ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 3 4 5 ... 106
สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล  เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต”

สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต”

สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล  จับมือ 2 ดีเวปลอปเปอร์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  อสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของไทยและ บริษัท ซีจี แคปปิตอล จำกัด  บริษัทบริหารการลงทุนจากตระกูลจิราธิวัฒน์ในรูปแบบกองทุน Private Equity ที่เจาะกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวโครงการ “THE STANDARD RESIDENCES”   ที่พักอาศัยรูปแบบbranded residences บนทำเลสุดฮอตกับ 2 เมืองท่องเที่ยวระดับโลก ได้แก่เดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์หัวหิน โครงการbranded residences แห่งแรกในเอเชีย กับทำเลบีชฟร้อนท์และเดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์ภูเก็ตบางเทา ย่านที่ฮอตที่สุดในภูเก็ต ตอบโจทย์ทั้งการใช้ชีวิตอยู่อาศัยเองและซื้อไว้เป็นฮอลิเดย์โฮมด้วยดีไซน์ทันสมัย แปลกใหม่ และมาตรฐานที่ไม่เหมือนใครในแบบฉบับของ เดอะ สแตนดาร์ด มูลค่าทั้ง 2 โครงการรวมกว่า 8,500 ล้านบาท คุณอมาร์ ลัลวานี่ ประธานกรรมการบริหาร Standard International กล่าวว่า Standard International บริษัทเครือไลฟ์สไตล์โฮเทลระดับโลกและเป็นบริษัทแม่ของเครือโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด  ซึ่งก่อตั้งมากว่า 25 ปีด้วยเอกลักษณ์ ตัวตน เปิดตัวโรงแรมแห่งแรกในฮอลลีวูด รวมทั้งปักหมุดเปิดให้บริการในทำเลสำคัญทั่วโลกได้แก่ นิวยอร์ก, ไมอามี่, ลอนดอน, อิบิซา, มัลดีฟส์, หัวหิน และกรุงเทพมหานครที่เป็นแฟล็กชิพของเอเชีย อย่าง The Standard, Bangkok Mahanakhon   โดยโครงการ The Standard Residences จะหยิบยกเอาจุดเด่นด้านดีไซน์ของโรงแรม The Standard ไม่ว่าจะเป็น ห้องนั่งเล่นที่ดูสนุกสนาน การผสมผสานโทนสี การเลือกสรรวัสดุ และเตียงนอนที่นุ่มสบาย มาต่อยอดกับบริการอันเป็นเอกลักษณ์  และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสร้างประสบการณ์พักผ่อนที่แตกต่าง ตลาด branded residences ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตถึง 216% ด้วยโลเคชั่นที่มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น The Standard Residences จึงไม่จำกัดเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลักแต่ยังเล็งการขยายตัวไปยังเมืองที่มีศักยภาพในการเติบโตและมีเอกลักษณ์โดดเด่น ยกตัวอย่างเช่น บาหลี สิงคโปร์หรือ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น   ทั้งนี้คุณอมาร์ มีความเชื่อมั่นว่า ทั้ง 2 โครงการใหม่ อย่าง The Standard Residences, Hua Hin โดย แสนสิริ และ The Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่ได้ ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity  จะเพิ่มมูลค่าของ branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard มั่นใจว่า 2โครงการนี้จะสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ   คุณอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  แสนสิริ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 40ในฐานะบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์พัฒนามาแล้วรวมกว่า 500 โครงการ ทั้งนี้แสนสิริพัฒนาโครงการรีสอร์ทคอนโดมิเนียม(รวม The Standard Residences, Hua-Hin) ในหัวหินมาแล้วจำนวนรวม 25 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 31,000 ล้านบาท โดย 22 โครงการ Sold out (ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว)   คุณอุทัยกล่าวว่า หัวหินเป็นตลาดที่มีโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจสูง เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ในปี 66 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในหัวหิน 9 ล้านคนและคาดว่าในปี 67จะมีมากขึ้นกว่าเดิมด้วยมาตรการผ่อนปรนต่างๆ ส่งผลให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัย Resort home เป็นบ้านหลังที่ 2 มากขึ้น ทั้งซื้อเพื่ออยู่เองเพื่อการลงทุนของชาวไทยและต่างชาติรวมทั้งปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่กำลังพัฒนา ด้านระบบคมนาคม รวมถึงการผลักดันของภาครัฐให้หัวหินเป็น World Class City of Relaxation ศูนย์กลางของด้าน Wellness และ Medical Tourism Hub การขยายสนามบินเพื่อรองรับไพรเวทเจ็ทของนักท่องเที่ยวกลุ่มลักซ์ซัวรี่และการตั้งเป้าให้หัวหินเป็นสมาร์ทซิตี้ที่มีความทันสมัยและปลอดภัยและที่สำคัญ The Standard Residences, Hua Hin นับเป็นโปรเจกท์ไฮไลท์ของแสนสิริในปีนี้โดยมีมูลค่าโครงการรวม 4,500 ล้านบาทและเป็น Beachfront branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard แห่งแรกในเอเชีย และมีกำหนดเปิดตัวเป็นแห่งที่ 3 ของโลก โครงการตั้งอยู่บนไพร์มโลเคชั่นบนที่ดินหายากติดหาดหัวหิน ที่สามารถพัฒนาโครงการใหญ่แบบฟรีโฮลด์ได้มาพร้อมกับไฮไลท์ Beachfront Pool Villa สุด Rare ราคาแตะ 100 ล้านบาท เพียง 2 ยูนิตเท่านั้น โดดเด่นด้วย programming experience ที่ยกระดับประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสไปกับ experience facilities ที่มีให้เฉพาะลูกบ้านของเรสซิเดนซ์เท่านั้นเพื่อสุดยอดประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่ฉีกกรอบทุกการพักผ่อนอาทิ pickle ball court, the mud lounge, salt sauna และ experience shower จำนวน 245 ยูนิตบนพื้นที่ขนาด9 ไร่เริ่มตั้งแต่ 1 ห้องนอน ขนาด 40-65 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด77-120 ตารางเมตร, 3 ห้องนอน ขนาด107-153 ตารางเมตรและBeachfront Pool Villa สุด Rare ขนาด 220 ตารางเมตร ทั้งนี้โครงการพร้อมเปิดให้ชม sales gallery ครั้งแรกวันที่ 23-24 มีนาคม 2567 นี้และพร้อมเข้าอยู่ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2569 คุณภูมิ จิราธิวัฒน์กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีจี แคปปิตอลจำกัด กล่าวว่า ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity ในเครือเซ็นทรัล ได้จัดตั้ง กองทุนแรกในมูลค่า 10,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวลงทุนหลักได้แก่ 1. ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 2. ธนาคารชั้นนำ 3. นักลงทุนสถาบันระดับโลกซึ่งมีแผนที่จะลงทุนทั้งในส่วนโรงแรม คอนโดมิเนียม สวนสนุกสวนน้ำ และโครงการมิกซ์ยูส ที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นในเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศได้แก่ กรุงเทพมหานครภูเก็ต สมุย และพัทยา โดยคาดว่าจะลงทุนปีละ 3-5 โครงการ   ยิ่งสำคัญ ภูเก็ต เมืองท่องเที่ยวอันโด่งดังติดอันดับ1 ใน 10 ของโลก และยังได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ Workation อันดับ 10 ของโลก หลังช่วงโควิดในปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตแล้วกว่า 11 ล้านคน ทำให้มีการเล็งเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทจากหลายผู้ประกอบการมากที่สุดในเมืองไทยประกอบกับโดยมีโรงเรียนนานาชาติถึง 13 แห่ง และโรงพยาบาลระดับไฮเอ็นด์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของคอนโดมิเนียมในภูเก็ตเพิ่มขึ้นถึง 113% โครงการ The Standard Residences Phuket Bang Tao ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดในย่านที่เป็นไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์ของภูเก็ต อย่างย่านบางเทา การเดินทางจากกรุงเทพฯเพียง 3 ชั่วโมงโดยเครื่องบิน โครงการเดินทางจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตเพียง 25 นาที   พื้นที่ของโครงการทั้งหมดมีขนาด 19 ไร่โดยแบ่งเป็น 3 โปรเจค เริ่มจากThe Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่มีขนาด 12 ไร่ และ โรงแรมเดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา(The Peri Hotel Phuket Bang Tao) รวมถึง F&B Concept ใหม่ล่าสุดจากThe Standard ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันอีก 7 ไร่   ทั้งนี้ตัวโครงการ branded residences ประกอบด้วยอาคาร7 ชั้นรวมแล้ว6 อาคารมีจำนวนห้องทั้งหมด 188 ยูนิตโดยออกแบบให้เป็นห้องตกแต่งพร้อมเฟอร์นิเจอร์เริ่มตั้งแต่1 ห้องนอนขนาด 75 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด 100-120 ตารางเมตร, 3 ห้องนอนขนาด167-172 ตารางเมตร และห้องดูเพล็กซ์สุดหรู ขนาด 301–313 ตารางเมตร โครงการให้บริการพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลาดหลายอาทิ โคเวิร์คกิ้งสเปซ, โซนเกมส์, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำความยาว25 เมตร, สระว่ายน้ำเด็ก และสปา เป็นต้นพร้อมบริการอื่น ๆ ตามมาตรฐานโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ดรวมถึงมีพนักงานดูแลอำนวยความสะดวกตลอด24 ชั่วโมง และบริการรถรับ-ส่งไปยังชายหาดบางเทา ทั้งนี้ The Standard Residences, Phuket Bang Tao เตรียมเปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้นที่ 11.9 ล้านบาท รวมถึงเปิดsales gallery ครั้งแรกในเดือนเมษายนปี 2567 และพร้อมเข้าอยู่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2569   บทความน่าสนใจ เปิดตัว CG Capital บริษัทบริหารกองทุน โดยตระกูลจิราธิวัฒน์ เจาะตลาดอสังหาฯ โรงแรม ในเมืองท่องเที่ยว แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว  
[PR News]โฮมโปร ประกาศยุทธศาสตร์ 5 ปี สู่ธุรกิจแสนล้าน  ปั้นธุรกิจเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน

[PR News]โฮมโปร ประกาศยุทธศาสตร์ 5 ปี สู่ธุรกิจแสนล้าน ปั้นธุรกิจเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน

“โฮมโปร (HomePro)” ปรับตัวนำเทรนด์ ตอกย้ำความเป็นเบอร์หนึ่งผู้นำธุรกิจด้าน Home Solution and Living Experience ในประเทศไทย ด้วยการประกาศทิศทางและแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ขยายธุรกิจสู่แสนล้านบาท ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดเติบโตต่อเนื่อง พร้อมขับเคลื่อนโมเดลธุรกิจด้วยแผน Sustainability เติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน สู่เป้าหมายองค์กร Net Zero ระดับโลก ภายในปี ค.ศ.2050 และผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน รับเทรนด์โลกอนาคตมุ่งเน้นพลังงานสะอาดครบวงจร พร้อมเปิดตัวครั้งแรก! "First Closed Loop Circular Appliances" ในงาน HOMEPRO NEXT CHAPTER ก้าวไปสู่ความสำเร็จ ภายใต้แนวคิด "MAKE EVERY CHANGE A BETTER LIFE" สร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในทุกความเปลี่ยนแปลงของช่วงชีวิต นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร (HomePro) เปิดเผยว่า “เป็นการพลิกบทบาทธุรกิจครั้งใหญ่ของโฮมโปร บนความท้าทายใหม่ๆ โฮมโปรพร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า คู่ค้า รวมถึงพันธมิตร ตอกย้ำแบรนด์เบอร์หนึ่งผู้นำเรื่องบ้าน ด้วยยุทธศาสตร์ 5 ปี เพื่อก้าวสู่ธุรกิจแสนล้าน ภายใต้แผนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น ขยายสาขาครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ กว่า 170 สาขา ช่องทางการขายออนไลน์ที่ครอบคลุม และเชื่อมถึงกันแบบไร้รอยต่อ รองรับลูกค้า B2C และขยายฐานลูกค้าไป B2B มากขึ้น พร้อมพัฒนา 3 แอปฯ ช้อปได้ไม่มีสะดุด (HomePro Online, Home Service, Home Card) พัฒนาด้านระบบขนส่งและโลจิสติกส์ ขยายพื้นที่เพิ่มกว่า 100,000 ตร.ม. รองรับทุกความต้องการทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพศูนย์กระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย รับและส่งออกสินค้ามากกว่า 400,000 ชิ้นต่อวัน, ระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ-จัดการคลังได้มีประสิทธิภาพ แม่นยำ ลดความผิดพลาด, บริการให้เช่าคลังสินค้า, บริการขนส่งกลับ ด้วยต้นทุนต่ำ ตลอดจนส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ รวดเร็ว ถึงมือลูกค้า ยกระดับประสบการณ์การซื้อสินค้าและบริการสุดพิเศษให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด Lifetime Eco-System โฮมโปร พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแผน Sustainability สร้างองค์กรเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืนในทุกๆ มิติ อาทิ มุ่งสู่เป้าหมายองค์กร Net Zero ระดับโลก ภายในปี ค.ศ.2050 ผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน รับเทรนด์โลกอนาคตมุ่งเน้น ‘พลังงานสะอาดครบวงจร’ เปิดตัวครั้งแรก! "First Closed Loop Circular Appliances" ผู้ค้าปลีกรายแรกที่ดำเนินโครงการ รีไซเคิล Waste of Electrical and Electrical Equipment (WEEE) พัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหมุนเวียนแบบครบกระบวนการ ตั้งแต่การเก็บของที่ใช้งานแล้ว จากบ้านลูกค้า (HomePro Consumers) เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่มีมาตรฐาน GRS รองรับ เพื่อให้ได้เม็ดพลาสติก PCR (Post Consumer Recycled) ที่มีคุณภาพ ในการนำกลับมาผลิตใหม่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ Haier, Toshiba, Venz และ SCG เพื่อเป้าหมายคือ ลดปริมาณขยะให้กับโลก อีกทั้ง ผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน รับเทรนด์โลกอนาคต มุ่งเน้นพลังงานสะอาดครบวงจร ด้านขนส่ง เปลี่ยนเป็นรถขนส่งพลังงานไฟฟ้า (EV Truck) ที่เร่งดำเนินการให้ได้ราว 50% ภายในปี ค.ศ.2030 ติดตั้งโซล่าเซลล์ ไปแล้วกว่า 80 สาขา คิดเป็นกำลังการผลิตไฟมากกว่า 60 MWh และมีแผนที่จะขยายเพิ่มเติมต่อเนื่อง EV Car สนับสนุนและส่งเสริมพนักงานใช้รถพลังงานสะอาด “เชื่อมั่นว่าครั้งนี้ จะเป็นก้าวใหม่ที่นำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนของธุรกิจโฮมโปร สร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ว่าจะเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน” นายวีรพันธ์ กล่าว   โฮมโปรได้รับรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการได้รับคัดเลือกอยู่ใน Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI 2017-2023, MSCI Global Sustainability Index และ MSCI ESG Ratings Index 2015-2023, FTSE4Good Index 2015-2023, Thailand Sustainability Investment (THSI) 2015-2023 รวมถึงได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 บริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยสถาบันไทยพัฒน์ 2015-2023, บริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน SET Awards 2016-2022 และ Thailand’s Top Corporate Brands 2022-2023 ซึ่งรางวัลเหล่านี้ถือเป็นการการันตีว่าโฮมโปรนั้นได้ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการเติบโตที่ยั่งยืนของบริษัทฯ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อีกด้วย   บทความน่าสนใจ ใครท็อปฟอร์มสุด ในธุรกิจ ร้านวัสดุ-เฟอร์นิเจอร์ Q3/65 เช็คให้ชัวร์ !! ซื้อบ้านใหม่ vs สร้างบ้านเอง แบบไหนเหมาะกับคุณ?    
[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศแผนธุรกิจปี 2567  เปิดโครงการใหม่ 8 – 12 โครงการ มูลค่า  8,000 ล้านบาท เป้ายอดขาย 6,550 ล้านบาท 

[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศแผนธุรกิจปี 2567  เปิดโครงการใหม่ 8 – 12 โครงการ มูลค่า  8,000 ล้านบาท เป้ายอดขาย 6,550 ล้านบาท 

ลลิลฯ ประกาศแผนธุรกิจปี 2567  เดินหน้าขยายธุรกิจ สู่การเป็น National Property Company มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยมีแผนเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องอีก 8 – 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 7,000 – 8,000 ล้านบาท  เพื่อทดแทนโครงการเดิมที่ใกล้จบ ตลอดจนขยายไปยังทำเลที่มีศักยภาพใหม่ๆ   พร้อมตั้งเป้ายอดขายและยอดรับรู้รายได้เติบโตจากปีก่อนหน้า  โดยตั้งยอดขายที่ 6,550 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 5,250 ล้านบาท  งบการจัดซื้อที่ดิน 1,500 ล้านบาท   นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) (Mr.Chaiyan Chakarakul, Chairman of Executive Board, Lalin Property Plc.) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปี กล่าวถึงภาพรวมของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ที่ผ่านมาว่า โลกยังคงต้องเผชิญความเสี่ยงที่ต่อเนื่องมาจากปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์  ประเด็นขัดแย้งที่ก่อเกิดขึ้นเป็นระยะในหลายภูมิภาค   การพยายามควบคุมเงินเฟ้อ โดยการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ยุโรป  โดยเฉพาะเฟดมีการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ระดับ 5.25% - 5.50% ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบกว่า 20 ปี  ส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงต่อเนื่องจากปี 2565   ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ในส่วนของเศรษฐกิจไทย ซึ่งเศรษฐกิจมีการพึ่งพิงต่างประเทศอย่างมาก ทั้งจากการส่งออก การท่องเที่ยว รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)  ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว  ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ  ยุโรป  ตลอดจนประเทศจีน  ส่งผลให้การส่งออกของไทยทั้งปีน่าจะหดตัวที่ราว 1.5%    ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยว แม้จะสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปี 2565  แต่ก็เป็นการขยายตัวได้ต่ำกว่าเป้าหมาย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมา   ในส่วนของการบริโภคและการลงทุนภาครัฐ ก็หดตัวลงจากจัดตั้งรัฐบาล และการจัดทำงบประมาณที่ล่าช้า  ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ขยายตัวได้ต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้มาก สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2567 นี้ คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ราว 2.5% – 3.5%  อย่างไรก็ตามยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง ทั้งปัจจัยจากต่างประเทศและในประเทศ  ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์   การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในหลายประเทศสำคัญทั่วโลก  มาตรการกระตุ้นและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน  ในขณะที่ภายในประเทศ ภาระหนี้สาธารณะ และภาระหนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูง ยังคงเป็นความท้าทายสำหรับในปี 2567 นี้    อย่างไรก็ดีมองว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 นี้ ยังคงมีปัจจัยบวก  ไม่ว่าจะเป็นการที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มนิ่ง และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปี จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย   การต่ออายุมาตรการภาครัฐ ลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ไปถึงสิ้นปี 2567    การส่งออก และการท่องเที่ยวที่ น่าจะดีขึ้น  รวมถึงการเข้ามาลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น  จะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ยังคงเชื่อมั่นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์  โดยเฉพาะตลาด Real Demand  ยังคงไปได้   โดยบริษัทฯ จะเน้นการดำเนินธุรกิจ และการขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน  ในตลาดที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ  และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างดี  โดยในปี 2567 นี้บริษัทวางงบในการซื้อที่ดินไว้ที่ 1,500 ล้านบาท  โดยมีแผนเปิดโครงการเพิ่มเติมที่ 8 – 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท  และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 6,550 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 5,250 ล้านบาท   นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) (Mr. Churat Chakarakul, Managing Director, Lalin Plc.) กล่าวว่า ในปีนี้ ลลิลฯ ยังคงเน้นย้ำแนวคิดในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการดำเนินธุรกิจตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG)   นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงปัจจัยการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการประหยัดพลังงานไฟฟ้าและน้ำ การลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการให้ลูกค้าได้รับคุณภาพวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และสังคมที่ดี  ซึ่งเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของทางบริษัท สำหรับแผนการตลาด ในปี 2567 นี้  ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าโดยยึดหลัก Customer Centric ผ่านกลยุทธ์ทั้ง Lifestyle Marketing และ Experience Marketing เสริมประสิทธิภาพด้วยการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ โดยการทำ Brand collaboration เพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ อีกทั้งสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกกลุ่มเป้าหมายด้วย นอกจากนี้ ยังเน้นการทำการตลาดผ่านช่องทาง Digital ในช่องทางใหม่ให้หลากหลายมากขึ้น  เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ทั้งยังส่งเสริมให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นด้วย การนำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์หา Customer Insights   ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งสู่การเป็นองค์กรพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บริหารงานภายใต้แนวคิด Agile Principles โดยใช้กลยุทธ์ด้านดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลง (Digital transformation) นอกจากนี้ บริษัทฯให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่เป็น Real Demand โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในส่วนของ Design Innovation และ Smart & Flexible Function ของตัวบ้าน และยังคงนำรูปแบบความงดงามของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสที่เรียบหรู มาออกแบบบ้านสไตล์ฝรั่งเศสแบบ French Colonial Style ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญของบริษัทฯที่เป็นรายแรกในการนำมาพัฒนาออกแบบบ้านในสไตล์ดังกล่าว บนทำเลศักยภาพ ในราคาที่คุ้มค่า และจับต้องได้ เพื่อให้สินค้าและบริการสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อยู่เสมอ ในส่วนของสถานะทางการเงิน บริษัทฯ ดำรงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.76 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 1.45 เท่า ค่อนข้างมาก   โดยบริษัทมีการใช้แหล่งเงินทุนที่หลากหลาย และการบริหารความเสี่ยงทางการเงินอย่างรัดกุมมาโดยตลอด จึงได้รับความเชื่อมั่นจากสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ต่างๆ  จึงไม่ประสบปัญหาในเรื่องของแหล่งเงินทุน   โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการออกขายหุ้นกู้อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.80%  ซึ่งได้รับการตอบรับจากสถาบันเข้าลงทุนเต็มจำนวนที่ 500 ล้านบาท   บทความน่าสนใจ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางเป้าขาย 8,600 ล้าน โต 10% เน้นธุรกิจทำกำไร-รักษาสภาพคล่อง
แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว

แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว

นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ในปี 2567 ถือเป็นปีแห่งการเติบโตที่สำคัญที่ แสนสิริ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 40 ถือเป็นการก้าวต่ออย่างมั่นคงจากปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถ เปิดตัวโครงการใหม่ 44 โครงการ มูลค่ารวมสูงถึง 65,000 ล้านบาท สร้างสถิติใหม่ ALL-Time High เติบโตจากปีก่อนหน้า 50% และโตขึ้นจากช่วงเกิดโควิดถึง 10 เท่า ครอบคลุมทุกโปรดักต์ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ทุกเซ็กเมนต์ระดับราคารองรับทุกความต้องการ และครอบคลุมในทุกทำเล เจาะกลุ่มที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยจริง  เดินหน้าปรับโครงสร้างเพื่อมุ่งทรานฟอร์มองค์กร แต่งตั้งคนรุ่นใหม่เสริมทัพบริหาร สร้างการเติบโตสู่ทศวรรษใหม่ ตามวิสัยทัศน์ที่มุ่งสู่การเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ชั้นนำของประเทศไทย นำเสนอทั้งผลิตภัณฑ์และบริการด้านการอยู่อาศัยที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างครบวงจร และสร้างประโยชน์อย่างยั่งยืนแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย แสนสิริกางแผนปี 67 แสนสิริกางแผนปี 67 พร้อมมอบกลับคืนสู่สังคม สนับสนุนลดความเหลื่อมล้ำ ตอบโจทย์ภาพใหญ่ที่สอดคล้องกับนโยบายการยกระดับการเข้าถึงการศึกษาภาคบังคับ ได้มีการลงนามร่วมมือกับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาเป็นระยะเวลา 3 ปี สร้างราชบุรีโมเดล กับโครงการ “Zero Dropout เด็กทุกคนต้องได้เรียน” โดยแสนสิริสนับสนุนเงินทุน 100 ล้านบาท นำร่องที่ราชบุรี ให้เป็นจังหวัดต้นแบบ ตั้งเป้าช่วยเด็กหลุดจากการศึกษาเป็นศูนย์ในปี 2567 ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก ที่สำคัญเราไม่มีธุรกิจในพื้นที่ จึงไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน   นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริ ยังคงสามารถรักษาระดับการเติบโตท่ามกลางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงจัดทำแคมเปญและกิจกรรมทางการตลาด อาทิ งาน Museum of YOU ที่จัดขึ้นเมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา ส่งผลให้แสนสิริสร้างยอดขายในปี 2566 ได้ 49,000 ล้านบาท ในขณะที่ยอดโอน (รวมโครงการร่วมทุน) อยู่ที่ 39,000 ล้านบาท และสามารถ Sold Out ได้ถึง 28 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 51,000 ล้านบาท   สำหรับโครงการที่เปิดตัวมีทั้งการต่อยอดความสำเร็จแบรนด์นาราสิริและบูก้าน ในกลุ่ม Sansiri Luxury Collection ตลอดจนการรีเฟรชแบรนด์เศรษฐสิริและดีคอนโด ส่วนการเปิดตัวโครงการแนวสูงนั้น ก็มีการเปิดตัว “ดีคอนโด” ซีรีส์ใหม่ 6 โครงการ 6 ทำเลศักยภาพ ทั่วประเทศ รวมมูลค่าโครงการกว่า 6,300 ล้านบาท เจาะทำเลคอมมูนิตี้ใหญ่ ใกล้มหาวิทยาลัยและแหล่งงาน ทั้งในกรุงเทพฯ หาดใหญ่ และภูเก็ต รวมถึงการกลับมาของคอนโดมิเนียมระดับบน ได้แก่ ชูช์ ราชเทวี และเวีย อารีย์ ตลอดจนคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่   สำหรับปี 2567 นี้ แสนสิริ วางแผนเปิดตัวรวม 46 โครงการ มูลค่ารวม 61,000 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ และตลาดต่างจังหวัด โดยเพิ่มสัดส่วนของโครงการบ้านลักซ์ชัวรี่มากขึ้น  และตั้งเป้ายอดขาย 52,000 ล้านบาท และยอดโอนที่ 43,000 ล้านบาท เริ่มจากกลุ่มธุรกิจแนวราบ วางแผนเปิดตัวรวม 26 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท โครงการที่เป็นไฮไลท์ในปีนี้ ประเดิมด้วยกลุ่ม Sansiri Luxury Collection 2 โครงการ ได้แก่ บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ‘นาราสิริ บางนา กม. 10’ มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท ราคา 45 – 70 ล้านบาท รวมถึงต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ กับการเปิดตัวเศรษฐสิริรวม 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,400 ล้านบาท   เศรษฐสิริ วัชรพล - เทพรักษ์โครงการใหม่ สไตล์ Georgian ใกล้ทางด่วน ใจกลางวัชรพล มูลค่า 2,700 ล้านบาท และลุยต่อตลาดอสังหาฯ ระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่และลักซ์ชัวรี่ ผ่านการเปิดตัวสราญสิริรวม 6 โครงการ มูลค่ารวม 9,100 ล้านบาท กับจุดขายบ้านเดี่ยวหลังแรกของครอบครัว และอณาสิริรวม 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,100 ล้านบาท เพื่อส่งมอบโปรดักส์อย่างครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์โฮม พร้อมกันนี้ แสนสิริจ่อคิวขยายพอร์ตแนวราบ เตรียมเปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ ‘ณริณสิริ’ (Narinsiri) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับพรีเมียมโครงการแรก ‘ณริณสิริ กรุงเทพกรีฑา’ มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท และ ‘มาเบิล’ (Mabel) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับราคาเข้าถึงง่ายประมาณ 5-7 ล้านบาท กับ ‘มาเบิล บางนา 26’ มูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท   สำหรับกลุ่มธุรกิจแนวสูง แสนสิริเคาะแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียม 20 โครงการ มูลค่ารวม 26,000 ล้านบาท พร้อมสานต่อกลยุทธ์ความสำเร็จในปีที่ผ่านมา รุกแผนขยายการเปิดตัวโครงการใหม่ เน้นขยายการลงทุนไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น โดยมีไฮไลท์ดังนี้ เริ่มจากกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ขึ้นไป ได้แก่ การเปิดขาย ‘เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน’ มูลค่าโครงการ 4,100 ล้านบาท Branded Residence แห่งแรกในเอเชียและแห่งที่ 3 ของโลก ภายใต้เดอะ สแตนดาร์ด แบรนด์บูทีคโฮเทลและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลก และการเปิดตัวเวีย 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท บนสุดยอดทำเลศักยภาพที่มีดีมานด์ แต่ซัพพลายน้อย ในย่านสุขุมวิท 34 และ 61  ตลอดจนการลุยต่อตลาดคอนโดมิเนียมราคาเข้าถึงง่าย อย่างแบรนด์แคมปัสคอนโด กับการเปิดตัวดีคอนโดรวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท และการพัฒนาโครงการคอนโดในกลุ่มแบรนด์เดอะ มูฟและคอนโดมีอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น เราได้เตรียมความน่าตื่นเต้นครั้งใหม่ กับการ รีเฟรชแบรนด์ เดอะ เบส เพื่อรองรับการเปิดตัวในปีนี้รวม 3 โครงการ มูลค่าราว 4,500 ล้านบาท” นายอุทัย กล่าว แสนสิริยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าในพันธกิจสีเขียว ตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2050 (พ.ศ. 2593) ผ่านการขับเคลื่อน 4 แก่นสำคัญคือ ‘Process-Product-Partner-Investment’ และอีกหนึ่งแผนงานที่สำคัญคือการส่งมอบทุกโครงการใหม่ของแสนสิริด้วยนวัตกรรมบ้านสีเขียว หรือ Green Living Designed Home โดยเริ่มตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง จนถึงการส่งมอบบ้านพลังงานสะอาด เพื่อให้ลูกบ้านได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างสมบูรณ์ และที่สำคัญยังช่วยประหยัดพลังงาน โดยหนึ่งครัวเรือน สามารถลดการใช้พลังงานได้สูงสุดถึง 18% ต่อปี และได้ วางเป้าขยายผลสู่คอนโดมิเนียมแบรนด์เดอะเบสทุกโครงการใหม่ในปี 2567 ที่ส่วนกลางของโครงการจะมีการนำแนวทาง Green Living Designed Home ไปต่อยอดในการดำเนินงาน และตั้งเป้าสู่การลดใช้พลังงานในช่วงแรกให้ได้ราว 6%”   นายภูมิภักดิ์ จุลมณีโชติ ประธานผู้บริหารสายงานกลยุทธ์  บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างเนื่อง เนื่องจากก่อนหน้านี้มีการหยุดชะงักการเปิดตัวไปในช่วงโควิด อย่างไรก็ตาม เรามองว่าเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้ายังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ทั้งปัจจัยภายในประเทศและต่างประเทศ สำหรับในประเทศ มองว่าปัจจัยท้าทายคือเรื่องดอกเบี้ยเป็นตัวแปรสำคัญ ส่วนปัจจัยที่ส่งเสริมธุรกิจก็อาจจะมีจากการฟื้นตัวของตลาดท่องเที่ยว ซึ่งจะมีผลกระตุ้นให้มีแรงซื้อจากชาวต่างชาติเข้ามามากขึ้นโดยเฉพาะสินค้ากลุ่มคอนโดมีเนียม   เพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ แสนสิริยังคงเดินหน้าตาม 3 กลยุทธ์สำคัญขับเคลื่อนองค์กร ควบคู่กับความพร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และรักษาอันดับความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ประกอบไปด้วย 1. รักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการให้มากขึ้นโดยเฉพาะโครงการแนวราบ และการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่สูง สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 9 เดือนแรกของปี 2566 มีกำไรสุทธิที่ 4,760 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 91% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มอสังหาฯ) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 40 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และมากกว่ากำไรสุทธิทั้งปีของปี 2565 สะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพของบริษัท เพื่อสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในอนาคต และนับเป็นผลการดำเนินงานที่เติบโตตาม Business Direction ที่วางไว้นอกจากนี้ แสนสิริยังมุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุดกับผู้ถือหุ้น จากผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง เพื่อให้ นักลงทุนได้รับเงินปันผลที่สูงขึ้นในอนาคต จากสถิติการจ่ายปันผลที่มาพบว่า Dividend Yield ปี ล่าสุด  2566 อยู่ที่ 12.4% 2.บริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากกว่า ผ่านการควบคุมระดับสินค้าเพื่อการขายในแต่ละระดับราคาให้อยู่ระดับที่เหมาะสม ก่อนพิจารณาเปิดโครงการใหม่ในแต่ละครั้ง เน้นเรื่องวินัยในการลงทุนมากกว่าคว้าทุกโอกาสที่เข้ามา และเมื่อรวมโครงการเปิดใหม่ในปีนี้ แสนสิริจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศรวมมูลค่า 146,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้แสนสิริจะมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า ภายใต้กลยุทธ์นี้  แสนสิริ พร้อมขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ๆ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน ตลอดจนกลับไปรุก Strategic Location หัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ มีโรดแมปการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ชัดเจน และได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน โดยวางแผนจะเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดทั้งหมด 13 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท โตกว่าปีก่อนหน้าถึง 170%  สำหรับ Strategic Location อย่างภูเก็ต ได้มีการจัดทำแผนกลยุทธ์ 5 ปี ในการเปิดตัวโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท รวมถึงวางแผนเปิดตัว Sansiri Hub หรือออฟฟิศของแสนสิริในจังหวัดภูเก็ตในปี 2567 นี้ด้วยเช่นกัน รวมถึงหัวหินกับโครงการเดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเด้นซ์ หัวหิน ที่จะเปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์นี้  พร้อมสานต่อโมเดล Sansiri Community ในแต่ละทำเลที่แสนสิริเข้าไปพัฒนาโครงการ และยกระดับให้เป็นสังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบอีก 4 คอมมูนิตี้ ได้แก่ ศรีนครินทร์-แพรกษา, บางนา กม. 10, ศรีวารี และวงแหวน – ลำลูกกา จากที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว 8 คอมมูนิตี้ คือ กรุงเทพกรีฑา, บางนา-เลค 26, รังสิต-บางพูน, ราชพฤกษ์-346, กรุงเทพ-ปทุมธานี, เวสต์เกต, พระราม 2-วงแหวน และประชาอุทิศ 90   3.ยกระดับคุณภาพของสินค้า บริการ และความยั่งยืน ให้เป็นอันดับ 1 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย สอดคล้องกับโครงการในระดับกลางและบนที่มีการเปิดตัวมากขึ้น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญด้านหนึ่งของแสนสิริเพื่อรักษามาตรฐานความเป็นหนึ่งของวงการอสังหาริมทรัพย์ในทุกมิติ และทุกโครงการของแสนสิริ ยังมั่นใจถึงคุณภาพในการบริหารจัดการที่อยู่อาศัยด้วยทีมงานมืออาชีพ ตอบโจทย์ทุกการดูแล จากบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้  พร้อมส่งมอบคุณภาพการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้าและ Stakeholder ที่เกี่ยวข้อง   บทความน่าสนใจ แสนสิริ ตุนยอดโอน 4 เดือนแรก โต 28% กวาดรายได้แล้ว 9,200 ล้าน  แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด แสนสิริ โชว์กำไรครึ่งปี 66 โตก้าวกระโดด 162% ครึ่งปีหลัง เปิดโครงการใหม่ กว่า 56,700 ล้าน
RML เปิดแผนปี’67 ชู4 key success  เปิดปฐมบทใหม่สู่ที่สุดของที่อยู่อาศัย

RML เปิดแผนปี’67 ชู4 key success เปิดปฐมบทใหม่สู่ที่สุดของที่อยู่อาศัย

RML ประกาศแผนปี’67 ‘REIMAGINING THE PINNACLE OF LIVING’ ขับเคลื่อนองค์กรแข็งแกร่ง ภายใต้ 4 กุญแจสำคัญ เพื่อสร้างปฐมบทใหม่แห่งการอยู่อาศัยอันเป็นที่สุด  RML (บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด มหาชน) เผยแผนรุกธุรกิจครั้งสำคัญปี 2567 ‘REIMAGINING THE PINNACLE OF LIVING – สร้างปฐมบทใหม่แห่งการอยู่อาศัยอันเป็นที่สุด’ ภายใต้ 4 กุญแจสำคัญ OCC   SUCCESSOR ครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ของอสังหาฯ ลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ THOUGHT LEADER เปิดตัว 2 โครงการใหม่รูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน CARETAKER เดินหน้าส่งมอบสุดยอดการดูแลลูกค้า และต่อยอดสู่การดูแลสังคมภายใต้วิสัยทัศน์ ‘Sustainable Living’ เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม TASTEMAKER สร้างสรรค์สุดยอดการออกแบบโครงการและการบริการที่เหนือระดับจากพาร์ทเนอร์ระดับโลก ลุยเปิดตัว ‘OCC’ อาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ ที่สูงที่สุดในไทย เต็มรูปแบบ ดึงแบรนด์ F&B และไลฟ์สไตล์ชั้นนำร่วมสร้างประสบการณ์การทำงานและการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ที่มากกว่าเดิมในฐานะ Lifestyle Destination แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ   OCC นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RML กล่าวว่า “สำหรับปี’67 บริษัทฯ ได้วางทิศทางการดำเนินงาน ภายใต้แนวคิด ‘REIMAGINING THE PINNACLE OF LIVING’ ผ่านการทำงาน 4 ด้าน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ และมอบประสบการณ์ที่อยู่อาศัยที่เป็นที่สุดในทุกมิติให้กับลูกค้า ซึ่งเราจะยังคงยึดโยงปรัชญา ‘Luxury Reimagined’ ของแบรนด์เป็นศูนย์กลางในการดำเนินธุรกิจเช่นเคย”   สำหรับแนวคิด ‘REIMAGINING THE PINNACLE OF LIVING’ มุ่งเน้นใน 4 ด้าน ดังต่อไปนี้ SUCCESSORRML จะมุ่งสร้างผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ผ่านการปิดการขายทุกโครงการ และโควต้าลูกค้าชาวต่างชาติเต็มทั้งหมดดังที่เคยประสบความสำเร็จในอดีต โดยสำหรับโครงการพร้อมอยู่ในปีนี้ 2 โครงการ ได้แก่ ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์ (The Estelle Phrom Phong)’ คอนโดฯ อัลตร้าลักชัวรี่ บริษัทฯ ตั้งเป้าลูกค้าโอนกรรมสิทธิ์เต็ม 100% ในไตรมาส 1 ปี’67  และ ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์ (Tait Sathorn 12)’ ตั้งเป้าปิดการขายในครึ่งปีแรกของปี’67 และตั้งเป้าลูกค้าโอนกรรมสิทธิ์เต็ม 100% ในไตรมาส 3 ปี’67   THOUGHT LEADERบริษัทฯ เตรียมเปิดขายรอบพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟ สำหรับโครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ 2 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้นประมาณ 10,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ ทำเลสุขุมวิท จำนวน 5 หลัง ราคาเริ่มต้นเฉลี่ย 400 ล้านบาทต่อหลัง มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยจะเปิดขายรอบพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ปลายไตรมาส 2 หรือต้นไตรมาส 3 ปี’67 และโครงการอัลตร้าลักชัวรี่แนวราบ บนหาดกมลา ที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นวิลล่าสุดหรู พัฒนาเฟสแรกจำนวน 7 หลัง ราคาเริ่มต้นเฉลี่ยประมาณ 600 ล้านบาท มูลค่าโครงการประมาณ 7,000 ล้านบาท เปิดขายรอบพิเศษแบบเอ็กซ์คลูซีฟ ไตรมาส 4 ปี’67 CARETAKERส่งมอบสุดยอดการดูแลลูกค้า เพราะลูกค้าทุกคนคือคนสำคัญ จึงควรได้รับการดูแลอย่างใส่ใจและมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้เกิดความประทับใจมากที่สุด โดยในปีนี้ RML จะสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ๆ ให้กับลูกค้าคนสำคัญผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำด้านลักชัวรี่ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายในเกือบทุกวงการ เพื่อยืนหยัดเป็นที่หนึ่งในใจของลูกค้านอกเหนือจากนี้ยังต่อยอดสู่การดูแลสังคม บริษัทฯ ยังคงสานต่อการดำเนินงานมูลนิธิเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น (For Better Lives Foundation) ซึ่งก่อตั้งโดย RML เพื่อทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์และช่วยเหลือสังคม อีกทั้งยังคงสานต่อวิสัยทัศน์ ‘Sustainable Living’ โดยโครงการใหม่ๆ ของ RML ยังมุ่งพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมุ่งผลักดันพื้นที่สีเขียวในทุกโครงการ เพื่อเติมเต็มความสุขให้กับทุกชีวิตควบคู่ไปกับการใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน TASTEMAKER RML ยังคงจุดยืนเดิมอย่างแข็งแกร่งในด้านการดีไซน์ในระดับเวิลด์คลาส โครงการปัจจุบันและโครงการในอนาคตยังคงความมีดีไซน์ที่โดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ เพื่อเป็นแลนด์มาร์กของเอเชีย โดยไม่ทิ้งการผสมผสานบริบทของภูมิศาสตร์ วัฒนธรรมของทำเลที่โครงการเข้าไปตั้งอยู่อย่างลงตัว อีกทั้งยังมอบการบริการที่เหนือระดับจากพาร์ทเนอร์ระดับโลก และ ทีม RML Service เพื่อมอบประสบการณ์ทางด้านการอยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า “RML ยังคงเดินหน้าเติบโตต่อไปอย่างแข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการยืนหยัดในการเป็นผู้นำอันดับ 1 ของตลาดอสังหาฯ ลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ของไทย ที่พัฒนาโครงการในรูปแบบใหม่ที่ไม่มีใครเหมือน และเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในเอเชีย โดยหนึ่งในโครงการไฮไลต์ของปีนี้คือ ‘OCC (One City Centre)’ อาคารสำนักงานลักชัวรี่ Grade A+ ที่สูงที่สุดในไทย ที่มีสกายวอล์กเชื่อมกับ BTS เพลินจิต โปรเจกต์ยักษ์ที่ร่วมทุนกับ มิตซูบิชิ เอสเตท (ประเทศไทย) ผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำของญี่ปุ่น มูลค่าโครงการ 8,800 ล้านบาท ซึ่งเราจะเปิดอย่างเต็มรูปแบบในปีนี้ ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่สำนักงานจากบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกและบริษัทชื่อดังในไทย แล้วประมาณ 55% ซึ่งคาดว่าปีนี้จะมีอัตราการเช่าพื้นที่สำนักงานเกินกว่า 70% ในขณะที่มีอัตราการเช่าพื้นที่รีเทลจากร้านค้าพรีเมียมแล้วเกือบเต็ม อยู่ที่ประมาณ 90% เหลือเพียงไม่กี่ยูนิตเท่านั้น คาดว่าอัตราการเช่าพื้นที่รีเทลจะเต็ม 100% ในปี 2567 นี้แน่นอน” นายกรณ์ กล่าวเสริม สำหรับบริษัทที่เซ็นสัญญาเช่าพื้นที่สำนักงาน ‘OCC’ ล้วนเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลก และเป็นที่รู้จักในไทยจากหลากหลายธุรกิจ ทั้งธุรกิจเทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ, โค-เวิร์คกิ้งสเปซ ตลอดจนธุรกิจการเงิน และธุรกิจบริการ   บทความน่าสนใจ RML เปิดให้ชมโฉม ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ คอนโดฯ ลักชัวรี่ พร้อมอยู่ ใจกลางสาทร 10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML  
“โนเบิล”  ปี 67 เปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 14,310 ล้านบาท เปิดธุรกิจใหม่ดูแลลูกบ้าน

“โนเบิล” ปี 67 เปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 14,310 ล้านบาท เปิดธุรกิจใหม่ดูแลลูกบ้าน

บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ หรือ “บริษัทฯ” ปักธงปี 2567 เปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 14,310 ล้านบาท และเดินเกมรุกตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง ทุ่มงบซื้อที่ดินย่านพระราม 9 ประชาชื่น และบางนา-ตราด ปูทางขึ้นพร้อมต่อยอดธุรกิจให้ครบวงจร หนุนสร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Recurring Income)     นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) “NOBLE”  เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2567 มีแนวโน้มการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปี 2566 โดยในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ประสบความสำเร็จจากการขายโครงการตลอดทั้งปี ซึ่งสามารถกวาดยอดขาย (Pre-sale) ได้กว่า 14,900 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) จำนวน 6,600 ล้านบาท และเป็นยอดขายจากการเปิดตัวโครงการใหม่ และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกจำนวน 8,300 ล้านบาท   ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 18,900   ล้านบาท ซึ่งสามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่องด้วยสินค้าที่มีคุณภาพและอยู่ในทำเลศักยภาพที่ดี ถึงแม้สภาพเศรษฐกิจอยู่ในช่วงที่ไม่เอื้ออำนวย รวมถึงดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้นแต่บริษัทฯ ยังคงสร้างยอดขายได้ในระดับที่น่าพอใจ นอกจากนี้ บริษัทฯ มียอดขายรอโอน (Backlog) ณ สิ้นปี 2566 ในมือรวมมูลค่ากว่า 19,700 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ภายใน 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงเห็น Sentiment (ความเชื่อมั่น) ที่ดีขึ้นต่อเนื่อง โดย Segment ที่ยังคงสร้างยอดขายที่ดีให้กับบริษัทฯ เป็นโครงการที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบระดับ Luxury และคอนโดมิเนียมในเมือง   นายธงชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2566 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในด้านยอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยมีสัดส่วนยอดขายที่ระดับกว่า 5,700 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ได้การตอบรับที่ดีเป็นโครงการประเภทคอนโดมิเนียมระดับ Luxury บนทำเลถนนทองหล่อ ถนนสุขุมวิท และถนนวิทยุ เช่น โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ โครงการโนเบิล สเตท 39 และโครงการ ดิ เอ็มบาสซี ไวร์เลส ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ กับกลุ่มฮ่องกง แลนด์ โดยขณะนี้โครงการดังกล่าวมียอดขายต่างชาติเข้ามากว่า 2,200 ล้านบาท ขณะเดียวกันในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการขยายตลาดของลูกค้าต่างชาติไปในตลาดใหม่ๆ ให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น เมียนมา ไต้หวัน สิงคโปร์ และฮ่องกง เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ เชื่อว่าในปี 2567 กลุ่มลูกค้าจีนจะกลับมามากขึ้นหลังเศรษฐกิจของจีนกลับมาดีขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่จะหนุนให้ยอดขายจากลูกค้าต่างชาติของบริษัทฯ กลับมามากยิ่งขึ้น   ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2567 ที่ผ่านมาได้มีมติอนุมัติปันผลระหว่างกาลของผลการดำเนินงานงวด 3 เดือนของไตรมาส 3/2566 จำนวน 0.20 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผล  (Dividend Payout Ratio) ที่ 51.2% โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 29 มกราคม 2567 และจ่ายเงิน   ปันผลวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 นี้   ในปี 2567 บริษัทฯ มีแผนซื้อที่ดินเพิ่มอีก จำนวน 3 แปลง ประกอบด้วย 1. ที่ดินบนทำเล พระราม 9 เพื่อจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง มูลค่าเกือบหมื่นล้านบาท 2.ที่ดินทำเลย่านประชาชื่น เพื่อจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียม Low Rise และ 3.ที่ดินบนทำเลบางนา-ตราด ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่ม BTS และสหพัฒน์ เพื่อพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ตอกย้ำถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ยังคงแข็งแกร่งและยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง   นายธงชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าต่อยอดธุรกิจให้มีความครบวงจรเต็มรูปแบบมากขึ้น โดยการเพิ่มไลน์ธุรกิจ ซึ่งจะเป็นการดำเนินการภายใต้ บริษัท เซิร์ฟ โซลูชั่น จำกัด ในรูปแบบธุรกิจบริหารนิติบุคคล ธุรกิจบริการฝากขาย-ปล่อยเช่า รวมถึงธุรกิจการบริการจัดหาเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีธุรกิจต่อเนื่องที่จะสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income ) เช่น ธุรกิจการให้บริการสายไฟเบอร์ออฟติก (Fiber Optic Cable) ในโครงการที่อยู่อาศัย ธุรกิจบริการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า (EV Charger) ธุรกิจบริการติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ (Solar Cell) บนหลังคาของโครงการที่อยู่อาศัย เป็นต้น อีกทั้ง ยังมองหาธุรกิจใหม่ๆ ที่จะทำร่วมกับพันธมิตรซึ่งมีความเชี่ยวชาญโดยตรง เช่น ธุรกิจบริการพื้นที่  เก็บของ (Self-Storage) คาดว่าจะสามารถเปิดเผยรายละเอียดได้เร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม แผนการสยายปีกดังกล่าวเป็นการต่อยอดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ฯ ให้มีความครบวงจรควบคู่กับการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ ในอนาคต   บทความน่าสนใจ โนเบิลเปิดตัว Noble Curate “ตัวคุณกำหนดทุกสิ่ง” ร่วมกับ 6 ไอคอนสถาปนิกไทย บ้านเดี่ยวทำเลหายาก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา “Noble Aqua Riverfront Ratburana”  
สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้า1.8 หมื่นล้าน ก้าวสู่ปีที่ 10 อย่างแข็งแกร่ง ทุกโครงการที่เปิดต้องมาสเตอร์พีซ

สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้า1.8 หมื่นล้าน ก้าวสู่ปีที่ 10 อย่างแข็งแกร่ง ทุกโครงการที่เปิดต้องมาสเตอร์พีซ

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2567 ที่ยังคงเน้นการพัฒนาและลงทุนกับโครงการระดับมาสเตอร์พีซ ภายใต้ปรัชญา “Go Beyond Dreams” เดินหน้าสร้างซินเนอร์จีธุรกิจภายในเครือ ตลอดจนผนึกกำลังพันธมิตร พร้อมชูกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน  โดยตั้งเป้ารายได้โต 20% อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท   สิงห์ เอสเตท นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า  ถึงกลยุทธ์ในการสร้าง สิงห์ เอสเตท ในปี 2566 ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย ที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบขยายฐานลูกค้าครบทุก ลักซ์ชัวรีเซ็กเมนต์ และการขยายสัดส่วนการถือครองโครงการ The ESSE Sukhumvit 36 รับการฟื้นตัวของความต้องการในกลุ่ม ของตลาดคอนโดมิเนียม อีกทั้งการลงทุนในที่ดินในทำเลศักยภาพที่รองรับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องสำหรับโครงการในอนาคตตามกลยุทธ์หลักของบริษัทที่สร้างการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน   ขณะที่กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ ‘เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท’ (SET: SHR) ก็มีความโดดเด่นจากการเปิดตัว SO/Maldives โรงแรมไลฟ์สไตล์หรูระดับ 5 ดาว ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ และการยกระดับห้องพักโรงแรมในเครืออีก 5 แห่ง เพื่อตอบรับโอกาสจากความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงเสริมการให้บริการในโรงแรมเพื่อให้สามารถเก็บอัตราห้องพักต่อวันและรายได้จากบริการอื่น ๆ ได้สูงขึ้นและเพิ่มมากขึ้น และการต่อยอดแบรนด์ ทราย (“SAii”)  ในการให้บริการที่มีความหลากหลายยิ่งขึ้นและเพิ่มรายได้อื่น ๆ นอกจากราคาห้องโรงแรมของกลุ่ม   ในส่วนของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า บริษัทมีการนำโมเดลธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการใช้พื้นที่ของคนทำงานยุคใหม่ และกลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยจุดแข็งของนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ที่มีการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ของโรงไฟฟ้าเพิ่มอีก 2 แห่ง และแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ภายในพื้นที่รองรับการลงทุนในอนาคต “โดยในปี 2567 นี้ เราตั้งเป้ารายได้รวมของบริษัทให้เติบโตขึ้นสูงถึง 20% หรือมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 18,000 ล้านบาทผ่านแนวคิด Go Beyond Dream ที่ใช้ 3 แนวทางสนับสนุนสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตครั้งนี้ ได้แก่ 1) Go Expertise การสร้างซินเนอร์จีจากความชำนาญของทีมระหว่าง 4 กลุ่มธุรกิจ โดยดึงเอาจุดแข็งและความชำนาญที่แตกต่างและโดดเด่นของแต่ละธุรกิจเพื่อเกื้อหนุนกันและกัน เพื่อการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำและส่งมอบคุณค่าแก่ลูกค้า 2) Go Elixir การผนึกกำลังกับพันธมิตรใหม่ เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจและการลงทุน 3) Go Exceed, Go Exit ความมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน SDG13 Climate Change สู่การเป็นองค์กร Carbon Neutrality ของสิงห์ เอสเตท ในปี 2573 เพื่อสร้างความสมดุลของธุรกิจทั้งกับชุมชุน สังคมและสิ่งแวดล้อม” กลุ่มธุรกิจที่พักอาศัย จากความสำเร็จในการพัฒนาโครงการระดับมาสเตอร์พีซอย่าง โครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส โครงการลาซัวว์ เดอ เอส และโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ทำให้เกิดความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในโครงการใหม่ ๆ อาทิ SMYTH, S’RIN และ SHAWN ในปี 2567 นี้ สิงห์ เอสเตท เตรียมต่อยอดความสำเร็จโครงการบ้านแนวราบที่มีครบทุกเซ็กเมนลักซ์ชัวรีตามแผนงาน และยังคงไว้ซึ่งการถ่ายทอด DNA ที่ยึดถือในการพัฒนาโครงการให้ได้คุณภาพระดับ “Best in Class” ด้วยอัตลักษณ์ในแบบฉบับของสิงห์ เอสเตท โดยได้มีการลงทุนในที่ดินทำเลศักยภาพที่รองรับการพัฒนาสำหรับโครงการที่จะเกิดขึ้นระยะ 3-5 ปีต่อจากนี้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากยอดโอนเพิ่มขึ้นอีก 50% ในปีนี้   กลุ่มธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR ยังคงมีแผนที่จะปรับปรุงโรงแรมตามแผนการยกระดับพอร์ตโฟลิโออย่างต่อเนื่อง จำนวน 5 โรงแรมในเครือที่ประเทศไทยและต่างประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มอัตราเฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ได้มากกว่า 25% รวมถึงแผนการเสริมการให้บริการด้านอื่น ๆ ให้สอดคล้องกับการยกระดับห้องพักที่จะสร้างรายได้เพิ่มเติม นอกเหนือจากรายได้การเข้าพัก (Non-Room Revenue) จากการใช้จ่ายต่อคนในการใช้บริการ ภายในโรงแรมเพิ่มขึ้นอีก 15% ขณะที่การหมุนเวียนสินทรัพย์ (Asset Rotation) ยังเป็นปัจจัยหนึ่งในการเสริมความแข็งแกร่งด้านผลประกอบการ โดยมุ่งเน้นไปที่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง รวมถึงการมองหาโอกาสในการควบรวมกิจการของธุรกิจที่ทำให้เกิดโอกาสรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องเพิ่มขึ้นด้วย   กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ในการใช้โมเดลธุรกิจที่มีความยืดหยุ่น ควบคู่ไปกับการชูจุดเด่นด้านที่ตั้งของโครงการต่างๆ ในเครือ ซึ่งจะทำให้มีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยของอาคารสำนักงานในเครือที่มากกว่าในช่วงปี 2562 ด้วยอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 85% ในทุกโครงการที่ดำเนินการมาก่อนหน้านี้ กลุ่มธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน มีการตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในนิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง อยู่ที่ 40% ของพื้นที่ขายรวม โดยใช้ทำเลยุทธศาสตร์ที่เป็นจุดศูนย์กลางระหว่างแหล่งวัตถุดิบและเส้นทางการขนส่ง ความพร้อมด้านระบบสาธารณูปโภคทั้งกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีสูงถึง 400 MWและปริมาณน้ำซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับผู้ประกอบการเฉพาะทาง อาทิ กลุ่ม Semi-Conductor หรือ กลุ่ม Data Center นอกเหนือจากธุรกิจทางด้านอาหาร และความร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เป็นแรงหนุนสำคัญในการทำให้สำเร็จตามเป้าหมาย   การดำเนินงานด้านความยั่งยืน มีแผนที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality ด้วยกลยุทธ์ Climate Resilience Model เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  รวมถึงการให้ความสำคัญของพื้นที่ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยตั้งเป้าขยายพื้นที่ความหลากหลายทางทะเลถึง 30% นอกจากนี้ยังมุ่งเป็นศูนย์กลางในการสร้างสังคมคุณภาพ ผ่านโครงการต่าง ๆ ถึงกว่า 30 โครงการ นับเป็นจำนวนมากกว่า 100,000 คน ครอบคลุมพื้นที่การดำเนินงาน 5 ประเทศในทุกกลุ่มธุรกิจ  ได้แก่ ประเทศไทย สาธารณรัฐมัลดีฟส์ สาธารณรัฐมอริเชียส สหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ     “ภายใต้แนวคิด Go Beyond Dreams เราพร้อมก้าวย่างเข้าสู่ปีที่ 10 ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมที่จะพัฒนาโครงการคุณภาพระดับ “Best in Class” ในทุกกลุ่มธุรกิจ อย่างที่เราได้ประสบความสำเร็จมาแล้วกับโครงการระดับมาสเตอร์พีซ อาทิ โครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส โครงการ  ครอสโรดส์ มัลดีฟส์ และโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ แม้ว่า ปี 2567 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ท้าทายสำหรับเศรษฐกิจโลก แต่กลุ่มบริษัท สิงห์ เอสเตท มีกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจไปพร้อมกับการเตรียมตั้งรับสถานการณ์ต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เพื่อตอกย้ำแนวทางการทำธุรกิจแบบมั่นคงและยั่งยืน” นางฐิติมา กล่าว   บทความน่าสนใจ สิงห์ เอสเตท รุกตลาดบ้าน Ultra Luxury ปักหมุด SMYTH’S Ramintra เริ่ม 120 ล้าน สิงห์เอสเตท  ครึ่งปีแรกรายได้โต 92% พลิกมีกำไร 102 ล้าน สิงห์ เอสเตท เปิด 5 โครงการที่อยู่อาศัยหมื่นล้าน ขายบ้านอัลตร้า ลักชัวรี่ หลังละ 550 ล้าน
เปิดตัว CG Capital บริษัทบริหารกองทุน โดยตระกูลจิราธิวัฒน์ เจาะตลาดอสังหาฯ โรงแรม ในเมืองท่องเที่ยว

เปิดตัว CG Capital บริษัทบริหารกองทุน โดยตระกูลจิราธิวัฒน์ เจาะตลาดอสังหาฯ โรงแรม ในเมืองท่องเที่ยว

เปิดตัว ซีจี แคปปิตอล (CG CAPITAL) บริษัทผู้บริหารกองทุน Private Equity โดยทีมบริหารของผู้ก่อตั้ง “ภูมิ จิราธิวัฒน์” ประเดิมตั้งกองทุนแรก 10,000 ล้านบาท มุ่งลงทุนกลุ่มโรงแรม ท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์ในไทย ปักหมุด 4 เมืองท่องเที่ยวหลัก พร้อมประกาศลงทุนโครงการแรกกับ Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) แบรนด์บูทีคโฮเทลและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลก มูลค่า 5,000 ล้านบาท ในรูปแบบโครงการมิกซ์ยูส ที่มี The Standard Residences, Phuket Bang Tao (เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา) และ The Peri Hotel Phuket Bang Tao (เดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา)   CG CAPITAL นายภูมิ จิราธิวัฒน์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร บริษัท CG Capital จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของธุรกิจท่องเที่ยวไทยหลังวิกฤตโควิด-19 สามารถพลิกฟื้นกลับมาขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดจากสิ้นปี 2566 ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาประเทศไทยจำนวนสูงถึง 28 ล้านคน และมีแนวโน้มที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเท่าช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 และขยายตัวต่อไปได้อย่างแน่นอน จึงมองว่าแนวโน้มธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับภาคท่องเที่ยวยังมีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องในระยะยาว จึงตัดสินใจจัดตั้งบริษัท ซีจี แคปปิตอล ขึ้นมา ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจบริหารการลงทุนในรูปแบบกองทุน Private Equity     นายสรวิศ ชัยโรจน์ ผู้ก่อตั้งและกรรมการบริหาร บริษัท CG Capital จำกัด กล่าวว่า  บริษัทได้จัดตั้งกองทุนแรกมูลค่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ลงทุนหลักประกอบด้วย 1.ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 2.ธนาคารชั้นนำ 3.นักลงทุนสถาบันระดับโลก โดยมีวัตถุประสงค์ลงทุนเพื่อสนับสนุนธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นหลัก ซึ่งจะมีทั้งการลงทุนในโรงแรม คอนโดมิเนียม สวนสนุก สวนน้ำ และ Mixed-use ที่เกี่ยวข้อง มุ่งเน้นในเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ ได้แก่ กรุงเทพ ภูเก็ต สมุย และพัทยา โดยคาดว่าจะลงทุนปีละ 3-5 โครงการ     นายภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2567 นี้ บริษัทจะเปิดตัวโครงการแรกที่ลงทุน ประกอบด้วย โครงการที่พักอาศัย Branded Residences ภายใต้เครือโรงแรมบูทีคไลฟ์สไตล์ระดับโลกอย่าง Standard International (สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล) โดยใช้ชื่อว่า The Standard Residences, Phuket Bang Tao (เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ ภูเก็ต บางเทา) และ The Peri Hotel Phuket Bang Tao (เดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา) ซึ่งเป็นโรงแรมในเครือแบรนด์ Standard International เช่นเดียวกัน ทำเลที่ตั้งถือเป็นไข่แดงของย่านเชิงทะเล-บางเทา ซึ่งเป็นทำเลที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในภูเก็ต ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก อีกทั้งใกล้แหล่งช้อปปิ้งและร้านอาหารดังในภูเก็ต อาทิเช่น โบ้ท อเวนิว, ลากูน่า กอล์ฟ คลับ, ปอร์โต เดอ ภูเก็ต, และสวนน้ำบลูทรี มูลค่าโครงการมากกว่า 5,000 ล้านบาท จะเปิดตัวภายในเดือนเมษายน 2567 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณปี 2569     “เราจัดตั้งกองทุนแรกนี้ขึ้นมา เพราะมีความเชื่อมั่นว่าภาคธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศไทยยังมีอนาคตที่ดี และเชื่อว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า นักท่องเที่ยวจะเติบโตต่อเนื่องทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ รวมถึงกลุ่ม Expat และ Digital Nomad ที่มองประเทศไทยเป็นจุดหมายอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งการเข้าไปลงทุนในโครงการต่าง ๆ ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง เป็นการช่วยสนับสนุนการพัฒนาของธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศไทย และจะส่งผลให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีตามไปด้วยในระยะยาวบนความผันผวนที่ต่ำกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น  ปัจจุบันการลงทุนในรูปแบบ Private Equity ถือเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำของโลก เพราะมีความคล่องตัวในการบริหาร มีขั้นตอนและหลักเกณฑ์การลงทุนที่เป็นระบบ และให้การเติบโตทางมูลค่าที่แตกต่าง ทำให้นักลงทุนสถาบันชั้นนำทั่วโลกให้น้ำหนักในพอร์ตกันมากขึ้น” นายสรวิศกล่าวปิดท้าย   บทความน่าสนใจ อรสิรินโฮลดิ้ง เตรียมขาย IPO 406.5 ล้านหุ้นใน SET หลังก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง ส่อง ตลาดที่อยู่อาศัยปี 66 การเติบโตท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง ดอกเบี้ย-ต้นทุนพุ่ง
“ออริจิ้น” เปิดเมกะโปรเจกต์ “Origin Resort World” ภูเก็ต เขาใหญ่ มูลค่ารวม 11,000 ล้าน

“ออริจิ้น” เปิดเมกะโปรเจกต์ “Origin Resort World” ภูเก็ต เขาใหญ่ มูลค่ารวม 11,000 ล้าน

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ยกพลขึ้นบกที่หาดบางเทา จังหวัดภูเก็ตสุดยอดเมืองท่องเที่ยงของไทย แถลงข่าวเปิดโรดแมป 5 ปี พัฒนามิกซ์ยูสระดับเมกะโปรเจกต์ “Origin Resort World” ในหัวเมืองท่องเที่ยว พร้อมเปิดตัวพัฒนาแล้ว 2 ทำเลพร้อมกัน ภูเก็ต บางเทา บีช และเขาใหญ่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 11,000 ล้านบาท  โครงการที่รวมเอาความสะดวกสบายและตอบโจทย์ทุกกลุ่มการอยุ่อาศัย ผสมผสานคอนโดมิเนียม, ลักชูรี วิลล่า, โฮเทล วิลล่า, บีชคลับ, เรสซิเดนซ์, โรงแรม 5 ดาว, บริการ Wellness เติมเต็มความสมบูรณ์เมืองท่องเที่ยว บูรณาการทุกองค์ประกอบ     นายกฤษณ์ เตชะสัมมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า โมเดลการพัฒนาเมืองระดับเมกะโปรเจกต์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด” (Origin Resort World) เป็นการสร้างที่อยู่ศัยแบบครบวงจร โดยความร่วมมือกับบริษัทในเครือ อาทิ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด,บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI, บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด (มหาชน) หรือ ONEO, บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด มาร่วมกันพัฒนาอาณาจักรมิกซ์ยูสในทำเลท่องเที่ยวศักยภาพ สร้างเมืองที่บูรณาการทุกองค์ประกอบของการท่องเที่ยวและการพักผ่อนเข้าด้วยกัน อาทิ โรงแรมระดับ 5 ดาว, วิลล่า, คอนโดมิเนียม และ บริการด้าน Wellness ให้เป็น World Detitanation แห่งการพักผ่อนครบวงจรอย่างเหนือระดับ     บริษัทวางโรดแมประยะ 5 ปี (2567-2572) นำร่องพัฒนาโครงการออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด ก่อนใน 2 ทำเล ได้แก่ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด ภูเก็ตบางเทา บีช” (Origin Resort World Phuket | Bangtao Beach) และ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด  เขาใหญ่” (Origin Resort World | Khao Yai) มูลค่าโครงการรวมกันกว่า 11,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็น 2 ทำเลท่องเที่ยวระดับท็อปของประเทศ มีดีมานด์สำหรับทุกตลาด ทั้งตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อการอยู่อาศัยเอง ตลาดบ้านพักตากอากาศ ตลาดลงทุนปล่อยเช่าระยะยาว ตลาดเข้าพักท่องเที่ยวระยะสั้น ตลอดจนตลาดเข้าพักระยะยาว   สำหรับ ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด ภูเก็ต  บางเทา บีช (Origin Resort World Phuket | Bangtao Beach) มูลค่าโครงการ 8,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 25 ไร่ ติดหาดบางเทา หาดที่ขึ้นชื่อว่าพระอาทิตย์ตกสวยที่สุด และถือเป็นทำเลศูนย์กลางในการเดินทางเพื่อไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ ของภูเก็ตได้อย่างสะดวก ประกอบด้วย 5 โครงการ ได้แก่   โซ ออริจิ้น บางเทา บีช  คอนโดมิเนียมหรู สูง 8 ชั้น บัลโค ลักชูรี พูล วิลล่า จำนวน 35 หลัง วัน ออริจิ้น โฮเทล บางเทา รงแรมระดับ 5 ดาว ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาเชน Branded Residences Tichuka Phuket Beach Club ยกทัพจากบาร์ชื่อดังในทองหล่อ สู่พื้นที่สังสรรค์และพักผ่อนริมทะเล   สำหรับ ออริจิ้น เนชั่นวายด์ เปิดโครงการ โซ ออริจิ้น บางเทา บีช มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Luxury สูง 8 ชั้น จำนวน 3 อาคาร 545 ยูนิต และ 1 คลับเฮ้าส์ ขนาดห้องชุดเริ่มต้นที่ 26 ตารางเมตร 32 ตารางเมตร และสูงสุด 50 ตารางเมตร  ขายแบบตกแต่งครบ Fully Furnished พร้อมอยู่ พร้อมลงทุน  คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 3ปี 2567 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1 ปี 2569 เปิดขายรอบ VVIP ในวันที่ 20 ม.ค.นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท หลังจากนั้น บริทาเนีย จะเปิดขายบัลโค (Balco) อย่างเป็นทางการในเฟสถัดไปภายในปีนี้     นายประเสริฐกุล เจริญทวีมงคล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับ “ออริจิ้น รีสอร์ท เวิล์ด เขาใหญ่” (Origin Resort World | Khao Yai) เป็นเมกะโปรเจกต์มูลค่าโครงการรวมกว่า 3,000 ล้าน ในแปลงที่ดินขนาด 40 ไร่ บน ถ.ธนะรัชต์ ที่ประกอบด้วยความพิเศษหลายอย่าง ได้แก่ 1.เป็นโครงการที่เกิดขึ้นจากการ่วมทุนกันระหว่างเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และเครือบริษัท เอเชี่ยน ซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN 2.มีบริการด้าน Wellness และ Well-Being พร้อมรองรับผู้พักอาศัยทุกช่วงวัย อาทิ บริการทางการแพทย์ระดับเวิลด์คลาส บริการตรวจสุขภาพประจำสัปดาห์ ศูนย์ฟื้นฟูและกายภาพ ศูนย์สันทนาการและพักผ่อนหย่อนใจ เติมพลังบวกให้แก่การพักผ่อนทั้งของคู่รัก ครอบครัว กลุ่มเพื่อน ตัวโครงการ พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ The Integrated Well-Being Residence and Hospitality Destination บูรณาการพลังแห่งธรรมชาติอันเป็นจุดเด่นของเขาใหญ่ การออกแบบระดับมาสเตอร์พีซ บริการระดับเวิลด์คลาส และโปรแกรมการพักผ่อนที่ยกระดับ Well-Being ประกอบด้วย 4 ส่วน ได้แก่       Branded Residences Villa เป็น Luxury Pool Villa จำนวน 19 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 19 ล้านบาท Branded Residences Condominium เป็นอาคารขนาด 4-6 ชั้น จำนวน 20 อาคาร รวม 405 ยูนิตพักอาศัย ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท โรงแรมระดับ 5 ดาว จำนวน 191 ห้องพัก  ศูนย์บริการด้าน Wellness “เขาใหญ่กำลังกลายเป็นเมืองตากอากาศที่จะมาแทนที่เชียงใหม่ เนื่องจากมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การผ่อนคลายจากทุกความเหนื่อยล้าจากการทำงานและชีวิตในเมือง อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และยังสามารถเดินทางได้ด้วยรถยนต์​ เรามองว่าตลาดบ้านพักตากอากาศ ยังมีความต้องการสูงมากในพื้นที่นี้ ส่งผลให้เราเปิดตัว Branded Residences Villa และ Branded Residences Condominium ก่อนเปิดให้ชม Show unit ครั้งแรกพร้อมนำเสนอ 3D simulation urban & lifestyle เจ้าแรกเจ้าเดียวในเขาใหญ่ ปลายเดือนม ค. นี้ และ เปิดขายรอบ VVIP ปลายเดือนก.พ. นี้ และน่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมเร็วๆ นี้” นายประเสริฐกุล กล่าว   บทความน่าสนใจ อาณาจักร ORIGIN PET FAMILY คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ 16 โครงการ 26,000 ล้าน ORIGIN NEXT LEVEL การเดินหน้าสู่ Top5 ผู้นำในทุกธุรกิจ
[PR News] Maison เปิดตัวบ้านใหม่ล่าสุด ทำเลดี ติด ม.เกษตร ศรีราชา

[PR News] Maison เปิดตัวบ้านใหม่ล่าสุด ทำเลดี ติด ม.เกษตร ศรีราชา

"ไมซัน ฮิลล์ สุขุมวิท-ศรีราชา" บ้าน French Colonial พร้อมคลับเฮาส์ที่โอบล้อมด้วยเขาและทะเล   บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด บนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองศรีราชา ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และนิคมฯ แหลมฉบัง เดินทางสะดวกทุกรูปแบบ เพียง 1 นาที ก็ถึงมหาลัยเกษตรศาสตร์ และ 5 นาที ถึงนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง   โครงการ "ไมซัน ฮิลล์ สุขุมวิท-ศรีราชา" เป็นโครงการบ้านและทาวน์โฮมหรูในแบบบ้านสไตล์ เฟรนช์โคโลเนียล (French Colonial) พร้อมคลับเฮาส์ที่มีวิว Sunset โอบล้อมด้วยทะเลและภูเขา ในบรรยากาศสบายเหมาะกับการอยู่อาศัย ในราคาเริ่มต้น 2-4 ล้านบาท* พร้อมเปิดตัวภายใน 17-18 กุมภาพันธ์ 2567   ชื่อโครงการ  :  Maison hill (สุขุมวิท- ศรีราชา) เจ้าของโครงการ   : บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด ที่ตั้งโครงการ      : ซ.เขาน้ำซับ ตำบล ทุ่งสุขรา  อ.ศรีราชา ลักษณะโครงการ  : ทาวน์โฮม ทาวน์โฮมอิสระ บ้านแฝด บ้านเดียว พื้นที่โครงการ  : 22-3-20.1 ไร่ จำนวนยูนิต  : 176 ยูนิต ที่จอดรถ  : 2  คัน สิ่งอำนวยความสะดวก : สวนสวยขนาดใหญ่, สระว่ายน้ำระบบเกลือ , เข้า-ออกโครงการด้วยระบบสแกนทะเบียน  Auto Access, กล้องวงจรปิดรปภ. 24 ชม. (Smart home) รองรับ EV Ready ราคา  :  เริ่มต้น 2-4 ลบ. เปิดจอง  : 17-18 ก.พ. 67  
[PR News] “อยู่ดี มีสุข” มอบสุขภาพดีรับปีใหม่ผ่านกิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’

[PR News] “อยู่ดี มีสุข” มอบสุขภาพดีรับปีใหม่ผ่านกิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’

พฤกษา ร่วมกับ โรงพยาบาลวิมุตและโรงพยาบาลเทพธารินทร์ เดินหน้าส่งมอบสุขภาพดีอย่างยั่งยืนให้แก่ลูกบ้านพฤกษาด้วยกิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’ ที่ให้ความรู้ด้านสุขภาพเพื่อการป้องกันด้วยคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทางและทีมสหสาขา พร้อมให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้นด้วยการวัดความดันและทดสอบความยืดหยุ่นของร่างกาย ซึ่งสอดคล้องตามกรอบแนวคิด “Live well Stay well อยู่ดี มีสุข” นำโดยนางสาวปุณณ์รัตน์ เบี้ยวไม กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยว บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลวิมุตและโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ณ คลับเฮ้าส์ โครงการเดอะปาล์ม บางนา วงแหวน   นางสาวปุณณ์รัตน์ เบี้ยวไม กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยว บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดกิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’ เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของกลุ่มพฤกษาด้วยกรอบแนวคิด ใส่ใจเพื่อทั้งชีวิต “อยู่ดี มีสุข” (Live well Stay well) ที่สร้างปัจจัยสุขทั้ง 3 ด้านด้วยการส่งมอบความเป็นอยู่ที่ดี สุขภาพที่ดี และสร้างสรรค์สังคมชุมชนที่ดี ซึ่งที่ผ่านมาพฤกษาได้ส่งมอบความเป็นอยู่ที่ดีด้วยที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ทุกความต้องการมาโดยตลอด และครั้งนี้เรามีความตั้งใจที่จะมอบสุขภาพที่ดีให้แก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการและชุมชนใกล้เคียงด้วยเช่นกัน จึงได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลวิมุตและโรงพยาบาลเทพธารินทร์ซึ่งเป็นธุรกิจเฮลท์แคร์ในเครือพฤกษา โฮลดิ้ง เข้ามาช่วยสนับสนุนการจัดกิจกรรม โดยให้ความรู้เรื่องการส่งเสริมสุขภาพในเชิงป้องกันเพื่อสร้างการตระหนักรู้และสนับสนุนให้ทุกคนสามารถนำมาปรับใช้ในการดูแลสุขภาพของตนเอง     “กิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’ เกิดขึ้นจากการที่พฤกษาอยากสนับสนุนให้ทุกคนมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน โดยเริ่มต้นจากการมีความรู้เพื่อการป้องกันก่อนเกิดโรค ภายในงานจึงเปิดให้บริการ Fit Check เพื่อตรวจสุขภาพเบื้องต้นและทดสอบความยืดหยุ่นของร่างกาย พร้อมรับฟังสาระความรู้ในหัวข้อ ‘Fitness Do and Don’t ออกกำลังกายอย่างไรให้คุ้มค่าไม่พาป่วย’ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลเทพธารินทร์ และสาระความรู้เพื่อเตรียมรับมืออาการเจ็บป่วยในหัวข้อ ‘รู้ทัน 8 สัญญาณความเสื่อมเพื่อการป้องกัน’ โดยแพทย์หญิงกอบกาญจน์ ชุณหสวัสดิกุล แพทย์เวชศาสตร์ป้องกันและผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด และนายแพทย์เก่งพงศ์ ตั้งอรุณสันติ ผู้อำนวยการ Chersery Home โรงพยาบาลผู้สูงอายุและศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู นอกจากนี้ ผู้ร่วมงานทุกท่านยังได้รับคำแนะนำด้านการปรับสมดุลร่างกายและจิตใจโดยผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีบำบัดและพลังงานบำบัด โดยกิจกรรมในครั้งนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมอย่างคับคั่งและได้รับการตอบรับจากลูกบ้านและชุมชนใกล้เคียงเป็นอย่างดี เพราะสามารถนำไปปรับใช้เพื่อดูแลตัวเองรวมไปถึงคนในครอบครัว ซึ่งจากผลตอบรับที่ดีของกิจกรรมนี้ ทำให้พฤกษาวางแผนเดินหน้าที่จะจัดกิจกรรมด้านสุขภาพในโครงการอื่น ๆ ต่อไป” นางสาวปุณณ์รัตน์ กล่าว  
ศรีพันวาเปิดตัว The Sky Series เวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่า หลังละ 250 ล้าน

ศรีพันวาเปิดตัว The Sky Series เวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่า หลังละ 250 ล้าน

ศรีพันวา ผุดโปรเจกต์ The Sky Series เวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่าเพียง 4 หลัง บนที่ดินกว่า 2 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,000 ลบ. ภายใต้แนวคิด Modern Natural ชูสไตล์การออกแบบที่มีเอกลักษณ์จากสถาปนิกชั้นนำ บริษัทแฮบบิต้า เพื่อสร้างความเป็น World Class Tourist Destination ของจังหวัดภูเก็ต ราคาเริ่มต้น 250 ลบ.     The Sky Series นายดิฐวัฒน์ อิสสระ กรรมการ บริษัท ชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตในปีนี้ว่ามีทิศทางการเติบโตขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาภูเก็ตยังได้รับการยกย่องว่าเป็น World Class Tourist Destination ของโลก และในปัจจุบันกำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็น World Class Investment Destination ของนักลงทุนไทยและต่างชาติที่สำคัญอีกด้วย โดยเห็นได้ชัดจากจำนวนนักท่องเที่ยว นักลงทุนต่างชาติ ที่เดินทางเข้าสู่จังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมากขึ้น ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปีนี้มีนักท่องเที่ยวมากว่า 8.2 ล้านคน และคาดว่า ณ สิ้นไตรมาส 4 ของปีจะมีนักท่องเที่ยวสูงถึง 14 ล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย ออสเตรเลีย อินเดีย จีน และคาซัคสถาน ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต ในทุกพื้นที่ คึกคักเป็นอย่างมาก     “จากภาพรวมการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตที่ฟื้นตัว ทำให้ภาคธุรกิจอสังหาฯ โรงแรม เร่งปรับตัว พร้อมพัฒนาโปรดักส์ที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศ โดยเฉพาะบ้านพักตากอากาศซึ่งค่อนข้างได้รับความสนใจซื้อจากเศรษฐี-นักลงทุน ทั้งคนไทยและต่างชาติอย่างมาก โดยเฉพาะบ้านพักตากอากาศตามแนวชายหาด วิวทะเล ที่เงียบสงบ ให้ความเป็นธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันที่ดินบริเวณนี้เริ่มหายากและมีราคาที่สูง บวกกับการปรับตัวของราคาที่ดินในพื้นที่เกาะภูเก็ตในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด” นายดิฐวัฒน์ กล่าว   ล่าสุด ศรีพันวา ภูเก็ต เดินหน้าเปิดที่ดินส่วนเรสซิเดนซ์ผืนสุดท้ายของโครงการจำนวนกว่า 2 ไร่ 1,000 ล้านบาท เปิดตัว  The Sky Series เรสซิเดนซ์ 4 หลังในโครงการ ศรีพันวา ภายใต้แนวคิด Modern Natural ชูจุดเด่นด้านงานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะจากสถาปนิกชั้นนำอย่างแฮบบิตา ในการสร้างให้สถานที่แห่งนี้คือจุดหมายปลายทางที่หลายคนใฝ่ฝันต้องมาเยือน ประกอบกับศักยภาพของทำเลที่ยังคงคอนเซ็ปต์การอนุรักษ์ธรรมชาติ เพราะเรสซิเดนซ์แต่ละหลังจะเน้นให้ผู้อยู่อาศัยได้เห็นทั้งวิวทะเล ต้นไม้ใหญ่ที่สมบูรณ์ อีกทั้งบางแอเรียจะได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบซีวิว บางแอเรียจะได้สัมผัสบรรยากาศในแบบสกายวิว ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากการออกแบบ Baba Nest ภายในโครงการศรีพันวา ที่มีชื่อเสียงดังไกลระดับโลก มาย่อส่วนให้เรสซิเดนซ์ทั้ง 4 หลัง มี Baba Nest ส่วนตัว พร้อมสระว่ายน้ำ ให้สามารถขึ้นมาเทควิวที่สวยงาม ชมพระทิตย์ตก นอกจากนี้การออกแบบพื้นที่ใช้สอยยังถูกออกแบบให้พื้นที่ภายนอกและภายในเชื่อมต่อเป็นพื้นที่เดียวกัน ให้บรรยากาศของธรรมชาติ ท้องฟ้า ทะเล พื้นที่สีเขียว ให้เราได้อยู่กับธรรมชาติตลอดเวลา   “จากการพัฒนาโครงการของชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เรามีความเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี และสามารถพัฒนาทุกโปรดักส์ออกมาตอบโจทย์ตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าในทุกเซกเมนต์ โดยโปรเจกต์ The Sky Series นับว่าเป็นสัญลักษณ์ความเป็นเวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่า ที่จะเป็นแลนด์มาร์คที่โดดเด่น และสร้างความภาคภูมิใจในการครอบครอง โดย The Sky Series เป็นเรสซิเดนซ์ 3 ชั้น 5 ห้องนอน มีจำนวนเพียง 4 หลังสุดท้าย ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 1,200 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 250 ล้านบาท โดยทุกๆ หลัง จะคงคอนเซ็ปต์ในการอนุรักษ์ธรรมชาติ ต้นไม้ใหญ่สำคัญๆ ที่มีอยู่ อาทิต้นมะกอก ต้นมะค่า ที่ยังคงเก็บไว้ ดังนั้นการออกแบบของเรซิเดนซ์ทั้ง 4 หลัง จะไม่เหมือนกัน เพราะเราจะรักษาต้นไม้ดั่งเดิมไว้ และทำบ้านให้อยู่โอบล้อมธรรมชาติ โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วงเดือนมิถุนายน 2567” นายดิฐวัฒน์ กล่าว   ทั้งนี้จากจุดเด่นทั้งทำเลที่เป็นแลนด์มาร์ค งานออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ผสมผสานกับงานอินทีเรียดีไซน์ที่สื่อถึงความเป็น Craft และ Unique จะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความภูมิใจที่เหนือระดับให้กับผู้อยู่อาศัยที่ได้ครอบครองวิลล่าหรูที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโครงการศรีพันวา ภูเก็ต นอกจากนี้ยังจะได้รับบริการ สิ่งอำนวยความสะดวก สุดเอ็กซ์คลูซีฟจากโรงแรมที่ขึ้นชื่อระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร, รูฟท็อปบาร์, สปา ที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง   สำหรับโครงการศรีพันวา ภูเก็ต เป็นโครงการบ้านพักตากอากาศ และโรงแรมสุดหรู แบบพูลวิลล่า ตั้งอยู่บนหาดส่วนตัว ปลายสุดของแหลมพันวา ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะภูเก็ต บนเนื้อที่ 85 ไร่ วิลล่าของศรีพันวา แฝงตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้ และบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว ทั้งยังเปิดให้เห็นทะเลแสนสวยของท้องทะเลอันดามันพร้อมหมู่เกาะล้อมรอบ วิลล่าทุกหลังมีสระว่ายน้ำส่วนตัว   ศรีพันวาได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในห้ารีสอร์ทชั้นนำของประเทศไทย และยังได้รับการคัดเลือก ให้เป็นโรงแรมที่มีเสน่ห์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก วิลล่าออกแบบในสไตล์ทรอปิคอลร่วมสมัย ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลสูงประมาณ 40-60 เมตร มีสิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมสันทนาการมากมาย เพียบพร้อมไปด้วย 6 ร้านอาหาร, 2 รูฟท็อปบาร์, สปา และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ครบครัน พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง  และโซนใหม่ล่าสุด "Yaya" ห้องพัก Pool Suite 24 ห้อง พร้อมห้อง Convention ความจุ 400 คน รวมถึง Baba Soul Cafe และ รูฟท๊อปแห่งใหม่ TU Bar ชมพระอาทิตย์ตกบนชั้นดาดฟ้าที่วิวดีที่สุด แลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่ทุกคนต้องมา   บทความน่าสนใจ ชาญอิสสระ อวดโฉม โครงการ ดิ อิสสระ สาทร ครั้งแรก ชู Luxury Urbanature ชาญอิสสระ แตกไลน์ 2 ธุรกิจ “เวลเนส-คริปโตฯ” พร้อมขนบ้าน-คอนโดหั่นราคา 50%
[PR News] “คริสตัล โฮม” ยกระดับความร่วมมือ “Villeroy & Boch” เปิด Flagship Store แห่งแรกในไทย

[PR News] “คริสตัล โฮม” ยกระดับความร่วมมือ “Villeroy & Boch” เปิด Flagship Store แห่งแรกในไทย

คริสตัล โฮม (Crystal Home) ธุรกิจจัดจําหน่ายสินค้าตกแต่งห้องน้ำหรูและบริการครบวงจร เดินหน้าผนึกความร่วมมือครั้งสำคัญกับแบรนด์เซรามิกชั้นนำจากเยอรมนี “Villeroy & Boch” เปิดตัว Flagship Store แห่งแรกในประเทศไทย จัดแสดงสินค้าห้องน้ำตัวอย่างหลากสไตล์ สร้างสรรค์แรงบันดาลใจเติมเต็มชีวิตชีวาให้ห้องน้ำครบครันในทุกความต้องการ พร้อมเปิดตัวคอลเลกชันพิเศษสำหรับโอกาสครบรอบ 275 ปี ‘Hommage to Hommage’ รวมถึงการเปิดตัว ‘Antao’ คอลเลกชันที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติอันน่าหลงใหล ตอกย้ำแนวทางการคัดสรรแบรนด์ผู้ร่วมสร้างประสบการณ์ นำพาคุณภาพ นวัตกรรม และการออกแบบที่ยอดเยี่ยมไปสู่บ้าน โครงการ และทุกแง่มุมชีวิตของลูกค้าอย่างยั่งยืน คริสตัล โฮม (Crystal Home) คริสตัล โฮม (Crystal Home) นางสุทธิภา สวัสดิ์-ชูโต กรรมการบริษัท ลักซ์เซอรี แอท ลีฟวิง จำกัด เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นของแบรนด์ ‘คริสตัล โฮม (Crystal Home)’ เกิดจากความต้องการสร้างจุดศูนย์กลางให้บริการด้านการตกแต่งห้องน้ำหรูที่ครบวงจร ประกอบกับประสบการณ์กว่า 14 ปี ในการบริหารจัดการพัฒนาโครงการหรู ทำให้เราสามารถวางจุดแข็งที่ตอบโจทย์ต่อลูกค้าในแบบที่ครอบคลุม ตั้งแต่เป็นที่ปรึกษาที่เข้าใจในข้อกำหนดและรูปแบบของโครงการเป็นอย่างดี เป็นผู้จัดหาวัสดุที่มีคุณภาพมากที่สุดและเหมาะสมทั้งแง่การออกแบบและงบประมาณ จนถึงเป็นคนกลางที่สามารถบริหารจัดการงานให้ลูกค้าได้ทุกภาคส่วน ทั้งความร่วมมือกับผู้รับเหมา ผู้ออกแบบ รวมถึงกลุ่มผู้ผลิต ช่วยให้ลูกค้าสามารถไว้วางใจได้ว่าการตกแต่งห้องน้ำหรูเป็นเรื่อง “ง่ายและคุ้มค่า” เมื่อมาที่คริสตัล โฮม   นอกเหนือจากนี้ คริสตัล โฮม ยังทำงานภายใต้ความมุ่งมั่นในการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ตามคอนเซปต์ ‘Leading Luxury Bathroom Company’ ทำให้แบรนด์มีการคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ รวมถึงความเป็นนวัตกรรมที่สะท้อนความหรูหราและความเหนือระดับรวมไว้อย่างครบครัน อาทิ Kohler, TOTO, AXOR, Hansgrohe รวมถึง ‘Villeroy & Boch’ แบรนด์ที่สื่อถึงความหรูหราและเป็นเลิศด้านเซรามิก โดยมี คริสตัล โฮม เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ อีกทั้งสองแบรนด์ยังได้ผนึกความร่วมมือครั้งสำคัญ ในการผสมผสานค่านิยม ความเชื่อ และแง่มุมที่โดดเด่นด้านนวัตกรรม การออกแบบ และคุณภาพที่เหนือระดับที่ทั้งคู่มี ร่วมกันเปิด Flagship Store Villeroy & Boch แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการขึ้นที่ Crystal Design Center, CDC   นางสุทธิภา เสริมต่อว่า Flagship Store แห่งแรกในไทยของ Villeroy & Boch จะให้บริการโดยคริสตัล โฮม ณ CDC ศูนย์รวมของตกแต่งบ้านที่สมบูรณ์แบบที่สุดในเอเซีย โดยภายในโชว์รูมจะเน้นที่การจัดแสดงห้องน้ำตัวอย่างในสไตล์ต่าง ๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มดีไซน์เนอร์ เจ้าของงานโครงการ หรือกลุ่มลูกค้าบ้านระดับไฮเอนด์ เพื่อตอบรับทุกความต้องการในการสร้างสรรค์ห้องน้ำใหม่ หรือแม้แต่กับการปรับปรุงห้องน้ำเดิมให้มีชีวิตชีวา ด้วยการเลือกใช้สุขภัณฑ์และเครื่องใช้ในห้องน้ำที่มีมาตรฐาน เป็นไปตามคอนเซปต์ ‘A House Becomes A Home’ ของแบรนด์ Villeroy & Boch หรือช่วยปรับเปลี่ยนที่อยู่อาศัยให้กลายเป็นบ้านแสนสุข เพราะบ้านไม่ใช่เพียงที่พักอาศัย แต่เป็นพื้นที่ให้เราได้เป็นตัวของตัวเอง ได้แสดงออกถึงสไตล์และรสนิยมตัวเองได้อย่างเต็มที่  Mr. Georg Lörz (เกออร์ค เลอร์ซ) CEO of Bathroom & Wellness Division, Villeroy & Boch กล่าวว่า Villeroy & Boch เป็นแบรนด์จากประเทศเยอรมนีที่ได้รับการยอมรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้ใช้งานทั่วยุโรปมายาวนานกว่า 275 ปี ซึ่งหัวใจหลักที่แบรนด์ให้ความสำคัญ คือคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่แบรนด์รักษาได้ดีมาอย่างต่อเนื่อง ด้านนวัตกรรมที่เราได้มีการพัฒนาวัสดุที่มีคุณภาพอย่าง Quaryl หรือ TitanCeram หรือแม้แต่กระบวนการผลิตที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน, ด้านการออกแบบ ที่ได้มุ่งสร้างความหลายหลากสไตล์และความแตกต่างมีเอกลักษณ์ และยังรวมถึงด้านการตรวจสอบคุณภาพของสินค้าก่อนส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดมาถึงมือผู้บริโภค สะท้อนถึงภาพการเป็นมากกว่าสุขภัณฑ์หรือเครื่องใช้ในห้องน้ำ แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างจากความพิถีพิถันอย่างที่สุด จึงทำให้ความร่วมมือของคริสตัล โฮม และ Villeroy & Boch ในการเปิด Flagship Store นี้ นับเป็นเกียรติครั้งสำคัญในการได้ส่งต่อความเชื่อมั่นที่ชาวยุโรปมีมาสู่ผู้ใช้งานชาวไทย ทั้งนี้ Villeroy & Boch Flagship Store ยังเป็นพื้นที่สำหรับช่วยเติมเต็มประสบการณ์ตกแต่งห้องน้ำที่ลงตัวทั้งทันสมัยและมีระดับ จากการจัดแสดงคอลเลกชันที่บ่งบอกถึงทุกแง่มุมความหรูหราของห้องน้ำ อาทิ ‘Artis’ ผลงานโดยดีไซน์เนอร์ Gesa Hansen พร้อมการออกแบบที่เลือกสรรโทนสีได้ตามใจทั้งอ่างล้างหน้าและอ่างอาบน้ำ, ‘ViConnect’ โซลูชั่นสำหรับการติดตั้งสุขภัณฑ์แบบแขวนผนังและโถสุขภัณฑ์ ที่รวดเร็วและได้มาตรฐาน   และไฮไลต์การเปิดตัวคอลเลกชันพิเศษสำหรับโอกาสครบรอบ 275 ปี ของ ‘Hommage to Hommage’ ชุดสุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำที่แฝงด้วยกลิ่นอายของความคลาสสิคผสานความโดดเด่นในโทนสีพิเศษอย่าง Pure Black รวมถึงการเปิดตัว ‘Antao’ ที่ถอดแบบองค์ประกอบของธรรมชาติมาอยู่ในรูปทรงหยดน้ำและโทนสีอันน่าหลงใหล ไม่ว่าจะเป็น สีเขียว (Morning Green), สีน้ำตาล (Almond), สีดำ (Pure Black) และสองโทนสีพื้นฐานอย่าง สีขาว (White Alpin) และสีขาวด้าน (Stone White) ที่มีให้เลือกทั้ง ชุดสุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ “คริสตัล โฮม ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทางการคัดสรรแบรนด์ที่มีความสอดคล้องกับหลักการที่เรายึดถือ ทั้งด้านนวัตกรรม การออกแบบ และคุณภาพ ที่ได้รวมอยู่ในรากฐานของแบรนด์ที่เราให้บริการ เช่นเดียวกับ Villeroy & Boch ที่เราทั้งคู่ต่างมีความมุ่งมั่นทิศทางเดียวกันในการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การขายอ่างล้างหน้า ฝักบัว อ่างอาบน้ำ หรือโถสุขภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องถึงการสร้างประสบการณ์ เพื่อนำพาคุณภาพและงานดีไซน์ ที่ยอดเยี่ยมนี้ไปสู่บ้าน โครงการ รวมไปถึงทุกแง่มุมชีวิตของลูกค้าให้ได้อย่างยั่งยืน” นางสุทธิภา กล่าวสรุป   บทความน่าสนใจ อิเกีย x STEPS ออกแบบออฟฟิศสำหรับทุกคน ด้วย 5 เทคนิครองรับความแตกต่าง สกาย กรุ๊ป ส่ง “เมทเธียร์” ลุยภารกิจใหญ่ Smart Facility Management  
[PR News] อาณาจักร ORIGIN PET FAMILY คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ 16 โครงการ 26,000 ล้าน

[PR News] อาณาจักร ORIGIN PET FAMILY คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ 16 โครงการ 26,000 ล้าน

Origin Pet Family ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โชว์พอร์ตพัฒนาคอนโดตอบโจทย์ Pet Lover สะสม 16 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 26,000 ล้าน ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ตลาด หลังกระจายบุกทำเลใหม่ๆ ครองใจผู้บริโภค-ทาสหมา-ทาสแมวทั่วกรุงเทพฯปริมณฑลต่อเนื่อง รองรับเทรนด์ Pet Humanization พุ่ง ชูจุดแกร่งตั้ง “ทีม RED” วิจัย Insight ของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง คัดสรรสเปกวัสดุอย่างเข้าใจ สร้างสรรค์ดีไซน์และฟังก์ชันทั้งในพื้นที่ส่วนกลางและห้องพักเพื่อการอยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีความสุข เนรมิตผลิตภัณฑ์เฉพาะเพื่อน้องหมาน้องแมว เดินหน้าขยายอาณาจักร Origin Pet Family ต่อเนื่อง จับมือหลากพันธมิตร สร้างอีโคซิสเท็ม เชื่อมโยงหลากบริการที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงตอบโจทย์เจ้าของถึงที่พักอาศัย     Origin Pet Family นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ผู้พัฒนาโครงการกลุ่มสมาร์ทคอนโดมิเนียมในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปี 2564 บริษัทได้เดินหน้าบุกตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่ม Pet Lover อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่นิยมเลี้ยงสัตว์ในที่อยู่อาศัยมากขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2566 จะมีโครงการภายใต้แผนพัฒนาสะสมทั้งสิ้น 16 โครงการ  คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 26,000 ล้านบาท ครอบคลุมหลากหลาย แบรนด์ อาทิ บรอมพ์ตัน (Brompton) บริกซ์ตัน (Brixton) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์​ เพลย์ (Origin Plug & Play) ออริจิ้น เพลส (Origin Place) ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทก้าวขึ้นมาเป็นผู้พัฒนาคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้สะสมในตลาดมากที่สุดอันดับ 1  ทั้งนี้ บริษัทได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากผู้บริโภคด้วยหลากหลายปัจจัย ได้แก่ 1.การเติบโตของเทรนด์ Pet Humanization ที่คนหันมาเลี้ยงสัตว์เสมือนลูกมากขึ้น อัตราการเติบโตของสุนัขและแมวที่มีเจ้าของ จากปี 2562 ถึง 2565 เพิ่มขึ้นถึง 64% สวนทางกับอัตราการเกิดใหม่ของเด็กที่มีอัตราลดลงถึง 20% ขณะเดียวกัน การเติบโตของ เทรนด์ดังกล่าว ยังสะท้อนผ่านมูลค่าตลาดสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมีมูลค่าสูงถึง 5.6 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 10-12% 2.ความสนใจเลี้ยงสัตว์ในคอนโด จากเดิมที่ผู้บริโภคนิยมเลี้ยงสัตว์ตามบ้านจัดสรรเป็นหลัก ก็เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม ต้องการเลี้ยงสัตว์ในคอนโดมิเนียมมากขึ้น สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมเมือง 3.การกระจายบุกหลากทำเลทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล จากเดิมที่คอนโดสำหรับ Pet Lover มักกระจุกตัวอยู่เฉพาะในเขตเมือง บริษัทได้กระจายบุกไปทั่วทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑล ครอบคลุมทั้งรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สายสีส้ม สายสีเหลือง ซึ่งเป็นทำเลที่ยังไม่มีคู่แข่ง แต่มีความต้องการสูง 4.ความใส่ใจคัดสรรวัสดุและการออกแบบที่เข้าใจทั้งคนและสัตว์เลี้ยง ผ่านการวิจัยและความร่วมมือกับพันธมิตร 5.การเลือกพัฒนาโครงการแบบมิกซ์โปรดักท์ กรณีพัฒนาคอนโดมิเนียม Low-rise ที่มีหลายอาคาร จะมีแบ่งบางอาคารเป็นคอนโดสำหรับ Pet Lover และบางอาคารเป็นคอนโดมิเนียมปกติ เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคทั้งที่ต้องการเลี้ยงสัตว์และไม่ต้องการเลี้ยงสัตว์สามารถอยู่อาศัยในโครงการทำเลเดียวกันได้ ผ่านการแบ่งอาคารที่ชัดเจน โดยหากนับเฉพาะยูนิตที่เลี้ยงสัตว์ได้ จะมีสะสมแล้วถึง 3,550 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าเฉพาะยูนิตเลี้ยงสัตว์ได้สะสมกว่า 8,700 ล้านบาท  สำหรับปี 2566 เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับ Pet Lover ทั้งสิ้น 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 13,025 ล้านบาท นายสมสกุล แสงสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานออกแบบผลิตภัณฑ์ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับ Pet Lover นั้น ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องข้อมูลเชิงลึก หรือ Insight ของทั้งเจ้าของและสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมา บริษัทจึงได้จัดตั้ง “RED Team By Origin” หรือ Research for Excellent Development Team (ทีมวิจัยเพื่อการพัฒนาที่เป็นเลิศ) ขึ้น รวบรวมบุคคลที่เชี่ยวชาญจากหลากหลายฝ่าย ทั้งทีมวิจัยการตลาด ทีมออกแบบ ทีมพัฒนาความยั่งยืน เป็นต้น มาร่วมกันดำเนินงาน 4 ด้านหลัก ได้แก่   1.Customer Experience Design รับผิดชอบด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้เกิดการออกแบบและการบริการที่รองรับกับพฤติกรรมลูกค้าได้อย่างตรงจุด 2.Product Development พัฒนาออกแบบสินค้าออกไปให้มีคุณภาพและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและการบริการที่ครอบคลุม ด้วยการออกแบบที่มีฐานการวิจัยรองรับ 3.Marketing Intelligence วิจัยด้านการตลาด เพื่อหาเทรนด์ใหม่ๆ และอัปเดตความต้องการให้เข้ากับยุคสมัยอย่างต่อเนื่อง 4.Sustainability Development ร่วมพัฒนาเพื่อสังคมและสภาพแวดล้อม ให้ผู้คนได้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี บนความเป็นอยู่ที่ดีและยั่งยืน สำหรับโปรเจกต์แรกของทีม RED คือการวิจัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสัตว์เลี้ยงและคนรักสัตว์เลี้ยงอย่างสร้างสรรค์ สู่การพัฒนาคอมมูนิตี้ที่ทุกชีวิตอยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีความสุข กลายเป็นอาณาจักร Origin Pet Family โดยมีหัวข้อที่ได้ศึกษาและเผยแพร่แล้ว ได้แก่ 1.พฤติกรรมสัตว์เลี้ยง (Pet Behavior) 2.วัสดุ การออกแบบภายใน และพื้นที่ส่วนกลาง (Design) 3.ภูมิทัศน์ของโครงการ (Landscape) และ 4.บริการและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์เลี้ยง (Pet Wellness and Service)   ทั้งหมดนำไปสู่การเลือกใช้วัสดุ สิ่งอำนวยความสะดวก และการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสัตว์เลี้ยงและผู้เลี้ยง เช่น การเลือกใช้วัสดุพื้นที่ทำความสะอาดได้ง่าย ป้องกันรอยขีดข่วน รองรับกับข้อต่อน้อง ๆ การออกแบบความถี่ของราวระเบียงเพื่อความปลอดภัย การเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลาง อาทิ ประตูกั้นพื้นที่ จุดล้างตัว พื้นที่เล่นแบบเนินโค้ง ลู่วิ่งพื้นยางรองรับข้อต่อ เครื่องเล่นฝึกทักษะ ตลอดจนพันธุ์ไม้ที่เหมาะกับสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้ ออริจิ้น ได้มีการออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับน้องแมวที่เรียกว่า “CATSULE” และการออกแบบสำหรับน้องหมาเป็นพื้นที่โล่งกว้างภายนอก จัดตั้งตามส่วนกลางของคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ เพื่อให้เจ้าของได้ใช้ส่วนกลางอย่างไร้ความกังวล อีกทั้งยังช่วยให้สัตว์เลี้ยงได้มีพื้นที่ส่วนตัวระหว่างรอเจ้าของอีกด้วย   นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมมือกับหลากหลายพันธมิตร เพื่อร่วมกันสร้างระบบนิเวศที่ตอบโจทย์ทุกมิติการใช้ชีวิตของ Origin Pet Family อาทิ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษาโดยคุณหมอและผู้เชี่ยวชาญ ร่วมทำเวิร์คช็อปจัดคอร์สอบรมให้แก่พนักงานนิติบุคคล ยกระดับงานบริการให้สามารถดูแลสัตว์เลี้ยงในโครงการได้อย่างเข้าใจ PETTO CARE (เพ็ตโตะ แคร์) ในเครือ ออริจิ้น เฮลท์แคร์  ให้บริการอาบน้ำ ตัดขน ตัดเล็บ รวมถึงบริการรับฝากเลี้ยง โซนจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง และของเล่นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสัตว์ รวมถึงประกันภัยสัตว์เลี้ยงจาก PRIM ตลอดจนมอบสิทธิพิเศษจากผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์อาหารแมว เบลลอตต้า (Bellotta)  อาหารสุนัข มาร์โว่ (Marvo) และอาหารสัตว์เลี้ยงสูตรเป็นมิตรต่อไต เชนจเตอร์ (ChangeTer) และแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยง มองชู โดยหลังจากนี้ บริษัทยังคงมีแผนเดินหน้าพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่ม Pet Lover อย่างต่อเนื่อง รายชื่อโครงการคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ทั้ง 16 โครงการในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ประกอบด้วย บริกซ์ตัน เพ็ท แอนด์ เพลย์ สุขุมวิท 107 ซี (Brixton Pet & Play Sukhumvit 107 C) บริกซ์ตัน เพ็ท แอนด์ เพลย์ สุขุมวิท 107 บี(Brixton Pet & Play Sukhumvit 107 B) บรอมป์ตัน เพ็ท เฟรนด์ลี่ สำโรง สเตชั่น (Brompton Pet Friendly Samrong Station ) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ รามอินทรา (Origin Plug&Play Ramintra) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น (Origin Plug & Play Sirindhorn Station) บริกซ์ตัน พหล 50 สเตชั่น (Brixton Phahol 50 Station) ออริจิ้น เพลย์ ศรีอุดม สเตชั่น (Origin Play Sri Udom Station) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี 22 สเตชั่น (Origin Plug & Play E22 Station) ออริจิ้น เพลส พหลฯ 59 สเตชั่น (Origin Place Phahol 59 Station) ดิ ออริจิ้น บางแค (The Origin Bangkae) ออริจิ้น เพลส รามคำแหง 153 (Origin Place Ramkhamhaeng 153) ดิ ออริจิ้น พหล 57 (The Origin Phahol 57) ออริจิ้น เพลส เพชรเกษม (Origin place Phetkasem) ออริจิ้น เพลย์ บางขุนนนท์ ทริปเปิ้ล สเตชั่น (Origin Play Bangkhunnon Triple Station) ดิ ออริจิ้น เตรียมน้อม สเตชั่น (The Origin Triam Nom Station) ออริจิ้น เพลย์ ศรีลาซาล สเตชั่น (Origin Play Sri Lasalle Station)   บทความน่าสนใจ “ออริจิ้น” จับมือ “สมิติเวช” ให้ลูกบ้านพบแพทย์ออนไลน์ได้ 24 ชั่วโมงผ่านแอป “Origin Connect” รีวิวคอนโดย่านสะพานใหม่ THE ORIGIN Phahol-Saphanmai ใกล้รถไฟฟ้า ราคาล้านกว่า
[PR News] โครงการ “Arom Jomtien” จัดงาน “Jomtien Mood by Arom” ขอบคุณลูกค้า พร้อมฉลองความสำเร็จยอดขาย 70%

[PR News] โครงการ “Arom Jomtien” จัดงาน “Jomtien Mood by Arom” ขอบคุณลูกค้า พร้อมฉลองความสำเร็จยอดขาย 70%

Jomtien Mood by Arom โครงการ “Arom Jomtien”จัดงาน “Jomtien Mood by Arom” ภายใต้แนวคิด “The great escape an emotive discovery of home” ให้ช่วงเวลาของการพักผ่อนเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุด รังสรรค์บรรยากาศเฉลิมฉลองสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจเป็นเจ้าของโครงการอารมณ์ จอมเทียน อีกหนึ่งความภาคภูมิใจใน “AROM COLLECTION ” (อารมณ์ คอลเลคชั่น) ร่วมฉลองยอดขายทะลุ 70%   นายเฉลิมพล โขนแจ่ม กรรมการผู้จัดการ และผู้พัฒนาโครงการอารมณ์ จอมเทียน กล่าวว่า งาน “Jomtien Mood by Arom” จัดเพื่อร่วมกันฉลองยอดขายโครงการ อารมณ์ จอมเทียน ทะลุ 70% งานได้รับการจัดขึ้นอย่างพิถีพิถันและใส่ใจเพื่อขอบคุณลูกค้าที่ไว้วางใจเลือกซื้อโครงการอารมณ์ จอมเทียน และเพื่อนำเสนอความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ AROM COLLECTION ให้กับลูกค้าสัมผัสถึงการความเหนือกว่าในทุกมิติของการเป็นลูกค้าภายใต้คอลเลคชั่นนี้ มีกิจกรรมมากมายให้ได้สัมผัสกับช่วงเวลาที่แสนพิเศษอย่างสุนทรีย์ตลอดทั้งวันด้วย Arom Jomtien SOUL CLUB เพลิดเพลินกับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินของหาดจอมเทียนพร้อมความเป็นส่วนตัวกับอาหารท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพัทยา ให้ลูกค้าคนสำคัญได้สัมผัสถึงความสนุก กับแสง เสียงของหาดจอมเทียนที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงกิจกกรรมทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็น เจ็ตสกี บานานาโบ๊ต บีชปิกนิก และกิจกรรม Therapist นวดผ่อนคลายริมชายหาด ลิ้มลองไวน์และคราฟต์เบียร์ที่ดีที่สุดของพัทยา รับสิทธิพิเศษและประสบการณ์มากมายตลอดทั้งงานที่จัดเตรียมไว้เพื่อลูกค้าคนสำคัญของ “AROM JOMTIEN” เหนือระดับด้วย Butler ดูแลส่วนตัวตลอดการร่วมงาน และ Exclusive Privilege Offer สำหรับลูกค้าจองซื้อโครงการ ด้วยที่พักสไตล์วิลล่าที่ดีที่สุดในพัทยา 2วัน 1 คืน ที่ Andaz Pattaya Jomtien Beach – a Concept by Hyatt สร้างความบันเทิง และสนุกสนานไปด้วยกันกับดนตรีฟังสบาย บรรยากาศผ่อนคลาย และเสียงเพลงเพราะๆจากนักร้องและนักดนตรีชื่อดัง คุณบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์   โครงการคอนโดมิเนียม “AROM JOMTIEN” คือความงดงามของการออกแบบที่ได้รวบรวมจิตวิญญาณและพลังของหาดจอมเทียนเอาไว้ในที่เดียวภายใต้ AROM COLLECTION แนวคิดการออกแบบ SENSE THE SOULFULNESS ที่ได้ผสมผสานสีสันของหาดจอมเทียนและสีสันของธรรมชาติเข้าด้วยกัน สุดพิเศษด้วย Private living เพียง 314 ยูนิต รูปแบบ Direct sea view ผสมผสานอย่างลงตัวกับ POOL VILLA UNITเพื่อมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยสุดเอ็กซ์คลูซีฟ บนพื้นที่หาดจอมเทียน ความสมบูรณ์แบบที่จะช่วยให้ทุกชีวิตที่นี่ได้พักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางบรรยากาศสวนหน้าบ้าน และเติมเต็มช่วงเวลาพิเศษกับทะเล สายลม แสงแดด ทุกกิจกรรมสุดพิเศษ ริมชายหาดภายใต้บรรยากาศรื่นรมย์ริมหาดจอมเทียนที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกใฝ่ฝัน AROM COLLECTION (อารมณ์ คอลเลคชั่น) เปิดตัวด้วยโครงการ “AROM WONGAMAT” คอนโดมิเนียม Hi-Rise 55 ชั้น 319 ยูนิต บนทำเลที่ดีทีสุดบนพื้นที่หาดวงศ์อมาตย์ มนต์เสน่ห์แห่งความเงียบสงบ และความเรียบง่ายบนหาดส่วนตัว ภายใต้แนวคิด SENSE THE MASTERPIECE จุดเริ่มต้นของปรัชญาการใช้ชีวิตในแบบของ AROM เพื่อให้คุณได้สัมผัสทุกอารมณ์ความรู้สึก ทุกช่วงขณะของชีวิต และล่าสุดกับโครงการ “AROM JOMTIEN” โครงการคอนโดมิเนียมแนบชิดหาดจอมเทียน สูง 45 ชั้น พร้อม Direct sea view ทุกยูนิต ที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน และใส่ใจ ทำให้ทั้งนี้ 2 โครงการภายใต้ AROM COLLECTION ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งแง่ยอดขาย และความพึงพอใจของลูกค้า พบกับประสบการณ์ความรู้สึกที่เหนือกว่าการได้พักอาศัยในพื้นที่แห่งสุนทรียะแห่งการพักผ่อนได้ที่ AROM COLLECTION    สนใจสัมผัส ทุกอารมณ์ความรู้สึกกับ สามารถลงทะเบียนเพื่อนัดหมายเข้าชมได้ที่ AROM COLLECTION    บทความน่าสนใจ “พัทยา” ทางเลือกเพื่อการลงทุนอสังหาฯ  กับโปรเจ็กต์ Lifestyle Mix Use  แห่งใหม่ “ONCE PATTAYA” คุ้มค่าทั้งการอยู่อาศัยและปล่อยเช่า : รีวิวคอนโด พัทยา ฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้ สนับสนุนบัตรห้องพักโรงแรมในเครือฯ ในงานพัทยามาราธอน 2566
[PR News] 14 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวฯ สนับสนุน นโยบายเร่งด่วนขับเคลื่อน Soft Power

[PR News] 14 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวฯ สนับสนุน นโยบายเร่งด่วนขับเคลื่อน Soft Power

14 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวฯ ยื่นหนังสือหนุนรัฐบาลคลอดนโยบายเร่งด่วนขับเคลื่อน Soft Power กระตุ้นท่องเที่ยวไทยทุกมิติ มั่นใจช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจส่งท้ายปี ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคนเที่ยวไทยเข้าไทยปีหน้า สร้างเงินสะพัด 3.3 ล้านล้านบาท หนุนจ้างงานสร้างรายได้กว่า 4.56 ล้านคน วอนเร่งแก้ไขปลดล็อกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงนักร้องและนักแสดง รวม 14 กลุ่มองค์กร นำโดย นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย และนางสาวเขมิกา รัตนกุล นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลร่วมกันยื่นหนังสือถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เรื่อง “ข้อเสนอเพื่อส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน ขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เติบโตครอบคลุมในทุกมิติอย่างสมดุลและยั่งยืน” โดยมีนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองเป็นผู้รับหนังสือ   Soft Power นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจ ถนนข้าวสาร กล่าวว่ากลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว บริการ โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร และการบันเทิง 14 องค์กร และ 258 ร้านค้าสถานประกอบการมีความยินดีและพร้อมให้การสนับสนุนรัฐบาลที่มีนโยบายเร่งด่วนที่จะผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเพื่อการกระตุ้นการฟื้นฟูการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน โดยตั้งเป้าหมายด้านรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2567 ไว้ที่ 3.3 ล้านล้านบาทจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคน และนักท่องเที่ยวชาวไทย 200 ล้านคน/ครั้งนั้น โดยจะมีการบูรณาการการขับเคลื่อนการฟื้นฟูและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งระบบและครอบคลุมในทุกมิติเพื่อการเติบโตเป็นฮับการท่องเที่ยวของโลกอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงความสอดคล้องต่อบริบทที่หลากหลายของการท่องเที่ยวทั้งภาคกลางวันและภาคกลางคืน ตลอดจนธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องรวมถึงอาหารและเครื่องดื่ม อย่างไรก็ตาม ในการนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภาครัฐจำเป็นต้องทบทวนการดำเนินงานเพื่อให้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ ในทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน เร่งเพิ่มขีดความสามารถและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจแก่ผู้ประกอบการ ปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค พร้อมกำหนดยุทธศาสตร์ แผนงาน และขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ประเทศไทย ซึ่งมีการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในสิบเอ็ดสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้ความร่วมมือกับภาคเอกชน นายสง่า กล่าวว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นกลไกที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการขับเคลื่อนการฟื้นฟูและการเจริญเติบโตเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน ดังนั้นจึงต้องเร่งผลักดันการขับเคลื่อน Soft Power ด้านการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้น เพื่อนำประเทศไทยสู่การเป็นประเทศจุดหมายปลายด้านการท่องเที่ยวของโลกที่ได้รับความเชื่อมั่นด้านคุณภาพ ความปลอดภัย ความหลากหลาย ความสะดวกสบาย ความคุ้มค่า สามารถตอบสนองและสร้างความพึงพอใจให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่และกลุ่มที่มีคุณภาพและมีระดับการจับจ่ายใช้สอยสูง ทั้งที่มาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจและกลุ่มไมซ์ให้กลับมาเยี่ยมเยือน อันจะส่งผลให้เกิดการฟื้นตัวและการเติบโตไม่เฉพาะในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ แต่ยังครอบคลุมถึงภาคการผลิตและบริการต้นน้ำและปลายน้ำ ตลอดจนเศรษฐกิจและการจ้างงานของประเทศโดยรวม ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวกีฬา การจ้างงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีกว่า 4.56 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 11.50 ของการจ้างงานรวมของประเทศ เมื่อพิจารณารายได้จากการท่องเที่ยวปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด 19 มีมูลค่าสูงถึง 3 ล้านล้านบาท หรือกว่าร้อยละ 18 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) นั้น พบว่าเป็นรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.91 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยว 39.9 ล้านคน โดย 5 ลำดับแรกของรายรับหรือค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายด้านโรงแรมและที่พัก จำนวน 5.44 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28.5 ค่าใช้จ่ายด้านการซื้อสินค้าและของที่ระลึก จำนวน 4.64 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.3 ค่าใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 4.04 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21.2 ค่าใช้จ่ายในการเดินทางภายในประเทศ จำนวน 1.86 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.8 และค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิง จำนวน 1.73 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.0 ซึ่งค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงยามค่ำคืนในสถานบันเทิง ผับ บาร์ (Night Entertainment) มีสัดส่วนถึงร้อยละ 30 ของค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงทั้งหมด หรือคิดเป็นรายรับจำนวน 51.8 พันล้านบาท จะเห็นได้นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงความบันเทิงยามค่ำคืนสูงถึงกว่าหนึ่งในสี่ของค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย   “ในนามกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงนักร้องและนักแสดง ดังมีรายนามที่ปรากฏในหนังสือฉบับนี้ ใคร่ขอชื่นชมรัฐบาลที่มีความเข้าใจในความต้องการและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป และได้จัดทำแคมเปญ Amazing Thailand, Amazing New Chapters ซึ่งนำเสนอภาพลักษณ์ใหม่ด้านการท่องเที่ยววิถีปกติใหม่ ซึ่งมีความหลากหลาย ครอบคลุมในทุกมิติด้านการท่องเที่ยวและการบริการ ทั้งภาคกลางวันและยามค่ำคืนสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าประทับใจ สะดวกสบาย และปลอดภัย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มใหม่ กลุ่มที่มีศักยภาพและกำลังซื้อสูงให้เข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นและมีระยะเวลาการพำนักนานขึ้น” นางสาวเขมิกา รัตนกุล นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทยกล่าว นางสาวเขมิกา กล่าวเสนอด้วยว่าขอให้รัฐบาลกำหนดพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวยามค่ำคืนเพื่อเป็น “Soft Power” ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการสังสรรค์และความบันเทิงยามค่ำคืนและเป็นชาติผู้นำด้านการท่องเที่ยวที่ครบวงจรและปลอดภัยในระดับโลก ได้แก่   กรุงเทพมหานคร พื้นที่ถนนข้าวสาร ถนนสีลม (ซอยพัฒน์พงษ์ และซอยธนิยะ) ถนนรัชดาภิเษก ถนนสุขุมวิท (ซอยสุขุมวิท 11 ซอยคาวบอย ซอยนานา) จังหวัดภูเก็ตพื้นที่ซอยบางลา เมืองพัทยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีพื้นที่หาดเฉวง เกาะสมุย และหาดริ้น เกาะพะงัน พังงาพื้นที่เขาหลัก กระบี่พื้นที่อ่าวนาง ประจวบคีรีขันธ์พื้นที่เมืองหัวหิน จังหวัดสงขลาพื้นที่เมืองหาดใหญ่ เมืองสะเดา จังหวัดเชียงใหม่พื้นที่ถนนนิมมานเหมินทร์   พร้อมปรับปรุงแก้ไขมาตรการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจสำหรับพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวยามค่ำคืน ได้แก่ 1.อนุญาตให้สถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษสามารถเปิดดำเนินการจนถึงเวลา 4.00 น. 2.กำหนดเวลาจำหน่ายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่พิเศษตั้งแต่เวลา 11.00 – 4.00 น. 3.พิจารณายกเลิกคำสั่งห้ามมิให้มีสถานที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษาหรือหอพักในบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษา 4.กำหนดมาตรการอำนวยความสะดวก และเฝ้าระวังความปลอดภัยเชิงรุก 5.บังคับใช้กฎหมายการห้ามมิให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่ผู้ที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์หรือผู้ที่ครองสติไม่อยู่ รวมถึงการห้ามการเมาแล้วขับอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันการดื่มสุราในกลุ่มเด็กและเยาวชนและปัญหาอุบัติเหตุจราจรจากการเมาแล้วขับ 6.ตรวจสอบมาตรฐานการให้บริการและมาตรฐานความปลอดภัยของสถานประกอบการ มาตรฐานความปลอดภัยรอบพื้นที่พิเศษ รวมถึงการเป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติดและอาวุธอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้กลุ่มตัวแทนดังกล่าวได้แนบเอกสารสำคัญ 3 เรื่องด้วยเพื่อประกอบการพิจารณา คือ 1. หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร 0913/320 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2564 2. บันทึกคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สร้างสมดุลกับนโยบายอื่นของภาครัฐ (เรื่องเสร็จที่ 1673/2564) 3.รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) โครงการศึกษาวิเคราะห์ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบข้อบังคับและกระบวนงานที่เกี่ยวกับการอนุญาต เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการและการอนุญาตที่ไม่จำเป็นหรือเป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน เล่มที่ 2 “เรื่อง ผลการทบทวน: ใบขออนุญาตขายสุรา ประเภทที่ 1 และใบขออนุญาตขายสุรา ประเภทที่ 2 และผลการทบทวน: การกำหนดวันและเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงนักร้องและนักแสดง 14 องค์กรดังกล่าว ประกอบด้วย กลุ่มผู้ประกอบการสถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ, ชมรมสถานบันเทิงหาดป่าตอง, ไร่องุ่นมอนซูนแวลลีย์และมอนซูนแวลลีย์ ไวน์บาร์, สมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหาร, สมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหารกลางคืน, สมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่, สมาคมบาร์เทนเดอร์ไทย, สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย, สมาคมผู้ประกอบการร้านอาหาร, สมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสารสมาคมโรงแรมไทย, สมาคมสุราท้องถิ่นไทย, สมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา และสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงอาชีพแห่งประเทศไทย   บทความน่าสนใจ AWC จับมือ ททท. มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จับมือร่วมสร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เปิดตัวโครงการ “AWC Stay to Sustain”   ส่องกำลังซื้อ ต่างชาติใน 5 เมืองท่องเที่ยว ช่วงครึ่งแรกปี 66 ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวแค่ไหน?
ESTAR ลุยทำเลทอง  บ้านฉาง - ระยอง เปิดโครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

ESTAR ลุยทำเลทอง บ้านฉาง - ระยอง เปิดโครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

  บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดความสำเร็จ 5 โครงการฝั่งตะวันออก ทำนิวไฮ อัพเดท กวาดรายได้รวมแล้วกว่า 700 ล้านบาท พร้อมเร่งเครื่องท้ายปีเตรียมเปิดตัว โครงการน้องใหม่ ‘เวลาน่า ไฮด์’ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท ทำเลติดสนามกอล์ฟ ใกล้สนามบิน อู่ตะเภา   ESTAR นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ สามารถคว้าความสำเร็จในการปิดยอดขายโครงการพื้นที่ฝั่งระยอง – บ้านฉาง อาทิ โครง การบ้านสินทวี การ์เด้นท์ 2 โครงการแฮมเล็ต 3 โครงการเวลาน่า กอล์ฟ เฮ้าส์ ที่ปัจจุบันปิดโครงการเป็นที่เรียบร้อย แล้ว เช่นเดียวกันกับโครงการ บรีซ แอท อีสเทอร์น สตาร์ ฟอเรสโต้ ที่ตอนนี้ยอดขายอยู่ที่ 99% ซึ่งคาดว่าจะปิดได้ สำเร็จภายในสิ้นปีนี้ สำหรับโครงการเวลาน่า อะโมด้า อู่ตะเภา - บ้านฉาง ยอดขายตอนนี้ขึ้นมาที่ 96% และในส่วน ของโครงการแกรนด์ เวลาน่า ยอดขายตอนนี้อยู่ที่ 80% นอกจากนี้ จากที่ทราบกันในปีนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการที่เปิด ใหม่ โครงการเธร่า พรีม่า บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ที่ตอนนี้ทำยอดขายได้แล้ว 75% ของ เฟสแรก เช่นเดียวกับโครงการบรีซ ชาเล่ต์ บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ที่ตอนนี้ยอดขายแตะ อยู่ที่ 80% ของเฟสแรก   จากการสำรวจพื้นที่ทำเลในบริเวณรัศมีรอบโครงการอีสเทอร์น สตาร์ พบว่า โซนระยอง - บ้านฉาง มีศักยภาพทำเลสูง เนื่องจากมีนิคมอุตสาหกรรมและประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น อีกทั้งยังมีเส้นทางคมนาคมที่หลากหลาย โดย เฉพาะสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาที่ตอนนี้กำลังจะมีโปรเจกต์ในการสร้างส่วนต่อขยาย อีกทั้งยังมีโครงการใน อนาคตที่เป็นเมกะโปรเจกต์ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เชื่อม กทม. สู่ EEC คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2029 การเดินทางที่สะดวก ทันสมัย จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น การจ้างงานในอุตสาหกรรมต่อเนื่องกว่า 1 แสนตำแหน่ง เกิดเมืองใหม่ที่เป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ตามสองข้างทางที่ รถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่าน หากมีเมกะโปรเจกต์เหล่านี้มาก็จะสร้างแหล่งงานมากในพื้นที่ ทำให้ความต้องการ อสังหาริมทรัพย์มีอย่างต่อเนื่อง     ในปีนี้ โครงการฝั่งระยอง - บ้านฉาง ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ โดยให้ความสนใจเข้ามา เยี่ยมชมโครงการอีสเทอร์น สตาร์ เพิ่มขึ้น เห็นได้จากกระแสตอบรับสำหรับโครงการเปิดใหม่อย่าง โครงการบรีซ ชาเล่ต์ บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท บ้านเดี่ยว 2 ชั้น หน้ากว้าง พื้นที่โครงการ 27-0-66.3 ไร่ จำนวนบ้าน 134 หลัง สไตล์ Modern English Garden Home ในราคาเริ่มต้น 3.89 ล้านบาท ซึ่งกำลังเป็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากสามารถทำ ยอดจองได้สูง พร้อมกับโครงการบ้านในสนามกอล์ฟที่เป็นไฮไลท์ โครงการอะโมด้า อู่ตะเภา - บ้านฉาง บ้านเดี่ยว พร้อมอยู่ 2 ชั้น จำนวน 104 ยูนิต บนที่ดินกว่า 27-1-55.80 ไร่ ในสนามกอล์ฟ สไตล์โมเดิร์นคลาสสิค รูปแบบ Timeless Design ราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาท ที่ตอนนี้ยอดขายกระโดดมาสูงเกือบจะ 100% ภายในระยะเวลาเพียง ไม่กี่เดือน และใกล้ปิดการขายโครงการได้ในเร็วๆ นี้   ซึ่งจากปัจจัยบวกต่างๆ ตลอดปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุผลให้ บริษัทฯ ลงทุนขยายโครงการใหม่เพิ่มในพื้นที่เดียวกัน เพื่อตอบรับความต้องการผู้อยู่อาศัย ในชื่อ โครงการเวลาน่า ไฮด์ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 128 ยูนิต มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท บนคอนเซ็ปต์ Modern Classic สะท้อนความงดงาม สมบูรณ์แบบของการใช้ชีวิต โดยการออกแบบตัวบ้านและโครงการได้รับแรงบันดาลใจจาก สถาปัตยกรรมยุโรป และยังคงเน้นกลุ่มเป้าหมาย เป็นกลุ่มผู้บริหาร บริษัทในนิคมฯ มาบตาพุด กลุ่มหมอ และพนักงานสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ตั้งแต่ช่วงวัยทำงาน อายุ 30-55 ปี รายได้เดือนละ 7 หมื่น - 3 แสนบาท ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่ามี กำลังซื้อศักยภาพสูง และโอกาสรีเจ็กต์เรตอยู่ในเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก ทั้งนี้ปัจจุบัน โครงการเวลาน่า ไฮด์ อู่ตะเภา - บ้านฉาง อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ดำเนินการแล้วกว่า 60% โดยคาดว่า แล้วจะเสร็จพร้อมเปิดตัวในช่วงต้นปีหน้า ไตรมาส 1/2024     อย่างไรก็ตาม ภาพรวมสำหรับโครงการอีสตาร์ในพื้นที่ระยอง ปีนี้คาดว่าจะทำนิวไฮของบริษัทฯ กว่า 700 ล้านบาท นอกจากนี้ในปีหน้าบริษัทฯ ยังมีการลงทุนเพิ่มสำหรับขยายโครงการ เพื่อตอบรับผู้อยู่อาศัย ในทุกเซกเมนท์โดยมีจะการออกโปรดักส์ในราคาเริ่มตั้งแต่ 2 ล้านบาทต้นๆ ไปจนถึง 12 ล้านบาท ซึ่งตามคาดการณ์ จะสามารถรับรู้รายได้ อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท นายไพโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย   บทความน่าสนใจ ESTAR  เปิดชม ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39  ยอดนิยมในย่าน ขายแล้วกว่า 70% ESTAR เปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ ไพโรจน์ วัฒนวโรดม ปรับใหญ่รุกตลาดบ้าน
[PR News] เสนาฯ และ ฮันคิว ฮันชิน ร่วมสนับสนุนวิจัย “สภาวะน่าสบาย”

[PR News] เสนาฯ และ ฮันคิว ฮันชิน ร่วมสนับสนุนวิจัย “สภาวะน่าสบาย”

เสนาดีเวลลอปเม้นท์  พร้อมด้วย ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ลงนามความร่วมมือสนับสนุนการนำนวัตกรรม “สภาวะน่าสบาย” ผลงานวิจัยของพานาโซนิค และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เข้าทดลองภายในบ้านที่พักอาศัยจริงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่โครงการเสนา แกรนด์ โฮม บางนา กม.29 เพื่อค้นหาสภาวะน่าสบายสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์  83078     สภาวะน่าสบาย ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า เพื่อร่วมกันพัฒนาบ้านเพื่อการพักอาศัยที่ยั่งยืน โดยได้เริ่มต้นนำคอนเซปท์บ้าน Zero Energy House ของ ฮันคิว พัฒนาเป็นต้นแบบ “แนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์” ในแบบที่เหมาะกับคนไทย เพื่อให้ลูกบ้านมีบ้านที่อยู่ได้อย่างสะดวกสบาย ช่วยประหยัดเงิน ประหยัดพลังงาน และยังรักษ์โลกไปได้ด้วยพร้อมๆ กัน     “ล่าสุดทางเรา คือ เสนาฯ และฮันคิว ฮันชิน ได้รับทราบถึงการทดลองนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย สภาวะน่าสบาย ที่ได้ริเริ่มทำการวิจัยโดยพานาโซนิค ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้เกิดความสนใจ เนื่องจากมีแนวคิดในการพัฒนาการอยู่อาศัยเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงได้เกิดความร่วมมือในการสนับสนุนการทดลองนี้ จากการวิจัยในแบบบ้านจำลอง ให้มาทดลองในบ้านจริงของเรา เพื่อให้ได้ผลการวิจัยที่ตรงกับการใช้ชีวิตจริงมากที่สุด และสามารถนำไปต่อยอดนวัตกรรม หรือพัฒนาเป็นเทคโนลียีเพื่อการอยู่อาศัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทางเสนาฯ และฮันคิว ฮันชินเอง ต้องขอบคุณทางพานาโซนิค และจุฬาลงกรณ์ที่เล็งเห็นถึงความตั้งใจและแนวทางของบริษัทฯ ที่ต้องการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ลูกค้าอย่างยั่งยืน  ทำให้ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนานวัตกรรมดีๆ แบบนี้  และอาจมีโอกาสในการต่อยอดสู่ความร่วมมือด้านอื่นๆ ต่อไปในอนาคต” ดร.เกษรา กล่าว   นายมิสึฮิโระ นากาซาว่า ผู้จัดการทั่วไป บ. ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ในฐานะพาร์ทเนอร์ของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า ทุกวันนี้ เราอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องพิจารณามาตรการป้องกันภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง ฮันคิว ฮันชิน ในฐานะหนึ่งในนักพัฒนา เราตระหนักอย่างยิ่งถึงความจำเป็นในการเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยฮันคิว ฮันชิน ในประเทศญี่ปุ่นได้ ได้เร่งดำเนินการติดตั้งบ้านพลังงานเป็นศูนย์ (Zero Energy House -  ZEH) สำหรับที่พักอาศัยและยังคงเร่งดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อรับมือกับลดภาวะโลกร้อนอย่างเต็มที่   “เราเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คือการพัฒนาที่อยู่อาศัยบนพื้นฐานของความเข้าใจ ดูแล และสร้างความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตของลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งการศึกษา“สภาวะน่าสบาย” ผ่านบ้านแบบจำลองโดยพานาโซนิค และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะศึกษาเพื่อค้นหาโซลูชั่นและนวัตกรรมใหม่ๆที่ให้ความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตของผู้พักอาศัย รวมถึงเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของวิศวกรรมระบบ สอดคล้องกับแนวคิดในการพัฒนาที่พักอาศัยของเราเช่นกัน โดยคาดหวังว่าการร่วมมือในการสนับสนุนงานวิจัยในครั้งนี้ จะสามารถตอบโจทย์ ได้ทั้งในด้านประหยัดพลังงาน และความสะดวกสบายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัย”   มร.ฮิเดคาสึ อิโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พานาโซนิค โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวว่าตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี ที่พานาโซนิคได้เข้ามามีส่วนร่วมในประเทศไทย ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ในขณะเดียวกันเรายังได้มีการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในหลากหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยมุ่งเน้นเพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืน  อันเป็นที่มาในการวิจัยร่วมกับสถาบันการศึกษาอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืนและประหยัดพลังงานในประเทศไทย (Sustainable and Energy-Efficient Housing Technologies in Thailand) รวมไปถึง การค้นคว้าเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการใหม่ๆ อย่าง “สภาวะน่าสบายภายในบ้าน” สำหรับคนไทยโดยเฉพาะ     โดยได้เริ่มการวิจัย ผ่านการทดลองภายในแบบบ้านจำลอง ZEN Model ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อค้นคว้าระบบปรับอากาศที่ประหยัดพลังงาน และสร้างสภาวะน่าสบายภายในบ้าน และเพื่อขยายผลการทดลองในบ้านจำลอง จึงนำมาสู่การทำการค้นคว้าและ วิจัยร่วมกันระหว่างสี่องค์กรในครั้งนี้โดย เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ได้สนับสนุนบ้านจริงเพื่อการอยู่อาศัยใน การทดลองประสิทธิภาพการทำงานของระบบโดยหวังผลให้ระบบนี้เป็นหนึ่งในแนวทางการอยู่อาศัยที่ยั่งยืนสำหรับคนไทย ภายใต้ภาวะน่าสบาย (Comfort Zone) ปราศจากความเครียด (Stress-free) ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ (Carbon-free)  และลดการใช้พลังงาน (Energy Efficiency) เกิดเป็นเทคโนโลยีที่อยู่อาศัยในอนาคตที่เหมาะกับบริบทของประเทศไทยต่อไป”     ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สรายุทธ ทรัพย์สุข คณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือในการจัดทำการวิจัยกับพานาโซนิคในประเทศไทยครั้งนี้ เราได้นำความเชี่ยวชาญของจุฬาฯ ทั้งจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มาผนวกกับความรู้ความชำนาญทางเทคโนโลยีของพานาโซนิค ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการวิจัยไปข้างหน้าและมีส่วนช่วยในการพัฒนาโซลูชั่นและนวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยในประเทศไทยในอนาคตได้ โดยปัจจุบันความร่วมมือนี้ได้ถูกพัฒนาเป็นโมเดลที่อยู่อาศัยแบบจำลอง โดยการนำเทคโนโลยี BIM หรือ Building Information Modelling และ Digital Twin เข้ามาช่วยในการออกแบบและก่อสร้างบ้านโมดูลาร์ในชื่อ ZEN Model ขนาดพื้นที่ 36 ตารางเมตร ภายในพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจำลองบรรยากาศที่อยู่อาศัยในสภาวะน่าสบาย และร่วมทำการเก็บข้อมูลจากการให้กลุ่มตัวอย่างได้เข้ามาทดลองใช้ชีวิตในพื้นที่บ้านทดลอง ซึ่งจะขยายผลสู่การทดลองกับบ้านเดี่ยวในโครงการของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ เพื่อให้ได้ผลที่ใกล้เคียงจริงยิ่งขึ้น และสามารถนำไปต่อยอดการยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัยของผู้คนทุกระดับในเขตร้อนชื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีข้อมูลทางวิชาการรองรับ   บทความน่าสนใจ เสนา นำร่องแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เปิดตัว “เสนา เวล่า สุขุมวิท – บางปู”  เสนาเจ จับมือ NEC พลิกโฉม “Smart Living Community”    
[PR News] OPPLE Lighting ประกาศส่งสมาร์ทไลท์ติ้ง บุกตลาดไทย ตั้งเป้า 5 ปี ขึ้นแท่น 1 ใน 3 ผู้นำตลาดหลอดไฟ

[PR News] OPPLE Lighting ประกาศส่งสมาร์ทไลท์ติ้ง บุกตลาดไทย ตั้งเป้า 5 ปี ขึ้นแท่น 1 ใน 3 ผู้นำตลาดหลอดไฟ

นายหาน ซิ่งจ้าย ผู้จัดการทั่วไปของสาขาต่างประเทศ บริษัท ออปเปิ้ล ไลท์ติ้ง จำกัด กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของเราไม่เพียงแค่เน้นการเติบโตทางธุรกิจเท่านั้น ที่ออปเปิ้ล ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างศักยภาพให้กับพันธมิตรของเรา ด้วยการจัดสรรเครื่องมือ ทรัพยากร และการสนับสนุนที่จำเป็น เราไม่หยุดยั้งที่จะหาโอกาสในการขยายการสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรม การตลาด หรือการร่วมมือทางเทคโนโลยี เพื่อให้เราเติบโตและประสบความสำเร็จร่วมกัน OPPLE Lighting OPPLE Lighting นับตั้งแต่การก่อตั้ง OPPLE ในปี 2539 การเดินทางของ OPPLE เกิดจากการเติบโตและการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทและพันธมิตร รากฐานของบริษัทถูกสร้างขึ้นบนหลักการในการช่วยเหลือผู้อื่น และหลักปฏิบัตินี้มีส่วนสำคัญในวิวัฒนาการของบริษัททั้งในระดับโลก โดยปัจจุบันออปเปิ้ลเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งในประเทศจีน ความสำเร็จของออปเปิ้ลมาจากการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ให้บริการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมสำหรับลูกค้า และเป็นผู้บุกเบิกสินค้านวัตกรรมและนำเทรนด์ตลาด ปัจจุบันมีสินค้าจำหน่ายในมากกว่า 70 ประเทศ โดยตลาดหลักยังคงเน้นที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศตะวันออกกลาง   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยเราได้เข้ามาทำตลาดมาประมาณ 10 ปีแล้ว ซึ่งบริษัทจะทำงานคู่กับผู้แทนจำหน่าย และให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างศักยภาพให้กับพันธมิตรของบริษัท โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันยาวนานของ OPPLE สู่ความเป็นเลิศและความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น ความสัมพันธ์ของบริษัทกับตัวแทนในตลาดประเทศไทยถือเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จ OPPLE ความร่วมมือเหล่านี้สร้างขึ้นจากความไว้วางใจ การเคารพซึ่งกันและกัน และวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันช่วยให้ OPPLE สามารถขยายฐานลูกค้า และปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น ตัวแทนของบริษัทซึ่งมีข้อมูลเชิงลึกในตลาดท้องถิ่นและความเข้าใจถึงความแตกต่างในท้องถิ่นถือเป็นปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญในการช่วย OPPLE ปรับข้อเสนอแนะ เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทไม่เพียงตอบสนองได้ แต่ยังเกินความคาดหวังของลูกค้า การทำงานร่วมกันนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนผลการดำเนินงานเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำชื่อเสียงของ OPPLE อีกด้วย     ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทมีแผนจะนำสินค้าให้กลุ่มสมาร์ทไลท์ติ้งหรือหลอดไฟอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ โดยแต่งตั้งให้บริษัท เกาอาน จำกัด ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายระบบไฟฟ้าในไทยมากว่า 70 ปีเป็นตัวแทนจำหน่ายในร้านขายอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าของพันธมิตรที่มี 700 รายทั่วประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดหลอดไฟในประเทศไทย ที่ปัจจุบันมูลค่า 20,000 ล้านบาท เติบโตปีละ 3-5% และเทรนด์การใช้งานหลังจากนี้กำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากหลอดแอลอีดีไปสู่สมาร์ทไลท์ติ้ง พร้อมตั้งเป้าหมายใน 5 ปี เป็น 1 ใน 3 ของผู้นำตลาดหลอดไฟในไทย   อุตสาหกรรมแสงสว่างของประเทศไทย: ภูมิภาคที่มีการเติบโตสูง อุตสาหกรรมแสงสว่างของไทยมีความโดดเด่นด้วย •ศักยภาพตลาดที่สูง •การพัฒนาการค้าที่รวดเร็ว •โอกาสมากมาย โดยเฉพาะในงานโครงการที่เฉพาะเจาะจง การเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศไทย นโยบายของ OPPLE ในประเทศไทยประกอบด้วย: •การส่งเสริมการขายส่ง ,การปรับปรุงการแสดงสินค้าในร้าน,และแนะนำร้านค้าต้นแบบของ OPPLE (OPPLE Model Shop) •การเน้นการพัฒนางานโครงการ •การขยายช่องทางการจัดจำหน่าย     นางสาวดวงสมร ตะล่อมสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกาอาน จำกัด กล่าวว่า เกาอาน ดำเนินธุรกิจเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าประเภทอุปกรณ์ด้านไฟฟ้า ได้แก่ สายไฟ สายเคเบิ้ล ปลั๊กไฟฟ้า อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อย่างครบวงจรมาตั้งแต่ปี 2490 ซึ่งมากกว่า 70 ปี เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย กลุ่มผลิตภัณฑ์หลอดไฟและอุปกรณ์แสงสว่างของออปเปิ้ลไลท์ติ้งรายเดียวในประเทศไทย เพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าหลอดไฟและอุปกรณ์แสงสว่าง OPPLE LIGHTING ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ   ทั้งนี้ สินค้าของ OPPLE  LIGHTING เกาอานได้เลือกหลอด LED BULB OPPLE มาทำการตลาด เพราะมั่นใจในสินค้า และคุณภาพ เนื่องจาก OPPLE มีโรงงานเป็นของตัวเอง มีการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ของตัวเอง จึงได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ แสงสวย ถนอมสายตา ปลอดภัยต่อการใช้งาน มีค่าแสงสว่าง ตรงตามความต้องการของลูกค้า มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานเดียวกันกับที่ส่งออกไปต่างประเทศ ด้วยความเป็นบริษัทหลอดไฟ อันดับ 1 ของจีน เกาอานจึงเลือกที่จะเป็นพาร์ทเนอร์กับทาง OPPLE “ถ้าเรื่องของ Lighting หรือแสงสว่าง ต้องนึกถึงเกาอาน เพราะเกาอาน มีทีมขาย ทีมขนส่ง ครอบคลุม ทั่วประเทศ มีความเชี่ยวชาญ และเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี มีบริการหลังการขาย สามารถส่งของได้ตรงเวลา มีการพัฒนาบุคลากรอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่เป็นดีลเลอร์ของเกาอาน สามารถจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ทำส่วนลดรายเดือน-รายปี สามารถสะสมยอดขายได้ และที่สำคัญจะไม่เกิดการแข่งขันกันเองระหว่างดีลเลอร์ แต่มีการเติบโตต่อไปในอนาคตร่วมกันกับเกาอาน” นางสาวดวงสมร กล่าว   บทความน่าสนใจ RUARK AUDIO รุกตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ส่งความบันเทิงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รับเทรนด์ตลาดบ้านหรู เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia
[PR News] AWC จับมือ ททท. มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จับมือร่วมสร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เปิดตัวโครงการ “AWC Stay to Sustain”  

[PR News] AWC จับมือ ททท. มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จับมือร่วมสร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เปิดตัวโครงการ “AWC Stay to Sustain”  

AWC Stay to Sustain ตั้งเป้าร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม้ในแต่ละปีประมาณ 500,000 ต้น กว่า 5,000 ไร่ ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 2,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี เพื่อฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวและความหลากหลายทางระบบนิเวศ มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573 ควบคู่การสร้างรายได้ให้กับชุมชนที่ดูแลรักษาป่าอย่างยั่งยืนเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม     บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC  ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมผนึกกำลังกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมขับเคลื่อนการท่องเที่ยวยั่งยืน (Sustainable Tourism) ชวนนักท่องเที่ยวร่วมโครงการ “AWC Stay to Sustain” เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม้ในป่าชุมชน เพิ่มความหลากลายทางชีวภาพในระบบนิเวศ พร้อมดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และเพิ่มการผลิตก๊าซออกซิเจนให้กับอากาศบนโลกใบนี้  ควบคู่การสร้างรายได้ในชุมชนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจประเทศในระยะยาว ตอกย้ำความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์กรอบการดำเนินงานการพัฒนาที่ยั่งยืน 3BETTERS ของ AWC ทั้ง BETTER Planet BETTER PEOPLE และ BETTER Prosperity ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ ททท. ที่มุ่งสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำการสร้างการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก ร่วมส่งต่อคุณค่ากับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก     นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า “ททท. รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ AWC ซึ่งมีพอร์ตโรงแรมที่หลากหลายทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองหลักทั่วประเทศที่ได้ริเริ่มโครงการเพื่อความยั่งยืนให้เป็นต้นแบบกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ผ่านโครงการ “AWC Stay to Sustain” รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่มอบประสบการณ์สุดพิเศษให้นักท่องเที่ยวที่นอกจากจะได้รับความประทับใจจากการท่องเที่ยวประเทศไทยแล้ว ยังได้ร่วมสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและสังคมให้ประเทศไทยอีกด้วย โดย ททท. สนับสนุนผู้ประกอบการให้ก้าวสู่การท่องเที่ยวที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ตามแผนพัฒนา BCG Model และยังสนับสนุนให้ผู้ประกอบการกำหนดมาตรวัดผลลัพธ์การดำเนินการที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐานระดับสากล ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของ ททท. ที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยสู่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระดับโลก เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของภาคท่องเที่ยวไทย และดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวยั่งยืนจากทั่วโลกที่มีเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน”   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า  โรงแรมทั้ง 22 แห่งของ AWC ทั่วประเทศ ร่วมกันที่จะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดปัญหาภาวะโลกร้อน และร่วมสร้างการท่องเที่ยวยั่งยืนให้ประเทศไทย ช่วยเหลือชุมชนในพื้นที่ที่เข้าไปท่องเที่ยว เราจึงริเริ่มโครงการ “AWC Stay to Sustain” ในวันที่ 10 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันครบรอบการเข้าตลาดหลักทรัพย์ครบ 4 ปี ของ AWC เปิดโอกาสให้แขกผู้เข้าพักโรงแรมในเครือได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชนในประเทศไทย โดยทุกการเข้าพัก 1 คืน ภายในโรงแรมเครือ AWC จะร่วมดูแลต้นไม้ 1 ต้น อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชน เพื่อสนับสนุนโครงการของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และรักษาผืนป่าในระยะยาว พร้อมส่งเสริมรายได้ให้ชุมชนที่จะเป็นผู้ดูแลป่า สอดคล้องกับแนวทางของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการส่งเสริมการท่องเที่ยวยั่งยืนที่ครอบคลุมมิติของสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคมองค์รวม”   หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้สืบสานพระราชปณิธาน “ปลูกป่า ปลูกคน” มาเป็นเวลาเกือบสี่ทศวรรษ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผนึกกำลังกับ AWC ร่วมสืบสานเจตนารมณ์การฟื้นฟูระบบนิเวศและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ จึงนำประสบการณ์มาขยายผลเพื่อร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชนในป่า พร้อมร่วมแก้ปัญหาสภาพแวดล้อมของไทยและโลกไปในคราวเดียวกัน ซึ่งการสร้างผืนป่าและอนุรักษ์ป่าไม้เป็นปัจจัยสำคัญในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในระดับองค์กร และในระดับประเทศ รวมถึงการลดภาวะโลกร้อนและลดอัตราการเกิดไฟป่า โดยทางมูลนิธิฯ จะนำรายได้สนับสนุนจากโครงการ “AWC Stay to Sustain” ไปใช้ในการพัฒนาระบบประเมินคาร์บอนเครดิต และจัดตั้งกองทุนเพื่อชุมชนสองประเภท คือ กองทุนดูแลป่า และกองทุนเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน ในขณะเดียวกันปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ” “AWC Stay to Sustain” เป็นหนึ่งในโครงการตามกรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ AWC (3BETTERs) ผ่านความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เพื่อร่วมฟื้นฟูดูแลผืนป่าในระยะยาว โดย AWC ตั้งเป้าสนับสนุนการอนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม้ในแต่ละปีประมาณ 500,000 ต้น รวมกว่า 5,000 ไร่ สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 2,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี หรือเท่ากับการเข้าพัก 1 คืน ร่วมดูแลต้นไม้ 1 ต้น จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 5 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี สอดรับกับเป้าหมายระยะยาวของ AWC ในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573   นอกจากนี้ AWC จะร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ สนับสนุนการสร้างรายได้ชุมชนด้วยการสรรหาผลิตภัณฑ์งานฝีมือจากชุมชนทั่วประเทศมาตกแต่งในโรงแรมแบรนด์พันธมิตรชั้นนำระดับโลกเครือ AWC รวมถึงการนำผลผลิตทางการเกษตรคุณภาพจากชุมชนมาปรุงอาหารและเสิร์ฟให้นักท่องเที่ยวที่เข้าพักในโรงแรมได้ลิ้มรส เปิดโอกาสให้คนไทยได้มีโอกาสแสดงผลงานสู่สายตาของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ควบคู่การสนับสนุนความยั่งยืนเพื่อสังคมที่มั่นคงรุ่งเรืองด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม “AWC ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก สร้างสรรค์กิจกรรมภายใต้แนวคิด ‘AWC Be Better’ เพื่อมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวยั่งยืนให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความยั่งยืนแก่โลกใบนี้ร่วมกัน อาทิ    BETTER Planet โรงแรม บันยันทรี สมุย และโรงแรม บันยันทรี กระบี่ จัดโครงการชวนนักท่องเที่ยวเก็บขยะริมชายหาด สามารถเก็บขยะได้ปริมาณกว่า 7 ตัน และโรงแรมในเครือ AWC 9 โรงแรม ได้ร่วมโครงการส่งต่ออาหารส่วนเกินคุณภาพดีให้แก่ชุมชน จำนวน 186,880 มื้อ ช่วยลดปริมาณขยะจากการดำเนินงานสู่บ่อฝังกลบ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 112 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพื่อปกป้องระบบนิเวศทางธรรมชาติ (Safeguarding Natural System)    BETTER PEOPLE โรงแรม มีเลีย เชียงใหม่ จัดโปรแกรมครัว 360 องศา เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เลือกรับประทานอาหารที่ใช้ผลผลิตจากฟาร์มออร์แกนิคของโรงแรมมาปรุงอาหาร และเยี่ยมชมฟาร์มเพื่อเรียนรู้วิธีการเกษตรแบบยั่งยืนและสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น โดยเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานอาหารยังถูกส่งกลับไปที่ฟาร์มเพื่อทำเป็นปุ๋ยหมัก ช่วยลดปริมาณขยะของโรงแรมและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และโครงการวิสาหกิจเพื่อสังคม ‘เดอะ GALLERY’ ศูนย์กลางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากชุมชนท้องถิ่นภายในเครือโรงแรมของ AWC รวมถึง BETTER PROSPErity ที่ร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์โรงแรมสร้างสรรค์กิจกรรมวัดผลความยั่งยืนที่ช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม พร้อมส่งเสริมการบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน (Sustainable Consumption and Production) ตลอดจนพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่ทุกภาคส่วนจะได้รับประโยชน์และคุณค่าร่วมกัน (Sustainable and Resilience Supply Chain) ทั้งนี้ AWC เชื่อมั่นว่าการรวมพลังความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและชุมชน จะช่วยสร้างพลังขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก พร้อม “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” ให้กับทุกภาคส่วนไปพร้อมกัน” นางวัลลภา กล่าวสรุป AWC ยังตั้งเป้าให้ทุกโรงแรมและศูนย์การค้าในเครือได้รับประกาศนียบัตร โครงการ STAR “ดาวแห่งความยั่งยืน” ของ ‘การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย’ ตามเป้าหมาย STGs (Sustainable Tourism Goals) ของ ททท. สะท้อนความมุ่งมั่นของ AWC ที่ดำเนินงานตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติของธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการมีธรรมาภิบาลที่ดีของสถานประกอบการ ควบคู่การสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนในระยะยาวให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่คุณค่า และร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก   บทความน่าสนใจ AWC จับมือ 2C2P แพลตฟอร์มชำระเงินระดับโลก ปักหมุดที่เอ็มไพร์ทาวเวอร์ AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC
RUARK AUDIO รุกตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ส่งความบันเทิงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รับเทรนด์ตลาดบ้านหรู

RUARK AUDIO รุกตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ส่งความบันเทิงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รับเทรนด์ตลาดบ้านหรู

RUARK AUDIO แบรนด์ดังจากอังกฤษ เปิดตัวลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะอัจฉริยะ 5 รุ่นใหม่ R1S, R2, R3S, MR1 และ R410 รุกตลาดเครื่องเสียงระดับลักซ์ชัวรี่เมืองไทย รับเทรนด์ตลาดบ้านหรูโตแรง เตรียมส่งนวัตกรรมแห่งพลังเสียง พร้อมสัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงเหนือระดับ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ครอบครัวยุคใหม่     RUARK AUDIO นายลักษณ์วัตร์ เหรียญเจริญสุข ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและพัฒนาธรุกิจ บริษัท โคแอน จำกัด เปิดเผยว่า เทรนด์การเลือกที่อยู่อาศัยของครอบครัวยุคใหม่เน้นมองหาบ้านที่สะท้อนความสำเร็จของชีวิต และใส่ใจในการออกแบบที่หรูหรา เรียบง่าย และโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่งผลให้ดีมานด์ในตลาดบ้านหรูเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โดยการขยายตัวดังกล่าวมา สะท้อนจากตัวเลขการเติบโตของตลาดบ้านหรู   RUARK AUDIO แบรนด์ลำโพงและเครื่องเสียงชั้นนำระดับโลกจากประเทศอังกฤษ ผู้นำนวัตกรรมและความบันเทิงภายในบ้านในครั้งนี้ นำโดยลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะอัจฉริยะรุ่นใหม่ R1S, R2,R3S, MR1 และ R410 ที่มาพร้อมสโลแกน Ruark Audio - A passion for sound ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ชูจุดเด่นด้วยความมินิมอล คลาสสิก เน้นโทนสีเรียบง่าย เรียบหรู ดูทันสมัย เหมาะกับทุกการออกแบบภายในบ้าน ให้ความรู้สึกลักซ์ชัวรีเป็นเสมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเด่นรับกับเทรนด์ตลาดบ้านหรูที่เติบโตอย่างมากในประเทศไทย   โดยในปีนี้ เราจะเน้นสื่อสารการตลาดให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจสินค้า และเห็นความโดดเด่นของสินค้า อีกทั้งยังจะพัฒนาระบบการซื้อขายหรือบริการหลังการขายให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภครักที่ในเสียงเพลงได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่และเกิดความพึงพอใจมากที่สุด” นายลักษณ์วัตร์ กล่าว   สำหรับความพิเศษของ Ruark Audio แบรนด์ลำโพงชั้นนำจากประเทศอังกฤษ ที่เดินทางมายาวนานถึง 38 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1985 โดยแบรนด์เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของครอบครัว O’Rourke ที่มีใจรักต่อเสียงดนตรี จากนั้นในปี 2006 ได้เปิดตัว “the R1” ที่ถือได้ว่าเป็นลำโพงตั้งโต๊ะตัวแรก ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ที่ชื่นชอบการฟังเพลง และต่อมาได้มีการวิจัยและพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด   นายริชาร์ด แมคคินนีย์ Ruark Audio Sale Director กล่าวว่า แผนการตลาด RUARK AUDIO ในประเทศไทย ตั้งเป้าสร้างการรับรู้แบรนด์และภาพลักษณ์ผ่านการประชาสัมพันธ์ โดยชูจุดขายด้วยลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะรุ่นใหม่ R1S, R2, R3S, MR1 และ R410 ที่ได้รับการอัปเกรดฟังก์ชันการทำงานให้ตอบโจทย์การใช้งาน พร้อมกำหนดมาตรฐานคุณภาพของเสียงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังมีแผนที่จะทำคอนเทนต์และถ่ายทอดประสบการณ์การใช้งานสินค้าจริงผ่านทาง Social Media พร้อมชูกลยุทธ์ทำการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์   โดยร่วมกับพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำมากมาย อาทิ dotlife, iStudio, Asavasopon, Central Department Store, Power Buy, Power Mall, Munkong Gadget และร้านค้าอื่น ๆ เพื่อทำให้แบรนด์ขยายตลาดสู่กลุ่มผู้บริโภคได้รวดเร็วขึ้น ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างและลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าของ Ruark Audio ได้มากขึ้น  สำหรับไฮไลต์ผลิตภัณฑ์จาก Ruark Audio ที่เปิดตัวภายในงาน เป็นลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะอัจฉริยะ 5 รุ่นใหม่ ดังนี้   รุ่น R1S มาพร้อมการดีไซน์สุดคลาสสิก ออกแบบด้วยโทนสีไม้และเฉดสีเทาแบบใหม่เพื่อให้ความรู้สึกหรูหรา จึงทำให้กลมกลืนเข้ากับการตกแต่งของบ้านในทุกสไตล์ ผสานกับพลังเสียงสมจริงเหนือระดับ พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth ยังมีฟังก์ชันจดจำอุปกรณ์ได้สูงสุด 6 เครื่อง และอีกหนึ่งคุณสมบัติเด่นของ R1S คือจอแสดงผล TFT สีเต็มรูปแบบ ที่แสดงเวลา การเตือน และข้อมูลรายการอย่างชัดเจน พร้อมมีเซ็นเซอร์วัดแสงที่ช่วยปรับหน้าจอให้เหมาะกับระดับแสงแบบอัตโนมัติ ทำให้สามารถวางไว้ข้างเตียงได้โดยไม่รบกวนการพักผ่อน    รุ่น R2 มาพร้อมระบบเสียงสเตอริโอที่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก สามารถใช้งานผ่านตัวควบคุม RotoDial และหน้าจอ LCD รองรับการสตรีมเพลงผ่านแอปพลิเคชัน Spotify, Deezer และ Amazon Music พร้อมสามารถเชื่อมต่อ Bluetooth กับเครื่องรับวิทยุ DAB, FM และอินเทอร์เน็ตได้ ส่วนด้านการดีไซน์รุ่นนี้มีรูปทรงเพรียวบางหรูหรา ทำให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีเพื่อใช้สำหรับการตกแต่งพื้นที่ภายในบ้านของทุกคน    รุ่น R3S ด้านการดีไซน์ยังคงรักษามาตรฐานและเอกลักษณ์เฉพาะแบบดังเดิมไว้ เน้นความเรียบหรู ทันสมัย พร้อมมีการปรับปรุงคุณภาพของเสียงให้ดีขึ้น และยังเพิ่มการประมวลผลเสียง STEREO+  ซึ่งจะทำให้การถ่ายทอดทุกรายละเอียดเสียงมีความคมชัด นุ่มลึก และสมจริง นอกจากนี้ R3S ยังมีตัวรับสัญญาณ Bluetooth 5 รุ่นใหม่ที่ใช้เฟิร์มแวร์ 5.2 ล่าสุด ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนฟังก์ชัน Bluetooth ยังสามารถทำงานร่วมกับการควบคุมระดับเสียงบนสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตได้อย่างราบรื่นอีกด้วย    รุ่น MR1 เป็นรุ่นที่เปิดตัวในปี 2013 โดยระบบลำโพงสเตอริโอ Bluetooth MR1 ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นระบบที่ดีที่สุด พร้อมชูจุดขายด้วยดีไซน์ที่กะทัดรัด ทำให้ดึงดูดลูกค้าที่ใส่ใจในการออกแบบมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสี Rich Walnut สุดคลาสสิกหรือสีเทา Soft Grey ที่ได้รับการออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์ร่วมสมัยและเสียงที่ยอดเยี่ยมในการใช้งาน พร้อมเหมาะจะตั้งไว้ในหลากหลายสถานที่   รุ่น R410 มีหัวใจหลักเป็นโปรเซสเซอร์ที่ทรงพลัง สามารถรองรับไฟล์เสียงที่มีความละเอียดสูง รวมถึงการสตรีมมิ่งในตัวผ่าน Spotify, Tidal Connect, Apple Airplay 2 และ Chromecast สามารถเชื่อมต่อ aptX HD Bluetooth กับเครื่องรับวิทยุ DAB, DAB+, FM และอินเทอร์เน็ต ด้านการดีไซน์เน้นความมินิมอลเรียบง่าย ด้วยโทนสีสบายตา ทำให้รู้สึกถึงความผ่อนคลาย พร้อมออกแบบจัดวางหน้าจอแสดงผลในแนวตั้ง เพื่อเลียนแบบวิธีการดูรายการเพลงบนสมาร์ตโฟน จึงทำให้ใช้งานง่ายและสะดวกสบาย ผู้ที่สนใจสามารถเป็นเจ้าของลำโพงและเครื่องเสียงคุณภาพระดับพรีเมียมจาก RUARK AUDIO ได้แล้ววันนี้ โดยราคาเริ่มต้นที่รุ่น R1S ราคา 16,990 บาท, รุ่น R2 และ MR1 ราคา 20,990 บาท, รุ่น R3S ราคา 39,990 บาท และ รุ่น R410 ราคา 67,900 บาท (ยังไม่มีวางจำหน่าย) โดยทุกรุ่นจะมีการรับประกันทุกชิ้นส่วน นานสูงสุด 2 ปีเต็ม* มีจัดจำหน่ายที่ร้าน dotlife จำนวน 5 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, สยามพารากอน, ไอคอนสยาม, เมกาบางนา และเซ็นทรัล ภูเก็ต และที่ Showroom Asavasopon จำนวน 4 สาขา ได้แก่ สยามพารากอน, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลอีสต์วิลล์ และรามคำแหง หรือสามารถสั่งซื้อได้ผ่านช่องทางออนไลน์ ได้ที่ www.dotlife.store หรือ www.asavasopon.co.th   บทความน่าสนใจ KEF เผยโฉม LS50 Meta และ LS50 Wireless II ลำโพงสองรุ่นแรกที่พ่วงเทคโนโลยีดูดซับเสียงสะท้อนแบบใหม่ล่าสุด เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia  
ทอสเท็ม เปิดโรงงาน 400 ไร่ โชว์ศักยภาพการผลิต และชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ (TOSTEM Innovation Center)

ทอสเท็ม เปิดโรงงาน 400 ไร่ โชว์ศักยภาพการผลิต และชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ (TOSTEM Innovation Center)

TOSTEM เปิดให้ชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม (TOSTEM Innovation Center) ที่โชว์จุดเด่นของการดีไซน์ ออกแบบ ประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ พร้อมเปิดโรงงานโชว์นวัตกรรมและแทคโนโลยีในการผลิต นวัตกรรมที่ทันสมัยของผลิตภัณฑ์ ที่มีศักยภาพการผลิตประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมครบวงจร ตั้งแต่การขึ้นรูปอะลูมิเนียม ไปจนถึงการชุบเคลือบผิวด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ที่เป็นหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมการชุบสีอะลูมิเนียมด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD   TOSTEM Innovation Center นายวิชา วรสายัณห์ ลีดเดอร์ กลุ่มธุรกิจเฮาส์ซิ่งเทคโนโลยี บริษัท แอล เอช ที เอเซีย เซลส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมแบรนด์ ทอสเท็ม (TOSTEM) เปิดเผยว่า ศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม (TOSTEM Innovation Center) เป็นศูนย์นวัตกรรมที่จัดสร้างขึ้นเพื่อแสดงผลิตภัณฑ์ของ TOSTEM โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอจุดเด่นของการออกแบบ ประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการติดตั้งบานประตู-หน้าต่างของ TOSTEM ไว้ภายใน TOSTEM Innovation Center แห่งนี้   โดยผลิตภัณฑ์ที่จัดแสดงภายใน มีทั้งประตู หน้าต่าง รั้ว ประตูรั้วที่ผลิตจากอะลูมิเนียมภายใต้แบรนด์ TOSTEM ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในตลาดอาเซียน นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นให้ลูกค้าโครงการ สถาปนิก ได้สัมผัสก่อนใคร เพื่อให้ผู้รับชมมีความเข้าใจ พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ให้พนักงานทุกคนของ TOSTEM และตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม สามารถเข้ามาเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้อีกด้วย   ภายใน Innovation Center แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.Material Board (Disassemble) เป็นบอร์ดสำหรับอธิบายคุณสมบัติ และส่วนประกอบต่างๆ ของประตูและหน้าต่างจากทอสเท็มแต่ละซีรีส์ ทำให้ลูกค้าสามารถเห็นรายละเอียดแต่ละชิ้นได้อย่างชัดเจน นำไปสู่การเลือกบานประตูและหน้าต่างที่เหมาะสมกับโครงการ และเลือกประตู-หน้าต่างที่เหมาะสมกับผู้อยู่อาศัย     2.ส่วนตรงกลางโชว์รูม ซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น โดย TOSTEM ภูมิใจนำเสนอ Panoramic Door ที่ได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงโปร่งสบาย สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้ในมุมกว้าง มาพร้อมกับฟังก์ชันมือจับที่สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย     นอกจากนี้ภายใน TOSTEM Innovation Center ยังมีผลิตภัณฑ์ประตูหน้าต่างรุ่นต่างๆ ที่วางจำหน่ายในตลาดอาเซียน และยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของประเทศญี่ปุ่นที่จัดแสดงอยู่ภายในเพื่อให้เข้าถึงนวัตกรรมและเป็นไอเดียให้กับผู้เข้าชม เช่น GIESTA Door Smart Lock ซึ่งเป็นประตูที่มีความพิเศษกว่ารุ่นที่วางจำหน่ายในตลาดอาเซียน โดยสามารถปิด – เปิดผ่านสมาร์ทโฟน หรือ รีโมทได้ และบานเกล็ดอัตโนมัติที่ควบคุมการปิด-เปิดได้ด้วยรีโมทคอนโทรล และภายใน ยังมีห้องฝึกอบรมการติดตั้งผลิตภัณฑ์ TOSTEM สำหรับอบรมตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ TOSTEM ให้สามารถติดตั้งผลิตภัณฑ์ของทอสเท็มได้อย่างถูกต้อง และเกิดประสิทธิภาพในการใช้งานสูงสุด โดยผู้อบรมเป็นทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากทอสเท็ม   สำหรับ ศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม  ตั้งอยู่ภายในพื้นที่โรงงานของบริษัท ทอสเท็ม ไทย จำกัด (TOSTEM THAI CO., LTD.) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม และผลิตภัณฑ์สำหรับอาคารที่อยู่อาศัยและบานประตูหน้าต่างชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ด้วยกระบวนการผลิตแบบครบวงจรตั้งแต่การรีดขึ้นรูปอะลูมิเนียมผ่านแม่พิมพ์ หรือที่เรียกว่า ALUMINIUM EXTRUSION ไปจนถึงการชุบเคลือบผิวด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD   อีกทั้งยังมีระบบ PRE ENGINEERED การผลิตผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปพร้อมประกอบจากโรงงานโดยตรง ซึ่งทำให้ประตูหน้าต่างของทอสเท็มมีคุณภาพสม่ำเสมอกันทุกชุด สามารถผลิตได้ตามขนาดที่ลูกค้าต้องการ และศูนย์ปฎิบัติการทดสอบประสิทธิภาพทอสเท็มไทย หรือ Quality Performance Test Center (QPTC) ในการทดสอบวัสดุอะลูมิเนียมสำหรับอุตสาหกรรม โดยให้ความใส่ใจในเรื่องของมาตรฐาน รวมถึงความปลอดภัยต่อทุกชิ้นงาน และส่วนสำคัญของการส่งต่อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ที่มาจากการใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต จนถึงทุกกระบวนการจนกว่าจะส่งมอบให้ลูกค้า     ทอสเท็ม ไทย โรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี บนพื้นที่กว่า  539,000 ตารางเมตร หรือราว 400 ไร่ มีพนักงานกว่า 6,000 คน นับว่าเป็นโรงงานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของทอสเท็มจากทั่วโลกและมีกำลังการผลิตสูงที่สุด  7,000 ตันต่อเดือน มีการผลิตงานตลอด 24 ชั่วโมง มีสินค้าว่างจำหน่ายในประเทศไทย 52% และส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น 48%   สำหรับประเทศไทยว่างจำหน่ายผ่านตัวแทนที่ผ่านการอบรมจากผู้เชี่ยวชาญจาก ทอสเท็ม เท่านั้น ปัจจุบันมี 150 ตัวแทนอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ และพัฒนาต่อเนื่องเพื่อก้าวสู่ผู้นำธุรกิจผู้ผลิตประตูหน้าต่างอะลูมิเนียม ที่ทันสมัยด้วยศักกยภาพของเครื่องจักรและกำลังคน พร้อมมาตรฐานที่ดีก่อนสินค้าถึงมือผู้บริโภค บทความน่าสนใจ ทอสเท็มเปิดตัว “ATIS” นวัตกรรมประตูหน้าต่างรวม 2 ฟังก์ชั่นในหนึ่งบาน ‘ทอสเท็ม’ นำเสนอ ‘บานประตูและประตูรั้วอะลูมิเนียมสำเร็จรูป’ รุ่นใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการหลากหลายของผู้อยู่อาศัย วินด์เซอร์ เปิดตัวระบบประตูหน้าต่างรุ่น “Smart Series”
บางกอกแลนด์ ฉลองครบรอบ 50 ปี สร้างประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ

บางกอกแลนด์ ฉลองครบรอบ 50 ปี สร้างประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ

นายปีเตอร์ กาญจนพาสน์  ประธานกรรมการ บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโครงการจัดตั้งประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ประดิษฐาน ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี มีวัตถุประสงค์จัดสร้างขึ้นในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปี บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) และเพื่อรำลึกถึง คุณมงคล กาญจนพาสน์ และ คุณอนันต์ กาญจนพาสน์  ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการเมืองทองธานี ซึ่งปัจจุบันถือเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความพร้อมสรรพ ทั้งอาคารสถานที่ บริการสิ่งอำนวยความสะดวก รองรับการอยู่อาศัย การดำเนินธุรกิจ และการท่องเที่ยวพักผ่อนอย่างครบวงจร บางกอกแลนด์ คือหนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2516 และในปี พ.ศ.2535 ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี ดำเนินธุรกิจมุ่งเน้นการพัฒนาส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี ผ่านการบริหารโครงการเมืองทองธานี การพัฒนาโครงการที่พักอาศัย โครงการบริหารจัดการดูแลอาคาร โครงการศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อีกทั้งการบริหารธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจสถานบริการเพื่อการท่องเที่ยวและกีฬา การบริหารสถาบันสอนประกอบอาหาร ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชุมชน รวมไปถึงเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มีการเติบโตต่อเนื่อง “เป็นที่ทราบกัน บางกอกแลนด์ ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมายาวนานและบริษัทฯ ใช้สัญลักษณ์ช้างเอราวัญหรือช้างสามเศียรมาตลอด ในโอกาสครบรอบ 50 ปี เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลยิ่งขึ้น จึงได้อัญเชิญพระอินทร์ซึ่งเป็นเทพองค์เดียวที่ทรงช้างเอราวัณมาประดิษฐาน โดยจัดตั้งโครงการประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ซึ่งได้ปรึกษาผู้ชำนาญงาน ทั้งประติมากร ทีมช่างศิลปะ ช่างสิบหมู่ รับเชิญมาร่วมงานจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะนำพาความเป็นสิริมงคล มาให้ทั้งกับผู้บริหาร พนักงาน เป็นขวัญกำลังใจในการทำงานนำพาองค์กรเติบโตอย่างมั่นคงตลอดไป” สำหรับประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ถือเป็นงานประติมากรรมโลหะผสมที่มีความสง่างาม สะท้อนคุณค่าแห่งความดี ความเปี่ยมสุข อันเกิดจากศรัทธาและความเลื่อมใส องค์เทวรูปมีขนาดความสูงรวม 265 เซนติเมตร ตั้งอยู่บนฐานรองรับขนาดความยาว 205 เซนติเมตร ความกว้าง 96 เซนติเมตร ความสูง 15 เซนติเมตร รูปลักษณะของพระอินทร์ ทรงเครื่องแต่งกายสมัยศรีวิชัย ประทับนั่งบนคอช้าง มือขวาถือวชิระเป็นอาวุธคู่กาย มือซ้ายถือขอช้างพาดอยู่บนตัก โดยมีพาหนะเป็นช้างเอราวัณสามเศียร ในลักษณะท่าทางเคลื่อนไหวไปข้างหน้าอย่างทรงพลัง แต่ใบหน้าเปี่ยมด้วยความเมตตาสมเป็นช้างของทวยเทพแห่งคุณงามความดีและความอุดมสมบูรณ์ งานประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณนี้ ถือเป็นศิลปะแห่งทวยเทพ  ใช้เวลาในการดำเนินงานในทุกขั้นตอนประมาณ 16 เดือน โดยมีประติมากร พันโท นภดล สุวรรณสมบัติ และ อาจารย์ธนิตย์ แก้วนิยม พร้อมคณะ ร่วมดูแลและควบคุมงานประติมากรรมจนสำเร็จลุล่วง เป็นผลงานสำคัญอันโดดเด่นไม่เหมือนที่ใด พร้อมเปิดให้ประชาชนนักท่องเที่ยวได้เข้าเยี่ยมชมทุกวัน นายพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ จะเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของเมืองทองธานี กลายเป็นจุดเช็คอินของนักท่องเที่ยว รวมถึงลูกค้าผู้จัดงาน ผู้มาชมงาน ที่จะได้สักการะบูชาและขอพรตามความศรัทธา ณ ที่ประดิษฐานบริเวณลานด้านหน้าอาคาร อิมแพ็ค อารีน่า ในทุกวัน นอกจากนี้ ยังได้จัดทำหน้าเว็บไซต์เฉพาะเพื่อให้ข้อมูลและรวบรวมภาพ-วีดีโอให้ได้เยี่ยมชมกันทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์บางกอกแลนด์ www.bangkokland.co.th ด้วย ในโอกาสนี้จึงอยากเชิญชวนทุกคนมาเที่ยวชมความสง่างามทั้งในช่วงกลางวันและความสวยงามยิ่งขึ้นในช่วงกลางคืนที่มีการประดับไฟแสงสีตระการตา เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีบางกอกแลนด์ไปด้วยกัน สำหรับการดำเนินธุรกิจขององค์กรปัจจุบัน แบ่งเป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.) อสังหาริมทรัพย์ เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาโครงการเพื่อขายและเช่า ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารชุด อาคารพาณิชย์ อาคารสํานักงาน ศูนย์การค้า และร้านค้าต่างๆ โครงการเหล่านี้มีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ อยู่ในทำเลที่มีความพร้อมภายใต้การดําเนินงานของบริษัท บางกอกแลนด์ จํากัด (มหาชน), บริษัท บางกอก แอร์พอร์ท อินดัสทรี จํากัด และ บริษัท สินพรชัย จํากัด 2.) ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม ธุรกิจให้บริการเช่าพื้นที่ สิ่งอํานวยความสะดวก รองรับการจัดงานและกิจกรรมไมซ์ (MICE) อีกทั้งยังมีบริการสนับสนุน เช่น โรงแรมที่พัก 2 แห่ง ร้านอาหาร 15 แบรนด์  30 ร้านสาขา สถานที่ท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งดําเนินงานโดย บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จํากัด, บริษัท อาร์เอ็มไอ จํากัด 3.) ธุรกิจค้าปลีก ดําเนินกิจการเกี่ยวกับการบริหารศูนย์การค้า ร้านค้าปลีก ศูนย์อาหาร ตลาดสด เอาท์เล็ต ที่จอดรถ ฯลฯ กิจการเหล่านี้ดําเนินงานโดย บริษัท บางกอก แลนด์ เอเจนซี่ จํากัด 4.) สาธารณูปโภคและการบริหารอาคาร ธุรกิจเกี่ยวเนื่องการบริการหลังการขาย โดยมี บริษัท เมืองทอง เซอร์วิสเซส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จํากัด และ บริษัท เมืองทอง บิลดิ้ง เซอร์วิสเซส จํากัด จัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลจัดการบริหารอาคารและบํารุงรักษาในส่วนของสาธารณูปโภค ภูมิทัศน์ และการกําจัดของเสียในชุมชนเมืองทองธานีและพื้นที่อื่นๆ และสุดท้าย 5.) บริหารจัดการโรงเรียนสอนประกอบอาหาร เลอโนท ไทยแลนด์ ถือเป็นโรงเรียนสอนประกอบอาหารแห่งแรกนอกประเทศฝรั่งเศส และได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเป็นโรงเรียนนอกระบบ ประเภทวิชาชีพ จากกระทรวงศึกษาธิการ อย่างไรก็ตาม โครงการเมืองทองธานี คาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องตอบรับกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายเข้าสู่เมืองทองธานี 2 สถานี ได้แก่ สถานี อิมแพ็ค เมืองทองธานี และ สถานีทะเลสาบเมืองทองธานี ปัจจุบันความคืบหน้าในงานก่อสร้างภาพรวมประมาณ 28% โดยยังเป็นไปตามกำหนดการที่จะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการราวต้นปี 2568 ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ การคมนาคมที่สะดวก ตลอดจนเพิ่มมูลค่าราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองทองธานีได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย  
เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia

เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia

บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (Euro Creations) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์   แบรนด์ดังระดับโลกสัญชาติยุโรป จัดงาน “An Infinite Comfortness” by Natuzzi Italia เปิดตัวนาทุซซี่  อิตาเลีย (Natuzzi Italia) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังจากประเทศอิตาลี ที่โดดเด่นในเรื่องความพิถีพิถันแห่งดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้งาน สีและวัสดุที่คัดสรรมาเป็นพิเศษเพื่อส่งมอบสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อน ผ่านการให้ความสำคัญเรื่องคอมฟอร์ต (comfort) กับโซฟาทุกชิ้น Natuzzi Italia พร้อมการจับมือร่วมกับบริษัท มิวสิคพลัส ซีนีม่า จำกัด ในเครือโซนิค วิชั่น กรุ๊ป ผู้นำเครื่องเสียงนำเข้าระดับไฮเอนด์มากว่า 26 ปี เผยโฉม The New 801 D4 Signature ลำโพงไฮเอนด์ในตระกูล 800 ซีรีย์ กับการปรับโฉมดีไซน์ที่ให้ความละเมียดละไมมากขึ้น คุณภาพในการถ่ายทอดพลังเสียงสู่ความสมจริงมากขึ้น การผสมผสานระหว่าง 2 แบรนด์สู่สัมผัสแห่งการใช้ชีวิตที่ลงตัวระหว่างสุนทรียแห่งการพักผ่อนที่สบายบนโซฟา นาทุซซี่ อิตาเลีย และสุนทรียจากการฟังเพลงระดับไฮเอนด์ซาวน์จาก Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature     คุณเควิน กัมบีร์ (Kevin Gambir) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดังระดับโลกสัญชาติยุโรป กล่าวว่า “ยูโร ครีเอชั่นส์ เราพิถีพิถันในการคัดสรรผลิตภัณฑ์และแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ด้วยความตั้งใจ จากความเชื่อที่ว่า ‘Life is better in a beautiful space’ การใช้ชีวิตที่ดีเริ่มต้นจากการอยู่ในพื้นที่ที่สวยงาม ซึ่งความสวยงามในที่นี้หมายความว่า การได้อยู่ในพื้นที่ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์และรสนิยมของผู้อยู่อาศัย ซึ่งยูโร ครีเอชั่นส์ เป็นดั่งปลายทางที่ตอบรับกับทุกไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของลูกค้า ซึ่งในปีนี้เราขอนำเสนอ นาทุซซี่ อิตาเลีย (Natuzzi Italia) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังจากประเทศอิตาลี ที่ให้ความพิถีพิถันในเรื่องดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้งาน สีและวัสดุที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ เพื่อส่งมอบสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อน ที่โซฟาทุกชิ้นของนาทุซซี่ อิตาเลีย จะถ่ายทอดความสบายด้วยวัสดุ พรีเมียมที่มีให้เลือกทั้งหนังวัวแท้ และผ้า เพื่อตอบรับความชอบและรสนิยมการตกแต่งที่แตกต่างกันโดยนาทุซซี่ อิตาเลีย มีคาเรคเตอร์งานดีไซน์แบบโมเดิร์นที่ทั้งเรียบหรู ผสานกับฟังก์ชั่นการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเอน การปรับพนักวางศีรษะและที่วางขาให้เหมาะสมกับท่านั่งพักผ่อนได้อย่างง่ายดายด้วยระบบไฟฟ้า เป็นการเติมเต็มความสุนทรียการพักผ่อน และการใช้ชีวิตในบ้านอย่างแท้จริง” และถือเป็นโอกาสพิเศษสุดที่ ยูโร ครีเอชั่นส์ ได้ร่วมกับบริษัท มิวสิคพลัส ซีนีม่า จำกัด ในการร่วมกันถ่ายทอดสัมผัสแห่งไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตผ่านสุนทรียภาพการพักผ่อนที่ครบทุกมิติทั้งความสบายจากโซฟานาทุซซี่ อิตาเลีย และการเติมเต็มด้วยบรรยากาศแห่งเสียงเพลงคุณภาพผ่าน Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature ลำโพงไฮเอนด์สัญชาติอังกฤษกับคุณภาพระดับออดิโอไฟล์ ที่เผยโฉมครั้งแรกในไทย เป็นการจับคู่ความลงตัวระหว่างสุนทรียแห่งการฟังระดับพรีเมียมกับเฟอร์นิเจอร์หรูภายใต้คอนเซปต์ “Senses of living” สัมผัสสุนทรียแห่งการพักผ่อนผ่านการมองเห็นดีไซน์ที่งดงาม และการได้ยินเสียงที่ไพเราะ ที่เราตั้งใจเนรมิตขึ้นเป็นพิเศษผ่าน living space ที่จะจำลองบรรยากาศในการอยู่บ้านผ่านสัมผัสแห่งสุนทรียความสบายของโซฟา นาทุซซี่ อิตาเลีย และสุนทรียแห่งเสียงเพลงระดับไฮเอนด์ ภายในโชว์รูม ยูโร ครีเอชั่นส์ ซีอีโอ ยูโร ครีเอชั่นส์ กล่าว   คุณเถกิงลาภ กอวัฒนา กรรมการบริหาร บริษัท มิวสิคพลัส ซีนีม่า จำกัด ในเครือโซนิค วิชั่น กรุ๊ป ผู้นำเครื่องเสียงนำเข้าระดับไฮเอนด์มากว่า 26 ปี เปิดเผยว่า “มิวสิค พลัสซีนีม่า ในฐานะผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายลำโพงไฮเอนด์แบรนด์ Bowers & Wilkins จากประเทศอังกฤษอย่างเป็นทางการ รู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ครั้งนี้ ในการนำเสนอแรงบันดาลใจสุนทรียแห่งการพักผ่อนผ่านการสัมผัสความสบาย ความสุขผ่านดีไซน์ที่สวยงาม และสัมผัสสุนทรียการพักผ่อนกับการฟังเพลงผ่านเครื่องเสียงคุณภาพ ที่ตอบโจทย์นิยามแห่งความสุขในการพักผ่อนที่บ้านได้ครบทุกมิติ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในปี 2023 นี้ มิวสิค พลัส ซีนีม่า ได้นำเข้าลำโพงรุ่นเรือธง The New 801 D4 Signature ที่ถือเป็นงานฝีมือแห่งปีที่ Bowers & Wilkins ได้รังสรรค์ให้เป็นรุ่นที่มีความพิเศษตั้งแต่กลไกภายในที่ต่อยอดความสำเร็จจากลำโพงในตระกูล 801 D4 ที่ได้รับความนิยมสูงสุดกับ 800 Series Diamond™ ที่ใช้เพชรในโดมทวีตเตอร์เป็นตัวขับเสียงให้สะอาดใส ทุ่มนุ่มลึก จนได้รับความไว้วางใจและการันตีคุณภาพจากสตูดิโอบันทึกเสียงระดับโลก Abbey Road Studio ให้เป็นลำโพงอ้างอิง โดยความพิเศษของรุ่น The New 801 D4 Signature นี้ คือการพัฒนาปรับเปลี่ยนนวัตกรรม เทคโนโลยีขั้นสูงสุด ที่แบรนด์ Bowers & Wilkins ไม่ได้ใช้คำว่า Signature กับทุกรุ่นที่ปรับปรุงใหม่ จะแต่ใช้คำนี้ให้กับรุ่นที่มีการอัพเกรดขั้นสูงสุดแห่งเทคโนโลยีจริงๆ ซึ่งนับตั้งแต่แบรนด์ก่อตั้งขึ้นในปี 1966 มีลำโพงเพียง 7 รุ่นเท่านั้นที่มีชื่อรุ่นต่อท้ายด้วย Signature ดังนั้นการนำเข้าลำโพงตระกูล 801 D4 ในโมเดลใหม่รุ่น 801 D4 Signature จึงเป็นที่สุดแห่งความเอ็กซ์คลูซีฟที่แฟน B&W และนักฟังเพลง จะได้ยลโฉมความโดดเด่นแห่งดีไซน์ที่บ่งบอกถึงรสนิยมการฟังและความพิถีพิถันในการเลือกลำโพงไฮเอนด์ที่ได้รับการออกแบบประหนึ่งเป็นงานศิลป์ที่มอบทั้งสุนทรียแห่งการฟังที่สมบูรณ์แบบ และความสุขจากดีไซน์ที่ไม่ว่าจะวางมุมไหนในบ้านก็สวยงามลงตัวบ่งบอกรสนิยมเหนือระดับในการตกแต่งกับดีไซน์สีพิเศษ Midnight Blue Metallic ที่ใช้เวลาผลิตด้วยมือจากช่างฝีมือถึง 18 ชั่วโมง ต่อลำโพง 1 คู่ จึงเปรียบเสมือนเป็นงานศิลปะที่ควรค่าแก่การเป็นเจ้าของ” โดยโซฟาแบรนด์ นาทุซซี่ อิตาเลีย (Natuzzi Italia) และลำโพง Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature เปิดตัวให้คนรักการแต่งบ้าน และแฟนเครื่องเสียงไฮเอนด์ชาวไทยได้ชมความงามและสัมผัสพลังเสียงครั้งแรกผ่าน Living space ในการจำลองพื้นที่การตกแต่งภายในบ้านให้ผู้สนใจได้ทดลองพักผ่อนบนโซฟา และสัมผัสคุณภาพเสียงจาก Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature ณ โชว์รูมยูโร ครีเอชั่นส์ ทองหล่อ ซอย 5 สามารถมาเยี่ยมชมและสัมผัสความงามแห่งเสียงและดีไซน์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2566 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 0-2712-9555        

1 ... 3 4 5 ... 106