แม้ในหลายประเทศทั่วโลกจะประสบปัญหาความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและสถานการณ์ทางการเมืองที่ท้าทาย ตลาดการลงทุนซื้อขายอาคารและโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีประโยชน์การใช้ในเชิงธุรกิจทั่วโลก ยังคงมีกิจกรรมเกิดขึ้นอย่างคึกคักและมีแนวโน้มฟื้นตัวในปี 2560 นี้ ตามรายงานจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล
รายงานดังกล่าวจากเจแอลแอล เปิดเผยว่า ในปี 2559 ที่ผ่านมา ทั่วโลกมีการลงทุนซื้อขายอาคารและโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีประโยชน์การใช้ในเชิงธุรกิจ (อาทิ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม โรงงาน และโกดังสินค้า) รวมมูลค่าทั้งสิ้น 6.5 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 22.7 ล้านล้านบาท แต่สำหรับปี 2560 นี้ มีแนวโน้มว่าจะมีปริมาณการลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่ามูลค่ารวมสำหรับทั้งปีอาจขยับขึ้นไปได้มากถึง 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 24.5 ล้านล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2557 และ 2558
หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เชื่อว่าตลาดการลงทุนซื้อขายในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น คือการที่กลุ่มนักลงทุนประเภทสถาบันมีการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีประโยชน์การใช้ในเชิงธุรกิจมากขึ้น เนื่องจากนักลงทุนเหล่านี้เน้นการหาโอกาสการลงทุนที่มีผลตอบแทนการลงทุนที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ยังมีแหล่งทุนใหม่ๆ เกิดขึ้นจากหลากหลายประเทศ อาทิ จีน ไต้หวัน และมาเลเซีย
นักลงทุนต่างๆ เหล่านี้ ทั้งที่มีอยู่เดิมและที่เข้ามาใหม่ มีจำนวนมากที่มีทุนหนาและสามารถระดมทุนเพื่อเข้าซื้ออาคารหรือโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างรวดเร็ว
ปรากฏการณ์หนึ่งที่น่าสนใจคือ การที่จีนขยายบทบาทขึ้นมาเป็นกลุ่มทุนรายใหญ่บนเวทีโลกด้านการลงทุนซื้ออาคาร-โครงการอสังหาริมทรัพย์ โดย ณ สิ้นไตรมาสสามของปีที่ผ่านมา กลุ่มทุนจากจีนมีการเข้าลงทุนซื้ออาคารและโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีประโยชน์การใช้ในเชิงธุรกิจในต่างประเทศมากที่สุด แซงหน้าสหรัฐฯ
เมืองที่เป็นเป้าหมายของนักลงทุนที่สนใจลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ ส่วนใหญ่ยังคงเป็นเมืองในประเทศที่มีเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว ซึ่งการลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์มีความเสี่ยงต่ำ มีความโปร่งใส และซื้อขายได้คล่อง แต่เมืองหลักๆ เหล่านี้ มักมีการแข่งขันสูง จึงมีนักลงทุนบางส่วนที่ให้ความสนใจการลงทุนในเมืองเป้าหมายรองในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ดังนั้น ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีความโปร่งใสในตลาดอสังหาริมทรัพย์สูงกว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน จะมีโอกาสในการดึงดูดนักลงทุนได้ดีกว่า