ข่าวโปรโมชั่น

 

ข่าวโปรโมชั่น ล่าสุด

1 ... 78 79 80 ... 105
แมกโนเลีย ปลุกกระแสการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดสัมมนาประจำปีระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกในเอเชีย ผนวกเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีกับความยั่งยืน ดึงผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมาร่วมให้ความรู้

แมกโนเลีย ปลุกกระแสการพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ด้วยการจัดสัมมนาประจำปีระดับนานาชาติเป็นครั้งแรกในเอเชีย ผนวกเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีกับความยั่งยืน ดึงผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมาร่วมให้ความรู้

แมกโนเลีย ควอลิติ้ ดีเวล็อปเมนต์ คอร์ปอเรชั่น (MQDC)  บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับนานาชาติ เป็นเจ้าภาพจัดงานสัมมนาใหญ่ประจำปีในหัวข้อการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีและอย่างยั่งยืนขึ้นเป็นครั้งแรกในเอเชีย ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ในงานสัมมนานี้มุ่งชูประเด็นความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี โดยผู้เชี่ยวชาญที่เข้าร่วมเสวนามาร่วมกระตุ้นให้วงการธุรกิจให้ความสำคัญกับประเด็นความเป็นอยู่และสิ่งแวดล้อมที่ดีในการทำธุรกิจและวางแผนงาน ซึ่งต่างก็ได้แบ่งปันประสบการณ์จากการทำงานในสาขาที่ตนเชี่ยวชาญ ได้แก่ สถาปัตยกรรม การออกแบบ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับผู้บริโภค สาขาเวชศาสตร์ผู้สูงอายุและสาขาสาธารณสุข MQDC ตั้งเป้าในการมีส่วนร่วมกระตุ้นให้เกิดการปรับกระบวนความคิดในการดำเนินกิจการ ท่ามกลางกระแสท้าทายของโลก คุณ รัช ตันตนันตา ประธานผู้อำนวยการบริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น บริษัทแม่ของ MQDC กล่าว “MQDC มุ่งมั่นในพันธกิจที่จะร่วมสร้างโลกที่ดีขึ้น โดยเน้นที่สองประเด็น ประเด็นแรกคือเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์และประเด็นที่สองคือ สภาพแวดล้อมที่ยั่งยิน สองค่านิยมหลักนี้เป็นหัวใจสำคัญของหลักการ “นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน” ซึ่งเป็นปรัชญาในการทำงานของเรา” คุณ รัช กล่าว “วัตถุประสงค์ของเราในการจัดงานสัมมนาใหญ่ประจำปีขึ้นครั้งนี้ เพื่อร่วมสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นให้ประชาชนเกิดความมุ่งมั่นที่จะร่วมปลูกฝังวัฒนธรรมใหม่ที่มุ่งเน้นเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีและความยั่งยืนเป็น ค่านิยมหลักในการใช้ชีวิตทั้งในเรื่องส่วนตัวและในการประกอบอาชีพ  ความเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้มีความสำคัญมากท่ามกลางกระแสโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะปัญหาจำนวนประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงภาวะสภาพภูมิอากาศ การขยายตัวของชุมชนเมือง การดูแลทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาคุณภาพชีวิต งานสัมมนานี้ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยมีจำนวนผู้จองที่นั่งผ่านระบบออนไลน์มากกว่าพันที่นั่ง ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนคนที่เข้าร่วมสัมมนาเป็นกลุ่มนักธุรกิจและหนึ่งในสามเป็นนักวิชาการ ที่เหลือเป็นสื่อมวลชนและประชาชนทั่วไป คุณ วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MQDC กล่าวว่าความตื่นตัวของกระแสตอบรับต่องานสัมมนาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรับรู้ของสังคมว่าสิ่งที่สังคมต้องการขณะนี้คือการจัดลำดับความสำคัญเสียใหม่ ให้ความเป็นอยู่ที่ดีและยั่งยืนเป็นอันดับแรก “MQDC ดำเนินธุรกิจภายใต้พันธกิจหลักที่ต้องการผลักดันให้เรื่อง “ความเป็นอยู่ที่ดี” เป็นประโยชน์ไม่ใช่เพียงแค่กับมนุษย์แต่กับทุก ๆ สรรพสิ่งที่มีชีวิต เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมนำเสนอวิธีใหม่ ๆ เพื่อให้มีการนำไปใช้แก้ไขปัญหาจริง ๆ ไม่ใช่เฉพาะในวงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แต่เพื่อทุก ๆภาคส่วนต่างสามารถนำไปใช้ได้” “กระแสตอบรับเป็นอย่างดีที่มีต่อการสัมมนานี้ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความกังวลที่เพิ่มขึ้นในประเด็นเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีและความยั่งยืน MQDC รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับองค์กรชั้นนำต่าง ๆ จากทั่วโลกเพื่อมาช่วยทำให้โครงการของเราร่วมสร้างชีวิตที่ดีและความยั่งยืนมากขึ้น การสัมมนานี้ได้รวบรวมผู้รู้และมีความเชี่ยวชาญจากหลากสาขาเข้ามาช่วยกันให้ความรู้และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ให้เห็นว่าเราสามารถผนวกเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีและความยั่งยืน เข้าไปในงานวิชาการและสาขาอาชีพต่างๆได้อย่างไร” ด้วยแนวคิดล่าสุดในวงการสถาปัตยกรรม คุณ โทบี้ บลันท์ หุ้นส่วนอาวุโสและรองหัวหน้าสตูดิโอชื่อดังจากอังกฤษ ฟอสเตอร์แอนด์พาร์ทเนอร์ส ในฐานะของสถาปนิกระดับโลกได้กล่าวถึงการออกแบบมาสเตอร์แพลนเพื่อสร้างความเป็นอยู่ที่ดีและเพื่อความยั่งยืนไปพร้อม ๆ กัน คุณ บิล โคน กรรมการผู้จัดการและผู้ก่อตั้ง ไอเทค เอ็นเทอเทนเมนท์ ได้กล่าวถึงประสบการณ์ของเขาในการออกแบบและก่อสร้างสวนสนุกแบบธีม พาร์ค ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างเสริมสุขภาพอันดีเข้าไปในการออกแบบและพัฒนาโครงการด้วย รศ.ดร. สิงห์ อินทรชูโต อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และหัวหน้าศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) ของ MQDC ก็ได้กล่าวถึง เรื่องการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนนั้นสามารถพัฒนาให้หยั่งรากลึกจนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้อย่างไร ทางด้าน ดร วิลเลี่ยม ริชแมน จากศูนย์ดูแลรักษาผู้สูงอายุ เบย์เครสจากแคนาดา ได้นำเสนอในหัวข้อว่าควรพัฒนาสิ่งแวดล้อมอย่างไรจึงจะเป็นผลดีต่อการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งประเด็นเรื่องอัตราการเติบโตของจำนวนประชากรสูงวัยกำลังเป็นที่น่ากังวลอยู่ในปัจจุบัน ศาสตราจารย์ จอห์น ดี. สเปงเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที.ชาน. สคูล ออฟ พับลิคเฮลท์ ได้ร่วมแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับมาตรฐานชี้วัดเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนและการนำประเด็นเหล่านี้ไปใช้ประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจ
เปิดกลยุทธ์ธุรกิจศุภาลัยปี 61 มัดใจตลาดยุค 4.0 พร้อมฉลองความสำเร็จยอดขายทะลุเป้าปี 60

เปิดกลยุทธ์ธุรกิจศุภาลัยปี 61 มัดใจตลาดยุค 4.0 พร้อมฉลองความสำเร็จยอดขายทะลุเป้าปี 60

บมจ.ศุภาลัย เผยแผนธุรกิจปี 2561 สู่ SUSTAINABLE GROWTH 2018 ตั้งเป้ายอดขาย 33,000 ล้านบาท ลุยพัฒนาโครงการใหม่ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมรวม 35 โครงการ  มูลค่า  40,000  ล้านบาท สานต่อกลยุทธ์มัดใจลูกค้ารุกตลาดอสังหาฯ ยุค 4.0 พร้อมฉลองความสำเร็จยอดขายทะลุเป้าปี 60 พุ่งสูงถึง 30,777 ล้านบาท เติบโต 27%  ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร  บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2560 เป็นอีกปีที่ผู้ประกอบการแข่งขันกันมาก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี ตลาดอสังหาฯ เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น ผู้ประกอบการอสังหาฯ มีการเปิดตัวโครงการใหม่เป็นจำนวนมากทั้งคอนโดมิเนียม และโครงการแนวราบ อีกทั้งร่วมทุนกับกลุ่มทุนจากต่างประเทศในการพัฒนาโครงการใหม่ และขยายตลาดสู่ลูกค้าต่างชาติมากขึ้น ภาพรวมเศรษฐกิจอสังหาฯ ในปี 2561 คาดว่าจะมีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้นมากกว่าปีก่อน ด้วยปัจจัยจากการส่งออกและการท่องเที่ยวดีขึ้น อัตราดอกเบี้ยทรงตัว ประกอบกับการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐมีต่อเนื่อง ทำให้ตลาดผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นและเริ่มกลับเข้าสู่การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย  สำหรับตลาดกลุ่มไฮเอนด์ จะมีการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันด้านนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่นำมาช่วยในกระบวนการผลิต หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์รูปแบบการอยู่อาศัยได้อย่างสูงสุดในยุคตลาด 4.0 ในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังคงรักษา-พัฒนามาตรฐาน และสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ตลอดจนการพัฒนาองค์กรพร้อมที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน โดยยังคงมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ทำให้ตลอดปี 2560 บริษัทฯ ได้รับรางวัลเกียรติยศจากองค์กรชั้นนำต่างๆ จำนวนมาก อาทิ รางวัลหุ้นยั่งยืน และรางวัลบริษัทจดทะเบียนด้านนักลงทุนสัมพันธ์ดีเด่น จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, รางวัล “Certificate of ESG100 Company” ประจำปี 2560 จาก ESG Rating ของสถาบันไทยพัฒน์, รางวัล Top 10 บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2017 จากนิตยสารการเงินธนาคาร และรางวัล THAILAND TOP COMPANY AWARDS 2017 ในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับ นิตยสาร Business+ ฯลฯ และรางวัล “Thailand's Top Brand Trust Index in the Real Estate Industry 2017” จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลงานปี 2560 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้สร้างปรากฎการณ์ที่ร้อนแรงที่สุด กับโครงการศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร คอนโดมิเนียมหรู ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างท่วมท้น โดยสามารถปิดการขายได้ภายในวันแรกที่เปิดจอง รวมทั้งความสำเร็จจากอีกหลากหลายโครงการทั้งในกรุงเทพฯ และโครงการภูมิภาค ที่ได้รับกระแสตอบรับดีเกินคาด ทำให้ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้พุ่งทะลุเป้ากว่า 30,777  ล้านบาท เติบโต 27% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่มียอดขาย 24,132 ล้านบาท และเติบโตเกินเป้า 14%  เมื่อเทียบกับเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ 27,000 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตมาจากยอดขายโครงการคอนโดมิเนียม 15,440 ล้านบาท และยอดขายโครงการแนวราบ 15,337 ล้านบาท โดยมีการเปิดตัวโครงการทั้งหมด 20 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 15 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่ารวม 31,220 ล้านบาท สำหรับแผนงานปี 2561 สู่ SUSTAINABLE  GROWTH 2018 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขาย 33,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 26,000 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการใหม่ 35 โครงการ แยกเป็นโครงการแนวราบ 30 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ  คิดเป็นมูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท และกำหนดงบประมาณการจัดซื้อที่ดินประมาณ 9,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้จะได้เห็นการต่อยอดความสำเร็จจากปีที่ผ่านมา และเตรียมพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ในหลากหลายด้านเพื่อปรับตัวทำตลาดให้โดนใจลูกค้า พร้อมก้าวเข้าสู่อสังหาฯ ยุค 4.0 รับมือกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป อาทิ  ด้านแผนการเปิดตัวโครงการ  จะมีการเปิดตัวบิ๊กโปรเจค ครั้งแรกในรูปแบบมิกซ์ยูส  บนที่ดินสถานทูตออสเตรเลีย (เดิม) ถนนสาทร อีกทั้งมีการขยายโครงการสู่ตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น โดยจะเริ่มบุกตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดเชียงราย ขณะเดียวกันยังมุ่งเน้นขยายตลาดต่างประเทศ เช่นการร่วมลงทุนกับบริษัทอสังหาฯ ของประเทศออสเตรเลีย ซึ่งปัจจุบันมีการลงทุนไปแล้ว 6 โครงการ และกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในประเทศอาเซียนต่างๆ ด้านสินค้าและผลิตภัณฑ์ มีการปรับโฉม พัฒนาแบบบ้านรูปแบบใหม่ ภายใต้แบรนด์ใหม่ ที่พัฒนาขึ้นมาให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยในยุคดิจิทัล และยังมีการนำนวัตกรรม เทคโนโลยี  เข้ามาปรับใช้ในโครงการใหม่ๆของบริษัทฯ เช่น ระบบ Home automation, Home security เป็นต้น รวมทั้งมีการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้เอื้ออำนวยความสะดวกสบายแก่ผู้สูงอายุมากขึ้น ด้านกิจกรรมการตลาดและส่งเสริมการขาย สานต่อการใช้สื่อออนไลน์อย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นเฟชบุ๊ก ไลน์ ยูทูบ เว็บไซต์ และอินสตาแกรม เพื่อสื่อสารถึงลูกค้าเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว  และนำเสนอโปรโมชั่นใหม่ๆ  ตลอดทั้งปี   เช่นโปรโมชั่นล่าสุด “ศุภาลัย แรง แซง ทุกโปร” ทำแคมเปญกับบ้านและคอนโดมิเนียม สร้างเสร็จพร้อมอยู่ 92 โครงการ ทั้งในกรุงเทพและภูมิภาค ในราคาพิเศษสุด ด้านการตลาด จะเปิดตลาดลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น รวมทั้งเปิดขายสินค้าคอนโดมิเนียมในประเทศไทย ออกสู่ตลาดโลกมากขึ้นด้วย ด้านการให้บริการลูกค้า เตรียมศูนย์ปฏิบัติการ 1720 Supalai Contact Center เพื่ออำนวยความสะดวก รวดเร็ว สำหรับลูกค้าที่สนใจสอบถามข้อมูลโครงการศุภาลัยทั่วประเทศ รวมทั้งการอัพเดทข้อมูลโปรโมชั่น สิทธิพิเศษต่างๆ และยังเป็นช่องทางการให้บริการหลังการขายสำหรับลูกค้าที่ติดต่อเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ บริการชุมชน ฯลฯ ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ยังคงมุ่งมั่นสร้างสรรค์พัฒนากิจกรรมเพื่อสังคม การรายงานตัวเลขที่ถูกต้อง เป็นจริง เน้นความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ (Stakeholders) การปฏิบัติตามกฎหมาย จริยธรรมและจรรยาบรรณต่างๆ  
“ไรมอน แลนด์” ผนึกกำลัง กลุ่มร้านอาหาร “บ้านหญิง กรุ๊ป”

“ไรมอน แลนด์” ผนึกกำลัง กลุ่มร้านอาหาร “บ้านหญิง กรุ๊ป”

  เปิดตัว 3 ร้านแรก “บ้านหญิง”, “ดิงค์ ดิงค์” (Dink Dink) และ ร้านสไตล์ ฮ็อต พ็อต ที่สิงคโปร์ พร้อมวางแผนเปิดในประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศจีน เร็วๆนี้เสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก คาดหวังรายได้กว่า 100 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2561 และเติบโตกว่า 1,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี   “บ้านหญิง กรุ๊ป” จะเป็นส่วนร่วมในการผลักดันธุรกิจสายอาหารและเครื่องดื่มของไรมอน แลนด์ ในประเทศสิงคโปร์ ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศจีน พร้อมเปิดตัว 3 ร้านแรก “บ้านหญิง”, “ดิงค์ ดิงค์” (Dink Dink) และ ร้านสไตล์ ฮ็อต พ็อต ที่สิงคโปร์ ในส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ในการกระจายความเสี่ยง และสร้างรายได้ประจำที่เกิดขึ้น ไรมอน แลนด์ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ในประเทศไทย ได้ร่วมทุนขยายการลงทุนสู่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ร่วมกับ “บ้านหญิง กรุ๊ป” เพื่อนำอาหารไทยสู่ตลาดต่างประเทศ ซึ่งสัดส่วนการถือหุ้น 51% โดยบริษัทไรมอน แลนด์ และ 49% โดย บ้านหญิง กรุ๊ป ซึ่งจะดำเนินการ ณ ประเทศสิงคโปร์ ไรมอน แลนด์ มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศจีน โดยจะเปิดร้านอาหารรวม 10-15 สาขา ภายในปี พ.ศ. 2563 ส่วนเมืองที่เป็นเป้าหมายอื่นๆ นอกเหนือจากสิงคโปร์ ได้แก่ กัวลาลัมเปอร์พนมเปญ ฮานอย โฮจิมินห์ เซินเจิ้น เซี่ยงไฮ้ และกวางโจว ซึ่งการจับมือกันครั้งสำคัญกับ “บ้านหญิง กรุ๊ป”  เข้าสู่ตลาดอาหารและเครื่องดื่มนี้ คาดการว่าจะสร้างรายได้กว่า 100 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2561 และเติบโตไปเป็น 1,000 ล้านบาทภายใน 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2565)   นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2561 ไรมอน แลนด์ จะเปิดให้บริการร้านอาหารทะเลระดับพรีเมี่ยมริมแม่น้ำ ซึ่งสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาของกรุงเทพฯได้     เอเดรียน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "นี่เป็นกลยุทธ์ในการก้าวไปข้างหน้าของไรมอน แลนด์ เพื่อกระจายการลงทุนให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น เรามุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในตลาดอาหารที่นำอาหารไทยคุณภาพสู่กลุ่มลูกค้าทั่วโลก"     ทรงศร จั่นสัญชัย ผู้อำนวยการและผู้ก่อตั้ง บ้านหญิง กรุ๊ป เพิ่มเติมว่า "ในฐานะที่เป็นธุรกิจครอบครัว เราได้นำเสนออาหารไทยมานานกว่า 20 ปี ด้วยเมนูที่เป็นที่นิยมต่างๆทั่วประเทศไทย คุณภาพอาหารของเรามีความสดใหม่ ทันสมัย และปรุงจากวัตถุดิบที่มีคุณภาพ การร่วมมือกับไรมอน แลนด์ในครั้งนี้ เรามุ่งหวังที่จะนำเสนออาหารไทยแก่นักชิมนานาประเทศให้ได้ลิ้มรสอาหารไทยแท้ๆ"     ร้านอาหาร 2 แห่งแรกจะเปิดในอาคาร รอยัล สแควร์ (Royal Square) ซึ่งตั้งอยู่ในเขตคอมเพล็กซ์เพื่อสุขภาพของ โนวีน่า เฮล ซีตี้ (Novena Health City) ในไตรมาสที่ 1 ปี พ.ศ. 2561 ซึ่งจะมีร้าน ดิงค์ ดิงค์ (Dink Dink) ร้านอาหารขนาด 68 ที่นั่ง ตั้งอยู่บนชั้น 1 นำเสนออาหารไทยในบรรยากาศสบาย ๆ เน้นความสะดวก รวดเร็ว และมีเมนูก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้ง และเครื่องดื่มไทยโบราณ สำหรับรับประทานทั้งภายในและภายนอก นอกจากนี้ ร้าน บ้านหญิง ขนาด 126 ที่นั่ง ตั้งอยู่บนชั้น 2 ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ และแบรนด์ดั้งเดิมของ “บ้านหญิง กรุ๊ป” โดยนำเสนออาหารไทยที่คนไทยรับประทานทุกวัน ซึ่งเมนูได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดีในสไตล์ไทยร่วมสมัย และร้านที่ 3 ภายใต้คอนเซ็ปท์สไตล์ ฮ็อต พ็อท (Hot Pot) ไทย-อีสาน ที่มีรสชาดจัดจ้าน มีแผนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไตรมาสที่ 4 ปี พ.ศ. 2561 (ซึ่งจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี พ.ศ.2561 นี้)     เขตใจกลางเมือง โนวีน่า (Novena) เป็นศูนย์กลางที่คึกคักที่สุดในย่านใจกลางเมือง สะดวกต่อการเดินทางไปยังสถานีขนส่งสาธารณะ โดยอาคาร รอยัล สแควร์ (Royal Square) อยู่ห่างจากถนนออชาร์ดเพียง 5 นาทีโดยรถยนต์ และห่างจากย่านธุรกิจต่างๆเพียง 8 นาที ซึ่งเป็นศูนย์การค้าแห่งใหม่ล่าสุดใน โดยในเขต โนวีน่า อยู่ท่ามกลางอาคารของรัฐบาล โรงพยาบาลขนาดใหญ่ โรงแรม และโบสถ์คาทอลิกที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์ การจราจรทางเท้าคาดว่าจะมีกว่า 10,000 คนต่อวัน ซึ่งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในสิงคโปร์มีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท  
พฤกษา ลุยเปิดคอนโดพรีเมียม “เดอะรีเซิร์ฟ สุขุมวิท 61”ที่สุดแห่งลักษ์ชัวรี่คอนโด ใจกลางทองหล่อ-เอกมัย

พฤกษา ลุยเปิดคอนโดพรีเมียม “เดอะรีเซิร์ฟ สุขุมวิท 61”ที่สุดแห่งลักษ์ชัวรี่คอนโด ใจกลางทองหล่อ-เอกมัย

พฤกษา ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาฯ เดินหน้าลุยตลาดพรีเมียม เตรียมผุดคอนโด “เดอะรีเซิร์ฟ สุขุมวิท 61”  บนทำเลใจกลางเมือง ชูคอนเซ็ปต์ให้การอยู่อาศัยได้อารมณ์เหมือนอยู่บ้าน ด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่สุดกลางทองหล่อ-เอกมัย ราคาเริ่มต้น 10 ล้านบาท  นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมย่านสุขุมวิทมีการเติบโตสูงถึง 55% ซึ่งในปี 2016 มีมูลค่าตลาดประมาณอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 70% โดยคอนโดมิเนียมพรีเมียมมีการเติบโตมากที่สุด พฤกษา เรียลเอสเตท ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำอันดับหนึ่ง ได้เล็งเห็นถึงโอกาสการเติบโตของตลาดพรีเมียม จึงเตรียมพัฒนาคอนโดมิเนียมลักษ์ชัวรี่ “เดอะรีเซิร์ฟ สุขุมวิท 61” บนทำเลใจกลางเมือง เดินทางเพียง 2-3 นาที ถึงทองหล่อและเอกมัย ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ และครอบครัวที่ใส่ใจธรรมชาติ รักความสงบ ด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่สุดและเป็นส่วนตัว เมื่อเทียบกับคอนโดมิเนียมในย่านนั้น เดอะรีเซิร์ฟ สุขุมวิท 61 ออกแบบภายใต้คอนเซปต์ ”Reserve Your Exclusivity” ให้การอยู่อาศัยและการพักผ่อนเสมือนได้อยู่บ้าน มีความเป็นส่วนตัวสูงสุด ด้วยจำนวนยูนิตเพียง 186 ยูนิต ฟังก์ชั่นภายในห้องพักถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่ หน้ากว้าง และยังเพิ่มความหรูหราด้วยการตกแต่งเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดังจาก CHANINTR (ชนินทร์) รวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในโครงการ อาทิ พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่มาพร้อม sunken seat, สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกออกแบบเฉพาะให้สามารถเชื่อมต่อตรงกับห้องพัก, ฟิตเนส ซาวน่า และ Private Onsen ที่สามารถจองเวลาการใช้งานได้ล่วงหน้า ด้านตัวอาคารได้มีการออกแบบวางผังให้มีการพัดผ่านของลมที่ดี รวมไปถึงภายในห้องพักมีการทำ Ventilation door เพื่อให้ลมพัดผ่านเข้าสู่ห้องพักโดยไม่จำเป็นต้องเปิดประตู พร้อม IN-UNIT WELNESS อื่นๆ มากมายที่จะยกระดับมาตรฐานการใช้ชีวิตในห้องพัก นอกเหนือจากการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้าแล้ว พฤกษายังสร้างสรรค์บริการที่เหนือระดับให้แก่ลูกค้าด้วย Concierge Service by The Reserve ที่อำนวยความสะดวกในการพักอาศัยให้กับลูกบ้าน เดอะรีเซิร์ฟ สุขุมวิท 61 เป็นคอนโด Low Rise สูง 7 ชั้น ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 61 ซึ่งเป็นซอยที่ได้รับรางวัลซอยน่าอยู่ของ กทม. มีความสะอาด และเงียบสงบ รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นนำ ทั้ง โรงเรียนนานาชาติ สถานทูต ร้านอาหาร โรงพยาบาลและซุปเปอร์มาร์เกตรวมถึงห้างสรรพสินค้าทั้งแบรนด์ในไทยและต่างชาติ โครงการมีแบบห้องให้เลือกถึง 5 แบบ คือ แบบสตูดิโอ  พื้นที่ 30.5 ตร.ม. แบบ 1 Bedroom  พื้นที่ 35-48 ตร.ม. แบบ 2 Bedroom Simplex พื้นที่ 62.5-138.8 ตร.ม. แบบ 3 Bedroom Simplex พื้นที่ 157.6 ตร.ม. และแบบ Duplex พื้นที่ 115 -132 ตร.ม. เปิด Open House 3 – 4 ก.พ. นี้ สำหรับลูกค้าที่จองในงานรับส่วนลดพิเศษ 100,000 บาท สอบถามเพิ่มเติมโทร.1739 หรือ thereservecondo.com/thereserve61
คูน เอสเตท ผุด คูเปอร์ สยาม เติมเต็มย่านนวัตกรรมแห่งสยาม ฉีกทุกคอนเซ็ปต์ครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยกับคอนโดแนวคิดใหม่ ‘Combo Loft’ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ชีวิตอิสระทั้งทำงาน และพักอาศัย

คูน เอสเตท ผุด คูเปอร์ สยาม เติมเต็มย่านนวัตกรรมแห่งสยาม ฉีกทุกคอนเซ็ปต์ครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยกับคอนโดแนวคิดใหม่ ‘Combo Loft’ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ชีวิตอิสระทั้งทำงาน และพักอาศัย

คูน เอสเตท จำกัด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่นำเสนอแนวคิดใหม่ๆ ในการออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว บุกตลาดนิชพรีเมียม เข้ามาเติมเต็มผังเมืองใหม่ในย่านนวัตกรรมแห่งสยาม เพื่อยกระดับให้เป็นมหานครต้นแบบในด้านนวัตกรรม ฉีกคอนเซ็ปต์คอนโดด้วยแนวคิดใหม่เป็นครั้งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยแนวคิด ‘Combo Loft’ คอนโดมิเนียมสไตล์ลอฟท์เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่สามารถจดทะเบียนเป็นบริษัทได้ และโซนที่พักอาศัยพรีเมี่ยมในชั้นสูง (Sky Residence) แห่งแรกในเมืองไทย เหมาะกับกลุ่ม Gen Y และ กลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์ยุคใหม่  มูลค่าโครงการกว่า 1,300 ล้านบาท นายธเนศ อรุณวณิชย์พร กรรมการบริหาร บริษัท คูน เอสเตท จำกัด  เปิดเผยว่า คูเปอร์ สยาม ฉีกคอนเซ็ปต์ของคอนโดมิเนียมทุกรูปแบบที่เคยมีมา ด้วยการนำคอนเซปต์ที่มีอยู่ในต่างประเทศตามใจกลางเมืองใหญ่เข้ามาพัฒนาเป็นคอนเซปต์แรกในประเทศไทย เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ชีวิต และพฤติกรรมคนยุค 4.0 และ Gen Y มีอิสระในการใช้ชีวิต เสพเทคโนโลยี ชีวิตติดออนไลน์ เปิดกว้างทางความคิด และวัฒนธรรม เป็นมนุษย์หลายงาน ที่ต้องรองรับทั้งการอยู่อาศัยและการทำงานไปพร้อมๆ กัน โดยมีจุดเด่นเป็นห้องสไตล์ Combo Loft อย่างแท้จริง และสามารถจดทะเบียนเป็นบริษัทได้ เพดานสูงถึง 4.6 เมตร พื้นที่สูงโปร่งและกว้าง ซึ่งเราตั้งเป้าเจาะกลุ่มคนไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ที่สามารถทำงานจากที่บ้านได้ ใช้ชีวิตทันสมัยในแบบของตัวเอง และชื่นชอบการใช้จ่ายเพื่อสร้างความสุขให้ตัวเอง ด้วยทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง บนถนนรองเมือง ห่างจากรถไฟฟ้าสถานีสนามกีฬาแห่งชาติเพียง 8 นาที ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง ในราคาเฉลี่ยเพียง 138,000 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น คูเปอร์ สยาม เป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรส์สูง 24 ชั้น 188 ยูนิต แบ่งเป็นโซน Combo Loft แบบ Single และ Double ขนาด 41-71 ตารางเมตร โซนพักอาศัยชั้นสูง หรือ Sky Residence แบบ 1,2 ห้องนอน ขนาด 30 – 67 ตารางเมตรและ เพนท์เฮ้าส์ดูเพล็กซ์ 3 ห้องนอน ขนาด 188 – 220 ตารางเมตร โดยใช้ลิฟท์แยกโซนเพื่อความเป็นส่วนตัว  ภายในออกแบบตกแต่งให้มีอิสระในการปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผู้พักอาศัย เลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ และมีเอกลักษณ์ และคงไว้ซึ่งความโอ่อ่าหรูหรา พื้นที่ส่วนกลางได้รับการออกแบบให้รองรับการใช้ชีวิตในรูปแบบต่างๆ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน อาทิ Co-working space ห้องประชุมส่วนตัว และห้องอเนกประสงค์ ศาลาชมวิว สระว่ายน้ำพร้อมจากุชซี่ ฟิตเนส ห้องสำหรับเล่นเกมส์ สวนลอยฟ้า เพิ่มความสะดวกด้วยรถรับส่งจากโครงการไปยังสถานที่ต่างๆ อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาบุญครอง สยามสแควร์ และบีทีเอสสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ เป็นต้น นายธเนศ กล่าวเสริมว่า โครงการตั้งอยู่ในทำเลย่านสยาม-ปทุมวัน ซึ่งกำลังจะถูกพัฒนาให้เป็น ‘ย่านนวัตกรรม’ (Innovation District) ซึ่งเป็นแนวโน้มล่าสุดในการวางผังเมืองของรัฐบาลที่ได้ให้ทุนตั้งต้นกว่า 230 ล้านบาท เพื่อเชื่อมโยงการทำงานของภาคอุตสาหกรรม และภาคธุรกิจเข้าด้วยกัน สร้างตลาดนวัตกรรม นำไปสู่การสร้างชุมชนใหม่ ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของมหานครทั่วโลก ประกอบกับแผนงานการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ทั้ง โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และมอเตอร์เวย์ สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์มองว่า จะมีการเปลี่ยนเทรนด์ของคอนโดที่ชัดเจนขึ้นเพื่อให้สอดรับกับเทรนด์โลกที่เปลี่ยนแปลงไป  นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า บริเวณโซนพื้นที่ย่านปทุมวัน โดยเฉพาะบนถนนรองเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่ชุมชนเก่าแก่ใจกลางเมือง ถูกจับจองพื้นที่มาเป็นเวลานาน แต่อยู่ใกล้กับสยามในระยะที่สามารถเดินไปได้ ซึ่งในอนาคตพื้นที่บริเวณนี้จะถูกพัฒนาให้มีโครงการต่างๆ เกิดขึ้นเพื่อรองรับย่านนวัตกรรม ไลฟ์สไตล์ของคนในพื้นที่จะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป ตามเมืองที่เริ่มมีการขยายตัว  โดยเฉพาะโครงการที่เป็นไฮไรส์ คูเปอร์ สยาม จึงเป็นโครงการน่าลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะเป็นโครงการแรกที่อยู่ในบริเวณนี้ซึ่งเปิดราคาได้อย่างคุ้มค่าเป็นอย่างมาก เพราะหากรอให้เมืองขยายมาก่อนคงหาราคาแบบนี้ไม่ได้แน่นอน อีกทั้งยังมีตลาดการศึกษาซึ่งมีดีมานด์ใหม่ทุกปี ไม่สิ้นสุด ในแง่ของดีมานด์-ซัพพลายในย่านปทุมวันนั้น ซัพพลายที่สร้างเสร็จแล้วมีเพียง 12,906 ยูนิต หรือคิดเป็น 10% ของซัพพลายทั้งหมด และที่กำลังก่อสร้างมีเพียง 4,013 ยูนิต หรือคิดเป็น 13% ของซัพพลายทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ต่ำมาก ในขณะที่ความต้องการคอนโดในย่านนี้มีสูงโดยอัตราการขายของคอนโดในย่านนี้สูงถึง 86% โดยราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 4 ล้านบาท นางสาวอลิวัสสากล่าวโดยสรุปว่าโครงการที่มีราคา 4 ล้านบาท โดยราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 138,000 บาท/ต่อตารางเมตร และมีการออกแบบอย่างพิถีพิถัน เลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพระดับพรีเมี่ยม นับว่าหาได้ยากมากในทำเลใจกลางเมืองอย่างนี้ โครงการ คูเปอร์ สยาม จะเปิดขายอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ในราคาเริ่มต้น 4 ล้านบาท พร้อมรับส่วนลดพรีเซลล์สูงสุด 100,000 บาทเมื่อลงทะเบียนออนไลน์ผ่าน www.coopersiam.com สอบถามรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมที่เบอร์ 089 459 5399 หรือ line@CooperSiam
‘เอพี’ มั่นใจ ศักยภาพไทยปี 61 แข็งแกร่ง ผนึกกำลัง ‘มิตซูบิชิ เอสเตท’ เดินหน้าลงทุนต่อเนื่องใน 4 คอนโดใหม่ รวมมูลค่าโครงการร่วมทุน 5 ปีสูงกว่า 74,430 ล้านบาท

‘เอพี’ มั่นใจ ศักยภาพไทยปี 61 แข็งแกร่ง ผนึกกำลัง ‘มิตซูบิชิ เอสเตท’ เดินหน้าลงทุนต่อเนื่องใน 4 คอนโดใหม่ รวมมูลค่าโครงการร่วมทุน 5 ปีสูงกว่า 74,430 ล้านบาท

เอพี ไทยแลนด์ ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมที่อยู่อาศัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน เชื่อมั่นศักยภาพเศรษฐกิจไทยปี 2561 สดใส บรรยากาศการซื้อขายกลับสู่ภาวะปกติ ดีมานด์ตลาดคอนโดระดับกลางถึงบนตลาดตอบรับดี ผนึกกำลัง มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป พันธมิตรทางธุรกิจ กางแผนพัฒนาปี 61 เร่งสานต่อการลงทุนหลังแผนการโอนกรรมสิทธิ์ 6 คอนโดร่วมทุนแรกออกมาสวยงาม ด้าน มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ประกาศงบลงทุนในไทย มูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท ประเดิมลงนามร่วมทุนคอนโดแพคแรกกับ 4 โครงการใหญ่ รวมมูลค่าโครงการร่วมทุน 5 ปี สูงกว่า 74,430 ล้านบาท นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า “เอพี ไทยแลนด์ ได้ยกระดับความร่วมมือทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง กับ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป  (หรือ MECG) ยิ่งขึ้นเป็นปีที่ 5 โดยต้นปี 2561 นี้เอพี ไทยแลนด์ และมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป มีแผนที่จะพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับกลาง-บนอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงต้นปีได้มีการลงนามในสัญญาความร่วมมือพัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมกัน จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 23,000 ล้านบาท โดย LIFE สุขุมวิท 62 จะเป็นโครงการแรกที่พร้อมเปิดในเดือนมีนาคม ผ่านระบบ AP i-Booking และโครงการอื่นๆ จะทยอยเปิดตัวตามแผนงานที่กำหนดไว้ ณ ปัจจุบันรวมมูลค่าโครงการร่วมทุน 5 ปีสูงถึง 74,430 ล้านบาท” “เอพีและมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจรายเดียวที่มีโมเดลร่วมทุนในแบบการจัดตั้งบริษัทแม่ในไทย ภายใต้ชื่อ “บริษัท พรีเมียม เรสซิเดนท์ จำกัด” เพื่อทำหน้าที่บริหารจัดการโครงการภายใต้การร่วมทุน ซึ่งในปีนี้ทางมิตซูบิชิ เอสเตทได้ส่งทีมงานจากญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มานั่งทำงานประจำร่วมกับทีมงานเอพีเพิ่มมากขึ้น เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการอนุมัติและดำเนินการต่างๆ แผนการร่วมทุนกับกลุ่มมิตซูบิชิ เอสเตท ยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจแบบก้าวกระโดด โดยในปีที่ผ่านมา เอพีได้พัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมทุนใน Scale ที่ใหญ่ขึ้น   ทั้ง LIFE วิทยุ LIFE ลาดพร้าว และ LIFE อโศก-พระราม 9 ซึ่งทั้ง 3 โครงการส่งผลให้ยอดขายในส่วนของคอนโดมิเนียมโตขึ้นมากถึง 180% หากเทียบกับปีก่อนหน้า” นายอนุพงษ์ กล่าวเสริม มร. โชจิโร โคจิมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย ในนามของมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป กล่าวถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพเศรษฐกิจไทยและความสำเร็จในการพัฒนาโครงการร่วมกับ เอพี (ไทยแลนด์) ว่า "สำหรับงบลงทุนพัฒนาอสังหาฯ ในต่างประเทศของ MECG รวม 3 ปี (2561 - 2563) อยู่ที่ 4 แสนล้านเยน (หรือประมาณ 1.17 หมื่นล้านบาท) เป็นการลงทุนในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ยุโรป จีน โอเชียเนีย และกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของการลงทุนนี้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ต่อไป โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่ทาง MECG เห็นโอกาสจากรายได้ต่อครัวเรือนของคนในกรุงเทพฯ ที่เพิ่มขึ้นทุกปี การขยายตัวของจำนวนประชากรที่ย้ายถิ่นฐานจากต่างจังหวัด อีกทั้งระบบขนส่งมวลชนที่พัฒนาไปมาก ส่งผลให้เกิดการกระจายออกของศูนย์กลางความเจริญของเมืองรูปแบบใหม่ ที่ทำให้วิถีการใช้ชีวิตของคนไทยมีความคล่องตัวในลักษณะครอบครัวขนาดเล็กลงมากขึ้น” “จากการร่วมมือกันที่ผ่านมา มีผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจอย่างมาก ทั้งในส่วนของยอดขายและการโอนกรรมสิทธิ์ โดยในส่วนของยอดขายคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนปี 2557 - 2560 ทั้งสิ้น 11 โครงการ มียอดขายรวมเฉลี่ย 90% จากมูลค่ารวมทั้งสิ้น 51,430 ล้านบาท โดยเป็นโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่จำนวน 6 โครงการ ได้แก่ (1) RHYTHM สุขุมวิท 36 – 38 (2) ASPIRE รัชดา – วงศ์สว่าง (3) ASPIRE สาทร – ท่าพระ (4) RHYTHM อโศก 2 และ 2 โครงการล่าสุด ที่ได้เปิดโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 4/2560 ที่ผ่านมา คือ (5) Life ปิ่นเกล้า และ (6) RHYTHM รางน้ำ โดยลูกค้าให้การตอบรับโอนกรรมสิทธิ์ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งเป็นผลจากการทำงานร่วมกันในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AP Check List หนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการควบคุมคุณภาพสินค้าที่เริ่มต้นตั้งแต่กระบวนการออกแบบพัฒนาและปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบคุณภาพสินค้าอย่างเข้มข้น ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งใจจะเดินหน้าทำงานร่วมกับเอพีฯ ต่อไปในการพัฒนาคอนโดมิเนียมตอบคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต เพื่อป้อนตลาดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้เรายังคงตั้งเป้าจะพัฒนาโครงการร่วมกับเอพี ด้วยมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท” มร. โชจิโร โคจิมา กล่าวเสริม ก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 แห่งความร่วมมือและมิตรภาพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เอพี (ไทยแลนด์) และ มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ยังคงให้ความสำคัญกับการนำความเชี่ยวชาญของเอพี และ MECG สู่การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่ครอบคลุมการพัฒนาที่อยู่อาศัย การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างเข้มข้นและจริงจัง ที่จะสร้างความแตกต่าง ครอบคลุมทุกมิติทั้งในด้าน ‘คุณภาพ’ ‘บริการ’ ‘ความสะดวกสบาย’ และ ‘ความปลอดภัย’ นำเสนอให้เกิดขึ้นจริงในคอนโดมิเนียมเครือเอพี ภายใต้กรอบวิสัยทัศน์ “สร้างสรรค์นวัตกรรมดีไซน์ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต” (Innovation for Quality Living in the Future) มุ่งยกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมนานาประเทศ  โดยมีเป้าหมายในเฟสแรกจะร่วมพัฒนาคอนโดมิเนียม 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 23,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้การร่วมทุนครั้งแรกเมื่อปี 2557 จนถึงวันนี้ เอพีและมิตซูบิชิ เอสเตท ได้พัฒนาโครงการร่วมกันมูลค่าสูงถึง 74,430 ล้านบาท “ด้วยความพร้อมด้านทีมงานคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ที่อยู่อาศัยคุณภาพ และพันธมิตรคุณภาพภายใต้ passion เดียวกันที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมที่อยู่อาศัยคุณภาพ ผมเชื่อว่า เอพี ไทยแลนด์จะสามารถสร้างความแตกต่างและความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค และยังคงเป็น 1 ใน 3 ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยจะนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยแห่งอนาคต ผ่านการคิดค้นและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เท่าทันต่อโลกในอนาคต เพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียมไทยให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ" คุณอนุพงษ์กล่าวสรุป สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 61 มีแนวโน้มเติบโตขึ้นตามการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจประเทศที่น่าจะเติบโตได้ถึง 3.8 – 4% กิจกรรมการตลาดและบรรยากาศการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงต้นปี 61 การแข่งขันในตลาดอสังหาฯ ยังคงเกิดจากผู้ประกอบการรายใหญ่ประมาณ 10 รายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ถือครองส่วนแบ่งอยู่ประมาณ 80% ดังนั้น ผู้ประกอบการที่หวังจะโตต่อต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงเร็วและแบ่งย่อยเป็นกลุ่มที่ซับซ้อน และต้องบาลานซ์พอร์ตสินค้าคอนโดมิเนียมและแนวราบให้สมดุล โดยเชื่อว่าสินค้าคอนโดมิเนียมที่ตอบตลาดระดับกลางถึงบนมีแนวโน้มเติบโตได้ดี เพราะมีซัพพลายในตลาดไม่มาก และสต๊อกส่วนใหญ่ถูกระบายออกไปในปีที่ผ่านมา ขณะที่สินค้าแนวราบยังโตได้ต่อเนื่อง จากกำลังซื้อเรียลดีมานด์  “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมการดีไซน์ เพื่อการอยู่อาศัยในเมือง”
อั๊คโซ่ โนเบล เปิดตัวนวัตกรรมสีผลิตภัณฑ์สำหรับครอบครัว ตอกย้ำความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของผลิตภัณฑ์ทุกชนิด

อั๊คโซ่ โนเบล เปิดตัวนวัตกรรมสีผลิตภัณฑ์สำหรับครอบครัว ตอกย้ำความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของผลิตภัณฑ์ทุกชนิด

นวัตกรรมใหม่ล่าสุดสำหรับชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลายสำหรับเด็ก ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places) และผลิตภัณฑ์สีอะครีลิคทาภายใน ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส (Dulux EasyCare Plus)  ที่มีคุณสมบัติพิเศษเช็ดทำความสะอาดง่าย ป้องกันแบคทีเรียและเชื้อรา พร้อมเปิด ดูลักซ์ คัลเลอร์ ดีไซน์ สตูดิโอ (Dulux Color Design Studio)  มร. เดนิส จู (ซ้ายสุด) ประธานกรรมการบริหาร คิดซาเนีย กรุงเทพ มร. เดฟ เพลน (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท อ๊คโซ่ โนเบล เพ้นท์ส (ประเทศไทย) จำกัด และคุณสุรีย์พร กังวานวาณิชย์ (ขวาสุด) ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท อั๊คโซ่ โนเบล (AkzoNobel)  ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีชั้นนำระดับโลกภายใต้แบรนด์สี “ดูลักซ์” เปิดตัวชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลายสำหรับเด็ก ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places)  ที่ประกอบด้วยสติกเกอร์ใสสร้างลาย   สติกเกอร์สีสันสำหรับตกแต่ง เทปกาว    ดูลักซ์ คัลเลอร์ เพลย์ (Dulux Colour Play) ลูกกลิ้งเล็กสำเร็จรูปสำหรับกลิ้งสีบนผนัง ที่มาพร้อมผลิตภัณฑ์สีอะครีลิคทาภายใน ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส (Dulux EasyCare Plus)  คุณสมบัติพิเศษเช็ดทำความสะอาดง่าย ป้องกันแบคทีเรียและเชื้อรา    นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว ดูลักซ์ คัลเลอร์ ดีไซน์ สตูดิโอ (Dulux Color Design Studio) ซึ่งนวัตกรรมเหล่านี้พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มครอบครัวที่มีความต้องการออกแบบบ้านให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็ใช้ประสิทธิภาพของเทคโนโลยีที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น คิดพรูฟ พลัส เทคโนโลยี (KidProof+ TechnologyTM) ที่ทำหน้าที่เคลือบชั้นฟิล์มสีป้องกันและลดการสะสมของคราบฝังลึกบนผนัง และป้องกันแบคทีเรียและเชื้อรา ให้ศิลปินตัวน้อยได้ปลดปล่อยจินตนาการอิสระได้อย่างไร้กังวลด้วยผลิตภัณฑ์สีดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส มร.เดฟ เพลน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อั๊คโซ่ โนเบล เพ้นท์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “นวัตกรรมและความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญที่อั๊คโซ่ โนเบลยึดถือปฏิบัติเสมอมา เราเข้าใจว่าครอบครัวที่มีเด็กมีความต้องการที่แตกต่างจากเจ้าของบ้านทั่วไป จึงได้คิดค้นชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลายสำหรับเด็ก ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places) และผลิตภัณฑ์สีอะครีลิคทาภายใน ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส (Dulux EasyCare Plus)  ที่ได้การรับรองว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีคุณสมบัติพิเศษเช็คทำความสะอาดง่ายและป้องกันแบคทีเรีย ซึ่งถือเป็นอีกก้าวสำคัญของอั๊คโซ่ โนเบล ในการนำเสนอโซลูชั่นส์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในกลุ่มครอบครัว” “ในขณะเดียวกันเราเชื่อมั่นในพลังแห่งสี เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการเสริมสร้างจินตนาการการเล่นภายในบ้าน ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญต่อพัฒนาการทางสังคม จิตใจและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ๆ รวมถึงการสร้างโอกาสที่ก่อให้เกิดการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว”    ชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส   (Dulux Far Away Places) ชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places) คือชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย 8 ธีมสุดมหัศจรรย์ พร้อมชุดอุปกรณ์ตกแต่งที่ช่วยสร้างสีสันเพื่อเสริมจินตนาการของศิลปินตัวน้อยได้ถึง 48 เฉดสีสดใส ช่วยเติมเต็มจินตนาการของลูกน้อยและผู้ปกครองในการตกแต่งห้องได้ตามใจฝัน นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจและการเล่นที่ช่วยเสริมสร้างจินตนาการ  (Imaginative Play) ภายในบ้าน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญต่อพัฒนาการของลูกน้อยทั้งทางด้านสังคม สติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ ชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places) ประกอบด้วย ดูลักซ์ คัลเลอร์ เพลย์ 6 สี (ลูกกลิ้งเล็กสำเร็จรูปสำหรับกลิ้งสีบนผนัง)  สติกเกอร์ใสสร้างลาย สติกเกอร์สีสันสำหรับตกแต่ง เทปกาว และคู่มือแนะนำการตกแต่ง ที่ใช้งานง่ายและช่วยให้ผู้ปกครองสร้างสรรค์แต่งผนังห้องของลูกน้อยให้เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจและลวดลายสวยงามได้อย่างง่ายดาย โดยชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์ อเวย์ เพลสเซส (Dulux Far Away Places)    มีแบบการตกแต่งให้เลือกถึง 8 ธีมสุดมหัศจรรย์   ประกอบด้วย ซิตี้ ออฟ ฮีโร่ส์ (City of Heroes), พรินซ์เซส แคสเซิล (Princess Castle), อินทู เดอะ วู้ดส์ (Into the Woods), อันเดอร์ เดอะ ซี (Under the Sea), อัพ อิน เดอะ สกาย (Up in the Sky), ซาฟารี แลนด์ (Safari Land), อินทู สเปซ (Into Space) และ เทรเชอร์ ไอซ์แลนด์ (Treasure Island) เหมาะสำหรับทุกจินตนาการของเด็กทุกคน ไม่ว่าจะชื่นชอบการผจญภัยหรือมีความหลงใหลในโลกของเทพนิยาย นอกจากนี้ ผู้ปกครองและเด็กๆ ยังสามารถสร้างเรื่องราวแห่งจินตนาการกับดินแดนมหัศจรรย์ทั้ง 8 เพิ่มเติม พร้อมทั้งแชร์ผลงานชิ้นเอกได้ที่เว็บไซต์ www.dulux-farawayplaces.com/th ผลิตภัณฑ์สีอะครีลิคทาภายใน ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส (Dulux EasyCare Plus)  ที่มีคุณสมบัติพิเศษเช็ดทำความสะอาดง่าย ป้องกันแบคทีเรียและเชื้อรา เพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์อเวย์ เพลสเซส  (Dulux Far Away Places) ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส ผลิตภัณฑ์สีอิมัลชันสูตรน้ำมี คิดพรูฟ พลัส เทคโนโลยี (KidProof+ TechnologyTM) ช่วยปกป้องผนังจากเชื้อแบคทีเรียและการฝังตัวลึกของคราบสกปรก สูตรต่อต้านแบคทีเรียช่วยเพิ่มปกป้องไปอีกขั้นกับประสิทธิภาพยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียบนผนัง ผลิตภัณฑ์สีอะครีลิคสูตรน้ำสำหรับทาภายในเกรดพรีเมี่ยมคุณภาพสูงที่มีคุณสมบัติเช็ดทำความสะอาดง่ายนี้ เป็นที่ชื่นชอบของครอบครัว ด้วยมีประสิทธิภาพสูงในการเคลือบพื้นผิวให้สีติดทนนานและช่วยให้พื้นผิวที่ก่อด้วยอิฐดูสวยเรียบเนียน นอกจากนี้ ยังช่วยการทำความสะอาดคราบในครัวเรือนให้เป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กที่อยู่ในวัยซุกซนและสนุกสนานกับการเรียนรู้และทดลอง ดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส มีเทคโนโลยีดูลักซ์ คัลเลอร์ การ์ด  (Dulux Colourguard™) ช่วยล็อคเม็ดสีเพื่อให้ผนังดูสวยงามและคงความสดใสได้ยาวนานขึ้น  ทั้งมีคุณสมบัติเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้รับการรับรองคุณภาพตามาตรฐานฉลากเขียว และมีปริมาณสารระเหยต่ำ (VOCs) ดูลักซ์ คัลเลอร์ ดีไซน์ สตูดิโอ ดูลักซ์ ร่วมมือ คิดส์ซาเนีย กรุงเทพ ศูนย์การเรียนรู้และความบันเทิงใจกลางกรุงเทพ สร้างดูลักซ์ คัลเลอร์ ดีไซน์ สตูดิโอ เพื่อให้เด็กที่มีอายุระหว่าง 4-12 ปี ได้รับประสบการณ์เรียนรู้ผ่านการเล่นที่สนุกสนานที่สตูดิโอขนาด 32 ตารางเมตรแห่งนี้ ในโลกแห่งสีสัน เด็ก ๆ จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสีสันและกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์สี พร้อมทั้งได้ร่วมสนุกไปกับการตกแต่งห้องภายใต้คอนเซป ดูลักซ์ ฟาร์ อเวย์ เพลสเซส (Dulux Far Away Places) ที่มีให้เลือก 2 ธีม คือ ซิตี้ ออฟ ฮีโร่ส์ (City of Heroes)  และ  พรินซ์เซส แคสเซิล (Princess Castle) ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สีดูลักซ์ อีซี่แคร์ พลัส ชุดตกแต่งผนังสร้างลวดลาย ดูลักซ์ ฟาร์ อเวย์ เพลสเซส (Far Away Places) และ ดูลักซ์ คัลเลอร์ ดีไซน์ สตูดิโอ ได้ที่เว็บไซต์ www.dulux-farawayplaces.com.th/ หรือ www.dulux.co.th
“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เชื่อมั่นเศรษฐกิจโลกหนุนอสังหาฯ ไทย ปี 2561 โต 5-7% ปักหมุดขยายอาณาจักร ‘ลลิล ทาวน์’ 8-10 ทำเล – ตั้งเป้าเติบโต 15 %

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” เชื่อมั่นเศรษฐกิจโลกหนุนอสังหาฯ ไทย ปี 2561 โต 5-7% ปักหมุดขยายอาณาจักร ‘ลลิล ทาวน์’ 8-10 ทำเล – ตั้งเป้าเติบโต 15 %

บริษัท  ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มองเศรษฐกิจโลกปี 2561 ส่งสัญญาณบวก หนุนเศรษฐกิจไทย - ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ฟื้นตัวชัดเจน จากโครงการอีอีซี-โครงการลงทุนรถไฟฟ้า ระบบ Mass Transit  มองการเติบโตตลาดที่อยู่อาศัยปีนี้ที่ 5-7% ประกาศแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจปีที่สามทศวรรษ ด้วยนโยบาย ‘Year of Competitiveness and Innovation for LALIN 4.0’ ตอกย้ำความเป็นมืออาชีพ และเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงเทรนด์อสังหาฯ เตรียมเปิดอาณาจักร “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town)’ ทำเลใหม่ 8-10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,500-5,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ – ปริมณฑล และต่างจังหวัด ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 4,400 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้ที่ 4,000 ล้านบาท เติบโต 15% นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2561 ยังคงมีสัญญาณบวก ซึ่งคาดว่าเศรษฐกิจจะสามารถขยายตัวได้ดีขึ้นเล็กน้อยจากปี 2560 ที่คาดว่าจะขยายตัวได้ราว 3.8 - 3.9% โดยการขยายตัวในปี 2561 นั้นจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการส่งออกที่คาดว่าจะยังคงขยายตัวได้ดี ตามทิศทางเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ขยายตัวได้ต่อเนื่อง ในส่วนของภาคการท่องเที่ยว คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะยังคงขยายตัวได้ดี นอกจากนี้ในปี 2561 นี้ จะมีเม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเม็ดเงินจากการลงทุนของภาครัฐ ที่จะเริ่มทยอยเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น กอปรกับการคาดการณ์ว่าจะมีการจัดการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2561 หรือต้นปี 2562 ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นแรงส่งช่วยให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่อเนื่อง รวมทั้งช่วยให้ตัวเลขการบริโภคและการลงทุน ขยายตัวได้ดีขึ้นในระยะต่อไป สำหรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้นจากปี 2560 โดยมีปัจจัยบวกมาจากทิศทางการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และการลงทุนของภาครัฐ  นอกจากนี้ภาพรวมของตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนต่อจีดีพี ที่เริ่มค่อยๆ ปรับลดลง จะช่วยให้กำลังซื้อปรับดีขึ้น ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยในประเทศยังคงทรงตัวในระดับต่ำ แม้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกามีความเป็นไปได้ที่จะปรับเพิ่มขึ้นอีกราว 3 ครั้ง ในปี 2561 นี้ โดยมองว่าตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ซึ่งเป็นตลาด Real Demand จะยังคงขยายตัวได้ราว 5-7%  สำหรับตลาดอาคารชุด อาจต้องระมัดระวังในบาง Sector และในบางทำเล ซึ่งอาจเริ่มเห็นสัญญาณ Over Supply บ้าง สำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2561 ซึ่งนับเป็นปีที่ครบรอบ 3 ทศวรรษของบริษัทฯ บริษัทยังคงเชื่อมั่นที่จะขยายตัวได้สูงกว่าภาพรวมของตลาดฯ ติดต่อกันเป็นปีที่สาม โดยมีการวางแผนธุรกิจที่สนับสนุนการขยายตัวของบริษัท ทั้งนี้ในปี 2561 นี้ บริษัทมีแผนขยายโครงการใหม่ทั้งสิ้น 8-10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,500-5,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 4,400 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 4,000 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นราว 15% จากปีก่อน นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) กล่าวว่า ในปี 2561 ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในเชิงรุกเพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ไว้วางใจ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มากว่าสามทศวรรษ และบริษัทฯ ยังคงมุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะโครงการแนบราบที่บริษัทมีความชำนาญ ทั้งแนวความคิด การวางคอนเซ็ปต์ ความคุ้มค่าในการอยู่อาศัย และการเลือกทำเลศักยภาพ ตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์และราคา และเน้นการทำ Digital Marketing และ CRM Strategy สำหรับแผนงานกลยุทธ์โครงการ “ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) เตรียมเปิดโครงการใหม่ไว้ 8-10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,500 – 5,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล และต่างจังหวัดในส่วนของหัวเมืองหลัก และหัวเมืองชั้นรอง แบ่งสัดส่วนทำเลออกเป็น โซนกรุงเทพฯ และปริมณฑล 75-80% และในทำเลต่างจังหวัด 20-25% ในส่วนของทางด้านการเงิน บริษัทฯ วางงบซื้อที่ดินไว้ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยแหล่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ที่ได้มาจากการโอนโครงการต่างๆ และส่วนหนึ่งจะมาจากการออกหุ้นกู้ ซึ่งจะพิจารณาออกในจำนวนและช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้สอดรับกับการขยายธุรกิจ และการเติบโตในระยะยาวของบริษัททั้งนี้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ของบริษัทในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่มาก ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงทางด้านการเงินที่ต่ำ และยังคงมีศักยภาพในการขยายธุรกิจได้อีกมากโดยไม่ติดปัญหาเรื่องของแหล่งเงินทุน
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิด 7 ทำเลทาวน์เฮ้าส์น่าลงทุนรอบ กทม. หลังพบยอดขายย้อนหลัง 3 ปี พุ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิด 7 ทำเลทาวน์เฮ้าส์น่าลงทุนรอบ กทม. หลังพบยอดขายย้อนหลัง 3 ปี พุ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรเผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ประเภททาวน์เฮ้าส์พื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล พบ 7 ทำเลเด่นคุ้มค่าการซื้ออยู่อาศัยและลงทุน ทั้งกระทุ่มแบน-สาม พราน ,ทุ่งครุ-พระ ประแดง , ธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ , ลาดหลุมแก้ว, ดอนเมือง-สายไหม, อ่อนนุชบางนา และสุวรรณภูมิ-บางเสาธง เผยราคาขายปัจจุบันน่าสนใจ ส่วนทิศทางปี 2561 คาดยังเติบโตดี เหตุได้แรงส่งจากปี 2560 ที่เติบโตทั้งอุปสงค์และอุปทาน นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์ ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม) ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2557-2560) โดยพิจารณาอัตราขายได้และอัตราดูดซับเฉลี่ยของแต่ละทำเลเทียบกับค่าเฉลี่ยกลาง (อัตราดูดซับ 6.00 ยูนิต/เดือน/โครงการ และอัตราขายได้ 47%) พบว่ามีทำเลศักยภาพที่ขายดีและน่าลงทุน (มียอดขายเฉลี่ยสูงกว่าค่าเฉลี่ยกลาง) ทั้งสิ้น 7 ทำเล ประกอบด้วย ได้แก่ ทิศไต้: 1.กระทุ่มแบน-สาม พราน 2. ทุ่งครุ-พระ ประแดง, ตะวันตก : 3. ธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ, ทิศเหนือ : 4. ลาดหลุมแก้ว 5. ดอนเมือง-สายไหม, ตะวันออก: 6. อ่อนนุชบางนา และ 7. สุวรรณภูมิ-บางเสาธง  โดยทั้ง 7 ทำเลนี้มีราคาระหว่าง 1.2 – 2.99 ล้านบาท และสามารถเชื่อมต่อด้านการคมนาคมเข้าสู่ตัวเมืองได้โดยสะดวกจึงได้รับความนิยมค่อนข้างมาก จากการวิเคราะห์พบว่า ในทุกๆ ทำเลมีราคาเสนอขายที่ไม่สูงมาก (ระหว่างราคา 1.2 -2.99 ล้านบาท) ยกเว้นทำเลกระทุ่มแบน – สามพรานที่ราคาเสนอขายยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท หากพิจารณาในด้านของศักยภาพของแต่ละทำเลนั้น พบว่า กระทุ่มแบน-สามพราน เป็นพื้นที่เขตปริมณฑลที่มีจุดเด่นจากทำเลไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทำให้ผู้ที่พักอาศัยในพื้นที่นี้สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ ด้วยถนนพระราม 2 และถนนเพชรเกษมได้โดยง่าย นอกจากนี้ราคาทาวน์เฮ้าส์ในทำเลนี้ยังเสนอขายในระดับต่ำกว่า 1.2 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันพบทาวน์เฮาส์ระดับราคาต่ำ กว่า 1.2 ล้านบาทหาได้ยากและเสนอขายเพียงบางทำเลที่ราคาที่ดินยังไม่ทะยานตัวสูงมากนัก ซึ่งกระทุ่มแบน-สามพรานเป็นทำเลที่มียอดตอบรับทาวน์เฮาส์ในระดับราคานี้สูงที่สุด จากการพัฒนาโครงการที่สามารถตอบสนองกลุ่มกำลังซื้อในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี   ทำเลทุ่งครุ-พระประแดง เป็นทำเลที่อยู่ใกล้กับกับทางพิเศษเฉลิมมหานครและถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอก) จึงดึงดูดให้เกิดกำซื้อในทำเลนี้เพราะสามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ และเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคอื่นได้อย่าง สะดวกสบาย นอกจากนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ที่กำลังจะเริ่มก่อสร้างช่วงปลายปี 2561 และจะช่วยดึงผู้คนจากฝั่งธนบุรีเข้าสู่ฮับการเดินทาง หรือสถานีกลางบางซื่อ เพื่อเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ ในเมืองได้อย่างสะดวก ทำเลธนบุรี-ราษฎร์บูรณะ เป็นทำเลฝั่งธนบุรีที่ใกล้ย่านศูนย์กลางธุรกิจแวดล้อมด้วยแนวรถไฟฟ้า 3 สาย ได้แก่ รถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียวเข้ม (สายสีลม) ที่เปิดให้บริการมาเป็นเวลานาน รถไฟฟ้าสายสีม่วง (สถานีเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ) ที่เริ่มก่อสร้างช่วงปลายปี 2561 และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (สถานีหัวลำโพง-บางแค) ที่การก่อสร้างคืบหน้าแล้วเกินกว่า 85% ทำให้ผู้อยู่อาศัยในทำเลนี้สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯได้หลากหลายเส้นทาง ทำเลลาดหลุมแก้ว เป็นทำเลในเขตปทุมธานีที่สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ ได้ผ่านทางด่วนสายอุดรรัถยาและเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆได้ผ่านถนนกาญจนาภิเษก(วงแวนรอบนอก) นอกจากนี้ยังอยู่ในทำเลที่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (สถานีบางซื่อ-รังสิต) ที่มีความคืบหน้าในการก่อสร้างแล้ว 60% ซึ่งมีแผนเปิดให้บริการในอีก 3 ปีข้างหน้า และในอนาคตภาครัฐมีแผนพัฒนาส่วน ต่อขยายจากสถานีรังสิตไปยังมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิตอีกด้วย เอื้ออำนวยให้การเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองของกลุ่มกำลังซื้อ ทั้งพนักงานบริษัทเอกชน ข้าราชการ หรือเจ้าของกิจการในละแวกนี้มีความสะดวกมากขึ้นในอนาคต ดอนเมือง – สายไหม เป็นทำเลในโซนเหนือที่มีรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (สถานีบางซื่อ-รังสิต) และรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย (สถานีหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) พาดผ่านซึ่งทั้งสองเส้นทางมีแผนเปิดให้บริการอีก 3 ปีข้างหน้า อีกทั้งการเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯได้สะดวก ผ่านทางยกระดับอุตราภิมุข (โทลเวย์) และทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ทำให้ทำเลนี้ได้รับความนิยมจากพนักงานบริษัทเอกชน พนักงานที่ทำงานในสนามบินดอนเมือง หรือเจ้าของกิจการในละแวกนั้นเป็นอย่างดี อ่อนนุช – บางนา เป็นทำเลใกล้ย่านศูนย์กลางธุรกิจที่สามารถเข้าสู่ตัวเมืองได้ผ่านรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีเขียว (สถานีหมอชิต-แบริ่ง) ซึ่งเปิดให้บริการมาเป็นเวลานาน และล่าสุดก็ได้เปิดให้บริการในส่วนต่อขยาย ประกอบกับการมีทางพิเศษเฉลิมมหานคร ช่วยให้การเดินทางเชื่อมต่อไปยังสถานที่ต่างๆ ของกลุ่มกำลังซื้อในพื้นที่นี้มีความสะดวกสบายจากรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียวหรือสายสุขุมวิทที่เปิดให้บริการเป็นเส้นทางแรกในกรุงเทพฯ และตอบสนองการใช้ชีวิตของผู้คนได้เป็น อย่างดีทำให้ทาวน์เฮาส์ที่พัฒนาใกล้ใจกลางเมืองในย่านอ่อนนุช-บางนาได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง จากช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา สุวรรณภูมิ – บางเสาธง เป็นทำเลในจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามบินสุวรรณภูมิ สามารถเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองกรุงเทพฯ และเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคต่างๆ ได้ผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี, มอเตอร์เวย์, ถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอก) ประกอบกับการมี รถไฟฟ้า Airport Rail Link (สถานีพญาไท-สุวรรณภูมิ), รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (สถานีแบริ่งสมุทรปราการ) และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (สถานีลาดพร้าว-สำโรง) ที่ภาครัฐมีการเตรียมแผนพัฒนาอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความต้องการซื้อทาวน์เฮาส์จากพนักงานในสนามบินสุวรรณภูมิหรือเจ้าของกิจการในพื้นที่นี้ได้เป็นอย่างดี   “จากข้อมูลที่ทำการสำรวจนี้สะท้อนว่ากำลังซื้อในที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์เริ่มกลับมา แม้ว่าปี 2560 ที่ผ่านมาจะไม่มีนโยบายกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะ แต่อุปสงค์และอุปทานยังเติบโตได้ดี จึงคาดว่าทิศทางในปี 2561 ตลาดทาวน์เฮ้าส์จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เหตุจากราคาเสนอขายยังไม่ปรับตัวขึ้นสูงมากนัก ซึ่งเหมาะกับกำลังซื้อของคนในพื้นที่ นอกจากนี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคน่าจะมีสัญญาณเติบโตตามทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มคลี่คลายอย่างต่อเนื่องในปี 2560 และจะมีแรงส่งต่อไปยังปี 2561 ต่อไป” นายอนุกูล กล่าว
5 คอนโดสุดฮิต ที่มีคนสนใจมากที่สุดในเว็บ ประจำปี 2560

5 คอนโดสุดฮิต ที่มีคนสนใจมากที่สุดในเว็บ ประจำปี 2560

ในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกเราทีมงาน Review Your Living ได้มีโอกาสไปทำรีวิวคอนโดมีเนียมหลายๆ แบรนด์ หลากดีไซน์ ไม่ว่าจะเป็น คอนโด Low Rise, คอนโด High Rise ตลอดจนคอนโดเกาะแนวรถไฟฟ้าทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล มาให้แฟนๆ ได้ชมกันไม่ต่ำกว่า 40 ที่ ซึ่ง 5 คอนโดฯ ต่อไปนี้ คือคอนโดที่มีผู้อ่านสนใจมากที่สุด โดยวัดจากยอดไลค์และแชร์ในแฟนเพจเฟซบุ๊ค รวมถึงจำนวนผู้เข้าอ่านในเว็บไซต์ของเรา มาดูกันดีกว่าค่ะว่าจะมีคอนโดไหนบ้าง จะใช่หลังที่อยู่ในใจคุณหรือเปล่า ตามมาดูได้เลย.. คอนโด HALLMARK งามวงศ์วาน สำหรับโครงการแรกที่มีผู้อ่านสนใจคลิกเข้ามามากที่สุดก็คือ Hallmark งามวงศ์วาน เป็นคอนโด Low Rise สูง 8 ชั้น 4 อาคาร ล้อมรอบ Facility หลักของโครงการอย่างสระว่ายน้ำ และฟิตเนส ที่อยู่ตรงกลางคอนโด ทำเลตั้งอยู่ย่านงามวงศ์วาน ใกล้ๆ กับกระทรวงสาธารณสุข โดยเป็นโครงการแรกจากชีวาทัย จุดเด่นอยู่ที่ความเงียบสงบ เป็นส่วนตัว ไม่วุ่นวายเหมือนคอนโดในเมือง เนื่องจากคอนโดตั้งอยู่ในซอยย่านชุมชน เหมาะกับคนที่ทำงานอยู่ในย่านนี้ โดยเฉพาะข้าราชการหรือบุคคลากรที่ทำงานอยู่ในกระทรวงสาธารณสุข จะสะดวกมากที่สุด ในส่วนของการเดินทางถ้าหากใครที่ไม่ใช้รถยนต์ส่วนตัวก็อาจจะต้องเผื่อเวลาในการเดินทางสักหน่อย เพราะทำเลที่ตั้งโครงการถือว่าอยู่ในซอยลึกพอสมควร แต่ก็ยังมีรถสองแถวและวินมอเตอร์ไซค์ไว้คอยให้บริการอยู่ แต่ใครที่ใช้รถไฟฟ้าเป็นหลักก็นับว่าสะดวกสบายมากค่ะ เพราะมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่อยู่ใกล้ๆ อย่างสถานีแยกติวานนท์ ทำให้ทุกการเดินทางเข้านอกออกเมืองเป็นเรื่องที่ง่าย อ่านรีวิวและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/MvxG8q คอนโด VERY สุขุมวิท 72 โครงการ VERY สุขุมวิท 72 เป็นคอนโดแนวรถไฟฟ้าที่ผู้อ่านในเว็บไซต์ให้ความสนใจมากทีเดียวค่ะ เพราะตัวคอนโดตั้งอยู่ซอยสุขุมวิท 72 การเดินทางหลักๆ ก็คงหนีไม่พ้นการใช้รถไฟฟ้า BTS เป็นตัวเลือกแรก นั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีแบริ่งแล้วออกทางออกที่ 4 เดินต่อไปทางซอยสุขุมวิท 72 และเข้าซอยอีกเล็กน้อย ก็จะถึง Very Condo ระยะทางรวมแล้วไม่เกิน 400 เมตร จัดว่าเป็นระยะที่กำลังเดินได้สบายๆ โดยไม่ต้องพึ่งพารถสองแถว หรือวินมอเตอร์ไซค์เลยก็ได้ การเดินทางด้วยรถส่วนตัวก็จัดว่าสะดวกไม่แพ้กัน เพราะถนนหนทางในย่านนี้มีเส้นทางเลี่ยงเข้าออกเมืองได้หลายทาง ทั้งด่านทางด่วนบางนา และทางด่วนสุขสวัสดิ์-บางพลี ถนนวงแหวนรอบนอก สะพานภูมิพล (สะพานอุตสาหกรรม) รวมถึงถนนสายหลักๆ อย่างถนนบางนา-ตราด และถนนศรีนครินทร์ เรียกได้ว่ามีทางไปได้เยอะ รวมถึงเรื่องสภาพแวดล้อมรอบๆ ก็คึกคักดีทีเดียวค่ะ เพราะใกล้ทั้งแหล่งช็อปปิ้งใหญ่ๆ หลายแห่ง แถมยังมีร้านค้า ร้านอาหาร ตลาดสดอยู่ใกล้ๆ ด้วย ทำเลย่านนี้จึงอุดมสมบูรณ์ไม่น้อยเลย สำหรับการซื้อหาเพื่ออยู่อาศัย ที่ตั้งโครงการค่อนข้างได้เปรียบในเรื่องของความเงียบสงบ เหมาะกับการพักอาศัย ส่วนการลงทุนเพื่อหวังปล่อยห้องให้เช่า อ่านรีวิวและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/b8gYyc The stage เตาปูน interchange สำหรับโครงการ The Stage Taopoon Interchange ในเครือของ Real Asset เป็นคอนโด High Rise ตั้งอยู่บนประชาราษฎร์สาย 2 ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าเตาปูนมาประมาณ 350 เมตร ก็จะถึงหน้าทางเข้าโครงการ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เกาะติดแนวรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน แถมพ่วงด้วยสายสีม่วงเข้าไปอีก เพราะจุดนี้เป็นสถานีเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าทั้ง 2 สายพอดี ทำเลนี้เลยเพิ่มระดับความน่าสนใจขึ้นมาได้อีกเยอะเลยทีเดียว ในขณะที่พื้นที่รอบๆ โครงการยังเป็นที่พักอาศัยทั้งอาคารพาณิชย์และบ้านเดี่ยวเสียเป็นส่วนใหญ่ จะมีเพื่อนบ้านเป็นตึกสูงของโครงการ The Tree Interchange ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเท่านั้นที่อยู่ในระยะประชิด ยังดีหน่อยที่ลักษณะของที่ดินโครงการบังคับให้ตัวอาคารที่พักอาศัยหันหน้าไปทางทิศเหนือ-ใต้ เลยหมดปัญหากังวลเรื่องตำแหน่งห้องที่จะถูกตึกข้างๆ บดบังวิวไปได้เยอะเลย นอกจากนี้ริมถนนประชาราษฎร์ สาย 2 ยังคงมีร้านค้า ร้านอาหาร และธนาคารพาณิชย์ ที่ให้ความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันได้ตามสมควร รวมถึงโรงเรียนเทพสัมฤทธิ์วิทยาที่ยังคงอยู่ทางด้านหลังโครงการ และโรงพยาบาลบางโพที่อยู่ห่างออกไปเพียง 300 เมตรเท่านั้น ในขณะที่ถัดออกไปทางแยกเตาปูนก็มีตลาดสด และห้างโลตัสเตาปูนที่สามารถเป็นที่พึ่งพาให้จับจ่ายซื้อหาข้าวของที่จำเป็นได้ไม่ยาก ทำเลในย่านนี้จึงถือว่าเหมาะกับการอยู่อาศัยพอสมควรเลยทีเดียว อ่านรีวิวและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/zcA6E1 aspire งามวงศ์วาน คอนโดมิเนียมแบรนด์ Aspire อีกหนึ่งโครงการจาก AP ที่ยึดทำเลแยกพงษ์เพชรสร้างคอนโดมิเนียม High Rise ตึกคู่ พร้อม Facility จัดเต็ม หรูหรามีสไตล์ ในราคาโปรโมชั่นสุดคุ้มด้วยทำเลที่มีศักยภาพคุ้มค่ากับการลงทุน  ที่ตั้งของโครงการอยู่ติดถนนใหญ่ ห่างจากแยกพงษ์เพชรมาทางฝั่งขาไปถนนวิภาวดีฯ นิดเดียว การเดินทางจึงจัดว่าสะดวกมาก เพราะเลือกใช้ได้หลายเส้นทาง สะดวกทั้งเข้าเมืองและออกนอกเมือง ถึงแม้จะไม่มีรถไฟฟ้าผ่านหน้าโครงการก็ตาม ซอยใกล้ๆ โครงการคือ ซอยชินเขต 1 สามารถใช้เป็นเส้นทางลัดไปออกถนนวิภาวดี และถนนประชาชื่นได้ แถมถนนรอบๆ ยังเชื่อมต่อไปยังถนนแจ้งวัฒนะ ถนนรัตนาธิเบศร์ แยกประชานุกูลได้อีกด้วย  จึงจัดได้ว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพในการเดินทางมากเลยทีเดียว ส่วนในอนาคตทำเลนี้ก็ยังรองรับรถไฟฟ้า ซึ่งตัวโครงการจะอยู่ระหว่างสถานีบางเขน (สายสีแดง) กับสถานีศูนย์ราชการนนทบุร (สายสีม่วง) นอกจากนี้รอบๆ โครงการยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ห้างเดอะมอลล์ งามวงศ์วาน, เทสโก้โลตัส, โฮมโปร, ห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่า, เมเจอร์รัชโยธิน, โรงพยาบาลนนทเวช, มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ศูนย์ราชการ, SCG, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมไปถึงด่านขึ้นลงทางด่วนก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกลเลยค่ะ เพียง 3.9 กิโลเมตรเท่านั้น ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนก็จัดว่าสะดวกมากๆ อ่านรีวิวและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/6MV1n9 333 Riverside มาถึงอันดับ 5 เราก็ยังคงวนเวียนอยู่ในย่านเตาปูน บางโพ เพราะแถวนี้มีคอนโดโครงการใหม่ผุดขึ้นหลายโครงการเลย ซึ่งโครงการ 333 Riverside คอนโดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา จาก Land & House ก็เป็นอีกโครงการที่มีผู้อ่านสนใจมากทีเดียว เพราะนอกจากจะอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ได้วิวสวยๆ แล้ว ยังอยู่ติดกับตัวสถานี MRT บางโพอีกต่างหาก ที่ตั้งของโครงการถือว่าอยู่ในทำเลที่ดีเลยค่ะ เพราะอยู่ในย่านชุมชน ใกล้ตลาดสด โรงพยาบาล และโรงเรียน ซึ่งเหมาะกับคนที่กำลังมองหาที่พักอาศัยเกาะแนวรถไฟฟ้า และอยู่ไม่ห่างจากความเจริญมากนัก ซึ่งในอนาคตทำเลย่านนี้ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก เพราะนอกจากรถไฟฟ้าที่เข้ามาในย่านนี้แล้ว ยังมีรัฐสภาแห่งใหม่ที่กำลังอยู่ก่อสร้างอยู่อีกด้วย ส่วนการซื้อเพื่อลงทุนสำหรับการปล่อยเช่า เนื่องจากห้องมีขนาดใหญ่ เริ่มต้นที่ 45 ตารางเมตร ราคาต้นทุนจึงอาจจะสูงตามไปด้วย แถมตัวโครงการยังอยู่ห่างไกลจากแหล่งธุรกิจใจกลางเมือง ขณะที่การซื้อเพื่อขายต่อในอนาคตอาจจะมีโอกาสที่ดีกว่า อย่างไรก็ดีผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนการลงทุนด้วยนะคะ อ่านรีวิวและดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://goo.gl/7sb6PV สรุป จาก 5 คอนโดสุดฮิต ที่มีคนสนใจมากที่สุดในเว็บ ประจำปี 2560 จะเห็นได้ว่าเกือบทั้ง 5 คอนโด ตั้งอยู่ในย่านเตาปูน-บางซ่อน แทบจะทั้งหมดเลยนะคะ มีเพียงคอนโดเดียวเท่านั้นที่อยู่ย่านสุขุมวิท ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ทำเลในย่านนี้คึกคักและน่าสนใจเป็นพิเศษก็เพราะมีรถไฟฟ้าสายสีม่วง (เตาปูน-คลองบางไผ่) ที่มีสถานีเตาปูนเป็นจุด interchange กับรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-หัวลำโพง) และรถไฟฟ้าสีน้ำเงินส่วนตัวขยาย (เตาปูน-ท่าพระ) ทำให้การเดินทางเข้านอกออกเมืองเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวก บวกกับราคาคอนโดที่ไม่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับรถไฟฟ้าสายอื่นๆ ในปัจจุบัน ยิ่งตอนนี้การก่อสร้างรถไฟฟ้าคืบหน้าไปมากจนใกล้จะเสร็จเต็มที ทำให้บางโครงการได้รับความสนใจมากขึ้น จึงไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไมผู้อ่านในเว็บไซต์ Review Your living ให้ความสนใจมาก อย่างที่บอกว่าศักยภาพของทำเลในย่านนี้มีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต แต่อย่างไรก็ดีผู้สนใจควรศึกษาปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อด้วยนะคะ และในปี 2561 จะมีคอนโดไหนโดดเด่น น่าอยู่ และน่าลงทุนอีกบ้าง ทีมงานเราไม่พลาดที่จะคอยอัพเดตข้อมูลอย่างรู้ลึก รู้จริง แน่นอนค่ะ
ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทยชี้กลุ่มนักลงทุนต่างชาตินิยมลงทุนตลาดที่อยู่อาศัยในไทย

ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทยชี้กลุ่มนักลงทุนต่างชาตินิยมลงทุนตลาดที่อยู่อาศัยในไทย

ม.ร แฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านโครงการที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ให้ความเห็นว่า “ปี 2560เป็นปีที่โดดเด่นสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากมีอุปทานใหม่ที่มีการออกแบบของนวัตกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย และยังมีการเติบโตทางการลงทุนด้วยโอกาสทางการลงทุนที่น่าสนใจในประเทศไทยเปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนได้โดยไม่ได้รับผลกระทบจากค่าภาษีและอากรแสตมป์ที่มีราคาแพง ในปี 2560 จะสังเกตุเห็นนักพัฒนาหลายแห่งที่ได้ประโยชน์จากส่วนแบ่งทางการตลาด จากกลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ตลาดอสังหาฯที่อยู่อาศัยไทยได้รับกระแสการลงทุนเพิ่มมากขึ้นจากนักลงทุนชาวจีน แม้จะมีข้อจำกัดการลงทุนในต่างประเทศที่เข้มงวดมากขึ้นก็ตาม กรุงเทพฯจัดเป็นหนึ่งในพื้นที่เป้าหมายการลงทุนหลัก โดยคอนโดฯราคาระดับกลางหลายแห่งในเมืองได้รับความสนใจจากชาวจีนมากถึงร้อยละ 40 แต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2560 ยังค่อนข้างนิ่ง เนื่องจากมีกฏบังคับควบคุมการโอนเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของธนาคารแห่งประเทศจีน การจัดแสดงโครงการ ( Road Show ) ที่อยู่อาศัยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงประเทศจีนถือเป็นกิจกรรมทางการตลาดที่สำคัญและมีแนวโน้มที่จะขยายใหญ่มากขึ้นในปี 2561  และคาดว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากขึ้นอีก นักพัฒนาควรตระหนักว่ากลุ่มนักลงทุนจะคำนึงถึงเกณฑ์พื้นฐานหลัก 3 ข้อต่อไปนี้ ก่อนการตัดสินใจซื้อ ทำเลที่ตั้ง: ปัจจัยหลักสำหรับผู้ซื้อต่างชาติ โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ที่มีสถานที่สำคัญหรือการเข้าถึงจุดบริการขนส่งมวลชน ราคา: มีความสัมพันธ์โดยตรงกับทำเลที่ตั้ง โดยระดับของโครงการเป็นปัจจัยที่สองในการกำหนดราคา สิ่งอำนวยความสะดวก: สิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงการตกแต่งโดยรวมเหมาะสมกับโครงการหรือไม่? ม.ร มาร์ซีอาโน เบิร์จโมฮัน ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการตลาดและการขายต่างประเทศ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวเสริมว่า “ระบบขนส่งมวลชนในประเทศไทยมีการขยายเพิ่มขึ้นมาก แต่รถไฟฟ้าบีทีเอสยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักในการพัฒนาเมือง และเป็นขนส่งมวลชนที่สำคัญที่สุดต่อโครงสร้างพื้นฐานของชุมชนในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานี interchange อย่าง สถานีกลางบางซื่อที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในขณะนี้ได้กลายเป็นจุดสนใจหลักของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างชาติจำนวนมากยังให้ความสนใจไปที่พื้นที่รอบนอกเขตกรุงเทพฯที่มีระดับการลงทุนต่ำแต่ได้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อระหว่างย่านธุรกิจและพื้นที่ท่องเที่ยวโดยตรง นอกจากนี้สถานีเชื่อมต่อเตาปูนที่แล้วเสร็จและสถานีเชื่อมต่อสำโรงที่เกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว พื้นที่ทั้งสองนี้จะกลายเป็นพื้นที่ที่สำคัญในอนาคต หากสังเกตจากการจราจรในบริเวณที่มีสถานี interchange อย่างสถานีอโศกและสถานีสยาม เรามั่นใจว่าสถานีเตาปูนและสถานีสำโรงจะกลายเป็นสถานีขนส่งหลักภายในปี 2563 นอกจากนี้ คุณภาพของระบบโครงสร้างพื้นฐานในกรุงเทพฯ อย่างระบบขนส่งมวลชนและระบบโทรคมนาคมถือเป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางการลงทุนอสังหาฯและโครงการพัฒนา ซึ่งคล้ายคลึงกับเมืองใหญ่หลายๆ แห่งในโลก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะส่งผลโดยตรงต่อมูลค่าทรัพย์สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดวางตำแหน่งโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนจะมีผลต่อผู้คน ชุมชน และมูลค่าทรัพย์สินเป็นอย่างมาก เราสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนจากแนวรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทและสายสีลม   อสังหาที่อยู่อาศัยที่ตั้งอยู่ใกล้กับระบบขนส่งมักถือเป็นพื้นที่ "พรีเมียม" และเป็นเรื่องปกติที่ราคาอสังหาฯในบริเวณนั้นๆ จะปรับขึ้นตามการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน"
เปิดราคาที่ดินล่าสุด เริ่มใช้ปี 61'

เปิดราคาที่ดินล่าสุด เริ่มใช้ปี 61'

ที่ดินเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นอยู่ตลอด โดยผู้ที่กำหนดราคาที่ดิน คือ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ซึ่งมีการประกาศราคาประเมินที่ดินใหม่ โดยเปลี่ยนวิธีการจากเดิมประเมินเป็นรายบล็อก เป็นการประเมินราคารายแปลงทั้งหมด 32 ล้านแปลง ราคาใหม่นี้เริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2561 โดยราคาที่ดินสูงสุดเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร เรียงตามลำดับ ดังนี้ 1.ถ.สีลม เขตบางรัก ตารางวาละ 1,000,000 บาท 2.ถ.เพลินจิต ถ.พระราม1 ถ.ราชดำรอ เขตปทุมวัน ตารางวาละ 900,000 บาท 3.ถ.สาทร เขตสาทร เขตบางรัก ตารางวาละ 750,000 บาท 4.ถ.วิทยุ เขตปทุมวัน ถ.เยาวราช เขตสัมพันธวงศ์ ตารางวาละ 700,000 บาท 5.ถ.สุขุมวิท เขตวัฒนา คลองเตย ตารางวาละ 650,000 บาท 6.ถ.พัฒนพงษ์ ถ.ธนิยะ ถ.นราธิวาสฯ เขตบางรัก ตารางวาละ 600,000 บาท 7.ถ.สำเพ็ง ถ.ราชวงศ์ ตารางวาละ 550,000 บาท 8.ถ.พญาไท ถ.ศาลาแดง ถ.สุรวงศ์ ถ.เจริญกรุง ถ.คอนแวนต์ เขตบางรัก ถ.พระราม 4 ถ.หลังสวน เขตปทุมวัน ถ.มังกร เขตสัมพันธวงศ์ ตารางวาละ 500,000 บาท 9.ถ.มหาจักร เขตสัมพันธวงศ์ ตารางวาละ 475,000 บาท 10.ถ.พระสุเมรุ เขตพระนคร ตารางวาละ 470,000 บาท   ส่วนที่ดินที่ถูกที่สุดในเขตกรุงเทพมหานคร เรียงตามลำดับ ดังนี้ 1.เขตบางขุนเทียน บริเวณคลองโล่งชายทะเล ตารางวาละ 500 บาท 2.คลองพิทยาลงกรณ์ คลองโล่ง เขตบางขุนเทียน ตารางวาละ 800 บาท 3.ถ.ร่วมพัฒนา ถ.คู้คลองสิบ ถ.มิตรไมตรี เขตหนองจอก ตารางวาละ 850 บาท 4.ถ.สุวินทวงศ์ ถ.เลียบวารี เขตหนองจอก ถ.ขุมทอง-ลำต้อยติ่ง เขตลาดกระบัง ตารางวาละ 1,000 บาท 5.ถ.คลองเกาะโพธิ์ ถ.บางขุนเทียนเลียบชายทะเล ตารางวาละ 1,200 บาท 6.ถ.ราษฎร์อุทิศ เขตมีนบุรี คลองสามวา ตารางวาละ 1,300 บาท 7.ถ.พระราม 2 คลองสนามชัย และถ.แสมดำ เขตบางขุนเทียน ตารางวาละ 1,500 บาท 8.ถ.เอกชัย ถ.พระราม 2 เขตบางขุนเทียน 2,000 บาท 9.ซ.เทียนทะเล 22 ตารางวาละ 2,400 บาท 10.คลองหนามแดง ถ.เอกชัย ถ.บางบอน 4 เขตบางขุนเทียน ตารางวาละ 2,500 บาท ราคาที่ดินสูงสุดในต่างจังหวัด เรียงตามลำดับ ดังนี้ 1.อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตารางวาละ 400,000 บาท 2.อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ตารางวาละ 250,000 บาท 3.ถ.เลียบหาดพัทยา จ.ชลบุรี ตารางวาละ 220,000 บาท 4.ถ.ศรีจันทร์ จ.ขอนแก่น ตารางวาละ 220,000 บาท 5.ถ.เนรมิต จ.นครศรีธรรมราช ถ.ทวีวงศ์ จ.ภูเก็ต ตารางวาละ 200,000 บาท 6.ถ.โพศรี จ.อุดรธานี ตารางวาละ 180,000 บาท 7.ถ.กรุงเทพฯ-นนทบุรี จ.นนทบุรี ถ.สุขยางค์ จ.ยะลา ตารางวาละ 170,000 บาท 8.ถ.สุขุมวิท กรุงเทพ-คลองสำโรง จ.สมุทรปราการ ตารางวาละ 160,000 บาท 9.ถ.ราชดำเนิน จ.ตรัง ถ.หน้าเมือง จ.สุราษฎร์ธานี ตารางวาละ 150,000 บาท 10.ถ.อัษฎางค์ ราชดำเนิน ถ.จอมพล จ.นครราชสีมา ตารางวาละ 130,000 บาท   ส่วนที่ดินที่ถูกที่สุดในต่างจังหวัด ซึ่งทั้งหมดเป็นที่ดินตาบอด เรียงตามลำดับ ดังนี้ 1.อ.โคกเจริญ จ.ลพบุรี ตารางวาละ 20 บาท 2.อ.กัลยาณิวัฒนา แม่แจ่ม อมก๋อย จ.เชียงใหม่ อ.บ่อเกลือ จ.น่าน ตารางวาละ 25 บาท 3.อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก อ.ปางมะผ้า จ.แม่ฮ่องสอน ตารางวาละ 30 บาท   การประเมินราคาใหม่นี้ใช้เกณฑ์อ้างอิงหรือเป็นฐานในการจัดเก็บภาษี ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิ นิติกรรม ใช้ในการเวนคืน และใช้เพื่อเพื่อรองรับกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาในชั้นสภานิติบัญญัติ    
มั่นคงเคหะการ คาดตลาดอสังหาฯ ไทยส่งสัญญาณเติบโตต่อเนื่อง อานิสงค์การลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้นและความเชื่อมั่นทางการเมือง

มั่นคงเคหะการ คาดตลาดอสังหาฯ ไทยส่งสัญญาณเติบโตต่อเนื่อง อานิสงค์การลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้นและความเชื่อมั่นทางการเมือง

นางสาวดุษฎี ตันเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยว่า ตลอดปีที่ผ่านมา ตลาดอสังหาฯ ไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แม้ว่าในช่วงต้นปีจะมีบางช่วงที่ชะลอตัวบ้าง เนื่องจากผู้ประกอบการมุ่งเน้นระบายสต็อกที่มีอยู่เดิมมากกว่าการเปิดโครงการใหม่ ตลาดโดยรวมจึงอาจจะยังไม่คึกคักมากนัก อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลังสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น  ทั้งจากการลงทุนด้านคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลที่มีมติให้เริ่มการดำเนินงานอย่างชัดเจน อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วง แคราย-มีนบุรี, สายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง และสายสีม่วงช่วง เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่ทางรัฐบาลได้ประกาศว่าจะจัดการเลือกตั้งขึ้นภายในปี 2561 ทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นและกล้าตัดสินใจที่จะลงทุนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้จากการประเมินสถานการณ์ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) คาดการณ์ว่า ในปี 2560 จะมีการเปิดขายที่อยู่อาศัยใหม่อยู่ระหว่าง 97,200 – 113,000 หน่วย ซึ่งได้แบ่งการประเมิน 3 ระดับ คือ ระดับสภาพตลาดน้อยที่สุด จะมีจำนวนเปิดใหม่ 97,200 หน่วย เติบโตจากปี 2559 ที่ 0.7%, ระดับกลาง จะมีจำนวนเปิดใหม่ 103,000 หน่วย เติบโตจากปี 2559 ที่ 6.7% และระดับตลาดดีที่สุด จะมีจำนวนเปิดใหม่ 113,000 หน่วย เติบโตจากปี 2559 ถึง 17.1% ซึ่งระบุได้ว่า ตลาดอสังหาฯ ยังมีอัตราการเติบโตอยู่   “การเดินทางที่สะดวกสบายมีผลอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่ของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดใช้บริการของโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่-เตาปูน ในระยะแรกอาจจะไม่คึกคักอย่างที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากการเดินทางไม่เชื่อมต่อกันตลอดทั้งเส้นทาง แต่หลังจากมีการเชื่อมต่อสถานี เตาปูน-บางซื่อ เรียบร้อยแล้วน่าจะกลับมาคึกคักอย่างเห็นได้ชัด โดยมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 50% ซึ่งจะส่งผลให้การตัดสินใจเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคกลับมาคึกคักด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ มั่นคงเคหะการก็มีโครงการรองรับผู้บริโภคในทำเลดังกล่าวถึง 3 โครงการ ได้แก่ โครงการชวนชื่น ทาวน์ กาญจนา-บางใหญ่ , ชวนชื่น พาร์ค กาญจนา-บางใหญ่ และ โครงการชวนชื่น ทาวน์ แก้วอินทร์-บางใหญ่ ซึ่งการพัฒนาโครงการของมั่นคงฯ จะเน้นที่ผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก ให้ความคุ้มค่ากับผู้บริโภคสูงสุด โดยใช้แนวทางการก่อสร้างเสร็จพร้อมขาย เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจในการซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น และถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก” นางสาวดุษฎี ตันเจริญ กล่าว     นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงความคืบหน้าที่ชัดเจนของรัฐบาลเกี่ยวกับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) สำหรับรองรับการลงทุนในด้านอุตสาหกรรม ส่งผลให้เศรษฐกิจมีการเติบโตขึ้นและส่งผลดีต่อการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์โดยรวม ซึ่งมั่นคงเคหะการมีการพัฒนาโครงการรองรับในการขยายตัวของเศรษฐกิจบริเวณโซนบางนาทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และล่าสุดได้เปิดตัวโครงการชวนชื่นไพร์ม บางนา เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีมาก สามารถสร้างยอดขายไปแล้วกว่า 80% ในเฟสแรก และโครงการก่อสร้างของภาครัฐอื่นๆ อาทิ โครงการก่อสร้างถนนเส้นใหม่ ทางหลวงหมายเลข 346 (ปทุมธานี) ที่ช่วยเพิ่มศักยภาพของการพัฒนาโครงการของมั่นคงเคหะการ รวมทั้งยังเป็นทำเลที่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งโครงการชวนชื่นไพร์ม กรุงเทพ-ปทุมธานี และโครงการสนามกอล์ฟ  ซึ่งได้มีการรีโนเวทให้ครบครันยิ่งขึ้น คาดว่าจะเผยโฉมให้ได้ชมในช่วงไตรมาสแรกของปี 2561     สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ไทยในปี 2561 คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องจากไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2560 ทั้งจากการลงทุนด้านคมนาคมของภาครัฐ การผลิตและการใช้จ่ายของภาครัฐที่ขยายตัวมากขึ้น รวมถึงการส่งออกของไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้ผู้ซื้อมีความมั่นใจในการจับจ่ายมากยิ่งขึ้นด้วย สอดคล้องกับการประมาณสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ไทยในปี 2561 ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ที่ประเมินว่าตลาดอสังหาฯ จะเติบโตประมาณ 6-8% เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่เติบโตประมาณ 2-3%  โดยปัจจัยต่างๆ นั้น ยังจะทำให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเติบเพิ่มขึ้นด้วย โดยคาดการณ์ว่าในปี 2561 จะสามารถปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่ได้ไม่ต่ำกว่า 600,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 3-4%
ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยภาพรวมตลาดวิลล่าในภูเก็ต

ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยภาพรวมตลาดวิลล่าในภูเก็ต

นายณัฏฐา คหาปนะ กรรมการบริหาร บริษัท ไนท์แฟรงค์ ภูเก็ต จำกัดคาดการณ์ว่า ยูนิตวิลล่าที่มีระดับราคาขายระหว่าง 8-15 ล้านบาทมีแนวโน้มสดใส ตลาดยังคงแสดงอัตราการครอบครองเติบโตอย่างต่อเนื่อง ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2560 มีวิลล่าประมาณ 1,982 ยูนิตที่ขายหมดไปแล้วจากทั้งหมด 2,542 ยูนิต คิดเป็นอัตราขายอยู่ที่ร้อยละ 78 โดยมี 168 ยูนิตที่ขายในปีนี้ ในขณะที่วิลล่าในภูเก็ตที่มีราคาสูงกว่า 300 ล้านบาทต่อยูนิตมีแนวโน้มไม่ดีนัก ยอดขายค่อนข้างนิ่งโดยมีเพียงไม่กี่ยูนิตที่ขายได้ โดยในภาพรวมของตลาดราคาขายต่อยูนิตโดยเฉลี่ยจะยังคงที่หรือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย และจะยังมีวิลล่ารีเซลเพิ่มเข้ามาในตลาดอีกด้วย ที่มา: ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย วิลล่าในภูเก็ตมีจำนวน 2,542 ยูนิตโดยประมาณ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2560 มี 178 ยูนิตที่เพิ่มเข้ามาในตลาดวิลล่าภูเก็ต ส่วนใหญ่วิลล่าใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้เป็นวิลล่าประเภท 2 ห้องนอน ที่มีราคาขายอยู่ที่ 8-12 ล้านบาทต่อยูนิต และส่วนใหญ่ของอุปทานใหม่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางของเกาะบริเวณหาดบางเทา หาดสุรินทร์ และหาดกมลา บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย ผู้ซื้อวิลล่ายังคงเป็นชาวต่างชาติและชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศแถบอาเชีย เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ และจีน นอกจากนี้ยังมีชาวออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่ซื้อวิลล่าในภูเก็ตไว้เป็นบ้านหลังที่สอง โดยผู้ซื้อจากประเทศจีนนับเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของกลุ่มผู้ซื้อวิลล่าในภูเก็ต ซึ่งรวมไปถึงผู้ซื้อจากฮ่องกงและสิงคโปร์แล้ว เนื่องจากมีเที่ยวบินตรงและระยะทางที่ไม่ไกลนัก สามารถบินตรงจากบางเมืองในประเทศจีนไปยังจังหวัดภูเก็ตได้เลยซึ่งปัจจัยนี้เป็นอีกตัวช่วยที่ดีในการผลักดันตลาดวิลล่าในภูเก็ต
สถิติคอนโดปี 60 เปิดขายสูงสุดในรอบ 10 ปี

สถิติคอนโดปี 60 เปิดขายสูงสุดในรอบ 10 ปี

ในปี 2560 นี้ ตลอดทั้งปีเราจะเห็นว่ามีโครงการใหม่ๆ เปิดตัวขึ้นมากมายในหลายทำเล โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองที่แม้จะมีราคาสูงขึ้น แต่ก็ยังคงเป็นที่ต้องการอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นคนที่ซื้ออยู่อาศัยเองหรือนักลงทุน ซึ่งหากพูดถึงตลาดคอนโดมิเนียมที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงในปีนี้ เมื่อมองเป็นตัวเลขแล้วก็ต้องตกใจกับจำนวนที่เปิดขายใหม่ที่สูงสุดในรอบ 10 ปี จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ลองดูกันค่ะ เริ่มจากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่เผยให้เห็นภาพรวมของจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่จากทุกประเภทโครงการในปี 60' ซึ่งจะแบ่งออกเป็นทำเล ดังนี้ 1.นนทบุรี  คอนโดมิเนียม 26,927 บ้านจัดสรร 4,439 คิดเป็น 7% 2.สมุทรปราการ  คอนโดมิเนียม 19,019 บ้านจัดสรร 8,983 คิดเป็น 6.2% 3.ธัญบุรี  คอนโดมิเนียม 1,266 บ้านจัดสรร 10,466 คิดเป็น 4.6% 4.บางบัวทอง  คอนโดมิเนียม 4,712 บ้านจัดสรร 12,194 คิดเป็น 3.7% 5.บางซื่อ  คอนโดมิเนียม 16,656 บ้านจัดสรร – คิดเป็น 3.7% 6.บางพลี  คอนโดมิเนียม 1,538 บ้านจัดสรร 12,858 คิดเป็น 3.2% 7.ลำลูกกา  คอนโดมิเนียม 584 บ้านจัดสรร 12,273 คิดเป็น 2.9% 8.บางใหญ่  คอนโดมิเนียม 2,533 บ้านจัดสรร 9,773 คิดเป็น 2.7% 9.สมุทรสาคร  คอนโดมิเนียม 466 บ้านจัดสรร 11,364 คิดเป็น 2.6% หากโฟกัสมาที่ตลาดคอนโดมิเนียมเฉพาะในกรุงเทพฯ ของปี 60' นี้ ถือว่าเป็นปีที่เราได้เห็นโครงการใหม่ๆ เปิดตัวขึ้นมากมายในทุก Segment ทั้งเจ้าใหญ่ เจ้าเล็ก ต่างก็แข่งขันกันอย่างดุเดือดกันมาตลอดทั้งปี โดย มีจำนวนยูนิตที่เปิดการขายในโครงการใหม่ประมาณ 62,000 ยูนิต 128 โครงการ สูงสุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มียูนิตเปิดตัวใหม่สูงกว่าอัตราเฉลี่ยในรอบ 5 ปี โดยทำเลของคอนโดมิเนียมที่ความต้องการที่มีมากที่สุด คือ 1.พระโขนง-สวนหลวง 14,400 ยูนิต คิดเป็น 23% 2.พญาไท-รัชดาภิเษก 13,200 ยูนิต คิดเป็น 21% 3.ธนบุรี-เพชรเกษม 8,900 ยูนิต คิดเป็น 14% ซึ่งเขตที่มีการเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุด 88% คือ ปทุมวัน-ราชเทวี รวมยอดขายทั้งหมดอยู่ที่ 57,300 ยูนิต สูงกว่าอัตราขายเฉลี่ยในช่วง 5 ปี และย่านที่มีอัตราการขยายตัวของคอนโดมิเนียมมากที่สุดคือ ธนบุรี-เพชรเกษม ถึง 107% รองลงมาคือย่านติวานนท์-รัตนาธิเบศร์ 76% และแจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 68% ในทางกลับกันตลาดแนวราบมีการเปิดตัวลดลงถึง 28% ลดลงมากที่สุดในรอบ 6 ปี เพราะดีเวลอปเปอร์ค่ายใหญ่หันมาเล่นตลาดแนวสูงกันมากขึ้น เรื่องของราคาคอนโดมิเนียมที่เห็นได้ชัดว่าปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ จนราคาในระดับไม่เกิน 2 ล้านเกือบจะหาไม่ได้แล้วในโครงการใหม่ๆ โดยในปี 60' นี้ มีการปรับราคาสูงขึ้นเฉลี่ย 8% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 59' ราคาเฉลี่ย 130,600 บาท/ตร.ม. โดยเขตที่มีราคาคอนโดมอเนียมสูงขึ้นมากที่สุดคือเขตปทุมวัน เขตราชเทวี สูงถึง 16% ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองย่านอื่นๆ ก็มีราคาสูงขึ้นประมาณ 12% ด้วยเช่นกัน สรุปแล้วภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมในปี 60' ยังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง เพราะได้รับผลจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้น จุดนี้เองอาจส่งผลถึงตลาดในปีหน้าที่หลายฝ่ายเชื่อว่าจะมีทิศทางที่สดใสต่อไปอีกเช่นกัน    
รวมสุดยอดปัญหาใหญ่ของคนมีบ้าน-คอนโด แห่งปี 60'

รวมสุดยอดปัญหาใหญ่ของคนมีบ้าน-คอนโด แห่งปี 60'

เชื่อว่าทุกคนใฝ่ฝันที่จะมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่คนเดียว หรืออยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา แต่ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม หรือบ้านเดี่ยว สมัยนี้ราคาค่อนข้างสูงทีเดียว ทำให้หลายคนต้องทุ่มเทเก็บเงินมาครึ่งชีวิต เพื่อให้มีที่อยู่อาศัยดีๆ สักแห่ง ที่อยู่แล้วรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย สามารถสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่บางอย่างก็กลับมีปัญหาเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ซึ่งบทความนี้เป็นเพียงการรวบรวมปัญหาที่เกิดขึ้นในปีนี้จากหลายๆ โครงการมาให้มองย้อนกลับไปเป็นกรณีศึกษาสำหรับคนมีบ้าน-คอนโด หรือคนที่กำลังมองหาอยู่   คอนโดมิเนียม  คอนโดมิเนียมแถวพระราม 9 เหตุการณ์นี้ตัวคอนโดเองไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาได้มีการจัดงานคอนเสิร์ตใหญ่โตใกล้กับคอนโด ด้วยเสียงที่ดังมากทำให้ตึกสั่น และกระจกหน้าต่างคอนโดร้าวไปหลายห้อง แต่ทางทีมงานผู้จัดคอนเสิร์ตก็แสดงความรับผิดชอบด้วยการรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด คอนโดมิเนียม ซอยรัชดา 36 มีปัญหาน้ำรั่วซึมจากท่ออยู่ตลอดเวลา ซึ่งน้ำที่รั่วซึมได้ไหลตามขอบวงกบ และผนัง จนเกิดความเสียหายต่อผนังห้อง ขอบวงกบ ขอบประตู ไปจนถึงพื้นห้อง มีลูกบ้านเสียหายกว่า 50 ยูนิต รวมถึงผนังภายนอกแตกร้าว ส่วนกลางก็มีน้ำรั่วซึมเช่นกัน แม้เจ้าของโครงการจะส่งช่างมาซ่อมแซมให้ แต่ก็ยังเกิดปัญหาเดิมซ้ำอีก สุดท้ายเจ้าโครงการตอบลูกบ้านกลับว่าหมดระยะเวลาการประกันแล้ว คอนโดมิเนียมหรู ย่านอารีย์, พญาไท และรัชดาภิเษก 19 เกิดการแชร์ภาพทั่วโซเชียลถึงเรื่องน้ำท่วมลานจอดรถชั้นใต้ดินจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทั้งคืนในช่วงนั้นจนรถยนต์ที่จอดอยู่จมใต้น้ำกว่าครึ่งคัน เพราะน้ำระบายไม่ทัน เหตุการณ์นี้เจ้าของโครงการก็รับผิดชอบกันไปค่ะ แต่เหตุการณ์ในลักษณะนี้ลูกบ้านที่ได้รับความเสียหายสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายตามจริงจากนิติบุคคลได้ หากพิสูจน์ได้ว่าเกิดจากความประมาทเลินเล่อของนิติบุคคล ทาวน์โฮม ทาวน์โฮมในซอยนวมินทร์ 72 เกือบ 70 หลัง เกิดปัญหาน้ำรั่วซึมจากหลังคาหลายจุด บางหลังก็ฝ้าถล่มผังลงมาทั้งแผง ยิ่งช่วงฝนตกก็ยิ่งเกิดปัญหา สาเหตุเกิดจากโครงสร้างหลังคาไม่ได้มุมองศาตามาตรฐาน เบื้องต้นทางเจ้าของโครงการแก้ปัญหาให้ด้วยการเปลี่ยนวัสดุมุงหลังคาจากกระเบื้องเป็นเมทัลชีท ซึ่งบางรายก็ต้องยอมให้เปลี่ยนเพื่อแก้ปัญหานี้ แต่บางรายก็ไม่ยอม เพราะวัสดุคุณภาพต่ำกว่าสเปคที่กำหนดมาตั้งแต่แรก ทาวน์โฮม โซนบางบอน ที่ถึงขั้นเป็นคดีฟ้องร้องเจ้าของโครงการตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ จากลูกบ้านทั้งหมด 200 หลัง เหลือลูกบ้านที่ยังดำเนินการกันต่อเพียง 23 หลัง ปัญหาคือดินทรุดตัว, ผนังแตกร้าว, น้ำรั่ว, ไฟฟ้ารั่ว ฯลฯ เหตุการณ์นี้ได้มีการแชร์ภาพทาวน์โฮมหลังที่เสียหายผ่านทางโซเชียลมากมาย ด้านเจ้าของโครงการมีการออกมาชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร สรุปอย่างคร่าวๆ ว่าทางโครงการยินดีจะเข้าซ่อมแซมโดยจะส่งผู้เชี่ยวชาญลงไปตรวจสอบด้วย แต่จะไม่ชดเชยเป็นเงินตามจำนวนที่ลูกบ้านเรียกร้อง ในขณะเดียวกันทางฝ่ายลูกบ้านผู้เสียหายก็ไม่อยากให้ทางเจ้าของโครงการเข้าแก้ไขแล้ว เพราะความไม่ไว้วางใจอีกต่อไป ทาวน์โฮม จังหวัดขอนแก่น ลูกบ้านประกาศขายกันยกหมู่บ้านประมาณ 30 หลัง เพราะเจอปัญหาหลายอย่าง เช่น มีน้ำรั่วซึมตามขอบหน้าต่าง, หนังกับพื้นบวม, น้ำท่วมห้องน้ำ, กลิ่นท่อ ฯลฯ แต่เจ้าของโครงการก็ยืดอกตั้งโต๊ะแถลงข่าว พร้อมแก้ปัญหา ชดเชยค่าใช้จ่าย สรุปข้อตกลงร่วมกันกับลูกบ้านอย่างเร่งด่วนเช่นกัน   บ้านเดี่ยว บ้านเดี่ยว ย่านอ่อนนุช เมื่อกลางหมู่บ้านหรูกว่าร้อยหลังคาเรือน ราคาเฉลี่ย 10 ล้านบาท/หลัง มีเสาไฟฟ้าขนาดเท่าตึก 20 ชั้น มาปักผ่านกลางหมู่บ้าน พร้อมกระแสไฟฟ้าอีก 500 กิโลโวลต์ กระทบต่อพื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้านถูกบีบเหลือน้อยลง รวมถึงความกังวลของลูกบ้านในแง่ความปลอดภัย ประเด็นสำคัญคือการที่จะมีเสาไฟฟ้าขนาดใหญ่มาปักกลางหมู่บ้านนั้น เจ้าของโครงการทราบอยู่แล้ววแต่เกิดการปกปิดต่อลูกบ้านที่ซื้อเข้ามาอยู่ ลูกบ้านก็ได้ทำเรื่องร้องเรียนต่อ สคบ. ต่อไป บ้านเดี่ยวย่านรังสิต ขณะที่ลูกบ้านได้ทำการโอนกรรมสิทธิ์แล้วเรียบร้อย ย้ายของเข้าบ้านใหม่ในโครงการ แต่กลับได้กลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวลไปทั้งหลัง โดยเฉพาะกลิ่นเน่าที่ขึ้นมาจากท่อภายในห้องน้ำจนไม่สามารถเข้าอยู่ได้ ประกอบกับในครอบครัวมีเด็กเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรง ผลปรากฏว่ากลิ่นเหม็นเน่านั้นมาจากกองขยะที่วางอยู่ภายในพื้นที่สนามกอล์ฟติดกับรั้วโครงการ แต่ทางเจ้าของโครงการก็ได้เร่งประสานงานกับทางสนามกอล์ฟเพื่อแก้ปัญหา เหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนจากปัญหามากมายที่เกิดขึ้นจนเป็นเรื่องเป็นราวกันเกิดขึ้น บางคดีได้บทสรุปไปเรียบร้อย บางคดีก็ยังไม่สิ้นสุด บางเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นจากสภาพแวดล้อมรอบๆ โครงการที่เราอาศัยอยู่ ซึ่งกลายเป็นกรณีศึกษาทำให้เราตระหนักกันมากขึ้นว่าไม่ใช่แค่เพียงในตัวโครงการที่ต้องมีคุณภาพได้มาตรฐาน แต่สิ่งรอบข้างโครงการก็ส่งผลอย่างมากต่อชีวิตความเป็นอยู่ทั้งในปัจจุบันไปจนถึงอนาคตได้เช่นกัน สิ่งสำคัญคือความรับผิดชอบ และจิตสำนึกต่อส่วนรวมทั้งจากเจ้าของโครงการและลูกบ้านเอง หากมีสองสิ่งนี้ก็จะทำให้เกิดสิ่งดีๆ เกิดขึ้น ปัญหาน้อยลง กลายเป็นสังคมคุณภาพของโครงการ  
เติมเสน่ห์เพิ่มสีสัน เนรมิตโฉมบ้านสวยใหม่ในพริบตา ด้วยแผ่นฝ้าพิมพ์ลายทีบาร์ เปเปอร์ทัช  จาก“ยิปซัม ตราช้าง”

เติมเสน่ห์เพิ่มสีสัน เนรมิตโฉมบ้านสวยใหม่ในพริบตา ด้วยแผ่นฝ้าพิมพ์ลายทีบาร์ เปเปอร์ทัช จาก“ยิปซัม ตราช้าง”

เริ่มต้นปี 2561 หลายคนต้องการเปลี่ยนแปลงหรือเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ที่อยู่อาศัยหรือบ้านเป็นสิ่งหนึ่งที่เรามักอยากปรับปรุงและเพิ่มความสวยงามแปลกตาเพราะบ้านเป็นที่ชาร์จพลังเพื่อให้เราเตรียมตัวรับมือในปีที่กำลังจะมาถึง แต่เมื่อคิดถึงเวลาและค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนโฉมบ้านอาจทำให้หลายคนต้องพับโครงการไป  “ยิปซัม ตราช้าง” มีวิธีรีโนเวทภายในบ้านด้วย “แผ่นฝ้าพิมพ์ลายทีบาร์ เปเปอร์ทัช (PaperTouch) ตราช้าง ช่วยเปลี่ยนบ้านให้สวยสะดุดตา แถมประหยัดเวลาและงบประมาณและสามารถสร้างลูกเล่นและความมีชีวิตชีวาให้กับพื้นที่ส่วนตัวของคุณได้ดีมากขึ้น คุณยุทธศักดิ์ นฤชัยปราโมทย์ ผู้อำนวยการฝ่ายสถาปัตยกรรม บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด กล่าวว่า “แผ่นฝ้าพิมพ์ลายทีบาร์ เปเปอร์ทัช (PaperTouch) ตราช้าง เหมาะสำหรับการรีโนเวทฝ้าในบ้าน  ด้วยผิวหน้าแผ่นฝ้าเคลือบพิเศษ สามารถเช็ดทำความสะอาดได้ หมดปัญหาเรื่องคราบสกปรก ทั้งยังปลอดฝุ่น ไม่มีฝุ่นผงของเส้นใยไฟเบอร์ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และปลอดภัยด้วยคุณสมบัติกระดาษที่ติดกับเนื้อยิปซัมไม่ติดไฟ ไม่ลามไฟ อีกด้วย นอกจากนี้ ถ้าฝ้าที่บ้านของคุณเป็นฝ้าทีบาร์ ระบบยิปซัม อยู่แล้ว คุณก็สามารถนำแผ่นฝ้าพิมพ์ลายทีบาร์ เปเปอร์ทัช ตราช้าง มาเปลี่ยนใหม่ได้เลย โดยยกแผ่นเก่าออกและนำแผ่นใหม่ไปใส่ทดแทนได้เลย และด้วยเทคโนโลยีชีตร็อคแบรนด์ทำให้แผ่นแข็งแรงทนทาน ลดการแตกหักบริเวณขอบ สะดวกในการตัดแผ่นเพื่อติดตั้งบริเวณขอบมุมรอบห้องหรือเจาะช่องดาวน์ไลท์ได้โดยใช้คัดเตอร์ขนาดใหญ่ตัดได้เลยทำให้ติดตั้งได้รวดเร็ว ไม่แอ่นตัว จึงลดการแก้ไขงานในภายหลัง นอกจากคุณสมบัติในด้านการใช้งานแล้ว แผ่นฝ้าพิมพ์ลายทีบาร์ เปเปอร์ทัช (PaperTouch) ตราช้าง มีดีไซน์สวยงาม นำมาแมชกับสีห้องและเฟอร์นิเจอร์ได้อย่างลงตัว และมีลวดลายที่หลากหลายสามารถเลือกตกแต่งได้ตามไสตล์ที่ชื่นชอบ  ใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องทาสีทับ ด้วย 2 ลายใหม่ ลายร่มไม้ (Shade Tree) สีเขียวสดใสให้ความผ่อนคลายใต้ร่มเงาไม้ และลายฟ้าใส 2 (Bright Sky2) สีสวยของท้องฟ้าสวยสดใส นอกจากนี้ยังมี ลายผกามาศ พวงผกา ไอศวรรย์ นวลจันทร์ หรือลายที่ได้รับความนิยมเช่น ดอกแก้ว ชวนชม และหยาดเพชร ที่มามารถนำมาจับคู่ Mix & Match ได้ไม่จำกัดให้จิตนาการการแต่งห้องของคุณเป็นอิสระตามใจปรารถนา เทคนิคการตกแต่งด้วยแผ่นฝ้าพิมพ์ลาย สีเหลือง เป็น 1 ใน 3 สีมาแรงในปี 2561 เพราะเชื่อกันว่าสีเหลืองเป็นสีเรียกทรัพย์ คงจะดีไม่น้อยหากตื่นขึ้นมาเราจะได้เห็นสีมงคลเรียกพลังให้เราในวันใหม่ นอกจากนี้สีเหลืองยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายหลับสบาย สามารถเลือกการมิ๊กซ์แอนด์แมชฝ้าเพดานลวดลายด้วยดอกไม้จากลายพวงผกา สลับกับสีพื้นเหลืองอ่อนของลายนวลจันทร์เพื่อไม่ให้ดูลายตาจนเกินไป ใช้วอลล์เปเปอร์ ผ้าม่าน และชุดเครื่องนอนสีเหลืองสร้างความกลมกลืนทั่วห้อง เสริมสีขาว สีเทา และสีเข้มของเนื้อไม้และธรรมชาติ ด้วยผนัง โคมไฟ เฟอร์นิเจอร์ไม้หรือเนื้อผ้าธรรมชาติช่วยสร้างความบาลานซ์ของห้องและขับให้สีเหลืองดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ไอเดียการตกแต่ง เปลี่ยนห้องรับแขกที่แต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ขาวครีมอาจดูเรียบหรูสะอาดตา สามารถเปลี่ยน mood & tone ของห้องให้ดูแจ่มใสเพียงเติมแผ่นฝ้าพิมพ์ลายทีบาร์ เปเปอร์ทัช (PaperTouch) ตราช้าง ลายฟ้าใส 2 (Bright Sky2) นอกจากจะช่วยเติมบรรยากาศที่ดีแล้วยังทำให้ห้องดูสว่างไสวขึ้นอีกด้วย แซมด้วยของตกแต่งสีน้ำเงินหรือฟ้าเพื่อสร้างความกลมกลืนของห้องกับลายท้องฟ้าบนแผ่นฝ้าเพดานได้เป็นอย่างดี ไอเดียการตกแต่ง สำหรับคนที่ชอบแต่งบ้านด้วยสีสันนอกจากการทาสีผนัง เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งแล้ว สามารถเล่นกับผ้าเพดานได้ หากเติมลวดลายของสีเขียวที่สร้างความสดใสผ่อนคลายเหมือนอยู่ภายใต้ร่มเงาไม้ เพียงเติมแผ่นฝ้าพิมพ์ลายทีบาร์ เปเปอร์ทัช (PaperTouch) ตราช้าง ลายร่มไม้ (Shade Tree)  จะช่วยให้ดูมีมิติแปลกตาห้องดูสว่าง และมีลูกเล่นมากขึ้นสำหรับปีใหม่นี้   “แผ่นฝ้าพิมพ์ลายทีบาร์ เปเปอร์ทัช (PaperTouch) ตราช้าง เหมาะกับการตกแต่งทุกพื้นที่ ทั้งภายในห้องนอน ห้องนั่งเล่น ฝ้าเพดานภายในร้านอาหาร หอพัก สำนักงาน หรือห้องใต้หลังคา เท่านี้คุณก็สามารถเปลี่ยนห้องเดิมๆให้สวยใหม่น่าอยู่ยิ่งขึ้น ลูกค้าที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนยิปซัมตราช้าง โทร. 02-555-0000 หรือ www.siamgypsum.com หรือ facebook fanpage : @GypsumTraChangTH
ด่วน! อัพเดทล่าสุด เรื่องภาษีที่ดิน ลดลงถึง 40%

ด่วน! อัพเดทล่าสุด เรื่องภาษีที่ดิน ลดลงถึง 40%

จากบทความที่แล้ว "มีอะไรใหม่ใน พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง" เราได้พาไปทำความรู้จักกับ พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ที่กำลังร่างกันอยู่ ล่าสุดมีการอัพเดทหลังมีการเสนอให้ปรับปรุงอัตราภาษีใหม่จากร่างมติที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบก่อนหน้านี้  โดยมีประเด็นสำคัญมีดังนี้ - ที่ดินรกร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์ เก็บภาษีไม่เกิน 1.2% และจะขยับเพิ่มขึ้น 0.3% ทุก 3 ปี แต่ถ้าภายใน 3 ปีติดต่อกันยังไม่มีการพัฒนาที่ดินก็จะเสียภาษีที่ 2.5% ไปจนถึงอัตราสูงสุดที่ 3% - ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อประกอบเกษตรกรรม อัตราภาษีไม่เกิน 0.15% ของฐานภาษี จากเดิม 0.2% - ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประเภทบ้านพักอาศัย อัตราภาษีไม่เกิน 0.3% ของฐานภาษี จากเดิม 0.5% - ที่ดินเพื่อการพาณิชย์ อัตราภาษีไม่เกิน 2.0% ของฐานภาษี   ทั้งนี้มีการเสนอเก็บอัตราภาษีใหม่ คือ - พื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งบุคคลธรรมดาเป็นเจ้าของ หากมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาทจะไม่เสียภาษี โดยมูลค่า 50-75 ล้านบาท จะเก็บภาษี 0.01% มูลค่า 75-100 ล้านบาท เก็บ 0.05% มูลค่า 500-1,000 ล้านบาท เก็บ 0.07% และหากมีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท เก็บ 0.1% - พื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งนิติบุคคลเป็นเจ้าของ หากมีมูลค่า 0-75 ล้านบาท จะเก็บภาษี 0.01% มูลค่า 75-100 ล้านบาท เก็บ 0.03% มูลค่า 100-500 ล้านบาท เก็บ 0.05% มูลค่า 500-1,000 ล้านบาท เก็บ 0.07% และหากมีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท เก็บ 0.1% - ที่อยู่อาศัยหลักของบุคคลธรรมดา และเป็นเจ้าของที่ดินที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเองด้วย หากมูลค่าไม่เกิน 20 ล้านบาท จะไม่เสียภาษี มูลค่า 20-50 ล้านบาท เก็บ 0.02% มูลค่า 50-75 ล้านบาท เก็บ 0.03% มูลค่า 75-100 ล้านบาท เก็บ 0.05% มูลค่าเกิน 100 ล้านบาท เก็บ 0.1% - ที่อยู่อาศัยหลังอื่นๆ มูลค่า 0-50 ล้านบาท เก็บ 0.02% มูลค่า 50-75 ล้านบาท เก็บ 0.03% มูลค่า 75-100 ล้านบาท เก็บ 0.05% มูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท เก็บ 0.10% - ที่รกร้างว่างเปล่า หากมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท เก็บ 0.3% มูลค่า 50-200 ล้านบาท เก็บ 0.4% มูลค่า 200-1,000 ล้านบาท เก็บ 0.5% มูลค่า 1,000-5,000 ล้านบาท เก็บ 0.6%  มูลค่าเกิน 5,000 ล้านบาท เก็บ 0.7%   กรณียกเว้น หรือลดหย่อน - หากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใช้เพื่ออยู่อาศัย และมีชื่อเจ้าของเป็นบุคคลธรรมดาที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามกฏหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฏร์ในวันที่ 1 มกราคมของปีภาษีนั้น จะได้รับการยกเว้นมูลค่าฐานภาษีในการคำนวณไม่เกิน 20 ล้านบาท แต่ในกรณีที่มีชื่อเป็นเจ้าของสิ่งปลูกสร้างเพื่ออยู่อาศัย แต่ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดิน จะได้รับการยกเว้นภาษีในการคำนวณภาษีไม่เกิน 10 ล้านบาท - กรณีบ้านพักที่อยู่อาศัยมาเป็นระยะเวลานาน แล้วราคาที่ดินมีการปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่เจ้าของบ้านมีรายได้ไม่มากจะสามารถลดหย่อนภาษีได้ 90% จากอัตราฐานภาษี - ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อเกษตรกรรม หากเจ้าของเป็นบุคคลธรรมดา และมีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาทจะไม่เสียภาษี - ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างของรัฐที่ไม่ได้หาผลประโยชน์ หรือใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ รวมถึงสหประชาชาติ สถานทูต ทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุด หมู่บ้านจัดสรร และนิคมอุตสาหกรรม เหล่านี้ได้รับการยกเว้นภาษี   ในช่วง 3 ปีแรกตั้งแต่บังคับใช้เป็นกฎหมายจะได้รับการบรรเทาภาระภาษีนี้ด้วยการชำระภาษีตามจำนวนที่ต้องเสีย หรือพึงชำระในปีก่อน รวมกับภาษีที่เหลือ คือ ปีแรก จ่ายภาษีเก่า+ร้อยละ 25 ของจำนวนภาษีที่เหลือ ปีที่ 2 จ่ายภาษีเก่า+ร้อยละ 50 ของจำนวนภาษีที่เหลือ และปีที่ 3 จ่ายภาษีเก่า+ร้อยละ 75 ของจำนวนภาษีที่เหลือ หลังจากนั้นก็ให้เป็นไปตามร่างกฏหมายปกติ ซึ่งเมื่อดูอัตราเพดานภาษีในร่างใหม่นี้โดยรวมแล้ว มีการปรับลดลงถึง 40% หลังจากนี้จะมีการเสนอร่างนี้ไปที่ประชุมสนช. ภายในวันที่ 24 มกราคม 2561 และคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 60 วัน และพิจารณาต่อในวาระ 2 วาระ 3 หากผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ก็จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 โดยหลังจากนี้หากมีความเคลื่อนไหวอะไรเกี่ยวกับ พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่นี้ เราจะไม่พลาดที่จะเอามานำเสนอให้ทุกท่านได้ติดตามแน่นอนค่ะ  
คูโดส ต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่โมเดิร์นลิฟวิ่งไลฟ์สไตล์ ประเดิมป๊อปอัพสโตร์สาขาแรกที่สยามดิสคัฟเวอรี่

คูโดส ต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่โมเดิร์นลิฟวิ่งไลฟ์สไตล์ ประเดิมป๊อปอัพสโตร์สาขาแรกที่สยามดิสคัฟเวอรี่

คูโดส (KUDOS) แบรนด์ผลิตภัณฑ์สำหรับห้องน้ำและห้องครัวสัญชาติไทย จับมือสยามดิสคัฟเวอรี่ เปิดป๊อบอัพสโตร์สุดฮิปแห่งใหม่ใจกลางกรุง ต่อยอดกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งแนวอีโค่ ดิจิตอล และยูนิเวอร์แซลดีไซน์ เจาะกลุ่มโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ ณ โซน Ecotopia ชั้น 4 สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยม ด้วยความใส่ใจและมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมือง รวมถึงความเข้าใจในไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่ให้คุณค่าทั้งงานดีไซน์และใส่ใจในคุณภาพของสินค้าไปพร้อมๆ กัน คูโดสจึงเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับการคัดสรรจากสยามดิสคัฟเวอรี่ ให้วางจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีฟังก์ชั่นและดีไซน์ล้ำสมัย และใส่ใจสิ่งแวดล้อม ในโซน Ecotopia ซึ่งสินค้าทุกชิ้นในEcotopia ต้องผ่านเกณฑ์การคัดเลือกในการเข้ามาวางขาย โดยแต่ละหมวดหมู่ก็มีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป นายสันติ ศรีวิชาญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี.ไอ.ที. จำกัด และผู้ก่อตั้งแบรนด์คูโดส กล่าวว่า “ปีนี้นับว่าเป็นอีกก้าวที่สำคัญของแบรนด์ผลิตภัณฑ์สำหรับห้องน้ำและห้องครัวสัญชาติไทยอย่างเรา ที่ได้มีโอกาสต่อยอดผลิตภัณฑ์สำหรับห้องน้ำและห้องครัว (Kitchen & Bath) สู่ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมสำหรับบ้านและที่อยู่อาศัย (Living) โดยเราหวังว่าผลิตภัณฑ์ที่เรานำเสนอ จะตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งในแง่ของนวัตกรรม ดีไซน์ และความใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ด้วยความใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง คูโดสมีผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจทั้งตนเองและสิ่งแวดล้อม อาทิMIST ฝักบัวนวัตกรรมรุ่นล่าสุดที่จะสร้างมิติใหม่แห่งการล้างหน้า ด้วยเทคโนโลยี NanomistTM ออกแบบเพื่อให้น้ำไหลตัดกันทำให้ได้ละอองเบานุ่มละมุน ให้สัมผัสอ่อนโยน เหมาะต่อผิวแพ้ง่าย พร้อมฟังก์ชั่นปรับอุณหภูมิน้ำให้ทำงานเหมาะสมสำหรับผิวหน้า และPUREBLISS ฝักบัวกรองคลอรีน ปกป้องเส้นผมและผิวให้คงความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ พร้อมเทคโนโลยี AtomistTM ที่ให้สายน้ำแรงแต่นุ่มนวล โดยฝักบัวทั้ง 2 รุ่นช่วยประหยัดน้ำได้มากถึง 45%   KUDOS MIST นวัตกรรมฝักบัวใหม่ล่าสุด ละอองน้ำอนุภาคขนาดเล็ก นอกจากนี้ หนึ่งในจุดเด่นของผลิตภัณฑ์คูโดสที่มาวางจำหน่ายในสยามดิสคัฟเวอรี่ ส่วนหนึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิดUniversal Design เทรนด์ใหม่แห่งการออกแบบเพื่อทุกคนในสังคม  อาทิ CASTA กรรไกรอเนกประสงค์ ที่ส่วนคมของกรรไกรถูกซ่อนไว้ แม้แต่เด็กหรือคนชราก็สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย LINE คัตเตอร์รูปทรงคล้ายเม้าส์ ใช้งานง่าย ใบมีดทำจากเซรามิก วัสดุทนทาน ปลอดภัยแม้กับเด็กและผู้พิการ หรือ NAIL กรรไกรตัดเล็บที่ใช้แรงน้อยที่สุด เหมาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุที่ข้อมืออ่อนแรง ผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด Universal Design อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ทางแบรนด์ภูมิใจนำเสนอ คือ IGLOOHOME ล็อคประตูแบบดิจิตอล เป็นสินค้าใหม่ซึ่งได้เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย เหมาะสำหรับบ้านและคอนโด เพราะความปลอดภัยในการอยู่อาศัยเป็นเรื่องสำคัญ  โดยล็อคประตูแบบดิจิตอลนี้ ใช้เทคโนโลยีสมาร์ทล็อคระดับโลก ทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ป้องการการแฮ็คด้วยระบบ Synchronization ซึ่งเป็นระบบที่ธนาคารชั้นนำส่วนใหญ่เลือกใช้ จึงมั่นใจได้ในความปลอดภัยขั้นสูงสุด โดยจะเริ่มต้นวางจำหน่ายเฉพาะที่สยามดิสคัฟเวอรี่ และทางออนไลน์เท่านั้น IGLOOHOME ล็อคประตูแบบดิจิตอล แม้เทรนด์ของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คูโดสยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์แนวแก็ตเจ็ตเพื่อตอบสนองดิจิตอลเทรนด์ ผลิตภัณฑ์อีโค่เพื่อเอาใจผู้รักสิ่งแวดล้อม และผลิตภัณฑ์งานออกแบบเพื่อมวลชน (Universal Design) ให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงและใช้ได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยมุ่งหวังที่จะยกระดับงานออกแบบผลิตภัณฑ์โดยฝีมือคนไทย และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมไปพร้อมๆ กัน “สำหรับคูโดส การรักษ์โลก คือ การรักตัวเองไปพร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการประหยัดน้ำ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ก็เพื่อความเป็นอยู่ที่ดี และอนาคตที่ดี สำหรับตัวเราเองและคนที่เรารัก ดังนั้น การใส่ใจสิ่งแวดล้อมไม่ใช่แค่ เทรนด์ เราจึงมุ่งมั่นพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์จากห้องน้ำห้องครัว ให้ครอบคลุมถึง Total Living ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ และที่สำคัญผลิตภัณฑ์ของเราต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วย” นายสันติ กล่าว
เน็กซัสสรุปภาพรวมตลาดคอนโดกรุงเทพปี 60 ทุบสถิติเปิดตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี ลักชัวรี่ยังคงมาแรง แนะจับตากลุ่มทุน และลูกค้าจาก ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น

เน็กซัสสรุปภาพรวมตลาดคอนโดกรุงเทพปี 60 ทุบสถิติเปิดตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี ลักชัวรี่ยังคงมาแรง แนะจับตากลุ่มทุน และลูกค้าจาก ฮ่องกง จีน ญี่ปุ่น

ชี้เทรนด์อนาคตโครงการต้องเน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาสู่ไลฟ์สไตล์ลูกค้าปรับตัวให้ทันสังคมผู้สูงอายุ เน็กซัสฯ เผยคอนโดเมืองกรุงปี 60 ร้อนแรงสร้างสถิติใหม่  มีจำนวนยูนิตเสนอขายมากที่สุดในรอบ 10 ปี พระโขนง - สวนหลวง ยังเนื้อหอมมีโครงการเปิดขายสูงสุด ในขณะที่ปทุมวัน-ราชเทวี  มีการปรับขึ้นของราคาสูงสุดถึง 16% คาดปี 61 ยังโตต่อเนื่อง อุปทานจะเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 10% ชี้เทรนด์ที่อยู่อาศัยในอนาคตกำลังเดินเข้าสู่ภาวะการ “ปรับเปลี่ยน” ด้วยปัจจัยหลากหลาย ทั้งการเข้ามาลงทุนของต่างชาติ การเติบโตอย่างรวดเร็วของ CLMV การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย และเทคโนโลยีที่มีบทบาทในการพัฒนาโครงการเพิ่มมากขึ้น นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์​ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เผยผลวิจัยตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพปี 2560 และฉายภาพเทรนด์ปี 2561 ว่า ในปี 2560 เป็นปีที่ผู้ประกอบการคอนโดมิเนียมในกรุงเทพ มีการแข่งขันที่ดุเดือด มีอุปทานเสนอขายใหม่จากผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่ และรายย่อยถึง 62,700 ยูนิต จาก 128 โครงการ ซึ่งเป็นปีที่มีจำนวนห้องชุดออกสู่ตลาดมากที่สุดในรอบ 10 ปี สาเหตุที่ทำให้อุปทานของคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นอย่างมากนั้น เนื่องมาจากทั้งผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และรายใหม่ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีจำนวนห้องชุดรวมทั้งตลาดถึง 550,000 หน่วย โดยมีห้องชุดเปิดตัวใหม่ สูงกว่าอัตราเฉลี่ยห้องชุดที่เปิดตัวในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาถึง 15% (ห้องชุดที่เปิดตัวใหม่ในปี 2556 - 2560 มีอัตราเฉลี่ย 53,600 หน่วยต่อปี) และโครงการต่างๆ ก็ยังคงขยายตัวออกไปยังทำเลรอบใจกลางเมือง สำหรับทำเลที่มีอุปทานเพิ่มขึ้นมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ  1. พระโขนง - สวนหลวง จำนวน 14,400 หน่วย หรือ 23% 2. พญาไท - รัชดาภิเษก จำนวน 13,200 หน่วย หรือ 21%  และ 3. ธนบุรี - เพชรเกษม จำนวน 8,900 หน่วย หรือ 14% โดยทั้งหมดคิดเป็นจำนวนหน่วยมากกว่า 58% ของคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่ทั้งหมด ด้านการขยายวงการเติบโตของการพัฒนาโครงการ ในแต่ละพื้นที่นั้น เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตลาดคอนโดมิเนียมได้ขยายตัวออกไป จากกลางเมืองเป็นอย่างมาก โดยโซนที่มีอัตราการขยายตัวของคอนโดมิเนียมมากที่สุด คือ ธนบุรี - เพชรเกษม โตถึง 107% ตามมาด้วยติวานนท์-รัตนาธิเบศร์ 76% และแจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด 68% เมื่อเทียบกับปี 2559 อุปสงค์ ภาพรวมของอุปสงค์ในปี 2560 นี้ ยังคงเติบโตได้ดี โดยอุปสงค์หรือยอดขายใหม่ในตลาดอยู่ที่ 57,300 หน่วย ซึ่งสูงกว่าอัตราขายเฉลี่ยห้องชุดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่ 14% (อัตราขายเฉลี่ยห้องชุดในปี 2555-2559 มีอัตราเฉลี่ย 50,400 หน่วยต่อปี) อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาถึงอัตราการขายรวมของคอนโดมิเนียมทั้งตลาด จะยังคงที่อยู่ที่ 90% (ยอดขายรวมของคอนโดมิเนียมสะสมเพิ่มเป็น 496,100 หน่วย) ซึ่งทำให้ ณ ปัจจุบันมี ห้องชุดเหลือขายอยู่ในตลาดทั้งสิ้นประมาณ 53,900 หน่วย ในปี 2560 คอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่ในตลาดมียอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 62% ทั้งนี้ ทำเลที่มีจำนวนห้องชุดที่ขายได้สูงสุด 3 อันดับแรก คือ 1. พระโขนง - สวนหลวง  2. พญาไท - รัชดาภิเษก  3. ปทุมวัน - ราชเทวี  โดยพบว่าพระโขนง - สวนหลวง ยังคงเป็นทำเลยอดนิยม มีห้องชุดเปิดใหม่จำนวนมากในทุกปี และยังคงมีอัตราการขายสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน สำหรับทำเลปทุมวัน - ราชเทวี เป็นเขตที่ห้องชุดเปิดใหม่มียอดขายสูงสุด คือ 88% ราคา ในปี 2560 ราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปรับตัวสูงขึ้นในอัตราที่ลดลง โดยปรับตัวสูงขึ้น 8% จากเดิมเมื่อปี 2559 มีราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 121,000 บาทต่อตารางเมตร ปรับขึ้นเป็น 130,600 บาทต่อตารางเมตร ในปี 2560 ซึ่งอัตราการเพิ่มขึ้นนี้ ใกล้เคียงอัตราเฉลี่ยของการเติบโตของราคาคอนโดมิเนียมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่มีอัตราเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9% ต่อปี อย่างไรก็ตาม เมื่อลงมาดูในรายละเอียดจะพบว่า ทำเลที่มีการปรับขึ้นของราคาคอนโดมิเนียมสูงสุด คือ ในเขตปทุมวัน และราชเทวี โดยราคาคอนโดมิเนียม ปรับตัวสูงขึ้นถึง 16% หรือ 234,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งปัจจัยมาจากห้องชุดในทำเลนี้ ยังคงเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก ราคาต้นทุนที่ดินเพิ่มสูงขึ้น และอุปทานใหม่ในเขตนี้ มีจำนวนไม่มากในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมกลางเมืองนั้น ราคาปรับตัวสูงขึ้นถึง 12% หรือ 210,700 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เขตยานนาวาและเขตคลองสานที่มียอดขายดี ราคาก็ปรับตัวสูงขึ้นถึง 12% เช่นเดียวกัน สำหรับโครงการในส่วนกรุงเทพชั้นนอก ราคาปรับขึ้นไม่มากนักอยู่ที่ประมาณ 5% สำหรับคาดการณ์แนวโน้มของตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2561 นางนลินรัตน์ กล่าวว่า ในแง่ของอุปทานคาดว่าจะเพิ่ม ขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 55,000 หน่วย หรือ  10% โดยกรุงเทพชั้นใน และเขตรอบกรุงเทพชั้นใน จะเป็นทำเลที่มีอุปทานใหม่ เกิดขึ้นมาก ในขณะที่กรุงเทพชั้นนอกจะมีจำนวนโครงการที่เปิดใหม่ไม่มากนัก แต่จะมีจำนวนหน่วยต่อโครงการค่อนข้างมาก สำหรับความต้องการห้องชุด จะยังคงเติบโตขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกันกับอุปทาน ซึ่งจะส่งผลทำให้ห้องชุดในตลาดคงเหลือประมาณ 58,000-60,000 หน่วยในปี 2561 สำหรับระดับราคาคอนโดมิเนียมในตลาดกรุงเทพชั้นใน ปี 2561 คาดว่าจะปรับตัวขึ้นอีกอย่างน้อย 11% ในขณะที่ตลาดกรุงเทพชั้นใน และตลาดรอบนอก ราคาจะปรับตัวขึ้นอีกประมาณ 5-6% ส่งผลให้ราคาเฉลี่ยของตลาดปรับขึ้นอีกอย่างน้อย 8% ปี 2561 จะเห็นแนวโน้มในการพัฒนาคอนโดมิเนียมทุก segment เข้าไปอยู่ในซอยเล็กเป็นตึก 7-8 ชั้นมากขึ้นอย่างแน่นอน เนื่องจากที่ดินริมถนนใหญ่หายาก และราคาจะยังคงขยับตัวสูงขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาความเคลื่อนไหวของตลาดคอนโดมิเนียม  โดยแบ่งตาม segment ราคาแล้ว โดยแบ่งเป็น 5 segment คือ 1) ตลาดซูเปอร์ ลักชัวรี่ 2) ตลาดลักชัวรี่ 3) ตลาดไฮเอนด์ 4) ตลาดคอนโดระดับกลาง และ 5) ตลาดซิตี้คอนโด สำหรับตลาดซูเปอร์ลักชัวรี่ และตลาดลักชัวรี่ จะพบว่าผู้ประกอบการรายใหญ่และรายใหม่ๆ ยังคงให้ความสนใจกับตลาดนี้เช่นเดิม แนวโน้มด้านราคา คาดว่าจะยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ในขณะที่กลุ่มผู้ซื้อจะขยายวงกว้างออกไปยังตลาดต่างชาติ โดยกลุ่มต่างชาตินี้จะมีทั้งที่ซื้อไว้ลงทุน และซื้อไว้เพื่อเป็นที่บ้านหลังที่สองเพิ่มมากขึ้น  ซึ่งการเข้ามาของต่างชาตินั้น นอกจากจะเข้ามาในฐานะผู้ซื้อแล้ว ยังเข้ามาในภาพของผู้ร่วมทุนอีกด้วย ซึ่งทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดระดับนี้  ช่วยทำให้ผู้ซื้อเกิดความเชื่อมั่นได้มากยิ่งขึ้นตามไปด้วย สำหรับตลาดไฮเอนด์ ผู้พัฒนาโครงการส่วนใหญ่ จะยังคงเป็นรายใหญ่ที่หาซื้อที่ดินทำเลติดรถไฟฟ้ากลางเมืองได้ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาคอนโดมิเนียมในตลาดนี้ จะมีผู้ซื้อในวงจำกัด ส่วนตลาดคอนโดระดับกลาง ยังคงเป็นโครงการที่อยู่บริเวณรอบใจกลางเมือง อยู่ใกล้รถไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นตลาดที่ผู้ซื้อส่วนใหญ่มีรายได้ที่มั่นคง ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่จริง ทำให้ผู้พัฒนาสินค้ามีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนา ให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของคนกลุ่มนี้ได้อย่างแท้จริง  สำหรับตลาดซิตี้คอนโด เงื่อนไขด้านราคายังคงเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจของผู้ซื้อ ดังนั้น ผู้ประกอบการควรต้องบริหารต้นทุนให้ดี เพื่อให้ได้ราคาขายที่ดี ทั้งยังต้องพิจารณาไปจนถึงเรื่องเงื่อนไขการจ่ายเงินของลูกค้า และการผ่อนชำระกับทางธนาคารที่ไม่กระทบกระเทือนค่าใช้จ่ายของผู้ซื้อมากนัก คาดการณ์แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตทั้งระยะสั้น และระยะกลาง นางนลินรัตน์ คาดการณ์แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในระยะสั้นและระยะกลางว่า การมองเทรนด์ของอสังหาฯ ในอนาคต จะขอมองจากการประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ(GDP) เป็นหลัก ซึ่งประมาณการ GDP ที่รัฐบาลได้วางไว้ในปี 2560-2563 คือ ประมาณการที่ 4%  ซึ่งตัวเลขนี้ น่าจะสะท้อนให้เห็นว่าการเติบโตของเศรษฐกิจในภาคส่วนต่างๆ ในประเทศน่าจะเป็นไปได้ด้วยดี แต่เมื่อมองลึกลงมาที่ segment อสังหาฯ เรายังคงต้องพิจารณาจากปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ที่จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งปัจจัยดังกล่าว ได้แก่ พัฒนาการทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากภายในอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศจาก CLMV เหล่านี้ อาจสามารถพัฒนาให้ทันประเทศไทยได้ เมื่อประเทศเหล่านี้พัฒนาและยังมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ย่อมส่งผลให้เม็ดเงินซึ่งเคยเข้ามาลงทุนที่ประเทศไทย โดนกระจายออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน การเข้ามาซื้ออสังหาฯ ในไทยจากชาวต่างชาติ อาจจะเริ่มน้อยลง เนื่องจากมีทางเลือกที่เพิ่มมากขึ้นของเพื่อนบ้าน หรือหากมองในด้านปัจจัยภายใน ซึ่งอีกไม่กี่ปี ไทยจะเดินเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อันจะส่งผลให้ที่อยู่อาศัย ต้องปรับเปลี่ยนไปเพื่อรองรับวิถีชีวิตของคนสูงอายุ หรือแม้กระทั่งการพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และเข้าถึงวิถีชีวิตของคน ซึ่งย่อมมีอิทธิพลกับการอยู่อาศัยอย่างแน่นอน ทั้งหมดที่กล่าวมาสามารถสรุปได้เป็น 3 แนวทาง ในการกล่าวถึงแนวโน้มการอยู่อาศัยในอนาคต คือ การลงทุน เทรนด์ของการอยู่อาศัย และทำเลที่ตั้ง เทรนด์ที่ 1 ด้านการลงทุน เราจะพบว่าผู้ประกอบการจะหันมาพัฒนา โครงการสิทธิการเช่าระยะยาว (Leasehold) บนที่ดินขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพ และที่สามารถพัฒนาเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ มีการครอบครองโดยหน่วยงานรัฐบาล โดยผู้ประกอบการได้นำมาพัฒนาเป็นโครงการเมกะโปรเจค (Mega Project) ที่ผสมผสานการใช้พื้นที่ ในด้านของผู้ซื้อเอง ก็หันมาให้ความสนใจมากขึ้นเนื่องจากถูกกว่า นอกจากนี้เราจะเห็นการพัฒนาโครงการแบบผสมผสาน (Mixed-used) เพื่อกระจายความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการ ลดการแข่งขันทางธุรกิจมากขึ้น และตลาดต่างประเทศ ก็ยังคงเข้ามาเพิ่มบทบาทความสำคัญ ทั้งในแง่การลงทุนขนาดใหญ่และรายย่อย บริษัทต่างชาติจะให้ความสนใจร่วมลงทุนกับผู้พัฒนาโครงการในไทย ทั้งรายใหญ่และรายย่อยหลายโครงการ  โดยมีแนวโน้มที่จะนำเงินลงทุนและเทคโนโลยีเข้ามาร่วมพัฒนาโครงการ โดยกลุ่มร่วมทุนต่างชาติที่ให้ความสนใจนั้น มีมาจากหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น จีน ฮ่องกง ในขณะเดียวกันนักลงทุนรายย่อยต่างชาติที่ซื้อห้อง เพื่อลงทุนระยะยาวและปล่อยเช่า ก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทรนด์ที่ 2 ด้านการอยู่อาศัยในอนาคต เราจะเห็นได้ว่าปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์ ที่ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้น ดังนั้น การเกิดตลาดที่เป็นบ้านสำหรับผู้สูงอายุ (Senior Home หรือ Elderly Care) จะเกิดขึ้นเพื่อตอบโจทย์สังคมไทย และจะเป็นสินค้าที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การจะทำให้ผู้บริโภคชาวไทยยอมรับ และปรับเข้ากับไลฟ์สไตล์คนไทยได้นั้น เป็นความท้าทายหลักของสินค้าประเภทนี้ ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของคนได้อย่างรวดเร็ว ผู้ประกอบการจึงยิ่งต้องพัฒนาที่อยู่อาศัย ให้ตอบโจทย์ให้ทันความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้เช่นกัน คือ บ้านที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี นอกจากนี้แนวคิดของการมี บ้านที่อยู่อาศัยได้จริง เช่น ห้องขนาดเล็กแต่มีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ บ้านที่อยู่อาศัยได้อย่างยั่งยืนด้วยคุณภาพของการก่อสร้าง สุดท้าย บ้านที่เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้ผู้อาศัยได้รู้สึกผ่อนคลายและเป็นบ้านที่อยู่อาศัยได้ในระยะยาว เทรนด์ที่ 3 ด้านทำเลที่ตั้ง ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะชี้นำแนวโน้มการอยู่อาศัย โดยทำเลที่ตั้งที่น่าสนใจ สำหรับตลาดที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกเป็นกลุ่มทำเลใจกลางเมือง โดยใจกลางเมืองจะถูกกำหนดเป็นศูนย์กลางขนาดย่อม (Node) มากขึ้น เช่น พร้อมพงษ์ถึงทองหล่อเป็นแหล่งศูนย์กลาง luxury lifestyle ที่มีทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านราคาสูง รวมถึงแหล่งท่องเที่ยวและร้านอาหารชิคๆ มากมาย ศูนย์กลางธุรกิจใหม่แถบแยกรัชดา พระราม 9 ทำเลศูนย์กลางของย่านเมืองเก่าเยาวราชเจริญกรุง และศูนย์กลางที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ อาทิ หลังสวน เพลินจิต กลุ่มทำเลที่สองกลุ่มทำเลติดรถไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นทำเลที่ควรต้องคำนึงถึงอย่างมาก เพราะการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะที่ดี ย่อมส่งผลถึงการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ตามไปด้วย โดยทำเลที่น่าจับตามองมากที่สุด คือ บางซื่อ เนื่องจากทางภาครัฐกำลังพยายามที่จะผลักดันเป็น Transit Oriented Development (TOD) เป็นหนึ่งในทำเลที่น่าจับตามอง ส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างสายสีเขียว สีเหลือง และสีส้ม ยังคงมีความน่าสนใจและ สุดท้ายเป็นกลุ่มทำเลริมแม่น้ำ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณเจริญนคร เจริญกรุงที่กำลังจะเป็นศูนย์กลาง ช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ใหม่ การเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ คือ การเติบโตแบบลูกโซ่ เป็นวงจรที่เกี่ยวเนื่องกันไปทั้งระบบ เมื่อเรามองเห็นการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยีที่พัฒนาการอย่างรวดเร็ว ทั้งในระดับประเทศ และระดับโลก ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญทั้งสิ้น
แสนสิริประสบความสำเร็จแบรนด์ “คณาสิริ” โกยยอดขายกว่า 1,000 ลบ. ล่าสุด Sold Out “คณาสิริ พระราม 2- วงแหวน” เฟสแรกหมดเกลี้ยง คาดปัจจัยบวกเศรษฐกิจ-การเมืองปี’61 ดันตลาดบ้านเดี่ยวรุ่ง เตรียมต่อยอดเปิดแบรนด์คณาสิริต่อเนื่องปีหน้า

แสนสิริประสบความสำเร็จแบรนด์ “คณาสิริ” โกยยอดขายกว่า 1,000 ลบ. ล่าสุด Sold Out “คณาสิริ พระราม 2- วงแหวน” เฟสแรกหมดเกลี้ยง คาดปัจจัยบวกเศรษฐกิจ-การเมืองปี’61 ดันตลาดบ้านเดี่ยวรุ่ง เตรียมต่อยอดเปิดแบรนด์คณาสิริต่อเนื่องปีหน้า

แสนสิริประสบความสำเร็จแบรนด์ “คณาสิริ” โกยยอดขายแบรนด์ทั้งหมดกว่า 1,000 ล้านบาท เผยดีมานด์บ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาทยังพุ่งแรง ล่าสุดปิดขาย “คณาสิริ พระราม 2-วงแหวน” เฟสแรกหมดเกลี้ยง กวาดยอดขายกว่า 50 ล้านบาท  ชี้ที่มาความสำเร็จเพราะทำเลดีเดินทางสะดวกติดถนนใหญ่พระราม 2 และจุดเด่นดีไซน์บ้านสไตล์ Mid Century 70’s ผสานสถาปัตยกรรมวันวานกับชีวิตสไตล์ใหม่อย่างลงตัว พร้อม Cooliving Designed Home นวัตกรรมบ้านระบายความร้อนด้วยโซล่า เซลล์ ไม่ใช้ไฟฟ้า ไฮไลท์ฟังก์ชั่น Breeze Panel ช่องลมสำหรับถ่ายเทอากาศภายในบ้านทำให้ปลอดโปร่ง Roof Shade ขนาดยาวกันแดดและฝนมากขึ้น คาดปัจจัยบวกเศรษฐกิจ-การเมืองปี’61 หนุนตลาดบ้านเดี่ยวโต เตรียมรุกต่อเปิดตัวแบรนด์คณาสิริโครงการใหม่ปีหน้า นายสมเกียรติ หงษ์ทรัพย์ภิญโญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทประสบความสำเร็จแบรนด์บ้านเดี่ยว “คณาสิริ” เป็นอย่างมาก โดยมียอดขายแบรนด์รวมทั้งสิ้นกว่า 1,000 ล้านบาท โดยแบรนด์ดังกล่าวขายดีตั้งแต่ต้นปี ปิดการขาย “คณาสิริ วงแหวน – พระราม 5” จำนวน 311 ยูนิต ด้วยยอดขาย 965 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 ได้ปิดการขาย “คณาสิริ ปิ่นเกล้า-กาญจนา” เฟสแรก จำนวน 22  ยูนิต โกยยอดขายไป 100 ล้านบาท และล่าสุดได้ปิดการขายเฟสแรก “คณาสิริ พระราม 2- วงแหวน” จำนวน 9 ยูนิต มูลค่ากว่า 50 ล้านบาท “คณาสิริ พระราม 2-วงแหวน ขายดีตั้งแต่วันแรกที่เปิดขาย เนื่องจากมีดีมานด์สูงของลูกค้าโซนพระราม 2 – มหาชัย ที่ต้องการขยายครอบครัว และ สร้างครอบครัวใหม่ ประกอบกับทำเลศักยภาพที่ติดถนนใหญ่พระราม 2 เดินทางสะดวก เข้าเมืองด้วยทางด่วนดาวคะนอง-พระราม 3, ถนนกาญจนาภิเษก ใกล้ศูนย์การค้า เซ็นทรัลมหาชัย เซ็นทรัล พระราม 2 และดีไซน์บ้านที่โดดเด่นแตกต่าง  มีการผสานสถาปัตยกรรมวันวานกับชีวิตสไตล์ใหม่อย่างลงตัว ด้วยแบบบ้านสไตล์ Mid Century 70’s ที่มีหลังคาจั่ว ตัดกัน Fin แนวตั้งของบ้านทำให้เกิดรูปร่างสี่เหลี่ยมหัวตัดออกมาเป็นรูปทรงที่สวยงาม ผลานกับสีบ้านพาสเทล ทำให้รู้สึกอบอุ่น มีชีวิตชีวา พร้อมด้วยนวัตกรมเพื่อการอยู่อาศัย Cooliving Designed Home อาทิ  Breeze Panel ช่องลมสำหรับถ่ายเทอากาศภายในบ้านทำให้ปลอดโปร่ง  ฝ้าระบายอากาศรอบบ้าน Roof Shade ที่ออกมาให้ยื่นยาวเพื่อกันแดดและฝนมากขึ้น หลอดไฟ LED ทั้งหลังเพื่อประหยัดและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ด้วยการตอบรับที่ดีดังกล่าว จึงได้เตรียมเปิดเฟส 2 จำนวน 20 ยูนิต  มูลค่า 92 ล้านบาท ตอบสนองความต้องการของลูกค้าเพิ่มเติม” “ ทั้งนี้ แบรนด์คณาสิริ มีคอนเซ็ปต์ “Feel Complete” บ้านคณาสิริ ความรู้สึกของความสุข หรือความสุขที่ไม่สิ้นสุด สำหรับการเริ่มต้นสร้างครอบครัวกับบ้านหลังแรก ตอบโจทย์การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกฟังก์ชั่นของโครงการ เป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่มีดีมานด์สูงจากผู้บริโภค เนื่องจากเป็นระดับราคาที่ไม่สูงจนเกินไปนัก เหมาะกับครอบครัวขนาดปานกลางที่กำลังสร้างครอบครัวและมองหาจุดเริ่มต้นสำหรับชีวิตครอบครัวที่ดี ในสังคมคุณภาพ พร้อมยังมี นวัตกรรม Cooliving Designed Home บ้านระบายความร้อนด้วยโซล่า เซลล์ ไม่ใช้ไฟฟ้า ปลอดภัยและ Go green ที่ทันสมัยและตอบโจทย์การใช้งานอย่างเต็มเปี่ยม จึงทำให้แบรนด์คณาสิริได้รับการตอบรับที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงได้เตรียมเปิดโครงการภายใต้แบรนด์นี้อีกในปี 2561 แต่จะเป็นทำเลใดนั้นต้องติดตามกันต่อไป” นายสมเกียรติ กล่าว สำหรับแนวโน้มตลาดบ้านเดี่ยวในปี 2561 นายสมเกียรติ กล่าวว่า คาดว่าจะมีแนวโน้มที่สดใสกว่าปีนี้ แม้ว่าจะยังไม่มีมาตรการสนับสนุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยตรงจากทางภาครัฐเพิ่มเติม แต่จากปัจจัยบวกที่รัฐบาลมีความชัดเจนในการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรถไฟฟ้า ที่เริ่มเป็นรูปธรรมและมีความคืบหน้าในการก่อสร้างมากขึ้น เช่น สายสีเขียว (หมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต) รวมไปถึงสายสีเหลือง (ลาดพร้าว – สำโรง) สายสีชมพู (แคราย – มีนบุรี) และสายสีส้ม (ศูนย์วัฒนธรรม – มีนบุรี) ที่คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2562 จึงทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาดีขึ้น กำลังซื้อมีทิศทางที่ดี นอกจากนี้ยังคาดว่าปี’ 61 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ร้อยละ 4.2 เนื่องจากรัฐบาลได้ประกาศการเลือกตั้งชัดเจนในปี 2562  ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เติบโตไปได้ด้วยดี ขณะที่ผู้ประกอบการเริ่มทยอยที่จะเปิดโครงการใหม่ออกสู่ตลาดและให้ความสำคัญกับการทางการตลาดอย่างเข้มข้น ทำให้คาดการณ์ว่าตลาดบ้านเดี่ยวจะดีขึ้นทั้งในฝั่งอุปทานและอุปสงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ที่รถไฟฟ้าผ่าน ซึ่งเป็นทำเลที่มีความน่าสนใจและมีศักยภาพในการพัฒนาบ้านเดี่ยวต่อไป อีกทั้งบ้านเดี่ยวระดับราคาที่น่าจะยังขยายตัวต่อไปได้คือบ้านเดี่ยวระดับราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป  ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนน้อย และมีโอกาสถูกปฏิเสธสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในระดับต่ำ ดังนั้นจึงจะเติบโตได้ดี”
‘เอพี ไทยแลนด์’ ประกาศนิวไฮด์ ด้วยยอดขายปี 60 ถึงกว่า 41,000 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ คาดปีหน้าตลาดระดับกลางถึงบนยังแรง

‘เอพี ไทยแลนด์’ ประกาศนิวไฮด์ ด้วยยอดขายปี 60 ถึงกว่า 41,000 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ คาดปีหน้าตลาดระดับกลางถึงบนยังแรง

บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) สร้างเซอร์ไพรส์ตลาดอสังหาฯ โชว์สถิติใหม่ ด้วยยอดขาย ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2560 ถึง 41,600 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 85%  และเกินจากเป้าหมายยอดขายเดิมที่ตั้งไว้ 26,000 ล้านบาทถึง 60%  ซึ่งมาจากสินค้าแนวราบที่ขายได้ต่อเนื่อง รวมถึงการปลุก    แบรนด์ LIFE CONDO ใน 3 ทำเลเด็ดคือ วิทยุ ลาดพร้าว และอโศก-พระราม 9 โดยในปี 2560 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 25 โครงการ มูลค่ารวม 49,040 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 9 โครงการ มูลค่า 12,350 ล้านบาท ทาวน์โฮม 13 โครงการ มูลค่า 12,590 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 24,100 ล้านบาท เผยสูตรสำเร็จพัฒนาอสังหาฯ เชื่อมโยง 4 มิติ โลเคชั่น – สินค้าที่โดนใจผู้บริโภค - การตั้งแพคเกจราคา-ซัพพลายคงเหลือ คาดปีหน้าตลาดระดับกลางและบนยังไปได้ดี สินค้าแนวราบเป็นที่น่าจับตามอง คอนโดต้องเจาะลึกเป็นรายเซกเมนต์ นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในปีนี้ เอพี ไทยแลนด์ประสบความสำเร็จอย่างมากสามารถสร้างยอดขายรวมของสินค้าทั้งกลุ่มคอนโด และแนวราบได้มากถึง 41,600 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมากว่า 85%  และเกินจากเป้าหมายยอดขายเดิมที่ตั้งไว้ 26,000 ล้านบาทถึง 60% โดยแบ่งเป็นยอดขายที่เกิดจาก สินค้าแนวราบมูลค่า 14,525 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 27,075 ล้านบาท โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีนี้ นอกจากจะมาจากสินค้าแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีแล้ว ยังมาจากการประสบความสำเร็จในการเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ LIFE วิทยุ LIFE ลาดพร้าว และ LIFE อโศก-พระราม 9  ซึ่งทั้ง 3 โครงการสามารถปิดการขายได้ประมาณ 90%” การเติบโตอย่างก้าวกระโดดในครั้งนี้ สะท้อนภาพความสำเร็จของวิธีคิดในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในแบบของเอพี ที่นำมิติทั้ง 4 ด้านมาเชื่อมโยงกันเพื่อออกแบบโมเดลสินค้าและราคาขายที่เข้าใจและตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งมิติทั้ง 4 ด้านประกอบด้วย 1) โลเคชั่น  2) โปรดักส์ที่เข้าถึงความต้องการแฝง 3) การกำหนดแพคเกจราคาขายที่สอดรับกับความสามารถในการผ่อนชำระและ 4) การศึกษาจำนวนซัพพลายคงเหลือแต่ละเซกเมนต์ นอกจากนั้น 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังได้รับความร่วมมืออย่างดีจากมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MECG) พันธมิตรทางธุรกิจ ในการส่งต่อแนวคิดในการบริหารจัดการคุณภาพ สู่การสร้างกรอบแนวคิดหลักในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในการพัฒนาคอนโดมิเนียมของเอพี ด้วยการผสมผสานประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เข้ากับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะแนวคิดเรื่อง IoT (Internet of Thing) ตลอดจนนวัตกรรมการก่อสร้างสำเร็จรูปในระบบโมดูลาร์ อย่างห้องน้ำสำเร็จรูปที่ให้ค่า Defect เท่ากับศูนย์ สำหรับคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนระหว่างเอพี (ไทยแลนด์) และมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MECG)  มีทั้งหมด 11 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 50,830 ล้านบาท มียอดขายรวมเฉลี่ย 85% ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่จำนวน 4 โครงการ ได้แก่ 1) RHYTHM สุขุมวิท 36 – 38 2) ASPIRE รัชดา – วงศ์สว่าง 3) ASPIRE สาทร – ท่าพระ 4) RHYTHM อโศก 2 โดยทั้ง 4 โครงการมีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งในปี 2561 เอพีและมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ยังคงจับมือเดินหน้าสร้างสรรค์นวัตกรรมดีไซน์ใหม่ๆ ให้กับตลาดคอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) ได้คาดการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 ว่า ภาพรวมธุรกิจยังคงสอดรับกับการเติบโตของเศรษฐกิจประเทศ การแข่งขันยังคงเกิดจากผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นหลักที่ปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ ซัพพลายที่ตอบโจทย์ตลาดระดับกลางและบนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค การเปิดตัวของสินค้าใหม่แนวราบยังคงเป็นตลาดที่น่าจับตามอง ส่วนคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ตลาดระดับกลางถึงบนยังคงมีกำลังซื้อ ส่วนตลาดระดับล่างค่อนข้างน่ากังวลเพราะมีสต๊อกสร้างเสร็จคงเหลือจำนวนมาก กระแสการมาของเทคโนโลยีถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นแม้จะเป็นตัวช่วยที่เปิดโอกาสให้เราเข้าใจและรู้จักลูกค้ามากขึ้น แต่สุดท้ายผู้ประกอบการก็จะต้องเป็นคนค้นหาให้เจอว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของตนเองกำลังมองหาอะไร สำหรับการอยู่อาศัยในโลกอนาคต   “เอพี (ไทยแลนด์) กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง”
โครงการอาคารสูงระฟ้าระดับ ซูเปอร์ ลักชัวรี่ ออกแบบและ ตกแต่งโดย บริษัท เพซ  อินทีเรีย เซอร์วิสเซส มั่นใจเลือกฝ้า  “ยิปซัม ตราช้าง” ตอกย้ำศูนย์ไลฟ์สไตล์สุดหรู แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ


โครงการอาคารสูงระฟ้าระดับ ซูเปอร์ ลักชัวรี่ ออกแบบและ ตกแต่งโดย บริษัท เพซ อินทีเรีย เซอร์วิสเซส มั่นใจเลือกฝ้า “ยิปซัม ตราช้าง” ตอกย้ำศูนย์ไลฟ์สไตล์สุดหรู แห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ


มหานคร (MahaNakhon) ตึกที่สูงที่สุดในประเทศไทย มาพร้อมกับความสูง 314 เมตร เป็นโครงการ mix-used ที่ได้รับการออกแบบเสมือนถูกโอบล้อมด้วยริบบิ้นสามมิติ หรือ “พิกเซล”  ตลอดทั้งความสูงของตัวอาคาร ทำให้เกิดโครงสร้างพิเศษและโดดเด่นสะดุดตา ผนังตึกด้านนอกล้อมรอบไปด้วยกระจกราวกับลอยอยู่บนฟ้าเมื่อมองมาแต่ไกล โดยสามารถรับลมชมวิวทิวทัศน์แบบพาโนราม่า ด้วยการออกแบบของบริษัท เพซ อินทีเรีย เซอร์วิสเซส จำกัด นายพงษ์ศักดิ์ มหัทธนสกุล CEO & Co-Founder บริษัท เพซ อินทีเรีย เซอร์วิสเซส จำกัด  บริษัทที่ปรึกษาด้านอินทีเรีย ที่มีประสบการณ์และความชำนาญสูงด้านการออกแบบโครงการระดับใหญ่สุดหรูหรา และความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ กล่าวว่า “การได้รับมอบหมายให้มารับผิดชอบดูแลโครงการมหานคร ซึ่งถือเป็นโครงการระดับ Super Luxury โดยได้รับโจทย์จาก  เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนซ์ บางกอก  ที่ต้องการให้มหานครเป็น เรสซิเดนซ์ ลักชัวรี่ โดยมุ่งเน้นคุณภาพและมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล สำหรับโครงการนี้ในส่วนฝ้าภายใน ทางบริษัทเพซ อินทีเรียฯ มอบความไว้วางใจแก่ “ยิปซัม ตราช้าง”  เนื่องจากมีแนวทางการทำงานที่สอดคล้องกับความต้องการเดียวกันในระดับ Level 5 Finish คือการติดตั้งระบบฝ้าที่เรียบเนียนมากๆ แบบไม่มีที่ติ และมีเทรนนิ่งให้กับทีมช่างผู้ติดตั้งอย่างเป็นพิเศษ  เพื่อให้งานออกมาดีและมีคุณภาพที่สุด สำหรับโครงการนี้ เราเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แผ่นยิปซัมตราช้าง พลัส แต่ส่วนที่มีความท้าทายในการทำงานคือดีไซน์ฝ้าโค้ง เราใช้ Elephant D Zine จากยิปซัมตราช้าง ซึ่งทำให้งานเราง่ายขึ้นและให้ความหรูหรา สวยงาม เรียบเนียนกว่างานปกติ ทั้งนี้ขอขอบคุณ “ยิปซัม ตราช้าง” ที่ใส่ใจและดูแลโครงการเป็นพิเศษ อีกทั้งยังได้ ยูเอสจีบอรอล (USG BORAL)  ผู้คิดค้นแผ่นยิปซัมรายแรกจากสหรัฐอเมริกาเข้ามาช่วยแนะนำอย่างใกล้ชิด” นายจรุง กาญจนภูมิ ผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย บริษัท สยามอุตสาหกรรมยิปซัม (สระบุรี) จำกัด เปิดเผยว่า “การได้ร่วมงานในโครงการระดับ Super Luxury ถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญของ ยิปซัม ตราช้าง และ บริษัท เพซ อินทีเรีย เซอร์วิสเซส จำกัด  ที่ได้ปรึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ในการออกแบบและตกแต่งภายใน การเทรนนิ่งทีมช่างติดตั้ง การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์คุณภาพในระดับ High End  ที่ต้องการดีไซน์เฉพาะตัวและความสวยงามระดับสากล สามารถตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ตั้งแต่กลุ่มเจ้าของโครงการ สถาปนิก นักออกแบบตกแต่งภายใน และผู้รับเหมา รวมไปถึงเจ้าของบ้าน ที่ต้องการความพิถีพิถันอย่างแท้จริง เพื่อให้สามารถตอบสนองการออกแบบระดับ hi-class กับโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) อย่างตึกมหานคร ถือเป็นโจทย์หลักที่ทาง “ยิปซัม ตราช้าง” พิถีพิถันในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และให้บริการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ในด้านระบบฝ้าเพดานยิปซัม และฝ้าดีไซน์  Elephant D Zine  ด้วยคุณสมบัติของแผ่นยิปซัม ตราช้างพลัส เป็นวัสดุสำหรับใช้เพื่องานฝ้าเพดาน มีคุณลักษณะแข็งแกร่งทั่วแผ่น ไม่ลามไฟ และให้ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับงานตกแต่งภายในที่ต้องการความเรียบเนียนสูง และด้วยเทคโนโลยี "ชีตร็อคแบรนด์" สิทธิบัตรจาก ยูเอสจี  (USG) ผู้ผลิตยิปซัมชั้นนำจากประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้แผ่นยิปซัม ตราช้างพลัส มีคุณสมบัติโดดเด่นกว่าแผ่นยิปซัมทั่วไป นอกจากนี้ยังมี “Elephant D Zine” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในผลิตภัณฑ์และบริการของสยามยิปซัม ที่สามารถออกแบบชิ้นงานและติดตั้งให้มีรูปแบบสอดคล้องกับการออกแบบตกแต่งภายในที่มีลักษณะเฉพาะในแต่ละโครงการได้ ไม่ว่าจะเป็น ฝ้าเพดาน ฝาผนัง หรือการหุ้มโครงสร้างเพื่อใช้ในงานออกแบบตกแต่งที่เรียกว่า “ customized design and product”  นั่นเอง ให้ทั้งความสวยงามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และยังติดตั้งง่ายและรวดเร็ว ได้มาตรฐานระดับสากลด้วย”   จากการที่โครงการมหานครเลือกใช้ “ยิปซัม ตราช้าง” แสดงให้เห็นความไว้วางใจของลูกค้าที่สร้างสรรค์งานระดับมาตรฐานสากลไว้วางใจต่อผลิตภัณฑ์ของยิปซัม ตราช้าง พร้อมตอกย้ำคุณภาพของผลิตภัณฑ์ฝ้าและผนังในอุตสาหกรรมการตกแต่งภายในยิ่งขึ้นไปอีก
ครั้งแรก!! พลิกโฉมประสบการณ์จ่ายเงินในวงการอสังหาฯ  แสนสิริจับมือไทยพาณิชย์สร้าง ‘Cashless Town’ สังคมไร้เงินสด ทำเรื่องเงินให้เป็นเรื่องง่าย เพียงจ่ายผ่าน QR Code

ครั้งแรก!! พลิกโฉมประสบการณ์จ่ายเงินในวงการอสังหาฯ แสนสิริจับมือไทยพาณิชย์สร้าง ‘Cashless Town’ สังคมไร้เงินสด ทำเรื่องเงินให้เป็นเรื่องง่าย เพียงจ่ายผ่าน QR Code

แสนสิริจับมือธนาคารไทยพาณิชย์สร้างปรากฏการณ์ใหม่ครั้งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดตัว ‘Cashless Town’ หรือสังคมไร้เงินสด พลิกโฉมมอบประสบการณ์เหนือความคาดหมายทางการเงินแก่ลูกค้าแสนสิริ ให้เรื่องการจ่ายเงินเป็นเรื่องง่าย เพียงชำระผ่าน QR Code เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย เข้าถึงทุกๆ การชำระเงินได้โดยไม่มีข้อจำกัด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้ายุคดิจิทัล นำร่องเปิดให้บริการครั้งแรกแล้ววันนี้ที่ฮาบิโตะ (Habito) คอมมูนิตี้รีเทลใน “ที77” ศูนย์กลางการอยู่อาศัยและพื้นที่แห่งไลฟ์สไตล์ ซ.สุขุมวิท77 ใกล้ BTS อ่อนนุช และงาน Winter Market Fest ครั้งที่ 5 ครั้งแรกที่ไม่ต้องพกเงินสดช้อปปิ้ง วันที่ 16-17 ธ.ค.นี้เท่านั้น   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริได้ร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจสถาบันการเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดตัว ‘Cashless Town’ หรือสังคมไร้เงินสด มอบประสบการณ์ใหม่ทางการเงินให้แก่ลูกค้าแสนสิริ ให้เรื่องการจ่ายเงินเป็นเรื่องง่าย เพียงชำระผ่าน QR Code เพิ่มความสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และสามารถเข้าถึงทุกๆ การชำระเงินได้โดยไม่มีข้อจำกัด ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้ายุคดิจิทัล ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ร่วมมือกับธุรกิจสถาบันการเงิน ในการนำดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่ทางการเงินมาสร้างสรรค์ประสบการณ์การชำระเงินและช้อปปิ้งแบบไร้เงินสดเต็มรูปแบบให้แก่ลูกค้า   “ในปีนี้แสนสิริเห็นความเปลี่ยนแปลงในไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าในยุคที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เราเชื่อว่าเทคโนโลยีจะตอบโจทย์ของลูกค้าได้ดี จึงได้พยายามนำเทคโนโลยีมาต่อยอดใช้ประโยชน์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในมิติใหม่ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง  เพื่อยกระดับการบริการที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าและรักษาความเป็นผู้นำในการบุกเบิกและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยของวงการอสังหาริมทรัพย์ โดยเรามองลูกค้าเป็นศูนย์กลาง Customer Centric ซึ่งเราศึกษาและพบว่าในยุคดิจิทัลนี้ลูกค้าต้องการความสะดวกสบาย และรวดเร็วในการจับจ่ายใช้สอย ดังนั้นการมอบบริการ ‘Cashless Town’ จะช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตของลูกค้าในโลกยุคดิจิทัลด้านการเงินอย่างสมบูรณ์แบบ” นายอุทัย กล่าว นายวศิน ไสยวรรณ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ผู้บริหารสูงสุด Multi-Corporate Segment และผู้บริหารสูงสุด Corporate Segment ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า “ธนาคารไทยพาณิชย์ และ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่แน่นแฟ้น มีความร่วมมือในโครงการต่างๆ เกิดขึ้นร่วมกันอย่างหลากหลาย ด้วยวิสัยทัศน์ที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันของทั้งสององค์กรในการให้ความสำคัญต่อการนำเทคโนโลยีเข้ามายกระดับการให้บริการแก่ลูกค้า เมื่อต้นปีที่ผ่านมาธนาคารได้ร่วมลงทุนในบริษัท สิริ เวนเจอร์ส จำกัด เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ให้กับลูกค้าในกลุ่มผู้อยู่อาศัย สำหรับครั้งนี้ธนาคารและแสนสิริร่วมกันนำเทคโนโลยีทางการเงินเข้ามาขับเคลื่อนสังคมไร้เงินสด ขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าในภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยร่วมกันเปิดตัวโครงการ Cashless Town นำระบบชำระเงินด้วย QR Code เข้าไปให้บริการในทุกทัชพอยท์ที่จะมีธุรกรรมทางการเงินเกิดขึ้นภายใต้พื้นที่ที่พัฒนาโดยแสนสิริ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการชำระเงินที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่อยู่อาศัยในยุคดิจิทัล โดยเริ่มต้นนำร่องครั้งแรกที่ ฮาบิโตะ (Habito) คอมมูนิตี้รีเทลของแสนสิริแล้ววันนี้ รองรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ จำนวนไม่ต่ำกว่า 10,0000 คนต่อวัน โดยการชำระเงินด้วยการสแกน QR Code ผ่านสมาร์ทโฟนจะเพิ่มความคล่องตัวให้กับลูกค้ามากขึ้น ความร่วมมือระหว่างธนาคารไทยพาณิชย์ และแสนสิริครั้งนี้นับเป็นฟันเฟืองหนึ่งในการสร้าง Digital Eco System ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ภายในไตรมาสแรก ปี 2561 Cashless Town เต็มรูปแบบจะขยายครอบคลุมพื้นที่ T 77 ศูนย์กลางการอยู่อาศัยและพื้นที่แห่งไลฟ์สไตล์ภายใต้การพัฒนาของแสนสิริต่อไป ” นายอุทัย กล่าวเพิ่มเติมว่า T 77 ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท 77 อยู่ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่อยู่อาศัย 8 โครงการ ประกอบด้วยสังคมอยู่อาศัยประมาณถึง 10,000 ครอบครัว ได้แก่ บล็อค สุขุมวิท 77, เดอะ เบส สุขุมวิท 77, เดอะ เบส พาร์คอีสต์ สุขุมวิท 77, เดอะ เบส พาร์คเวสต์ สุขุมวิท 77, ฮาสุ เฮาส์, โมริ เฮาส์, การ์เด้น สแควร์ สุขุมวิท 77 และโครงการล่าสุดคาวะ เฮาส์ รวมถึง Park Court (พาร์ค คอร์ท) คอนโดมิเนียมและอพาร์ตเม้นต์ และ โรงเรียนนานาชาติ บางกอกเพรพ ”Bangkok International Preparatory & Secondary School (Bangkok Prep) หนึ่งในโรงเรียนนานาชาติชั้นนำของไทย รวมทั้ง Dental Hospital (โรงพยาบาลฟัน) ที่จะเปิดให้บริการปี 2561 โดยเมื่อเปิดอย่างเป็นทางการแล้วก็พร้อมเปิดบริการ Cashless Town ให้เป็นเมืองไร้เงินสดอย่างสมบูรณ์ ลูกค้าของแสนสิริสามารถชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าส่วนกลาง และชำระค่าบริการที่โรงพยาบาลฟัน ผ่าน QR Code นับเป็นการมอบการบริการทางการเงินที่รองรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ในวันที่ 16-17 ธันวาคมนี้ ในงาน Winter Market Fest (วินเทอร์ มาร์เก็ต เฟส) ครั้งที่ 5 ไลฟ์สไตล์ เฟสติวัลสุดฮิปที่แสนสิริจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ที่ที77 ซึ่งรวบรวมร้านค้าและร้านอาหารชั้นนำมากมายถึง 150 ร้านค้า จะเป็นครั้งแรก ! ที่เปิดให้บริการ Cashless Town ลูกค้าช้อปปิ้งได้ชิลล์ๆ ผ่าน QR Code โดยไม่ต้องใช้เงินสด ซึ่งเหมาะกับคนร่วมงานที่ส่วนมากเป็นคนรุ่นใหม่ที่รักความสะดวกสบาย และคาดว่าปีนี้จะมีคนมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก   นายอุทัย กล่าวทิ้งท้ายว่า คาดว่าความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ผู้บริโภคจะเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายสู่สังคมไร้เงินสดเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้แสนสิริจะยังคงไม่หยุดยั้งในมองหาบริการที่จะเข้ามาเติมเต็มไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการให้บริการอย่างครบวงจร และมอบประสบการณ์ที่เหนือความคาดหมายให้ลูกค้าอย่างไม่สิ้นสุด”

1 ... 78 79 80 ... 105