ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 3 4 5 ... 103
[PR News] ธนาวิลเลจ วงแหวน - ปิ่นเกล้า บ้านแฝดที่ครบเครื่องทุกฟังก์ชัน

[PR News] ธนาวิลเลจ วงแหวน - ปิ่นเกล้า บ้านแฝดที่ครบเครื่องทุกฟังก์ชัน

ธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า ใครที่ยังคิดไม่ตกว่าจะซื้อบ้านแบบไหนดี ?  "บ้านเดี่ยว" ไปเลยดีไหม ? ... แล้ว "บ้านแฝด" ล่ะ ... ก็น่าสนนะ ? ทั้งยังเป็นตัวเลือกใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่สิ่งสำคัญ นอกจากตอบโจทย์ความต้องการของเราแล้ว ยังต้องตอบโจทย์เงินในกระเป๋าสตางค์ด้วย   ธนาสิริ (THANA) เปิดตัวโครงการธนาวิลเลจ วงแหวน - ปิ่นเกล้า พร้อมกับนิยามบ้านแฝดที่มีพื้นที่เกือบเท่าบ้านเดี่ยวในราคาจับต้องได้ เสมือนเป็นตัวเลือก "ตรงกลาง" ที่มีพื้นที่ไม่น้อยเกินไป แต่จ่ายในราคาไม่เกินตัว ไปกับแนวคิดโครงการที่ว่า “ใช้ชีวิตกับความสุขที่ใช่ ... ในพื้นที่ส่วนตัวของคุณ” “ธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า” บ้านแฝดหลังใหญ่ 2 ชั้น จำนวน 114 ยูนิต บนเนื้อที่ 18-2-5.15 ไร่ มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น (โปรโมชั่น) 4.69 ล้านบาท ก่อสร้างแล้วเสร็จ ประมาณ 30 % โดยมีหน้ากว้าง 11 เมตร ส่งให้ทุกฟังก์ชันสัมผัสกับธรรมชาติบริเวณหน้าบ้านโดยรอบ เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่เริ่มสร้างชีวิตในสไตล์ที่บ่งบอกความเป็นตัวตน ใส่ใจกับทุกรายละเอียดของการใช้ชีวิต ด้วยการออกแบบสไตล์ Modern Craft จำนวน 3 แบบบ้าน ได้แก่ Levie (เลวี่) (28 ยูนิต) พื้นที่ใช้สอย 164.30 ตร.ม. , Vejle (ไวเล่) (60 ยูนิต)  พื้นที่ใช้สอย 155.47 ตร.ม. , Dalarna (ดอลลาน่า) (26 ยูนิต) พื้นที่ใช้สอย 151.08 ตร.ม. โดยการออกแบบ Modern Craft เน้นที่ความทันสมัย แต่ไม่หมุนเปลี่ยนตามกระแส สอดรับกับการใช้ชีวิตในวิถีการรู้คุณค่าทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม สำหรับตัวบ้านก่อสร้างด้วยผนังก่ออิฐมวลเบาที่แข็งแรง ทนทานกับความร้อน และเก็บเสียงได้มากกว่าผนังทั่วไป ทั้งยังจัดวางพื้นที่ภายในบ้านให้มีความเป็นส่วนตัว ขณะเดียวกันแบ่งพื้นที่ใช้สอยได้อย่างเป็นสัดส่วน ลงตัวทุกอิริยาบถ เหมาะกับการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของคนทุกวัย สร้างความรู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งที่เข้ามาในบ้าน และเมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยล้า ที่นี่จะกลายเป็นที่สำหรับเติมพลังเก็บเกี่ยวความสดชื่นให้สามารถสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาที่เกิดขึ้นที่ “ธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า”   สลับบรรยากาศมาที่สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ เริ่มจาก Clubhouse ที่เน้นการออกแบบให้เป็นพื้นที่โปร่งโล่ง และประหยัดพลังงาน โดยการนำหลักการธรรมชาติมาปรับภูมิทัศน์ให้กลมกลืนกับการออกแบบให้สามารถใช้ทุกพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใน Clubhouse ประกอบด้วย สระว่ายน้ำระบบเกลือ และห้องออกกำลังกาย โดยรอบนอกอาคารล้อมรอบด้วยพื้นที่สวนสีเขียว เติมเต็มทุกพื้นที่โล่งภายในโครงการ พร้อมสรรพด้วยเครื่องออกกำลังกายกลางแจ้ง สนามเด็กเล่น เลนสำหรับวิ่งกลางแจ้ง และเดินออกกำลังกายตามแนวสวน ตลอดจนลานหินนวดเท้าคลายเส้น จุดเด่นของ “ธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า” ตั้งอยู่ในย่านถนนกาญจนาภิเษกที่สามารถเชื่อมต่อได้หลากหลายเส้นทาง เป็นหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้อยากมีบ้านที่ต้องการใช้ชีวิตแบบคนเมืองที่มีความเป็นส่วนตัวสูง กับทำเลที่มากด้วยศักยภาพ ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกสบาย ทั้งห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์  ตลาดสด โรงพยาบาล สถานศึกษา และหน่วยงานราชการต่างๆ   “ใช้ชีวิตกับความสุขที่ใช่ ... ในพื้นที่ส่วนตัวของคุณ” กับโครงการธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นพื้นที่ที่ให้เราได้ใช้ชีวิต สร้างแรงบันดาลใจ และรู้สึกผ่อนคลายไปในทุกๆ วัน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ธนาสิริ จับมือ อนาบูกิ โคซัน บุกโซนกรุงเทพฯ​ ตะวันออก ปั้น “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน -ธนาสิริ เดินแผนปี 66 เปิดขายบ้าน 2-20 ล้าน พร้อมรับร่วมทุนปั้นที่ดิน100ไร่ในภูเก็ต
[PR News] ERA ชู CHAT GPT สุดล้ำ หนุนสร้าง ตัวแทนขาย คุณภาพ

[PR News] ERA ชู CHAT GPT สุดล้ำ หนุนสร้าง ตัวแทนขาย คุณภาพ

นักขายอสังหา ERA (THAILAND) ประกาศแผนกลยุทธ์ต่อยอดการเติบโตหลังดำเนินธุรกิจมาครบ 30 ปี วางธีม “Enrich lives, Embrace Tech” เติมเต็มชีวิต นักขายอสังหาฯ ด้วยเทคโนโลยีโลกอนาคต ชูจุดแข็งเป็นรายแรกที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ OPEN AI ‘CHAT GPT’ เข้ามาเสริมศักยภาพตัวแทนขายให้ก้าวข้ามทุกขีดจำกัด ควบคู่กับเครื่องมือสุดสมาร์ท ‘VR PRO’ เพิ่มโอกาสปิดทุกดีลการขายได้ง่ายดั่งใจ พร้อมเดินหน้าเต็มสูบขยายสาขา แฟรนไชส์ครอบคลุมทั่วไทย และมีตัวแทนคุณภาพแตะระดับ 3,000 ราย ในสิ้นปี 2566 นี้ นายวรเดช ศิวเตชานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีอาร์เอ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ERA Holding (ประเทศไทย)เปิดเผยว่า บริษัทดำเนินธุรกิจตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ปัจจุบันจะก้าวขึ้นสู่ปีที่ 31 บริษัทจึงประกาศทรานฟอร์มธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ วางธีมประจำปี “Enrich lives, Embrace Tech” เติมเต็มชีวิตนักขายอสังหาฯ ด้วยเทคโนโลยีโลกอนาคต” ชูจุดเด่นเป็นบริษัทแรกของวงการธุรกิจซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ที่นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ โดยจะนำ Chat GPT หรือ Chatbot Generative Pre-trained Transformerมาใช้ และด้วยการสนับสนุนจาก ERA Asia Pacificทำให้ Chat GPT โมเดลนี้ ได้ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นภายใต้การดูแลของทีม AI LAB เพื่อให้ตอบสนองต่อธุรกิจของ ERA โดยเฉพาะ จึงมีความชาญฉลาดในด้านการขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะช่วยให้ตัวแทนขายและบริษัทสมาชิกของ ERA สามารถนำไปใช้งานได้ง่ายขึ้นเพียงปลายนิ้ว ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 เป็นต้นมา ERA Asia Pacific ได้นำ Chat GPT มาใช้เป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจซื้อขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับสำนักงานภูมิภาคในประเทศต่างๆ ได้แก่ ประเทศจีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน เวียดนาม กัมพูชา สปป.ลาว และประเทศไทย โดยจะมีการฝึกสอนการใช้งานและสนับสนุนในทุกด้าน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบริษัทสมาชิกและตัวแทนขายจะสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทยังนำโปรแกรม“VR PRO” มาใช้ ซึ่งจะสามารถแสดงภาพเสมือนจริงของทรัพย์แต่ละประเภทได้อย่างละเอียดทุกพื้นที่ ทำให้ลูกค้าในทุกมุมโลกสามารถเข้าดูทรัพย์และสภาพแวดล้อมโดยรอบ ผ่านทางระบบได้ทุกที่ทุกเวลาตามต้องการ โดยไม่ต้องเดินทางไปยังสถานที่ตั้งจริง ช่วยเพิ่มความสะดวกและประหยัดเวลา ทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสในการปิดดีลซื้อหรือเช่าขายอสังหาริมทรัพย์ได้ง่ายขึ้นอย่างมาก เรามั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการมีตัวแทนขายแตะระดับ 3,000 คน และขยายสาขาได้ครบ 50 สาขาภายในปี 2566 นี้ ได้อย่างแน่นอน ด้าน นางสาวรณิดา พูลเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ  บริษัท อีอาร์เอ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 นี้ บริษัทมั่นใจว่าด้วย เทคโนโลยี Chat GPT ที่ถูกจัดทำขึ้นโดยเฉพาะสำหรับ ERA จะเป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาเสริมศักยภาพของตัวแทนขาย ให้สามารถทำการขายทรัพย์ได้เพิ่มขึ้นและให้ Agentทำงานได้ง่ายขึ้น   บริษัทเชื่อว่าภาพความสำเร็จของตัวแทนขายและบริษัทสมาชิกที่เกิดขึ้นทั้งก่อนหน้าและต่อจากนี้ จะเป็นเครื่องการันตีความเชื่อมั่นให้กับแฟรนไชส์และตัวแทนใหม่ ให้ก้าวเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ERA และสนับสนุนให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายการขยายสาขาแฟรนไชส์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศภายในสิ้นปี 2566 นี้  ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาในระยะเวลา 6 เดือน ERA สามารถขยายการให้บริการได้ถึง 15 สาขา ในพื้นที่ดังนี้ สาขาอยุธยา,สาขานครปฐม,สาขากาญจนบุรี,สาขาชิดลม,สาขาสาทร,สาขาภูเก็ต,สาขาพานทอง(ชลบุรี),สาขาสมุทรปราการ,สาขาเชียงใหม่1,สาขาสุพรรณบุรี, สาขารามอินทรา, สาขาปทุมธานี, สาขาเชียงใหม่2, สาขาพิษณุโลก และสาขาหัวหิน และในขณะนี้มีผู้ที่สนใจเข้ามาเป็นบริษัทสมาชิก ERA อยู่อีกหลายรายซึ่งยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ จึงมั่นใจว่าจะสามารถขยายสาขาได้ตรงตามเป้าหมายอย่างแน่นอน   สำหรับ ERA THAILAND มีระบบการทำงานที่แข็งแรง มีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งและมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีตลอดเวลา มีการซัพพอร์ตตัวแทนขายและบริษัทสมาชิกในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดอบรม การดูแลวางแผนงาน และอื่นๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้สามารถทำงานได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังมีการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นจุดแข็งสำคัญ ที่ทำให้บริษัทเติบโตไปพร้อมกับสมาชิกตามเป้าหมายที่วางไว้ในทุกด้าน​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พร็อพฟิต เปิดแพลตฟอร์มออนไลน์ Propfit ดึง 900 รายสร้างยอดขายอสังหาฯ​ 3,200 ล้าน
สิงห์ เอสเตท รุกตลาดบ้าน Ultra Luxury ปักหมุด SMYTH’S Ramintra เริ่ม 120 ล้าน

สิงห์ เอสเตท รุกตลาดบ้าน Ultra Luxury ปักหมุด SMYTH’S Ramintra เริ่ม 120 ล้าน

สิงห์ เอสเตท เดินหน้า Cluster Home โครงการที่ 2 ต่อจาก ลาซัวว์ เดอ เอส เปิดตัว แบรนด์ “SMYTH’S Ramintra” บ้านแนวราบระดับอัลตร้าลักชัวรี ทำเลกรุงเทพฯ โซนตะวันออก โดยยังคงคอนเซปต์ ULTIMATE PRIVACY นำเสนอความเป็นส่วนตัวสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพียง 4 ยูนิต ด้วยฟังก์ชันและดีไซน์ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษตามกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ให้เหมาะสำหรับไลฟ์ไตล์ที่โดดเด่นอย่างแตกต่าง ดันรายได้รวมธุรกิจพักอาศัยแนวราบเติบโตขึ้นกว่า 70% จากปีก่อน   นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการ SMYTH’S Ramintra (สมิทธ์ รามอินทรา) คือการต่อยอดสำคัญของการขยายธุรกิจแนวราบแบบใหม่ ในรูปแบบ Cluster Home (คลัสเตอร์ โฮม) หรือที่สิงห์ เอสเตท จะเรียกว่า บ้านแบบ Private Estate ซึ่งจะเป็นบ้านที่ดีไซน์มาเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของลูกบ้านแต่ละหลัง เป็นการต่อยอดความสำเร็จในกลุ่มโครงการบ้านแนวราบระดับอัลตร้าลักชัวรี   ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัท มองเห็นโอกาสในการเติบโตและการขยายธุรกิจในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเซ็กเมนท์นี้ จากความสำเร็จของโครงการที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าตลาดลักชัวรียังคงเติบโตและยังมีดีมานด์อยู่  ซึ่งสอดคล้องกับแผนการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบทั้ง 5 โครงการ ที่สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้าไว้ในปีนี้ ที่จะครอบคลุมเซ็กเมนท์ลักชัวรีที่หลากหลาย ตั้งแต่บ้านเดี่ยวกลุ่มราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป กลุ่มราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป และกลุ่มราคา 50 ล้านบาทขึ้นไป รวมถึงโครงการ Private Estate ที่เป็น Flagship อย่างลาซัวว์ เดอ เอส และล่าสุด SMYTH’S Ramintra เปิดขายที่ราคาเริ่มต้น 120 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าโครงการที่พักอาศัยแนวราบในปีนี้ จะมีรายได้ที่เติบโตขึ้นกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า SMYTH’S Ramintra เป็น  Private Estate โครงการที่ 2 บนทำเลศักยภาพย่านรามอินทรา ซึ่งเป็น Residential Hub ที่น่าอยู่ สำหรับที่ตั้งโครงการ อยู่ใกล้เซ็นทรัล รามอินทรา เพียง 2.8 กม. และรายล้อมด้วยช้อปปิ้งมอลล์อื่นๆ  สนามกอล์ฟ สถาบันการศึกษาชั้นนำ โรงพยาบาลชั้นนำ และสนามบิน รวมถึงเป็นทำเลที่เชื่อมต่อไปยังย่านอื่นได้สะดวกมาก ทำให้ทำเลนี้มีจุดเด่นเรื่องการเชื่อมต่อกับศูนย์กลางธุรกิจได้อย่างง่ายดาย (Business Connectivity) เพียง 3.8 กม. ถึงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ มุ่งสู่ใจกลางเมือง และสุขุมวิทได้สะดวก และเพียง 650 ม. ถึงรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีรามอินทรา 3 ซึ่งเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าอีก 2 สาย   โดยบริษัทมั่นใจได้ว่าโครงการนี้จะเป็นอีกหนึ่ง Flagship ด้วยจุดเด่นโครงการที่เป็น ULTIMATE PRIVACY หรือ ความเป็นส่วนตัวที่สมบูรณ์แบบ กับจำนวนบ้านเพียง 4 ยูนิต บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ มูลค่าเริ่มต้นที่ 120 ล้านบาท ออกแบบภายใต้แนวคิดงานสถาปัตยกรรมแบบ Metropolitan Tropical Modern ที่มาในรูปแบบของบ้านสั่งสร้างที่สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ตามความชอบและการใช้งานที่เหมาะสมของผู้อยู่อาศัย และยังคงไว้ซึ่งคุณภาพและแนวการพัฒนาโครงการแบบ “Best in Class” คงอัตลักษณ์ในแบบฉบับของสิงห์ เอสเตท ที่ถูกถ่ายทอดเป็น DNA ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ   จุดเด่นภายในโครงการ ประกอบไปด้วย ระบบไฟฟ้าใต้ดินทั้งโครงการ ระบบ Solar Cell ช่วยผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ Heat Exchanger อุปกรณ์ที่นำความร้อนจากคอยล์ร้อนของเครื่องปรับอากาศ แลกเปลี่ยนมาเก็บไว้ในถังน้ำร้อนเพื่อผลิตน้ำร้อน แทนหม้อต้มไฟฟ้า ช่วยประหยัดไฟฟ้าในการผลิตน้ำร้อนใช้ในบ้าน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องปรับอากาศ รวมถึงเตรียมระบบรองรับนวัตกรรมต่างๆ เช่น EV Charger เพื่อชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Power Wall แบตเตอรี่เก็บไฟฟ้าจาก Solar Cell S-Air System ที่ทำให้อากาศภายในบ้านหมุนเวียน และนำอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้าสู่ภายในบ้าน พร้อมกรองฝุ่น PM 2.5 และปรับอุณหภูมิให้เย็นขึ้น โดย SMYTH’S Ramintra นำเสนอแบบบ้าน 2 รูปแบบ รวมสระว่ายน้ำ บนที่ดินขนาด 180 - 189 ตารางวา ได้แก่ 1.Residences I: พื้นที่ใช้สอย 1,023 ตารางเมตร และ 2.Residences II: พื้นที่ใช้สอย 1,014 ตารางเมตร บ้านทั้ง 2 รูปแบบ ประกอบด้วย 5 ห้องนอน 8 ห้องน้ำ 2 พื้นที่รับแขก 1 ห้องอเนกประสงค์ 2 พื้นที่ทานอาหาร 2 พื้นที่ Pantry 1 ห้องครัวไทย สำหรับปรุงอาหารแบบเต็มรูปแบบ มีห้องซักรีด และแยกส่วนสำหรับห้องแม่บ้านไว้ 2 ห้องพร้อมห้องน้ำอย่างเป็นสัดส่วน รวมถึงจุดเด่นที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของการออกแบบพื้นที่ คือ ห้อง Hideaway Chamber และที่จอดรถได้สูงสุดถึง 10 คัน ประกอบด้วย ที่จอดรถในร่ม 4 คัน Supercar Garage 2 คัน และรองรับการจอดรถด้วย Parking Lift System ถึง 4 คัน เราเชื่อมั่นว่า SMYTH’S Ramintra จะเป็นหนึ่งในความสมบูรณ์แบบของบ้านเดี่ยวแบบ Private Estate ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่พิเศษของลูกค้าโครงการนี้อย่างแท้จริง ทั้งยังสะท้อนแนวคิด และวิสัยทัศน์ของ สิงห์ เอสเตท ในการสร้างความหลากหลายที่สมดุล เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน ผ่านการพัฒนาโครงการที่ใส่ใจในทุกๆ รายละเอียด   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -สิงห์ เอสเตท เปิด 5 โครงการที่อยู่อาศัยหมื่นล้าน ขายบ้านอัลตร้า ลักชัวรี่ หลังละ 550 ล้าน -สิงห์ เอสเตท ขอท้าทายตัวเอง กับกลยุทธ์ RISE ABOVE พร้อมแผน 5 ปีปั้นโปรเจ็กต์บ้านหรู 52,000 ล้าน
เมเจอร์ รุกเปิดแบรนด์ใหม่ “10 & Only”  ครั้งแรกของบ้านหรู 100 ล้าน กับที่จอดรถหรูกลางบ้าน

เมเจอร์ รุกเปิดแบรนด์ใหม่ “10 & Only” ครั้งแรกของบ้านหรู 100 ล้าน กับที่จอดรถหรูกลางบ้าน

ขอบเขตของเมเจอร์ดีเวลลอปเม้นท์จำกัด (เผื่อไว้)   เปิดใหม่ '10 & Only' บ้านเดี่ยวหรูระดับอัลตร้าลักชูรีรหัสผ่านโครงการ 1,100 สำหรับเพียง 10 ยูนิตเท่านั้นในบาร์เซโลนา พาวิลเลี่ยนที่ยินดีต้อนรับโชว์ไลฟ์สไตล์แบบหรูหราพิเศษมากกับ Duplex Supercar Lounge รถคันหรูจำนวนมากที่เข้าฟังก์ชันทั้งหมดของแบรนด์นี้ 10 และเท่านั้น คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจุบันพฤติกรรมการเลือกซื้อบ้านของคนไทยเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับลักชูรีที่ให้เน้นเรื่อง Craft and Quality ของวัสดุและการก่อสร้าง และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือฟังก์ชั่นบ้านต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ โดย เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ มุ่งให้ความสำคัญในเรื่องที่นับเป็นพื้นฐานของทุกโครงการ ทำให้ลูกค้ามั่นใจในเรื่องของคุณภาพ มาตรฐานการก่อสร้างและวัสดุที่คัดสรร (Best-in-class) และการดีไซน์ที่คงคุณค่าความงามไปตลอดไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน Timeless Design Major’s Subtle Luxury Collection พร้อมเปิดแบรนด์ใหม่ ‘10 & Only (เทน แอนด์ โอนลี่)’   แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับอัลตร้า ลักชูรี (Ultra Luxury) โดยเริ่มพัฒนาโครงการแรก คือ 10 & Only พัฒนาการ 20 มูลค่าโครงการรวม 1,100 ล้านบาท บนที่ดินผืนแรกบริเวณซอยพัฒนาการ 20”   “โครงการ 10 & Only พัฒนาการ 20 เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับอัลตร้า ลักชูรี บนทำเล พัฒนาการ 20 มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท ราคา 80-130 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 4-0-63 ไร่ โดยพัฒนาเพียง   10 ยูนิตเท่านั้น นำแนวความคิดในการออกแบบจากความต้องการของผู้อาศัยจริง ที่มีความต้องการ ความเรียบง่าย และทันสมัย จุดเด่นคือนำเอาที่จอดรถ Garage มาเชื่อต่อส่วนต่างๆ ของบ้าน มีลิฟท์ยกรถขึ้นไปโชว์ที่ชั้น 2 เชื่อมโยงฟังก์ชั่นภายใน โดยในพื้นที่ชั้น 1 จะเป็น Garage Living Room   เอาใมจคนรัก สำหรับพื้นที่ชั้น 2        Personal Showroom ยิ่งจะทำให้รู้สึกเหมือนนั่งอย฿่ในโชว์รูมรถหรู และประกอบไปด้วยฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ครบถ้วน โครงการ 10 & Only พัฒนาการ 20  ใน 10 ยูนิต  แบ่งเป็น 3 สไตล์ ได้แก่ บ้าน Marrone ขนาดขนาดพื้นที่ใช้สอย 638 ตารางเมตร บ้าน Carbone ขนาดพื้นที่ใช้สอย 956 ตารางเมตร บ้าน Blu Notte พื้นที่ใช้สอย 962 ตารางเมตร ภายใต้การดีไซน์สไตล์ Barcelona Pavilion โดดเด่นด้วย Timeless Design  เรียบหรูที่สงบนิ่ง เน้นเส้นสายที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ผสานรายละเอียดการออกแบบ ควบคู่กับการดีไซน์พื้นที่สีเขียวของสวนสไตล์ Modern Tropica รายล้อมด้วยพืชฟอกอากาศและปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง สำหรับงานตกแต่งภายในแบบ Ultra-Modern Design เน้นการสร้างฟังก์ชั่นที่สามารถปรับแต่งรูปแบบการใช้งานตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย พร้อมนวัตกรรมต่างๆ อาทิ ระบบบ้านเย็น บ้านปลอดฝุ่น ระบบ Home automation, รองรับ EV Charger, Auto Parking และสระว่ายน้ำส่วนตัว พร้อมระบบ Fresh water ทุกยูนิต “โครงการ10 & Only พัฒนาการ 20 โปรดด้วยคำถามเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เหนือกว่าระดับบราซิลของบราซิล ด้วยความใส่ใจบนมาตรฐาน MAJOR Craft & Quality ทำให้มั่นใจอุ่นใจและภูมิใจที่บ้านและขอและคุณของบราซิลได้ดีที่สุดโดยโครงการ 10 & Only พัฒนาการ 20 จะเริ่มโครงการในช่วงวันที่ 4 ของวันนี้และก่อนหน้านี้คุณสามารถที่จะได้รับเอกสิทธิ์พิเศษได้ในกรณีที่หาคม 2566 นี้มีคำถามเพิ่มเติมผ่าน LINE @majordevelpment หรือ https://bit.ly/ 3JWdU2W ” คุณเพชรลดากล่าว สรุป     บทความ เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ต้องมี 2 พันธมิตร ปั้น มอลตัน เกทส์ บ้านหรู Well-Being  “เมเจอร์ ดีเวลลอปเมนท์” เปิดโอกาสให้คนอยากมีบ้าน รวมถึงธุรกิจใหม่ Healthscape เพิ่มรายได้  

"ออริจิ้น อีอีซี" เปลี่ยนชื่อใหม่ “ออริจิ้น เนชั่นวายด์” ปั้นคอนโดทั่วประเทศรวม 26,000 ล.​

“ออริจิ้น อีอีซี” เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “ออริจิ้น เนชั่นวายด์” สอดคล้องทิศทางใหม่ตามแผน Origin Infinity ขยายทิศทางจากการบุก EEC สู่การบุกพัฒนาคอนโดทั่วประเทศ ครึ่งปีหลังจ่อบุกภูเก็ต-ชลบุรี-โคราช-ขอนแก่น พร้อมเดินหน้าหาที่ดินแปลงใหม่ๆ เพิ่มเติม ตั้งเป้าสิ้นปี 66 พัฒนาโครงการสะสมทะลุ 13,000 ยูนิต 26,000 ล้านบาท   นายภูมิพัฒน์ ฤทธิธาดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด ในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า จากการประกาศแผนการเติบโต Origin Infinity ของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่แต่เดิมมุ่งเน้นขยายทิศทางการเติบโตในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้ปรับสู่การขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์และบริการในเครือออริจิ้นไปในพื้นที่ทั่วประเทศ (Nationwide Serve) ล่าสุด จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อบริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด เป็น บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด (Origin Nationwide) พร้อมทั้งปรับทิศทางจากการเป็นผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่ EEC สู่การเป็นผู้พัฒนาโครงการคอนโดทั่วประเทศ ยกเว้นเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อให้สอดรับกับทิศทางการเติบโตของเครือออริจิ้น และเข้าถึงผู้บริโภคในทำเลใหม่ ๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ช่วงต้นปี เราได้ทยอยชิมลางการบุกต่างจังหวัดในทำเลใหม่ ๆ นอกเหนือ EEC ไปแล้ว 2 โครงการ ที่ภูเก็ต และ ขอนแก่น เราได้รับการตอบรับที่ดีมาก ๆ การเปลี่ยนชื่อเป็น ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จึงเปรียบเสมือนการฉลองความสำเร็จของการเดินหน้าบุกพื้นที่หัวเมืองใหญ่ และยืนยันถึงความมั่นใจของบริษัทในการบุกพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศต่อไป   สำหรับช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา​ บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 5,630 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในพื้นที่ EEC จำนวน 3 โครงการ และโครงการในหัวเมืองใหญ่อีก 2 โครงการ โดยใช้แบรนด์ดิ ออริจิ้น (The Origin) แบรนด์คอนโดตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ Gen Y-Gen Z และกลุ่มผู้เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) เป็นแกนหลักในการบุกถึง 5 โครงการ เพื่อมอบฟังก์ชันห้องและพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ให้แก่คนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ   นายภูมิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 บริษัทมีแผนการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ต่อยอดความสำเร็จ อีกทั้งสิ้น 6 โครงการในพื้นที่ EEC และ ต่างจังหวัด มูลค่าโครงการรวมประมาณกว่า 6,000 ล้านบาท อาทิ แบรนด์ โซ ออริจิ้น (So Origin) ดิ ออริจิ้น (The Origin) และ ออริจิ้น เพลส (Origin Place) ไปในทำเล EEC และ หัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ภูเก็ต ชลบุรี โคราช และ ขอนแก่น มุ่งเน้นเจาะตลาดกลุ่ม Gen X-Gen Y ในเซ็กเมนท์ Upper Class และ High Class นำจุดเด่นทั้งการออกแบบและการบริการที่เติมเต็มไลฟ์สไตล์เข้าไปตอบโจทย์การอยู่อาศัยและการพักผ่อนในพื้นที่ คาดว่าจะทยอยเปิดเผยรายละเอียดของแต่ละโครงการได้เร็วๆ นี้ ขณะเดียวกัน เนื่องจากความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่หัวเมืองใหญ่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงเดินหน้าหาที่ดินศักยภาพแปลงใหม่ๆ ทั่วประเทศเพิ่มเติม เพื่อเตรียมรองรับการเติบโตตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกพื้นที่ในอนาคต   ทั้งนี้ หากการดำเนินงานเป็นไปตามแผนงาน คาดว่าในสิ้นปีนี้ บริษัทจะมียอดการพัฒนาโครงการสะสมนับตั้งแต่ก่อตั้งรวมทั้งสิ้นเป็น 24 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 26,000 ล้านบาท ครอบคลุมจำนวนห้องชุด 13,000 ยูนิต และเป็นหนึ่งในกำลังหลักของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ในการตอบโจทย์ด้านการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตของผู้บริโภค   สำหรับ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด เป็นผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในหัวเมืองใหญ่ ที่มีจุดเริ่มต้นจากการพัฒนาในแถบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีหลากหลายโครงการที่ถือเป็นระดับเมกะโปรเจกต์และได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค อาทิ การพัฒนาโครงการออริจิ้น ดิสทริค แหลมฉบัง-ศรีราชา (Origin District Laemchabang-Sriracha) บริเวณตรงข้าม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา จ.ชลบุรี โครงการออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง (Origin Smart City Rayong) เมืองอัจฉริยะบนพื้นที่กว่า 24 ไร่ บริเวณแยกเนินสำลี จ.ระยอง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“ออริจิ้น” เปิดกลยุทธ์บุก ทำเลรถไฟฟ้า 6 สายส่งคอนโด 19,580 ล้าน ทั่วกทม.-ปริมณฑล -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทำยอดขายบ้าน-คอนโด Q2/66 นิวไฮ
ศุภาลัย กวาดยอดขายครึ่งปี 17,285 ล้าน ลุยเปิด 27 โครงการใหม่

ศุภาลัย กวาดยอดขายครึ่งปี 17,285 ล้าน ลุยเปิด 27 โครงการใหม่

ศุภาลัย โชว์ผลงานครึ่งปีแรกกวาด ยอดขาย รวม 17,285 ล้านบาท พร้อมเปิดแผนรุกตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลัง ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม รวม 27 โครงการ ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค ขับเคลื่อนสู่เป้าหมายยอดขาย 36,000 ล้านบาท   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรก 2566 บริษัทยังคงรักษาการเติบโตที่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง ดีมานด์ตอบรับดีทั้งสินค้าแนวราบและคอนโดมิเนียม สามารถสร้าง ยอดขาย รวม 17,285 ล้านบาท คิดเป็น 48% จากเป้าหมายยอดขาย 36,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายโครงการแนวราบ 11,304 ล้านบาท และโครงการคอนโดที่เปิดใหม่และสร้างเสร็จพร้อมอยู่ 5,981 ล้านบาท โดยมาจากการตอบรับที่ดีของลูกค้าในทุกทำเลโครงการที่มีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ รวมถึงโครงการที่เปิดตัวใหม่ ทั้งนี้ ยอดขาย ที่เพิ่มขึ้นมาจากโครงการภูมิภาคของบริษัท ยังคงได้รับความสนใจและเติบโตโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งยอดขายคอนโด 570 ล้านบาท เติบโต 72% โครงการแนวราบ 7,214 ล้านบาท เติบโต 6% เมื่อเทียบกับยอดขายครึ่งปี 2565 สำหรับโครงการใหม่ที่สามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง อาทิ ศุภาลัยปาร์ค เอกมัย - พัฒนาการ , ศุภาลัยบลูเวล หัวหิน , ศุภาลัยเอเลแกนซ์ พหลโยธิน 50 และ ศุภาลัย เลค วิลล์ ภูเก็ต   นอกจากนี้ บริษัทยังมีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ในมือ ทั้งโครงการแนวราบและคอนโด มูลค่ามากกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเข้ามารองรับการเติบโตของยอดขายในครึ่งปีหลัง โดยล่าสุด ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โครงการศุภาลัยลอฟท์ สาทร - ราชพฤกษ์” ได้เปิดให้ลูกค้าเข้าตรวจรับห้องชุดและได้รับการตอบรับจากลูกค้าทยอยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดไปแล้ว ประมาณ 75%   สำหรับครึ่งปีหลัง 2566 บริษัทเดินเครื่องพัฒนาโครงการใหม่รวม 27 โครงการ มูลค่ารวม 28,610 ล้านบาท เปิดตัวโครงการแนวราบ 26 โครงการ และคอนโด 1 โครงการ โดยมีการออกแบบผลิตภัณฑ์และเปิดตัวแบรนด์ใหม่ การพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมลุยเปิดตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดใหม่ ๆ ในทำเลศักยภาพ โดยโครงการแนวราบวางแผนเปิดเพิ่ม 4 จังหวัดใหม่ คือ นครปฐม ลำปาง ราชบุรี และจันทบุรี และคอนโดแบรนด์ใหม่อีกด้วย เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายให้เติบโตได้ตามเป้าหมาย อีกทั้งไตรมาส 3 ยังเตรียมพร้อมโอนฯ ห้องชุดให้ลูกค้ากับโครงการศุภาลัยพรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากการโอนฯ ของลูกค้าเช่นกัน และคาดว่าจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ได้ครบภายในปี 2566 ช่วยผลักดันรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้   ด้วยความมั่นใจในกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 36,000 ล้านบาท ด้วยการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแล้วครอบคลุม 28 จังหวัด และมีสินค้าพร้อมอยู่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ความพร้อมทางต้นทุนทางการเงิน สร้างสรรค์สินค้าและนวัตกรรมต่างๆ การตลาดและการขาย การบริการอย่างครบวงจร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศุภาลัย เปิดแผนขายบ้าน-คอนโดปี 66 ลุยขยายต่างจังหวัดเพิ่ม 5 แห่ง ​​20 โครงการ -ศุภาลัย บุกตลาดต่างจังหวัดแห่งที่ 23 ปั้นคอนโด “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน”
เพอร์เฟค  ลุยพัฒนา 6 โครงการบ้านหรู  จับตลาดใกล้โรงเรียนนานาชาติ

เพอร์เฟค ลุยพัฒนา 6 โครงการบ้านหรู จับตลาดใกล้โรงเรียนนานาชาติ

ไลฟ์สไตล์ลูกค้าตลาดบ้านหรูเปลี่ยน เน้นเลือกบ้านทำเลใกล้ โรงเรียนนานาชาติ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ลุยพัฒนาสินค้าใน 6 โครงการลักซ์ชัวรี่ใกล้โรงเรียนนานาชาติ ครึ่งปีหลังเปิดแบบบ้านใหม่ โครงการใหม่ เพิ่มความหลากหลาย พร้อมรุกขยายฐานลูกค้าร่วมกับโรงเรียน เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ปกครองนักเรียนนานาชาติโดยตรง   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจของไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าโครงการบ้านระดับบน โดยลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มผู้บริหารระดับสูง เจ้าของกิจการ และกลุ่ม Expat เพิ่มเติมคือนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยที่ผ่านมาลูกค้ากลุ่มนี้จะนิยมโครงการทำเลเมืองหรือทำเลที่ใกล้สถานที่ทำงาน แต่ปัจจุบันมีแนวคิดในการเลือกที่อยู่อาศัยในทำเลใกล้โรงเรียนนานาชาติชื่อดังเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ โดยคำนึงถึงความสะดวกและปลอดภัยในการส่งบุตรหลานไปยังสถานศึกษา ประหยัดเวลาในการเดินทาง เพื่อให้มีเวลากับการเรียนและทำกิจกรรมมากขึ้น บริษัทมีโครงการบ้านหรูบนทำเลใกล้โรงเรียนนานาชาติถึง 6 โครงการ และมีลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ปกครองนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ร.ร.นานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพ หรือ SISB ซึ่งซื้อที่ดินบนถนนหอการค้าไทย จากบริษัท ได้เปิด ร.ร.นานาชาติเอสไอเอสบี นนทบุรี การเปิดตัวของโรงเรียนแห่งใหม่สร้างความคึกคักเพิ่มขึ้นให้กับโครงการบ้านเดี่ยวระดับบน ทั้ง เลค เลเจ้นด์ แจ้งวัฒนะ และ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ แจ้งวัฒนะ ซึ่งอยู่หน้าร.ร.นานาชาติ   บริษัทยังมีโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ที่สามารถรองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการอยู่อาศัยในทำเลใกล้โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ ได้แก่ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา ทำเลที่เป็นแหล่งรวมโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง เช่น เวลลิงตันคอลเลจ ไบรท์ตันคอลเลจ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ รามคำแหง ซึ่งอยู่ติดกับโรงเรียนร่วมฤดีวิเทศศึกษา หรือ RIS โรงเรียนนานาชาติเก่าแก่ที่เปิดมาแล้ว 66 ปี เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ สุขุมวิท 77 อยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติชาร์เตอร์ และโรงเรียนนานาชาติคอนคอร์เดียน รวมถึง เลค เลเจ้นด์ บางนา-สุวรรณภูมิ อีกหนึ่งทำเลที่มีโรงเรียนนานาชาติตั้งอยู่จำนวนมาก โดยโครงการยังอยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ  โรงเรียนนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังมีแผนพัฒนาสินค้าในโครงการกลุ่มลักซ์ชัวรี่ที่อยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติ เพื่อเพิ่มความหลากหลายมากขึ้น  ทั้ง การเปิดตัวแบบบ้านใหม่ในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดพื้นที่ครึ่งไร่ ราคา 80 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอย 850 ตร.ม. ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในทำเลกรุงเทพกรีฑา เพื่อรองรับครอบครัวขนาดใหญ่ มีการเพิ่มคฤหาสน์หรูที่ดินขนาดใหญ่กว่าครึ่งไร่ในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ รามคำแหง  มีการเปิดคิดส์คลับสโมสรสำหรับเด็กในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ สุขุมวิท 77   นอกจากนี้ บริษัทจะมีการเปิดโครงการใหม่ “วาวิล่า สุขุมวิท 77”  เพื่อรองรับกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ เป็นบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ ใช้ประโยชน์ได้เต็มพื้นที่ ประกอบด้วย บ้านขนาด 400 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท และ บ้านขนาด 557 ตร.ม. พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว ราคาเริ่มต้น 33 ล้านบาท  บริษัทยังมีแผนรุกทำการตลาดร่วมกับโรงเรียนนานาชาติชั้นนำ ทั้ง เอสไอเอสบี ร่วมฤดีวิเทศศึกษา บรอมส์โกรฟ เวลลิงตันคอลเลจ  และ ไบรท์ตันคอลเลจ  เพื่อสื่อสารโดยตรงไปยังกลุ่มผู้ปกครองนักเรียน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] เพอร์เฟค เปิดตัว “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์” -[PR News] เพอร์เฟค เดินหน้าเปิด 4 โครงการใหม่ในไตรมาส 2
AssetWise เข้าถือหุ้น 57% TITLE “รุกตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต” สร้างรายได้ 10,000 ล้านบาทใน 3 ปี

AssetWise เข้าถือหุ้น 57% TITLE “รุกตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต” สร้างรายได้ 10,000 ล้านบาทใน 3 ปี

AssetWise นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันการท่องเที่ยวฟื้นตัว ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ใน จ.ภูเก็ตมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภูเก็ต ถูกจัดลำดับให้เป็นจุดหมายการพักอาศัยระดับต้นๆของโลก  AssetWise จึงตัดสินใจขยายธุรกิจไปสู่จังหวัดภูเก็ต โดยจับมือกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีความเชี่ยวชาญและเข้าใจตลาดภูเก็ตเป็นอย่างดี และร่วมผลักดันตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต ให้เติบโต ผ่านตลาดต่างชาติ     AssetWise แอสเซทไวส์ ก้าวสู่ตลาดที่อยู่อาศัยภูเก็ตโดยเข้าซื้อหุ้นในบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE  ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยเป็น โดยแอสเซทไวส์จะถือหุ้น 57% ผ่านบริษัทย่อยของแอสเซทไวส์     นายกรมเชษฐ์ กล่าวว่า TITLE เป็นหนึ่งใน2 บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ในช่วงโควิด 3 ปีที่ผ่านมา TITLE สามารถเปิดขายและโอนทุกโครงการได้ทั้งหมด 100% ด้วยความที่อยู่ในตลาดอสังหาฯภูเก็ตมานาน เข้าใจถึงความต้องการได้เป็นอย่างดี และมีพันธมิตรเอเจนท์อสังหาฯ ต่างชาติมากมายเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะการซื้ออสังหาฯของชาวต่างชาติเกือบ100% ซื้อผ่านเอเจนท์ อีกหนึ่งความเชื่อมั่นคือซึ่งมีทีม TITLE มีผู้บริหารที่อยู่ในธุรกิจในภูเก็ต มายาวนานกว่า 10 ปี มีเครือข่ายที่น่าเชื่อถือ มีที่ดินในทำเลศักยภาพพร้อมพัฒนาโครงการได้อย่างต่อเนื่อง  ด้วยความเชี่ยวชาญและความแข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัท มีส่วนสำคัญในการร่วมผลักดันตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตให้เติบโต พร้อมต่อยอดไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และ TITLE ก็จะช่วยให้ช่องทางรับรู้รายได้ของ แอสเซทไวส์เพิ่มขึ้น   นายกรมเชษฐ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนงานหลังจากนี้  TITLE  มีโครงการที่เตรียมพัฒนาไปจนถึงปี 2569 ทั้งหมด 9 โครงการ รวมมูลค่า 14,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 80 ไร่ ใน 3 ทำเลศักยภาพของภูเก็ต ได้แก่ หาดในยาง ทั้งหมด 5 โครงการ, หาดบางเทา 3 โครงการ และหาด ราไวย์ 1 โครงการ ประกอบกับ จ.ภูเก็ต อยู่ในระหว่างการขยายสนามบินนานาชาติเฟสที่ 2 และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้แอสเซทไวส์ คาดการณ์ว่า จะเป็นปัจจัยเสริมให้การพัฒนาโครงการดังกล่าว สามารถสร้างรายได้ตามเป้าหมาย 10,000 ล้านบาทที่วางไว้ ใน 3 ปี (2567 - 2569) ต่อจากนี้ได้อย่างแน่นอน   สำหรับการร่วมมือกับ TITLE ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำว่า แอสเซทไวส์ มั่นใจในศักยภาพการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต และยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขยายการลงทุนในธุรกิจอสังหาของ   แอสเซทไวส์ให้เติบโตด้วยการขยายตัวไปในทำเลใหม่ ๆ ในตลาดที่หลากหลายเพิ่มขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ได้ผนึกกำลังกับบริษัท โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการพูลวิลล่าระดับลักชัวรี่ในภูเก็ต เพื่อพัฒนาโครงการ BOTANICA Grand Avenue  (โบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว) ให้เป็น พูลวิลล่าระดับลักชัวรี่ที่ดีที่สุดบนหาดบางเทา คาดว่าจะพร้อมเปิดให้ชมในเดือนกันยายนปีนี้   บทความน่าสนใจ แอสเซทไวส์  กวาดยอดขายไตรมาสแรกเกือบ  3,500 ล้าน ลุยต่อเปิด 3 โครงการใหม่   แอสเซทไวส์ ปั้นคอนโด “เคฟ” อีก 5 โปรเจกต์ จับตลาดปล่อยเช่านักศึกษายีลด์ 7-8%
[PR News] SENA ส่งคอนโดของคนช่างคิด  เสนา คิทท์ ครองใจมวลชน

[PR News] SENA ส่งคอนโดของคนช่างคิด เสนา คิทท์ ครองใจมวลชน

เสนา คิทท์ แบรนด์เสนา คิทท์ (SENA Kith) คอนโดมิเนียม จาก SENA เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์คอนโดที่ได้รับการยอมรับและมีการเติบโตอย่างรวดเร็วใช้เวลาเพียง 4 ปี (ตั้งแต่ปี 2562 - ปัจจุบัน) ส่วนใหญ่พัฒนาใกล้นิคมฯ แหล่งงาน แหล่งทำมาหากิน และใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ทำให้คุณสะดวกกว่าที่คิดในทุกมิติชีวิตคุณ SENA Kith “คอนโดของคนช่างคิด” ปัจจุบันมีทั้งหมด 21 โครงการ มากกว่า 10,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 11,000 กว่าล้านบาท   กลยุทธ์สำคัญ คือ การวางโพสิชันคอนโดแบรนด์ SENA Kith ภายใต้แนวคิด SENA Kith “คอนโดของคนช่างคิด” เนรมิตที่อยู่อาศัยให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยจากข้อมูลอินไซด์ของแบรนด์เสนาคิทท์ จะเน้นการเลือกทำเลใกล้แหล่งงาน การออกแบบต่างๆ ฟังก์ชันการใช้สอยครบและลงตัว โดยแต่ละโครงการจะมีแบบห้องขนาด      1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยเฉลี่ย 26 ตร.ม. ราคาเริ่ม  999,000 บาท ทำให้ลูกค้าเอื้อมถึงและสามารถผ่อนจ่ายได้อย่างสบายใจไร้ความกังวล   SENA Kith “คอนโดของคนช่างคิด” พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทุกคน ดังนั้นจุดเริ่มต้นมาจากการหาอินไซต์ผู้บริโภค ผู้ซื้อที่ต้องการคอนโดฯ ราคาต่ำล้านไปจนถึง 1.5 ล้านบาทเป็นกลุ่มเพิ่งเริ่มทำงาน ที่มีรายได้ตั้งแต่ 15,000 – 20,000 บาท ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใกล้แหล่งงานอยู่แล้ว และเช่าหอพักหรืออพาร์ทเมนท์ คอนโดเสนา คิทท์ จึงเปรียบเสมือนคอนโดที่ตอบโจทย์กับลูกค้าที่ต้องการเปลี่ยนจากผู้เช่าเป็นผู้ซื้อเมื่อต้องการบ้านหลังแรก ครึ่งปีหลัง 2566 ของ SENA Kith เตรียมเปิดคอนโดใหม่ครอบคลุมทำเลศักยภาพ 6 โครงการ ประกอบด้วย โครงการเสนาคิทท์ บางนา กม.29, เสนาคิทท์ สาทร – กัลปพฤกษ์, เสนาคิทท์ รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง, เสนาคิทท์ สำโรง,เสนาคิทท์  พหลโยธิน นวนคร และเสนาคิทท์ เพชรเกษม 48 เป็นต้น   SENA Kith เตรียมจัด 2 อีเว้นต์ใหญ่ 22 – 23 ก.ค.กระตุ้นยอดขาย เร็วๆ นี้ ทางเสนาเตรียมจัดงาน 2 อีเว้นต์ เปิดขายโครงการเสนาคิทท์ รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง ภายใต้คอนเซ็ปต์คอนโดที่ให้ “คุ้มกว่าที่คิด"  เตรียมจัดงานพรีเซลล์ครั้งแรกในวันที่ 22- 23 กรกฏาคม 2566 โปรโมชั่น 1 ห้องนอน ฟรีเฟอร์ฯ ราคาเดียว 999,000 บาท ซื้อถูกกว่าเช่าล้านละ 4,100 บาท/เดือน* หรือลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษก่อนใครผ่านลิ้งค์ bit.ly/3FVU2KG  สอบถามเพิ่มเติมโทร.1775 #61 อีก 1 โครงการ เสนาคิทท์ สาทร – กัลปพฤกษ์ คอนโดที่พร้อมคอนเซ็ปต์ “คอนโดโลว์คาร์บอน” ใช้พลังงานสะอาด เตรียมเปิดให้ยลโฉมห้องตัวอย่างเป็นครั้งแรกเช่นกัน วันที่ 22 กรกฏาคม 2566 พบโปรโมชั่น 1 ห้องนอน เฟอร์ฯ ครบ เริ่ม 990,000 บาท* ผ่อนเพียง 1,500 บาท/เดือน* ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ https://bit.ly/3NFcNae หรือ สอบถามเพิ่มเติมโทร.1775 #71   สำหรับใครที่สนใจโครงการแบรนด์เสนาคิทท์ ราคาเริ่มไม่ถึงล้านบาท บนโลเคชั่นที่มีศักยภาพให้เลือกใกล้แหล่งงาน ใกล้สิ่งความสะดวก ทั้งการเดินทาง แหล่งกิน แหล่งช้อป ที่มีให้เลือกถึง 21โครงการคุณภาพ หรือสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sena.co.th/brands/sena-kith   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่รองรับลูกบ้าน -เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2 หนุนเป้ายอดขายกว่า 1.8 หมื่นล.
REIC รายงานตลาดที่อยู่อาศัย Q1/66 กทม.คอนโดเหลือกว่า 4.7 หมื่นยูนิต 2 ปีกว่าจะขายหมด

REIC รายงานตลาดที่อยู่อาศัย Q1/66 กทม.คอนโดเหลือกว่า 4.7 หมื่นยูนิต 2 ปีกว่าจะขายหมด

REIC รายงานตลาดที่อยู่ Q1/66 ขายได้ 21,291 ยูนิต ขายลดลง​ 29.1% มีมูลค่า 105,768 ล้านบาท ลดลง​ 22.0% หลังบ้านแนวราบเสนอขายกว่า 124,723 ยูนิต เพิ่มขึ้น 6.9% ด้วยมูลค่า 679,672 ล้าน เพิ่ม 13.0% แต่คอนโด​มีขายลดลง ลดลง 4.3% ด้วยจำนวน 79,503 ยูนิต มูลค่า 309,579 ล้าน​ ลดลง 9.5% ระบุ 5 ทำเลบ้านเหลือขายเยอะน่าเป็นห่วง ทำบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย เหลือขายมากสุดถึง 16,803 ยูนิต มูลค่า 80,150 ล้าน ส่วนคอนโด ทำเลธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด เหลือขายเยอะสุด 8,544 ยูนิต มูลค่า 27,045 ล้าน Q1 ที่อยู่อาศัยยอดขายลดเหลือกว่า 1 แสนล้าน ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เปิดเผยถึงภาวะภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย ทั้งโครงการแนวราบและอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) ที่มียูนิตเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 ยูนิต ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในไตรมาส 1 ปี 2566 ว่า มีการเสนอขายที่อยู่อาศัยรวม (บ้านจัดสรรและคอนโด) จำนวน 204,226 ยูนิต ขยายตัว 2.3% และมีมูลค่า 989,251 ล้านบาท ขยายตัว 4.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นยูนิตเกิดจากโครงการเปิดตัวใหม่เพียง 21,680 ยูนิต หรือเพียง 10.62% ของยูนิตที่เสนอขายทั้งหมด มีมูลค่า 82,246 ล้านบาท หรือเพียง 8.31% ของมูลค่าที่เสนอขายทั้งหมด ซึ่งยูนิตที่เปิดตัวใหม่มีจำนวนลดลง 26.0% และมูลค่าที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน​ 22.5%  ​   เมื่อดูถึงยอดขายใหม่ที่เกิดในไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีจำนวน 21,291 ยูนิต พบว่าลดลง​ 29.1% และมูลค่า 105,768 ล้านบาท ลดลง​ 22.0% และมีอัตราการดูดซับที่ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจาก 3.5% ต่อเดือน หรือระยะเวลาขายหมดประมาณ 26 เดือน (ลดลงจากปีก่อน 5.0% และระยะเวลาขายหมด 17 เดือน) แสดงให้เห็นว่า ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยปรับตัวลงค่อนข้างแรงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการปรับตัวลงของยอดขายคอนโด ประกอบกับส่วนต่างของยูนิตเปิดตัวใหม่ มากกว่ายูนิตที่ขายได้ใหม่ในไตรมาสนี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 389 ยูนิต ส่งผลให้ยูนิตที่เหลือขายภาพรวมที่อยู่อาศัย (แนวราบและคอนโด) ในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 182,935 ยูนิต ขยายตัว 7.8% และมูลค่า 883,484 ล้านบาท ขยายตัว 9.4% ​จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ผ่านมา บ้านแนวราบเสนอขายกว่า 1.24 แสนยูนิต เมื่อแยกวิเคราะห์เฉพาะตลาดบ้านแนวราบ ในไตรมาส 1 ปี 2566 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่า ยูนิตที่มีการเสนอขายที่อยู่อาศัยแนวราบ 124,723 ยูนิต ขยายตัว 6.9% มูลค่า 679,672 ล้านบาท ขยายตัว 13.0% ​เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งพบว่า ประเภทบ้านที่มีการขยายตัวของยูนิตเสนอขายมากได้แก่ บ้านเดี่ยว ขยายตัวจากปีก่อนถึง 13.0% และทาวน์เฮ้าส์ ที่มีจำนวนยูนิต ขยายตัวจากปีก่อน 2.8% โดยบ้านเดี่ยวมูลค่าขยายตัว 21.5% และทาวน์เฮ้าส์ขยายตัว 2.0% ​ในจำนวนนี้เป็นยูนิตเกิดจากโครงการแนวราบเปิดตัวใหม่เพียง 8,699 ยูนิต หรือเพียง 6.97% ของยูนิตที่เสนอขายทั้งหมด และมูลค่า 51,473 ล้านบาท หรือเพียง 7.57% ของมูลค่าที่เสนอขายทั้งหมด ซึ่งยูนิตที่เปิดตัวใหม่มีจำนวนลดลง 16.8% และมูลค่าที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.8%  โดยประเภทที่มีการลดลงมากคือ ทาวน์เฮ้าส์ ที่ลดลงทั้งยูนิต 23.4% และมูลค่าลดลง 35.3%   เมื่อดูถึงยอดขายใหม่ของที่อยู่อาศัยแนวราบที่เกิดในไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 11,581 ยูนิต ขยายตัว 5.1% และ มูลค่า 69,599 ล้านบาท ลดลง 0.02% และมีอัตราการดูดซับทรงตัวอยู่ในระดับ 3.1% ต่อเดือน หรือจะขายหมดในเวลาประมาณ 29 เดือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบค่อนข้างคงตัวเช่นเดียวกับไตรมาส 1 ปี 2565 ทั้งนี้ บ้านแฝด เป็นประเภทที่มียอดยูนิต ขยายตัว 6% และมูลค่าการขายได้ใหม่ขยายตัวมากสุด 11.5% แม้ว่าจะยังมีขนาดของตลาดยังไม่ใหญ่ และยังมีอัตราการดูดซับที่ต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่น บ้านเดี่ยวมียอดขายใหม่ในไตรมาสนี้ที่ขยายตัวทั้งยูนิต 8% และมูลค่า​ขยายตัว 3.2% โดยมีอัตราการดูดซับที่ 3.3% ซึ่งสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่น หรือระยะเวลาขายหมดประมาณ 27 เดือน (ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน 3.5% และระยะเวลาขายหมด 26 เดือน) ทาวน์เฮ้าส์ พบว่า ยอดขายใหม่ แม้จะมีขนาดตลาดที่ใหญ่ และยังมีการขยายตัวของยูนิตขายใหม่ 8% แต่มีมูลค่าการขายได้ใหม่ ลดลง 7.4% แสดงให้เห็นว่า ตลาดบ้านเดี่ยว และ ทาวเฮ้าส์ ยังคงมีการขยายตัวอย่างอย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ บ้านแฝด เป็นประเภทที่มีการตอบรับที่ดีจากตลาดมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับความสามารถในการซื้อของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน เนื่องจากราคาที่ดิน ค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง   จากการที่ยอดขายใหม่ที่เพิ่มขึ้น และมียูนิตเปิดตัวใหม่น้อยกว่ายูนิตที่ขายได้ใหม่ในไตรมาสนี้ถึง -2,882 ยูนิต ส่งผลให้ยูนิตที่เหลือขายของที่อยู่อาศัยแนวราบ ในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 113,142 ยูนิต มูลค่า 610,073 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% และ 14.7% ตามลำดับ จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ผ่านมา   ทั้งนี้ บ้านเดี่ยว มีการขยายตัวของยูนิตเหลือขายอย่างมากถึง 13.4% และ บ้านแฝดขยายตัว 15.1%  ขณะที่บ้านเดี่ยวมูลค่าก็มีการขยายตัวสูงถึง 24.2%  และบ้านแฝดมูลค่าขยายตัว 19.5%  สำหรับ ทาวน์เฮ้าส์ มียูนิตเหลือขายขยายตัวเล็กน้อยที่ 2.9% และมูลค่าขยายตัว 3.1% การที่อัตราขยายตัวของมูลค่าที่เพิ่มมากกว่าของจำนวนยูนิตได้สะท้อนเห็นว่าที่อยู่อาศัยแนวราบมีการปรับราคาขึ้นจากปีก่อนอีกด้วย คอนโด Q1 เสนอขายลดทั้งจำนวน-มูลค่า ตลาดคอนโด ในไตรมาส 1 ปี 2566 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่า ยูนิตที่มีการเสนอขายคอนโด 79,503 ยูนิต ลดลง 4.3%  และมูลค่า 309,579 ล้านบาท ลดลง 9.5% ​เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นยูนิตเกิดจากโครงการคอนโดเปิดตัวใหม่สูงถึง 12,981 ยูนิต หรือ 16.33% ของยูนิตที่เสนอขายทั้งหมด และมูลค่า 30,773 ล้านบาท หรือ 9.94% ของมูลค่าที่เสนอขายทั้งหมด ซึ่งยูนิตที่เปิดตัวใหม่มีจำนวนลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31.1% และมูลค่าที่ลดลง 34.7% ตามลำดับ และเมื่อดูยอดขายใหม่ของคอนโดที่เกิดในไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 9,710 ยูนิต ลดลง 48.9%​ มูลค่า 36,169 ล้านบาท ลดลง 45.2% และมีอัตราการดูดซับทรงตัวอยู่ในระดับ 4.1% ต่อเดือน หรือจะขายหมดในเวลาประมาณ 21 เดือน   ทั้งนี้ สาเหตุที่ยูนิตเปิดใหม่และยูนิตขายได้ใหม่ของคอนโดปรับตัวลดลงอย่างมากในไตรมาส 1 ปี 2566 เมื่อเทียบกับปีก่อนนั้น มาจากการที่การเปิดตัวใหม่เป็นจำนวนมากและสามารถสร้างยอดขายใหม่จากโครงการคอนโดที่เป็นโครงการบ้านล้านหลัง หรือ โครงการ BOI ที่เปิดขึ้นจำนวนมากในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ปี 2565 โดยเป็นที่น่าสังเกตว่าการเปิดตัวโครงการใหม่เริ่มกลับมามากขึ้นและเริ่มขยับเข้ามามีจำนวนใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิด COVID-19 แต่ยอดขายยังคงต่ำกว่าในช่วงก่อนเกิด COVID-19   โดยในไตรมาสแรกยูนิตเปิดตัวใหม่ของลดลงมาก รวมถึงยอดขายใหม่ด้วย ​ซึ่งพบว่า ยูนิตเปิดตัวใหม่มีจำนวนมากกว่ายูนิตที่ขายได้ใหม่ถึง 3,271 ยูนิต ส่งผลให้ยูนิตที่เหลือขายของคอนโดในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 69,793 ยูนิต ขยายตัว 9.0% และมีมูลค่า 273,411 ล้านบาท ลดลง 0.9% ตามลำดับ จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ผ่านมา   จากผลการสำรวจภาคสนาม  ได้แสดงให้เห็นทำเลศักยภาพของตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ซึ่งพบว่า ทำเลที่มียอดขายสูงสุดและมีอัตราการดูดซับสูงกว่าค่ากลางของที่อยู่อาศัยแนวราบที่ 3.1% ต่อเดือน ประกอบด้วยโซน บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ยอดขาย 2,674 ยูนิต มูลค่า 16,579 ล้านบาท และ อัตราดูดซับ 5.0%ต่อเดือน เมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ ยอดขาย 1,477 ยูนิต มูลค่า 5,394 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 4.7% ต่อเดือน บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย ยอดขาย 942 ยูนิต มูลค่า 5,521 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 1.8% ต่อเดือน คลองสามวา-มีนบุรี-ลาดกระบัง ยอดขาย 918 ยูนิต มูลค่า 5,990 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 5.6% ต่อเดือน เมืองสมุทรสาคร ยอดขาย 821 ยูนิต มูลค่า 3,091 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 4.2% ต่อเดือน 5 ทำเลบ้านเหลือขายมากสุด อย่างไรก็ตาม ทำเลสำหรับบ้านแนวราบที่ต้องระมัดระวังเนื่องจากยังคงมียูนิตเหลือขายที่มากติดอันดับต้น ๆ แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่ ทำเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย เหลือขาย 16,803 ยูนิต มูลค่า 80,150 ล้านบาท ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง เหลือขาย 15,221 ยูนิต มูลค่า 84,580 ล้านบาท ทำเลลำลูกกา-ธัญบุรี เหลือขาย 13,726 ยูนิต มูลค่า 54,287 ล้านบาท ทำเลคลองหลวง-หนองเสือ เหลือขาย 12,146 ยูนิต มูลค่า 43,574 ล้านบาท ทำเลเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก เหลือขาย 10,021 ยูนิต มูลค่า 40,796 ล้านบาท 5 ทำเลศักยภาพตลาดคอนโด สำหรับทำเลศักยภาพของตลาดคอนโด ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ที่มียอดขายสูงสุดและมีอัตราการดูดซับสูงกว่าค่ากลางของที่อยู่อาศัยคอนโดที่ 4.1% ต่อเดือน ประกอบด้วยโซน ทำเลคลองหลวง-หนองเสือ ยอดขาย 1,628 ยูนิต มูลค่า 3,550 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 14.4% ต่อเดือน ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ ยอดขาย 799 ยูนิต มูลค่า 2,539 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 3.8% ต่อเดือน ทำเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ ยอดขาย 775 ยูนิต มูลค่า 2,010 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 4.7% ต่อเดือน ทำเลเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด ยอดขาย 758 ยูนิต มูลค่า 1,468 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 3.5% ต่อเดือน ทำเลห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง ที่มียอดขายจำนวน 689 ยูนิต มูลค่า 2,674 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 2.7% ต่อเดือน เป็นทำเลที่ยังได้รับความสนใจในการหาซื้อคอนโดอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีระบบสาธารณูปโภคที่ดี และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แต่มีจุดอ่อนคือมีอุปทานในตลาดมาก 5 ทำเลคอนโดเหลือขายเยอะ ทั้งนี้ ทำเลที่มียูนิตเหลือขายของคอนโดมาก ที่ควรจะต้องระมัดระวังเนื่องจากยังคงมียูนิตเหลือขายที่มากติดอันดับต้น ๆ แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่ ทำเลธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด เหลือขาย 8,544 ยูนิต มูลค่า 27,045 ล้านบาท ทำเลห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง เหลือขาย 7,951 ยูนิต มูลค่า 31,786 ล้านบาท ทำเลเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด เหลือขาย 6,432 ยูนิต มูลค่า 14,774 ล้านบาท ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ เหลือขาย 6,204 ยูนิต มูลค่า 18,007 ล้านบาท ทำเลสุขุมวิท เหลือขาย 5,348 ยูนิต มูลค่า 47,222 ล้านบาท กทม.แบกซัพพลายคอนโดเหลือกว่า 4.7 หมื่นยูนิต​ ผลสำรวจข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ภาพรวมไตรมาส 1 ปี 2566 ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลยังขับเคลื่อนตัวด้วยโครงการบ้านแนวราบเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนในเชิงมูลค่ายอดขายของตลาดถึง 69,599 ล้านบาท หรือเท่ากับ 65.8% แต่คอนโดมีมูลค่าตลาดรวม 36,169 ล้านบาท หรือเท่ากับ 34.2%  ของมูลค่าตลาดโดยรวม   แต่สิ่งที่มีน่าจะเป็นข้อสังเกตที่สำคัญ คือ จังหวัดที่มียอดขายใหม่ของบ้านจัดสรรมากที่สุดคือ จังหวัดสมุทรปราการที่มีจำนวนถึง 4,151 ยูนิต มูลค่า 21,974 ล้านบาท รองลงมาที่กรุงเทพมหานคร มีจำนวน 2,734 ยูนิต มูลค่า 27,105 ล้านบาท แต่ยูนิตเหลือขาย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2566 อยู่ที่จังหวัดปทุมธานีมากสุดถึง 35,893 ยูนิต มูลค่า 138,658 ล้านบาท ทั้งที่จังหวัดปทุมธานีที่มียอดขายเป็นอันดับ 3 เท่านั้น ทำให้ปทุมธานีมีอัตราการดูดซับเพียง 1.3% ต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งคำนวณได้ว่าต้องใช้เวลาถึง 74 เดือนจึงจะขายได้หมด ทั้งที่ภาพรวมของกรุงเทพฯและปริมณฑลอยู่ที่ 3.1% ต่อเดือน ซึ่งสะท้อนภาวะตลาดบ้านแนวราบในจังหวัดปทุมธานีเริ่มมีภาวะ Oversupply แล้ว ผู้ประกอบการต้องให้ความสนใจในการลงทุนเป็นพิเศษ   ขณะที่ตลาดคอนโดยังคงอยู่ในพื้นที่เป็นหลัก โดยจังหวัดที่มียอดขายสูงสุดอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีจำนวนถึง 5,221 ยูนิต มูลค่า 24,686 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายกว่า 60% ของการขายห้องชุดในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รองลงมาที่จังหวัดปทุมธานี มีจำนวน 2,205 ยูนิต มูลค่า 4,664 ล้านบาท แต่ยูนิตเหลือขาย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2566 และ จังหวัดสมุทรปราการ มีจำนวน 1,227 ยูนิต มูลค่า 4,732 ล้านบาท   แต่อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานครก็ยังมียูนิตเหลือขายสูงสุดถึง 47,225 ยูนิต มูลค่า 225,596 ล้านบาท ทำให้มีอัตราการดูดซับเพียง 3.3% ต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งคำนวณได้ว่าต้องใช้เวลาถึง 27 เดือนจึงจะขายได้หมด ทั้งที่ภาพรวมของกรุงเทพฯ และปริมณฑลอยู่ที่ 4.1%/เดือน ขณะที่จังหวัดปทุมธานี มีอัตราการดูดซับถึง 7.3% และสมุทรปราการ มีอัตราดูดซับ 5.3% ต่อเดือน ซึ่งสะท้อนว่า ตลาดคอนโดของกรุงเทพมหานครยังคงมีการแบกอุปทานที่หนักอยู่ หากต้องการลงทุนอาจต้องพิจารณาถึงอุปทานในแต่ละ Segment ของราคาและรูปแบบของแต่ละทำเลอย่างละเอียดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการฯ คงต้องติดตามดูทิศทางทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากปัจจัยลบของภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างใกล้ชิดอีกด้วย     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -REIC เผย ยอดโอนคอนโดต่างชาติ Q1/65 ลดทั้งจำนวน-มูลค่า เหตุลูกค้าจีนยังปิดประเทศ   -REIC เปิด ค่าก่อสร้างบ้าน Q2/66 เพิ่ม 2.1% กระเบื้อง-ค่าแรง  ขึ้นราคา ​หวั่นกระทบต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้น
[PR News] ไทวัสดุ เดินหน้าดันสินค้ารักษ์โลก จัดโปรสี “JBP Good Paint Re-Acrylic”

[PR News] ไทวัสดุ เดินหน้าดันสินค้ารักษ์โลก จัดโปรสี “JBP Good Paint Re-Acrylic”

สีทาอาคาร ไทวัสดุ เดินหน้าผลักดันกลุ่มสินค้ารักษ์โลก กับผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ “JBP Good Paint Re-Acrylic” ครั้งแรกของสีทาอาคารรีไซเคิลในประเทศไทย พร้อมส่งดีลสุดคุ้มเอาใจคนรักบ้านสายกรีน เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ JBP Good Paint Re-Acrylic ขนาด 2.5 แกลลอน รับส่วนลดพิเศษท้ายบิล 100 บาท/ถัง ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม นี้ ที่ไทวัสดุทุกสาขา   นางสาวชุติพร คงเจริญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดเผยว่า จากความร่วมมือกับ บริษัท เจ.บี.พี อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์ จำกัด ภายใต้โครงการ “One World : One Future Together” ที่ตั้งเป้าการลดใช้พลังงาน เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่มีความยั่งยืนให้กับประเทศไทย ไทวัสดุจึงพร้อมสนับสนุนคู่ค้าที่มีแนวทางดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมร่วมกัน เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันหันมาให้ความสำคัญและตระหนักถึงเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น อ้างอิงจากผลสำรวจ Global Consumer Insights Pulse Survey จาก PwC ที่พบว่าปัจจัยดังกล่าวเป็นอานิสงส์ของการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภค และเป็นไลฟ์สไตล์ที่ถูกปรับเปลี่ยนในชีวิตประจำวันเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ไทวัสดุ  จึงเดินหน้าจัดหาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้ามาจัดจำหน่ายในทุกสาขาทั่วประเทศ ล่าสุดกับผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ สี JBP Good Paint Re-Acrylic ซึ่งเป็นสีทาอาคารที่ผ่านกรรมวิธีรีไซเคิล ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติสำหรับกระบวนการผลิตสี และลดการเกิดของเสียที่เป็นต้นเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อม เข้ามาวางจำหน่ายที่ไทวัสดุเป็นที่แรกและที่เดียวในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะมีเป้าหมายกระตุ้นให้เกิดมูลค่าในสินค้ารักษ์โลกแล้ว ยังมุ่งที่จะเป็นช่องทางให้คนในทุกภูมิภาคได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและตกแต่งบ้านที่ยั่งยืนผ่านไทวัสดุกันได้อย่างสะดวก   นางสาวชุติพร กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการเปิดตัวสีทาอาคาร JBP Good Paint Re-Acrylic สุดยอดนวัตกรรมสีรีไซเคิล และส่งเสริมให้คนไทยได้ร่วมส่งต่อความยั่งยืนสู่สิ่งแวดล้อม ไทวัสดุขอส่งโปรโมชันสุดเอกซ์คลูซีฟ เมื่อซื้อสี JBP Good Paint Re-Acrylic ขนาด 2.5 แกลลอน สูตรใดก็ได้ รับไปเลยส่วนลดพิเศษท้ายบิล 100 บาทต่อถัง ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม ที่ไทวัสดุเท่านั้น ทุกสาขาทั่วประเทศ และทางช่องทางออนไลน์ การจับมือกับบริษัท เจ.บี.พี.อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์ จำกัด ถือเป็นอีกก้าวของความตั้งใจที่จะส่งเสริมและผลักดันให้สินค้าในกลุ่มรักษ์โลกให้เป็นที่นิยมในวงกว้าง ซึ่งเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสินค้าเหล่านี้จะสามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ให้เข้ามาสัมผัสกับความครบครันเรื่องบ้านที่ไทวัสดุเพิ่มมากขึ้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News]ไทวัสดุ ส่งแคมเปญ “ใช่เลย ถูกจริง” -[PR News]ซีอาร์ซี ไทวัสดุ ตั้งเป้าแท่นเบอร์ 1 วงการค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง อัดฉีดงบ 7,000 ลบ. ปี 65
[PR News] CPANEL มองธุรกิจครึ่งปีหลัง 66 โตต่อเนื่องลุ้น Backlog ปีนี้แตะ 1,800 ล้าน

[PR News] CPANEL มองธุรกิจครึ่งปีหลัง 66 โตต่อเนื่องลุ้น Backlog ปีนี้แตะ 1,800 ล้าน

CPANEL เผยทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง 2566 เติบโตต่อเนื่อง ดีมานด์ลูกค้าเดิม-ลูกค้าใหม่พุ่ง พร้อมแตกไลน์รับงานโรงแรม ปั้นพอร์ตคอนโด ความผันผวนทางเศรษฐกิจกระทบต้นทุนก่อสร้าง หนุน Precast Concrete ขาขึ้นลุ้น Backlog แตะ 1,800 ล้านบาท มั่นใจเป้าหมายรายได้ปีนี้โตตามแผน 10-15% ด้านโรงงานแห่งที่ 2 ก่อสร้างตัวอาคารแล้วเสร็จ คาดเริ่มติดตั้งเครื่องจักรภายในปีนี้   นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลังปี 2566 ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแนวโน้มลูกค้าใหม่ที่มากขึ้น และลูกค้าเดิมมีคำสั่งซื้อซ้ำ รวมถึงแผนขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ เพิ่มเติม ซึ่งช่วงที่ผ่านมาบริษัทรับงานก่อสร้างโรงแรมแห่งแรก มูลค่าประมาณ 13 ล้านบาท รวมถึงงานก่อสร้างคอนโดมิเนียมจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ มูลค่าประมาณ 46 ล้านบาท ซึ่งงานประเภทดังกล่าวถือเป็นโอกาสของบริษัทในการรับงานที่หลากหลายมากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ยังมีโครงการแนวราบอีก 5 ราย มูลค่าประมาณ 240 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog)  ประมาณ 1,400 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้าเพิ่มเติมอีกหลายราย  จะส่งผลให้บริษัททำรายได้ตามเป้าหมายเติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 433.97 ล้านบาท และคาดว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวสูงขึ้น จากการบริหารจัดการควบคุมต้นทุนการผลิตและการขาย ทำให้เกิด  Economy of Scale   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัว จากภาวะความผันผวนทางเศรษฐกิจ แต่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายยังมีแผนลงทุนในโครงการใหม่ๆ จึงมีความจำเป็นต้องควบคุมต้นทุนที่มีความผันแปร เช่น การขาดแคลนแรงงาน ค่าแรง ค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าพลังงาน และดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ Precast Concrete มีความต้องการที่สูงขึ้น เนื่องจากสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ดี ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายเดิมและรายใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันที่คาดว่าภายในปีนี้จะมี Backlog 1,800 ล้านบาท นายชาคริต กล่าวอีกว่า ส่วน​ความคืบหน้าโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ปัจจุบันก่อสร้างตัวอาคารเสร็จเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเริ่มติดตั้งเครื่องจักรได้ในภายในปีนี้ หลังจากติดตั้งแล้วเสร็จจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 1 เท่าตัว จากปัจจุบันกำลังการผลิต 7.92 แสนตารางเมตร สามารถรองรับความต้องการใช้ Precast Concrete จากแนวโน้มคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“ซีแพนแนล” รับผลบวกมาตรการ LTVหลังดีเวลลอปเปอร์ หันมาขยายตลาดบ้านแนวราบ -5 เทรนด์อุตสาหกรรมก่อสร้างโลกที่แรงไม่หยุด
เซ้าเทิร์นกรุ๊ป ลุยผลิตทรายหิน M-Sand สร้างมูลค่าเพิ่ม-รักษาสิ่งแวดล้อม

เซ้าเทิร์นกรุ๊ป ลุยผลิตทรายหิน M-Sand สร้างมูลค่าเพิ่ม-รักษาสิ่งแวดล้อม

เซ้าเทิร์นกรุ๊ป ชูนโยบายดำเนินธุรกิจรับผิดชอบต่อสังคม-สิ่งแวดล้อม ให้บริษัทลูก “ครีเอทีฟ มิเนอรัล” ติดตั้งเครื่องจักแบรนด์ Propel ผลิตทรายหิน M-Sand สร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรเหลือใช้ ช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม​ กระตุ้นวงการก่อสร้างลดการใช้ทรายธรรมชาติ   นายธีรโชค มุขดี กรรมการผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ กลุ่มบริษัทเซ้าเทิร์นกรุ๊ป เปิดเผยว่า โลกปัจจุบันให้ความสำคัญต่อการประกอบธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม  ร่วมรักษาสภาพแวดล้อม และประหยัดพลังงาน บริษัทที่อยู่ในกลุ่มบริษัทเซ้าเทิร์นกรุ๊ป  อย่างเช่นบริษัท ครีเอทีฟ มิเนอรัล จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตหินก่อสร้าง หินโดโลไมต์และทรายก่อสร้าง ดำเนินการอยู่ในพื้นที่อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ จึงได้ลงทุนติดตั้งเครื่องจักรแบรนด์ Propel เพื่อผลิตทรายหิน M-Sand ป้อนสู่วงการก่อสร้างในพื้นที่จังหวัดกระบี่ พังงา และภูเก็ต ซึ่งจะมีส่วนช่วยทดแทนการใช้ทรายธรรมชาติทั้งทรายบกและทรายแม่น้ำ โดยเครื่องจักรแบรนด์ Propel นำเข้าจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่ามีความชำนาญในการผลิตทรายจากหิน  เพราะอินเดียมีกฎหมายห้ามใช้ทรายจากแม่น้ำมานานแล้ว ขณะที่ประเทศไทยเริ่มมีความเข้มงวดในการควบคุมการดูดทรายจากแม่น้ำ หรือเหล่าประเทศลุ่มแม่น้ำโขงต่างตระหนักถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศน์จากการดูดทรายจากแม่น้ำโขง   นายธีรโชค กล่าวว่า ทางบริษัทมีหินคลุก หินฝุ่น และหิน3/8 ซึ่งมีขนาดที่แตกต่างกันอยู่ เมื่อได้เครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีทันสมัยเอาทรัพยากรที่มีอยู่เข้ากระบวนการบดและคัดแยกขนาดให้เป็นทรายที่ได้มาตรฐานสากล สามารถป้อนสู่โรงงานปูนซีเมนต์นครหลวง โรงงานซีแพคเครือปูนซิเมนต์ไทย และผู้รับเหมาทั่วไป จึงเป็นการใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าพร้อมกับเพิ่มมูลค่าผลผลิต โดยการผลิต M-Sand ของบริษัทครีเอทีฟ มิเนอรัล  ขณะนี้กำลังศึกษาต่อยอดไปทำการผลิตที่เหมืองศิลาชัย และเหมือง 39ศิลาทองในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป้าหมายหลักของเราคือ ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด  เพราะแม้แต่น้ำที่ใช้ในกระบวนผลิตเรายังรีไซเคิลได้ถึง 85%  ขณะเดียวกันยังช่วยลดการใช้ทรายธรรมชาติซึ่งมีผลต่อระบบนิเวศน์  มีผลต่อรูปทรงของแม่น้ำ  ตลิ่ง  ขณะที่ทรายบกก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่มีข้อจำกัด    ด้านดร.สมหวัง  วิทยาปัญญานนท์  กรรมการและเลขาธิการสมาคมสินแร่และวัสดุก่อสร้าง ให้ความเห็นว่า  การลงทุนของกลุ่มบริษัทเซ้าเทิร์นกรุ๊ปในการผลิตทรายหิน M-Sand ที่มีคุณภาพมาตรฐานนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของผู้ประกอบการเหมืองแร่ในปัจจุบันที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม  มีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อม และร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน  ซึ่งทางสมาคมยังคาดหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะให้ความสำคัญต่อธุรกิจสินแร่ และวัสดุก่อสร้างที่มีปัญหาค้างคาด้านกฎหมายและรอการขับเคลื่อนจากรัฐบาลมานานปี     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66 -REIC เปิด ค่าก่อสร้างบ้าน Q2/66 เพิ่ม 2.1% กระเบื้อง-ค่าแรง  ขึ้นราคา ​หวั่นกระทบต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้น -5 เทรนด์อุตสาหกรรมก่อสร้างโลกที่แรงไม่หยุด  
[PR News] ผลิตภัณฑ์ตราเพชร เดินหน้าต่อยอด DIAMOND CAFE สู่บ้านผู้สูงอายุและโฮมออฟฟิศ

[PR News] ผลิตภัณฑ์ตราเพชร เดินหน้าต่อยอด DIAMOND CAFE สู่บ้านผู้สูงอายุและโฮมออฟฟิศ

ผลิตภัณฑ์ตราเพชร ผลิตภัณฑ์ตราเพชร มองตลาดวัสดุก่อสร้างครึ่งปีหลังขยายตัวต่อเนื่อง เดินเกมขยายฐานลูกค้ากลุ่ม SME ต่อเนื่อง มุ่งต่อยอดผลิตภัณฑ์ DIAMOND CAFE สู่ LIVING SPACE อาคารสำเร็จรูปสำหรับพักอาศัยและประกอบธุรกิจ เจาะโฮมออฟฟิศขนาดเล็กและกลุ่มบ้านผู้สูงอายุ          ดร.พิชญานันท์ ล้อวรลักษณ์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการขายและการตลาด บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT  เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดวัสดุก่อสร้างในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ยังมีสัญญาณการเติบโตต่อเนื่อง แม้ในไตรมาส 3/2566 จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของตลาด เนื่องจากก้าวเข้าสู่ฤดูฝนทำให้งานก่อสร้างชะลอตัวลงไป อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่และกลุ่มลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ยังเดินหน้าลงทุนขยายสาขาและพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทฯ จะมุ่งตอกย้ำด้านความหลากหลายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ตราเพชร เพื่อต่อยอดขยายฐานลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการ SME ผ่านผลิตภัณฑ์ DIAMOND CAFE ช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการก่อสร้าง รองรับความต้องการกลุ่มผู้ประกอบการที่ลงทุนเริ่มต้นทำธุรกิจร้านกาแฟ รวมถึงต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่ กลุ่มอาคารสำเร็จรูปสำหรับพักอาศัย และประกอบธุรกิจ (LIVING SPACE) โดยมีการออกแบบอาคารสำนักงานขนาดเล็ก หรือโฮมออฟฟิศและบ้านสำเร็จรูปสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ   โดยสินค้ากลุ่ม LIVING SPACE ได้มีการนำไปจัดแสดงโชว์ภายในงาน Thailand Coffee Fest 2023: Good Coffee For Everyone ที่อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 5-8 เมืองทองธานี ในวันที่ 13-16 กรกฎาคมนี้ เพื่อนำเสนอแพ็กเกจงานก่อสร้าง และรูปแบบร้าน DIAMOND CAFE  & LIVING SPACE ดีไซน์ใหม่ในราคาพิเศษ โดยอาคารสำเร็จรูปสำหรับร้านกาแฟเพียง 529,990 บาท จากปกติ 570,300 บาท และอาคารสำเร็จรูปสำหรับพักอาศัย และประกอบธุรกิจ เริ่มต้นที่ 429,990 บาท จากปกติ 450,300 บาท   สำหรับผู้สนใจหากวางเงินจองสิทธิในการก่อสร้างภายในงาน รับส่วนลดพิเศษเพิ่มอีก 1 เท่าจากยอดเงินจอง หรือรับส่วนลดสูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท หรือหากซื้อ DIAMOND CAFE ตัวโชว์ภายในงาน รับส่วนลดทันที 50% ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าการออกบูทในงานครั้งนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และเป็นโอกาสของ ตราเพชร ตอกย้ำความแข็งแกร่งด้านผลิตภัณฑ์เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นอีกด้วย   สำหรับบริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชรฯ ผู้ผลิตและจำหน่ายระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ และบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์ บอร์ดตกแต่งผนัง อิฐมวลเบา คานทับหลัง เคาน์เตอร์มวลเบาสำเร็จรูป ร้านกาแฟสำเร็จรูป (DIAMOND Cafe) และบริการติดตั้งโครงหลังคา และกระเบื้องหลังคา ภายใต้เครื่องหมายการค้า “ตราเพชร” มีประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจกว่า 38 ปี มีเทคโนโลยีการผลิตทันสมัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และได้รับการรับรองระบบมาตรฐาน ISO9001:2015, ISO14001:2015 และ ISO45001:2018 จากสถาบัน Lloyd's Register Quality Assurance Limited (LRQA) รวมถึงได้รับเครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งยืนยันถึงคุณภาพสินค้า ตลอดจนมีการบริหารจัดการภายในโรงงานที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นทางเลือกที่ดีกว่าด้านวัสดุก่อสร้างและบริการ”   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ตราเพชรเปิดตัวบ้านน็อกดาวน์ 1.2 ล้าน ตอบโจทย์มีสินค้าครบทั้งหลัง
ESTAR เปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ ไพโรจน์ วัฒนวโรดม ปรับใหญ่รุกตลาดบ้าน

ESTAR เปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ ไพโรจน์ วัฒนวโรดม ปรับใหญ่รุกตลาดบ้าน

ESTAR พูดคุยกับผู้บริหารใหม่ “พี่แจ้ - ไพโรจน์ วัฒนวโรดม”  ของบริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน)  หรือ ESTAR  มาขับเคลื่อนธุรกิจ ปรับครั้งใหญ่ รุกตลาดบ้าน พร้อมพัฒนาโปรดักส์ใหม่ ในคอนเซ็ปต์ “Creator of Life’s Pleasures” ตั้งเป้านี้ 2566  เปิดโครงการ ควินทารา มาย’ ซีรีย์ จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 4,150 ล้านบาท พร้อมดันยอดขายรวมแตะ 3,100 ล้านบาทในสิ้นปีนี้  และ แผนปี 2567 เปิดโครงการ “เวลาน่า 3” บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม เผยบอร์ดบริหารไฟเขียวอนุมัติงบซื้อที่ดิน 1,000ล้านบาท เตรียมหาซื้อที่ดินอีก 1-2 แปลง รอพัฒนาโครงการใหม่   ESTAR นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาได้มีประสบการณ์ด้านการบริหารงานในวงการอสังหาริมทรัพย์และองค์กรชั้นนำมายาวนาน อีกทั้งยังมีความเชี่ยวชาญในด้านการวิเคราะห์ภาพรวมตลาดอสังหาฯ การพัฒนาสินค้าเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค และการบริหารจัดการความเสี่ยง ตลอดจนสร้างความสัมพันธ์อันดีกับพันธมิตรทางธุรกิจ โดยวางเป้าหมายแรกการดำเนินงาน คือสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนภายในองค์กร ได้แก่ การเป็นหัวหน้าทีมที่เข้มแข็ง การเพิ่มศักยภาพองค์กรด้วยการสร้างทีมเวิร์คในการผลักดันงานให้เป็นไปตามเป้า การพัฒนาคุณภาพสินค้าที่โดนใจลูกค้าและสามารถจับต้องได้ มีดีไซน์ตอบรับตลาด ทันยุคสมัย รวมถึงพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ   โดยให้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนโครงการแนวราบให้มากขึ้น จากเดิมมีสัดส่วนการลงทุนและรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียม80% และมีรายได้จากที่อยู่อาศัยแนวราบ 20% โดยตั้งเป้าว่าในระยะ3ปีจากนี้จะเพิ่มสัดส่วนโครงการแนวราบเป็น 50% เท่าๆกับกลุ่มคอนโด โดยเห็นว่าตลาดบ้านใช้เวลาในการรับรู้รายได้เพียงแค่ปีเดียว ส่วนคอนโดกว่าจะรับรู้รายได้ใช้เวลามากกว่า3 ปี นายไพโรจน์ กล่าวว่า ล่าสุดบอร์ดได้อนุมัติงบประมาณในการซื้อที่ดินแล้ว 1,000 ล้านบาท และขณะนี้บริษัทได้ซื้อที่ดินรอการพัฒนาเข้ามาแล้ว 1 แปลงในทำเลย่านสนามบินสุวรรณภูมิ จำนวน16ไร่ ในราคา 300ล้านบาท ซึ่งจะพัฒนาเป็นโครงการทาวน์โฮมมูลค่า700ล้านบาท และอยู่ระหว่างการหาที่ดินเพิ่มในโซนกทม.อีก1แปลง เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการให้ในปี67 นอกจากจะมีการพัฒนาโครงการในที่ดินใหม่ที่ซื้อเข้ามาแล้ว ยังมีแผนจะนำที่ดินที่มีอยู่ 2 ทำเล คือ ทำเลเย็นอากาศขนาด3ไร่ 2งาน มาพัฒนาบ้านหรูระดับราคา 40-80ล้านบาท จำนวน 12 หลัง และนำที่ดินในย่านแยกติวานนท์ จำนวน 7 ไร่ 3งาน มาพัฒนาบ้านแนวราบมเช่นกัน”ทั้งนี้อยู่ในช่วงการศึกษาความเหมาะสม     ในตลาดภูมิภาค อีสเทอร์น สตาร์ มีที่ดินในจังหวัดระยอง อ.บ้านฉาง ซึ้งเป็นที่ดินรอบๆ สนามกอล์ฟ อีสเทิร์น สตาร์ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 6 แปลงรวมที่ดินสะสมประมาณ 238 ไร่ นำมาพัฒนาโครงการแนวราบเพิ่ม 3โครงการ เน้นกลุ่มบ้านระดับราคา 5-9ล้านบาท โดยคาดว่าจะเปิดขายในช่วงไตรมาส 2-3 ปี 67 โดยกลุ่มเป้าหมายหลักจากพนักงานคนทำงานในพื้นที่ บริษัท ปตท.,เอสซีจี และ ไออาร์ที่มีศักยภาพสูง รายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 70,000-300,000บาท และเป็นกลุ่มที่มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อต่ำ ซึ่งการขยายตลาดดังกล่าวที่ผ่านมาทำให้ยอดขายในระยองขยายตัวถึง1,000 ล้านบาท จากเดิมที่มียอดขายในจ.ระยองที่ประมาณ 700ล้านบาท ในขณะที่การพัฒนาโครงการคอนโดในปีหน้าจะยังไม่มีโครงการเปิดใหม่ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมามีการเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการมูลค่า4,150 ล้านบาท “ในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าว่าจะมมีรายได้รับรู้หรือยอดโอนอยู่ที่ 1,500ล้านบาท และมียอดขายรวมประมาณ3,100ล้านบาท”     โดยแผนของ ESTAR จะปรับทิศทางการดำเนินงานโดยเน้นโครงการพร้อมอยู่ และมีการเตรียมออกแคมเปญอัตราดอกเบี้ยพิเศษจากโครงการ รวมถึงในโครงการพรีเซลมีการเร่งยอดขายจากแคมเปญ ห้องสวย วิวดี ราคาพิเศษ ขณะเดียวกันทางฝั่งระยอง ก็จะมีการเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวใหม่ ระดับช่วงราคา 4-6 ล้านบาท และไฮไลท์สำคัญในปีนี้ คือการเปิดโฉม ควินทารา มาย’ ซีรีย์ คอนโดใจกลางเมือง 3 โครงการ มูลค่ารวม 4,150 ล้านบาท โดยเริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้วทั้ง 3 โครงการ และคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณช่วงไตรมาส 3 - ไตรมาส 4 ปี 2567 เป็นต้นไป ซึ่งเป็นซีรีย์แรกที่ใช้แนวคิด “Creator of Life’s Pleasures” มาเป็นแกนหลักในการพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้า และจะนำไปใช้พัฒนาต่อในโปรดักส์ซีรีย์ปีหน้าด้วย”   นายไพโรจน์ กล่าวว่า ต่อจากนี้อีสเทอร์น สตาร์ เดินหน้าพัฒนาโปรดักส์ทุกโครงการโดยยึดจาก DNA แบรนด์ คือใช้ความโดดเด่นในการพัฒนาดีไซน์และคุณภาพสินค้ามาเป็นจุดแข็งเพื่อสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน พร้อมมุ่งเจาะกลุ่มตลาดระดับกลาง Gen Y โดยพัฒนาที่อยู่อาศัยทุกโครงการภายใต้แนวคิด “Creator of Life’s Pleasures” สามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้จากความเฉพาะตัวที่เป็นเอกลักษณ์ใน 3 แกนหลักคือ Creator of Design, Creator of Green และ Creator of Living สร้างสรรค์การอยู่อาศัย แบบ Smart life อย่างสมบูรณ์รอบด้านด้วยดีไซน์ประณีตของงานสถาปัตยกรรมและการออกแบบที่มอบประโยชน์ใช้สอยสูงสุด ให้ความยืดหยุ่นของพื้นที่ใช้สอยที่รองรับได้ทุกไลฟ์สไตล์ ยกระดับคุณภาพการอยู่อาศัยอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานสะอาด โดยมีพื้นที่สำหรับ EV Charger ให้ลูกบ้าน มีระบบจัดการขยะเพื่อสนับสนุนการก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ที่อยู่อาศัยยังต้องช่วยสร้างความสมดุลในการใช้ชีวิตตอบรับสังคมวิถีใหม่ New Normal ซึ่งให้ความสำคัญกับพื้นที่แยกสัดส่วนความเป็นสาธารณะกับพื้นที่ส่วนตัวชัดเจนหากยังเชื่อมโลกไว้ได้ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม   อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทฯ มีแผนที่จะลงทุนซื้อที่ดินเพิ่มในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อรองรับการขยายพอร์ทแนว ราบในปีหน้า และต้องการให้สินค้ามีความครอบคลุมทั้งในแง่ของเซ็กเมนท์และทำเล นอกจากนี้ยังต้องการตอบสนองดีมานด์ของลูกค้าที่มองหาที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบในกรุงเทพฯ โดยเบื้องต้นได้มีการศึกษาที่ ดินรอบๆ เน้นไปทางกรุงเทพฯ เหนือ กรุงเทพฯ ตะวันออก และกรุงเทพฯ ตะวันตก ซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพ เนื่องจากติดถนนใหญ่ เชื่อมต่อการเดินทางได้สะดวกและอยู่ในรัศมีเส้นรถไฟฟ้า คาดว่าจะได้รับผลตอบรับที่ดี     เนื่องจากการกระจายตัวของประชากรเมือง และเส้นรถไฟฟ้าที่เพิ่มสายทำให้มีความน่าสนใจในหลายทำเล ในส่วนของที่ระยอง จากผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าในพื้นที่ ทำให้บริษัทฯ ตัดสินใจจะนำที่ดินในโซนสนามกอล์ฟ และที่ดินตรงถนนบูรพาพัฒน์ บ้านฉาง มาพัฒนาโครงการใหม่พร้อม นำสิ่งที่ลูกค้าชอบจากโครงการที่ผ่านมา ได้แก่ ดีไซน์ ไลฟ์สไตล์ แบบบ้านมาเป็นส่วนหนึ่งในไอเดียการออกแบบ เพื่อให้บ้านออกมาคุ้ม ครบฟังก์ชัน และผู้อยู่อาศัยมีความสุข นายไพโรจน์กล่าวทิ้งท้าย   บทความน่าสนใจ อีสเทอร์น สตาร์ เดินหน้าเปิด 4 โครงการใหม่ วางเป้ายอดขาย 3,100 ล้าน
[PR News] สิงห์ เอสเตท เปิดตัว JUMP&SYNC สำนักงานพร้อมใช้ ที่ S-OASIS

[PR News] สิงห์ เอสเตท เปิดตัว JUMP&SYNC สำนักงานพร้อมใช้ ที่ S-OASIS

สำนักงาน สิงห์ เอสเตท  เปิดตัวโซลูชันอาคารสำนักงานใหม่ JUMP&SYNC  สำนักงานแบบ Ready to Move Office Space ที่รวม 3 ความพร้อม  Space Ready-Design Ready-Business Ready  ภายในพื้นที่โครงการ S-OASIS อาคารสำนักงานที่มุ่งเน้นอนุรักษ์พลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานระดับสากล LEED Gold V4     นางอรณีย์ พูลขวัญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและการพาณิชย์ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อาคารสำนักงาน S-OASIS ของสิงห์ เอสเตท เปิดตัวเมื่อปลายปี 2022 ได้รับการออกแบบให้รองรับการทำงานแบบHybrid Workplace ตอบโจทย์วัฒนธรรมการทำงานยุคใหม่ที่มีการจัดพื้นที่ใช้สอยภายในสำนักงานอย่างยืดหยุ่นและสะดวกสบาย (Workplace Strategy) ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้พื้นที่สำนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยในปีนี้ ภาคธุรกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว ทุกบริษัทกลับมาดำเนินงานเต็มรูปแบบ ซึ่งส่งผลให้การขยายตัวทางธุรกิจมีแนวโน้มกลับมาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบรับกำลังการขยายตัวของกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะการมองหาอาคารสำนักงานใหม่ อาคาร S-OASIS  จึงได้เพิ่มทางเลือกด้วยการปรับพื้นที่อาคารให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันด้วยโซลูชัน JUMP&SYNC ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานแบบ Ready to Move Office Space เน้นความสะดวกสบายให้กับการขยาย และดำเนินธุรกิจได้แบบไร้รอยต่อ (Seamless Work Anywhere) ไม่ต้องกังวลเรื่องระยะเวลาในการก่อสร้างหรือตกแต่งสำนักงาน ภายใต้แนวคิด 3 ความพร้อม Space Ready, Design Ready, และ Business Ready Space Ready: ขนาดพื้นที่ที่รองรับธุรกิจได้หลากหลาย จัดสรรพื้นที่โดยคำนึงถึงความจำเป็นต่อการใช้งาน และความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับแต่ละธุรกิจ มีพื้นที่ให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Type S กับ Type S+ ที่มีขนาดกว้างสูงสุดถึง 150 ตรม. และ Type M ที่มีขนาดตั้งแต่ 150  - 450 ตรม. โดยใน Type S+ และ Type M มาพร้อมพื้นที่ Open Pantry เพื่อความสะดวกในการเตรียมอาหารและเครื่องดื่มของพนักงาน   นอกจากนี้พื้นที่ในแต่ละขนาดยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนได้แก่ Fix Area ที่จัดวางตามโครงสร้างของสำนักงาน และ Float Area ที่เปิดโล่งรองรับการปรับเปลี่ยนรูปแบบทำงานได้อย่างยืดหยุ่น ทั้งเฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์สำนักงาน สามารถปรับแต่งการจัดวางในบริเวณนี้ได้ตามความต้องการ ทั้ง Workstation, Private Workspace, Communal Workspace และ Meeting Booth หรือ Brainstorm ในกลุ่มที่ต้องการการสื่อสาร และความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน Design Ready: การออกแบบที่พร้อมใช้งานสำหรับธุรกิจ ในสไตล์ Modern Minimal ภายใต้แนวคิด Functional, Neutral, และ Adaptable มีการเลือกใช้โทนสีที่สบายตาผ่าน 3 แพ็คเกจ ได้แก่ Economy, Standard, และ Premium ออกแบบ Mood & Tone ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกให้สามารถปรับแต่งรายละเอียดพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมกับธุรกิจและภาพลักษณ์ขององค์กรอย่างง่ายดาย และยังช่วยในการจัดลดงบประมาณไม่ให้สิ้นเปลืองในระยะยาว Business Ready: ให้คุณพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างไร้ขอบเขต อาคาร S-OASIS มีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย มีระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ช่วยตอบสนองการทำงานแบบ Hybrid Working Model ได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งแบบไร้รอยต่อ (Seamless Work Anywhere) ซึ่งช่วยให้พนักงานได้ทำงานในสภาพแวดล้อมของสำนักงานที่ดี ช่วยให้ธุรกิจไม่ต้องกังวลกับเรื่องการบริหารสำนักงาน การก่อสร้างและจัดวางระบบสาธารณูปโภค นอกจากนี้ยังตั้งอยู่ในจุดยุทธศาตร์ ใจกลางย่านธุรกิจที่เชื่อมโยงด้วยโครงข่ายคมนาคมที่ครอบคลุมทันสมัย เสริมภาพลักษณ์ความมั่นคงและเป็นมืออาชีพ สามารถติดต่อประสานงานกับธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งกำลังมองหาโอกาสในแบบเดียวกัน ช่วยให้ธุรกิจสามารถ พัฒนาและเติบโตได้อย่างเต็มที่   ทั้งนี้ อาคาร สำนักงาน S-OASIS ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของอาคารประหยัดพลังงานและ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานโลก LEED Gold V4 ภายในสำนักงานมีการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและเต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นกระจก 3 ชั้นสะท้อนรังสี UV รวมถึงรองรับการติดตั้งระบบไฟ LED ที่สามารถสั่งการได้บนมือถือ ระบบหมุนเวียนอากาศ และสวนสวยรอบนอกอาคารที่รดด้วยน้ำจากกระบวนการบำบัด และการใช้เทคโนโลยีลดการสัมผัสในพื้นที่ส่วนกลางของอาคารเพื่อสุขอนามัยที่ดีของพนักงานทุกคน
REIC เปิด ค่าก่อสร้างบ้าน Q2/66 เพิ่ม 2.1% กระเบื้อง-ค่าแรง  ขึ้นราคา ​หวั่นกระทบต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้น

REIC เปิด ค่าก่อสร้างบ้าน Q2/66 เพิ่ม 2.1% กระเบื้อง-ค่าแรง  ขึ้นราคา ​หวั่นกระทบต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้น

ศูนย์ข้อมูลอสังฯ รายงานดัชนีราคา ค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน Q2 ปรับตัวขึ้นจากปีก่อน 2.1% แต่ลดลง 0.3% จากไตรมาสก่อนหน้า  งานออกแบบและระบบ พบการปรับเพิ่มขึ้นเฉพาะในงานสถาปัตยกรรม 5.4% แต่งานอื่นมีการปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่กระเบื้องปรับขึ้นราคาถึง 12.5%  ส่วนค่าแรงงานมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 5.8% หวั่นกระทบค่าก่อสร้างบ้านของประชาชน และต้นทุนการพัฒนาโครงการ    ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน ไตรมาส 2 ปี 2566 มีค่าดัชนีเท่ากับ 134.0  จุด ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 2.1% แต่เป็นการเพิ่มที่มีทิศทางการชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน 0.3% ดัชนีราคาค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐานในไตรมาส 2 ปี 2566 แสดงให้เห็นว่าในหมวดงานออกแบบและงานระบบ มีค่าดำเนินการในงานสถาปัตยกรรมมีการเพิ่มขึ้นสูงที่สุด 5.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เป็นการเพิ่มแบบชะลอตัวลง 0.1% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) ซึ่งงานสถาปัตยกรรมมีสัดส่วน 65.8% ของหมวดงานออกแบบและงานระบบ สำหรับงานอื่นๆ มีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ งานวิศวกรรมโครงสร้าง มีอัตราค่าตอบแทนลดลง 4.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลง 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 27.9% ของหมวดงานออกแบบและงานระบบ งานระบบไฟฟ้าและระบบสื่อสาร อัตราค่าตอบแทนลดลง 0.01% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 3.6% ของหมวดงานออกแบบและงานระบบ งานระบบสุขาภิบาล มีอัตราค่าตอบแทนลดลง 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลง 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 2.7% ของหมวดงานออกแบบและงานระบบ สำหรับหมวดราคาวัสดุก่อสร้าง พบว่า วัสดุก่อสร้างที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนใน 2 ประเภท ได้แก่ วัสดุประเภทกระเบื้อง และ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 12.5% และ 4.6% แต่วัสดุประเภทเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก อุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา ผลิตภัณฑ์คอนกรีต และวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ มีการปรับตัวลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กที่ลดลงมากที่สุดถึงประมาณ 17.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี (YoY) โดยเป็นผลมาจากปริมาณอุปทานเหล็กในตลาดโลกเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับราคาวัตถุดิบมีการปรับลดตามราคาพลังงาน รวมถึงอาจชะลอเกิดจากการซื้อและความต้องการลงทุนของเอกชนในภาคอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ดัชนีราคาลดลง แต่หมวดแรงงานมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามสภาวะตลาดที่มีการเพิ่มของค่าแรงขั้นต่ำ และการขาดแคลนช่างฝีมือแรงงานคุณภาพ สำหรับราคาหมวดวัสดุก่อสร้าง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 60.4% ของค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน มีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ราคาเพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 27.5% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง เหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ราคาลดลง 17.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลง 2.9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 9.3% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์คอนกรีต ราคาลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 7.1% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา ราคาลดลง 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลง 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 6.1% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง กระเบื้อง ราคาเพิ่มขึ้น 12.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่ลดลง 1.4% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 5.6% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง สุขภัณฑ์ ราคาไม่มีการเปลี่ยนแปลง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และ เทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 3.3% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง วัสดุก่อสร้างอื่นๆ ราคาลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เพิ่มขึ้น 2.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2566 (QoQ) โดยมีสัดส่วน 41.2% ของหมวดวัสดุก่อสร้าง สำหรับภาพรวมการเปลี่ยนแปลงตามดัชนีราคา ค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐานในไตรมาส 2 ปี 2566 ที่ ได้สะท้อนต้นทุนการสร้างที่อยู่อาศัย เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าปีก่อนเล็กน้อยและแนวโน้มการทรงตัวในทิศทางที่ชะลอตัวลงเล็กน้อย แต่ยังมีตัวแปรสำคัญที่ต้องคำนึงถึงทั้งในปัจจุบันและอนาคต คือ ค่าจ้างแรงงาน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 39.6% ของ ค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน ในไตรมาส 2 ปี 2566 ค่าแรงงานมีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งหากมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำให้สูงกว่าปัจจุบันมาก ก็จะกระทบค่าก่อสร้างบ้านของประชาชน และยังอาจส่งผลไปถึงต้นทุนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ด้วย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ประเมินที่อยู่อาศัยปี 66 เจอ 3 ปัจจัยลบกดดันติดลบทุกด้าน​ -REIC เผย ยอดโอนคอนโดต่างชาติ Q1/65 ลดทั้งจำนวน-มูลค่า เหตุลูกค้าจีนยังปิดประเทศ  
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทำยอดขายบ้าน-คอนโด Q2/66 นิวไฮ

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทำยอดขายบ้าน-คอนโด Q2/66 นิวไฮ

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ สร้างยอดขายนิวไฮ ไตรมาส 2/66 กว่า 12,461 ล้าน หนุนกวาดยอดขายบ้าน-คอนโดครึ่งปีแรกทะลุ 24,465 ล้าน เติบโตจากช่วงเดียวกัน 38% หลังเดินหน้าแผน Origin Infinity ขยายอาณาจักรเปิดตัวโครงการบ้านและคอนโดใหม่ทั่วประเทศ   โซนฝั่งธนฯ อาทิ ศิริราช-เพชรเกษม และต่างจังหวัดมาแรง ปิดการขาย (Sold Out) “ออริจิ้น เพลส เพชรเกษม” และ “ออริจิ้น เพลส พหล 59 สเตชั่น” พร้อมกวาด Take-up rate ฉลุยทั้ง “โซ ออริจิ้น ศิริราช” “ดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต” และ “ดิ ออริจิ้น แคมปัส ขอนแก่น” ทำเล ดีไซน์และเลย์เอาท์ห้องพักโดนใจ ตอบโจทย์ตลาดในพื้นที่ ครึ่งปีหลังโหมตลาดที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง เปิดตัวเพิ่มอีก 24 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,760 ล้าน คาดยอดขายทั้งปีทะลุ 45,000 ล้านตามเป้า   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2/2566 บริษัทสร้างยอดขายได้กว่า 12,461 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาประมาณ 29% แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดมิเนียมประมาณ 77% และยอดขายจากบ้านจัดสรรภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ซึ่งเป็นบริษัทในเครือราว 23%   หากเทียบตามสถานะโครงการ เป็นยอดขายจากกลุ่มโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ราว 43% และยอดขายจากกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขาย (New Launch) และอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Ongoing) ประมาณ 57% ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 บริษัทมียอดขายจากโครงการบ้านจัดสรรและโครงการคอนโดมิเนียมสะสม ประมาณ 24,465 ล้านบาท เติบโตจากช่วงครึ่งปีแรกของปีก่อนหน้า 38% และคิดเป็น 54% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี   "แม้สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ จะค่อนข้างทรงตัว เนื่องจากภาครัฐยกเลิกมาตรการผ่อนปรนอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน หรือ LTV ไปตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2565 แต่ภาพรวมยอดขายของเครือออริจิ้นยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเราเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผน Origin Infinity ขยายอาณาจักรโครงการบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมในเครือไปทั่วประเทศ ทำให้เราสามารถกระจายโอกาสสู่ทำเลศักยภาพใหม่ๆ และเจาะตลาดกำลังซื้อใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง" ทั้งนี้ การเดินหน้าเจาะตลาดทำเลใหม่ๆ ช่วยสร้างยอดขายกลับมาสู่บริษัทได้อย่างต่อเนื่อง เช่น ในโซนฝั่งธนบุรีและส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว บริษัทสามารถปิดการขาย (Sold out) โครงการออริจิ้น เพลส เพชรเกษม (Origin Place Phetkasem) บริเวณ MRT ภาษีเจริญ และ โครงการออริจิ้น เพลส พหล 59 สเตชั่น (Orign Place Phahol 59 Station) ได้ภายในครึ่งปีแรก   ขณะเดียวกัน โครงการโซ ออริจิ้น ศิริราช (So Origin Siriraj) และโครงการคอนโดมิเนียมในต่างจังหวัด อาทิ ดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต (The Origin Centre Phuket) และดิ ออริจิ้น แคมปัส ขอนแก่น (The Origin Campus Khonkaen) ก็ได้รับการตอบรับอย่างยอดเยี่ยม โดยมีอัตรายอดขายสะสม (Take-up rate) เฉลี่ยมากกว่า 70% นอกจากนี้ โครงการบริทาเนีย มะลิวัลย์ (Britania Maliwan) ในขอนแก่น ก็สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 90% ของจำนวนยูนิตที่สร้างเสร็จแล้ว นายพีระพงศ์​ กล่าวอีกว่า กระแสตอบรับที่ยอดเยี่ยมในหลากหลายพื้นที่ เกิดจากความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคทุกเจเนอเรชั่น ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบที่ตอบสนองการใช้งานจริง ทำให้สามารถพัฒนาโครงการที่มีเลย์เอาท์ห้องโดดเด่น มีฟังก์ชันการใช้งานที่ยืดหยุ่น และแปลกใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในหลายทำเล เช่น การนำเสนอห้อง Duo Space เพดานสูง 4.2 เมตร และ Pet Condo   สำหรับภาพรวมครึ่งปีหลังของปีนี้ ภาคการท่องเที่ยว จะยังคงเป็นเซ็กเตอร์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ หากมีรัฐบาลใหม่เข้ามาภายในเดือนสิงหาคม นี้ ตามกำหนดน่าจะมีส่วนสำคัญช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจครึ่งปีหลังให้เดินหน้าต่อไปได้ ประกอบกับกระแสตอบรับการพัฒนาโครงการในทำเลศักยภาพใหม่ๆ ทั่วประเทศ บริษัทจึงจะเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังอีก 24 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,760 ล้านบาท กระจายตัวไปยังทำเลศักยภาพต่างๆ ทั่วประเทศ   โดยเริ่มจากโครงการคอนโด​ ครอบคลุมตั้งแต่ใจกลางเมือง อาทิ ​แกรนด์ แฮมป์ตัน ทองหล่อ (Grand Hampton Thonglor) โซโห แบงค็อก สุขุมวิท (Soho Bangkok Sukhumvit) ไปจนถึงการบุกหัวเมืองสำคัญ อย่างโซ ออริจิ้น เขาใหญ่ (So Origin Khao Yai) โซ ออริจิ้น บางเทา ภูเก็ต (So Origin Bangtao Phuket) ออริจิ้น เพลส ภูเก็ต (Origin Place Phuket) และออริจิ้น เพลส หัวหิน (Origin Place Huahin)   ขณะที่ฝั่งบ้านจัดสรร จะเน้นการเปิดโครงการใหม่ในฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ อาทิ ราชพฤกษ์ ชัยพฤกษ์ ทวีวัฒนา เวสต์เกต และแถบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อย่างชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา จากแผนการดำเนินงานดังกล่าว เชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญในการสร้างยอดขายใหม่ในทำเลสำคัญ และส่งผลให้ภาพรวมยอดขายของบริษัทในปีนี้ทะลุ 45,000 ล้านบาทตามเป้าหมาย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ร่วมพันธมิตรออก โทเคนดิจิทัล เรียลเอ็กซ์ ลงทุนแค่ 182 บาท -“ออริจิ้น” เปิดกลยุทธ์บุก ทำเลรถไฟฟ้า 6 สายส่งคอนโด 19,580 ล้าน ทั่วกทม.-ปริมณฑล
[PR News] ณวรางค์ แอสเซท ปั้น “ณ รีวา เจริญนคร” รับเทรนด์ Well-being

[PR News] ณวรางค์ แอสเซท ปั้น “ณ รีวา เจริญนคร” รับเทรนด์ Well-being

ณวรางค์ แอสเซท ตอกย้ำเทรนด์ Well-being และแนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยืน ตอบรับไลฟ์สไตล์คนยุคปัจจุบัน ล่าสุดจับมือคู่รัก “พีเค-ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร” และ “โยเกิร์ต-ณัฐฐชาช์ บุญประชม” จัดเสิร์ฟเมนูสุขภาพด้วยสมุนไพรที่ปลูกในโครงการ ณ รีวา เจริญนคร โครงการที่เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงโค้งที่กว้างที่สุด พร้อมอัดโปรเด็ด จองเพียง 4,999 บาท ผ่อนสัญญา 0% นาน 6 เดือน เฉพาะในวันที่ 8 กรกฎาคม 2566 นี้เท่านั้น   นายอภิภู พรหมโยธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ออกแบบโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัย เปิดเผยว่า เทรนด์การอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ได้ให้ความสำคัญกับการมีสุขภาวะที่ดี (Well-being) ทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาด้านมลพิษ อาทิ ปัญหาฝุ่น PM 2.5 การเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ขณะเดียวกันการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันต้องยึดหลักการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักการ ESG ได้แก่ การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social)และธรรมาภิบาล (Governance) จากแนวคิดดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ มีนโยบายในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ด้วยหลักการของ Well-being และ ESG มาโดยตลอด อย่างเช่นโครงการ ณ รีวา เจริญนคร โครงการร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ กับบริษัท พาราเม้าท์ คอร์ปอเรชั่น เบอร์ฮาด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของ ประเทศมาเลเซีย พัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรซ์ (High Rise) สูง 29 ชั้น ประกอบไปด้วยห้องพักอาศัยจำนวน 253 ยูนิต ที่ให้ความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตเพียง 13 ยูนิต/ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 1-2-80.9 ไร่ มูลค่ารวมประมาณ 1,300 ล้านบาท ปัจจุบันการก่อสร้างมีความคืบหน้าไปมาก คาดว่าแล้วเสร็จภายในช่วงปลายปีนี้ และพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ได้ในช่วงต้นปี 2567   สำหรับจุดเด่นของโครงการ ณ รีวา เจริญนคร คือ ตั้งอยู่ในทำเลไพร์มโลเกชั่นของฝั่งเจริญนคร ที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงโค้งที่กว้างที่สุด โครงการมีห้องชุดให้เลือกถึง 5 แบบ ได้แก่ แบบ 1-Bedroom, 1-Bedroom Loft, 1-Bedroom Executive, 1-Bedroom Plus และแบบ 2-Bedroom ซึ่งห้องชุดที่เป็นไฮไลท์ คือ ห้องแบบสองชั้นหรือลอฟท์ที่ออกแบบมาอย่างสวยงาม ลงตัวกับการอยู่อาศัยและเอกเซกคิวทีฟฟลอร์ที่มอบบริการแบบโรงแรมด้วย   นอกจากนี้ โครงการ ณ รีวา เจริญนคร ยังมีพื้นที่ส่วนกลางครบครัน อาทิ Co-working Space, สวนส้มที่สะท้อนความเป็นเมืองแห่งผลไม้ซึ่งลูกบ้านสามารถนำไปบริโภคได้ สวนสมุนไพรเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์รักสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ฟิตเนสที่มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและสนามเด็กเล่นทั้งอินดอร์และกลางแจ้งเพื่อให้ เด็กๆ ได้สนุกสนานเพลิดเพลินและมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมในโครงการ ขณะที่ทำเลที่ตั้งของโครงการยังอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก ทั้งการเข้าสู่ใจกลางเมืองย่าน CBD อย่างสาทรหรือสีลม ใกล้โรงเรียนนานาชาติชั้นนำและห้างสรรพสินค้าไอคอน สยามอีกด้วย นายอภิภู กล่าวอีกว่า จากความต้องการของคนยุคปัจจุบันที่ใส่ใจเรื่องการมีสุขภาวะที่ดี ทำให้โครงการจัดทำสวนสมุนไพรสำหรับลูกบ้านซึ่งปลูกสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมาย อาทิ โรสแมรี่ เตยหอม ตะไคร้หอม พยับเมฆ ไว้ภายในโครงการบริเวณชั้นล่าง เพื่อตอบสนองผู้อยู่อาศัยที่รักสุขภาพ สามารถนำเอาผลผลิตไปบริโภคหรือใช้ประโยชน์ตามความต้องการได้ รวมถึงการจัดทำสวนส้มที่ถือเป็นผลไม้ประจำพื้นที่ตั้งแต่อดีต แต่ปัจจุบันพื้นที่สวนส้มถูกพัฒนาใช้ประโยชน์อย่างอื่นหมดแล้ว มาไว้ภายในโครงการ เพื่อให้ลูกบ้านได้บริโภคผลไม้ที่มีประโยชน์และไม่มีสารพิษ ซึ่งพื้นที่ส่วนกลางในรูปแบบนี้หาได้ยากในโครงการคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน ภายในโครงการยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อสร้างเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีอีกหลายอย่าง อาทิ  ชั้น 7 เป็นยิมและบริเวณออกกำลังกายกลางแจ้ง มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา Kid’s Play Room มีทั้ง ส่วนในห้องแอร์และส่วนกลางแจ้ง ชั้น 29 Rooftop มีสระว่ายน้ำ Infinity Edge Pool ความยาว 22 เมตร เลาจน์ที่สามารถ ดื่มด่ำกับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาแบบเต็มตาอีกด้วย ล่าสุด “พีเค-ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร” และภรรยานางแบบสาว “โยเกิร์ต-ณัฐฐชาช์ บุญประชม” ได้เข้าเยี่ยมชม โครงการ ณ รีวา เจริญนคร พร้อมกับร่วมทำเมนูสุขภาพ เพื่อสะท้อนถึงความตั้งใจของโครงการ ที่จะมอบความเป็นอยู่ที่ดี มีสุขภาพ ให้กับลูกบ้านด้วย ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้สนใจและลูกบ้านในการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้จำนวนมาก นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังต้องการให้ผู้ที่สนใจโครงการที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ และการอยู่อาศัยที่ดี และกระตุ้นยอดขายในโอกาสที่โครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จ ด้วยการจัดโปรโมชั่นพิเศษสุดสำหรับผู้ จองในวันนั้นคือรับบัตรกำนัลช้อปปิ้งมูลค่า 300,000 บาทที่ไอคอนสยาม โดยสามารถ จองได้เพียง 4,999 บาท ผ่อนสัญญา 0% ได้นานถึง 6 เดือน เฉพาะในวันที่ 8 กรกฎาคม 2566 นี้เท่านั้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ณวรางค์ แอสเซท เปิดคอนโด “ณ วรา พหลโยธิน 8” 300 ล้าน ลุยตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย -5 เหตุผล “ณวรางค์ แอสเซท” พัฒนาโครงการย่านเจริญนคร
เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดให้ชมห้องตัวอย่าง ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ตอบโจทย์ผู้ต้องการคอนโดพื้นที่ขนาดใหญ่

เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดให้ชมห้องตัวอย่าง ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ตอบโจทย์ผู้ต้องการคอนโดพื้นที่ขนาดใหญ่

เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดให้ชมห้องตัวอย่าง ที่อยู่อาศัยใหม่ล่าสุด ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ตอบโจทย์ผู้ต้องการคอนโดพื้นที่ขนาดใหญ่ โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC หรือ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ประกาศเปิดให้ชมห้องตัวอย่างโครงการ ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป โดยจะจัดกิจกรรมสุดพิเศษในวันเสาร์ที่ 8 และวันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม 2566 ณ ห้องตัวอย่างโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดหรือนัดเข้าชมโครงการได้ที่ Call Center 1265 หรือ https://mqdc.com/th/discover-project/signature-series/theforestias     นายยุทธนา ตันติยานนท์ ประธานผู้อำนวยการ กลุ่มงานการจัดการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ MQDC เปิดเผยว่า “หลังการประกาศเปิดตัวโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ไปเมื่อช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับ และได้รับความสนใจเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ที่ต้องการคอนโดมิเนียมพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าทั่วๆ ไป มีความเป็นส่วนตัว อยู่ในเมืองแต่ก็มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติ โดยหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ มีความพิเศษที่แตกต่างอย่างโดดเด่นก็คือ การตั้งอยู่ในพื้นที่ 398 ไร่ของเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซึ่งเป็นโครงการเมืองที่ได้รับการออกแบบทุกมิติ โดยเน้นเรื่องคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผสานกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน และการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันของคนจากหลากหลายเจเนอเรชั่น เติมเต็มให้การใช้ชีวิตมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้น”     การออกแบบของเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากป่า และมีการนำเอาธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดีไซน์ ตลอดจนออกแบบให้ทุกยูนิตสามารถมองเห็นวิวป่า 30 ไร่ ของเดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้ในมุมมองที่เห็นวิวป่าแบบทอดยาวที่สุด ซึ่งนอกจากวิวป่าแล้ว ยังจะมีทิวทัศน์ความมหัศจรรย์ของงานเฟสติวัลต่างๆ ที่จะจัดขึ้นเป็นประจำ ทั้งในผืนป่า และเหนือผืนป่าอีกด้วย อีกหนึ่งจุดเด่นของเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ คือการมุ่งเน้นมอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดให้กับผู้อยู่อาศัย โดยคอนโดมิเนียมความสูง 44 ชั้นแห่งนี้ มีเพียง 122  ยูนิต และ 1 ชั้นมีเพียง 4 ยูนิตเท่านั้น พร้อมกับ Private Lift Lobby   นายยุทธนา กล่าวว่า “ตัวอาคารของเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ออกแบบโดย Foster + Partners คำนึงถึง ผู้อยู่อาศัยมากที่สุดในเรื่องของความเป็นส่วนตัว ออกแบบทางเดิน และบันไดสำหรับงานบำรุงรักษาไว้ในจุดต่างๆ ที่จะช่วยให้ช่างสามารถเข้าบริการ หรือดูแลรักษางานระบบอาคาร โดยเฉพาะงานท่อหลัก ได้โดยไม่ต้องเข้าไปในห้องพักอาศัย อีกทั้งยังสามารถบำรุงรักษาอาคารให้มีอายุยาวนาน โดยที่ไม่รบกวนการอยู่อาศัยของลูกบ้าน นอกจากนั้น พื้นที่ภายในที่พักอาศัยแต่ละยูนิตยังออกแบบให้มีความเป็นสัดส่วน ที่ลงตัวทั้ง ครัวฝรั่ง, ครัวไทย, ห้องซักรีด รวมถึงมีการแยกห้องนอน ผู้ช่วยดูแลบ้าน โดยไม่รบกวนความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย     เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ประกอบไปด้วยห้องพักอาศัยที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่เป็นพิเศษ โดยเริ่มตั้งแต่ 140 ตารางเมตรไปจนถึง 350 ตารางเมตร และมีห้องแบบเพนท์เฮาส์ขนาดพื้นที่ใช้สอย 917 ตารางเมตร อยู่บนชั้น 43  และมียูนิตพิเศษพร้อม Private Plunge Poolโดยในส่วนของจำนวนห้องนอนก็มีเลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 2 ห้องนอนไปจนถึง 5 ห้องนอน ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 37 ล้านบาทสำหรับยูนิตขนาด 2 ห้องนอน และราคาเริ่มต้น 49 ล้านบาทสำหรับยูนิตขนาด 3 ห้องนอน เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น The Garden, Forest Trail, The Enchanted Lounge, Evergreen Dining Room, Immersia Theater, Thermal Pool, Moonwake Club   “ที่พักอาศัยเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ใกล้กับโฮเต็ล อินดิโก้ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ครบครันทุกฟังก์ชัน ทั้ง Neighborhood Café, Residents Lounge, ห้องจัดเลี้ยง พื้นที่จัดประชุม และการบริการต่างๆ เพื่อเติมเต็มคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน โดยจะมีทางเดินเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างอาคารที่พักอาศัย และอาคารโรงแรม ซึ่งการเชื่อมถึงกันอย่างสะดวกสบายกับโรงแรม และภัตตาคาร รวมทั้งบริการ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ถือว่าเป็นสิทธิประโยชน์พิเศษเพิ่มเติมที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับเจ้าของที่พักอาศัยโครงการซิกเนเจอร์ ซีรีส์” นายยุทธนา กล่าว   ล่าสุด เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ เปิดให้เข้าชมห้องตัวอย่างได้แล้วตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2566 นี้เป็นต้นไป โดยวันเสาร์ที่ 8 และวันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคมนี้ เวลา 10.00 – 17.00 น. ณ ห้องตัวอย่างโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ จัดให้มีกิจกรรมพิเศษต้อนรับผู้สนใจที่เข้าชมโครงการ สนุกและเพลิดเพลินไปกับกิจกรรม DIY จัดป่าในขวดแก้ว พร้อมอาหารว่าง และเครื่องดื่มเพิ่มความสุขสดชื่น พร้อมกับสิทธิพิเศษพรีเซลล์ต่างๆ โดยผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียด หรือนัดเข้าชมโครงการได้ที่ Call Center 1265 หรือ https://mqdc.com/th/discover-project/signature-series/theforestias   โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยตั้งอยู่ติดกับป่าขนาด 30 ไร่ ใจกลางของเดอะ ฟอเรสเทียส์   เดอะ ฟอเรสเทียส์ คือต้นแบบแห่งใหม่ของโลกในการพัฒนาเมืองที่มุ่งเน้นส่งเสริมเรื่องสุขภาพที่ดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้น ประกอบไปด้วยพื้นที่ธรรมชาติขนาดใหญ่ โครงการที่พักอาศัยภายใต้แบรนด์ต่างๆ ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และกลุ่มอายุที่แตกต่างหลากหลาย อาทิ ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ เดอะ ฟอเรสเทียส์, มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า, มัลเบอร์รี่ โกรฟ คอนโดมิเนียม, คอนโดมิเนียมแบรนด์ วิสซ์ดอม, คอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ แอสเพน ทรี และสกายวิลล่า ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่การมอบบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการดูแลผู้พักอาศัยอย่างครบวงจรตลอดชีวิต นอกจากนั้น ยังมีพื้นที่กิจกรรมชุมชน และกิจกรรมอื่นๆ พื้นที่สำนักงาน สปอร์ตคอมเพล็กซ์ ศูนย์สำหรับกิจกรรมไลฟ์สไตล์ และการพักผ่อนของครอบครัว ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร และเครื่องดื่ม พื้นที่ Town Center พื้นที่ Family Center และมาร์เก็ตต่างๆ รวมถึงองค์ประกอบสำคัญที่โดดเด่นเป็นพิเศษ คือป่าขนาดใหญ่พื้นที่ 30 ไร่บริเวณใจกลางโครงการ พร้อมทางเดินยกระดับที่ทอดยาวเหนือผืนป่า ความยาว 1.6 กิโลเมตร   ข่าวที่เกี่ยวข้อง เผยโฉม ‘แฮปปี้แทท’ จุดหมายแห่งใหม่ของความสุขเหนือจินตนาการ คืบหน้า ‘ทาวน์ เซ็นเตอร์’ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งเป้าเปิดส่วนแรกปลายปี พ.ศ. 2566 Mulberry Grove The Forestias Villas บ้านคลัสเตอร์ แนวคิดใหม่เพื่อความสุขที่เพิ่มขึ้นของทุกเจเนอเรชั่นในครอบครัว  
เอพี ไทยแลนด์  จบครึ่งปีแรกทำยอดกว่า 39,500 ล้าน  เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ครึ่งหลังอีก 40 โครงการ

เอพี ไทยแลนด์ จบครึ่งปีแรกทำยอดกว่า 39,500 ล้าน เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ครึ่งหลังอีก 40 โครงการ

เอพี ไทยแลนด์ เอพี สุดแฮปปี้ยอดขายครึ่งปีแรกกว่า 39,500 ล้านบาท ครึ่งปีหลังเดินหน้าเปิดโครงการต่อเนื่องอีก ​40 โครงการ มูลค่า 55,940 ล้านบาท   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกที่ผ่านมาว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 39,501 ล้านบาท มาจากสินค้าแนวราบมูลค่า 29,307 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมที่เริ่มกลับมาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญมูลค่า 10,194 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 55,940 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการทาวน์โฮม 19 โครงการ มูลค่า 19,550 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 14 โครงการ มูลค่า 24,750 ล้านบาท และคอนโด 3 โครงการ มูลค่า 8,300 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัดอีก 4 โครงการ มูลค่า 3,340 ล้านบาท   ทั้งนี้ ในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ DIVE DEEPER IN PROPERTY BUSINESS ด้วยการทำงานแบบเจาะลึก เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาคอนโด กลุ่มธุรกิจพัฒนาบ้านเดี่ยว และกลุ่มธุรกิจพัฒนาทาวน์โฮม ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งปีที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาด จำนวน 58 โครงการ มูลค่ากว่า 77,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ตลอดครึ่งปีหลังเอพีจะมีโครงการพร้อมขายทั้ง กทม. และต่างจังหวัดมากกว่า 178 โครงการ มูลค่ากว่า 143,367 ล้านบาท ส่วนแผนธุรกิจปี 2566 บริษัทพร้อมเดิมหน้าตามแผน AP INCLUSIVE GROWTH ที่สุดของปีกับการเติบโตร่วมกัน โดยใช้ความชำนาญที่มีมาสร้างโอกาส และข้อได้เปรียบให้เกิดขึ้นในหลากหลายมิติ ภายใต้ปรัชญาที่ต้องการส่งมอบชีวิตดี ๆ ที่ทุกคนเลือกเองได้ ผ่านการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 58 โครงการ มูลค่าประมาณ 77,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 22 โครงการ มูลค่า 34,800 ล้านบาท ทาวน์โฮม 27 โครงการ มูลค่า 26,400 ล้านบาท คอนโด 4 โครงการ มูลค่า 11,800 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 57,500 ล้านบาท   โดยผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโด (100% JV) และธุรกิจอื่น ๆ ได้สูงถึง 11,805 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวม 1,154 ล้านบาท และมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.66 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการสัดส่วนหนี้สินสุทธิในระดับที่ไม่เกิน 1 เท่า   ทั้งนี้ สินค้าทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยว ยังเป็นคีย์ไดรฟ์สำคัญสร้างการสร้างเติบโตด้านรายได้และกำไร ​โดยรายได้ที่เกิดขึ้นมาจากสินค้าแนวราบมีมูลค่า 8,657 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73% ของรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งมีบ้านเดี่ยวแบรนด์ THE CITY เป็นกำลังหลักหนุนสร้างรายได้รวมในกลุ่มแนวราบ   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ เผยผลงานปี 65 ทำรายได้ 49,388 ล้าน พร้อมกวาดกำไรเติบโตกว่า 23%   -เอพี ไทยแลนด์ ขนบ้าน-คอนโด ขายกว่า 1.65 แสนล้าน ลุยตลาดด้วยแผน INCLUSIVE GROWTH
[PR News] PROUD จัดพิธีลงเสาเอก โครงการรมย์คอนแวนต์

[PR News] PROUD จัดพิธีลงเสาเอก โครงการรมย์คอนแวนต์

โครงการรมย์คอนแวนต์ PROUD ได้ฤกษ์มงคล จัดพิธีลงเสาเอก โครงการรมย์คอนแวนต์ คอนโดระดับลักชัวรีใจกลางเมือง มูลค่า 4,150 ล้าน เดินหน้าเปิดไซต์ก่อสร้าง มั่นใจแล้วเสร็จไตรมาส 4/2569 เร่งการขายชูจุดเด่นทำเลศักยภาพใจกลางสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมพื้นที่ส่วนกลางกว่า 1,200 ตร.ม. จัดเต็มบริการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษ MIDYEAR RETREAT เฉพาะกรกฎาคมนี้ รับฟรีที่พัก InterContinental Phuket Resort 3 วัน 2 คืน มูลค่ากว่า 58,000 บาท   บริษัท พราว เรียล เอสเตท หรือ PROUD ได้ฤกษ์มงคล จัดพิธีลงเสาเอก โครงการ รมย์ คอนแวนต์ (ROMM Convent) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ใจกลางเมือง บนทำเลศักยภาพที่หาได้ยากที่สุดแห่งหนึ่งบนถนนคอนแวนต์ -สาทร   ทั้งนี้ หลังเปิดตัวปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2566 มีกระแสตอบรับที่ดี กวาดยอดพรีเซลไปกว่า 40% ถือเป็นความสำเร็จอย่างสูง ขณะนี้ บริษัทได้เดินหน้าเปิดไซต์ก่อสร้างตามแผนงาน มั่นใจก่อสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2569 เตรียมจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ร่วมสัมผัสประสบการณ์การอยู่อาศัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและยืนยาวในทุกมิติ LIVE. WELL. LIFE. เดือนสิงหาคมนี้   โครงการรมย์คอนแวนต์ คอนโดระดับลักชัวรี มูลค่าโครงการรวม 4,150 ล้านบาท  ด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซปต์  CBD Retreat Residences ลักชัวรี่คอนโดที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้อยู่อาศัยที่ต้องการพื้นที่ห้องขนาดใหญ่พิเศษ เพดานสูง โปร่งให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านใจกลางเมือง โครงการมีความตั้งใจขยายไซส์ให้ห้องของทุก Type กว้างกว่าปกติ เพื่อให้อยู่ได้จริงและยาวนานสำหรับอนาคต รูปแบบห้องเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ห้องนอนจนถึง Junior Penthouse และ Penthouse โดยห้องแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 85 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 19 ล้านบาท การออกแบบ Unit Lay out ยังเน้นฟังก์ชั่นการใช้งานได้หลากหลาย และให้ผู้อยู่อาศัยสัมผัสความงดงามของชีวิตผ่านความเชื่อมโยงของพื้นที่ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมรอบโครงการ ให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านใจกลางเมือง แต่ยังคงความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนเพียง 180 ยูนิต และจำนวนห้องต่อชั้นไม่เกิน 8 ห้อง พร้อม The Sky Retreat ส่วนกลางลอยฟ้าวิวสวนลุมพินี 4 ชั้น และ Facilities ครบครันที่ทำให้คุณได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่เหนือคำบรรยาย   โครงการรมย์ คอนแวนต์ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพที่มีการเติบโตมากที่สุดอีกแห่งของกรุงเทพฯ ที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดดในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางครบทุกรูปแบบได้อย่างสะดวกสบาย รายล้อมด้วยสถานที่ต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สำหรับทุกวัยได้ในระยะเดินถึง ทั้งสถานศึกษา ออฟฟิศขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสวนสาธารณะ รวมถึง ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์ โปรเจกต์ยักษ์ใหญ่แลนด์มาร์คระดับโลกอาทิ One Bangkok, Dusit Central Park, Silom Park นอกจากนี้ ยังมีบริการพิเศษ โดยลูกบ้านจะได้รับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม Holistic Wellness Solution ที่ดำเนินการโดยพันธมิตรผู้ให้บริการด้านสุขภาพแนวหน้าของไทย “แอปพลิเคชัน BeDee by BDMS และ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช” ซึ่งลูกบ้านสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ตลอด 24 ชม. ทั้งแบบออนไลน์ ,จุดให้บริการบริเวณพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการ, โรงพยาบาลบีเอ็นเอช และโรงพยาบาลในเครือ ถือเป็นแนวคิดใหม่ของการอยู่อาศัยที่ช่วยในการดูแลสุขภาพทั้งของตัวเองและทุกคนในครอบครัว โดยมีจุดเชื่อมสำคัญในการบริการที่เป็นมากกว่า เจ้าหน้าที่ทั่วไป คือ Proud Health Butler และ Proud Application คอยช่วยเหลือลูกบ้านเรื่องสุขภาพ พร้อมสิทธิพิเศษในการเป็นสมาชิกระดับ VVIP ของ BNH Loyal Heritage Member รับการดูแลเป็นพิเศษจากทีมแพทย์ระดับ A-List พร้อมส่วนลดสูงสุด 20% พร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมายจากทางโรงพยาบาล     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดเหตุผล พราว เรียลเอสเตท บุกตลาดกทม. กับวิธีทางสร้างรายได้ 15,000 ล้าน -พราว เรียลเอสเตท ปั้นโปรเจ็กต์ “เวหา” 2,290 ล้าน ชู 6 ไฮไลท์คอนโดลักชัวรี่สูงสุดในหัวหิน -รีวิว The Lofts สีลม คอนโดพร้อมอยู่บนถนนสีลม ใกล้ BTS พร้อมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
ดี–แลนด์ โชว์ทราฟฟิก 3 ศูนย์รีเทล พุ่ง 1 ล้านคัน  เดินกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง บุกทัวร์สายมู  

ดี–แลนด์ โชว์ทราฟฟิก 3 ศูนย์รีเทล พุ่ง 1 ล้านคัน เดินกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง บุกทัวร์สายมู  

ดี-แลนด์ ดี–แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ เผยทราฟฟิกรถเข้า 3 ศูนย์ค้าปลีก  Porto Chino และ Porto Go 2 สาขา 5 เดือนแรกรวมกว่า 1 ล้านคัน เฉพาะ Porto Go 2 สาขาผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 80% รับอนิสงค์นักท่องเที่ยวไทยเทศเดินทางเพิ่มขึ้น ครึ่งปีหลังลุยกลยุทธ์เพิ่มความหลากหลายให้ทั้ง 3 ศูนย์ ตอบโจทย์ New Norm หลังโควิด รับเทรนด์ท่องเที่ยวขาขึ้น คาดภายในปี 66 ยอดทราฟฟิกโตเพิ่ม 100%     นายสุเทพ ปัญญาสาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี-แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คอมมูนิตี้มอลล์ และจุดพักรถ (Rest Area) เปิดเผยว่า หลังนักท่องเที่ยวไทยเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ​ และกลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดโควิด-19 รวมไปถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทยอยกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนทราฟฟิกของรถที่เข้ามาใช้บริการทั้ง 3 ศูนย์การค้าของบริษัท ได้แก่  Porto Chino, Porto Go สาขา ทบางปะอินและท่าจีน ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2566 มีจำนวนกว่า 1 ล้านคัน แบ่งเป็น Porto Chino 372,163 คัน Porto Go บางปะอิน 540,355 คัน และ Porto Go ท่าจีน 243,088 คัน โดยเฉพาะที่ Porto Go ทั้ง 2 สาขา มีนักท่องเที่ยวและนักเดินทางทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นกว่า 80% จากช่วงสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ทั้งนี้ คาดว่าจำนวนรถและผู้ใช้บริการจะยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากทั้ง 3 ศูนย์ตั้งอยู่บนทำเลคุณภาพ ย่านชุมชน และเส้นทางสัญจรหลัก โดย Porto Chino เป็นไลฟ์สไตล์มอลล์แห่งแรกและแห่งเดียวบนถนนพระราม 2 ตั้งอยู่บนทำเลที่สำคัญในเชิงการท่องเที่ยว เพราะเป็นเส้นทางไปสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ เช่น หัวหิน ชะอำ เพชรบุรี ฯลฯ และแหล่งรวมด้านไลฟ์สไตล์ของคนในพื้นที่ ถนนพระราม 2 และมหาชัย ในส่วน Porto Go 2 สาขา ก็ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ 2 เส้นทาง แนวถนนไฮเวย์ บางปะอิน ถนนสายเอเชียก่อนถึงตัวเมืองอยุธยา และท่าจีน ถนนพระราม 2 เส้นทางสัญจรหลักในประเทศที่เชื่อมต่อแหล่งท่องเที่ยว มีปริมาณรถและนักท่องเที่ยวสัญจรผ่านจำนวนมาก   จากสัญญาณจำนวนรถและผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวและคนเดินทางกลับเข้าสู่ภาวะปกติและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก ดี–แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ ยังคงเดินหน้าพัฒนาศูนย์ Porto Chino และ Porto Go 2 สาขา อย่างต่อเนื่องเต็มกำลัง โดยในครึ่งปีหลังเตรียมลุยกลยุทธ์เพิ่มความหลากหลายให้ทั้ง 3 ศูนย์ เพื่อตอบโจทย์ New Norm หลังโควิด พร้อม Re-positioning ทั้ง 3 ศูนย์ ได้แก่ Porto Chino มอลล์ที่เป็นเพื่อนที่รู้ใจ ผ่านบริการสะท้อนความห่วงใย เข้าใจความต้องการและเข้าถึงเพื่อนที่มาใช้บริการ อาทิ ร้านค้าที่หลากหลายเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทุกเพศทุกวัย ความสะดวกในการจอดรถ บริการรถเข็นคนพิการ/สัตว์เลี้ยง ฟรี Wifi และ EV Charger พร้อมทั้งพื้นที่ส่วนกลางสำหรับการพบปะ และกิจกรรมพิเศษ เป็นต้น   ส่วนของ Porto Go 2 สาขา มาในกลยุทธ์ “เพื่อนรู้ใจนักเดินทาง” รับเทรนด์ท่องเที่ยวขาขึ้น ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบจบสำหรับนักเดินทาง อาทิ ห้องน้ำติดแอร์แบบไร้สัมผัส ที่จอดรถกว้างขวาง มีการจัดสรรพื้นที่เฉพาะสำหรับคนพิการ และครอบครัว ตลอดจนมุมถ่ายภาพจุดเช็กอินเอาใจสายโซเชียล พร้อมด้วยบริการที่ปลอดภัย กับพื้นที่ใช้งานปลอดภัย ไฟส่องสว่าง รปภ. ตลอด 24 ชั่วโมง มีกล้องวงจรปิดทั่วถึง เป็นต้น บนกลยุทธ์ธุรกิจที่มุ่งตอบไลฟ์สไตล์นักเดินทางวิถีใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับความสะอาด รวมไปถึงนักเดินทางที่ยังคงรักษาระยะห่างในการใช้บริการสาธารณะ โดยเป็นจุดพักรถที่มีร้านบริการไดร์ฟ-ทรูมากที่สุดในประเทศไทยใน Porto Go 2 สาขา บางปะอิน และท่าจีน ขณะเดียวกัน พบว่านักท่องเที่ยวส่วนมากกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ ทางศูนย์จึงมีหน้าร้านที่สามารถนั่งทานได้กว่า 30 ร้านในแต่ละสาขา นอกจากนี้ Porto Go 2 สาขาบางปะอิน และท่าจีน ยังมุ่งขยายกลุ่มเป้าหมาย จากอินไซท์พบว่ามีนักเดินทางจำนวนไม่น้อยที่นิยมเดินทางมาเพื่อไหว้สักการะและขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อส่วนบุคคล จึงเล็งเห็นเป็นโอกาสในการสร้างมาร์เก็ตเซ็กเมนต์ใหม่ จับตลาดทัวร์สายมู เส้นทางบางปะอิน-อยุธยา ที่มีมากกว่า 100 วัดดัง โดยมีทั้งวัดที่สายมูนิยมมากราบไหว้ และวัดที่มีความสวยงามของโบราณสถานและวัตถุโบราณต่าง ๆ อาทิ วัดใหญ่ชัยมงคล วัดพนัญเชิงวรวิหาร วัดหน้าพระเมรุราชิการาม วัดท่าการ้อง เป็นต้น   ด้าน Porto Go สายท่าจีน มุ่งจับตลาดทัวร์สายมูที่นิยมไปกราบไหว้ขอพรวัดดังย่านสมุทรสาคร ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของการมาเที่ยวสมุทรสาคร โดยมีวัดดังที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ อาทิ วัดใหญ่จอมปราสาท วัดเกตุม วัดกาหลง เกจิชื่อดังของตี๋ใหญ่ และแวะไหว้วัดค่ายบางกุ้ง ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางไปเพื่อขอเลขเด็ด เป็นต้น คาดภายในปี 66 ยอดทราฟฟิกโตเพิ่ม 100% ทั้งจากกลุ่มทัวร์สายมูทั้ง 2 เส้นทาง นักท่องเที่ยวทั่วไป ตลอดจนผู้สัญจรทั่วไป   อย่างไรก็ดี Porto Go สาขาบางปะอิน และ Porto Go สาขาท่าจีน ยังคงเปิดรับผู้เช่าและร้านค้าที่ตอบโจทย์นักเดินทาง เพื่อให้มีร้านค้าเพียงพอต่อการเติบโตของจำนวนนักเดินทางที่เริ่มกลับมามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นการเตรียมพร้อมรับทราฟฟิกช่วงไฮซีซันในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ทั้งนี้ Porto Go มีเป้าหมายที่จะยืนหนึ่งในการเป็นจุดพักรถที่ดีที่สุด และตอบโจทย์นักเดินทางยุคนิวนอร์มอล สู่การนำพาพันธมิตรให้เติบโตไปพร้อม ๆ กัน นายสุเทพกล่าวทิ้งท้าย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ดี-แลนด์ เตรียมเปิดตัว “พอร์โต้ โก ท่าจีน” จุดแวะพักสำหรับนักเดินทางบนถ.พระราม 2
[PR News] RML เปิดตัว 4 ห้องตกแต่งครบพร้อมอยู่ใหม่ ภายใต้ธีม ‘Your Season, Your Style’

[PR News] RML เปิดตัว 4 ห้องตกแต่งครบพร้อมอยู่ใหม่ ภายใต้ธีม ‘Your Season, Your Style’

RML (บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด มหาชน)  เปิดห้องตัวอย่างใหม่ตกแต่งสุดหรู ขนาด 1-2 ห้องนอน ล็อตสุดท้ายของโครงการ คอนโดมิเนียมระดับอัลตร้าลักชัวรี่พร้อมเข้าอยู่ เลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly) ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ (The Estelle Phrom Phong) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก 4 ฤดูกาล  4 สไตล์ ราคาเริ่มต้น 18 ล้านบาท โดยมีเซเลบริตี้ชื่อดัง ได้แก่ แพม-อณิชา อรรถสกุลชัย, ภัทร-ณภัทร ณรงค์เดชและพิม-พิมพ์พิศา ณรงค์เดช, ยุ้ย-อรวรรณ อิงคสิทธิ์ รวมถึงเจย์ สเปนเซอร์  มาร่วมถ่ายทอดไอเดียการตกแต่งคอนโดฯ และการใช้ชีวิตแบบคนเมือง RML RML นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RML กล่าวว่า “เราใส่ใจในทุกรายละเอียด ให้ทุกโครงการมีอัตลักษณ์เฉพาะ สะท้อนถึงตัวตนและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยในแบบที่แตกต่างกันไป ซึ่งล่าสุดโครงการคอนโดฯ อัลตร้าลักชัวรี่ พร้อมเข้าอยู่ใจกลางสุขุมวิท ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ บนทำเลศักยภาพ เพียง 2 นาที ถึง BTS พร้อมพงษ์ และ ดิ เอ็มดิสทริค (The Em District) จัด ‘Your Season, Your Style’ รังสรรค์ 4 ห้องตัวอย่างใหม่สุดหรู ตกแต่งครบ (Fully-furnished) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากฤดูกาลทั้งสี่ โดยแต่ละห้องจะมีการใช้โทนสีที่แตกต่างกัน เพื่อสื่อถึงหลากหลายอารมณ์ความรู้สึก ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาดั่งเช่นฤดูกาลต่างๆ โดยการตกแต่งห้องตัวอย่างใหม่นี้ก็เพื่อสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ และเป็นไอเดียให้กับทุกคนที่กำลังจะตกแต่งห้องที่เป็นสไตล์ในแบบของตัวเองที่ไม่ซ้ำใคร” ‘Your Season, Your Style’ ประกอบด้วยห้องทั้งหมด 4 ห้อง 4 สไตล์ ได้แก่ Spring, Summer, Autumn และ Winter ขนาด 1-2 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 18 ล้านบาท โดยแต่ละห้องได้ถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองของเซเลบริตี้ ชื่อดังที่มีไลฟ์สไตล์คนเมือง   RML เริ่มต้นที่ แพม-อณิชา อรรถสกุลชัย เซเลบริตี้สาวสวยมากความสามารถ กล่าวถึงการเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจในการตกแต่งห้องตัวอย่าง ‘Spring’ ว่า “ห้องตัวอย่างนี้ตกแต่งด้วยโทนสีขาวและสีเขียวใบไม้ สร้างบรรยากาศภายในห้องให้มีความเป็นธรรมชาติผสมลงไปอย่างลงตัว มอบความรู้สึกสบายตาจากสีเขียว แล้วยังทำให้ห้องดูสว่างและกว้างมากขึ้นจากสีขาว  ทำให้ภาพรวมการออกแบบตกแต่งดูสงบ มองไปทางไหนก็สดชื่น ผ่อนคลาย เหมาะกับคนไลฟ์สไตล์แบบแพมที่ถึงแม้จะใช้ชีวิตในเมืองเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ชอบความผ่อนคลาย เรียบง่าย เป็นส่วนตัวค่ะ”     ภัทร-ณภัทร ณรงค์เดช และพิม-พิมพ์พิศา ณรงค์เดช เซเลบริตี้รุ่นใหม่ไฟแรง กล่าวถึงห้อง ‘Summer’ ว่า “ห้องนี้ตกแต่งโทนสีอบอุ่น เน้นสีอ่อน ให้ความรู้สึกสบายตา โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ผนังหินอ่อนพาลิสซานโดร ทิกราโต้ (Palissandro Tigrato) โทนสีน้ำตาล  เสริมให้ห้องดูสง่างามเหนือกาลเวลา และมีการเลือกใช้วัสดุเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไม้ และรูปร่างของเฟอร์นิเจอร์ที่มีความโค้งมน ทำให้ภาพรวมของห้องดูนุ่มสบาย รวมทั้งการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ก็เน้นการเปิดพื้นที่ เพื่อให้ห้องดูกว้าง โปร่ง จัดแบ่งพื้นที่ใช้สอยอย่างเป็นสัดส่วนอีกด้วย”   ยุ้ย-อรวรรณ อิงคสิทธิ์ ผู้บริหารและเจ้าของร้านจิวเวลรี่ชื่อดัง กล่าวถึงห้อง ‘Autumn’ ว่า “ห้องนี้ตกแต่งเน้นความเท่ห์  มีชีวิตชีวา มีอิสระ และไร้ขีดจำกัด ด้วยรูปแบบเส้นสายจากงานอาร์ตประดับผนังเฟอร์นิเจอร์ พร้อมดีเทลของพร็อพที่ประดับตกแต่งในสไตล์เมทัลลิคสีเงิน (Metallic Silver) ช่วยสร้างความโฉบเฉี่ยว ดูหรูหราทันสมัย เหมาะกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง” และ เจย์ สเปนเซอร์ คุณพ่อสุดอบอุ่น นักธุรกิจหนุ่มผู้หลงใหลในศิลปะ  กล่าวถึงห้อง ‘Winter’ ว่า “ดีไซน์คอนเซปต์ในการออกแบบห้องนี้ เน้นการใช้โทนสีเข้มตัดโทนสีที่ชัดเจนด้วยสีขาว-เทา-ดำ และแทรกด้วยโทนสีทองเหลืองรมดำ เพิ่มสเน่ห์ทำให้ห้องดูหรูหรา และยังคงความหนักแน่น อีกทั้งฟังก์ชั่นใช้สอยก็เป็นสัดเป็นส่วน แบ่งพื้นที่ครัวและพื้นที่ทานข้าวได้อย่างลงตัว” ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ ซอยสุขุมวิท 26 พร้อมเปิดให้ทุกท่านได้สัมผัสความหรูหราอย่างมีระดับได้ทุกวัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ โทร. 02-029-1888, Line Official @raimonland หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.raimonland.com   บทความน่าสนใจ 10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML

1 ... 3 4 5 ... 103