ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 101 102 103
เริ่มแล้ว งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 32 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

เริ่มแล้ว งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 32 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

House & Condo Show 2015 ครั้งที่ 32 ระหว่างวันที่ 12 - 15 มี.ค. 2558 เวลา 10.00- 20.00 น. ณ Zone C-Grd, C-2, Plaza, Atrium ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ House & Condo Show 2015 ครั้งที่ 32 หรือ มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 32 รวบรวมมาไว้ในงานเดียวสำหรับผู้ที่กำลังมองหาบ้านและคอนโดคุณภาพ ในมหกรรมงานอสังหาริมทรัพย์ครั้งสำคัญ กับงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ จัดโดยสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ร่วมกับสมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ระหว่างวันที่ 12 - 15 มีนาคม 2558 เวลา 10.00 -20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พบข้อเสนอสุดพิเศษภายในงาน ส่งตรงจากผู้ประกอบการด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หลากหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นบ้านและคอนโด โครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ อาคารชุด อาคารพาณิชย์ รีสอร์ท สนามกอล์ฟ เฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน รับคำปรึกษาและคำแนะนำในการซื้อที่อยู่อาศัยอย่างถูกวิธี รวมทั้งคำแนะนำเรื่องสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากธนาคารและสถาบันการเงิน พร้อมกิจกรรมให้ร่วมสนุกมากมาย   ที่มา : ThailandExhibition.com
เนทูเรซ่า คอนโดมิเนียม พัทยา พร้อมส่งมอบ

เนทูเรซ่า คอนโดมิเนียม พัทยา พร้อมส่งมอบ

คุณสมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน)  และทีมผู้บริหารร่วมตรวจงานก่อสร้างและควบคุมการก่อสร้างให้ได้มาตรฐานเพื่อยืนยันการความพร้อมเข้าอยู่โครงการเนทูเรซ่าคอนโดมิเนียมพัทยา( โครงการ 1 )  ภายใต้แนวคิด “ Nature is all around  ความสุข … ท่ามกลางธรรมชาติ “ เอ็น.ซี ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ ของการอยู่อาศัยชุมชนเมืองคอนโด เรียกว่า ฉีกกฎของการใช้ชีวิตในรูปแบบ Community in the Park  ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ความต้องการของลูกค้าที่มีได้ครบทั้งเรื่องการเดินทางที่สะดวกรวดเร็วในทุกทิศ ถนนชัยพรวิถี พัทยาเหนือ  ติดถนนสุขุมวิท  ทำเลใจกลางเมืองพัทยา  ออกแบบคอนโดมิเนียมบนพื้นที่สีเขียวกว่า 1,600 ตารางเมตรที่แทรกอยู่ทุกมุมโครงการ จะแล้วเสร็จพร้อมส่งมอบห้องพักอาศัยให้แก่ลูกค้าปลายเดือนมีนาคมนี้ ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานขาย 8.30 น.– 18.00น. ทุกวัน โทร.038-221-655 www.ncgroup.co.th
ที่ดิน 4 ทำเลฮอตราคาพุ่ง 20-30%

ที่ดิน 4 ทำเลฮอตราคาพุ่ง 20-30%

ซีบีอาร์อีเผย 4 ทำเลฮอตสุขุมวิท เพลินจิต–ลุมพินี สีลม-สาทร และพหลฯ ราคาขยับ 20-30% คาดปีนี้แรงต่อ นางกุลวดี สว่างศรี กรรมการบริหาร แผนกการลงทุนและที่ดิน บริษัท ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เปิดเผยว่า การซื้อขายที่ดินในปี 2557 มีจำนวนลดลงเมื่อเทียบกับการซื้อขายในปี 2556 แต่ราคาที่ดินในย่านธุรกิจยังคงมีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่ดินริมถนนหรือในซอยต่างๆ โดยเฉพาะในย่านเพลินจิต ลุมพินี และสีลม-สาทร ราคาที่มีการซื้อขายที่ผ่านมามีการปรับตัวประมาณ 20-30% ทั้งนี้ สุขุมวิทเป็นทำเลที่มีการซื้อขายมากกว่าเพลินจิต และสีลม-สาทร ราคาที่ดินทั้งที่ติดริมถนนหรือในซอยมีการปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 20-30% ขึ้นอยู่กับขนาดที่ดิน ระยะห่างจากรถไฟฟ้า และรูปร่างของที่ดิน โดยเฉพาะย่านทองหล่อ ราคาที่ดินในซอยที่มีการซื้อขายจาก 3 แสนบาท/ตารางวา (ตร.ว.) ปรับขึ้นเป็น 5–7 แสนบาท/ตร.ว. ที่ดินริมถนนที่มีการซื้อขายจาก 6–8 แสนบาท/ตร.ว. ปรับขึ้นเป็น 1 ล้านบาท/ตร.ว. หรือบางแปลงก็สูงกว่านั้น สำหรับทำเลในย่านเพลินจิต–ลุมพินี มีการซื้อขายที่ดินไม่มาก เพราะที่ดินพร้อมขายมีน้อยลง ทำให้ที่ดินในซอยที่มีผู้สนใจมากขึ้นโดยเฉพาะในซอยหลังสวนมีการซื้อขายในราคาประมาณ 8 แสนบาท/ตร.ว. และในซอยร่วมฤดีมีการซื้อขายในราคาประมาณ 5–6 แสนบาท/ตร.ว. ขณะที่ย่านสีลม-สาทร มีการซื้อขายอย่างต่อเนื่องทั้งริมถนนสีลม สาทร และในซอย ราคาซื้อขายริมถนนสาทรนั้นอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.5 ล้านบาท/ตร.ว. ปรับขึ้นเฉลี่ย 20-30% ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนที่ดินในซอยมีการซื้อขายที่ราคาประมาณ 5.5–6 แสนบาท/ตร.ว. มีความต้องการจากกลุ่มพัฒนาโครงการโลว์ไรซ์ และจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่อสร้างเป็นที่พักอาศัย ราคาปรับขึ้นเฉลี่ย 20% นางกุลวดี กล่าวอีกว่า ย่านพหลโยธินมีการซื้อขายที่ผ่านมาอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าช่วงอนุสาวรีย์จนถึงสถานีรถไฟฟ้าหมอชิต ราคาขายปรับตัวสูงขึ้น 25% โดยมีราคาขาย 8–9 แสนบาท/ตร.ว. บริเวณริมถนนตามแนวรถไฟฟ้า สำหรับที่ดินย่านสุขุมวิท เพลินจิต สีลม-สาทร แม้จะมีราคาสูง แต่ยังเป็นย่านที่ติดอันดับความนิยมและคาดว่าราคาจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอีกต่อเนื่อง โดยที่ดินบางแปลงที่มีทำเลที่เด่นในเรื่องการเดินทางไปมาสะดวกและสามารถพัฒนาโครงการในลักษณะมิกซ์ยูสได้  มีความเป็นไปได้ที่ราคาซื้อขายจะไปถึง 2 ล้านบาท/ตร.ว.  
‘เพซ’ เปิดตัวโครงการ “นิมิต หลังสวน” ที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี กรรมสิทธิ์ฟรีโฮลด์ใกล้สวนลุมพินี

‘เพซ’ เปิดตัวโครงการ “นิมิต หลังสวน” ที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี กรรมสิทธิ์ฟรีโฮลด์ใกล้สวนลุมพินี

เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ประกาศเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี “นิมิต หลังสวน” ความสูง 53 ชั้น ชูจุดเด่นที่ตั้งทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ ใกล้สวนลุมพินี กรรมสิทธิ์ฟรีโฮลด์ ออกแบบและก่อสร้างได้มาตรฐานสูงสุดระดับโลก ตั้งเป้าดึงดูดกำลังซื้อที่สูงขึ้นจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC (ASEAN Economic Community) โครงการนิมิต หลังสวน ประกอบด้วย ที่พักอาศัยสุดหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรีจำนวน 187 เรสซิเดนซ์  ไพรเวทคลับบนดาดฟ้า และครั้งแรกของ “กรีนเฮ้าส์” สวนสีเขียวสไตล์เรือนกระจกอันร่มรื่นทอดตัวสู่ทางเข้าโครงการ ให้ความกลมกลืนกับสภาพแวดล้อม พร้อมด้วยนวัตกรรมด้านการดีไซน์สุดล้ำของสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ โดยอาคารโอบล้อมรอบด้วยแผ่นกระจกสามมิติ มอบความโปร่งใส แวววาว งดงามมีเอกลักษณ์ เหนือกาลเวลา ซึ่งการออกแบบอาคารสูงด้วยผิวหน้าอาคารแบบกระจกนิรภัยสามมิตินี้นับได้ว่าเป็นครั้งแรกในโลก นิมิต หลังสวน มีมูลค่าโครงการกว่า 7,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดินกรรมสิทธิ์ฟรีโฮลด์ขนาดประมาณ 3 ไร่ บนถนนหลังสวน โดยจะเริ่มก่อสร้างในเดือนตุลาคม 2558 และมีกำหนดแล้วเสร็จภายในครึ่งปีหลังของปี 2561   นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “โครงการนิมิต หลังสวนสร้างปรากฏการณ์ทำลายทุกสถิติการจองในช่วงก่อนเปิดขาย (Pre-Sales) ของเพซทุกโครงการ ด้วยยอดจองพร้อมจ่ายมัดจำเรียบร้อยแล้วถึง 70% โดยปัจจัยที่ทำให้โครงการสามารถขายได้อย่างรวดเร็วนั้นมาจากลูกค้าส่วนใหญ่ซึ่งเป็นลูกค้าเก่าที่เชื่อมั่นในคุณภาพและชื่อเสียงของเพซ และอานิสงส์ของการเปิดตลาดเออีซี ที่ส่งผลให้ความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโครงการที่พักอาศัยคุณภาพระดับสูงสุด เพื่อรองรับการเดินทางเพื่อติดต่อทางธุรกิจในภูมิภาคที่จะเพิ่มขึ้นของลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง” นายสรพจน์กล่าวว่า “เพซให้ความสำคัญกับทุกองค์ประกอบของโครงการ ทั้งด้านสถาปัตยกรรมอาคารและ การตกแต่งภายในเรสซิเดนซ์ ที่ได้รับการออกแบบและคัดสรรวัสดุที่ใช้ด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับโลก เพื่อมอบความสมบูรณ์แบบในการพักอาศัย เพียบพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดแก่กลุ่มลูกค้าที่มีมาตรฐานสูง ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่มีความเชื่อมั่นในเพซ จากความสำเร็จของบริษัทกับโครงการที่ผ่านมา อาทิ มาตรฐานซีโร่ ดีเฟกท์ ของ โครงการศาลาแดง เรสซิเดนซ์ รวมถึงโครงการที่เรากำลังทำอยู่คือ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก ในโครงการมหานคร โดยต้องยอมรับว่าชื่อเสียงของเพซมีส่วนสำคัญในการเพิ่มยอดขายพรี-เซลส์ให้กับโครงการนิมิต หลังสวน” นายสรพจน์กล่าวเสริมว่า “ประมาณ 90% ของยอดจองโครงการมาจากผู้ซื้อชาวไทย โดยมีทั้งผู้ที่ต้องการพักอาศัยเอง และผู้ที่มองเห็นโอกาสในการปล่อยเช่าให้กับผู้บริหารระดับสูงในภูมิภาค” “จากความสำเร็จในการเปิดจองโครงการนิมิต หลังสวน ด้วยราคาขายที่สูงกว่าตารางเมตรละ 300,000 บาท ทำให้บริษัทฯ มีเงินทุนหมุนเวียนภายใน และยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการวางแผนเติบโตขององค์กร โดยเราจะเดินหน้าโครงการอื่นๆ อย่างต่อเนื่องควบคู่กันเพื่อให้เพซคงความเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ไฮเอนด์ที่คำนึงถึงคุณภาพสูงสุด รวมถึงการขยายธุรกิจแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลกของ ดีน แอนด์ เดลูก้า อย่างเต็มที่” นายสรพจน์ กล่าว โครงการนิมิต หลังสวน ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ใกล้สวนลุมพินี ศูนย์การค้าชั้นนำระดับพรีเมี่ยมหลายแห่ง ในย่านราชประสงค์ ชิดลม และเพลินจิต รวมถึงย่านธุรกิจสีลม สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย ด้วยเส้นทางเชื่อมต่อจากถนนหลังสวนและถนนสารสิน มีรูปแบบเรสซิเดนซ์ตั้งแต่ขนาด 2 - 4 ห้องนอน และเพนท์เฮ้าส์ ในขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 78 – 617 ตารางเมตร เพดานสูง 3 เมตรขึ้นไป ราคาขายโดยประมาณ 25 - 250 ล้านบาท
แมกโนเลียฯ เปิดตัว “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” คอนโดมิเนียมระดับคุณภาพ ที่สุดของความสะดวกสบาย

แมกโนเลียฯ เปิดตัว “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” คอนโดมิเนียมระดับคุณภาพ ที่สุดของความสะดวกสบาย

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น หรือ MQDC บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมคุณภาพระดับลักชัวรี่ และเป็นเจ้าของและผู้พัฒนาโครงการที่พักอาศัยแบรนด์วิสซ์ดอม ประกาศเปิดตัว “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว” (Whizdom Avenue Ratchada-Ladprao) คอนโดมิเนียมมาตรฐานเหนือระดับ เพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ บนทำเลทองเพื่อการอยู่อาศัยใจกลางย่านรัชดา-ลาดพร้าว ที่สุดของความสะดวกสบายด้วยทำเลที่ตั้งติดกับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลาดพร้าว เจาะกลุ่มเป้าหมายคนเมือง และคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จในชีวิต ผู้มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย และพิถีพิถันในการเลือกสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง พร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่าง และเปิดจองแล้ววันนี้เป็นต้นไป   นายถนอมศักดิ์ แก้วเขียว รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC กล่าวว่า “โครงการ วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว ตอกย้ำความมุ่งมั่นและพันธกิจของ MQDC ในการพัฒนาโครงการคุณภาพ เพื่อมอบสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นสำหรับการอยู่อาศัย และสำหรับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพให้กับผู้คน โครงการ วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว เป็นคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยคุณภาพ จำนวน 1 อาคาร สูง 27 ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ 3 ไร่ 42 ตารางวา บนถนนลาดพร้าวติดถนนรัชดา ด้านหน้าโครงการเป็น สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลาดพร้าว ทำให้ มีจุดเด่นที่พิเศษและแตกต่างอยู่ที่โลเคชั่น ซึ่งเป็นที่สุดของความสะดวกสบาย เพราะเพียงไม่กี่ก้าวเดินก็ถึงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลาดพร้าวซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของโครงการ แวดล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้ง โรงพยาบาล สถานศึกษา สถานที่เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจและความบันเทิงต่างๆ มากมาย อีกทั้งโครงการตั้งอยู่ไม่ไกลจากใจกลางย่านธุรกิจใหม่ (New CBD) รัชดาภิเษก-พระราม 9 และสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังพื้นที่อื่นๆ ได้อย่างสะดวก” ภายในโครงการพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ ตอบโจทย์การอยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง ด้วยพื้นที่สีเขียวทั้งบนพื้นดินและพื้นที่สีเขียวลอยฟ้าขนาดใหญ่ กว่า 1,700 ตารางเมตร เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากยิ่งขึ้น พร้อมด้วย Sunset Lounge หรือห้องสมุด สำหรับต้อนรับแขกผู้มาเยี่ยมเยือน หรือนั่งอ่านหนังสือสบายๆ ในบรรยากาศท้องฟ้ายามเย็น  Sky Infinity Edged Swimming Pool สระว่ายน้ำขนาดใหญ่บนชั้นสูงสุด เพื่อการออกกำลังกายและการพักผ่อนอย่างมีสไตล์ Sky Lounge สำหรับการสังสรรค์ที่เหนือระดับ กับวิวกรุงเทพฯ แบบพาโนรามา และ  Whizdom Lobby ดีไซน์โมเดิร์น เสมือนหน้าบ้านที่สะท้อนความมีรสนิยมของผู้เป็นเจ้าของ พร้อมเจ้าหน้าที่และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง   โครงการถูกออกแบบอย่างพิถีพิถันและใส่ใจในทุกรายละเอียด ผสมผสานการวิจัยและพัฒนา เข้ากับการดีไซน์ และความใส่ใจในเรื่องการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม ออกแบบตามมาตรฐาน “สถาบันอาคารเขียวไทย” (Thai Green Building Institute) คุณภาพอาคาร “ระดับ SILVER” (SILVER Tree Certificate) เพื่อนำเสนอโครงการคุณภาพที่ตอบสนองทุกฟังก์ชั่นของชีวิต และเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นในทุกวัน อาทิ รูปแบบและการจัดวางพื้นที่ภายในห้องพักสอดคล้องกับหลักสรีระศาสตร์เหมาะสมกับระยะร่างกายของมนุษย์เพื่อความสะดวกสบายสำหรับทุกกิจกรรม อยู่สบายและไม่รู้สึกอึดอัด การวางตำแหน่งไฟ ตำแหน่งแอร์ที่ส่งเสริมสุขภาพที่ดีของผู้อยู่อาศัย ทิศทางการวางตำแหน่งตัวตึกสอดคล้องกับทิศทางแสงอาทิตย์และทิศทางลม เพื่อลดความร้อน และเพิ่มการหมุนเวียนถ่ายเทของอากาศภายในห้องพัก เป็นการช่วยประหยัดพลังงาน และเพิ่มความสบายให้ผู้อยู่อาศัย การจัดวางห้องพักซึ่งเริ่มต้นที่ชั้น 5 เพิ่มความเป็นส่วนตัวและห่างไกลจากเสียงรบกวน มีการออกแบบสวนและแนวต้นไม้ช่วยบังแนวเสียงและฝุ่นละอองในอากาศที่จะพัดเข้าสู่ตัวอาคาร เป็นต้น “วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว ได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากกลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากมีโลเคชั่นที่เรียกได้ว่าสะดวกสบายที่สุด เพราะอยู่ติดกับสถานี MRT พร้อมกับคุณภาพที่เหนือระดับในทุกรายละเอียดด้วยมาตรฐานของบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC) พร้อมการรับประกันที่ยาวนานถึง 10 ปี ทำให้มีผู้สนใจจับจองห้องชุดพักอาศัยในช่วงพรีเซลล์แล้วเป็นจำนวนกว่า 60 % ซึ่งหลังจากเปิดให้ชมห้องตัวอย่าง คาดว่าจะได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมองว่าตลาดยังมีดีมานด์หรือความต้องการคอนโดมิเนียมระดับคุณภาพอยู่มาก โดยเฉพาะในทำเลดีๆ ที่เป็นไพร์มโลเคชั่น (Prime Location) ซึ่งเรากำลังจะมีงาน Grand Opening ระหว่างวัน 26 – 29 มีนาคมนี้ ณ ชั้น 1 สยามพารากอนอีกด้วย” นายถนอมศักดิ์ กล่าว วิสซ์ดอม อเวนิว รัชดา-ลาดพร้าว ประกอบด้วยห้องชุดพักอาศัยหลากหลายรูปแบบให้เลือกตามความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นห้องแบบสตูดิโอ ขนาดพื้นที่ 27 ตารางเมตร, แบบ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 30-38 ตารางเมตร, แบบ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ 47-56 ตารางเมตร, แบบดูเพล็กซ์ ขนาดพื้นที่ 76-77 ตารางเมตร และแบบเพ้นซ์เฮ้าส์ ขนาดพื้นที่ 105-129 ตารางเมตร คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2560 ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02-789-9999 หรือทางเว็บไซต์ www.MQDC.com แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น หรือ MQDC คือ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมคุณภาพ ระดับลักชัวรี่ ที่มุ่งเน้นพัฒนาโครงการระดับคุณภาพ โดยผสมผสานการวิจัยและพัฒนา เข้ากับการดีไซน์อย่างมีคุณภาพที่ใส่ใจในเรื่องความยั่งยืนของมนุษย์ ตลอดจนการประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เพื่อมอบสภาพแวดล้อมที่ดียิ่งขึ้นสำหรับการอยู่อาศัย และการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพให้กับผู้คน ทั้งผู้อยู่อาศัยในโครงการ และชุมชนโดยรอบ
บจ.สิรยศ ส่ง “โดว์เช่ อุดมสุข” ลงตลาดรับปีแพะ ด้วยมูลค่าโครงการ 200 ลบ.

บจ.สิรยศ ส่ง “โดว์เช่ อุดมสุข” ลงตลาดรับปีแพะ ด้วยมูลค่าโครงการ 200 ลบ.

บจ.สิรยศ ส่ง “โดว์เช่ อุดมสุข” ลงตลาดรับปีแพะ ด้วยมูลค่าโครงการ 200 ลบ. หลังประสบความสำเร็จอย่างงดงามจากโครงการบูทีค รัชดา เมื่อหลายปีก่อน ชูจุดขายราคาต้นเพียง 2 ลบ.  เด่นด้วยศักยภาพทำเล 600 ม. จาก BTS อุดมสุข, Fully Furnished บจ.สิรยศ เตรียมส่งโลว์ไลส์คอนโดแบรนด์ “โดว์เช่ อุดมสุข” (Dolce Udomsuk) ลงตลาดอสังหาฯ บนทำเลศักยภาพสูงใกล้บีทีเอสอุดมสุข ประกาศชูจุดขายความเป็นส่วนตัวสูงเพียง 79 ยูนิต ให้ความรู้สึกหรูหราด้วยความสูงจากพื้นถึงเพดานถึง 2.85 เมตร พร้อม Fully Furnished และ Fully built in มูลค่าโครงการกว่า 200 ล้านบาท สนนราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านบาท มั่นใจเข้าใจลูกค้าทำให้พัฒนาสินค้าดีมีคุณภาพรองรับความต้องการของตลาดได้อย่างแน่นอน เผยใช้ประสบการณ์ความสำเร็จจากการพัฒนาโครงการบูทีค รัชดา ทั้ง 2 โครงการ ที่สามารถปิดการขายได้ภายใน 30 วัน มาเป็นต้นทุนต่อยอดพัฒนาโครงการใหม่   นายวิจาร คุปติพงศ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิรยศ จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งใส่ใจด้านการออกแบบ และความเป็นอยู่ของลูกค้าเป็นสำคัญ กล่าวถึงการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ภายใต้แบรนด์ “โดว์เช่ อุดมสุข” (Dolce Udomsuk) ว่า “โครงการโดว์เช่ อุดมสุข เป็นโลว์ไลส์คอนโดฯ 7 ชั้น 79 ยูนิต มีมูลค่าโครงการกว่า 200 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านบาท ตั้งอยู่บนเส้นสุขุมวิท 103/2 ห่างจากถนนสุขุมวิทสายหลักเพียง 400 เมตร เดินทางสะดวกสามารถทะลุออก บางนาตราด ซอย 1 อุดมสุข 18 และ ถนน ศรีนครินทร์ได้อย่างสะดวกสบาย สำหรับกลุ่มเป้าหมายของเราแน่นอนว่าเป็นกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องการความเป็นเมืองในราคาที่สามารถจับต้องได้ เพื่อหาพื้นที่ให้ความเป็นส่วนตัวแก่ตัวเองเพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงราคาก็จะขยับลงมาสบายกระเป๋ามากกว่าอยู่บนเส้นสุขุมวิทหลัก และอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายที่เรามองไว้ คือ กลุ่มลูกค้าญี่ปุ่น เนื่องจากเมื่อเราวิเคราะห์ทำเลแล้วจะเห็นได้ว่าบริเวณนี้เริ่มมีร้านสะดวกซื้อของคนญี่ปุ่น หรือ Lawson ซึ่งสามารถเป็นจุดชี้วัดได้ว่ากลุ่มคนญี่ปุ่นเริ่มมีการขยายตัวจากใจกลางสุขุมวิท 49 ออกมาเรื่อยๆ ดังนั้น กลุ่มญี่ปุ่นเป็นอีกกลุ่มเป้าหมายที่เราจะไม่ทิ้งกลุ่มเป้าหมายของโครงการ สำหรับโครงการนี้เราได้ออกแบบให้เหมาะกับผู้ที่รักความเป็นส่วนตัวเนื่องจากมีจำนวนยูนิตน้อย ไม่พลุกพล่านเมื่อเข้าอยู่อาศัยจริง ทั้งยังให้ความรู้สึกในการอยู่อาศัยที่ไม่อึดอัด เนื่องจากเราออกแบบให้อาคารมีเพียง 7 ชั้น เพื่อที่จะสามารถขยับความสูงของพื้นจรดฝ้าเพดานได้ถึง 2.85 เมตร ซึ่งโดยปกติโครงการทั่วไป อาจจะสูงเพียงแค่ 2.6 เมตรเท่านั้น” สำหรับโครงการโดว์เช่ อุดมสุข เป็นอสังหาริมทรัพย์โครงการที่ 4 ของบริษัท สิรยศ จำกัด โดย 3 โครงการที่ผ่านมา คือ คอนโดมิเนียม 2 โครงการ ได้แก่ โครงการบูทีค รัชดา และโครงการบูทีค รัชดา 2 ซึ่งทั้ง 2 โครงการได้เปิดขายเมื่อปี  2549 และสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว โดยโครงการแรกใช้เวลาเพียง 1 เดือน ส่วนโครงการที่ 2 ใช้เวลาเพียง 4 เดือนเท่านั้นก็สามารถปิดการขายได้แล้ว ส่วนอีก 1 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ ได้แก่ โครงการวิลล่าเจ้าพระยา ใกล้ทางด่วนบางพูน เป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนถนนติวานนท์ ปัจจุบันโครงการแล้วเสร็จและโอนให้ลูกค้าได้เกือบ 100% แล้ว สำหรับโครงการที่พัฒนาโดยสิรยศนั้น เราใช้ประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการคือ การเลือกทำเลที่ดี และพัฒนาสินค้าได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ ส่วนหนึ่งที่เรามั่นใจด้านการออกแบบเป็นอย่างมากเนื่องจาก ทางเราเองเป็นกลุ่มบริษัทที่รวมเอาบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์กับบริษัทอินทีเรียร์ คอนแทร็คแอนด์ดีไซน์เข้าด้วยกัน คือ บริษัท อาร์ทิซติค ฮาร์โมนี จำกัด ตั้งมานานกว่า 15 ปี ทำงานด้านอินทีเรียร์ และบริษัท สิรยศ จำกัด ทำงานด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น เมื่อเรามีบริษัทออกแบบของเราเอง ทั้งยังมีทีมงานการตลาดที่สามารถวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าได้ เราจึงมั่นใจในการออกแบบ และพัฒนาโครงการเป็นอย่างดี “อันที่จริงส่วนตัวผมเองทำงานในวงการอสังหาฯ มาโดยตลอด เป็นเวลานานกว่า 20 ปี ก่อนที่จะมาเปิดบริษัท สิรยศ จำกัด ผมได้ดำเนินการภายใต้บริษัท สเต็ปออฟโมเดิร์น จำกัด มีผลงานการพัฒนาโครงการร่มรื่นการ์เด้น - วังน้อย จ.อยุธยา ระหว่างปี 2537 - 2545 โครงการเป็นบ้านจัดสรรและที่ดินเปล่า ซึ่งเราสามารถพาบริษัทให้ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ได้โดยไม่เป็น NPL และจากนั้นเราได้พัฒนาอีก 1 โครงการ คือ โครงการร่มรื่นการ์เด้น – บางปะอิน จ.อยุธยา ระหว่างปี 2547 – 2548 โครงการมียอดขาย 100% ภายใน 2 ปี มูลค่า 600 ล้านบาท ซึ่งแนวราบทั้ง 2 โครงการนี้ เราพัฒนาในนามของ บริษัท สเต็ปออฟโมเดิร์น จำกัด แต่เมื่อราขยับเข้ามาในกรุงเทพ เราพัฒนาในนามของ บริษัท สิรยศ จำกัด โดยพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ และแนวราบ 1 โครงการ คือ บูทีครัชดา, บูทีครัชดา 2  และโครงการวิลล่าเจ้าพระยา ใกล้ทางด่วนบางพูน เป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนถนนติวานนท์ ปัจจุบันโครงการแล้วเสร็จและโอนให้ลูกค้าได้เกือบ 100% แล้ว” นายวิจาร กล่าว   สำหรับโครงการโดว์เช่ อุดมสุข เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 7 ชั้น 1 อาคาร 79 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 200 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการประมาณ 0-3-11 ไร่ มีแบบห้องให้เลือก 2 ขนาด คือ ขนาด 1 ห้องนอน 31 ตร.ม. และขนาด 2 ห้องนอน 67 ตร.ม. มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ลิฟท์โดยสาร 2 ตัว, ห้องฟิตเนส, สระว่ายน้ำระบบเกลือ, ห้องนั่งเล่น และห้องสมุด (Library room)  ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพกลางสุขุมวิท สามารถเดินทางเข้าสู่ CBD หรือใจกลางเมืองเพียง 20 นาที หรือเดินทางไปทองหล่อเพียง 10 นาที ด้วย BTS เส้นหลัก ทั้งยังใกล้กับ Bangkok Mall ทั้งยังสามารถเดินทางไปยังเส้นทางสายตะวันออกได้ด้วย Monorail บางนา – สุวรรณภูมิ อีกด้วย โดยโครงการโดว์เช่ อุดมสุข พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 8 มีนาคม 2558 ราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านบาท สำหรับผู้สนใจจองในวันงานจะได้รับโปรโมชั่นพิเศษ คือ. จองเท่าไหร่ ลดเท่านั้น มูลค่าสูงสุดถึง 100,000 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 02-399-2220-1 หรือ www.dolcecondo.com อ่านพรีวิวโครงการ Dolce Udomsuk ได้ที่นี่..
โนเบิล เปิดเกมรุกตลาดแนวราบ ผุดบ้านเดี่ยวดีไซน์ต่าง “Noble Gable Watcharapol” ชูจุดขาย Privacy Space

โนเบิล เปิดเกมรุกตลาดแนวราบ ผุดบ้านเดี่ยวดีไซน์ต่าง “Noble Gable Watcharapol” ชูจุดขาย Privacy Space

บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเกมรุกตลาดแนวราบ ผุดบ้านเดี่ยวโครงการใหม่  “โนเบิล เกเบิล วัชรพล” (Noble Gable Watcharapol) ชูจุดขายภายใต้สโลแกน “แผ่ความสุข...ให้เต็มพื้นที่” บ้านที่ถูกออกแบบมาให้มีพื้นที่เพิ่มมากขึ้นตอบโจทย์ทุกฟังก์ชั่นบ้านที่ครบครัน ให้คุณเต็มที่กับสเปซทั้งภายในและภายนอกได้อย่างลงตัวบนทำเลศักยภาพใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนรามอินทรา-วงแหวนรอบนอก ในราคาเริ่มต้น 6.9 ล้านบาท นายธีรพล  วรนิธิพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “แม้ว่าปัจจุบันตลาดคอนโดมิเนียมถือเป็นที่พักอาศัยที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่บนทำเลที่ใกล้ระบบคมนาคมที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ชีวิตในเมืองท่ามกลางสภาพการจราจรในปัจจุบัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผู้อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ต้องเผชิญคือพื้นที่ที่จำกัดซึ่งหากต้องการพื้นที่กว้างราคาก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย  การอยู่อาศัยในแนวราบจึงยังคงตอบโจทย์กับกลุ่มคนที่เริ่มชีวิตคู่หรือวางแผนการใช้ชีวิตเพื่อรองรับครอบครัวขยายมากขึ้นทำให้ตลาดบ้านเดี่ยวยังคงเป็นที่ต้องการ และยังคงมีดีมานด์ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเพื่อตอบสนองกับความต้องการของผู้อยู่อาศัยในกลุ่มนี้ โนเบิลฯ จึงกลับมารุกตลาดแนวราบอีกครั้ง ภายใต้แบรนด์ใหม่ “Noble Gable Watcharapol”  โครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด สไตล์ Modern Contemporary โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่แตกต่างเป็นเอกลักษณ์ของโนเบิล ด้วยแรงบันดาลใจที่ต้องการออกแบบบ้านเสมือนกล่องของขวัญที่อัดแน่นด้วยความสุข พร้อมการดีไซน์ให้ทุกพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกถูกใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ส่วนของห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร และส่วนของสนาม  พร้อมทั้งหน้าต่างของตัวบ้านยังสูงจรดฝ้าทำให้บ้านดูโปร่งโล่งสบายตา นอกจากนี้แปลนบ้าน และตัวบ้านยังถูกออกแบบโดยยึดหลักการจัดวางแบบ Privacy Space เน้นช่องเปิดเฉพาะด้านข้างและด้านหลังพร้อมกับแนวรั้วสูงถึง 2 เมตร เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้พื้นที่ทั้งภายในและภายนอกได้อย่างเป็นส่วนตัว และเต็มที่กับกิจกรรมแห่งความสุขในครอบครัวได้อย่างลงตัว พร้อมคลับเฮาส์แบบ Open Space ที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่บนพื้นที่กว้างขวางทำให้ผู้อยู่อาศัยมีกิจกรรมต่างๆได้มากมาย ภายในโครงการยังมีที่จอดจักรยาน สนามเด็กเล่น ฟิตเนส และสระว่ายน้ำระบบเกลือขนาดใหญ่ที่ปูด้วยหินภูเขาไฟช่วยสะท้อนเงาภาพโดยรอบให้ความรู้สึกเสมือนได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติอย่างแท้จริง และยังมี Looped Handicapped หรือทางลาดสำหรับ Wheelchair (รถเข็น) เพื่อให้คนชราหรือผู้พิการสามารถใช้งานได้อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ของคลับเฮาส์  โครงการนี้อยู่ตั้งบนทำเลศักยภาพถนน  เพิ่มสิน-วัชรพลที่สามารถเชื่อมต่อด้านคมนาคมไปยังถนนสายหลักอื่นๆได้อีกมากมาย ทั้งเส้นสายไหม  พหลโยธิน    เลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ที่เข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว  นอกจากนี้ยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันที่รองรับไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย อาทิ ศูนย์การค้าแฟชั่นไอส์แลนด์ เดอะพรอมานาด เซ็นทรัลพลาซ่ารามอินทรา เพลินนารี่มอลล์ โรงพยาบาลสายไหม และโรงเรียนสารสาสน์วิเทศสายไหม เป็นต้น   โครงการ  “Noble Gable Watcharapol” ตั้งอยู่บนพื้นที่ 49 ไร่ จำนวน 266 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,200 ล้านบาท ประกอบด้วยแบบบ้านสไตล์ Modern Contemporary ทั้งหมด 3 แบบ คือ 1.) บ้านเดี่ยว (PYRA) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 190 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องครัว พร้อมที่จอดรถ 2 คัน  2.) บ้านเดี่ยว (AETO) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 169 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องครัว พร้อมที่จอดรถ 2 คัน   3.) บ้านแฝด (SEMI) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 157 ตารางเมตร 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น  1 ห้องครัว พร้อมที่จอดรถ 2 คัน  อีกทั้งยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นคลับเฮ้าส์วิวพาโนรามากว้างสุดสายตา สวนธรรมชาติพื้นที่สีเขียว สระว่ายน้ำระบบเกลือและฟิตเนส ให้ความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้อยู่อาศัย ด้วยระบบโทรทัศน์วงจรปิด หรือCCTVและพนักงานรักษาความปลอดภัยตลอด24 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเลือกแบบบ้านขนาดไหน ลงตัวสำหรับทุกชีวิตครบทุกความต้องการ ทั้งห้องครัว ห้องอาหาร ห้องนั่งเล่น ทุกห้องเปิดรับวิวสนามหญ้าส่วนตัว ไม่ว่าจะออกกำลังกาย ปลูกสวนผักออแกนิคหรือจะปิคนิคชิลๆก็ทำได้เต็มที่ ในราคาเริ่มต้น 6.9 ล้านบาท” มาใช้ชีวิตเต็มที่กับพื้นที่เพิ่มได้แล้ววันนี้ที่โครงการ “Noble Gable Watcharapol” เปิดจองและรับข้อเสนอพิเศษสูงสุดถึง 900,000 บาท ในงาน Spread Happiness วันที่ 28 ก.พ. - 1 มี.ค. นี้ ณ โครงการ Noble Gable Watcharapol ระหว่างซอยเพิ่มสิน 21 และ 23 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่โทร. 02-251-9955หรือ www.noblehome.com
5 โลเคชั่นในอนาคต สำหรับนักลงทุนซื้อคอนโด

5 โลเคชั่นในอนาคต สำหรับนักลงทุนซื้อคอนโด

อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วในเริ่องของกฎ 3 ข้อในการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ คือ Location Location Location นักลงทุนต่างให้ความสนใจในการลงทุนในทำเลที่มีศักยภาพ ซึ่งจะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในการลงทุน เป็นต้นว่า ลงทุนซื้อมาหากขายก็ได้กำไร หรือลงทุนเพื่อปล่อยเช่าก็สามารถปล่อยเช่าได้ง่าย หากเราเลือกทำเลที่มีศักยภาพซึ่งก็คงหนี้ไม่พ้นทำเลแนวรถไฟฟ้า หรือทำเลของการสร้างเมืองใหม่ ดัง 5 ทำเลนี้ค่ะ 1. ทำเลบางใหญ่ ซึ่งรถไฟฟ้าสายสีม่วง เตาปูน-บางใหญ่ ส่งผลให้ที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า ช่วง ติวานนท์ รัตนาธิเบศร์ บางใหญ่ ราคาปรับตัวสูงมากและมีคอนโดมิเนียมเกิดใหม่จำนวนมาก ทำเลนี้เป็นที่น่าจับตามองเพราะจะเป็น   ทำเลอนาคตที่มีศักยภาพในการเดินทางจากต่างจังหวัดเข้าสู่ใจกลางเมือง นอกจากรถไฟฟ้าสายสีม่วงแล้ว ยังเพิ่มระบบขนส่งทางถนนเชื่อมกับประเทศพม่า และยังมีการลงทุนของธุรกิจขนาดใหญ่อย่าง “เซ็นทรัล เวสต์เกต” ที่กลุ่มเซ็นทรัลจะพัฒนาให้เป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ เทียบเท่าเซ็นทรัลเวิลด์ ย่านราชประสงค์ และจะมีการเปิดตัวเมกะโปรเจคที่บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ร่วมกับประเทศสวีเดน เปิด “อีเกีย” สโตร์เฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ และจะมีโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายบางใหญ่-บ้านโป่ง-กาญจนบุรี จึงคาดกันว่า...บางใหญ่จะกลายเป็นฮับของพื้นที่กรุงเทพฯในโซนตะวันออกอีกด้วย 2. ทำเลรัชดา-ลาดพร้าว นอกจากเป็นทำเลที่มีศักยภาพแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางธุรกิจของไทยแห่งใหม่ในอนาคตอีกด้วยค่ะ นอกจากเดิมที่มีสถานบันเทิงที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวยามราตรีอยู่แล้ว อีกไม่นานจะกลายเป็น CBD แห่งใหม่ เป็นที่รวมศูนย์กลางธุรกิจ อาคารสำนักงานเช่า ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะดึงธุรกิจอีกมากมารวมไว้ที่นี่ สำหรับคอนโดในย่านนี้เกิดขึ้นมาอย่างมากเพื่อรองรับ ทั้งนักท่องเที่ยวและนักลงทุนชาวต่างชาติจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น ชาวจีน เกาหลี ฮ่องกง และอีกหลายเชื้อชาติที่จะมารวมอยู่ในศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ อีกทั้งในย่านนี้ยังเป็นแหล่งทำงาน ช็อปปิ้ง สถานบันเทิง จึงยังเป็นทำเลที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับย่านสุขุมวิทตอนต้นและตอนกลาง ซึ่งปัจจุบันราคาสูงขึ้นไปไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาทต่อตารางเมตรแล้ว เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนเริ่มขยับขยายย้ายถิ่นการทำงานมาในย่านนี้ ประกอบกับในอนาคตโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองช่วงรัชดา/ลาดพร้าว–พัฒนาการ และช่วงพัฒนาการ-สำโรง สำเร็จจะเป็นรถไฟฟ้าสายหนึ่งที่จะเป็นที่นิยมของผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์และนักลงทุนอย่างมาก 3. ทำเลย่านบางนา โครงการเส้นทางรถไฟฟ้าใหม่ แบริ่ง-สมุทรปราการซึ่งช่วงนั้นมีคอนโด โครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ช่วงทางยกระดับไปตามแนวเกาะกลางของถนนสุขุมวิท ผ่านคลองสำโรง แยกเทพารักษ์ แยกปู่เจ้าสมิงพราย และมีแนวโน้มว่าจะเกิดคอนโดมิเนียมย่านบางปูมากขึ้น เนื่องจากเรื่องผังเมืองที่หมดอายุทำให้เกิดช่องว่างในการยื่นขออนุญาตก่อสร้างอาคารสูงได้ถึง 10 เท่าของที่ดิน อาจเป็นมีผลให้คอนโดมิเนียมในจังหวัดสมุทรปราการเติบโตขึ้นแต่ราคาอาจจะยังไม่สูงมากอยู่ในระดับ 1.5-2 ล้านต้นๆ แต่หากจะลงทุนบริเวณนี้จริงๆ ต้องคำนวนค่าเช่าเปรียบเทียบกับเงินที่ลงทุนไปอาจได้ผลตอบแทนไม่สูงมากนัก แต่สำหรับคอนโดมือสองยังพอทำกำไรได้บ้าง ส่วนบริเวณพัฒนาการ-ศรีนครินทร์ ใกล้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ ที่ร่างผังเมืองใหม่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนจากสีเหลืองเป็นสีแดง จะผลักดันให้เกิดบ้านแนวสูงในย่านนี้มากขึ้น ถือเป็นอีกหนึ่งทำเลที่น่าจับตามองมากขึ้น 4. ทำเลรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ตากสิน – บางหว้า นับว่าคึกคักไม่แพ้สายสีม่วง เตาปูน – บางใหญ่เลยที่เดียว ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้ทำการสำรวจพบว่าคอนโดมิเนียมจากแนวรถไฟฟ้านั้นมีโครงการคอนโดมิเนียมหลายโครงการเกิดขึ้นและขายหมดในเวลาอันรวดเร็ว เพียงระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี มีโครงการคอนโดต่างๆ ผุดขึ้นเป็นสิบโครงการ เนื่องจากส่วนต่อขยายเส้นนี้อยู่ห่างจากใจกลางธุรกิจ สาธร สีลมไม่ไกลนัก ทำให้เกิดความสะดวกสบายในการเดินทางเข้ามาทำงานในเมือง ตั้งแต่สถานีกรุงธนบุรี จนถึงสถานีบางหว้า เป็นบริเวณซึ่งมีศักยภาพสูงในเหมาะที่จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ถึงแม้ว่าสถานีวุฒากาศ และสถานีบางหว้า จะมีลักษณะเป็นชานเมืองไกลออกไปสักนิด เมื่อเทียบกับสถานีกรุงธนบุรี หรือสถานีวงเวียนใหญ่ แต่ก็ใช้เวลาเดินทางจากสถานีบางหว้าถึงสถานีสยามเพียง 20-25 นาทีเท่านั้น และในอนาคตสถานีบางหว้าจะเป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีน้ำเงิน (สถานีหัวลำโพง-สถานีบางแค) จึงมีผู้ประกอบการเข้ามาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมจำนวนมาก และได้รับความสนใจจากผู้ซื้อมากตามไปด้วย และคาดว่าในอนาคตหากมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (สถานีหัวลำโพง-สถานีบางแค) อย่างเป็นทางการประมาณปี 2560 จะทำให้พื้นที่ย่านนี้มีศักยภาพเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต 5. ทำเลย่านรังสิต ปทุมธานี เป็นทำเลที่น่าจับตามองของนักลงทุน เพราะเป็นประตูทางออกสู่ภาคเหนือ ภาคอีสานของประเทศไทย ทั้งยังใกล้ที่ตั้งมหาวิทยาลัย ห้างสรรพสินค้าและนิคมอุตสาหกรรมอีกด้วย ดังนั้นย่านรังสิต จึงเป็นแหล่งที่อยู่ของพนักงาน แรงงาน นักศึกษาและประชากรจำนวนมาก ซึ่งในอนาคตจะมีการปรับปรุงศูนย์การค้าฟิวเจอร์ปาร์ครังสิตให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม และยังมีการพัฒนาที่ดินของกลุ่ม CPN กว่า 600 ไร่  อีกทั้งโครงการ MEGA Rangsit ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างประเทศไทยกับสวีเดน ที่จะร่วมกันพัฒนาที่ดินกว่า 250 ไร่ ให้กลายเป็นเมืองใหม่งานนี้ต้องติดตามกันให้ดีๆค่ะ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทำเลย่านรังสิตเป็นอีกทำเลที่น่าสนใจและจะเพิ่มมูลค่าในอนาคตได้มากทีเดียว ซึ่งเอื้อกับ โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม ที่มีการก่อสร้างตามแนวเส้นทางรถไฟสายเหนือ ที่มีแนวจากกลางเมืองกรุงเทพฯ สถานีบางซื่อ มุ่งหน้าออกไปสู่ย่านรังสิต ที่มีโครงการต่อขยายไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ศูนย์รังสิต) ในอนาคตค่ะ "การลงทุนในทำเลรถไฟฟ้านั้นเราสามารถลงทุนได้ทุกทำเลค่ะ แต่ควรเป็นทำเลที่เราสนิทคุ้นเคย เช่น ใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงาน เพราะจะเห็นความเคลื่อนไหวของประชากรแถบนั้นอยู่ทุกๆ วัน" จากข้อมูลที่รวบรวมมาเพื่อใช้ในการวิเคราะห์การลงทุนคอนโดในแนวรถไฟฟ้า แต่โดยส่วนตัวถ้าจะให้ฟันธงว่าเลือกแนวรถไฟฟ้าแนวไหนดีกว่ากัน  จริงๆ แล้วยุ้ยว่าการลงทุนในทำเลรถไฟฟ้านั้นเราสามารถลงทุนได้ทุกทำเลค่ะ แต่ควรเป็นทำเลที่เราสนิทคุ้นเคย เช่น ใกล้บ้าน ใกล้ที่ทำงาน เพราะจะเห็นความเคลื่อนไหวของประชากรแถบนั้นอยู่ทุกๆ วัน จะทำให้เรารู้ถึงกลุ่มเป้าหมายว่า ใครจะเป็นผู้เช่า จะปล่อยเช่าได้มั้ยจะขายต่อได้มั้ย สุดท้ายแล้วคำตอบในการเลือกทำเลในการลงทุน เราจะเป็นผู้ตัดสินเองและจะเป็นการตัดสินเต็มไปด้วยความมั่นใจเพราะเราคุ้นเคยกับถิ่นฐานนั้นเป็นอย่างดี หวังว่าข้อมูลทำเลน่าลงทุนแนวรถไฟฟ้าที่นำมาเล่าสู่กันฟังคงจะได้เป็นส่วนหนึ่งในการนำไปประกอบการตัดสินในการลงทุนได้นะคะ   ที่มา : www.krungsri.com

"เฟรเกรนท์" จับมือ "เอวาซอน" ทุ่มหมื่นล้านผุดโครงการ Mixed Use บนหาดนาจอมเทียน

เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 ที่ผ่านมา ณ ห้อง Pacific City Club อาคาร Two Pacific บริษัท เฟรเกรนท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จัดงานแถลงข่าวเตรียมขยายธุรกิจสู่หัวเมืองเศรษฐกิจ พุ่งเป้านาจอมเทียนเป็นที่แรก พร้อมประกาศจับมือ เอวาซอน กลุ่มโรงแรมที่มีจุดเด่นด้านการดูแลสุขภาพผสมผสานความเป็นธรรมชาติ สู่การพัฒนาโครงการแบบ Mixed Use บนพื้นที่กว่า 30 ไร่ มูลค่าโครงการสูงกว่า 10,000 ล้านบาท นายเจมส์ ดูอัน  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเกรนท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เผยผลการดำเนินงานในปี 2557 และแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2558 ว่า “สำหรับปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายที่ยังไม่รับรู้รายได้ (Backlog) คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6,500 ล้านบาท และมีมูลค่าโครงการที่ออกสู่ตลาดแล้วรอรับรู้รายได้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ประมาณ 10,000 ล้านบาท สำหรับในปี 2558 นี้ ผมมองว่าเป็นปีแห่งการรับรู้รายได้ สำหรับโครงการหลายๆ โครงการ ในหลายบริษัทที่เปิดขายในช่วงปี 2555-2556 จะสร้างเสร็จและส่งมอบถึงมือลูกค้า สำหรับเราเองปีนี้เราตั้งใจส่งมอบ 3 โครงการ ได้แก่ Circle S Sukhumvit 12, Circle living prototype และCircle Sukhumvit11.นอกจากนี้ ทางบริษัทยังมีแผนในการพัฒนาโครงการเพิ่มอีก 1 โครงการ โดยเราได้ร่วมมือกับกลุ่มเอวาซอน พัฒนาโครงการที่ชื่อว่า Sixth Element Na Jomtien ซึ่งโครงการนี้จะมีทั้งส่วนโรงแรม และส่วนคอนโดมิเนียม และพื้นที่ด้านการพาณิชย์ในบริเวณเดียวกัน ตั้งอยู่ที่นาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ มีพื้นที่โครงการกว่า 30 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเรายังคงแนวคิดในการพัฒนาโครงการแบบที่เฟรเกรนท์ทำมาโดยตลอดนั่นคือ การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ โดยเราได้นำระบบกำจัดน้ำเสียจากห้องพัก และอาคารมาใช้ในการดูแลพื้นที่ส่วนกลางเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลโครงการ, ระบบน้ำอุ่นที่มาจากพลังงานความร้อนจากเครื่องปรับอากาศในแต่ละยูนิต เป็นต้น”  ด้านนาย เบอร์นาร์ด โบเนนแบรเกอร์, ประธาน, ซิกส์เซ้นส์ โฮเทลส์ รีสอร์ทส์ สปาส์ กล่าวว่า "เอวาซอนเป็นหนึ่ง ในเครือของ ซิกส์เซ้นส์ โฮเทลส์ รีสอร์ทส์ สปาส์  ดำเนินธุรกิจตามหลักปรัชญาของ ซิกส์เซ้นส์ นั่นคือ มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และชุมชนโดยรอบอย่างยั่งยืน  โรงแรมเราพร้อมที่จะต้อนรับการพักอาศัย ซึ่งการบริการลักษณะนี้ถือเป็นคุณสมบัติหนึ่งอันเป็นคุณค่าที่แข็งแกร่งของเรา เนื่องจากเรามีทั้งการบริการที่หลากหลาย ทั้งยังให้ความใส่ใจในลูกค้าเป็นรายบุคคลด้วย การขยายธุรกิจจากประเทศไทย และเวียดนามไปยังจอร์แดน ทางเอวาซอนได้มุ่งมั่นที่จะให้บริการลูกค้าที่เข้าถึงจิตวิญญาณของการใช้ชีวิตในพื้นที่ชุมชนนั้น ทั้งยังใส่ใจในทุกรายละเอียดของการให้บริการ สามารถกล่าวได้ว่าเมื่อท่านเข้าพักกับเราท่านจะได้รับประสบการณ์ที่เข้าถึงการใช้ชีวิตในแบบพิเศษ ในนามของ เอวาซอน เรามีความยินดีที่ได้ร่วมงานและมีความสัมพันธ์ที่ดี กับเฟรเกรนท์ กรุ๊ป" Sixth Element Na Jomtien โครงการ Mixed Use ที่รวมเอาคอนโด High Rise 5 อาคาร และโรงแรมในเครือ Six Senses ไว้ด้วยกันบนพื้นที่กว่า 30 ไร่ บริเวณหาดนาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยจะเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการในวันที่ 28 มีนาคม 2558
SENA ทุ่มงบลงทุนเดินหน้าสร้าง Brand ผุด 11 โครงการใหม่

SENA ทุ่มงบลงทุนเดินหน้าสร้าง Brand ผุด 11 โครงการใหม่

SENA ทุ่มงบลงทุนเดินหน้าสร้าง Brand ผุด 11 โครงการใหม่ เผยเตรียมเจาะ New Segment ภายใต้กลยุทธ์ ”ไฟนีออน” ส่องสว่างชัดเจน พร้อมเปิด-ปิด ได้ทันสถานการณ์ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) เปิดแผนธุรกิจปี ”58 เตรียมพร้อมลงทุนครั้งใหญ่ เปิดตัว 11 โครงการอสังหาฯ ทั้งแนวราบและคอนโดฯ “เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์” ชูกลยุทธ์ “ไฟนีออน” เล็งเจาะฐานลูกค้าระดับกลางบน - ขยายธุรกิจ โซลาร์รูฟ หวังผลักดันรายได้เติบโตอย่างยั่งยืน เตรียมออกหุ้นกู้เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทฯและบริหารจัดการหนี้สินให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม แย้มไตรมาส 3/58 เตรียมปรับแบรนด์เพื่อเป็นหนึ่งในดวงใจของผู้บริโภค ตั้งเป้าหมายรายได้ประมาณ 3 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่คาดว่าจะมีรายได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (SENA) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2558 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปีนี้ เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว หลังจากสถานการณ์การเมืองในประเทศเริ่มคลี่คลาย และรัฐบาลเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องผ่านการลงทุนในเมกะโปรเจค  อีกทั้ง แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงในปีนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกที่ช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในแง่ของปัจจัยลบที่น่าเป็นห่วงในปีนี้ จะเป็นเรื่องของหนี้สินครัวเรือนที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะกลุ่มคนรายได้น้อย ถึงรายได้ปานกลาง เป็นผลให้เกิดการชะลอการตัดสินใจซื้อหรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้  ราคาที่ดินที่ปรับตัวสูง และความไม่แน่นอนด้านนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่ส่งผลกระทบในเชิงลบกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผศ.ดร.เกษรา เผยเกี่ยวกับกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในปีนี้ว่า “กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัท เรียกว่า "กลยุทธ์ไฟนีออน"  ด้วยคุณสมบัติเด่นของไฟนีออน ที่จะส่องสว่างชัดเจน ก็แสดงให้เห็นว่าทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ จะเน้นไปที่ความชัดเจนทั้งในเรื่องของ Branding และ Segmentation รวมไปถึงบริการหลังการขาย 360 องศา ซึ่งในช่วงไตรมาส 3 เราเตรียมปรับแบรนด์ SENA ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นหนึ่งในดวงใจของผู้บริโภคที่คิดจะซื้อบ้าน หรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ อีกหนึ่งคุณสมบัติของไฟนีออน คือเรื่องของความพร้อมเปิด-ปิด ได้อย่างรวดเร็ว คือเราเตรียมตัวพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที” สำหรับแผนการลงทุนในปี 2558 ผศ.ดร.เกษรา กล่าวว่า ได้มีการเปิดตัวโครงการมากที่สุดนับจากการก่อตั้งบริษัท โดยเตรียมเปิดโครงการใหม่ 11 โครงการ และมีการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ในระดับที่มีรายได้ประมาณ 100,000 บาท (กลุ่มลูกค้า B+) พร้อมลุยพัฒนาโครงการในเขตกรุงเทพฯฝั่งตะวันตกมากขึ้น รวมทั้งขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจ Recuring Income  และทำโซลาร์รูฟท็อปในโครงการ เพื่อเพิ่มฐานที่มาของรายได้ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต “เนื่องจากในปีนี้เปิด 11 โครงการ แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 6 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่าสูงกว่า 1 หมื่นล้านบาท  ซึ่งเราได้มีการเตรียมแผนรองรับไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการออกหุ้นกู้ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของเสนาฯที่มีการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ และเตรียมเพิ่มทุนในหลายรูปแบบ ผ่านตลาดทุน เพื่อคุมสัดส่วนหนี้สินต่อทุนไม่ให้ปรับตัวสูงมากนัก” ดร.เกษรา กล่าว สำหรับเป้าหมายรายได้ในปี 2558 ไว้ที่ 3,000 ล้านบาท เป้ายอดขาย 4,500 ล้านบาท เนื่องจากคาดว่ากำลังซื้อเริ่มดีขึ้น หลังจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น กรรมการบริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์  กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทจะมีการรับรู้กำไรพิเศษจากการจำหน่ายไฟฟ้าของโครงการโซลาร์รูฟท็อป 750 กิโลวัตต์  ในช่วงไตรมาส 2 โดยจะมีกำไรพิเศษเข้ามาประมาณ 6 ล้านบาทต่อปี   นอกจากนี้ บริษัทมีแผนการซื้อที่ดินโดยเตรียมงบซื้อที่ดินไว้ที่ 1 พันล้านบาท สำหรับการซื้อที่ดินใหม่ และยังมีการวางแผนที่จะออกหุ้นกู้ระยะยาว 2-3 ปี มูลค่า 1,200 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2558
‘เพซ’ ลงนามสัญญาเงินกู้ กับ ‘SCB’ สนับสนุนการซื้อกิจการ ‘ดีน แอนด์ เดลูก้า’ ขยายศักยภาพทางธุรกิจสู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก

‘เพซ’ ลงนามสัญญาเงินกู้ กับ ‘SCB’ สนับสนุนการซื้อกิจการ ‘ดีน แอนด์ เดลูก้า’ ขยายศักยภาพทางธุรกิจสู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก

กรุงเทพฯ (12 ม.ค. 58) เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามสัญญาเงินกู้ด้วยวงเงิน 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4 พันล้านบาท) กับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) เพื่อสนับสนุนการซื้อกิจการทั้งหมดของ ‘ดีน แอนด์ เดลูก้า’ แบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มกูร์เมต์ชั้นนำของโลก เพื่อขยายศักยภาพทางธุรกิจเพิ่มเติมจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์สู่ธุรกิจแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมี่ยม ตอบรับเทรนด์ตลาดโลก โดยลงนามสัญญา ณ ดีน แอนด์ เดลูก้า สาขามหานคร คิวบ์ บมจ. เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอร์เรชั่น นำโดย คุณสรพจน์ เตชะไกรศรี (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร,  คุณพรสัณห์ พัฒนสิน (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการบริหาร, คุณนฑา กิตติอักษร (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน และ มร. บายานี ลอรายา (ซ้ายสุด) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ร่วมลงนามสัญญาเงินกู้วงเงินประมาณ 4 พันล้านบาท สนับสนุนการซื้อกิจการ ดีน แอนด์ เดลูก้า กับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) นำโดย คุณอาทิตย์ นันทวิทยา (ที่ 3 จากขวา) รองผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่, คุณศิโรตม์ วิชยาภัย (ที่ 2 จากขวา) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจตลาดทุน, และ ม.ล. จีรเดช จักรพันธ์ (ขวาสุด) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจขนาดใหญ่ 3 กลุ่มธุรกิจตลาดทุน ณ ดีน แอนด์ เดลูก้า สาขามหานคร คิวบ์
โครงการมหานคร เปิดตัว “ห้องตัวอย่างใหม่แบบ 3 ห้องนอน” ในคอนโดฟรีโฮลด์  เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก

โครงการมหานคร เปิดตัว “ห้องตัวอย่างใหม่แบบ 3 ห้องนอน” ในคอนโดฟรีโฮลด์ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก

เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 57 บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ของไทยจัดงานสุดเอ็กซ์คลูซีฟเปิดตัว “เรสซิเดนซ์ตัวอย่างใหม่แบบ 3 ห้องนอน พื้นที่ 226 ตารางเมตร” ในคอนโดฟรีโฮลด์ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก ที่โครงการมหานคร ด้วยราคาเริ่มต้นที่ 71 ล้านบาท พร้อมนำชมห้องตัวอย่างโดย มร.ไซม่อน รอว์ลิ่งส์ ดีไซเนอร์ระดับโลก จาก เดวิด คอลลินส์ สตูดิโอ ที่ปรึกษาด้านการออกแบบตกแต่งภายในโครงการมหานคร โดยงานจัดขึ้นที่ มหานคร พาวิลเลียน (เซลส์ แกลเลอรี) นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เพซ สร้างสรรค์เรสซิเดนซ์ตัวอย่างใหม่แบบ 3 ห้องนอน เพื่อเป็นการต่อยอดความสำเร็จอีกก้าวหนึ่ง หลังจากที่ เรสซิเดนซ์แบบ 2 ห้องนอน และแบบอื่นๆ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เพซเชื่อว่าการออกแบบตกแต่งภายในเป็น อีกหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญมาก เพื่อให้ผู้พักอาศัยรู้สึกได้ถึงคุณภาพที่แท้จริง ทั้งยังได้รับความสะดวกสบาย โดยทีมงานทุ่มเทใช้เวลาอย่างมากในการออกแบบและสร้างสรรค์ เพื่อสร้างประสบการณ์แบบลักชัวรี่ทั้งภายในและภายนอกโครงการมหานครให้ผู้ซื้อและนักลงทุนสัมผัสได้” การร่วมงานกับ เดวิด คอลลินส์ สตูดิโอ ที่ปรึกษาด้านการตกแต่งภายในของเพซ สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจในคุณภาพระดับสูงสุด และการให้ความสำคัญกับทุกองค์ประกอบของโครงการมหานคร มร. ไซม่อน รอว์ลิ่งส์ ครีเอทีฟ ไดเร็คเตอร์ แห่ง เดวิด คอลลินส์ สตูดิโอ กล่าวว่า “เรสซิเดนซ์ตัวอย่างใหม่แบบ  3 ห้องนอน ได้รับการออกแบบสไตล์ ‘คลาสสิคร่วมสมัย’ (Contemporary Classic) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน ผสมผสานอย่างสวยงามลงตัวกับโครงสร้างสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นของโครงการมหานคร มอบความรู้สึกหรูหรา สง่างาม แต่เรียบง่าย เหนือกาลเวลา อีกทั้งมอบความสะดวกสบาย และความเป็นส่วนตัวแก่ ผู้พักอาศัย โดยออกแบบพื้นที่ภายในเพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผสานความเป็นไทย ไม่ว่าจะเป็นโทนสีของห้องโดยรวมที่เน้นโทนสีธรรมชาติ อย่างโทนสีของเนื้อไม้ สีทอง และสีเหลือง มอบความรู้สึกอบอุ่น รวมถึงการเลือกสรรวัสดุ พื้นผิว และของตกแต่งต่างๆ ที่ได้รับการออกแบบเฉพาะเพื่อโครงการนี้เท่านั้น” โครงการมหานคร อาคารที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ ด้วยความสูง 77 ชั้น (314 เมตร) จะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2558 เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ฟรีโฮลด์ ในรูปแบบ มิกซ์-ยูส ประกอบด้วย ที่พักอาศัย แบรนด์ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน จำนวน 200 ห้อง ราคาขายตั้งแต่ 45 – 300 ล้านบาท และ         บูทีคโฮเต็ล แบรนด์ บางกอกเอดิชั่น บริหารโดย เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน จำนวน 159 ห้อง รวมถึง มหานคร คิวบ์ อาคารไลฟ์สไตล์ รีเทล เซ็นเตอร์ ขนาด 7 ชั้น ที่เน้นการบริการด้านร้านอาหาร (ที่ 2 จากขวา) คุณสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เพซ ดีเวลลอปเมนท์  คอร์ปอเรชั่น (ที่ 2 จากซ้าย) มร. ไซม่อน รอว์ลิ่งส์ ครีเอทีฟ ไดเร็คเตอร์ แห่ง เดวิด คอลลินส์ สตูดิโอ (จากซ้าย) คุณคิพศาล เบ็ค ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บมจ. เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น และคุณนฤมล จุฑาประทีป ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายประชาสัมพันธ์ บมจ. เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น ณ เรสซิเดนซ์ตัวอย่างใหม่แบบ 3 ห้องนอน คอนโดฟรีโฮลด์ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก บรรยายกาศงานและห้องต่างๆ ณ เรสซิเดนซ์ตัวอย่างใหม่แบบ 3 ห้องนอน คอนโดฟรีโฮลด์ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก บรรยายกาศงานและห้องต่างๆ ณ เรสซิเดนซ์ตัวอย่างใหม่แบบ 3 ห้องนอน คอนโดฟรีโฮลด์ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก   บรรยายกาศงานและห้องต่างๆ ณ เรสซิเดนซ์ตัวอย่างใหม่แบบ 3 ห้องนอน คอนโดฟรีโฮลด์ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก บรรยายกาศงานและห้องต่างๆ ณ เรสซิเดนซ์ตัวอย่างใหม่แบบ 3 ห้องนอน คอนโดฟรีโฮลด์ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก บรรยายกาศงานและห้องต่างๆ ณ เรสซิเดนซ์ตัวอย่างใหม่แบบ 3 ห้องนอน คอนโดฟรีโฮลด์ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก บรรยายกาศงานและห้องต่างๆ ณ เรสซิเดนซ์ตัวอย่างใหม่แบบ 3 ห้องนอน คอนโดฟรีโฮลด์ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก บรรยายกาศงานและห้องต่างๆ ณ เรสซิเดนซ์ตัวอย่างใหม่แบบ 3 ห้องนอน คอนโดฟรีโฮลด์ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก   บรรยายกาศงานและห้องต่างๆ ณ เรสซิเดนซ์ตัวอย่างใหม่แบบ 3 ห้องนอน คอนโดฟรีโฮลด์ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก   สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ: บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)                   บริษัท บางกอก พับบลิค รีเลชั่นส์ จำกัด นฤมล จุฑาประทีป                                                                                    กัณฑิชา บุญโพธิ์แก้ว โทร. 02-654-3344                                                                                 โทร. 02-664-9500ต่อ 112
เจ๋ง ! ชั้นวางของพับเก็บได้ เรียบติดผนังไม่มีเกะกะ

เจ๋ง ! ชั้นวางของพับเก็บได้ เรียบติดผนังไม่มีเกะกะ

ชั้นวางของติดผนังเจ๋ง ๆ แบบพับเก็บได้ สามารถใช้งานได้หลากหลายฟังก์ชั่น เมื่อเลิกใช้งานก็แค่พับเก็บให้เรียบกับผนัง เหลือพื้นที่ในบ้านมากขึ้น สำหรับบ้านหรือคอนโดที่มีพื้นที่แคบและไม่อยากได้ชั้นวางของใหญ่ ๆ ให้เกะกะ  ชั้นวางของพับเก็บได้ จาก Ambivalenz  จะเป็นอีกหนึ่งไอเดียเด็ด ๆ ที่พยายามปรับเปลี่ยนดีไซน์ของเฟอร์นิเจอร์ให้มีความทันสมัย กะทัดรัด และสามารถใช้งานได้หลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่ทุกขนาด อีกทั้งยังสามารถพับเก็บได้ง่าย ๆ เพื่อให้ราบเรียบไปกับผนังและเหลือพื้นที่ใช้สอยในบ้านมากขึ้นด้วย เพราะดีไซน์ชั้นวางของพับเก็บได้มาในรูปแบบของไม้กระดานสีขาวติดฝาผนัง ซึ่งถ้าหากไม่ได้ถูกใช้งานก็จะเป็นเหมือนกระดานไม้ทั่วไป แต่เมื่อไรที่ต้องการใช้งาน ก็สามารถเปลี่ยนรูปร่างพร้อมใช้งานได้ทันที แค่เพียงดึงแผ่นกระดานสี่เหลี่ยมด้านในออกมา เพียงเท่านี้ก็สามารถนำสิ่งของต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นของใช้ หนังสือ ของแต่งบ้าน หรืออื่น ๆ ไปวางบนชั้นวางของได้แล้ว อีกทั้งผู้ใช้งานยังสามารถเปลี่ยนชั้นวางของเป็นโต๊ะทำงาน โต๊ะสำหรับรับประทานอาหาร หรือแขวนเสื้อผ้าก็ได้อีกด้วย บวกกับดีไซน์ที่มีความกะทัดรัด จึงช่วยประหยัดพื้นที่ภายในบ้านได้มากทีเดียว ที่มา : home.kapook.com
MAGNOLIAS WATERFRONT RESIDENCES @ ICONSIAM

MAGNOLIAS WATERFRONT RESIDENCES @ ICONSIAM

แมกโนเลียส์เปิดตัวอาคารที่พักอาศัย วันที่ 22 กรกฎาคม 2557 บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดให้ชมห้องตัวอย่างของโครงการคอนโดมีเนียมที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี่เป็นครั้งแรกซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง และตั้งอยู่ในอภิมหาโครงการเมือง แลนด์มาร์คแห่งใหม่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา “ไอคอนสยาม” โดยเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมพรีวิวโครงการล่วงหน้า ก่อนที่จะเปิด Sales Gallery โครงการ แมกโนเลียส์ วอ-เตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ ณ ไอคอนสยาม อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่สื่อมวลชนได้รับเชิญไปเยี่ยมชมสถานที่ก่อสร้างโครงการไอคอนสยาม เนื้อที่ 50 ไร่ ซึ่งจะประกอบด้วย 2 อาณาจักรศูนย์การค้าแห่งยุค ที่ล้ำเลิศที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวแห่งใหม่ทั้ง 7 ที่จะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย โดยได้รับการขนานนามให้เป็น “7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งไอคอนสยาม” และ 2 อาคารคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยมาตรฐานระดับโลกที่หรูหราสง่างามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา นายธนวันต์ ชัยวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิ ไอคอนสยาม เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า “ไอคอนสยาม เป็นโครงการแลนด์มาร์คระดับโลก โดยในส่วนที่เป็นโครงการที่พักอาศัย ซึ่งใช้ชื่อว่า แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ ณ ไอคอนสยาม ได้รับการออกแบบอย่างพิถิพิถัน ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ ที่จะทำคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยคุณภาพระดับสูง ที่หรูหราสง่างามที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย เราคาดหวังอย่างเต็มที่ว่าลูกค้าของเรา จะเปรียบเทียบมาตรฐานของโครงการนี้ เทียบชั้นมาตรฐานเดียวกันกับโครงการที่พักอาศัยที่ดีที่สุดในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโครงการที่พักอาศัยในนิวยอร์ค ลอนดอน โตเกียว หรือเซี่ยงไฮ้” “กรุงเทพฯ ยังมีช่องว่างในตลาดระดับบน สำหรับโครงการที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ที่คุณภาพเหนือระดับ และตั้งอยู่ในทำเลที่ตั้งระดับแลนด์มาร์คที่โลกยอมรับ ซึ่งไอคอนสยามถือเป็นแลนด์มาร์คระดับโลก และยิ่งไปกว่านั้น ยังมีทำเลที่ตั้งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยงามและมีเสน่ห์น่าประทับใจ ซึ่งแน่นอนว่าทุกห้องพักในโครงการ แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ ณ ไอคอนสยาม จะได้สัมผัสและอิ่มเอมไปกับวิวแม่น้ำที่สวยที่สุด” ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่เยื้องกับโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นตำนาน อาคารคอนโดมิเนียมที่พักอาศัย ถูกออกแบบให้มีส่วนของพื้นที่เปิดโล่ง ในอัตราส่วนที่สูงกว่าโครงการปกติทั่วไป เช่นเดียว กับการออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวริมฝั่งแม่น้ำที่กว้างใหญ่ ซึ่งจะช่วยตอกย้ำความเป็นแลนด์มาร์คระดับประเทศ เมื่อโครงการสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2560 ข้อมูลทั่วไป ผู้พัฒนาโครงการ : บริษัท ดิ ไอคอนสยาม เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ชื่อโครงการ : แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ ณ ไอคอนสยาม สถานที่ตั้ง : ถนนเจริญนคร, เขตคลองสาน ประเภทโครงการ : อาคารที่พักอาศัย 1 อาคาร 379 ยูนิต 70 ชั้น ขนาดที่ดินของโครงการ : 7-2-63 ไร่ ประเภท และขนาดพื้นที่แต่ละยูนิต : 1 ห้องนอน (60-79 ตร.ม) - 203 ยูนิต 2 ห้องนอน (95-126 ตร.ม) - 107 ยูนิต 3 ห้องนอน (144-222 ตร.ม) - 69 ยูนิต ห้องดูเพล็กซ์ (293 ตร.ม) - 2 ยูนิต ห้องดูเพล็กซ์ สกาย วิลล้า (238 และ 276 ตร.ม) - 2 ยูนิต ห้องสกายวิลล่า (346 ตร.ม) - 4 ยูนิต ราคาขาย  : ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 230,000 บาทต่อตารางเมตร เริ่มการก่อสร้าง : พ.ศ. 2557 กำหนดแล้วเสร็จ : พ.ศ. 2560    
แสนสิริหั่นเป้ายอดขายหมื่นล้าน ศก.ไม่เอื้อ

แสนสิริหั่นเป้ายอดขายหมื่นล้าน ศก.ไม่เอื้อ

บริษัท แสนสิริ มีแผนจะทบทวนเป้ายอดขายในปี 2557 ลงเหลือเพียง 3.6-3.7 หมื่นล้านบาท จากเป้ายอดขายในปีนี้อยู่ที่ 4.8 หมื่นล้านบาท นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บอกว่า เป็นเพราะการเร่งทำยอดขายสูงมากเกินไป เฉพาะ 9 เดือนของปีนี้ ทำยอดขายแล้ว 4.5 หมื่นล้านบาท จึงมีต้นทุนดำเนินงานบริหารจัดการสูงตามไปด้วย ทั้งงบประมาณในการทำตลาด และโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ทำให้มีกำไรลดลง โดยไตรมาสแรกขาดทุน 80 ล้านบาท เพราะเป็นไตรมาสที่เปิดโครงการมาก และมียอดขายสูงถึง 2.8 หมื่นล้านบาท   ส่วนไตรมาส 2 และ 3 คาดว่าจะมีกำไรไตรมาสละ 500 ล้านบาท และไตรมาส 4 คาดจะมีกำไรกว่า 1,000 ล้านบาท หลังจากบริษัทได้พยายามปรับให้ยอดขายมีความสมดุลอยู่ที่ไตรมาสละกว่า 1 หมื่นล้านบาท   "ปีนี้เราตั้งเป้ากำไรไว้ที่ 3,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ดูแล้วน่าจะทำได้ต่ำกว่าเป้า เพราะการขายคอนโดต้องใช้เวลาโอน 18-24 เดือน"   ที่ผ่านมา การก่อสร้างยังดำเนินการไม่ทันยอดขายที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) กว่า 6 หมื่นล้านบาท ไม่เฉพาะงานก่อสร้างที่ตึงมือ ผู้รับเหมายังหายาก หากยอดขายโตไปมากกว่านี้ จะทำให้การก่อสร้างล่าช้าส่งมอบไม่ทันกำหนด   ขณะที่ แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจเติบโตน้อย ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตน้อยตามไปด้วย เพราะว่าการเติบโตของอสังหาฯ จะล้อไปกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกก็ไม่ค่อยดีมากนัก ทำให้บริษัทไม่มีนโยบายที่จะไปลงทุนต่างประเทศในระยะสั้นนี้   รุกธุรกิจโรงแรมเมืองท่องเที่ยว   บริษัทได้รุกขยายฐานการลงทุนมาในธุรกิจโรงแรม โดยเน้นทำเลในหัวเมืองท่องเที่ยว เพราะเล็งเห็นแนวโน้มการเติบโตด้านการท่องเที่ยวของไทยสูงมากในปีนี้และปีหน้า จากมาตรการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงมาตรการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวของภาครัฐบาล ที่มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวเลขของนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาสูงถึง 22 ล้านคนแล้ว จากเป้าทั้งปีที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย วางไว้ 22 ล้านคน เช่นเดียวกับในจังหวัดภูเก็ต ยอดนักท่องเที่ยว 9 เดือนพุ่งไปถึง 9 ล้านคน จากเป้าทั้งปี 9 ล้านคน อีกทั้งไทยเริ่มเป็น "ฮับเดสซิเนชั่น" ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องการมาเที่ยวมากที่สุด ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง   ทั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจ และการสร้างรายได้ต่อเนื่องในระยะยาว บริษัทได้เปิดตัวโรงแรม ภายใต้แบรนด์ "เอสเคปแสนสิริ โฮเทล คอลเลคชั่น” หลังจากเปิดให้บริการโรงแรม "คาซ่า เดล มาเร่" ที่หัวหินมาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว โดยนำโครงการดังกล่าวมาปรับปรุงใหม่ 46 ห้อง แบ่งเป็น 3 แบบ 3 สไตล์ ในรูปแบบ Sea, Sand และ Sun ราคาพักคืนละตั้งแต่ 3,500-4,500 บาท หากเป็นช่วงไฮซีซัน ราคาจะอยู่ที่ 5,000-6,000 บาทต่อคืน เน้นลูกค้ากลุ่มคนไทย 60% และชาวต่างชาติ 40% โดยจะเปิดให้บริการวันที่ 16 ต.ค. นี้   ส่วนอีกหนึ่งทำเล คือ ที่เขาใหญ่ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 10 ไร่ จากทั้งหมด 50 ไร่ ซึ่งอยู่บนพื้นที่เดียวกับโครงการ 23 Degree เป็นอาคารสูง 3 ชั้น ประกอบด้วยห้องพักแบบดีลักซ์ 48 ห้อง และห้องพักในแบบ พูล วิลล่า อีก 6 ห้อง รวมทั้ง เอสเคป พูล วิลล่า อีก 1 หลัง ภายใต้ 4 ธีมให้เลือกพักผ่อน ได้แก่ Wood, Earth, Floral และ Forest โดยราคาห้องพักจะใกล้เคียงกับที่หัวหิน มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายคนไทย 80% และชาวต่างชาติ 20% โดยจะเปิดตัวในต้นปี 2557   "ธุรกิจโรงแรมต้องใช้เวลาคืนทุนนาน 12 ปี ไม่ได้มองเรื่องตัวเลขรายได้ แต่การดำเนินธุรกิจโรงแรมของบริษัท จะเสริมหรือเกื้อหนุนธุรกิจอสังหาฯ โดยผู้ที่อยู่คอนโด สามารถมาใช้บริการที่โรงแรมได้คิดค่าบริการส่วนลด"   จ่อเปิดเพิ่ม3เมืองท่องเที่ยว   ด้านนายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัทแสนสิริกล่าวว่า แผนการพัฒนาโรงแรมภายใต้แบรนด์เอสเคป, แสนสิริ โฮเทล คอลเลคชัน ในอนาคต บริษัทอาจเปิดตัวเพิ่มในเมืองเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพอื่นๆ อาทิ ภูเก็ต เชียงใหม่ และ พัทยา เป็นต้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาในจังหวัดที่แสนสิริ จะเปิดตัวโครงการ และเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวที่ดี ซึ่งมองจังหวัดภูเก็ต เป็นลำดับแรก คาดเข้าดำเนินการปีหน้า โดยเป็นโรงแรมสูงไม่เกิน 7 ชั้น ไม่เกิน 50 ห้องพัก ขณะนี้อยู่ในระหว่างการมองหาที่ดิน   ทั้งนี้ คาดว่าหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จะมีกลุ่มลูกค้าจากอาเซียนรวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว ช่วยกระตุ้นให้ธุรกิจโรงแรมคึกคักขึ้นอีก และเป็นโอกาสดีในการขยายธุรกิจต่อไป   แอล.พี.เอ็น.-เสนาฯยังมั่นใจโตต่อเนื่อง   ด้านผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่มียอดขายรองลงมาอย่าง บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ยังเชื่อมั่นความต้องการตลาดอสังหาฯ ในกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับกลางลงล่างว่า ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะแหล่งที่อยู่อาศัย ตามแนวเส้นทางคมนาคม รถไฟฟ้าสายใหม่ ที่กำลังดำเนินการในปัจจุบัน โดยเฉพาะรถไฟชานเมือง เส้นทางสายสีแดงที่วิ่งจากรังสิตเข้าสู่เมืองชั้นใน จะกระตุ้นให้ความต้องการที่อยู่อาศัย ในรอยต่อเมืองเหล่านี้เติบโตสูง   แอล.พี.เอ็น. จึงได้ตัดสินใจ เปิดโครงการคอนโดโครงการใหญ่ ระดับชุมชนเมืองย่อมๆ อย่าง โครงการ "ลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต คลอง1" จำนวนถึง 10,000 ยูนิต เป็นการพัฒนาที่ดินแปลงใหญ่ถึง 100 ไร่ ขึ้นเป็นอาคารชุด 8 ชั้น จำนวน 50 อาคาร   ส่วนสถานการณ์ปีหน้า ต้องรอดูภาพรวมเศรษฐกิจอีกครั้ง แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี และการเติบโตของบริษัท จะขยายไปตามทำเลใหม่ๆ อาจจะเป็นในกรุงเทพฯ หรือหัวเมืองต่างจังหวัด ที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง และเตรียมแผนพัฒนาโครงการใหญ่ระดับ 10,000 ยูนิต ในทำเลอื่นๆ ของกรุงเทพฯ ด้วย เป็นการรองรับเมืองที่ขยายตัวตามเส้นทางคมนาคมขนส่งใหม่ๆ   ขณะที่ นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ไม่ได้เลวร้าย แต่มีปัญหาลูกค้าติดเครดิตบูโร จึงขอสินเชื่อไม่ผ่าน ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือน แต่ปีหน้าเมื่อภาครัฐมีการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2 ล้านล้านบาท จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้ามาในระบบมากขึ้น ทำให้กำลังซื้อภาพรวมดีขึ้น  
ศก.ซบ-แบงก์เข้มปล่อยกู้ คอนโดฯใหม่แผ่ว

ศก.ซบ-แบงก์เข้มปล่อยกู้ คอนโดฯใหม่แผ่ว

ซีบีริชาร์ดฯเผยตลาดคอนโดในเมืองไตรมาส 4"ชะลอตัว" คาดปีนี้มีซัพพลายใหม่ 7 พันยูนิต ลดลงจากทุกปีเปิด 9 พันยูนิต ผลพวงศก.ซบ-แบงก์เข้มปล่อยกู้ นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบี ริชาร์ดเอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดคอนโดมีเนียมไตรมาส 4 ซัพพลายใหม่ออกสู่ตลาด "ชะลอตัว" โดยเฉพาะย่านใจกลางเมือง เช่น สุขุมวิท สีลม สาทร เนื่องจากที่ดินมีจำกัดและราคาที่ดินปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยมีซัพพลายเข้าสู่ตลาดปีละ 9,000 ยูนิต แต่คาดว่าปีนี้จะมีซัพพลายใหม่เพียง 7,000 ยูนิต คิดเป็นซัพพลายที่อยู่ย่านสาทรเพียง 18% ส่วนใหญ่เป็นสำนักงานให้เช่า ซัพพลายที่อยู่อาศัยมีน้อยโดยเฉพาะที่ติดถนนใหญ่ เชื่อว่ายังมีความต้องการทั้งผู้ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและซื้อเพื่อให้เช่า ในปีหน้า คาดว่าตลาดคอนโด มีการชะลอเปิดตัวโครงการใหม่ เพราะผู้ประกอบการรายกลางและเล็ก จะไม่มีการลงทุน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ธนาคารเข้มงวดการปล่อยกู้ รวมถึงการหาที่ดินในการพัฒนายาก เหลือแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ คาดซัพพลายใหม่ออกสู่ตลาด 4 หมื่นยูนิตในปีหน้า จากซัพพลายรวมอยู่ที่ 4.7 หมื่นยูนิต แบ่งเป็น คอนโดพื้นที่ในเมือง 7,000 ยูนิต พื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ 4 หมื่นยูนิต ส่วนราคาขายคอนโดตลาดลักชัวรี่ และซูเปอร์ลักชัวรี่ มีแนวโน้มปรับราคาขึ้น 10% ส่วนตลาดระดับกลาง คาดว่าจะไม่มีการปรับราคา แต่จะปรับลดขนาดของห้องเล็กลง เพื่อขายราคาเดิม "การแข่งขันของตลาดคอนโดจากนี้ เน้นแข่งในรูปแบบของโปรดักส์มากกว่าโดยมุ่งพัฒนาโปรดักส์ที่มีการแข่งขันไม่สูง และมีช่องว่างตลาดอยู่" นายกฤษณ์ ณรงค์เดช ประธานบริษัท เคพีเอ็น กรุ๊ป คอปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ตลาดคอนโดในเมืองยังเติบโตได้ดี ประกอบการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 จะทำให้ความต้องการคอนโดเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มกลาง-บน ส่วนใหญ่อยู่แนวรถไฟฟ้า ล่าสุด บริษัทได้เปิดโครงการคอนโดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ภายใต้ชื่อ เดอะ ดิโพลแมท สาทร มูลค่า 2,700 ล้านบาท พื้นที่ 1 ไร่ครึ่ง เป็นอาคารสูง 38 ชั้น จำนวน 192 ยูนิต ขนาด 40-203 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 7.9 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 2 แสนบาทต่อ ตร.ม. โดยเตรียมงบประชาสัมพันธ์กว่า 40 ล้านบาท พร้อมดึง สน-ยุกต์ ส่งไพศาล เป็นพรีเซนเตอร์ ชคาดปิดขายภายในสิ้นปีนี้ ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2559
แอลพีเอ็นคงเป้ารายได้ปีนี้ที่1.5หมื่นลบ.

แอลพีเอ็นคงเป้ารายได้ปีนี้ที่1.5หมื่นลบ.

แอลพีเอ็นคงเป้ารายได้ปีนี้ 1.5 หมื่นลบ.ยอดขาย 2 หมื่นลบ. เตรียมเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่า 5.8 พันลบ. นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) คงเป้ารายได้ปีนี้ไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอโอน (backlog)ประมาณ 8 พันล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ โดยรายได้ในครึ่งปีหลัง หรือ 8 เดือนที่ผ่านมาทำได้แล้วจำนวน 6,200 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 5.8 พันล้านบาท โดยบริษัทมีเป้าหมายยอดขายในปีนี้อยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งในช่วง 8 เดือนแรกทำยอดขายได้แล้ว 1.8 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ คือ โครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1 ที่มีกำหนดเปิดพรีเซลในวันที่ 12 ต.ค.นี้ มูลค่าโครงการ 2,800 ล้านบาท และโครงการ ลุมพินี สุขุมวิท 24 มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ขนาด 350 ยูนิต และในปี 57 บริษัทคาดว่าจะเปิดโครงการใหม่อีกจำนวน 5 โครงการ "เรามองว่าแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวลง หรือขาดการกระตุ้นจากภาครัฐ บรรยากาศอาจดูไม่สดใส แต่เชื่อว่าไม่ได้เลวร้ายกว่าที่เราเจอในปี 40 ซึ่งกลุ่มลูกค้าของเรายังมีกำลังซื้ออยู่ในฐานที่สูงอยู่ และเชื่อว่าธุรกิจยังเดินหน้าต่อไปได้ โดยครึ่งปีแรกเราเปิดตัวโครงการไปแล้ว 6 โครงการ ถือว่าขายได้ 100% และจากตัวเลขของลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมโครงการยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก เนื่องจากลูกค้าให้ความสนใจพอสมควร"นายโอภาส กล่าว ในการเปิดพรีเซลโครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1 วันที่ 12 ต.ค.นี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายวันแรกไว้ 4,000 ล้านบาท จากการเปิดขายจำนวน 14 อาคาร โดยมีราคาเริ่มต้น 639,000 บาท เป็นห้องชุดขนาน 21.50-26.0 ตารางเมตร เจาะกลุ่มคนวัยทำงานและกลุ่มที่ต้องการขยายครอบครัว ซึ่งโครงการจะแล้วเสร็จและสามารถโอนได้ในปลายปี 58 อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวพัฒนาภายใต้แนวคิดชุมชนเมือง(ทาวน์ชิป) บริษัทจึงได้เตรียมส่วนสันทนาการที่หลากหลายและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับความต้องการของผู้ที่อยู่อาศัยในโครงการ อาทิ ร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น 3 จุด, ศูนย์การค้าระดับชุมชนเมืองน่าอยู่, รถตู้ชุมชน,ศูนย์ประชาคม ฯลฯ
ต่างชาติซุ่มปักฐานคอนโดพัทยา

ต่างชาติซุ่มปักฐานคอนโดพัทยา

ต่างชาติซุ่มปักฐานคอนโดฯพัทยา "ไฮทส์ โฮลดิ้งส์"ทุนอิสราเอล-ยุโรป เดินหน้า 15 โครงการรวด ทั้งหาดจอมเทียน เขาพระตำหนัก พัทยาเหนือ พัทยา เมื่อสิบปีที่แล้ว กับปัจจุบันมีภาพที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างอาคารสูง ทั้งเพื่ออยู่อาศัยและพาณิชยกรรม โรงแรม ศูนย์การค้า เปิดตัวใหม่กันอย่างคึกคัก ทั้งที่ผู้ประกอบการคนไทยจากส่วนกลาง ที่รุกเข้าลงทุนในพัทยามีจำนวนไม่มากนัก นับได้ไม่ถึง 10 ราย แต่กลับพบภาพการพัฒนาอาคารสูงในพัทยาเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำรวจล่าสุดเมื่อต้นปีนี้ พบตัวเลขว่า เฉพาะคอนโดมิเนียมในพัทยา (อ.บางละมุง) จังหวัดชลบุรี มีจำนวนการเปิดขายใหม่กว่า 4.2 หมื่นยูนิต มากเป็น "อันดับสอง" รองจากกรุงเทพฯ และเป็น "อันดับหนึ่ง" ในจังหวัดชลบุรี มีสัดส่วนมากกว่า 80% ของคอนโดใหม่ทั้งหมดในจังหวัดชลบุรี ในจำนวนโครงการใหม่เหล่านี้ พบว่ามีไม่น้อยเป็นการลงทุนจากผู้ประกอบการ "ต่างชาติ" ซึ่งรุกเข้ามาร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน ในลักษณะ "ร่วมทุน" ตั้งบริษัทผู้ประกอบการ แยกเป็นรายแปลงแต่ละโครงการ โดยเจ้าของที่ดินในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นฝ่ายคนไทย ตามกฎหมาย 51% ตีจากมูลค่าราคาที่ดินเป็นสัดส่วนหุ้น ในขณะที่ทุนต่างชาติจะรับหน้าที่เป็นผู้พัฒนาโครงการ บริหารการตลาด และงานก่อสร้าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาและขาย โดยเน้นลูกค้าชาวต่างชาติเป็นหลัก ซึ่งยึดกรอบกฎหมายพ.ร.บ.อาคารชุด ที่เปิดให้ต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ได้ไม่เกิน 49% ที่เหลือ 51% ของพื้นที่ขายต้องถือโดยคนไทย หรือบริษัทนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย "ไฮทส์โฮลดิ้งส์" ทุนอิสราเอล ผุด 15 โครงการ นางสาวนฤทัย โพธิ์เดช ผู้ช่วยกรรมการบริหาร บริษัท ไฮทส์ โฮลดิ้งส์ จำกัด บริษัทผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยแบบคอนโดมิเนียมริมทะเลรายใหญ่พัทยา เปิดเผยว่า กลุ่มไฮทส์โฮลดิ้งส์ เป็นบริษัทลงทุนอสังหาฯ ของนักธุรกิจชาวอิสราเอล และยุโรป ที่เข้ามาลงทุนในพัทยา ตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาโครงการ และขายให้กับลูกค้าต่างชาติ ตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด โดยมีทั้งโครงการที่หาดจอมเทียน เขาพระตำหนัก พัทยาใต้ ล่าสุดเปิดโครงการใหม่พัทยาเหนือ ที่หาดวงศ์อมาตย์ ซอย 16 เป็นโครงการที่ 14 และเตรียมพัฒนาโครงการที่ 15 ในเร็วๆ นี้ "รูปแบบการลงทุน จะเป็นลักษณะการร่วมทุน ระหว่าง บริษัท ไฮทส์ โฮลดิ้งส์ ซึ่งมีฐานะเป็นโฮลดิ้งส์ คอมปะนี เข้าไปจับมือกับเจ้าของที่ดิน ที่ทำเลดีในพัทยา เพื่อนำมาพัฒนาโครงการในรูปแบบที่ต่างกันไปตามความเหมาะสม และเงื่อนไขกฎหมายแต่ละทำเล โดยเจ้าของที่ดินเป็นผู้ถือหุ้นฝ่ายคนไทย ขณะที่ ไฮทส์โฮลดิ้งส์ จะเป็นทั้งผู้ถือหุ้นและพัฒนาโครงการ รวมทั้งการทำตลาดและบริหารการก่อสร้าง" นางสาวนฤทัย เผย โดยโครงการที่เปิดตัวแห่งที่ 14 ในพัทยา คือ โครงการ "วงศ์อมาตย์ ทาวเวอร์" เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์โมเดิร์นลักชัวรี สูง 38 ชั้น อยู่ห่างจากชายหาดวงศ์อมาตย์ 80 เมตร พัฒนาบนพื้นที่โครงการ 2 ไร่ มีห้องชุดทั้งสิ้น 391 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,285 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นที่ 10.5 ล้านบาท โครงการนี้ก่อสร้างไปแล้วเกินกว่า 50% และมียอดขายแล้วกว่าครึ่งเช่นกัน ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวแนะนำโครงการเพื่อขยายฐานลูกค้าคนไทยมากขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้เน้นเฉพาะลูกค้าต่างชาติ ซึ่งผู้บริหารไฮทส์ โฮลดิ้งส์ เผยว่าลูกค้าต่างชาติที่ซื้อโครงการมากที่สุดคือ กลุ่มรัสเซียและยุโรป เนื่องจากคุ้นเคยกับผู้ประกอบการ ที่เป็นชาวอิสราเอล และมีทีมขายที่เป็นตัวแทน กลุ่มต่างชาติที่อยู่ในไทย ทั้งรัสเซียและยุโรป นอกจากนี้ ไฮทส์ โฮลดิ้งส์ ยังอยู่ระหว่างก่อสร้างคอนโดอีก 12 โครงการ เช่น โครงการคอนโดมิเนียมทำเลเขาพระตำหนัก ได้แก่ ปาร์ค รอยัล 1-3, โครงการที่หาดจอมเทียน ได้แก่ ลากูน่าเบย์ 1-2, ลากูน่า จอมเทียน มัลดีฟส์ เป็นต้น สำหรับรูปแบบการขายที่ผ่านมา ลูกค้าต่างชาติต้องทยอยชำระเงิน จากวันแรกที่จองจนถึงวันโอน ไม่น้อยกว่า 90% จึงทำสัญญาโอนตามกฎหมาย ต่างจากลูกค้าคนไทยที่ส่วนใหญ่ซื้อโดยการใช้สินเชื่อจากธนาคารเป็นหลัก ล่าสุดได้ประสานธนาคารไทยพาณิชย์ ส่งเจ้าหน้าที่มาประสานงานกับลูกค้าโดยตรง ผู้บริหารไฮทส์ โฮลดิ้งส์ เผยว่าทางกลุ่มยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนคอนโดในพัทยาต่อเนื่อง เพราะมั่นใจว่าทำเลที่มีศักยภาพดีของเมืองชายทะเลแห่งนี้ ยังเป็นที่ต้องการของลูกค้าต่างชาติ เนื่องจากสนนราคาไม่แพง โครงการล่าสุดที่กลุ่มเปิดขาย ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 8 หมื่นบาทต่อตร.ม. เทียบแล้วยังต่ำกว่าหลายเมืองท่องเที่ยวที่ติดอันดับโลก และยังต่ำกว่าราคาขายคอนโดของผู้ประกอบการคนไทยด้วยซ้ำไป อสังหาฯ "ชลบุรี" เปิดกว่า 9.6 หมื่นหน่วย ข้อมูลจากการสำรวจ "โครงการที่อยู่อาศัย จังหวัดชายทะเล จังหวัดชลบุรี" ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จากงานสัมมนา “วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย จังหวัดชายทะเล เมื่อช่วงต้นปี 2556 ระบุว่า จังหวัดชลบุรีมีหน่วยที่อยู่อาศัย ที่อยู่ระหว่างการขายทั้งสิ้นถึง 96,600 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 39,800 หน่วย อาคารชุด 56,400 หน่วย และบ้านพักตากอากาศ 400 หน่วย เมื่อลงรายละเอียดทำเลที่ตั้ง จะพบว่าโครงการจัดสรรใหม่เหล่านี้ อยู่ในอำเภอศรีราชา ราว 13,000 หน่วย ในอำเภอบางละมุง (พัทยา) ราว 11,200 หน่วย ในอำเภอเมือง 8,100 หน่วย ในอำเภอสัตหีบ 4,700 หน่วย และในอำเภอพานทอง ราว 2,900 หน่วย หากแบ่งตามประเภท พบว่า เป็นบ้านเดี่ยว 19,500 หน่วย เป็นทาวน์เฮ้าส์ 11,700 หน่วย เป็นบ้านแฝด 5,000 หน่วย และอาคารพาณิชย์ 3,500 หน่วย ส่วนหน่วยที่เหลือเป็นที่ดินเปล่า ซึ่งทุกอำเภอมีบ้านเดี่ยวมากกว่าทาวน์เฮ้าส์ ยกเว้นอำเภอเมืองชลบุรี มีทาวน์เฮ้าส์มากกว่าบ้านเดี่ยว ส่วนอัตราการดูดซับของบ้านจัดสรร หรืออัตราการขายออกของอสังหาฯ ในชลบุรี อยู่ที่ 6.3% หรือหมายความว่าหากไม่มีการเปิดขายหน่วยบ้านจัดสรรใหม่เพิ่มเติม ตลาดจะขายได้หมดภายในระยะเวลา 16 เดือนโดยประมาณ ในจำนวนโครงการใหม่ดังกล่าว พบว่า เป็นหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้าง 4,100 หน่วย อยู่ระหว่างก่อสร้าง 12,800 หน่วย ส่วนใหญ่สร้างเสร็จแล้ว 23,000 หน่วย จากหน่วยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ มีสินค้าเหลือขาย หรือเป็นบ้านว่างอยู่ราว 2,100 หน่วย คอนโด "พัทยา" กว่า 4.2 หมื่นหน่วย สำหรับประเภทอาคารชุด หรือ คอนโด พบว่าอยู่ระหว่างการขายทั้งสิ้นถึง 56,400 หน่วย มาจาก 217 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 170,200 ล้านบาท ขายได้แล้วประมาณ 37,400 หน่วย หรือขายได้แล้ว 66% ของทั้งหมด มูลค่าที่ขายได้ราว 113,800 ล้านบาท ยังเหลือขาย 19,000 หน่วย มูลค่ารวม 56,400 ล้านบาท จากหน่วยในผังโครงการอาคารชุดทั้งหมด แบ่งตามพื้นที่ พบว่า อยู่ในอำเภอบางละมุง (รวมพัทยา) 42,400 หน่วย ในอำเภอเมือง 8,500 หน่วย อำเภอสัตหีบ 3,600 หน่วย และ อำเภอศรีราชา 1,900 หน่วย ส่วนอัตราการดูดซับของห้องชุดในจังหวัดชลบุรี อยู่ที่ 7.8% หรือหมายความว่าหากไม่มีการเปิดขายหน่วยห้องชุดใหม่เลย ตลาดจะขายได้หมดภายในระยะเวลาประมาณ 13 เดือน สถานะของการก่อสร้าง พบว่า เป็นหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้าง 12,100 หน่วย อยู่ระหว่างก่อสร้าง 32,300 หน่วย และก่อสร้างแล้วเสร็จ 11,900 หน่วย จากหน่วยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ มีเหลือขายห้องว่างราว 2,300 หน่วย สำหรับกลุ่มคอนโดมิเนียม ในปีนี้มีประเด็นน่าสนใจ เมื่อพบว่าได้มีผู้ประกอบการจากส่วนกลางหลายราย ทั้ง บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์, บมจ.ศุภาลัย ต่างประกาศความสำเร็จในการขายหมด ภายในเวลาอันรวดเร็ว สวนทางกับผู้ประกอบการคอนโดจากส่วนกลาง ที่รุกลงทุนในพัทยาอยู่แล้ว อย่าง บมจ.ไรมอนแลนด์ ซึ่งเปิดคอนโดใหม่ในพัทยาใต้ บนเขาพระตำหนัก ด้วยอัตราการขายอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แสนสิริเผยยอดขาย 9 เดือนกว่า3.7หมื่นล้านบาท

แสนสิริเผยยอดขาย 9 เดือนกว่า3.7หมื่นล้านบาท

แสนสิริ เผยยอดขาย 9 เดือนกว่า 3.7 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 80% ของเป้าทั้งปี เผยยอดรอรับรู้รายได้ 5 ปี สูงถึง 6.5 หมื่นล้านบาท นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริจำกัด (มหาชน) (SIRI)กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนของปีนี้ บริษัทมียอดขาย (พรีเซล) สูงถึง 37,000 ล้านบาท นับเป็นยอดขายสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และคิดเป็นประมาณ 80% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 48,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขายในช่วง 9 เดือนที่ประมาณ 26,000 ล้านบาท ทั้งนี้ แบ่งเป็นยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสแรก มูลค่ารวมกว่า 21,000 ล้านบาท และยอดขายในช่วงไตรมาสสอง 8,000 ล้านบาท รวมทั้งยอดขายในช่วงไตรมาสสาม ที่บริษัทสามารถปิดการขายได้อีก 8,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงครองยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างรอรับรู้รายได้ (Presale backlog)ในอีก 5 ปีข้างหน้าสูงถึงประมาณ 65,457 ล้านบาทแล้ว นับเป็นยอดขายล่วงหน้าที่สูงที่สุดในระบบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในขณะนี้เช่นเดียวกัน รวมทั้งยังนับเป็นยอดรอรับรู้รายได้ที่สูงที่สุดที่บริษัทเคยทำได้ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจ สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/56 บริษัทจะมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ อีกประมาณ 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,700 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการมูลค่ารวมประมาณ 5,700 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยว 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,200 ล้านบาท รวมทั้งการพัฒนาทาวน์เฮาส์อีก 1 โครงการ มูลค่ารวม 800 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายไว้ประมาณ 11,000 ล้านบาท
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ 6 เดือนข้างหน้าต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ 6 เดือนข้างหน้าต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ 6 เดือนข้างหน้าต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์ ผวาปัญหาการเมือง-ศก.ซบ-ขาดแคลนแรงงาน-ต้นทุนวัสดุพุ่ง ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ไตรมาส 3 ปี 2556 มีผู้ประกอบการตอบแบบสอบถาม 166 บริษัท เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 30 บริษัท และบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 136 บริษัท ในการคำนวณดัชนีรวมจะให้น้ำหนักบริษัทจดทะเบียนและบริษัทไม่จดทะเบียนเท่ากัน นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในภาวะปัจจุบันมีค่าเท่ากับ 52.5 ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 2 ปี 2556 ซึ่งดัชนีมีค่าเท่ากับ 54.7 แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งดัชนีมีค่าเท่ากับ 51.3 เมื่อแยกประเภทผู้ประกอบการ พบว่า ผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันเท่ากับ 57.8 ปรับลดลงจากไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีค่าดัชนี 59.2 ส่วนผู้ประกอบการที่ไม่ใช่บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันเท่ากับ 47.3 ปรับลดลงจากไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีค่าดัชนี 50.1 ทั้งนี้ ค่าดัชนีไตรมาส 3 ปี 2556 สูงกว่า 50.0 แสดงว่าผู้ประกอบการยังมีความเห็นว่าภาวะตลาดยังดี แต่ดัชนีปรับลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แสดงว่าผู้ประกอบการไม่มั่นใจมากเท่ากับเมื่อไตรมาสก่อนหน้า โดยไตรมาส 3 ปี 2556 ผู้ประกอบการมีความกังวลใจในด้านผลประกอบการ ยอดขาย การลงทุน การจ้างงาน อีกทั้งต้นทุนการประกอบการเพิ่มขึ้นจากราคาวัสดุ ปัจจัยเศรษฐกิจโดยภาพรวมที่มีสัญญาณชะลอตัว การเข้าสู่ฤดูฝน ทำให้มีความกังวลต่อปัญหาอุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้น อีกทั้งผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจในการซื้อที่อยู่อาศัย สำหรับดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้า มีค่าเท่ากับ 60.4 ปรับลดลงจากไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีค่าเท่ากับ 67.4 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ซึ่งดัชนีมีค่าเท่ากับ 69.6 โดยในส่วนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีค่าดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้า เท่ากับ 64.4 ปรับลดลงจากไตรมาสที่แล้วซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 72.0 ส่วนบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีค่าดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้า มีค่าดัชนีเท่ากับ 56.4 ปรับลดลงจากไตรมาสที่แล้วซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 62.7 อย่างไรก็ตาม ดัชนีความคาดหวังใน 6 เดือนข้างหน้า ปรับลดลงจากไตรมาสที่แล้วเช่นกัน และเป็นค่าดัชนีต่ำที่สุดในรอบ 5 ไตรมาส โดยผู้ประกอบการมีความกังวลมากขึ้นต่ออนาคต ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สถานการณ์การเมืองที่ส่อเค้าความยุ่งยาก ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน การขาดแคลนแรงงานและผู้รับเหมา ราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มสูง

1 ... 101 102 103