Tag : condo

1488 ผลลัพธ์
นิปปอนเพนต์  เร่งแก้ 2 โจทย์ธุรกิจ  ปูทางสู่เบอร์ 1 ตลาดสี

นิปปอนเพนต์ เร่งแก้ 2 โจทย์ธุรกิจ ปูทางสู่เบอร์ 1 ตลาดสี

นิปปอนเพนต์ เดินหน้าแก้ 2 โจทย์ทางธุรกิจ การวางกลยุทธ์ที่ถูกต้อง การรับมือการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม ด้วยยุทธศาสตร์ “Inspired by you” กับแนวคิด “3C” ไขความพร้อมสู่การชนะใจลูกค้าหวังสร้างยอดขายเติบโต เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มสีทาอาคาร ดันให้ภาพรวมขึ้นแท่นเบอร์ 1 ตามบริษัทแม่ หลังปีที่ผ่านมา​โชว์ผลงานสร้างประวัติศาสตร์​ ทำยอดขายสูงสุด ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจในไทย     นิปปอนเพนต์ แบรนด์สีจากประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยแล้วกว่า 56 ปี ถ้าเทียบอันดับในตลาดเอเชีย แบรนด์นิปปอนเพนต์ ถือว่าเป็นแบรนด์อันดับ 1 ติดต่อ 7 ปี มียอดขายล่าสุดปี 2563 จำนวน ​8,460 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นส่วนแบ่ง 20% ในตลาดสีของเอเชีย และยังเป็น​อันดับ 4 ของตลาดโลกด้วย ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป และกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ที่ต้องใช้สี แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ปัจจุบันแบรนด์นิปปอนเพนต์ ยังไม่ได้ครองใจผู้บริโภค หรือกลุ่มธุรกิจ จนมียอดขายเป็นเบอร์ 1 ทั้ง ๆ ที่มีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี สินค้า หรือการสนับสนุนจากบริษัทแม่ แก้ 2 โจทย์ธุรกิจ สู่เบอร์ 1 ​นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด  ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีนิปปอนเพนต์ ในประเทศไทย เปิดเผยว่า สาเหตุสำคัญที่ปัจจุบันยอดขายของสีนิปปอนเพนต์ในประเทศไทย ไม่เป็นอันดับ 1 เหมือนในตลาดเอเชียมี 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การวางกลยุทธ์ทำธุรกิจไม่ถูกต้อง ในอดีตเมื่อ 20 ปีก่อนเคยวางกลยุทธ์การทำตลาดที่ถูกต้องมาก่อน จนสามารถครองยอดขายอันดับ 1 ได้ แต่จากกลยุทธ์ทางธุรกิจไม่ถูกต้องกับสภาพทางการตลาด ทำให้ยอดขายลดลงมาอย่างต่อเนื่อง 2.การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม จากการเปลี่ยนแปลงทางการตลาดที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้รูปแบบการตลาดของเจ้าของสินค้าต้องปรับเปลี่ยนตาม ซึ่งช่วงที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงสำคัญ คือ ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า อย่างช่องทางโมเดิร์นเทรด เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการซื้อสินค้า เดิมผู้บริโภคนิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางตัวแทนจำหน่าย แต่การขยายตัวของร้านโมเดิร์นเทรด ทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางนี้มากขึ้น ทำให้สีนิปปอนเพนต์ที่มีช่องทางหลัก คือ ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย ต้องสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับคู่แข่ง ที่เข้าไปขายผ่านช่องทางร้านโมเดิร์นเทรด   อย่างไรก็ตาม สีนิปปอนเพนต์ ได้พยายามปรับกลยุทธ์และวิธีการทำตลาดมากขึ้น เพื่อให้ได้ส่วนแบ่งทางการตลาดกลับมาเพิ่มมากขึ้น และก้าวสู่เป็นเบอร์ 1 ในทุกกลุ่มสี โดยเฉพาะการผลักดันกลุ่มสีทาบ้านและอาคาร ที่ปัจจุบันสีนิปปอนเพนต์มีส่วนแบ่งทางตลาดในทุกผลิตภัณฑ์สี อาทิ สีทาอาคาร สีรถยนต์ และสีอุตสาหกรรม เป็นอันดับ  2 ​ ด้วยยอดขายเกือบ 10,000 ล้านบาท   แต่หากเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มสีทาบ้านและอาคารและโรงงาน ปี 2564 มีมูลค่าตลาดรวม 24,000 ล้านบาท นิปปอนเพนต์มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ ​ 4 หรือคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 7%  ขณะที่ผู้นำตลาดเบอร์ 1  มีส่วนแบ่งตลาด 50% สำหรับภาพรวมตลาดสีทาบ้านและอาคารในปี 2565 น่าจะมีอัตราการเติบโต​ 12.5%  คิดเป็นมูลค่า 27,000 ล้านบาท ปัจจัยส่งเสริมให้ตลาดเติบโตมาจาก นโยบายภาครัฐที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการใช้เพิ่มมากขึ้น การปรับปรุงซ่อมแซมบ้านของผู้บริโภค และราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้นจากภาวะต้นทุนที่เพิ่มขึ้น   ปีที่ผ่ามานิปปอนเพนต์มีรายได้กลุ่มสีทาบ้านและอาคาร 1,800 ล้านบาท ปี 2566 นี้ตั้งเป้าเพิ่มรายได้เป็น 2,170 ล้านบาท หรือเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 9-10% และบริษัทพยายามผลักดันส่วนแบ่งยอดขายกลุ่มสีทาบ้านและอาคารเพิ่มขึ้นเป็น 15% ภายใน 3-5 ปี เพื่อจะขยับจากอันดับ 4 ขึ้นมาเป็นอันดับ 2  ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมของสีนิปปอนเพนต์ในทุกตลาดสีขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ให้ได้ภายใน 3-5 ปีด้วย ​​ โดยปัจจุบันตลาดสีรวมทุกผลิตภัณฑ์มีมูลค่ารวม ​ 50,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 56 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เราทำได้ไม่ดี คือ เราไม่ปรับตัว เราเริ่มมาปรับตัวได้ดีขึ้นในช่วง 4-5 ปีส่งผลให้ปีที่แล้วมีการเติบโตกว่า 30% สูงสุดนับตั้งแต่ทำธุรกิจในไทย ​โดยมีการพัฒนาช่องทางตัวแทนจำหน่ายให้เติบโตคู่กับช่องทางโมเดิร์นเทรด  การพัฒนาและเพิ่มช่องทางใหม่ๆ เช่นออนไลน์ 3C ยุทธศาสตร์ทำตลาดปี 66 สำหรับกลยุทธ์ในการทำตลาด และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ สีนิปปอนเพนต์จะใช้ยุทธศาสตร์เดินหน้า “Inspired by you” กับแนวคิด “3C” ได้แก่ Customer Centric-Customized Solution-Concrete Innovation ชูกลยุทธ์การตลาดครบเครื่อง ยกระดับความมั่นใจ พร้อมตอบโจทย์ทุกปัญหาและความต้องการของลูกค้าทั้งกลุ่ม B2B และ B2C   โดยนายณรงค์ฤทธิ์ มาลัยนวล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กล่าวว่า กลยุทธ์การทำตลาดของนิปปอนเพนต์ในปี 2566 นี้ บริษัทยังคงเน้นเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสีทาบ้านและอาคาร หรือ The Coatings Expert ผ่าน Inspired by you กับแนวคิด “3C” ได้แก่ Customer Centric ตามปณิธานขององค์กร การยึดความต้องการของลูกค้าเพื่อเข้าใจ แก้ไขและป้องกันปัญหาสี เป็นสิ่งสำคัญ โดยนิปปอนเพนต์ต้องการสร้างความแตกต่าง เพื่อสร้างความประทับใจ การจดจำ และการบอกต่อถึงความเอาใจใส่ Customized Solution “เพราะความใส่ใจทำให้เราเชี่ยวชาญ” การศึกษาเพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการลูกค้าแต่ละบุคคล แต่ละองค์กรอย่างถ่องแท้ พร้อมนำเสนอ Solution ที่เหมาะสมและตอบโจทย์ผ่านความเชี่ยวชาญที่นิปปอนเพนต์มีเสมอมาอย่างมากที่สุด เพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาสี Concrete Innovation การเดินหน้าคิดค้น วิจัยและพัฒนาเพื่อนำเสนอนวัตกรรมในทุกผลิตภัณฑ์สีอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสิ่งใหม่ที่สร้างประโยชน์ แก้ปัญหาและป้องกันได้จริง สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา   นายณรงค์ฤทธิ์  กล่าวอีกว่า นิปปอนเพนต์เน้นการสร้าง Engagement กับลูกค้าในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ผู้รับเหมา ช่างสี ฯลฯ รวมไปถึงโมเดิร์นเทรด หรือดีลเลอร์ และเพื่อรองรับดีมานด์ที่เกิดขึ้นในทุกๆกลุ่ม ในปีนี้จะเห็นการนำเสนอนวัตกรรมออกสู่ตลาดทั้งในกลุ่มสินค้าสีทาพื้น  ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 500 ล้านบาทมีการเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่รายจึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก  รวมทั้งยังมีแผนนำสินค้าที่เป็นเรือธงออกมาทำตลาดเพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย ​ ปี 2566 ถือเป็นปีที่มีความท้าทายอย่างมากสำหรับนิปปอนเพนต์ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น จากปัจจัยบวก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริโภคในประเทศ และภาคท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาคึกคักขึ้น หลังจีนเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวออกเดินทางท่องเที่ยวได้ ทำให้โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงต่างๆ ต้องปรับปรุงตกแต่งอาคาร ร้านค้า เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามา   นอกจากนี้กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนยังมีความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย ทำให้คาดการณ์ว่า ตลาดคอนโดมิเนียมจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง อีกปัจจัยบวกคือการย้ายฐานการผลิตมาอยู่ในประเทศไทย ของผู้ประกอบการรายใหญ่ ทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนมากและการใช้จ่ายที่จะตามมาในอนาคต ขณะที่ปัจจัยลบที่ต้องจับตามองคือ การเลือกตั้ง ซึ่งยังต้องรอดูนโยบายใหม่ของรัฐบาลว่าจะเดินหน้าอย่างไร   นายณรงค์ฤทธิ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้บริษัทยังมีความเชื่อมั่นว่าภาพรวมของเศรษฐกิจจะกลับมาดีขึ้น จากภาคการผลิตและภาคท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งนิยมซื้ออาคารสูงในไทยจะส่งผลให้ตลาดอาคารสูงกลับมาคึกคักและเดินหน้าก่อสร้างเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดสีทาบ้านและอาคารกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้นิปปอนเพนต์เองเติบโตตามไปด้วย โดยภาพรวมในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น 25% พร้อมกับมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นและกลายเป็นผู้นำตลาดในที่สุด   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -นิปปอนเพนต์ ออกสีใหม่ “เวเธอร์บอนด์” สู้ตลาด 2 หมื่นล้านหดตัว 15%
แอล.พี.เอ็น.ใช้ 5 Transformation มัดใจลูกค้า พร้อมสร้างรายได้ 50,000 ล้าน

แอล.พี.เอ็น.ใช้ 5 Transformation มัดใจลูกค้า พร้อมสร้างรายได้ 50,000 ล้าน

แอล.พี.เอ็น. วางโรดแมป 5 ปี สู่เป้าหมายรายได้รวม 50,000 ล้าน พร้อมการกลับมานั่งในใจลูกค้า โดยวาง 5 กลยุทธ์สำคัญ Transformation เดินหน้าปั้นแบรนด์ 168 จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ เลิกใช้แบรนด์ ลุมพินี   หลังจาก 4-5 ปีที่ผ่านมา ชื่อของ แอล.พี.เอ็น.แทบจะหายไปจากวงการอสังหาริมทรัพย์ การเปิดตัวโครงการใหม่มีน้อยมาก เพราะผู้บริหารได้มีการจัดพอร์ตธุรกิจและปรับการทำงานภายในใหม่ จากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากหลาย ๆ ปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพตลาด การเกิดไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด   แต่หลังจากได้จัดการปัญหาต่าง ๆ ภายในเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แอล.พี.เอ็น. ก็กลับมาใหม่อีกครั้ง กับแผนธุรกิจ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2569 ซึ่งมีโจทย์ทางธุรกิจสำคัญ คือ การกลับมาอยู่บนเวทีธุรกิจอสังหาฯ ที่เคยติดอันดับ Top10 และการเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจของผู้บริโภค ซึ่งมี 5 กลยุทธ์สำคัญที่พร้อมจะขยายธุรกิจนับจากนี้ แผน 5 ปีรายได้ 50,000 ล้าน นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า ปี 2566 เป็นปีที่ท้าทายในการขับเคลื่อนองค์กร ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ซื้อที่อยู่อาศัย ภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19​   โดยแอล.พี.เอ็น.กำหนดให้ปี 2566 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ดีตามแนวคิด “Transform for Better Living” เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนทุกวัย และขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นผ่านการพัฒนาและการออกแบบที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าในทุกระดับ เพื่อสร้างรายได้รวม 50,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2565-2569 ตามแผนโรดแมป 5 ปี และมีกำไรสุทธิ 5,000 ล้านบาท ปี 2566 เป็นปีที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติ ทั้งการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสโควิด ที่ทำให้พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีโอกาสถดถอย อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ บริษัทจึงวางแผนยกระดับการบริหารจัดการ เพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง ตั้งแต่การนำร่องเผยโฉมรูปลักษณ์ใหม่ของการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ 168 ซึ่งเริ่มเห็นบ้างแล้วในช่วงปี 2565 ที่ผ่านมา รวมถึงแผนการขยายการพัฒนาที่อยู่อาศัย ไปสู่โครงการบ้านพักอาศัยระดับพรีเมี่ยม ซึ่งเป็นผลต่อเนื่อง จากการตอบรับที่ดีจากลูกค้าจนสามารถปิดการขายโครงการ BAAN 365 RAMA 3 ไปเป็นที่เรียบร้อย   โดยการก้าวสู่มิติใหม่ของแอล.พี.เอ็น.ที่ยึดความต้องการของลูกค้า (Customer Insight) เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาองค์กรเป็นสำคัญ บริษัทจึงมุ่งมั่นตั้งใจสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้าเป้าหมายมากยิ่งขึ้นเพื่อสร้างการรับรู้ใหม่ของแบรนด์ 168 รวมถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารจัดการภายในให้สามารถกระจายรายได้อย่างสม่ำเสมอ และมีการเติบโตของกำไรอย่างน้อย 10% ต่อปี ตามแผนการขับเคลื่อนองค์กร Turnaround ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2565 ต่อเนื่องมาถึงปี 2566 แอล.พี.เอ็น ชู 5 กลยุทธ์ Transformation 1.Corporate Transformation การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ VS บริการ กลยุทธ์แรกในการผลักดันให้บริษัท ไปสู่เป้าหมายตามแผนธุรกิจ 5 ปี คือ การปรับองค์กร ทั้งในด้านภาพลักษณ์ให้ดูสดใหม่ และการปรับเชิงการบริหารธุรกิจ โดยแล้วเริ่มปรับตัวเองมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งในอดีตกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ จะมุ่งเน้น 2 เรื่อง ​คือ Scale และ Speed   Scale คือ การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ แต่ละปีมีจำนวนโครงการไม่มาก ประมาณ 10 โครงการ ทำให้การบริหารงานโครงการไม่มีความซับซ้อน มีเพียงหน่วยงานเดียว ก็สามารถบริหารจัดการพัฒนาทั้ง 10 โครงการได้ แต่จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่าง ๆ ทำให้ ต้องมีการขยายพอร์ตธุรกิจให้มากขึ้น และการพึ่งพาธุรกิจคอนโดมิเนียมประเภทเดียวก็เป็นความเสี่ยงเกินไป   แม้ปัจจุบันจะมีธุรกิจบริการ อย่างบริษัท แอล.พี.พี.พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) ซึ่งก็เติบโตและขยายธุรกิจได้ต่อเนื่อง ปีที่ผ่านมาบริษัท​ได้มีการแยกโครงสร้างการบริหารเป็นอิสระ แต่แอล.พี.เอ็น.ยังคงถือหุ้น 100% ในอนาคตจะนำ LPP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไปด้วย ทำให้​ในปัจจุบันแอล.พี.เอ็น.จึงดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการพัฒนาคอนโดและบ้านพักอาศัยอย่างครบวงจร ในทุกระดับราคา เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อในทุกกลุ่มเป้าหมาย เราทำโครงการให้มีขนาดใหญ่ ทำให้พัฒนาโครงการไม่มาก 10 โครงการก็เพียงพอต่อการสร้างการเติบโต 20% เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทอื่น ต้องมี 20-30 โครงการ ถ้าจะเติบโตในอัตราดังกล่าว Speed การพัฒนาโครงการแม้จะเป็นโครงการขนาดใหญ่ แต่สามารถก่อสร้างได้อย่างรวดเร็ว บางโครงการที่ก่อสร้างตั้งแต่ช่วงต้นปี ประมาณปลายปีก็สามารถเข้าอยู่ได้ ในเชิงธุรกิจทำให้ควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.Management Transformation การเปลี่ยนโครงสร้างบริษัท Business Unit ในปี 2565 แอล.พี.เอ็น.ได้มีการจัดโครงสร้างการบริหารภายใน สู่การบริหารในรูปแบบของหน่วยธุรกิจ (Business Unit) จาก 4 หน่วยธุรกิจ ที่ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม บ้านพักอาศัยกลุ่ม Value บ้านพักอาศัยกลุ่ม Premium ธุรกิจเช่าอาศัย โดยในปี 2566 จะเพิ่มเป็น 5 หน่วยธุรกิจ โดยเพิ่มหน่วยธุรกิจเพื่อพัฒนาบ้านพักอาศัยกลุ่ม Value อีก 1 หน่วย เพื่อสอดคล้องกับแผนการขยายงานในปี 2566 และเพิ่มยอดขายจากการขายคอนโด​ พร้อมผู้เช่าผ่านงานบริการและการปล่อยเช่า เพื่อตอบโจทย์การขายนักลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก แต่ยังคงมีความเสี่ยงต่ำจากการบริหารงานอย่างมืออาชีพจากแอล.พี.เอ็น. 3.Project Development Transformation การพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” แม้ว่าแบรนด์ลุมพินี ลูกค้าส่วนใหญ่จะให้การยอมรับ และเชื่อมั่นในแบรนด์ว่ามีคุณภาพ และชื่นชอบ แต่ต้องยอมรับว่ากลุ่มเป้าหมายเดิมตอนนี้อายุ 40-50 ปี เป็น Gen X , Baby Boomer แต่ปัจจุบันลูกค้าเริ่มเปลี่ยนเป็น Gen Y และอายุน้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่บริษัท พยายามปรับสินค้าให้​ตรงความต้องการของผู้บริโภค จึงมีการพัฒนาแบรนด์ 168 ซึ่งยังคงยึดแนวคิด “น่าอยู่” (Livable Community) เพื่อสร้างสรรค์โครงการต่างๆ ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าในปัจจุบัน ซึ่งมีการออกแบบโครงการที่แตกต่างจากอดีต อาทิ การติดตั้ง EV Charger และ Solar Cell ในทุกโครงการ พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตบนทำเลศักยภาพ   โดยชื่อของแบรนด์ 168 มีที่มาจากการนำเอาเลขที่ตั้งของ อาคารลุมพินี ทาวเวอร์ บนถนนพระราม 4 คือ 1168 ซึ่งเป็นโครงการแรกในช่วงการก่อตั้งบริษัทมาใช้ บ้านเลขที่ คือ 1168 โดยลดทอนเหลือเลข 168 เพราะมีความเชื่อมโยงในเรื่องของศาสตร์ตัวเลขที่เป็นมงคล เพราะมองว่าผู้บริโภคยุคใหม่ ส่วนใหญ่ให้ความสนใจเรื่อง ตัวเลขที่มีความเชื่อว่า​เป็นมงคล ซึ่ง 168 หมายถึง ฮก ลก ซิ่ว จึงเอามาเป็นชื่อ Master Brand ซึ่งจะเป็นแบรนด์ครอบคลุมบ้านและคอนโดทุกเซ็กเมนต์ ถ้ามีการวัด Trusted Brand เราเชื่อว่าแอล.พี.เอ็น.จะต้องติดอันดับ ซึ่งที่ผ่านมาเรามีเรื่องร้องเรียนในสคบ.ค่อนข้างน้อย ถ้ามีเราจะ Take action ทันที ทำให้ช่วง 4-5 ปีที่เราหายไป เราพยายามปรับภาพลักษณ์ใหม่ และช่วงปลายปี 2563 ทางคณะผู้บริหารนำเสนอแผนธุรกิจ 5 ปี มีโจทย์สำคัญคือการนำเอาแอล.พี.เอ็นกลับมายืนบนเวทีธุรกิจอสังหาฯ​ และยืนอยู่ในใจผู้บริโภคอีกครั้ง 4.Digital Transformation ใช้เทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการทำงาน แม้ว่าภาพลักษณ์ของแอล.พี.เอ็น. ปัจจุบันอาจจะไม่ได้ดูทันสมัย แต่ปัจจุบันได้มีการนำเอาเทคโนโลยีด้านดิจิทัลเข้ามาใช้ในองค์กรมากมาย การสื่อสารภายในด้วยเอกสารแทบจะไม่มีแล้ว แต่การไปสู่เป้าหมายการบริหารจัดการองค์กรแบบ “Fully Digital Organization” ก็เป็นเรื่องสำคัญต้องทำแบบ 100% บริษัทจึงตั้งเป้าหมายให้ในทุกหน่วยงานให้สมบูรณ์แบบภายในปี 2567 เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงาน พร้อมทั้งสนับสนุนงานด้านการตลาด การขาย รวมไปถึงด้านการออกแบบและการบริการ รองรับการสร้างฐานลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าในหลากหลายช่องทาง และตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบันและอนาคต 5.Brand Transformation ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ในปี 2566 นี้จะเป็นปีแห่งการขยายการรับรู้ และสร้างประสบการณ์ใหม่ของแอล.พี.เอ็น. ทั้งกลุ่มเป้าหมายเดิมและขยายสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ ในฐานะผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพมาตลอด 34 ปี โดยเมื่อเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ได้มีการเปลี่ยนโลโก้ครั้งใหม่ ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 3-4 ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนโลโก้ จากครั้งล่าสุดเมื่อปี 2563 ซึ่งเป้าหมายสำคัญ คือ การเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค และนำไปสู่ Top of Mind แบรนด์ในใจผู้บริโภคภายใน 3  ปี เราทำเรื่องแบรนด์มา 3-4 ครั้ง โลโก้ครั้งล่าสุดก็โอเค ซึ่งสะท้อนค่านิยมบางอย่าง เกี่ยวกับเรื่องความนิ่ง ๆ สะท้อนอะไรบางอย่างของผู้บริหารแต่ละรุ่น ล่าสุด มีการปรับโลโก้ จาก 6 เส้น มาเป็น 7 เส้น ซึ่งหมายถึงบริษัททั้งหมดของกลุ่มแอล.พี.เอ็น.และมีการออกแบบตามหลักฮวงจุ้ยด้วย และมีความพรีเมี่ยมมากขึ้น นอกจากเรื่องแบรนด์แล้ว ปีนี้แอล.พี.เอ็น.ยังพร้อมเปิดโอกาสในการสร้างความร่วมมือ กับคู่ค้าทางธุรกิจ (Collaboration & Partnership) ในด้านต่างๆ เพื่อเสริมสร้างแบรนด์ให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น รวมถึงการปรับรูปแบบการทำงานภายในองค์กร อาทิ วิธีการทำงานที่สร้างแรงจูงใจให้พนักงานได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์โดยยึดความต้องการลูกค้าเป็นหลัก และพร้อมดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้าร่วมงานด้วยในอนาคต เปิด 17 โครงการ​ 14,000 ล้าน นายโอภาส กล่าวว่า ในปี 2566 แอล.พี.เอ็น. มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 17 โครงการ มูลค่ารวม 14,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “168” แบ่งเป็น โครงการคอนโด​ 4 โครงการ มูลค่า 5,000 ล้านบาท โครงการบ้านพักอาศัย 13 โครงการ มูลค่า 9,000 ล้านบาท พร้อมเปิดพรีเซลล์ 3 โครงการที่พักอาศัยระดับพรีเมี่ยม ได้แก่ Residence 168 ราชพฤกษ์ / Maison 168 เมืองทอง และ Villa 168 เวสต์เกต พร้อมกันในวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์นี้   นอกจากนี้ ในปีนี้มีโครงการเริ่มส่งมอบ​ จำนวน 14 โครงการ แบ่งเป็น คอนโด 2 โครงการ ได้แก่ ลุมพินี คอนโดทาวน์ เอกชัย 48 และลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1 (เฟส 3) และบ้านพักอาศัย 12 โครงการ ได้แก่ Residence 168 ราชพฤกษ์, Residence 168 อ่อนนุช 46, Maison 168 เมืองทอง, Villa 168 เวสต์เกต, Venue 168 เวสต์เกต, Venue 168 คูคต สเตชั่น, Venue 168 ราชพฤกษ์, Haus 168 เวสต์เกต, Haus 168 คูคต สเตชั่น, Haus 168 ราชพฤกษ์, และโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการ     โดยในปีนี้บริษัทได้วางเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 7,600 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงขึ้น 20 % จากปี 2565 ซึ่งมีรายได้รวม 6,136 ล้านบาท เติบโต 42% เมื่อ เทียบกับปี 2564 แบ่งเป็น โครงการคอนโด 3,769 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย 2,064 ล้านบาท และรายได้จากการธุรกิจเช่า 303 ล้านบาท รวมทั้งยังมีรายได้พิเศษจากการขายอาคารสำนักงาน 2,590 ล้านบาท และมียอดรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่า 1,845 ล้านบาท ที่จะสร้างรายได้ในปี 2566-2568 และสินค้าคงเหลือ (Inventory) มูลค่า 7,000 ล้านบาท   นอกจากนี้ ปีนี้จะเป็นปีแรกในรอบ 5 ปีของแอล.พี.เอ็น.​ในการขยายการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยในต่างจังหวัดอีกครั้ง หลังจากที่เคยเปิดตัวโครงการคอนโดในจังหวัดอุดรธานี ชลบุรี พัทยา และชะอำ มาแล้ว เนื่องจากเห็นโอกาสในการขยายการลงทุนตามการขยายตัวของเมือง เส้นทางคมนาคม และความต้องการของผู้ซื้อ โดยแอล.พี.เอ็น.จะเน้นขยายการพัฒนาโครงการไปในจังหวัดที่มีศักยภาพในการขยายตัวและกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะในทำเลเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แอล.พี.เอ็น. เล็งเปิด 5 โปรเจ็กต์บ้านพรีเมียม 5,000 ล้าน บุกตลาดปี 66 จับกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง
เนอวานา กลับมาลุยตลาดบ้าน-คอนโดลักชัวรี่ งัดแลนด์แบงก์ปั้นโปรเจ็กต์ 40,000 ล้าน

เนอวานา กลับมาลุยตลาดบ้าน-คอนโดลักชัวรี่ งัดแลนด์แบงก์ปั้นโปรเจ็กต์ 40,000 ล้าน

เนอวานา สลัดภาพบริษัทร่วมทุนต่างชาติ กลับมาเป็นดีเวลลอปเปอร์ ปั้นโปรเจ็กต์อสังหาฯ เพื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก เตรียมขออนุมัติผู้ถือหุ้นใช้ชื่อเดิม “เนอวานา ดีเวลลอปเมนท์” พร้อมงันแลนด์แบงก์ปั้นโปรเจ็กต์ 40,000 ล้าน ประเดิมปี 66 เปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 21,100 ล้าน สู่เป้ายอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็น 8,500 ล้าน   นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) หรือ NVD เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้ปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นและองค์กรในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อย บริษัทได้กลับมาขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง โดยนำเอาที่ดินที่ได้สะสมไว้ในช่วงที่ผ่านมา พัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม และโฮมออฟฟิศ ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินสะสม และสามารถพัฒนาโครงการได้มูลค่า 40,000 ล้านบาท ในการขายและทำตลาดถึงปี 2568   ขณะเดียวกันได้เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ เป็นบริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นชื่อเดิมตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจในช่วงปี 2548 หลังจากปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ จึงจะมุ่งเน้นในการพัฒนาอสังหาฯ เป็นหลัก โดยจะมีการขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นอีกครั้ง ในวันที่ 12 เมษายน 2566 เราจะเป็นดีเวลลอปเปอร์ทำสิ่งที่เราถนัน เชื่อว่าสินค้าเนอวานาตอบสนองลูกค้าได้ดี บนที่ดินศักยภาพ ซึ่งบางแปลงซื้อมา 4-5 ปีที่แล้ว ทำให้มีต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ทำให้วันนี้เนอวานากลับไปยืนในจุดที่ลูกค้าพอใจอีกครั้ง สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ว่า บริษัทเตรียมงบลงทุน 4,370 ล้านบาท เพื่อเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาว์นโฮมและคอนโด จำนวน 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 21,100 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนโครงการใหม่ที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท และโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวยังคงมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายในตลาดระดับบนเป็นหลักด้วย โดยจะมีการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ใหม่เพิ่มเข้ามาทำตลาดด้วย ​ โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวม 8,500 ล้านบาท ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 160% จากปีก่อนหน้านี้ และรายได้ 4,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75%” ปีนี้จะเป็นปีที่เนอวานาเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราได้เตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินธุรกิจในทุกด้านและลงทุนซื้อที่ดินใหม่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เรามั่นใจในตลาดที่อยู่อาศัยระดับบนที่ยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่องและมีศักยภาพในการเติบโตหลังวิกฤตโควิด   สำหรับโครงการใหม่ที่จะเปิดในปีนี้ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยวเนอวานา คอลเลคชั่น กรุงเทพกรีฑา (Nirvana Collection Krungthep Kreetha) โครงการบ้านเดี่ยวเนอวานา แอปโซลูท เอกมัยรามอินทรา (Nirvana Absolute Ekkamai Ramintra ) โครงการบ้านเดี่ยวเนอวานา แอปโซลูท กรุงเทพกรีฑา (Nirvana Absolute Krungthep Kreetha) โครงการทาว์นโฮมเนอวานา   ดีฟายน์ กรุงเทพกรีฑา(Nirvana Define Krungthep Kreetha) โครงการโฮมออฟฟิศ แอทเวิร์ค เนอวานาทาว์นชิพ (@Work Nirvana Township) โครงการโฮมออฟฟิศ แอทเวิร์ค กรุงเทพกรีฑา (@Work Krungthep Kreetha) โครงการโฮมออฟฟิศ แอทเวิร์ค ร่มเกล้า (@Work Romklao) เดอะโมส คอนโดมิเนียม รัตนาธิเบศร์ (The Most Condominium Rattanathibet) คอนโด สุขุมวิท 23 (Condominium Sukhumvit 23) เดินหน้าพัฒนาทาวน์ชิพ 30,000 ล้าน นายศรศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เนอวานา ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในย่านกรุงเทพกรีฑาเป็นหลัก เนื่องจากเป็นทำเลของที่อยู่อาศัยในระดับบนที่มีการเติบโตอย่างสูง เปรียบเสมือน “เบเวอร์ลี ฮิลล์ ของกรุงเทพฯ ” ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพของการอยู่อาศัย สามารถเชื่อมต่อกับถนนหลักเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในได้หลายเส้นทาง เช่น ใช้เส้นทางทางด่วนถนนพระราม 9 สำหรับการเข้าถึงโครงข่ายระบบรางด้วยรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และแอร์พอร์ตลิงค์ อีกทั้งยังมีโครงข่ายถนนวงแหวนรอบนอกและมอเตอร์เวย์ ใช้เดินทางไปยังโซนอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้าชั้นนำและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ   โดยบริษัท มีที่ดินอยู่ในบริเวณกรุงเทพกรีฑากว่า 200 ไร่ ในโครงการเนอวานา ทาวน์ชิพ (Nirvana Township) ซึ่งสามารถพัฒนาโครงการได้ 12 โครงการ รวมมูลค่า 30,000 ล้านบาท โดยพัฒนาที่อยู่อาศัยไปแล้ว 3 โครงการ วางแผนพัฒนาในปีนี้อีก 3 โครงการ ประกอบไปด้วย โครงการที่อยู่อาศัยระดับอัลตราลักชัวรี โครงการที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ และ พรีเมี่ยมโฮมออฟฟิต พร้อมทั้งยังสร้างไลฟ์สไตล์มอลล์ ที่มีทั้งซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าระดับไฮเอนด์ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ บริเวณด้านหน้าโครงการ เพื่อเติมเต็มการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโครงการเนอวานา ทาวน์ชิพแห่งนี้ ซึ่งในอนาคตจะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มอีก 6 โครงการด้วย ในปีที่ผ่านมา เนอวานาให้ความสำคัญกับการรีฟอร์มในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ซื้อบ้านให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีการซื้อที่ดินใหม่เข้ามาเป็นแลนด์แบงก์สำหรับพัฒนาโครงการในอนาคต โดยในปี 2565 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้นเท่ากับ 2,569 ล้านบาท และยอดขายรวม 3,260 ล้านบาท ซึ่ง 87% ของยอดขายมาจากบ้านแนวราบและ 13% มาจากคอนโด มีการเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ คือ เนอวานา แอปโซลูท บางนา (Nirvana Absolute Bang Na) และเนอวานา ดีฟายน์ เอกมัย-รามอินทรา (Nirvana Define Ekkamai-Ramintra) ซึ่งสามารถทำยอดขายรวมกันได้ 720 ล้านบาท ในเวลาเพียง 2 สัปดาห์  ทำให้ปีนี้บริษัทมีโครงการออกมาขายและทำตลาดรวมมูลค่า 33,100 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -โฮมออฟฟิศติดรถไฟฟ้า ใกล้ทางด่วน Nirvana @WORK-เนอวานาแอทเวิร์ค : รีวิวโฮมออฟฟิศ -เนอวานา จับมือ คริสตี้ส์ ขายโครงการ “Banyan Tree Residence Riverside Bangkok” ให้กลุ่มเอ-ลิสต์ทั่วโลก
เอพี ไทยแลนด์  เผยผลงานปี 65 ทำรายได้ 49,388 ล้าน  พร้อมกวาดกำไรเติบโตกว่า 23%  

เอพี ไทยแลนด์ เผยผลงานปี 65 ทำรายได้ 49,388 ล้าน พร้อมกวาดกำไรเติบโตกว่า 23%  

เอพี ไทยแลนด์ เผยรายได้รวม 49,388 ล้าน เติบโตกว่า 23% ทำกำไรสุทธิกว่า 5,870 ล้าน เติบโตสูงกว่า 29% ย้ำเดินตามแผนเปิดตัวดุดันสุดในอุตสาหกรรม มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน NET D/E ต่ำสุดเพียง 0.58 เท่า พร้อมเดินหน้าตามแผน 2023 AP INCLUSIVE GROWTH เปิดตัว 58 โครงการใหม่  ดุดันสุดในอุตสาหกรรม มูลค่ากว่า 77,000 ล้านบาท พร้อมส่งไฮไลต์ประจำไตรมาส 1 กับ THE CITY บ้านโมเดลใหม่ 100 ตารางวา เดินตามเกมชิงแชร์ตลาดบ้านหรู 20 - 50 ล้านบาท นายวิทการ จันทวิมล  รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง​ผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ว่า บริษัทสามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 49,388 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 40,015  ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ     5,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 4,543 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนต่ำเพียง 0.58 เท่า   ทั้งนี้ ในไตรมาส 4 ปี 2565 บริษัทสามารถสร้างรายได้รวมจำนวน 11,822 ล้านบาท เติบโต 22% และกำไรสุทธิ 1,154 ล้านบาท เติบโต 16.1% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า   สำหรับคีย์แฟกเตอร์ที่ส่งผลให้ปีที่ผ่านมา บริษัท มีการเติบโตดังกล่าว เป็นเพราะ​ 2 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ โครงการแนวราบพิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่แข็งแกร่ง และยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างรายได้ที่มากถึง 35,605 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 21.8% ธุรกิจคอนโดมิเนียม เริ่มกลับมาสดใสอีกครั้ง โดยปีที่ผ่านมาบริษัทฯ รับรู้รายได้เพิ่มจาก 3 คอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ ได้แก่ LIFE สาทร เซียร์ร่า, RHYTHM เอกมัย เอสเตท และ ASPIRE เอราวัณ ไพร์ม ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมาธุรกิจคอนโดมิเนียมสามารถขับเคลื่อนรายได้รวม (100% JV) ได้มากถึง 12,767 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.5% ส่วนแผนธุรกิจปี 2566 บริษัทพร้อมเดิมหน้าตามแผน AP INCLUSIVE GROWTH ที่สุดของปีกับการเติบโตร่วมกัน โดยใช้ความชำนาญที่มีมาสร้างโอกาส และข้อได้เปรียบให้เกิดขึ้นในหลากหลายมิติ ภายใต้ปรัชญาที่ต้องการส่งมอบชีวิตดี ๆ ที่ทุกคนเลือกเองได้ ผ่านการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 58 โครงการ มูลค่าประมาณ 77,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 22 โครงการ มูลค่า 34,800 ล้านบาท ทาวน์โฮม 27 โครงการ มูลค่า 26,400 ล้านบาท คอนโด 4 โครงการ มูลค่า 11,800 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 57,500 ล้านบาท   โดยไฮไลต์ไตรมาสแรกคือ กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวกับการรุกเข้ากินแชร์ตลาดบ้านหรู ด้วยการเปิดตัว THE CITY บ้านเดี่ยวโมเดลใหม่ ขนาดพื้นที่ 100 - 127 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยประมาณ 386 - 560 ตารางเมตร ใน 3 โครงการใหม่ ได้แก่ THE CITY จรัญฯ-ปิ่นเกล้า จำนวน 58 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท THE CITY ปิ่นเกล้า-บรมฯ 3 จำนวน 68 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,420 ล้านบาท และ THE CITY สุขุมวิท-อ่อนนุช 2 จำนวน 64 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,380 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ ขนบ้าน-คอนโด ขายกว่า 1.65 แสนล้าน ลุยตลาดด้วยแผน INCLUSIVE GROWTH          
[PR News] พฤกษา โฮลดิ้งโชว์ปี 65 กำไรโต 18% เตรียมผุดศูนย์สุขภาพ

[PR News] พฤกษา โฮลดิ้งโชว์ปี 65 กำไรโต 18% เตรียมผุดศูนย์สุขภาพ

พฤกษา โฮลดิ้ง โชว์ปี 65  ทำกำไรสุทธิ 2,772 ล้านบาท โต 18% มีรายได้ 28,640 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 64 ขณะที่รายได้จากวิมุตเติบโตอย่างก้าวกระโดดเพิ่มขึ้น 4.7 เท่า พร้อมวางแผนเปิดศูนย์สุขภาพแห่งใหม่ มอบบริการครอบคลุมทุกมุมเมือง   นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานในปี 2565 ว่า พฤกษา โฮลดิ้ง มีกำไรสุทธิ 2,772 ล้านบาท เติบโต 18% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยมีรายได้ใกล้เคียงกับปี 2564 ที่ 28,640 ล้านบาท หรือ เติบโต 1% สามารถทำกำไรขั้นต้นได้ดีขึ้น 9% สะท้อนถึงการบริหารจัดการต้นทุนของสินค้าและบริการได้ดี จากการนำวิศวกรรมคุณค่ามาใช้ (Value Engineering) ทั้งเรื่องการพัฒนาใช้แผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูปชนิดมีรูกลวง (Hollow Core) การออกแบบคานคอดิน (Ground Beam) และการเชื่อมซีเมนต์ (Cement Jointing) แบบใหม่ในขั้นตอนการก่อสร้าง รวมถึงการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาใช้เพื่อลดต้นทุนการก่อสร้าง จากปริมาณการใช้ซีเมนต์ที่ลดลง พร้อมกับลดค่าขนส่งและจำนวนชั่วโมงการทำงานที่ลดลงด้วย   ปีที่ผ่านมาพฤกษามุ่งเพิ่มสัดส่วนการสร้างรายได้ประจำต่อเนื่อง (Recurring Income) เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว จึงได้มีการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจใหม่ต่อเนื่องตลอดทั้งปี อาทิ การตั้งกองทุน Corporate Venture 3,500 ล้านบาท เพื่อลงทุนใน Prop Tech, Health Tech และ Sustainable Tech  และล่าสุดได้ร่วมกับแคปปิตอลแลนด์ อินเวสเม้นท์ กรุ๊ป  และ  แอลลี่ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้  จัดตั้งกองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” ตั้งเป้ามูลค่าอสังหาริมทรัพย์โลจิสติกส์ภายใต้การจัดการ 1,000 ล้านเหรียญสิงคโปร์ เป็นต้น   ในขณะที่สถานะทางการเงินของพฤกษายังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อหุ้นทุนสุทธิ (Net Gearing Ratio) อยู่ในระดับต่ำที่ 0.22 เท่า และจากผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถประกาศจ่ายเงินปันผลเท่ากับ 65 สตางค์ รวมเงินปันระหว่างกาลแล้วจ่ายทั้งสิ้นเท่ากับ 96 สตางค์ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 10 มี.ค. โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายน 2565 มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเท่ากับ 7.4% และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 19 พ.ค.นี้   สำหรับปี 2566 คาดการณ์รายได้รวมของทั้งกลุ่มประมาณ 30,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 5% เมื่อเทียบจากปี 2565 โดยคาดว่าจะได้รับแรงสนับสนุนมาจากธุรกิจอสังหาฯ ที่จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 23 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 23,500 ล้านบาท และยังมีแผนการลงทุนในธุรกิจใหม่อีกราว 6,000 ล้านบาทด้วย ซึ่งการลงทุนในธุรกิจใหม่จะเริ่มมีความชัดเจน ทั้งธุรกิจโลจิสติกส์ รวมถึงการปรับโครงสร้างของธุรกิจพรีคาสท์ที่คาดว่าจะมีรายได้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามแผนงานการสร้างความยั่งยืนแก่องค์กรต่อไป ด้านนายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า ปี 2565 พฤกษาทำรายได้ 27,191 ล้านบาท เปิดโครงการใหม่รวม 19 โครงการ มูลค่า 11,100 ล้านบาท และในปี 2566 วางกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอ (Portfolio)  มีแผนเปิดโครงการใหม่ 23 โครงการ แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว  8 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 11 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 4 โครงการ  รวมมูลค่าทั้งหมดราว 23,500 ล้านบาท มุ่งเพิ่มกลุ่มสินค้าที่จับกลุ่มลูกค้าในเซ็กเม้นต์ระดับกลางไปสูง โดยมีแผนเปิดบ้านเดี่ยวพรีเมียมถึง 3 โครงการ ได้แก่  เดอะปาล์มวัชรพล เดอะปาล์ม บางนาวงแหวน และ เดอะปาล์มพัฒนาการ  พร้อมมุ่งบริหารสินทรัพย์ที่มีในมือ โดยมีที่อยู่อาศัยโครงการปัจจุบันที่ยังเปิดขายอยู่ทั่วประเทศ รวมมูลค่าราว 69,900 ล้านบาท 158 โครงการ   ปี 2566 บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 24,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอนที่  28,000 ล้านบาท  มุ่งสร้างคุณค่าเพิ่มเพื่อลูกค้า (Customer Value) ด้วยการพัฒนาลิฟวิ่งโซลูชั่น (Living Solution) รองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปตามเมกะเทรนด์ของโลก โดยคำนึงถึงการสร้างความยั่งยืน (Sustainability) อย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ มีแผนการซื้อที่ดินราว 5,000 ล้านบาท มุ่งเน้นทำเลที่มีศักยภาพเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ในระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้น และมุ่งผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจในเครือพฤกษาทั้งธุรกิจด้านสุขภาพ และธุรกิจอื่นในเครือที่กำลังจะเปิดตัวในปีนี้ด้วย ส่วนนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2565 ว่า วิมุตทำรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด 1,340 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7 เท่า จากปี 2564  ซึ่ง 80% เป็นรายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19  แม้ว่ารายได้จากโรคที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ลดลงในปีที่ผ่านมา แต่สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น จากการขยายเครือข่ายระบบนิเวศ หรือ Ecosystem ของโรงพยาบาล ได้แก่ เวลเนสต์ เซ็นเตอร์ บ้านหมอวิมุต โรงพยาบาลเทพธารินทร์ บริการผ่านดิจิตัลแพลท์ฟอร์ม ทั้งแอพพลิเคชั่น  เทเลเมดิซีน ไปจนถึงความร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ เสริมทัพด้วยรายได้จากโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นด้วย ประกอบกับปีที่ผานมาวิมุตสร้างความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างชาติ ทำให้จำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาลมีจำนวนสูงขึ้น 3.2 เท่าด้วย  ในปี 2566 ทางกลุ่มมีแผนการลงทุนราว 2,500 ล้านบาท   มุ่งเน้นการสร้างและเปิดศูนย์สุขภาพ (Health Center) เพิ่มอีก 3 แห่ง และเตรียมงานพัฒนาโรงพยาบาลวิมุตที่ปิ่นเกล้า   นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา พฤกษายังได้รับรางวัลเกียรติยศการันตีผลการดำเนินงานจากเวทีระดับนานาชาติ และระดับประเทศหลายแห่ง อาทิ รางวัลจากเวทีระดับอินเตอร์ ได้แก่ รางวัล 3G Excellence in Sustainable Development Award 2022 รางวัล 3G CSR Leadership Award 2022 และรางวัลระดับประเทศ ได้แก่ “รางวัลองค์กรโปร่งใส ครั้งที่ 10” จากสำนักคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  รางวัล Thailand Top Company Awards รางวัล BCI Asia Top 10 Developers Awards และ รางวัล FINALIST ของกลุ่มรางวัล BEST BRAND PERFORMANCE ON SOCIAL MEDIA เป็นต้น
RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน คอนโดใหม่ใจกลางเมืองวิวคุ้งน้ำเจ้าพระยา

RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน คอนโดใหม่ใจกลางเมืองวิวคุ้งน้ำเจ้าพระยา

RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน เอพี ไทยแลนด์เปิดตัว “𝐑𝐇𝐘𝐓𝐇𝐌 𝐂𝐇𝐀𝐑𝐎𝐄𝐍𝐊𝐑𝐔𝐍𝐆 𝐏𝐀𝐕𝐈𝐋𝐋𝐈𝐎𝐍” คอนโดระดับ 𝑳𝒖𝒙𝒖𝒓𝒚 พร้อมอยู่ใหม่ ใจกลางเมืองย่านเจริญกรุง ได้วิวโค้งน้ำเจ้าพระยา มูลค่าโครงการ 4,800 ล้านบาท บนที่ดินผืนใหญ่ 4 ไร่  ที่เริ่มหายากขึ้นทุกวัน และเป็นจุดเด่นอีกจุดหนึ่งของ 𝐑𝐇𝐘𝐓𝐇𝐌 𝐂𝐇𝐀𝐑𝐎𝐄𝐍𝐊𝐑𝐔𝐍𝐆     RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน ออกแบบภายใต้แนวคิด 𝑻𝒉𝒆 𝑳𝒖𝒙𝒖𝒓𝒚 𝑮𝒂𝒕𝒆𝒅 𝑪𝒐𝒎𝒎𝒖𝒏𝒊𝒕𝒚 พื้นที่ส่วนกลางขนาดพื้นที่รวมกว่า 3 ไร่ เกินความครบครัน ตอบทุกโจทย์ความต้องการของคนทุกวัย The Pavillion อาคารพาวิลเลี่ยนที่แยกจากอาคารที่พักอาศัย กระจกใส 3 อาคารที่จะแบ่งให้ใช้ตามความต้องการ จะเรียน จะประชุม จะมีปาร์ตี้ ได้เลย พร้อมยังมีพื้นที่เล่นของเด็กๆ     RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน ให้พื้นที่ส่วนกลางสุดหรู และ ครบครันสำหรับทุกคนในครอบครัวที่เรียกว่า Sky Facilities ที่ชั้น 42 – 44 พร้อมความที่สุดกับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาแบบพาโนรามา สระว้ายน้ำระบบเกลือขนาดใหญ่ยาว 47เมตรและแยกสระว้ายน้ำสำหรับเด็กๆ  พร้อมกับห้องออกกำลังกาย Sky Gym, Private Gym, Personal Training ที่ใช้อุปกรณ์ระดับโลก     RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน จำนวน 421 ยูนิตเพียง ลดความกังวลเรื่องที่จอดรถเพราะโครงการมีให้ครบทุกยูนิต ที่ตั้งโครงการอยู่บนถนนจันทน์ ตรงข้ามโรงเรียนนานาชาติโชรส์เบอรี่ กรุงเทพ-ริเวอร์ไซด์ แคมปัส สะดวกสำหรับทั้งนักเรียน ครู จัดว่าโครงการนี้เอามาเสริฟถึงหน้าโรงเรียนกันเลย  ยิ่งสะดวกกว่านั้นทางโครงการเปิดทางเดินเข้า-ออกที่ด้านถนนเจริญกรุง RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน  มีห้องให้เลือก 4 แบบ  ขายแบบ Fully Fitted ชุดครัว,ห้องน้ำ,แอร์ พร้อมความโปรงสบายกับฝ้าเพดานสูง 3 เมตร 1 Bedroom ขนาด 35 ตารางเมตร 1 Bedroom Plus ขนาด 43.5 ตารางเมตร 2 Bedroom ขนาด 87 – 109 ตารางเมตร 3 Bedroom ขนาด 134 – 145.5 ตารางเมตร 𝐑𝐇𝐘𝐓𝐇𝐌 𝐂𝐇𝐀𝐑𝐎𝐄𝐍𝐊𝐑𝐔𝐍𝐆 𝐏𝐀𝐕𝐈𝐋𝐋𝐈𝐎𝐍 โครงการที่ถูกจับตามองถึงความโดดเด่น ของโครงการกลางเมืองที่สุดในย่านนี้ ลักชัวรีคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่แห่งใหม่ ที่ได้ส่วนกลางแบบจัดเต็มและวิวแม่น้ำเจ้าพระยา  ด้วยพื้นที่ส่วนกลางรูปแบบใหม่กว่า 3.5 ไร่ Brand Promise “ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้” ที่เอพี เค้าให้คำมั่นไว้   โครงการที่น่าสนใจ  “ASPIRE สุขุมวิท พระราม 4” ​ดีไซน์ใหม่ แบบที่ Aspire ไม่เคยทำมาก่อน Aspire รัชโยธิน  คอนโดย่านนี้ หาราคานี้ไม่ได้แล้ว MODEN แบรนด์บ้านใหม่จาก AP สร้างจากความสุขของคนอยู่อาศัย    
วัน แบงค็อก  เตรียมเปิดเฟสแรก Q1/2567  กับ 8 ประสบการณ์ Urbanverse กว่า 1.2 แสนล้าน

วัน แบงค็อก เตรียมเปิดเฟสแรก Q1/2567 กับ 8 ประสบการณ์ Urbanverse กว่า 1.2 แสนล้าน

วัน แบงค็อก เตรียมเปิดเฟสแรก ไตรมาส 1 ปี 2567 พร้อมเดินหน้าพัฒนาโปรเจ็กต์มูลค่ากว่า 120,000 ล้าน ให้สมบูรณ์ ภายใต้แนวคิด “จักรวาลของชีวิตเมือง” (Urbanverse) มิติของการใช้ชีวิตที่หลากหลาย เชื่อมย่านพระราม 4 กับเมือง ด้วย 8 ประสบการณ์ใหม่     วัน แบงค็อก โครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ มูลค่ากว่า 120,000 ล้านบาท  ที่พัฒนาโดย บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด กำหนดแผนการเปิดให้บริการเฟสที่หนึ่ง ในช่วงไตรมาสแรกปี 2567 นี้แล้ว นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด เปิดเผยว่า  จากจุดเริ่มต้น บนถนน ถนนพระราม 4 ซึ่งเป็นย่านการค้าที่สำคัญ มีประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน เปี่ยมไปด้วยศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจ  ด้วยเหตุนี้ ทางบริษัทจึงเข้ามาพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งบนถนนพระราม 4 เริ่มตั้งแต่ สามย่าน มิตรทาวน์ สีลม เอจ เดอะ ปาร์ค เอฟวายไอ เซ็นเตอร์  รวมถึงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยโครงการ วัน แบงค็อก จะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่มาเติมเต็มย่านพระราม 4 ให้เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบ และมีส่วนช่วยผลักดันให้กรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าระดับนานาชาติ ดึงดูดนักธุรกิจ นักลงทุน และนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก โครงการวัน แบงค็อก ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อขับเคลื่อนกรุงเทพฯ (Evolving Bangkok) สร้างโครงการระดับโลก ด้วยการนำคุณค่าและเสน่ห์ของกรุงเทพฯ ในอดีตมาพัฒนาเพื่อสร้างพื้นที่พระราม 4 ให้เป็นย่านแห่งใหม่ บนแนวคิด 4 แกนหลัก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมือง  ดังนี้ Being the Movement: ขับเคลื่อนเมืองและนำความก้าวหน้ามาพัฒนาไปพร้อมกับกรุงเทพฯ เพื่อคุณภาพชีวิตของคนเมือง Amplify Bangkok’s Values: ความเป็นที่สุดแห่งคุณค่าและเสน่ห์ของกรุงเทพฯ ที่สั่งสมมานับศตวรรษมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบพื้นที่ต่างๆ Redefine the Cityscape: เป็นหมุดหมายสำคัญที่จะพลิกโฉมเมือง ด้วยการพัฒนาย่านพระราม 4 ให้เป็นแกนกลางใหม่ของเมือง ที่มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ Empower Life in Smart and Sustainable Ecosystem: ให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการระบบข้อมูล และเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบาย ตอบโจทย์การใช้ชีวิต พร้อมดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อเติบโตไปพร้อมกับกรุงเทพฯอย่างยั่งยืน   วัน แบงค็อก พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซปต์ “จักรวาลของชีวิตเมือง” (Urbanverse) มิติของการใช้ชีวิตที่หลากหลาย เชื่อมย่านพระราม 4 กับเมือง ไม่เพียงแต่เชิงกายภาพเท่านั้น หากยังเชื่อมโยง ส่งเสริม ร่วมมือ และเติมเต็มศักยภาพให้กับย่านอื่นๆ ของกรุงเทพฯ เพื่อให้เกิดพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของเมืองและสร้างประโยชน์ให้กับผู้คนและเกิดประสบการณ์ที่หลากหลาย 8 ประสบการณ์ใหม่ ในวัน แบงค็อก จักรวาลชีวิตเมืองใน วัน แบงค็อก มอบประสบการณ์ใหม่ 8 ส่วน ประกอบด้วย   ประสบการณ์แห่งโลกธุรกิจ (Workplace): อาคารสำนักงานที่เพรียบพร้อมด้วยระบบเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนทำงาน และความสะดวกสบายที่ช่วยพาธุรกิจให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า ประสบการณ์แห่งโลกไลฟ์สไตล์ (Retail): ประสบการณ์ใหม่แห่งการช้อปปิ้งที่สร้างสรรค์ขึ้นจากเสน่ห์ที่หลากหลายของกรุงเทพฯบนแนวคิดและการออกแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ประสบการณ์แห่งนิทรรศการและการแสดงระดับโลก (Live Entertainment Arena): พื้นที่จัดการประชุม นิทรรศการ งานแสดงระดับโลก ที่ได้มาตรฐานระดับสากล ประสบการณ์แห่งการบริการที่ดีที่สุดสำหรับการพักผ่อนและธุรกิจ (Hotels): โรงแรมระดับโลก อันเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำของนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจที่มองหาบริการระดับสากล แต่ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ประสบการณ์เหนือระดับของการอยู่อาศัย (Residences): ที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่บนทำเลที่ดีที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ ครบครันด้วยคุณค่าการใช้ชีวิตเหนือระดับ ประสบการณ์แห่งศิลปะและวัฒนธรรม (Art & Culture): แหล่งรวมโปรแกรมทางศิลปะและวัฒนธรรมที่สร้างสีสันให้กับชีวิตในทุกวันของทุกคนผ่านพื้นที่ที่เชื่อมโยงผลงาน ศิลปะสาธารณะ  และพื้นที่แห่งการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์ (Art Loop) ประสบการณ์บนพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่ง (Public Realm):พื้นที่เปิดโล่งและพื้นที่สีเขียว มากกว่า 50 ไร่ ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ออกแบบให้เป็นจุดพักผ่อนใจกลางเมืองและเป็นพื้นที่กิจกรรมและสันทนาการของเมือง เชื่อมระหว่างสวนลุมพินี และสวนเบญจกิติ ประสบการณ์เมืองอัจฉริยะแบบยั่งยืน (Smart City with Sustainable Infrastructure): โครงสร้างพื้นฐานแห่งเมืองอัจฉริยะที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตและส่งเสริมเมืองอย่างยั่งยืนทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โครงการวัน แบงค็อก มุ่งสู่การรับรองโดยมาตรฐาน LEED for Neighbourhood Development ระดับ Platinum แห่งแรกในประเทศไทย และมาตรฐานรับรองอาคาร WELL เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้อาคาร ตลอดจนตั้งเป้าสู่การรับรองมาตรฐาน WiredScore และ SmartScore สำหรับกลุ่มอาคารสำนักงานแห่งแรก ที่มีระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะแห่งอนาคตที่ดีที่สุด เพื่อให้ผู้อาศัยในอาคารได้รับประสบการณ์สุดพิเศษ อีกทั้งยังช่วยประหยัดพลังงาน เพื่อความคุ้มค่าในอนาคต   โดยล่าสุด โครงการวัน แบงค็อก ได้คว้า 2 รางวัลอันทรงเกียรติจากเวทีระดับเอเชีย คือ Best Landmark Mixed-Use Development (Asia) โดยถือเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทยรายแรกที่ได้รับรางวัลนี้  และรางวัล Best Office Development (Thailand) สำหรับอาคารสำนักงาน Tower 4 จากเวทีประกาศผลรางวัล PropertyGuru Asia Property Awards Grand Final 2022 ที่ผ่านมา   เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสู่การเปิดโครงการฯ วัน แบงค็อก ได้วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดเชิงรุกอย่างเข้มข้นตลอดทั้งปี โดยจะมีแบรนด์เเคมเปญชูภาพลักษณ์ที่มีสีสัน ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ เข้าถึงง่าย เพื่อตอกย้ำแนวคิดของโครงการฯ ตลอดจนการผนึกกำลังกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อนำกรุงเทพฯไปสู่ความก้าวหน้าร่วมกันอย่างยั่งยืน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“วัน แบงค็อก” ดึง 6 ผู้รับเหมาพัฒนาเฟสแรก พื้นที่ 1.3 ล้านตร.ม.เสร็จใช้ปี 66
ชีวาทัย ลุยปักหมุด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 6,350 ลบ.  ปี 2565 โต 70%

ชีวาทัย ลุยปักหมุด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 6,350 ลบ. ปี 2565 โต 70%

นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา แม้จะมีสถานการณ์ต่างๆที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาวะตลาดอสังหาฯโดยรวม ประกอบกับตลาดของชาวต่างประเทศจะยังไม่กลับมาเต็มรูปแบบนัก บริษัทฯ ยังมีผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 2,148 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 120 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70 % จากปีก่อน ในปี 2566 บริษัทฯมีแผนการลงทุนและเปิดโครงการใหม่ เริ่มจากการเปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ชีวารมย์ 1 โครงการ คือโครงการ ชีวารมย์ นิว ราชพฤกษ์ อยู่บริเวณถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ (ถนนหมายเลข 346) มูลค่าโครงการประมาณ 687 ล้านบาท  ซึ่งคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566  นอกจากนี้ บริษัทฯยังวางแผนเพื่อหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการเพิ่มเติม ตามเป้าหมาย 7 โครงการ ภายในปี 2566 มูลค่าโครงการรวม 6,350 ล้านบาท ( วงเงินค่าที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ประมาณ  1,700 ล้านบาท)  เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ แบรนด์ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค  2โครงการ มูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาท , โครงการคอนโดมิเนียมตึกสูง แบรนด์ชีวาทัย 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท , โครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ แบรนด์ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ไลท์  1 โครงการ มูลค่า 700 ล้านบาท , บ้านเดี่ยวแบรนด์ชีวารมย์ 2 โครงการ มูลค่า 1,500 ล้านบาท และทาวน์โฮมแบรนด์ชีวาโฮม 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท และบริษัทยังคงค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และเปิดรับการร่วมลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง ในช่วงที่หลายบริษัทมีโปรโมชั่นออกมากระตุ้นการตัดสินใจของลูกค้า ชีวาทัยได้เตรียมโปรโมชั่นสำหรับลูกค้ามากมาย ตามกลุ่มเป้าหมายแต่ละโครงการ ตั้งแต่ต้นปีที่เริ่มไปแล้ว กับโปรโมชั่น  “คุ้มแน่! จอง 0 บาท รับทัวร์จอร์เจียทุกยูนิต” โดยมอบสิทธิพิเศษนี้สำหรับลูกค้าที่จองและโอนคอนโดทำเลศักยภาพ 3 ทำเล ( ชีวาทัย เกษตร-นวมินทร์ , ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 และชีวาทัย ปิ่นเกล้า) ตั้งแต่ 15 มกราคม - 31 มีนาคม 2566 ทุกห้องจะได้รับแพ็คเกจท่องเที่ยวและตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ประเทศจอร์เจียร์ จำนวน 1 สิทธิ์ มูลค่า 40,000 บาท ซึ่งหลังจากที่เปิดตัวออกไปก็ได้รับกระแสตอบรับค่อนข้างดี มีลูกค้าให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก คิดว่าโปรโมชั่นนี้ น่าจะตอบโจทย์ผู้บริโภคที่สุด ที่ได้ทั้งที่อยู่อาศัยใหม่ และได้แพ็คเกจท่องเที่ยวต่างประเทศไปด้วย   นอกจากคอนโดแล้ว ชีวาทัยยังเตรียมช่วยเหลือผู้ที่อยากมีบ้าน แต่อาจมีปัญหาด้านการกู้สินเชื่อ ด้านข้อมูลอสังหา กับโครงการ “ อยากซื้อบ้านเจอแต่ปัญหา มาหาชีวาทัย ” ที่จะเปิดตัวเร็วๆ นี้ เพื่อช่วยคนอยากมีบ้าน ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมตัว เตรียมสินเชื่อ การเลือกโครงการที่ใช่ โดยจะมีการเปิดตัวทีมงานมืออาชีพ เพื่อช่วยลูกค้าทุกคน คาดว่าจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับคนที่อยากมีบ้านแต่ยังกังวลเรื่องการกู้สินเชื่อ หรือต้องการที่ปรึกษา นอกจากนี้ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มิถุนายน และกันยายนของปีนี้ จะมีการจัดโปรโมชั่นใหญ่ของชีวาทัย “MEGA SALES “ เพื่อคืนกำไรแก่ลูกค้าตลอดปี คาดว่าจะได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง คาดการณ์ภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตตามการฟื้นตัวของสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากภาคการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง แต่ก็มีอีกหลายปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบกับการเติบโต ไม่ว่าจะเป็น ราคาอสังหาฯ ที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากโครงการที่อยู่อาศัยที่เป็นต้นทุนเดิมมีอยู่ในตลาดค่อนข้างน้อย ดังนั้นโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวใหม่ส่วนใหญ่ จะเป็นการคำนวณราคาจากต้นทุนใหม่ที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากปัจจัยจากภาวะเงินเฟ้อ ค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับตัวขึ้น และต้นทุนก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นทั้งจากค่าวัสดุก่อสร้าง รวมทั้งราคาพลังงานซึ่งเป็นทั้งต้นทุนการผลิตและต้นทุนในการขนส่ง อีกหนึ่งปัจจัยคือการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของภาครัฐ ซึ่งส่งผลให้ดอกเบี้ยเงินกู้และดอกเบี้ยเงินฝากปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ซื้อบ้านต้องส่งค่างวดสูงขึ้นกว่าเดิม หรือใช้เวลาในการผ่อนชำระนานมากขึ้น สถาบันการเงินหรือธนาคารจะมีหลักเกณฑ์พิจารณาการอนุมัติสินเชื่อเข้มงวดมากขึ้นอีกสำหรับลูกค้า วงเงินกู้ที่ผ่านการอนุมัติอาจได้รับลดลง แม้ว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ ของภาครัฐออกมาเป็นระยะ แต่อาจไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นการเติบโตของตลาดในภาพรวมได้   ส่วนเรื่องการดูแลลูกค้า เป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญเป็นอันดับ 1  “ชีวาทัย” ยังคงเดินหน้าพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการหลังการขายจาก “ ชีวาแคร์ ” อย่างต่อเนื่อง  เพื่อตอกย้ำ และก้าวเป็นที่ 1 ในใจลูกค้าด้านคุณภาพและบริการ ( สำหรับกลุ่มบริษัทอสังหาฯ ช่วงรายได้ไม่เกิน 5 พันล้านบาท ) พร้อมกันนี้ยังคงเดินหน้ารักษาคุณภาพสินค้าให้ลูกค้าตรวจ Zero Defect ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าที่มาซื้อโครงการกับชีวาทัย ได้สิ่งที่ดีที่สุดตั้งแต่บริการก่อนการขายตลอดจนถึงบริการหลังการขาย พร้อมสิทธิพิเศษและบริการมากมายจากเราอีกด้วย ” นายบุญ ชุน เกียรติ กล่าว บทความน่าสนใจ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางเป้าขาย 8,600 ล้าน โต 10% เน้นธุรกิจทำกำไร-รักษาสภาพคล่อง แอสเซทไวส์ ปั้นคอนโด “เคฟ” อีก 5 โปรเจกต์ จับตลาดปล่อยเช่านักศึกษายีลด์ 7-8%
[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​

[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​

เอสซีจี  จับมือ เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ติดตั้ง​ SCG Active AIR Quality เครื่องเติมอากาศดีสำหรับบ้านและคอนโด  รับความต้องการและพฤติกรรมที่หลากหลายของผู้บริโภคปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นให้ความสนใจในด้านเทคโนโลยีทันสมัยและเรื่องสุขอนามัย  นำร่องติดตั้งเครื่องเติมอากาศดี กว่า 1,000 ยูนิต ภายในปี 2566     นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันเรื่องฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทยกำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤต โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครติดอันดับต้น ๆ ของเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดของโลก  เอสซีจีได้เล็งเห็นและเข้าใจถึงความสำคัญด้านสุขภาพ และความปลอดภัยของผู้บริโภค ไปสู่การพัฒนาสินค้าเพื่อยกระดับคุณภาพอากาศที่คนเมืองกำลังเผชิญ ด้วยเหตุนี้จึงได้พัฒนาสินค้านวัตกรรม SCG Active AIR Quality เครื่องเติมอากาศดีสำหรับบ้านและคอนโด ภายใต้แนวคิด Clean Air For All ผลักดันโซลูชันเพื่ออากาศสะอาดและคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยที่ดีสำหรับทุกคนในบ้าน โดยในปี 2566 เอสซีจีได้วางกลยุทธ์ให้สินค้านวัตกรรม SCG Active AIR Quality เดินหน้ารุกตลาด Housing Project ให้เครื่องเติมอากาศดีเป็นส่วนสำคัญของบ้าน  ด้วยการจับมือกับ SC Asset ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของไทย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในการร่วมผลักดันสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับที่พักอาศัย โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพอากาศ กับการติดตั้งเครื่องเติมอากาศดีให้กับโครงการบ้าน SC Asset จำนวน 1,000 ยูนิตภายในปีนี้ ซึ่งเอสซีจีมีทีมงาน Smart Living Solution Tech พร้อมร่วมออกแบบระบบ SCG Active AIR Quality ให้เหมาะสมกับงานโครงการแต่ละประเภท   พร้อมกันนี้ เอสซีจียังตั้งเป้าผลักดันยอดขาย SCG Active AIR Quality ที่ 100 ล้านบาทภายในปี 2566 โดยโฟกัสไปยังโครงการบ้าน รวมถึงเจ้าของบ้านทั่วประเทศ ที่ใส่ใจสุขภาพ และความปลอดภัย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็กในบ้าน กลุ่มเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ ผู้สูงอายุ และยังรวมไปถึงบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงอีกด้วย   สำหรับหลักการทำงานของ SCG Active AIR Quality คือ เติมอากาศดีเข้าบ้าน เป็นหลักการที่ช่วยให้เกิดอากาศกหมุนเวียนที่ดีอยู่ตลอดเวลา โดยอากาศใหม่นี้จะมีคุณภาพดีตั้งแต่แรกจากตัวกรอง 5 ชั้น เริ่มจากการกรองฝุ่น PM 2.5 กรองและกำจัดเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย รวมถึงไวรัสโคโรน่า สาเหตุของโรคโควิด-19 ได้ 99%   หลังจากนั้น สร้างอากาศแรงดันบวกภายในห้อง จากการที่มีอากาศสะสมภายในห้องมากขึ้น จึงเกิดเป็นแรงดันบวก หรือ Positive Pressure (กรณีในพื้นที่ปิด) ที่จะดันอากาศเสียสะสม มลภาวะ ฝุ่น เชื้อโรคที่ตกค้างในอากาศออกสู่ภายนอก จึงทำให้อากาศภายในห้องเป็นอากาศคุณภาพดีตลอดเวลา  เมื่ออากาศที่เข้าสู่ตัวบ้านมีคุณภาพดี จะเป็นการเติมออกซิเจนให้กับตัวบ้าน ช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศที่เกิดจากการสะสมภายในห้องลดลงได้ถึง 70% ภายใน 1 ชั่วโมงอีกด้วย ด้านนายดิเรก ตยาคี Head of Tech Solutions บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC Asset กล่าวว่า ปัจจุบันเทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภคมีความหลากหลายมากขึ้น มองหาสิ่งที่มาตอบโจทย์แตกต่างกัน สำหรับ SC Asset เราพัฒนาสินค้าและบริการแบบยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Human Centric) จึงมีการออกแบบดีไซน์ที่อยู่อาศัยเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด อีกทั้งยังได้วางกลยุทธ์เพื่อพัฒนาในส่วนดังกล่าวอย่างใกล้ชิด   โดยจัดตั้งทีมเฉพาะ Design Core Team  ไปพร้อม ๆ กับการวางคอนเซปท์ H .O. U. S. E. S คือให้ความสำคัญต่อด้านดีไซน์และการอยู่อาศัย (H : Home is Everything) การเลือกใช้วัสดุคุณภาพ (O : Old) การใส่ใจในเรื่องสุขภาพ (U : Unhealthy) ความปลอดภัย (S : Safety) การดูแลรักษา (E : Expense) ตลอดจนด้านสินค้าและบริการของ SC Asset ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (S : Scero House)   ในด้านพฤติกรรมและความสนใจของกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ในประเภทบ้านเดี่ยว ของปี 2566 อันดับต้น ๆ คือ ความต้องการด้านนวัตกรรมจัดการคุณภาพอากาศ มากถึง 83% รองลงมา Smart Home ด้านความปลอดภัย 75% และ ด้านความสะดวกสบาย 66% จะเห็นได้ว่ากลุ่มเป้าหมายปัจจุบันมองหาด้านเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ทุกมิติในชีวิตประจำวัน   สำหรับปี 2566 ทาง SC Asset ได้วางเป้าหมายติดตั้งเครื่องเติมอากาศดีสำหรับบ้านและคอนโด กว่า 1,000 ยูนิต ปัจจุบันนำร่องติดตั้งไปแล้ว จำนวน 8 โครงการแนวราบ 106 ยูนิต เพื่อส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยและคุณภาพอากาศที่ดีในบ้านให้กับผู้บริโภค   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซีจี ลุย 2 ธุรกิจ “ให้คำปรึกษา-งานระบบอาคารแบบครบวงจร” รับเทรนด์ Well-being -เอสซี แอสเสท ชู 3 ยุทธศาสตร์  ปั้นรายได้แสนล้าน ประเดิมปี 65 ลุยเปิด 27 โปรเจ็กต์ใหม่
[PR News] เสนาเจ จับมือ NEC  พลิกโฉม “Smart Living Community”

[PR News] เสนาเจ จับมือ NEC พลิกโฉม “Smart Living Community”

เสนาเจ จับมือบิ๊กด้านไอทีจากญี่ปุ่น NEC Thailand ปั้นแพลตฟอร์มใหม่เพื่อที่อยู่อาศัย  พร้อมลงดีเทลโซลูชั่นด้านเซอร์วิส ตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์รอบด้าน สร้าง “Smart Living Community” เดินหน้าขยายฐานลูกค้าของทั้งสององค์กรสู่กลุ่มใหม่และเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจสู่ความยั่งยืน   ผศ.ดร. เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนา เจ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ SENAJ เปิดเผยว่า ปี 2566 ถือว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของทางเสนาเจ ซึ่งจะยกระดับ มาพร้อมกับการให้บริการในเรื่องเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม พลังงาน สุขภาพ และลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติของสังคม รวมถึงผลกระทบของภาวะโลกร้อน ซึ่งนับวันเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้เป็นเรื่องค่อนข้างใหม่สำหรับประเทศไทย แต่เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากเพราะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนทำให้บริบทของชีวิตและพฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป ก่อให้เกิด Mega Trend ต่างๆ ที่เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายเชิงสังคม (Social Challenge) และเรื่องของวิกฤตสิ่งแวดล้อม (Environmental Crisis)   อย่างไรก็ดี เสนาเจ มุ่งมั่นสร้างสรรค์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการขยายบริการด้านที่อยู่อาศัยอย่างครอบคลุมและคุ้มค่า โดยมุ่งตอบโจทย์ New  Mega Trends ของโลก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยความละเอียดใส่ใจ โดยแกนหลักเสนาเจ ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัย(Safety) ,ความสะดวกสบาย (Convenience),ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Heath care and wellbeing), โดยยึดหลักการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืน และปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ใหม่ให้กับการใช้ชีวิตที่จะช่วยกันลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization lifestyle) ในรูปแบบของการนำเทคโนโลยีเข้าปรับใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า โดยเฉพาะบริการที่เกี่ยวกับการอยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ทุกมิติของการใช้ชีวิต   SENAJ ร่วมกันกับทาง บริษัท เอ็นอีซี คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ NEC Thailand ที่ปรึกษาเทคโนโลยีด้านไอที บริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า 100 ปี ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและการสื่อสารอย่างครบวงจร ร่วมพัฒนาแพลตฟอร์ม “Smart Living Community” ผ่าน Application ที่จะมาเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าและลูกบ้าน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Smart Living and Health Care Solutions”   ความร่วมมือกันของทั้งสององค์กรในครั้งนี้ ถือเป็นการขยายโอกาสและเสริมฐานลูกค้าทางธุรกิจให้กันและกัน พร้อมเปิดมิติใหม่ของการอยู่อาศัยให้กับลูกบ้านเสนาด้วย   ด้านนายอิชิโร่ คูริฮารา ประธาน บริษัท เอ็นอีซี คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ NEC  Thailand กล่าวเพิ่มว่า NEC Thailand มีแนวความคิดร่วมกันกับ SENAJ ในเรื่อง Society Serve เพื่อให้ผู้คนได้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้สำหรับสังคมของเราในอนาคต เราเชื่อว่าการสร้างสรรค์ร่วมกับลูกค้าและผู้มีส่วนร่วมอื่น ๆ เป็นสิ่งจำเป็น และเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ก้าวแรกกับ SENAJ ด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรมและประสบการณ์ของเรา เรามุ่งมั่นที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ SENAJ เพื่อพัฒนาโซลูชั่นที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการทางสังคม เพื่อให้คนในสังคมของเรามีมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้น NEC Thailand วางแผนที่จะพัฒนาโซลูชั่นการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของสังคม   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาฯ เปิดโมเดล​ บ้านพลังงานเป็นศูนย์ เดินหน้าสู่บริษัท ด้านความยั่งยืน
เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน

เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน

เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดแผนปี 2566 เปิด14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน ตั้งเป้ารายได้รวมทั้งกลุ่ม 22,000 ล้าน เน้นโครงการแนวราบ โครงการร่วมทุน และธุรกิจโรงแรม ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 16,500 ล้าน เพิ่มกลุ่มบ้านระดับกลางที่มีกำลังซื้อดีขึ้น และเพิ่มสัดส่วนยอดขายบ้านลักซ์ชัวรี่ เป็น 1 ใน 5 ของผู้นำตลาดบ้านระดับบน พร้อมเปิดคอนโดโครงการใหม่ในรอบ 4 ปี เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) แถลงถึง ทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2566 ว่า กลุ่มบริษัทมุ่งสร้างการเติบโตในทุกมิติ ทั้งด้านรายได้ การเพิ่มยอดขาย การพัฒนาสินค้าใหม่ รวมถึงการกระจายธุรกิจ  โดยปีนี้ประมาณการรายได้รวมของกลุ่มบริษัทอยู่ที่ 22,000 ล้านบาท เป็นรายได้ของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 16,000 ล้านบาท และ แกรนด์ แอสเสทฯ 6,000 ล้านบาท หรือแยกเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ 9,600 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียม 3,000 ล้านบาท โครงการร่วมทุน 6,400 ล้านบาท และ ธุรกิจโรงแรม 3,000 ล้านบาท     พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค  จะเน้น 3 ปัจจัยหลักนี้เป็นตัวขับเคลื่อนในปีนี้  ได้แก่ การขยายตัวจากโครงการแนวราบ  ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของบริษัท และจะรุกเปิดโครงการใหม่แนวราบเพิ่มเติม ส่งผลให้ยอดขายจากโครงการแนวราบจะเป็นสัดส่วน 74% ของยอดขายรวม  นอกจากนี้ยังมี   การขยายตัวจากโครงการร่วมทุน ซึ่งปีนี้เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวจากการลงทุนในโครงการร่วมทุน ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม โดยรายได้จากโครงการร่วมทุนคิดเป็นสัดส่วน 30% ของรายได้รวม เป็นผลจากยอดขายที่เติบโตต่อเนื่อง และปีนี้ตั้งเป้ายอดขายโครงการร่วมทุนเติบโตขึ้น 62% จากปีก่อน และที่สำคัญคือ   ธุรกิจโรงแรม ของกลุ่มบริษัท ที่มีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรมในกรุงเทพคาดว่าจะทำรายได้เท่ากับปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 โดยโรงแรมในกลุ่มทั้งหมดคาดว่าจะมีอัตราเข้าพักรวมกันเฉลี่ยทั้งปีที่ 72%  นอกจากนี้ บริษัทยังมีการกระจายธุรกิจ ด้วยการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว ที่จะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2567” สำหรับแผนธุรกิจของ พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค นายวสันต์ ศรีรัตนพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทวางเป้าขายไว้ที่ 16,500 ล้านบาท จากโครงการแนวราบ 9,700 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมทั้งในประเทศและประเทศญี่ปุ่น 2,400 ล้านบาท และโครงการร่วมทุนอีก 4,400 ล้านบาท ปีนี้จะมีการเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 17,700 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 9 โครงการ  มูลค่า 11,730 ล้านบาท ทาวน์โฮมและอาคารพาณิชย์ 3 โครงการ  มูลค่า 2,770 ล้านบาท โครงการร่วมทุนกับ “ซูมิโตโม ฟอเรสทรี” เพิ่มอีก 1 โครงการ มูลค่า 2,200 ล้านบาท และ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 1,000 ล้านบาท โดยเป็นการเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในรอบ 4 ปี     พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค มีแนวทางในปีนี้ที่จะเน้นการเพิ่มสินค้าในกลุ่มบ้านระดับบน ซึ่งเติบโตในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และยังเติบโตต่อเนื่อง โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขายบ้านกลุ่มลักซ์ชัวรี่ขึ้นมาอยู่ที่ 50% หรือ 5,000 ล้านบาท เป็น 1 ใน 5 ของผู้นำตลาดบ้านลักซ์ชัวรี่  ด้วยการเพิ่มสินค้าใหม่บ้านเดี่ยว 3 ชั้นทำเลในเมือง  เปิดตัวบ้านลักซ์ชัวรี่ 3 ชั้นแบรนด์ใหม่ “วาวิล่า” รวมถึงยังมีแบบบ้านใหม่ทั้งในโครงการระดับบนของบริษัทและโครงการร่วมทุน สำหรับโครงการที่จะเปิดใหม่ พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค  ยังจะเพิ่มน้ำหนักกลุ่มโครงการบ้านเดี่ยวระดับกลางมากขึ้น เพื่อขยายตลาดให้กว้างขึ้นในกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อหนาแน่น โดยโครงการบ้านเดี่ยวระดับกลางที่จะเปิดใหม่ปีนี้ มี 7 โครงการ มูลค่ารวม 10,930 ล้านบาท  ใน 2 แบรนด์หลัก คือ เพอร์เฟค เพลส และ เพอร์เฟค พาร์ค พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค สำหรับปีนี้ยังมีการเปิดคอนโดมิเนียม Low-rise โครงการใหม่บนทำเลถนนพัฒนาการด้านหลังโรงพยาบาลสินแพทย์ พัฒนาการ กำหนดเปิดตัวในไตรมาส 2” หลังจากที่ไม่ได้ทำมา 4 ปี   พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค  เศรษฐกิจฟื้น เจอะตลาดลุยบ้านเดี่ยวระดับกลางที่ลองรับกลุ่มกำลังซื้อใหม่ “เพอร์เฟค เพลส-เพอร์เฟค พาร์ค” พร้อทกลับมาทำตลาดคอนโดครั้งแรกรอบ4ปี ทำเลถนนพัฒนาการ ทั้งนี้ ยอดขายเกินกว่า 50% จะมาจากโครงการใน 4 โซนหลักทั้งฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของกรุงเทพ ได้แก่ กรุงเทพกรีฑา สุขุมวิท  77 ชัยพฤกษ์ และ ราชพฤกษ์  ในแต่ละทำเล บริษัทมีทั้งโครงการที่กำลังพัฒนาและการเปิดโครงการใหม่ รวมถึงมีแผนพัฒนาให้เป็นชุมชนในการอยู่อาศัยที่สะดวกสบาย นอกจากนี้บริษัทยังเดินหน้าพัฒนาสินค้าใหม่ เพื่อเพิ่มมูลค่าและตอบโจทย์ทั้งเรื่องเทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภค โดยนำเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยมาใช้ในแบบบ้านใหม่ ไม่ว่าจะเป็น การติดตั้งโซลาร์รูฟเพื่อใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ การนำระบบสมาร์ทโฮมมาใช้เพื่อลดการสัมผัสเพื่อสุขอนามัยของผู้อยู่อาศัย รวมทั้ง การติดตั้ง EV Charger เพื่อรองรับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ วางเป้า 5 ปีทำรายได้หมื่นล้าน หลังเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวฟื้นตัว ตลาดจ๊อดแฟร์ เตรียมย้ายไปที่ใหม่ ใหญ่กว่าเดิม มีทั้งเอ้าท์ดอร์-อินดอร์ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ตุนยอดขายครึ่งปีแรก 7,900 ล้าน จ่อขึ้นราคาบ้าน-คอนโดเพิ่ม5%หลังต้นทุนพุ่ง
9 คำถามบ่อย ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ใช้ลดหย่อนภาษียังไง​?

9 คำถามบ่อย ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ใช้ลดหย่อนภาษียังไง​?

ลดหย่อนภาษี ตอนนี้ก็ถึงฤดูกาลเสียภาษีประจำปี 2565 กันแล้ว ซึ่งกรมสรรพากรให้ทุกคนที่มีรายได้ สามารถนำเอาค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มาเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งมีหลายประเภทด้วยกัน หนึ่งในนั้น คือ ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน แต่หลายคนก็มักจะมีคำถามที่สงสัยว่าจะเอามาคิดค่าลดหย่อนได้ยังไง และเท่าไรกันบ้าง วันนี้ Reviewyourliving รวบรวมคำถามและคำตอบมาให้แล้ว กับ ​9 คำถามบ่อย ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ใช้ลดหย่อนภาษียังไง​? 1.กู้ซื้อบ้านแบบไหน ลดหย่อนภาษี ได้บ้าง? การกู้ซื้อบ้านกับสถาบันการเงิน หรือกู้เพื่อปลูกสร้างบ้าน เพื่ออยู่อาศัยทุกประเภท นำดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้มาใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษี ได้ตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท การกู้เงินเพื่อปลูกสร้างบ้านเอง บนที่ดินของตนเอง หรือที่ดินของคนอื่น เช่น ของบิดา หรือมารดา ที่มีการให้ความยินยอมในการปลูกสร้าง  นำเอาดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าวมาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด 2.กู้ซื้อบ้านลดหย่อนได้เท่าไร? ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน สามารถนำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง ตลอดปี 2565  แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท 3.ต้องกู้เงินกับแบงก์ ถึงจะลดหย่อนได้ใช่ไหม? ไม่ใช่ เพราะความจริงแล้ว การกู้เงินซื้อที่อยู่อาศัย ไม่จำเป็นต้องกู้กับธนาคารเท่านั้น สามารถกู้กับหน่วยงานหรือผู้ประกอบการอื่น ๆ ที่อยู่ในประเทศไทย และตามที่กรมสรรพากรรับรอง มีดังนี้ บริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน บริษัทประกันชีวิต สหกรณ์ นายจ้างที่จะมีกองทุนจัดสรรไว้สำหรับลูกจ้าง บรรษัทตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 4.กู้ซื้อบ้านมากกว่า 1 หลัง ลดหย่อนได้เท่าไร​ ถ้ากู้ซื้อบ้านมากกว่า 1 หลัง ให้เอาดอกเบี้ยที่จ่ายไปจริงในทุกหลังมาคิดรวมกัน โดยลดหย่อนตามเกณฑ์ คือ ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่รวมแล้วไม่เกิน 100,000 บาท 5.กู้ร่วมหลายคน​ ลดหย่อนได้เท่าไร? ตามที่จ่ายตามจริง โดยหารตามจำนวนผู้กู้ร่วม แต่รวมกันทุกคนได้ไม่เกิน 100,000 บาท  เช่น กู้ร่วมกับพี่น้อง รวมทั้งหมด 4 คน ในปีนี้เสียดอกเบี้ย 120,000 บาท ซึ่งตามหลักการแล้วลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ดังนั้น ต้องเอาดอกเบี้ยมาคิดแค่ 100,000 บาท แล้วหาร 4 คน ทำให้แต่ละคนมีสัดส่วนค่าลดหย่อนคนละ 25,000 บาทเท่านั้น ​ 6.สามีหรือภรรยา คิดค่าลดหย่อนยังไง? กรณีที่จดทะเบียนสมรส ไม่ว่าจะจดมาก่อนหน้าที่จะซื้อ หรือระหว่างปีภาษี มีหลักเกณฑ์ในการคิดค่าลดหย่อนภาษี ดังนี้ กู้ร่วมกัน ยื่นภาษีคนเดียว จ่ายตามจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท กู้ร่วมกัน ยื่นภาษีสองคน จ่ายตาม​จริงคนละครึ่ง แต่รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท 7.จ่ายดอกเบี้ยไม่ครบ 1 ปี ลดหย่อนได้เท่าไร เริ่มตั้งแต่วันที่จ่ายจนถึงสิ้นปี ตามที่จ่ายจริง ​สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท  เช่น เริ่มกู้ซื้อบ้าน และเริ่มผ่อนชำระเดือนสิงหาคม ก็จะนำเอาดอกเบี้ยที่จ่ายไปตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงธันวาคม มาใช้เป็นส่วนลดหย่อน 8.บ้านที่รีไฟแนนซ์ ลดหย่อนได้ไหม? สามารถนำดอกเบี้ยมาใช้เป็นค่าลดหย่อนปกติ แต่ต้องวงเงินหนี้เท่าเดิม ไม่มีการกู้เงินเพิ่ม มีหลักคิดเช่นเดียวกันการกู้เงินซื้อที่อยู่อาศัยทั่วไป คือ ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท 9.ใช้เอกสารอะไรบ้าง? เอกสารที่ต้องเตรียมมี 2 อย่าง คือ สำเนาสัญญากู้ยืมเงิน และหนังสือรับรองหลักฐานการจ่ายดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินหรือหน่วยงานที่กู้ ​   ทั้งหมดนี้ คือ ข้อสงสัย และข้อข้องใจของใครหลายคน เกี่ยวกับการนำเอาดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน มาใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีประจำปี หวังว่าการทุกท่านจะสามารถยื่นภาษีเงินได้ประจำปี 2565 ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และทันกำหนดเวลาที่กรมสรรพากรกำหนดไว้ ที่สำคัญสามารถยื่นได้ง่าย ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ เว็บไซต์ของกรมสรรพากร ใครจะยื่นไปได้เลยที่นี่ https://www.rd.go.th/272.html   ที่มา : กรมสรรพากร, ธนาคารอาคารสงเคราะห์, ธนาคารทีทีบี, REIC   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนมกราคม 2566 -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมกราคม 2566 แบงก์ไหนให้ดอกต่ำสุด
8 บทสรุปแผนธุรกิจอนันดา ปี 66  ขนสต็อกคอนโด 45,000 ล้านขายต่างชาติ

8 บทสรุปแผนธุรกิจอนันดา ปี 66 ขนสต็อกคอนโด 45,000 ล้านขายต่างชาติ

อนันดา วางแผนธุรกิจปี 66 เตรียมขนสต็อกคอนโด 30 ทำเลทั่วกรุงเทพฯ​ มูลค่ากว่า 45,000 ล้านให้เอเย่นต์ทั่วโลกกว่า 224 รายออกขายต่างชาติ พร้อมมั่นใจทำยอดรับรู้รายได้ 14,500 ล้าน ขณะที่สต็อกโปรเจ็กต์ แอซตันอโศก 1,000 ล้าน ลูกค้าไทยและต่างชาติรอซื้อหลังคดีสิ้นสุด   ได้ฤกษ์เปิดแถลงข่าวแผนธุรกิจประจำปี 2566 ของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN แล้วในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ หลังจากที่ดีเวลลอปเปอร์หลายราย ประกาศแผนธุรกิจกันไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยครั้งนี้ นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดาฯ ​และนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกมาร่วมแถลงข่าวแผนธุรกิจ โดยมีข้อสรุปดังนี้ 1.รับรุ้รายได้จากธุรกิจ Serviced Apartment ในปี 2566 นี้ มั่นใจว่าจะสามารถสร้างรายได้ประจำ อย่างต่อเนื่อง จาก ธุรกิจ Serviced Apartment ให้กับบริษัทในทุกทำเล ซึ่งเปิดให้บริการเต็มรูปแบบทั้ง 5 โครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (โครงการซัมเมอร์เซ็ต พระราม 9 / โครงการแอสคอทท์ ทองหล่อ บางกอก / โครงการแอสคอทท์ เอ็มบาสซี สาทร / โครงการไลฟ์ สุขุมวิท 8 บางกอก / โครงการซัมเมอร์เซ็ต พัทยา) ด้วยปัจจัยบวกโดยตรงจากการเปิดประเทศต่างๆ ซึ่งประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพและพัทยา ก็เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจอยู่ในระดับต้นๆ ของโลก 2.มีแผนเปิดตัว Business Line ใหม่ โดยจะดำเนินงานในรูปแบบของ Professional Services and Management Consultancy รับดำเนินงานบริหาร และพัฒนาโครงการอสังหาฯ แบบ Total Solutions ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเจรจาข้อตกลงขั้นสุดท้าย กับบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อบริหารและพัฒนาโครงการแรกบนทำเล Prime Area บริเวณสุขุมวิท 38 (ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีทองหล่อ) ซึ่งจะเป็นโครงการในรูปแบบ Mix Used ที่ประกอบด้วยคอนโดมิเนียม เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ และ Food and Beverages โดยในอนาคตอันใกล้คาดว่าจะมีความร่วมมือในโครงการอื่น ๆ ลักษณะเดียวกันนี้ทั้งกับทางแรบบิท โฮลดิ้งส์ และพันธมิตรรายอื่น ๆ ต่อไป 3.วางแผนพัฒนาด้าน Tech Education ด้วยการจัดตั้ง The Master Academy (TMA) ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างทักษะและเสริมความคิดในทางธุรกิจผนวกกับเทคโนโลยีดิจิตอล โดยเริ่มจากการ upskill / reskill โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อเปิดตัวหลักสูตร The Data Master ทำหน้าที่ผลิตนักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูลหรือ Data 4.ขนสต็อกคอนโด 45,000 ล้านขายต่างชาติ วางแผนรองรับการกลับมาของตลาดอสังหาฯ และดีมานด์ของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างชาติ  โดยการนำเสนอสินค้าพร้อมอยู่พร้อมโอน ซึ่งเตรียมนำสต็อกคอนโด ที่มีอยู่ใน 30 ทำเล ทั่วกรุงเทพฯ มู​ลค่าประมาณ 45,000 ล้านบาท นำมาขายให้กับชาวต่างชาติ เป็นการรองรับกับเทรนด์การเปิดประเทศ ผ่านเอเย่นต์ที่มีอยู่ 224 รายทั่วโลก และมี 25 เอเย่นต์ที่เป็นฟรีแลนซ์ ปัจจุบันลูกค้าชาวต่างชาติหลักของอนันดา เป็นชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และเมียนมาร์   สำหรับสต็อกโครงการคอนโด ที่มีอยู่ของอนันดา แบ่งตามพอร์ต​ เป็นโครงการที่เป็น RTM (READY TO MOVE) มูลค่า 34,880 ล้านบาท โครงการที่จะสร้างเสร็จ ในปีนี้  มูลค่า 10,012 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ 14,500 ล้านบาท  เติบโต 20% จากปีที่ผ่านมา เป้ายอดขาย 18,000 ล้านบาท  โดยอนันดาวางแผนการทำการตลาดในรูปแบบของ ANANDA URBAN CARAVAN ตลอดทั้งปี 5.เดินหน้าขายคอนโดแอซตัน อโศก เตรียมนำสต็อกคอนโด โครงการแอชตัน อโศก มูลค่า 800 ล้านบาท ปัจจุบันมูลค่าเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท เตรียมออกมาขาย โดยอนันดาแจ้งว่ามีลูกค้ารอซื้ออยู่แล้วทั้งชาวไทยและต่างชาติ เพียงแต่รอคำสั่งศาลปกครอง ที่คาดว่าจะสรุปได้ภายในปีนี้ หากชนะคดีก็จะสามารถนำโครงการที่เหลือขายออกมาได้ทั้งหมด 6.เปิด 2 โครงการ มูลค่า 14,600 ล้านบาท 1.โครงการ ไอดีโอ พหล – สะพานควาย มูลค่าประมาณ 8,100 ล้านบาท หลังจากเลื่อนเปิดมา 3 ครั้งตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งเดิมจะใช้ชื่อโครงการ ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท มีราคาขายประมาณ 189,000 บาทต่อตารางเมตร แต่การเปิดตัวใหม่จะปรับราคาลงมาเหลือตารางเมตรละกว่า 100,000 บาท พร้อมปรับ Design Concept ใหม่ กับห้อง Hybrid New Series 2.โครงการ New Branded Residence ซอยสุขุมวิท 38 มูลค่าโครงการประมาณ 6,500 ล้านบาท ซึ่งจะร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก (World Class Partner) ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่เปิดเผยไม่ได้ ถือได้ว่า จะเป็นที่สุดของความร่วมมือในการพัฒนาโครงการในรูปแบบ Branded Residence ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย ซึ่งจะเปิดขายในระดับราคา 250,000 บาทต่อตารางเมตร หรือต่อยูนิต 150-300 ล้านบาท 7.เตรียมงบซื้อที่ดิน 7,100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการในอนาคต สำหรับแผนลงทุนในอนาคต 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 21,200 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการแนวราบ จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 7,200 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท และธุรกิจ Serviced Apartments จำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยทั้งหมดคาดว่าจะเป็นโครงการร่วมทุน (JV) 8.ขยายไลน์ธุรกิจใหม่ สู่ APSMC เตรียมขยายไลน์ธุรกิจใหม่ สู่ APSMC(Ananda Professional Services and Management Consultancy) ในแบบ Total Solutions และเตรียมออกหุ้นกู้มูลค่า 5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตตามแผนที่วางไว้   ทั้งหมดนี้ คือแผนธุรกิจที่อนันดา เตรียมทำในปีนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายรับรู้รายได้ 14,500 ล้านบาท พร้อมกลับมาทำกำไรในปีนี้ ส่วนผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรติดตามข้อมูลได้ต่อเนื่องกับ Reviewyourliving   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อนันดาฯ ขน 3 แบรนด์ใหม่ บ้าน-คอนโด รุกตลาด Q4 สร้างยอด 6,000 ล้าน -ถอดคำแถลงฯ CEO อนันดา กรณี ASHTON Asoke  
เอพี ไทยแลนด์  ขนบ้าน-คอนโด ขายกว่า 1.65 แสนล้าน  ลุยตลาดด้วยแผน INCLUSIVE GROWTH

เอพี ไทยแลนด์ ขนบ้าน-คอนโด ขายกว่า 1.65 แสนล้าน ลุยตลาดด้วยแผน INCLUSIVE GROWTH

เอพี ไทยแลนด์ ขนบ้าน-คอนโด มาขายในปี 66 มูลค่ากว่า 165,600 ล้านบาท หลังปีที่ผ่านมาสร้าง 3 สถิติสูงสุดในประวัติการณ์ ทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่ ยอดพรีเซลล์ และยอดโอน  พร้อมเดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ใหม่อีก 77,000 ล้านบาท มากสุดในตลาด​ คาดทำยอดขายทะลุ 58,000 ล้านบาท   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ถือว่าเริ่มมีสัญญาณที่ดี หลายธุรกิจเริ่มขยับตัวขึ้น ถึงแม้จะยังต้องเผชิญกับปัจจัยลบด้านอื่นๆ อยู่ แต่เชื่อว่าจากปัจจัยบวกในเรื่องของการท่องเที่ยว และการบริโภคภายในประเทศจะกระตุ้นเซนติเมนต์ที่ดีให้เกิดขึ้น ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เอง ถ้าดูจากกราฟการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีที่ผ่านมา จะเห็นรูปแบบของกราฟที่เริ่มปรับตัวเป็นขาขึ้น สะท้อนได้ถึงภาพตลาดที่เริ่มฟื้นตัวคืนกลับ จึงมั่นใจได้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้น่าจะสดใสและขับเคลื่อนไปต่อ 3 กลยุทธ์ที่สุดของปีกับการเติบโตร่วมกัน   ท้งนี้ จากปีที่ผ่านมากับการตั้งเป้าให้เป็นที่สุดของปีกับการเดินหน้าฝ่าทุกข้อจำกัด ด้วยแผนธุรกิจที่สร้างความตื่นเต้นและตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม และในปีนี้บริษัทฯ พร้อมต้อนรับศักราชใหม่กักลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจภายใต้แผน 2023 AP INCLUSIVE GROWTH ที่สุดของปีกับการเติบโตร่วมกัน ด้วยแผนการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ควบคู่ไปกับการขยายภาคธุรกิจ โดยใช้ความชำนาญที่มีมาสร้างโอกาส และข้อได้เปรียบให้เกิดขึ้นในหลากหลายมิติ ภายใต้ปรัชญาที่ต้องการส่งมอบชีวิตดี ๆ ที่ทุกคนเลือกเองได้ โดยจะดำเนินงานผ่าน 3 มิติดังต่อไปนี้ 1.DIVE DEEPER IN PROPERTY BUSINESS ทำงานแบบเจาะลึก เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย  ผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียม กลุ่มธุรกิจพัฒนาบ้านเดี่ยว และกลุ่มธุรกิจพัฒนาทาวน์โฮม โดยปีนี้บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าการทำงานที่ท้าทายตัวเองมากยิ่งขึ้น ด้วยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาด จำนวน 58 โครงการ มูลค่ากว่า 77,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 22 โครงการ มูลค่า 34,800 ล้านบาท ทาวน์โฮมจำนวน 27 โครงการ มูลค่า 26,400 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 11,800 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ทั้งปีเอพีจะมีโครงการพร้อมขายทั้ง กทม. และต่างจังหวัดมากกว่าถึง 192 โครงการ มูลค่ากว่า 165,600 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV  ที่ 57,500 ล้านบาท 2.HATCH NEW BUSINESS ต่อยอดความชำนาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการค้นหาช่องว่างตลาดใหม่ โดยจะนำทรัพยากรที่บริษัทฯ มี ไปบ่มฟักนักคิด นักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ เพื่อต่อยอดสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ๆ ที่สามารถนำกลับมาสนับสนุนธุรกิจในระยะยาวแบบองค์รวม ทั้งในมิติธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบใหม่ๆ หรือเพื่อเสริมธุรกิจอื่นๆ ในเครืออย่าง สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์  แมเนจเมนท์ (SMART) หรือ บางกอก ซิตี้สมาร์ท (BC) พร็อพเพอร์ตี้โบรกเกอร์แบบครบวงจร เป็นต้น โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเปิดตัว FitFriend เทรนเนอร์เดลิเวอรี่ ตอบโจทย์เทรนด์ในเรื่องของสุขภาพ ในปีที่ผ่านมา FitFriend มีคนใช้บริการมากกว่า 6,000 คลาส ซึ่งวันนี้ มีเทรนเนอร์อยู่ในระบบมากกว่า 100 คน ซึ่งทุกคนผ่านการรับรองจากสถาบันชั้นนำ และผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมจึงมั่นใจได้ในมาตรฐานของเทรนเนอร์ที่ไม่ต่างจากการใช้บริการในฟิตเนสชื่อดัง   นอกจากจะให้บริการแก่บุคคลทั่วไปผ่านระบบ Line Official-FitFriend แล้ว วันนี้ FitFirend ยังสเกลอัพไปเป็นอีกหนึ่งเซอร์วิส ภายใต้การบริหารจัดการของสมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเมนท์ เพื่อให้บริการแก่ลูกบ้านที่สมาร์ทบริหารจัดการกว่า 370 โครงการอีกด้วย 3.PEOPLE & SOCIAL ร่วมขับเคลื่อนสังคมให้เติบโตไปร่วมกัน ด้วยการสานต่อความตั้งใจที่จะเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพ ‘คน’ ด้วยการมอบทักษะแห่งอนาคตแก่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในเครือ นิสิต นักศึกษา หรือบัณฑิตผู้พิการ เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนมีชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ ผ่านโครงการเพื่อสังคมต่างๆ ที่ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น AP OPEN HOUSE โปรแกรมฝึกงานในฝันของนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศ ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 จนได้รับการยอมรับว่าเป็นโปรแกรมการฝึกงานที่ดีที่สุดในประเทศไทย หรือแคมเปญ I AM POWER ที่จัดขึ้น เพื่อเอ็มพาวเวอร์บัณฑิตผู้พิการให้มีโอกาสเข้าถึงทักษะการทำงานใหม่ๆ เจาะแผน Inclusive Growth  ไฮไลท์กลุ่มธุรกิจทาวน์โฮม -ปีที่แล้ว พรีเซลล์ 17,097 ล้านบาท เติบโต 34% จากปีก่อนหน้าที่ทำได้ 12,797 ล้านบาท หากเปรียบเทียบช่วงก่อนเกิดโควิดปี 2562 เติบโตถึง 91%   -สิ่งที่ทำให้ปีที่แล้วเติบโต เป็นเพราะการเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ ทั้งการพัฒนาโครงการ การพัฒนาสินค้า ภายใต้โจทย์ unlock vertical life แต่ละโครงการจะไม่ได้เห็นเพียงสินค้าประเภทเดียว จะมีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้สามารถลูกค้าเลือกบ้านได้ตามความต้องการ   -แผนปีนี้ เปิดทาวน์โฮม 27 โครงการ มูลค่า 26,400 ล้านบาท ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ทุกแบรนด์ และทุกระดับราคา ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล   -ปีนี้จะเจาะตลาดบ้านแฝด มีจำนวน 14 โครงการ ทั้งรูปแบบบ้านแฝด 2 ชั้น และ 3 ชั้น ในช่วง 2-3 ปีหลังมีอัตราการเติบโตมาโดยตลอด ปัจจุบันถ้าเป็นบ้านแฝด 3 ชั้น เอพี มีส่วนแบ่งมากกว่า 60% ส่วนบ้านแฝด 2 ชั้น อยู่ในกลุ่มท็อป 3   -นอกจากนี้ ยังจะเน้นการทำตลาดทาวน์โฮมลักชัวรี่ในเมือง ภายใต้แบรนด์บ้านกลางเมือง คาเซ่ โดยจะเปิดในทำเล รัชโยธิน ในไตรมาส 3 ระดับ 25-35 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาเปิดในทำเลสุขุมวิท 77 ไฮไลท์กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยว -เปิดโครงการบ้านเดี่ยวมากที่สุด 22 โครงการ มูลค่า 34,800 ล้านบาท ซึ่งมีที่ดินพร้อมแล้วเปิดทั้งหมดแล้ว   -ปีที่ผ่านมาบ้านเดี่ยวมียอดขายจำนวน 20,847 ล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อนหน้าที่ทำได้ 19,019 ล้านบาท   -โอกาสทางการตลาดบ้านเดี่ยวในปีนี้ ตลาดกลุ่มบ้านซูปเปอร์ลักชัวรี่ระดับราคา 20-50 ล้านบาท ที่ปัจจุบันมีผู้เล่นไม่มาก ซึ่งเอพี จะขยายเพิ่มมากขึ้น หลังจากปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดี  โดยตลาดนี้มีผู้เล่นหลัก ๆ รวมมูลค่าถึง 20,000 ล้านบาท ปีนี้จะเน้นทำตลาดภายใต้แบรนด์บ้านกลางกรุง และ เดอะพาลาซโซ่   -เพิ่มส่วนแบ่งตลาดโมเดิร์นลักชัวรี่ ภายใต้แบรนด์เดอะซิตี้ ด้วยรูปแบบบ้านบนที่ดิน 100 ตร.ว. ไฮไลท์กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม -ปีที่ผ่านมากลุ่มคอนโดมียอดขาย 11,400 ล้านบาท เติบโตมากกว่าก่อนหน้า 418%   -ปีนี้ ตลาดคอนโด มองว่า ยอดขายน่าจะดีกว่า 2 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าตลาดกลับมาแล้ว ปัจจัยที่ตัวกระตุ้น คือ สภาพจราจรที่ติดเหมือนเดิม และค่าใช้จ่ายในด้านการเดินทางที่สูงขึ้น   -ความท้าทายของตลาดคอนโดปีนี้ คือ ภาวะดอกเบี้ยสูงขึ้น และการปรับตัวของต้นทุนที่สูงขึ้น ตลาดมีการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้น   -คอนโดระดับราคา 3-10 ล้านบาท เป็นตลาดหลักของ เอพี   -ปีนี้เปิดตัวโครงการคอนโดใหม่ 4 โครงการ รวมมูลค่า 11,800 ล้านบาท   -พัฒนาคอนโดร่วมทุนกับ มิตซูบิชิเอสเตท ต่อเนื่องในปีนี้อีก 2 โครงการ รวมมูลค่า 8,000 ล้านบาท หลังจากที่ได้ร่วมมือกันมาปีนี้เป็นปีที่ 10 ซึ่งพัฒนาโครงการไปแล้ว 21 โครงการ จำนวน 21,300 ยูนิต รวมมูลค่า 103,300 ล้านบาท ปัจจุบันมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจำนวน 16 โครงการ   -มีโครงการพร้อมโอน 4 โครงการมูลค่า 16,200 ล้านบาท บทสรุปความสำเร็จปี 65 -เอพี ไทยแลนด์สามารถสร้างการเติบโตได้ในสินค้าทุกระดับราคา ด้วยอัตราการเติบโตมากถึง 91% กลุ่มระดับราคา 1-2 ล้านบาท เติบโตสูงสุด เกิดจากการทำตลาดของคอนโด 2-3 ล้านบาท การทำตลาดของทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท ส่วนบ้านเดี่ยวตลาดที่เติบโตดีคือระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท   -ปีที่ผ่านมาเอพีเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เป็นการเปิดตัวแบบก้าวกระโดด จาก 19 โครงการ ในปี 2564 มูลค่า 22,540 ล้านบาท มาเป็น 52 โครงการในปี 2565 มูลค่า 63,600 ล้านบาท เติบโต 182%   -ยอดพรีเซลล์มากที่สุดในประวัติการณ์​ ปี 2565 มียอดพรีเซลล์ 50,415 ล้านบาท จากเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะทำได้ 50,000 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 44% จากปี 2564 ที่มีมูลค่า 35,049 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดพรีเซลล์กลุ่มคอนโด 11,440 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 38,975 ล้านบาท และเป็นปีที่ยอดพรีเซลล์กลับมาเกินระดับหมื่นล้านบาทในปีแรกหลักเจอโควิด และเป็นปีแรกทุกกลุ่มธุรกิจยอดขายเกินหมื่นล้านบาททั้งหมด   -ยอดโอนคาดว่าจะทำได้มากกว่า 48,000 ล้านบาท เติบโตจากเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะทำได้ 47,000 ล้านบาท     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ รายได้รวม 9 เดือนนิวไฮกว่า 37,560 ล้าน เดินหน้าเปิด 18 โครงการใหม่
เดอะเนสท์  เตรียมโกยรายได้ 2,700 ล้าน  จาก 2 คอนโดพร้อมโอนในปี 66 ​

เดอะเนสท์ เตรียมโกยรายได้ 2,700 ล้าน จาก 2 คอนโดพร้อมโอนในปี 66 ​

เดอะเนสท์ อสังหาฯ ตระกูล “มหากิจศิริ” เตรียมโกยรายได้ปี 66 จำนวน 2,700 ล้าน กับ 2 โครงการคอนโด และบ้านแนวราบ พร้อมเดินหน้าจับมือ KRD ยักษ์อสังหาฯ ญี่ปุ่นเปิดตัว เปิดอีก 2 โครงการใหม่กลุ่มบ้าน Luxury โซนศรีนครินทร์-กรุงเทพกรีฑา รวมมูลค่า 3,900 ล้านบาท   บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของตระกูล “มหากิจศิริ” ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2552 โดยนางสาวอุษณา มหากิจศิริ ลูกสาวของนายประยุทธ มหากิจศิริ ประธานกรรมการกลุ่ม บริษัท พีเอ็ม กรุ๊ป เจ้าของบริษัทไทยน็อคซ์ สเตนเลส และไทย คอปเปอร์ และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโรงงานผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย   โดยนางสาวอุษณา ยังมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการฝ่ายปฏิบัติการของ PM Group และยังเป็นผู้ดูแลการดำเนินงานของโครงการกอล์ฟขนาดใหญ่ เช่น Mountain Creek Golf Resort, Lakewood Country Club และ Lakewood Links Golf Course อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการของบริษัทร่วม บริษัทในเครือ และอีกหลายบริษัทภายใต้กลุ่มบริษัทด้วย นอกจากนี้ ​นางสาวอุษณายังได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในธุรกิจอาหาร เมื่อช่วงในปี 2560 จากการเข้าซื้อกิจการ Pizza Hut ประเทศไทย จากบริษัท Yum International และปัจจุบันเป็นผู้ถือแฟรนไชส์แต่เพียงผู้เดียวของ Pizza Hut ประเทศไทย   สำหรับวงการอสังหาฯ บริษัท เดอะเนสท์ฯ อาจจะยังมีขนาดธุรกิจไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็เริ่มขยับการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องทุกปี และมุ่งเน้นการพัฒนาจับตลาดที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ ไม่ว่าจะเป็นโครงการประเภทคอนโดมิเนียม หรือบ้านแนวราบก็ตาม   แผนธุรกิจในปี 2566 เดอะเนสท์ มีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 2 โครงการรวมมูลค่า 3,900 ล้านบาท ที่ร่วมทุนกับบริษัท คันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด หรือ KRD ได้แก่   1.โครงการ “เอเวียน ศรีนครินทร์-กรุงเทพกรีฑา” (AVIAN Srinakarin-Krungthepkreetha) บ้านเดี่ยว 2 ชั้นตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 42-0-54 ไร่ จำนวน 166 ยูนิต แต่ละยูนิตตั้งอยู่บนเนื้อที่ตั้งแต่ 50.37-111.7 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 230-290 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท* จะเปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2566 มีมูลค่าโครงการประมาณ 2,700 ล้านบาท   2.โครงการ “แอร์รี่ ศรีนครินทร์-สวนหลวง” (AERIE Srinakarin–Suan Luang) บ้านเดี่ยวหรู 3 ชั้น ตั้งอยู่บนเนื้อที่ดินกว่า 9​  ไร่ จำนวน 43 ยูนิต แต่ละยูนิตตั้งอยู่บนเนื้อที่ตั้งแต่ 52.8-74.22 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 313-370 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้น 22.9 ล้านบาท* จะเปิดตัวในไตรมาส 4 มูลค่าโครงการประมาณ 1,200  ล้านบาท   นอกจากบ้านแนวราบแล้ว ยังมีโครงการคอนโด  ที่อยู่ระหว่างการหาทำเลที่ดินเพื่อการพัฒนาต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นทำเลในเมืองที่มีศักยภาพ แต่ต้องสามารถพัฒนาให้มีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายด้วย ขณะที่ปี 2566 จะถือเป็นปีสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับเดอะเนสท์ ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้ถึง 2,700 ล้านบาท เพราะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการคอนโด 2 โครงการที่เปิดการขายมาก่อนหน้านี้แล้ว คือ โครงการเดอะเนสท์​ จุฬา-สามย่าน และโครงการเดอะเนสท์ สุขุมวิท 71 รวมถึงโครงการบ้านแนวราบที่เปิดตัวในปีที่ผ่านมา อย่าง​โครงการ AERIE ศรีนครินทร์-กรุงเทพกรีฑา และโครงการที่เปิดปีนี้ด้วย   โครงการ AERIE ศรีนครินทร์-กรุงเทพกรีฑา ซึ่งในปีนี้จะมีการทยอยสร้างบ้านเสร็จออกมาอย่างต่อเนื่องประมาณ 60 ยูนิต ซึ่งมีลูกค้าจองไปแล้วประมาณ 40%  ขณะที่โครงการใหม่อีก 2 โครงการ ที่จะเปิดในปีนี้ จะเป็นบ้านที่ทยอยสร้างเสร็จพร้อมขายและพร้อมโอนเช่นเดียวกัน   ความมั่นใจในเป้าหมายดังกล่าวนั้น นางสาวอุษณา มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เล่าว่า เป็นเพราะ​ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2566  มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยมีแรงหนุนจากปัจจัยบวกต่าง ๆ ทั้งเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศที่ยังไหลมาลงทุนในไทยผ่านตลาดทุนและการลงทุนในกลุ่มเรียลเซ็กเตอร์ ประกอบกับจีนมีนโยบายเปิดประเทศ ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคักมากขึ้นอีกครั้ง ปัจจัยบวกเหล่านี้จะส่งผลดีต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างแน่นอน เราทำธุรกิจต้องมองทั้งมุมบวกและมุมลบเพื่อประกอบในการกำหนดนโยบาย และปีนี้เรายังคงเชื่อมั่นและร่วมลงทุนกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นบริษัทฯ เชื่อว่ายอดขายอสังหาฯ ตัวเลขจะต้องสูงขึ้นอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบของผู้บริโภคในประเทศเองก็แข็งแกร่ง ซึ่งสะท้อนภาพได้จากยอดขายบ้านแนวราบของบริษัทฯ ที่ได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคภายในประเทศ รวมถึงผลประกอบการด้านยอดขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงปี 2565 ของผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เน้นเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ด้านนายเคนอิจิ ฟูจิโนะ ประธานกรรมการ บ KRD กล่าวว่า แม้ว่าตลาดอสังหาฯ ในประเทศไทยจะเผชิญกับความท้าทายบางประการ เช่น ต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้นจากราคาเหล็กที่พุ่งสูงขึ้น แต่เราเชื่อว่าการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมถึงการยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางสำหรับชาวจีน จะนำไปสู่การฟื้นตัวต่อไปของเศรษฐกิจไทยกับการฟื้นฟูตลาดอสังหาฯ เรารู้สึกเสมอว่า The Nest Property เป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ เห็นได้จากความร่วมมือที่โครงการคอนโดมิเนียม 125Sathorn ที่ประสบความสำเร็จจนเป็นที่น่าพอใจ รวมถึงโครงการ AERIE ที่อยู่ริมถนนกรุงเทพกรีฑายังได้รับความนิยมและมียอดจองจำนวนมาก สำหรับ KRD เป็นกลุ่มบริษัทพลังงานแบบครบวงจรรายใหญ่ในญี่ปุ่น ได้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาชุมชนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กำลังดำเนินการเกี่ยวกับ "Zero Energy House" ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยประเภทประหยัดพลังงาน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และยังคงแบ่งปันความรู้ให้กับพันธมิตร The Nest Property เพื่อส่งมอบ และพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้บริโภคของประเทศไทย รวมถึงได้เลือกผลิตภัณฑ์หลายรายการจากผู้ผลิตญี่ปุ่น อีกทั้งได้ว่าจ้าง ALSOK ซึ่งเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยรายใหญ่ของญี่ปุ่น เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับโครงการ AERIE นับเป็นครั้งแรกที่ ALSOK ให้บริการรักษาความปลอดภัยสำหรับที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ภายใต้ชื่อบริษัท ALSOK Thai Security Service   นอกจาก โครงการร่วมทุน เดอะเนสท์ ยังมีโครงการที่บริษัทพัฒนา 100% อีก 5 โครงการคือ โครงการ The Nest Condo เพลินจิต, The Nest Condo Sukhumvit 22 , The Nest Condo Sukhumvit 64, The Nest Condo Sukhumvit 71 และโครงการ The Nest Condo Chula – Samyan   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เดอะเนสท์ เปิดโปรเจ็กต์ “จุฬาฯ-สามย่าน” ชูจุดขาย ผลตอบแทนการเช่า 6%
แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์  วางเป้า 5 ปีทำรายได้หมื่นล้าน  หลังเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวฟื้นตัว

แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ วางเป้า 5 ปีทำรายได้หมื่นล้าน หลังเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวฟื้นตัว

แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ รับสัญญาณเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวฟื้นตัว คาดปี 66 ทำรายได้ 6,000 ล้าน ก่อนเดินไปสู่เป้าหมาย 10,000 ล้านในอีก 5 ปี พร้อมกลับมาทำกำไรเป็นบวกในปีนี้   นายวิทวัส วิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทคาดว่าจะทำรายได้ 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจโรงแรม 3,000 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากโครงการร่วมทุนกับพันธมิตร 2,000 ล้านบาท และโครงการที่บริษัทพัฒนาขึ้นเองอีก 1,000 ล้านบาท ในภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีนี้ จะเป็นปีที่ดีสำหรับบริษัทจากปัจจัยการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ การเปิดประเทศ และการกลับมาของนักท่องเที่ยว ช่วง 2-3 เดือนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว ของภาวะเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ซึ่งดีเกินคาด คาดว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีสำหรับบริษัท สามารถทำรายได้ All-Time High และมีผลกำไรเป็นบวก นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าทิศทางในอนาคต ภายในระยะ 5 ปีนับจากนี้ จะมีรายได้รวมถึง 10,000 ล้านบาท จากทิศทางการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ และแผนการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายการลงทุน ทั้งในส่วนของโรงแรม และเวลเนส ที่จังหวัดเชียงใหม่ การขยายโรงแรมในพัทยา จังหวัดชลบุรี รวมถึงการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านแนวราบ และโครงการคอนโดมิเนียม ที่ปัจจุบันมีที่ดินรองรับการพัฒนา และอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไป   นายวิทวัส กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทยังได้เตรียมงบลงทุนไว้ 200 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงพื้นที่ในส่วนของร้านอาหารโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน 2 แห่ง จำนวน 100 ล้านบาท การปรับปรุงพื้นที่ส่วนคิดส์คลับ โรงแรมเชอราตัน หัวหิน ทำสกาย บาร์ และบิซ บาร์ ที่โครงการอมาธารา เวลเลเชอร์ รีสอร์ท จังหวัดระยอง จำนวน 100 ล้านบาท   สำหรับเป้าหมายรายได้ธุรกิจอสังหาฯ ที่คาดว่าจะทำได้ในปีนี้ 3,000 ล้านบาท จะมาจากยอดขายของคอนโดโครงการไฮด์ เฮริเทจ ทองหล่อ ซึ่งเป็นโครงการ่วมทุนกับซูมิโตโม ฟอเรสทรี จำนวน 2,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ โครงการไฮด์ สุขุมวิท 11 จำนวน 600 ล้านบาท และโครงการอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง จำนวน 400 ล้านบาท ปัจจุบันโครงการไฮด์ เฮริเทจ ทองหล่อ ยังมียูนิตเหลือขายรวมมูลค่า 3,000 ล้านบาท ส่วนโครงการไฮด์ สุขุมวิท 11 มียูนิตเหลือขายประมาณ 700 ล้านบาท โดยทั้งสองโครงการมียอดขายรอรับรู้รายได้กว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดโครงการได้ภายใน 2 ปีนี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แกรนด์ แอสเสท โชว์รายได้ธุรกิจโรงแรมโต 307% พร้อมยอดขาย “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” แล้ว 50%
แอสเซทไวส์  ปั้นคอนโด “เคฟ” อีก 5 โปรเจกต์  จับตลาดปล่อยเช่านักศึกษายีลด์ 7-8%

แอสเซทไวส์ ปั้นคอนโด “เคฟ” อีก 5 โปรเจกต์ จับตลาดปล่อยเช่านักศึกษายีลด์ 7-8%

แอสเซทไวส์ ยึดทำเลมหา’ลัย ปั้นคอนโด เคฟ อีก 5 โปรเจกต์ 8,980 ล้าน หลังสร้างแบรนด์จนเป็นขวัญใจนักศึกษาและนักลงทุนมากว่า 5 ปี มูลค่ากว่า 14,700 ล้าน   นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้แอสเซทไวส์ยังพัฒนาคอนโดมิเนียมแบนด์เคฟ (Kave) ในพื้นที่ใกล้มหาวิทยาลัย ที่ปีนี้เปิด 5 โครงการ รวม 8,980 ล้านบาท  ได้แก่ เคฟป๊อป ศาลายา  เคฟ วันเดอร์แลนด์  เคฟ โคโค บางแสน เคฟ เอ็มบริโอ รังสิต  และ เคฟ ทาวน์ ไอซ์แลนด์ เนื่องจากตลาดยังมีความต้องการ จากผู้ปกครอง ที่ซื้อเพื่อให้บุตรหลานได้พักอาศัยขณะเรียนหนังสือ และกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่า เพราะได้ผลตอบแทนสูง 7-8% โดยแอสเซทไวส์ได้พัฒนาแบรนด์เคฟ มาไม่ต่ำกว่า 5 ปี จำนวน 9 โครงการรวมมูลค่ากว่า 14,700 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าด้วยดี เนื่องจากเป็นโครงการที่พัฒนาตรงกับความต้องการของกลุ่มนักศึกษา แต่ละโครงการจะมีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ซึ่งตรงกับไลฟ์สไตล์ของนักศึกษา ซึ่งราคาขายเริ่มต้น 1.19-1.79 ล้านบาท มีราคาผ่อนใกล้เคียงกับอัตราค่าเช่าหอพักหรืออพาร์ทเมนท์ แต่มีความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวก จึงทำให้ผู้ปกครองนิยมซื้อให้บุตรหลาน และเมื่อเรียนจบยังสามารถปล่อยเช่าหรือขายต่อได้กำไรด้วย เราเริ่มต้นพัฒนาจากโครงการที่มีไม่กี่ร้อยยูนิต หลัง ๆ เป็น 1,000 ยูนิต ซึ่งก็ยังได้รับการตอบรับที่ดี เพราะโลเกชั่นดีติดมหาวิทยาลัย มีส่วนกลางที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย เพราะให้ความสำคัญกับคอนซูเมอร์อินไซด์ สำหรับทำเลหลักปัจจุบันของแบรนด์เคฟ ยังคงเป็นพื้นที่ในย่านรังสิต เพราะมองว่าตลาดยังมีดีมานด์ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ปัจจุบันจำนวนนักศึกษาและบุคลากรมีจำนวนมากกว่า 45,000 คน โดยหากสามารถขายให้กับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวได้เพียง 10% ก็เป็นจำนวน 4,500 คน แต่ปัจจุบันบริษัทยังพัฒนาโครงการขายได้ไม่ถึง 2,000 ยูนิตเท่านั้น ม.กรุงเทพ กับม.ธรรมศาสตร์ยังมีทำเลพัฒนาโครงการได้อีก เราสนใจไปพัฒนาทุกมหา'ลัย เพราะมีแฟนคลับเป็นกลุ่มนักลงทุนด้วย ซึ่งซื้อปล่อยเช่าได้เดือนละ 10,000 บาทในทำเลม.ธรรมศาสตร์ และถ้าม.กรุงเทพ ปล่อยเช่าได้เดือนละ 12,000 บาท​   นอกจากทำเลในย่านรังสิตแล้ว แอสเซทไวส์ยังมองการพัฒนาในทำเลใกล้มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั้งในเขตกรุงเทพฯ​ ปริมณฑล และต่างจังหวัดด้วย อย่างปีที่ผ่านมาได้พัฒนาโครงการใกล้มหาวิทยาลัยบูรพา บางแสน เนื่องจากมีนักศึกษาจำนวนมากกว่า 25,000 คน ใกล้เคียงกับม.กรุงเทพ ในปีนี้แอสเซทไวส์พัฒนาเฟสต่อเนื่องจำนวนกว่า 800-900 ยูนิต ด้วย​ เรายังเชี่ยวชาญทำเลมหา’ลัย แต่สุดท้ายก็ต้องดูหลักดีมานด์และซัพพลาย เราหวังว่าเด็กครึ่งหนึ่งของมหาลัย จะอยู่โครงการเรา   สำหรับภาพรวมในปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุด ตั้งแต่บริษัทได้ดำเนินธุรกิจมา จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 22,500 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนคอนโด 70% และโครงการแนวราบ 30% แบ่งเป็นโครงการคอนโดภายใต้แบรนด์เคฟ, แบรนด์แอทโมซ (Atmoz) และแบรนด์โมดิซ (Modiz) จำนวน 9 โครงการ มูลค่ารวม 15,830 ล้านบาท และโครงการบ้าน 3 โครงการ มูลค่ารวม 6,670 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (The Honor) และ แบรนด์แนวราบน้องใหม่กับ แบรนด์ดิ อาร์เบอร์ (The Arbor) เพื่อเปิดประสบการณ์ที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมดีไซน์ใหม่ เตรียมขยายกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์มากยิ่งขึ้น   ทั้งนี้บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของยอดขายที่ระดับ 15,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารับรู้รายได้ในปีนี้ที่ 7,200 ล้านบาท อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พาไปดู โปรเจ็กต์หมื่นล้าน “ไวส์พาร์ค มีนบุรี” มิกซ์ยูสใหญ่สุดของ แอสเสทไวส์ ในรอบ 10 ปี -แอสเซทไวส์ เปิด 5 กลยุทธ์ความสำเร็จแบรนด์เคฟ แคมปัสคอนโด จับกลุ่มนศ.มหาลัย-นักลงทุน
แสนสิริ  เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66  บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด

แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด

ทำเลโครงการใหม่ เปิดทำเลโครงการใหม่ แสนสิริ ปี 66 กับแผนธุรกิจที่จะสร้างทุกสถิติ All-Time High กว่า 30 ปีตั้งแต่ตั้งบริษัท มั่นใจ 3 กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ ทั้งเปิด 9 แบรนด์ใหม่ ขยายตลาดทั่วประเทศ พร้อมบุกต่างประเทศรับสัญญาณการฟื้นตัวของต่างชาติ   แสนสิริ ประกาศแผนธุรกิจปี 2566 เตรียมเปิดโครงการมากที่สุด นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมากว่า 30 ปี โดยเตรียมเปิด 52 โครงการรวมมูลค่ากว่า  75,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังวางเป้าหมายว่าจะทุบสถิติ ด้านผลประกอบการต่าง ๆ ที่เป็น All-Time High ทั้งรายได้ กับเป้าหมาย 40,000 ล้านบาท ยอดขาย 55,000 ล้านบาท และกำไรที่จะมากกว่าปี 2565 ที่ก็เชื่อว่ากำไรปีที่ผ่านมา จะสูงเป็นประวัติการณ์เช่นกัน   นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทยังคงเดินหน้าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังจากปี 2565 เป็นปีแรกที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน หลังจากที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปัจจัยสำคัญมาจากการได้รับวัคซีน ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยว   อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวกลับมายังคงไม่เต็มที่ ทำให้มีทั้งโอกาสทางธุรกิจและปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าติดตามและเตรียมรับมือในอีกหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทย แนวโน้มราคาพลังงานและราคาโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นกดดันให้ต้นทุนและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แม้ปีที่ผ่านมาจะเป็นปีที่มีความท้าทาย ของการดำเนินธุรกิจภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน  แต่แสนสิริสามารถเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายรวมถึง 50,000 ล้านบาท โตขึ้นเกือบ 50% จากปีก่อนหน้า และยอดโอน 36,800 ล้านบาท เปิดทำเลโครงการใหม่ของแสนสิริ สำหรับแผนการเปิดตัวของแสนสิริในปี 2566 ยังคงมีโลเกชั่นหลักอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันก็มีแผนขยายไปในตลาดต่างจังหวัดด้วยเช่นกัน โดยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ ที่ประกาศออกมาแล้ว มีทำเลโครงการใหม่ ดังนี้ -โครงการอณาสิริ มิกซ์โปรดักส์ บ้านและทาวน์โฮมในโครงการเดียว มี 9 ทำเล​ ได้แก่ กรุงเทพ-ปทุม 2 รังสิต-คลอง 3 ศรีนครินทร์-แพรกษา ชัยพฤกษณ์-วงแหวน พระราม 2 - วงแหวน พระเงิน ศาลายา เวสเกต พายัพ -โครงการในรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ ที่มีหลายโครงการรวมอยู่ในพื้นที่ขนาด 500-600 ไร่ มี 8 ทำเลสำคัญ ได้แก่ กรุงเทพกรีฑา กรุงเทพ-ปทุมธานี รังสิต-บางพูน ราชพฤกษ์-346 เวสต์เกต พระราม 2-วงแหวน บางนา-เลค 26 ประชาอุทิศ 90 ส่วนทำเลในต่างจังหวัด เปิดตัวในปีนี้ มี 6 จังหวัด ได้แก่   เชียงใหม่ หัวหิน ภูเก็ต ขอนแก่น ชลบุรี หาดใหญ่ โครงการไฮไลท์ที่น่าสนใจ -แบรนด์สราญสิริ เปิด 4 โครงการ 9,900 ล้านบาท มีทำเลที่จะเปิดตัว ดังนี้ บางนา สุวรรณภูมิ เวสต์เกต ถนน 345 -แบรนด์บูก้าน เปิด 3 โครงการ รวมมูลค่า 3,600 ล้านบาท มี 3 ทำเล ดังนี้ กรุงเทพกรีฑา พัฒนาการ 32 พระราม 9-เหม่งจ๋าย -ดีคอนโด ในปีนี้มีแผนรีเฟรชแบรนด์ และเปิด 5 โครงการ ใน 5 ทำเลสำคัญ ได้แก่ จ.ภูเก็ต โครงการดีคอนโด รีฟ ภูเก็ต อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โครงการดีคอนโด แซนด์ หาดใหญ่ รังสิต ศรีราชา จ.ชลบุรี ลาดกระบัง -New Luxury Condominium 2 โครงการ อารีย์ ราชเทวี -เศรษฐสิริ 10 โครงการ รวมมูลค่า 21,900 ล้านบาท บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี ระดับราคา 12 – 25 ล้านบาท ที่เจาะกลุ่ม Target อายุน้อยลง ประสบความสำเร็จเร็ว เปิดตัวด้วยโครงการแรก “เศรษฐสิริ ดอนเมือง” ในโฉมใหม่ ดีไซน์ใหม่ล่าสุดของแบรนด์เศรษฐสิริ สไตล์ “Georgian” จอร์เจียน -โครงการนาราสิริ พหล – วัชรพล มูลค่าโครงการ 5,300 ล้านบาท 3 กลยุทธ์สร้างการเติบโต นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ เปิดเผยว่า ในปีนี้ แสนสิริจะก้าวแกร่งเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย 3 กลยุทธ์​ สำคัญ ได้แก่ การสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง การบุกตลาดต่างประเทศ และการก้าวสู่ Net-Zero 3 กลยุทธ์แสนสิริ สร้าง All-Time High 1.ขยายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง Continuous Expansion -ทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่ ตามแผนในปีนี้แสนสิริวางงบประมาณซื้อที่ดินไว้ประมาณ 10,000 ล้านบาท พร้อมกับแผนเปิดตัวโครงการใหม่  52 โครงการ รวมมูลค่า​ 75,000 ล้านบาท เติบโต 74% และโตขึ้นจากช่วงเกิดโควิดถึง 1,000% หรือ 10 เท่าตัว ครอบคลุมทุกโปรดักส์ ทั้งคอนโดมิเนียม - บ้านเดี่ยว – บ้านแฝด – ทาวน์โฮม ทุกเซกเมนต์ระดับราคารองรับทุกความต้องการ และครอบคลุมในทุกทำเล เจาะกลุ่มเรียลดีมานด์​ -เปิดตัว 9 แบรนด์ใหม่ จากแสนสิริ ที่ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ เพื่อขยายในแต่ละ Portfolio  ให้แข็งแกร่งและครอบคลุมทุกความต้องการและระดับราคามากยิ่งขึ้น ตั้งแต่แบรนด์ที่อยู่ใน Sansiri Luxury Collection ที่จะขยายพอร์ตลักซ์ชัวรี เซกเมนต์ของแสนสิริให้โตขึ้นแบบก้าวกระโดด ได้แก่ No.19 (นัมเบอร์ นายทีน) และ Sirinsiri (สิริณสิริ) แบรนด์ใหม่ในระดับพรีเมียม เซกเมนต์ ได้แก่ Narinsiri (ณริณสิริ) และ Ombré (ออมเบร) รวมทั้งแบรนด์คอนโดใหม่ ได้แก่ HUB (ฮับ) และ Cabanas (กาบานาส) ทำเลหัวหิน ส่วนแบรนด์ใหม่ที่เหลือจะทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง​ -การรุกตลาดต่างจังหวัด แผนการขยายตลาดต่างจังหวัด ในปีนี้วางแผนเข้าไปพัฒนาโครงการใน 6 จังหวัด ในทำเลโครงการใหม่ ได้แก่  หัวหิน, ภูเก็ต, เชียงใหม่, หาดใหญ่, ขอนแก่น และชลบุรี  ที่จะเปิดตัวทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่ารวม 8,500 ล้านบาท 2.การบุกตลาดต่างประเทศ (No.1 in International Market)   แสนสิริ มองว่าในปีนี้ตลาดต่างชาติกำลังกลับมา จึง​วางเป้าหมายยอดขายและยอดโอนตลาดต่างชาติ ในปีนี้ไว้กว่า 12,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 54% จากปีก่อน ที่มียอดขายจากตลาดต่างชาติ 7,800 ล้านบาท โดยกลยุทธ์การรุกตลาดต่างชาติในปีนี้ แสนสิริจะรุกตลาดในกลุ่ม CLMV (Cambodia, Laos, Myanmar, Vietnam) เพื่อขยายตลาดต่างชาติให้กว้างขึ้น และยังคงบุกตลาดในประเทศจีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และรัสเซีย ซึ่งบริษัทมีฐานลูกค้าต่างชาติในกลุ่มนี้อยู่แล้ว 3.Net-Zero    แสนสิริยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าในพันธกิจสีเขียว โดยวางเป้าหมายเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทยที่เป็น Net-Zero องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ โดยพันธกิจในปี 2566 บริษัทกำลังเดินหน้าพัฒนา “Low Energy Community Model” โดยยกโครงการ “บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา” เป็นโครงการต้นแบบ ที่เริ่มพัฒนาบ้านด้วย Green Materials รวมทั้งติดตั้ง Solar Panel ในบ้านทุกหลัง, ติดตั้ง Solar Light บริเวณส่วนกลาง ติดตั้ง EV Charger ส่วนกลางและที่บ้าน ทดลองปลูกต้นไม้ยืนต้นและไม้พุ่มในสวนส่วนกลาง พัฒนาโดยทีมเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะ หรือ “Dedicated team for Net Zero Home”   นอกจากนี้ ทุกโครงการของแสนสิริต้องใช้พลังงานสะอาด ด้วยแผนติดตั้ง Solar Panel ในส่วนกลางของโครงการใหม่ 100% รวมทั้ง ติดตั้ง Solar Panel ในบ้านทุกหลังของโครงการใหม่ ไฟในสวนต้องเป็นไฟพลังงานแสงอาทิตย์ 100% ทุกโครงการในปีนี้ โดยวางเป้าหมายติดตั้ง 1,100 หลังในปีนี้ และอีก 1,500 หลังในปีต่อไป รวมถึงส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายติดตั้ง EV Charger ในทุกโครงการใหม่ของบริษัทในทุกเซ็กเมนท์ โดยวางเป้าหมายติดตั้ง EV Charger 650 หลังในปีนี้ และอีก 750 หลังในปีต่อไป     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แสนสิริ เดินหน้าโปรเจ็กต์ “กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้” เปิดอีก 3 โครงการ 9,300 ล้าน -แสนสิริ 5 เดือนแรกกวาดยอดแนวราบหมื่นล้าน พร้อมเปิด 6 โครงการใหม่ดันเป้า 24,000 ล้าน
ศุภาลัย เปิดแผนขายบ้าน-คอนโดปี 66  ลุยขยายต่างจังหวัดเพิ่ม 5 แห่ง ​​20 โครงการ

ศุภาลัย เปิดแผนขายบ้าน-คอนโดปี 66 ลุยขยายต่างจังหวัดเพิ่ม 5 แห่ง ​​20 โครงการ

ศุภาลัย  เปิดแผนขายบ้าน-คอนโดปี 66  ลุยขยายต่างจังหวัดเพิ่ม 5 แห่ง ​​20 โครงการ เติมพอร์ตตลาดต่างจังหวัดที่ปั้นโครงการแล้ว 28 จังหวัด   “ศุภาลัย” ถือเป็นดีเวลลอปเปอร์เจ้าแรก ๆ ของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่ออกไปทำบ้านและคอนโดมิเนียมในตลาดต่างจังหวัด เรียกว่าเข้าไปพัฒนาก่อนที่บริษัทจะจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ด้วยซ้ำ ซึ่ง “ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม” ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นพัฒนาโครงการแรกที่จังหวัดภูเก็ต ภายใต้บริษัท ภูเก็ต เอสเตท จำกัด และอำเภอหาดใหญ่ ภายใต้บริษัท หาดใหญ่ นครินทร์ จำกัด ตั้งแต่ช่วงปี 2531-2532 ในนามส่วนตัว   หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว จึงได้ซื้อหุ้นของทั้งสองบริษัท ทำให้ปัจจุบันทั้งสองบริษัท อยู่ในฐานะของบริษัทลูกของ “ศุภาลัย” ซึ่งพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เฉพาะโครงการในอำเภอหาดใหญ่มีมากถึง 13 โครงการแล้ว และน่าจะเป็นดีเวลลอปเปอร์ที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และคอนโด ในต่างจังหวัดทั่วประเทศมากที่สุดแล้ว   ปัจจุบันบริษัทพัฒนาโครงการในตลาดต่างจังหวัดแล้ว 28 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวนโครงการมากที่สุด คือ จังหวัดชลบุรี ด้วยจำนวนมากถึง 15-16 โครงการ โดยปีนี้วางแผนขยายจังหวัดเพิ่มขึ้นอีก 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดลำพูน ลำปาง นครปฐม จันทบุรี และราชบุรี ซึ่งภาพรวมของปีนี้จะเปิดโครงการใหม่ในต่างจังหวัด 20 โครงการ รวมมูลค่า 17,220 ล้านบาท เพื่อผลักดันเป้าหมายยอดขายในปีนี้ให้ได้ 15,120 ล้านบาท หรือสัดส่วน 42% ของเป้าหมายยอดขายปีนี้ 36,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดต่างจังหวัด 3% และบ้านแนวราบอีก 39% 4 กลยุทธ์ปี 66 สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทมี 4 กลยุทธ์สำคัญในแผนธุรกิจ เพื่อทำให้มียอดขายและรายได้เติบโตจากปีที่ผ่านมา ตามเป้าหมายที่วางไว้  ได้แก่ 1.New Brand and Location คือ การพัฒนาบ้านแบรนด์ใหม่ และการขยายทำเลใหม่ ๆ ในการพัฒนาโครงการ ซึ่งการไปพัฒนาโครงการใน 5 จังหวัดใหม่ จึงถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วงสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในปีนี้ ​ 2.Expand to New Customer Base นอกจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรูปแบบต่าง ๆ แล้ว ปีนี้บริษัทมีการขยายธุรกิจใหม่เพิ่มเติม อาทิ Resort Housing ที่โครงการศุภาลัย ซีนิค เบย์ พูล วิลล่า ภูเก็ต  Rental Office ที่โครงการศุภาลัย ไอคอน สาทร, Serviced Condo ในหลายโครงการ Home Office  ที่โครงการศุภาลัยแกรนด์ เอสเซ้นส์ @ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์  Community Mall / Market  ในจังหวัดหัวเมืองใหญ่  สนับสนุนการกระจายรายได้สู่ชุมชน และ Co-Working ชื่อว่า MEET & CO ตั้งอยู่ที่อาคารศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์ เป็นต้น  ซึ่งนอกจากการสร้างการเติบโตด้านรายได้ ที่เป็นรายได้ประจำ ยังถือเป็นการกระจายความเสี่ยงให้กับบริษัทด้วย นอกจากนี้ ยังขยายตลาดบ้านระดับราคา 10 – 30 ล้านบาท เพิ่มมากขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มบน ทั่วประเทศทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด เพราะที่ผ่านมาบริษัท มีการเปิดตัวแบรนด์ “เอเลแกนซ์”  ได้แก่  “ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121” แบบบ้านเดี่ยวใหม่ล่าสุด 3 แบบ 3 สไตล์ ระดับลักซ์ชูรี่ ราคาเริ่มต้น 20 – 30 ล้านบาท ทำเลแรกบนถนนบรมราชชนนี และศุภาลัย เอเลแกนซ์ พหลโยธิน 50 บ้านเดี่ยวหรู 3 ชั้น ในสไตล์ Modern Metro ราคาเริ่มต้น 17.99 ล้านบาท ทำเลใจถนนเทพรักษ์ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก 3.Smart Innovative Service ขณะที่นวัตกรรมการออกแบบที่อยู่อาศัย ได้มีการสร้างสรรค์แบบบ้านซีรีส์ใหม่ อาทิ Romantic Charm และ Wellness Residence เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า และรองรับไลฟ์สไตล์ลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมกับนวัตกรรมเพื่อการให้บริการลูกค้า เช่น Supalai Sabai แอปพลิเคชันที่ช่วยให้ลูกบ้านศุภาลัยใช้ชีวิตในบ้านได้สบายยิ่งขึ้น ทั้งการจ่ายบิล แจ้งซ่อม มีสิทธิพิเศษหลากหลาย อัพเดททุกข่าวสาร เป็นต้น และยังมีบริการอื่น ๆ อีก อาทิ ​Supalai Privilege และ Supalai Care 4.Sustainable Growth ขณะที่การสร้างการเติบโตบนความยั่งยืน ศุภาลัย ได้​ผนึกพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น เอสซีจี ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และติดตั้งโซลาร์รูฟในโครงการของศุภาลัย ร่วมกับธนาคารกสิกรไทยในโครงการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างต่อเนื่อง นำร่องโครงการแรกที่ ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ รังสิต คลอง 2 ร่วมกับทรู ดิจิทัล  ติดตั้ง Smart Residence 40 โครงการทั่วประเทศ และร่วมกับชาร์จ ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า ติดตั้ง EV Charger เป็นต้น เดินหน้ายอดขาย 36,000 ล้าน นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ปี 2565 ที่ผ่านมา  บริษัททำผลงานได้ประสบความสำเร็จ เพราะสามารถพิชิตยอดขายรวมได้ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 28,000 ล้านบาท ทำให้ตัวเลขยอดขายพุ่งทะยานสูงถึง 32,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่ทำได้ 24,069 ล้านบาท โดยเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวราบ และคอนโด 31 โครงการ มูลค่ารวม 37,800 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 28 โครงการ (กรุงเทพฯ และปริมณฑล 10 โครงการ, ภูมิภาค 18 โครงการ)  และคอนโด 3 โครงการ (กรุงเทพฯ และปริมณฑล 2 โครงการ, ภูมิภาค 1 โครงการ)  จากความสำเร็จด้านยอดขายมีผลอันเนื่องมาจากบริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง สามารถเปิดตัวโครงการใหม่ในแต่ละจังหวัดโดยมีการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี สินค้ามีความหลากหลาย และตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย   ขณะที่ปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายอดขาย 36,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 36,000 ล้านบาท โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 37 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 34 โครงการ  มูลค่า 32,700 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 8,300 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวม 41,000 ล้านบาท และกำหนดงบประมาณการจัดซื้อที่ดิน 8,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ มุ่งเน้นสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ด้วยความมั่นคง และยั่งยืน เตรียมบุกหนักในโครงการภูมิภาคต่างๆ ในจังหวัดใหม่ๆที่มีทำเลศักยภาพและมีความต้องการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันศุภาลัยพัฒนาโครงการครอบคลุม 28 จังหวัด โดยในปี 2566 เสริมความแข็งแกร่งพัฒนาโครงการใหม่ใน 5 จังหวัดใหม่ ได้แก่ ลำปาง ลำพูน นครปฐม ราชบุรี และจันทบุรี   อ่านข่าวเพิ่มเติม -ศุภาลัย บุกตลาดต่างจังหวัดแห่งที่ 23 ปั้นคอนโด “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน”
9 เทคนิคจัดบ้านให้มงคล รับตรุษจีน 66

9 เทคนิคจัดบ้านให้มงคล รับตรุษจีน 66

ตรุษจีน 66 หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน ปี 2566 สำหรับปีนี้​ ตรงกับวันที่ 22 มกราคม ส่วนวันที่ 20 มกราคม จะเป็นวันจ่าย สำหรับซื้อสินค้าและของต่าง ๆ มาใช้ในพิธีไหว้าเจ้าไหว้บรรพบุรุษ และวันที่ 21 มกราคม เป็นวันไหว้เจ้าและทำพิธีไหว้ต่าง ๆ ซึ่งตามธรรมเนียมจีนแล้ว เทศกาลตรุษจีนจะมีการทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ซึ่งสิ่งหนึ่งต้องทำคือ การทำความสะอาดบ้าน หรือการจัดบ้าน     โดยการจัดบ้าน นอกจากจะทำให้บ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังช่วยเสริมในเรื่องฮวงจุ้ย เสริมโชคลาภและทำให้การอยู่อาศัยในบ้านมีสุขภาพที่ดี มีความสุข สบายด้วย ไม่จำกัดเฉพาะการจัดบ้านให้เป็นมงคล รับตรุษจีน 66 ก็ตาม เทคนิคที่จะเล่าต่อไปนี้ สามารถใช้ได้ตลอดทั้งปีด้วยนะ 9 เทคนิคจัดบ้านให้มงคลรับ ตรุษจีน 66 มาดูกันว่า 9 เทคนิคจัดบ้านให้มงคล รับตรุษจีน 66 มีอะไรบ้าง ซึ่งมั่นใจได้เลยว่า สามารถทำตามได้ไม่ยาก ใคร ๆ ก็ทำได้ 1.จัดทางเข้าบ้าน-ประตูบ้านไม่ให้รก ทางเข้าบ้าน หรือบริเวณประตูเข้าบ้าน ถือเป็นจุดสำคัญตามหลักฮวงจุ้ย เพราะเป็นบริเวณพลังชี่ ซึ่งเป็นพลังที่ดี สามารถเรียกเงินเรียกทองเข้าบ้าน หากบริเวณดังกล่าวรก หรือไม่เป็นระเบียบ ก็จะขัดขวางโชคลาภ และเงินทองเข้าบ้านด้วย แต่หากพูดถึงตามหลักการทั่วไปแล้ว ทางเข้าบ้านเป็นจุดที่เราต้องเข้าออกบ้านทุกวัน หากมีสิ่งของวางไว้เกะกะ ไม่เป็นระเบียบ มันก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุหรือไม่สะดวกต่อการเข้าออกได้เช่นกัน 2.ทิ้งของแตกหัก-ชำรุดใช้งานไม่ได้ ของแตกหัก หรือชำรุด หากอยู่ในบ้าน ชาวจีนถือว่าไม่ควรทำ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เป็นมงคล อาจทำให้คนอยู่ในบ้านเกิดการทะเลาะแตกแยกกันได้ จึงควรทิ้งหรือเอาออกจากบ้าน 3.จัดบ้านให้สว่าง แสงสว่าง ถือเป็นส่วนสำคัญอีกอย่างสำหรับการเพิ่มความมงคลภายในบ้าน เพราะจะทำให้เกิดความสุข ชีวิตมีแต่ความรุ่งโรจน์ จึงควรทำให้บ้านมีแสงสว่างที่เหมาะสม ตามบริเวณต่าง ๆ ขณะเดียวกัน การมีแสงสว่างยังช่วยทำให้เกิดความปลอดภัยภายในบ้านด้วย เพราะหากมีมุมอับแล้วมีสิ่งของกีดขวางอยู่ เราก็อาจจะได้รับอุบัติเหตุได้ด้วยเหมือนกัน 4.จัดบ้านให้เป็นระเบียบ-ไม่รก ข้อนี้ คงมีความใกล้เคียงกับ การจัดหน้าบ้านไม่ให้รก แต่หากจัดบ้านไม่ให้รกเฉพาะหน้าบ้าน  ขณะที่พื้นที่อื่น ๆ ในบ้านรก ไม่เป็นระเบียบ ก็เป็นการทำให้โชคลาภไม่เข้ามาได้ด้วยเหมือนกัน จุดอื่น ๆ ของบ้านจึงจะต้องมีความเป็นระเบียบ ไม่รก ไม่สกปรกด้วย เพื่อให้คนอยู่ในบ้านมีสุขภาพดี มีโชคลาภเข้ามาด้วย 5.ประดับโคมไฟจีน สำหรับโคมไฟจีนนั้น ชาวจีนถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของงานรื่นเริง งานสำคัญ ทำให้ช่วงเทศกาลสำคัญอย่างตรุษจีน จึงมีการประดับตกแต่งด้วยโคมไฟจีน ทั้งในบ้านและที่ทำงาน แต่ห้ามนำมาแขวนไว้หน้าบ้านเวลากลางคืน เพราะจะหมายถึงว่า บ้านนี้คนเสียชีวิต 6.แตกผนังบ้านด้วยอักษรจีน อักษรจีน ที่มีความหมายเป็นมงคล เป็นที่นิยมนำมาประดับตกแต่งบ้านอยู่แล้วเป็นปกติ เพราะเหมือนการดึงดูดพลังงานที่ดีเข้ามาไว้ในบ้าน ทำให้ในช่วงวันตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ ชาวจีนจึงนิยมนำเอาภาพอักษรจีนมาประดับตกแต่งบ้าน โดยเฉพาะตุ้ยเลี้ยง คือ คำอวยพรปีใหม่ ความหมายดี ๆ เป็นมงคล ด้วยความหมายต่าง ๆ  ที่เป็นอักษรจีน มักจะประกอบด้วยตัวอักษรจีน 7 เขียนเป็นคำกลอน ซึ่งคนจีนนิยมนำมาติดไว้ในบ้าน มักจะติดสองข้างประตูบ้าน และติดตรงกลางทางเข้าออก เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดความร่ำรวย เป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว 7.ปลูกไม้มงคล เช่น ไผ่, กล้วยไม้ สิ่งของที่เป็นมงคล ที่ชาวจีนเชื่อถือ และนิยมนำมาไว้ในบ้านมีหลายอย่าง ต้นไม้มงคล ก็เป็นสิ่งที่ชาวจีนนิยมนำมาปลูกหรือประดับบ้าน โดยต้นไม้มงคลมีอยู่มาหมายหลายชนิด แล้วแต่ความเชื่อของคนจีนว่าอยากได้ความเป็นมงคลในเรื่องอะไร ซึ่งเทศกาลตรุษจีน เพื่อความเป็นมงคล จึงนิยมปลูกต้นไม้มงคลไว้หน้าบ้าน เช่น ต้นไผ่ หมายถึง ความดีงาม ต้นสน ช่วยเกื้อหนุนให้อายุยืนยาว เป็นต้น 8.จัด-ทำความสะอาด หิ้งพระ-ตีจู้เอี๊ยะ ธรรมเนียมปฏิบัติหนึ่งของเทศกาลตรุษจีน คือ การไหว้เจ้า ไหว้เจ้าที่ ทำให้บริเวณหิ้งพระ หรือตีจู้เอี๊ยะ จึงต้องทำความสะอาด และจัดให้เป็นระเบียบ เพื่อทำพิธีไหว้ให้เกิดความเป็นมงคล นอกจากนี้ หากในบ้านมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ก็ต้องทำเช่นเดียวกัน เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นช่วยคุ้มครองให้คนในบ้านประสบแต่โชคดี และมีความมงคลเกิดขึ้นด้วย 9.แต่งบ้านด้วยของมงคล ของมงคลต่าง ๆ ที่ชาวจีนเชื่อ และให้การยอมรับมีจำนวนมาก แล้วแต่จะเน้นเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งชาวจีนมักจะนำเอาของมงคลมาใช้ประดับตกแต่งบ้าน มาตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน หรือเอามาติดตัว เพื่อทำให้ชีวิตมีแต่ความมงคล มีโชคลาภ มีความสุข สุขภาพแข็งแรง ทำให้ช่วงเทศกาลตรุษจีน หรือปีใหม่จีน ชาวจีนจึงมักจะแต่งบ้าน หรือจัดบ้านให้เกิดความเป็นมงคล ด้วยของมงคลต่าง ๆ เช่น ตุ๊กตารูปสัตว์ อาทิ หมู แสดงความมั่งคั่ง  เครื่องปั้นดินเผา เสริมดวงการเงิน เป็นต้น   ทั้งหมดนี้ก็เป็น 9 เทคนิคจัดบ้านให้มงคลรับ ตรุษจีน 66 ที่ทำได้ทุกคน ทุกบ้าน หรือหากจะผ่านพ้นเทศกาลตรุษจีนไปแล้ว เราก็สามารถนำเอาเทคนิคนี้มาจัดบ้านได้ เพื่อให้ชีวิตการอยู่อาศัย มีแต่ความเฮง ๆ โชคดีรับปี 2566 ตลอดไปนั่นเอง   ที่มา-ไทยรัฐ, ดีดีพร็อพเพอร์ตี้, บ้านและสวน   อ่านบทความเพิ่มเติม -สิ่งที่ต้องทำในวันตรุษจีน 66 เพื่อความเป็นมงคลของชีวิต
สิ่งที่ต้องทำในวันตรุษจีน 66 เพื่อความเป็นมงคลของชีวิต

สิ่งที่ต้องทำในวันตรุษจีน 66 เพื่อความเป็นมงคลของชีวิต

ตรุษจีน 66 นอกจากวันที่ 1 มกราคมของทุกปี จะถือเป็นวันขึ้นปีใหม่สากลแล้ว ทุก ๆ ช่วงต้นปี ชาวจีน หรือผู้ที่มีเชื้อสายจีนทั่วโลก ก็มักจะถือเอาวันที่ 1 เดือน 1 ตามปฏิทินจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่จีน หรือวันตรุษจีน ซึ่งจะมีการเฉลิมฉลองและพิธีกรรมต่าง ๆ ตามธรรมเนียมจีนกันด้วย แต่วันที่ 1 เดือน 1 หรือวันตรุษจีน ในแต่ละปีจะไม่ใช่วันเดียวกันในทุก ๆ ปี จะเป็นวันไหนบ้างนั้น ต้องดูปฏิทินจีนเป็นหลัก   โดยปี 2566 นี้ วันตรุษจีน 2566 ตรงกับวันที่ 22 มกราคม ส่วนวันที่ 20 มกราคม จะเป็นวันจ่าย สำหรับซื้อสินค้าและของต่าง ๆ มาใช้ในพิธีไหว้าเจ้าไหว้บรรพบุรุษ และวันที่ 21 มกราคม เป็นวันไหว้เจ้าและทำพิธีไหว้ต่าง ๆ ซึ่งตามธรรมเนียมจีนแล้ว เทศกาลตรุษจีนจะมีการทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว รวมถึงการห้ามทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อผลในทางเดียวกันด้วย   มาดูกันว่าตามธรรมเนียมจีนแล้ว วันตรุษจีน 66 ปีนี้ เราควรทำอะไร ในวันตรุษจีนกันบ้าง เพื่อชีวิตจะได้พบเจอแต่สิ่งดี ๆ มีความสุข เป็นมงคลแก่ชีวิตของเรากันบ้าง สิ่งต้องทำในวันตรุษจีน 1.ไหว้เจ้า, ไหว้เจ้าที่, ไหว้บรรพบุรุษ สิ่งมงคลที่ต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในเทศกาลตรุษจีน ก็คือ การไหว้เจ้า ไหว้เจ้าที่ภายในบ้าน และไหว้บรรพบุรุษ รวมไปถึงไหว้ผีไม่มีญาติ ด้วยของไหว้ อาหารคาว อาหารหวาน และผลไม้ ที่เป็นมงคลตามความเชื่อของชาวจีน ซึ่งในพิธีการไหว้นี้ จะมีการจุดประทัดด้วย ตามความเชื่อในเรื่องจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย 2.ทำพิธีรับ “ไฉ่ ซิ่ง เอี้ย” ชาวจีนนิยมไหว้ “ไฉ่ ซิ่ง เอี้ย” ที่เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและเงินทอง เพราะจะทำให้มั่งคั่งร่ำรวย ให้โชคลาภ รวมถึงสุขภาพดี ครอบครัวรักสามัคคีปรองดอง ​โดยพิธีรับ ไฉ่ ชิ่ง เอี้ย จะดูฤกษ์ยามที่เทพลงมายังโลก ซึ่งมักจะเป็นช่วงวันก่อนวันตรุษจีน   โดยฤกษ์ไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย สำหรับตรุษจีน 2566 ปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 21 มกราคม ช่วงเวลา 23.00-02.59 น. วิธีไหว้ให้ตั้งโต๊ะบูชาของไหว้ ด้วยการหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ​​ 3.นำส้ม 4 ผล ไหว้ขอพรผู้ใหญ่ ธรรมเนียมการไหว้ขอพรผู้ใหญ่ที่เคารพ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในทุกชนชาติ อย่างช่วงเทศกาลสงกรานต์ของไทย เราก็มีรดน้ำดำหัวขอพรผู้ใหญ่ เพราะต้องการความเป็นสิริงคล เทศกาลตรุษจีนของชาวจีน ก็มีธรรมเนียมการขอพรผู้ใหญ่เช่นกัน แต่สิ่งที่จะต้องนำติดตัวไปด้วยก็คือ ส้ม 4 ผล   สาเหตุที่ต้องนำส้ม 4 ผลไปไหว้ผู้ใหญ่นั้น เป็นเพราะชาวจีนมีความเชื่อว่า ส้มเป็นตัวแทนของเครื่องสักการะเทพเจ้าทั้ง 4 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูฝน  ซึ่งจะช่วยให้ โชคดี มั่นคั่ง และร่ำรวย ตลอดปี ส้มยังเป็นตัวแทนการอวยพร และมีความหมายถึง ทองคำ และการให้ส้ม 4 ผล เพราะเป็นตัวเลขจำนวนที่เป็นมงคล ​​ซึ่งอาจจะให้ส้มมากกว่า 4 ลูกก็ได้ แต่ต้องเป็นเลขคู่ เช่น  6 ลูกหรือ 8 ลูก ก็ยิ่งมงคลขึ้นไปอีก  ตามประเพณีจีน เมื่อลูกหลานมอบส้ม 4 ลูก ให้แก่ญาติผู้ใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่จะมอบส้ม 2 ลูก กลับมาเป็นการอวยพรแก่ลูกหลานด้วยเช่นกัน 4.รับ-แจก อั่งเปา อั่งเปา ตามความหมายในภาษาจีน หมายถึง ซองสีแดง ที่มีเงินบรรจุอยู่ภายใน ซึ่งมอบหรือรับ เป็นของขวัญ ในวันสำคัญของครอบครัวจีน เช่น วันตรุษจีน หรือในงานพิธีแต่งงาน โดยในวันตรุษจีนผู้ที่มีอายุสูงกว่าหรือทำงานมีเงินเดือนแล้ว จะเป็นคนให้อั่งเปาแก่เด็กหรือญาติที่ยังไม่ได้ทำงานและเกษียณแล้ว   สาเหตุที่อั่งเปาเป็นซองสีแดง  เพราะสีแดงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความโชคดี และเงินที่บรรจุภายบางครั้งจะเป็นเลขนำโชค เช่น เลข 8 อ่านในภาษาจีนจะมีความหมายถึงความรุ่งเรือง หรือความร่ำรวย 5.ใส่เสื้อผ้าสีแดงหรือสีสดใส ชาวจีน มีความเชื่อว่าการสวมเสื้อสีแดง หรือสีสันสดใส จะนำความสุข ความสดชื่นมาทั้งปี โดยเฉพาะสีแดง ที่เป็นสีมงคลสำหรับชาวจีน 6.กินเจมื้อเช้า การกินเจ เป็นการทำบุญ ที่ชาวจีนนิยมปฏิบัติ ซึ่งช่วยทำให้เกิดกุศล และสร้างบุญบารมีให้เกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัว ดังนั้น ในช่วงเช้าวันแรกของปีใหม่ ชาวจีนจึงนิยมจะกินเจในมื้อเช้า เพื่อสร้างบุญสร้างกุศลในวันแรกของปีใหม่ ที่จะส่งผลให้ตลอดทั้งปีมีแต่ความสุขและเกิดมงคลแก่ตัวเอง รวมถึงครอบครัวด้วย 7.กินเกี๊ยว เหตุผลที่คนจีนนิยมกินเกี๊ยว ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ก็เพราะว่ารูปร่างของเกี๊ยว มีลักษณะเหมือนกับเงินและทองของชาวจีน การกินเกี๊ยวจึงเชื่อกันว่าจะทำให้ร่ำรวยเงินทองมีความมั่งคั่ง และเป็นสิริมงคลแก่ครอบครับ โดยการกินเกี๊ยวจะกินพร้อมหน้าพร้อมตากัน ในวันรวมญาติของทุกคนในครอบครัว 8.ติด “ตุ้ยเลี้ยง” ตุ้ยเลี้ยง คือ คำอวยพรปีใหม่ ความหมายดี ๆ เป็นมงคล ด้วยความหมายต่าง ๆ  ที่เป็นอักษรจีน มักจะประกอบด้วยตัวอักษรจีน 7 เขียนเป็นคำกลอน ซึ่งคนจีนนิยมนำมาติดไว้ในบ้าน มักจะติดสองข้างประตูบ้าน และติดตรงกลางทางเข้าออก เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดความร่ำรวย เป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว 9.นำของมงคลวางบนโต๊ะทำงาน โดยปกติชาวจีนจะไม่นิยมทำงานในวันปีใหม่ หรือวันตรุษจีน แต่ในปัจจุบันหลายคนอาจจะไม่ได้หยุดงาน เพื่อไปเที่ยวหรือพักผ่อนในวันตรุษจีน หรืออาจจะยังเปิดกิจการค้า หรือไปทำงานเป็นปกติ ดังนั้น จึงมีการทำให้วันทำงานในช่วงตรุษจีน ยังคงดำเนินไปด้วยดี และเกิดมงคลแก่ตัวเอง จึงมีการนำเอาของมงคลต่าง ๆ ตามความเชื่อของชาวจีนมาวางไว้บนโต๊ะทำงาน เพื่อจะได้เกิดสิริมงคลและมีความสุขตลอดทั้งปี ​   ที่มา-ธนาคารกรุงศรี, Springnews, Newtv   อ่านบทความที่เกี่ยวข้องฃ -9 ข้อห้ามทำ ขัดโชคลาภวันตรุษจีน
FYNN Asoke โอเอซิส ที่อโศก 

FYNN Asoke โอเอซิส ที่อโศก 

FYNN Asoke โอเอซิส ที่ อโศก ฟินน์ ดิเวลลอปเม้นท์เปิดโครงการพร้อมอยู่ คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ Modern Luxury ใจกลางสุขุมวิท สไตล์ โมเดิร์น ทรอปิคอล ติดสวนเบญจกิติ แรงบันดาลใจในการออกแบบ โครงการ ฟินน์ อโศก เปรียบดั่งโอเอซิสแห่งความสงบร่มรื่นใจกลางความเร่งรีบของย่านธุรกิจกลางเมือง ทำเลใจกลางอโศก เอาใจคนเมืองที่อยากใกล้ชิดธรรมชาติ   FYNN Asoke โอเอซิส ที่ อโศก ฟินน์ อโศก คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8ชั้น ตลาดกลุ่มพรีเมียม อยู่บนทำเลดี สุขุมวิทซอย10 ฝั่งตรงกันข้ามกับ Terminal 21  ซอยเดียวบนถนนสุขุมวิทที่สามารถเดินเข้าสวนเบญจกิติได้เลยเพียง 200 เมตร  ใกล้สถานี บีทีเอสอโศก เพียง 700 เมตร  ถ้ารถยนต์ส่วนตัว โครงการอยู่บนถนนสุขุมวิท เข้าซอยสุขุมวิท 10 จากปากซอย 350 เมตร แต่ด้วยความที่โครงการอยู่อโศก ขึ้นชื่อว่ารถติดในบางเวลา  สิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบครบๆ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ,โรงเรียน,มหาวิทยาลัย,โรงพญาบาลและรวมแหล่งงานออฟฟิศชั้นนำของประเทศ   FYNN Asoke โอเอซิส ที่ อโศก ฟินน์ อโศก คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ตกแต่งพร้อมอยู่ ตัวอาคารออกแบบลักษณะ Modern มีความโค้งเว้าดูลื่นไหลเหมือนสายน้ำ ธรรมชาติมากขึ้น  เน้นความเป็นธรรมชาติใจกลางเมือง  ตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 1-3-70 ไร่  อาคารสูง 8 ชั้น 2 อาคาร 263 ยูนิต แบ่งเป็น อาคาร A จำนวน 144 ห้อง และอาคาร B จำนวน 119 ห้อง ที่จอดรถใต้ดิน2 ชั้น และระบบ Auto Parking ในอาคาร B รวมมี ที่จอดรถ 125 คัน (47%) แบ่งออกเป็น 61 จอดรถแบบ conventional และ 64 คันเป็น Auto parking มีที่จอด Bike Locker ส่วนห้องพักจะเริ่มตั้งแต่ชั้น2 ถึงชั้น 8     ฟินน์ อโศก ประกอบด้วยห้อง 6 ประเภท ได้แก่ 1 ห้องนอนขนาด 24-49 ตารางเมตร, 1 ห้องนอนพลัส ขนาด 40-62 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำขนาด 48-57 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาด 46-68 ตารางเมตร, 3 ห้องนอนขนาด 104 ตารางเมตร ดูเพล็กซ์ขนาด 120 ตาราง เมตร โดยมีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 4.99 ล้านบาท   ฟินน์ อโศก ขายแบบ Fully Fitted  คือ ให้ชุดเคาน์เตอร์ครัว ตู้เสื้อผ้า และตู้รองเท้าแบบ Built in ได้เครื่องปรับอากาศแบบ Concealed Type และ Wall Type  มาพร้อม Digital Door Lock  รองรับระบบ Key Card ลายนิ้วมือ และรหัสผ่านรวมถึงชุดสุขภัณฑ์ในห้องน้ำทั้งหมดของ Kohler มี Shower box และอ่างอาบน้ำ ทุกห้อง  พื้นห้อง  Engineer Wood เทคโนโลยี Hydro-Seal กันน้ำ และทนน้ำนานขึ้น ทนทานต่อการสึกหรอและรอยขีดข่วนได้ดีกว่าพื้นไม้ทั่วไป     ฟินน์ อโศก  มีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งภายในและภายนอกอาคารอย่างครบครัน อาทิ ทางเข้าจะมีจุด Drop Off Lobby มีทั้ง 2 อาคาร ห้องรับรองแขก พื้นที่ทำงาน,Co-Working space,ห้องฟิตเนส,ห้องขี่จักรยานจำลอง,ห้องโยคะ ห้องดูหนัง,ศาลาจามจุรี,สระว่ายน้ำความยาว 25 เมตร,สระเด็กและถ้ำจำลอง และสิ่งอำนวยความสะดวกบนชั้นดาดฟ้า พื้นที่กว่า 1,000 ตาราง เมตร อาทิ สวน และทางออกกำลังกาย แปลงปลูกผัก ระเบียงชมพระอาทิตย์ตก ฟอเรส เลานจ์ ครัวกลาง แจ้ง เตาบาร์บีคิว  จุดเด่นสำคัญ กับพื้นที่สีเขียว ต้นไม้ใหญ่กลางโครงการ ต้นจามจุรียักษ์ อายุกว่า 60 ปี แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาอย่างงดงาม     ฟินน์ อโศก โครงการ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนที่ต้องการใช้ชีวิตในเมือง พร้อมใกล้ชิดธรรมชาติ และ สิ่งอำนวยความสะดวกทุก อย่าง ด้วยจุดเด่นที่เน้นความสงบและความร่มรื่นของพื้นที่สีเขียวเหมาะสำหรับคนเมือง ด้วยความเป็นซอยตันง่ายต่อการรักษาความปลอดภัยและไม่ค่อยมีรถผ่านโครงการมากนัก ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาทเท่านั้น ปัจจุบันมียอดจองแล้วกว่า 75 % คาดปิดการขายได้ภายใน ปี 2566  ฟินน์ อโศก อีกโครงการที่อยู่กลางเมืองที่ อโศกที่น่าสนใจ   บทความน่าสนใจ The Reserve 61 Condo Luxury ที่ทำให้ทุกๆวันให้เป็นวันพักผ่อน Ideo Rama 9 – Asoke คอนโดคอนเซปต์ Live Work Play สนุกสุดได้ทุกวัน แอสคอทท์ ทองหล่อ เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ มาตรฐานโรงแรม 5 ดาว  
แลนด์แอนด์เฮ้าส์  เปิดทำเล 17 โครงการบ้านใหม่ พร้อม 5 ไฮไลท์แผนธุรกิจปี 66

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เปิดทำเล 17 โครงการบ้านใหม่ พร้อม 5 ไฮไลท์แผนธุรกิจปี 66

เปิด 17 ทำเล บ้านใหม่ปี 66 ของ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ด้วยราคาเฉลี่ย 8.8 ล้าน พร้อม 5 ไฮไลท์แผนธุรกิจ ปี 66 สู่เป้าหมายรายได้ 33,000   แลนด์แอนด์เฮ้าส์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย ที่ทำธุรกิจมานานเกือบ 50 ปี ซึ่งแต่ละปีก็จะมีการออกมาแถลงแผนธุรกิจ และวิสัยทัศน์ โดยในปี 2566 ทีมผู้บริหารซึ่งประกอบด้วยนายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)  นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร นายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด และนายวิทย์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการสายงานสนับสนุน โดยมีรายละเอียดและไฮไลท์ของการดำเนินงานในปี 2566 ดังนี้ 5 ไฮไลท์แผนธุรกิจปี 66​ 1.เปิดตัวโครงการใหม่ 34.960 ล้าน บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 34,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับการเปิดโครงการใหม่ในปี 2565  แบ่งเป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 13 โครงการ และต่างจังหวัด 4 โครงการ  เป็นโครงการแนวราบ 16 โครงการ มูลค่า 28,460 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 6,500 ล้านบาท   เมื่อแยกตามประเภทสินค้าจะประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว  15  โครงการ ได้แก่  บ้านแฝด 1 โครงการ ทาวน์เฮ้าส์ 1 โครงการ และคอนโด 1 โครงการ ซึ่งบางโครงการมีสินค้ามากกว่า 1 ประเภท สำหรับแผนเปิดคอนโด 1 โครงการ มีมูลค่า 6,500 ล้านบาท คือโครงการ The Key ศรีนครินทร์ ​ เตรียมเปิดขายในไตรมาสที่ 3 นับตั้งแต่เปิดโครงการล่าสุดในปี 2563 ที่ผ่านมา   สำหรับปี 2566 คาดว่าตลาดคอนโดจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2565 โดยจะเป็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนทั้งจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้าง demand ในประเทศให้แข็งแกร่ง รวมถึง demand จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่น่าจะทยอยกลับมาตามการเปิดประเทศ และการเดินทางที่เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ 2.ไทม์ไลน์เปิด 17 โครงการใหม่ สำหรับ 17 โครงการใหม่ ของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีทำเลและไทม์ไลน์การเปิดตัวโครงการ ตามรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ โครงการเปิดตัวในไตรมาส 1 โครงการ inizio ศรีนครินทร์ บ้านแฝด พื้นที่ 27.1 ไร่ จำนวน 176 ยูนิต มูลค่า 970 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 5.5 ล้าน โครงการชัยพฤกษ์ 2 ซีรีน เลค บ้านแฝด พื้นที่ 4.1 ไร่ จำนวน 9 ยูนิต มูลค่า 94 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 9 ล้านบาท โครงการเปิดตัวในไตรมาส 2 โครงการชัยพฤกษ์ 1 ซีรีน เลค บ้านเดี่ยว พื้นที่ 4.1 ไร่ จำนวน 10 ยูนิต มูลค่า 98 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 9.8 ล้านบาท โครงการมัณฑนา กาญจนา-บางบอน 5 บ้านเดี่ยว พื้นที่ 97.8 ไร่ จำนวน 200 ยูนิต มูลค่า 3,400 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 17 ล้านบาท โครงการชัยพฤกษ์ แจ้งวัฒนะ บ้านเดี่ยว พื้นที่ 97.8 ไร่ จำนวน 200 ยูนิต มูลค่า 2,730 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 11.7 ล้านบาท โครงการเปิดตัวไตรมาส 3 โครงการชัยพฤกษ์ 3 ซีรีน เลค บ้านเดี่ยว พื้นที่ 10.1 ไร่ จำนวน 20 ยูนิต มูลค่า 203 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 10.2 ล้านบาท โครงการ VIVE กรุงเทพกรีฑา บ้านเดี่ยว พื้นที่ 19.4 ไร่ จำนวน 49 ยูนิต มูลค่า 2,050 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 41.5 ล้านบาท โครงการ VIVE บางนา กม.13 บ้านเดี่ยว พื้นที่ 40.4 ไร่ จำนวน 95 ยูนิต มูลค่า 3,150 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 33.2 ล้านบาท โครงการ The Key ศรีนครินทร์ คอนโด พื้นที่ 12.3 ไร่ จำนวน 805 ยูนิต มูลค่า 6,500 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 8.1 ล้านบาท โครงการชัยพฤกษ์ พรานนก-สาย 2 บ้านเดี่ยว พื้นที่ 25.7 ไร่ จำนวน 56 ยูนิต มูลค่า 1,080 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 19.3 ล้านบาท โครงการเปิดตัวไตรมาส 4 โครงการ Villaggio 3 ศรีนครินทร์-บางนา มูลค่ารวม 2,010 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว พื้นที่ 51.4 ไร่ จำนวน 204 ยูนิต มูลค่า 1,450 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 7.1 ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์ พื้นที่ 14.9 ไร่ จำนวน 154 ยูนิต มูลค่า 560 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 3.6 ล้านบาท โครงการชัยพฤกษ์ รังสิต คลอง 4 บ้านเดี่ยว พื้นที่ 99.6 ไร่ จำนวน 324 ยูนิต มูลค่า 3,700 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 11.4 ล้านบาท โครงการชัยพฤกษ์ เพชรเกษม 69 บ้านเดี่ยว พื้นที่ 94.3 ไร่ จำนวน 219 ยูนิต มูลค่า 2,800 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 12.8 ล้านบาท โครงการชัยพฤกษ์ บางนา กม 13 บ้านเดี่ยว พื้นที่ 53.7 ไร่ จำนวน 170 ยูนิต มูลค่า 2,300 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 13.5 ล้านบาท โครงการพฤกษ์ลดา ปิ่นเกล้า-ศาลายา บ้านเดี่ยว พื้นที่ 36.7 ไร่ จำนวน 142 ยูนิต มูลค่า 1,025 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 7.2 ล้านบาท โครงการมัณฑนา มอเตอร์เวย์-พระราม 9 บ้านเดี่ยว พื้นที่ 22.6 ไร่ จำนวน 52 ยูนิต มูลค่า 800 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 15.4 ล้านบาท โครงการมัณฑนา มะลิวัลย์-ขอนแก่น บ้านเดี่ยว พื้นที่ 66.7 ไร่ จำนวน 182 ยูนิต มูลค่า 2,050 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 11.3 ล้านบาท 3.87 โครงการพร้อมขายในปี 66 จำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 2566 มีทั้งหมดประมาณ 87 โครงการ เป็นมูลค่า 91,320 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 78 โครงการ มูลค่า 76,450 ล้านบาท และคอนโด  9 โครงการ มูลค่า 14,870 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยต่อยูนิตขายในปี 2566 เท่ากับ 8.8 ล้านบาท เท่ากับราคาเฉลี่ยในปี 2565 4.ปี 66 ลงทุน 9,000 ล้าน ในปี 2566 บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 9,000 ล้านบาท ประกอบด้วย งบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 6,000 ล้านบาท  และงบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 3,000 ล้านบาท ปัจจุบัน บริษัท LHMH มีโครงการที่ดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนาทั้งหมด 11 โครงการ ด้านบริษัท LH USA มีโครงการที่ดำเนินการอยู่ทั้งหมด 4 โครงการ   แลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีแผนขายโรงแรมในประเทศไทยเข้ากอง REIT และมีแผนออกหุ้นกู้อีกจำนวน 14,000 ล้านบาท และคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะยังคงอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 100% 5.ตั้งเป้ารายได้ 33,000 ล้าน ในปี 2566 แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ตั้งเป้าหมายแผนการดำเนินงาน โดยมีเป้าหมายยอดขาย (Booking) 35,000 ล้านบาท และเป้าหมายรับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 33,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จากอสังหาฯ เพื่อเช่า ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 7,150 ล้านบาท บทสรุปปีตลาดอสังหาฯ และผลงานปี 65 ขณะเดียวกันในปีที่ผ่านมา แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ได้มีบทสรุปแผนการดำเนินงาน และภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ตามรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ 1.ในปี 2565 ตลาดอสังหาฯ ​ประเภทบ้านเดี่ยว ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทยังคงมีความแข็งแรงต่อเนื่อง หากพิจารณาตัวเลขจำนวนยูนิตบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดที่สร้างโดยผู้ประกอบการ และจดทะเบียนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วงเดือน ม.ค. - ต.ค. 2565 จะเห็นว่าเติบโตประมาณ 10% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564   ในขณะที่ จำนวนยูนิตที่เปิดขายใหม่ของสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดในช่วงเดือน ม.ค. - พ.ย. 2565 มีจำนวน 22,855 ยูนิต ซึ่งเติบโตเกือบเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2564 เนื่องจากฐานที่ต่ำ   2.ในปี 2565 บริษัทเปิดโครงการใหม่ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 32,460 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบทั้งหมด เทียบกับแผนเดิมที่ตั้งไว้ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 29,520 ล้านบาท   3.ปี 2565 บริษัทได้ใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ประมาณ 4,400 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนยอดขายแบ่งตามประเภทสินค้า ในปี 2565 ของบริษัทฯ มีดังนี้ บ้านเดี่ยว สัดส่วน 84% ทาวน์เฮ้าส์ สัดส่วน 8% คอนโด สัดส่วน 8% 4.ในปี 2565 สินค้าประเภทบ้านแนวราบ ซึ่งได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ ยังคงเป็นสินค้าหลักที่สร้างยอดขายให้กับบริษัทโดยสัดส่วนการขายของบ้านแนวราบและคอนโด  คือ 92%:8%   เมื่อจำแนกตามพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑลยังคงเป็นพื้นที่หลักในการก่อให้เกิดยอดขาย โดยสัดส่วนยอดขายของโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเปรียบเทียบกับยอดขายของโครงการในต่างจังหวัด คือ 90%:10%  สัดส่วนระดับราคาของบ้านที่สูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วนประมาณ 54% ของยอดขาย 5.ณ ต้นปี 2565 บริษัทมีจำนวนโครงการที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้น 74 โครงการ เป็นโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 44 โครงการ ต่างจังหวัด 30 โครงการ โครงการที่เปิดใหม่ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 32,460 ล้านบาท รวมโครงการที่ดำเนินการในระหว่างปี 2565 มีจำนวนทั้งหมด 89 โครงการ มีโครงการปิดระหว่างปี 19 โครงการ   ดังนั้น ณ สิ้นปี 2565 มีโครงการที่ยกไปดำเนินการต่อในปี 2566 เป็นจำนวน 70 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 56,300 ล้านบาท ณ ต้นปี 2566 บริษัทมีจำนวนโครงการที่ดำเนินการทั้งสิ้น 70 โครงการ  เป็นโครงการแนวราบ 62 โครงการ มูลค่า 47,983 ล้านบาท และคอนโด  8 โครงการ มูลค่า 8,375 ล้านบาท   6.ในช่วงปี 2562 – 2564 ตลาดคอนโดหดตัวลงอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านดีมานด์​ หรือจำนวนยูนิตที่ขายได้ และซัพพลาย​ หรือจำนวนยูนิตที่เปิดขายใหม่  อันเป็นผลมาจากมาตรการ LTV ที่บังคับใช้ในช่วงเมษายน 2562 ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การชะลอการเปิดตัวโครงการคอนโดของผู้ประกอบการในช่วงเวลาดังกล่าวถือว่าเป็นผลดีต่อตลาดโดยรวม เนื่องจากเป็นการช่วยระบายสินค้าคงเหลือที่ค้างอยู่ในตลาด โดยจำนวนยูนิตคงเหลือของคอนโดลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี ในปี 2563 และลดลงต่อเนื่องในปี 2564   ในปี 2565 เมื่อสถานกาณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง รวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัว ทิศทางของตลาดคอนโดก็ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยสะท้อนจากจำนวนยูนิตที่ขายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ที่เพิ่มขึ้นถึง 137% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2564 (ที่มา: AREA)  และจำนวนยูนิตจดทะเบียนในช่วงเดือน ม.ค. - ต.ค. 2565 อยู่ที่ 32,909 ยูนิต เติบโตประมาณ 16% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 (ที่มา: REIC)   นอกจากนี้ ผู้ประกอบการก็มีความเชื่อมั่นในการเปิดโครงการใหม่ โดยจำนวนยูนิตที่เปิดขายใหม่ในช่วงเดือน ม.ค. - พ.ย. 2565 มีทั้งหมด 52,000 ยูนิต เติบโต 128% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564   แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นจากปี 2564 แต่ตลาดคอนโดมิเนียมก็ยังมีความเปราะบาง และยังไม่กลับสู่สภาวะปกติอย่างแท้จริง บริษัทจึงยังคงระมัดระวังการเปิดโครงการประเภทคอนโดมิเนียม   ปี 2565 บริษัทไม่ได้เปิดโครงการคอนโดโครงการใหม่ เนื่องจากสภาพตลาดและบริษัทต้องการดำเนินการระบายสินค้าที่มีอยู่ในมือ อย่างไรก็ตาม ยอดขายคอนโดของบริษัทในปี 2565 เติบโตกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2564 เนื่องจากฐานที่ต่ำ ( ปี 2565 = 2,240 ล้านบาท)   7.ในปี 2565 บริษัทออกหุ้นกู้ มูลค่ารวม 13,700 ล้านบาท อายุ 2-3 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.61% ต่อปี  ณ สิ้นปี 2565 คาดว่าหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ อยู่ที่ประมาณ 51,000 ล้านบาท โดยมี  อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 6% และต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 2.24%   8.สำหรับภาพรวมอสังหาฯ เพื่อเช่าปี 2565 เป็นปีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลดีโดยตรงกับธุรกิจอสังหาฯ เพื่อเช่าของบริษัททั้งในส่วนโรงแรม อะพาร์ตเมนต์ และห้างสรรพสินค้าทั้งในประเทศไทย และสหรัฐอเมริกา   9.บริษัทดำเนินธุรกิจอสังหาฯ  ให้เช่าในประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกา โดยธุรกิจในประเทศไทย ดำเนินงานภายใต้ชื่อบริษัท แอลเอชมอลล์แอนด์โฮเทล (LHMH) และธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา ดำเนินงานภายใต้ชื่อบริษัท แอลเอชยูเอสเอ (LHUSA) โดยประกอบด้วยโครงการห้างสรรพสินค้า โรงแรม อะพาร์ตเมนต์และพื้นที่สำนักงานให้เช่า   รายละเอียดของโครงการทั้งหมดที่แสดงเป็นรายได้ค่าเช่าในงบกำไรขาดทุน ปรากฎดังนี้ โครงการในสหรัฐอเมริกาที่เปิดดำเนินการแล้ว Parc ประเภทอะพาร์ตเมนต์ ตั้งอยู่ที่ Campbell, California ด้วยเงินลงทุน 135 ล้านดอลล่าร์ Yard ประเภทอะพาร์ตเมนต์ ตั้งอยู่ที่ Portland, Oregon ด้วยเงินลงทุน 127 ล้านดอลล่าร์ Revere ประเภทอะพาร์ตเมนต์ ตั้งอยู่ที่ Campbell, California  ด้วยเงินลงทุน 119 ล้านดอลล่าร์ SpringHill ประเภทโรงแรม ตั้งอยู่ที่ Anaheim, California ด้วยเงินลงทุน 31 ล้านดอลล่าร์   10.ในปี 2565 บริษัทลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ เพื่อการให้เช่าผ่านบริษัท LHMH และ LH USA  จำนวน 3,700 ล้านบาท ประกอบด้วย  1.พัฒนาศูนย์การค้า Terminal 21 Rama 3 จำนวน​ 350 ล้านบาท และ 2.พัฒนาธุรกิจโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ จำนวน​ 3,350 ล้านบาท   11.ปี 2565 บริษัท LHMH ได้เปิดดำเนินโครงการใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ โรงแรม Grande Centre Point Space Pattayaและศูนย์การค้า Terminal 21 Rama 3 ในไตรมาสที่ 3 และ4 ตามลำดับ   อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่ได้ขายอะพาร์ตเมนต์ในสหรัฐอเมริกาตามแผนที่ตั้งไว้ เนื่องจากสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ FED ดำเนินนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง จึงส่งผลให้อัตราผลตอบแทนคาดหวังเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อมายังราคาขาย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เดินหน้าลงทุน 11,000 ล.พร้อมระดมทุนผ่านหุ้นกู้ 12,000 ล.​
เช็คด่วน !! ค่าอะไร ลดหย่อนภาษีปี 2565 ได้บ้าง

เช็คด่วน !! ค่าอะไร ลดหย่อนภาษีปี 2565 ได้บ้าง

ลดหย่อนภาษี เช็คด่วน !! เสียภาษีประจำปี 2565 มีค่าอะไรบ้าง ที่สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้บ้าง เพื่อลดภาระค่าภาษีประจำปี   แม้ว่าจะผ่านพ้นปี 2565 ไปอีกปี แต่คนไทยยังมีหน้าที่ต้องทำ ที่ไม่อาจจะละเลยได้ โดยเฉพาะคนมีรายได้ทั้งหลาย ไม่ว่ารายได้จะมาจากการทำงาน การค้าขาย หรือการทำธุรกิจต่าง ๆ นั่นก็คือ ภาระหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2565 ตามกฎหมายกำหนดไว้   โดยคนไทยที่มีรายได้ทุกคนต้องยื่นภาษีประจำปี แต่จะเสียภาษีหรือไม่ คงต้องดูฐานรายได้ในปีนั้นด้วย ซึ่งถ้ารายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี ก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่ยังไงก็ต้องยื่นรายได้ประจำปีต่อกรมสรรพากร ซึ่งสามารถยื่นได้ทั้งที่สำนักงานสรรพากรเขตพื้นที่ หรือไม่ก็ยื่นแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ https://efiling.rd.go.th โดยระบบการจัดเก็บภาษีของไทยใช้ระบบฐานภาษีแบบขั้นบันได้ คือ มีรายได้มากเสียภาษีมาก ซึ่งฐานภาษีเริ่มต้นจัดเก็บที่ 5% และสูงสุด 35%   แม้ว่าอัตราภาษีจะจัดเก็บจากรายได้สุทธิประจำปี แต่กรมสรรพากร ก็มีการให้ผู้มีรายได้ สามารถนำเอาค่าใช้จ่าย รวมถึงค่าลดหย่อน หรือค่าใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ ที่จ่ายไปตลอดทั้งปี นำมาเป็นค่าลดหย่อนได้ เพื่อทำให้เป็นรายได้สุทธิเพื่อคำนวณภาษีลดลงนั่นเอง ลดหย่อนภาษีปี 2565 มีค่าอะไรบ้าง สำหรับค่าลดหย่อนภาษีประจำปี 2565 มีหลายรายการ ทั้งค่าใช้จ่ายส่วนตัว และของครอบครัว ซึ่งนำมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนได้ ซึ่งมีหลัก ๆ ดังนี้ 1.กลุ่มค่าลดหย่อนส่วนตัว สำหรับค่าใช้จ่ายลดหย่อนส่วนตัว รวมถึงของครอบครัวที่เราจ่ายไป สามารถนำเอามาคำนวณเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายส่สนตัว คู่สมรส ค่าใช้จ่ายบุตร หรือแม้กระทั่งค่าใช้จ่ายของบิดาหรือมารดา ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ ส่วนตัว ลดหย่อนได้ 60,000 บาท คู่สมรส ลดหย่อนได้ 60,000 บาท บุตร ใช้ลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท สำหรับบุตรคนที่ 2 เป็นต้นไป ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 ใช้ลดหย่อนได้ คนละ 60,000  บาท ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตร ลดหย่อนได้ไม่เกิน 60,000 บาท ค่าดูแลบิดามารดา ใช้ลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท ค่าอุปการะผู้พิการหรือทุพพลภาพ ลดหย่อนได้คนละ​ 60,000 บาท 2.กลุ่มค่าประกันและการลงทุน ส่วนค่าใช้จ่ายที่เราซื้อประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันสังคม รวมถึงเงินที่เราซื้อประกันสุขภาพให้กับบิดาหรือมารดา กรมสรรพากรให้เรานำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ มีดังนี้ เบี้ยประกันชีวิตทั่วไปหรือเงินฝากที่มีประกันชีวิต ลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท ประกันสุขภาพ ลดหย่อนได้ไม่เกิน 25,000 บาท โดยเบี้ยประกันทั้ง 2 ประเภทข้างต้นรวมกันนำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท ประกันสังคม* ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 6,300 บาท ประกันสุขภาพบิดามารดา ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15,000 บาท เบี้ยประกันชีวิตบำนาญ 15% ของเงินได้ ลดหย่อนได้ไม่เกิน 200,000 บาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกบข.หรือกองทุนสงเคาะห์ครูโรงเรียนเอกชน ใช้ลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 200,000 บาท กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ใช้ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 500,000 บาท กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 13,200 บาท กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 200,000 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายตั้งแต่เบี้ยประกันชีวิตบำนาญ จนถึงกองทุนรวมเพื่อการออมนั้น สามารถนำมาใช้คำนวณตามมูลค่าที่กรมสรรพากรกำหนด แต่รวม​กันแล้วนำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาท 3.กลุ่มค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับกลุ่มค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ มักจะเป็นค่าใช้จ่ายตามมาตรการของภาครัฐ ที่มีออกมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละปี อย่างปี 2565 มีมาตรการช้อปดีมีคืน ที่ให้คนไทยซื้อสินค้าแล้วนำมาลดหย่อนภาษีประจำปีได้ โดยค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2565 มีรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ ดอกเบี้ยซื้อที่อยู่อาศัย ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท เงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม) ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท ช้อปดีมีคืน 2565 (1ม.ค.-15 ก.พ.65) ใช้ลดหย่อนได้ ไม่เกิน 30,000 บาท 4.เงินบริจาคต่าง ๆ  ภาครัฐยังส่งเสริมให้คนไทย แบ่งปันและช่วยเหลือสังคม โดยหากมีการบริจาคเงินในแต่ละปี ก็สามารถนำเอาเงินที่บริจาคนั้น มาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้ เงินบริจาคทั่วไป ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน เงินบริจาคเพื่อการศึกษา** การกีฬา การพัฒนาสังคมและโรงพยาบาลรัฐ ใช้ลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง แต่ไม่เกิน​ 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน บริจาคให้พรรคการเมือง ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 10,000 บาท ทั้งหมดนี้ก็เป็นค่าลดหย่อนภาษีประจำปี 2565 ที่เราสามารถนำมาใช้คำนวณ เพื่อเสียภาษีประจำปีได้ ซึ่งปกติเราสามารถยื่นภาษีได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 มีนาคม 2566 แต่หากยื่นภาษีออนไลน์ สามารถยื่นได้ถึงวันที่ 8 เมษายน 2566 ยังไงก็ต้องเตรียมความพร้อมก่อนยื่นภาษี โดยเฉพาะเอกสารต่าง ๆ เพราะหากกรมสรรพากรต้องการให้แสดงหลักฐานจะได้มีไว้ให้ตรวจสอบความถูกต้อง   การยื่นภาษีเลยกำหนดเวลา การเลี่ยงภาษี การแสดงหลักฐานเท็จ หรือการไม่ยื่นภาษี ก็ถือเป็นความผิดทางกฎหมาย ซึ่งอาจจะถูกปรับได้ และอาจจะมีโทษจำคุกด้วยนะ ยังไงก็ทำถูกกฎหมายไว้สบายใจกว่า     *ปี 2565 มีการลดอัตราเงินสมทบ ทำให้ผู้ประกันตน ม.33 ใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 6,300 บาท **กรณีบริจาคเพื่อการศึกษา หากต้องการลดหย่อน 2 เท่า จะต้องเป็นโรงเรียนในกำกับ/มีรายลื่อในกระทรวงศึกษาธิการ สามารถตรวจสอบได้ทางเว็บไซต์ของกรรมสรรพากร www.rd.go.th     ที่มา : Mahidol Channel     บทความที่เกี่ยวข้อง -ลดหย่อนภาษี สำหรับมนุษย์เงินเดือน