ซีเค แอสเสท เปิดตัวโครงการริมน้ำสุดหรูที่เก่าแก่กว่า 100 ปี ใจกลางย่านเชลซี กรุงลอนดอน

ซีเค แอสเสท เปิดตัวโครงการริมน้ำสุดหรูที่เก่าแก่กว่า 100 ปี ใจกลางย่านเชลซี กรุงลอนดอน

ซีเค แอสเสท เปิดตัวโครงการริมน้ำสุดหรูที่เก่าแก่กว่า 100 ปี ใจกลางย่านเชลซี บริษัท ซีเค แอสเสท โฮลดิ้งส์ จำกัด  (CK Asset Holdings Limited) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ข้ามชาติชั้นนำจากฮ่องกง จัดงานแถลงข่าวประกาศเปิดตัวโครงการ Powerhouse at Chelsea Waterfront สู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ โครงการพาวเวอร์เฮาส์ (Powerhouse)  เป็นการพัฒนาโครงการอันเป็นสัญลักษณ์ที่ก้าวข้ามจินตนาการแห่งการพักอาศัยที่หรูหราท่ามกลางการโอบล้อมด้วยแลนด์มาร์คประวัติศาสตร์ทางอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่ แห่งสุดท้ายของกรุงลอนดอน   อเล็กซานดรา เฉิน (Miss Alexandra Chan) ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด กลุ่มบริษัท ฮัทชิสัน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (Hutchison Property Group Limited) และโฆษกของ ซีเค แอสเสท  กล่าวถึง โครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดตัวล่าสุดนี้ว่า  Powerhouse at Chelsea Waterfront เป็นโครงการที่อยู่อาศัยริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ ที่นำเสนอความโดดเด่นอย่างแท้จริงของการผสมผสานระหว่างความหรูหราร่วมสมัย และความอลังการทางประวัติศาสตร์ได้อย่างลงตัว โดยมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1,100,000 ปอนด์สเตอร์ลิง โครงการพัฒนาบนทำเลชั้นนำของเชลซีแห่งนี้ มอบโอกาสอันยอดเยี่ยมสำหรับการอยู่อาศัย ในพื้นที่ริมแม่น้ำที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงลอนดอน   นอกเหนือจากนั้น การเอาใจใส่ในทุกรายละเอียด ตั้งแต่การตกแต่งภายในที่ออกแบบให้พื้นที่โปร่งโล่ง พร้อมกับความสวยงาม ครอบคลุมไปถึงอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกระดับเวิลด์คลาส ยังมอบความมั่นใจได้ถึงการสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยแบบเหนือระดับ     โครงการพาวเวอร์เฮาส์ (Powerhouse) ตั้งอยู่ฝั่งเหนือของแม่น้ำเทมส์ ในย่านหรูหราของเขตรอยัลโบโร (Royal Borough) ของเคนซิงตัน และเชลซี ซึ่งเป็นย่านที่พักอาศัยของคนดังระดับโลกหลายคน  ห้องชุดพักอาศัยของโครงการฯ ได้รับการออกแบบด้วยความใส่ใจทุกขั้นตอน  การตกแต่งภายในที่ให้ความรู้สึกถึงความโปร่งโล่งอย่างที่หาได้ยากในทำเลกรุงลอนดอน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสบายที่หรูหรา และหนึ่งในทัศนียภาพเหนือแม่น้ำเทมส์ที่ดีที่สุดของกรุงลอนดอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากอาคารตะวันตก (Tower West) อาคารที่อยู่อาศัยสูง 37 ชั้น ซึ่งอยู่ติดกัน   สำหรับโครงการ Chelsea Waterfront มีมูลค่าการพัฒนาโดยรวม 1.8 พันล้านปอนด์สเตอร์ลิง (ประมาณ 79,000 ล้านบาท)  ปัจจุบันอาคาร 2 หลังแรกในโครงการเสร็จสมบูรณ์และพร้อมสำหรับการเข้าอยู่อาศัยแล้ว ได้แก่ พาวเวอร์เฮาส์ (Powerhouse) และอาคารตะวันตก (Tower West) มีจำนวนห้องชุดรวม 434 ยูนิต ปัจจุบันปิดการขายแล้วประมาณ 60%  ขณะที่ อีก 2  อาคารที่กำลังจะเปิดตัวสำหรับโครงการในเฟส 2      ทั้งนี้ ราคาห้องชุดพักอาศัยโครงการ Powerhouse ซึ่งเป็นอาคารสูง 13 ชั้น มีราคาเริ่มต้นที่ 1,100,000 ปอนด์สเตอร์ลิง (ประมาณ 47,717,520 บาท) สำหรับห้องชุดขนาด 59.2 ตารางเมตร อีกทั้งยังมีตัวเลือกอื่นๆ ที่พร้อมตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย ได้แก่  ห้องชุดแบบ 3 ห้องนอน ขนาด 104 ตารางเมตร  หรือแบบ 3 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น ขนาด 153.6 ตารางเมตร และห้องชุดสุดหรู 4 ห้องนอน ขนาด 161 ตารางเมตรความโดดเด่นของโครงการ Powerhouse คือ การผสมผสานห้องชุดพักอาศัยที่กว้างขวาง เข้ากับมรดกอาคารเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 100 ปี บนหนึ่งในทำเลที่ตั้งที่น่าเป็นเจ้าของมากที่สุดของริมแม่น้ำกรุงลอนดอน     นอกจากนี้ การพัฒนาโครงการใหม่ระดับหรู ควบคู่กับข้อจำกัดของกฎระเบียบเกี่ยวกับผังเมือง (planning restrictions) ของกรุงลอนดอน กระตุ้นให้เกิดความต้องการอสังหาริมทรัพย์ระดับบน ที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกพิเศษต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น   ตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับบนของกรุงลอนดอนเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยผลตอบแทนจากการลงทุนที่แข็งแกร่ง จากผู้ซื้อต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงนักลงทุนชาวไทย   ขณะที่ นโยบายของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ซึ่งอนุญาตให้ชาวไทยและต่างชาติอื่นๆ มีสิทธิ์ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้โดยไม่มีเงื่อนไขกีดกันใดๆ นอกเหนือจากเงื่อนไขด้านการเงินตามข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ยังเป็นปัจจัยหนุนให้โครงการ Powerhouse at Chelsea Waterfront เป็นโอกาสการลงทุนอันยอดเยี่ยม   ทั้งนี้ นักลงทุนไทย มีแรงจูงใจอย่างยิ่งจากโอกาสในการพักอาศัยระยะยาว สำหรับบุตรหลานที่ไปศึกษาต่อในสถาบันการศึกษาชั้นนำของกรุงลอนดอน ขณะที่ โรงเรียนที่มีชื่อเสียงอย่างมาก 2 แห่ง ก็อยู่บริเวณใกล้เคียง ได้แก่ โรงเรียนโทมัส แบตเตอร์ซี (Thomas’s Battersea) ซึ่งมีนักเรียนคนดังอย่าง เจ้าชายจอร์จ เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ และสมาชิกราชวงศ์คนอื่นๆ และโรงเรียน Godolphin and Latymer เมื่อผนวกกับระยะเวลาการเช่าซื้อ 975 ปี (มีผลตั้งแต่เดือนกันยายน 2565) โครงการนี้จึงช่วยมอบการลงทุนที่ปลอดภัยและสามารถส่งต่อเป็นมรดกของครอบครัว   ปัจจุบัน มีผู้ซื้อและนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักรจากทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น ซีเค แอสเสท จึงได้ใช้กลยุทธ์ในการขยายตลาดให้ครอบคลุม นอกเหนือจากตัวแทนขายอย่างเป็นทางการแล้ว ยังเปิดกว้างเพื่อเข้าถึงและเจาะตลาดตัวแทนอิสระ รวมทั้งเอเจนซี่ขนาดเล็กในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเสนอโครงสร้างค่าคอมมิชชั่นที่น่าสนใจให้  เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือกับนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ขยายวงกว้างไปในประเทศไทย และนานาชาติต่อไป   ลูกค้า และตัวแทนขายที่สนใจ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ: https://page.line.me/chelseawaterfront
[PR] didacta asia 2024 เปิดเวทีการศึกษาครั้งใหญ่ ดึงเหล่ากูรูไทย-เทศ ถกมุมมองนำเสนอนวัตกรรมการศึกษาแห่งอนาคต

[PR] didacta asia 2024 เปิดเวทีการศึกษาครั้งใหญ่ ดึงเหล่ากูรูไทย-เทศ ถกมุมมองนำเสนอนวัตกรรมการศึกษาแห่งอนาคต

didacta asia 2024 พร้อมเปิดฉากงานมหกรรมการศึกษาครั้งยิ่งใหญ่ ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมพลิกโฉมอนาคตการศึกษาไทยสู่สากล ระดมนักวิชาการ-ผู้ทรงคุณวุฒิ ชั้นนำทั้งไทย และต่างประเทศ ขึ้นเวทีเสวนาแลกเปลี่บนมุมมอง นโยบายการศึกษา เดินหน้าพัฒนาครู บุคลากรทางการศึกษา ชูนวัตกรรมการเรียนรู้ใหม่ๆ ผ่านการจัดงานแสดงสินค้า พร้อมรองรับวิวัฒนาการการเปลี่ยนแปลงของโลกการศึกษาแห่งอนาคต   นายฮันส์ สโตเตอร์ กรรมการผู้จัดการประจำเอเชียและจีน ของ Messe Stuttgart – ผู้จัดงาน didacta asia กล่าวว่า ในยุคปัจจุบันการศึกษามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การมีความเข้าใจมุมมองใหม่ รู้จักปรับความรู้ ทักษะ ให้เท่าทันความก้าวหน้า และความเปลี่ยนแปลงของโลก จะเป็นการช่วยเปิดโอกาสให้ผู้คน สังคม รวมไปถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจมีความก้าวหน้าจากนวัตกรรมความเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาที่เกิดขึ้น และเพื่อเป็นการยกระดับแลกเปลี่ยนความรู้และนวัตกรรมทางการศึกษาให้แก่สถาบันการศึกษา  ครู อาจารย์ ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้ให้บริการเทคโนโลยีด้านการเรียนการสอน สมาคมการศึกษาและผู้นำด้านการจัดงานแสดงสินค้าจากประเทศเยอรมันนำโดย Didacta Association, Koelnmesse Thailand / Expolink Global Network Ltd. และ Messe Stuttgart ได้เตรียมจัดงาน didacta asia 2024 ครั้งใหญ่ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้าง พร้อมผลักดันระบบการศึกษาทุกระดับให้มีประสิทธิภาพสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างมีคุณภาพทั้งในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชีย     สำหรับงาน didacta asia 2024 จะจัดขึ้นหว่างวันที่ 16 - 18 ตุลาคม 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ภายใต้แนวคิด Shaping the Future Skills มุ่งเน้นแนวคิด สร้างทักษะเพื่ออนาคต ด้วยการเน้นใช้เทคโนโลยีมายกระดับการเรียนการสอน และพัฒนาการเรียนรู้ในทุกระดับการศึกษา ผสานกับการเรียนการสอนยุคใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และคุณภาพของการศึกษาในภูมิภาค โดยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานการศึกษาในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ในรูปแบบการจัดประชุมระดับนานาชาติ (didacta asia congress), การเปิดเวทีให้บุคลากรทางการศึกษา และผู้มีส่วนร่วม เข้ามาแบ่งปันประสบการณ์ ร่วมพัฒนาการศึกษาแห่งอนาคต จากผู้นำในวงการการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ (didacta asia Forum), การจัดมหกรรมแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา นำเสนอนวัตกรรม โซลูชัน ใหม่ๆ ให้ทดลองใช้ พร้อมจำหน่ายในราคาพิเศษ บนพื้นที่จัดแสดงกว่า 1,500 ตารางเมตร รวมถึงพาวิลเลียนพิเศษจากประเทศเยอรมนี ฮ่องกง จีน และเกาหลีใต้ เป็นต้น (didacta Trade Fair & International Pavilions) และการจัดแข่งขันการควบคุมหุ่นยนต์ ด้วยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ครั้งที่ 3 ชิงถ้วยพระราชทานฯ ในระดับอุดมศึกษา และ อาชีวศึกษา (Skill Competition)     “didacta asia 2024 นับว่าเป็นการจัดขึ้นมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นการจัดครั้งแรก ภายใต้ชื่อ didacta asia ในประเทศไทย ที่มีการรวมบุคลากรด้านการศึกษามากมายมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง แนวคิด พร้อมยกระดับการศึกษาทั้งในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในทุกๆ ระดับการศึกษา ได้นำไปปรับใช้ให้ทันต่อโลกของการเปลี่ยนแปลง” นายฮันส์ กล่าว   ทั้งนี้ภายในงานยังมีหัวข้อการสัมมนามากมายที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเวทีระดับรัฐมนตรี ในหัวข้อ นโยบายการศึกษาเท่าเทียมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บรรยายโดย ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีมีโอ) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชน และกีฬา กัมพูชา, เวทีเสวนา European-Asian-Pacific Dialogue Forum โดย ภาคีหน่วยงานอาชีวศึกษาจากเยอรมนี ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ใน หัวข้อหลัก ความท้าทายในการพัฒนาการศึกษา และการฝึกอบรมวิชาชีพให้มีความยืดหยุ่น ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพ โดยถอดบทเรียนจากการเข้าไปช่วยฝึกสอนจริงในหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บัลกาเรีย และเซอร์เบีย นอกจากนี้ยังมีการเสวนาในเรื่อง AI หรือครู ใครเก่งกว่ากัน จากผู้ทรงคุณวุฒิของประเทศไทย อาทิ เลาขาธิการคุรุสภา ผู้อำนวยการศูนย์ภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเคิร์ฟ จำกัด และ นายกสมาคมเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา และเสวนาปั้นอนาคตด้วย AI: เพิ่มหลักสูตรพลิกเกมในการศึกษาระบบ K-12 โดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) โดยปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่กำลังจะกลายเป็นหลักสูตรใหม่ที่จะเตรียมความพร้อมให้เด็กๆ ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้เรียนรู้พื้นฐานและการประยุกต์ใช้ AI ในชีวิตจริงอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้ก้าวทันเข้าสู่โลกเทคโนโลยีอย่างมั่นใจ ทั้งยังได้ฝึกเป็นนักคิด นักพัฒนา และผู้ใช้เทคโนโลยีที่รับผิดชอบต่อสังคม     อย่างไรก็ตามจากความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่ร่วมกันจัดงาน didacta asia 2024 ในครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและบริษัทเทคโนโลยี รวมถึงการเพิ่มความรู้และทักษะให้กับผู้เข้าร่วมในด้านการนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ในการศึกษา พร้อมการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาและการนำไปใช้ในวงการศึกษาในภูมิภาคเอเชีย และสร้างการรับรู้และขยายตลาดทางการศึกษาสำหรับผู้ประกอบการ ในอนาคตได้อย่างยั่งยืนต่อไป    
AWC เปิดตัว “EA” (เอ-ญ่า) แลนด์มาร์กใหม่ให้ประเทศไทย-ไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ ณ “เอ็มไพร์”

AWC เปิดตัว “EA” (เอ-ญ่า) แลนด์มาร์กใหม่ให้ประเทศไทย-ไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ ณ “เอ็มไพร์”

AWC เปิดตัว “EA” (เอ-ญ่า) เป็นแลนด์มาร์กใหม่ให้ประเทศไทยแล้ว สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกบนไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ ณ “เอ็มไพร์” ต้อนรับทุกคนร่วมสัมผัสไลฟ์สไตล์เดสติเนชั่นสุดพิเศษ   บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร สร้างปรากฎการณ์ระดับโลกเปิดตัว “EA” Rooftop at The Empire (เอ-ญ่า รูฟทอป แอท ดิ เอ็มไพร์) อย่างยิ่งใหญ่แล้ววันนี้ กับแลนด์มาร์กด้านการท่องเที่ยวแห่งใหม่ของประเทศไทย (Landmark Destination of Thailand) ที่รวม Top Cuisine ชั้นนำระดับเวิล์ดคลาสมาสู่รูฟทอปที่วิวสวยที่สุดในกรุงเทพฯ ทั้ง “Nobu Bangkok” (โนบุ แบงค๊อก) กับเชฟระดับตำนาน เชฟโนบุ มัตสึฮิสะ เปิดห้องอาหาร Nobu สูงที่สุดในโลก รวมถึง “EA CHEF'S TABLE” (เอ-ญ่า เชฟ เทเบิล) สัมผัสประสบการณ์เชฟเทเบิลจาก 3 เชฟระดับมิชลินสตาร์ กับห้องอาหารไทยบนรูฟทอปแห่งแรกของโลกโดยเชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร ห้องอาหารในต่างประเทศแห่งแรกของเชฟวิคกี้ เชง และห้องอาหารอิตาเลียนคลาสสิกร่วมสมัยโดยเชฟเปาโล อายราวโด และ “EA Gallery” (เอ-ญ่า แกลลอรี) แหล่งรวมไลฟ์สไตล์ร้านอาหารและคาเฟ่ชั้นนำ พร้อมเชิญชวนคนไทย นักท่องเที่ยว นักชิม ร่วมสัมผัสประสบการณ์ระดับโลกกับจุดหมายปลายทางแห่งไลฟ์สไตล์เหนือระดับ และอีกหนึ่งจุดเช็คอินห้ามพลาดบนไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพของเส้นขอบฟ้าและคุ้งน้ำเจ้าพระยาอันงดงามทั้งกลางวันและกลางคืนแบบ 360 องศา ณ “เอ็มไพร์” อาคารสำนักงานแบบไลฟ์สไตล์ระดับแฟลกชิปของ AWC บนพื้นที่ยุทธศาสตร์ใจกลางพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญย่านสาทร ภายใต้แนวคิด “Celebrating The World’s Newest Horizon” ร่วมสร้างมิติใหม่ให้กับวงการอาหารและการท่องเที่ยวของไทย พร้อมสนับสนุนกรุงเทพฯ ในฐานะศูนย์กลางด้านอาหารและการท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก     นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “AWC มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัว ‘EA’ Rooftop at The Empire ไลฟ์สไตล์เดสติเนชั่นบนรูฟทอปของ ‘เอ็มไพร์’ โครงการระดับแฟลกชิปของ AWC อย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ครอบคลุมพื้นที่รวมกว่า 10,000 ตร.ม. เพื่อเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของประเทศไทย นำประสบการณ์ด้านอาหารและไลฟ์สไตล์ระดับโลกแห่งใหม่มาสู่นครหลวงด้านการท่องเที่ยวอย่างกรุงเทพฯ โดยได้ร่วมมือกับคาเฟ่ ห้องอาหาร เชฟระดับตำนาน และเชฟระดับมิชลินสตาร์ มาร่วมสร้างสรรค์ประสบการณ์ของการรับประทานอาหารเหนือระดับผ่านสุนทรียรส การตกแต่งอันหรูหรา และวิวพาโนรามาของกรุงเทพฯ จากมุมสูงที่ไม่มีใครเหมือน AWC มั่นใจว่า ‘EA’ จะสร้างปรากฎการณ์ใหม่ด้านอาหารและเครื่องดื่มบนรูฟทอป (F&B Rooftop Destination) ที่โดดเด่นและควรค่าแก่การมาเยือนให้กับกรุงเทพฯที่ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ไม่ควรพลาด เพื่อร่วมสนับสนุนการท่องเที่ยวของประเทศในภาพรวม รวมถึงสร้างมิติใหม่ให้กับแวดวงอาหารและเครื่องดื่มของไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก สอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทฯ ที่ต้องการสร้างมาตรฐานและสร้างโอกาสใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยอย่างยั่งยืน รวมถึงขอขอบคุณโรงแรม แบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค พันธมิตรหลักที่มาร่วมสร้างสรรค์โครงการนี้ รวมถึงดูแลระบบการจัดการและการให้บริการของห้องอาหารต่างๆ ภายในโครงการ ‘EA’ อีกด้วย” สัมผัสประสบการณ์เหนือระดับที่ “Nobu Bangkok” ห้องอาหาร Nobu ที่สูงที่สุดในโลก “Nobu Bangkok” ห้องอาหาร Nobu ที่สูงที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 3 ชั้น รวมถึงชั้นดาดฟ้าของ “เอ็มไพร์” นำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ผสานศิลปะการทำอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมเข้ากับอิทธิพลด้านอาหารจากเปรู โดยเชฟระดับตำนานอย่างเชฟโนบุ มัตสึฮิสะ พร้อมด้วยวิวพาโนรามาอันงดงามของกรุงเทพฯ ทั้งกลางวันและกลางคืน ที่จะมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารอันน่าประทับใจเหนือระดับให้กับผู้มาเยือน ด้วยการบริการชั้นเลิศและเมนูอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ ที่เชฟโนบุได้รังสรรค์เมนูอันโดดเด่นผ่านทักษะความเป็นเลิศด้านการทำอาหาร พร้อมได้รับการออกแบบอย่างงดงามโดยบริษัทออกแบบระดับโลก Rockwell Group ด้วยแรงบันดาลใจจากสุนทรียะศิลปะแบบไทยและญี่ปุ่นที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เพื่อช่วยสร้างสรรค์ช่วงเวลาอันน่าจดจำให้กับมื้อสำคัญ หรือค่ำคืนอันน่าประทับใจ กับประสบการณ์สุดพิเศษที่จะยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้มาเยือนไปอีกยาวนาน   “EA CHEF’S TABLE” รวมห้องอาหารโดยเชฟมิชลินสตาร์ “EA CHEF’S TABLE” ตั้งอยู่บนชั้น 56 ของ “เอ็มไพร์” รวม 3 ห้องอาหาร 3 สัญชาติ จาก 3 เชฟระดับมิชลินสตาร์ นับเป็นเชฟเทเบิลที่สูงที่สุดในประเทศไทย นำเสนอไลฟ์สไตล์การกินดื่มเหนือระดับอย่างมีเอกลักษณ์ ท่ามกลางวิวพาโนรามาของกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ประกอบด้วย   “Le Du Kaan” การเดินทางผ่านหลากหลายฤดูกาลของวัฒนธรรมและอาหารไทย  ห้องอาหาร “Le Du Kaan” (ฤดูกาล) โดยเชฟระดับมิชลินสตาร์ เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร ถือเป็นห้องอาหารไทยโดยเชฟมิชลินสตาร์บนรูฟทอปแห่งแรกของโลก นำเสนอเมนูอาหารที่ผสมผสานอาหารไทยร่วมสมัยเข้ากับศิลปะการเล่าเรื่องอย่างมีเอกลักษณ์ เพื่อทำให้ทุกๆ จานเป็นเสมือนการเฉลิมฉลองวัฒนธรรมอันรุ่มรวย และวัตถุดิบคุณภาพในท้องถิ่นอันโดดเด่นที่คัดสรรมาจากชาวนาและชาวประมงไทยโดยตรง พร้อมการตกแต่งอย่างหรูหราราวกับงานศิลปะบนจานอาหาร ภายในร้านประกอบไปด้วยโซนรับประทานอาหารหลากหลายสไตล์รวมถึง บาร์เลานจ์ในร่มสุดชิค บาร์กลางแจ้งสีสันสดใส และพื้นที่ระเบียงกลางแจ้งขนาดใหญ่ เพื่อเป็นพื้นที่อันสมบูรณ์แบบในการชมพระอาทิตย์ตกดินเหนือกรุงเทพมหานคร  เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร กล่าวว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘EA’ ในฐานะห้องอาหารไทยบนรูฟทอปแห่งแรกของโลก การร่วมงานในครั้งนี้ถือเป็นการเดินทางสู่ฤดูกาลใหม่ในจุดหมายปลายทางแห่งใหม่อันเป็นเอกลักษณ์ ร่วมกับเชฟระดับมิชลินสตาร์ที่มีชื่อเสียงจากหลากหลายสัญชาติที่ได้มาร่วมกันอย่างยิ่งใหญ่ ณ EA CHEF’S TABLE ซึ่งจะช่วยสร้างสรรค์ประสบการณ์การรับประทานอาหารที่สุดพิเศษให้กับผู้ที่มาเยือน โดยเฉพาะเมนู ‘กะเพราเนื้อหม้อไฟ’ ที่ได้รับการรังสรรค์มาโดยเฉพาะสำหรับห้องอาหาร ‘Le Du Kaan’ เพื่อมอบความประทับใจและประสบการณ์สุดพิเศษที่ไม่เหมือนใคร”         “K by Vicky Cheng” ผลงานชิ้นเอกของอาหารจีนร่วมสมัย และห้องอาหารจีนสาขาแรกในต่างแดนของเชฟวิคกี้ ลิ้มรสอาหารจีนร่วมสมัยจากเชฟระดับมิชลินสตาร์ เชฟวิคกี้ เชง ได้ง่ายยิ่งขึ้นที่ ห้องอาหาร “K by Vicky Cheng” (เคย์ บาย วิคกี้ เชง) ห้องอาหารในต่างประเทศแห่งแรกของเชฟวิคกี้ ที่จะมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารจีนร่วมสมัยที่ไม่มีใครเหมือนผ่านการผสมผสานรสชาติแบบดั้งเดิม ผนวกกับแนวคิดด้านอาหารที่มีเอกลักษณ์จากแรงบันดาลใจของภูมิปัญญาโบราณของ 24 ภาวะตามปฏิทินจีนเข้ากับการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล เพื่อดึงความโดดเด่นของวัตถุดิบที่ดีที่สุดในแต่ฤดู ภายในห้องอาหารได้รับการออกแบบอย่างโดดเด่นด้วยโทนสีแดงเบอร์กันดีเข้มและศิลปะแบบจีน สะท้อนถึงความเคารพต่อมรดกแห่งอดีตและการโอบรับความทันสมัยของปัจจุบัน รวมถึงลวดลายกิเลนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอายุที่ยืนยาวและความมั่งคั่ง เชฟวิคกี้ เชง กล่าวว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่งที่วันนี้ได้เปิดห้องอาหารในต่างประเทศแห่งแรกของผมที่ ‘EA’ ด้วยความเชื่อมั่นในวิถีแห่งการรับประทานอาหารของคนไทยที่มีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมอาหารจีนในชีวิตประจำวัน ผมหวังว่าเมนูอาหารที่ผมได้สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่นี้ จะมอบความสุขและความเพลิดเพลินให้กับทุกคน และช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างอาหารจีนและวัตถุดิบชั้นเยี่ยมของไทยผ่านมุมองใหม่ ผมมั่นใจว่า ‘K by Vicky Cheng’ จะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เติมเต็มประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่เหมือนใครให้กับทุกท่าน”       “Sartoria by Paulo Airaudo” อิตาเลียนไฟน์ไดนิ่งอันน่าหลงใหล ห้องอาหาร “Sartoria by Paulo Airaudo” (ซาโตเรียอาร์ บาย เปาโล อายราวโด) นำเสนอนิยามใหม่ของเมนูอาหารอิตาเลียนคลาสสิกร่วมสมัยที่ได้รับการรังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถันโดยเชฟระดับมิชลินสตาร์ เชฟเปาโล อายราวโด (Paulo Airaudo) กลั่นกรองจากประสบการณ์การทำอาหารมายาวนาน จากหลายประเทศ หลากวัฒนธรรม เพื่อนำเสนอความหรูหราเหนือระดับด้วยอาหารอิตาเลียนไฟน์ไดนิ่งชั้นสูงจากวัตถุดิบที่ดีที่สุดตามฤดูกาลในแต่ละช่วง คัดสรรจากผู้ผลิตท้องถิ่นที่ดีที่สุดในประเทศไทย พร้อมเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้ชมศิลปะการทำอาหารอย่างใกล้ชิดผ่านครัวแบบเปิด โดยมีทัศนียภาพอันงดงามยามค่ำของกรุงเทพมหานครเป็นฉากหลัง เติมเต็มความสมบูรณ์แบบแห่งช่วงเวลาสุดพิเศษของการรับประทานอาหาร โดยจะพร้อมเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 เชฟเปาโล อายราวโด กล่าวว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสนำเสนออาหารอิตาเลียนแบบไฟน์ไดนิ่งที่ห้องอาหารของผมในกรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นการเปิดห้องอาหารแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของผม ด้วยความตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์สุดพิเศษอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความประทับใจให้กับทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ด้วยเมนูรสเลิศที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นจากมรดกทางวัฒนธรรมของอาหารยุโรป เพื่อมาร่วมเติมเต็มสีสันให้กับจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มแห่งใหม่ที่โครงการระดับโลกอย่าง ‘EA’ ในประเทศไทย”   “EA Gallery” จุดหมายปลายทางด้านไลฟ์สไตล์พร้อมด้วยวิวสุดพิเศษ “EA Gallery” ตั้งอยู่บนชั้น 55 ของ “เอ็มไพร์” ที่ได้เปิดให้บริการตั้งแต่ต้นปี 2567 ที่ผ่านมาและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากมาย นำเสนอความหลากหลายของอาหาร เครื่องดื่ม และความบันเทิงจากร้านอาหาร คาเฟ่ และบาร์ที่มีวิวมุมสูงของกรุงเทพฯ  ประกอบไปด้วย ร้าน % Arabica สาขาที่สูงที่สุดในโลก เพลิดเพลินกับกาแฟหอมกรุ่นพลางดื่มด่ำกับวิวของมหานครเเบบพาโนร่ามาได้ในเวลาเดียวกัน 手qraft (คราฟท์) บริการอาหารเช้าปราณีตสไตล์ตะวันออกร่วมสมัยในคอนเซ็ปต์ ‘oriental brunch’ โดย Peace 和 Oriental Teahouse และ Onggi ร้านอาหารเกาหลีที่คุณสามารถเพลิดเพลินกับ Hanjeongsik ประสบการณ์การทานอาหารแบบเซทต้นตำรับของเกาหลีจากวัตถุดิบไทยกับการหมักแบบเกาหลีดั้งเดิมรวมถึง Invitation Only บาร์ลับบนรูฟทอปที่ให้คุณได้ตื่นตาไปกับวิวกรุงเทพมหานครและเพลิดเพลินไปกับดนตรีสากลย้อนยุค 80s 90s และ 2000 โดยทีมงานจาก The Cassette Music Bar ร่วมชื่นชมแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของประเทศไทย และสัมผัสประสบการณ์การรับประทานอาหารที่สุดพิเศษท่ามกลางทัศนียภาพอันงดงามของกรุงเทพฯ และสายน้ำเจ้าพระยา ณ “EA” ที่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ติดตามข้อมูลของ “EA” ได้ที่ www.empirebuilding.co/th/ea สนใจสำรองที่นั่งห้องอาหาร “Nobu Bangkok” ล่วงหน้าได้ที่ www.noburestaurants.com/bangkok รวมถึง “EA CHEF'S TABLE” สำรองที่นั่งล่วงหน้าสำหรับห้องอาหาร “Le Du Kaan” ได้ที่ www.ledukaan.com และห้องอาหาร “K by Vicky Cheng” ได้ที่ www.kbyvickycheng.com   ข่าวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มีอะไรใหม่ใน เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ หลังทุ่มพันล้านสู่ Co-Living Space เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลาง  
[PR] กลุ่มชาญอิสสระ ดึง KOL ร่วมสร้างคอนเทนต์โปรโมทแคมเปญใหญ่แห่งปี

[PR] กลุ่มชาญอิสสระ ดึง KOL ร่วมสร้างคอนเทนต์โปรโมทแคมเปญใหญ่แห่งปี

กลุ่มชาญอิสสระ นำโดย นางธีราภรณ์ ศรีเจริญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ, นายดิฐวัฒน์ อิสสระกรรมการ และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมจัดงาน ISSARA DAY POWER UP by CHARN ISSARA ชวนเหล่า KOL ร่วมสร้างสรรค์คอนเทนต์ โปรโมทแคมเปญใหญ่แห่งปี CHARN ISSARA POWER UP ซุปเปอร์โปร ซุปเปอร์ดีล แจกรถไฟฟ้าทุกยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.9 ล้านบาท กับ 6 โครงการคุณภาพในเครือ ทั้งในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด ประกอบด้วย โครงการบ้านอิสสระ บางนา, โครงการ ดิ อิสสระ สาทร,โครงการบ้านสีตวัน ปากช่อง-เขาใหญ่, โครงการศศรา หัวหิน, โครงการซาซ่าส์ หัวหิน และ โครงการบลูไดมอนด์ ชะอำ-หัวหิน  โดยเนรมิตโครงการบ้านอิสสระ บางนา ให้เป็นศูนย์กลางในการรวม 6 โครงการคุณภาพที่เข้าร่วมแคมเปญ มาให้ได้สัมผัสถึงบรรยากาศโครงการ และบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของกลุ่มชาญอิสสระ ผ่านโซนกิจกรรมต่างๆ ณ โครงการ บ้านอิสสระ บางนา เมื่อเร็วๆ นี้
CPN ทุ่ม 1.5 หมื่นล้าน พลิกโฉม 4 มิกซ์ยูส และปักหมุดใหม่ “เซ็นทรัล กระบี่”

CPN ทุ่ม 1.5 หมื่นล้าน พลิกโฉม 4 มิกซ์ยูส และปักหมุดใหม่ “เซ็นทรัล กระบี่”

CPN ทุ่ม 1.5 หมื่นล้าน พลิกโฉม 4 มิกซ์ยูส และปักหมุดใหม่ “เซ็นทรัล กระบี่” เซ็นทรัลพัฒนา ผู้นำอสังหาฯไทย ชูกลยุทธ์ ‘The Future-Fluent Transformation’ เดินหน้ามิกซ์ยูสใหม่ภาคใต้และพลิกโฉมมิกซ์ยูสในย่านสำคัญครั้งยิ่งใหญ่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 15,000 ล้านบาท ดันเศรษฐกิจและท่องเที่ยวของประเทศ     ทรานส์ฟอร์มสู่อนาคต ตอกย้ำเป็น Centre of District ของทุกที่สำหรับทุกเจนเนเรชั่น  ปักหมุดมิกซ์ยูสใหม่ยิ่งใหญ่ “เซ็นทรัล กระบี่” ส่งเสริมศักยภาพเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่มีรายได้ท่องเที่ยวมหาศาล, ผู้คนที่มีเอกลักษณ์และหลากหลาย ด้วยไลฟ์สไตล์กำลังซื้อสูง Area of Growth & Area of Affluence พลิกโฉมมิกซ์ยูสแบบ Total Transformation & New Masterplanning ได้แก่ เซ็นทรัล บางนา, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ เพื่อตอบโจทย์กลุ่ม Upper Class และกำลังซื้อสูงแบบย่าน Bangkok CBD พร้อมปั้น เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต เดสติเนชั่นที่ทุกคนต้องมา ตอบรับกำลังซื้อ 3 จังหวัดภาคเหนือ รับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นอย่างล้นหลามจากการขยายสนามบิน / Mega Projects     บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อความยั่งยืน ตอกย้ำความสำเร็จโมเดลธุรกิจ ‘The Ecosystem for All’ เชื่อมโยงทุกธุรกิจทั้ง Retail-Residence-Hotel-Office ประกาศสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ทรานส์ฟอร์มสู่อนาคตด้วยกลยุทธ์ The Future-Fluent Transformation เพื่อพัฒนาย่าน เมือง และประเทศ โดยพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสใหม่และพลิกโฉมโครงการในโลเคชั่นสำคัญต่างๆ รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 15,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการมิกซ์ยูสแห่งใหม่ “เซ็นทรัล กระบี่” มูลค่า 4,500 ล้านบาท เตรียมเปิด Q3/68 และโครงการ Total Transformation & New Masterplanning ของอีก 4 มิกซ์ยูสสำคัญ มูลค่าโครงการมากกว่า 10,000 ล้านบาท ได้แก่ ‘เซ็นทรัล บางนา’ โฉมใหม่ Q1/69, ‘เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า’ โฉมใหม่ Q2/68, ‘เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ’ โฉมใหม่ Q2/68, และ ‘เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต’ โฉมใหม่ Q1/69 ทั้งหมดนี้เพื่อรองรับการขยายตัวของย่านและเมือง ตอบโจทย์ Sophisticated Lifestyle ของลูกค้าที่มีกำลังซื้อและความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ รับชมวิดีโอ คลิก: https://www.youtube.com/watch?v=DYnncAJ4Ra8    นายชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล Chief Development and Commercial Officer บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “เซ็นทรัลพัฒนา พร้อมที่จะทรานส์ฟอร์มสู่อนาคตและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในย่านสำคัญต่างๆ ของกรุงเทพฯ และจังหวัดสำคัญของประเทศ เพื่อตอบโจทย์ Future Consumers โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราเป็นนักพัฒนาที่สร้างสรรค์ Future-Fluent Development ให้กับผู้คน ชุมชน และใส่ใจสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำแนวคิด ‘Centre of Life’ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิต และกระจายความเจริญทั่วประเทศ โดยมีโครงการ Retail-Led Mixed-Use ทั้งหมด 5 โครงการสำคัญที่จะประกาศในวันนี้ ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวมทุกองค์ประกอบทั้งศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย โรงแรม และ Convention Hall รวมกันกว่า 15,000 ล้านบาท นำโดย ‘เซ็นทรัล กระบี่’ โครงการมิกซ์ยูสที่ยิ่งใหญ่แห่งแรกใจกลางกระบี่ และ ยังมีการพลิกโฉมสู่โครงการมิกซ์ยูสแห่งอนาคตครั้งยิ่งใหญ่ในย่านสำคัญต่างๆ แบบ Total Transformation ได้แก่ ‘เซ็นทรัล บางนา’, ‘เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า’, ‘เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ’, และ ‘เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต’ อีกด้วย”   โดยภายในงานแถลงข่าวได้รับเกียรติจากผู้บริหารของเซ็นทรัลพัฒนาร่วมให้วิสัยทัศน์และกลยุทธ นำโดย นายชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล Chief Development and Commercial Officer, ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา Chief Marketing Officer, นายชาตรี โกวิทานุพงศ์ Executive Project Director Regional Development 1 และนายคุณายุธ เดชอุดม Head of Business Development Strategy     เซ็นทรัล กระบี่ มิกซ์ยูสแห่งอนาคต โครงการใหม่ ยิ่งใหญ่แห่งแรกใจกลาง “กระบี่” “เซ็นทรัล กระบี่” (Central Krabi) ด้วยคอนเซ็ปต์ New Haven of Life (Destination | Nature Lifestyle) โครงการมิกซ์ยูสมูลค่าโครงการรวม 4,500 ล้านบาท บนพื้นที่ 114 ไร่ ประกอบด้วย ศูนย์การค้า (GBA: 47,500 sq.m.) เตรียมเปิดให้บริการ Q3/68 และในอนาคต มีแผนที่จะพัฒนาทั้งบ้านระดับพรีเมียม, คอนโดมิเนียม และโรงแรม “กระบี่” จังหวัดท่องเที่ยวศักยภาพสูงของไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลก และมีกำลังซื้อที่แข็งแกร่ง   รายได้การท่องเที่ยวลำดับที่ 6 ของประเทศ และลำดับที่ 3 ของภาคใต้ มีการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยวที่ชัดเจน ในปี 2566 ทำรายได้ 52,500 ล้านบาท และมีจำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาแล้วกว่า 4 ล้านคน อีกทั้งมีแผนขยายสนามบินนานาชาติที่จะสามารถรองรับนักท่องเที่ยว 8 ล้านคนต่อปี จังหวัดกำลังซื้อสูงมี GPP per capita ที่ 190,573 บาทต่อปี คิดเป็นอันดับที่ 4 ของภาคใต้ และการใช้จ่ายต่อครัวเรือนที่สูงติด Top 5 ของประเทศ   High-Quality Catchment Area ประมาณ 480,000 คน จากในเมืองกระบี่และผู้อยู่อาศัยในโครงการบ้านและคอนโดราคาสูงตั้งแต่ 2-10 ล้านบาท ที่มีรวมกว่า 1,000 ยูนิต Extensive Range of Unmet Needs จากความหลากหลายของผู้คน เป็นสังคม ‘Biocultural Harmony’ มีความหลากหลายทั้งเชื้อชาติและศาสนา แต่มีวิถีชีวิตที่อยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน จึงทำให้เกิดความต้องการพื้นที่ในการใช้ชีวิตที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์หลายรูปแบบ โครงการเซ็นทรัล กระบี่จึงคัดสรรไม่ว่าจะเป็น Premium Lifestyle Brands, Food Destination ทั้งอาหารไทย, นานาชาติ และอาหารฮาลาล, Recreation Space พื้นที่สำหรับเด็กและครอบครัว รวมถึง Retail Magnet จากกลุ่มเซ็นทรัลทั้ง Tops, Supersports, Powerbuy, B2S และ Auto1         “เซ็นทรัล กระบี่” ปักหมุดเป็นแลนด์มาร์กที่จะเติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของชาวกระบี่ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ครบตอบโจทย์ทุกกลุ่ม โลเคชั่นที่ดีที่สุด พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วย Tourist Hub ที่ครบวงจร      โดยได้รับการออกแบบ Fully-Integration with Nature แบบ Semi-outdoor สะท้อนธรรมชาติของหมู่เกาะและภูเขาอันเป็นเอกลักษณ์ของกระบี่ และอัตลักษณ์วิถีชุมชน โดดเด่นด้วยกลุ่มอาคารที่นำเอารูปฟอร์มของหมู่เกาะมาออกแบบเป็น Floating Jewel of Krabi พร้อมจุดชมวิวภูเขาแบบพาโนรามิกที่ทุกคนต้องมาเช็คอิน และยังมีโซน Authentic Culture & Product ของกระบี่ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ      นอกจากนี้ ในด้านความยั่งยืนโครงการตั้งเป้าลด Carbon Footprint ตั้งแต่กระบวนการก่อสร้างเพื่อให้ได้ ‘EDGE Certification’ เป็นโครงการแรก นับเป็นอีกระดับของมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมโลก รวมถึงใส่ใจด้าน Energy Savings, Low-Carbon Materials และจับมือกับชุมชนในการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง พร้อมนำขยะจากทะเลและครัวเรือนมา Upcycling อีกด้วย   The District of the Future พลิกโฉมมิกซ์ยูสสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่แห่งอนาคต  ในฐานะผู้นำที่บุกเบิกย่านและเมืองเป็นรายแรก “ศูนย์การค้าเซ็นทรัล” ได้กลายเป็น Centre of District ในปัจจุบัน Affluent Demographic มีความเปลี่ยนแปลง ย่านต่างๆ ขยายเติบโตขึ้น ประชากรมี Sophisticated Lifestyle และกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น จึงมีการพลิกโฉมการพัฒนาโครงการแบบ Total Transformation & New Masterplanning 4 โครงการ ได้แก่ “เซ็นทรัล บางนา” และ “เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า” เป็น 2 ย่านที่ประชากรมีกำลังซื้อสูง แวดล้อมด้วยโครงการที่อยู่อาศัย Luxury โดยเราเห็นกำลังซื้อที่ชัดเจน จากการวิเคราะห์ด้วย AI Data-Driven Insights ของ The1 ว่า 2 สาขานี้ติดอันดับ Top 10 Best Performance ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล โดยมีจำนวนการมาใช้บริการของสมาชิก The 1 ในระดับสูง และมี Affluents Members มากกว่าพื้นที่อื่นถึง 1.5 เท่า และในด้านยอด spending นั้น ติดอันดับท็อปๆ ของเรา รวมไปถึง “เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ” ที่โครงสร้างเมืองขยายรองรับการเติบโตเทียบเท่าย่าน New CBD และ “เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต”  ที่เมืองเติบโตด้วย Mega Projects และ Tourist Influx  โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในครั้งนี้ เป็นการยกระดับทั้ง Brand Mix, Central Group ปรับโฉมคอนเซ็ปต์ใหม่ทั้งหมด, ออกแบบ Customer Journey & Experience ใหม่, และ Total Redesign ใหม่ทั้งหมด   1) เซ็นทรัล บางนา (Central Bangna) – Live Life Xponentially (Luxe | Lush | Lifestyle) ‘Always the Place’ ของคนในย่าน มีความเติบโตชัดเจนเป็น ‘High Quality Catchment Area’ แวดล้อมด้วยโครงการที่อยู่อาศัยกว่า 9 แสนยูนิต และเป็น Luxury Residence กว่า 5,000 ยูนิต มีโรงเรียนนานาชาติระดับ top-tier กว่า 20 แห่ง ประชากรมีรายได้สูงกว่า Bangkok CBD บางย่าน จากศักยภาพจึงได้ทรานส์ฟอร์มสู่ New masterplanning ขยายเป็นโครงการมิกซ์ยูสยิ่งใหญ่ของย่านบนพื้นที่ 55 ไร่ โดยเฟสแรกจะโฟกัสในส่วนศูนย์การค้า ภายใต้คอนเซ็ปต์ Urban Luxe & Lush Lifestyle เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า Upper Class มากขึ้น ยกระดับย่านบางนาไปอีกขั้นหนึ่ง ด้วยการ Curated Merchandising Mix ใหม่: เติมเต็ม Accessible Luxury Brands และมี Upper Lifestyle Brands, Brand Anchors บนพื้นที่ 10,000 ตร.ม. พร้อมด้วยการปรับคอนเซ็ปต์ใหม่ระดับ flagship standard ของห้างเซ็นทรัล และการปรับโฉมใหม่ทั้งหมดของธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล Space Revolution: สร้างสรรค์พื้นที่ใหม่ตั้งแต่ Tops Food Hall ที่มียอดขายติดอันดับ 1 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล, ‘Food Play Yard’ รวมร้านอาหารหลากหลายมากกว่า 100 แบรนด์, ‘Fashion Galleria’ รวมกว่า 100 Modern Luxury Brands และรองรับ 20 Accessible Luxury Fashion Houses, ‘Holistic Wellness’ บนพื้นที่ 3,800 ตร.ม.,‘Multi-Generation Entertainment’ พบกับสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดของย่าน รวมถึงพื้นที่ Happening Event, Pop-Up Market, Art Exhibition     2) เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า (Central Pinklao) – New Soul of the District (Creative | Moment | Magnetic)   แลนด์มาร์กและเมืองหลวงของฝั่งธนบุรี และ Meeting Point ของฐานลูกค้ากลุ่มครอบครัวมีกำลังซื้อ นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลชั้นนำ ปัจจุบันใน Catchment Area มีประชากรหนาแน่นถึง 3,000,000 คน, ราคาที่ดินเติบโตสูง และใกล้โครงข่าย Skytrain Major Interchange ที่ทำให้การเดินทางเชื่อมต่อไปย่านสำคัญอื่นๆ อย่างสีลม, สาทร และเยาวราชได้ง่าย การพัฒนาคอนเซ็ปต์ใหม่จึงยกระดับสู่การสร้างสรรค์ Complete Destination ที่ดีที่สุดในย่าน อาทิ Gastronomy Hub – ครบที่สุดในย่านกรุงเทพฯ ตะวันตก ร้านอาหารกว่า 200 แบรนด์ อาทิ  Tops Food Hall และ New Variety ตั้งแต่ Premium, Casual Lifestyle, Grab & Go, Street Food, Family Food Destination พร้อมด้วยพื้นที่แฮงก์เอาท์ Uplifted Shopping Experience: มี Key Anchor ที่แข็งแรงหลายแบรนด์ทั้ง Fashion & Sport พร้อมเพิ่ม Affordable Luxury Brands  พบกับโฉมใหม่ของธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล นำโดยห้างเซ็นทรัล ระดับ Flagship Standard โรงภาพยนตร์คอนเซ็ปต์ใหม่ Education and Family Destination ศูนย์กลางการเรียนรู้ และพัฒนา Multi-Intelligence Skills มากกว่า 50 สถาบัน สำหรับเด็กและเยาวชนครบทุกด้าน ดีที่สุดในย่านธนบุรี ซึ่งมีทราฟฟิกกลุ่มครอบครัวที่แข็งแกร่งมาก            3) เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ (Central Chaengwattana) - The Life Extraordinaire (Affluent | Vibrant | Art)   ย่านที่เติบโตและเปลี่ยนผ่านจากย่านชานเมืองสู่ New CBD จำนวนประชากรเติบโตเทียบเท่าย่านพระราม 9 และเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูงกว่าย่านอื่นๆ ในนนทบุรี โดยเป็นครอบครัวกำลังซื้อสูง และหมู่บ้านชาวต่างชาติ Expat ที่มีจำนวนมาก โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นกว่า 300% แวดล้อมด้วยออฟฟิศของภาครัฐและเอกชนซึ่งคาดว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้าจะมีจำนวน Office Workers เพิ่มขึ้น 300,000 คนรวมถึงมี New Connectivity ของรถไฟฟ้าสายสีชมพู    การพัฒนาคอนเซ็ปต์ใหม่จึงต้องการ Uplift ประสบการณ์เหนือระดับในทุกด้าน โดยจะเป็นที่ที่มีทราฟฟิกดีทุกวันทั้งวันธรรมดาและวันหยุด จากกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย ในวัน Weekday จะมีกลุ่มพนักงานออฟฟิศจากบริษัทเอกชนและหน่วยงานรัฐ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาถือเป็น High Frequency Shoppers และในช่วง Weekend จะเป็น Quality Shoppers ทั้งกลุ่มครอบครัวและ Expat ซึ่งเป็น The 1 Exclusive หรือกลุ่ม Wealth กว่า 10,000 คน และมียอด Spending มากกว่าที่อื่นถึง 25 เท่า   Complete & Sophisticated Lifestyle: ทั้งห้างเซ็นทรัล ดีไซน์โมเดิร์น, Tops Food Hall กับสินค้าระดับท็อป และ Variety of Fashion Brands ตั้งแต่ International Brands to Street & Sport Fashion และเตรียมพบกับ New Anchor ต่างชาติที่มีแบรนด์ครบทุกไลฟ์สไตล์ ทั้ง Beauty, Food, Fresh Market New Family Magnet: Bounce, HarbourLand, JOYLIDAY รวมพื้นที่กว่า 3,000 ตร.ม. Food Destination: Food Patio เปิดใหม่ที่มียอดขายดี, และร้านอาหารสำหรับครอบครัวอีกมากมาย เช่น MOMO Paradise และ AKA เป็นต้น   Common Space: พื้นที่ Art & Happening ร่วมมือกับศิลปินและสตูดิโอชื่อดัง        4) เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต (Central Chiangmai Airport) – Reimagining Lanna (Authentic | Attraction | Culture)   ปักหมุดใจกลางเมือง ใกล้สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ เมืองขยายตัวอย่างรวดเร็วด้วย Mega Projects ของภาครัฐและแผนเตรียมรับนโยบายเมืองแห่ง Creative Economy Hub ปี 2571 อีกทั้งมี Emerging Demand เพิ่มขึ้นจาก Catchment Area ที่ขยายครอบคลุมประชากรกว่า 2,000,000 คน ในจังหวัดเชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง โครงการที่อยู่อาศัยโตขึ้นกว่า 34%, Luxury Hotels ที่เพิ่มมากขึ้น แวดล้อมด้วยโรงเรียนนานาชาติและมหาวิทยาลัย และมี Tourist Influx ล้นหลาม โตขึ้น 300% จากปี 2562  การพัฒนาคอนเซ็ปต์ใหม่ นำเสนอ Local Essence in Modern Twist เพื่อสร้างเดสติเนชั่นที่ผู้คนต้องมาเยือนและตอบโจทย์ชาวเชียงใหม่ได้ครบวงจร  The Most Complete Mixed-Use Project of the North: เป็น New Masterplanning กว่า 100 ไร่ ทั้งศูนย์การค้า, Convention Hall, Tourist Hub และ Multi-Generation Space รวมถึง Go Wholesale แห่งแรกในภาคเหนือที่เปิดให้บริการแล้ว เติมเต็มแบรนด์ใหม่อีกมากกว่า 50% พร้อมด้วยแบรนด์ดังที่ประสบความสำเร็จแล้ว อาทิ Uniqlo, Nike, Adidas, Puma และ MUJI Flagship Store แห่งแรกของภาคเหนือและใหญ่ที่สุดในไทย สินค้ากว่า 3,000 รายการและมีกระแสตอบรับดีมาก Tourist & Family Destinations บนพื้นที่ 17,000 ตร.ม. โดยขยายพื้นที่ “กาดหลวง แอร์พอร์ต” ถึง 9,000 ตร.ม. ที่ประสบความสำเร็จมากในปัจจุบัน และ Local Food Market ที่ใหญ่ที่สุด มีแบรนด์ Local Michelin Brands ที่ชาวเชียงใหม่ชื่นชอบ รวมถึงสินค้า Hug Craft และ Local Craftmanship      บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เดินหน้าสู่อนาคตภายใต้เจตจำนงค์ของแบรนด์ Imagining better futures for all ด้วยการสร้างและพัฒนาพื้นที่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อม พร้อมดำเนินกลยุทธ์ The Ecosystem for All เป็นระบบที่แข็งแกร่งและยั่งยืน เพื่อเติบโตไปกับทุกฝ่ายควบคู่ไปกับการเป็นพลังขับเคลื่อนหลักที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจและประเทศ   ในปี 2566 เซ็นทรัลพัฒนาก้าวสู่อันดับ 1 องค์กรยั่งยืนระดับโลก โดยได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Top 1% S&P Global Score) จากจำนวนทั้งหมด 299 บริษัททั่วโลก อีกทั้งยังได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใน 2024 Fortune Southeast Asia 500 โดยขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในกลุ่มบริษัท Real Estate ไทยทั้งหมดที่ได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ด้วย ติดตามความเคลื่อนไหวเซ็นทรัลพัฒนา คลิก https://www.centralpattana.co.th/th/shopping/shopping-update/lifestyle-activities ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ เซ็นทรัลพัฒนา เผยธุรกิจ Central Pattana Residence เติบโตต่อเนื่อง “เซ็นทรัลพัฒนา” ย้ำเบอร์หนึ่งผู้นำอสังหาฯ ไทย
[PR] เสนา - ฮันคิว ฮันชิน เสริมแกร่งธุรกิจ เปิดตัวบริษัทร่วมทุน เสนา เอชเอชพี ตอกย้ำความเชื่อมั่นระยะยาว

[PR] เสนา - ฮันคิว ฮันชิน เสริมแกร่งธุรกิจ เปิดตัวบริษัทร่วมทุน เสนา เอชเอชพี ตอกย้ำความเชื่อมั่นระยะยาว

เสนา - ฮันคิว ฮันชิน เสริมแกร่งธุรกิจ เปิดตัวบริษัทร่วมทุน เสนา เอชเอชพี ตอกย้ำความเชื่อมั่นระยะยาว พร้อมลุย 66 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 83,000 ล้าน   SENA เสริมแกร่งธุรกิจ จับมือ HHP เปิดบริษัทร่วมทุนใหม่อย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อ “เสนา เอชเอชพี” สะท้อนความมั่นใจจากพาร์ทเนอร์ ที่พร้อมร่วมลงทุนในระยะยาว เดินหน้ารุกทุกเซกเมนต์สู่การยกระดับประสิทธิภาพรอบด้านทั้ง Credibility, Financial และ Efficiency เพิ่มข้อได้เปรียบทั้งความมั่นคงด้านเงินทุน โอกาสทางการเงิน การบริหารต้นทุน และรูปแบบการดำเนินงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ตั้งเป้าสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ตามแผนลงทุนรวม 66 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 83,000 ล้าน โดยยังคงจุดแข็งบ้านประหยัดพลังงาน หรือ Zero Energy House (ZEH) ที่ยังเดินหน้าพัฒนาให้เข้มข้นมากขึ้นด้วยการผสมผสานเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ จากญี่ปุ่น ที่ตอบโจทย์ Decarbonized Lifestyle และสร้างสังคมการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนให้กับครอบครัวเสนาทุกคน   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ (ดร.ยุ้ย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) SENA กล่าวว่า จากการร่วมทุน (Joint Venture) ของ เสนา และ บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ประเทศญี่ปุ่นที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2016 ธุรกิจมีการเติบโต เปิดโครงการใหม่ และประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในสิ่งสำคัญคือการที่ทั้งสองบริษัทมีแนวทางการดำเนินธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน โดยให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นลำดับแรก (Customer comes first) รวมถึงยังมีความตั้งใจที่จะมาร่วมลงทุนระยะยาวในประเทศไทย โดยวันนี้เป็นอีกโอกาสสำคัญของความร่วมมือเพื่อการก้าวไปสู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่และเติบโตแข็งแกร่งกว่าเดิม โดยเสนา และ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป พร้อมยกระดับการร่วมทุนจากความร่วมมือพัฒนาแบบรายโครงการ สู่การเปิดบริษัทร่วมทุนใหม่ที่พร้อมเดินหน้าต่ออย่างมั่นคงมากยิ่งขึ้น ในชื่อ บริษัท เสนา เอชเอชพี จำกัด     “ความร่วมมือครั้งนี้ นับเป็นก้าวที่สำคัญของการเติบโต และยังสะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพของกันและกัน ตอกย้ำถึงการร่วมเดินหน้าธุรกิจ พร้อมเป็นพันธมิตรในระยะยาว แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายจากปัจจัยลบ ที่สำคัญยังช่วยยกระดับประสิทธิภาพใน 3 ด้าน ที่ประกอบด้วย 1. Credibility คือ ความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น ความมั่นใจจากความร่วมมือในระยะยาวกับบริษัทระดับนานาชาติ การผสมผสานความร่วมมือ และการทำงานแบบมืออาชีพ 2. Financial คือความมั่นคงในด้านเงินทุน ความเชื่อมั่นในสถานภาพทางการเงิน การบริหารจัดการต้นทุนที่จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงโอกาสทางการเงิน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และ 3. Efficiency ที่จะช่วยยกระดับการทำงานให้รวดเร็ว และยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ง่ายต่อการบริหารจัดการ รวมถึงการแลกเปลี่ยนนวัตกรรมความรู้ต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพที่อยู่อาศัยให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบัน”   ดร. ยุ้ย กล่าวย้ำว่า สำหรับเป้าหมายการขยายธุรกิจและสร้างโอกาสในการเติบโต ภายใต้บริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้น  ทางเสนา และ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป  ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยเป็นหลัก ทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง และพร้อมพัฒนาโครงการให้ครอบคลุมครบทุกเซกเม้นท์ และกระจายอยู่ในทำเลศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยพัฒนาเบื้องต้นไว้ที่ 66 โครงการ รวมมูลค่ารวมประมาณ 83,000 ล้านบาท โดยทุกโครงการยังคงพัฒนาบนแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ และคอนโด โลว์คาร์บอน ที่จะเดินหน้าพัฒนา และต่อยอดให้ตอบโจทย์คนไทยมากที่สุด พร้อมผสมผสานเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ จากญี่ปุ่นเพื่อร่วมสร้าง Decarbonized Lifestyle ให้กับลูกบ้าน และสร้างสังคมการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนให้กับครอบครัวเสนาทุกคน      ด้าน มร.มาซะฮิโกะ โทดะ กรรมการบริหาร บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป กล่าวว่า “ตั้งแต่ปี 2016 ที่บริษัทฯ เริ่มขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ และได้ตัดสินใจเข้าร่วมทุนกับเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จากความเชื่อมั่นในความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของเสนาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย รวมถึงการมีทิศทางการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกัน ซึ่งสะท้อนถึงความเข้าใจร่วมกันในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ เรายังชื่นชมในความเป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาลแข็งแกร่งของเสนา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพภายใต้การนำของ ดร.เกษรา และทีมผู้บริหาร รวมถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ที่ได้รับแนวคิดจากญี่ปุ่นมาปรับใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย เช่น บ้านประหยัดพลังงาน (ZEH) และ Condo Low-Carbon และในวันนี้เรายังคงมีความเชื่อมั่นในการบริหารที่มีวิสัยทัศน์และเป็นองค์กรที่มีธรรมภิบาลสูงของเสนา จะส่งผลให้การยกระดับการร่วมทุนในครั้งนี้เติบโตอย่างมั่นคง”   ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลางเมือง “สาทรสแควร์” พานาโซนิคผนึก เสนา-เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง-สถาพร เอสเตท ทดลองระบบ Home IoT  
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลางเมือง เปิดโฉมใหม่ “สาทรสแควร์”

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลางเมือง เปิดโฉมใหม่ “สาทรสแควร์”

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลางเมือง เปิดโฉมใหม่ “สาทรสแควร์”   เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ผู้นำตลาดอาคารสำนักงานเกรดเอและพื้นที่พาณิชยกรรม 2.4 แสนตร.ม.  ชู 5 มิติ    กลยุทธ์ Asset Enhancement Initiative (AEI) ปรับโฉม 2 อาคารสำนักงานใจกลางเมืองทั้งสาทรสแควร์และปาร์คเวนเชอร์ ยกระดับนวัตกรรมการให้บริการ รับศึกอาคารสำนักงานเกิดใหม่ล้นตลาด พร้อมเผยโฉมใหม่ “สาทรสแควร์” ส่งมอบประสบการณ์และบริการที่ดีให้แก่ผู้เช่าและผู้ใช้อาคาร     นายวิทวัส คุตตะเทพ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายโครงการเชิงพาณิชยกรรม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT เปิดเผยว่า บริษัทฯ ในฐานะผู้นำธุรกิจอาคารสำนักงานเกรดเอและพื้นที่พาณิชยกรรมรวม 2.4 แสนตร.ม. มองเห็นทิศทางตลาดอาคารสำนักงานมีแนวโน้มการแข่งขันสูงขึ้นต่อเนื่องจากอาคารสำนักงานเกิดใหม่ทั้งที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกมากถึง 1.6 ล้านตร.ม.ที่มีกำหนดแล้วเสร็จใน 3 ปีข้างหน้า ขณะที่ความต้องการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานในแต่ละปีขยายตัวไม่มากนัก รวมถึงลูกค้าในปัจจุบันไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องทำเลที่ตั้งที่สะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังมองหาอาคารที่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตพนักงานและผู้ใช้อาคารอีกด้วย บริษัทฯ จึงเร่งดำเนินการโครงการยกระดับคุณภาพอาคาร (Asset Enhancement Initiative: AEI) ของสาทรสแควร์ และปาร์คเวนเชอร์ ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์ (GVREIT) ตั้งแต่เมื่อต้นปี 2567 ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันสาทรสแควร์ดำเนินการแล้วเสร็จพร้อมเผยโฉมใหม่แล้ว ส่วนปาร์คเวนเชอร์จะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2567 นี้     เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้าและผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม อีกทั้งสนับสนุนการดำเนินงานตามแนวทางด้านความยั่งยืน โดยได้นำแนวคิดนี้ถ่ายทอดกับการยกระดับนวัตกรรมการให้บริการและคุณภาพอาคารของสาทรสแควร์ ด้วยกลยุทธ์ 5 มิติ สำหรับ Asset Enhancement Initiative (AEI) ในการรักษามาตรฐานอาคารเกรดเอ เพื่อสามารถแข่งขันท่ามกลางอาคารสำนักงานเกิดใหม่เพิ่มขึ้น ได้แก่   1. Smart Technology: ยกระดับความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกด้วยเทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะระบบควบคุมการเข้า-ออกอาคารและการจัดการผู้มาติดต่อสามารถแสดงตนด้วยการสแกนใบหน้า (Face Recognition) หรือสแกน QR Code ผ่านแอปพลิเคชันมือถือ เพิ่มระบบจัดการการเข้า-ออกรถยนต์ภายในอาคารจอดรถที่สามารถตรวจและอ่านป้ายทะเบียนแบบอัตโนมัติ (License Plate Recognition) ชำระค่าจอดรถผ่านระบบออนไลน์ (e-Payment) พร้อมติดตั้งจุดให้บริการ EV Charger สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ อาคารยังรองรับบริการพื้นฐานด้านการเชื่อมต่อดิจิทัล โดยได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ Platinum ด้านการเชื่อมต่อดิจิทัล (Digital Connectivity) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสูงสุดจาก WiredScore     2. Sustainability Excellence: ยกระดับการจัดการอาคารส่งเสริมความเป็นเลิศด้านความยั่งยืน เน้นการประหยัดพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร โดยนำระบบบริหารจัดการอาคาร (Building Management System:BMS) มาเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมงานวิศกรรมอาคารและการจัดการพลังงานภายในอาคาร มี Motion Censor จับความเคลื่อนไหวสำหรับเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติในพื้นที่ใช้งานน้อย และปรับกระบวนการบริหารอาคารโดยจัดการทรัพยากรตามแนวทางอนุรักษ์พลังงาน สานต่อเจตนารมณ์ด้านความยั่งยืนของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ทั่วโลก ซึ่งตอกย้ำจุดเด่นของสาทรสแควร์ตามที่ได้รับการรับรองด้านการประหยัดพลังงานและการอนุรักษ์พลังงานมาตั้งแต่เปิดใช้อาคาร ทั้งมาตรฐานอาคารเขียวระดับโลก LEED ระดับ Gold 2013 (พ.ศ. 2556) รางวัล Thailand Energy Awards 2014 และ ASEAN Energy Awards 2014 (พ.ศ. 2557) รวมถึงรางวัล MEA Energy Awards 2019 (พ.ศ 2562)     3. Superb Well-being: ส่งเสริมสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้อาคาร โดยมีระบบเครื่องปรับอากาศพร้อมกรองอากาศที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 และติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality: IAQ) แสดงสภาพอากาศภายในอาคารเทียบกับอากาศภายนอกอาคาร เพื่อเสริมความมั่นใจ รวมถึงใส่ใจในคุณภาพการใช้ชีวิตด้านต่าง ๆ ของพนักงานออฟฟิศ โดยสาทรสแควร์มีพื้นที่สีเขียวอย่างต้นไม้และน้ำรอบอาคารเพื่อสร้างความผ่อนคลาย และพื้นที่รีเทลที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นฟิตเนส คาเฟ่ ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ร้านอาหารนานาชาติ คลินิคสุขภาพความงาม ที่พบปะสังสรรค์ (Hangout) สำหรับสานสัมพันธ์นอกเวลางาน เติมเต็มการใช้ชีวิตให้ครบครันมากขึ้น     4. Support Tenant Centricity: สร้างความประทับใจให้ผู้เช่าและผู้ใช้อาคารด้วยการมุ่งเน้นส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเป็นสำคัญ ผ่านการสื่อสาร รับฟังความต้องการ และความพึงพอใจ เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจุดเด่นด้านการบริหารอาคารของบริษัทฯ ที่ดำเนินการมาตลอดคือ การจัดกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ในเทศกาลและโอกาสพิเศษต่าง ๆ โดยชักชวนผู้เช่าและผู้ใช้อาคารมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมน่าอยู่ในสาทรสแควร์สำหรับทุกคน   5. Spectacular Design: สวยงามและโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมทั้งภายนอกและภายในอาคาร สะท้อนแนวคิดการออกแบบอาคารอย่างมีเอกลักษณ์ การปรับโฉมล็อบบี้ในครั้งนี้ ผู้ออกแบบได้นำคำว่า “สแควร์” หรือ “รูปทรงสี่เหลี่ยม” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชื่ออาคารมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ ผสมผสานผนังใหม่สีเงินเมทัลลิคที่สะท้อนความทันสมัยและมีพลัง เพิ่มเติมด้วยการติดตั้งจอ LED ขนาดใหญ่ สร้าง “สีสันมิติใหม่” (Neo-vibrant) ที่เป็นตัวตนจุดเด่นสำคัญของอาคาร เพื่อบรรยากาศที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา สร้างความสดใสและแรงบันดาลใจ เติมพลังงานและความกระฉับกระเฉงให้กับผู้ใช้อาคาร สอดรับแนวคิดของสาทรสแควร์กับการเป็น The Neo-vibrant Business Complex     “เราเชื่อมั่นว่าการยกระดับคุณภาพสาทรสแควร์ครั้งนี้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ดึงดูดบริษัทชั้นนำและรักษามาตรฐานคุณภาพอาคารสำนักงานเกรด A ที่สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ดีในการใช้อาคารและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าและผู้ใช้อาคารทุกกลุ่ม มุ่งสู่เป้าหมายขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Real Estate as a Service Brand ครอบคลุมทั้ง Space, Communityและ Sustainability สอดรับกับเจตนารมณ์ของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ในการสร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.) ” นายวิทวัส กล่าวปิดท้าย   ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ พานาโซนิคผนึก เสนา-เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง-สถาพร เอสเตท ทดลองระบบ Home IoT ‘BenQ W5800’ สุดยอดประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในบ้านระดับ 4K “เอ็นริช” ลุยตลาดบ้านลักซ์ชัวรี เปิดตัว “ดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์”  
“เอ็นริช” ลุยตลาดบ้านลักซ์ชัวรีดีไซน์ใหม่  เปิดตัว “ดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์” 

“เอ็นริช” ลุยตลาดบ้านลักซ์ชัวรีดีไซน์ใหม่  เปิดตัว “ดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์” 

“เอ็นริช” ลุยตลาดบ้านลักซ์ชัวรีดีไซน์ใหม่  เปิดตัว “ดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์” ตอบรับการขยายตัว New Luxury Hub แห่งใหม่ บนทำเลทองราชพฤกษ์   กลุ่มบริษัทเอ็นริช ส่ง “ดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์” โครงการระดับลักซ์ชัวรีลุยทำเลทองของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก ทำเลราชพฤกษ์ซึ่งเป็น New Luxury Hub แห่งใหม่  นำเสนอความต่างด้วยแนวคิดที่ถอดแบบจากไลฟ์สไตล์ การดีไซน์ที่คำนึงถึงทุกรายละเอียด เพื่อตอบรับทุกจังหวะของการใช้ชีวิต ผู้บริหารเผยเป็นความร่วมมือระหว่าง 2 ผู้นำตลาดอสังหาฯ ไทย-ญี่ปุ่น สร้างมิติใหม่ของการอยู่อาศัยในตลาดกลุ่มลักซ์ชัวรี ด้านซีบีอาร์อี เผยตัวเลขการเปิดโครงการบ้าน ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 ในบ้านกลุ่มไฮเอ็นด์ และลักซ์ชัวรีบนทำเลกรุงเทพฯ ชั้นนอกฝั่งตะวันตก สัดส่วนเพิ่มสูงกว่า 385% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2566   โครงการ “ดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์” (The Article North Ratchaphruek) เป็นโครงการลักซ์ชัวรีที่เปิดตัวด้วยบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง สร้างความเป็นส่วนตัวสูงสุด ชูจุดเด่นสถาปัตยกรรมทันสมัย เน้นการออกแบบฟังก์ชันและพื้นที่ใช้สอยให้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้อย่างเต็มที่ กลุ่มบริษัทเอ็นริช เลือกพัฒนาทำเลราชพฤกษ์ เพราะมองเห็นแนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มกระจายตัวจากใจกลางเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะทำเลราชพฤกษ์ตัดใหม่ที่แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง พร้อมตอกย้ำแนวคิด “Guiding You to Practical Living” หรือการเป็นคู่คิดสำหรับการใช้ชีวิตจริง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อาศัยได้อย่างลงตัว และสร้างสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดให้แก่ทุกคน รวมถึงยังผสานกับแนวคิดการจัดบ้านแบบ “คอนมาริ” นักจัดบ้านชื่อดังระดับโลก “มาริเอะ คอนโดะ” ซึ่งเอ็นริชเป็นเจ้าแรกของประเทศที่นำแนวคิดนี้มาใช้ในธุรกิจอสังหาฯ ผ่านตัวแทนที่ปรึกษาระดับมาสเตอร์และได้ผลตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก     นายอนวัช ฉัตรศิริกุล ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทเอ็นริช เปิดเผยว่า การพัฒนาโครงการ “The Article North Ratchaphruek (ดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์)” มูลค่ากว่า 2,400 ล้านบาท  โดยได้ร่วมทุนกับอนาบูกิ โคซัน กรุ๊ป (Anabuki Kosan Group) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่ติดอันดับ 1 ใน 10 จากประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเล็งเห็นการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในทำเลราชพฤกษ์ที่มีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มตลาดบ้านระดับลักซ์ชัวรี แม้ว่าการแข่งขันในทำเลดังกล่าวจะมีสูงแต่เชื่อมั่นว่ายังมีช่องว่างทางการตลาดที่สามารถเข้าไปเจาะและแข่งขันได้   “เรามองว่าสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ มีความท้าทายในหลายๆ ด้านและตลาดมีการแข่งขันสูง การตัดสินใจเลือกซื้อบ้านของผู้บริโภคใช้เวลานานขึ้น แต่แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทยังคงเดินหน้าเพื่อให้บริษัทมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมจนถึงระดับลักซ์ชัวรียังมีกำลังซื้อสูง จึงเดินหน้าพัฒนาโครงการเพื่อรองรับกับลูกค้ากลุ่มนี้โดยเลือกทำเลที่มีศักยภาพ พัฒนาโครงการให้มีจุดเด่นที่น่าสนใจด้วยฟังก์ชันและนวัตกรรมด้านการอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ ซึ่งที่ผ่านมาเราสามารถพัฒนาโครงการและประสบความสำเร็จมาแล้วอย่างต่อเนื่อง” นายอนวัช กล่าว     ที่ผ่านมากลุ่มบริษัทเอ็นริช มีโครงการอสังหาฯ หลากหลายรูปแบบที่พัฒนาออกสู่ตลาด ทั้งยังมีความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพหลายรายในการพัฒนาโครงการร่วมกัน ในปีนี้กลุ่มบริษัทเอ็นริชได้ร่วมมือกับ อนาบูกิ โคซัน กรุ๊ป พัฒนาโครงการดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์ และยังได้ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย (CBRE Thailand) บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลกเข้ามาเป็นตัวแทนที่ปรึกษาทางการตลาด และบริหารงานขายให้กับโครงการอีกด้วย จึงมั่นใจว่าโครงการที่เอ็นริชพัฒนาออกมา มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องของ ดีไซน์ ฟังก์ชัน และการเลือกใช้วัสดุ ทำให้โครงการมีความแตกต่างจากคู่แข่งและเป็นที่ต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับลักซ์ชัวรี   ด้านนางสาวสุพิชา ณัฐสุวรรณพล ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธุรกิจ กลุ่มบริษัทเอ็นริช กล่าวว่า แนวคิดที่กลุ่มบริษัทเอ็นริชยึดถือมาโดยตลอดในการพัฒนาโครงการ คือ “Guiding You to Practical Living” เป็นการคำนึงถึงทุกรายละเอียดของการใช้ชีวิต โดยเน้นในเรื่องคุณภาพและโปรดักส์ที่น่าสนใจ นำมาพัฒนาโครงการ ให้มีจุดเด่น ใส่ใจรายละเอียดในทุกขั้นตอนตั้งแต่กระบวนการแรกในการออกแบบ จนถึงขั้นตอนสุดท้ายที่ลูกค้าได้เข้าอยู่ ลูกค้าต้องได้รับความสะดวกสบายมากที่สุดรวมถึงยังผสานกับแนวคิดการจัดบ้านแบบ “คอนมาริ” ของนักจัดบ้านชื่อดังระดับโลก “มาริเอะ คอนโดะ” ซึ่งเอ็นริชเป็นเจ้าแรกของประเทศ ที่นำแนวคิดนี้มาใช้ในธุรกิจอสังหาฯ ผ่านตัวแทนที่ปรึกษาระดับมาสเตอร์ และได้ผลตอบรับที่ดีเป็นอย่างมากเพื่อให้ลูกค้าได้ศึกษา และนำมาปรับใช้กับบ้านของลูกค้าในอนาคตอีกด้วย   “ด้วยการแข่งขันที่สูงของตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่เดียวกัน เราจึงยิ่งเน้นพัฒนาโครงการให้มีดีไซน์ที่โดดเด่นเฉพาะตัว รวมถึงให้ความสำคัญในเรื่องประสบการณ์การอยู่อาศัยร่วมกันของทุกคนในครอบครัว  ความพิเศษอีกหนึ่งอย่างของเราคือ การที่เราคำนึงถึงการใช้ชีวิตที่หลากหลาย เราจึงเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนบางอย่างได้ด้วยระบบ Customization เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อาศัยปรับเปลี่ยนไปตามเทรนด์ และไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย ” นางสาวสุพิชา กล่าว     สาเหตุที่เลือกเข้ามาพัฒนาโครงการในทำเลราชพฤกษ์ เป็นเพราะมองเห็นแนวโน้มการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ที่เริ่มกระจายตัวจากใจกลางเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะทางกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก รวมถึงในทำเลดังกล่าวมีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในรูปแบบต่าง ๆ ออกมารองรับการอยู่อาศัยในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น คอมมูนิตี้มอลล์ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ และโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง  ซึ่งโครงการ The Article North Ratchaphruek อยู่ใกล้กับ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ เพียง 300 ม. เท่านั้น สำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ต้องการขยายครอบครัว มีพื้นที่สำหรับอยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น มีชีวิตการทำงานที่ค่อนข้างยืดหยุ่น สามารถทำงานได้ที่บ้าน หรือหากเดินทางไปทำงานก็สามารถเดินทางได้สะดวก ซึ่งโครงการ The Article North Ratchaphruek ถือว่าตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว   ส่วนนายมาซาอากิ คากาวะ กรรมการผู้จัดการ อนาบูกิ โคซัน กรุ๊ป กล่าวว่า การเข้ามาร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทเอ็นริช เป็นเพราะมีแนวคิดและการทำงานไปในทิศทางเดียวกัน และยังเห็นว่า บริษัท เอ็นริชพัฒนาโครงการอย่างมีคุณภาพ การใส่ใจในด้านงานดีไซน์เป็นพิเศษ การวางแผนและการออกแบบโดยคำนึงถึงความสะดวกสบายของการอยู่อาศัย  การคัดเลือกพัฒนาโครงการบนทำเลที่มีศักยภาพทั้งปัจจุบัน และมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ในอนาคต ที่สำคัญบุคลากรของกลุ่มเอ็นริช มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาโปรดักส์ ซึ่งได้สัมผัสถึงความใส่ใจในรายละเอียด  จึงได้ตัดสินใจที่จะร่วมกันพัฒนาโครงการนี้กับ บริษัท เอ็นริช   “เราเห็นว่าโปรดักส์ของเอ็นริชนั้นมีความโดดเด่น เป็นที่ดึงดูดความสนใจของเรา  เรามองว่าเอ็นริช พัฒนาโปรดักส์ได้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการดีไซน์ที่บริษัทเอ็นริชได้ใส่ใจเป็นพิเศษ โดยคำนึงถึงความสะดวกสบาย และการเลือกทำเลการพัฒนาโครงการที่ดีรวมไปถึงมีการวางแผนงานที่ดีอีกด้วย” นายมาซาอากิ กล่าว     ขณะที่ นางสาวอาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมตลาดบ้านในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 มีการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรใหม่มากถึง 31 โครงการ รวม 5,032ยูนิต มีอัตราส่วนเพิ่มขึ้นกว่า 15.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2566 ถือเป็นสัญญาณบวก  โดยพบว่าตั้งแต่ปี 2565-2567 ตลาดบ้านโซนกรุงเทพชั้นนอกฝั่งตะวันตก มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเปิดตัวโครงการบ้านเพิ่มขึ้นกว่า 145% ในปี 2565 และ 18% ในปี 2566 ทั้งนี้สิ้นไตรมาสที่ 1 ของปี 2567 ยังพบอีกว่าทำเลนี้มีอัตราการเปิดตัวโครงการบ้านสูงที่สุดในกลุ่มทำเลกรุงเทพชั้นนอกซึ่งประกอบไปด้วย 4 ทำเลด้วยกัน ซึ่งหากพิจารณาเจาะลึกเฉพาะกลุ่มเซกเมนต์ไฮเอ็นด์ขึ้นไปในปี 2566 ยังพบด้วยว่ามีการเปิดตัวโครงการบ้านทั้งปีเพิ่มขึ้นกว่า 227% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยไตรมาสที่ 1 ปี 2567 ทยานสูงขึ้นว่า 385% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันใน ปี 2566   นางสาวอาทิตยา กล่าวเสริมอีกว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดบ้านหรูในโซนราชพฤกษ์เติบโตเป็นเพราะศักยภาพของทำเลที่มีองค์ประกอบสนับสนุนให้ทำเลราชพฤกษ์กลายเป็น New Luxury Hub กล่าวคือ การมีความสมบูรณ์ของระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ทั้งการสร้างและขยายถนน อาทิ ถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ การขยายถนนชัยพฤกษ์ ถนนชัยพฤกษ์เชื่อมกับสะพานพระราม 4 ถนน 10 เลน รวมถึงเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีชมพู ส่งผลให้เกิด Connectivity  ที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อพื้นที่ได้ทั้ง 3 จังหวัด ทั้งกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และปทุมธานี  การพัฒนาโครงการ Shopping Mall ขนาดใหญ่รองรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนในโซนราชพฤกษ์ เช่น Robinson Lifestyle Ratchaphruek, Central Westgate, Central Westville, และ Lotus’ North Ratchaphruek อีกทั้งทำเลราชพฤกษ์โซนนี้ยังเชื่อมต่อไปยังถนนแจ้งวัฒนะ ที่เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางย่านธุรกิจซึ่งเป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการสำคัญๆ และบริษัทชั้นนำมากมาย โดยมีพื้นที่อาคารสำนักงานมากกว่า 1,100,000 ตารางเมตร ทำให้เกิดดีมานด์ของคนทำงานภายในย่านนี้ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาดที่พักอาศัยในโซนแจ้งวัฒนะ และขยายตัวมายังโซนราชพฤกษ์เช่นกัน   “อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้โครงการ The Article North Ratchaphruek มีความน่าสนใจเป็นเพราะตั้งอยู่ในโซนที่มีการเติบโตสูง ทั้งสภาพแวดล้อม การเดินทาง สิ่งอำนวยความสะดวก ติด Shopping Mall ซึ่งมีข้อดีคือเดินทางสะดวก ประหยัดเวลาในการจับจ่ายใช้สอย โดย Robinson Lifestyle Ratchaphruek ใกล้เพียง 300 เมตร เป็นห้างสรรพสินค้าใหม่ ร้านอาหารมากมาย สามารถจับจ่ายใช้สอยได้สะดวก ง่ายต่อการใช้ชีวิต รวมไปถึงตั้งอยู่ในทำเลที่มีมูลค่าการประเมินที่ดินที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอดีตราคาที่ดินยังไม่สูงมาก โดยเพิ่มขึ้นกว่า 21% ในรอบการประเมินปี 2566-2569 และมองว่าทำเลนี้มีศักยภาพจะเติบโตได้อีกมากในอนาคต โดยเฉพาะทำเลที่โครงการตั้งอยู่มีโอกาสที่จะเป็น Hub บ้านหรูทำเลถัดไป เช่นเดียวกับทำเลถนนเลียบทางด่วนเอกมัย รามอินทรา  ทำเล กรุงเทพกรีฑา ขณะเดียวกันโครงการยังมีความแตกต่างจากโครงการทั่วไปในตลาดอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ของรูปลักษณ์การดีไซน์ การเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ เป็นตัวเลือกใหม่ๆ ให้กับลูกค้าในทำเลนั้นได้ ในขณะที่ฟังก์ชันถือว่าให้แบบจัดเต็มด้วยพื้นที่ 300-500ตร.ม. ที่จอดรถ 3-4 คัน และยังสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นของบ้านได้ตามต้องการ เรียกว่า ราคา High-end บนทำเลที่ Premium ในโซนราชพฤกษ์เลยทีเดียว” นางสาวอาทิตยา กล่าวในตอนท้าย   ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ พานาโซนิคผนึก เสนา-เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง-สถาพร เอสเตท ทดลองระบบ Home IoT เอพีเปิดตัว LIFE เจริญนคร-สาทร คอนโดวิวแม่น้ำที่ดีที่สุด กับชีวิตที่เหนือกว่า

1 2 3 ... 105