Tag : News

2376 ผลลัพธ์
พฤกษา กางแผน ปี67  “อยู่ดี มีสุข” บ้านแบบครบวงจร ตั้งเป้ารายได้ 28,000 ล้านบาท

พฤกษา กางแผน ปี67 “อยู่ดี มีสุข” บ้านแบบครบวงจร ตั้งเป้ารายได้ 28,000 ล้านบาท

นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานในปี 2566 ว่า พฤกษา โฮลดิ้ง มีรายได้ 26,132 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,205 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีการพัฒนาแบรนด์สินค้าใหม่ “บ้านกรีนเฮ้าส์” เพื่อตอบรับกับกำลังซื้อที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการนำเทคโนโลยีและการออกแบบการก่อสร้างแบบใหม่มาใช้ ให้ลูกค้าสามารถผ่อนกับธนาคารได้ เพื่อให้สอดคล้องกับดีมานด์ในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน   สำหรับทิศทางในปีนี้ มุ่งเพิ่มสัดส่วนในสินค้าในกลุ่มเซกเมนต์กลาง-บน ให้สูงขึ้นมากกว่า 50% โดยคาดว่าจากปี 2562 ที่มีสัดส่วนสินค้ากลุ่มราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ราว 70% ในปีนี้วางแผนปรับลดให้เหลือราว 40% เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมากขึ้น ในช่วงปีที่ผ่านมาทางกลุ่มก็ได้มีการปรับโครงสร้าง และโมเดลธุรกิจหลายอย่าง ได้นำบริการด้านสุขภาพจากเครือวิมุต ผนวกกับเทคโนโลยีระบบ Smart Home จากแอปพลิเคชัน MyHuas นำเข้ามาปรับใช้ในการออกแบบโครงการ เพื่อเสริมความแข่งแกร่งของธุรกิจหลัก ด้วยการแยกกลุ่มธุรกิจ ออกมาอีก  4 แกน ได้แก่       ธุรกิจเฮลท์แคร์ ครอบคลุมบริการทางสุขภาพตั้งแต่โรงพยาบาลวิมุต และโรงพยาบาลเทพธารินทร์ มีการสร้างความร่วมมือ และการลงทุนใหม่ ๆ เช่น การลงทุน เข้าถือหุ้น 25% ในบริษัท เค.พี.เอ็น ซีเนียร์ ฮอสปิตัล กรุ๊ป เตรียมขยายการบริการเนอร์สซิ่งโฮม ตั้งเป้าขยาย 600 เตียงภายใน 3 ปี กลุ่มยังมีแผนลงทุน 3,500 ล้านบาท ขยายโรงพยาบาลเฉพาะทางที่สุขุมวิท ขยายเตียงที่โรงพยาบาลวิมุตเป็น 150 เตียง พร้อมเติบโตสู่เป้า 2,300 ล้านบาทในปี 2567   ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ภายใต้การดำเนินงานของ  บริษัท ซินเนอร์จี โกรท จำกัด ในเครือพฤกษา ตั้งเป้าโต 5x ในปี 2567 และหวังสร้างรายได้กว่า 1,000 ล้านบาทใน 3 ปี จะนำเสนอสินค้าและบริการเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ โดยได้พัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีแอปพลิเคชัน MyHaus เพื่อเป็นศูนย์กลางที่จะดูแลทั้งเรื่องความปลอดภัยภายในบ้าน และอำนวยความสะดวกสบายให้ลูกบ้านและนิติบุคคล ด้วยระบบ IOT (Security & Smart Home) ควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ดูแลได้ทั้งบ้านด้วยแอปพลิเคชันเดียว, Visitor Management ระบบคัดครองผู้มาเยือน, Facility Booking ระบบจองสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในโครงการ, Repair Management ระบบแจ้งซ่อมแซมบ้าน เพื่อให้สำนักงานนิติบุคคลติดต่อนัดเวลาช่างเข้าซ่อมอย่างมีระเบียบ รวมไปถึงระบบ Community ที่จะสร้างพื้นที่ให้ลูกบ้านสื่อสารกันได้ ซึ่งได้เตรียมพร้อมที่จะรองรับ การให้บริการแก่ลูกค้าจากกลุ่มเรียลเอสตทของพฤกษา ไปจนถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Clickzy.com (คลิกซิ) ที่รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ให้เลือกช้อปสินค้าที่เกี่ยวกับบ้าน บริการตกแต่งภายในจาก Zdecor และสินค้าเพื่อการดูแลสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์   กลุ่มหน่วยธุรกิจใหม่ ที่แยกออกมาเพื่อรองรับการเติบโต เปิดโอกาสการสร้างรายได้เพิ่มเติม เช่น ธุรกิจพรีคาสท์ จากความประสบความสำเร็จจากการแลกหุ้น ร่วมกับ บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GEL เพื่อเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของ “อินโน พรีคาสท์” เพิ่มโอกาสในการจำหน่ายแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ ทำยอดคำสั่งซื้อและติดตั้ง (Backlog) ทั้งจากพฤกษาและลูกค้ารายอื่น ๆ สูงขึ้นทะลุเป้าหมายอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท สู่ผู้นำที่ใหญ่ที่สุดในไทย ตั้งเป้ารายได้โต 50% สู่ 3,500 ล้านบาท   ในปี 2567 และกลุ่มก็ได้มีการแยกหน่วยงาน ธุรกิจรับก่อสร้าง สำหรับอาคารที่พักอาศัย ออกมาเป็นบริษัทใหม่ “อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น” ซึ่งเป็นการปรับองค์กรครั้งใหญ่เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้นและสามารถรองรับการขยายโอกาสในการเติบโตและสร้างรายได้จากการรับก่อสร้าง ตั้งเป้าปี 2567 จะสร้างรายได้ 5,600 ล้านบาท จากพฤกษาและลูกค้ารายอื่นนอกจากกลุ่ม มุ่งสู่ความเป็นบริษัทรับก่อสร้างบ้านแนวราบที่ใหญ่ที่สุดในไทย   การลงทุนเพื่อรองรับการขยายห่วงโซ่ธุรกิจ ขยายการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์  และ อสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นด้านการดูแลสุขภาพ   จากประกาศความร่วมมือกับ 2 องค์กรชั้นนำจากสิงคโปร์และไต้หวัน  จัดตั้งกองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” มูลค่าทรัพย์สินเป้าหมาย 25,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการคลังจัดเก็บและกระจายสินค้าให้บริการครอบคลุมทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการลงทุนในกองทุน CapitalLand Wellness Fund ( C-Well) มูลค่าทรัพย์สินเป้าหมาย 72,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นด้านการดูแลสุขภาพ ด้วยการรีโมเดลธุรกิจ และโครงสร้างองค์กรในปีที่ผ่านมา ทำให้ในปี 2567 นี้ เราเชื่อว่าพฤกษา โฮลดิ้งพร้อมด้วยกลุ่มบริษัทในเครือทั้งหมด  มีความพร้อมทั้งด้านการปฏิบัติการ และ ความพร้อมทางการเงิน ที่จะเดินหน้าสู่ทิศทางแห่งการเติบโตอย่างก้าวไกลไปอีกขั้น ตามกลยุทธ์ Ready To Thrive  ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับจากการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ในครั้งนี้ได้แก่ (1) ประโยชน์จากการจัดซื้อจ้างในครั้งละจำนวนมาก การขนส่ง และการเพิ่มคุณค่าสินค้าให้โครงการ (2) เพิ่มโอกาสในการขายข้ามกลุ่มสินค้า (Cross-Selling) รองรับความต้องการของลูกค้าในทุกช่วงชีวิต (3) สร้างรายได้เพิ่มเติม จากสินค้าและบริการต่างๆ ที่หลากหลาย ตั้งเป้าในอนาคต เพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำเป็น 25%  โดยผสานประโยชน์จากทุกแพล็ตฟอร์มเพื่อรังสรรค์การอยู่อาศัยที่ “อยู่ดี มีสุข” ตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้  ทั้งนี้ในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้ทั้งกลุ่มรวม 28,000 ล้านบาท เปิดโครงการใหม่มูลค่าราว 29,000 ล้าน ในขณะที่สถานะทางการเงินของพฤกษายังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อหุ้นทุนสุทธิ (Net Gearing Ratio) อยู่ในระดับต่ำที่ 0.27 เท่า และจากผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการบริษัทฯ ก็ได้อนุมัติจะนำเสนอผู้ถือหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผลเท่ากับ 65 สตางค์ รวมเงินปันระหว่างกาลแล้วจ่ายทั้งสิ้นเท่ากับ 96 สตางค์ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 1 มี.ค. โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 เมษายน 2567 มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเท่ากับ 7.5% และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 24 พ.ค.นี้ ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2566 พฤกษาทำรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ราว 22,357 ล้านบาท มียอดขาย 18,540 ล้านบาท  เปิดโครงการใหม่รวม 13 โครงการ มูลค่า 14,200 ล้านบาท  ส่วนในปี 2567 ตั้งเป้ายอดขายที่ 27,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอนที่  25,500 ล้านบาท วางแผนเปิดโครงการใหม่ 30 โครงการ แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 10 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 17 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 3 โครงการ  รวมมูลค่าทั้งหมดราว 29,000 ล้านบาท โดยมีที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ ที่จะแปลงเป็นรายได้ รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท  โดยวางแผนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) ด้วยการเพิ่มสินค้าสำหรับกลุ่มลูกค้าในเซ็กเม้นต์ระดับกลาง - สูง  พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มของแบรนด์ The Palm สู่ราคามากกว่า 30 ล้านบาท ที่นำความร่วมมือ (Synergy) จากธุรกิจเฮลท์แคร์ในเครือเข้ามาผสานใช้ ให้เป็นภาพใหญ่ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น   พร้อมมุ่งบริหารสินทรัพย์ที่มีในมือ  โดยในปี 2567 ตั้งเป้าในการ Re-Stock Landbank ด้วยงบ 10,500 ล้านบาท เพื่อมาต่อยอดการขยาย มุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อจะคงสัดส่วนการพัฒนาตามกลุ่มลูกค้าราคาบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาทให้ไม่เกิน 40% และมากกว่า 7 ล้านบาทให้มากกว่า 30% สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยที่จะเปิดใหม่ในปี 2567 จะยังคงมุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิด “อยู่ดี มีสุข” โดยผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจในเครือพฤกษาทั้งธุรกิจด้านสุขภาพ และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างสรรค์การอยู่อาศัยที่ดี ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เลือกใช้วัสดุอุปกรณ์เพื่อการประหยัดพลังงาน อาทิ โซล่าเซลล์ พัฒนาดีไซน์บ้านเพื่อสุขภาพดี และประหยัดพลังงาน (Healthy living home & Passive design home) ให้ดูแลรักษาง่าย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย (Universal design) และช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้อาศัย พร้อมด้วยการตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เพื่อให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น โดยนำแพลตฟอร์ม MyHuas  ซึ่งป็นเทคโนโลยี Smart Home ควบคุมการทำงานในบ้านได้ที่ปลายนิ้ว มาใช้  พร้อมด้วยมอบบริการเพื่อสุขภาพที่ดีจากโรงพยาบาลวิมุตพันธมิตรในเครือ   ด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ นายแพทย์พิชิต กังวลกิจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต จำกัด   เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2566 ว่า กลุ่มวิมุตมีการเติบโตขึ้นในทุกมิติ มีรายได้รวม 1,820 ล้านบาท เติบโต 50% จากปีก่อน มีจำนวนผู้ป่วย Non-COVID ที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาลวิมุตเพิ่มขึ้น 49%  ในปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลวิมุตประสบความสำเร็จในการเปิดศูนย์ส่องกล้องและหน่วยเฉพาะทางการเคลื่อนไหวระบบทางเดินอาหาร (ENDOSCOPY & GI MOTILITY UNIT)  ผลักดันการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคยากและซับซ้อนที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ เราได้เปิดตัวโปรแกรมการทำเลสิก (LASIK) และ โปรแกรมตรวจสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้เฉพาะบุคคล (Gut Microbiome Test) ร่วมกับแอมิลิ (AMILI) บริษัทเฮลท์เทคชั้นนำจากสิงคโปร์   มุ่งช่วยคนไทยเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยและการรักษาอย่างตรงจุด และยังช่วยให้แพทย์สามารถแนะนำการปรับสมดุลจุลินทรีย์ให้เหมาะกับคนไข้แต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการรักษาสมดุลของไมโครไบโอมในลำไส้ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรคร้าย รวมถึงสร้างสุขภาพกายและใจที่ดีในระยะยาว   นอกจากนี้โรงพยาบาลวิมุตยังคงต่อยอดความร่วมมือกับโรงพยาบาลรามาธิบดี  เพิ่มทางเลือกและการเข้าถึงบริการทางสุขภาพ 17 แพ็คเกจ อาทิ แพ็คเกจผ่าตัดถุงน้ำดี ผ่าตัดมดลูก เต้านม ก้อนเนื้อที่รังไข่ ซ่อมแซมไส้เลื่อน ผ่าตัดริดสีดวงทวาร เปลี่ยนข้อเข่าเทียม ผ่าตัดก้อนหรือผิวหนัง เป็นต้น พร้อมกับได้มีการขยายบริการไปยังกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มประเทศในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับปี 2567 กลุ่มวิมุตตั้งเป้ารายได้ที่ 2,300 ล้านบาท มีแผนการรีแบรนด์โรงพยาบาลเทพธารินทร์ ให้เป็น “โรงพยาบาลวิมุต เทพธารินทร์” พร้อมเปิดตัวในช่วงเดือนเมษายนนี้ นอกจากนี้จากความร่วมมือกับ เค.พี.เอ็น ซีเนียร์ ฮอสปิตัล กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุและเป็นโซลูชั่นในการดูแลผู้สูงอายุครบทุกมิติเพื่อขยายการรองรับสู่สังคมอายุยืน เข้าบริหารเนอร์สซิงโฮมของกลุ่มวิมุตในย่านบางนา แบริ่ง และวัชรพล ซึ่งมีจำนวนรวม 240 เตียง พร้อมโอกาสในการบริหารเนิร์สซิงโฮมอีก 5 แห่ง โดยตั้งเป้าขยายจำนวนเตียงที่ให้บริการรวม 600 เตียง ภายใน 3 ปี พร้อมทั้งยังคงดำเนินการก่อสร้างโรงพยาบาลวิมุต แห่งใหม่ บริเวณถนนสุขุมวิทและย่านฝั่งธนฯ อย่างต่อเนื่อง     “สำหรับการดำเนินงานในก้าวต่อไปพฤกษายังคงมุ่งมั่นสู่การสร้างความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญต่อการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ในปี 2566 กลุ่มได้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ลงได้ 10,000 ตัน จากการติดตั้งโซลาร์, การออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน (Passive Home),  การใช้เทคโนโลยี Smart Home, โครงการร่วมปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศน์, การใช้คอนกรีตสำเร็จรูปชนิดมีรูกลวง (Hollow Core) ลดการใช้ซีเมนต์,  การใช้เทคโนโลยีสีเขียว  “คาร์บอนเคียว”  (CarbonCure)  และยังคงเดินตามแผนที่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ภายในปี 2573 และเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ในปี 2593 ในปี 2566 กลุ่มได้นำการทำอาคารสำนักงานแบบ Smart Office และ Smart Hospital โรงพยาบาลที่ใช้พลังงานน้อย โดยล่าสุดโรงพยาบาลวิมุตได้รับรางวัล MEA Energy Award  จากการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ในโครงการส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารอีกด้วย” นายอุเทนกล่าวทิ้งท้าย   บทความน่าสนใจ แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว SC ASSET ตั้งเป้า5ปี 150,000 ล้าน ภายใต้แนวคิด “มหาศาล มั่นคง สมดุล“    
CHEWA เปิดแผนปี พร้อมลุยจุดแข็ง เสริมแกร่งด้วยพันธมิตร

CHEWA เปิดแผนปี พร้อมลุยจุดแข็ง เสริมแกร่งด้วยพันธมิตร

นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ยังเผชิญปัจจัยลบมากมาย ทั้ง GDP ของประเทศไทยที่คาดว่าจะโตเพียง 3.2% ในปี 2567 ,ระดับหนี้ครัวเรือนสูง แตะ 90% , ระดับความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำในทุกภาคส่วน ,อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูง ,นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เพียงพอ ประกอบกับการเติบโตหยุดชะงักจากสงครามยูเครนและตะวันออกกลางที่กำลังดำเนินอยู่ ปัจจัยทั้งหมดทำให้ความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น   ชีวาทัย ปัจจัยเหล่านี้ยังส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพราะเกณฑ์การจัดหาเงินทุนเพื่อลงทุนในโครงการใหม่มีความเข้มงวดมากขึ้น รวมถึงปัจจัยอื่นๆของตลาดที่อยู่อาศัย ในภาพรวมสะท้อนว่า กำลังซื้อตามไม่ทันปริมาณสินค้าใหม่ที่เกิดขึ้น ตลาดในกลุ่มทาวน์โฮมมีสินค้าเข้าสู่ตลาดมากกว่าความต้องการ จนทำให้เกิดสงครามราคาต่อเนื่องเพื่อลดสต๊อกสินค้าลง ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่กระทบกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น แต่บริษัทยังเห็นโอกาสการเติบโตของตลาดบ้านในช่วงราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท และตลาดของคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ในทำเลคุณภาพที่ราคาไม่แพงซึ่งเป็นจุดแข็งที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเสมอมา บริษัทยังคงค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และเปิดรับการร่วมลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯมีแผนการลงทุนและเปิดโครงการใหม่ เริ่มจากการเปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ชีวารมย์ โครงการ ชีวารมย์ นิว ราชพฤกษ์ อยู่บริเวณถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ (ถนนหมายเลข 346) มูลค่าโครงการประมาณ 687 ล้านบาท  ซึ่งเริ่มรับรู้รายได้แล้วในช่วงไตรมาสที่4 /2566 โครงการคอนโดมิเนียม “ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค เอกมัย-รามอินทรา” อยู่บริเวณถนนนวลจันทร์ ส่วนเชื่อมต่อถนนรัชดา-รามอินทรา มูลค่าโครงการ 1,014 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2025 นอกจากนี้ บริษัทฯยังวางแผนหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการเพิ่มเติม ตามเป้าหมาย 4 โครงการ ภายในปี 2567 มูลค่าโครงการรวม 3,700 ล้านบาท วงเงินค่าที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ประมาณ  600 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ แบรนด์ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ทั้ง 3 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวแบรนด์ชีวารมย์ 1 โครงการ มูลค่า 700 ล้านบาท โดยในปี 2567 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้ 2, 000 ล้านบาท จากโครงการเดิมที่ยังมี Backlog ทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง   บริษัทยังคงค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ บริษัททำการร่วมทุนในโรงงานให้เช่า โดยได้พันธมิตรที่สร้างโครงการให้ชีวาทัยมามากมายอย่างบริษัท ยูเวิร์ค 999 จำกัด หรือ U work มาเป็นหุ้นส่วนร่วมกัน ด้วยแนวคิดที่ตรงกันว่า ธุรกิจโรงงานให้เช่ามีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง   โดยทางชีวาทัย จะทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบงานด้านการจัดหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ,การตลาด, การขาย, การให้เช่า และดูแลการบริหารจัดการให้กับบริษัทร่วมทุน ส่วนทางยูเวิร์ค จะเป็นผู้รับผิดชอบพัฒนาโครงการ ในการก่อสร้าง ให้คำปรึกษา และ ให้บริการวิศวกรรมโครงสร้าง ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมประปา วิศวกรรมโยธา และนักตกแต่งภายใน ซึ่งเป็นการใช้จุดแข็งของทั้งสองบริษัทมาต่อยอดธุรกิจร่วมกัน โครงการมีการเริ่มต้นก่อสร้างแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายในโครงการนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ระยอง จำนวน 4 โรงงาน มูลค่าโครงการ 210 ล้านบาท คาดจะรับรู้รายได้ในไตรมาสที่3 ของปี 2567 พร้อมมีผู้เช่าเต็มจำนวนในปี 2568   นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ตกลงทำความร่วมมือขยายธุรกิจเพื่อต่อยอดแผนการลงทุน ภายใต้การร่วมทุนกับบริษัทนิปปอน สตีล โควะ เรียล เอสเตท จำกัด (NIPPON STEEL KOWA REAL ESTATE) หรือ NSKRE ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และที่อยู่อาศัยรวมถึงอาคารสำนักงานชั้นนำของญี่ปุ่น ที่มีประวัติยาวนานถึง 70 ปี เป็นการรวมตัวของโควะ เรียล เอสเตท หน่วยงานด้านอสังหาริมทรัพย์ของมิซูโฮ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป หนึ่งในกลุ่มธุรกิจการเงินที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และ นิปปอน สตีล ผู้นำด้านธุรกิจเหล็กของโลก โดยบริษัทฯ ถือหุ้น 51% และนิปปอน สตีล โควะ เรียล เอสเตท ถือหุ้น 49% เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน โดยโครงการแรกเป็นคอนโดมิเนียม “ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค เอกมัย-รามอินทรา” เป็นห้องพักจำนวน 413 ยูนิต และอาคารพาณิชย์ 2 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,014 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2025 และนอกจากโปรเจคนี้ ทางNSKRE ยังทำการศึกษาถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับการร่วมทุนในโครงการทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวต้องการที่จะต่อยอดไปไกลกว่าการพัฒนาที่อยู่อาศัย และมีส่วนร่วมในการพัฒนาในด้านอื่นๆอีกในอนาคต ด้านบริการหลังการขายและการดูแลลูกค้า ยังคงยึดมั่นด้านคุณภาพและบริการหลังการขาย จาก “ ชีวาแคร์ ” ยึดมั่นเป้าหมายขึ้นที่ 1 ในใจลูกค้าด้านคุณภาพและบริการ สำหรับกลุ่มบริษัทอสังหาฯ ช่วงรายได้ไม่เกิน 5 พันล้านบาท และยังคงเดินหน้ารักษาคุณภาพสินค้าให้ลูกค้าตรวจ Zero Defect ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าที่มาซื้อโครงการกับชีวาทัย ได้สิ่งที่ดีและมีคุณภาพสูงสุด ตั้งแต่บริการก่อนการขายตลอดจนถึงบริการหลังการขาย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดสู่ลูกค้าทุกคน ” นายบุญ ชุน เกียรติ กล่าว   บทความน่าสนใ ORI รวมพลังกลุ่มธุรกิจคอนโดสู่ “ORIGIN VERTICAL” กางแผนเปิด 14 โครงการใหม่มูลค่า 20,000 ล้าน ซีคอน มั่นใจปี 67 โต พร้อมขยายโรงงานผลิตโครงสร้างแห่งที่ 2  
ORI รวมพลังกลุ่มธุรกิจคอนโดสู่ “ORIGIN VERTICAL”  กางแผนเปิด 14 โครงการใหม่มูลค่า 20,000 ล้าน

ORI รวมพลังกลุ่มธุรกิจคอนโดสู่ “ORIGIN VERTICAL” กางแผนเปิด 14 โครงการใหม่มูลค่า 20,000 ล้าน

ออริจิ้น ปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจคอนโด รวมพลังและทีมงานมืออาชีพจากออริจิ้นคอนโดมิเนียม-พาร์ค ลักชัวรี-ออริจิ้น เนชั่นวายด์ สู่แบรนด์ “ORIGIN VERTICAL” กางแผนเปิด 14 คอนโดใหม่ทั่วประเทศ 20,000 ล้าน ส่งมอบ Creative Living for Allกระจายบุก3 เซ็กเมนท์หลัก ครอบคลุมตลาด Gen Y-Gen Z-เมืองท่องเที่ยวภูเก็ต พร้อมเดินหน้าคอนโดตอบโจทย์ Pet Family ต่อเนื่อง มุ่งมั่นรังสรรค์งานบริการผ่าน 4 แกน ตั้งเป้ายอดขายทั้งปี 36,000 ล้าน คุณเกรียงไกร กรีบงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม ถือเป็นกลุ่มธุรกิจแรกและกลุ่มธุรกิจหลักของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ แต่เมื่อออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างหลากหลาย จึงได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมให้ชัดเจนมากขึ้น รวมทีมงานจากทั้ง 3 บริษัทในเครือเข้าด้วยกัน และรวมศูนย์การสื่อสารภายใต้แบรนด์และชื่อบริษัทเดียว คือ บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL เพื่อยกระดับการบริหารการออกแบบ การก่อสร้าง และนวัตกรรมต่างๆ ตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า และเพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสารและการจดจำของผู้บริโภค โดยโครงการใหม่ๆ ที่จะพัฒนาต่อจากนี้ จะพัฒนาภายใต้ ORIGIN VERTICAL เท่านั้น ทิศทางการดำเนินงานของ ORIGIN VERTICAL จะขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด “Creative Living for All” หรือ สร้างสรรค์ชีวิต คิดเพื่อคุณ พัฒนาคอนโดมิเนียมที่คำนึงถึงทุกมิติของการใช้ชีวิต อาทิ ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย การปรับสมดุลชีวิต การพักผ่อน ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ นำมาสร้างสรรค์และถ่ายทอดผ่านการคัดเลือกทำเลพัฒนาโครงการ การออกแบบ ฟังก์ชัน นวัตกรรมภายในห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลาง ตลอดจนบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น ตู้เก็บเสื้อผ้าอัจฉริยะ หรือ Smart Closet ห้องครัวอัจฉริยะ หรือ Smart Kitchen รวมถึงออกแบบให้ห้องเพดานสูง 4.2 เมตร   โดยกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปี 2567 จะให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง ได้แก่ Insight วิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าด้านต่างๆ อาทิ ทำเล การใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ การลงทุน อย่างจริงจัง เพื่อออกแบบสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าโดยเฉพาะในทำเลนั้นๆ Initiative นำ Insight มาพัฒนาต่อยอด ริเริ่มฟังก์ชันใหม่ โปรดักต์ใหม่อย่างสร้างสรรค์ ตอบสนองทุกมิติของการใช้ชีวิต ตอกย้ำสถานะผู้นำตลาดคอนโดมิเนียม Implementation นำเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ มาช่วยยกระดับคุณภาพมาตรฐานของโครงการ ตลาดจนบริการต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิตของผู้คน จากกลยุทธ์ดังกล่าว กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมภายใต้ ORIGIN VERTICAL มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 2567 ทั้งสิ้น 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท นำร่องในครึ่งปีแรกจำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9,680 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯและปริมณฑล 3 โครงการ ได้แก่ ออริจิ้น เพลส แจ้งวัฒนะ (Origin Place Chaengwattana) ออริจิ้น เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ (Origin Place Taopoon Interchange) ดิ ออริจิ้น เศรษฐบุตร สเตชั่น (The Origin Setthabut Station) โดยทั้ง 3 โครงการเป็นคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ ภายใต้แนวคิด Origin Pet Family Condo ตอบสนองความต้องการและคุณภาพชีวิตของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง ขณะเดียวกัน มีโครงการในภูเก็ตอีก 2 โครงการ ได้แก่ โซ ออริจิ้น บางเทา บีช (So Origin Bangtao Beach) ออริจิ้น เพลส เซ็นเตอร์ ภูเก็ต (Origin Place Centre Phuket) การบุกตลาดในปีนี้ จะเน้นบุกผ่าน 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ ออริจิ้น เพลส (Origin Place) แบรนด์คอนโดมิเนียมที่ผสมผสานการตกแต่งแบบคลาสสิกและร่วมสมัยเข้าด้วยกัน มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นเยี่ยม ตอบสนองการพักผ่อนและการทำกิจกรรม ดิ ออริจิ้น (The Origin) แบรนด์คอนโดมิเนียมที่มาพร้อมกับหลากฟังก์ชัน เพื่อการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในราคาที่จับต้องได้ โซ ออริจิ้น (So Origin) แบรนด์คอนโดมิเนียมสไตล์บูทีค ที่ออกแบบให้ทุกพื้นที่ เติมเต็มทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ด้วยบริการระดับโรงแรม พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี พร้อมอยู่ ใจกลางทำเลย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ   เรื่องความยั่งยืน  บริษัทยังใส่ใจองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน อาทิ การติด Solar Panel ใน Sales Gallery โครงการใหม่ การเตรียมจุดชาร์จสำหรับติดตั้ง EV Charger การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่ทั้งสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ผ่าน Origin Give คาดว่าทั้ง 4 แบรนด์จะเข้าถึงตลาดทั้ง Gen Z, Gen Y ลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว ตลอดจนลูกค้าชาวต่างชาติ จากแผนงานดำเนินธุรกิจดังกล่าว ORIGIN VERTICAL ตั้งเป้าหมายยอดขายทั้งปี 2567 ไว้ที่ 36,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งโครงการ JV และ Non-JV รวมกันไว้ที่ 18,000 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1/2567 เตรียมจัดแคมเปญ Happiness Caravan ประกอบด้วย ดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี, ฟรี แต่งห้องสูงสุด 2 แสนบาทจาก Wyde Interior, ฟรี เครื่องใช้ไฟฟ้า, ฟรี ค่าใช้จ่ายวันโอน, ฟรี ค่าส่วนกลาง 1 ปี, ฟรี ค่ากองทุนแรกเข้า, ฟรี ขยายเวลารับประกันห้องอีก 1 ปี, ฟรี ทำความสะอาด 1 ปี, ส่วนลด Top Up สูงสุด 100,000 บาท เฉพาะผู้ซื้อโครงการในวันอังคารและวันอาทิตย์, พร้อมพบห้องยูนิตราคาพิเศษ ถึงวันที่ 31 มี.ค.67 นี้ โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด     บทความน่าสนใจ “ออริจิ้น” เปิดเมกะโปรเจกต์ “Origin Resort World” ภูเก็ต เขาใหญ่ มูลค่ารวม 11,000 ล้าน  
ซีคอน มั่นใจปี 67 โต พร้อมขยายโรงงานผลิตโครงสร้างแห่งที่ 2

ซีคอน มั่นใจปี 67 โต พร้อมขยายโรงงานผลิตโครงสร้างแห่งที่ 2

ซีคอน  ดึงแนวคิด ESG เข้ามาใช้สร้างสรรค์แผนธุรกิจในปี 2567 เพื่อปูทางสู่ความยั่งยืน  ประกาศพลิกโฉมธุรกิจด้วยกลยุทธ์ SEACON FAST FORWARD ให้เป็นได้ยิ่งกว่าธุรกิจรับสร้างบ้านแบบ Beyond Thinking ติดปีกต่อยอดเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจให้เติบโตกว่าตลาดอย่างมั่นคงและยั่งยืน         นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด เปิดเผยว่า กลยุทธ์ SEACON FAST FORWARD ที่ซีคอนจะให้เป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจในปีนี้นั้นฟ ผสานไปด้วยมิติต่างๆ ที่จะนำสู่ความสำเร็จ ได้แก่ มิติการขับเคลื่อยองค์กรสู่ความยั่งยืนด้วยแนวคิด E-S-G  มิติการนำความเชี่ยวชาญในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้านของไทยมาต่อยอดสู่การพัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อเติมเต็มความต้องการของตลาด และมิติในการพัฒนาศักยภาพทีมซีคอนให้พร้อมสู่การขับเคลื่อนองค์กรที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ให้พร้อมส่งมอบบริการอันเป็นเลิศแก่ลูกค้า ซึ่งทุกมิติจะถูกดำเนินการไปพร้อมๆ กัน เพื่อสร้างให้ซีคอนเป็นได้มากกว่าบริษัทรับสร้างบ้าน สอดรับกับบริบทของสังคมและความต้องการของผู้บริโภคทั้งกลุ่ม B2C และ B2B ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน   ยังคงสานต่อ 3 กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจจากปี 2566 สู่ปี 2567 ซีคอนยังคงยึด 3 กลยุทธ์หลักเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2567 ประกอบด้วย กลยุทธ์ด้านความยั่งยืน (Sustainability) ภายใต้แนวคิด E-S-G, กลยุทธ์การแสวงหาฐานลูกค้ากลุ่มใหม่รวมทั้งพัฒนาโปรดักส์ใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และกลยุทธ์ด้านการตลาดยุคใหม่ที่ผสานความสมดุลระหว่างออนไลน์และออฟไลน์อย่างลงตัว เพื่อคงฐานลูกค้ากลุ่มเก่าไว้ในขณะเดียวกับก็สามารถเจาะเข้าถึงฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ในเวลาเดียวกัน โดยทั้ง 3 กลยุทธ์ดังกล่าวนี้ ซีคอนได้เริ่มใช้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้แก่องค์กรได้อย่างแท้จริง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจที่หลายฝ่ายเชื่อว่าอยู่ในช่วงขาลง แต่ซีคอนก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างดี โดยสร้างยอดขายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา   ในปี 2567 ซีคอน ตั้งเป้าอัตราการเติบโตไว้ประมาณ 10-15% ซึ่งปัจจัยแรกที่ทำให้เติบโตคือการเพิ่มความเข้มข้นในเรื่องการพัฒนาเพื่อให้เกิดความยั่งยืนของธุรกิจ (Business Sustainability) ด้วยกลยุทธ์ ESG ที่องค์กรต้องคำนึงถึงการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (E-Environment) และสังคม (S-Social)  รวมถึงการวางระบบ กำกับกิจการที่ดี (G-Governance)    ตลอดจนการนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)  โดยคำนึงถึงการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล ผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ แบบองค์รวม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ความไว้ใจ และความสามารถในการประกอบการกิจการในฐานะที่เป็นบริษัทผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้านรายแรกของประเทศไทย พร้อมกับประสบการณ์ที่มีมากกว่า 63 ปี สร้างบ้านมากกว่า 25,000 หลัง ทั้งยังเป็นบริษัทรับสร้างบ้านรายเดียวที่ยืน 1 ในเรื่องของการสร้างบ้านที่มีคุณภาพมาโดยตลอด อีกทั้งยังสร้างบ้านจากความฝันของลูกค้าให้กลายมาเป็นบ้านจริงที่สมบูรณ์แบบได้ ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลจึงเป็นการสร้างความมั่นใจในเรื่องของ branding ได้เป็นอย่างดี   การผสานการตลาดแบบออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างสมดุล ปัจจุบันฐานลูกค้าในออนไลน์ของ  ซีคอนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในทุกปีและสามารถแปลงมาเป็นยอดขายได้เป็นอย่างน่าพอใจ สอดคล้องกับการเติบโตของยอดขายในกลุ่มตลาดออฟไลน์ ที่ซีคอนได้จัดกิจกรรมการตลาดและส่งเสริมการขายเพื่อเจาะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพโดยตรง ซึ่งในไตรมาสแรกของปี 2567ซีคอนจะร่วมออกบูธใน 2 งานใหญ่ ประกอบด้วย  งานรับสร้างบ้าน และวัสดุ Focus 2024 จัดขึ้นในวันที่ 17 – 25 กุมภาพันธ์ 2567 ที่อิมแพ็ค ฮออล์ 8 เมืองทองธานี  และงานบ้านและสวน Select 2024 จัดขึ้นในวันที่ 23 – 31 มีนาคม 2567 ที่ไบเทค บางนา   การนำความเชี่ยวชาญในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้านของไทยมาต่อยอดสู่การพัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อเติมเต็มความต้องการของตลาด นำร่องในปี 2567 ด้วยการประกาศสร้างโรงงานผลิตโครงสร้างชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูปแห่งที่ 2 ที่ลำลูกกา คลอง 12 บนเนื้อที่กว่า 26 ไร่ ยังเป็นธงสำคัญในการขยายตัว และขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว และก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องแบบ Fast Forward มีกำลังการผลิตได้สูงถึง 120,000 ชิ้นต่อปี  นอกจากโรงงานแห่งที่ 2 จะสามารถรองรับลูกค้าที่จองสร้างบ้านกับซีคอน และซีคอน ไอดีแล้ว โรงงานดังกล่าวยังสามารถรองรับลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ ลูกค้าบ้านเดี่ยว ลูกค้ากลุ่มธุรกิจรีสอร์ทหรืออพาร์ทเม้นท์ ฯลฯ ได้อีกด้วย       ตามมาด้วยการประกาศร่วมทุน (Joint Venture) กับบริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด ด้วยการนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจรับสร้างบ้านมาสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า และสุดท้ายกับการเปิดตัว 6 แบบบ้านใหม่ที่พัฒนาแบบภายใต้แนวคิด Greenery SEACON ด้วยหัวใจหลักของการพัฒนาที่เน้นการนำธรรมชาติมาเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่ปัจจุบันมีพื้นที่จำกัดท่ามกลางมลภาวะรอบด้านของเมืองในปัจจุบัน ผ่านทาง courtyard หรือลานกลางบ้านที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวเอเชีย ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์และ         จินตนาการของเจ้าของบ้านเองปิดกั้นจากความวุ่นวายภายนอก นอกจากจะให้ความสงบบริเวณใจกลางบ้านแล้ว ลานดังกล่าวยังทำหน้าที่เป็นพื้นที่ถ่ายเทอากาศและรับแสงธรรมชาติ ทั้งยังเป็นจุด view point ของห้องสำคัญทุกห้องภายในบ้านอีกด้วย   บทความที่น่าสนใจ “ซีคอน” รีแบรนด์ครั้งที่ 4 จับตลาดคนรุ่นใหม่ สร้างยอดขาย 1,480 ล้าน  
“แอสเซทไวส์” ลุยศึกอสังหา ปี 2567   เปิด 12 โครงการใหม่ และธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์  

“แอสเซทไวส์” ลุยศึกอสังหา ปี 2567  เปิด 12 โครงการใหม่ และธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์  

แอสเซทไวส์ หรือ ASW  เผยแผนธุรกิจชู 3 กลยุทธ์หลัก “Execute / Expand / Explore” มุ่งนำธุรกิจเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง ด้วยแนวคิด “THE NEW FRONTIERS” ลุยเปิด 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 25,920 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 17,800 ล้านบาท และรุกแผนเปิดโครงการแนวราบ รวมถึงขยายทำเลครอบคลุมกรุงเทพฯ EEC และภูเก็ต เสริมแกร่งด้วยธุรกิจใหม่เพิ่มรายได้ต่อเนื่อง ทั้งคอมมูนิตี้มอลล์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์  และธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพ พร้อมปรับทัพผู้บริหารขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตแข็งแกร่งรับทุกสถานการณ์ นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “ASW” เปิดเผยว่า ปี 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ดีของแอสเซทไวส์ โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น คอนโดมิเนียม, บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และบ้านระดับลักชัวรี เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าในหลากหลายเซ็กเมนต์ บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเฉพาะ จ.ภูเก็ต  ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมรวม 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 30,260 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้เดิม 12 โครงการ และสามารถทำยอดขายปี 2566 ได้ถึง 16,486 ล้านบาท สูงทะลุเป้าที่วางไว้ ซึ่งเติบโตกว่า 16% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา   “สำหรับทิศทางอสังหาฯ ในปี 2567 นี้ แอสเซทไวส์ยังคงเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง โดยปี 2567 ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่า 25,920 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 9 โครงการ และ แนวราบ 3 โครงการ พร้อมตั้งเป้าหมายยอดขายอยู่ที่ 17,800 ล้านบาท เติบโตประมาณ 8% จากปี 2566  และเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 8,700 ล้านบาท  ซึ่งจะขับเคลื่อนด้วยแนวคิด “THE NEW FRONTIERS” กับการพัฒนาแอสเซทไวส์ให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงในทุกมิติ โดยบูรณาการ 3 กลยุทธ์หลักซึ่งประกอบไปด้วย สำหรับพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ที่ภูเก็ต  THE TITLE ภายใต้บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ “TITLE” ในเครือแอสเซทไวส์ ซึ่งล่าสุดได้เปิดขายโครงการ เดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา ในช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา มียอดขายรวมแล้วกว่า 80%  เพื่อต่อยอดความสำเร็จ  ในปี 2567 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัว 3 โครงการใหม่ ได้แก่ โครงการเดอะ ไทเทิล เฮอริเทจ บางเทา มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท  โครงการเดอะ ไทเทิล เซเรนิตี้ ในยาง มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท  และ โครงการเดอะ ไทเทิล ราไวย์  มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้ร่วมลงทุนพัฒนาโครงการ โบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว (BOTANICA Grand Avenue) ลักชัวรี่พูลวิลล่าที่เป็นเมกะโปรเจ็คต์ มูลค่าสูงถึง 13,000 ล้านบาท ในสัดส่วน 30% ทำให้พอร์ตอสังหาฯ ในภูเก็ตของแอสเซทไวส์มีความครบเครื่องมากยิ่งขึ้น มีโปรดักต์ครอบคลุมทั้ง Leisure คอนโดมิเนียม และวิลล่าระดับลักชัวรี สำหรับการหารายได้ประจำสมำเสมอต่อเนื่อง ทางธุรกิจและการลงทุนใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อเป็นการสร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income)  ประกอบด้วยธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ ภายใต้โครงการ Mingle Mall ที่ประกอบไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารต่าง ๆ , Well Aesthetic & Wellness Center  พื้นที่เช่าสำหรับผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจประเภทศูนย์สุขภาพและคลินิกด้านความงาม บนใจกลางย่านรัชดาภิเษก ล่าสุดกับ มิงเกิ้ล สปอร์ต วิลเลจ (Mingle Sport Village at Rangsit) ศูนย์กีฬาในร่มเอาใจสายรักสุขภาพ รวมถึง Rocket Fitness  บริหารงานของ “บริษัท เทรเชอร์ เอ็ม จำกัด” ในเครือแอสเซทไวส์ รวมถึง ZAAP World ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอนเสิร์ตและอีเวนท์ต่าง ๆ  ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่จะเข้ามาเติมเต็ม และเสริมความแข็งแกร่งด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของแอสเซทไวส์อีกด้วย พร้อมกันนี้ แอสเซทไวส์ยังมีโครงการที่สร้างเสร็จใหม่พร้อมโอนในปี 2567 อีกจำนวน 9 โครงการ ซึ่งแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม จำนวน 7  โครงการ มูลค่ารวมกว่า 9,557 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 2 โครงการ และปัจจุบัน บริษัทฯ มียอด Backlog อยู่ ถึง 19,500 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนโครงการในกรุงเทพและปริมณฑล จำนวน13,700 ล้านบาท โครงการในทำเล EEC จำนวน 1,800 ล้านบาท และโครงการในภูเก็ตอีกกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2567 ต่อเนื่องไปถึงปี 2569 บทความน่าสนใจ AssetWise เข้าถือหุ้น 57% TITLE “รุกตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต” สร้างรายได้ 10,000 ล้านบาทใน 3 ปี แอสเซทไวส์  กวาดยอดขายไตรมาสแรกเกือบ  3,500 ล้าน ลุยต่อเปิด 3 โครงการใหม่  
SC ASSET ตั้งเป้า5ปี 150,000 ล้าน ภายใต้แนวคิด “มหาศาล มั่นคง สมดุล“

SC ASSET ตั้งเป้า5ปี 150,000 ล้าน ภายใต้แนวคิด “มหาศาล มั่นคง สมดุล“

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา SC ทำยอดขายนิวไฮ 4 ปีต่อเนื่อง ต่อไปทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในระยะเวลา 5 ปี จากนี้ (2567-2571)  คาดว่าจะสร้างรายได้รวมกว่า 150,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากหลากหลายธุรกิจทั้งในส่วนของ อสังหาฯที่อยู่อาศัย โรงแรม และคลังสินค้า ภายใต้แนวคิด “มหาศาล  มั่นคง สมดุล”   SC ASSET ธุรกิจบนความหลากหลายเริ่มจาก  มหาศาล การสร้างรายได้รวม (portfolio revenue) รวม 5 ปี (2567-2571) จากหลากหลายธุรกิจที่คาดว่าจะทำรายได้มากกว่า 150,000 ลบ. สำหรับเป้าหมายและแผนธุรกิจในปี 2567 คาดการณ์จะทำยอดขายนิวไฮ 28,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็น โครงการแนวราบ 65% และโครงการแนวสูง 35% โครงการเพื่อขายทั้งสิ้น 86 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 91,000 ล้านบาท เป็นการเปิดโครงการใหม่รวม 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 30,000ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบ15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 25,000 ล้านบาท โดยมีไฮไลท์เป็นแบรนด์ใหม่ชื่อ “คอนนาเซอร์” (Connoisseur) ราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท และบ้านไลฟ์สไตล์เฉพาะ และโครงการใหม่แนวสูง 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “เรฟเฟอเรนซ์” (Reference) มั่นคง : ลงทุนอย่างเหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน D/E น้อยกว่า 1.5 สมดุล : ส่วนผสมกำไร จากธุรกิจที่หลากหลาย โดยมีกำไรจากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (engine 2) มากกว่า 25%ในส่วนธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ มาจาก 4 ธุรกิจหลัก แบ่งเป็น 1.อาคารสำนักงานให้เช่า มีพื้นที่เช่ารวม 120,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) จากอาคารสำนักงานรวม 6 อาคาร 2.โรงแรม มีจำนวนห้องพักรวม 545 ห้อง จากโรงแรม 3 โครงการ โดยเปิดแล้วที่ “YANH ราชวัตร” ขนาด 78 ห้องและกำลังจะเปิดปลายปี 2567 นี้ “ครอโม” (Kromo) ทำเลสุขุมวิท 29 บริหารโดย CurioCollection by Hilton จำนวน 306 ห้อง และเปิดต้นปี 2568 ในทำเลพัทยา จำนวน 161 ห้อง 3.คลังสินค้า มีพื้นที่เช่ารวม 160,000 ตร.ม. จากคลังสินค้ารวม4 โครงการ ดำเนินการแล้วที่ทำเลนครสววรค์พื้นที่ 16,000 ตร.ม. กำลังจะเปิดในปี 2567 นี้และปี 2568 อีก 144,000 ตร.ม. ใน 3 ทำเลคือ บางนา กม.20, บางนา กม.22 และแหลมฉบัง และยังมีการร่วมลงทุนกับสตอเรจเอเชีย บุกตลาด Self Storageภายใต้แบรนด์ “i-Store” 4.อสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าในสหรัฐอเมริกา มีห้องพักรวม78 ห้อง ใน 4 ทำเลใจกลางเมืองบอสตัน   ในส่วนของภารกิจ SCeroMission ดำเนินธุรกิจอย่างใส่ใจสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการออกแบบ สร้าง ใช้ ทิ้ง จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก 25% ในปี 2573 ที่ผ่านมาองค์กรได้มีการติดตั้ง Solar Roof บริเวณอาคารสำนักงาน และโครงการบ้าน ติดตั้ง EV Charger ณ อาคารสำนักงาน และคอนโดมิเนียม เปลี่ยนหลอดไฟ LED เปลี่ยนระบบทำความเย็น ในอาคารสำนักงาน ช่วยลด GHG ได้กว่า 1,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี 2565-2566 และตั้งเป้าหมายว่าจะลดก๊าซเรือนกระจก 15% จากการดำเนินงานตามปกติ ในปี 2567 นายณัฐพงศ์ กล่าวสรุปอย่างมั่นใจว่า “SC พร้อมและมุ่งมั่นสำหรับการเติบโตในทศวรรษที่ 3 ตามวิสัยทัศน์ SC the Evolution เติบโตด้วยการปรับตัวตามบริบท เติบโตด้วยการสร้างคุณค่าสู่คนและโลก เติบโตด้วยธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม คลังสินค้า ออฟฟิศ”   บทความน่าสนใจ SC เปิดบ้านหรูซีรีส์ใหม่ “อยู่แบบใหม่ แบบสับ” bangkok boulevard signature westgate Grand Bangkok Boulevard พระราม 9 กรุงเทพกรีฑา โครงการ Modern Luxury เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น  
สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล  เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต”

สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต”

สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล  จับมือ 2 ดีเวปลอปเปอร์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  อสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของไทยและ บริษัท ซีจี แคปปิตอล จำกัด  บริษัทบริหารการลงทุนจากตระกูลจิราธิวัฒน์ในรูปแบบกองทุน Private Equity ที่เจาะกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวโครงการ “THE STANDARD RESIDENCES”   ที่พักอาศัยรูปแบบbranded residences บนทำเลสุดฮอตกับ 2 เมืองท่องเที่ยวระดับโลก ได้แก่เดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์หัวหิน โครงการbranded residences แห่งแรกในเอเชีย กับทำเลบีชฟร้อนท์และเดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์ภูเก็ตบางเทา ย่านที่ฮอตที่สุดในภูเก็ต ตอบโจทย์ทั้งการใช้ชีวิตอยู่อาศัยเองและซื้อไว้เป็นฮอลิเดย์โฮมด้วยดีไซน์ทันสมัย แปลกใหม่ และมาตรฐานที่ไม่เหมือนใครในแบบฉบับของ เดอะ สแตนดาร์ด มูลค่าทั้ง 2 โครงการรวมกว่า 8,500 ล้านบาท คุณอมาร์ ลัลวานี่ ประธานกรรมการบริหาร Standard International กล่าวว่า Standard International บริษัทเครือไลฟ์สไตล์โฮเทลระดับโลกและเป็นบริษัทแม่ของเครือโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด  ซึ่งก่อตั้งมากว่า 25 ปีด้วยเอกลักษณ์ ตัวตน เปิดตัวโรงแรมแห่งแรกในฮอลลีวูด รวมทั้งปักหมุดเปิดให้บริการในทำเลสำคัญทั่วโลกได้แก่ นิวยอร์ก, ไมอามี่, ลอนดอน, อิบิซา, มัลดีฟส์, หัวหิน และกรุงเทพมหานครที่เป็นแฟล็กชิพของเอเชีย อย่าง The Standard, Bangkok Mahanakhon   โดยโครงการ The Standard Residences จะหยิบยกเอาจุดเด่นด้านดีไซน์ของโรงแรม The Standard ไม่ว่าจะเป็น ห้องนั่งเล่นที่ดูสนุกสนาน การผสมผสานโทนสี การเลือกสรรวัสดุ และเตียงนอนที่นุ่มสบาย มาต่อยอดกับบริการอันเป็นเอกลักษณ์  และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสร้างประสบการณ์พักผ่อนที่แตกต่าง ตลาด branded residences ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตถึง 216% ด้วยโลเคชั่นที่มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น The Standard Residences จึงไม่จำกัดเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลักแต่ยังเล็งการขยายตัวไปยังเมืองที่มีศักยภาพในการเติบโตและมีเอกลักษณ์โดดเด่น ยกตัวอย่างเช่น บาหลี สิงคโปร์หรือ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น   ทั้งนี้คุณอมาร์ มีความเชื่อมั่นว่า ทั้ง 2 โครงการใหม่ อย่าง The Standard Residences, Hua Hin โดย แสนสิริ และ The Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่ได้ ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity  จะเพิ่มมูลค่าของ branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard มั่นใจว่า 2โครงการนี้จะสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ   คุณอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  แสนสิริ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 40ในฐานะบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์พัฒนามาแล้วรวมกว่า 500 โครงการ ทั้งนี้แสนสิริพัฒนาโครงการรีสอร์ทคอนโดมิเนียม(รวม The Standard Residences, Hua-Hin) ในหัวหินมาแล้วจำนวนรวม 25 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 31,000 ล้านบาท โดย 22 โครงการ Sold out (ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว)   คุณอุทัยกล่าวว่า หัวหินเป็นตลาดที่มีโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจสูง เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ในปี 66 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในหัวหิน 9 ล้านคนและคาดว่าในปี 67จะมีมากขึ้นกว่าเดิมด้วยมาตรการผ่อนปรนต่างๆ ส่งผลให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัย Resort home เป็นบ้านหลังที่ 2 มากขึ้น ทั้งซื้อเพื่ออยู่เองเพื่อการลงทุนของชาวไทยและต่างชาติรวมทั้งปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่กำลังพัฒนา ด้านระบบคมนาคม รวมถึงการผลักดันของภาครัฐให้หัวหินเป็น World Class City of Relaxation ศูนย์กลางของด้าน Wellness และ Medical Tourism Hub การขยายสนามบินเพื่อรองรับไพรเวทเจ็ทของนักท่องเที่ยวกลุ่มลักซ์ซัวรี่และการตั้งเป้าให้หัวหินเป็นสมาร์ทซิตี้ที่มีความทันสมัยและปลอดภัยและที่สำคัญ The Standard Residences, Hua Hin นับเป็นโปรเจกท์ไฮไลท์ของแสนสิริในปีนี้โดยมีมูลค่าโครงการรวม 4,500 ล้านบาทและเป็น Beachfront branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard แห่งแรกในเอเชีย และมีกำหนดเปิดตัวเป็นแห่งที่ 3 ของโลก โครงการตั้งอยู่บนไพร์มโลเคชั่นบนที่ดินหายากติดหาดหัวหิน ที่สามารถพัฒนาโครงการใหญ่แบบฟรีโฮลด์ได้มาพร้อมกับไฮไลท์ Beachfront Pool Villa สุด Rare ราคาแตะ 100 ล้านบาท เพียง 2 ยูนิตเท่านั้น โดดเด่นด้วย programming experience ที่ยกระดับประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสไปกับ experience facilities ที่มีให้เฉพาะลูกบ้านของเรสซิเดนซ์เท่านั้นเพื่อสุดยอดประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่ฉีกกรอบทุกการพักผ่อนอาทิ pickle ball court, the mud lounge, salt sauna และ experience shower จำนวน 245 ยูนิตบนพื้นที่ขนาด9 ไร่เริ่มตั้งแต่ 1 ห้องนอน ขนาด 40-65 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด77-120 ตารางเมตร, 3 ห้องนอน ขนาด107-153 ตารางเมตรและBeachfront Pool Villa สุด Rare ขนาด 220 ตารางเมตร ทั้งนี้โครงการพร้อมเปิดให้ชม sales gallery ครั้งแรกวันที่ 23-24 มีนาคม 2567 นี้และพร้อมเข้าอยู่ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2569 คุณภูมิ จิราธิวัฒน์กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีจี แคปปิตอลจำกัด กล่าวว่า ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity ในเครือเซ็นทรัล ได้จัดตั้ง กองทุนแรกในมูลค่า 10,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวลงทุนหลักได้แก่ 1. ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 2. ธนาคารชั้นนำ 3. นักลงทุนสถาบันระดับโลกซึ่งมีแผนที่จะลงทุนทั้งในส่วนโรงแรม คอนโดมิเนียม สวนสนุกสวนน้ำ และโครงการมิกซ์ยูส ที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นในเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศได้แก่ กรุงเทพมหานครภูเก็ต สมุย และพัทยา โดยคาดว่าจะลงทุนปีละ 3-5 โครงการ   ยิ่งสำคัญ ภูเก็ต เมืองท่องเที่ยวอันโด่งดังติดอันดับ1 ใน 10 ของโลก และยังได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ Workation อันดับ 10 ของโลก หลังช่วงโควิดในปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตแล้วกว่า 11 ล้านคน ทำให้มีการเล็งเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทจากหลายผู้ประกอบการมากที่สุดในเมืองไทยประกอบกับโดยมีโรงเรียนนานาชาติถึง 13 แห่ง และโรงพยาบาลระดับไฮเอ็นด์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของคอนโดมิเนียมในภูเก็ตเพิ่มขึ้นถึง 113% โครงการ The Standard Residences Phuket Bang Tao ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดในย่านที่เป็นไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์ของภูเก็ต อย่างย่านบางเทา การเดินทางจากกรุงเทพฯเพียง 3 ชั่วโมงโดยเครื่องบิน โครงการเดินทางจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตเพียง 25 นาที   พื้นที่ของโครงการทั้งหมดมีขนาด 19 ไร่โดยแบ่งเป็น 3 โปรเจค เริ่มจากThe Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่มีขนาด 12 ไร่ และ โรงแรมเดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา(The Peri Hotel Phuket Bang Tao) รวมถึง F&B Concept ใหม่ล่าสุดจากThe Standard ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันอีก 7 ไร่   ทั้งนี้ตัวโครงการ branded residences ประกอบด้วยอาคาร7 ชั้นรวมแล้ว6 อาคารมีจำนวนห้องทั้งหมด 188 ยูนิตโดยออกแบบให้เป็นห้องตกแต่งพร้อมเฟอร์นิเจอร์เริ่มตั้งแต่1 ห้องนอนขนาด 75 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด 100-120 ตารางเมตร, 3 ห้องนอนขนาด167-172 ตารางเมตร และห้องดูเพล็กซ์สุดหรู ขนาด 301–313 ตารางเมตร โครงการให้บริการพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลาดหลายอาทิ โคเวิร์คกิ้งสเปซ, โซนเกมส์, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำความยาว25 เมตร, สระว่ายน้ำเด็ก และสปา เป็นต้นพร้อมบริการอื่น ๆ ตามมาตรฐานโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ดรวมถึงมีพนักงานดูแลอำนวยความสะดวกตลอด24 ชั่วโมง และบริการรถรับ-ส่งไปยังชายหาดบางเทา ทั้งนี้ The Standard Residences, Phuket Bang Tao เตรียมเปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้นที่ 11.9 ล้านบาท รวมถึงเปิดsales gallery ครั้งแรกในเดือนเมษายนปี 2567 และพร้อมเข้าอยู่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2569   บทความน่าสนใจ เปิดตัว CG Capital บริษัทบริหารกองทุน โดยตระกูลจิราธิวัฒน์ เจาะตลาดอสังหาฯ โรงแรม ในเมืองท่องเที่ยว แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว  
แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว

แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ในปี 2567 ถือเป็นปีแห่งการเติบโตที่สำคัญที่ แสนสิริ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 40 ถือเป็นการก้าวต่ออย่างมั่นคงจากปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถ เปิดตัวโครงการใหม่ 44 โครงการ มูลค่ารวมสูงถึง 65,000 ล้านบาท สร้างสถิติใหม่ ALL-Time High เติบโตจากปีก่อนหน้า 50% และโตขึ้นจากช่วงเกิดโควิดถึง 10 เท่า ครอบคลุมทุกโปรดักต์ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ทุกเซ็กเมนต์ระดับราคารองรับทุกความต้องการ และครอบคลุมในทุกทำเล เจาะกลุ่มที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยจริง  เดินหน้าปรับโครงสร้างเพื่อมุ่งทรานฟอร์มองค์กร แต่งตั้งคนรุ่นใหม่เสริมทัพบริหาร สร้างการเติบโตสู่ทศวรรษใหม่ ตามวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ชั้นนำของประเทศไทย นำเสนอทั้งผลิตภัณฑ์และบริการด้านการอยู่อาศัยที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างครบวงจร และสร้างประโยชน์อย่างยั่งยืนแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย แสนสิริกางแผนปี 67 แสนสิริกางแผนปี 67 พร้อมมอบกลับคืนสู่สังคม สนับสนุนลดความเหลื่อมล้ำ ตอบโจทย์ภาพใหญ่ที่สอดคล้องกับนโยบายการยกระดับการเข้าถึงการศึกษาภาคบังคับ ได้มีการลงนามร่วมมือกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเป็นระยะเวลา 3 ปี สร้างราชบุรีโมเดล กับโครงการ “Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” โดยแสนสิริสนับสนุนเงินทุน 100 ล้านบาท นำร่องที่ราชบุรี ให้เป็นจังหวัดต้นแบบ ตั้งเป้าช่วยเด็กหลุดจากการศึกษาเป็นศูนย์ในปี 2567 ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก ที่สำคัญเราไม่มีธุรกิจในพื้นที่ จึงไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน   นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริ ยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดทำแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาด อาทิ งาน Museum of YOU ที่จัดขึ้นเมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลให้แสนสิริสร้างยอดขายในปี 2566 ได้ 49,000 ล้านบาท ในขณะที่ยอดโอน (รวมโครงการร่วมทุน) อยู่ที่ 39,000 ล้านบาท และสามารถ Sold Out ได้ถึง 28 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 51,000 ล้านบาท   สำหรับโครงการที่เปิดตัวมีทั้งการต่อยอดความสำเร็จแบรนด์นาราสิริและบูก้าน ในกลุ่ม Sansiri Luxury Collection ตลอดจนการรีเฟรชแบรนด์เศรษฐสิริและดีคอนโด ส่วนการเปิดตัวโครงการแนวสูงนั้น ก็มีการเปิดตัว “ดีคอนโด” ซีรีส์ใหม่ 6 โครงการ 6 ทำเลศักยภาพ ทั่วประเทศ รวมมูลค่าโครงการกว่า 6,300 ล้านบาท เจาะทำเลคอมมูนิตี้ใหญ่ ใกล้มหาวิทยาลัยและแหล่งงาน ทั้งในกรุงเทพฯ หาดใหญ่ และภูเก็ต รวมถึงการกลับมาของคอนโดมิเนียมระดับบน ได้แก่ ชูช์ ราชเทวี และเวีย อารีย์ ตลอดจนคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่   สำหรับปี 2567 นี้ แสนสิริ วางแผนเปิดตัวรวม 46 โครงการ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ และตลาดต่างจังหวัด โดยเพิ่มสัดส่วนของโครงการบ้านลักซ์ชัวรี่มากขึ้น  และตั้งเป้ายอดขาย 52,000 ล้านบาท และยอดโอนที่ 43,000 ล้านบาท เริ่มจากกลุ่มธุรกิจแนวราบ วางแผนเปิดตัวรวม 26 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท โครงการที่เป็นไฮไลท์ในปีนี้ ประเดิมด้วยกลุ่ม Sansiri Luxury Collection 2 โครงการ ได้แก่ บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ‘นาราสิริ บางนา กม. 10’ มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท ราคา 45 – 70 ล้านบาท รวมถึงต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ กับการเปิดตัวเศรษฐสิริรวม 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,400 ล้านบาท   เศรษฐสิริ วัชรพล - เทพรักษ์โครงการใหม่ สไตล์ Georgian ใกล้ทางด่วน ใจกลางวัชรพล มูลค่า 2,700 ล้านบาท และลุยต่อตลาดอสังหาฯ ระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่และลักซ์ชัวรี่ ผ่านการเปิดตัวสราญสิริรวม 6 โครงการ มูลค่ารวม 9,100 ล้านบาท กับจุดขายบ้านเดี่ยวหลังแรกของครอบครัว และอณาสิริรวม 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,100 ล้านบาท เพื่อส่งมอบโปรดักส์อย่างครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม พร้อมกันนี้ แสนสิริจ่อคิวขยายพอร์ตแนวราบ เตรียมเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ‘ณริณสิริ’ (Narinsiri) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับพรีเมียมโครงการแรก ‘ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา’ มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท และ ‘มาเบิล’ (Mabel) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับราคาเข้าถึงง่ายประมาณ 5-7 ล้านบาท กับ ‘มาเบิล บางนา 26’ มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท   สำหรับกลุ่มธุรกิจแนวสูง แสนสิริเคาะแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียม 20 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท พร้อมสานต่อกลยุทธ์ความสำเร็จในปีที่ผ่านมา รุกแผนขยายการเปิดตัวโครงการใหม่ เน้นขยายการลงทุนไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น โดยมีไฮไลท์ดังนี้ เริ่มจากกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ขึ้นไป ได้แก่ การเปิดขาย ‘เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน’ มูลค่าโครงการ 4,100 ล้านบาท Branded Residence แห่งแรกในเอเชียและแห่งที่ 3 ของโลก ภายใต้เดอะ สแตนดาร์ด แบรนด์บูทีคโฮเทลและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลก และการเปิดตัวเวีย 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท บนสุดยอดทำเลศักยภาพที่มีดีมานด์ แต่ซัพพลายน้อย ในย่านสุขุมวิท 34 และ 61  ตลอดจนการลุยต่อตลาดคอนโดมิเนียมราคาเข้าถึงง่าย อย่างแบรนด์แคมปัสคอนโด กับการเปิดตัวดีคอนโดรวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท และการพัฒนาโครงการคอนโดในกลุ่มแบรนด์เดอะ มูฟและคอนโดมีอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น เราได้เตรียมความน่าตื่นเต้นครั้งใหม่ กับการ รีเฟรชแบรนด์ เดอะ เบส เพื่อรองรับการเปิดตัวในปีนี้รวม 3 โครงการ มูลค่าราว 4,500 ล้านบาท” นายอุทัย กล่าว แสนสิริยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าในพันธกิจสีเขียว ตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) ผ่านการขับเคลื่อน 4 แก่นสำคัญคือ ‘Process-Product-Partner-Investment’ และอีกหนึ่งแผนงานที่สำคัญคือการส่งมอบทุกโครงการใหม่ของแสนสิริด้วยนวัตกรรมบ้านสีเขียว หรือ Green Living Designed Home โดยเริ่มตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง จนถึงการส่งมอบบ้านพลังงานสะอาด เพื่อให้ลูกบ้านได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างสมบูรณ์ และที่สำคัญยังช่วยประหยัดพลังงาน โดยหนึ่งครัวเรือน สามารถลดการใช้พลังงานได้สูงสุดถึง 18% ต่อปี และได้ วางเป้าขยายผลสู่คอนโดมิเนียมแบรนด์เดอะเบสทุกโครงการใหม่ในปี 2567 ที่ส่วนกลางของโครงการจะมีการนำแนวทาง Green Living Designed Home ไปต่อยอดในการดำเนินงาน และตั้งเป้าสู่การลดใช้พลังงานในช่วงแรกให้ได้ราว 6%”   นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์  บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างเนื่อง เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการหยุดชะงักการเปิดตัวไปในช่วงโควิด อย่างไรก็ตาม เรามองว่าเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ สำหรับในประเทศ มองว่าปัจจัยท้าทายคือเรื่องดอกเบี้ยเป็นตัวแปรสำคัญ ส่วนปัจจัยที่ส่งเสริมธุรกิจก็อาจจะมีจากการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยว ซึ่งจะมีผลกระตุ้นให้มีแรงซื้อจากชาวต่างชาติเข้ามามากขึ้นโดยเฉพาะสินค้ากลุ่มคอนโดมีเนียม   เพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ แสนสิริยังคงเดินหน้าตาม 3 กลยุทธ์สำคัญขับเคลื่อนองค์กร ควบคู่กับความพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และรักษาอันดับความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ประกอบไปด้วย 1. รักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการให้มากขึ้นโดยเฉพาะโครงการแนวราบ และการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่สูง สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2566 มีกำไรสุทธิที่ 4,760 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอสังหาฯ) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 40 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และมากกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปี 2565 สะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพของบริษัท เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต และนับเป็นผลการดำเนินงานที่เติบโตตาม Business Direction ที่วางไว้นอกจากนี้ แสนสิริยังมุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุดกับผู้ถือหุ้น จากผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง เพื่อให้ นักลงทุนได้รับเงินปันผลที่สูงขึ้นในอนาคต จากสถิติการจ่ายปันผลที่มาพบว่า Dividend Yield ปี ล่าสุด  2566 อยู่ที่ 12.4% 2.บริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากกว่า ผ่านการควบคุมระดับสินค้าเพื่อการขายในแต่ละระดับราคาให้อยู่ระดับที่เหมาะสม ก่อนพิจารณาเปิดโครงการใหม่ในแต่ละครั้ง เน้นเรื่องวินัยในการลงทุนมากกว่าคว้าทุกโอกาสที่เข้ามา และเมื่อรวมโครงการเปิดใหม่ในปีนี้ แสนสิริจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 146,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้แสนสิริจะมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า ภายใต้กลยุทธ์นี้  แสนสิริ พร้อมขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ๆ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน ตลอดจนกลับไปรุก Strategic Location หัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ มีโรดแมปการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ชัดเจน และได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน โดยวางแผนจะเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดทั้งหมด 13 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท โตกว่าปีก่อนหน้าถึง 170%  สำหรับ Strategic Location อย่างภูเก็ต ได้มีการจัดทำแผนกลยุทธ์ 5 ปี ในการเปิดตัวโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท รวมถึงวางแผนเปิดตัว Sansiri Hub หรือออฟฟิศของแสนสิริในจังหวัดภูเก็ตในปี 2567 นี้ด้วยเช่นกัน รวมถึงหัวหินกับโครงการเดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน ที่จะเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์นี้  พร้อมสานต่อโมเดล Sansiri Community ในแต่ละทำเลที่แสนสิริเข้าไปพัฒนาโครงการ และยกระดับให้เป็นสังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบอีก 4 คอมมูนิตี้ ได้แก่ ศรีนครินทร์-แพรกษา, บางนา กม. 10, ศรีวารี และวงแหวน – ลำลูกกา จากที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว 8 คอมมูนิตี้ คือ กรุงเทพกรีฑา, บางนา-เลค 26, รังสิต-บางพูน, ราชพฤกษ์-346, กรุงเทพ-ปทุมธานี, เวสต์เกต, พระราม 2-วงแหวน และประชาอุทิศ 90   3.ยกระดับคุณภาพของสินค้า บริการ และความยั่งยืน ให้เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย สอดคล้องกับโครงการในระดับกลางและบนที่มีการเปิดตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญด้านหนึ่งของแสนสิริเพื่อรักษามาตรฐานความเป็นหนึ่งของวงการอสังหาริมทรัพย์ในทุกมิติ และทุกโครงการของแสนสิริ ยังมั่นใจถึงคุณภาพในการบริหารจัดการที่อยู่อาศัยด้วยทีมงานมืออาชีพ ตอบโจทย์ทุกการดูแล จากบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้  พร้อมส่งมอบคุณภาพการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้าและ Stakeholder ที่เกี่ยวข้อง   บทความน่าสนใจ แสนสิริ ตุนยอดโอน 4 เดือนแรก โต 28% กวาดรายได้แล้ว 9,200 ล้าน  แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด แสนสิริ โชว์กำไรครึ่งปี 66 โตก้าวกระโดด 162% ครึ่งปีหลัง เปิดโครงการใหม่ กว่า 56,700 ล้าน
RML เปิดแผนปี’67 ชู4 key success  เปิดปฐมบทใหม่สู่ที่สุดของที่อยู่อาศัย

RML เปิดแผนปี’67 ชู4 key success เปิดปฐมบทใหม่สู่ที่สุดของที่อยู่อาศัย

RML ประกาศแผนปี’67 ‘REIMAGINING THE PINNACLE OF LIVING’ ขับเคลื่อนองค์กรแข็งแกร่ง ภายใต้ 4 กุญแจสำคัญ เพื่อสร้างปฐมบทใหม่แห่งการอยู่อาศัยอันเป็นที่สุด  RML (บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด มหาชน) เผยแผนรุกธุรกิจครั้งสำคัญปี 2567 ‘REIMAGINING THE PINNACLE OF LIVING – สร้างปฐมบทใหม่แห่งการอยู่อาศัยอันเป็นที่สุด’ ภายใต้ 4 กุญแจสำคัญ OCC   SUCCESSOR ครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ของอสังหาฯ ลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ THOUGHT LEADER เปิดตัว 2 โครงการใหม่รูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน CARETAKER เดินหน้าส่งมอบสุดยอดการดูแลลูกค้า และต่อยอดสู่การดูแลสังคมภายใต้วิสัยทัศน์ ‘Sustainable Living’ เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม TASTEMAKER สร้างสรรค์สุดยอดการออกแบบโครงการและการบริการที่เหนือระดับจากพาร์ทเนอร์ระดับโลก ลุยเปิดตัว ‘OCC’ อาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ ที่สูงที่สุดในไทย เต็มรูปแบบ ดึงแบรนด์ F&B และไลฟ์สไตล์ชั้นนำร่วมสร้างประสบการณ์การทำงานและการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ที่มากกว่าเดิมในฐานะ Lifestyle Destination แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ   OCC นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RML กล่าวว่า “สำหรับปี’67 บริษัทฯ ได้วางทิศทางการดำเนินงาน ภายใต้แนวคิด ‘REIMAGINING THE PINNACLE OF LIVING’ ผ่านการทำงาน 4 ด้าน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ และมอบประสบการณ์ที่อยู่อาศัยที่เป็นที่สุดในทุกมิติให้กับลูกค้า ซึ่งเราจะยังคงยึดโยงปรัชญา ‘Luxury Reimagined’ ของแบรนด์เป็นศูนย์กลางในการดำเนินธุรกิจเช่นเคย”   สำหรับแนวคิด ‘REIMAGINING THE PINNACLE OF LIVING’ มุ่งเน้นใน 4 ด้าน ดังต่อไปนี้ SUCCESSORRML จะมุ่งสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ผ่านการปิดการขายทุกโครงการ และโควต้าลูกค้าชาวต่างชาติเต็มทั้งหมดดังที่เคยประสบความสำเร็จในอดีต โดยสำหรับโครงการพร้อมอยู่ในปีนี้ 2 โครงการ ได้แก่ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ (The Estelle Phrom Phong)’ คอนโดฯ อัลตร้าลักชัวรี่ บริษัทฯ ตั้งเป้าลูกค้าโอนกรรมสิทธิ์เต็ม 100% ในไตรมาส 1 ปี’67  และ ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์ (Tait Sathorn 12)’ ตั้งเป้าปิดการขายในครึ่งปีแรกของปี’67 และตั้งเป้าลูกค้าโอนกรรมสิทธิ์เต็ม 100% ในไตรมาส 3 ปี’67   THOUGHT LEADERบริษัทฯ เตรียมเปิดขายรอบพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟ สำหรับโครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ 2 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้นประมาณ 10,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ ทำเลสุขุมวิท จำนวน 5 หลัง ราคาเริ่มต้นเฉลี่ย 400 ล้านบาทต่อหลัง มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยจะเปิดขายรอบพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ปลายไตรมาส 2 หรือต้นไตรมาส 3 ปี’67 และโครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ บนหาดกมลา ที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นวิลล่าสุดหรู พัฒนาเฟสแรกจำนวน 7 หลัง ราคาเริ่มต้นเฉลี่ยประมาณ 600 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 7,000 ล้านบาท เปิดขายรอบพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ไตรมาส 4 ปี’67 CARETAKERส่งมอบสุดยอดการดูแลลูกค้า เพราะลูกค้าทุกคนคือคนสำคัญ จึงควรได้รับการดูแลอย่างใส่ใจและมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้เกิดความประทับใจมากที่สุด โดยในปีนี้ RML จะสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ๆ ให้กับลูกค้าคนสำคัญผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำด้านลักชัวรี่ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายในเกือบทุกวงการ เพื่อยืนหยัดเป็นที่หนึ่งในใจของลูกค้านอกเหนือจากนี้ยังต่อยอดสู่การดูแลสังคม บริษัทฯ ยังคงสานต่อการดำเนินงานมูลนิธิเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น (For Better Lives Foundation) ซึ่งก่อตั้งโดย RML เพื่อทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์และช่วยเหลือสังคม อีกทั้งยังคงสานต่อวิสัยทัศน์ ‘Sustainable Living’ โดยโครงการใหม่ๆ ของ RML ยังมุ่งพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งผลักดันพื้นที่สีเขียวในทุกโครงการ เพื่อเติมเต็มความสุขให้กับทุกชีวิตควบคู่ไปกับการใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน TASTEMAKER RML ยังคงจุดยืนเดิมอย่างแข็งแกร่งในด้านการดีไซน์ในระดับเวิลด์คลาส โครงการปัจจุบันและโครงการในอนาคตยังคงความมีดีไซน์ที่โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ เพื่อเป็นแลนด์มาร์กของเอเชีย โดยไม่ทิ้งการผสมผสานบริบทของภูมิศาสตร์ วัฒนธรรมของทำเลที่โครงการเข้าไปตั้งอยู่อย่างลงตัว อีกทั้งยังมอบการบริการที่เหนือระดับจากพาร์ทเนอร์ระดับโลก และ ทีม RML Service เพื่อมอบประสบการณ์ทางด้านการอยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า “RML ยังคงเดินหน้าเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการยืนหยัดในการเป็นผู้นำอันดับ 1 ของตลาดอสังหาฯ ลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ของไทย ที่พัฒนาโครงการในรูปแบบใหม่ที่ไม่มีใครเหมือน และเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในเอเชีย โดยหนึ่งในโครงการไฮไลต์ของปีนี้คือ ‘OCC (One City Centre)’ อาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ ที่สูงที่สุดในไทย ที่มีสกายวอล์กเชื่อมกับ BTS เพลินจิต โปรเจกต์ยักษ์ที่ร่วมทุนกับ มิตซูบิชิ เอสเตท (ประเทศไทย) ผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำของญี่ปุ่น มูลค่าโครงการ 8,800 ล้านบาท ซึ่งเราจะเปิดอย่างเต็มรูปแบบในปีนี้ ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่สำนักงานจากบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกและบริษัทชื่อดังในไทย แล้วประมาณ 55% ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีอัตราการเช่าพื้นที่สำนักงานเกินกว่า 70% ในขณะที่มีอัตราการเช่าพื้นที่รีเทลจากร้านค้าพรีเมียมแล้วเกือบเต็ม อยู่ที่ประมาณ 90% เหลือเพียงไม่กี่ยูนิตเท่านั้น คาดว่าอัตราการเช่าพื้นที่รีเทลจะเต็ม 100% ในปี 2567 นี้แน่นอน” นายกรณ์ กล่าวเสริม สำหรับบริษัทที่เซ็นสัญญาเช่าพื้นที่สำนักงาน ‘OCC’ ล้วนเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลก และเป็นที่รู้จักในไทยจากหลากหลายธุรกิจ ทั้งธุรกิจเทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ, โค-เวิร์คกิ้งสเปซ ตลอดจนธุรกิจการเงิน และธุรกิจบริการ   บทความน่าสนใจ RML เปิดให้ชมโฉม ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ คอนโดฯ ลักชัวรี่ พร้อมอยู่ ใจกลางสาทร 10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML  
“โนเบิล”  ปี 67 เปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 14,310 ล้านบาท เปิดธุรกิจใหม่ดูแลลูกบ้าน

“โนเบิล” ปี 67 เปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 14,310 ล้านบาท เปิดธุรกิจใหม่ดูแลลูกบ้าน

บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ หรือ “บริษัทฯ” ปักธงปี 2567 เปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 14,310 ล้านบาท และเดินเกมรุกตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง ทุ่มงบซื้อที่ดินย่านพระราม 9 ประชาชื่น และบางนา-ตราด ปูทางขึ้นพร้อมต่อยอดธุรกิจให้ครบวงจร หนุนสร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Recurring Income)     นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) “NOBLE”  เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2567 มีแนวโน้มการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปี 2566 โดยในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จจากการขายโครงการตลอดทั้งปี ซึ่งสามารถกวาดยอดขาย (Pre-sale) ได้กว่า 14,900 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) จำนวน 6,600 ล้านบาท และเป็นยอดขายจากการเปิดตัวโครงการใหม่ และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกจำนวน 8,300 ล้านบาท   ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 18,900   ล้านบาท ซึ่งสามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่องด้วยสินค้าที่มีคุณภาพและอยู่ในทำเลศักยภาพที่ดี ถึงแม้สภาพเศรษฐกิจอยู่ในช่วงที่ไม่เอื้ออำนวย รวมถึงดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้นแต่บริษัทฯ ยังคงสร้างยอดขายได้ในระดับที่น่าพอใจ นอกจากนี้ บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นปี 2566 ในมือรวมมูลค่ากว่า 19,700 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ภายใน 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเห็น Sentiment (ความเชื่อมั่น) ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง โดย Segment ที่ยังคงสร้างยอดขายที่ดีให้กับบริษัทฯ เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบระดับ Luxury และคอนโดมิเนียมในเมือง   นายธงชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2566 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในด้านยอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยมีสัดส่วนยอดขายที่ระดับกว่า 5,700 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ได้การตอบรับที่ดีเป็นโครงการประเภทคอนโดมิเนียมระดับ Luxury บนทำเลถนนทองหล่อ ถนนสุขุมวิท และถนนวิทยุ เช่น โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ โครงการโนเบิล สเตท 39 และโครงการ ดิ เอ็มบาสซี ไวร์เลส ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ กับกลุ่มฮ่องกง แลนด์ โดยขณะนี้โครงการดังกล่าวมียอดขายต่างชาติเข้ามากว่า 2,200 ล้านบาท ขณะเดียวกันในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการขยายตลาดของลูกค้าต่างชาติไปในตลาดใหม่ๆ ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น เมียนมา ไต้หวัน สิงคโปร์ และฮ่องกง เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เชื่อว่าในปี 2567 กลุ่มลูกค้าจีนจะกลับมามากขึ้นหลังเศรษฐกิจของจีนกลับมาดีขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่จะหนุนให้ยอดขายจากลูกค้าต่างชาติของบริษัทฯ กลับมามากยิ่งขึ้น   ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 ที่ผ่านมาได้มีมติอนุมัติปันผลระหว่างกาลของผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนของไตรมาส 3/2566 จำนวน 0.20 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผล  (Dividend Payout Ratio) ที่ 51.2% โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 29 มกราคม 2567 และจ่ายเงิน   ปันผลวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 นี้   ในปี 2567 บริษัทฯ มีแผนซื้อที่ดินเพิ่มอีก จำนวน 3 แปลง ประกอบด้วย 1. ที่ดินบนทำเล พระราม 9 เพื่อจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง มูลค่าเกือบหมื่นล้านบาท 2.ที่ดินทำเลย่านประชาชื่น เพื่อจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียม Low Rise และ 3.ที่ดินบนทำเลบางนา-ตราด ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่ม BTS และสหพัฒน์ เพื่อพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยังคงแข็งแกร่งและยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง   นายธงชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าต่อยอดธุรกิจให้มีความครบวงจรเต็มรูปแบบมากขึ้น โดยการเพิ่มไลน์ธุรกิจ ซึ่งจะเป็นการดำเนินการภายใต้ บริษัท เซิร์ฟ โซลูชั่น จำกัด ในรูปแบบธุรกิจบริหารนิติบุคคล ธุรกิจบริการฝากขาย-ปล่อยเช่า รวมถึงธุรกิจการบริการจัดหาเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจต่อเนื่องที่จะสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income ) เช่น ธุรกิจการให้บริการสายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) ในโครงการที่อยู่อาศัย ธุรกิจบริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า (EV Charger) ธุรกิจบริการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ (Solar Cell) บนหลังคาของโครงการที่อยู่อาศัย เป็นต้น อีกทั้ง ยังมองหาธุรกิจใหม่ๆ ที่จะทำร่วมกับพันธมิตรซึ่งมีความเชี่ยวชาญโดยตรง เช่น ธุรกิจบริการพื้นที่  เก็บของ (Self-Storage) คาดว่าจะสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้เร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม แผนการสยายปีกดังกล่าวเป็นการต่อยอดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ฯ ให้มีความครบวงจรควบคู่กับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ ในอนาคต   บทความน่าสนใจ โนเบิลเปิดตัว Noble Curate “ตัวคุณกำหนดทุกสิ่ง” ร่วมกับ 6 ไอคอนสถาปนิกไทย บ้านเดี่ยวทำเลหายาก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา “Noble Aqua Riverfront Ratburana”  
สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้า1.8 หมื่นล้าน ก้าวสู่ปีที่ 10 อย่างแข็งแกร่ง ทุกโครงการที่เปิดต้องมาสเตอร์พีซ

สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้า1.8 หมื่นล้าน ก้าวสู่ปีที่ 10 อย่างแข็งแกร่ง ทุกโครงการที่เปิดต้องมาสเตอร์พีซ

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2567 ที่ยังคงเน้นการพัฒนาและลงทุนกับโครงการระดับมาสเตอร์พีซ ภายใต้ปรัชญา “Go Beyond Dreams” เดินหน้าสร้างซินเนอร์จีธุรกิจภายในเครือ ตลอดจนผนึกกำลังพันธมิตร พร้อมชูกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน  โดยตั้งเป้ารายได้โต 20% อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท   สิงห์ เอสเตท นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า  ถึงกลยุทธ์ในการสร้าง สิงห์ เอสเตท ในปี 2566 ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย ที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบขยายฐานลูกค้าครบทุก ลักซ์ชัวรีเซ็กเมนต์ และการขยายสัดส่วนการถือครองโครงการ The ESSE Sukhumvit 36 รับการฟื้นตัวของความต้องการในกลุ่ม ของตลาดคอนโดมิเนียม อีกทั้งการลงทุนในที่ดินในทำเลศักยภาพที่รองรับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสำหรับโครงการในอนาคตตามกลยุทธ์หลักของบริษัทที่สร้างการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน   ขณะที่กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ (SET: SHR) ก็มีความโดดเด่นจากการเปิดตัว SO/Maldives โรงแรมไลฟ์สไตล์หรูระดับ 5 ดาว ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ และการยกระดับห้องพักโรงแรมในเครืออีก 5 แห่ง เพื่อตอบรับโอกาสจากความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเสริมการให้บริการในโรงแรมเพื่อให้สามารถเก็บอัตราห้องพักต่อวันและรายได้จากบริการอื่น ๆ ได้สูงขึ้นและเพิ่มมากขึ้น และการต่อยอดแบรนด์ ทราย (“SAii”)  ในการให้บริการที่มีความหลากหลายยิ่งขึ้นและเพิ่มรายได้อื่น ๆ นอกจากราคาห้องโรงแรมของกลุ่ม   ในส่วนของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า บริษัทมีการนำโมเดลธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการใช้พื้นที่ของคนทำงานยุคใหม่ และกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งของนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ที่มีการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าเพิ่มอีก 2 แห่ง และแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ภายในพื้นที่รองรับการลงทุนในอนาคต “โดยในปี 2567 นี้ เราตั้งเป้ารายได้รวมของบริษัทให้เติบโตขึ้นสูงถึง 20% หรือมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 18,000 ล้านบาทผ่านแนวคิด Go Beyond Dream ที่ใช้ 3 แนวทางสนับสนุนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตครั้งนี้ ได้แก่ 1) Go Expertise การสร้างซินเนอร์จีจากความชำนาญของทีมระหว่าง 4 กลุ่มธุรกิจ โดยดึงเอาจุดแข็งและความชำนาญที่แตกต่างและโดดเด่นของแต่ละธุรกิจเพื่อเกื้อหนุนกันและกัน เพื่อการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและส่งมอบคุณค่าแก่ลูกค้า 2) Go Elixir การผนึกกำลังกับพันธมิตรใหม่ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจและการลงทุน 3) Go Exceed, Go Exit ความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน SDG13 Climate Change สู่การเป็นองค์กร Carbon Neutrality ของสิงห์ เอสเตท ในปี 2573 เพื่อสร้างความสมดุลของธุรกิจทั้งกับชุมชุน สังคมและสิ่งแวดล้อม” กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย จากความสำเร็จในการพัฒนาโครงการระดับมาสเตอร์พีซอย่าง โครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส โครงการลาซัวว์ เดอ เอส และโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ทำให้เกิดความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในโครงการใหม่ ๆ อาทิ SMYTH, S’RIN และ SHAWN ในปี 2567 นี้ สิงห์ เอสเตท เตรียมต่อยอดความสำเร็จโครงการบ้านแนวราบที่มีครบทุกเซ็กเมนลักซ์ชัวรีตามแผนงาน และยังคงไว้ซึ่งการถ่ายทอด DNA ที่ยึดถือในการพัฒนาโครงการให้ได้คุณภาพระดับ “Best in Class” ด้วยอัตลักษณ์ในแบบฉบับของสิงห์ เอสเตท โดยได้มีการลงทุนในที่ดินทำเลศักยภาพที่รองรับการพัฒนาสำหรับโครงการที่จะเกิดขึ้นระยะ 3-5 ปีต่อจากนี้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากยอดโอนเพิ่มขึ้นอีก 50% ในปีนี้   กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR ยังคงมีแผนที่จะปรับปรุงโรงแรมตามแผนการยกระดับพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง จำนวน 5 โรงแรมในเครือที่ประเทศไทยและต่างประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มอัตราเฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ได้มากกว่า 25% รวมถึงแผนการเสริมการให้บริการด้านอื่น ๆ ให้สอดคล้องกับการยกระดับห้องพักที่จะสร้างรายได้เพิ่มเติม นอกเหนือจากรายได้การเข้าพัก (Non-Room Revenue) จากการใช้จ่ายต่อคนในการใช้บริการ ภายในโรงแรมเพิ่มขึ้นอีก 15% ขณะที่การหมุนเวียนสินทรัพย์ (Asset Rotation) ยังเป็นปัจจัยหนึ่งในการเสริมความแข็งแกร่งด้านผลประกอบการ โดยมุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง รวมถึงการมองหาโอกาสในการควบรวมกิจการของธุรกิจที่ทำให้เกิดโอกาสรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นด้วย   กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ในการใช้โมเดลธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น ควบคู่ไปกับการชูจุดเด่นด้านที่ตั้งของโครงการต่างๆ ในเครือ ซึ่งจะทำให้มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยของอาคารสำนักงานในเครือที่มากกว่าในช่วงปี 2562 ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 85% ในทุกโครงการที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน มีการตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง อยู่ที่ 40% ของพื้นที่ขายรวม โดยใช้ทำเลยุทธศาสตร์ที่เป็นจุดศูนย์กลางระหว่างแหล่งวัตถุดิบและเส้นทางการขนส่ง ความพร้อมด้านระบบสาธารณูปโภคทั้งกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีสูงถึง 400 MWและปริมาณน้ำซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับผู้ประกอบการเฉพาะทาง อาทิ กลุ่ม Semi-Conductor หรือ กลุ่ม Data Center นอกเหนือจากธุรกิจทางด้านอาหาร และความร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นแรงหนุนสำคัญในการทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย   การดำเนินงานด้านความยั่งยืน มีแผนที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ด้วยกลยุทธ์ Climate Resilience Model เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  รวมถึงการให้ความสำคัญของพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยตั้งเป้าขยายพื้นที่ความหลากหลายทางทะเลถึง 30% นอกจากนี้ยังมุ่งเป็นศูนย์กลางในการสร้างสังคมคุณภาพ ผ่านโครงการต่าง ๆ ถึงกว่า 30 โครงการ นับเป็นจำนวนมากกว่า 100,000 คน ครอบคลุมพื้นที่การดำเนินงาน 5 ประเทศในทุกกลุ่มธุรกิจ  ได้แก่ ประเทศไทย สาธารณรัฐมัลดีฟส์ สาธารณรัฐมอริเชียส สหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ     “ภายใต้แนวคิด Go Beyond Dreams เราพร้อมก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 10 ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมที่จะพัฒนาโครงการคุณภาพระดับ “Best in Class” ในทุกกลุ่มธุรกิจ อย่างที่เราได้ประสบความสำเร็จมาแล้วกับโครงการระดับมาสเตอร์พีซ อาทิ โครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส โครงการ  ครอสโรดส์ มัลดีฟส์ และโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ แม้ว่า ปี 2567 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายสำหรับเศรษฐกิจโลก แต่กลุ่มบริษัท สิงห์ เอสเตท มีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจไปพร้อมกับการเตรียมตั้งรับสถานการณ์ต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพื่อตอกย้ำแนวทางการทำธุรกิจแบบมั่นคงและยั่งยืน” นางฐิติมา กล่าว   บทความน่าสนใจ สิงห์ เอสเตท รุกตลาดบ้าน Ultra Luxury ปักหมุด SMYTH’S Ramintra เริ่ม 120 ล้าน สิงห์เอสเตท  ครึ่งปีแรกรายได้โต 92% พลิกมีกำไร 102 ล้าน สิงห์ เอสเตท เปิด 5 โครงการที่อยู่อาศัยหมื่นล้าน ขายบ้านอัลตร้า ลักชัวรี่ หลังละ 550 ล้าน
เปิดตัว CG Capital บริษัทบริหารกองทุน โดยตระกูลจิราธิวัฒน์ เจาะตลาดอสังหาฯ โรงแรม ในเมืองท่องเที่ยว

เปิดตัว CG Capital บริษัทบริหารกองทุน โดยตระกูลจิราธิวัฒน์ เจาะตลาดอสังหาฯ โรงแรม ในเมืองท่องเที่ยว

เปิดตัว ซีจี แคปปิตอล (CG CAPITAL) บริษัทผู้บริหารกองทุน Private Equity โดยทีมบริหารของผู้ก่อตั้ง “ภูมิ จิราธิวัฒน์” ประเดิมตั้งกองทุนแรก 10,000 ล้านบาท มุ่งลงทุนกลุ่มโรงแรม ท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์ในไทย ปักหมุด 4 เมืองท่องเที่ยวหลัก พร้อมประกาศลงทุนโครงการแรกกับ Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) แบรนด์บูทีคโฮเทลและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลก มูลค่า 5,000 ล้านบาท ในรูปแบบโครงการมิกซ์ยูส ที่มี The Standard Residences, Phuket Bang Tao (เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา) และ The Peri Hotel Phuket Bang Tao (เดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา)   CG CAPITAL นายภูมิ จิราธิวัฒน์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร บริษัท CG Capital จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของธุรกิจท่องเที่ยวไทยหลังวิกฤตโควิด-19 สามารถพลิกฟื้นกลับมาขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดจากสิ้นปี 2566 ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยจำนวนสูงถึง 28 ล้านคน และมีแนวโน้มที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเท่าช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 และขยายตัวต่อไปได้อย่างแน่นอน จึงมองว่าแนวโน้มธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับภาคท่องเที่ยวยังมีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องในระยะยาว จึงตัดสินใจจัดตั้งบริษัท ซีจี แคปปิตอล ขึ้นมา ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจบริหารการลงทุนในรูปแบบกองทุน Private Equity     นายสรวิศ ชัยโรจน์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร บริษัท CG Capital จำกัด กล่าวว่า  บริษัทได้จัดตั้งกองทุนแรกมูลค่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ลงทุนหลักประกอบด้วย 1.ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 2.ธนาคารชั้นนำ 3.นักลงทุนสถาบันระดับโลก โดยมีวัตถุประสงค์ลงทุนเพื่อสนับสนุนธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นหลัก ซึ่งจะมีทั้งการลงทุนในโรงแรม คอนโดมิเนียม สวนสนุก สวนน้ำ และ Mixed-use ที่เกี่ยวข้อง มุ่งเน้นในเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพ ภูเก็ต สมุย และพัทยา โดยคาดว่าจะลงทุนปีละ 3-5 โครงการ     นายภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2567 นี้ บริษัทจะเปิดตัวโครงการแรกที่ลงทุน ประกอบด้วย โครงการที่พักอาศัย Branded Residences ภายใต้เครือโรงแรมบูทีคไลฟ์สไตล์ระดับโลกอย่าง Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) โดยใช้ชื่อว่า The Standard Residences, Phuket Bang Tao (เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา) และ The Peri Hotel Phuket Bang Tao (เดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา) ซึ่งเป็นโรงแรมในเครือแบรนด์ Standard International เช่นเดียวกัน ทำเลที่ตั้งถือเป็นไข่แดงของย่านเชิงทะเล-บางเทา ซึ่งเป็นทำเลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภูเก็ต ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก อีกทั้งใกล้แหล่งช้อปปิ้งและร้านอาหารดังในภูเก็ต อาทิเช่น โบ้ท อเวนิว, ลากูน่า กอล์ฟ คลับ, ปอร์โต เดอ ภูเก็ต, และสวนน้ำบลูทรี มูลค่าโครงการมากกว่า 5,000 ล้านบาท จะเปิดตัวภายในเดือนเมษายน 2567 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปี 2569     “เราจัดตั้งกองทุนแรกนี้ขึ้นมา เพราะมีความเชื่อมั่นว่าภาคธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศไทยยังมีอนาคตที่ดี และเชื่อว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า นักท่องเที่ยวจะเติบโตต่อเนื่องทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ รวมถึงกลุ่ม Expat และ Digital Nomad ที่มองประเทศไทยเป็นจุดหมายอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งการเข้าไปลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เป็นการช่วยสนับสนุนการพัฒนาของธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทย และจะส่งผลให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีตามไปด้วยในระยะยาวบนความผันผวนที่ต่ำกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น  ปัจจุบันการลงทุนในรูปแบบ Private Equity ถือเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำของโลก เพราะมีความคล่องตัวในการบริหาร มีขั้นตอนและหลักเกณฑ์การลงทุนที่เป็นระบบ และให้การเติบโตทางมูลค่าที่แตกต่าง ทำให้นักลงทุนสถาบันชั้นนำทั่วโลกให้น้ำหนักในพอร์ตกันมากขึ้น” นายสรวิศกล่าวปิดท้าย   บทความน่าสนใจ อรสิรินโฮลดิ้ง เตรียมขาย IPO 406.5 ล้านหุ้นใน SET หลังก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง ส่อง ตลาดที่อยู่อาศัยปี 66 การเติบโตท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง ดอกเบี้ย-ต้นทุนพุ่ง
“ออริจิ้น” เปิดเมกะโปรเจกต์ “Origin Resort World” ภูเก็ต เขาใหญ่ มูลค่ารวม 11,000 ล้าน

“ออริจิ้น” เปิดเมกะโปรเจกต์ “Origin Resort World” ภูเก็ต เขาใหญ่ มูลค่ารวม 11,000 ล้าน

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ยกพลขึ้นบกที่หาดบางเทา จังหวัดภูเก็ตสุดยอดเมืองท่องเที่ยงของไทย แถลงข่าวเปิดโรดแมป 5 ปี พัฒนามิกซ์ยูสระดับเมกะโปรเจกต์ “Origin Resort World” ในหัวเมืองท่องเที่ยว พร้อมเปิดตัวพัฒนาแล้ว 2 ทำเลพร้อมกัน ภูเก็ต บางเทา บีช และเขาใหญ่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 11,000 ล้านบาท  โครงการที่รวมเอาความสะดวกสบายและตอบโจทย์ทุกกลุ่มการอยุ่อาศัย ผสมผสานคอนโดมิเนียม, ลักชูรี วิลล่า, โฮเทล วิลล่า, บีชคลับ, เรสซิเดนซ์, โรงแรม 5 ดาว, บริการ Wellness เติมเต็มความสมบูรณ์เมืองท่องเที่ยว บูรณาการทุกองค์ประกอบ     นายกฤษณ์ เตชะสัมมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า โมเดลการพัฒนาเมืองระดับเมกะโปรเจกต์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด” (Origin Resort World) เป็นการสร้างที่อยู่ศัยแบบครบวงจร โดยความร่วมมือกับบริษัทในเครือ อาทิ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด,บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI, บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO, บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด มาร่วมกันพัฒนาอาณาจักรมิกซ์ยูสในทำเลท่องเที่ยวศักยภาพ สร้างเมืองที่บูรณาการทุกองค์ประกอบของการท่องเที่ยวและการพักผ่อนเข้าด้วยกัน อาทิ โรงแรมระดับ 5 ดาว, วิลล่า, คอนโดมิเนียม และ บริการด้าน Wellness ให้เป็น World Detitanation แห่งการพักผ่อนครบวงจรอย่างเหนือระดับ     บริษัทวางโรดแมประยะ 5 ปี (2567-2572) นำร่องพัฒนาโครงการออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด ก่อนใน 2 ทำเล ได้แก่ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด ภูเก็ตบางเทา บีช” (Origin Resort World Phuket | Bangtao Beach) และ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด  เขาใหญ่” (Origin Resort World | Khao Yai) มูลค่าโครงการรวมกันกว่า 11,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็น 2 ทำเลท่องเที่ยวระดับท็อปของประเทศ มีดีมานด์สำหรับทุกตลาด ทั้งตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อการอยู่อาศัยเอง ตลาดบ้านพักตากอากาศ ตลาดลงทุนปล่อยเช่าระยะยาว ตลาดเข้าพักท่องเที่ยวระยะสั้น ตลอดจนตลาดเข้าพักระยะยาว   สำหรับ ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด ภูเก็ต  บางเทา บีช (Origin Resort World Phuket | Bangtao Beach) มูลค่าโครงการ 8,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 25 ไร่ ติดหาดบางเทา หาดที่ขึ้นชื่อว่าพระอาทิตย์ตกสวยที่สุด และถือเป็นทำเลศูนย์กลางในการเดินทางเพื่อไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ ของภูเก็ตได้อย่างสะดวก ประกอบด้วย 5 โครงการ ได้แก่   โซ ออริจิ้น บางเทา บีช  คอนโดมิเนียมหรู สูง 8 ชั้น บัลโค ลักชูรี พูล วิลล่า จำนวน 35 หลัง วัน ออริจิ้น โฮเทล บางเทา รงแรมระดับ 5 ดาว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาเชน Branded Residences Tichuka Phuket Beach Club ยกทัพจากบาร์ชื่อดังในทองหล่อ สู่พื้นที่สังสรรค์และพักผ่อนริมทะเล   สำหรับ ออริจิ้น เนชั่นวายด์ เปิดโครงการ โซ ออริจิ้น บางเทา บีช มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Luxury สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร 545 ยูนิต และ 1 คลับเฮ้าส์ ขนาดห้องชุดเริ่มต้นที่ 26 ตารางเมตร 32 ตารางเมตร และสูงสุด 50 ตารางเมตร  ขายแบบตกแต่งครบ Fully Furnished พร้อมอยู่ พร้อมลงทุน  คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 3ปี 2567 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1 ปี 2569 เปิดขายรอบ VVIP ในวันที่ 20 ม.ค.นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท หลังจากนั้น บริทาเนีย จะเปิดขายบัลโค (Balco) อย่างเป็นทางการในเฟสถัดไปภายในปีนี้     นายประเสริฐกุล เจริญทวีมงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด เขาใหญ่” (Origin Resort World | Khao Yai) เป็นเมกะโปรเจกต์มูลค่าโครงการรวมกว่า 3,000 ล้าน ในแปลงที่ดินขนาด 40 ไร่ บน ถ.ธนะรัชต์ ที่ประกอบด้วยความพิเศษหลายอย่าง ได้แก่ 1.เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากการ่วมทุนกันระหว่างเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และเครือบริษัท เอเชี่ยน ซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN 2.มีบริการด้าน Wellness และ Well-Being พร้อมรองรับผู้พักอาศัยทุกช่วงวัย อาทิ บริการทางการแพทย์ระดับเวิลด์คลาส บริการตรวจสุขภาพประจำสัปดาห์ ศูนย์ฟื้นฟูและกายภาพ ศูนย์สันทนาการและพักผ่อนหย่อนใจ เติมพลังบวกให้แก่การพักผ่อนทั้งของคู่รัก ครอบครัว กลุ่มเพื่อน ตัวโครงการ พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ The Integrated Well-Being Residence and Hospitality Destination บูรณาการพลังแห่งธรรมชาติอันเป็นจุดเด่นของเขาใหญ่ การออกแบบระดับมาสเตอร์พีซ บริการระดับเวิลด์คลาส และโปรแกรมการพักผ่อนที่ยกระดับ Well-Being ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่       Branded Residences Villa เป็น Luxury Pool Villa จำนวน 19 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 19 ล้านบาท Branded Residences Condominium เป็นอาคารขนาด 4-6 ชั้น จำนวน 20 อาคาร รวม 405 ยูนิตพักอาศัย ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท โรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวน 191 ห้องพัก  ศูนย์บริการด้าน Wellness “เขาใหญ่กำลังกลายเป็นเมืองตากอากาศที่จะมาแทนที่เชียงใหม่ เนื่องจากมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การผ่อนคลายจากทุกความเหนื่อยล้าจากการทำงานและชีวิตในเมือง อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และยังสามารถเดินทางได้ด้วยรถยนต์​ เรามองว่าตลาดบ้านพักตากอากาศ ยังมีความต้องการสูงมากในพื้นที่นี้ ส่งผลให้เราเปิดตัว Branded Residences Villa และ Branded Residences Condominium ก่อนเปิดให้ชม Show unit ครั้งแรกพร้อมนำเสนอ 3D simulation urban & lifestyle เจ้าแรกเจ้าเดียวในเขาใหญ่ ปลายเดือนม ค. นี้ และ เปิดขายรอบ VVIP ปลายเดือนก.พ. นี้ และน่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมเร็วๆ นี้” นายประเสริฐกุล กล่าว   บทความน่าสนใจ อาณาจักร ORIGIN PET FAMILY คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ 16 โครงการ 26,000 ล้าน ORIGIN NEXT LEVEL การเดินหน้าสู่ Top5 ผู้นำในทุกธุรกิจ
[PR News] Maison เปิดตัวบ้านใหม่ล่าสุด ทำเลดี ติด ม.เกษตร ศรีราชา

[PR News] Maison เปิดตัวบ้านใหม่ล่าสุด ทำเลดี ติด ม.เกษตร ศรีราชา

"ไมซัน ฮิลล์ สุขุมวิท-ศรีราชา" บ้าน French Colonial พร้อมคลับเฮาส์ที่โอบล้อมด้วยเขาและทะเล   บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด บนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองศรีราชา ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และนิคมฯ แหลมฉบัง เดินทางสะดวกทุกรูปแบบ เพียง 1 นาที ก็ถึงมหาลัยเกษตรศาสตร์ และ 5 นาที ถึงนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง   โครงการ "ไมซัน ฮิลล์ สุขุมวิท-ศรีราชา" เป็นโครงการบ้านและทาวน์โฮมหรูในแบบบ้านสไตล์ เฟรนช์โคโลเนียล (French Colonial) พร้อมคลับเฮาส์ที่มีวิว Sunset โอบล้อมด้วยทะเลและภูเขา ในบรรยากาศสบายเหมาะกับการอยู่อาศัย ในราคาเริ่มต้น 2-4 ล้านบาท* พร้อมเปิดตัวภายใน 17-18 กุมภาพันธ์ 2567   ชื่อโครงการ  :  Maison hill (สุขุมวิท- ศรีราชา) เจ้าของโครงการ   : บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด ที่ตั้งโครงการ      : ซ.เขาน้ำซับ ตำบล ทุ่งสุขรา  อ.ศรีราชา ลักษณะโครงการ  : ทาวน์โฮม ทาวน์โฮมอิสระ บ้านแฝด บ้านเดียว พื้นที่โครงการ  : 22-3-20.1 ไร่ จำนวนยูนิต  : 176 ยูนิต ที่จอดรถ  : 2  คัน สิ่งอำนวยความสะดวก : สวนสวยขนาดใหญ่, สระว่ายน้ำระบบเกลือ , เข้า-ออกโครงการด้วยระบบสแกนทะเบียน  Auto Access, กล้องวงจรปิดรปภ. 24 ชม. (Smart home) รองรับ EV Ready ราคา  :  เริ่มต้น 2-4 ลบ. เปิดจอง  : 17-18 ก.พ. 67  
ศรีพันวาเปิดตัว The Sky Series เวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่า หลังละ 250 ล้าน

ศรีพันวาเปิดตัว The Sky Series เวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่า หลังละ 250 ล้าน

ศรีพันวา ผุดโปรเจกต์ The Sky Series เวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่าเพียง 4 หลัง บนที่ดินกว่า 2 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,000 ลบ. ภายใต้แนวคิด Modern Natural ชูสไตล์การออกแบบที่มีเอกลักษณ์จากสถาปนิกชั้นนำ บริษัทแฮบบิต้า เพื่อสร้างความเป็น World Class Tourist Destination ของจังหวัดภูเก็ต ราคาเริ่มต้น 250 ลบ.     The Sky Series นายดิฐวัฒน์ อิสสระ กรรมการ บริษัท ชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตในปีนี้ว่ามีทิศทางการเติบโตขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาภูเก็ตยังได้รับการยกย่องว่าเป็น World Class Tourist Destination ของโลก และในปัจจุบันกำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็น World Class Investment Destination ของนักลงทุนไทยและต่างชาติที่สำคัญอีกด้วย โดยเห็นได้ชัดจากจำนวนนักท่องเที่ยว นักลงทุนต่างชาติ ที่เดินทางเข้าสู่จังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมากขึ้น ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปีนี้มีนักท่องเที่ยวมากว่า 8.2 ล้านคน และคาดว่า ณ สิ้นไตรมาส 4 ของปีจะมีนักท่องเที่ยวสูงถึง 14 ล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย ออสเตรเลีย อินเดีย จีน และคาซัคสถาน ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต ในทุกพื้นที่ คึกคักเป็นอย่างมาก     “จากภาพรวมการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตที่ฟื้นตัว ทำให้ภาคธุรกิจอสังหาฯ โรงแรม เร่งปรับตัว พร้อมพัฒนาโปรดักส์ที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศ โดยเฉพาะบ้านพักตากอากาศซึ่งค่อนข้างได้รับความสนใจซื้อจากเศรษฐี-นักลงทุน ทั้งคนไทยและต่างชาติอย่างมาก โดยเฉพาะบ้านพักตากอากาศตามแนวชายหาด วิวทะเล ที่เงียบสงบ ให้ความเป็นธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันที่ดินบริเวณนี้เริ่มหายากและมีราคาที่สูง บวกกับการปรับตัวของราคาที่ดินในพื้นที่เกาะภูเก็ตในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด” นายดิฐวัฒน์ กล่าว   ล่าสุด ศรีพันวา ภูเก็ต เดินหน้าเปิดที่ดินส่วนเรสซิเดนซ์ผืนสุดท้ายของโครงการจำนวนกว่า 2 ไร่ 1,000 ล้านบาท เปิดตัว  The Sky Series เรสซิเดนซ์ 4 หลังในโครงการ ศรีพันวา ภายใต้แนวคิด Modern Natural ชูจุดเด่นด้านงานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะจากสถาปนิกชั้นนำอย่างแฮบบิตา ในการสร้างให้สถานที่แห่งนี้คือจุดหมายปลายทางที่หลายคนใฝ่ฝันต้องมาเยือน ประกอบกับศักยภาพของทำเลที่ยังคงคอนเซ็ปต์การอนุรักษ์ธรรมชาติ เพราะเรสซิเดนซ์แต่ละหลังจะเน้นให้ผู้อยู่อาศัยได้เห็นทั้งวิวทะเล ต้นไม้ใหญ่ที่สมบูรณ์ อีกทั้งบางแอเรียจะได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบซีวิว บางแอเรียจะได้สัมผัสบรรยากาศในแบบสกายวิว ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากการออกแบบ Baba Nest ภายในโครงการศรีพันวา ที่มีชื่อเสียงดังไกลระดับโลก มาย่อส่วนให้เรสซิเดนซ์ทั้ง 4 หลัง มี Baba Nest ส่วนตัว พร้อมสระว่ายน้ำ ให้สามารถขึ้นมาเทควิวที่สวยงาม ชมพระทิตย์ตก นอกจากนี้การออกแบบพื้นที่ใช้สอยยังถูกออกแบบให้พื้นที่ภายนอกและภายในเชื่อมต่อเป็นพื้นที่เดียวกัน ให้บรรยากาศของธรรมชาติ ท้องฟ้า ทะเล พื้นที่สีเขียว ให้เราได้อยู่กับธรรมชาติตลอดเวลา   “จากการพัฒนาโครงการของชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เรามีความเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี และสามารถพัฒนาทุกโปรดักส์ออกมาตอบโจทย์ตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าในทุกเซกเมนต์ โดยโปรเจกต์ The Sky Series นับว่าเป็นสัญลักษณ์ความเป็นเวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่า ที่จะเป็นแลนด์มาร์คที่โดดเด่น และสร้างความภาคภูมิใจในการครอบครอง โดย The Sky Series เป็นเรสซิเดนซ์ 3 ชั้น 5 ห้องนอน มีจำนวนเพียง 4 หลังสุดท้าย ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 1,200 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 250 ล้านบาท โดยทุกๆ หลัง จะคงคอนเซ็ปต์ในการอนุรักษ์ธรรมชาติ ต้นไม้ใหญ่สำคัญๆ ที่มีอยู่ อาทิต้นมะกอก ต้นมะค่า ที่ยังคงเก็บไว้ ดังนั้นการออกแบบของเรซิเดนซ์ทั้ง 4 หลัง จะไม่เหมือนกัน เพราะเราจะรักษาต้นไม้ดั่งเดิมไว้ และทำบ้านให้อยู่โอบล้อมธรรมชาติ โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วงเดือนมิถุนายน 2567” นายดิฐวัฒน์ กล่าว   ทั้งนี้จากจุดเด่นทั้งทำเลที่เป็นแลนด์มาร์ค งานออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ผสมผสานกับงานอินทีเรียดีไซน์ที่สื่อถึงความเป็น Craft และ Unique จะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความภูมิใจที่เหนือระดับให้กับผู้อยู่อาศัยที่ได้ครอบครองวิลล่าหรูที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโครงการศรีพันวา ภูเก็ต นอกจากนี้ยังจะได้รับบริการ สิ่งอำนวยความสะดวก สุดเอ็กซ์คลูซีฟจากโรงแรมที่ขึ้นชื่อระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร, รูฟท็อปบาร์, สปา ที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง   สำหรับโครงการศรีพันวา ภูเก็ต เป็นโครงการบ้านพักตากอากาศ และโรงแรมสุดหรู แบบพูลวิลล่า ตั้งอยู่บนหาดส่วนตัว ปลายสุดของแหลมพันวา ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะภูเก็ต บนเนื้อที่ 85 ไร่ วิลล่าของศรีพันวา แฝงตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้ และบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว ทั้งยังเปิดให้เห็นทะเลแสนสวยของท้องทะเลอันดามันพร้อมหมู่เกาะล้อมรอบ วิลล่าทุกหลังมีสระว่ายน้ำส่วนตัว   ศรีพันวาได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในห้ารีสอร์ทชั้นนำของประเทศไทย และยังได้รับการคัดเลือก ให้เป็นโรงแรมที่มีเสน่ห์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก วิลล่าออกแบบในสไตล์ทรอปิคอลร่วมสมัย ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลสูงประมาณ 40-60 เมตร มีสิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมสันทนาการมากมาย เพียบพร้อมไปด้วย 6 ร้านอาหาร, 2 รูฟท็อปบาร์, สปา และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ครบครัน พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง  และโซนใหม่ล่าสุด "Yaya" ห้องพัก Pool Suite 24 ห้อง พร้อมห้อง Convention ความจุ 400 คน รวมถึง Baba Soul Cafe และ รูฟท๊อปแห่งใหม่ TU Bar ชมพระอาทิตย์ตกบนชั้นดาดฟ้าที่วิวดีที่สุด แลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่ทุกคนต้องมา   บทความน่าสนใจ ชาญอิสสระ อวดโฉม โครงการ ดิ อิสสระ สาทร ครั้งแรก ชู Luxury Urbanature ชาญอิสสระ แตกไลน์ 2 ธุรกิจ “เวลเนส-คริปโตฯ” พร้อมขนบ้าน-คอนโดหั่นราคา 50%
ESTAR ลุยทำเลทอง  บ้านฉาง – ระยอง เปิดโครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

ESTAR ลุยทำเลทอง บ้านฉาง – ระยอง เปิดโครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

  บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดความสำเร็จ 5 โครงการฝั่งตะวันออก ทำนิวไฮ อัพเดท กวาดรายได้รวมแล้วกว่า 700 ล้านบาท พร้อมเร่งเครื่องท้ายปีเตรียมเปิดตัว โครงการน้องใหม่ ‘เวลาน่า ไฮด์’ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท ทำเลติดสนามกอล์ฟ ใกล้สนามบิน อู่ตะเภา   ESTAR นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ สามารถคว้าความสำเร็จในการปิดยอดขายโครงการพื้นที่ฝั่งระยอง – บ้านฉาง อาทิ โครง การบ้านสินทวี การ์เด้นท์ 2 โครงการแฮมเล็ต 3 โครงการเวลาน่า กอล์ฟ เฮ้าส์ ที่ปัจจุบันปิดโครงการเป็นที่เรียบร้อย แล้ว เช่นเดียวกันกับโครงการ บรีซ แอท อีสเทอร์น สตาร์ ฟอเรสโต้ ที่ตอนนี้ยอดขายอยู่ที่ 99% ซึ่งคาดว่าจะปิดได้ สำเร็จภายในสิ้นปีนี้ สำหรับโครงการเวลาน่า อะโมด้า อู่ตะเภา - บ้านฉาง ยอดขายตอนนี้ขึ้นมาที่ 96% และในส่วน ของโครงการแกรนด์ เวลาน่า ยอดขายตอนนี้อยู่ที่ 80% นอกจากนี้ จากที่ทราบกันในปีนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการที่เปิด ใหม่ โครงการเธร่า พรีม่า บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ที่ตอนนี้ทำยอดขายได้แล้ว 75% ของ เฟสแรก เช่นเดียวกับโครงการบรีซ ชาเล่ต์ บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ที่ตอนนี้ยอดขายแตะ อยู่ที่ 80% ของเฟสแรก   จากการสำรวจพื้นที่ทำเลในบริเวณรัศมีรอบโครงการอีสเทอร์น สตาร์ พบว่า โซนระยอง - บ้านฉาง มีศักยภาพทำเลสูง เนื่องจากมีนิคมอุตสาหกรรมและประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น อีกทั้งยังมีเส้นทางคมนาคมที่หลากหลาย โดย เฉพาะสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาที่ตอนนี้กำลังจะมีโปรเจกต์ในการสร้างส่วนต่อขยาย อีกทั้งยังมีโครงการใน อนาคตที่เป็นเมกะโปรเจกต์ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เชื่อม กทม. สู่ EEC คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2029 การเดินทางที่สะดวก ทันสมัย จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น การจ้างงานในอุตสาหกรรมต่อเนื่องกว่า 1 แสนตำแหน่ง เกิดเมืองใหม่ที่เป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ตามสองข้างทางที่ รถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่าน หากมีเมกะโปรเจกต์เหล่านี้มาก็จะสร้างแหล่งงานมากในพื้นที่ ทำให้ความต้องการ อสังหาริมทรัพย์มีอย่างต่อเนื่อง     ในปีนี้ โครงการฝั่งระยอง - บ้านฉาง ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ โดยให้ความสนใจเข้ามา เยี่ยมชมโครงการอีสเทอร์น สตาร์ เพิ่มขึ้น เห็นได้จากกระแสตอบรับสำหรับโครงการเปิดใหม่อย่าง โครงการบรีซ ชาเล่ต์ บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท บ้านเดี่ยว 2 ชั้น หน้ากว้าง พื้นที่โครงการ 27-0-66.3 ไร่ จำนวนบ้าน 134 หลัง สไตล์ Modern English Garden Home ในราคาเริ่มต้น 3.89 ล้านบาท ซึ่งกำลังเป็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากสามารถทำ ยอดจองได้สูง พร้อมกับโครงการบ้านในสนามกอล์ฟที่เป็นไฮไลท์ โครงการอะโมด้า อู่ตะเภา - บ้านฉาง บ้านเดี่ยว พร้อมอยู่ 2 ชั้น จำนวน 104 ยูนิต บนที่ดินกว่า 27-1-55.80 ไร่ ในสนามกอล์ฟ สไตล์โมเดิร์นคลาสสิค รูปแบบ Timeless Design ราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาท ที่ตอนนี้ยอดขายกระโดดมาสูงเกือบจะ 100% ภายในระยะเวลาเพียง ไม่กี่เดือน และใกล้ปิดการขายโครงการได้ในเร็วๆ นี้   ซึ่งจากปัจจัยบวกต่างๆ ตลอดปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุผลให้ บริษัทฯ ลงทุนขยายโครงการใหม่เพิ่มในพื้นที่เดียวกัน เพื่อตอบรับความต้องการผู้อยู่อาศัย ในชื่อ โครงการเวลาน่า ไฮด์ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 128 ยูนิต มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท บนคอนเซ็ปต์ Modern Classic สะท้อนความงดงาม สมบูรณ์แบบของการใช้ชีวิต โดยการออกแบบตัวบ้านและโครงการได้รับแรงบันดาลใจจาก สถาปัตยกรรมยุโรป และยังคงเน้นกลุ่มเป้าหมาย เป็นกลุ่มผู้บริหาร บริษัทในนิคมฯ มาบตาพุด กลุ่มหมอ และพนักงานสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ตั้งแต่ช่วงวัยทำงาน อายุ 30-55 ปี รายได้เดือนละ 7 หมื่น - 3 แสนบาท ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่ามี กำลังซื้อศักยภาพสูง และโอกาสรีเจ็กต์เรตอยู่ในเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก ทั้งนี้ปัจจุบัน โครงการเวลาน่า ไฮด์ อู่ตะเภา - บ้านฉาง อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ดำเนินการแล้วกว่า 60% โดยคาดว่า แล้วจะเสร็จพร้อมเปิดตัวในช่วงต้นปีหน้า ไตรมาส 1/2024     อย่างไรก็ตาม ภาพรวมสำหรับโครงการอีสตาร์ในพื้นที่ระยอง ปีนี้คาดว่าจะทำนิวไฮของบริษัทฯ กว่า 700 ล้านบาท นอกจากนี้ในปีหน้าบริษัทฯ ยังมีการลงทุนเพิ่มสำหรับขยายโครงการ เพื่อตอบรับผู้อยู่อาศัย ในทุกเซกเมนท์โดยมีจะการออกโปรดักส์ในราคาเริ่มตั้งแต่ 2 ล้านบาทต้นๆ ไปจนถึง 12 ล้านบาท ซึ่งตามคาดการณ์ จะสามารถรับรู้รายได้ อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท นายไพโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย   บทความน่าสนใจ ESTAR  เปิดชม ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39  ยอดนิยมในย่าน ขายแล้วกว่า 70% ESTAR เปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ ไพโรจน์ วัฒนวโรดม ปรับใหญ่รุกตลาดบ้าน
ทอสเท็ม เปิดโรงงาน 400 ไร่ โชว์ศักยภาพการผลิต และชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ (TOSTEM Innovation Center)

ทอสเท็ม เปิดโรงงาน 400 ไร่ โชว์ศักยภาพการผลิต และชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ (TOSTEM Innovation Center)

TOSTEM เปิดให้ชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม (TOSTEM Innovation Center) ที่โชว์จุดเด่นของการดีไซน์ ออกแบบ ประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ พร้อมเปิดโรงงานโชว์นวัตกรรมและแทคโนโลยีในการผลิต นวัตกรรมที่ทันสมัยของผลิตภัณฑ์ ที่มีศักยภาพการผลิตประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมครบวงจร ตั้งแต่การขึ้นรูปอะลูมิเนียม ไปจนถึงการชุบเคลือบผิวด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ที่เป็นหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมการชุบสีอะลูมิเนียมด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD   TOSTEM Innovation Center นายวิชา วรสายัณห์ ลีดเดอร์ กลุ่มธุรกิจเฮาส์ซิ่งเทคโนโลยี บริษัท แอล เอช ที เอเซีย เซลส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมแบรนด์ ทอสเท็ม (TOSTEM) เปิดเผยว่า ศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม (TOSTEM Innovation Center) เป็นศูนย์นวัตกรรมที่จัดสร้างขึ้นเพื่อแสดงผลิตภัณฑ์ของ TOSTEM โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอจุดเด่นของการออกแบบ ประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการติดตั้งบานประตู-หน้าต่างของ TOSTEM ไว้ภายใน TOSTEM Innovation Center แห่งนี้   โดยผลิตภัณฑ์ที่จัดแสดงภายใน มีทั้งประตู หน้าต่าง รั้ว ประตูรั้วที่ผลิตจากอะลูมิเนียมภายใต้แบรนด์ TOSTEM ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในตลาดอาเซียน นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นให้ลูกค้าโครงการ สถาปนิก ได้สัมผัสก่อนใคร เพื่อให้ผู้รับชมมีความเข้าใจ พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ให้พนักงานทุกคนของ TOSTEM และตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม สามารถเข้ามาเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้อีกด้วย   ภายใน Innovation Center แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.Material Board (Disassemble) เป็นบอร์ดสำหรับอธิบายคุณสมบัติ และส่วนประกอบต่างๆ ของประตูและหน้าต่างจากทอสเท็มแต่ละซีรีส์ ทำให้ลูกค้าสามารถเห็นรายละเอียดแต่ละชิ้นได้อย่างชัดเจน นำไปสู่การเลือกบานประตูและหน้าต่างที่เหมาะสมกับโครงการ และเลือกประตู-หน้าต่างที่เหมาะสมกับผู้อยู่อาศัย     2.ส่วนตรงกลางโชว์รูม ซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น โดย TOSTEM ภูมิใจนำเสนอ Panoramic Door ที่ได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงโปร่งสบาย สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้ในมุมกว้าง มาพร้อมกับฟังก์ชันมือจับที่สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย     นอกจากนี้ภายใน TOSTEM Innovation Center ยังมีผลิตภัณฑ์ประตูหน้าต่างรุ่นต่างๆ ที่วางจำหน่ายในตลาดอาเซียน และยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของประเทศญี่ปุ่นที่จัดแสดงอยู่ภายในเพื่อให้เข้าถึงนวัตกรรมและเป็นไอเดียให้กับผู้เข้าชม เช่น GIESTA Door Smart Lock ซึ่งเป็นประตูที่มีความพิเศษกว่ารุ่นที่วางจำหน่ายในตลาดอาเซียน โดยสามารถปิด – เปิดผ่านสมาร์ทโฟน หรือ รีโมทได้ และบานเกล็ดอัตโนมัติที่ควบคุมการปิด-เปิดได้ด้วยรีโมทคอนโทรล และภายใน ยังมีห้องฝึกอบรมการติดตั้งผลิตภัณฑ์ TOSTEM สำหรับอบรมตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ TOSTEM ให้สามารถติดตั้งผลิตภัณฑ์ของทอสเท็มได้อย่างถูกต้อง และเกิดประสิทธิภาพในการใช้งานสูงสุด โดยผู้อบรมเป็นทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากทอสเท็ม   สำหรับ ศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม  ตั้งอยู่ภายในพื้นที่โรงงานของบริษัท ทอสเท็ม ไทย จำกัด (TOSTEM THAI CO., LTD.) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม และผลิตภัณฑ์สำหรับอาคารที่อยู่อาศัยและบานประตูหน้าต่างชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ด้วยกระบวนการผลิตแบบครบวงจรตั้งแต่การรีดขึ้นรูปอะลูมิเนียมผ่านแม่พิมพ์ หรือที่เรียกว่า ALUMINIUM EXTRUSION ไปจนถึงการชุบเคลือบผิวด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD   อีกทั้งยังมีระบบ PRE ENGINEERED การผลิตผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปพร้อมประกอบจากโรงงานโดยตรง ซึ่งทำให้ประตูหน้าต่างของทอสเท็มมีคุณภาพสม่ำเสมอกันทุกชุด สามารถผลิตได้ตามขนาดที่ลูกค้าต้องการ และศูนย์ปฎิบัติการทดสอบประสิทธิภาพทอสเท็มไทย หรือ Quality Performance Test Center (QPTC) ในการทดสอบวัสดุอะลูมิเนียมสำหรับอุตสาหกรรม โดยให้ความใส่ใจในเรื่องของมาตรฐาน รวมถึงความปลอดภัยต่อทุกชิ้นงาน และส่วนสำคัญของการส่งต่อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ที่มาจากการใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต จนถึงทุกกระบวนการจนกว่าจะส่งมอบให้ลูกค้า     ทอสเท็ม ไทย โรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี บนพื้นที่กว่า  539,000 ตารางเมตร หรือราว 400 ไร่ มีพนักงานกว่า 6,000 คน นับว่าเป็นโรงงานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของทอสเท็มจากทั่วโลกและมีกำลังการผลิตสูงที่สุด  7,000 ตันต่อเดือน มีการผลิตงานตลอด 24 ชั่วโมง มีสินค้าว่างจำหน่ายในประเทศไทย 52% และส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น 48%   สำหรับประเทศไทยว่างจำหน่ายผ่านตัวแทนที่ผ่านการอบรมจากผู้เชี่ยวชาญจาก ทอสเท็ม เท่านั้น ปัจจุบันมี 150 ตัวแทนอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ และพัฒนาต่อเนื่องเพื่อก้าวสู่ผู้นำธุรกิจผู้ผลิตประตูหน้าต่างอะลูมิเนียม ที่ทันสมัยด้วยศักกยภาพของเครื่องจักรและกำลังคน พร้อมมาตรฐานที่ดีก่อนสินค้าถึงมือผู้บริโภค บทความน่าสนใจ ทอสเท็มเปิดตัว “ATIS” นวัตกรรมประตูหน้าต่างรวม 2 ฟังก์ชั่นในหนึ่งบาน ‘ทอสเท็ม’ นำเสนอ ‘บานประตูและประตูรั้วอะลูมิเนียมสำเร็จรูป’ รุ่นใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการหลากหลายของผู้อยู่อาศัย วินด์เซอร์ เปิดตัวระบบประตูหน้าต่างรุ่น “Smart Series”
เซ็นทรัลพัฒนา เผยธุรกิจ Central Pattana Residence เติบโตต่อเนื่อง เดินหน้าตลาดลักซูรี

เซ็นทรัลพัฒนา เผยธุรกิจ Central Pattana Residence เติบโตต่อเนื่อง เดินหน้าตลาดลักซูรี

Central Pattana Residence บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาธุรกิจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล, ที่พักอาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ เผยแผนธุรกิจ Central Pattana Residence ช่วง Q3-Q4/2566 ขยายพอร์ตลักซูรี เดินหน้ารุกโครงการแนวราบ เปิดตัวบ้าน แบรนด์ใหม่ล่าสุด “BAAN NIRADA” (บ้านนิรดา) ราคาเริ่มต้นประมาณ 20-30 ล้านบาท   Central Pattana Residence ปักหมุดทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ ได้แก่ พระราม 2 , รวมถึงอุทยาน-อักษะ และเอกชัย- วงแหวน  เชื่อมั่นดีมานด์กลุ่มลูกค้าระดับบนที่ยังคงมีกำลังซื้อต่อเนื่อง โดยคาดว่าปลายปี 66 จะสามารถปิดยอดขายรวมกันทั้งปีได้ 6,000 ล้านบาท  พบกับงานใหญ่แห่งปี ‘Imagining Better Living’ วันที่ 14-17 ก.ย. 66 นี้ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 1 รวบรวมบ้าน, คอนโดฯ และทาวน์โฮมทั้งหมด 18 โครงการ หลากหลายทำเลคุณภาพทั่วไทย พร้อมโปรโมชั่นดีที่สุดแห่งปี และข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองภายในงานเท่านั้น ลดสูงสุด 6,000,000 ล้านบาท* ฟรี ทุกค่าใช้จ่ายวันโอนฯ รับคะแนน The 1 สูงสุด 100,000 คะแนน     คุณวัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “Central Pattana Residence เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง เราลงทุนทั้งเมืองหลัก และเมืองรองขยายโครงการที่อยู่อาศัยครอบคลุมกว่า 18 จังหวัด ซึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมการกระจายความเจริญ สร้างย่าน เมือง ชุมชน สังคม รวมไปถึงสร้างประเทศอีกด้วย โดยโครงการของเรามีจุดแข็งในด้านทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดในทุกย่านและเมือง อีกทั้งยังเชื่อมต่อและ Synergy กับส่วนอื่นๆ ใน The Ecosystem for All ของเรา ทั้งส่วน Retail ที่เป็นหัวใจสำคัญ และในบางทำเลยังเชื่อมกับส่วนของโรงแรม และอาคารสำนักงาน รวมกันเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่มีศักยภาพสูง ดังนั้น เราจึงสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยได้อย่างครอบคลุมทั้ง 360 องศา ไม่ว่าจะเป็นการ Shop-Eat-Work-Play-Stay-Live ตลอด 24 ชม.”   “เรามุ่งมั่นสร้างโครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำอสังหาริมทรัพย์ของเรา และการออกแบบพื้นที่ Place Making เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน เชื่อมโยงไปถึง People และ Planet ดูแลผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ทุกโครงการจึงเน้นการสร้างสังคมคุณภาพและสภาพแวดล้อมที่ดี สร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในทุกมิติ พร้อมส่งมอบบ้านและคอนโดมิเนียมที่มีคุณภาพ ด้วยฟังก์ชั่นที่ครบครันและได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย เอื้อต่อการใช้ชีวิตของทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย” คุณวัลยากล่าว คุณกรี เดชชัย President, Residential Business บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “สำหรับแผนปี 2566 นี้เราเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 7 โครงการ ได้แก่ คอนโดฯ 3 โครงการทั้ง ESCENT ที่เพชรบุรี, บุรีรัมย์ และบางนา รวมทั้งโครงการบ้าน 4 โครงการ ทั้งบ้านนิรติ นครศรีฯ, และบ้านนิรดา แบรนด์ล่าสุดใน  3 ทำเลคือ พระราม 2, อุทยาน-อักษะ, เอกชัย-วงแหวน โดยคาดว่าปลายปีนี้จะปิดยอดขายรวมกันทั้งปี 6,000 ล้านบาท ทั้งนี้มองว่าแนวโน้มไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ตลาดอสังหาฯ ยังคงมีทิศทางที่ดี โดยมีปัจจัยบวกจากความต้องการด้านที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่ยังคงมีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง”   เตรียมพบกับ “บ้านนิรดา พระราม 2” เปิดตัวในวันที่ 7-8 ตุลาคม 2566 นี้ บ้านเดี่ยวหรูสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ติดถนนพระราม 2 ทำเลศักยภาพ เชื่อมต่อย่านเศรษฐกิจ พระราม 3-ยานนาวา-สาทร ได้อย่างสะดวก และยังสามารถเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดปริมณฑลทั้งจังหวัดนครปฐม ผ่าน ถ.พุทธสาคร รวมถึงเป็น South Gate ที่จะเดินทางไปยังภาคใต้ ตอบโจทย์ทุก ไลฟ์สไตล์การใช้ชิวิตทุกรูปแบบ รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทั้ง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 2, Tops Club, เซ็นทรัล มหาชัย รวมถึงแหล่งไลฟ์สไตล์ โรงเรียนนานาชาติ และสถานพยาบาลชั้นนำ เปิดโมเดลธุรกิจและกลยุทธ์แข็งแกร่ง Central Pattana Residence จากจุดเริ่มต้นของ RESIDENCE ด้วยโครงการภายใต้แบรนด์ ESCENT คอนโดฯ ติดศูนย์การค้า ที่ได้รับการตอบรับดีทั่วประเทศ พัฒนาสู่แบรนด์ Phyll คอนโดฯ ระดับพรีเมี่ยม การผนึกกำลังกับทั้งศูนย์การค้าเซ็นทรัล และศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เรียกได้ว่ามี Insight มองเห็น Behavior และ Domestic Demand จริง ทั่วประเทศ มีความพร้อมในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ทุกระดับราคา ภายใต้ Brand และ Product ที่หลากหลายทั้งแนวราบและแนวสูง โดยพัฒนาตั้งแต่โครงการแรกจนถึงสิ้นปี 66 นี้ มีจำนวนโครงการรวมทั้งหมด 35 โครงการ ครอบคลุม 18 จังหวัด โดยมีโครงการที่ขายเสร็จสิ้นไปแล้วกว่า 12 โครงการ ทั้งนี้ในด้าน Sustainability “บ้านและคอนโดฯ เซ็นทรัล” ยังคำนึงถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตที่ดี บ้านทุกหลังเตรียมจุดรองรับ EV CHARGER สำหรับรถยนตร์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทุกรุ่น การใช้เฟอร์นิเจอร์ในพื้นที่ส่วนกลางจากวัสดุรีไซเคิล รวมถึงมีการร่วมมือกับ SCG เลือกใช้วัสดุก่อสร้าง และผลิตภัณฑ์ที่มีฉลาก SCG Green Choice มาใช้ในโครงการ ผนวกกับนวัตกรรม SCG Active AIR Quality ที่ช่วยสร้างอากาศดี ด้วยการกรองฝุ่น PM 2.5 ลดเชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัสเข้าสู่บ้าน และติดตั้งแผง Solar Cell บนหลังคาอาคารสโมสร และไฟ Solar Cell ทางเดินในพื้นที่ส่วนกลาง   บทความน่าสนใจ เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050 เซ็นทรัลพัฒนา ลงทุน 13,900 ล้าน ปั้นแลนด์มาร์ก 3 บิ๊กมิกซ์ยูส
AWC จับมือ 2C2P แพลตฟอร์มชำระเงินระดับโลก ปักหมุดที่เอ็มไพร์ทาวเวอร์

AWC จับมือ 2C2P แพลตฟอร์มชำระเงินระดับโลก ปักหมุดที่เอ็มไพร์ทาวเวอร์

         บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดบ้านเอ็มไพร์ทาวเวอร์ต้อนรับบริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด (2C2P) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการชำระเงินระดับโลก เปิดสำนักงานแห่งใหม่ที่อาคาร ‘เอ็มไพร์’ อาคารสำนักงานไลฟ์สไตล์สเปซ และทำความร่วมมือของทั้งสององค์กรที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับดิจิทัลอีโคซิสเต็ม ตอบโจทย์บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก สร้างพื้นที่สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมต่อองค์กร ผู้คน และชุมชน ผ่านคอนเซ็ปต์ ‘Co-Living Collective: Empower Future’ ที่เป็นเอกลักษณ์ของอาคาร ‘เอ็มไพร์’ พร้อมนำเสนอ AWC Infinite Lifestyle (AWI) โปรแกรมสิทธิประโยชน์สำหรับผู้เช่า ตอบโจทย์ทั้งด้านการทำงานและการพักผ่อนได้อย่างลงตัว โดยอาคาร ‘เอ็มไพร์’ จะสร้างพื้นที่ Co-Living ให้เกิดการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้เช่า ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย รวมถึงการส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ผ่านการจัดกิจกรรม เวิร์คช็อป สัมมนา และการสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน AWC จับมือ 2C2P AWC จับมือ 2C2P           นายปิยชาติ รัตน์ประสาทพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด (2C2P) กล่าวว่า “วิสัยทัศน์ของ 2c2p คือพัฒนาและให้บริการระบบชำระเงินแบบครบวงจร โดยสร้างโครงสร้างพื้นฐานของการชำระเงินผ่านเครือข่ายการชำระเงินที่เป็นพันธมิตรกับเรา เพื่อให้ผู้ใช้มีทางเลือกที่หลากหลายในการชำระเงิน เพราะการชำระเงินถือเป็นส่วนหลักเพื่อสนับสนุนระบบนิเวศแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ 2C2P เราเชื่อว่าบุคลากรคือรากฐานของความสำเร็จของเรา เราดูแลพนักงานของเราและพยายามหาวิธีการเพื่อให้เกิดความสมดุลที่ดีระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว ดังนั้นเราจึงเลือก อาคาร 'เอ็มไพร์' เป็นที่ตั้งสำนักงานแห่งใหม่ของเราเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท การตัดสินใจของเรามีรากฐานมาจากความเชื่อมั่นของเราที่มีต่ออาคาร 'เอ็มไพร์' ที่มีการจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางเพื่อให้ผู้เช่าได้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น พื้นที่ทำงานแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการผสมผสานงานและชีวิตของพนักงานของเราเข้าด้วยกัน และให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน”   “อาคาร ‘เอ็มไพร์’ ยังมีพื้นที่ส่วนกลางที่สามารถใช้ทำงานร่วมกันแบบเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย บวกกับอยู่บนทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง และเพียบพร้อมด้วยสิทธิพิเศษมากมายที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการทำงานของพนักงาน 2C2P ด้วยข้อเสนอสิทธิพิเศษของ AWI (AWC Infinite Lifestyle) ที่นอกจากสามารถใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกของ อาคาร 'เอ็มไพร์’ ร่วมกันอันเป็นอภิสิทธิเฉพาะผู้เช่าเท่านั้น ทางผุ้บริหาร พนักงานของ 2C2P ยังได้สิทธิในการรับบริการพิเศษจากเครือข่ายแบรนด์และพันธมิตรของ AWC ในส่วนของโรงแรม ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงานด้วยเช่นกัน จึงทำให้ทีม 2C2P ลงตัวสำหรับการเลือกที่จะขยับขยายมาที่อาคาร 'เอ็มไพร์”                                ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “AWC และ 2C2P มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการมุ่งสร้างสถานที่ทำงานแห่งความสุขให้กับพนักงาน เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ 2C2P สู่อาคาร ‘เอ็มไพร์’ และเชื่อมั่นว่าความแข็งแกร่งด้านนวัตกรรมการชำระเงินดิจิทัลของ 2C2P ผสานกับคอนเซ็ปต์ ‘Co-Living Collective: Empower Future’ ของอาคาร ‘เอ็มไพร์’ ที่ออกแบบเพื่อรองรับเทรนด์ที่ผสานการทำงานและไลฟ์สไตล์อย่างลงตัว จะตอบโจทย์ความต้องการของคนทำงานและองค์กรรุ่นใหม่ได้อย่างดี และเป็นพื้นที่เสริมความแข็งแกร่งและการเติบโตให้ดิจิทัลอีโคซิสเต็มอย่างไม่มีขีดจำกัด นอกจากนี้ภายใต้แนวคิด Co-Living ยังสร้างพื้นที่สำหรับกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์และความคิดสร้างสรรค์เหมือนกัน มารวมตัวเพื่อสร้างคุณค่าและเติบโตไปด้วยกัน โดยผู้เช่าและพนักงานจะมีโอกาสในการทำความรู้จักและสร้างการเชื่อมต่อเพื่อสร้างการเติบโตและพัฒนาโอกาสทางธุรกิจร่วมกันกับองค์กรอื่นภายในอาคารผ่านแพลตฟอร์มทั้งออฟไลน์-ออนไลน์ รวมถึงการแบ่งปันทักษะ ความรู้ร่วมกัน ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่จัดโดย AWC อาทิ เวิร์คช็อป การสัมมนา โดยความร่วมมือระหว่าง AWC และ 2C2P ครั้งนี้ ยังตอบสนองความต้องการของพนักงานในอีโคซิสเต็มได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการเติบโตอย่างไร้ขอบเขต พร้อมร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้กับพนักงานร่วมกัน”   ทั้งนี้ สำนักงานแห่งใหม่ของ 2C2P จะเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคมปี 2567 มีพื้นที่รวมกว่า 3,000 ตารางเมตร รองรับพนักงานได้กว่า 300 คน โดยอาคาร ‘เอ็มไพร์’ เป็นสำนักงานระดับเกรดเอ ตั้งอยู่ใจกลาง CBD ย่านสาทร ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีใน Co-Living และ Collaborative Spaces ที่ใหญ่ที่สุด พร้อมด้วยการออกแบบตกแต่งที่ผสานพื้นที่ทำงานและพื้นที่ด้านไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว เชื่อมต่อผู้เช่าและพนักงานของบริษัทชั้นนำเข้าในอีโคซิสเต็ม นอกจากนี้ AWC ยังตอบสนองไลฟ์สไตล์การทำงานของผู้เช่าอาคาร ‘เอ็มไพร์’ พร้อมไลฟ์สไตล์สุดพิเศษ ผ่าน AWC Infinite Lifestyle ลอยัลตี้โปรแกรมที่มอบสิทธิประโยชน์ สินค้าและบริการในโครงการคุณภาพของ AWC ทั้งโรงแรม อาคารสำนักงานและคอมมูนิตี้ชอปปิ้งมอลล์ เพื่อส่งเสริมดิจิทัลอีโคซิสเต็มในอาคาร ‘เอ็มไพร์’ แบบครบวงจร “AWC ยังได้ร่วมมือกับ 2C2P ในการพัฒนา Pikul แอปพลิเคชันอสังหาริมทรัพย์เพื่อไลฟ์สไตล์ตัวใหม่ของเรา ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มบูรณาการแบบ Omnichannel ที่ไม่เหมือนใคร โดยจะรวมประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์สุดพิเศษต่าง ๆ ที่ดีที่สุดเข้าด้วยกัน ทั้งการขาย (Sales) การส่งของขวัญ (Gifting) และเกมมิฟิเคชั่นเพื่อแลกรางวัล (Gamification) ในแอปพลิเคชัน โดย Pikul ยังทำงานร่วมกับ 2C2P ในการพัฒนาช่องทางการชำระเงิน e-wallet และ prepaid-card แพลตฟอร์มการชำระเงินที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับ Pikul โดยเฉพาะ เพื่อเสริมศักยภาพและประสบการณ์การใช้ AWC Infinite Lifestyle”   “AWC มุ่งพัฒนาอาคาร ‘เอ็มไพร์’ เป็นอาคารสำนักงานระดับสากลที่รวมบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมาย พร้อมด้วยเครือข่ายดิจิทัลที่เป็นแกนหลักของทุกอุตสาหกรรมธุรกิจ เพื่อสร้างอีโคซิสเต็มที่รวมพลังตอบโจทย์การเติบโตทางธุรกิจ รวมถึงความสุขและไลฟ์สไตล์ของทุกคน ผ่านโมเดลรูปแบบใหม่ Co-Living ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดย AWC เชิญชวนบริษัทชั้นนำระดับโลกมาร่วมส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน ขยายเครือข่าย และสร้างความแข็งแกร่งทางด้านโซลูชั่นระหว่างอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของอีโคซิส สร้างประโยชน์และคุณค่าให้กับทุกคน” นางวัลลภา กล่าวสรุป   บทความน่าสนใจ [PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ
อรสิรินโฮลดิ้ง เตรียมขาย IPO 406.5 ล้านหุ้นใน SET หลังก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง

อรสิรินโฮลดิ้ง เตรียมขาย IPO 406.5 ล้านหุ้นใน SET หลังก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง

ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง อรสิริน โฮลดิ้ง ดีเวลลอปเปอร์จากเชียงใหม่ เตรียมขายไอพีโอ 406.5 ล้านหุ้น เข้า SET ผนึก APM ที่ปรึกษาการเงิน เดินสายโรดโชว์นำเสนอข้อมูลแก่กองทุน นักลงทุนสถาบันต่างประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง พร้อมพบนักลงทุนรายย่อย 15 จังหวัดทั่วประเทศ มั่นใจพื้นฐานแกร่ง นักลงทุนตอบรับดี   ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ORN เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ หรือ ไฟลิ่ง เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ของ ORN ในวันที่ 23 สิงหาคม 2566  เป็นที่เรียบร้อยแล้ว   โดยบริษัทจะเดินหน้านำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับกองทุน นักลงทุนสถาบัน ต่างประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ในวันที่ 23-25 สิงหาคม 2566 สำหรับการนำเสนอข้อมูลในครั้งนี้คาดว่าจะได้รับความสนใจจากกองทุนต่างประเทศเป็นอย่างดี  เนื่องจาก ORN เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบและแนวสูงในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มายาวนานกว่า 17 ปี และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมั่นคง ด้านนายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APM กล่าวว่า ปัจจุบัน อรสิริน  หรือ ORN มีทุนจดทะเบียน 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 1,500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาทและมีทุนที่เรียกชำระแล้ว 1,093.50 ล้านบาท โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 406.50 ล้านหุ้น หรือ 27.10% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)   โดยหลังจากนี้ เตรียมเดินหน้านำเสนอข้อมูลธุรกิจของบริษัท พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนกลุ่มต่างๆ และผู้ที่สนใจ โดยจะทำการโรดโชว์ในประเทศทั้งหมด 15 จังหวัดในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2566  รวมถึงนำเสนอข้อมูลรายละเอียดหลักทรัพย์ แก่เจ้าหน้าที่นักวิเคราะห์ เจ้าหน้าที่การตลาด ณ ห้องค้าบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายในปีนี้   ขณะที่นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) หรือ ORN กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจของบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง เสริมสร้างศักยภาพทางการเงิน เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต   ปัจจุบัน ORN ประกอบธุรกิจการลงทุนถือหุ้นบริษัทอื่น (Holding Company) มีกลุ่มธุรกิจหลักคือ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบ แนวสูง ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย บนทำเลคุณภาพจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและการพัฒนา ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566 จำนวนรวม 18 โครงการ ภายใต้แบรนด์สินค้า ได้แก่ THE ESCAPE , HABITAT , BELIVE , ORNSIRIN , ORNSIRIN VILLE , URBAN MYX , THE ASTRA , ARISE และ THE NEXT มูลค่าขายโครงการรวมประมาณ 15,533 ล้านบาท มีมูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 2,329 ล้านบาท เป็นที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จแล้วหรือที่อยู่ระหว่างก่อสร้างที่เปิดขายแล้ว แบ่งเป็นมูลค่าคงเหลือขายโครงการแนวราบประมาณ 712 ล้านบาท และโครงการแนวสูงประมาณ 1,617 ล้านบาท รวมถึงมีที่ดินรอการพัฒนาหรืออยู่ระหว่างก่อสร้างที่ยังไม่เปิดขายรวมประมาณ 3,850 ล้านบาท บริษัทยังคงมุ่งเน้นเดินหน้าสร้างการเติบโตต่อเนื่อง เตรียมแผนขยายโครงการบนทำเลคุณภาพ ชูกลยุทธ์พัฒนาที่อยู่อาศัย ด้วยการออกแบบฟังก์ชันและนวัตกรรมการอยู่อาศัยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ลูกบ้านทุกโครงการ ตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำ ผู้พัฒนาอสังหาฯภูมิภาคอย่างแข็งแกร่ง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อรสิริน ดีเวลลอปเปอร์รายแรกของภาคเหนือ เตรียม IPO ใน SET  ปี 66
[PR News] “ณ วีรา รามอินทรา” พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างจริงครั้งแรก แถมโปรส่วนลด 200,000 บาท

[PR News] “ณ วีรา รามอินทรา” พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างจริงครั้งแรก แถมโปรส่วนลด 200,000 บาท

ณวรางค์ แอสเซท ได้ฤกษ์เปิดตัวโครงการ ณ วีรา รามอินทรา มูลค่า 550 ล้าน ภายใต้แนวคิด “ให้คุณเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ใช่ได้ทุกวัน ..CRAFT YOUR EVERYDAY” คอนโดฯ ใหม่ให้ครบเกินคุ้ม ย่านลาดปลาเค้าใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู แค่ 3 นาที พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างครั้งแรก ด้วยราคาเริ่มต้น 1.49 ล้าน แถมส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท ชูจุดเด่นทำเลทองเพื่อการอยู่อาศัย ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยจริง และลงทุนปล่อยเช่า   นายอภิภู พรหมโยธี  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด  เปิดเผยว่า ได้เตรียมเปิดตัวโครงการ ณ วีรา รามอินทรา คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ล่าสุดของบริษัทพร้อมให้ชมห้องตัวอย่างครั้งแรกในวันที่ 26 -27 ส.ค.นี้ โดยเปิดขายห้องชุดในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท และยังจัดโปรโมชั่นต้อนรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ด้วยส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท สำหรับผู้ลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์​ https://navarangasset.com/projects/naveera-ramintra/   สำหรับโครงการ  ณ วีรา รามอินทรา ตั้งอยู่บริเวณซอยลาดปลาเค้า 72 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีลาดปลาเค้า เพียง 3 นาที บนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ มูลค่า 550 ล้านบาท มีจำนวน 218 ยูนิต พัฒนาภายใต้แนวคิด “ให้คุณเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ใช่ได้ทุกวัน ..CRAFT YOUR EVERYDAY” คอนโดฯ ใหม่ให้ครบเกินคุ้ม ด้วยการดีไซน์ห้องที่ลงตัวเพื่อการอยู่อาศัยอย่างมีความสุข พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุคใหม่ อาทิ คลับเฮ้าส์สองชั้นที่มี Co-working space ฟิตเนสวิวธรรมชาติ รูฟท้อป สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ลานบาร์บีคิว   นายอภิภู กล่าวว่า โครงการ ณ วีรา รามอินทรา ตั้งอยู่บนทำเลทองย่านลาดปลาเค้า เพราะนอกจากจะอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีลาดปลาเค้า ซึ่งสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อมุ่งสู่ทุกจุดหมายในกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกสบายแล้ว ยังใกล้กับแหล่งการศึกษาชั้นนำ อาทิ มหาวิทยาลัยศรีปทุมและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียงแปดถึงสิบห้านาทีเท่านั้น ใกล้แหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ ทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ที่ใช้ระยะเวลาเดินทางเพียงไม่กี่นาที ใกล้กับสถานีราชการและแหล่งงานต่าง ๆ มากมายด้วย ความต้องการอยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน ยังคงคำนึงถึงเรื่องทำเลที่ตั้ง ซึ่งต้องเดินทางสะดวก สามารถเชื่อมต่อกับบริการรถสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน    สำหรับโครงการ  ณ วีรา รามอินทรา นับว่าเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว เพราะใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือรถไฟฟ้าบีทีเอส ในอนาคตยังจะเชื่อมต่อสายสีน้ำตาลและสีม่วงด้วย ซึ่งบริษัทตั้งใจพัฒนาดังกล่าวเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการอยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นผู้เริ่มต้นชีวิตใหม่ นักศึกษา ผู้ที่อยู่ย่านลาดปลาเค้าและต้องการขยับขยายจากบ้านเดิมแต่ยังรักในทำเลที่คุ้นเคย รวมทั้งกลุ่มนักลงทุนที่มองหาความคุ้มค่าสมราคา เพราะสามารถซื้อและปล่อยเช่าให้กับกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา หรือกลุ่มคนทำงานในบริเวณใกล้เคียงได้ด้วย โครงการมีห้องทั้งหมด 218 ห้อง โดยมีห้องทั้งหมด 5 แบบ ได้แก่ TYPE A  :  1 BEDROOM              22.07 -22.87 SQ.M. TYPE B  :  1 BEDROOM              26.42-27.34  SQ.M. TYPE C  :  1 BEDROOM PLUS   35.13-35.74   SQ.M. TYPE D1  :  2 BEDROOM            41.04            SQ.M. TYPE D2  :  2 BEDROOM            41.72            SQ.M.   โดยทุกห้องจะออกแบบในสไตล์โมเดิร์นมาพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์แบบครบครัน ภายในวันงานโครงการมีโปรโมชั่น จองพร้อมทำสัญญาในงานรับ Voucher Central มูลค่า 5,000 – 10,000 บาท พิเศษเฉพาะในงานวันที่ 26 -27 ส.ค.นี้ เท่านั้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ณวรางค์ แอสเซท ได้แรงหนุนสายสีชมพูสร้างใกล้เสร็จ ส่ง “ณ รีวา รามอินทรา” รับลูกค้าย่านลาดปลาเค้า -“ณวรางค์ แอสเซท” กางแผน 3 ปี ผุดโปรเจ็คต์ใหม่กว่า 5,000 ล้าน พร้อมเปิดตัว “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” คอนโดฯ เพื่อคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน
[PR News] นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป พร้อมเปิดตัว “หลับดี” 3 แห่งในญี่ปุ่นและไทย

[PR News] นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป พร้อมเปิดตัว “หลับดี” 3 แห่งในญี่ปุ่นและไทย

นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เตรียมเปิด 3 ที่พักใหม่ “หลับดี” ในโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เกาะเต่าและย่านไชน่าทาวน์ (สามยอด) ใจกลางกรุงเทพฯ ประเทศไทย   นายนที นิธิวาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เปิดเผยว่า นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ผู้พัฒนาและประกอบธุรกิจที่พักแบรนด์หลับดีและโรงแรมเครือมาราสก้า ประกาศความพร้อมเปิดตัวที่พักแบรนด์หลับดี (Lub d) เพิ่มอีก 3 แห่งในปี 2566 และ 2567 ได้แก่ หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ หลับดี เกาะเต่าและหลับดี ไชน่าทาวน์  กรุงเทพฯ โดยทั้ง 3 แห่งได้ออกแบบให้มีเอกลักษณ์ รวมถึงประสบการณ์การต้อนรับอันโดดเด่นของแบรนด์หลับดี ถือเป็นที่พักแนวไลฟ์สไตล์ ดีไซน์ทันสมัย เพื่อนักเดินทางรุ่นใหม่ที่มีเป้าหมายชัดเจน และเน้นความคุ้มค่า การเปิดตัวที่พักแบรนด์หลับดีเพิ่มเติมอีก 3 แห่งถือเป็นการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ เสริมสร้างและสะท้อนความแข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทที่กำลังขยายสาขาในเอเชีย หลังจากที่บริษัทได้ดำเนินธุรกิจโรงแรมและบริการในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ โรงแรมหลับดีได้ขยายกิจการไปยังจุดหมายปลายทางยอดนิยมทั้งในไทยและประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันโรงแรมหลับดีได้เปิดให้บริการแล้วถึง 5 แห่ง ได้แก่ หลับดีในไทย 3 แห่ง เสียมราฐ กัมพูชา 1 แห่ง และกรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ อีก 1 แห่ง   สำหรับในปีนี้ หลับดีมีแผนเปิดให้บริการโรงแรมเพิ่มเติมอีก 1 แห่ง คือ หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ในช่วงเดือนกันยายน และนอกจากนี้ยังมีแผนเปิดให้บริการเพิ่มเติมในปี 2567 อีก 2 แห่ง คือ หลับดี เกาะเต่า  ในไตรมาสที่ 1 และหลับดี ไชน่าทาวน์  กรุงเทพฯ ในไตรมาสที่ 3   โดยหลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฮอนมาจิ เมืองโอซาก้า หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ถือเป็นก้าวสำคัญของแบรนด์ เนื่องจากเป็นการเปิดตัว หลับดีที่แรกในญี่ปุ่น แขกผู้เข้าพักจะได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศของเมืองที่มีสีสัน แถมยังเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก ที่สำคัญที่พักแห่งนี้ยังมอบโอกาสให้นักเดินทางจากทั่วโลกมาพบปะทำความรู้จักกันท่ามกลางกลิ่นอายวัฒนธรรมญี่ปุ่น และการต้อนรับอย่างอบอุ่นในรูปแบบเฉพาะตัวของหลับดี ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกสุดทันสมัยไว้คอยให้บริการ หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ยังเต็มไปด้วยการตกแต่งที่ทันสมัยพร้อมด้วยผลงานศิลปะจากศิลปินท้องถิ่น ที่จะทำให้บรรยากาศไม่น่าเบื่อและสนุกสนาน พร้อมเปิดให้บริการ ในเดือนกันยายน 2566 ส่วนหลับดี เกาะเต่า ตั้งอยู่ที่อ่าวโตนด ซึ่งติดอันดับ 1 ใน 20 แหล่งดำน้ำที่ดีที่สุดของโลก มีหาดหน้าที่พักอันเงียบสงบ ทรายขาวละเอียดและน้ำใสสวยงาม เนื่องจากเกาะเต่าเป็นจุดหมายปลายทางในดวงใจของนักดำน้ำลึก หลับดี เกาะเต่า จึงเปิดโรงเรียนสอนดำน้ำไว้คอยให้บริการด้วยเช่นกัน ใครที่พร้อมออกผจญภัย ทริปดำน้ำอันแสนเร้าใจอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นที่พักในฝันของผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยอย่างแท้จริง โดยหลับดี เกาะเต่ามีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาสแรกของปี 2567   ขณะที่หลับดี ไชน่าทาวน์ กรุงเทพฯ เตรียมจะเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสามยอด ที่รายล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิ เยาวราช ชุมชนชาวจีนที่เก่าแก่ วัดวาอาราม ถนนคนเดินริมคลองโอ่งอ่าง และย่านการค้าพาหุรัด ชุมชนชาวอินเดียอันมีเสน่ห์  ใครได้มาสัมผัสบรรยากาศจะได้รับประสบการณ์ดี ๆ ที่ไม่มีวันลืมเลือนอย่างแน่นอน   ด้านนางสาวนิธิดา นิธิวาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแบรนด์หลับดี กล่าวว่า หลับดีกำลังเติบโตทั่วเอเชียเพราะเราปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของนักเดินทางรุ่นใหม่ซึ่งอยากให้ที่พักที่เป็นมากกว่าที่พัก   ที่พักของเราเป็นพื้นที่สำหรับการเข้าสังคมและทำกิจกรรมเพื่อสัมพันธภาพและประสบการณ์ที่มีความหมายของนักเดินทางหนุ่มสาว หลับดีเป็นเหมือนแหล่งเติมพลังสำหรับการเดินทางสำรวจที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ของนักเดินทางเหล่านี้   นางสาวนิธิดา อธิบายด้วยว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นในปี 2551 หลับดีตั้งเป้าที่จะเปิดที่พักทั้งในเมืองและเกาะต่าง ๆ ทั่วเอเชียมาโดยตลอด เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่อยากได้ที่พักที่สะดวกสบาย ราคาจับต้องได้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สำรวจสิ่งแปลกใหม่และของแท้ดั้งเดิมอย่างเต็มที่   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ประกาศรายได้การให้บริการ-โรงแรมโตรับท่องเที่ยวฟื้นตัว ชูดิจิทัล-กลยุทธ์บริหาร RevPar สู่เป้ากว่า 10,000 ล้าน -AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ
เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โปรเจ็กต์ร่วมทุน เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโด กับ มิตซูบิชิ เอสเตท

เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โปรเจ็กต์ร่วมทุน เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโด กับ มิตซูบิชิ เอสเตท

เอพี ไทยแลนด์ พร้อมเผยโฉม THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโดมิหนึ่งเดียว ภายใต้การร่วมทุนกับ มิตซูบิชิ เอสเตท ชูจุดเด่น เพียง 150 เมตร จากสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี กับคอนเซ็ปต์ Create Your Own Etiquette - วิถีแห่งที่สุดของชีวิตสุนทรียะในแบบคุณ กับ 3 วิธีคิดในการออกแบบที่รังสรรค์จากความเข้าใจชีวิตเหนือระดับใจกลางเมือง   นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” เพรสทีจ-ลักซ์ ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ THE ADDRESS โครงการเดียวที่พัฒนา ภายใต้การร่วมทุนกับทางบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (บริษัทในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป)  มูลค่าโครงการ 8,600 ล้านบาท  อยู่ห่างเพียง 150 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี ถือเป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ในพอร์ตสินค้าระดับเพรสทีจ–ลักซ์ที่บริษัทฯ ไม่ได้เปิดตัวมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งการเฟ้นหาที่ดินใจกลางเมือง ที่ตอบโจทย์ทั้งคุณค่าและมูลค่าถือเป็นคีย์สำคัญในการพัฒนาคอนโดมิเนียมแบรนด์ THE ADDRESS โดยโครงการ THE ADDRESS สยาม–ราชเทวี พัฒนาขึ้นจากความเข้าใจถึงการใช้ชีวิตคุณภาพทุกองค์ประกอบ พร้อมส่งมอบการพักอาศัยที่สมบูรณ์ หนึ่งเดียวบนทำเลมากมูลค่า ในย่านสยามเชื่อมต่อราชเทวี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Create Your Own Etiquette - วิถีแห่งที่สุดของชีวิตสุนทรียะในแบบคุณ” กับ 3 วิธีคิดในการออกแบบที่รังสรรค์จากความเข้าใจชีวิตเหนือระดับใจกลางเมือง ได้แก่ 3 วิธีคิดปั้น “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” 1.SOPHISTICATION DESIGN ตั้งใจออกแบบตั้งแต่ภายนอก จนถึงพื้นที่ภายในทุกมิติ ด้วยการออกแบบพื้นที่ภายในห้องพักแบบพิเศษให้มีส่วน Cantilever ที่ยื่นออกมาเพื่อเปิดมุมมองได้กว้างกว่าเดิม รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 4 ไร่ สู่การรับวิวสวยของทัศนียภาพใจกลางทำเลราชเทวีได้ถึง 360 องศาจาก The Sky Facilities ชั้น 50 เพิ่มสุนทรียะแห่งการใช้ชีวิตในอาคารที่สูงที่สุดในราชเทวี ที่ให้ความรู้สึกที่พิเศษ 2.BEST QUALITY & FINEST MATERIALS วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในโครงการ ได้รับการเลือกเฟ้นจากผู้ผลิต และแหล่งที่ดีที่สุดจากทั่วโลก สะท้อนความประณีตในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น หินอ่อน Palissandro Bluette และ หินอ่อน Venice Grey ที่มีลวดลายสวยงามหรูหรา เพิ่มความพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ในพื้นที่ส่วนกลางแต่ละแห่ง  รวมถึงหิน Limestone  หินสีขาวที่มีความพิเศษ โดยนำมากรุส่วน Façade ด้านหน้าของตึก   นอกจากนี้ ยังมีหินอ่อน Statuario (สตาตูอาริโอ้) เนื้อหินสีขาวแทรกด้วยเส้นแร่หนาบางสีเทาอ่อน ซึ่งเป็นหินที่โปรดปรานของเหล่าประติมากร ที่ถูกนำมาต่อเป็นลวดลายบุ๊คแมกซ์ขนาดใหญ่ในส่วนของ The Grande Chamber ล็อบบี้ต้อนรับ การเลือกใช้ผ้าบุจากแบรนด์ระดับโลก Hermès Furnishing Fabrics and Wallpapers สะท้อนความลักชัวรีที่มีเอกลักษณ์ นำมาใช้ในงานตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางในส่วน The Sky Chamber อาทิ ชุดเฟอร์นิเจอร์ Signature Arm Chair และผนังหลักของห้อง ที่พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่หรูหราเฉพาะตัวของผู้เป็นเจ้าของได้อย่างชัดเจน 3.PRECIOUS LOCATION ตั้งอยู่ในโลเคชันมากคุณค่าและมูลค่าใจกลางเมือง บนตำแหน่งที่ดินที่ดีที่สุดในย่านสยามเชื่อมต่อราชเทวี เพียง 150 เมตร จากสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี และไม่ไกลจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีพญาไท ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจสำคัญ ใจกลางย่านชอปปิง ไลฟ์สไตล์ และศูนย์กลางย่านสถานศึกษา โดยโครงการพร้อมเปิดให้ชมทุกพื้นที่อย่างเป็นทางการในวันที่ 26 - 27 สิงหาคมนี้  ดีไซน์เพื่อชีวิตระดับเพรสทีจ - ลักซ์ ลงทะเบียนนัดหมายล่วงหน้า รับส่วนลดสูงสุด 1,000,000 บาท 1 ห้องนอน 35 ตารางเมตร พร้อมพาโนรามิควิว ราคาเริ่มต้น 8.29 ล้านบาท   สำหรับข้อมูลโครงการ THE ADDRESS สยาม–ราชเทวี ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 3-1-55 ไร่  มูลค่าโครงการ 8,600 ล้านบาท ที่พักอาศัยสูง 50 ชั้น จำนวนเรสซิเดนส์ทั้งสิ้น 880 ยูนิต ประกอบด้วยห้องทั้งหมด 5 รูปแบบ ได้แก่ 1.ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 31 - 35 ตารางเมตร 2.ห้องชุด 1 ห้องนอน (ดูเพล็กซ์) ขนาด 50 ตารางเมตร 3.ห้องชุด 2 ห้องนอน ขนาด 51.5 - 69.5 ตารางเมตร 4.ห้องชุด 2 ห้องนอน (ดูเพล็กซ์) ขนาด 65 ตารางเมตร 5.ห้องชุด 3 ห้องนอน ขนาด 86 ตารางเมตร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตท 10 ปีกับผลงานชิ้นโบว์แดง 24 โครงการร่วมทุน มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท
เสนา นำร่องแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เปิดตัว “เสนา เวล่า สุขุมวิท – บางปู”

เสนา นำร่องแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เปิดตัว “เสนา เวล่า สุขุมวิท – บางปู”

เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ชูแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เตรียมส่ง “เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู” ทาวน์โฮม ฟังก์ชันใหม่ ติดตั้งโซลาร์เซลล์ ช่วยประหยัดค่าไฟสูงสุด 25 ปี พร้อมแนวคิด geo fit+ จากญี่ปุ่นที่นำมาปรับใช้ให้เหมาะกับการอยู่อาศัยของคนไทย และนวัตกรรมประหยัดพลังงาน มุ่งสู่การสร้างบ้านพลังงานเป็นศูนย์ ลดค่าไฟ ลดคาร์บอน     ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวคิดบ้านพลังงานเป็น 0 รายแรกของประเทศไทย เปิดเผยว่า เสนามุ่งมั่นในการนำพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวคิด “The Essential Lifelong Trusted Partner” เพื่อสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีให้ลูกค้าในทุกช่วงชีวิต ควบคู่ไปกับการดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ส่วนหนึ่งของแนวคิดนี้สะท้อนผ่านการเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง ที่จะมุ่งสู่การสร้างสังคมแบบ Decarbonized Lifestyle   โดยในส่วนโครงการแนบราบ เสนาพัฒนาบนแนวคิด “บ้านพลังงานเป็น 0” ที่คิดละเอียดและใส่ใจทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง และสุขภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงการติดตั้งโซลาร์รูฟ เพื่อผลิตพลังงานสะอาดใช้เอง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมามีงานวิจัยร่วมกับ Chula Unisearch เพื่อทำการศึกษาทดลองบ้านพลังงานเป็น 0 ที่เหมาะสำหรับประเทศไทย และผลการวิจัยพบว่าบ้านขนาดใหญ่ของเสนา สามารถลดการใช้พลังงานได้สูงสุดถึง 38% ล่าสุดเตรียมเปิดโครงการ “เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู” พัฒนาบนแนวคิด “บ้านพลังงานเป็น 0” พร้อมนำแนวคิด “SMART CITY” ไม่ว่าจะเป็น Smart Energy, Smart Mobility, Smart Living ,Smart Environment เป็นต้น มาปรับใช้ในโครงการเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ง่าย ๆ ผ่านการอยู่อาศัยภายในบ้าน   โครงการประกอบด้วย ทาวน์โฮมอิสระ 2 ชั้น และบ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 170 ยูนิต แบ่งเป็น ทาวน์โฮมอิสระ จำนวน 156 ยูนิต ที่ดินเริ่มต้น 27 ตร.วา 4 ห้องนอน 1 ห้องอเนกประสงค์ 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และบ้านแฝด จำนวน 14 ยูนิต ที่ดินเริ่มต้น 36 ตร.วา 4 ห้องนอน 1 ห้องครัว 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้กว้างเทียบเท่าบ้านเดี่ยว และมีพื้นที่สีเขียว  พร้อมด้วยนวัตกรรมโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน ช่วยประหยัดค่าไฟสูงสุดตลอดอายุการใช้งาน 25 ปี พื้นที่ส่วนกลาง สระว่ายน้ำระบบเกลือ คลับเฮ้าส์บริเวณกลางโครงการ ฟิสเนต สวนย่อมส่วนกลาง ระบบกล้อง CCTV พร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ราคาเริ่มต้นที่ 4.59 ล้านบาท   นอกจากนี้ โครงการยังถูก​ออกแบบด้วยแนวคิด geo fit+ (จีโอฟิต พลัส) จากพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่น เน้นการออกแบบและตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัย 3 ด้าน ได้แก่ geo fit+ itsumo เปลี่ยนช่วงเวลาธรรมดาให้แสนพิเศษ geo fit+ tsunagu การสร้างความยั่งยืนในอนาคต และ geo fit+ mamoru ใส่ใจคนที่คุณรักในทุกมิติของการใช้ชีวิต ที่มุ่งเน้นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด #ที่เยอะจะทำอะไรก็ได้ ใส่ใจต่อผู้อยู่อาศัย สะท้อนความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัย เพื่อนำมาปรับปรุง ออกแบบพัฒนาในทุกมิติ รองรับครอบครัวใหญ่ ครอบครัวขยาย ด้วยราคาที่คุ้มค่า โครงการตั้งอยู่บนทำเล ต.บางปูใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ เดินทางสะดวก มีรถสาธารณะผ่าน ติดถนนสุขุมวิท-บางปู อยู่ใกล้แหล่งชุมชนและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล และห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกสบาย และความปลอดภัยให้กับคุณและทุกคนในครอบครัว ซึ่งบริษัทได้เตรียมจัดงานพรีเซลล์ครั้งแรก วันที่ 26 – 27 กรกฎาคม 2566  นี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาฯ เปิดโมเดล​ บ้านพลังงานเป็นศูนย์ เดินหน้าสู่บริษัท ด้านความยั่งยืน