ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 4 5 6 ... 106
ศุภาลัยเปิดตัว พรีเซ้นเตอร์คนแรก เคลียร์ชัดศุภาลัยบ้านไม่แคบ!

ศุภาลัยเปิดตัว พรีเซ้นเตอร์คนแรก เคลียร์ชัดศุภาลัยบ้านไม่แคบ!

ศุภาลัย เรียกได้ว่าฮอตสุดๆ กับ “โบว์ - เมลดา สุศรี” เจ้าของฉายาเจ้าแม่พรีเซ็นเตอร์ ที่ล่าสุดมงลงได้ตำแหน่ง พรีเซ็นเตอร์คนแรกของแบรนด์ “ศุภาลัย” ผู้นำวงการอสังหาฯ เป็นที่เรียบร้อย พร้อมเคลียร์ชัดตำนาน “อ้วนแล้วบ้านแคบลงไหม”     ล่าสุดโบว์ตอบแล้วจากตัวจริง เสียงจริงว่าบ้านศุภาลัยไม่แคบแน่นอน กับภาพยนตร์โฆษณาตัวใหม่ “บ้านศุภาลัย #StandardดีQualityเดียวกัน” ที่พาขึ้นเหนือล่องใต้เปิดบ้านศุภาลัยที่ไม่ว่าภาคไหนก็ไม่ธรรมดากับมาตรฐานบ้านดีทุกหลังทั่วไทย พร้อมโชว์สกิลแอคติ้งยืนหนึ่งกับภาษาถิ่นทั้งภาคเหนือ กลาง อีสาน ใต้ กับความน่ารักเกินต้านที่ไม่เหมือนใคร แจกความสดใสคว้าใจแฟนๆ ทั่วประเทศ     “โบว์ต้องขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติมากๆ ที่ได้รับความไว้วางใจจากศุภาลัยให้โบว์ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกของแบรนด์ โดยต้องบอกเลยว่าจากการที่ได้ร่วมงานกัน โบว์มองว่าแต่ละโครงการของศุภาลัยได้ใส่ใจในการออกแบบตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริงของทุกคนจริงๆ รวมไปถึงเหมาะกับการใช้ชีวิตของโบว์มาก และงานนี้โบว์ก็ได้ร่วมถ่ายทำโฆษณากับทางศุภาลัยที่อยากให้ทุกคนได้ไปติดตามดู ซึ่งโบว์บอกได้เลยว่าบ้านศุภาลัย ไม่แคบแน่นอนค่ะ” โบว์ - เมลดา สุศรี กล่าว     งานนี้ ซุปตาร์สาวเสียงใส พรีเซ็นเตอร์คนแรกและคนเดียวของศุภาลัยได้การันตีพร้อมเอ่ยปากเองเลยว่าดีจริงทุกหลัง! โดยไม่ต้องกังวลเลยว่าจะหุ่นไซส์ไหน หรือมีตัวตนแบบใด ก็ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านศุภาลัยสุดแฮปปี้ได้เหมือนกันทุกคนแบบ ‘Standard ดี Quality เดียวกัน’ พร้อมแอบกระซิบว่าความน่ารักของโบว์ยังคงไม่จบแค่นี้ แฟนๆ สามารถติดตามกิจกรรมสุดฟินกับโบว์-เมลดาและศุภาลัยได้ที่  https://www.facebook.com/supalaiplc แล้วมาดูกันว่าบ้านศุภาลัยหลังไหนกันนะที่โบว์-เมลดาจะพาไปเปิดประตูบานต่อไป!   เชิญชมภาพยนตร์โฆษณา “บ้านศุภาลัย #StandardดีQualityเดียวกัน” คลิก https://youtu.be/My5fjOop_Mo   บทความน่าสนใจ ศุภาลัย วิลล์ วงแหวน-ลำลูกกา คลอง 7 แบบบ้านใหม่ เอาใจทาสแมว ศุภาลัย เอสเซ้นส์  โครงการพรีเมี่ยมแห่งแรกในอ่างศิลา  ศุภาลัย โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 14,346 ล้าน ลุยเปิดใหม่ครึ่งปีหลัง 27 โครงการ
ESTAR  เปิดชม ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39  ยอดนิยมในย่าน ขายแล้วกว่า 70%

ESTAR  เปิดชม ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39  ยอดนิยมในย่าน ขายแล้วกว่า 70%

บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดชมโครงการ “ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39” หนึ่งในโครงการที่อยู่อาศัยของ ESTAR ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มั่นใจทำเลสุขุมวิทที่ตอบโจทย์ทั้งอยู่เองหรือลงทุน ลุยตลาดคอนโดต่อเนื่องด้วยโครงการ ควินทารา มาย'เซน พร้อมพงษ์     นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ  บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ESTAR ได้พัฒนาโครงการแนวสูงบนเส้นทำเลสุขุมวิท ได้แก่ โครงการควินทารา ทรีเฮาส์ สุขุมวิท 42, โครงการควินทารา อาเท่ สุขุมวิท 52 และโครงการควินทารา ภูม สุขุมวิท 39 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอย่างมาก โดยเห็นได้จากเป้ายอดขายของทั้ง 3 โครงการนี้ ไม่ว่าจะเป็น   โครงการควินทารา ทรีเฮาส์ สุขุมวิท 42 ที่บริษัทสามารถปิดยอดขายไปได้ 100% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เ โครงการควินทารา อาเท่ สุขุมวิท 52 ที่ตอนนี้ยอดขายไต่ระดับมาแตะถึง 98% โดยคาดว่าจะปิดการขายและพร้อมโอนภายในปีนี้ โครงการควินทารา ภูม สุขุมวิท 39 ตอนนี้ยอดขายเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก อยู่ที่ 70%   ซึ่งจากความนิยมในโปรดักส์จะสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่อยู่บนทำเลเศรษฐกิจใจกลางเมือง จึงทำให้ ESTAR มั่นใจในทำเลพร้อมกับเดินหน้าขยายโครงการมูลค่า 1,000 ล้านบาท โครงการควินทารา มาย'เซน พร้อมพงษ์ ไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา     “จากการวิเคราะห์ในศักยภาพทำเล พร้อมพงษ์ จัดอยู่หนึ่งใน 3 ของทำเลที่มีศักยภาพมากบนเส้นถนนสุขุมวิท  เป็นทำเลโซนชั้นในของเมือง อีกทั้งเส้นพร้อมพงษ์ยังเป็นย่านที่อยู่อาศัยชั้นดี เต็มไปด้วยบ้านหลังใหญ่และต้นไม้ขนาดใหญ่ จึงมีสภาพแวดล้อมที่ดี เงียบ สงบ และนับวันที่ดินจะหายาก จึงคุ้มค่าทั้งการซื้ออยู่อาศัยเองและซื้อไว้ลงทุนปล่อยเช่า ซึ่ง ณ ปัจจุบันราคาที่อยู่อาศัยย่านพร้อมพงษ์อยู่ที่ 220,000 บาท/ตร.ม.และจากความเป็นทำเลชั้นดี บริษัทจึงได้นำพื้นที่กว่า 2 ไร่ ที่ตั้งอยู่ในซอยพร้อมพงษ์ หรือซอยสุขุมวิท 39 มาพัฒนาเป็นโครงการควินทารา ภูม สุขุมวิท 39 คอนโดมิเนียมประเภท Low Rise สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 323 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โดยออกแบบให้เป็นห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ตั้งแต่ 28-38 ตร.ม. และแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ตั้งแต่ 58-64 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.99 ล้านบาท หากเมื่อคำนวณแล้วราคาขายเฉลี่ยของโครงการอยู่ที่ ประมาณ 100,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งถือว่าราคาดีและคุ้มที่สุดในทำเลนี้ เนื่องจากพร้อมพงษ์เป็นทำเลยอดนิยมของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงประชากรแฝงที่เข้ามาทำงานในย่านดังกล่าว” นายไพโรจน์ กล่าวถึงกลุ่มลูกค้าในย่านพร้อมพงษ์ หลักๆ แบ่งสัดส่วนเป็น 51% ส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทเอกชน ย่านพร้อมพงษ์-อโศก พนักงงานโรงแรม รวมถึงบุคลากรจากโรงพยาบาลชั้นนำ และ 21% คือกลุ่มเจ้าของกิจการในรัศมีรอบโครงการ รวมถึงกลุ่มผู้ปกครอง นักศึกษามหาวิทยาลัยในย่านนั้น นอกจากนี้อีก 8% จะเป็นพนักงานใน หน่วยงานภาครัฐต่างๆ และอื่นๆ อีก 20% จะเป็นลูกค้าที่ตั้งใจเข้ามาซื้อเพื่อการลงทุน โครงการควินทารา ภูม สุขุมวิท 39 ถูกวางคอนเซปต์และการออกแบบที่ให้สอดคล้องกับพื้นที่ทำเล โดยหยิบยกเอกลักษณ์ของบ้านเรือนไทย “เรือนไทยหมู่” มาสร้างเสน่ห์ความงดงามให้กับการอยู่อาศัย เชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่ชั้น 4 ที่ออกแบบให้ เสมือนชานพักผ่อนของทุกคนครอบครัว พร้อมสวนสวยที่ทอดยาวต่อเนื่องตลอดแนวอาคาร สร้างทัศนียภาพที่สวยงามและสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ขณะที่การเดินทางสัญจรเข้า-ออก โครงการนั้น แม้จะอยู่ในซอย แต่ก็ถือว่าอยู่ในทำเลที่เชื่อมต่อ เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS สถานีพร้อมพงษ์ รถยนต์ และสามารถเข้าออกได้หลากหลายเส้นทางทั้งทางอโศก สุขุมวิท ทองหล่อ และเพชรบุรี นอกจากนี้ยังรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นนำบนย่านลักชัวรี สไตล์ ได้แก่ ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียเอ็มโพเรียม อาหาร คาเฟ่ จำนวนมาก นอกจากนี้ยังใกล้กับสถาบันการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาศรีนครินทวิโรฒ ประสานมิตร โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย โรงเรียนนานาชาติเอกมัย รวมไปถึงโรงพยาบาลชั้นนำ อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ และโรงพยาบาลคามิลเลียน เป็นต้น นายไพโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมสำหรับการลงทุนพัฒนาล่าสุดที่อยู่ในทำเลพร้อมพงษ์ในจุดเดียวกันและจะพัฒนาใกล้เคียงในลักษณะเดียวกัน ซึ่งจะอยู่ในโปรดักส์ควินทารา มาย’ ซีรีย์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Creator of Life’s Pleasures” คือโครงการควินทารา มาย'เซน พร้อมพงษ์ มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 276 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่ ราคาเริ่มต้นที่คุ้มค่า เพียง 2.49 ล้านบาท มีจุดเด่น ดีไซน์สไตล์วิถีความเป็นเซน คือเรียบง่าย สบาย และลงตัว การออกแบบห้องพักที่ทั้งแบบสตูดิโอ 1 ห้องนอน และมีขนาดแบบ 1 ห้องนอนใหญ่ อีกทั้งยังมีแบบ 2 ห้องนอน ขนาดเริ่มต้น 21-65 ตร.ม. ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและพร้อมเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4/2024 อย่างไรก็ตาม ตอนนี้โครงการควินทารา มาย'เซน พร้อมพงษ์ มียอดพรีเซลแล้วกว่า 50% ทั้งนี้บริษัทฯ คาดการณ์สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งหลังต่อจากนี้ อันเนื่องจากปัญหา อันได้แก่ ภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ขณะที่ประชากรในประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัยมากขึ้น สำหรับในประชากรกลุ่ม Gen Z ก็จะมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป คือนิยมเช่าบ้านมากกว่าซื้อ อีกทั้งในส่วนของราคาที่ดินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างสูง ที่อยู่ อาศัยจึงปรับขึ้นสูงตาม จึงทำให้ผู้บริโภคหันไปอยู่ทำเลนอกเมืองมากขึ้น แต่ก็จะมีต้นทุนค่าครองชีพและเดินทางที่ตามมา ซึ่งภายใต้ข้อจำกัดเบื้องต้นจากปัจจัยดังกล่าว จึงทำให้ ESTAR มุ่งมั่นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยบนความคุ้มค่า คุ้มราคา และมีไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคให้มากที่สุด และหากทางภาครัฐมีส่วนช่วยในการสนับสนุนหรือเพิ่มนโยบายการซื้อบ้านหลังแรกอย่างอีกครั้ง พร้อมปรับเกณฑ์มาตรการ LTV ใหม่ เอื้อต่อการกู้ซื้อบ้านและคอนโดหลังแรก ก็จะเอื้อประโยชน์ให้กับลูกค้าและสร้างความคล่องตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น นายไพโรจน์ กล่าวสรุป   บทความน่าสนใจ ESTAR เปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ ไพโรจน์ วัฒนวโรดม ปรับใหญ่รุกตลาดบ้าน    
เซ็นทรัลพัฒนา เผยธุรกิจ Central Pattana Residence เติบโตต่อเนื่อง เดินหน้าตลาดลักซูรี

เซ็นทรัลพัฒนา เผยธุรกิจ Central Pattana Residence เติบโตต่อเนื่อง เดินหน้าตลาดลักซูรี

Central Pattana Residence บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาธุรกิจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล, ที่พักอาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ เผยแผนธุรกิจ Central Pattana Residence ช่วง Q3-Q4/2566 ขยายพอร์ตลักซูรี เดินหน้ารุกโครงการแนวราบ เปิดตัวบ้าน แบรนด์ใหม่ล่าสุด “BAAN NIRADA” (บ้านนิรดา) ราคาเริ่มต้นประมาณ 20-30 ล้านบาท   Central Pattana Residence ปักหมุดทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ ได้แก่ พระราม 2 , รวมถึงอุทยาน-อักษะ และเอกชัย- วงแหวน  เชื่อมั่นดีมานด์กลุ่มลูกค้าระดับบนที่ยังคงมีกำลังซื้อต่อเนื่อง โดยคาดว่าปลายปี 66 จะสามารถปิดยอดขายรวมกันทั้งปีได้ 6,000 ล้านบาท  พบกับงานใหญ่แห่งปี ‘Imagining Better Living’ วันที่ 14-17 ก.ย. 66 นี้ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 1 รวบรวมบ้าน, คอนโดฯ และทาวน์โฮมทั้งหมด 18 โครงการ หลากหลายทำเลคุณภาพทั่วไทย พร้อมโปรโมชั่นดีที่สุดแห่งปี และข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองภายในงานเท่านั้น ลดสูงสุด 6,000,000 ล้านบาท* ฟรี ทุกค่าใช้จ่ายวันโอนฯ รับคะแนน The 1 สูงสุด 100,000 คะแนน     คุณวัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “Central Pattana Residence เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง เราลงทุนทั้งเมืองหลัก และเมืองรองขยายโครงการที่อยู่อาศัยครอบคลุมกว่า 18 จังหวัด ซึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมการกระจายความเจริญ สร้างย่าน เมือง ชุมชน สังคม รวมไปถึงสร้างประเทศอีกด้วย โดยโครงการของเรามีจุดแข็งในด้านทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดในทุกย่านและเมือง อีกทั้งยังเชื่อมต่อและ Synergy กับส่วนอื่นๆ ใน The Ecosystem for All ของเรา ทั้งส่วน Retail ที่เป็นหัวใจสำคัญ และในบางทำเลยังเชื่อมกับส่วนของโรงแรม และอาคารสำนักงาน รวมกันเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่มีศักยภาพสูง ดังนั้น เราจึงสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยได้อย่างครอบคลุมทั้ง 360 องศา ไม่ว่าจะเป็นการ Shop-Eat-Work-Play-Stay-Live ตลอด 24 ชม.”   “เรามุ่งมั่นสร้างโครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำอสังหาริมทรัพย์ของเรา และการออกแบบพื้นที่ Place Making เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน เชื่อมโยงไปถึง People และ Planet ดูแลผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ทุกโครงการจึงเน้นการสร้างสังคมคุณภาพและสภาพแวดล้อมที่ดี สร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในทุกมิติ พร้อมส่งมอบบ้านและคอนโดมิเนียมที่มีคุณภาพ ด้วยฟังก์ชั่นที่ครบครันและได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย เอื้อต่อการใช้ชีวิตของทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย” คุณวัลยากล่าว คุณกรี เดชชัย President, Residential Business บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “สำหรับแผนปี 2566 นี้เราเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 7 โครงการ ได้แก่ คอนโดฯ 3 โครงการทั้ง ESCENT ที่เพชรบุรี, บุรีรัมย์ และบางนา รวมทั้งโครงการบ้าน 4 โครงการ ทั้งบ้านนิรติ นครศรีฯ, และบ้านนิรดา แบรนด์ล่าสุดใน  3 ทำเลคือ พระราม 2, อุทยาน-อักษะ, เอกชัย-วงแหวน โดยคาดว่าปลายปีนี้จะปิดยอดขายรวมกันทั้งปี 6,000 ล้านบาท ทั้งนี้มองว่าแนวโน้มไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ตลาดอสังหาฯ ยังคงมีทิศทางที่ดี โดยมีปัจจัยบวกจากความต้องการด้านที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่ยังคงมีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง”   เตรียมพบกับ “บ้านนิรดา พระราม 2” เปิดตัวในวันที่ 7-8 ตุลาคม 2566 นี้ บ้านเดี่ยวหรูสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ติดถนนพระราม 2 ทำเลศักยภาพ เชื่อมต่อย่านเศรษฐกิจ พระราม 3-ยานนาวา-สาทร ได้อย่างสะดวก และยังสามารถเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดปริมณฑลทั้งจังหวัดนครปฐม ผ่าน ถ.พุทธสาคร รวมถึงเป็น South Gate ที่จะเดินทางไปยังภาคใต้ ตอบโจทย์ทุก ไลฟ์สไตล์การใช้ชิวิตทุกรูปแบบ รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทั้ง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 2, Tops Club, เซ็นทรัล มหาชัย รวมถึงแหล่งไลฟ์สไตล์ โรงเรียนนานาชาติ และสถานพยาบาลชั้นนำ เปิดโมเดลธุรกิจและกลยุทธ์แข็งแกร่ง Central Pattana Residence จากจุดเริ่มต้นของ RESIDENCE ด้วยโครงการภายใต้แบรนด์ ESCENT คอนโดฯ ติดศูนย์การค้า ที่ได้รับการตอบรับดีทั่วประเทศ พัฒนาสู่แบรนด์ Phyll คอนโดฯ ระดับพรีเมี่ยม การผนึกกำลังกับทั้งศูนย์การค้าเซ็นทรัล และศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เรียกได้ว่ามี Insight มองเห็น Behavior และ Domestic Demand จริง ทั่วประเทศ มีความพร้อมในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ทุกระดับราคา ภายใต้ Brand และ Product ที่หลากหลายทั้งแนวราบและแนวสูง โดยพัฒนาตั้งแต่โครงการแรกจนถึงสิ้นปี 66 นี้ มีจำนวนโครงการรวมทั้งหมด 35 โครงการ ครอบคลุม 18 จังหวัด โดยมีโครงการที่ขายเสร็จสิ้นไปแล้วกว่า 12 โครงการ ทั้งนี้ในด้าน Sustainability “บ้านและคอนโดฯ เซ็นทรัล” ยังคำนึงถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตที่ดี บ้านทุกหลังเตรียมจุดรองรับ EV CHARGER สำหรับรถยนตร์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทุกรุ่น การใช้เฟอร์นิเจอร์ในพื้นที่ส่วนกลางจากวัสดุรีไซเคิล รวมถึงมีการร่วมมือกับ SCG เลือกใช้วัสดุก่อสร้าง และผลิตภัณฑ์ที่มีฉลาก SCG Green Choice มาใช้ในโครงการ ผนวกกับนวัตกรรม SCG Active AIR Quality ที่ช่วยสร้างอากาศดี ด้วยการกรองฝุ่น PM 2.5 ลดเชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัสเข้าสู่บ้าน และติดตั้งแผง Solar Cell บนหลังคาอาคารสโมสร และไฟ Solar Cell ทางเดินในพื้นที่ส่วนกลาง   บทความน่าสนใจ เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050 เซ็นทรัลพัฒนา ลงทุน 13,900 ล้าน ปั้นแลนด์มาร์ก 3 บิ๊กมิกซ์ยูส
[PR News]เอพี ไทยแลนด์ คว้ารางวัลสำคัญ CEO และ CFO

[PR News]เอพี ไทยแลนด์ คว้ารางวัลสำคัญ CEO และ CFO

IAA Awards for Listed Companies 2022 – 2023 บมจ. เอพี ไทยแลนด์  คว้า 2 รางวัลคุณภาพในหมวดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง  จาก IAA Awards for Listed Companies 2022 – 2023 จัดโดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ได้แก่ รางวัล Outstanding CEO ที่มอบให้กับ นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ รางวัล Outstanding CFO ที่มอบให้กับนางสาวกรองทอง ปลูกผลงาม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี IAA Awards for Listed Companies 2022 – 2023 สองรางวัลทรงคุณค่าดังกล่าวมาจากผลโหวตของนักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุน ที่มอบให้กับผู้นำในอุตสาหกรรมที่ร่วมขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งนับว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ตลาดทุนและประเทศไทยโดยรวม สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเอพี ไทยแลนด์ที่ทำงานแบบเจาะลึก เข้มข้น  เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ให้ทุกคนมีชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้   “เอพี ไทยแลนด์” คว้ารางวัลสำคัญ CEO และ CFO โดดเด่น จาก IAA Awards for Listed Companies สะท้อนความเป็นผู้นำธุรกิจ และความเชื่อมั่นจากนักลงทุน IAA Awards for Listed Companies 2022 – 2023 นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า “เอพี ไทยแลนด์ ขอขอบพระคุณนักวิเคราะห์ นักลงทุนไทย และสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ที่ให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นต่อกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัท เป็นรางวัลแห่งความภูมิใจและเป็นกำลังใจสำคัญให้ทีมงานเอพีทุกคนไม่หยุดที่จะพัฒนาเพื่อเอ็มพาวเวอร์ให้ทุกคนในสังคมไทย มี “ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้” ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของเอพีเรา” เอพี ไทยแลนด์ ได้รับการประเมินเครดิตองค์กรจากทริสเรทติ้ง ที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยปี 2566 บริษัทฯ ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่มากถึง 58 โครงการ มูลค่าประมาณ 77,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 57,500 ล้านบาท และในครึ่งปีหลังบริษัทฯ เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 55,940 ล้านบาท       บทความน่าสนใจ THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี “Create Your Own Etiquette วิถีแห่งที่สุดของชีวิตสุนทรียะในแบบของคุณ” 10 ปี AP Thailand – Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โปรเจ็กต์ร่วมทุน เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโด กับ มิตซูบิชิ เอสเตท
[PR] CI มอบแคมเปญ Heart Deal Feel Good ลดครั้งใหญ่ 10 โครงการ ทุกยูนิตจ่ายเพียง 70%

[PR] CI มอบแคมเปญ Heart Deal Feel Good ลดครั้งใหญ่ 10 โครงการ ทุกยูนิตจ่ายเพียง 70%

CI มอบแคมเปญ Heart Deal Feel Good ลดครั้งใหญ่ 10 โครงการ ทุกยูนิตจ่ายเพียง 70% ชาญอิสสระ นำ 10 โครงการในเครือ ร่วมแคมเปญใหญ่ “Heart Deal Feel Good” กระตุ้นยอดปลายปี อัดโปรโมชั่นแรงทุกยูนิตจ่ายเพียง 70% พร้อม On Top สูงสุด 700,000 บาท ครั้งเดียวในรอบปี ทั้งบ้านเดี่ยวสุดหรู บ้านพักตากอากาศ คอนโดมิเนียม และโรงแรม ตั้งแต่วันนี้ – 31 ต.ค. 66   นายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสร้างสรรค์สื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโต มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้น ล่าสุดบริษัทฯ เตรียมจัดแคมเปญลดครั้งใหญ่กระตุ้นการตลาด “Heart Deal Feel Good” ลดครั้งใหญ่ในรอบปี ผนึก 10 โครงการในเครือจัดโปรโมชั่นทุกยูนิตจ่ายเพียง 70% พร้อมให้On Top สูงสุดถึง 700,000 บาท ทั้งบ้านเดี่ยวสุดหรู บ้านพักตากอากาศ คอนโดมิเนียม และโรงแรม เพื่อเป็นการคืนกำไรให้กับลูกค้าได้มีโอกาสเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ในราคาสุดพิเศษ รวมถึงเข้าพักโรงแรมสุดหรู 3 โรงแรมในเครือ ในแพคเกจราคาสุดคุ้ม สำหรับโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ “Heart Deal Feel Good” ประกอบด้วย โครงการ ดิ อิสสระ สาทร ลักชัวรี่ คอนโดมิเนียม บนทำเลถนนจันทน์-สาทร ที่เชื่อมต่อการอยู่อาศัยของความเป็นเมืองและธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน  ซึ่งแล้วเสร็จพร้อมโอนตั้งแต่ ตุลาคม นี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 5.59 ล้านบาท “โครงการดิ อิสสระ สาทร เป็นคอนโดมิเนี่ยมพร้อมเข้าอยู่ โลเคชั่นรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิการเดินทางที่สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนสีลม-สาทร จุดขึ้น ลง ทางด่วน สถานศึกษา และโรงพยาบาลชั้นนำ คอมมูนิตี้มอลล์ โดยโครงการให้ความสำคัญด้านงานออกแบบที่มีความเป็นส่วนตัว และเชื่อมโยงมนต์เสน่ห์ของความเป็นเมืองเข้ากับธรรมชาติที่ลงตัวเพียง 270 ยูนิต พร้อมกับพื้นที่ส่วนกลางที่โอ่โถงให้การใช้ชีวิตทุกวันได้พักผ่อนอย่างแท้จริง” นายดิฐวัฒน์ กล่าว นอกจากนี้ยังมี โครงการ บ้านอิสสระ บางนา โครงการบ้านเดี่ยวสุดหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ บนทำเลย่านบางนา บ้านพร้อมเข้าอยู่ ที่ให้ความสำคัญด้านการออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทสถาปนิก A49  ด้วยราคาเริ่มต้น 55 ล้านบาท* ลงทะเบียนรับส่วนลดเพิ่มเติมสูงสุด 700,000 บาท* ขณะที่โครงการศศรา หัวหิน (SASARA HUA HIN) ลักชัวรี่ บีชฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ บนทำเลย่านเขาตะเกียบ หัวหิน ประกอบด้วย อาคารชุดพักอาศัย 4 ชั้น 5 อาคาร จำนวน 110 ยูนิต ด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด “The Art Of Escape” นำศิลปะเข้ามาผสมผสานการออกแบบ สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวโครงการ สะท้อนถึงการใช้ชีวิตที่หลีกหนีจากความวุ่นวาย ในราคาเริ่มต้นที่ 5.99 ล้านบาท มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายอาทิ สระว่ายน้ำ 5 แบบ 5 สไตล์ Lagoon Pool , Lap Pool, Step waterfall and Hidden Jacuzzi, Kid’s Pool และ Entertainment Pool พร้อมด้วยกิจกรรมมากมายทั้งภายในและภายนอกโครงการ ซึ่งคอนโดจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนภายในปีนี้ ขอมอบโปรโมชั่นพิเศษฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธ์, ฟรีค่าส่วนกลาง 1 ปี, ฟรี ค่ากองทุนส่วนกลาง และฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอนกรรมสิทธิ์ ด้าน Baba Beach Club Luxury Pool Villa Hua Hin พูลวิลล่าสุดหรู “ความสุข ลงทุนได้” บริหารและพัฒนาโดยโรงแรมศรีพันวา ตั้งอยู่บนทำเลใกล้หน้าหาดประมาณ 200เมตร มีการออกแบบให้มีความ “เรียบหรู” ผสานกลิ่นอายของบ้านตากอากาศสไตล์โคโลเนียลเน้นโถงกลางบ้านและระเบียงที่สูงโล่ง ซึ่งแต่ละหลังของ วิลล่า มีความเป็นส่วนตัว ประกอบด้วยสวนสีเขียว และ สระว่ายน้ำส่วนตัวด้านหลังของบ้าน พร้อมห้องนอนที่สามารถลงสู่สระว่ายน้ำได้โดยตรง (Access Pool) รวมไปถึงสวนส่วนตัวในห้องน้ำเพื่อเน้นถึงความเป็นบรรยากาศของความเป็นรีสอร์ท ในราคาเริ่มต้น 31.9 ล้านบาท พร้อมรับโปรโมชั่น Fully Furnished ฟรีเฟอร์ฯ เครื่องใช้ไฟฟ้าครบ พร้อมอยู่, ฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอน, ฟรีค่าธรรมเนียมโอน 1%, ฟรีค่าสมาชิกแรกเข้า, ฟรีค่าสมาชิกรายปี และฟรีค่า Caring Package “โครงการทิวทะเลเวิลด์ ชะอำ – หัวหิน (Thew Talay World Cha Am – Hua Hin) ถือเป็นโครงการ มิกซ์ยูส ที่ผสมผสานทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย เพื่อการพักผ่อน และเพื่อการพาณิชย์ ที่ประกอบไปด้วย พูลวิลล่าตากอากาศ คอนโดมิเนียม โรงแรม Baba Beach Club ซึ่งมีทั้งโซนบีชฟร้อนท์ และโซน Habita Seaview ร้านกาแฟ ร้านอาหารและพื้นที่จัดงานในทำเลติดชายหาด ซึ่งปัจจุบันทำเลดังกล่าวยังมีอยู่น้อยมาก ทุกโครงการสามารถตอบโจทย์การพักอาศัยให้กับทุกๆ ไลฟ์สไตล์ ที่มาพร้อมกับการให้บริการเต็มรูปแบบ” นายดิฐวัฒน์ กล่าว ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมอย่าง โครงการบ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ (Blue Sapphire) โลว์ไรส์ และไฮไรส์ คอนโดมิเนียม 4 ชั้น 2 อาคาร และ 15 ชั้น 1 อาคาร พร้อมทั้ง Clubhouse อยู่หน้าหาด จำนวน 421 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.89 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของ โครงการบลู ไดมอนด์ (Blu Diamond) ไฮไรส์ คอนโดมิเนียม วิวทะเล สูง 21 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 491 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท โดยจะมีการจัดกิจกรรมในระหว่างวันที่ 13-15 ต.ค. 66  พบกับ Workshop สุดน่ารัก อาหารถิ่นเมืองเพชรบุรี เเละเครื่องดื่มให้บริการลูกค้า ตั้งแต่เวลา09.00 - 18.00 น. ที่สำนักงานขายทิวทะเลเวิลด์ ชะอำ-หัวหิน ขณะที่ โครงการบ้านสีตวัน ปากช่อง-เขาใหญ่  โครงการบ้านพักตากอากาศ  "Discover Tranquility In Your Own Retreat” นิยามของการพักผ่อนที่เป็นตัวคุณ ในทำเลปากช่อง มีความโดดเด่นด้านการออกแบบที่คำนึงถึง Eco-Living โดยนำเทคโนโลยีการก่อสร้างบ้าน Modular จาก SCG HEIM มาผสมผสานดีไซน์จากบริษัทสถาปนิก แฮบบิตา เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และสาธารณูประโภคที่ครบครัน ด้วยราคาบ้านพร้อมอยู่ และแปลงที่ดินเปล่า เริ่มต้น 4.99 -29.99 ล้าน พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษ ฟรีค่าส่วนกลาง 24 เดือน, ฟรีค่ากองทุนสำรอง, ฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอนกรรมสิทธิ์ ลงทะเบียนรับส่วนลด 100,000 บาท ในส่วนของโรงแรมในเครืออย่าง Sri Panwa Phuket ชูแพคเกจโปรโมชั่นห้องพัก 3 วัน 2 คืน ราคาเริ่มต้นเพียง 21,000 บาท* จอง: วันนี้ - 31 ต.ค. 66 เข้าพัก : วันนี้ - 31 ต.ค.67 ด้านโรงแรม Baba Beach Club Natai ชูโปรโมชั่นแพคเกจราคาห้องพัก 3 วัน2 คืน เริ่มต้นเพียง 13,000 บาท จอง: วันนี้ - 31 ต.ค. 66 เข้าพัก: วันนี้ - 16 เม.ย. 67 ขณะที่โรงแรม Baba Beach Club Hua Hin จัดดีลสุดคุ้ม โปรโมชั่นห้องพักคืนละ 5,500 บาท เข้าพัก 2 คืนขึ้นไป เหลือราคาคืนละ 5,115 บาท จอง: วันนี้ - 31 ต.ค. 66 เข้าพัก: วันนี้ - 31 มี.ค.67 สำหรับงานแคมเปญ Heart Deal Feel Good ถือเป็นแคมเปญใหญ่ที่จัดขึ้นครั้งเดียวในรอบปี โดยจะเริ่มตั้งแต่ วันนี้ - 31 ตุลาคม 2566 โปรโมชั่นต่างๆ ของแต่ละโครงการเป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02 308 2222 หรือ www.charnissara.com, Line:@Charnissara   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง Baan Issara Bangna เปิดแบบบ้านใหม่ พร้อมโปรซื้อบ้านแถมรถ Bentley เปิดตัว Issara Easy Connect  ดูโครงการ-ซื้อขายผ่านออนไลน์ รีวิวคอนโดย่านสาทร วิวคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยา THE ISSARA SATHORN  
[PR News] สกาย กรุ๊ป ส่ง “เมทเธียร์” ลุยภารกิจใหญ่ Smart Facility Management

[PR News] สกาย กรุ๊ป ส่ง “เมทเธียร์” ลุยภารกิจใหญ่ Smart Facility Management

สกาย กรุ๊ป เปิดตัว “เมทเธียร์” รุกธุรกิจใหม่สร้าง New S-Curve ต่อยอดนวัตกรรมแห่งอนาคตสู่ธุรกิจการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อัจฉริยะ ผสานการพัฒนาโซลูชันจากขุมพลัง AI เดินหน้าเจาะโครงการอสังหาฯขนาดใหญ่ 5 กลุ่ม โครงการมิกซ์ยูส-ศูนย์การค้า-ออฟฟิศ-โครงการบ้านและคอนโด-โรงงานอุตสาหกรรม เตรียมระดมเทคโนโลยีสุดล้ำพลิกโฉมธุรกิจ Smart Facility Management       นายขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมทเธียร์ จำกัด (Metthier) ในเครือบริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ สกาย กรุ๊ป (SKY Group) เปิดเผยว่า สกาย กรุ๊ป ได้ต่อยอดความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ (Smart Security) สู่ธุรกิจใหม่ โดยเปิดตัวบริษัทย่อยภายใต้ชื่อ บริษัท เมทเธียร์ จำกัด หรือ “Metthier” เพื่อดำเนินธุรกิจการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อัจฉริยะ (Smart Facility Management) แบบครบวงจร หลังจากสกาย กรุ๊ป ได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท รักษาความปลอดภัยและบริหารธุรการ สยาม จำกัด (รักข์สยาม) หรือ SAMCO ผู้ให้บริการครอบคลุมทั้งด้านการรักษาความปลอดภัย งานธุรการ และงานดูแลความเรียบร้อยของอาคารและสถานที่ ซึ่งมีบุคลากรกว่า 6,000 คน และดูแลกลุ่มลูกค้าองค์กรภาคเอกชนชั้นนำมากกว่า 400 รายในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ อาทิ สถาบันการเงิน ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ อาคารสำนักงาน โรงงาน ผู้ให้บริการพลังงาน เมื่อ ก.ค. ที่ผ่านมา การผสานรวมจุดแข็ง (Synergy) จากทั้ง 2 บริษัท คือ ความเชี่ยวชาญของ Metthier ในด้านการพัฒนาโซลูชันจากขุมพลัง AI (AI-Empowered Solutions) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยอัจฉริยะ มารวมเข้ากับความเป็นมืออาชีพด้านงานรักษาความปลอดภัยและดูแลความเรียบร้อยของอาคาร พร้อมเครือข่ายบุคลากรขนาดใหญ่ของ SAMCO นั้น จะช่วยให้ Metthier สามารถเดินหน้าธุรกิจ Smart Facility Management ได้อย่างแข็งแกร่ง และเป็น New S-Curve ที่ช่วยสร้างการเติบโตให้กับสกาย กรุ๊ป   สกาย กรุ๊ป ส่ง “เมทเธียร์” ลุยภารกิจใหญ่ Smart Facility Management ระดมสุดยอดเทคโนโลยีขั้นสูงให้บริการเมกะโปรเจกต์อสังหา   ทั้งนี้ Metthier ให้บริการครอบคลุมทั้งด้านระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ การบริหารจัดการอาคารสถานที่ รวมถึงโซลูชันที่พัฒนาขึ้นจากเทคโนโลยี AI  พร้อมศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะเต็มรูปแบบ โดยมุ่งขยายฐานลูกค้าภาคเอกชนที่เป็นเจ้าของหรือผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ที่มีความต้องการด้านการบริหารจัดการอาคารและเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับสูงใน 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.โครงการมิกซ์ยูส (Mixed-Use) โครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน 2.ศูนย์การค้า 3.อาคารสำนักงาน 4.โครงการบ้านและคอนโด และ 5.โรงงานอุตสาหกรรม     “Metthier มุ่งมั่นที่จะพลิกโฉมธุรกิจ Smart Facility Management ให้แตกต่างจากที่เคยเป็นมา ด้วยการนำเทคโนโลยีแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็น AI CCTV, Smart Incident Management, Digital Twin, 3D Visualization, Indoor Mapping, AIoT and Robotics เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรและระบบภายในอาคาร ทำให้ปัจจุบันเรามีบริการที่พร้อมรองรับโครงการอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ ซึ่งเราจะเปิดเผยรายละเอียดภายใน ต.ค. นี้” นายขยล กล่าว   บทความน่าสนใจ HBA เร่งฟื้นกำลังซื้อครึ่งปีหลัง จัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023   
AWC จับมือ 2C2P แพลตฟอร์มชำระเงินระดับโลก ปักหมุดที่เอ็มไพร์ทาวเวอร์

AWC จับมือ 2C2P แพลตฟอร์มชำระเงินระดับโลก ปักหมุดที่เอ็มไพร์ทาวเวอร์

         บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดบ้านเอ็มไพร์ทาวเวอร์ต้อนรับบริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด (2C2P) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการชำระเงินระดับโลก เปิดสำนักงานแห่งใหม่ที่อาคาร ‘เอ็มไพร์’ อาคารสำนักงานไลฟ์สไตล์สเปซ และทำความร่วมมือของทั้งสององค์กรที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับดิจิทัลอีโคซิสเต็ม ตอบโจทย์บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก สร้างพื้นที่สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมต่อองค์กร ผู้คน และชุมชน ผ่านคอนเซ็ปต์ ‘Co-Living Collective: Empower Future’ ที่เป็นเอกลักษณ์ของอาคาร ‘เอ็มไพร์’ พร้อมนำเสนอ AWC Infinite Lifestyle (AWI) โปรแกรมสิทธิประโยชน์สำหรับผู้เช่า ตอบโจทย์ทั้งด้านการทำงานและการพักผ่อนได้อย่างลงตัว โดยอาคาร ‘เอ็มไพร์’ จะสร้างพื้นที่ Co-Living ให้เกิดการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้เช่า ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย รวมถึงการส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ผ่านการจัดกิจกรรม เวิร์คช็อป สัมมนา และการสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน AWC จับมือ 2C2P AWC จับมือ 2C2P           นายปิยชาติ รัตน์ประสาทพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด (2C2P) กล่าวว่า “วิสัยทัศน์ของ 2c2p คือพัฒนาและให้บริการระบบชำระเงินแบบครบวงจร โดยสร้างโครงสร้างพื้นฐานของการชำระเงินผ่านเครือข่ายการชำระเงินที่เป็นพันธมิตรกับเรา เพื่อให้ผู้ใช้มีทางเลือกที่หลากหลายในการชำระเงิน เพราะการชำระเงินถือเป็นส่วนหลักเพื่อสนับสนุนระบบนิเวศแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ 2C2P เราเชื่อว่าบุคลากรคือรากฐานของความสำเร็จของเรา เราดูแลพนักงานของเราและพยายามหาวิธีการเพื่อให้เกิดความสมดุลที่ดีระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว ดังนั้นเราจึงเลือก อาคาร 'เอ็มไพร์' เป็นที่ตั้งสำนักงานแห่งใหม่ของเราเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท การตัดสินใจของเรามีรากฐานมาจากความเชื่อมั่นของเราที่มีต่ออาคาร 'เอ็มไพร์' ที่มีการจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางเพื่อให้ผู้เช่าได้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น พื้นที่ทำงานแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการผสมผสานงานและชีวิตของพนักงานของเราเข้าด้วยกัน และให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน”   “อาคาร ‘เอ็มไพร์’ ยังมีพื้นที่ส่วนกลางที่สามารถใช้ทำงานร่วมกันแบบเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย บวกกับอยู่บนทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง และเพียบพร้อมด้วยสิทธิพิเศษมากมายที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการทำงานของพนักงาน 2C2P ด้วยข้อเสนอสิทธิพิเศษของ AWI (AWC Infinite Lifestyle) ที่นอกจากสามารถใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกของ อาคาร 'เอ็มไพร์’ ร่วมกันอันเป็นอภิสิทธิเฉพาะผู้เช่าเท่านั้น ทางผุ้บริหาร พนักงานของ 2C2P ยังได้สิทธิในการรับบริการพิเศษจากเครือข่ายแบรนด์และพันธมิตรของ AWC ในส่วนของโรงแรม ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงานด้วยเช่นกัน จึงทำให้ทีม 2C2P ลงตัวสำหรับการเลือกที่จะขยับขยายมาที่อาคาร 'เอ็มไพร์”                                ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “AWC และ 2C2P มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการมุ่งสร้างสถานที่ทำงานแห่งความสุขให้กับพนักงาน เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ 2C2P สู่อาคาร ‘เอ็มไพร์’ และเชื่อมั่นว่าความแข็งแกร่งด้านนวัตกรรมการชำระเงินดิจิทัลของ 2C2P ผสานกับคอนเซ็ปต์ ‘Co-Living Collective: Empower Future’ ของอาคาร ‘เอ็มไพร์’ ที่ออกแบบเพื่อรองรับเทรนด์ที่ผสานการทำงานและไลฟ์สไตล์อย่างลงตัว จะตอบโจทย์ความต้องการของคนทำงานและองค์กรรุ่นใหม่ได้อย่างดี และเป็นพื้นที่เสริมความแข็งแกร่งและการเติบโตให้ดิจิทัลอีโคซิสเต็มอย่างไม่มีขีดจำกัด นอกจากนี้ภายใต้แนวคิด Co-Living ยังสร้างพื้นที่สำหรับกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์และความคิดสร้างสรรค์เหมือนกัน มารวมตัวเพื่อสร้างคุณค่าและเติบโตไปด้วยกัน โดยผู้เช่าและพนักงานจะมีโอกาสในการทำความรู้จักและสร้างการเชื่อมต่อเพื่อสร้างการเติบโตและพัฒนาโอกาสทางธุรกิจร่วมกันกับองค์กรอื่นภายในอาคารผ่านแพลตฟอร์มทั้งออฟไลน์-ออนไลน์ รวมถึงการแบ่งปันทักษะ ความรู้ร่วมกัน ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่จัดโดย AWC อาทิ เวิร์คช็อป การสัมมนา โดยความร่วมมือระหว่าง AWC และ 2C2P ครั้งนี้ ยังตอบสนองความต้องการของพนักงานในอีโคซิสเต็มได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการเติบโตอย่างไร้ขอบเขต พร้อมร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้กับพนักงานร่วมกัน”   ทั้งนี้ สำนักงานแห่งใหม่ของ 2C2P จะเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคมปี 2567 มีพื้นที่รวมกว่า 3,000 ตารางเมตร รองรับพนักงานได้กว่า 300 คน โดยอาคาร ‘เอ็มไพร์’ เป็นสำนักงานระดับเกรดเอ ตั้งอยู่ใจกลาง CBD ย่านสาทร ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีใน Co-Living และ Collaborative Spaces ที่ใหญ่ที่สุด พร้อมด้วยการออกแบบตกแต่งที่ผสานพื้นที่ทำงานและพื้นที่ด้านไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว เชื่อมต่อผู้เช่าและพนักงานของบริษัทชั้นนำเข้าในอีโคซิสเต็ม นอกจากนี้ AWC ยังตอบสนองไลฟ์สไตล์การทำงานของผู้เช่าอาคาร ‘เอ็มไพร์’ พร้อมไลฟ์สไตล์สุดพิเศษ ผ่าน AWC Infinite Lifestyle ลอยัลตี้โปรแกรมที่มอบสิทธิประโยชน์ สินค้าและบริการในโครงการคุณภาพของ AWC ทั้งโรงแรม อาคารสำนักงานและคอมมูนิตี้ชอปปิ้งมอลล์ เพื่อส่งเสริมดิจิทัลอีโคซิสเต็มในอาคาร ‘เอ็มไพร์’ แบบครบวงจร “AWC ยังได้ร่วมมือกับ 2C2P ในการพัฒนา Pikul แอปพลิเคชันอสังหาริมทรัพย์เพื่อไลฟ์สไตล์ตัวใหม่ของเรา ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มบูรณาการแบบ Omnichannel ที่ไม่เหมือนใคร โดยจะรวมประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์สุดพิเศษต่าง ๆ ที่ดีที่สุดเข้าด้วยกัน ทั้งการขาย (Sales) การส่งของขวัญ (Gifting) และเกมมิฟิเคชั่นเพื่อแลกรางวัล (Gamification) ในแอปพลิเคชัน โดย Pikul ยังทำงานร่วมกับ 2C2P ในการพัฒนาช่องทางการชำระเงิน e-wallet และ prepaid-card แพลตฟอร์มการชำระเงินที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับ Pikul โดยเฉพาะ เพื่อเสริมศักยภาพและประสบการณ์การใช้ AWC Infinite Lifestyle”   “AWC มุ่งพัฒนาอาคาร ‘เอ็มไพร์’ เป็นอาคารสำนักงานระดับสากลที่รวมบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมาย พร้อมด้วยเครือข่ายดิจิทัลที่เป็นแกนหลักของทุกอุตสาหกรรมธุรกิจ เพื่อสร้างอีโคซิสเต็มที่รวมพลังตอบโจทย์การเติบโตทางธุรกิจ รวมถึงความสุขและไลฟ์สไตล์ของทุกคน ผ่านโมเดลรูปแบบใหม่ Co-Living ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดย AWC เชิญชวนบริษัทชั้นนำระดับโลกมาร่วมส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน ขยายเครือข่าย และสร้างความแข็งแกร่งทางด้านโซลูชั่นระหว่างอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของอีโคซิส สร้างประโยชน์และคุณค่าให้กับทุกคน” นางวัลลภา กล่าวสรุป   บทความน่าสนใจ [PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ
[PR News] การเคหะฯ จับมือพันธมิตรฉลองครบรอบ 50 ปี จัดงานใหญ่ “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023”

[PR News] การเคหะฯ จับมือพันธมิตรฉลองครบรอบ 50 ปี จัดงานใหญ่ “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023”

การเคหะแห่งชาติ จับมือพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ฉลองครบรอบ 50 ปี จัดงานใหญ่ “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023” ภายใต้แนวคิด “คิดถึงบ้าน คิดถึงการเคหะ” ในวันที่ 1-3 กันยายนนี้ พร้อมยกทัพโครงการที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและระหว่างก่อสร้างในทำเลศักยภาพทั่วประเทศจำนวน 11,492 หน่วย ให้ประชาชนร่วมจับจองเป็นเจ้าของ ในราคาจองเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท    นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานภายใต้กำกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุมชนและเมือง ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและครัวเรือนเปราะบางมาตลอดระยะเวลา 50 ปี สามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยไปแล้วกว่า 7 แสนหน่วย ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการเคหะชุมชน โครงการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด โครงการเคหะข้าราชการ โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง โครงการอาคารเช่า เป็นต้น และในวาระครบรอบ 50 ปี ของการเคหะฯ จึงได้จับมือร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนจัดงาน “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023” ภายใต้แนวคิด “คิดถึงบ้าน คิดถึงการเคหะ” ในระหว่างวันที่ 1-3 กันยายน 2566 ตั้งแต่เวลา 08.30-18.00 น. ณ สำนักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ และสำนักงานเคหะนครหลวง สำนักงานเคหะจังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.   “งานมหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023 ถือเป็นอีกหนึ่งงานสำคัญแห่งปีที่ประชาชนจะได้มีโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัยระดับคุณภาพ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดี ในราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ โดยการเคหะแห่งชาติได้จับมือร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ เครือข่ายพันธมิตรและสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อมอบโปรโมชั่นสุดพิเศษให้กับประชาชนที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็น อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เฟอร์นิเจอร์และสินค้าแต่งบ้าน ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับบ้านในราคาสุดพิเศษ เพื่อมอบเป็นของขวัญช่วงปลายปีให้กับประชาชน ตามวิสัยทัศน์ของหน่วยงานที่ว่า “สร้างบ้าน สร้างสุข เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี”นายทวีพงษ์ กล่าว   สำหรับ งาน “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023” การเคหะแห่งชาตินำโครงการที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและระหว่างก่อสร้างทั่วประเทศ จำนวน 11,492 หน่วย ประกอบไปด้วย โครงการเคหะชุมชน โครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามโครงข่ายคมนาคมโครงสร้างพื้นฐาน (TOD) และโครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ แบ่งเป็น กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 4,824 หน่วย ภาคกลาง 1,008 หน่วย ภาคเหนือ 505 หน่วย ภาคตะวันออก 2,339 หน่วย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,329 หน่วย และภาคใต้ 1,487 หน่วย ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารชุด บนทำเลศักยภาพที่มีความโดดเด่นไม่แพ้กันในแต่ละภาค มาให้ประชาชนที่สนใจได้ร่วมจับจองเป็นเจ้าของ โดยจองเริ่มต้นพียง 1,000 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ยังมอบโปรโมชั่นส่วนลดสุดพิเศษถึง 3 ต่อ ต่อที่ 1 ส่วนลดสูงสุด 10% จากมาตรการสนับสนุนการเข้าถึงที่อยู่อาศัยฯ หรือเลือกเช่าเพื่อซื้อ (Rent to buy) บ้านพร้อมที่ดิน 1,500 บาทต่อเดือน ห้องชุดขนาด 33 ตร.ม. 1,200-1,500 บาทต่อเดือน ห้องชุดขนาด 24 ตร.ม. 1,000-1,200 บาทต่อเดือน   ต่อที่ 2 เช่าซื้ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ จากโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยฯ (คบส.) กรณีไม่ผ่านสินเชื่อธนาคาร  สำหรับบุคคลทั่วไป ปีที่ 1-4 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.50% สำหรับกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือบุตรที่ซื้อบ้านในโครงการที่พ่อแม่อาศัยอยู่) ปีที่ 1-5 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.50% ผ่อนต่อเดือนเริ่มต้น 1,000 บาท หรือเช่าซื้อ กคช. อัตราดอกเบี้ยพิเศษ สำหรับบุคคลทั่วไป ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4% สำหรับกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือบุตรที่ซื้อบ้านในโครงการที่พ่อแม่อาศัยอยู่) ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4% ผ่อนต่อเดือนเริ่มต้น 1,200 บาท และส่วนลดปิดโครงการสูงสุด 10,000 บาท สำหรับโครงการที่มีอาคารคงเหลือไม่เกิน 10 หน่วย   ต่อที่ 3 จองภายในวันงานรับส่วนลดเพิ่มทันที 15,000-40,000 บาท แบ่งเป็น โครงการเชิงสังคม 15,000 บาท โครงการเชิงพาณิชย์ ราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาทต่อหน่วย ลด 20,000 บาท ราคามากกว่า 2.5 ล้านบาทต่อหน่วย ลด 40,000 บาท รวมส่วนลดสำหรับโครงการที่เข้าร่วมทุกโปรโมชั่นสูงสุด 80,000 บาท รายละเอียดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และโครงการที่เข้าร่วมเป็นไปตามที่การเคหะแห่งชาติกำหนด พร้อมพบกับกิจกรรมให้ความรู้ กิจกรรมการทำน้ำหมักจุลินทรีย์ ตรวจสอบเครดิตบูโรฟรี รับสมัครงาน สินค้าชุมชน สินค้าตกแต่งบ้าน สินค้าอุปโภคบริโภคราคาประหยัดจากโครงการธงฟ้า และบูธสถาบันการเงินต่าง ๆ อาทิ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารทีเอ็มบีธนชาติที่จะมาให้คำแนะนำและให้บริการเรื่องการยื่นขอสินเชื่อสำหรับลูกค้าภายในงานฯ   การเคหะแห่งชาติ รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีภารกิจหลักในการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ทั้งด้านกายภาพ เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม สอดรับแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) ภายใต้วิสัยทัศน์ “คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579” โดยมุ่งเน้นส่งเสริมและพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชน สนับสนุนให้มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ปัจจุบันได้พัฒนาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศแล้วกว่า 7 แสนหน่วย พร้อมขับเคลื่อนโครงการสำคัญตอบสนองนโยบายรัฐบาล และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยังดำเนินโครงการ “บ้านเคหะสุขประชา” บ้านเช่าพร้อมอาชีพ ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง และ “บ้านเคหะสุขเกษม” สร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กับคนวัยเกษียณ   บทความน่าสนใจ การเคหะฯ ออก 3 มาตรการช่วยลูกค้าเก่า-ใหม่ จัดโปรฯ ลดดอกเบี้ย-ค่างวด ปรับโครงสร้างหนี้
[PR News]HBA เร่งฟื้นกำลังซื้อครึ่งปีหลัง จัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023   

[PR News]HBA เร่งฟื้นกำลังซื้อครึ่งปีหลัง จัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023  

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) จัดเต็มกลยุทธ์เร่งฟื้นกำลังซื้อสู้ภาวะเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 66 จับตา 2 วาระใหญ่ของประเทศ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่cและภาวะดอกเบี้ยพุ่ง 2.25% ส่งสัญญาณความเชื่อมั่นผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย เร่งสยายปีกเครือข่ายสมาชิกตลาดรับสร้างบ้านในแต่ละภูมิภาค เสริมทัพตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมจัดใหญ่งานมหกรรมแห่งปี “รับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023” เริ่ม 20 – 24 ก.ย. 2566 เพื่อเพิ่มโอกาสให้คนอยากมีบ้านเข้าถึงบริการคุณภาพ ในคอนเซ็ปต์ “ครบเครื่องเรื่องสร้างบ้าน” สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน                                   นายโอฬาร จันทร์ภู่ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA : Home Builder Association) เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2566 ยังต้องจับตา 2 วาระใหญ่ของประเทศ ก็คือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ จะส่งผลทางบวกต่อภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจรับสร้างบ้านมากน้อยแค่ไหน ท่ามกลางข้อจำกัดของการทำธุรกิจที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนค่าแรงและค่าวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น และการปรับตัวของดอกเบี้ยนโยบาย อีก 0.25% ต่อปี เป็น 2.25% จากเดิม 2.00% ต่อปี ซึ่งมีผลทำให้ผู้บริโภคอาจจะชะลอการตัดสินใจสร้างบ้านออกไปเรื่อย ๆ   “ความท้าทายจากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมตลาดบ้านปลูกสร้างเองที่มีมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านบาท อาจเติบโตได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี ทางสมาคมฯ ได้เตรียมกลยุทธ์และแนวทางรับมือ เพื่อปลดล็อคข้อจำกัดที่มีและเพิ่มโอกาสให้ทั้งธุรกิจรับสร้างบ้าน รวมถึงผู้บริโภคที่กำลังวางแผนสร้างบ้าน สามารถตัดสินใจได้เร็วและง่ายขึ้น” นายโอฬาร กล่าว   ในส่วนของการเพิ่มโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจรับสร้างบ้านนั้น นายโอฬาร กล่าวว่า ปัจจุบันยอดสั่งสร้างบ้านมากกว่า 60% มาจากพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมูลค่าบ้านเฉลี่ยอยู่ที่ 5-10 ล้านบาท ขณะที่ตลาดในภูมิภาคแม้จะยังมีสัดส่วนที่น้อยกว่า แต่นับว่าเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจ และสามารถสร้างการเติบโตได้อีกมากในอนาคต   ปัจจุบันสมาคมฯ มีสมาชิก 132 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทรับสร้างบ้าน 75 บริษัท และวัสดุก่อสร้าง 57 บริษัท โดยเตรียมขยายจำนวนสมาชิกใหม่ในส่วนภูมิภาคมากขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้และการเข้าถึงตลาดความต้องการของผู้บริโภคในภูมิภาค รวมทั้งยกระดับคุณภาพงานสร้างบ้านให้มีมาตรฐานเดียวกัน   “พื้นที่ต่างจังหวัด ส่วนใหญ่ใช้บริการบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นรูปแบบบริษัทมาสร้างบ้าน ซึ่งผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยประสบกับปัญหาเรื่องคุณภาพงานที่ไม่ได้มาตรฐานและรับเงินไปแล้วทิ้งงาน ดังนั้นการเข้าไปให้ความรู้ในมาตรฐานงานก่อสร้างและการตลาด จะส่งผลดีทั้งกับบริษัทรับสร้างบ้านในภูมิภาค รวมทั้งผู้บริโภคที่จะเข้าถึงบริการที่ได้คุณภาพและไว้วางใจได้ว่าจะไม่เกิดปัญหาในภายหลัง” นายโอฬาร กล่าว   นอกจากนี้ ทางสมาคมฯ เตรียมกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นงานใหญ่ของปี “รับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 นับเป็นงานเดียวที่รวบรวมความครบเครื่องเรื่องบ้านไว้มากที่สุด พร้อมจัดเต็มสิทธิประโยชน์ ส่วนลด และของแถม จากบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ครบเครื่องเรื่องสร้างบ้าน”     ความพิเศษของงานในปีนี้ อัดแน่นไปด้วยกองทัพแบบบ้านให้เลือกกว่า 1,000 แบบ ราคาตั้งแต่ 1 – 100 ล้านบาท สิทธิพิเศษสำหรับการจองปลูกบ้านภายในงาน ลุ้นรับทองคำแท่ง 15 บาท มูลค่ารวมกว่า 500,000 บาท** รวมทั้งบริการขอสินเชื่อสร้างบ้านภายในงานกู้ได้ 100% แบบไม่มีเงินก็สร้างบ้านได้ โดยมีสถาบันการเงินเข้ามาร่วมให้บริการสินเชื่อถึง 4 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และพบกับทรัพย์พร้อมอยู่ ราคาสุดพิเศษ จาก JAM และผู้เชี่ยวชาญเรื่องสร้างบ้านที่คอยให้คำปรึกษาสำหรับคนที่กำลังวางแผนสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเอง   “ด้วยข้อเสนอที่พิเศษสุด พร้อมด้วยบริการที่ครบวงจรรวมไว้ในงานเดียว และในปีนี้ นอกจากจะมีบริษัทสมาชิกจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก มาร่วมออกงานแล้ว ยังมีบริษัทสมาชิกจากภาคใต้มาร่วมออกงานอีกด้วย นับว่าเป็นงานรับสร้างบ้านระดับประเทศอย่างแท้จริง โดยสมาคมฯ คาดหวังว่างานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023 จะสามารถดึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้กลับมา และกระตุ้นการตัดสินใจสร้างบ้านให้เร็วขึ้น ซึ่งจะส่งสัญญาณที่ดีต่อภาพรวมของตลาดรับสร้างบ้านให้ขยายตัวภายในสิ้นปีนี้” นายโอฬาร กล่าวทิ้งท้าย   พบกับงานรับสร้างบ้านที่ครอบคลุมสำหรับทุกความต้องการ เรียกได้ว่ามางานนี้ที่เดียวจบ ครบเครื่องเรื่องสร้างบ้านจริง ๆ ในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023 ระหว่างวันที่ 20 - 24 กันยายน 2566 ณ อิมแพ็ค ฮอลล์ 6 เมืองทองธานี  จัดโดยสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน   บทความนาสนใจ ไวด์เฮ้าส์ลุยตลาดรับสร้างบ้าน 2 แสนล้านประเดิมปีแรกทำรายได้ 60 ล้าน
อรสิรินโฮลดิ้ง เตรียมขาย IPO 406.5 ล้านหุ้นใน SET หลังก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง

อรสิรินโฮลดิ้ง เตรียมขาย IPO 406.5 ล้านหุ้นใน SET หลังก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง

ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง อรสิริน โฮลดิ้ง ดีเวลลอปเปอร์จากเชียงใหม่ เตรียมขายไอพีโอ 406.5 ล้านหุ้น เข้า SET ผนึก APM ที่ปรึกษาการเงิน เดินสายโรดโชว์นำเสนอข้อมูลแก่กองทุน นักลงทุนสถาบันต่างประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง พร้อมพบนักลงทุนรายย่อย 15 จังหวัดทั่วประเทศ มั่นใจพื้นฐานแกร่ง นักลงทุนตอบรับดี   ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ORN เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ หรือ ไฟลิ่ง เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ของ ORN ในวันที่ 23 สิงหาคม 2566  เป็นที่เรียบร้อยแล้ว   โดยบริษัทจะเดินหน้านำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับกองทุน นักลงทุนสถาบัน ต่างประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ในวันที่ 23-25 สิงหาคม 2566 สำหรับการนำเสนอข้อมูลในครั้งนี้คาดว่าจะได้รับความสนใจจากกองทุนต่างประเทศเป็นอย่างดี  เนื่องจาก ORN เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบและแนวสูงในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มายาวนานกว่า 17 ปี และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมั่นคง ด้านนายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APM กล่าวว่า ปัจจุบัน อรสิริน  หรือ ORN มีทุนจดทะเบียน 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 1,500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาทและมีทุนที่เรียกชำระแล้ว 1,093.50 ล้านบาท โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 406.50 ล้านหุ้น หรือ 27.10% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)   โดยหลังจากนี้ เตรียมเดินหน้านำเสนอข้อมูลธุรกิจของบริษัท พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนกลุ่มต่างๆ และผู้ที่สนใจ โดยจะทำการโรดโชว์ในประเทศทั้งหมด 15 จังหวัดในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2566  รวมถึงนำเสนอข้อมูลรายละเอียดหลักทรัพย์ แก่เจ้าหน้าที่นักวิเคราะห์ เจ้าหน้าที่การตลาด ณ ห้องค้าบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายในปีนี้   ขณะที่นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) หรือ ORN กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจของบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง เสริมสร้างศักยภาพทางการเงิน เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต   ปัจจุบัน ORN ประกอบธุรกิจการลงทุนถือหุ้นบริษัทอื่น (Holding Company) มีกลุ่มธุรกิจหลักคือ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบ แนวสูง ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย บนทำเลคุณภาพจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและการพัฒนา ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566 จำนวนรวม 18 โครงการ ภายใต้แบรนด์สินค้า ได้แก่ THE ESCAPE , HABITAT , BELIVE , ORNSIRIN , ORNSIRIN VILLE , URBAN MYX , THE ASTRA , ARISE และ THE NEXT มูลค่าขายโครงการรวมประมาณ 15,533 ล้านบาท มีมูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 2,329 ล้านบาท เป็นที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จแล้วหรือที่อยู่ระหว่างก่อสร้างที่เปิดขายแล้ว แบ่งเป็นมูลค่าคงเหลือขายโครงการแนวราบประมาณ 712 ล้านบาท และโครงการแนวสูงประมาณ 1,617 ล้านบาท รวมถึงมีที่ดินรอการพัฒนาหรืออยู่ระหว่างก่อสร้างที่ยังไม่เปิดขายรวมประมาณ 3,850 ล้านบาท บริษัทยังคงมุ่งเน้นเดินหน้าสร้างการเติบโตต่อเนื่อง เตรียมแผนขยายโครงการบนทำเลคุณภาพ ชูกลยุทธ์พัฒนาที่อยู่อาศัย ด้วยการออกแบบฟังก์ชันและนวัตกรรมการอยู่อาศัยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ลูกบ้านทุกโครงการ ตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำ ผู้พัฒนาอสังหาฯภูมิภาคอย่างแข็งแกร่ง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อรสิริน ดีเวลลอปเปอร์รายแรกของภาคเหนือ เตรียม IPO ใน SET  ปี 66
[PR News] “ณ วีรา รามอินทรา” พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างจริงครั้งแรก แถมโปรส่วนลด 200,000 บาท

[PR News] “ณ วีรา รามอินทรา” พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างจริงครั้งแรก แถมโปรส่วนลด 200,000 บาท

ณวรางค์ แอสเซท ได้ฤกษ์เปิดตัวโครงการ ณ วีรา รามอินทรา มูลค่า 550 ล้าน ภายใต้แนวคิด “ให้คุณเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ใช่ได้ทุกวัน ..CRAFT YOUR EVERYDAY” คอนโดฯ ใหม่ให้ครบเกินคุ้ม ย่านลาดปลาเค้าใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู แค่ 3 นาที พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างครั้งแรก ด้วยราคาเริ่มต้น 1.49 ล้าน แถมส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท ชูจุดเด่นทำเลทองเพื่อการอยู่อาศัย ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยจริง และลงทุนปล่อยเช่า   นายอภิภู พรหมโยธี  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด  เปิดเผยว่า ได้เตรียมเปิดตัวโครงการ ณ วีรา รามอินทรา คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ล่าสุดของบริษัทพร้อมให้ชมห้องตัวอย่างครั้งแรกในวันที่ 26 -27 ส.ค.นี้ โดยเปิดขายห้องชุดในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท และยังจัดโปรโมชั่นต้อนรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ด้วยส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท สำหรับผู้ลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์​ https://navarangasset.com/projects/naveera-ramintra/   สำหรับโครงการ  ณ วีรา รามอินทรา ตั้งอยู่บริเวณซอยลาดปลาเค้า 72 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีลาดปลาเค้า เพียง 3 นาที บนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ มูลค่า 550 ล้านบาท มีจำนวน 218 ยูนิต พัฒนาภายใต้แนวคิด “ให้คุณเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ใช่ได้ทุกวัน ..CRAFT YOUR EVERYDAY” คอนโดฯ ใหม่ให้ครบเกินคุ้ม ด้วยการดีไซน์ห้องที่ลงตัวเพื่อการอยู่อาศัยอย่างมีความสุข พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุคใหม่ อาทิ คลับเฮ้าส์สองชั้นที่มี Co-working space ฟิตเนสวิวธรรมชาติ รูฟท้อป สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ลานบาร์บีคิว   นายอภิภู กล่าวว่า โครงการ ณ วีรา รามอินทรา ตั้งอยู่บนทำเลทองย่านลาดปลาเค้า เพราะนอกจากจะอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีลาดปลาเค้า ซึ่งสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อมุ่งสู่ทุกจุดหมายในกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกสบายแล้ว ยังใกล้กับแหล่งการศึกษาชั้นนำ อาทิ มหาวิทยาลัยศรีปทุมและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียงแปดถึงสิบห้านาทีเท่านั้น ใกล้แหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ ทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ที่ใช้ระยะเวลาเดินทางเพียงไม่กี่นาที ใกล้กับสถานีราชการและแหล่งงานต่าง ๆ มากมายด้วย ความต้องการอยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน ยังคงคำนึงถึงเรื่องทำเลที่ตั้ง ซึ่งต้องเดินทางสะดวก สามารถเชื่อมต่อกับบริการรถสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน    สำหรับโครงการ  ณ วีรา รามอินทรา นับว่าเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว เพราะใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือรถไฟฟ้าบีทีเอส ในอนาคตยังจะเชื่อมต่อสายสีน้ำตาลและสีม่วงด้วย ซึ่งบริษัทตั้งใจพัฒนาดังกล่าวเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการอยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นผู้เริ่มต้นชีวิตใหม่ นักศึกษา ผู้ที่อยู่ย่านลาดปลาเค้าและต้องการขยับขยายจากบ้านเดิมแต่ยังรักในทำเลที่คุ้นเคย รวมทั้งกลุ่มนักลงทุนที่มองหาความคุ้มค่าสมราคา เพราะสามารถซื้อและปล่อยเช่าให้กับกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา หรือกลุ่มคนทำงานในบริเวณใกล้เคียงได้ด้วย โครงการมีห้องทั้งหมด 218 ห้อง โดยมีห้องทั้งหมด 5 แบบ ได้แก่ TYPE A  :  1 BEDROOM              22.07 -22.87 SQ.M. TYPE B  :  1 BEDROOM              26.42-27.34  SQ.M. TYPE C  :  1 BEDROOM PLUS   35.13-35.74   SQ.M. TYPE D1  :  2 BEDROOM            41.04            SQ.M. TYPE D2  :  2 BEDROOM            41.72            SQ.M.   โดยทุกห้องจะออกแบบในสไตล์โมเดิร์นมาพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์แบบครบครัน ภายในวันงานโครงการมีโปรโมชั่น จองพร้อมทำสัญญาในงานรับ Voucher Central มูลค่า 5,000 – 10,000 บาท พิเศษเฉพาะในงานวันที่ 26 -27 ส.ค.นี้ เท่านั้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ณวรางค์ แอสเซท ได้แรงหนุนสายสีชมพูสร้างใกล้เสร็จ ส่ง “ณ รีวา รามอินทรา” รับลูกค้าย่านลาดปลาเค้า -“ณวรางค์ แอสเซท” กางแผน 3 ปี ผุดโปรเจ็คต์ใหม่กว่า 5,000 ล้าน พร้อมเปิดตัว “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” คอนโดฯ เพื่อคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน
10 ปี AP Thailand - Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน

10 ปี AP Thailand - Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน

10 ปี AP Thailand - Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน 10 ปี AP Thailand - Mitsubishi Estate นับว่าเป็นการร่วมมือกันทางธุรกิจที่ยาวนานและแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยเลยก็ว่าได้ ด้วยผลงานร่วมทุน ร่วมพัฒนาคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า 24 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 116,300 ล้านบาท เพื่อตอบโจทย์ที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดของคนเมือง พร้อมประกาศเดินหน้าความร่วมมือภายใต้โรดแมป “From Strength to Strength”     ที่ผ่านมาเราคงเคยได้ยินการออกแบบเพื่อมวลชน หรือ Universal Design (UD) มาบ้าง ซึ่งแนวคิดการออกแบบสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน ที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเจาะจงไปที่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสที่มีข้อจำกัดในการใช้เท่านั้น แต่ปัจจุบัน Universal Design (UD) ก็เริ่มมีบทบาทและถูกนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ล่าสุด เราได้รู้จักกับคำว่า “Inclusive Living” (การออกแบบพื้นที่เพื่อทุกคน) จาก AP Thailand ยิ่งประกอบกับการได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นในวาระฉลองครบรอบ 10 ปี แห่งการร่วมมือกันทางธุรกิจระหว่าง AP Thailand – Mitsubishi Estate จึงทำให้เข้าในแนวคิดของคำว่า Inclusive Living มากยิ่งขึ้นไปอีก     หนึ่งในความท้าทายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมาในช่วงหลายปีนี้ คือการออกแบบและพัฒนา “พื้นที่ที่เข้าถึงความต้องการของทุกคน” โดยเฉพาะการออกแบบคอนโดมิเนียมสำหรับคนเมืองที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์อย่างรอบด้าน ทั้งการเดินทางที่สะดวก ติดแนวรถไฟฟ้า มีพื้นที่ส่วนกลาง และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมการไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงสเปซของคนแต่ละช่วงวัย รวมถึงการปรับเปลี่ยนสเปซเพื่อการอาศัยอยู่ร่วมกันของผู้คนได้อย่างสะดวกสบาย ดังนั้นแนวคิด “การออกแบบพื้นที่เพื่อทุกคน” หรือ Inclusive Living ในคอนโดมิเนียมแต่ละโครงการ จึงมีความซับซ้อนในการออกแบบมากกว่าการพัฒนาโครงการทั่วๆ ไป เนื่องจาก “ทุกคนล้วนมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน” ทั้งช่วงวัย ไลฟ์สไตล์ ความพิเศษทางกายภาพ หรือแม้แต่วัฒนธรรมที่หลากหลาย จึงเป็นโจทย์ที่สำคัญในการออกแบบเพื่อทุกคนที่อาศัยอยู่ร่วมกันได้รับความสะดวกสบายครบครันมากที่สุด   และเมื่อการร่วมมือกันพัฒนาที่อยู่อาศัยของ AP Thailand กับ Mitsubishi Estate จากประเทศญี่ปุ่นไม่ได้จำกัดอยู่แค่การร่วมทุน แต่หมายรวมไปถึงการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี นวัตกรรมร่วมกันชนิดที่มีทีมงานจากญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมานั่งทำงานประจำร่วมกับ AP ที่สำนักงานใหญ่ เราจึงมีโอกาสได้เห็นการออกแบบพื้นที่ในโครงการต่างๆ ที่ JV (Joint Venture) ร่วมกันต่างไปอย่างมีนัยสำคัญ   แล้ว Inclusive Living ต่างกับ Universal Design อย่างไร? ต้องยอมรับว่าญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการใส่ใจในรายละเอียดมากๆ ยิ่งในเรื่องการออกแบบที่อยู่อาศัยด้วยแล้ว ยิ่งมีรายละเอียดที่เกินความคาดหมายไปมาก เราได้เห็นการออกแบบด้วยแนวคิด Inclusive Living ผ่านโครงการ The Parkhouse Nishi Shinjuku Tower 60 คอนโดมิเนียมพร้อมเข้าอยู่ใจกลางโตเกียว ภายใต้การพัฒนาโดย Mitsubishi Estate ตัวโครงการโดดเด่นด้วยการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง (Facilities) เพื่อให้ทุกคนได้มีสภาพแวดล้อม การใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย สามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้โดยไม่เกิดอุปสรรคในการใช้ชีวิต ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใด หรือมาจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกันก็ตาม   เริ่มตั้งแต่การเลือกวัสดุปูพื้นชนิดพิเศษซึ่งกันลื่นได้อย่างดีแม้กรณีพื้นเปียก, ทางเดินแบบไร้สเตปตั้งแต่บริเวณ Drop Off พร้อมติดตั้ง Braille Block ตลอดทาง, ราวจับแบบ 2 ระดับ เพื่ออำนวยความสะดวกทั้งเด็กและคนชรา พร้อมอักษรเบรลล์บริเวณมือจับเพื่อการสื่อสารให้ผู้พิการทางสายตาทราบได้ว่าเดินอยู่ในตำแหน่งไหนและกำลังนำทางไปสู่ที่ใด ซึ่งสิ่งที่กล่าวมานี้ คุณอาจจะคุ้นชินหรือเคยเห็นมาบ้างแล้วในแนวคิด Universal Design ในขณะที่แนวคิดแบบ Inclusive Living มีรายละเอียดที่ลงลึกมากไปอีก อย่างเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะถูกมองข้ามหรือคิดไม่ถึง เช่น ระดับความสูงของปุ่มกดลิฟต์, ความหน่วงของการเปิดปิดประตูลิฟต์ สำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้งานแบบปกติ, การติดตั้งกระจกด้านในลิฟต์เพิ่ม เพื่อให้ผู้ที่ใช้รถเข็นมองเห็นพื้นที่ด้านหลังก่อนออกจากลิฟต์, รูปแบบของสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เป็นสากล สามารถเข้าใจได้ง่ายแม้จะต่างชาติ ต่างภาษากัน รวมถึงตำแหน่งการติดตั้งสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อให้เห็นได้ชัดเจน     และรายละเอียดที่เหนือกว่าของแนวคิด Inclusive Living คือ การคิดออกแบบไปถึง “Bio Living” การคำนึงการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ภายในโครงการ ไม่ว่าจะเป็นพืชในสวน ความหลากหลายของพันธุ์พืชเพื่อเกื้อกูลกันในระบบนิเวศน์ รวมไปถึงการคิดคำนึงถึงคนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่รอบๆ โครงการที่จะได้รับประโยชน์จากการอาศัยอยู่ร่วมกันในชุมชนไปพร้อมๆ กันอีกด้วย     อีกหนึ่งในฟังก์ชันที่น่าสนใจภายในโครงการคือ การนำแนวคิด ENGAWA – Multi Generation Facility มาออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อมุ่งเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันของลูกบ้านที่อาศัยอยู่ภายในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้พื้นที่ส่วนนี้ในการทำกิจกรรมร่วมกัน สามารถรองรับได้ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงคุณพ่อคุณแม่ และคนสูงวัย ได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันได้อย่างราบรื่น AP Thailand ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ ตลอดระยะเวลา 10 ปีแห่งความร่วมมือทางธุรกิจในการพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทย ผ่าน 24 โครงการที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ด้วยการนำหลากหลายแนวคิดจากพันธมิตรอย่าง Mitsubishi Estate มาพัฒนาโดยมุ่งเน้นถึง “การออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้งานของคนทุกกลุ่ม” โดยเฉพาะการดีไซน์พื้นที่สาธารณะ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงได้ง่ายอย่างเข้มข้นและจริงจัง เพื่อตอบโจทย์คุณภาพชีวิตในทุกมิติของการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง     ซึ่งเร็วๆ นี้ AP Thailand – Mitsubishi Estate พร้อมส่ง 2 โครงการ Masterpiece ร่วมทุนที่เป็นความภาคภูมิใจแห่งปี บนที่ดินแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพฯ โดยมีไฮไลต์แรก “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โครงการระดับเพรสทีจ-ลักซ์ บนทำเลใจกลางมหานคร จาก BTS ราชเทวี เพียง 150 เมตร พร้อมเผยโฉมห้องชุด  1 ห้องนอน 35 ตารางเมตร PANORAMIC CITY VIEW ราคาเริ่มต้น 8.29 ล้านบาท และเตรียมเปิดโอนในวันที่ 26 - 27 สิงหาคมนี้   และอีกหนึ่งไฮไลต์คือ การเปิดแฟล็กชิปโครงการร่วมทุนใหม่ล่าสุด “RHYTHM เจริญนคร” บนที่ดินขนาด 4 ไร่ ตรงข้ามไอคอนสยาม เพียง 100 เมตรจากรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีเจริญนคร ตอบโจทย์ลูกค้าไฮเอนด์ และเป็นต้นแบบ Super Condominium ที่รวมความเป็นที่สุดไว้ในหนึ่งเดียว โดยมีแผนเตรียมเปิดขายในเดือนพฤศจิกายนนี้   #APxMEC10YearOfPartnership #APFromStrengthToStrength #APThai #ชีวิตดีๆที่เลือกเองได้ #RHYTHMCharoennakhonIconic #TheAddressSiamRatchathewi #APThaiUpdate2023 บทความที่เกี่ยวข้อง เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี”  
[PR News] นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป พร้อมเปิดตัว “หลับดี” 3 แห่งในญี่ปุ่นและไทย

[PR News] นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป พร้อมเปิดตัว “หลับดี” 3 แห่งในญี่ปุ่นและไทย

นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เตรียมเปิด 3 ที่พักใหม่ “หลับดี” ในโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เกาะเต่าและย่านไชน่าทาวน์ (สามยอด) ใจกลางกรุงเทพฯ ประเทศไทย   นายนที นิธิวาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เปิดเผยว่า นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ผู้พัฒนาและประกอบธุรกิจที่พักแบรนด์หลับดีและโรงแรมเครือมาราสก้า ประกาศความพร้อมเปิดตัวที่พักแบรนด์หลับดี (Lub d) เพิ่มอีก 3 แห่งในปี 2566 และ 2567 ได้แก่ หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ หลับดี เกาะเต่าและหลับดี ไชน่าทาวน์  กรุงเทพฯ โดยทั้ง 3 แห่งได้ออกแบบให้มีเอกลักษณ์ รวมถึงประสบการณ์การต้อนรับอันโดดเด่นของแบรนด์หลับดี ถือเป็นที่พักแนวไลฟ์สไตล์ ดีไซน์ทันสมัย เพื่อนักเดินทางรุ่นใหม่ที่มีเป้าหมายชัดเจน และเน้นความคุ้มค่า การเปิดตัวที่พักแบรนด์หลับดีเพิ่มเติมอีก 3 แห่งถือเป็นการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ เสริมสร้างและสะท้อนความแข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทที่กำลังขยายสาขาในเอเชีย หลังจากที่บริษัทได้ดำเนินธุรกิจโรงแรมและบริการในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ โรงแรมหลับดีได้ขยายกิจการไปยังจุดหมายปลายทางยอดนิยมทั้งในไทยและประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันโรงแรมหลับดีได้เปิดให้บริการแล้วถึง 5 แห่ง ได้แก่ หลับดีในไทย 3 แห่ง เสียมราฐ กัมพูชา 1 แห่ง และกรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ อีก 1 แห่ง   สำหรับในปีนี้ หลับดีมีแผนเปิดให้บริการโรงแรมเพิ่มเติมอีก 1 แห่ง คือ หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ในช่วงเดือนกันยายน และนอกจากนี้ยังมีแผนเปิดให้บริการเพิ่มเติมในปี 2567 อีก 2 แห่ง คือ หลับดี เกาะเต่า  ในไตรมาสที่ 1 และหลับดี ไชน่าทาวน์  กรุงเทพฯ ในไตรมาสที่ 3   โดยหลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฮอนมาจิ เมืองโอซาก้า หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ถือเป็นก้าวสำคัญของแบรนด์ เนื่องจากเป็นการเปิดตัว หลับดีที่แรกในญี่ปุ่น แขกผู้เข้าพักจะได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศของเมืองที่มีสีสัน แถมยังเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก ที่สำคัญที่พักแห่งนี้ยังมอบโอกาสให้นักเดินทางจากทั่วโลกมาพบปะทำความรู้จักกันท่ามกลางกลิ่นอายวัฒนธรรมญี่ปุ่น และการต้อนรับอย่างอบอุ่นในรูปแบบเฉพาะตัวของหลับดี ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกสุดทันสมัยไว้คอยให้บริการ หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ยังเต็มไปด้วยการตกแต่งที่ทันสมัยพร้อมด้วยผลงานศิลปะจากศิลปินท้องถิ่น ที่จะทำให้บรรยากาศไม่น่าเบื่อและสนุกสนาน พร้อมเปิดให้บริการ ในเดือนกันยายน 2566 ส่วนหลับดี เกาะเต่า ตั้งอยู่ที่อ่าวโตนด ซึ่งติดอันดับ 1 ใน 20 แหล่งดำน้ำที่ดีที่สุดของโลก มีหาดหน้าที่พักอันเงียบสงบ ทรายขาวละเอียดและน้ำใสสวยงาม เนื่องจากเกาะเต่าเป็นจุดหมายปลายทางในดวงใจของนักดำน้ำลึก หลับดี เกาะเต่า จึงเปิดโรงเรียนสอนดำน้ำไว้คอยให้บริการด้วยเช่นกัน ใครที่พร้อมออกผจญภัย ทริปดำน้ำอันแสนเร้าใจอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นที่พักในฝันของผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยอย่างแท้จริง โดยหลับดี เกาะเต่ามีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาสแรกของปี 2567   ขณะที่หลับดี ไชน่าทาวน์ กรุงเทพฯ เตรียมจะเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสามยอด ที่รายล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิ เยาวราช ชุมชนชาวจีนที่เก่าแก่ วัดวาอาราม ถนนคนเดินริมคลองโอ่งอ่าง และย่านการค้าพาหุรัด ชุมชนชาวอินเดียอันมีเสน่ห์  ใครได้มาสัมผัสบรรยากาศจะได้รับประสบการณ์ดี ๆ ที่ไม่มีวันลืมเลือนอย่างแน่นอน   ด้านนางสาวนิธิดา นิธิวาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแบรนด์หลับดี กล่าวว่า หลับดีกำลังเติบโตทั่วเอเชียเพราะเราปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของนักเดินทางรุ่นใหม่ซึ่งอยากให้ที่พักที่เป็นมากกว่าที่พัก   ที่พักของเราเป็นพื้นที่สำหรับการเข้าสังคมและทำกิจกรรมเพื่อสัมพันธภาพและประสบการณ์ที่มีความหมายของนักเดินทางหนุ่มสาว หลับดีเป็นเหมือนแหล่งเติมพลังสำหรับการเดินทางสำรวจที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ของนักเดินทางเหล่านี้   นางสาวนิธิดา อธิบายด้วยว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นในปี 2551 หลับดีตั้งเป้าที่จะเปิดที่พักทั้งในเมืองและเกาะต่าง ๆ ทั่วเอเชียมาโดยตลอด เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่อยากได้ที่พักที่สะดวกสบาย ราคาจับต้องได้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สำรวจสิ่งแปลกใหม่และของแท้ดั้งเดิมอย่างเต็มที่   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ประกาศรายได้การให้บริการ-โรงแรมโตรับท่องเที่ยวฟื้นตัว ชูดิจิทัล-กลยุทธ์บริหาร RevPar สู่เป้ากว่า 10,000 ล้าน -AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ
เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โปรเจ็กต์ร่วมทุน เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโด กับ มิตซูบิชิ เอสเตท

เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โปรเจ็กต์ร่วมทุน เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโด กับ มิตซูบิชิ เอสเตท

เอพี ไทยแลนด์ พร้อมเผยโฉม THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโดมิหนึ่งเดียว ภายใต้การร่วมทุนกับ มิตซูบิชิ เอสเตท ชูจุดเด่น เพียง 150 เมตร จากสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี กับคอนเซ็ปต์ Create Your Own Etiquette - วิถีแห่งที่สุดของชีวิตสุนทรียะในแบบคุณ กับ 3 วิธีคิดในการออกแบบที่รังสรรค์จากความเข้าใจชีวิตเหนือระดับใจกลางเมือง   นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” เพรสทีจ-ลักซ์ ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ THE ADDRESS โครงการเดียวที่พัฒนา ภายใต้การร่วมทุนกับทางบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (บริษัทในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป)  มูลค่าโครงการ 8,600 ล้านบาท  อยู่ห่างเพียง 150 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี ถือเป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ในพอร์ตสินค้าระดับเพรสทีจ–ลักซ์ที่บริษัทฯ ไม่ได้เปิดตัวมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งการเฟ้นหาที่ดินใจกลางเมือง ที่ตอบโจทย์ทั้งคุณค่าและมูลค่าถือเป็นคีย์สำคัญในการพัฒนาคอนโดมิเนียมแบรนด์ THE ADDRESS โดยโครงการ THE ADDRESS สยาม–ราชเทวี พัฒนาขึ้นจากความเข้าใจถึงการใช้ชีวิตคุณภาพทุกองค์ประกอบ พร้อมส่งมอบการพักอาศัยที่สมบูรณ์ หนึ่งเดียวบนทำเลมากมูลค่า ในย่านสยามเชื่อมต่อราชเทวี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Create Your Own Etiquette - วิถีแห่งที่สุดของชีวิตสุนทรียะในแบบคุณ” กับ 3 วิธีคิดในการออกแบบที่รังสรรค์จากความเข้าใจชีวิตเหนือระดับใจกลางเมือง ได้แก่ 3 วิธีคิดปั้น “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” 1.SOPHISTICATION DESIGN ตั้งใจออกแบบตั้งแต่ภายนอก จนถึงพื้นที่ภายในทุกมิติ ด้วยการออกแบบพื้นที่ภายในห้องพักแบบพิเศษให้มีส่วน Cantilever ที่ยื่นออกมาเพื่อเปิดมุมมองได้กว้างกว่าเดิม รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 4 ไร่ สู่การรับวิวสวยของทัศนียภาพใจกลางทำเลราชเทวีได้ถึง 360 องศาจาก The Sky Facilities ชั้น 50 เพิ่มสุนทรียะแห่งการใช้ชีวิตในอาคารที่สูงที่สุดในราชเทวี ที่ให้ความรู้สึกที่พิเศษ 2.BEST QUALITY & FINEST MATERIALS วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในโครงการ ได้รับการเลือกเฟ้นจากผู้ผลิต และแหล่งที่ดีที่สุดจากทั่วโลก สะท้อนความประณีตในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น หินอ่อน Palissandro Bluette และ หินอ่อน Venice Grey ที่มีลวดลายสวยงามหรูหรา เพิ่มความพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ในพื้นที่ส่วนกลางแต่ละแห่ง  รวมถึงหิน Limestone  หินสีขาวที่มีความพิเศษ โดยนำมากรุส่วน Façade ด้านหน้าของตึก   นอกจากนี้ ยังมีหินอ่อน Statuario (สตาตูอาริโอ้) เนื้อหินสีขาวแทรกด้วยเส้นแร่หนาบางสีเทาอ่อน ซึ่งเป็นหินที่โปรดปรานของเหล่าประติมากร ที่ถูกนำมาต่อเป็นลวดลายบุ๊คแมกซ์ขนาดใหญ่ในส่วนของ The Grande Chamber ล็อบบี้ต้อนรับ การเลือกใช้ผ้าบุจากแบรนด์ระดับโลก Hermès Furnishing Fabrics and Wallpapers สะท้อนความลักชัวรีที่มีเอกลักษณ์ นำมาใช้ในงานตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางในส่วน The Sky Chamber อาทิ ชุดเฟอร์นิเจอร์ Signature Arm Chair และผนังหลักของห้อง ที่พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่หรูหราเฉพาะตัวของผู้เป็นเจ้าของได้อย่างชัดเจน 3.PRECIOUS LOCATION ตั้งอยู่ในโลเคชันมากคุณค่าและมูลค่าใจกลางเมือง บนตำแหน่งที่ดินที่ดีที่สุดในย่านสยามเชื่อมต่อราชเทวี เพียง 150 เมตร จากสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี และไม่ไกลจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีพญาไท ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจสำคัญ ใจกลางย่านชอปปิง ไลฟ์สไตล์ และศูนย์กลางย่านสถานศึกษา โดยโครงการพร้อมเปิดให้ชมทุกพื้นที่อย่างเป็นทางการในวันที่ 26 - 27 สิงหาคมนี้  ดีไซน์เพื่อชีวิตระดับเพรสทีจ - ลักซ์ ลงทะเบียนนัดหมายล่วงหน้า รับส่วนลดสูงสุด 1,000,000 บาท 1 ห้องนอน 35 ตารางเมตร พร้อมพาโนรามิควิว ราคาเริ่มต้น 8.29 ล้านบาท   สำหรับข้อมูลโครงการ THE ADDRESS สยาม–ราชเทวี ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 3-1-55 ไร่  มูลค่าโครงการ 8,600 ล้านบาท ที่พักอาศัยสูง 50 ชั้น จำนวนเรสซิเดนส์ทั้งสิ้น 880 ยูนิต ประกอบด้วยห้องทั้งหมด 5 รูปแบบ ได้แก่ 1.ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 31 - 35 ตารางเมตร 2.ห้องชุด 1 ห้องนอน (ดูเพล็กซ์) ขนาด 50 ตารางเมตร 3.ห้องชุด 2 ห้องนอน ขนาด 51.5 - 69.5 ตารางเมตร 4.ห้องชุด 2 ห้องนอน (ดูเพล็กซ์) ขนาด 65 ตารางเมตร 5.ห้องชุด 3 ห้องนอน ขนาด 86 ตารางเมตร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตท 10 ปีกับผลงานชิ้นโบว์แดง 24 โครงการร่วมทุน มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท
เสนา นำร่องแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เปิดตัว “เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู”

เสนา นำร่องแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เปิดตัว “เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู”

เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ชูแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เตรียมส่ง “เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู” ทาวน์โฮม ฟังก์ชันใหม่ ติดตั้งโซลาร์เซลล์ ช่วยประหยัดค่าไฟสูงสุด 25 ปี พร้อมแนวคิด geo fit+ จากญี่ปุ่นที่นำมาปรับใช้ให้เหมาะกับการอยู่อาศัยของคนไทย และนวัตกรรมประหยัดพลังงาน มุ่งสู่การสร้างบ้านพลังงานเป็นศูนย์ ลดค่าไฟ ลดคาร์บอน     ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวคิดบ้านพลังงานเป็น 0 รายแรกของประเทศไทย เปิดเผยว่า เสนามุ่งมั่นในการนำพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวคิด “The Essential Lifelong Trusted Partner” เพื่อสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีให้ลูกค้าในทุกช่วงชีวิต ควบคู่ไปกับการดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ส่วนหนึ่งของแนวคิดนี้สะท้อนผ่านการเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง ที่จะมุ่งสู่การสร้างสังคมแบบ Decarbonized Lifestyle   โดยในส่วนโครงการแนบราบ เสนาพัฒนาบนแนวคิด “บ้านพลังงานเป็น 0” ที่คิดละเอียดและใส่ใจทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง และสุขภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงการติดตั้งโซลาร์รูฟ เพื่อผลิตพลังงานสะอาดใช้เอง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมามีงานวิจัยร่วมกับ Chula Unisearch เพื่อทำการศึกษาทดลองบ้านพลังงานเป็น 0 ที่เหมาะสำหรับประเทศไทย และผลการวิจัยพบว่าบ้านขนาดใหญ่ของเสนา สามารถลดการใช้พลังงานได้สูงสุดถึง 38% ล่าสุดเตรียมเปิดโครงการ “เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู” พัฒนาบนแนวคิด “บ้านพลังงานเป็น 0” พร้อมนำแนวคิด “SMART CITY” ไม่ว่าจะเป็น Smart Energy, Smart Mobility, Smart Living ,Smart Environment เป็นต้น มาปรับใช้ในโครงการเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ง่าย ๆ ผ่านการอยู่อาศัยภายในบ้าน   โครงการประกอบด้วย ทาวน์โฮมอิสระ 2 ชั้น และบ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 170 ยูนิต แบ่งเป็น ทาวน์โฮมอิสระ จำนวน 156 ยูนิต ที่ดินเริ่มต้น 27 ตร.วา 4 ห้องนอน 1 ห้องอเนกประสงค์ 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และบ้านแฝด จำนวน 14 ยูนิต ที่ดินเริ่มต้น 36 ตร.วา 4 ห้องนอน 1 ห้องครัว 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้กว้างเทียบเท่าบ้านเดี่ยว และมีพื้นที่สีเขียว  พร้อมด้วยนวัตกรรมโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน ช่วยประหยัดค่าไฟสูงสุดตลอดอายุการใช้งาน 25 ปี พื้นที่ส่วนกลาง สระว่ายน้ำระบบเกลือ คลับเฮ้าส์บริเวณกลางโครงการ ฟิสเนต สวนย่อมส่วนกลาง ระบบกล้อง CCTV พร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ราคาเริ่มต้นที่ 4.59 ล้านบาท   นอกจากนี้ โครงการยังถูก​ออกแบบด้วยแนวคิด geo fit+ (จีโอฟิต พลัส) จากพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่น เน้นการออกแบบและตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัย 3 ด้าน ได้แก่ geo fit+ itsumo เปลี่ยนช่วงเวลาธรรมดาให้แสนพิเศษ geo fit+ tsunagu การสร้างความยั่งยืนในอนาคต และ geo fit+ mamoru ใส่ใจคนที่คุณรักในทุกมิติของการใช้ชีวิต ที่มุ่งเน้นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด #ที่เยอะจะทำอะไรก็ได้ ใส่ใจต่อผู้อยู่อาศัย สะท้อนความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัย เพื่อนำมาปรับปรุง ออกแบบพัฒนาในทุกมิติ รองรับครอบครัวใหญ่ ครอบครัวขยาย ด้วยราคาที่คุ้มค่า โครงการตั้งอยู่บนทำเล ต.บางปูใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ เดินทางสะดวก มีรถสาธารณะผ่าน ติดถนนสุขุมวิท-บางปู อยู่ใกล้แหล่งชุมชนและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล และห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกสบาย และความปลอดภัยให้กับคุณและทุกคนในครอบครัว ซึ่งบริษัทได้เตรียมจัดงานพรีเซลล์ครั้งแรก วันที่ 26 – 27 กรกฎาคม 2566  นี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาฯ เปิดโมเดล​ บ้านพลังงานเป็นศูนย์ เดินหน้าสู่บริษัท ด้านความยั่งยืน
เพอร์เฟค สรุปผลงานครึ่งปีแรกปรับตัวดีทุกพอร์ต ลุยเปิด 9 โครงการใหม่ ดันรายปีกลุ่มบริษัท​ 13,000 ล้าน​   

เพอร์เฟค สรุปผลงานครึ่งปีแรกปรับตัวดีทุกพอร์ต ลุยเปิด 9 โครงการใหม่ ดันรายปีกลุ่มบริษัท​ 13,000 ล้าน​  

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค สรุปผลงานครึ่งปีแรก ปรับตัวดีขึ้นทุกพอร์ต รายได้เติบโต 17.2% กำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 35.7% ครึ่งปีหลังแนวโน้มเติบโตกว่าครึ่งปีแรก ลุยเปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่า 13,250 ล้านบาท หนุนรายได้รวมทั้งปีให้อยู่ที่ 13,000 ล้านบาท ด้านธุรกิจโรงแรมยอดจองคึกคักจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพ ช่วง 6 เดือนแรกมีอัตราเข้าพักสูง 70%   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในครึ่งปี 2566 ปรับตัวดีขึ้น มีการฟื้นตัวในทุกหมวดธุรกิจ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 4,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  โดยเป็นผลจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโต 0.3% ธุรกิจโรงแรมซึ่งเติบโต 125.2%  จากธุรกิจให้เช่าและบริการอีก 56.0% ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้น ปรับตัวแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 35.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 25.5% โดยครึ่งปีแรกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีกำไรขั้นต้น 33.3% เทียบกับปีก่อนที่ 29.4%  ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวอย่างชัดเจนที่ระดับ 48.2% เทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อนที่ 6.3% และธุรกิจให้เช่าและบริการ ทำได้ 9.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ติดลบ 1.1% อีกทั้งยังมีส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมทุนเข้ามาอย่างมีนัยยะ เป็นจำนวน 116 ล้านบาท เป็นบวกเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2565 ที่มีผลขาดทุนที่ 42 ล้านบาท   สำหรับรายได้จากการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 13,000 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 9,600 ล้านบาท ธุรกิจโรงแรม 2,850 ล้านบาท และธุรกิจเช่าและบริการ 550 ล้านบาท นอกจากนี้ยังจะมีรายได้จากโครงการร่วมทุนอีก 5,000 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังมีความพร้อมในการเปิดโครงการใหม่ได้อย่างเต็มที่ โดยจะเดินหน้าเปิด 9 โครงการ มูลค่ารวม 13,250 ล้านบาท ซึ่งยังคงเน้นตลาดแนวราบและกระจายในทุกเซกเม้นต์ ขณะเดียวกัน ยังเน้นทำการตลาดสินค้ากลุ่มลักซ์ชัวรี่ที่อยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ ซึ่งบริษัทมีโครงการบ้านหรู 6 โครงการในแบรนด์ “เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ” และ “เลค เลเจนด์” ที่สามารถรองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลใกล้โรงเรียนนานาชาติ ซึ่งมีดีมานด์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน  พร้อมกันนี้ยังมีการพัฒนาแบบบ้านรุ่นใหม่ในโครงการเดิม รวมทั้งมีแผนการตลาดและส่งเสริมการขายอย่างเข้มข้น   สำหรับธุรกิจโรงแรมของกลุ่มบริษัทมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพ ซึ่งมีอัตราเข้าพักเพิ่มสูงขึ้น โดย 6 เดือนแรกของปีนี้อัตราเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 70% เทียบกับปีก่อนที่อยู่ในระดับ 35% ขณะที่โรงแรมในต่างจังหวัดยังคงได้รับความนิยมจากคนไทยที่ท่องเที่ยวในประเทศ โดยอัตราเข้าพักเฉลี่ย 6 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 50% อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่ารายได้จากธุรกิจโรงแรมทั้งปีนี้ จะมากกว่าปีก่อนถึง 57% โดยเป็นผลพวงมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ส่วนหนึ่งของโครงการใหม่ ที่กำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในครึ่งปีหลัง     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟคลุยพัฒนา 6 โครงการบ้านหรู จับตลาดใกล้โรงเรียนนานาชาติ
[PR News] กลุ่มบริษัทรีโว่ เปิด “ไอเจ้นท์ พระราม 9” พรีเมียมทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น

[PR News] กลุ่มบริษัทรีโว่ เปิด “ไอเจ้นท์ พระราม 9” พรีเมียมทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น

กลุ่มบริษัทรีโว่ เปิด “ไอเจ้นท์ พระราม 9” พรีเมียมทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น  เริ่ม 4.99 ล้าน ต่อยอดความสำเร็จ โครงการ ไอเจ้นท์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม พัฒนาการ   นางสาวสุทธิสินี อยู่สวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รีโว ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กลุ่มบริษัท รีโว  ที่ร่วมทุนระหว่าง รีโวกรุ๊ป, บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ PREB และ เค.อาร์.ซี. เอ็นจิเนียริ่ง เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทประสบความสำเร็จอย่างดี จากการพัฒนาโครงการ ไอเจ้นท์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม พัฒนาการ จึงได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ “ไอเจ้นท์ พรีเมียมทาวน์โฮม พระราม 9” ทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น จำนวน 72 ยูนิต เรามีนโยบายที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจมากที่สุด จึงมีความมุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยให้ความสำคัญในเรื่องของนวัตกรรม และสิ่งแวดล้อมของที่อยู่อาศัยสำหรับชีวิตเมืองในปัจจุบัน นอกจากนี้ จากความต้องการของตลาดบ้านแนวราบ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง เป็นกลุ่มลูกค้าในตลาดระดับกลางถึงระดับบนที่มีกำลังซื้อ ประกอบกับพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนไปหลังเกิดการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อาทิ การทำงานที่บ้าน (Work from home) ทำให้มีความต้องการบ้านแนวราบมากกว่า บริษัทจึงเล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ เพราะมีพื้นที่ใช้สอยที่มา และมีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต   สำหรับโครงการ ไอเจ้นท์ พรีเมียมทาวน์โฮม พระราม 9  พรีเมียมทาวน์โฮม 3 ชั้น โครงการใหม่ บนทำเลใหม่ ย่านพระรามเก้า กับแบบบ้านที่ขายดีที่สุดเพียง 72 หลัง โดยมีจุดเด่นห้อง Master Bedroom ขนาดใหญ่ 3 ห้อง พร้อมห้องน้ำในตัวทุกห้อง และห้องอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย ด้วยฟังก์ชันและดีไซน์ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี มีความเป็นส่วนทุกพื้นที่ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ส่วนกลางที่ออกแบบในสไตล์ Mid Century ที่มีทั้งคลับเฮ้าส์, ลานนวดเท้าเพื่อสุขภาพ, ฟิตเนส, Co-Working Hall พร้อม Library Room และพื้นที่สีเขียว รองรับกิจกรรมการอยู่อาศัย นอกจากนี้ ทางโครงการยังมีระบบ Smart Life Security สร้างความอุ่นใจด้วยระบบแจ้งเตือน Triple Active Alert เพื่อความสุขและอุ่นใจของทุกคนในครอบครัว โครงการตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ใกล้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์สถานีบ้านทับช้าง ใกล้รถไฟฟ้า MRT สายสีเหลืองสถานีหัวหมาก อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อถนนหลักได้หลายเส้นทาง ทั้งถนนอ่อนนุช ถนนพัฒนาการ ถนนมอเตอร์เวย์ เชื่อมเข้าถนนพระราม 9 และทางด่วนศรีรัช   โครงการ​ไอเจ้นท์ พระราม 9 พร้อมเปิดจองทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น รอบพิเศษสำหรับคนพิเศษ VIPday วันที่ 19-20 สิงหาคมนี้  ด้วยบ้านโซนพิเศษในราคาเริ่มต้นที่ 4.99 ล้านบาท จองวันนี้ กู้ 100% พร้อมรับโปรโมชั่นฟรี เฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน เครื่องปรับอากาศ  Smart Home Gadget ค่าใช้จ่าย ณ วันโอน และพิเศษยิ่งขึ้น เมื่อลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลด 50,000 บาท อีกด้วย ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์พร้อมส่วนลดพิเศษได้ที่ https://www.eigen-rama9.com/ (เงื่อนไขต่าง ๆ เป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พรีบิลท์ ปั้นแบรนด์ “พรรณนา” ลุยตลาดบ้านลักชัวรี่ราคา 15 ล้านอัพ !!
เอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตท 10 ปีกับผลงานชิ้นโบว์แดง 24 โครงการร่วมทุน มูลค่ากว่า  1 แสนล้านบาท

เอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตท 10 ปีกับผลงานชิ้นโบว์แดง 24 โครงการร่วมทุน มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท

เอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตท เอพี ไทยแลนด์ และ มิตซูบิชิ เอสเตท แถลงความสำเร็จ  ของ 2 บริษัทชั้นนำผู้พัฒนาอสังหาฯ ในประเทศไทย และบริษัทพัฒนาอสังหาฯ เบอร์ต้นที่มากด้วยประสบการณ์ในอุตสาหกรรมยาวนานกว่า 130 ปีจากประเทศญี่ปุ่น เดินหน้าความร่วมมือในโอกาสครบรอบ 10 ปี ประกาศแผนโรดแมป “FROM STRENGTH TO STRENGTH” ขับเคลื่อนการร่วมทุนที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น สู่การเติบโตที่ไม่สิ้นสุด ด้วยเม็ดเงินลงทุนผ่านทุนจดทะเบียนบริษัทร่วมทุนที่มากถึง 12,619,408,010 บาท ขยายการลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทย รับการฟื้นตัวของตลาดคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าใจกลางเมืองที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง พร้อมผลักดันภารกิจเชื่อมต่อความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ มุ่งยกระดับคุณภาพการพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับกลาง - บน ในไทย   นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ในวาระครบรอบ 10 ปี ความสำเร็จการร่วมมือทางธุรกิจ ระหว่างมิตซูบิชิ เอสเตท และเอพี ไทยแลนด์ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับเอพี ไทยแลนด์ ตลอดจนยังถือเป็น Milestone สำคัญที่สะท้อนได้ถึงความเชื่อมั่นของพันธมิตร ต่อการทำงานของเอพี ไทยแลนด์ ความแข็งแกร่งทั้งนัยยะความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยของประเทศไทย ที่เทียบเคียงนานาประเทศ   ทั้งนี้ มิตซูบิชิ เอสเตท และเอพี ไทยแลนด์ ถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจรายแรกและรายเดียวที่มีโมเดลร่วมทุนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในไทย ภายใต้ชื่อ “บริษัท พรีเมี่ยม เรสซิเดนท์ จำกัด” สัดส่วนถือหุ้น 51:49  เพื่อทำหน้าที่เป็นบริษัทหลักในการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นระยะยาว ด้วยทุนจดทะเบียนมูลค่า ณ ปัจจุบันที่ 12,619,408,010 บาท (หนึ่งหมื่นสองพันหกร้อยสิบเก้าล้าน สี่แสนแปดพันสิบบาท)   เหนือสิ่งอื่นใด ความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้ยังได้มีส่วนร่วมสร้างคุณูปการให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ทั้งในมิติ ด้านเม็ดเงินลงทุน ที่ร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ก่อให้เกิดการจ้างงานกับคู่ค้ามากกว่า 100 บริษัท ที่อยู่ในระบบ Ecosystem ของอุตสาหกรรม การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งในมุมมองการดำเนินธุรกิจและคืนกลับสู่สังคม ซึ่งถือเป็นเรื่องยากมากที่บริษัทร่วมทุนแบบระยะสั้นจะดำเนินการสร้างคุณูปการเช่นนี้มอบคืนให้กับสังคม     “มิตซูบิชิ เอสเตท มีความพิเศษไม่เพียงแต่ในแง่ของขนาดบริษัท และประสบการณ์ระดับโลกเท่านั้น แต่ยังมีผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกล ที่พร้อมสนับสนุนความก้าวหน้าของภาคอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยไปด้วยกัน อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญในการให้แรงบันดาลใจกับทีมเอพี ไทยแลนด์ สู่การสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัย ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อยกระดับให้สินค้าและบริการตอบโจทย์ชีวิตดีๆ ที่ลูกค้าเลือกเองได้” นายอนุพงษ์ กล่าวเสริม   นายอะซึชิ นากาจิมะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจในต่างประเทศของมิตซูบิชิ เอสเตทเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว จากการพัฒนาอสังหาฯ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ถึงวันนี้มิตซูบิชิ เอสเตทมีธุรกิจอสังหาฯ อยู่ในหลายประเทศและหลายภูมิภาค ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกาและเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศเอเชีย ซึ่งประเทศไทยนับเป็นฐานการลงทุนที่สำคัญ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีตลาดอสังหาฯ เติบโตอย่างมีศักยภาพ และเอื้ออำนวยต่อการลงทุนทำธุรกิจ รวมถึงการได้ร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งและยอดเยี่ยมอย่างเอพี ไทยแลนด์ ตลอดระยะเวลา 10 ปีความร่วมมือทางธุรกิจกับเอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตทได้พัฒนาความเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรและปรัชญาองค์กรซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง ช่วยให้มิตซูบิชิ เอสเตทสามารถแลกเปลี่ยน องค์ความรู้ และแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจผ่านมุมมองระยะยาว ซึ่งคงไม่สามารถเป็นไปได้ หากความร่วมมือของทั้งสองบริษัทเป็นความร่วมมือระยะสั้นจบเป็นรายโครงการ     ทั้งนี้ ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการทำงานร่วมกับเอพี ไทยแลนด์ ตลอดจน “ความเชื่อมั่น” ที่มิตซูบิชิ เอสเตทมีต่อเอพี ไทยแลนด์ ทั้งองค์ความรู้ที่ลึกซึ้งถึงแก่นในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ความใส่ใจในทุกกระบวนการทำงาน การวางแผนงานต่างๆ ของเอพี การได้ทำงานกับเอพี ไทยแลนด์ในฐานะบริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่เชี่ยวชาญเช่นเดียวกัน ทำให้มิตซูบิชิ เอสเตทได้เรียนรู้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เราทั้งสองบริษัทฯ ยังมีความมุ่งหมายตั้งใจที่จะสร้างคุณูปการให้กับธุรกิจร่วมทุนของเราและต่อสังคมไทย ด้วยการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญของเราในประเทศญี่ปุ่น ผ่านกิจกรรมต่างๆ ของเอพี ไทยแลนด์  และขณะนี้ ทั้งสองบริษัทฯ กำลังทำงานอย่างทุ่มเทในด้านการนำแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคนมาใช้เป็นหลักในการพัฒนาโครงการ   “มิตซูบิชิ เอสเตท มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่สามารถร่วมสร้างคุณูปการให้กับสังคมไทย ผ่านธุรกิจร่วมทุนกับพันธมิตรที่ดีและแข็งแกร่งอย่างเอพี ไทยแลนด์ และจะยังคงจับมือเดินหน้าร่วมกันไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบคุณค่าในฐานะบริษัทญี่ปุ่นให้กับสังคมไทยต่อไปในอนาคตข้างหน้าต่อจากนี้” ครบรอบหนึ่งทศวรรษความร่วมมือ เอพี ไทยแลนด์ - มิตซูบิชิ เอสเตท ได้พัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมทุน เจาะที่ดินแนวรถไฟฟ้าใจกลางกรุงเทพฯ ทั้งสิ้น 24 โปรเจกต์ มูลค่ารวมกว่า 116,300 ล้านบาท ทุกโครงการ มีผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทั้งมิติด้านการขายและโอนกรรมสิทธิ์ โดยสร้างผลงานปิดการขาย (Sold Out) ไปแล้วทั้งสิ้น 13 โครงการ คงเหลือโปรเจกต์ร่วมทุนที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและเปิดขาย 11 โครงการ (มูลค่ารวม 55,650 ล้านบาท) มียอดขายเฉลี่ยทุกโครงการรวมกันประมาณ 60% หรือคิดเป็นมูลค่าสินค้าพร้อมขายที่ 20,375 ล้านบาท    บทความน่าสนใจ เอพี ไทยแลนด์ ประกาศรายได้ครึ่งปีแรก 23,856 ล้าน เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ทั่วไทย เอพี ไทยแลนด์ เผยผลงานปี 65 ทำรายได้ 49,388 ล้าน พร้อมกวาดกำไรเติบโตกว่า 23% เอพี ไทยแลนด์ ขนบ้าน-คอนโด ขายกว่า 1.65 แสนล้าน ลุยตลาดด้วยแผน INCLUSIVE GROWTH
บริทาเนีย ใช้กลยุทธ์การร่วมทุนพันธมิตร ปั้นโปรเจ็กต์ 5 จังหวัด กว่า 8,700 ล้าน

บริทาเนีย ใช้กลยุทธ์การร่วมทุนพันธมิตร ปั้นโปรเจ็กต์ 5 จังหวัด กว่า 8,700 ล้าน

บริทาเนีย เสริมแกร่งธุรกิจเดินหน้ากลยุทธ์ร่วมทุนพันธมิตร ทั้งด้านการเงินและเจ้าของที่ดิน  พัฒนาบ้านจัดสรร 10 โครงการ กระจายตัวใน 5 จังหวัด มูลค่ากว่า 8,700 ล้าน ในไตรมาส 2 ทำรายได้ 1,554 ล้าน พร้อมกำไรสุทธิ 348 ล้าน ขณะที่บอร์ดเคาะจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.115 บาท  ส่วนครึ่งปีหลังโหมเปิด 16 โครงการใหม่ รวม 17,500 ล้าน  ช่วยหนุนยอดขาย-ยอดโอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่อง   นายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ผู้พัฒนาบ้านจัดสรรภายใต้แนวคิด “CRAFT a life you love” ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2/2566 ที่ผ่านมาบริษัทได้เดินหน้าร่วมทุน (Joint Venture หรือ JV) กับพันธมิตรด้านการเงินการลงทุน (Financial Partner) และพันธมิตรเจ้าของที่ดิน (Landlord) เพื่อพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม จำนวน 10 โครงการ กระจายตัวใน 5 จังหวัด อาทิ นนทบุรี นครปฐม ชลบุรี นครราชสีมา และอุบลราชธานี คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 8,700 ล้านบาท ครึ่งปีแรกของปี 2566 เป็นช่วงเวลาที่เราให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานเพื่อการเติบโตสู่อนาคต การจับมือกับเหล่าพันธมิตรหลากหลายกลุ่มพัฒนาโครงการ จะเป็นบันไดก้าวสำคัญให้เรามีที่ดินแปลงศักยภาพเข้ามาอยู่ในพอร์ตฟอลิโออย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะเปิดตัวโครงการใหม่อย่างก้าวกระโดดในช่วงหลังจากนี้ สำหรับช่วงไตรมาส 2/2566 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 1,554 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 348 ล้านบาท มีอัตรากำไรสุทธิ​ (Net Profit Margin หรือ NPM) อยู่ที่ราว 22% โดยโครงการสำคัญที่มีส่วนหนุนยอดโอนกรรมสิทธิ์ รายได้ และกำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าว ได้แก่ แกรนด์บริทาเนีย ราชพฤกษ์-พระราม 5 (Grand Britania Ratchaphruek-Rama 5) เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ พูลวิลล่า บางนา-พระราม 9 (Belgravia Exclusive Pool Villa Bangna-Rama 9) แกรนด์บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา (Grand Britania Wongwaen Ramintra) แกรนด์บริทาเนีย พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา (Grand Britania Rama 9-Krungthep Kreetha) และบริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ (Britania Bangna-Suvarnabhumi) ขณะเดียวกัน สามารถปิดการขาย (Sold Out) โครงการบริทาเนีย คูคต สเตชั่น (Britania Khukhot Station) ได้ ซึ่งถือเป็นอีกเครื่องตอกย้ำการได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง จนสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว   นายสุรินทร์ กล่าวอีกว่า จากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญจ่ายปันผลสำหรับกำไรสะสมและผลการดำเนินงานของบริษัทงวด 1 ม.ค.-30 มิ.ย.66 ในอัตรา 0.115 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินปันผลจ่ายเป็นเงินสดทั้งสิ้นไม่เกิน 98.1 ล้านบาท โดยขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่  25 สิงหาคม 2566 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 11 กันยายน 2566   สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 16 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 17,500 ล้านบาท กระจายตัวอยู่ใน 5 จังหวัด ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม 4 แบรนด์ แบ่งเป็น เบลกราเวีย (Belgravia) 2 โครงการ แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) 4 โครงการบริทาเนีย (Britania) 8 โครงการ และไบรตัน (Brighton) 2 โครงการ โดยถือเป็นการเปิดโครงการเพิ่มอย่างก้าวกระโดดในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกที่เปิดตัวเพียง 4 โครงการ   นอกจากนี้ เป็นเพราะช่วงครึ่งปีหลังถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และปัจจัยภายนอกด้านการเมืองและเศรษฐกิจน่าจะมีความชัดเจนขึ้น ซึ่งจะช่วยส่งผลผลักดันทั้งยอดขาย ยอดโอนกรรมสิทธิ์ และรายได้รวมของบริษัทให้สูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยจะนำร่องเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3/2566 ก่อนจำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 5,900 ล้านบาท ได้แก่ แกรนด์บริทาเนีย วงแหวน – ประชาอุทิศ (Grand Britania Wongwaen-Parchauthit) แกรนด์บริทาเนีย ทวีวัฒนา (Grand Britania Thawi Watthana) บริทาเนีย บางนา-เทพารักษ์ (Britania Bangna Thepharak)   ทั้งนี้ บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 2,260 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2566 นี้ เมื่อประกอบกับการเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง และแผนการตลาด การจัดแคมเปญเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพิ่มเติม เชื่อว่าจะช่วยสร้างยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ใหม่ และรักษาระดับการเติบโตของบริษัทอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนได้ สำหรับ BRI เป็นผู้พัฒนาบ้านจัดสรรภายใต้คอนเซปต์ CRAFT a life you love ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก พัฒนาทั้งบ้านเดี่ยว บ้านซีรีส์ใหม่ ทาวน์โฮม ครอบคลุมผู้บริโภคทุกเซ็กเมนท์ ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1.เบลกราเวีย (Belgravia) บ้านเดี่ยวลักชัวรี ระดับราคา 20-50 ล้านบาท 2.แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับ High-End ราคา 8-20 ล้านบาท 3.บริทาเนีย (Britania) บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับ Mid-end ราคา 4-8 ล้านบาท และ 4.ไบรตัน (Brighton) บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับเริ่มต้น (Entry) ราคา 2.5-4 ล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 พัฒนาโครงการมาแล้วทั้งสิ้น 34 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการสะสม 41,456 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -บริทาเนีย ผนึกเจ้าของ ม.เกษมบัณฑิต ปั้นโปรเจ็กต์ 34 ไร่ บนถนนร่มเกล้า -บริทาเนีย วางเป้า 3 ปี ติดTop 5 ตลาดบ้าน พร้อมลุยต่างจังหวัดจับคนระดับท็อป
แสนสิริ โชว์กำไรครึ่งปี 66 โตก้าวกระโดด 162%  ครึ่งปีหลัง เปิดโครงการใหม่ กว่า 56,700 ล้าน

แสนสิริ โชว์กำไรครึ่งปี 66 โตก้าวกระโดด 162% ครึ่งปีหลัง เปิดโครงการใหม่ กว่า 56,700 ล้าน

แสนสิริ ย้ำความแข็งแกร่งผู้นำอสังหาฯ โชว์ผลประกอบการครึ่งปีแรก 66 ด้วยกำไรสุทธิ 3,203 ล้าน โตก้าวกระโดดถึง 162% ขณะที่กวาดรายได้รวมครึ่งปี 18,493 ล้านบาท โต 42% และรายได้รวมไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 9,988 ล้านบาท โต 27% เผยผลงานมาจากแนวราบเติบโตทุกเซกเมนต์ และคอนโดพร้อมอยู่ได้รับการตอบรับดีและ นับเป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีของตลาดคอนโด รุกต่อครึ่งปีหลัง เปิด 39 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 56,700 ล้าน     นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ผลประกอบการรอบ 6 เดือน ปี 2566 แสนสิริมีกำไรสุทธิ 3,203 ล้านบาท เติบโต 162% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ เฉพาะไตรมาสที่ 2/2566 อยู่ที่ 1,621 ล้านบาท เติบโตขึ้น 77% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา อัตรากำไรสุทธิรอบ 6 เดือนสูงถึง 17.3% ของรายได้รวม ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากจากอัตรากำไรสุทธิ 9.3% ของรายได้รวมจากช่วงเดียวกันของปีก่อน   ขณะที่รายได้รวมรอบ 6 เดือน อยู่ที่ 18,493 ล้านบาท เติบโต 42% จากรอบ 6 เดือนของปีก่อน แบ่งเป็นรายได้รวมในช่วงไตรมาสแรก 8,505 ล้านบาท และรายได้รวมไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 9,988 ล้านบาท เติบโต 27% เป็นผลมาจากรายได้จากการขายโครงการที่เติบโตในทุกกลุ่มที่อยู่อาศัย อาทิ นาราสิริ พหล – วัชรพล บ้านเดี่ยวระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี และ เศรษฐสิริ ดอนเมือง โดยแบรนด์ “เศรษฐสิริ” ในปีนี้มีการพัฒนา 10 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 21,900 ล้านบาท  รวมถึงแบรนด์สราญสิริ โครงการสราญสิริ ราชพฤกษ์ – 345 ระดับราคา 5 – 10 ล้านบาท ที่กลุ่มลูกค้าให้การตอบรับที่ดีเช่นกัน นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในรอบครึ่งปี ยังมาจากโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ที่ได้รับการตอบรับที่ดี และเป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีของตลาดคอนโด โดยคอนโดพร้อมอยู่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในทุกเซกเมนต์เช่นเดียวกัน อาทิ โครงการเอ็กซ์ที พญาไท, เอ็กซ์ที ห้วยขวาง, โอกะ เฮาส์, เดอะ เบส เพชรบุรี – ทองหล่อ, ดีคอนโด พนา และ เดอะ มูฟ บางนา เป็นต้น   แสนสิริยังสร้างยอดขายรวมไปได้ถึง 27,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 50% จากเป้าหมายยอดขาย 55,000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีหลัง แสนสิริยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 39 โครงการ มูลค่ารวม 56,700 ล้านบาท ไฮไลท์โครงการที่เตรียมเปิดตัวในไตรมาส 3 อาทิ “บูก้าน พัฒนาการ” บ้านเดี่ยวรูปแบบ Luxury Private Villa จำนวน 17 ยูนิต ราคา 65 - 115 ล้านบาท* เตรียมเปิดตัวในช่วงปลายเดือนกันยายน และการเปิดตัว New Luxury Condominium หนึ่งในโครงการไฮไลท์ของแสนสิริในปีนี้ ทำเล “ราชเทวี” เตรียมเปิดตัวเดือนสิงหาคมนี้ แสนสิริยังมุ่งเดินหน้าสร้างรายได้และผลกำไร เพื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกส่วนรวมถึงผู้ถือหุ้น โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล (Interim dividend) จากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2566 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 สิงหาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 12 กันยายน 2566 นี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แสนสิริ ตุนยอดโอน 4 เดือนแรก โต 28% กวาดรายได้แล้ว 9,200 ล้าน  -แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด
เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ประกาศรายได้การให้บริการ-โรงแรมโตรับท่องเที่ยวฟื้นตัว ชูดิจิทัล-กลยุทธ์บริหาร RevPar สู่เป้ากว่า 10,000 ล้าน

เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ประกาศรายได้การให้บริการ-โรงแรมโตรับท่องเที่ยวฟื้นตัว ชูดิจิทัล-กลยุทธ์บริหาร RevPar สู่เป้ากว่า 10,000 ล้าน

เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรกปี 2566 รายได้จากการให้บริการโต 28%  ที่ 4,821 ล้าน ขณะที่ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัว รับทั่วโลกเปิดประเทศ เฉพาะตลาดไทยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่ม 76% ส่วน ADR เพิ่มขึ้นถึง 72% เฉลี่ยอยู่ที่ 8,431 บาท พร้อมเดินหน้าใช้เทคโนโลยีดิจิทัลรองรับพฤติกรรมลูกค้า ดันเป้าหมาย 10,000 ล้าน   นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR  บริษัทในเครือสิงห์ เอสเตท เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีรายงานรายได้จากการให้บริการที่ 4,821 ล้านบาท เติบโตขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมรายงานกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำจากการดำเนินงานปกติ (Adjusted EBITDA) ที่ 1,112 ล้านบาทพุ่งขึ้น 74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน   ผลประกอบการที่เติบโตขึ้น เกิดจากอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (Occupancy Rate) ของทั้งพอร์ตโฟลิโอ ที่สูงขึ้นจาก 54% ในครึ่งปีแรกของปี 2565 เป็น 69% ในครึ่งปีแรกของปีนี้ และอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ที่ปรับตัวขึ้นถึง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ธุรกิจรร.ฟื้นตัว รับทั่วโลกเปิดประเทศ ส่วนผลประกอบการของกลุ่มโรงแรมในประเทศไทย ฟื้นตัวเข้าใกล้สภาวะปกติของการท่องเที่ยว ภายหลังทั่วโลกเปิดประเทศเต็มรูปแบบได้อย่างชัดเจน สะท้อนจากอัตราการเข้าพักเฉลี่ย ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายนที่ระดับ 76% ซึ่งสูงกว่าของปี 2565 ที่ 48% จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเพิ่มขึ้น ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เลือกจุดหมายปลายทางเป็นชายหาดในประเทศไทย ขณะที่ในครึ่งปีแรกของปี 2566 ADR เฉลี่ยอยู่ที่ 8,431 บาท เพิ่มขึ้นถึง 72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน การทำการตลาดที่มุ่งเป้าเจาะจงในแต่ละพื้นที่ ประกอบกับช่องทางการขายที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้โรงแรมของ SHR เป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ของนักเดินทางหลายคน นับเป็นปัจจัยที่หนุนขีดความสามารถในการผลักดัน ADR ให้เติบโตได้อีกด้วย ปัจจัยท้าทายทางเศรษฐกิจของภูมิภาคยุโรปในปัจจุบัน ส่งผลต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเห็นได้จากการที่ชาวยุโรป เลือกที่จะท่องเที่ยวภายในประเทศหรือภูมิภาคมากขึ้น ปัจจัยดังกล่าว ทำให้โรงแรมของ SHR ในสหราชอาณาจักร ยังรักษาโมเมนตัมเชิงบวกไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากฐานลูกค้าหลักประมาณ 90% เป็นนักท่องเที่ยวจากในประเทศ ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มสูงถึง 70% ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายนของปี 2566 เมื่อเทียบกับ 54% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อุปสงค์ของโรงแรมในสหราชอาณาจักรยังเป็นที่น่าพอใจ   ทั้งนี้ เกิดจากการปรับตัวให้สอดรับกับความต้องการในตลาด และการปรับปรุงห้องพักอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น ADR เฉลี่ยในครึ่งปีแรกของปี 2566 ปรับตัวสูงขึ้น 10% โดยอยู่ที่ 83 ปอนด์ท่ามกลางความระมัดระวังในการใช้จ่ายสำหรับสินค้าฟุ่มเพือยของลูกค้าที่เป็นผลมาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นพอร์ตโฟลิโอของสหราชอาณาจักรยังมีอัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA margin) ทั้งในไตรมาส 2 และรอบครึ่งปีแรกของปีนี้เติบโตขึ้นจากงวดเดียวกันในปีก่อนจากการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพขึ้น   อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าทั้งอัตราการเข้าพักเฉลี่ยและ ADR จะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 3 สอดคล้องกับปริมาณการจองล่วงหน้าในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว สะท้อนความเชื่อมั่นในการเดินทางทั้งในและต่างประเทศของภาคธุรกิจและภาคการท่องเที่ยว ปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อเนื่องมายังผลประกอบการของโรงแรมในโครงการครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ (CROSSROADS Maldives) ซึ่งมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย ในไตรมาส 1 ปีนี้ ที่ไต่ระดับสูงถึงกว่า 87% สำหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอ่อนตัวลงในไตรมาส 2 ของปีนี้เมื่อเข้าสู่ช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวซึ่งเป็นผลมาจากนักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่เดินทางระหว่างภูมิภาคน้อยลง ผนวกกับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนที่ช้ากว่าคาด ส่งผลให้ภาพรวมของอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในครึ่งปีแรกไม่แตกต่างจากช่วงเดียวกันในปีก่อนมากนัก ทั้งนี้ SHR มองภาพครึ่งปีหลังของมัลดีฟส์ว่าจะค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2565 และอัตราการเข้าพักเฉลี่ยยังมีความอ่อนไหวจากการเปิดประเทศในหลายพื้นที่ทั่วโลกซึ่งกระตุ้นการกระจายตัวไปสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ของนักท่องเที่ยว   โรงแรมในมอริเชียสได้ปิดตัวชั่วคราวเพื่อปรับปรุงระบบบริหารน้ำอย่างเต็มรูปแบบและจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในไตรมาส 4 ปีนี้ ทั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างจำกัดต่อผลการดำเนินงานโดยรวมของ SHR ในปีนี้เนื่องจากรายได้จากการให้บริการของโรงแรมในมอริเชียสคิดเป็นเพียง 3% ของรายได้ทั้งหมด ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขทางสถิติที่โดดเด่นของกลุ่มโรงแรมในประเทศไทยและสหราชอาณาจักร แสดงถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โรงแรมในภูมิภาคอื่น ๆ ทั้งในมัลดีฟส์และฟิจิก็มีแนวโน้มสดใส โดยฐานลูกค้าในฟิจินอกเหนือจากกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์แล้ว เราเห็นตลาดใหม่ที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวจากทวีปอเมริกาเหนือโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวแคนาดา ทำให้มั่นใจได้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะแข็งแกร่งได้ต่อเนื่องโดยได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ โรงแรม แคสอะเวย์ ไอส์แลนด์ที่ฟิจิมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเกินกว่า 93% ในไตรมาส 2   ในขณะที่โรงแรมในโครงการครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ มีผลการดำเนินงานที่มั่นคงอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังส่งสัญญาณบวกในเกือบทุกพื้นที่ที่โรงแรมของบริษัทฯ ตั้งอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจการบินฟื้นตัวได้ดีด้วยการประกาศเพิ่มเที่ยวบินพร้อมการเปิดเส้นทางบินใหม่ในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารได้มากยิ่งขึ้นหนุนการเติบโตของภาคการให้บริการเพิ่มอีกทางหนึ่ง SHR ใช้ดิจิทัลดันเป้า 10,000 ล้าน​​ SHR เดินหน้าพัฒนาและนำเทคโนโลยีดิจิทัลบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ มาใช้เพื่อให้สอดรับกับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในตลาด สิ่งเหล่านี้ประกอบกับความมุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารพอร์ตโฟลิโอโดยใช้กลยุทธ์บริหาร RevPar ที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการปรับปรุงห้องพักในหลายโรงแรมทั้งในประเทศไทย ฟิจิ และสหราชอาณาจักร โดยพร้อมเปิดให้บริการห้องพักรูปแบบใหม่ในปลายปี 2566 ผนวกกับมาตราการคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการบรรลุเป้าหมายรายได้ที่เกินกว่า 10,000 ล้านบาทให้ได้สำเร็จ เราจะพยายามให้ถึงที่สุดเพื่อผลักดันผลการดำเนินงานให้ถึงเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความมั่งคั่งให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกคนของบริษัทฯ ในปี 2566 นี้   SHR มีความพร้อมในการเผชิญต่อความท้าทายต่าง ๆ โดยมีสถานะทางการเงินอันแข็งแกร่งด้วยการรักษาระดับหนี้สินให้ต่ำอยู่เสมอและการจัดการด้านเงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ บริษัท ทริสเรทติ้งได้ประเมินระดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของ SHR ที่ระดับ BBB+ ระดับความน่าเชื่อถือนี้จะเพิ่มขีดความสามารถของ SHR ในการลดต้นทุนทางการเงินโดยรวม ในปัจจุบันการออกหุ้นกู้กำลังดำเนินไปตามแผนที่วางไว้ และ SHR พร้อมขับเคลื่อนสู่การเติบโตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น   ท้ายที่สุด SHR มุ่งเน้นที่การเติบโตแบบยั่งยืนเป็นหัวใจหลักในการดำเนินงาน โดยโรงแรม 5 แห่ง และ เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ ได้รับมาตรฐาน Green Globe สะท้อนถึงการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และแขกที่มาพักว่า การดำเนินงานในโรงแรมของ SHR ได้มาตรฐานตามหลักสากลและสามารถตอบรับต่อความคาดหวังของผู้ที่มาเข้าพักได้ โดยในปี 2566 SHR ได้เริ่มวางแผนเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutral company) ภายในปี 2573  เพิ่มกิจกรรมต่างๆที่ให้ความสำคัญต่อการรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากสภาวะโลกร้อน พร้อมอนุรักษ์ธรรมชาติอันสวยงามส่งต่อให้กับนักท่องเที่ยวรุ่นต่อไป กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่าง SHR และชุมชน แต่ยังเป็นการสร้างสถานะที่แตกต่างโดยเป็นโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์จากที่ต่าง ๆ ทั่วโลกอีกด้วย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -สิงห์ เอสเตท รุกตลาดบ้าน Ultra Luxury ปักหมุด SMYTH’S Ramintra เริ่ม 120 ล้าน -เอสโฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กางแผนธุรกิจปี 66 ชู 3 กลยุทธ์สู่รายได้หมื่นล้าน
โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ โชว์ครึ่งปีแรกโกยกำไร 990% ครึ่งปีหลังลุยเปิด 6 โครงการ

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ โชว์ครึ่งปีแรกโกยกำไร 990% ครึ่งปีหลังลุยเปิด 6 โครงการ

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์  ประกาศผลงานครึ่งปีแรกของปี 66 กวาดรายได้รวม 4,478 ล้านบาท เติบโต 76% และกำไรสุทธิทะยาน 184 ล้านบาท เติบโต 990%  ประกาศเดินหน้าลุยเปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 17,900 ล้านบาทในครึ่งปีหลังนี้ พร้อมแจกข่าวดีจ่อปันผลระหว่างกาล 0.081 บาทต่อหุ้น เตรียม XD 24 สิงหาคม 2566 นี้ ส่งซิก Q3/66 นี้ จ่อบุ๊กกำไรพิเศษขายเงินลงทุนใน 2 โครงการร่วมทุนให้กับ PROUD   นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการเดินหน้าธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 สวนกระแสความท้าทายจากการฟื้นตัว ของสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ ที่ทยอยฟื้นตัวตามลำดับ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีรายได้รวมที่ 4,478 ล้านบาท เติบโต 76% และกำไรสุทธิอยู่ที่ 184 ล้านบาท เติบโต 990% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน   แม้ว่าบริษัทจะไม่มีโครงการคอนโดมิเนียม ที่สร้างเสร็จพร้อมโอนในครึ่งปีแรกของปี 2566 แต่บริษัทยังคงรักษาการเติบโตของผลประกอบการไว้ได้ดี  โดยโครงการที่รับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีแรก ที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นหลัก ๆ มาจากการส่งมอบโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) อาทิ โครงการโนเบิล บี19 สุขุมวิท โครงการโนเบิล สเตท สุขุมวิท 39 โครงการนิว โนเบิล ศรีนครินทร์–ลาซาล โครงการโนเบิล อราวน์ อารีย์ โครงการนิว โนเบิล งามวงศ์วาน และโครงการนิว โคฟ นอร์ธ ราชพฤกษ์ เป็นต้น สำหรับยอดขาย (Pre-sale) ในไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 4,040 ล้านบาท และยอดขายช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านมา อยู่ที่ 9,706 ล้านบาท  (รวมโครงการ นิว ดิสทริค อาร์ 9 และโครงการ นิว ครอส คูคต สเตชัน ซึ่งทางบริษัทยังคงเป็นผู้บริหารโครงการในบทบาทเดิม) โดยยอดขาย 7 เดือนแรกของปี 2566 มาจากโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่เป็นจำนวน 2,808 ล้านบาท และโครงการเปิดใหม่และอยู่ระหว่างการก่อสร้างเป็นจำนวน 6,898 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2566  รวมมูลค่า 17,940 ล้านบาท (ไม่รวมโครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 และโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน ) ซึ่งจะทยอยรับรู้ใน 2-3 ปีข้างหน้า   ช่วงไตรมาส 2​ บริษัทเริ่มมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงธุรกิจตัวแทนและนายหน้าและบริการหลังการขายภายใต้บริษัท เซิร์ฟ โซลูชั่น จำกัด ซึ่งธุรกิจดังกล่าวถือเป็นการต่อยอดจากธุรกิจหลัก และเป็นผู้ให้บริการหลังการขายครบวงจรเต็มรูปแบบ ทั้งบริการการฝากขาย-ปล่อยเช่า บริหารนิติบุคคล บริการจัดหาเฟอร์นิเจอร์ ทำให้มีการรับรู้รายได้ประจำอย่างต่อและเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้     นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมาได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกประจำปี 2566 จำนวน 0.081 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 111 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล (Dividend Payout Ratio) ที่ 60.1% โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 และคาดว่าจะทำการจ่ายเงินปันผลภายในต้นกันยายนนี้   สำหรับสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมองเชิงบวก อย่างต่อเนื่องจากการฟื้นตัวของตลาดทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งเห็นการฟื้นตัวของตลาดอย่างชัดเจน ตั้งแต่ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าลูกค้าต่างชาติจากประเทศจีนจะยังเข้ามาได้ไม่เต็มที่ก็ตาม แต่บริษัทได้มีการปรับพอร์ตกระจายฐานลูกค้าต่างชาติให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ฮ่องกง และเมียนมาร์ เป็นต้น และยอมรับว่าพฤติกรรมการซื้อของลูกค้าชาวต่างชาติในปัจจุบันเปลี่ยนไป โดยจะเน้นซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองมากขึ้น แต่ก็ยังมีกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน   โดยปี 2566 บริษัทได้มีการปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงเหลือ  9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า22,200 ล้านบาท จากแผนเดิมที่จะเปิดตัวจำนวน 10 โครงการ มูลค่ารวม 23,300 ล้านบาท ซึ่งในครึ่งปีหลังนี้เตรียมเปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 17,900 ล้านบาท โดยเริ่มจากโครงการโนเบิล เทอร์รา พระราม 9-เอกมัย เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับ High-End  และโครงการ โนเบิล เอควา ริเวอร์ฟร้อนท์ ราษฎร์บูรณะ เป็นโครงการทาวน์โฮมระดับ High-End ติดแม่น้ำเจ้าพระยา คาดว่าจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนนี้ นอกจากนี้ ยังมีโครงการคอนโดมิเนียนมขนาดใหญ่ที่ร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ บนถนนวิทยุ อีก 1 โครงการด้วย   นายธงชัย ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทได้บรรลุข้อตกลงกระบวนการขายเงินลงทุนและโอนหุ้นดีล 2 โครงการนิว ดิสทริค อาร์ 9 และโครงการนิว ครอส คูคต สเตชัน ให้กับ PROUD เป็นอันเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยได้รับกระแสเงินสดกว่า 1,400 ล้านบาทเข้าบริษัททันที พร้อมบันทึกเป็นกําไรพิเศษในไตรมาส 3/2566 นี้ ช่วยเสริมผลการดำเนินงานทางการเงินของบริษัทให้แข็งแกร่งขึ้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -บอร์ด โนเบิล ขาย 2 เงินลงทุนใน 2 โครงการ 867.57 ล้าน ให้ พราว เรียล เอสเตท
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ MAJOR Pet Family Residences ผู้นำที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้ 100% ทุกโครงการ

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ MAJOR Pet Family Residences ผู้นำที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้ 100% ทุกโครงการ

บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  ผู้นำคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ ต่อยอดแนวคิด Major Petscape สู่การยกระดับมาตรฐานการพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ร่วมกันของคนและสัตว์เลี้ยง ผนึกพันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 60 แบรนด์ ดีไซน์พื้นที่ทั้งภายในและภายนอกโครงการให้เป็นมิตรต่อคนและสัตว์เลี้ยง เน้นย้ำเรื่อง Non-Toxic และ Zero VOCs พร้อมมอบ สิทธิพิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยง ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับการสร้างชุมชนคนรักสัตว์ พร้อมบัญญัติคำนิยามใหม่ “MAJOR Pet Family Residences” ครั้งแรกและแบรนด์แรกที่ให้คุณและสัตว์เลี้ยงได้ใช้ชีวิตและเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยร่วมกันอย่างเท่าเทียม ภายใต้พันธสัญญา “สัญญา ว่าจะดูแลกันตลอดไป” คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในมิติของแบรนด์ที่มุ่งมั่นสู่การเป็น LifeScape Developer ที่ไม่ใช่แค่การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตที่เข้าใจและครอบคลุมในทุกบริบท เพื่อสร้างคุณค่าในการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน พร้อมได้เชื่อมโยงความใส่ใจทุกรายละเอียดของมาตรฐานของที่อยู่อาศัยแบบ MAJOR Craft & Quality สู่ไลฟ์สไตล์อย่าง Pet Humanization กับจุดยืนของแบรนด์ที่แตกต่างในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทุกโครงการ ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมระดับคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยร่วมกับสัตว์เลี้ยงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยมุมมองที่เท่าเทียม เพราะ “สัตว์เลี้ยง คือ สมาชิกสำคัญในครอบครัวที่ไม่ควรถูกแบ่งแยก” ทั้งนี้ เมเจอร์ฯ ถือเป็นผู้บุกเบิก และผู้นำที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้โดยลงมือทำอย่างจริงจังมานานกว่า 20 ปี จากจุดเริ่มต้นสู่การสร้างสรรค์ Major Petscape แนวคิดที่ออกแบบเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการอาศัยร่วมกันของคนและสัตว์เลี้ยง บน 4 มิติหลัก ได้แก่ Petscape Guide ข้อปฏิบัติในการอยู่อาศัยร่วมกัน Petscape Design ความมุ่งมั่นในการออกแบบ และเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง Petscape Privilege สิทธิพิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยง รวมถึงการสร้างชุมชนคนรักสัตว์ Petscape Community”   “ข้อมูลการศึกษาวิจัยจาก Euromonitor และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยงโต สวนกระแส Covid-19 โดยคาดว่าในปี 2569 ตลาดสัตว์เลี้ยงของโลกเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.2% (CARG - Compound Annual Growth Rate) โดยเฉพาะตลาดภาคพื้นเอเชีย เช่นเดียวกับมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยจะเติบโตจากปี พ.ศ. 2564 ปีละ 8.4% (CARG) มาอยู่ที่ 66,748 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2569 นอกจากนี้ข้อมูลการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณของวิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล หรือ CMMU จากกลุ่มตัวอย่าง 1,046 คน พบว่า 80.7% ของผู้ที่เลี้ยงสัตว์ มีสถานะโสด ขณะที่ 19.3 มีสถานะสมรสแล้ว โดย 18% ของกลุ่มตัวอย่างบอกว่าเลี้ยงสัตว์เพื่อช่วยเหลือ และช่วยบำบัดรักษา (Pet Healing) เนื่องจากสัตว์เลี้ยงบำบัดมีประโยชน์ อาทิ เพิ่มความสุข เพราะช่วยเพิ่มระดับสาร Oxytocin ได้ 20% และทำให้สภาพจิตดี ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดความดันโลหิต รวมถึงช่วยเยียวยาจิตใจหรือร่างกาย”   คุณเพชรลดา กล่าวต่อไปว่า “คำจำกัดความของ ‘MAJOR Pet Family Residences’ จะถูกสะท้อนให้เห็นเป็นรูปธรรมในทุกมิติตั้งแต่การวางรูปแบบการดีไซน์ Petscape Design เพื่อที่จะขยายพื้นที่ความสุขร่วมกันของคนและสัตว์เลี้ยงในแต่ละโครงการ ยกตัวอย่าง โครงการ เมทริส ดิสทริค ลาดพร้าว คอนโดมิเนียม (Metris District Ladprao Condominium) ที่ได้รับการออกแบบดีไซน์เน้นเรื่อง Craft & Quality ควบคู่กับ Pet-Friendly และด้วยความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีความชื่นชอบที่หลากหลาย และทลายข้อจำกัดของประเภทสัตว์เลี้ยงตามความชื่นชอบที่แตกต่างจึงดีไซน์พื้นที่ส่วนกลางใหม่ๆ อาทิ Multi-Pet Playroom พื้นที่พิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยงทางเลือกอย่าง กระต่าย ชินชิลล่า เม่นแคระ เป็นต้น Cat Haus พื้นที่สำหรับน้องแมวโดยเฉพาะ และ Pet Park พื้นที่ออกกำลังกายขนาดใหญ่ที่ให้น้องหมาได้ทำกิจกรรมกลางแจ้งกับเจ้าของ อีกทั้งยังมีการวางมาตรการเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างและตกแต่งภายใต้มาตรฐาน เรื่อง Non-Toxic และ Zero VOCs ที่เป็นมิตรต่อคนและสัตว์เลี้ยง การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้บ้านเย็นและยับยั้งเชื้อโรคต่างๆทั้ง Solar Attic, Organic Care, Duraclean A+, Nanoe™ X air & odor purifier, UV Care254 Airflow เป็นต้น   นอกจากนี้ ยังมีการจัดเตรียมสิทธิพิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยง หรือ Petscape Privilege ตั้งแต่แรกเริ่มเข้ามาเยี่ยมชมโครงการฯ กับ PET-kit และ Petscape Welcome Package ต้อนรับสู่การร่วมเป็นครอบครัวเมเจอร์ฯ ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย รวมถึง การเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสัตว์เลี้ยงได้ตลอดทั้งปี อาทิ กิจกรรมเวิร์กช้อปสำหรับสัตว์เลี้ยง กิจกรรมคอนเสิร์ต รวมถึงงานแฟร์ หรืองานอีเว้นต์พิเศษนอกสถานที่ เป็นต้น โดยปัจจุบัน มีพาร์ทเนอร์สำหรับสัตว์เลี้ยงมากกว่า 60 แบรนด์ อาทิ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ โรงพยาบาลสัตว์คชาเว็ท LION Pet Care Royal Canin PETClub Bake n Bone Doquabistro Mellow Pet Shop PAWxPAW MEWRE เป็นต้น   โดยในปี 2566 นี้ เมเจอร์ฯ ได้รวบรวมประสบการณ์และความประทับใจจากลูกบ้านกลุ่ม Pet lover ตัวจริงมาสร้างสรรค์เป็นแคมเปญสื่อสารการตลาด เพื่อถ่ายทอดมุมมองเกี่ยวกับ ‘MAJOR Pet Family Residences’ ผ่านภาพยนตร์โฆษณา “สัญญา ว่าจะดูแลกันตลอดไป” PetFamilyResidences เพื่อสร้างการรับรู้ถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์และย้ำภาพผู้นำตัวจริงที่สร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้ ‘ทุกโครงการ’ ‘MAJOR Pet Family Residences’ จะเป็นมาตรฐานสำคัญครั้งใหม่ของวงการอสังหาฯ กับการจับจุดยืน ทางการตลาดที่แตกต่าง แต่จับใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง และความเป็นตัวจริงคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ของเมเจอร์ฯ ที่ทำด้วยหัวใจของคนรักสัตว์ ทุกโครงการของเมเจอร์ฯ สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ 100% พร้อมเดินหน้าพัฒนาฟังก์ชั่นเพื่อการอยู่อาศัยร่วมกับสัตว์เลี้ยงเต็มรูปแบบ ยกระดับความสุขในการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ร่วมกัน จนเกิดเป็นคอมมูนิตี้เพื่อคนรักสัตว์คุณภาพเพื่อความสุขในการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน   บทความน่าสนใจ เมเจอร์ รุกเปิดแบรนด์ใหม่ “10 & Only” ครั้งแรกของบ้านหรู 100 ล้าน กับที่จอดรถหรูกลางบ้าน เมเจอร์ฯ ปั้นฐานลูกค้า Pet Lovers โต 30% รับไลฟ์สไตล์ “คนโสด-ไม่มีลูก” เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ลุยจัด “MEET & MINGLE” งานสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงครั้งยิ่งใหญ่
แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ทำผลงาน Q2/66 รายได้-กำไรโตก้าวกระโดด​ ครึ่งปีหลังเดินหน้า​เพิ่มห้องพักและกระแสเงินสด

แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ทำผลงาน Q2/66 รายได้-กำไรโตก้าวกระโดด​ ครึ่งปีหลังเดินหน้า​เพิ่มห้องพักและกระแสเงินสด

แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2566 รายได้รวม 4,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด กำไรสุทธิ 1,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 32% ทำรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก 3,356 บาท สูงขึ้น 82.1% เดินหน้าเพิ่มโครงการ เพิ่มจำนวนห้องพัก เพิ่มกระแสเงินสดพร้อมเติบโตก้าวกระโดด   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 ตามงบการเงินรวมมูลค่ายุติธรรมว่า มีรายได้รวมกว่า 4,518 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตแบบก้าวกระโดดมากกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 อีกด้วย   ทั้งนี้ AWC ยังคงมุ่งพัฒนาโครงการในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ เปลี่ยนทรัพย์สินกำลังพัฒนา (Developing Asset) เป็นทรัพย์สินดำเนินงาน (Operating Asset) ควบคู่การยกระดับโครงการในพอร์ตโฟลิโอ (Assets Enhancement) ของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) สอดคล้องกลยุทธ์ GROWTH-LED เพื่อสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไตรมาส 2 นี้ บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงานรวม 120,307 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้น 36,996 ล้านบาท คิดเป็น 44.4% เทียบกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 ผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2566 ของ AWC มีการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) อยู่ที่ 2,472 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการกลับมาของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น   รวมถึงเทศกาลสงกรานต์ในช่วงเดือนเมษายนที่มีการกลับมาจัดอย่างยิ่งใหญ่เป็นปีแรกหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพฯ และโรงแรมกลุ่มประชุมสัมมนา (MICE) ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าพักโรงแรมในเครือ AWC เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้อัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักในภาพรวม (RevPAR) สูงถึง 3,356 บาท เพิ่มขึ้น  82.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 อยู่ที่ประมาณ 10% รวมถึงมีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate: ADR) เท่ากับ 5,367 บาทต่อคืน เติบโต 25.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังสูงกว่าปี 2562 ด้วยเช่นกัน   สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) AWC ยังคงมุ่งเพิ่มศักยภาพในการสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดในระยะยาว โดยบริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ด้านไลฟ์สไตล์ ตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าและนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน ธุรกิจโรงแรม AWC ทำกำไรเพิ่ม 200% ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการมีกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) อยู่ที่ 660 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะโรงแรมในกลุ่มประชุมสัมมนา และกลุ่มโรงแรมในกรุงเทพฯ ซึ่งมีค่า Revenue Generation Index (RGI) ในภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ โรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ มีค่า RGI เท่ากับ 218 เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งพัฒนาทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการพัฒนาให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) อย่างต่อเนื่อง พร้อมเสริมความแข็งแกร่งพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มโรงแรมที่ตั้งอยู่ในทําเลยุทธศาสตร์ เพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ การเปิดตัวโรงแรม 'INNSiDE by Meliá Bangkok Sukhumvit' แห่งแรกในประเทศไทยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อมอบประสบการณ์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์ให้กับกลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่ และเป็นโรงแรมที่ได้มีการออกแบบและก่อสร้างตามกรอบการรับรองของมาตรฐานอาคาร Excellence in Design for Greater Efficiency (EDGE)   รวมถึงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ Nobu Hospitality ร่วมสร้างโรงแรมระดับอัลตร้า ลักชูรี่ 2 แห่งภายใต้แบรนด์ Plaza Athenee ได้แก่ โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก (Plaza Athenee Nobu Hotel and Spa New York) และโรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก (The Plaza Athenee Nobu Hotel and Spa Bangkok) เชื่อม 2 มหานคร นิวยอร์กและกรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด River Journey Project พร้อมเชื่อมต่อหลากหลายโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาของ AWC สร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวทางสายน้ำให้แก่นักเดินทาง   ปัจจุบัน AWC มีจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้นจำนวน 22 โรงแรม รวมจำนวนห้องพักรวม 5,794 ห้อง และจะเพิ่มขึ้นเป็น 23 โรงแรม ภายในสิ้นปี 2566 รวม 6,034 ห้อง คิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 76 เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ที่จำนวน 3,432 ห้อง ประกอบกับอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ที่สูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าปีก่อนและก่อนสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้มีรายได้ 2,287 ล้านบาท เติบโตขึ้น 76.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ บริษัทมุ่งเพิ่มศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งให้กับบริษัท พร้อมตอบสนองความต้องการนักท่องเที่ยวคุณภาพและจำนวนกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย High-to-Luxury ที่เพิ่มมากขึ้น เอเชียทีค ผู้ใช้บริการเพิ่ม 47% กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานยังคงสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการยกระดับอาคารให้เป็นไลฟ์สไตล์สเปซแห่งใหม่ที่ตอบโจทย์การทำงานและไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ อาทิ การเปิดตัว “Co-Living Collective: Empower Future” ของอาคารเอ็มไพร์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ผสานรูปแบบการใช้ชีวิตในบ้านมาเชื่อมต่อกับการทำงานอย่างลงตัว สร้างความแตกต่างจากอาคารสำนักงานรูปแบบเดิม ซึ่งช่วยรักษาฐานผู้เช่าเก่า พร้อมดึงดูดผู้เช่าใหม่ที่มองหาอาคารสำนักงานคุณภาพ ที่มีพื้นที่ตอบรับเทรนด์การทำงานในรูปแบบไฮบริดที่เพิ่มสูงขึ้น AWC ได้ร่วมมือกับพันธมิตรผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลก เพื่อสร้างดิจิทัลอีโคซิสเต็มที่อาคารเอ็มไพร์ให้เป็นคอมมูนิตี้ดิจิทัลรูปแบบใหม่ เชื่อมต่อผู้เช่าในอุตสาหกรรมดิจิทัลเข้าด้วยกันอีกด้วย ในขณะที่กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการค้า (Retail and Wholesale) สามารถเติบโตได้ดี ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวเติบโตของดัชนียอดขายของร้านค้า และบริษัทได้พัฒนาพื้นที่เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวและกลุ่มลูกค้าอยู่เสมอ โดยโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น มีจำนวนผู้มาใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นถึง 47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากกิจกรรม Disney100 Village at Asiatique พร้อมเสริมความแข็งแกร่งในการเป็นจุดหมายปลายด้านการท่องเที่ยวและด้านอาหารเครื่องดื่มระดับโลกที่ช่วยดึงดูดจำนวนผู้เช่าและจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ   รวมถึงการเปิดตัวโครงการ THE PANTIP LIFESTYLE HUB ที่เชียงใหม่ ภายใต้แนวคิด “EVERY HAPPINESS FOR EVERYONE” มุ่งสร้างแลนด์มาร์คไลฟ์สไตล์สำหรับครอบครัวใจกลางเมืองเชียงใหม่ และโครงการ THE PANTIP AT NGAMWONGWAN โฉมใหม่ภายใต้แนวคิด “TREASURE HUNT” สู่การเป็นศูนย์พระเครื่อง และศูนย์รวมอาหารและไลฟ์สไตล์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุด สำหรับธุรกิจค้าส่ง AWC ได้ร่วมรวมพลังผู้นำธุรกิจอาหารทั้งภาครัฐและเอกชน ขับเคลื่อนประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” ที่ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM ตอบโจทย์การค้าส่งอาหารครบวงจร พร้อมเชื่อมผู้ค้าส่งอาหารทั่วโลกกับผู้ซื้อในเขตเศรษฐกิจอาเซียน   AWC มุ่งมั่นสร้างการเติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน โดยบริษัทได้ลงนามสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) รวมถึงสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จำนวน 20,000 ล้านบาท กับ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เพื่อรองรับแผนการพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์เสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอที่มุ่งเน้นการลดการใช้ทรัพยากร และส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ ร่วมสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวยั่งยืน โดย AWC ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อระยะยาวซึ่งเป็นสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนและสินเชื่อสีเขียวเป็น 100% เพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับสังคมองค์รวม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน   AWC มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยล่าสุดบริษัทได้รับรางวัลที่สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมาตรฐานสากลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในปีนี้ AWC ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประเมินองค์กรด้านความยั่งยืน ในกลุ่มดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) พร้อมได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P Global ESG Score 2022” รวมถึงยังคงรักษาการประเมินจาก MSCI ESG Rating ในระดับ "AA" เป็นต้น สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และสร้างมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยั่งยืนของไทยตามพันธกิจ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” (Building a Better Future)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม

1 ... 4 5 6 ... 106