Tag : condo

1488 ผลลัพธ์
“ONEDER Kaset” Condo พร้อมอยู่ ใกล้ ม.เกษตร

“ONEDER Kaset” Condo พร้อมอยู่ ใกล้ ม.เกษตร

"ONEDER Kaset" Condo พร้อมอยู่ "ONEDER Kaset"  พร้อมอยู่โครงการนำร่องของ “ศิริปันนา กรุ๊ป” โครงการแรกที่บุกตลาดเมืองหลวง จากที่เป็นผู้กว้างขวางที่เชียงใหม่มานานแถมตอนนี้ยอดขายไปถึง 85%  โครงการแรกที่ลงทุนในกรุงเทพฯ  มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท หลังปรับแผนพัฒนาเป็นโปรเจ็กต์โลว์ไรส์ พร้อมเดินหน้าต่ออีก 2 โปรเจ็กต์ในปีหน้าทั้งคอนโดและบ้านแนวราบ  ที่น่าสนใจกับทำเลใหม่ๆ และอยู่แบบรีสอร์ท   "ONEDER Kaset" Condo พร้อมอยู่  "ONEDER Kaset"  ตั้งอยู่ติดถนน งามวงศ์วาน การเดินทางเชื่อมต่อกับ ถนนวิภาวดีรังสิต ถนนแจ้งวัฒนะ ทางด่วนศรีรัช และดอนเมืองโทลเวย์  เป็นย่านชุมชนเมืองที่อยู่อาศัยดั้งเดิม มีครบทั้งแหล่งงาน บ้านพักอาศัย โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย และอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าสถานีบางเขนเพียง 200 เมตร, ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง และ BTS ม.เกษตร ในอนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี (บึงกุ่ม) ผ่านหน้าโครงการ   "ONEDER Kaset" อยู่บนที่ดินกว่า 4 ไร่ โครงการ LOW RISE 8 ชั้น มูลค่ารวมกว่า 1,400 ล้านบาท   มี 3 อาคาร  ตัวอาคารโดดเด่น สีส้ม แดง แซมด้วยสีน้ำตาล มีห้องชุดพักอาศัยทั้งสิ้น 585 ยูนิต มีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 21.50-36.05 ตารางเมตร และพื้นที่สำหรับร้านค้า 7 ยุนิต  ที่จอดรถ 35% มีห้องชุดให้เลือก 4 แบบราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท   "ONEDER Kaset" มีแบบและขนาดให้เลือก Studio ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 21.50 - 23.55 ตร.ม. Studio Exclusive ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 23.75 – 25.35 ตร.ม. One Bedroom ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 27.95 – 28.85 ตร.ม. One Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 35.00 – 36.05 ตร.ม.   "ONEDER Kaset" Condo พร้อมอยู่ "ONEDER Kaset" มีส่วนกลางขนาดรวมเกือบ 2ไร่ มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ครบครัน พื้นที่สวนสวนขนาดใหญ่ 1 ไร่ อยู่ตรงกลางระหว่างอาคารทั้ง 3 ตึก พื้นที่สีเขียว ร่มรื่น มีอุโมงค์ต้นไม้ สระว้ายน้ำ มีพื้นที่ชั้นบน เป็นSky Running และ Sky Garden เชื่อมต่อกับทุกอาคาร     "ONEDER Kaset" Condo โครงการแรกในเมืองหลวง ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด โครงการที่จะสร้างดีเอ็นเอของ ศิริปันนา กรุ๊ป  เพื่อก้าวสู่โครงการต่อๆไป ปัจจุบันไม่ถึง 100 ยูนิตเท่านั้น โครงการได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ นำห้องชุด 20 ยูนิตมาจัดโปรโมชั่นแถมเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า แบบเข้าอยู่ได้เลย หรือ พร้อมจะลงทุนทันที ไม่ต้องตกแต่งแล้ว แล้วไม่ต้องกังวลว่าห้องที่เหลือจะเป็นห้องมุมไม่สวยวิวไม่ดี  ทางโครงการยืนยันว่า เป็นห้องที่คัดเลือกมาแล้วในมุมสวยๆ และมีทุกขนาดให้เลือก  ในราคาเริ่มต้น 2.1 ล้านบนาท สูงสุดประมาณ​ 3.8-3.9 ล้านบาท โดยเป็นการันตีผลตอบแทนจากการเช่า 6% เป็นเวลา 1 ปี   บทความที่น่าสนใจ “ศิริปันนา กรุ๊ป” กวาดยอดกว่า 85% ​ วันเดอร์ เกษตร หลังปรับแผนปั้นโปรเจ็กต์โลว์ไรส์สู้โควิด-19  
เอพี ไทยแลนด์  รายได้รวม 9 เดือนนิวไฮกว่า 37,560 ล้าน  เดินหน้าเปิด 18 โครงการใหม่

เอพี ไทยแลนด์ รายได้รวม 9 เดือนนิวไฮกว่า 37,560 ล้าน เดินหน้าเปิด 18 โครงการใหม่

เอพี ไทยแลนด์  กวาดผลประกอบการ 9 เดือน ทำรายได้รวมกว่า 37,560 ล้าน กำไรสุทธิโตทะลุ 4,720 ล้าน ขณะที่​ยอดขาย  10 เดือนทำได้ 45,410 ล้านบาท ทะลุ 90% ของเป้ายอดขายทั้งปีที่ 50,000 ล้าน พร้อมเดินหน้าเปิด 18 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 26,360 ล้านโค้งท้ายปี   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างรายได้ จากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ทำนิวไฮสูงสุดถึง 37,566 ล้านบาท คิดเป็น 80%  จากเป้ารายได้รวม (100% JV) ทั้งปีที่ 47,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้ดังกล่าวเติบโตกว่า 24% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ที่ทำได้ 30,324 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิมากถึง 4,722 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 3,549 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเท่ากับ 0.52 เท่า แผนการดำเนินธุรกิจของเอพีในปี 2565 กับการวางเป้าหมายเป็นที่สุดแห่งปี ประสบความสำเร็จและสามารถสร้างสถิติใหม่สู่การเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ตอกย้ำภาพความเป็นผู้นำในทุกกลุ่มธุรกิจทั้งสินค้าทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม   มั่นใจถึงเป้ารายได้ทั้งปี 47,000 ล้านบาท ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมยังคงเป็นซูเปอร์สตาร์ของปี คีย์ไดรฟ์สำคัญในการสร้างรายได้ให้กับบริษัท จากกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ของลูกค้าโอนกรรมสิทธิ์ทั้งโครงการใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการเปิดขาย ควบคู่กับการฟื้นตัวเติบโตในทิศทางที่ดีอย่างมีนัยสำคัญ ของตลาดคอนโดมิเนียมที่มีการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง   การโอนกรรมสิทธิ์ในคอนโดยังมีต่อเนื่อง อย่าง  2 คอนโดใหม่ที่ก่อสร้างเสร็จในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ได้แก่ RHYTHM เอกมัย เอสเตท และ LIFE สาทร เซียร์รา ทำให้ ณ 31 ตุลาคม 2565 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มากถึง 37,065 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ถึงปี 2568 จึงมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถสร้างรายได้รวมได้ตามเป้าหมายในปีนี้ทั้งปีที่ 47,000 ล้านบาท พร้อมทั้งจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตต่ออย่างมั่นคงในอนาคตอย่างแน่นอน   นอกจากนี้ บริษัท ยังมีผลงานยอดขายที่แข็งแกร่ง และยังคงสร้าง New Record สูงสุดที่บริษัทเคยทำได้ ณ สิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ด้วยยอดขายมากถึง 45,408 ล้านบาท หรือคิดเป็น 90% ของเป้ายอดขายที่ตั้งไว้ที่ 50,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 46% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แบ่งเป็นยอดขายจากสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่ 36,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% และเป็นยอดขายจากสินค้าแนวสูงที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนที่ 9,254 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 3 เท่าตัว โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้บริษัทประสบความสำเร็จในมิติยอดขายที่แข็งแกร่ง นอกจากความเชื่อมั่นของลูกค้าต่อแบรนด์สินค้าเครือเอพีที่มากกว่า 17 แบรนด์ ที่มุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า เพื่อส่งมอบความปรารถนาในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน ให้ทุกนิยามความสุขที่ต้องการเกิดขึ้นได้จริงแล้ว และยังสะท้อนถึงดีมานด์ตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังคงเป็นที่ต้องการ ทั้งตลาดบ้านแนวราบที่เติบโตต่อเนื่อง และโดยเฉพาะตลาดคอนโด ที่มีการฟื้นคืนกลับของลูกค้าอย่างเห็นได้ชัด   บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผน BREAKTHROUGH ทุกข้อจำกัด ด้วยการวางแผนเปิดตัว​โครงการใหม่ทั้งสิ้น 18 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 26,360 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 4 โดยมีไฮไลต์ในช่วง 2 เดือนสุดท้าย กับการเปิดตัว  “พื้นที่ชีวิตใหม่” จากบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ล่าสุด MODEN บ้านเดี่ยวหลังใหญ่บนทำเล พระราม 2, บางนา – เทพารักษ์​ และบางนา – ศรีนครินทร์ ราคาเริ่ม 3.99 – 9 ล้านบาท และคอนโด  ASPIRE  อ่อนนุช สเตชั่น มูลค่า 2,700 ล้านบาท โปรเจกต์แฟล็กชิป “Exclusive ASPIRE” เขย่าตลาดคอนโดใหม่เพียงหนึ่งเดียว ในย่าน ติดถนนสุขุมวิท เพียง 200 เมตรถึงรถไฟฟ้า BTS  สถานีอ่อนนุช ราคา 1 ห้องนอน  เริ่ม 129,000 บาท/ตารางเมตร เพียง 3.59 ล้านบาท Exclusive Booking วันที่ 26 - 27 พฤศจิกายนนี้ บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้พันธกิจใหญ่คือ การส่งมอบชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ ด้วยแผนการดำเนินงานที่รัดกุม ควบคู่ไปกับความพร้อมที่จะปรับตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยการบริหารจัดการแบบกระจายอำนาจ ควบคู่การบริหารจัดการกระแสเงินสดอย่างเคร่งครัด   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -4 การเปลี่ยนแปลงรอบ 20 ปี ของ “บ้านกลางเมือง” -เอพี ไทยแลนด์ โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 25,276 ล้าน พร้อมผลงานทำกำไรโต 31%
4 การเปลี่ยนแปลงรอบ 20 ปี ของ “บ้านกลางเมือง”

4 การเปลี่ยนแปลงรอบ 20 ปี ของ “บ้านกลางเมือง”

บ้านกลางเมือง บ้านกลางเมือง สินค้าเรือธง ทาวน์โฮม ค่ายเอพี ไทยแลนด์ ความสำเร็จตลอด 20 ปี กับ 4 การเปลี่ยนแปลงใหม่ในปี 2022   บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นพัฒนาโครงการทาวน์โฮมครั้งแรกในปี 2545 ภายใต้แบรนด์ บ้านกลางเมือง เนื่องจากมองเห็นโอกาสทางการตลาด และความต้องการของลูกค้า ที่ต้องการอยู่บ้านทาวน์โฮมขนาด 3 ชั้น บริษัทจึงได้นำรูปแบบของอาคารพาณิชย์ มาพัฒนาและปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ที่มีความทันสมัย โดยเริ่มต้นพัฒนา บ้านกลางเมือง รัชดา-เหม่งจ๋าย เป็นโครงการแรก ไทม์ไลน์ความสำเร็จบนเส้น 20 ปี  โดยหลังจากนั้น เอพี ได้พัฒนาโครงการใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในแต่ละปีก็มีพัฒนาการและวิธีการทำงานที่เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม และแผนธุรกิจ  โดยตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา บ้านกลางเมืองมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่สำคัญ ๆ ดังนี้ ปี 2545 ปีแรกที่ได้พัฒนาแบบบ้านในรูปแบบคลาสสิคในธีม Big City และหลังจากนั้นได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบบ้าน จากคลาสสิคมาสู่ความเป็นโมเดิร์น ปี 2552 จึงเปิดตัว Urbanion Model และมีการพัฒนาบ้านแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง ปี 2557 ได้พัฒนาแบบบ้านทาวน์โฮม 3.5 ชั้น พร้อมชั้นลอยสูง 5.5 เมตร ปี 2558 ได้เปิดตัว บ้านกลางเมือง ดิอิดิชั่น ด้วยบ้านแบบใหม่ X-Trend Model เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการอยู่อาศัยในทาวน์โฮม ปี 2559  เอพี ไทยแลนด์ ได้ขยายตลาดบ้านทาวน์โฮม ไปสู่กลุ่มลูคค้าลักชัวรี่ ด้วยการเปิดตัวแบรนด์บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ ซึ่งเน้นโลเกชั่นในย่านใจกลางเมืองเป็นหลัก ปี 2560 เปิดตัวบ้านกลางเมือง ในรูปบบ TERRARIA MODEL ที่เป็นการนำพื้นที่สีเขียวเข้ามาไว้ในบ้านทาวน์โฮม ปี 2565 เอพี ไทยแลนด์ ได้วางแนวทางธุรกิจสินค้าทาวน์โฮม ภายใต้พันธกิจ​ Unlock Vertical Life ทำให้เปิดตัวบ้านกลางเมืองโมเดลใหม่มากที่สุดถึง 10 แบบ และนำเอาแบรนด์บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ กลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้งหลังหยุดทำตลาดนานกว่า 7 ปี พร้อมกับเปิดตัวบ้านแบบใหม่ Eclectic Modern Series และ Legacy Classic Series พร้อมบ้านกลางเมือง ดิอิดิชั่น ฟังก์ชั่นใหม่   4 การเปลี่ยนแปลง “บ้านการเมือง” ยุค 2022 นายเมธา รักธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าทาวน์โฮม บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บ้านกลางเมืองเดินทางมาครบ 20 ปี ซึ่งถือได้ว่าแบรนด์ที่อยู่ได้นานขนาดนี้ คือ เป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งและเป็นตำนาน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แบรนด์บ้านกลางเมืองมีการเติบโตอยู่ตลอดเวลา โดยในปีนี้บริษัทเปิดตัวแบบบ้านใหม่มากที่สุด และมีการทำตลาดครั้งสำคัญ ด้วยกลยุทธ์ Music Marketing ที่ได้นำเอานักร้องในตำนาน อย่างก้อง-สหรัถ มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ครั้งแรก โดยใช้งบประมาณการทำตลาดในปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า 20 ล้านบาท   สำหรับแนวทางการตลาดของบ้านกลางเมืองในปีนี้ ถือว่าเป็นการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไปจากอดีตที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทวางแนวทางธุรกิจ ภายใต้พันธกิจ Unlock Vertical Life ซึ่งมีการเปลี่ยนรูปแบบเกือบทุกอย่างของแบรนด์บ้านกลางเมือง ดังนี้ 1.เพิ่ม Product Mix ในแต่ละโครงการ ในอดีตโครงการบ้านกลางเมือง จะมีรูปแบบบ้านเพียงรูปแบบเดียว คือ ทาวน์โฮม แต่ปัจจุบันจะเป็นการผสมผสานรูปแบบบ้านหลายชนิดไว้ในโครงการเดียวกัน อาทิ มีแบบบ้านแฝด บ้านแฝด 3 ชั้น แบบบ้านทาวน์โฮม 3 ชั้น เป็นต้น 2.ฟังก์ชั่นบ้านเปลี่ยน ขณะที่ตัวบ้านมีการปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งาน หรือการดีไซน์เลย์เอ้าท์บ้านเปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้ตามไลฟ์สไตล์ และการใช้งานจริง อาทิ การนำเอาพื้นที่ห้องลิฟวิ่งรูม และห้องครัว ย้าวไปไว้ที่ชั้น 2 การมีพื้นที่ชั้นล่าง ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายรูปแบบ ตามความต้องการของลูกค้า เช่น ปรับเป็นห้องทำงาน ปรับเป็นห้องนอนผู้สูงอายุ หรือผสมผสานพื้นที่ได้ตามความต้องการ เป็นต้น 3.การทำตลาดเปลี่ยน ในอดีตการทำตลาดของบ้านกลางเมือง ทีมการตลาดจะทำงานภายใต้แนวคิดในการสร้างยอดขายเป็นหลัก ทำให้รูปแบบการตลาด ออกมาเป็น โปรโมชั่น หรือการส่งเสริมการขายในรูปแบบต่าง ๆ แต่ปัจจุบันการทำงานของทีมการตลาด จะต้องเน้นการสร้างแบรนด์ให้กับบ้านกลางเมืองควบคู่ไปด้วย จะไม่เน้นการขายสินค้าอย่างเดียว จึงเป็นที่มาของการกลยุทธ์ Music Marketing ในปีนี้ และต่อเนื่องไปถึงปีหน้าด้วย 4.เปลี่ยนคอนเซ็ปต์การซื้อที่ดิน  รูปแบบการซื้อที่ดินเปลี่ยนแปลงไป โดยจะเน้นการซื้อที่ดินให้สอดคล้องกับบ้านกลางเมืองแต่ละแบรนด์ โดยเฉพาะบ้านกลางเมืองคลาสเซ่ ที่ถือเป็นสินค้าทดแทนคอนโดมิเนียม สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการอยู่ทำเลใจกลางเมือง แต่ไม่ต้องการอยู่คอนโด เนื่องจากต้องการได้พื้นที่มากขึ้น แต่มีระดับราคาใกล้เคียงกับคอนโดในเมือง ซึ่งการซื้อที่ดินจะไม่ได้ดูเรื่องราคาเป็นหลัก แต่ดูศัยกภาพของที่ดินว่าสามารถแข่งขันได้หรือไม่ ​   ตลอดระยะเวลา 20 ปีของแบรนด์ บ้านกลางเมือง แต่ละปีมีอัตราการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เป็นหนึ่งแบรนด์สำคัญของ เอพี ไทยแลนด์ ในการช่วยความสำเร็จให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี และตัวแบรนด์เองก็มี Success Story มาโดยตลอด อย่างเช่น บ้านกลางเมือง สาทร-กัลปพฤกษ์ 2 ที่สามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่เปิดการขาย หรือแม้แต่การนำเอาแบรนด์ บ้านกลางเมือง คลาดเซ่ มาทำตลาดใหม่ในรอบ 7 ปี ก็กวาดยอดขายโครงการบ้านกลางเมือง คลาสเซ่ สุขุมวิท 77 ได้ถึง 800 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์เช่นกัน จึงต้องจับตามองกับเบอร์ 1 ตลาดทาวน์โฮมว่าก้าวย่างต่อไปจะมีอะไรให้ติดตามอีกบ้าง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ กับ 4 ไฮไลท์ลุยตลาดบ้านเดี่ยวครึ่งปีหลัง เปิดตัว โมเดน แบรนด์ใหม่เจาะราคา 3-5 ล้าน -เอพี ไทยแลนด์ โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 25,276 ล้าน พร้อมผลงานทำกำไรโต 31%
10 เรื่องต้องคิด ซื้อบ้านหรือคอนโดดี? ถ้างบเท่ากัน

10 เรื่องต้องคิด ซื้อบ้านหรือคอนโดดี? ถ้างบเท่ากัน

ก่อนเกิดสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด เชื่อว่าคนที่อยากซื้อบ้านก็จะเลือกซื้อบ้าน ส่วนคนที่อยากอยู่คอนโดมิเนียม ก็คงเลือกซื้อคอนโด ตัดสินใจได้ไม่ยาก แต่พอเกิดโควิด-19 ระบาด หลายคนก็อาจจะลังเล และชั่งใจ จะเอาไงดี ซื้อบ้านหรือคอนโดดีกว่ากัน ถ้าราคาบ้านและคอนโดเท่ากัน เพราะช่วงโควิดระบาดที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่อยู่กับบ้าน จึงต้องการใช้พื้นที่เพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ บ้านก็เลยขายดี   แต่ตอนนี้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ คนต้องกลับมาทำงานที่ออฟฟิศกันแล้ว การจะเลือกไปอยู่บ้าน ที่ส่วนใหญ่อยู่ไกล หรือไม่ก็แถบชานเมือง การเดินทางต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายเยอะขึ้น ก็น่าจะลังเล และเกิดคำถามขึ้นมาว่าถ้าจะเลือกซื้อบ้านหรือคนโดดี ถ้ามีงบเท่ากัน หรือราคาบ้านและราคาคอนโดก็พอ ๆ กันนั่นเอง   วันนี้ Reviewyourliving มีบทความ "10 เรื่องต้องคิด ซื้อบ้านหรือคอนโดดี? ถ้างบเท่ากัน" มาเป็นเครื่องช่วยในการตัดสินใจ ว่าอะไรจะเหมาะกับคุณ ๆ 1.ทำเลที่ตั้ง เริ่มต้นแรกของการพิจารณาว่าจะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดดี ถ้ามีงบประมาณเท่ากัน คงต้องเป็นเรื่องของ ทำเลที่ตั้ง เพราะมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะเรื่องการเดินทางไปทำงาน ซึ่งหลายคนอาจจะต้องคิดถึงคนอื่น ๆ ในครอบครัวด้วย (ถ้าไม่ใช่พักอาศัยแค่ตัวเราคนเดียว) ไม่ว่าจะเป็นแฟนเราที่ต้องเดินทางไปทำงาน หรือใครมีลูกก็ต้องคิดถึงที่ตั้งของโรงเรียนลูกด้วย เพราะเราคงต้องเดินทางไปส่งลูกที่โรงเรียน และต้องเดินทางต่อไปทำงาน   เรื่องของทำเลที่ตั้ง คงต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมในเรื่องการเดินทาง ไปยังสถานที่จำเป็นต้องไป ว่าห่างไกลกันแค่ไหน มีบริการรถสาธารณะเชื่อมต่อกันไหม เพราะหากใครไม่มีรถยนต์ส่วนตัว หรือต่อให้มีถ้าไม่สะดวกต่อการเดินทาง รับรองต้องเสียทั้งเวลา และต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะมาก หากต้องการเดินทางสะดวก ใกล้รถไฟฟ้า บริหารเวลาเดินทางได้ การเลือกที่อยู่อาศัยก็ต้องเลือก คอนโด​ หากไม่มีปัญหาเรื่องการเดินทาง หรือสามารถบริหารจัดการเรื่องการเดินทางได้ รวมถึงมีที่ทำงานอยู่ชานเมือง หรือบริเวณรอบนอก หากจะเลือกบ้าน ก็สามารถทำได้ 2.พื้นที่ใช้สอย ถ้าใครมีโจทย์สำคัญของการอยู่อาศัย ที่ต้องการพื้นที่มาก ๆ ในการอยู่อาศัย คำตอบแรก ก็ต้องเลือกซื้อบ้าน เพราะหากพิจารณาเฉพาะเรื่องราคาของอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียว บ้านหรือทาวน์โฮม มีขนาดพื้นที่มากกว่าคอนโดอย่างแน่นอน ถ้าหากอยู่อาศัยกันแบบคู่รัก หรือ 1-2 คน ไม่ได้ต้องการพื้นที่มากนัก การเลือกคอนโด ก็ตอบโจทย์ไม่ต้องดูแลมาก แถมได้ทำเลในเมือง แต่หากใครต้องการพื้นที่มาก เพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือทำงานจากที่บ้าน หรืออยู่แบบครอบครัวขยาย การเลือกบ้านน่าจะเหมาะสมกว่า ในงบประมาณที่เท่ากับการซื้อคอนโด 3.สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่จอดรถ เรื่องสิ่งอำนวยความสะดวก อาจจะต้องดูเป็นโครงการ ๆ ไป ว่าใครสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่ากัน ซึ่งเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องหลักในการพิจารณาว่าจะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดดี ถ้ามีงบเท่ากัน คอนโด ส่วนใหญ่จะจำกัดจำนวนรถยนต์ให้ห้องละ 1 คันเท่านั้นที่จอดได้ หากมีรถมากกว่า 1 คันอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม บ้าน มักจะจอดรถได้มากกว่า 1 คัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ของบ้านที่ซื้อ แต่โดยส่วนใหญ่จะจอดได้อย่างน้อย 2  คัน 4.การดูแล-ซ่อมบำรุง การดูแลบ้าน หรือการซ่อมบำรุงความเสื่อมของที่อยู่อาศัย ก็เป็นข้อพิจารณาเพิ่มเติม อาจจะไม่ใช่เรื่องหลักที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจ จะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดดี ถ้ามีงบเท่ากัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ควรรู้ไว้ เพราะเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมกับเราภายหลัง ที่หลายคนอาจจะละเลย หรือลืมพิจารณา คอนโด ถือว่ามีจุดดูแล-ซ่อมบำรุงน้อย ซึ่งจะดูแลเฉพาะภายในห้องพักเราเท่านั้น และมักไม่ค่อยมีปัญหามาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกงานระบบไฟ หรือระบบประปา และอยู่ในพื้นที่จำกัดเฉพาะของห้องเราเท่านั้น บ้าน มีจุดดูแลและซ่อมบำรุงมาก ทั้งพื้นที่ในบ้านไม่ว่าจะเป็นพื้น ผนัง ตัวโครงสร้าง หลังคา รวมถึงงานระบบต่าง ๆ ทั้งระบบไฟฟ้า ระบบประปา ระบบรักษาความปลอดภัย และพื้นที่รอบบ้าน​ ทั้งรั้ว สนามหญ้า ประตูรั้วบ้าน ก็ต้องดูแล ถือว่ามีงานที่ต้องดูแลเยอะ และหากเสียหาย ชำรุด ก็คงต้องเสียเงินเยอะพอสมควร 5.บรรยากาศ และสภาพแวดล้อม บรรยากาศการอยู่บ้าน กับบรรยากาศการอยู่คอนโด คงไม่เหมือนกัน เพราะสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนว่าจะเลือกแบบไหน คอนโด มักจะอยู่ในสภาพแวดล้อมของเมือง มุมมองหรือวิว ก็จะได้วิวเมือง บ้าน บรรยากาศก็จะเป็นชุมชน บ้านเรือนแวดล้อม ไม่มีจุดชมวิวบนที่สูง อาจจะได้วิวสวนของโครงการ หรือ สวนของบ้านเราเอง รอบ ๆ ข้างก็เป็นบรรยากาศเพื่อนบ้าน 6.เพื่อนบ้านและความเป็นส่วนตัว การพักอาศัยในคอนโดกับบ้านจัดสรร ความเป็นส่วนตัวคงแตกต่างกันพอสมควร  ถ้าเราอยู่คอนโดโอกาสจะเจอเพื่อนบ้านหรือรู้จักกันก็น่าจะน้อยกว่าการอยู่บ้านจัดสรร ทำให้มีความเป็นส่วนตัวถ้าอยู่บ้านจะมีมากกว่า ขณะเดียวกันปัญหาระหว่างเรากับเพื่อนบ้านก็น่าจะน้อยกว่าด้วย คอนโด คนที่พักอาศัยมักจะไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกัน และเราแทบจะไม่รู้จักกับคนอยู่ข้างห้องเลย ทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูงกว่า บ้าน มีโอกาสพบเจอและรู้จักเพื่อนบ้านได้มากกว่าคอนโด ​ซึ่งปัญหาเพื่อนบ้านมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าการอยู่คอนโด หากเราไปเจอเพื่อนบ้านที่นิสัยไม่ดี 7.ปัญหา-ความปลอดภัย ปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับบ้าน การอยู่อาศัยในบ้านจัดสรรมีโอกาสที่เราจะพบเจอได้มากกว่าการอยู่คอนโด อย่างเช่น ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งอยู่คอนโดปัญหาอย่างมากก็แค่เราเข้า-ออกคอนโดได้ลำบาก แต่ถ้าอยู่บ้านน้ำอาจจะท่วมเข้ามาในตัวบ้าน สร้างความเสียหายให้ได้  หรือแม้แต่เรื่องสัตว์มีพิษต่าง ๆ อยู่บ้านก็มีโอกาสเจอมากกว่า คอนโด ถือว่ามีความปลอดภัยสูง เพราะบุคคลภายนอกเข้า-ออกได้ยาก ไม่มีปัญหาน้ำท่วมที่พักอาศัย หรือสัตว์มีพิษเข้ามาได้ยาก บ้าน มีโอกาสคนบุกรุก หรือลักลอบเข้ามาได้ง่าย หากมีปัญหาน้ำท่วมก็อาจจะเข้ามาสร้างความเสียหายต่อที่อยู่อาศัยได้ รวมถึงสัตว์มีพิษเข้าบ้านได้ง่ายกว่าคอนโด 8.ไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัย การเลือกว่าจะซื้อบ้านหรือคอนโดดี ถ้ามีงบเท่ากัน อีกเรื่องที่ต้องคิดและน่าจะสำคัญลำดับต้น ๆ ก็คือ ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย เพราะมันคือวิถีชีวิตของตัวเรา ว่าเรามีความชอบอย่างไร มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างไร คอนโด เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย-พักผ่อน ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรมากมาย หรือไม่ได้ต้องการใช้พื้นที่ทำงานจากที่บ้าน หรือประกอบธุรกิจ (แต่บางคอนโดในปัจจุบัน ก็มีพื้นที่ส่วนกลางรองรับการทำงานจากที่บ้าน หรือทำธุรกิจจากที่บ้านได้ อาจจะต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ เพิ่มเติม) บ้าน สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากมาย เช่น คนที่ชอบทำสวน ปลูกต้นไม้ เพาะต้นไม้ หรือชอบเลี้ยงสัตว์ ชอบทำอาหาร หรือมีธุรกิจที่สามารถทำจากที่บ้านได้ การอยู่บ้านน่าจะตอบโจทย์เรื่องพวกนี้ได้ดี 9.ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง นอกจากเงินที่ต้องมีสำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดแล้ว ค่าใช้จ่ายที่จะตามมาภายหลังการอยู่อาศัย ก็ควรพิจารณาประกอบด้วย เพราะการอยู่บ้านกับการอยู่คอนโด ค่าใช้จ่ายตามมาก็ไม่เท่ากันแน่นอน ซึ่งอยู่บ้านน่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมภายหลังสูงกว่า คอนโด มักจะมีค่าใช้จ่ายหลัก ๆ คือ ค่าส่วนกลาง ส่วนที่เหลือก็อาจจะเป็นค่าซ่อมบำรุงตามสภาพการใช้งานของอุปกรณ์ภายในห้อง บ้าน ถ้าเปรียบเทียบกับคอนโดค่าใช้จ่ายจะมีมากกว่า เพราะนอกจากค่าส่วนกลางที่จ่ายตามขนาดพื้นที่ (ซึ่งมากกว่าคอนโด) ยังต้องมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบ้านในเรื่องอื่น ๆ ด้วย เช่น ค่าซ่อมบำรุงบ้าน ค่าดูแลสวน เป็นต้น 10.โอกาสการลงทุน เรื่องของโอกาสได้รับผลตอบแทนจากบ้านหรือคอนโด หากใครที่มองเรื่องนี้ ก็ต้องพิจารณาหลายเรื่องเป็นองค์ประกอบ แต่ที่แน่ ๆ หากต้องการซื้อเพื่อปล่อยเช่า การเลือกซื้อคอนโดน่าจะตอบโจทย์ได้มากกว่า เพราคอนโดปล่อยเช่าได้ง่าย และความต้องการสูงกว่า คอนโด ปล่อยเช่าหรือขายต่อได้ง่าย เพราะความต้องการสูงกว่า คนที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยมักจะเลือกเช่าคอนโดมากกว่าบ้าน เพราะทำเลที่ตั้งใกล้แหล่งงาน แถมราคาค่าเช่าก็ถูกกว่าบ้าน แต่ราคาขายต่อก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอื่น ๆ บ้าน ปล่อยเช่าหรือขายต่อได้ยากกว่าคอนโด และคนส่วนใหญ่ซื้อบ้านมักจะเป็นผู้ที่อยู่อาศัยเอง กลุ่มนักลงทุนที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าจะมีน้อยกว่าประเภทคอนโด ส่วนเรื่องราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นตามระยะเวลานั้น ก็ต้องมีเรื่องอื่น ๆ เป็นองค์ประกอบด้วย เช่น ทำเลที่ตั้ง สภาพบ้าน ขนาดพื้นที่ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ ก็เป็นไกด์ไอเดียให้กับผู้ที่กำลังลังเลว่า จะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดดี ถ้ามีงบเท่ากัน ซึ่งหลักเกณฑ์คร่าว ๆ ให้ใช้พิจารณาเลือกให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ วิถีชีวิต และความต้องการการอยู่อาศัย ว่าแบบไหนจะเหมาะกับตัวเรา และคนในครอบครัวมากที่สุด     ที่มา -Reviewyourliving รวบรวม    
The Reserve 61 Condo Luxury ที่ทำให้ทุกๆวันให้เป็นวันพักผ่อน

The Reserve 61 Condo Luxury ที่ทำให้ทุกๆวันให้เป็นวันพักผ่อน

The Reserve 61 Condo Luxury The Reserve 61 Hideaway  คอนโดโลว์ไรส์ระดับ Luxury ตั้งอยู่ท้ายซอยสุขุมวิท 61 มีทางเข้าออกได้ 2 ทาง จะทางสุขุมวิท 61 ซอยข้างเมเจอร์เอกมัย หรือจะออก สุขุมวิท 63 เอกมัย ก็ได้  การเดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้า 850 เมตรถึงสถานีเอกมัย มี Shuttle  รับส่งปากซอยสุขุมวิท 61 พร้อมทุกการเข้าออกของลูกบ้าน เพียงโทรจ้างความต้องการ .   The Reserve 61 Condo Luxury อีกความสุดยอดและคัดสรรมาเป็น อย่างดีคือการเลือก  3 บริษัทออกแบบที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อย่าง บริษัท I’ll Design Studio (งานสถาปัตยกรรม) บริษัท T.R.O.P :Terrain & Open Space (งานภูมิสถาปัตย์) และบริษัท PIA Interior (งานออกแบบตกแต่งภายใน)  ทำทำให้โครงการนี้ เก็บรายละเอียดได้ครบจริงๆ   . The Reserve 61 ถูกวางบนพื้นที่โครงการ 3 ไร่เศษๆ เป็นอาคาร 7 ชั้น ได้ 2 อาคาร อาคารล้อมส่วนกลางที่มีขนาด1 ใน3 ของขนาดโครงการทั้งหมด  สระว่ายน้ำตัว U แบบ INFINITE POOL ความยาว 90 เมตร มีพื้นที่ตรงกลางคือ HIDEAWAY GARDEN ที่ล้อมด้วยพื้นที่สวน เชื่อมต่อกับพื้นที่ชั้นใต้ดิน ที่มี PRIVATE SALON & SPA ,Private Steam,Private Sauna ,WELLNESS RETREAT & ONSEN  มีที่จอดรถ100 % มี EV Charger ถึง 10 Slot และพื้นที่สำหรับจอดรถสปอร์ต  ซุปเปอร์คาร์ขนาดพิเศษ  สำหรับยูนิตพิเศษมีจุดจอดรถเฉพาะประตูปิดมิดชิด ส่วนตัวมากๆ . . The Reserve 61 โครงการที่นี่ มี 2 อาคาร สูง 7 ชั้น  จำนวน 155 ยูนิต ห้องมีตั้งแต่ 1 BEDROOM ถึง 3 BEDROOM เริ่ม 49.73 ตร.ม. ไปจนถึง 228.55 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นที่  12.9 ล้านบาท ขายแบบ Fully Furnished พร้อมอยู่ . . ภายในห้องพักหน้ากว้างที่ใส่ใจในรายละเอียด เริ่มจากประตู ดิจิตอลดอล็อกที่ดูสุดอลังการแข็งแรง   Mail Box อยู่ที่หน้าประตู นิติจะส่งจดหมายให้ถึงห้อง ตู้เก็บของเยอะมาก จุดแขวนจุดเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดและซักล้างได้อย่างดีมิดชิด สะดวกกับการนำออกมาใช้งาน . . ครัว built-in เป็นชุดครัวของ Gorenje by philippe Starck ใต้ Sink ล้างจานมีระบบ บดเศษอาหารที่อาจจะหลุดรอดไปก่อนลงท่อน้ำทิ้ง  ห้องแบบ 2 นอน ในห้องน้ำให้คิดถึงโรงแรมหรู 5 ดาวที่มีอ่างล้างหน้าแยก his & her แบบลอยตัว ปลั๊กไฟ ยูนิเวอร์แซล ที่ใส่ใจถึงการใช้งาน ทุกรูปแบบของเครื่องใช้ไฟฟ้า . . The Reserve 61 มีห้องให้เลือกหลายขนาด แต่ก็ไม่ทันแล้ว Duplex และ Triplex ขายหมดไปเรียบร้อย และปัจจุบันก็เหลือให้ เลือกไม่มาก ชมห้องตัวอย่างห้องจริงได้ ห้อง 2 นอน 3 ห้องน้ำ ขนาด 121 ตรม. ราคา 35 ลบ.ขายแบบ Fully Furnished โดยราคาเฉลี่ยของที่นี่จะประมาณตรม.ละ 26x,xxx บาท ห้องราคาเริ่มต้นคือ 12.9 ลบ. ขนาด 48 ตรม. ส่วนกลาง 90 บาท   บทความน่าสนใจ พฤกษา ลุย 3 ธุรกิจหลัก สร้างการเติบโตยั่งยืน โชว์ผลงาน Q2 ทำรายได้ 5,389 ล้าน [PR News] พฤกษา ปล่อยกิจกรรม PRUKSA Tomorrow Verse ตอกย้ำจุดยืน “ลีฟวิ่ง โซลูชั่น”  9 บทสรุป ผลประกอบการพฤกษา Q1/65 และทิศทางไปต่อ  
Ideo Rama 9 – Asoke คอนโดคอนเซปต์ Live Work Play สนุกสุดได้ทุกวัน

Ideo Rama 9 – Asoke คอนโดคอนเซปต์ Live Work Play สนุกสุดได้ทุกวัน

Ideo Rama 9 - Asoke คอนโดคอนเซปต์ Live Work Play สนุกสุดได้ทุกวัน ทำเลในโซนพระราม 9 โดยเฉพาะบริเวณโดยรอบแยกพระราม 9 ตัดกับถนนอโศก-ดินแดง มีคอนโดมิเนียมทั้งโครงการเก่าและใหม่รายล้อมอยู่เป็นจำนวนมาก เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบถ้วน แล้วก็ยังเป็นพื้นที่พัฒนาโครงการใหญ่ๆ อีกมากมาย ทั้ง อาคารสำนักงาน, โครงการมิกซ์ยูส รวมถึงการมาของรถไฟฟ้าสายสีส้มเพิ่มเติมจากสายสีน้ำเงินที่มีอยู่เดิม ก็ยิ่งตอกย้ำความเป็น New CBD ของเมืองให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนั้นคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวในย่านนี้ จึงมักจะชูคอนเซปต์เอาใจคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบวิถีชีวิตในเมืองที่สะดวกเพียบพร้อมไปรอบด้าน   รีวิวครั้งนี้ เราจะพาไปชมโครงการ Ideo Rama 9 – Asoke คอนโดมิเนียม High Rise โครงการพร้อมอยู่ล่าสุดจาก บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย พระรามเก้า ทู จำกัด ที่เปิดตึกให้ชมของจริงกันไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นโครงการที่โดดเด่นด้วยคอนเซปต์ Live Work Play กับ Facility หลากหลายจัดเต็มเพื่อคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ ด้วยทำเลที่ตั้งที่อยู่ตรงข้ามกับ Uniliver House ห่างจาก MRT สถานีพระราม 9 เพียง 400 เมตร และมีจุดขึ้น-ลงทางด่วนอยู่ใกล้ๆ ทำให้การเดินทางไปยังส่วนต่างๆ ของกรุงเทพฯทำได้โดยง่ายเช่นกัน นอกจากนี้ยังอยู่ในทำเลที่ใกล้ทั้งแหล่งงาน แหล่งช็อปปิ้ง แหล่งแฮงค์เอ้าท์ไลฟ์สไตล์ชั้นนำของคนเมืองอีกด้วย   ปัจจุบันโครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ได้แล้ว เราจึงมีโอกาสเข้าไปเก็บบรรยากาศในพื้นที่จริงเอามาฝากกันในครั้งนี้ โดยโครงการ Ideo พระราม 9 - อโศก (IDEO Rama 9 – Asoke) เป็นคอนโดตึกเดี่ยวสูง 36 ชั้น บนเนื้อที่ 5 ไร่เศษ มียูนิตรวม 1,222 ยูนิต, อาคารพาณิยช์ 1 อาคาร และวิลล่ายูนิตอีก 4 ยูนิตบริเวณโซนด้านหน้าทางเข้าโครงการ สำหรับพื้นที่ภายในคอนโดมิเนียมแบ่งเป็นพื้นที่จอดรถในบริเวณชั้น 2-7 ซึ่งสามารถรองรับการจอดได้ประมาณ 42% ถัดขึ้นไปตั้งแต่ชั้น 8-34 เป็นส่วนของที่พักอาศัย และ Facility ส่วนกลางหลักๆ  จะอยู่ที่ชั้น 36 และ 36M รวมถึงบางส่วนที่กระจายอยู่ที่บริเวณชั้น 1 ของอาคาร ก่อนที่จะไปดูห้องในรูปแบบต่างๆ ที่ทางโครงการมีให้เลือก จะขอพูดถึง Facility ส่วนกลางที่ทาง Ideo พระราม 9 - อโศก ตั้งใจออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์ไตล์คนเมืองที่ Work Hard Play Harder กันก่อน     จุดเด่นที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ นั่นคือการเลือกตกแต่งบรรยากาศภายในพื้นที่ส่วนกลางให้มีสีสันสดใส และสะท้อนถึง Lifestyle ที่ Active ตลอดเวลา ด้วยผลงานกราฟฟิตี้ของ P7 ศิลปินแนวหน้าของเมืองไทย ซึ่งสะดุดตาด้วยสีสันที่สดใสและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร เริ่มตั้งแต่บริเวณชั้น 1 ของโครงการที่มีทั้ง Lobby, Co-Working Space, Multi-Purpose Room เพื่อตอบโจทย์การทำงานในปัจจุบันที่ไม่ได้จำกัดแค่การทำงานในออฟฟิศเท่านั้น ในขณะที่ Play Area รอบๆ ก็เป็นทั้งมุมพักผ่อน และพื้นที่นั่งเล่น นั่งทำงานแบบ Outdoor ได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งโซนนี้จะเรียกว่าเป็น Hybrid Playscape ที่รวมลานบาสเกตบอล ลานฟุตซอล และ Jogging Track ที่ทุกพื้นที่เชื่อมต่อกัน และสามารถปรับการใช้งานได้ตามต้องการ     ในขณะที่ Main Facility จะอยู่ที่บริเวณชั้น 36 และ 36M ทั้งหมด ซึ่งประกอบไปด้วย Social Club ขนาดใหญ่ ที่แบ่งพื้นที่การใช้งานภายในไว้อย่างน่าสนใจที่ทางโครงการเรียกว่าเป็น Hybrid Space ที่รวมการใช้งานที่แตกต่างกันมาไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นโซนนั่งทำงาน นั่งเล่นพักผ่อน พื้นที่ Co-Kitchen Space ที่สามารถจัดเลี้ยงแบบส่วนตัวได้เลยเพราะมีอุปกรณ์ครบเกือบทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้ด้วยความสูงโปร่งของเพดานทำให้ บริเวณชั้นสองของ Social Club มี Living Area, Game Zone และ Playground Tube ที่เพิ่มความสนุกสนานให้กับบรรยากาศการพักผ่อนไปอีกขั้น     อีกหนึ่ง Highlight ที่พลาดไม่ได้คือ Hybrid Sky Pool ที่ผสานการออกำลังกายด้วยแนวคิด Exercise Pool ที่เหมาะกับผู้ทื่ชื่นชอบการว่ายน้ำด้วย Lap Pool ขนาด 30 เมตร พร้อมโซน Aqua Biking อีกรูปแบบของการออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานในน้ำไปพร้อมกับการชม City View ได้อย่างเต็มตา     แต่ถ้ากิจกรรมเหล่านี้ยัง Active ไม่พอ ที่ Ideo พระราม 9 – อโศก ยังมีพื้นที่ออกกำลังกายที่จะทำให้คุณปลดปล่อยพลังงานได้อย่างเต็มที่กับ Energym ที่แบ่งเป็นห้อง Fitness ในร่มพร้อมอุปกรณ์ครบเทียบกับฟิตเนสชั้นนำได้เลย แถมยังมีพื้นที่ Virtual Exercise Class, โต๊ะปิงปอง และ Boxing Zone ที่อยู่ในโซน Outdoor เพื่อการออกกำลังกายไปพร้อมๆ กับการชมวิวเมืองไปด้วย     แต่ถ้าหากคุณเป็นสายชิล มุมนั่งเล่น และโซนกิจกรรมเพื่อความผ่อนคลายทางโครงการก็จัดไว้ครบไม่แพ้กัน เช่น Amphi-Theatre สำหรับดูหนังดูบอลผ่านจอ Projector ขนาดใหญ่, จุดนั่งเล่นในสวนที่มีให้เลือกมากมายหลายมุม หรือแม้แต่ Rooftop Garden พื้นที่สีเขียวพร้อม Jogging Track ที่เชื่อมต่อเต็มความยาวของอาคาร ซึ่งสามารถขึ้นมาเดินเล่นพักผ่อนรับลมเย็นๆ หรือจะ Jogging และชมวิวได้ตลอดเวลา   จากส่วนกลางของโครงการ Ideo พระราม 9 - อโศก ที่จัดแน่นจัดเต็มแล้ว Type ห้องของโครงการก็มีให้เลือกแบบจุใจเช่นกัน โดยมีขนาดห้อง Studio เริ่มต้นที่ 25.50 ตร.ม. ซึ่งยังแบ่งเป็นอีก 2 ประเภท คือ Simplex และ Hybrid ที่มีฝ้าเพดานสูงถึง 4.5 เมตร จึงได้เป็นห้องแบบ Double Floor ซึ่งถือเป็นการออกแบบที่เป็นอีกหนึ่ง Highlight ของโครงการนี้เลยก็ว่าได้ เพราะห้องในประเภท Hybrid นี้จะมีให้เลือกทั้งแบบ Studio, 1 Bedroom และ 2 Bedroom กันไปเลย นอกจากจุดเด่นของห้อง Hybrid ที่มีความโปร่งโล่งจากความสูงของฝ้าเพดาน 4.5 เมตรแล้ว ห้องประเภทนี้ยังเด่นในเรื่องพื้นที่เก็บของที่เพิ่มมากขึ้น จากพื้นที่ใต้บันได และการแบ่งห้องได้เป็นสัดส่วนมากยิ่งขึ้น     ในส่วนของห้องแบบอื่นๆ ตอนนี้ที่โครงการจริงมีให้ชมเกือบทุก Type เริ่มกันที่ Studio Simplex ขนาด 25.50 ตร.ม.   ห้อง 1 Bedroom Simplex ขนาด 34 ตร.ม.   ห้อง 2 Bedroom Simplex ขนาด 52 ตร.ม.   ห้อง 2 Bedroom Simplex ขนาด 90 ตร.ม.   สำหรับใครที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมในย่านพระราม 9 - รัชดา – อโศก โครงการ Ideo พระราม 9 - อโศก จัดว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เป็นตัวเลือกที่ดีและน่าสนใจ ด้วยราคาเริ่มต้น 3.49 ล้านบาท* กับห้องที่เป็น Fully Fitted มีพร้อมทั้ง Furniture Build-in ชุดครัว และเครื่องปรับอากาศ แถมยังอยู่ในทำเลที่เดินทางได้สะดวกมากๆ ใครที่สนใจแต่ยังลังเลอยู่ สามารถเข้าไปชมห้องตัวอย่างและส่วนกลางของจริงก่อนได้ ที่สำคัญทางโครงการจะ OPEN HOUSE 19-20 พย. 2565 นี้เปิดขาย NEW HYBRID SERIES เริ่ม 5.89 ล้านบาท พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสำหรับจองในงาน ฟรีค่าใช้จ่ายโอน* พร้อมผ่อนต่ำ! ล้านละ 3,000บ./ด. นาน 2 ปีเต็ม* ให้เข้าไปจับจอง ห้องจริง ชั้นสูง กันได้เลยลงทะเบียนล่วงหน้าได้ที่ https://anan.ly/3QNmIsy     บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ อนันดาฯ ขน 3 แบรนด์ใหม่ บ้าน-คอนโด รุกตลาด Q4 โครงการมิกซ์ยูส บนถนนพระราม 9  
ศุภาลัย บุกตลาดต่างจังหวัดแห่งที่ 23  ปั้นคอนโด “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน”

ศุภาลัย บุกตลาดต่างจังหวัดแห่งที่ 23 ปั้นคอนโด “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน”

ศุภาลัย บุกตลาดต่างจังหวัดเพิ่ม ลุยเมืองท่องเที่ยวชายทะเล ปักหมุดจังหวัดประจวบฯ ปั้นโครงการคอนโด “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน” มูลค่าโครงการ 1,200 ล้าน  ชูจุดเด่น 10 เรื่อง พร้อมการันตีผลตอบแทน 6% ใน 3 ปี   ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ได้ขยายตลาดต่างจังหวัด โดยเข้ามาพัฒนาโครงการที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ถือเป็นจังหวัดใหม่ลำดับที่ 23 ของบริษัท ได้เข้ามาเปิดตัวโครงการ เริ่มต้นกับโครงการแรก “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน” (SUPALAI BLUE WHALE) ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 7 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรซ์​ มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท สูง 28 ชั้น จำนวน 525 ยูนิต และร้านค้า 3 ยูนิต  มีรูปแบบห้องตั้งแต่ Studio - 3 Bedrooms โดยมีขนาดห้องตั้งแต่ 29.5 - 128 ตร.ม. โดยเน้นการออกแบบรองรับวิวรอบด้านด้วยระเบียงโค้งเฉียง เพื่อรับลม รับวิวทะเล วิวภูเขา  พร้อมสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) เพิ่มความปลอดภัยแบบส่วนตัวในทุกห้องด้วยประตู Digital Door Lock และเข้า-ออกอาคารด้วยระบบ Face Scan อุ่นใจ 100 % กับระบบรักษาความปลอดภัยพร้อมกล้อง CCTV 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน ยังออกแบบตัวอาคารสร้างจาก Hybrid Concrete ไม่อมความร้อน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมีการวางผังอาคารตามหลักทิศทางแสงและลม เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน อีกทั้งมีการเลือกใช้ อิฐมวลเบาที่ลดการปล่อย CO2 ในกระบวนการผลิต และกระจกเขียวตัดแสง ที่ช่วยกรองแสงได้ถึง 40% ซึ่งทำให้ห้องพักเย็นสบาย แม้ไม่ได้เปิดแอร์ ประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยการใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ และหลอดไฟ LED ทั้งโครงการ อีกทั้งยังใส่ใจในการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กระเบื้องห้องน้ำและกระเบื้องระเบียง ที่ลดการใช้น้ำในการผลิตถึง 25% และท่อสุขาภิบาลสั่งตัดพอดีกับการใช้งาน เพื่อลดขยะจากการเสียเศษท่อน้ำ 10 ข้อดีของของโครงการ ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน 1.มี “วาฬเจ้าสมุทร” หรือ ​“วาฬสีน้ำเงิน” (Blue Whale) อยู่บนยอดสูงสุดของอาคาร เป็นสถาปัตยกรรมที่ออกแบบให้มีลักษณะเป็นปลาวาฬ   2.ตึกสูง 28 ชั้น สามารถรับลมชมวิว จากห้องพักและระเบียงทุกยูนิต ออกแบบให้หันไปทางทะเล ทางทิศตะวันออก ทุกห้องจึงเห็นทะเลทั้งหมด การออกแบบเฉียง ๆ ตั้งฉากกับทะเลทุก 2 ชั้นจะเป็นพ็อกเก็ตการ์เดน ที่เจาะเป็นช่องโล่งเพื่อให้อากาศถ่ายเท และมีสวนในทุก ๆ ชั้น ซึ่งบริษัทสูญเสียรายได้ชั้นละ 2 ล้านบาท   3.สามารถดูภาพ Panoramic View ทั้งทะเล ภูเขา และสนามกอล์ฟ 4.Lighthouse Park สวนน้ำและสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ รองรับกิจกรรมต่าง ๆ ของครอบครัว รวมถึงมี Adventure Kids สำหรับเด็ก ๆ   5.Island Fitness มีการออกแบบให้ห้องออกกำลังกาย อยู่บริเวณกลางสวนน้ำ ทำให้เห็นวิวสระว่ายน้ำ พื้นที่ส่วนกลางจะมีการออกแบบให้เหมาะกับการใช้รถเข็น ทั้งเด็กและผู้สูงอายุ   6.Facilities ออกแบบภายใต้เรื่องราวจากใต้ท้องทะเล (Under Water World)  ส่วนภายใต้สถาปัตยกรรมดังกล่าว จะออกแบบเป็น Sky Facility ที่มีทั้งโซน Paradise Living ห้อง Co-working ในชื่อ Paradise Working & Meeting และ Roof Garden   7.สามารถเห็นพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า   8.อยู่ในทำเลที่ดี ติดถนนใหญ่ อยู่ใจกลางหัวหิน มีศูนย์การค้า โรงเรียน สนามกอล์ฟ และสถานที่ยอดนิยมของหัวหิน   9.เปิดตัวโครงการด้วยการขายแบบ Fully Furnished ให้ทุกห้อง สามารถเข้าอยู่ได้ทันที เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายของโครงการจะเป็นคนกรุงเทพฯ ที่ไม่ต้องเดินทางมาออกแบบตกแต่งเอง   10.ราคุ้มค่า เริ่มต้น 1.69 ล้านบาท สำหรบห้อง Fully Furnished หรือมีราคาเฉลี่ย 61,000 บาทต่อตร.ม. สามารถซื้อเป็นบ้านหลังแรก สำหรับคนในพื้นที่ หรือซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง สำหรับคนในจังหวัดอื่น ๆ หรือกลุ่มคนเกษียณอายุ รวมถึงกลุ่มนักลงทุน การันตีผลตอบแทนจากการเช่า 6% 3 ปี ผู้ซื้ออยู่ฟรี 15 วันต่อปี โดยโครงการศุภาลัย บลูเวล หัว​หิน เปิดจองรอบ Online Booking วันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 โดยสามารถรับชมห้องตัวอย่างในรูปแบบ 360 องศา Virtual Tour Online  และรับชมวิวจากห้องจริงแบบพาโนราม่าได้ที่  https://visualpanorama.com/Golive/supalai/bluewhale/  ส่วนลูกค้าที่สนใจเยี่ยมชมห้องตัวอย่างของจริงได้ในงานรอบ Pre-Sales วันที่ 26-27 พฤศจิกายน 2565 ณ สำนักงานขาย โครงการ ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน  ​สามารถเข้ามาจับจอง พูดคุยได้ที่สำนักงานขาย โครงการ ศุภาลัย ไอคอน สาทร 6 เรื่องที่ศุภาลัย เลือกพัฒนาโครงการในเมืองหัวหิน ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ  กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นศักยภาพของเมืองหัวหินในด้านการเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเศรษฐกิจที่สำคัญ จึงได้เริ่มเข้ามาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรก “ศุภาลัย บลูเวล” ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมืองหัวหิน ถนนเส้นหัวหิน-ห้วยมงคล เป็นทำเลที่มีจุดแข็งด้านการสัญจร เดินทางสะดวกไร้ปัญหารถติดเข้าสู่ใจกลางเมืองได้ภายใน 5 นาที และช่วงฝนตกหนักก็ยังไร้ปัญหาน้ำท่วมขังอีกด้วย  อีกทั้งยังรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการ ใกล้ตลาดโต้รุ่งหัวหินเพียง 2 ก.ม. นอกจากนี้ยังใกล้สนามกอล์ฟ ศูนย์การค้า ตลาดนัด โรงพยาบาล โรงเรียน และสถานที่อื่นๆ อีกมากมาย   ส่วนปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ศุภาลัย เลือกขยายการพัฒนาโครงการมายังเมืองหัวหิน เป็นเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีเหตุผลสำคัญ ดังนี้ 1.เป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลยอดนิยมของไทย 1 ใน 5 ที่คนไทยนิยมเดินทางมาท่องเที่ยว   2.หัวหินเป็นเมืองที่มีความสำคัญมากสำหรับ จังหวัดประจวบฯ เพราะสร้างรายได้ให้กับจังหวัดสัดส่วนถึง 94%   3.จำนวนประชากรท้องถิ่นอยู่มากที่สุดของจังหวัดประจวบฯ ในสัดส่วน 21%   4.เป็นจังหวัดที่มีความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตรยังน้อย เมื่อเทียบกับเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ   5.มีโครงการ Thailand Riviera มีถนนเลียบทางชายทะเล, ม มีโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางขุนเทียน-บ้านแพร้ว (เส้นพระราม2 ) สร้างเสร็จปี 2568 เส้นทางรถไฟรางคู่, ไฮสปีดเสร็จปี 2570 มอเตอร์เวย์ เส้นทางนครปฐม-ชะอำ สร้างเสร็จในปี 2575 โครงการต่าง ๆ เหล่านี้ จะทำให้การเดินทางมายังเมืองหัวหินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น   6.การเปิดตัวช่วงปี 2561 มีจำนวนเยอะ แต่หลังจากนั้นลดลง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีหลักไม่กี่ร้อยยูนิต และการซื้อขายยังไปได้ดี คอนโดจะเปิดมากที่ทำเลเขาตะเกียบ และหัวหิน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา   นอกจาก ศุภาลัย จะพัฒนาคอนโดโครงการแรกแล้ว ยังวางแผนพัฒนาโครงการต่อเนื่อง โดยเป็นบ้านแนวราบอีก 2 โครงการ ได้แก่ ศุภาลัย วิวล์ และศุภาลัย ลากูน  ซึ่งจะเปิดตัวในปีหน้า   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ส่องตลาดคอนโด ชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า 5 เดือนแรกปี 63 ในภาวะโควิด-19 -อัปเดตตลาดคอนโด ครึ่งปีแรก 65 พื้นที่ชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า กับ 9 ประเด็นสำคัญ -[PR News]ศุภาลัย จับมือ เอสซีจี ขับเคลื่อนที่อยู่อาศัยสีเขียว
Q2/65 ชาติไหนโอนคอนโดเยอะสุด

Q2/65 ชาติไหนโอนคอนโดเยอะสุด

โอนคอนโด  เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบใน​ ร่างกฎกระทรวง เกี่ยวกับการให้ต่างชาติ ซื้อที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้ ซึ่งมีเงื่อนไขคร่าว ๆ  คือ ต้องลงทุนในไทยมูลค่าไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี ซึ่งก็ทำให้ประเด็นนี้เป็นที่ถกเถียง และมีการ​มองว่าเรื่องนี้เป็นช่องทางให้ต่างชาติเข้ามาฮุบที่ดินของไทย มองเป็นประเด็นเรื่องการขายชาติ   ถ้าจะพูดกันตามความจริงแล้ว ปัจจุบันต่างชาติก็มีการซื้อที่ดิน หรือบ้านแนวราบได้กันอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้เป็นการซื้อในนามบุคคลทั่วไป เป็นการซื้อในนามนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นมา หรือหลายกรณีก็มีการใช้นอมินีที่เป็นคนไทยเข้ามาซื้อ รวมถึงปัจจุบันต่างชาติก็ซื้อที่อยู่อาศัยในบ้านเราได้อย่างถูกกฎหมาย ถือครองได้ตลอดไป แต่ต้องซื้อประเภทห้องชุดของคอนโดมิเนียม  ตามสัดส่วนไม่เกิน 49% ของจำนวนทั้งหมดในโครงการนั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วต่างชาติก็ซื้อกันไม่เต็มโควตา ยกเว้นบางโครงการที่มีการลงทุนโดยต่างชาติร่วมกับคนไทย หรือเป็นโครงการที่ทำขึ้นเพื่อจับกลุ่มเป้าหมายต่างชาติเป็นหลักเท่านั้น   นอกจากนี้ ในช่วงเวลาเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีไวรัสโควิด-19 ระบาด การเดินทางเข้ามาซื้อคอนโดในบ้านเราของต่างชาติเรียกได้ว่าเป็นศูนย์เลยทีเดียว ส่วนต่างชาติที่ซื้อคอนโดไว้ก่อนหน้า และถึงกำหนดโอนกรรมสิทธิ์ หลายคนก็กังวลใจว่าลูกค้าต่างชาติเหล่านั้น จะทิ้งคอนโดที่ซื้อไว้หรือไม่ เพราะเดินทางเข้ามาโอนไม่ได้ แต่เอาเข้าจริงสุดท้ายก็สามารถโอนกันได้ จากการมอบอำนาจและให้ตัวแทนเข้ามาทำนิติกรรมแทน ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์  ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC ได้รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติ ทั่วประเทศ ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 ​ว่า มีการเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนยูนิต มูลค่า และพื้นที่ ถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ​และสูงกว่าค่าเฉลี่ยรายไตรมาสในช่วง 2 ปี ที่เกิดโควิด-19 ด้วย   โดยจำนวนยูนิตการโอนคอนโดให้คนต่างชาติทั่วประเทศมีจำนวน 2,326 ยูนิต เพิ่มขึ้น 15.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเป็นจำนวนยูนิตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยรายไตรมาสในช่วงที่เกิดโควิด-19  ในปี 2563 – 2564 ที่มีจำนวน 2,092 ยูนิตต่อไตรมาส  ขณะที่มูลค่าการโอนคอนโดให้คนต่างชาติทั่วประเทศมีจำนวน 12,114 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) มูลค่าการโอนในไตรมาสนี้ สูงกว่าค่าเฉลี่ย 2 ปี ในช่วงโควิด -19 ที่มีมูลค่า 9,980 ล้านบาทต่อไตรมาส   ส่วนพื้นที่โอนคอนโดให้คนต่างชาติทั่วประเทศมีจำนวน 109,486 ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 27.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) พื้นที่คอนโดที่โอนในไตรมาสนี้ สูงกว่าค่าเฉลี่ย 2 ปี ในช่วงโควิด-19 ที่มีพื้นที่ 90,325 ตารางเมตรต่อไตรมาส ดร.วิชัย กล่าวอีกว่า การโอนคอนโดให้คนต่างชาติที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งจำนวนยูนิต มูลค่า และพื้นที่ และเป็นการเพิ่มขึ้นในเชิงจำนวนยูนิตสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาสที่ผ่านมา และจำนวนมูลค่าและพื้นที่สูงสุดในรอบ 6 ไตรมาส เช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่า การซื้อคอนโดของคนต่างชาติในช่วงก่อนหน้าได้มีการรับโอนอย่างต่อเนื่อง และยังมีแรงซื้อใหม่จากชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ผู้ซื้อชาวจีนเข้ามาทดแทนแรงซื้อคอนโดของชาวจีนที่หายไปจากข้อจำกัดการเดินทางออกนอกประเทศด้วยเช่นกัน   สัดส่วนการโอนคอนโดให้คนต่างชาติปัจจุบันไม่เกิน 10% และเป็นคอนโดมือสองกว่า 30% สัดส่วนยูนิต​โอนคอนโด​ให้คนต่างชาติในไตรมาส 2 ปี 2565 เป็น 9.3% ของการโอนทั้งหมดเ  ซึ่งเพิ่มสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน (9.2%) เพียงเล็กน้อย ส่วนมูลค่าโอนคอนโดให้คนต่างชาติ มีสัดส่วน 18.7% และ พื้นที่คอนโดที่มีการโอนให้คนต่างชาติ มีสัดส่วน  12.7% เพิ่มขึ้นจาก 15.1% และ 11.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ  ซึ่งสะท้อนว่า ผู้ซื้อคอนโดที่เป็นชาวต่างชาติมีการซื้อคอนโดที่มีระดับราคาเฉลี่ยต่อหน่วยที่สูงขึ้นกว่าช่วงปีก่อนหน้า   REIC ยังพบอีกว่า การโอนคอนโดให้คนต่างชาติเป็นคอนโดมือสองในไตรมาส 2 ปี 2565 ด้านจำนวนยูนิตเป็นสัดส่วน 37.1% โดยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน 6 ไตรมาสแล้ว และเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในรอบ 18 ไตรมาส ขณะที่ด้านมูลค่า คอนโดมือสองมีสัดส่วน 27.2% และในด้านพื้นที่ คอนโดมือสองมีสัดส่วน 43.3% และเป็นสัดส่วนพื้นที่คอนโดมือสอง โดยเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน 7 ไตรมาส และยังเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในรอบ 18 ไตรมาส “การที่สัดส่วนการโอนคอนโดให้คนต่างชาติที่เป็นมือสองเพิ่มมากขึ้นทั้งจำนวนยูนิต​ มูลค่า และพื้นที่ อย่างต่อเนื่อง มีข้อสังเกตได้ว่า คนต่างชาติในระยะหลังอาจมีความต้องการคอนโดมือสองมักอยู่ในทำเลพื้นที่ชั้นใน หรือ พื้นที่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจของเมือง ซึ่งในปัจจุบันมีอุปทานให้เลือกน้อยลง ประกอบกับราคาคอนโดมือสองในทำเลเหล่านี้มีราคาที่ต่ำกว่าโครงการเปิดใหม่  จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อจาก ยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย รัสเซีย และอินเดีย” จีนครองแชมป์โอนคอนโดเยอะสุด แม้ว่าชาวจีนจะเดินทางมาประเทศไทยในช่วงโควิด-19 ไม่ได้ แต่ยังพบว่า ชาวจีน ยังคงเป็นชาวต่างชาติที่โอนคอนโดเยอะสุดในไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ผ่านมา ด้วยจำนวน  2,072 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 25.3% 5 ชาวต่างชาติโอนคอนโดเยอะสุด 1.จีน จำนวน 2,072 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 25.3% 2.รัสเซีย จำนวน 263 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 3.2% 3.สหรัฐอเมริกา จำนวน 228 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 2.8% 4.สหราชอาณาจักร จำนวน 167 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 2.0% 5.เยอรมัน จำนวน 160 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 2.0 % 5 ลำดับต่างชาติโอนคอนโดมูลค่ามากสุด 1.จีน จำนวน 10,493 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 26.4% 2.สหรัฐอเมริกา จำนวน 976 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.5% 3.ฝรั่งเศส จำนวน 933 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.3% 4.รัสเซีย จำนวน 850 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.1% 5.กัมพูชา จำนวน 783 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.0% ต่างชาติซื้อคอนโดไม่เกิน 5 ล้าน สำหรับราคาของคอนโดที่ต่างชาติรับโอนในไตรมาส 2 ปี 2565 มากที่สุดจะมีราคาเฉลี่ยยูนิตละ 5.0 ล้านบาท 5 อันดับราคาคอนโดที่ต่างชาติ ด้านจำนวนโอนมากสุด 1.ราคาไม่เกิน 3.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 46.4% 2.ราคา 3.01 - 5.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 25.5% 3.ราคา 5.01 - 7.50 ล้านบาท มีสัดส่วน 12.9% 4.ราคามากกว่า 10.00 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วน 8.7% 5.ราคา 7.51 - 10.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 6.5% 5 อันดับราคาคอนโดที่ต่างชาติ ด้านมูลค่าโอนมากสุด 1.ราคามากกว่า 10.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 38.9% 2.ราคา 3.01 - 5.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 19.3% 3.ราคาไม่เกิน 3.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 15.7% 4.ราคา 5.01 - 7.50 ล้านบาท มีสัดส่วน 15.1% 5.ราคา 7.51 - 10.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 11.0% 3 อันดับต่างชาติ ที่มีการโอนคอนโดราคาเฉลี่ยต่อยูนิตสูงสุด 1.ชาวไต้หวัน มีมูลค่าเฉลี่ยต่อยูนิต​ 7.1 ล้านบาท​ 2.ชาวรัสเซีย มีมูลค่าเฉลี่ยต่อยูนิต 3.2 ล้านบาท 3.ชาวเยอรมัน มีมูลค่าเฉลี่ยต่อยูนิต 3.2 ล้านบาท 5 อันดับ ขนาดพื้นที่เฉลี่ยคอนโด ที่ชาวต่างชาติจำนวนโอนมากสุด   1.ขนาดพื้นที่ 46.6 ตร.ม.ต่อยูนิต 2.ขนาดพื้นที่ 31 - 60 ตารางเมตร มีสัดส่วน 51.0% 3.ขนาดพื้นที่ไม่เกิน 30 ตารางเมตร มีสัดส่วน 32.5% 4.ขนาดพื้นที่ 61-100 ตารางเมตร มีสัดส่วน 10.1% 5.ขนาดพื้นที่มากกว่า 100 ตารางเมตร มีสัดส่วน 6.5% ย้อนหลังไปถึงปี 2561 พบว่า ขนาดไม่เกิน 30 ตารางเมตร และขนาด 31 - 60 ตารางเมตร ก็เป็นประเภทห้องที่คนต่างชาตินิยมมากที่สุด โดยมีสัดส่วนจำนวนยูนิตที่โอนรวมกันสูงกว่า 80% ในแต่ละไตรมาส​ 5 อันดับ ขนาดพื้นที่เฉลี่ยคอนโด ที่ชาวต่างชาติมีมูลค่าโอนมากสุด   1.พื้นที่ 31 - 60 ตารางเมตร มีสัดส่วน 42.3% 2.พื้นที่มากกว่า 100 ตารางเมตร มีสัดส่วน 28.7% 3.พื้นที่ไม่เกิน 30 ตารางเมตร มีสัดส่วน 14.5% 4.พื้นที่ 61-100 ตารางเมตร มีสัดส่วน 14.5%   ย้อนหลังไปถึงปี 2561 พบว่า คอนโดขนาด 31 - 60 ตารางเมตร และขนาดมากกว่า 100 ตารางเมตร เป็นประเภทคอนโดที่ทำให้เกิดมูลค่าการซื้อของคนต่างชาติมากที่สุด มีสัดส่วน 71.0% ในแต่ละไตรมาส   ทั้งนี้ ยังพบว่า สัญชาติที่มีขนาดพื้นที่เฉลี่ยต่อยูนิตในการโอน สูงสุด ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 คือ ชาวอินเดีย ที่มีขนาดพื้นที่เฉลี่ยต่อยูนิต 73.2 ตารางเมตรต่อยูนิตและ ชาวรัสเซีย เป็นกลุ่มที่มีขนาดพื้นที่เฉลี่ยต่อยูนิต 37.0 ตารางเมตรต่อยูนิต ขณะที่​ราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่เป็น 108,133 บาทต่อตารางเมตร  สัญชาติที่มีการซื้อห้องชุดในราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่สูงสุด คือ ชาวไต้หวัน มีราคาเฉลี่ยต่อหน่วยที่ 155,085 บาทต่อตารางเมตร และรองลงมาเป็นชาวจีน มีราคาเฉลี่ยต่อหน่วยที่ 129,353 บาทต่อตารางเมตร ต่างชาติยังปักหลักอยู่กทม.มากสุด REIC  ยังพบว่า จังหวัดที่มีจำนวนยูนิต​โอนคอนโดให้คนต่างชาติสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา ได้แก่ จังหวัดกรุงเทพฯ ชลบุรี สมุทรปราการ ภูเก็ต และเชียงใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ มีสัดส่วน 43.8% และชลบุรี มีสัดส่วน 31.0%  โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนจำนวนหน่วยรวมกันสูงถึง 80.7% ของทั่วประเทศ เมื่อพิจารณาย้อนหลังไปถึงปี 2561 พบว่า กรุงเทพฯ และชลบุรี ยังคงเป็นจังหวัดที่มีจำนวนยูนิตโอนคอนโดให้คนต่างชาติในสัดส่วนที่มากที่สุดเช่นเดียวกัน ส่วนอันดับรองลงมาเป็นจังหวัดที่อยู่ในปริมณฑลบางจังหวัดและจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ สมุทรปราการ และภูเก็ต เป็นต้น  ซึ่ง 5 จังหวัดข้างต้นเป็นจังหวัดที่มีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติสะสมสูงสุดด้วยเช่นกัน โดยกรุงเทพฯ มีสัดส่วน 64.4% และชลบุรี มีสัดส่วน 16.0% โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนมูลค่ารวมกันสูงถึง 80.4% ของทั่วประเทศ ส่วนอันดับรองลงมาคือ สมุทรปราการ และภูเก็ต   ดร.วิชัย กล่าวว่า จากการประมวลภาพของการโอนคอนโดให้คนต่างชาติทั้งหมด ทำให้เราเห็นได้ว่า ปริมาณทั้งในมิติของจำนวนยูนิต มูลค่า และพื้นที่ เริ่มฟื้นตัวกลับมาแล้ว แต่ยังคงต่ำกว่าช่วงที่ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่มีข้อสังเกตต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า ตัวเลขการโอนเหล่านี้เป็นสิ่งสะท้อนการซื้อขายที่ผ่านมาในช่วง 1- 2 ปีที่ผ่านมา และเห็นว่าการซื้อขายคอนโดที่ผ่านมาสามารถโอน​ได้อย่างต่อเนื่อง และยังพบว่าห้องชุดที่มีการโอนให้คนต่างชาติมีมากกว่า 30% เป็นห้องชุดมือสอง ซึ่งมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การเปิดประเทศและเริ่มดำเนินกิจกรรมในด้านต่าง ๆ ระหว่างประเทศทั่วโลก เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยเริ่มฟื้นตัว  ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญที่อาจจะช่วยทำให้จำนวนยูนิต มูลค่า และพื้นที่ในการซื้อและการโอนคอนโดให้คนต่างชาติ ที่อาจมีแนวโน้มที่ทรงตัวจากปัจจุบันหรืออาจเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่ประเทศจีนยังใช้นโยบาย Zero-Covid  ที่ยังคงสร้างข้อจำกัดให้ชาวจีนที่ต้องการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย แม้ว่าพบว่ามีกลุ่มคนต่างชาติอื่นเข้ามาซื้อคอนโดในประเทศไทยมากขึ้นในระยะหลัง แต่คงจะสามารถเข้ามาทดแทนผู้ซื้อชาวจีนบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากผู้ที่จะซื้อชาติอื่นยังมียังคงมีปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับชาวจีน     บทความที่เกี่ยวข้อง -เปิด 10 อันดับต่างชาติโอนคอนโด Q2/65 จีนยังครองเบอร์ 1 ทั้งปริมาณและมูลค่า ​ -เปิดอินไซต์ตลาดอสังหาฯ ไทย ไตรมาส 2 กับ 7 ปัจจัยเสี่ยงยังกระทบธุรกิจปี 2565
อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนพฤศจิกายน 2565

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนพฤศจิกายน 2565

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ แม้ว่าตอนนี้หลายธนาคารจะมีการประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ MRR (Minimum Retail Rate) กันไปหลายธนาคารแล้ว จากการที่กนง. แบงก์ชาติประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็น 1% แต่ในภาพรวมแล้ว อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ของธนาคารส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยน ถือได้ว่าตอนนี้ก็เป็นจังหวะที่ดีถ้าใครคิดจะรีไฟแนนซ์บ้าน หรือคอนโดมิเนียม เพื่อบรรเทาภาระค่าดอกเบี้ย หรือเงินผ่อนแต่ละเดือนที่สูง   ลองมาดูกันว่าตอนนี้​ธนาคารไหน มีการคิดอัตราดอกเบี้ยยังไงกันบ้าง  ประจำเดือนประจำเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ Reviewyourliving ได้รวบรวมเอาไว้ให้แล้ว ลองเปรียบเทียบดูกันว่าธนาคารไหนให้อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโดได้คุ้มสุด อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ  มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเดือนพฤศจิกายนนี้ ​เว็บไซต์ธนาคารยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล โดยยังเป็นเอกสารที่ระบุข้อมูลถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 คาดว่าอัตราดอกเบี้ยยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านและคอนโด ดังนี้ ​​ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%) กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคําขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2565 – 30 มิถุนายน 2565 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธ.ค. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชําระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสํารวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชําระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว คําเตือน -ผู้ขอเอาประกันภัยที่สมัครทำประกัน โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป จะได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ -เบี้ยประกันภัยสามารถนําไปหักลดหย่อน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกําหนด -การทำประกันภัยไม่ใช่การฝากเงิน กรณีเวนคืนก่อนครบกําหนด ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืนเป็นจำนวนน้อยกว่าเบี้ยประกันภัยที่จ่ายไปแล้ว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เวนคืน -ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาและทำความเข้าใจเอกสารเสนอขายก่อน ก่อนตัดสินใจทำประกันภัย เมื่อได้รับกรมธรรม์แล้ว โปรดศึกษารายละเอียด ข้อกำหนดและเงื่อนไขในกรมธรรม์ -ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิตที่เป็นผู้ชีช้องและจัดการบริการให้กับผู้ขอเอาประกันภัย เพื่อให้เกิดการทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น โดยการพิจารณาอนุมัติกรมธรรม์เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -การแถลงสุขภาพเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณารับประกันภัยหรือจ่ายเงินตามสัญญาประกันภัย -การตรวจสุขภาพเป็นไปตามเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -ผู้ขอเอาประกันภัยมีหน้าที่แถลงข้อความจริงในการขอเอาประกันภัย การปกปิดข้อความจริงหรือแถลงข้อความเป็นเท็จใดๆ อาจเป็นเหตุให้บริษัทผู้รับประกันภัยบอกล้างสัญญาประกันภัยและปฏิเสธไม่จ่ายค่าสินไหม ทดแทนตามสัญญาประกันภัย -ข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์ -การสมัครประกันชีวิตคุ้มครองเครดิตโฮมเฟิสต์ พลัส เป็นทางเลือกสำหรับลูกค้า ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน แคมเปญ ดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้น 1% และแคมเปญธนาคารออกค่าธรรเนียมการจดจำนอง 1% ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกัน* ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60% (MRR-3.62%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.00% ทางเลือก 2 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.70% (MRR-3.52%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.04% ทางเลือก 3 ทำประกัน* ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.62% (MRR-2.60%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.72% (MRR-2.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.78% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.04% ทางเลือก 4 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.25% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.72% (MRR-2.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.88% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.08% ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีธนาคารออกค่าธรรมเนียมการจดจำนอ 1% ทางเลือก 1* แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  = 2.93% (MRR-3.29%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา =  4.12% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  = 3.03% (MRR-3.19%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.03% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.16% ทางเลือกที่ 3* ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 1.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 4.12% (MRR-2.10%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย = 4.22% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.11% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.15% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 1.25% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 4.17% (MRR-2.05%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  = 4.22% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.19% หมายเหตุ 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ ทำ MRTA/GLTSP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี ทำ MRTA/GLTSP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ ทำ MRTA/GLTSP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 2. อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)** คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 4 ต.ค. 2565) 3.อัตราดอกเบี้ยแบบธนาคารออกค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% : ธนาคารออกค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% ของวงเงินรวม (สินเชื่อที่อยู่อาศัยรวมสินเชื่อ Home For Cash) ตามจำนวนเงินค่าจำนองในใบเสร็จของกรมที่ดินเท่านั้น (ไม่รวมค่าธรรมเนียมอื่น ๆ) สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัยภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญากู้ทุกกรณี ลูกค้าต้องจ่ายค่าจดจำนองที่ธนาคารจ่ายให้คืนแก่ธนาคารทั้งจำนวน 4. สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค/ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย/ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 5. เงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนก่อนหน้า ด้วยแคมเปญ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.00% นาน 1 ปี หรือสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรี ค่าจดจำนอง เมื่อซื้อประกันภัยคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ตามที่ธนาคารกำหนด และกรณีมีวงเงินเหลือ ยังมีแคมเปญที่สามารถกู้เพิ่ม สินเชื่อกรุงศรีโฮมฟอร์แคชได้อีกด้วย นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโปรโมชั่น ฟรี ค่าประเมินหลักประกันมูลค่า 3,210 บาท ส่วนรายละเอียดของสินเชื่อรีไฟแนนซ์ มีดังนี้ วงเงินกู้ตั้งแต่ 1-1.5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.30% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.30% = 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.10%= 3.95% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.33% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.95% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.65% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.65%= 4.4% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.10% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.30% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.90% = 4.15% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.30% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.58% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.09% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.175% = 2.875% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.88% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.60% ทางเลือก 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.45% = 3.60% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.20% = 3.85% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.71% ทางเลือก 3 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.50% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.80% = 4.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.42% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.87% ทางเลือก 4 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือกที่ 5 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.925% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.12% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.74% หมายเหตุ -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พฤษภาคม​ 2563 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ​–31 ธันวาคม​ 2565 โดยจดจำ​นองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 มกราคม​ 2566 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิดภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกสิกรไทย  ข้อมูลของเว็บไซต์ธนาคารไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า และยังเป็นข้อมูลที่ระบุช่วงเวลาการยื่นกู้ตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2565 มีรายละเอียด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2565 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีแคมเปญสินเชื่อสำหรับให้ลูกค้ารีไฟแนนซ์ คือ KKP Home Loan Refinance ให้วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ สามารถกู้ร่วมกันได้สูงสุด 4 คนโดยเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน ฟรีค่าประเมินหลักประกัน* ซึ่งมีรายละเอียดของเดือนพฤศจิกายน เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.84-3.04% เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมาคิดในอัตรา 2.59-2.79% ปีต่อไป MLR-1.50% =  5.275% เพิ่มขึ้น 0.25% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 5.025% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 3.04-3.24% เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมาคิดในอัตรา 2.79-2.99% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.275% เพิ่มขึ้น 0.25% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 5.025% เงื่อนไข -วงเงินคงเหลือต้องมากกว่า 500,000 บาท -บ้านต้องผ่อนกับสถาบันการเงินเท่านั้น -มีประวิติผ่อนชำระกับสถาบันการเงินเดิมไม่ต่ำกว่า 12 เดือน หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับกับปัจจัยอ้างอิง เช่น​ อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ​ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​(MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ดังกล่าว​ โดยจะประกาศไว้ ณ ​ สถานที่ทำการที่ให้บริการ และเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -MLR ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2565 เท่า​กับ 6.775% ต่อปี -เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA) ผ่านธนาคารทุน​ประกันภัยเท่ากับวงเงิน กู้โดยมรีะยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปีกรณีที่ระยะเวลาการไถ่ถอนถึง​ 10 ปีให้ระยะเวลาเอา ประกันภัยเท่า​กับระยะเวลาการกู้ -กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปีแรก คิดค่า ​Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง -กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ย แบบฟรีค่าจดจำนอง​ หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อน​ระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุก กรณีลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคาร สำรองจ่ายให้ธนาคาร -ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ร้อยละ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) -ค่าธรรมเนียมตดิ ตามทวงถามหนี้นค้างชำระ​ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ค้างชำระมากกว่า ​1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ -เบี้ยประกันอัคคีภัย เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด​ โดยผู้กู้สามารถเลือกทำ​ประกันกับบริษัท​ประกันที่น่าเชื่อถืออื่นใดก็ได้ ​ 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มี อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ในเดือนพฤศจิกายน  2565 สำหรับ​ประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์  กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม  มีอัตราการคิดดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำหรือเจ้าของกิจการ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.42% = 2.93% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.61% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.12% = 3.23% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.23% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.69% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.22% = 3.13% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.67% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.92% = 3.43% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.43% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.75% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.% = 2.69% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.55% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.36% = 2.99% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.63% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.46% = 2.89% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.16% = 3.19% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.19% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.68% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) กรณีขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักทรัพย, ค่าอากรแสตมป์ และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย 3 ปีแรก ทุกทางเลือก ยกเว้น ค่าจดจำนอง เฉพาะทางเลือก 1 และ 2 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์  ประจำเดือนพฤศจิกายน ดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น เฉลี่ย 3 ปีแรก 2.95% ต่อปี โดยมี​รายละเอียด​ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% =2.75% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.18%=3.1% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74%) = 3.54% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.29% สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ  -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่ คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ชำระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -ลูกค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.48% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 มกราคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยแคมเปญของธนาคารมีกำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม ​2565 อัตราดอกเบี้ยจึงเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10 ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 กรกฎาคม​ 2565) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด -ระยะเวลาขอสินเชื่อ 1 กรกฎาคม ถึง ​31 ธันวาคม 2565 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ถือว่าเป็นธนาคารสำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและคอนโด รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีสินเชื่อให้เลือกมากมายหลายประเภท สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านจากสถาบันการเงินอื่น มีสินเชื่อบ้านสุขสันต์ เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์  โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเดือนนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ​​โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.25% (MRR-3.90%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.16%= 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.90%=3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.35% (MRR-3.80%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.06%= 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.80%=3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.71% หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม​ 64 -กำหนดระยะเวลา ยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 – 30 ธันวาคม 2565 อนุมัติและทำนิติกรรม ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 (ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan – รีไฟแนนซ์ ​ ไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนพฤศจิกายน 65 มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า​ เนื่องจากมีการปรับอัตราดอกเบี้ย MRR ตามรายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.29%  (MRR-4.46%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.00% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.39% (MRR-4.36%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.04% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.39% (MRR-5.36%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.39% (MRR-2.36%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.39% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.99% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.49% (MRR-5.26%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.49% (MRR-2.26%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.49% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.03% หมายเหตุ -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น (Re-finance) ในช่วง​ระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้จะมีค่าปรับ​ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น​ ) -การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย​ MRR ปัจจุบัน เท่ากับ 7.75% ต่อปี (ตามประกาศธนาคาร ​​ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2565) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้ และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตรา ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -ธนาคารยูโอบี ในฐานะนายหน้าประกันภัย​ (ใบอนุญาตประกันชวีติเลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศ​ภัย เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอ ผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย​ และอำนายวความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิต ​โดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชวีติ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็มม เอส ไอ จีประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับผิดชอบตาเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก ครั้ง​ 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ประจำเดือนพฤศจิกายน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้ สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35% = 2.00% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.55% = 3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.56% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25% = 2.10% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25% = 2.50% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.10% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.80% = 3.95% เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด  3.90% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.85% เพิ่มขึ้น 0.15% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.47% เพิ่มขึ้น 0.84% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.63% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.95% = 2.79% เพิ่มขึ้น 0.09% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.70% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.79% เพิ่มขึ้น 0.09% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.47% เพิ่มขึ้น 0.78% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.69% ข้อกำหนดและเงื่อนไข -สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยพิเศษ เริ่ม 1.99% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2565 -วงเงินกู้เริ่มต้น 1 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) -อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ -กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำได้ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.75% (ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2565) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สำหรับธนาคาออมสิน ประจำเดือนพฤศจิกายน  ​มีรายละเอียดอื่น ๆ ดังนี้ ​ สินเชื่อรีไฟแนนซ์ จากสถาบันการเงินอื่น สำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินกู้สินเชื่อต่ำกว่า 10 ล้านบาท แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% (MRR-4.255%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.98% (MRR-3.265%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.144% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.24% (MRR-4.005%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.605%  (MRR-2.64%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.328% วงเงินกู้สินเชื่อมากกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป (เดือนที่ผ่านมาไม่ได้แยกวงเงินกู้) กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.755% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.089% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.24% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.38% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.00% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.274% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR = 6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท​ ระยะเวลา 20 ปี แบบผ่อนเท่ากันทุกงวด ​ -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมจากข้อมูลเว็บไซต์แต่ละธนาคาร ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2565   บทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 2565 -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565  
เปิดเหตุผล  เซ็นทรัลพัฒนา  ทุ่ม 14,000 ล้าน ปั้นมิกยูสต์ 2 โปรเจ็กต์  ปักหมุด นครสวรรค์-นครปฐม

เปิดเหตุผล เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่ม 14,000 ล้าน ปั้นมิกยูสต์ 2 โปรเจ็กต์ ปักหมุด นครสวรรค์-นครปฐม

“เซ็นทรัลพัฒนา” ต่อยอดแผนธุรกิจ 5 ปี ปั้นมิกซ์ยูสโมเดลใหม่ยกระดับคุณภาพชีวิต ประกาศลงทุน รวม 14,000 ล้านบาท ขึ้น 2 โปรเจ็กต์ “เซ็นทรัล นครสวรรค์” และ “เซ็นทรัล นครปฐม” เตรียมเปิดให้บริการในปี ​2567 ปั้นเมืองศักยภาพ พาคู่ค้าเติบโตทั่วประเทศ   นายชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล Chief Development and Commercial Officer บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้วางแผนต่อยอดแผนธุรกิจ 5 ปี (2565-2569) ด้วยการวางงบลงทุนรวม 14,000 ล้านบาท ในการพัฒนา 2 โครงการใหม่ ในจังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดนครปฐม เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ โดยเตรียมเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 1-2 ของปี 2567  ตามแผนธุรกิจ 5 ปี เราลงทุนในธุรกิจหลักของเรารวมกว่า 120,000 ล้านบาท และขยายโครงการกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศ จากความสำเร็จดังกล่าว จึงขยายโครงการใหม่ เซ็นทรัล นครสวรรค์ และ เซ็นทรัล นครปฐม ที่มีเป้าหมายเพื่อ สร้างเมืองใหม่-เจาะกลุ่มรายได้สูงมีไลฟ์สไตล์แบบคนเมือง-ขยายโอกาสธุรกิจเพื่อคู่ค้า ปักหมุดประตูสู่ภาคเหนือ “เซ็นทรัลนครสวรรค์” สำหรับจังหวัดนครสวรรค์ ซีพีเอ็นจะใช้งบประมาณ 5,800 ล้านบาท ในการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส “เซ็นทรัล นครสวรรค์” ขนาดพื้นที่ 76,000 ตร.ม. บนที่ดิน 42 ไร่  ซึ่งนอกจากศูนย์การค้า จะยังมีโรงแรมขนาด 200 ห้อง, คอนโดมิเนียม และ Urban Park ขนาดใหญ่ 2 ไร่  และโรงพยาบาล​ โดยโครงการจะเปิดให้บริการช่วงไตรมาส 1/2567   โดยทางซีพีเอ็น วางแผนพัฒนา เซ็นทรัลนครสวรรค์ ให้เป็น แลนด์มาร์กใหม่เพื่อชีวิตที่มีคุณภาพ (Landmark of Quality Living) ซึ่งจะมีสวนขนาดใหญ่บนพื้นที่ 2 ไร่  “Urban Park” ซึ่งออกแบบให้เป็น Multi-Generation Space สำหรับทุกคนทุกวัยในครอบครัว ประกอบด้วย Playground, Pet’s Park และไฮไลท์อย่าง Longevity Hill ที่ดีไซน์ให้เป็น Vertical Walkway มี running track, bike track  มีการดีไซน์ Wellness Zone ภายในโครงการให้เชื่อมโยงกับ Neighbouring Component อย่างโรงพยาบาล ประกอบด้วย Fitness, Sport Anchors, Beauty Services เป็นต้น เป็นศูนย์การค้าที่มีคอนเซ็ปต์ดีไซน์ represent เมืองปากน้ำโพ ผสมผสาน Chinese meets Thai Culture เข้ามาในส่วนต่างๆ  ซึ่งมีสินค้าจากแบรนด์ต่าง ๆ รวมกว่า 400 แบรนด์ ซึ่งมีการออกแบบแต่ละโซนแบบ Holistic View ที่เชื่อมโยงแต่ละโซนอย่างเช่น Chinese Village ที่ประกอบด้วย Food Destination, Chinese Market, Authentic Café, Supermarket นอกจากนี้ยังมีร้านค้าแบรนด์ต่าง ๆ ในกลุ่มเซ็นทรัล ​ทั้งเซ็ลทรัลดีพาร์ทเมนท์สโตร์ ซูเปอร์สปอร์ต เพาเวอร์บาย ท็อปส์ บีทูเอส ออฟฟิศเมท ​และ go! WOW   โดยเหตุผลสำคัญที่ซีพีเอ็นลงทุนในจังหวัดนครสวรรค์ เป็นเพราะ 1.การเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งภาคเหนือตอนล่าง (New Rising Economic City) เป็นประตูสู่จังหวัดภาคเหนือ (Gateway to the north) และตั้งอยู่บนแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridors (NSEC) และแผนเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐ เช่น รถไฟความเร็วสูงสายเหนือ, รถไฟทางคู่สายนครสวรรค์-แม่สอด และส่วนต่อขยายของทางรถไฟสายเหนือ ศูนย์กลางด้านการขนส่งไปสู่จังหวัดภาคเหนือ (Logistic Hub)  นครสวรรค์เป็นจังหวัดศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ สำหรับการขนส่งสินค้าไปยังจังหวัดต่าง ๆ ในภาคเหนือ ซึ่งเซ็นทรัล นครสวรรค์ จะเป็นอีกหนึ่ง Hub สำคัญที่เชื่อมโยงโครงการของเซ็นทรัลพัฒนาในภาคกลางและภาคเหนือ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ให้กับคู่ค้าผู้เช่า ในการขยายโอกาสทางธุรกิจ 2.ศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว (Hub of Cultural Tourism) นครสวรรค์ เป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยว และศูนย์รวมเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทย-จีน เมืองปากน้ำโพ เพราะเป็นเมืองต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยา มีชุมชนชาวจีนใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ และเทศกาลตรุษจีนก็เป็นหนึ่งในเทศกาลใหญ่ของจังหวัด รองจากกรุงเทพฯ และภูเก็ต  เซ็นทรัลนครสวรรค์ จึงวางแผนดีไซน์ภายในศูนย์การค้าด้วยการชู Local Essence ผสมผสาน Thai-Chinese Culture เป็นอีกหนึ่ง Attraction ที่จะทำให้นครสวรรค์เป็นมากกว่าเมืองผ่าน สู่เมืองท่องเที่ยวที่ผู้คนต้องมาเยือน 3.มีกลุ่มครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนที่กำลังซื้อสูง (Affluent Multi-Generation Families) กลุ่มครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน กำลังซื้อสูง หลากหลายช่วงวัย ไลฟ์สไตล์คนเมือง GPP หรือ ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัว มีกว่า 120,000 บาทต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับจังหวัดขอนแก่น รายได้ต่อครัวเรือน (Household Income) มากกว่า 21,000 บาทต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าจังหวัดเชียงราย มีกลุ่มครอบครัวคนรวย ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน (Multi-Generation Thai-Chinese Families) ครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน คนรวยนครสวรรค์ คือกลุ่มนักธุรกิจ คุ้นเคยกับ Urban lifestyle โดยจากข้อมูลที่เรามี ชาวนครสวรรค์เดินทางมาช้อปที่สาขาในกรุงเทพฯ จำนวนมาก อันดับหนึ่งคือ เซ็นทรัล ลาดพร้าว รองลงมาที่เซ็นทรัลเวิลด์ ประชากรในจังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ กำแพงเพชร, อุทัยธานี, ชัยนาท, ลพบุรี และพิจิตร มีรวมกว่า 1,000,000 คน อสังหาฯ ที่อยู่อาศัย (Housing Growth) เติบโต 6% ใน 5 ปี ราคาเฉลี่ยประมาณ 2.5 ล้านบาท พลิกที่ดิน 100 ไร่ ปั้น “เซ็นทรัลนครปฐม” 8,200 ล้าน แม้ว่าซีพีเอ็นจะมีโครงการใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัล ศาลายา หรือเซ็นทรัล มหาชัย แต่ก็วางแผนพัฒนาโครงการ “เซ็นทรัล นครปฐม” มูลค่าโครงการ 8,200 ล้านบาท บนที่ดินเกือบ 100 ไร่ เพราะมองศักยภาพและโอกาสทางการตลาดของจังหวัดนครปฐม ที่สามารถพัฒนาโครงการออกมารองรับได้   โดยโครงการ เซ็นทรัล นครปฐม ประกอบไปด้วย ศูนย์การค้า ขนาดพื้นที่ 69,000 ตร.ม. โดยจะเปิดให้บริการช่วงไตรมาส 2/2567  โรงแรมขนาด 200 ห้อง โครงการคอนโดมิเนียม  หมู่บ้านจัดสรร และ Urban Park ขนาดใหญ่ 4 ไร่ ซึ่งเป็นการพัฒนาภายใต้แนวคิด เมืองคนรุ่นใหม่ ใส่ใจความยั่งยืนและพื้นที่ Co-Creation สำหรับทุกคน  ซึ่งเป็นการนำความสำเร็จในการสร้างพื้นที่ Semi-Public จากเซ็นทรัล จันทบุรีมาไว้ที่นี่ด้วย แต่ที่นครปฐมจะโดดเด่นด้วย พื้นที่กิจกรรมสำหรับทุกคนในครอบครัว, Community Leisure Park และพื้นที่งาน Art & Craft และพื้นที่ Co-Creation กับกลุ่มนักเรียน นักศึกษาหรือ Young Co-Creator / Younger Mind เซ็นทรัล นครปฐม ยังจะมีร้านค้าและแบรนด์สินค้าพันธมิตรธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัลเข้ามาเปิดบริหาร ได้แก่ บีทูเอส ออฟฟิศเมท  เพาเวอร์บาย ท็อปส์ มาร์เก็ต ซูเปอร์สปอร์ต และ​ go! WOW  นอกจากนี้ ยังมีโซนไฮไลท์อื่น ๆ อาทิ Pathom Landmark: สะท้อนความเจริญทางศิลปวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ของคนนครปฐม, Pathom Samosorn: Authentic Lifestyle Food Destination กับพื้นที่ Semi-Outdoor Market และ Pathom Club เป็น Sport Fashion Destination ประกอบด้วยสินค้า Sport Fashion, Gadget, Fitness และ Running Track ที่เชื่อมต่อกับโซน Park ที่อยู่ใจกลางโครงการ สำหรับอาคารของโครงการ ยัง​ถูกพัฒนาภายใต้​มาตรฐาน Green Building มี Sustainable Design อาทิ Natural Light, Solar Roof ลดการใช้พลังงาน, Waste Management   ส่วนเหตุผลสำคัญที่ซีพีเอ็นเลือกพัฒนาโครงการในจังหวัดนครปฐม เป็นเพราะ 1.เป็นเมือง Strategic Move ในการขยายไปภาคตะวันตกโดยมีนครปฐมเป็น ประตูเชื่อมไปยังจังหวัดใกล้เคียงคือราชบุรี และกาญจนบุรี ทำเลที่ตั้งโครงการ อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยและสถานที่สำคัญ ทำหน้าที่เป็น Center ของเมือง ตอบโจทย์ลูกค้าได้โดยไม่ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เดินทางสะดวกด้วยมอเตอร์เวย์ บางใหญ่-กาญจนบุรี และมอเตอร์เวย์ ชลบุรี-สระบุรี-นครปฐม ยุทธศาสตร์จังหวัด นครปฐมถูกวางให้เป็น Smart City และ Eco Industrial Town หรือเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ที่สร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม สิ่งแวดล้อม และสังคมชุมชน 2.นครปฐมเมืองท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และธรรมชาติ (Heritage and Nature) Heritage: มีเสน่ห์ของเมืองเก่า และความรุ่งเรืองของ “อู่อารยธรรม” และแลนด์มาร์กสำคัญอย่างพระปฐมเจดีย์ โครงการเซ็นทรัล นครปฐมจึง เข้ามาต่อยอดความเป็นเมืองที่มีเสน่ห์และมีเรื่องราว Nature: เมืองที่มีพื้นที่สีเขียวตามธรรมชาติถึง 35-40% ของพื้นที่สีเขียวทั้งหมดของจังหวัด โครงการเซ็นทรัล นครปฐม ยังเพิ่มพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ให้กับเมืองด้วย 3.เป็นเมืองคนรุ่นใหม่ และมีรายได้สูง (Attractive & Powerful Spenders)   ติดอันดับ 10 จังหวัดที่มี GPP (ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัว) สูงที่กว่า 375,000 บาท มีความเติบโตทางเศรษฐกิจ รายได้ครัวเรือนสูง เติบโตจากปีที่แล้วถึง 5% อยู่ที่ประมาณ 34,000 บาท ต่อเดือน ประชากรกว่า 1,000,000 คน  ที่อยู่ในจังหวัดนครปฐม และยังขยาย New Catchment ไปราชบุรี กาญจนบุรี มีจำนวนคนในเมืองเดินทางเข้ามากว่า 200,000 คนในช่วงระหว่างสัปดาห์ คนในนครปฐม, คนทำงาน, นักเรียนนักศึกษา เป็น Universities Hub นับเป็นอีกหนึ่งกลุ่มประชากรหลักของเมือง เป็นกลุ่มที่ต้องใช้ชีวิต เรียนหนังสือ ไม่ได้แค่เดินทางไป-กลับ การเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวปีละกว่า 4 ล้านคน เป็นชาวไทย 97%, ต่างชาติ 3%ซึ่งจังหวัดนครปฐมตอบโจทย์นักท่องเที่ยว และนักเดินทางที่มาพักผ่อนในช่วงสุดสัปดาห์ อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดงบลงทุน 120,000 ล้าน เซ็นทรัลพัฒนา ใช้ไปกับธุรกิจอะไรบ้าง -เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050
อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนพฤศจิกายน 2565

อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนพฤศจิกายน 2565

ผลจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ตอนนี้หลายธนาคารประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย MRR หรือ Minimum Retail Rate (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี) กันหลายแห่งแล้ว แน่นอนส่งผลให้ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารเรียกเก็บกับลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย   สำหรับอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโดมิเนียม ในเดือนพฤศจิกายนนี้ มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง Reviewyourliving ได้รวบรวมมาให้เปรียบเทียบ สำหรับคนที่กำลังจะกู้เงินซื้อบ้าน หรือซื้อคอนโดกัน ซึ่งภาพรวมก็ปรับเพิ่มขึ้นหลายแห่งด้วยเหมือนกัน ลองไปดูกัน ​​ อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนพฤศจิกายน 2565 ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากเอกสารที่ระบุอยู่ในเว็บไซต์ของธนาคาร ยังมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล โดยยังเป็นข้อมูลที่ใช้กับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม -30 มิถุนายน​ 2565  จึงคาดว่าธนาคารกรุงเทพ จะยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเวลาดังกล่าว ​ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป ลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.45% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.45% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% ลูกค้าทั่วไปวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58% -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก MRR-1.20% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า 500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่  10 พฤษภาคม​ – 30 มิถุนายน​ 2565 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธันวาคม​ 2564 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข 2.ธนาคารกรุงไทย สำหรับธนาคารกรุงไทย ได้อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ทางเลือกที่ 1 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.77% (MRR-3.45%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2.77% (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% ทางเลือกที่ 2 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี =2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26% ทางเลือกที่ 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.92% (MRR-2.30%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.96% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26% ทางเลือกที่ 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.25 ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี =  3.06% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.30% เพิ่มขึ้น หมายเหตุ : 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ *ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี (การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ เป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ) 2.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)**คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,600 บาท/เดือน MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 4 ตุลาคม 2565) 3.สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค / ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย /ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4.เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี  เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมิน  และธนาคารยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้ซื้อบ้านและคอนโด ยังคงเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  เนื่องจากมีระยะเวลาการสิ้นสุดแคมเปญถึง 31 ธันวาคมนี้ โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.925% (MRR-2.125%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.45% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 2.50%   เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 415% (MRR-1.9%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-1.5%) ปีที่ 3อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-1.5%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.14% ลดลง 0.07% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตราดอกเบี้ย  4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.54% เพิ่มขึ้น 0.02% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) ปีที่ 3อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.68% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.22% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.99%  เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.15%  (MRR-1.9%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.35% (MRR-1.7%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.35% (MRR-1.7%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.92% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.33% หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน​ – 31 ธันวาคม 2565 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป  ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยแบ่งการพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 30,000-50,000 บาท และกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่อเดือน 50,000 บาท ​โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ กลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 30,000-50,000 บาท* อาชีพรายได้ประจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = MRR+0.93% = 6.9% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  6.90% ลดลง 0.82% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 6.94% ลดลง 0.78% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย  7.72% ลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = MRR+1.43% = 7.4% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.40% ลดลง 0.82% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.44% ลดลง 0.78% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 8.22% กลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป** อาชีพรายได้ประจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = MRR-0.07% = 5.9% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  5.9% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.94% ลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = MRR+0.43% = 6.4% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 6.40% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 6.44% *หมายเหตุ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 12 ตุลาคม 2565 - 30 ธันวาคม 2565 จดจำนองภายใน วันที่ 31 มกราคม 2566 -วงเงินกู้ไม่เกิน 80% ของราคาซื้อขาย และไม่เกิน 80% ของราคาประเมินหลักประกัน -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 30,000 ถึงน้อยกว่า 50,000 บาทและทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวใช้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า โดยสำหรับอาคารพาณิชย์ ต้องเป็นบ้านใหม่ / บ้านมือหนึ่ง / บ้านพร้อมโอน (ไม่รวมอาคารพาณิชย์สั่งสร้าง) **หมายเหตุ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 - 30 ธันวาคม 2565 และจดจำนองภายใน วันที่ 31 มกราคม 2566 -วงเงินกู้ไม่เกิน 80% ของราคาซื้อขาย และไม่เกิน 80% ของราคาประเมินหลักประกัน -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปและทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวใช้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า โดยสำหรับอาคารพาณิชย์ ต้องเป็นบ้านใหม่ / บ้านมือหนึ่ง / บ้านพร้อมโอน  (ไม่รวมอาคารพาณิชย์สั่งสร้าง) 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย โดยไม่มีการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 1 ปีแล้ว มีเฉพาะดอกเบี้ยลอยตัว โดยมีอัตราดอกเบี้ย  ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.84-3.04% เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.4-3.062% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.04-3.24% เพิ่มขึ้น 0.25-0.562% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.5-2.75% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่ 7 ตุลาคม​ 2563 เท่กับ 6.775% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.ค่าธรรมเนียมติดตามทวงถามหนี้ ค้างชำระ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ ค่างชำระมากกว่า 1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ 8.เบี้ยประกันอัคคี เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู  ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.65% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.47% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย  4.55% (MRR-2.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.95% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.55% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 5.15% หมายเหตุ -สำหรับซื้อบ้านและคอนโดจากโครงการทั่วไป -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.75% ประกาศ ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2565) 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป โดยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยจากเดือนที่ผ่านมา มีรายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-2.23%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.66% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.6% (MRR-1.88%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.77% ทางเลือก 3 (ไม่สมัครผลิตภัณฑ์ครบ 3 รายการ) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.85% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.85% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.85% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.48% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 30 ธันวาคม 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 มกราคม 2566 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย แบบทำประกัน Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ 10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) -ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี (ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด -สมัครขอใช้สินเชื่อตั้งแต่ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2565 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565  มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม -30 ธันวาคม 2565   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดย อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากปรับอัตราดอกเบี้ย MRR โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.95% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.95% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.26% เพิ่มขึ้น 0.39% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.15% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.75% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.15% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.34% เพิ่มขึ้น 0.39% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.4% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  5.35% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.95% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.05% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.28% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.6% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.2% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.55% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 5.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.36% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.96% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.75% ต่อปี (ตามประกาศธนาคาร วันที่ 3 ตุลาคม 2565) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น (Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น) -การอนุมัติสินเชื่อ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย (ใบอนุญาตประกันชีวิต เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบ้าน โฮมโลน โดนใจ ที่คิดดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9%  โดยเดือนนี้ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีการคิดอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงรายละเอียดจากช่วงเดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย ดังนี้ แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย  1.9% (MRR-5.85%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 2.30% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 1.9% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.85% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  2.65% เพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.41% เพิ่มขึ้น 0.87% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.54% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 1.99% ลดลง 0.51% จากเดือนที่ผ่านมาคิด 2.5% ปีที่ 2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.5% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.2% เพิ่มขึ้น 1.7% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.50% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.9% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.50% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.48% เพิ่มขึ้น 0.91% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.57% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.59% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.59% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.4% แบบที่ 4 ปีที่ 1 คงที่ 1.99% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.2% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.8% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46%   เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1%  ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำได้ -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 5.00% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.50% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.75% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.75% (ณ วันที่ 19 ต.ค. 65) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2565 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีโปรโมชั่น สินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด  โดยปลอดชำระเงินงวด 6 เดือนแรก เมื่อพ้นระยะปลอดชำระหนี้ สามารถเลือกผ่อนต่ำ ล้านละ 3,500 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน ​ โดยมีรายละเอียดสำหรับสินเชื่อกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนพฤศจิกายน ดังนี้ วงเงินกู้สินเชื่อต่ำกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99% เพิ่มขึ้น 0.04% จากเดือนที่ผ่านมาคิด 1.95% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.98% เพิ่มขึ้น 0.105% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.875% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.65% เพิ่มขึ้น 0.15% จากดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.144% เพิ่มขึ้น 0.059% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 4.085% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.24% เพิ่มขึ้น 0.04% จากเดือนก่อนหน้าคิด 2.20% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.605% ลดลง 0.02% จากเดือนก่อนหน้าคิด 3.625% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% คิดเท่ากับเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.328% เพิ่มขึ้น 0.001% จากเดือนที่ผ่านมาคิด  4.327% วงเงินกู้สินเชื่อมากกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป (เดือนที่ผ่านมาไม่ได้แยกวงเงินกู้) กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.755% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.089% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.24% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.38% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.00% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.274% เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ –การทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ เป็นการทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่น อย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์/ บัตรเครดิตหรือสินเชื่อบัตรเงินสด/ ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี/ หน่วยงานหักเงินนำส่งชำระหนี้ / จ่ายตรงเงินเดือน / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -การปลอดชำระเงินงวด คือ ระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลาที่ธนาคารยังคงคิดดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงิน -*กรณี ฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) โดยลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าธรรมเนียมจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน ทั้งนี้ กรณีจำนวนเงินที่จ่ายตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ 1.00 ของเงินค่าจดจำนอง โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย คืนเข้าบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกของลูกค้าภายใน 30 วันทำการ นับจากวันที่จดจำนองแล้วเสร็จ -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนด เฉพาะกรณีไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) เพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากผู้กู้ชำระหนี้ปิดบัญชีในทุกกรณี ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้จะต้องชำระค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ยื่นกู้ภายในวันที่ 15 มกราคม 2566 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566   หมายเหตุ Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565   บทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565 -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 2565
10 วิธีแก้ปัญหา ผ่อนบ้าน-ผ่อนคอนโด ไม่ไหว ?

10 วิธีแก้ปัญหา ผ่อนบ้าน-ผ่อนคอนโด ไม่ไหว ?

ผ่อนบ้านไม่ไหว การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบมากมายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน การอยู่อาศัย การทำมาหากิน และภาพรวมเศรษฐกิจ ซึ่งทุกภาคส่วนต่างก็ได้รับผลกระทบแทบทั้งสิ้น แต่อาจจะได้รับผลกระทบแตกต่างกันออกไป   อย่างเรื่องการงานและรายได้ หลายคนอาจจะมีรายได้ลดลง จากระยะเวลาการทำงานลดลง หรือบางคนอาจจะได้รับผลกระทบหนัก จนถึงขั้นกับว่างงาน เพราะบริษัทเลิกจ้างหรือเลิกกิจการลงก็มีไม่น้อย แน่นอนว่าคนที่รายได้ลดลง ย่อมส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอยประจำเดือนแน่นอน ยิ่งคนไหนมีภาระต้องผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดมิเนียม อาจจะผ่อนต่อไม่ไหว เริ่มมีปัญหาเงินไม่พอที่จะผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโด และบางคนจะได้รับผลกระทบหนัก จนขาดส่งติดต่อกันมาหลายเดือนแล้วก็ได้   อย่างไรก็ตาม​ สำหรับใครที่มีปัญหาด้านการเงิน และมีปัญหาเกี่ยวกับการผ่อนบ้านและคอนโด ต้องรีบวางแผนให้ดีตั้งแต่เนิน ๆ อย่าปล่อยให้ปัญหาลุกลามจนเสียประวัติ ติดแบล็กลิสต์ หรือรุนแรงจนถึงขั้นถูกยึดทรัพย์ ถูกฟ้องร้องจากสถาบันการเงินเลย หากเริ่มมีปัญหาต้องวางแผนและหาทางออกตั้งแต่เนิ่น ๆ หากผ่อนบ้านไม่ไหว หรือผ่อนคอนโด ไม่ไหวแล้ว   วันนี้ Reviewyourliving มีแนวทางสำหรับแก้ไขปัญหา ถ้าผ่อนบ้านไม่ไหว หรือแม้แต่ผ่อนคอนโดไม่ไหวก็ตาม มาแนะนำให้ทุกคนนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล เพราะปัจจุบันแม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะดีขึ้น แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้กลับมาเป็นปกติ ภาวะเศรษฐกิจก็เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวเท่านั้น หลายคนจึงยังอาจจะเผชิญกับปัญหาการเงินอยู่ และหากใครผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดไม่ไหวจริง ๆ ทางออกก็มีหลายทาง ไม่ใช่แค่ให้ทางธนาคารยึดทรัพย์เท่านั้น ลองมาดูกันว่าทางออกที่ว่ามีอะไรบ้าง ​ เก็บบ้านไว้หรือปล่อยให้โดนยึด ก่อนอื่น เมื่อเริ่มมีปัญหาการเงิน ต้องวิเคราะห์ตัวเอง และสถานะทางการเงินของตัวเองว่า จะสามารถผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดต่อไปได้อีกกี่เดือน อย่าปล่อยให้ปัญหาสะสมจนต้องเสียประวัติ หรือเสียเครดิต เพราะจะส่งผลต่อการเจรจราต่อรองกับทางธนาคาร หากต้องการได้รับการช่วยเหลือต่าง ๆ ดังนั้น แนวทางเริ่มต้นของการแก้ปัญหา ผ่อนบ้านไม่ไหว หรือผ่อนคอนโดไม่ไหว คือ ถามตัวเองว่าจะยังต้องการบ้านหรือคอนโดที่ผ่อนอยู่หรือไม่ ซึ่งวิธีการแก้ไขปัญหาจะแตกต่างกัน ดังนี้ 1.กรณีไม่ต้องการบ้านหรือคอนโดที่ผ่อนอยู่แล้ว สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าไม่อยากจะเก็บบ้านหรือคอนโดไว้แล้ว เพราะอาจจะมีปัญหายังว่างงานอยู่ หรือมีภาระค่าใช้จ่ายสูงจนไม่สามารถผ่อนต่อไหว ไม่อยากเก็บบ้านหรือคอนโดไว้เป็นภาระด้านการเงิน ทางออกก็คงจะมีทางเลือกเดียว คือ การประกาศขายบ้านหรือคอนโดนั้น ซึ่งมี 2 วิธี ดังนี้ -ประกาศขายคอนโด หรือขายบ้านให้กับบุคคลทั่วไป -ขายคืนให้กับธนาคาร การขายบ้านคืนให้ธนาคาร  หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า หากเราไม่สามารถผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดกับทางธนาคารได้ไหว เรายังสามารถเอาบ้านหรือคอนโดที่เราผ่อนชำระอยู่ขายคืนให้กับธนาคารได้ ในราคาที่ผ่อนไปแล้ว แต่ทั้งนี้ การที่ธนาคารจะรับซื้อคืนหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของธนาคารเป็นหลักด้วย 2.กรณียังต้องการบ้านหรือคอนโดที่ผ่อนอยู่ต่อไป สำหรับคนที่ยังต้องการจะเก็บบ้านหรือคอนโดเอาไว้ เป็นทรัพย์สินหรือการอยู่อาศัย และพร้อมจะกลับมาผ่อนชำระให้เป็นปกติเมื่อมีรายได้ดีเหมือนเดิม อาจจะต้องใช้วิธีการเจรจากับทางธนาคารที่กู้ เพื่อหาทางออกร่วมกัน ว่าจะมีวิธีอะไรบ้างที่สามารถทำได้ ซึ่งเชื่อว่าธนาคารพร้อมจะหาหนทางให้กับผู้กู้ เพราะในความจริงแล้วธนาคารไม่ได้อยากได้บ้านหรือคอนโดนั้น แต่ต้องการเงินต้นและดอกเบี้ยคืนมากกว่า  ลองมาดูว่ามีวิธีการแก้ไขปัญหานี้อย่างไรบ้าง 1.พักชำระหนี้ วิธีการนี้ เป็นการขอหยุดชำระค่างวดผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดไว้เป็นการชั่วคราว หรือบางกรณีที่มีวิกฤติทางเศรษฐกิจ ทางธนาคารก็มักจะออกมาตรการนี้มาช่วยเหลือลูกหนี้  เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน  ซึ่งแม้ว่าเราจะไม่ต้องส่งเงินค่างวดให้ทางธนาคารภายในระยะเวลาที่ธนาคารกำหนด แต่ธนาคารยังคงคิดดอกเบี้ยของแต่ละงวดต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หยุด และจะมาเรียกเก็บกับลูกหนี้ภายหลัง โดยอาจจะเรียกเก็บเงินค่างวดพร้อมดอกเบี้ยครั้งเดียว หรือเฉลี่ย ๆ เป็นงวดก็แล้วแต่เงื่อนไขของทางธนาคาร 2.ขอขำระค่าผ่อนบ้านต่ำกว่าปกติ หากค่าผ่อนบ้าน ผ่อนคอนโดในแต่ละเดือนสูงเกินกว่าที่เราจะผ่อนไหว การเจรจากับธนาคารเพื่อขอประนอมหนี้ลดเงินส่งต่อเดือนลงให้เหมาะสมกับรายได้ปัจจุบัน แต่เงื่อนไขนี้ ทางธนาคารมีหลักเกณฑ์พิจารณา คือ ยอดชำระต่อเดือนต้องสูงกว่ายอดดอกเบี้ยต่อเดือนอย่างน้อย 500 บาท และการขอประนอมหนี้วิธีนี้สามารำทำได้เพียงครั้งเดียว มีกำหนดระยะเวลาการผ่อนที่ต่ำกว่าปกติได้นานไม่เกิน 2 ปี ทั้งนี้ ผู้ขอจะต้องมีประวัติการผ่อนชำระที่ดีด้วย และเหมาะกับผู้ที่มีรายได้ประจำแต่รายได้ลดลง มากกว่าผู้ที่ไม่มีรายได้เลย 3.ขอชำระเฉพาะดอกเบี้ย ในบางช่วงบางกรณี เช่น เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หรือช่วงนี้มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือลูกหนี้อยู่ในพื้นที่ได้รับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมใหญ่ ธนาคารอาจจะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือลูกหนี้ หรือลูกหนี้อาจจะเจรจากับทางธนาคาร เพื่อขอชำระค่างวดผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโด ในส่วนที่เป็นดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวก็ได้ แต่เกณฑ์การพิจารณาสำคัญก็อยู่กับแต่ละธนาคาร และลูกหนี้จะต้องมีประวัติการผ่อนชำระที่ดี เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหานั้นจริง ๆ ซึ่งวิธีนี้ธนาคารมักจะให้ผ่อนชำระได้สูงสุดไม่เกิน 12 เดือนและสามารถขอใช้วิธีนี้ได้เพียงครั้งเดียว 4.ขยายเวลาชำระหนี้ หากเรายังพอมีรายได้เข้ามา แต่ไม่เพียงพอจะชำระค่าผ่อนบ้าน หรือผ่อนคอนโด ในจำนวนเท่าเดิมได้ การขอขยายเวลาชำระหนี้ให้ยาวออกไป ก็จะช่วยทำให้ค่าผ่อนบ้าน หรือค่าผ่อนคอนโดในแต่ละเดือนลดลงได้ หรืออาจจะเหมาะสมกับรายได้ของลูกหนี้ในเวลานั้น  ซึ่งทางธนาคารสามารถขยายระยะเวลาให้ลูกหนี้ได้นานสูงสุดถึง 30 ปี แต่ทั้งนี้อายุของผู้กู้เมื่อรวมกับระยะเวลาการขอขยายจะต้องไม่เกิน 70 ปี ที่สำคัญหากมีค่าดอกเบี้ยที่ค้างอยู่ก็ต้องชำระให้หมดก่อนด้วย 5.เปลี่ยนตัวลูกหนี้ หากเรา ผ่อนบ้านไม่ไหว หรือ ผ่อนคอนโดไม่ไหวจริง ๆ อาจจะใช้วิธีการเปลี่ยนตัวลูกหนี้รายใหม่ ที่ทำสัญญาเงินกู้กับทางธนาคารแทนตัวเรา ซึ่งบุคคลที่มาเป็นลูกหนี้แทนเรานั้น อาจจะเป็นบุคคลที่เรารู้จัก หรือญาติพี่น้องกับเรา ที่มีการตกลงกันในรายละเอียดกันไว้ระหว่างเรากับคนที่จะมาเป็นลูกหนี้แทน ซึ่งเราต้องทำการแจ้งกับธนาคารเพื่อขอเปลี่ยนตัวลูกหนี้ ที่สำคัญผู้ที่จะเป็นลูกหนี้แทนเราก็คงต้องมีคุณสมบัติครบตามหลักเกณฑ์ของแต่ละธนาคาร และการพิจารณาก็ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารด้วยว่าจะอนุมัติหรือไม่อย่างไร 6.หาคนช่วยผ่อน/ผู้กู้ร่วมเพิ่ม นอกจากการเปลี่ยนตัวลูกหนี้แล้ว อีกวิธีที่จะช่วยทำให้เรายังสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้ คือ การหาคนมาช่วยผ่อน อาจจะเป็นญาติพี่น้อง พ่อ แม่ สามี ภรรยา ซึ่งต้องเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน โดยเป็นการเพิ่มชื่อเข้ามาในสัญญากู้เงินในลักษณะผู้กู้ร่วมนั่นเอง โดยเกณฑ์การพิจารณาก็เป็นไปตามเงื่อนไขของทางธนาคาร ซึ่งเราต้องเตรียมเอกสารของบุคคลนั้น พร้อมกับการแจ้งกับธนาคารที่เรากู้เงินอยู่ สามารถเพิ่มชื่อผู้กู้ร่วมได้สูงสุด 2 คน 7.รีเทนชั่น/ขอลดดอกเบี้ย วิธีนี้ อาจจะไม่เป็นที่รู้จักหรือคุ้นเคยกับคนส่วนใหญ่ เพราะเรามักจะได้ยินวิธีการรีไฟแนนซ์มากกว่า ซึ่งการรีเทนชั่น คือ วิธีการขอเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับธนาคารเดิม เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลง หรือการขอลดดอกเบี้ยนั่นเอง แต่วิธีการนี้อัตราดอกเบี้ยไม่ได้ลดลงมากนัก จะอยู่ในช่วง 0.25-0.50% เท่านั้น ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการรีไฟแนนซ์ อาจจะได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่า เพราะมักจะมีโปรโมชั่นพิเศษมานำเสนอ และวิธีนี้กการพิจารณาของธนาคารก็ยังจะต้องดูคุณสมบัติ และประวัติของผู้กู้ประกอบการพิจารณาด้วย 8.รีไฟแนนซ์ เป็นหนึ่งวิธียอดฮิตที่ใคร ๆ หลายคนมักนิยมทำ หากผ่อนชำระไปครบกำหนด 3 ปีแล้ว และเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยในขณะนั้นถูกกว่าตอนแรกที่กู้ซื้อบ้านหรือคอนโดมา หรือเห็นว่าราคาบ้านหรือคอนโด ขยับเพิ่มสูงมากขึ้นซึ่งสามารถจะทำการรีไฟแนนซ์เพื่อให้มีวงเงินเหลือ หรือการขยายระยะเวลาการผ่อนชำระให้นานขึ้น เพื่อให้ค่าผ่อนบ้านหรือคอนโดต่องวดลดต่ำลงให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงินปัจจุบันของผู้กู้ 9.ขอโอนบ้านให้ธนาคารชั่วคราว เพื่อซื้อคืนภายหลัง ทางเลือกที่ยังจะทำให้เรามีบ้านหรือคอนโด แม้ว่าเราจะมีรายได้ลดหรือขาดรายได้จน ผ่อนบ้านไม่ไหว ก็คือการโอนบ้านหรือคอนโดให้กับธนาคารเป็นการชั่วคราว และจะกลับมาซื้อคืนภายหลัง ซึ่งปกติธนาคารจะรับโอนบานหรือคอนโด โดยหักนี้ในจำนวนไม่เกิน 90% ของราคาบ้านหรือคอนโด หากมีหนี้ส่วนเกินลูกหนี้จะต้องชำระหนี้ให้หมดในวันโอนด้วย   เมื่อโอนบ้านหรือคอนโดให้ธนาคารแล้ว เรายังคงอาศัยอยู่ต่อไปได้ปกติ ซึ่งวิธีการนี้มีลักษณะเหมือนการขายฝากบ้านหรือคอนโด และเราก็เช่าบ้านหรือคอนโดของตัวเองอยู่ โดยทางธนาคารจะมีอัตราค่าเช่าคิดเป็น 0.4-0.6% ของมูลค่าบ้านหรือคอนโด และมีกำหนดการทำสัญญาเป็นรายปี เป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้เราผ่านวิกฤตนี้ไปได้ 10.การรวมหนี้ ลูกหนี้หลายคนอาจจะไม่ได้เป็นหนี้เฉพาะค่าผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดเท่านั้น อาจจะมีหนี้อื่น ๆ เช่น ผ่อนสินค้า บัตรเครดิต ซึ่งอาจจะทำให้แต่ละเดือนจะต้องชำระหนี้หลายทาง และรวมกันเป็นเงินจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ในแต่ละเดือนได้ไหว การรวมหนี้ไว้ก้อนเดียวกัน และชำระเพียงเจ้าหนี้รายเดียวก็จะช่วยทำให้อัตราการผ่อนต่อเดือนลดลง   วิธีการรวมหนี้ (Debt Consolidation) เป็นมาตรการล่าสุด เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้นำออกมาช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งหลาย ด้วยการรวมหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่น ที่สามารถรวมหนี้ข้ามสถาบันการเงิน และ/หรือผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นได้ จากเดิมที่รวมได้เฉพาะหนี้ในสถาบันการเงินเดียวกันเท่านั้น     ที่มา : ธปท., DDProperty, ThinkofLiving, Home.co.th,Monneyguru   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 2565 -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565 -เคล็ดลับผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ดอกเบี้ยลด หมดหนี้ไว -ผ่อนบ้านไม่ไหว ทำไงดี!  
“ศิริปันนา กรุ๊ป”  กวาดยอดกว่า 85% ​ วันเดอร์ เกษตร  หลังปรับแผนปั้นโปรเจ็กต์โลว์ไรส์สู้โควิด-19

“ศิริปันนา กรุ๊ป” กวาดยอดกว่า 85% ​ วันเดอร์ เกษตร หลังปรับแผนปั้นโปรเจ็กต์โลว์ไรส์สู้โควิด-19

“ศิริปันนา กรุ๊ป” กลุ่มทุนอสังหาฯ เชียงใหม่ โชว์ยอดขายคอนโดโปรเจ็กต์แรก ที่ลงทุนในกรุงเทพฯ  วันเดอร์ เกษตร มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท กวาดยอดขายแล้วกว่า 85% หลังปรับแผนพัฒนาเป็นโปรเจ็กต์โลว์ไรส์ พร้อมเดินหน้าต่ออีก 2 โปรเจ็กต์ในปีหน้าทั้งคอนโดและบ้านแนวราบ   นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกภูมิทรัพย์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ในเครือศิริปันนา กรุ๊ป เปิดเผยว่า ในช่วงปลายปี 2563 บริษัทได้ขยายการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมที่จังหวัดกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก เนื่องจากมองเห็นโอกาสทางการตลาด และมีประสบการณ์การลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาฯ ประเภทโรงแรม และคอนโดในจังหวัดเชียงใหม่มาก่อนหน้านี้   โดยโครงการแรกที่บริษัทพัฒนาในจังหวัดกรุงเทพฯ คือ โครงการ วันเดอร์ เกษตร (ONEDER KASET) คอนโดโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น 3 อาคาร ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ งามวงศ์วาน บนเนื้อที่กว่า 4 ไร่ มูลค่ารวมกว่า 1,400 ล้านบาท มีห้องชุดพักอาศัยทั้งสิ้น 585 ยูนิต  มีห้องขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 21.50-36.05  ตร.ม. และ 7 ร้านค้า มีที่จอดรถประมาณ 35% โดยมีห้องชุดให้เลือก 4 แบบราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท นายศุภมิตร กล่าวว่า ในช่วงแรกที่ทำการศึกษาและวางแผนพัฒนาโครงการ ผลการศึกษามองศักยภาพของที่ดินเหมาะสมที่จะพัฒนาโครงการในรูปแบบไฮท์ไรส์ โดยมีขนาดห้องตั้งแต่ 24 ตร.ม.ขึ้นไป ราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท จับกลุ่มเป้าหมายพนักงานที่ทำงานในธุรกิจสายการบิน เนื่องจากทำเลที่ตั้งใกล้สนามบินนานาชาติดอนเมือง และธุรกิจการบินในขณะนั้นกำลังเติบโตสูง บริษัทจึงลงทุนกว่า 10 ล้านบาท ในการออกแบบ การยื่นขออนุญาตสิ่งแวดล้อม (EIA) รวมถึงการทำห้องตัวอย่าง แต่หลังจากนั้นเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งให้บริษัทกลับมาทบทวนแผนธุรกิจใหม่ และตัดสินใจที่ปรับรูปแบบเป็นโครงการโลว์ไรซ์แทน ไม่กี่วันก่อนจะเปิดตัวโครงการ สถานการณ์โควิดระบาดรุนแรงมาก จึงตัดสินใจล้มกระดาน กลับมาศึกษาตลาดใหม่ ซึ่งเวลานั้นบ้านแนวราบขายดีมาก เพราะคนต้องการพื้นที่ จงหันมาทำโลวไรส์ เพิ่มพื้นที่สีเขียวกว่า 2 ไร่ และเพิ่มพื้นที่ส่วนกลางมากขึ้น คิดว่าเป็นการตัดสินใจถูก โดยนับตั้งแต่วันเปิดตัวขายใหม่ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2563 จนถึงปัจจุบัน บริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 85% คิดเป็นมูลค่ากว่า 900 ล้านบาท ซึ่งมียูนิตเหลือขายปัจจุบันไม่ถึง 100 ยูนิตเท่านั้น บริษัทจึงได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ นำห้องชุด 20 ยูนิตมาจัดโปรโมชั่นแถมเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ในราคาเริ่มต้น 2.1 ล้านบนาท สูงสุดประมาณ​ 3.8-3.9 ล้านบาท โดยเป็นการันตีผลตอบแทนจากการเช่า 6% เป็นเวลา 1 ปี ให้กับผู้ซื้อห้องชุดดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันมีลูกค้าที่ทำงานในพื้นที่ใกล้เคียงต้องการเช่าห้องของโครงการบ้างแล้ว นายศุภมิตร กล่าวอีกว่า สำหรับแผนงานในอนาคต บริษัทยังคงลงทุนต่อเนื่อง โดยในปีหน้าจะเปิดตัวโครงการใหม่อีก 2 โครงการ เป็นโครงการคอนโดโลว์ไรส์ 1 โครงการ และโครงการแนวราบอีก 1 โครงการ โดยพัฒนาในพื้นที่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งจะเปิดตัวโครงการคอนโดก่อนในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า ​ การขยายฐานตลาดออกนอกพื้นที่จากเชียงใหม่ของ ศิริปันนา กรุ๊ป ถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จลูกค้าให้การตอบรับดี  โดยกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ ที่ต้องการอยู่อาศัยจริง และกลุ่มคนที่ซื้อลงทุนเพื่อปล่อยเช่า ซึ่งตรงกับเป้าหมายที่บริษัทฯ วางไว้ สำหรับโครงการวันเดอร์ เกษตร  มีห้องชุดให้เลือก 4 แบบราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท* Studio ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 21.50 - 23.55 ตร.ม. Studio Exclusive ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 23.75 – 25.35 ตร.ม. One Bedroom ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 27.95 – 28.85 ตร.ม. และ One Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 35.00 – 36.05 ตร.ม. ส่วนจุดขายสำคัญของ โครงการประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลักๆ ที่ได้กระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า ดังนี้ 1.รูปแบบการพัฒนาโครงการที่มีความเป็นยูนีคพรีเมียมเฉพาะตัว สะท้อนความต้องการของคนรุ่นใหม่ ด้วยคอนเซ็ปต์ Feel Evergreen in Wonderland ชวนหลงใหลไปกับการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ New Normal และ “7 ความมหัศจรรย์”   2.ทำเลที่ตั้งโครงการที่ติดถนนใหญ่งามวงศ์วาน เป็นย่านชุมชนเมืองขนาดใหญ่มีครบทั้งแหล่งงาน บ้านพักอาศัย โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย และอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าสถานีบางเขนเพียง 200 เมตร, ใกล้รถไฟฟ้า 5 สาย ใช้เวลาเพียง 5 นาทีถึง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ 6 นาทีถึง BTS ม.เกษตร ในอนาคตบนถนนงามวงศ์วานจะเกิดแนวเส้นทางของรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี (บึงกุ่ม)   3.สิ่งอำนวยความสะดวก (Facilities) ภายในโครงการที่ครบครัน โดยแต่ละอาคารจะมี Facilities เป็นของตัวเอง พื้นที่สวนส่วนกลางขนาดใหญ่ และความร่มรื่นของโครงการ โดยเฉพาะพื้นที่สวนขนาด 1 ไร่ที่อยู่ตรงกลางระหว่างอาคารทั้ง 3 ตึก สร้างสรรค์ที่ว่างกลางโครงการด้วยเส้นสาย รูปทรงเรขาคณิตพื้นที่สีเขียวรวมเข้ากับทางเดินโค้งเชื่อมต่อกัน และอุโมงค์ต้นไม้ (Flow of Space) ให้ความรู้สึกมีเสน่ห์น่าหลงใหล แต่ยังคงลึกลับน่าค้นหา (Hide&Seek) อีกทั้งยังได้ออกแบบพื้นที่ส่วนกลางชั้นบน ให้คุณได้วิ่งชมสีสันท้องฟ้าและวิวเมืองทุกวันบน Sky Running และ Sky Garden เชื่อมต่อกับทุกอาคาร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เจาะตลาดคอนโดฯ ทำเลรัชโยธิน เหมาะซื้ออยู่จริงหรือเพื่อลงทุน?    
7 เหตุผลที่ “ฮาบิแทท กรุ๊ป” ผนึก “เฮงตระกูล”  ปั้น ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า 1,700 ล้าน

7 เหตุผลที่ “ฮาบิแทท กรุ๊ป” ผนึก “เฮงตระกูล” ปั้น ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า 1,700 ล้าน

ไฮแลนด์ พาร์ค  “ฮาบิแทท กรุ๊ป” จับมือตระกูล​ “เฮงตระกูล” พัฒนาที่ดินกว่า 51 ไร่ ขึ้นโครงการ  ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า ที่พัทยา มูลค่า 1,700 ล้าน รับเทรนด์และดีมานด์หลังโควิด-19   กว่า 10 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา “ฮาบิแทท กรุ๊ป” พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ที่เน้นโปรดักส์กลุ่มไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ (Lifestyle Investment) รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นตลาดกลุ่มนิช มาร์เก็ต (Niche Market)  ที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนเป็นหลัก โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดมิเนียม แต่มาวันนี้  “ฮาบิแทท กรุ๊ป” มองหาโอกาสด้านการลงทุนใหม่ ๆ ​โดยขยายไปในตลาดแนวราบเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นตลาดเรียลดีมานด์ที่มีขนาดใหญ่ และมีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง   การขยายไปสู่ตลาดแนวราบครั้งนี้ เป็นการจับมือกับกลุ่มตระกูล “เฮงตระกูล” จัดตั้งบริษัท ฮาบิแทท วิลล่า จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการ “ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา”  (Highland Park Pool Villas) บ้านวิลล่า มูลค่า 1,700 ล้านบาท ซึ่ง ฮาบิแทท กรุ๊ป ถือหุ้นสัดส่วน 70% และนายรัฐกิจ เฮงตระกูล สัดส่วนอีก 30%   โครงการ ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า  เป็นรูปแบบบ้านพูล วิลล่า สไตล์โมเดิร์น ตั้งอยู่ที่ตำบลห้วยใหญ่ บนเนื้อที่กว่า 51 ไร่ ซึ่งซื้อมาจากตระกูล “เฮงตระกูล” โดยเริ่มพัฒนาเฟสแรกจำนวน 65 หลัง ประกอบด้วยบ้าน 2 แบบ ได้แก่  1.แบบโรสวูด แกรนด์ วิลล่า (Rosewood Grand Villa) บ้าน 2 ชั้น 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 1 ห้องแม่บ้าน พื้นที่จอดรถ 3 คัน ขนาดเนื้อที่เริ่มต้น 76 - 152 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน 375 ตารางเมตร พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวในบ้านทุกหลัง ในราคา 13 - 15 ล้านบาท และ 2.แบบแคสเซีย พูล วิลล่า (Cassia Pool Villa)  บ้าน  2 ชั้น  4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ พื้นที่จอดรถ 2 คัน ขนาดเนื้อที่เริ่มต้น 61 - 122 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน 282 ตารางเมตร พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวในบ้านทุกหลัง ในราคาขายเริ่มต้นที่ 8 - 12 ล้านบาท นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด  เปิดเผยว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลให้ผู้บริโภคและนักลงทุน มีมุมมองต่อการซื้อที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนไป โดยคาดหวังถึงที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่กว้างมากขึ้น สามารถรองรับกิจกรรมของครอบครัวและกลุ่มเพื่อน ซึ่งเป็นรูปแบบของการอยู่อาศัยพร้อมท่องเที่ยวและพักผ่อนที่เป็นเทรนด์การใช้ชีวิตและทำงานของคนยุคใหม่ “ทำงานจากที่ไหนก็ได้” หรือ Work from Anywhere จากปัจจัยดังกล่าวนำมาสู่การปรับแผนธุรกิจในครั้งนี้ และเชื่อว่าจะทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว จากเดิมที่เราโฟกัสโครงการอสังหาฯ เพื่อลงทุน แต่วิกฤตโควิดที่ผ่านมา ทำให้หันมาสนใจตลาดแนวราบ และหวังสร้างบาลานซ์ พอร์ต เพื่อจัดการบริหารความเสี่ยงอีกด้วย ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ทำตลาดโครงการพูล วิลล่า มาแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ เดอะ วิลล์ จอมเทียน และ ครอสทู พัทยา โอเชียนเฟียร์ จึงมีความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคเป็นอย่างดี และพร้อมจะนำความแข็งแกร่งในจุดนี้ไปต่อยอดกับตลาดแนวราบต่อไป”   ด้านนายรัฐกิจ เฮงตระกูล ผู้ร่วมทุนโครงการ  “ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา” กล่าวว่า ความต้องการซื้ออสังหาฯ ในพื้นที่พัทยาเกิดขึ้นในหลายเซ็กเม้นท์ และวิลล่าซึ่งเป็นเซ็กเม้นท์ที่มีดีมานด์สูง สำหรับทั้งการท่องเที่ยวและพักผ่อน รวมทั้งซื้อไว้เพื่อการลงทุนในระยะยาว โดยมีความสนใจจากผู้ซื้อทั้งนักธุรกิจในพื้นที่ ชาวต่างชาติที่ทำงานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมโซนอีอีซี เป็นระดับผู้บริหารที่ต้องการซื้อแทนเช่า และชาวไทยที่อยู่กรุงเทพฯ เพราะการเดินทางที่สะดวกและใช้เวลาในช่วงสั้น ๆ จากกรุงเทพฯ มาพัทยา และสุดท้ายกลุ่มต่างชาติ ที่นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาพบว่าแนวโน้มเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ จึงมองว่าเป็นโอกาสในการพัฒนาและเปิดขายโครงการบนทำเลศักยภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้ในช่วงจังหวะนี้ 7 เหตุผลที่พัฒนา ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา สำหรับเหตุผลสำคัญที่ทำให้กลุ่มฮาบิแทท จับมือ "เฮงตระกูล" พัฒนา ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา มาจากความพร้อมของทั้งสองฝ่าย ที่ทำเลที่ตั้งมีความเหมาะสม มีศักยภาพ และเทรนด์การอยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากเกิดโควิดระบาด รวมถึงตลาดยังมีความต้องการของกลุ่มลูกค้าอยู่อย่างต่อเนื่องด้วย 1.โควิด-19 ส่งผลให้เทรนด์การอยู่อาศัยเปลี่ยนแปลง ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้พื้นที่เพื่อการอยู่อาศัย ทำให้คนที่มองหาซื้อบ้านจึงเลือกประเภทบ้านแนวราบ มากกว่าการเลือกซื้อคอนโดมิเนียม เพราะมีพื้นที่การอยู่อาศัยมากกว่า ซึ่งตลาดบ้านแนวราบในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีการเติบโตได้ดี ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และในหัวเมืองต่างจังหวัดที่เป็นเมืองพักตากอากาศ ทำให้บ้านสำหรับพักตากอากาศ หรือบ้านหลังที่ 2 มีอัตราการเติบโตที่ดี 2.วิลล่าในพัทยาเหลือน้อยแต่ดีมานด์สูง ข้อมูลจากฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย วิเคราะห์ถึงตลาดพูลวิลล่าในพื้นที่พัทยา ระดับราคาขาย 8-15 ล้านบาท ว่า เป็นตลาดที่เติบโตและได้รับความสนใจทั้งจากผู้พัฒนาและกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 มีโครงการพูลวิลล่าเปิดขาย 13 โครงการ รวม 404 ยูนิต ซึ่งในจำนวนนี้ขายไปแล้ว 295 ยูนิต หรือคิดเป็น 73% ของจำนวนยูนิตที่เปิดขายทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาโดยผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ และเป็นโครงการขนาดเล็กที่มีจำนวนยูนิตขายน้อย ตลาดวิลล่าในเมืองพัทยา จึงถือว่ามีซัพพลายน้อยแต่ความต้องการมีสูง ถือเป็นโอกาสทางการตลาดในการพัฒนาสินค้าดังกล่าวออกมารองรับ   3.Top 3 โอนที่อยู่อาศัยเยอะสุด เมื่อพิจารณาการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ยังพบว่า จังหวัดชลบุรี มีการโอนกรรมสิทธิ์มากเป็นอันดับ 3 รองจากจังหวัดกรุงเทพฯ และนนทบุรี โดยมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 14,968 ยูนิต เพิ่มขึ้น 6.3% คิดเป็นมูลค่า 36,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.1%   ขณะที่พื้นที่ในจังหวัดชลบุรี  ทำเลที่ตั้งของโครงการไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา คือ พื้นที่ตำบลห้วยใหญ่ ยังตั้งอยู่ในอำเภอที่มีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบมากที่สุดเป็นอันดับ 2  ด้วยคือ อำเภอบางละมุง รองจากอำเภอศรีราชา ที่มีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบมากที่สุด ส่วนอำเภอที่โอนกรรมสิทธิ์มากที่สุดเป็นอันดับ 3 คือ อำเภอเมืองชลบุรี 4.ศักยภาพรอบด้านของเมือง จังหวัดชลบุรี โดยเฉพาะเมืองพัทยา ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพรอบด้าน ในการเติบโตทั้งด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และด้านการท่องเที่ยว เพราะมีความพร้อมหลายด้าน อย่างเช่น   -ทำเลที่ตั้งที่ถือว่าเป็นเมืองชายทะเลที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด สามารถเดินทางได้ภายในระยะเวลาประมาณ 90 นาที และการเดินทางยังสะดวก ซึ่งในอนาคตจะมีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน  และยังมีโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่าง ๆ   -การเป็นเมืองที่มีแหล่งงานสำคัญ เพราะมีทั้งนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ศูนย์การค้า โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ มากมาย   -เมืองท่องเที่ยวชายทะเล ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมากทั้งกลุ่มชาวไทยและต่างชาติ 5.การเดินหน้าพัฒนา 2 เมืองใหม่ใน EEC นอกจากพื้นที่ของจังหวัดชลบุรีจะเป็นหนึ่งในเขตพื้นที่ EEC ซึ่งมีการลงทุนและพัฒนาในด้านต่าง ๆ จำนวนมาก โดยเม็ดเงินการลงทุนด้านต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในพื้นที่ EEC ในช่วง 5 ปีแรกมีมากถึง 1.5 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกัน  ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ยังมีแผนการพัฒนาเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ ซึ่งจะมีการนำเอาพื้นที่ส.ป.ก. จำนวน 14,619 ไร่ ในตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง มาพัฒนาเป็นเมืองใหม่ ซึ่งที่ตั้งอยู่ห่างจากสนามบินอู่ตะเภทเพียง 15 กิโลเมตร ที่จะนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศ และนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้าบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเมืองและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัย และเกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง 6.การลงทุนภาคเอกชนเกือบ 30,000 ล้าน ไม่เฉพาะหน่วยงานภาครัฐเท่านั้นที่จะเข้ามาพัฒนาพื้นที่ในเขตจังหวัดชลบุรี แต่ภาคเอกชนเองก็มองเห็นโอกาสและเห็นศักยภาพของเมือง จึงเดินหน้าเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าเกือบทุกเจ้าสัวของเมืองไทย พาเหรดกันเข้ามาพัฒนาโครงการในจังหวัดชลบุรีกันเป็นแถว โดยในอนาคตจะมีการพัฒนาโครงการรวมมูลค่าเกือบ 30,000 ล้านบาท ดังนี้ โครงการไอคอนสยาม พัทยา บริเวณนาจอมเทียม มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ของกลุ่มสยามพิวรรธน์ โครงการอควอทีค พัทยา บริเวณพัทยากลาง มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ของกลุ่มเสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี โครงการวงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ของกลุ่มเซ็นทรัล และโครงการเทอร์มินอล 21 พัทยา มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ของกลุ่มแลนด์แอนด์เฮ้าส์ 7.อัตราผลตอบแทน 7% จากประสบการณ์การพัฒนาโครงการอสังหาฯ มากว่า 10 ปี ซึ่งเน้นอสังหาฯ เพื่อการลงทุน หรือกลุ่ม Lifestyle Investment มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบว่ากลุ่มผู้ซื้อจะได้รับผลตอบแทนที่ดี จากการซื้ออสังหาฯ และนำมาปล่อยเช่า เช่น บ้านวิลล่าขนาด 3 ห้องนอน ราคาประมาณ 10 ล้านบาท เมื่อนำมาปล่อยเช่าจะได้อัตราค่าเช่า​คืนละ 8,000 บาท ซึ่งเฉลี่ยต่อเดือนจะปล่อยเช่าประมาณ​ 18-20 คืน ทำให้มี​รายได้เดือนละ 140,000 หักค่าใช้จ่ายด้านการบริหาร  40% จะเหลือรายได้ 80,000 บาทต่อเดือน จะคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 7% ถือว่าสูงกว่าการลงทุนซื้ออสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ซึ่งให้ผลตอบแทนประมาณ 4-5% เท่านั้น การปรับแผนธุรกิจใหม่ จากโครงการคอนโดมาสู่แนวราบ เป็นอีกก้าวที่สำคัญในการยกระดับการทำงานและบาลานซ์ธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ และบริหารจัดการความเสี่ยงที่นำไปสู่การเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ทั้งหมดนี้ คงเป็นเหตุผลสนับสนุนสำคัญที่ทำให้เกิดโครงการ ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา ที่เชื่อว่าไม่ใช่โครงการสุดท้าย แต่เป็นจุดเริ่มต้นของโครงการแรกที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกัน หากประสบความสำเร็จ เชื่อว่าจะมีโครงการต่อ ๆ ไปอีกมากมาย เพราะกลุ่มเฮงตระกูลมีที่ดินอยู่ในมืออีกมากมายทั่วจังหวัดชลบุรี คงต้องติดตามว่าจะเห็นได้อีกเมื่อไร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“ฮาบิแทท กรุ๊ป” ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน พร้อมบุกตลาดลูกค้าต่างชาติ -ฮาบิแทท ผนึกทุนญี่ปุ่น เปิด 2 โปรเจ็กต์ มูลค่า 2.8 พันล้าน
การกลับมาของ “ไลโอเนล ลี” สามี “แป้ง-อรจิรา”  ปั้นวิลล่า อัลต้าลักชัวรี่ 1,400 ล้าน

การกลับมาของ “ไลโอเนล ลี” สามี “แป้ง-อรจิรา” ปั้นวิลล่า อัลต้าลักชัวรี่ 1,400 ล้าน

หลังจาก “ไลโอเนล ลี” อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) ไม่ได้บริหารงาน เพราะมีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ ไปสู่บริษัท เคพีเอ็นแลนด์ จำกัด ของตระกูล “ณงค์เดช” ที่ปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นมากที่สุด 1 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 23.97% โดยไรมอนแลนด์ปัจจุบันมี นายกฤษณ์ ณรงค์เดช ดำรงตำแหน่งประธานการรการบริหาร และนายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร   ล่าสุด “ไลโอเนล ลี” ปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาลียาห์ คอร์ป จำกัด  ที่ได้จัดตั้งบริษัทขึ้นมาตั้งแต่ช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้ พร้อมด้วยภรรยา “แป้ง-อรจิรา แหลมวิไล” ดารา-นักแสดง ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งและบริหารงาน กับการเปิดตัวโครงการ​อาลียาห์ รีเซิร์ฟ (ALIYAH RESERVE) วิลล่าระดับอัลตร้าลักชัวรี่ ย่านพัฒนาการ 32 จำนวน 6 ยูนิต มูลค่า 1,400 ล้านบาท ไลโอเนล ลี บุกตลาดอัลตร้า ลักชัวรี่ เหตุผลสำคัญที่ “ไลโอเนล ลี” ยังคงพัฒนาโครงการระดับอัลตร้า ลักชัวรี่ เป็นเพราะตลาดยังเติบโตและมีความต้องการ เห็นได้จากช่วงเวลากว่า 2 ปีที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่กลุ่มลูกค้าระดับบนจะไม่ได้รับผลกระทบ ต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวดังกล่าวแต่อย่างใด   อีกสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดี  คือ ตัวเลขยอดขายบ้านหรู ระดับลักชัวรี่ที่เปิดตัวจำนวนมากยังคงมียอดขาย​ที่ดี​ ข้อมูลจากซีบีอาร์อี ประเทศไทย  ระบุว่า  ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 โครงการบ้านแนวราบระดับลักชัวรี่และซูเปอร์ลักชัวรี่มียอดขายที่ดีมาก  โดยอัตราการขายมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจาก 68% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2562 มาเป็น 75% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 และเมื่อสิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ตลาดบ้านแนวราบระดับลักชัวรี่และซูเปอร์ลักชัวรี่มีซัพพลายเหลือขายเพียง 745 ยูนิต จากจำนวนทั้งหมด 3,033 ยูนิต   ในช่วงที่ผ่านมาตลาดบ้านหรูจึงมีการเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด มีโครงการบ้านวิลล่าหรูระดับอัลตร้าลักชัวรี่ เตรียมเปิดตัวพรีเซลล์ 26-27 พฤศจิกายนนี้ อีกหนึ่งโครงการ คือ โครงการอาลียาห์ รีเซิร์ฟ  มูลค่า 1,400 ล้านบาท จำนวน 6 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 218-297 ล้านบาท เรามีความมั่นใจในตลาดที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านแนวราบที่ยังคงเติบโตแข็งแกร่งและได้รับผลบวกหลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้บ้านแนวราบเป็นที่ต้องการมากขึ้น สำหรับบริษัท อาลียาห์ คอร์ป ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา  โดยจะเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ในประเทศไทย ด้วยการนำเอาประสบการณ์กว่า 20 ปีในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาพัฒนาโครงการ จากที่ผ่านมาพัฒนาโครงการต่าง ๆ ทั้งโครงการที่อยู่อาศัย โครงการเชิงพาณิชย์และโรงแรม มาแล้วมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท ซึ่ง “ไลโอเนล ลี” เองยังมีประสบการณ์พัฒนาโครงการอสังหาฯ มาแล้วทั่วโลก ทั้งโครงการเชิงพาณิชย์และโรงแรมที่สหรัฐอเมริกา รวมทั้ง โครงการเชิงพาณิชย์ โรงแรมและที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์ ออสเตรเลียและไทย อาลียาห์ รีเซิร์ฟ บ้านสำหรับทุกเจเนอเรชั่น โดยโครงการอาลียาห์ รีเซิร์ฟ เป็นวิลล่า 6 ยูนิต ที่มีสไตล์การออกแบบโดยถอดแบบมาจากวิลล่าหรูหลังใหญ่ในยุคเรอเนสซองค์ของอิตาลี ซึ่งห้องรับแขกหลักของตัวบ้านหรือที่เรียกว่า “เปียโน โนบิเล่” (Piano Nobile) อยู่บริเวณชั้นบนของบ้าน มีโซนนั่งเล่นและทานอาหารขนาดกว้าง มีการจัดแลนด์สเคปสีเขียวล้อมรอบ มีห้องสวีทส่วนตัวสไตล์อพาร์ตเมนต์ภายในบ้านหลังใหญ่ และพื้นที่สำหรับสมาชิกในครอบครัวใช้เวลาร่วมกัน ตอบโจทย์การอยู่อาศัยสำหรับทุกเจเนอเรชั่น เทรนด์คนรุ่นใหม่ที่ชอบอยู่บ้านมากขึ้น และเทรนด์ครอบครัวใหญ่ที่นิยมพักอาศัยร่วมกับผู้สูงอายุในบ้านหลังเดียวกัน เริ่มพบเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน โดยพื้นที่ใช้สอยของบ้านจะมีขนาดตั้แต่ 1,370–1,900 ตารางเมตร บนที่ดินเนื้อที่ 175-200 ตารางวา สามารถจอดรถได้ 5-7 คัน พร้อม Park Connector กว่า 300 เมตรที่เชื่อมต่อสวนหลังบ้านทุกยูนิต  เจ้าของบ้านสามารถออกแบบบ้านในสไตล์ของตัวเองให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนใคร และสามารถนำไลฟ์สไตล์ที่ต้องออกไปใช้นอกบ้าน เช่น การออกกำลังกายในฟิตเนส  การทำผม-ทำเล็บ เข้ามาใช้บริการที่บ้าน ด้วยพื้นที่ในบ้านที่จัดสรรไว้ เช่น ห้องออกกำลังกาย สำหรับเทรนเนอร์เข้ามาเทรนการออกกำลังกาย หรือพื้นที่สำหรับช่างทำผมและช่างทำเล็บเข้ามาให้บริการถึงที่บ้านได้   โครงการยังใช้การออกแบบที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ ระบบระบายอากาศ กระจกหน้าต่างแบบ Double Glaze ระบบบังแดด แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่สำหรับเก็บไฟฟ้าที่ได้จากโซลาร์เซลล์ จุดชาร์จรถอีวี วัสดุที่ไม่มีสารระเหยที่เป็นพิษ ระบบเติมอากาศ Outdoor Air Processing Unit (OAU) ระบบปรับอากาศแบบ VRV (Variable Refrigerant Volume) การใช้ความร้อนจากระบบปรับอากาศมาช่วยผลิตน้ำร้อน และระบบกรองอากาศและฝุ่น PM 2.5 เป็นต้น   ไฮไลท์อื่น ๆ ของโครงการ ได้แก่ Raffles Reserve Club ซึ่งเป็นเวลเนสบาร์พร้อมบริการความช่วยเหลือส่วนตัวที่บริษัทเป็นผู้บริหารและให้บริการ มีป่าขนาดเล็กในโครงการ บ้านต้นไม้สไตล์โมเดิร์นสำหรับเด็ก ๆ และห้องพักรับรองแขก นอกจากนี้ ยังมีแอพพลิเคชั่นสำหรับเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ ทั้งระบบโฮมออโตเมชั่น ตรวจเช็คน้ำรั่วภายในบ้าน ติดตามการใช้ไฟฟ้าและน้ำประปา เช็คสถานะการชาร์จไฟของรถอีวี เช็คแบตเตอรี่สำรอง จองบริการต่าง ๆ ในพื้นที่ส่วนกลาง และตรวจสอบระบบความปลอดภัยและการเข้าออกของแขกที่มาเยี่ยมบ้าน อาลียาห์เป็นภาษาฮิบรูโบราณ แปลว่า ‘ขึ้นสูง’ สะท้อนปรัชญาและที่มาในการก่อตั้งบริษัทของเรา ที่เราจะเอื้อมมือคว้าดวงดาวทุกครั้งที่เราเริ่มโครงการใหม่ เราต้องการนำเสนอสิ่งใหม่ ๆ ให้กับเจ้าของบ้านและตลาด ซึ่งไม่ใช่แค่การออกแบบ สถาปัตยกรรม และการวางผังที่มีนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการก่อสร้างด้วยวัสดุที่ดีที่สุดอีกด้วย   นอกจากนี้ จากรายงานการศึกษาวิจัยโดยซีบีอาร์อี ประเทศไทย  ยังพบเทรนด์การอยู่อาศัยใหม่ที่เกิดขึ้นหลังโควิด-19 ได้แก่ การใส่ใจสุขภาพและเวลเนส พื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่และสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้หลากหลายรูปแบบ บ้านอัจฉริยะ และบริการความช่วยเหลือพิเศษตามความต้องการของลูกบ้านหรือ Concierge Services ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมการใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น ALIYAH RESERVE เป็นโครงการที่ตอบโจทย์เทรนด์ดังกล่าว ด้วยการออกแบบให้มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่และเป็นพื้นที่ที่ยืดหยุ่นที่สามารถจัดพื้นที่ใช้สอยได้ตามฟังก์ชั่นที่ต้องการ  ซึ่งคอนโดมิเนียมไม่ตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดแผนธุรกิจ ไรมอน แลนด์ ลุยตลาดเชิงรุก สู้วิกฤตโควิด-19 -“ไรมอน แลนด์” เปิดแผนปี 63 ปูทางสร้างรายได้หมื่นล้านใน 5 ปี
แกะกล่อง แบรนด์ใหม่ บุกตลาดบ้านหรู 20 ล้าน+

แกะกล่อง แบรนด์ใหม่ บุกตลาดบ้านหรู 20 ล้าน+

บ้านหรู 20 ล้าน เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ว่า นับตั้งแต่มีไวรัสโควิด-19 ระบาด คนส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้น แต่การพักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นห้องที่มีพื้นที่จำกัด ก็ไม่สามารถตอบโจทย์ในหลาย ๆ เรื่องได้ โดยเฉพาะหากเป็นการอยู่อาศัยด้วยกันหลายคน ที่แต่ละคนต่างก็มีกิจกรรมที่ต้องทำเมื่ออยู่บ้าน ส่งผลให้ความต้องการของคนยุคโควิด-19 เปลี่ยนแปลงไป หันมาต้องการอยู่บ้านที่มีพื้นที่มากขึ้น  ซึ่งคนที่กำลังวางแผนการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ หันมาเลือกซื้อโครงการบ้านจัดสรรกันมากขึ้น แทนการซื้อคอนโด   ขณะเดียวกัน ดีเวลลอปเปอร์เองก็มองเห็นว่า คนส่วนใหญ่มีความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป การอยู่อาศัยในคอนโดยุคปัจจุบันไม่ตอบโจทย์กับความต้องการเหล่านั้น จึงได้ลดการพัฒนาโครงการคอนโดลง หรือหยุดการพัฒนาไว้ชั่วคราว และหันมาพัฒนาโครงการบ้านแนวราบแทน   มีประเด็นที่น่าสนใจสำหรับการพัฒนาโครงการบ้านแนวราบ คือ ผู้ประกอบการหลายราย เลือกที่จะพัฒนาบ้านราคาแพงออกมาทำตลาดเพิ่มมากขึ้น  โดยเป็นกลุ่มบ้านระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะราคาที่ดินขยับแพงขึ้น ทำให้การพัฒนาบ้านตลาดระดับกลางลงล่าง อาจจะไม่สามารถคุ้มค่าในด้านการลงทุนได้   แต่เหตุผลสำคัญที่สนับสนุนให้ดีเวลลอปเปอร์ ลงทุนพัฒนาโครงการบ้านแพงเหล่านั้น คงเป็นเพราะตลาดมีความต้องการ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมีกำลังซื้อสูง และมีศักยภาพสามารถรองรับกับราคาบ้านเหล่านั้นได้  ที่สำคัญกลุ่มลูกค้าเหล่านี้มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารต่ำ เมื่อเทียบกับกลุ่มลูกค้าตลาดบ้านราคา 3-5 ล้านบาท แถมลูกค้าบางรายสามารถวางเงินดาวน์ได้สูง หรือไม่ก็ซื้อด้วยเงินสดก็มีให้เห็น บ้านหรู 20 ล้านอัพ เปิดตัวเยอะสุด โดยข้อมูล จากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC ได้รายงานตัวเลขการเปิดตัวบ้านและคอนโดใหม่ ในจังหวัดกรุงเทพฯ และปริมณฑล​ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา พบว่า มีการเปิดตัวจำนวน 23.766 ยูนิต แบ่งเป็นบ้านแนวราบจำนวน 8,834 ยูนิต และคอนโดอีก 14,932 ยูนิต โดยจำนวนบ้านและคอนโดทั้งหมดที่เปิดตัวในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่า 143,399 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านแนวราบมูลค่า 81,158 ล้านบาท และคอนโดมูลค่า 62,241 ล้านบาท   กลุ่มระดับราคาบ้านและคอนโดที่มีจำนวนเปิดตัวใหม่มากที่สุดในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา คือ ​กลุ่มบ้านระดับราคา 2-3 ล้านบาท มีจำนวน 7,217 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 30.4% ของจำนวนรวมทั้งหมด ซึ่งกลุ่มบ้านและคอนโดในระดับราคานี้  ถือเป็นตลาดหลักสำคัญ เพราะคนส่วนใหญ่ของประเทศมีความต้องการสูง และมีความสามารถในการกู้เงินกับธนาคารได้ ทำให้ดีเวลลอปเปอร์ส่วนใหญ่ เน้นพัฒนาบ้านและคอนโดในกลุ่มนี้ออกมาทำตลาด   ส่วนระดับราคาของกลุ่มบ้านแนวราบ ที่มีจำนวนเปิดตัวเยอะสุดในไตรมาส 2 จะ​เป็นกลุ่มระดับราคา 2-5 ล้านบาท  โดยมีจำนวนถึง 5,089 ยูนิต  คิดเป็นสัดส่วนรวม 57.6% ของจำนวนบ้านแนวราบทั้งหมดที่เปิดตัว ขณะที่กลุ่มคอนโดที่เปิดตัวมากในช่วงไตรมาส 2  คือ คอนโดระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 11,282 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 75.6% ของจำนวนโครงการคอนโดที่เปิดตัวทั้งหมด   แม้ว่าตลาดหลักของบ้านและคอนโด จะเป็นกลุ่มระดับราคา 2-3 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวนเยอะสุด แต่มีเทรนด์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงปีนี้ คือ การเปิดตัวโครงการบ้านหรูระดับราคาตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป ออกมาทำตลาดจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งไม่ได้มีแค่จำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังได้รับกระแสตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดีด้วย และด้วยราคาบ้านที่มีราคาสูงตั้งแต่ 20 ล้านบาทไปจนถึงระดับหลักร้อยล้านบาท ส่งผลให้ตลาดบ้านหรูกลุ่มนี้มีมูลค่าการเปิดตัวสูงสุด ด้วยมูลค่า 40,660 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 50.1% รองลงมาเป็นกลุ่มบ้านระดับราคา 10-15 ล้านบาท ด้วยมูลค่า 11,934 ล้านบาท สัดส่วน 14.7% 5 ทำเลเปิดตัวบ้านหรู 20 ล้านเยอะสุด สำหรับทำเลการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา จะพบว่า เขตธนบุรี มีจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุด จำนวน 3,098 ยูนิต ทั้งหมดเป็นคอนโด ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของเส้นทางรถไฟฟ้าออกไปสู่ชานเมือง การเจริญเติบโตของเมืองที่ขยายออกไป เพราะที่ดินรองรับการพัฒนาในเขตเมืองมีจำกัด และมีราคาสูงจนดีเวลลอปเปอร์ไม่สามารถซื้อมาพัฒนาโครงการขายในราคาที่เหมาะสมได้   ส่วนพื้นที่เปิดตัวโครงการมากที่สุดรองลงมาอีก 4 อันดับ ได้แก่ เขตปากเกร็ด จำนวน 2,739 ยูนิต มีทั้งบ้านแนวราบจำนวน 359 ยูนิต และคอนโด 2,380 ยูนิต เขตบางพลี เป็นโครงการบ้านแนวราบทั้งหมด จำนวน 1,763 ยูนิต เขตลาดพร้าว เป็นคอนโดทั้งหมด จำนวน 1,250 ยูนิต และเขตจตุจักร จำนวน 1,209 ยูนิต แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 10 ยูนิตและคอนโด 1,199 ยูนิต   หากพิจารณาจากระดับราคาของที่อยู่อาศัย ที่เปิดตัวในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา จะพบว่าแต่ละพื้นที่มีการเปิดโครงการใหม่ออกขายแตกต่างกันไป ตามดีมานด์และความต้องการของกลุ่มลูกค้าในแต่ลโซน ซึ่งปัจจัยหลักมาจากราคาที่ดินในโซนนั้น ๆ เหมาะสมจะพัฒนาที่อยู่อาศัยราคาเท่าไรออกมาทำตลาด ซึ่งหากพิจารณาจากกลุ่มราคา จะพบว่าแต่ละกลุ่มราคามีการเปิดตัวในทำเลต่าง ๆ ดังนี้ 5 ทำเล บ้านและคอนโด ราคา 2-3 ล้านบาท ที่มีจำนวนเปิดตัวมากสุด ได้แก่ 1.ลาดพร้าว 2.บางกอกน้อย 3.จตุจักร 4.ปากเกร็ด 5.บางพลี 5 ทำเล บ้านแนวราบ ราคา 2-3 ล้านบาท ที่มีจำนวนเปิดตัวมากสุด ได้แก่ 1.บางพลี 2.พระสมุทรเจดีย์ 3.ธัญบุรี 4.สามพราน 5.กระทุ่มแบน 5 ทำเลบ้านแนวราบ ราคา 3-5 ล้านบาท ที่จำนวนเปิดตัวมากสุด ได้แก่ 1.บางใหญ่ 2.บางบัวทอง 3.ทุ่งครุ 4.บางพลี 5.เมืองสมุทรปราการ 5 ทำเลคอนโด ราคา 1-1.5 ล้านบาท ที่มีจำนวนเปิดตัวมากสุด ได้แก่ 1.ธนบุรี 2.ปากเกร็ด 3.จตุจักร 4.บางเสาธง 5.มีนบุรี 5 ทำเล คอนโด 2-3 ล้านบาท ที่มีจำนวนเปิดตัวมากสุด ได้แก่ 1.ลาดพร้าว 2.บางกอกน้อย 3.จตุจักร 4.ปากเกร็ด 5.มีนบุรี   ส่วนที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าโครงการเปิดตัวมากที่สุดในช่วงไตรมาส 2 นั้น จะเป็นกลุ่มระดับราคา 10-15 ล้านบาท  ด้วยมูลค่า 42,480 ล้านบาท สัดส่วน 29.6% ทำเลที่เปิดตัวมากที่สุด คือ เขตสาทร รองลงมาคือ เขตคลองสาน เขตบางพลี เขตสายไหม และเขตบางกรวย ส่วนที่อยู่อาศัยระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปที่มีมูลค่าการเปิดตัวมากสุด ใน 5 ทำเล คือ เขตบางพลี เขตสะพานสูง เขตปากเกร็ด เขตทวีวัฒนา และเขตยานนาวา   สำหรับคอนโดกลุ่มราคาที่มีมูลค่าเปิดตัวมากที่สุด คือ ระดับราคา 10-15 ล้านบาท ​โดยมี​มูลค่าการเปิดตัวถึง​ 30,546 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 49.1% มีการเปิดตัวมากสุดใน 2 ทำเลเท่านั้น คือ เขตสาทร และเขตคลองสาน ขณะที่คอนโดระดับราคา 3-5 ล้านบาท เปิดตัวด้วยมูลค่ามากที่สุดรองลงมา กับมูลค่าการเปิดตัว 13,728 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 22.1%   ส่วนบ้านแนวราบที่มีมูลค่าการเปิดตัวมากที่สุด เป็นกลุ่มราคามากกว่า 20 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยมูลค่า 40,660 ล้านบาท ที่ครองสัดส่วน 50.1% ซึ่งมี 5 ทำเลหลักเปิดตัวมากที่สุด คือ  1.บางพลี 2.สะพานสูง 3.ปากเกร็ด 4.ทวีวัฒนา และ 5.ยานนาวา 7 แบรนด์ใหม่ลุยตลาดบ้าน 20 ล้าน จากเทรนด์การเปิดตัวบ้านแนวราบจำนวนมากในปีนี้ ซึ่งมีดีเวลลอปเปอร์จำนวนหนึ่ง เน้นการเปิดตัวบ้านหรูระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปมากขึ้น ทำให้บ้านกลุ่มนี้มีมูลค่าสูงกว่าบ้านในกลุ่มราคาอื่น ๆ ซึ่งหลายโครงการได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าระดับบน มีบางโครงการสามารถปิดการขายได้ในระยะเวลาเพียงเดือนเดียวเท่านั้น   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC แสดงความเห็นว่า การเปิดตัวโครงการใหม่ ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โครงการคอนโดจะเปิดตัวสัดส่วน 60% บ้านแนวราบสัดส่วน 40% แต่ช่วงเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สัดส่วนการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบจะมากกว่าคอนโด   อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มปรับตัวดีขึ้น ทำให้ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาการเปิดตัวโครงการคอนโดกลับมามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จนมีสัดส่วนมากกว่าบ้านแนวราบ แต่หากพิจารณาในด้านมูลค่า กลับพบว่าบ้านแนวราบมีสัดส่วนที่มากกว่าโครงการคอนโด ซึ่งจากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลฯ เป็นเพราะดีเวลลอปเปอร์หันมาเปิดตัวโครงการบ้านหรูระดับราคาตั้งแต่ 10-15 ล้านบาท และระดับราคามากกว่า 20 ล้านบาทเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง ​ ตลาดบ้านเดี่ยว 20 ล้านบาทขึ้นไป เมื่อก่อนมีซัพพลายไม่มาก เพราะผู้ซื้อซึ่งเป็นกลุ่มคนมีรายได้สูง มักจะซื้อคอนโดหรู อาศัยอยู่ใจกลางเมืองเป็นหลัก หรือเป็นกลุ่มที่ซื้อคอนโดเพื่อลงทุน แต่ตอนนี้ความต้องการเปลี่ยน ต้องการมีพื้นที่การอยู่อาศัยมากขึ้น จึงหันมาอยู่บ้านแนวราบ หรือกลุ่มครอบครัวขยาย ทำให้ดีเวลลอปเปอร์พัฒนาโครงการพวกนี้ออกมามากขึ้น และขายดีจนแทบไม่มีซัพพลายเหลือในตลาด จากการสำรวจของ Reviewyourliving ยังพบว่า ปัจจุบันมีกว่า 10 ดีเวลลอปเปอร์ ที่พัฒนาโครงการบ้านหรู 20 ล้านบาทขึ้นไปออกมาทำตลาด ภายใต้แบรนด์บ้านกว่า 29 แบรนด์ เฉพาะในปีนี้มีการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ใหม่ออกมาถึง 7 แบรนด์​ และมีดีเวลลอปเปอร์รายเดิม นำแบรนด์บ้านหรูที่หยุดทำตลาดไป กลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้งด้วย   สำหรับแบรนด์ใหม่ที่เข้ามาทำตลาดในปีนี้ ได้แก่ แบรนด์ศิรนินทร์ ของบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับราคาตั้งแต่ 65-180 ล้านบาท แบรนด์แซงค์ รอยัล ของบริษัท แอสเซท ไฟว์ จำกัด แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับราคา ​50-100 ล้านบาท ขณะที่บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) ในปีนี้ได้พัฒนาแบรนด์บ้านเดี่ยวหรูออกมาทำตลาดถึง 5 แบรนด์ ดังนี้ ​ 1.แบรนด์วัน เกต ราคา 93-135 ล้านบาท 2.แบรนด์ทู เอกมัย  ราคาเริ่มต้น 85 ล้านบาทขึ้นไป ​3.แบรนด์พาร์ค เฮอริเทจ ราคา 49-85 ล้านบาท​ 4.แบรนด์บาร์นยาร์ด เขาใหญ่ ราคาเริ่ม 15.9 ล้านบาท และ​​ 5.แบรนด์โพรวิเดนซ์ เลน ราคาเริ่ม 39 ล้านบาท ส่วนดีเวลลอปเปอร์ที่เคยมีแบรนด์บ้านหรู และหยุดทำตลาดไป ซึ่งในปีนี้ได้นำแบรนด์ดังกล่าวกลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้ง ได้แก่ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ที่นำแบรนด์บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ ที่เคยทำตลาดเมื่อ 7 ปีก่อน นำกลับ​มาทำตลาดใหม่อีกครั้ง เป็นกลุ่มบ้านทาวน์โฮม ในระดับราคา 10-20 ล้านบาท และบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่นำแบรนด์บ้านนาราสิริ ที่ได้หยุดพัฒนาไปหลายปี นำกลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้ง กับบ้านเดี่ยวหรูราคา 50-100 ล้านบาท   ทั้งหมดนี้ ก็เป็นข้อมูลตลาดบ้านหรู 20 ล้านบาทขึ้นไปในปีนี้ ที่ถือว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจและมีศักยภาพสูง สำหรับดีเวลลอปเปอร์ในการสร้างการเติบโต ทั้งด้านรายได้และกำไร เพราะฐานลูกค้าสามารถให้การตอบรับกับสินค้าเหล่านี้ได้ แม้ว่าจะเป็นฐานลูกค้านิชมาร์เก็ต ที่มีจำนวนจำกัดก็ตาม ซึ่งเชื่อว่าจะมีดีเวลลอปเปอร์อีกหลายรายที่สนใจและจะเข้ามาพัฒนาโครงการในระดับราคานี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดที่มีศักยภาพนี้ จากที่ผ่านมาก็มีดีเวลลอปเปอร์หลายราย ทำตลาดอยู่ก่อนหน้าแล้ว ส่วนใครจะได้ส่วนแบ่งไปมากที่สุดคงต้องติดตามกันต่อไป   บทความที่เกี่ยวข้อง -สัมมากร ลุยตลาดลักชัวรี่ขายบ้าน 30 ล้าน สู้โควิด-19 เดินหน้าปั๊มยอดขายทั้งปีโต 20%
อสังหาฯ อังกฤษ ลงทุนใช้ชีวิต 999 ปี คุ้มมั๊ย?

อสังหาฯ อังกฤษ ลงทุนใช้ชีวิต 999 ปี คุ้มมั๊ย?

อสังหาฯ อังกฤษ สำหรับต่างชาติที่สนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ของไทย ในส่วนที่พักอาศัย ถ้าเป็นการซื้อในนามบุคคล ก็สามารถซื้อห้องชุดโครงการคอนโดมิเนียมได้ ซึ่งมีสัดส่วนการซื้ออยู่ที่ 49% ของจำนวนยูนิตทั้งหมดในโครงการ (แต่หากซื้อในนามนิติบุคคลก็สามารถซื้อบ้านเดี่ยวได้) แต่กรณีที่โควต้าของโครงการคอนโดนั้นเต็มแล้ว รูปแบบการซื้อก็จะต้องอยู่ในรูปแบบของลีสโฮลด์ (Leasehold) แทน   โดยการซื้อในรูปแบบลีสโฮลด์  เป็นการซื้อแบบสิทธิการเช่า ที่ถือครองกรรมสิทธิ์ ตามช่วงระยะเวลาที่กำหนด ไม่ได้เป็นเจ้าของแบบเป็นกรรมสิทธิ์เด็ดขาด เหมือนรูปแบบฟรีโฮลด์ (Freehold) ที่เป็นเจ้าของได้ชั่วลูกชั่วหลาน ซึ่งลิสโฮลด์ของไทยตามกฎหมายกำหนดระยะเวลาไว้ที่ 30 ปี และอาจจะมีการตกลงกันว่าจะต่ออายุให้โดยอัตโนมัติอีก 30 ปีบวก 30 ปีหรือไม่อย่างไรก็แล้วแต่จะไปหาแนวทางกันระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย   แต่ในต่างประเทศ อย่างประเทศอังกฤษเขามีการซื้อขายอสังหาฯ ให้กับต่างชาติในรูปแบบลิสโฮลด์ที่ให้ระยะเวลาการถือครองกรรมสิทธิ์อสังหาฯ นั้น ๆ ได้ยาวนานกว่าไทย โดยมีระยะเวลามากถึง 999 ปี เรียกได้ว่าสามารถส่งต่อทรัพย์สินนั้นให้ลูกหลานไปได้หลายชั่วอายุคนเลยทีเดียว 3 ปัจจัยน่าซื้ออสังหาฯ อังกฤษ ใช้ชีวิต 999 ปี สำหรับอสังหาฯ อังกฤษตอนนี้ ก็มีความน่าสนใจ และราคาก็ลดต่ำลง  น่าเข้าไปจับจองหาซื้อมาไว้ครอบครอง เพราะปัจจัยสำคัญ 3 เรื่องสำคัญ คือ 1.เงินปอนด์อ่อนค่า  ในช่วงปีที่ผ่านมาเงินปอนด์จะอยู่ในอัตรา 1 ปอนด์เท่ากับ 47-48 บาท แต่ปัจจุบันลดต่ำลงมาเหลือ 1 ปอนด์เท่ากับ 42 บาท หรือค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงมา 10%  ทำให้คนไทยสามารถซื้ออสังหาฯ ได้ในราคาที่ถูกลง ​ 2.ผลตอบแทนจากการเช่าสูง อสังหาฯ อังกฤษ มีความน่าสนใจเนื่องจาก หากซื้อแล้วปล่อยเช่าหรือหากถือไว้ในระยะยาว จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูง  โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่า ค่าเช่าในพื้นที่ใจกลางลอนดอน มีการเติบโตของมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์  หลังจากสถานการณ์เริ่มมีการฟื้นตัวจากโรคระบาด  แม้ว่าหลังจากนั้นในเดือนเมษายนมูลค่าค่าเช่าในพื้นที่ใจกลางลอนดอนปรับลดลงจาก 29.2%  ก็ตาม แต่ก็กลับมาฟื้นตัวปรับเพิ่มขึ้น 19.9% อีกครั้งในเดือนสิงหาคม ส่วนพื้นที่รอบนอกกรุงลอนดอนมูลค่าค่าเช่าก็ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 15.2% ด้วย นายแฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านที่พักอาศัย ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า มีตัวอย่างที่ลูกค้าของไนท์แฟรงค์ที่ได้ซื้ออสังหาฯ อังกฤษ ในช่วงปี 2562 และขายออกในปี 2564 ซึ่งได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูง​ถึง 21% เลยทีเดียว 3.ราคาอสังหาฯ ลดลง รายงานจากไนท์แฟรงค์ ระบุว่า ช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ตลาดอสังหาฯ ในกรุงลอนดอน ราคามีการเติบโตถึง 9.2%  และช่วงมกราคม-กรกฎาคม 2565 ราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.1% ต่อเดือน ขณะที่ราคาเฉลี่ยของที่พักอาศัยในลอนดอนอยู่ที่ 543,547 ปอนด์ (ข้อมูลจากการจดทะเบียนที่ดิน) โดยเฉพาะพื้นที่ในย่านไพร์มแอเรีย ของกรุงลอนดอน ปรับเพิ่มขึ้น 2.4% ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนถึงเดือนพฤษภาคม 2565   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าที่ผ่านมาราคาจะมีการปรับตัวสูงขึ้น แต่จากการสำรวจความเชื่อมั่นภาคครัวเรือนของ IHS Markit พบว่า การปรับตัวขึ้นของราคาที่พักอาศัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับดัชนีความเชื่อมั่น ซึ่งในเดือนกันยายนที่ผานมาค่าดัชนียังคงเป็นบวก แต่มันกลับกำลังอ่อนตัวลง ซึ่งตัวเลขดัชนีที่พักอาศัยในอนาคต ปัจจุบันลดลงต่ำกว่าตัวเลขในเดือนมีนาคมปี 2563 ที่เป็นช่วงมีการปิดเมืองด้วยซ้ำ   ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบทำให้ราคาอสังหาฯ อังกฤษ มีแนวโน้มลดลงนั้น เป็นผลจากผลกระทบเรื่องค่าเงิน เงินเฟ้อ ค่าครองชีพ และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น  ทำให้ในช่วง 5 ปีนับจากนี้ราคาอสังหาฯ อังกฤษ น่าจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในอนาคตภายในอีก 10 ปีข้างหน้าคาดว่าราคาจะกลับมาเติบโตได้ในอัตรา 25% เศรษฐีไทยซื้ออสังหาฯ อังกฤษ ให้ลูกเรียนต่อ หากพูดถึงประเทศที่มีสถานศึกษา ที่ได้รับการยอมรับของคนไทย ในการส่งลูกหลานไปเรียนต่อเป็นจำนวนมาก หนึ่งในตัวเลือกอันดับต้น ๆ  ก็ต้องมีประเทศอังกฤษติดอยู่ในนั้น เพราะมีสถาบันการศึกษาชั้นนำได้รับการรับรองและยอมรับของคนทั่วโลกมากมาย เช่น มหาวิทยาลัย อ๊อกซฟอร์ด (UNIVERSITY OF OXFORD) มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (UNIVERSITY OF CAMBRIDGE) และอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน (IMPERIAL COLLEGE LONDON (ICL)) เป็นต้น   ข้อมูลจากบริติช เคานซิล และสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย รายงานว่าในปีที่ผ่านมามีนักเรียน นักศึกษาไทย ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษมากถึง 6,880 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 45% ของนักเรียน นักศึกษาไทยที่เลือกศึกษาต่อในต่างประเทศ  ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมด 15,457 คน   การที่ประเทศอังกฤษ เป็นตลาดการศึกษาที่ได้รับความนิยม ได้ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษเติบโตตามมาด้วย เพราะผู้ปกครองต่างชาติที่มีฐานะดีมักจะเลือกซื้ออสังหาฯ เพื่อให้ลูกหลานได้อยู่อาศัยระหว่างเรียน และเมื่อเรียนจบก็จะขายอสังหาฯ เหล่านั้น ตลาดการศึกษาจึงถือเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ของอังกฤษให้เติบโตด้วย   จากรายงานการวิจัยของไนท์แฟรงค์ พบว่า ตลาดที่พักอาศัย ในประเทศอังกฤษปัจจุบัน ความต้องการเริ่มกลับมาเติบโตเป็นบวก สถาบันการเงินเริ่มผ่อนคลายการปล่อยสินเชื่อในการกู้ซื้ออสังหาฯ หลังจากได้ชะลอตัวลงจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19   นายแฟรงค์ ข่าน กล่าวว่า ผู้ปกครองชาวไทยนิยมส่งบุตรหลานไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ  ทำให้มีการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อให้บุตรหลานได้พักอาศัยขณะเรียนหนังสือ และได้ใช้เป็นที่พักเมื่อไปเยี่ยมบุตรหลานเหล่านั้น หลังจากที่บุตรหลานเรียนจบก็จะขายที่อยู่อาศัยดังกล่าว  ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับก็อยู่ในอัตราสูง คุ้มค่าต่อการลงทุน คนไทยส่วนใหญ่ 80% เลือกส่งลูกไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ มากกว่าประเทศออสเตรเลีย หรือสหรัฐอเมริกา เพราะเป็นประเทศที่อยู่ไกล ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าเศรษฐีคนไทยยังนิยมไปซื้ออสังหาฯ ในประเทศอังกฤษอย่างต่อเนื่อง เฉพาะช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาไนท์แฟรงค์สามารถขายที่อยู่อาศัยได้แล้ว 9 ยูนิตและอาคารสำนักงานได้ 1 แห่ง คิดเป็นมูลค่าถึง 300 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 12,600 ล้านบาท โดยนอกเหนือจากปัจจัยเรื่องการเติบโ​ตด้านราคาและโอกาสในการปล่อยเช่าสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว ปัจจุบันค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง 10% ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน ส่งผลให้เป็นโอกาสทางการตลาดสำหรับคนไทยในการไปซื้ออสังหาฯ ในประเทศอังกฤษมากขึ้น ซึ่งคนไทยที่ซื้ออสังหาฯ ในประเทศอังกฤษจะเป็นรูปแบบลีสต์โฮล์ หรือสิทธิการเช่าระยะยาวถึง 999 ปี ช่วง 6 เดือนที่ผ่ามามีการพาคนไทยไปดูอสังหาฯ ที่ประเทศอังกฤษทุกเดือน เพราะมีความต้องการซื้ออสังหาฯ กลับเข้ามามากขึ้น และปัจจุบันเงินบาทไทยก็แข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินปอนด์ ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนของตลาดอสังหาฯ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 17% โดยประเมินว่าอีก 5 ปีข้างหน้าอัตราผลตอบแทนจะปรับตัวลดลง จากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูง เงินเฟ้อ ค่าเงิน และค่าครงอชีพที่เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามในระยะยาวภายใน 10 ปีข้างหน้า คาดว่าอัตราผลตอบแทนจะกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 20% เมื่อเทียบกับปัจจุบัน ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเลือกซื้อ เฟนตัน วีเลน  บุกโรดโชว์เมือง​ไทย หลังโครงการพาร์ค โมเดิร์น (Park Modern) โครงการที่พักอาศัย ในสหราชอาณาจักร ได้ทำตลาดและเปิดการขายอยู่ภายในประเทศ จนสามารถสร้างยอดขายได้ 50% ก็ได้ออกโรดโชว์เพื่อนำเสนอขายห้องชุดของโครงการดังกล่าว โดยเริ่มต้นประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียระหว่างวันที่ 10-12 ตุลาคม 2565 เนื่องจากประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญที่ซื้ออสังหาฯ อังกฤษ โดยเฉพาะการซื้อเพื่อให้บุตรหลานไปเรียนหนังสือ   นายลาร์ส  คริสเตียนส์  ผู้อำนวยการร่วมก่อตั้งของเฟนตัน วีแลน (Fenton Whelan) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า ได้เตรียมจัดงานโรดโชว์ครั้งแรกในไทยเพื่อนำเสนอโครงการพาร์ค โมเดิร์น โครงการที่พักอาศัยใจกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ  ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของสวนไฮด์ปาร์ค (Hyde Park) และสวนพระราชวังเคนซิงตัน (Kensington Palace Gardens) พื้นที่รวม 190,000 ตารางฟุต มูลค่ากว่า 500 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 21,000 ล้านบาท (คำนวณจากค่าเงิน 1 ปอนด์เท่ากับ 42 บาท)   สำหรับโครงการพาร์ค โมเดิร์น เป็นอาคารที่พักอาศัยขนาด 9 ชั้น  จำนวน 55 ยูนิต มีห้องพักแบบ 1-6 ห้องนอน จำนวน 57 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 92.4 ล้านบาท รวมไปถึงอพาร์ตเมนต์ และห้องเพนต์เฮาส์พิเศษ 3 ยูนิต  พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสไตล์โรงแรมระดับ 5 ดาว ขนาด 30,000 ตารางฟุต รวมไปถึงพนักงานคอนเซียช ห้องรับรองแขกหรือเลานจ์ ร้านอาหารและคาเฟ่  มีพื้นที่บริการด้านสุขภาพ ประกอบด้วย สระว่ายน้ำขนาด 25 เมตร ห้องออกกำลังกาย สปา โรงภาพยนตร์ และร้านทำทรีตเมนต์ ปัจจุบันโครงการมียอดขายแล้ว 50% นับตั้งแต่เปิดขายในเดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมา โดยแผนการขายนับจากนี้ หลังจากโรดโชว์ในประเทศไทยแล้วจะเดินทางไปโรดโชว์ในประเทศมาเลเซีย สิงค์โปร์ และสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ก่อนที่โครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2566     นางสาววิคตอเรีย การ์เร็ตต์ หัวหน้าฝ่ายที่อยู่อาศัยของไนท์แฟรงค์ เอเชีย-แปซิฟิก กล่าวว่า ข้อมูลจากแบบสำรวจทัศนคติแสดงไว้ในรายงานความมั่งคั่งฉบับล่าสุด พบว่า 62% ของบุคคลที่มีรายได้สูงเป็นพิเศษทั่วโลกกำลังพิจารณาด้านการเข้าถึงพื้นที่สีเขียวอย่างใกล้ชิดกับทิวทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ และด้วยการผสมผสานสิ่งอำนวยความสะดวกในท้องถิ่นที่ยอดเยี่ยม รวมไปถึงการเข้าถึงพื้นที่สีเขียว สำหรับผู้พักอาศัยใน Park Modern และทำให้ เมืองลอนดอนแห่งนี้เป็นที่ดึงดูดสำหรับผู้ซื้อจากต่างประเทศ   บทความที่เกี่ยวข้อง -คนไทยนิยมซื้ออสังหาฯ อังกฤษ ไนท์แฟรงค์เตรียมปิดดีลกว่า 1,404 ล้าน -ไนท์แฟรงค์ หวังเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว-จีนเปิดประเทศ กระตุ้นตลาดคอนโดภูเก็ตฟื้นตัว  
อีซี่วิซ รับเทรนด์ชีวิตยุคดิจิทัล ลุยตลาดสินค้าโซลูชั่น สมาร์ทโฮม

อีซี่วิซ รับเทรนด์ชีวิตยุคดิจิทัล ลุยตลาดสินค้าโซลูชั่น สมาร์ทโฮม

อีซี่วิซ อีซี่วิซ เปิดตัวสินค้าโซลูชั่น “บ้านอัจฉริยะ” รับไลฟ์สไตล์ชีวิตยุคดิจิทัล ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ กลุ่มอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยและเซ็นเซอร์ภายในบ้าน และกลุ่มสินค้าสมาร์ทโฮมอัจฉริยะ   นายวิคเตอร์ จาง ผู้อำนวยการฝ่ายขาย EZVIZ (อีซี่วิซ)  แบรนด์นวัตกรรมเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมโซลูชั่น เปิดเผยว่า ปัจจุบันแนวคิดบ้านแบบ Smart Home ไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากวิถีชีวิตของคนยุคปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนไป ดังนั้นบ้านจึงต้องปรับตามวิถีชีวิตของคนที่เปลี่ยนไปด้วย  โดยอีซี่วิซผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นด้านความปลอดภัยภายในบ้าน  ได้จับกระแสสมาร์ทโฮมที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่อยู่บ้านมากขึ้น   โดยได้มีการเปิดตัวสินค้าเพื่อพร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ของการใช้ชีวิตยุคดิจิทัล เปลี่ยนบ้านธรรมดา ให้เป็น “บ้านอัจฉริยะ” ผ่านอุปกรณ์นวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นที่ครบครัน มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย สามารถปรับแต่งการตั้งค่าได้ตามไลฟ์สไตล์ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย ยกระดับความปลอดภัย ดูแลความเรียบร้อยในบ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง   สำหรับสินค้าภายใต้แบรนด์อีซีวิซ มีไลน์อัพผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย​ ที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มและยกระดับบ้านให้กลายเป็นบ้านอัจฉริยะ ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยในบ้านในด้านต่าง ๆ ดังนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ ที่ใช้เทคโนโลยี AI  อาทิ กล้องสมาร์ท Wi-Fi “C8W Pro” สำหรับการดูแลความปลอดภัยภายนอกบ้าน ด้วยภาพคมชัดระดับ 3K ความละเอียดกว่า 5 ล้านพิกเซล พร้อมฟีเจอร์การตรวจจับบุคคลและรถยนต์  กล้องสมาร์ทโฮมในบ้าน รุ่น “C6” กล้องที่สามารถตรวจจับเสียง จดจำ และแยกแยะการตรวจจับความเคลื่อนไหวของมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยง  กล้องเบบี้แคร์อัจฉริยะ “Baby Monitor 1” (BM1)  สำหรับเฝ้าดูแลลูกน้อยผ่านจอภาพได้ตลอดเวลา มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ขับเคลื่อนด้วย AI อัจฉริยะ ตัวกล้องมีแบตเตอรี่ในตัว ที่สามารถชาร์จจากแผงโซลาร์เซลล์ได้ และยังมีให้เลือกอีกหลากหลายรุ่นตามการใช้งาน ในราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพและการใช้งานที่คุ้มค่า กลุ่มอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยและเซ็นเซอร์ภายในบ้าน  อุปกรณ์ประตูล็อกอัจฉริยะ (Smart Door Lock) ที่รองรับการปลดล็อกได้ทั้งลายนิ้วมือ รหัส คีย์การ์ด กุญแจ และแอปพลิเคชัน กริ่งประตูที่มาพร้อมกล้องวิดีโออัจฉริยะ ที่พร้อมจะแจ้งเตือนให้คุณรับรู้ได้ทันทีเมื่อมีคนยืนอยู่หน้าประตู ชุดอุปกรณ์สมาร์ทโฮมเซ็นเซอร์อัจฉริยะ (Home Sensor Kit) เกตเวย์เชื่อมต่อไร้สายในบ้าน เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว เซ็นเซอร์ตรวจจับการเปิด-ปิดประตูหรือหน้าต่าง และเซ็นเซอร์อัจฉริยะสำหรับดูแลผู้สูงอายุ ที่พร้อมทำหน้าที่เป็นปุ่มกดฉุกเฉินอัจฉริยะ ขอความช่วยเหลือได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน กลุ่มสินค้าสมาร์ทโฮมอัจฉริยะ อุปกรณ์ที่สามารถเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าให้ฉลาดขึ้นด้วยปลั๊กอัจฉริยะ (Smart Plug) ที่ควบคุมการปิด-เปิด หรือตั้งเวลาการใช้งาน ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมแบบ 2in1 เป็นทั้งกล้องวงจรปิดและไฟติดผนังในตัว และผลิตภัณฑ์เครื่องฟองอากาศ เพื่อให้คุณและครอบครัวได้สูดอากาศบริสุทธิ์ภายใน สำหรับอุปกรณ์ของอีซีวิซ มีการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติและเรียลไทม์ ช่วยให้การปกป้องดูแลบ้านให้ปลอดภัย  มีการพัฒนาระบบเพื่อเชื่อมโยงการสั่งงานผ่าน EZVIZ App ที่แอปเดียวสามารถควบคุมทุกอุปกรณ์ในบ้านได้จากทุกที่ทุกเวลาเพียงปลายนิ้วสัมผัสบนสมาร์ทโฟน   นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการปกป้องความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้งาน รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ด้วยระบบการรักษาความปลอดภัยแบบ 4 ชั้น ผ่านระบบการเข้ารหัสลับแบบ AES 128 บิต และการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของอีซี่วิซ บน EZVIZ CloudPlay สำหรับการบันทึกวิดีโออัตโนมัติและจัดเก็บอย่างปลอดภัย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] “EZVIZ” รุ่น C6W คว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นอัจฉริยะภายในบ้านแห่งปี จาก “IoT Innovator Award 2021”
อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 2565

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 2565

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 2565  หลังจากที่ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม อยู่ในภาวะทรงตัวมาพักใหญ่ ตอนนี้ดอกเบี้ยก็เข้าสู่แนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นแล้ว เพราะดอกเบี้ยนโยบายตอนนี้ปรับขึ้นแล้วเป็น 1% ขึ้นมาแล้ว ซึ่งหลายธนาคารคงต้องพิจารณาปรับดอกเบี้ยกันใหม่ ซึ่งคงทำให้คนที่กู้เงินกับธนาคาร ก็ต้องยอมรับกับการเสียดอกเบี้ยมากขึ้นด้วย   แต่ตอนนี้หลายธนาคารก็ยังไม่ได้ปรับดอกเบี้ยขึ้น จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี หากใครคิดจะกู้ซื้อบ้านหรือคอนโด หรือใครที่กำลังอยากจะแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย จากการผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดให้ลดน้อยลง หรือกำลังจะหาเงินก้อนมาจับจ่ายใช้สอย ก็เอาบ้านหรือคอนโดไปกู้ขอสินเชื่อกับธนาคาร หรือไม่ก็รีไฟแนนซ์เพื่อลดดอกเบี้ย ไม่ก็ขอวงเงินเพิ่มได้ ถ้ามีความพร้อม มีคุณสมบัติครบตามที่ธนาคารกำหนด   ส่วนตอนนี้ธนาคารไหน มีการคิดอัตราดอกเบี้ยยังไงกันบ้าง โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ประจำเดือนตุลาคมนี้ Reviewyourliving ได้รวบรวมเอาไว้ให้แล้ว ลองเปรียบเทียบดูกันว่าธนาคารไหนให้อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโดได้คุ้มสุด อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ  มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเดือนกันยายน 2565 ​นี้  เว็บไซต์ธนาคารยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล โดยยังเป็นเอกสารที่ระบุข้อมูลถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 คาดว่าอัตราดอกเบี้ยยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านและคอนโด ดังนี้ ​​ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%) กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคําขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2565 – 30 มิถุนายน 2565 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธ.ค. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชําระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสํารวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชําระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว คําเตือน -ผู้ขอเอาประกันภัยที่สมัครทำประกัน โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป จะได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ -เบี้ยประกันภัยสามารถนําไปหักลดหย่อน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกําหนด -การทำประกันภัยไม่ใช่การฝากเงิน กรณีเวนคืนก่อนครบกําหนด ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืนเป็นจำนวนน้อยกว่าเบี้ยประกันภัยที่จ่ายไปแล้ว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เวนคืน -ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาและทำความเข้าใจเอกสารเสนอขายก่อน ก่อนตัดสินใจทำประกันภัย เมื่อได้รับกรมธรรม์แล้ว โปรดศึกษารายละเอียด ข้อกำหนดและเงื่อนไขในกรมธรรม์ -ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิตที่เป็นผู้ชีช้องและจัดการบริการให้กับผู้ขอเอาประกันภัย เพื่อให้เกิดการทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น โดยการพิจารณาอนุมัติกรมธรรม์เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -การแถลงสุขภาพเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณารับประกันภัยหรือจ่ายเงินตามสัญญาประกันภัย -การตรวจสุขภาพเป็นไปตามเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -ผู้ขอเอาประกันภัยมีหน้าที่แถลงข้อความจริงในการขอเอาประกันภัย การปกปิดข้อความจริงหรือแถลงข้อความเป็นเท็จใดๆ อาจเป็นเหตุให้บริษัทผู้รับประกันภัยบอกล้างสัญญาประกันภัยและปฏิเสธไม่จ่ายค่าสินไหม ทดแทนตามสัญญาประกันภัย -ข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์ -การสมัครประกันชีวิตคุ้มครองเครดิตโฮมเฟิสต์ พลัส เป็นทางเลือกสำหรับลูกค้า ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน  แคมเปญ ดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้น 1% โดยมีรายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกัน* ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60% (MRR-3.62%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.00% ทางเลือก 2 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.70% (MRR-3.52%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.04% ทางเลือก 3 ทำประกัน* ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.62% (MRR-2.60%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.72% (MRR-2.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.78% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.04% ทางเลือก 4 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.25% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.72% (MRR-2.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.88% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.08%  ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีธนาคารออกค่าธรรมเนียมการจดจำนอ 1% ทางเลือก 1* แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  = 2.93% (MRR-3.29%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา =  4.12% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  = 3.03% (MRR-3.19%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.03% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.16% ทางเลือกที่ 3* ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 1.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 4.12% (MRR-2.10%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย = 4.22% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.11% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.15% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 1.25% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 4.17% (MRR-2.05%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  = 4.22% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.19% หมายเหตุ 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ ทำ MRTA/GLTSP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี ทำ MRTA/GLTSP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ ทำ MRTA/GLTSP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 2. อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)** คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 4 ต.ค. 2565) 3.อัตราดอกเบี้ยแบบธนาคารออกค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% : ธนาคารออกค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% ของวงเงินรวม (สินเชื่อที่อยู่อาศัยรวมสินเชื่อ Home For Cash) ตามจำนวนเงินค่าจำนองในใบเสร็จของกรมที่ดินเท่านั้น (ไม่รวมค่าธรรมเนียมอื่น ๆ) สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัยภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญากู้ทุกกรณี ลูกค้าต้องจ่ายค่าจดจำนองที่ธนาคารจ่ายให้คืนแก่ธนาคารทั้งจำนวน 4. สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค/ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย/ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 5. เงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีมี สินเชื่อรีไฟแนนซ์ ด้วยแคมเปญ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.00% นาน 1 ปี หรือสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรี ค่าจดจำนอง เมื่อซื้อประกันภัยคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ตามที่ธนาคารกำหนด และกรณีมีวงเงินเหลือ ยังมีแคมเปญที่สามารถกู้เพิ่มสินเชื่อกรุงศรีโฮมฟอร์แคชได้อีกด้วย นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโปรโมชั่น ฟรี ค่าประเมินหลักประกันมูลค่า 3,210 บาท ส่วนรายละเอียดของสินเชื่อรีไฟแนนซ์ มีดังนี้ วงเงินกู้ตั้งแต่ 1-1.5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.30% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.30% = 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.10%= 3.95% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.33% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.95% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.65% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.65%= 4.4% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.10% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.30% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.90% = 4.15% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.30% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.58% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.09% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.175% = 2.875% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.88% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.60% ทางเลือก 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.45% = 3.60% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.20% = 3.85% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.71% ทางเลือก 3 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.50% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.80% = 4.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.42% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.87% ทางเลือก 4 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือกที่ 5 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.925% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.12% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.74% หมายเหตุ -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พฤษภาคม​ 2563 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ​–31 ธันวาคม​ 2565 โดยจดจำ​นองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 มกราคม​ 2566 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิดภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกสิกรไทย  ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือกันยายน 2565 ที่ผ่านมา  โดยธนาคารกสิกรไทยมีบริการสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2565 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีแคมเปญสินเชื่อสำหรับให้ลูกค้ารีไฟแนนซ์ คือ KKP Home Loan Refinance  ให้วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ สามารถกู้ร่วมกันได้สูงสุด 4 คนโดยเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน ฟรีค่าประเมินหลักประกัน* ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.59-2.79% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.025% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.79-2.99% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.025% เงื่อนไข -วงเงินคงเหลือต้องมากกว่า 500,000 บาท -บ้านต้องผ่อนกับสถาบันการเงินเท่านั้น -มีประวิติผ่อนชำระกับสถาบันการเงินเดิมไม่ต่ำกว่า 12 เดือน หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับกับปัจจัยอ้างอิง เช่น​ อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ​ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​(MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ดังกล่าว​ โดยจะประกาศไว้ ณ ​ สถานที่ทำการที่ให้บริการ และเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -MLR ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2565 เท่า​กับ 6.525% ต่อปี -เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA) ผ่านธนาคารทุน​ประกันภัยเท่ากับวงเงิน กู้โดยมรีะยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปีกรณีที่ระยะเวลาการไถ่ถอนถึง​ 10 ปีให้ระยะเวลาเอา ประกันภัยเท่า​กับระยะเวลาการกู้ -กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปีแรก คิดค่า ​Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง -กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ย แบบฟรีค่าจดจำนอง​ หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อน​ระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุก กรณีลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคาร สำรองจ่ายให้ธนาคาร -ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ร้อยละ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) -ค่าธรรมเนียมตดิ ตามทวงถามหนี้นค้างชำระ​ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ค้างชำระมากกว่า ​1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ -เบี้ยประกันอัคคีภัย เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด​ โดยผู้กู้สามารถเลือกทำ​ประกันกับบริษัท​ประกันที่น่าเชื่อถืออื่นใดก็ได้ ​ 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มี อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด  ในเดือนตุลาคม​  2565 สำหรับ​ประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์  กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม  มีอัตราการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำหรือเจ้าของกิจการ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.42% = 2.93% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.61% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.12% = 3.23% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.23% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.69% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.22% = 3.13% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.67% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.92% = 3.43% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.43% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.75% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.% = 2.69% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.55% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.36% = 2.99% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.63% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.46% = 2.89% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.16% = 3.19% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.19% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.68% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) กรณีขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักทรัพย, ค่าอากรแสตมป์ และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย 3 ปีแรก ทุกทางเลือก ยกเว้น ค่าจดจำนอง เฉพาะทางเลือก 1 และ 2 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์  ประจำเดือนตุลาคม ดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น เฉลี่ย 3 ปีแรก 2.95% ต่อปี โดยมี​รายละเอียด​ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% =2.75% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.18%=3.1% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74%) = 3.54% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.29% สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่ คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ชำระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -ลูกค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.48% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 มกราคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยแคมเปญของธนาคารมีกำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม ​2565 อัตราดอกเบี้ยจึงเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10 ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 กรกฎาคม​ 2565) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด -ระยะเวลาขอสินเชื่อ 1 กรกฎาคม ถึง ​31 ธันวาคม 2565 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ถือว่าเป็นธนาคารสำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและคอนโด รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีสินเชื่อให้เลือกมากมายหลายประเภท สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านจากสถาบันการเงินอื่น มีสินเชื่อบ้านสุขสันต์ เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์  โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเดือนตุลาคม 2565 ​​โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.25% (MRR-3.90%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.16%= 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.90%=3.52% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-1.0%= 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.35% (MRR-3.80%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.06%= 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.80%=3.35% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-0.5%=5.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.71% หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม​ 64 -กำหนดระยะเวลา ยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 – 30 ธันวาคม 2565 อนุมัติและทำนิติกรรม ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 (ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan – รีไฟแนนซ์ ​ ไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคม 65 มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า​ เนื่องาจากมีการปรับอัตราดอกเบี้ย MRR ตามรายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.29%  (MRR-4.46%) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนที่ผ่านมาที่คิด 2.89% (MRR-4.46%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.00% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนที่ผ่านมาคิด 4.60% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.39% (MRR-4.36%) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.99% (MRR-4.36%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.39% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.04% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.64% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.39% (MRR-5.36%) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิด 1.99% (MRR-5.36%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.39% (MRR-2.36%) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิด 4.99% (MRR-2.36%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.39% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.99% เพิ่มขึ้น 0.39% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.60% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.49% (MRR-5.26%) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.09% (MRR-5.26%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.49% (MRR-2.26%) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 5.09% (MRR-2.26%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.49% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.09% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.03% เพิ่มขึ้น 0.39% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.64% หมายเหตุ -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น (Re-finance) ในช่วง​ระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้จะมีค่าปรับ​ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น​ ) -การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย​ MRR ปัจจุบัน เท่ากับ 7.75% ต่อปี (ตามประกาศธนาคาร ​​ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2565) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้ และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตรา ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -ธนาคารยูโอบี ในฐานะนายหน้าประกันภัย​ (ใบอนุญาตประกันชวีติเลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศ​ภัย เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอ ผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย​ และอำนายวความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิต ​โดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชวีติ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็มม เอส ไอ จีประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับผิดชอบตาเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก ครั้ง​ 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์  มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ประจำเดือนตุลาคม ซึ่งอัตราดอกเบี้ยยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้ สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35% = 2.00% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.55% = 3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.56% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 2 สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25% = 2.10% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.45% = 3.90% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.65% = 2.70% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% ข้อกำหนดและเงื่อนไข -สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยพิเศษ เริ่ม 2.00% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคม 2565 -วงเงินกู้เริ่มต้น 1 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) -อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ -กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำได้ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.350% (ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สำหรับธนาคาออมสิน ประจำเดือนตุลาคม  ​มีรายละเอียดอื่น ๆ ดังนี้ ​ สินเชื่อรีไฟแนนซ์ จากสถาบันการเงินอื่น สำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินกู้สินเชื่อต่ำกว่า 10 ล้านบาท แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% (MRR-4.255%) เพิ่มขึ้น 0.04% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 1.95% (MRR-4.295%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.98% (MRR-3.265%) ลดลง 0.02% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.00% (MRR-3.245%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.144% เพิ่มขึ้น 0.001% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.143% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.24% (MRR-4.005%)  เพิ่มขึ้น 0.04% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 2.20% (MRR-4.045%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.605%  (MRR-2.64%) ลดลง 0.02% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.625% (MRR-2.62%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.328% เพิ่มขึ้น 0.001% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.327% วงเงินกู้สินเชื่อมากกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป (เดือนที่ผ่านมาไม่ได้แยกวงเงินกู้) กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 99% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 755% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 089% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 24% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 38% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 00% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 274% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR = 6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท​ ระยะเวลา 20 ปี แบบผ่อนเท่ากันทุกงวด ​ -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมจากข้อมูลเว็บไซต์แต่ละธนาคาร ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2565     บทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนกันยายน 65 -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565    
อนันดาฯ  ขน 3 แบรนด์ใหม่ บ้าน-คอนโด  รุกตลาด Q4 สร้างยอด 6,000 ล้าน

อนันดาฯ ขน 3 แบรนด์ใหม่ บ้าน-คอนโด รุกตลาด Q4 สร้างยอด 6,000 ล้าน

อนันดาฯ อนันดาฯ รุกตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 4 ลุยเปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 21,627 ล้าน พร้อมเปิดตัว 3 แบรนด์ใหม่ บ้าน-คอนโด  มั่นใจสร้างยอดขายกว่า 6,000 ลบ.   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในทิศทางของการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง การขยายตัวของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยมีอัตราการขยายตัวและกลับมาฟื้นตัวได้ดี ผู้ประกอบการยังคงมั่นใจในแผนการลงทุนเดินหน้าเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางบนที่มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจไม่มากนัก บวกกับภาครัฐมีมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง หรือมาตรการผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับการดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Loan - to - Value : LTV) ที่จะสิ้นสุดในปีนี้ จะเป็นอีกปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ในครึ่งปีหลังได้เป็นอย่างดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าขณะนี้ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น สำหรับ อนันดาฯ จึงเตรียมดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “ ANANDA BIG MOVE” เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดที่กำลังฟื้นตัว โดยที่ผ่านมา อนันดาฯ มุ่งเน้นตอบโจทย์ลูกค้าในเรื่องศักยภาพทำเลเป็นเรื่องหลัก แต่ปัจจุบันอาจจะไม่เพียงพอกับความต้องการของคนเมืองในยุคนี้ ที่ต้องการชีวิตเมืองที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำเล (Location) การบริการ (Service) และสังคม (Community)   ดังนั้น อนันดาฯ จึงเร่งมอบประสบการณ์ที่ดีในชีวิตให้กับลูกค้า โดยการพัฒนาคอนโดมิเนียมผสมผสานการบริการต่างๆ ที่มีมาตรฐานระดับ World class ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือกับ ดุสิตธานี พัฒนา BRANDED RESIDENCE ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของอนันดาฯ  การจับมือกับ SCRATCH FIRST (FROM THE CREATORS OF WONDERFRUIT) ในการร่วมกันพัฒนาแบรนด์ CULTURE ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ ของที่อยู่อาศัยแนวคิดใหม่ ให้ความสำคัญในเรื่องการอยู่อาศัยร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน ทั้งทำเลทองหล่อ และจุฬา รวมถึงความร่วมมือกับ Ascott ที่เข้ามาช่วยบริหารจัดการการอยู่อาศัยให้สะดวกสบายมากขึ้นในโครงการ Culture   ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า  สถานการณ์ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เห็นได้จากการฟื้นตัวทั้งยอดขาย ยอดโอน และยอดเปิดตัวโครงการใหม่ ขณะที่อนันดาฯ มีการฟื้นตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน ทั้งยอดขาย ยอดโอน และความสามารถในการทำกำไร โดยทำยอดขายในไตรมาส 3 สูงถึง 4,062 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะโตต่อเนื่องในไตรมาส 4 อีกกว่า 5,000 - 6,000 ล้านบาท ทำให้ปีนี้สามารถทำตามเป้าหมายยอดขายได้ที่ 15,680 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 มียอดโอน 4,423 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาส 2 ถึง 27% และยังมีแผนการโอนต่อเนื่องในไตรมาส 4 จึงคาดว่าจะสามารถทำยอดโอนได้ตามเป้าหมายที่ปีนี้วางไว้มูลค่า 13,033 ล้านบาท  ส่วนการทำกำไร มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้น (%Gross Profit) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3 ไตรมาสติดต่อกัน   นอกจากนี้ จากช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการปรับตัว ด้วยการขยายสู่เซกเมนต์ลักชัวรี่ (Luxury Segment) ทำให้สามารถทำยอดขายเฉพาะ 9 เดือนแรกของปีนี้สูงกว่า 386% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา รวมถึงโครงการแนวราบยังคงเติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยมียอดขายเฉพาะแนวราบใน 9 เดือนแรกกว่า 3,289 ล้านบาท เติบโตถึง 64% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา และเป็นยอดขายสูงที่สุดของอนันดาฯ ที่เคยทำมา ทำให้สัดส่วนยอดขายของแนวราบจากเดิม 11% เพิ่มขึ้นเป็น 31%   สำหรับไตรมาส 4 นี้ อนันดาฯ ได้มีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์ ได้แก่ แบรนด์โคโค่ (COCO) แบรนด์คัลเจอร์ (CULTURE) และแบรนด์อันดา (ANDA) รวมถึงมีการเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่ากว่า 21,627 ล้านบาท ได้แก่ 1. โครงการ โคโค่ พาร์ค (COCO PARC) 2. โครงการ คัลเจอร์ ทองหล่อ (CULTURE THONGLOR) 3.โครงการ คัลเจอร์ จุฬา (CULTURE CHULA) 4.โครงการไอดีโอ รามคำแหง – ลำสาลี สเตชั่น (IDEO RAMKHAMHAENG LAMSALI STATION) 5. โครงการ อันดา ราชพฤกษ์ - แจ้งวัฒนะ (ANDA RATCHAPHRUEK-CHAENGWATTHANA) และ 6. โครงการ อาร์เทล อโศก - พระราม 9 (ARTALE ASOKE - RAMA 9) ขณะที่นายพงศ์อนันต์ สุขเกษม ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมจัดงานใหญ่ในรอบ 5 ปี ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ คืองาน “ANANDA URBAN PULSE 2022” ภายใต้แนวคิด “THE NEW CULTURE IS HERE” ระหว่างวันที่ 27-30 ตุลาคม 2565 ที่บริเวณชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งรวบรวมโครงการคอนโดมิฯ  บ้านเดี่ยวและ ทาวน์โฮม ทั้งโครงการใหม่ 6 โครงการ และโครงการพร้อมเข้าอยู่ทั่วกรุงเทพฯ  ซึ่งมีข้อเสนอพิเศษสุดและโปรโมชั่นมากมาย อาทิ ราคาพิเศษสุดแห่งปี* ส่วนลดพิเศษ* อยู่ฟรีสูงสุด 24 เดือน* และแพ็คเกจพร้อมอยู่ 24 รายการ* เป็นต้น   นอกจากนี้ ภายในงานยังมีห้องตัวอย่าง HYBRID ให้ลูกค้าเข้าชม​ พร้อมด้วยกิจกรรมเพื่อคนเมืองภายในงานมากมาย อาทิ กิจกรรม Grand Opening สุดยิ่งใหญ่ในวันที่ 27 ต.ค. พบศิลปินพิเศษ และกิจกรรม Urban Talk พูดคุยกับแขกรับเชิญพิเศษเรื่องราวการใช้ชีวิตของคนเมือง และกิจกรรม Urban Concert มินิคอนเสิร์ตในช่วงเย็นของทุกวัน และพลาดไม่ได้ เพียงลงทะเบียนเข้าร่วมงาน รับสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น GIFT CARD มูลค่า 5,000 บาท หรือ รางวัลใหญ่ ที่พัก 1 คืน พร้อมบัตรคอนเสิร์ตงาน TOSCANA LA FESTA     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อนันดา เตรียม take off รับเปิดเมือง กับ 6 เรื่องสร้างความมั่นใจโตก้าวกระโดด -อนันดา #LiveLifeUnique บ้านแนวราบที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ยูนีคของคนยุคใหม่ พร้อมข้อเสนอที่ดีที่สุดในรอบปี อยู่ฟรีสูงสุด 3 ปี*
ณวรางค์ แอสเซท  เปิดคอนโด “ณ วรา พหลโยธิน 8” 300 ล้าน  ลุยตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย

ณวรางค์ แอสเซท เปิดคอนโด “ณ วรา พหลโยธิน 8” 300 ล้าน ลุยตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย

ณวรางค์ แอสเซท เดินหน้าปั้นโปรเจ็กต์ใหม่ “ณ วรา พหลโยธิน 8” มูลค่า 300 ล้าน จับกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ชูจุดเด่นห้องไซส์ใหญ่ จำนวนเพียง 35 ยูนิต เล็งปั้นโปรเจ็กต์ต่อเนื่อง ยึดทำเลลาดปลาเค้า-พระราม 5-รพ.ศิริราช-สุขุมวิท ปูทางสู่การพัฒนาโครงการปีละ 1,000 ล้าน   นายอภิภู พรหมโยธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด เปิดเผยว่า ได้เตรียมเปิดพรีเซลล์ โครงการ ณ วรา พหลโยธิน 8 มูลค่าโครงการรวม 300 ล้านบาท ในวันที่ 5-6 พฤศจิกายน 2565 นี้  ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม Low rise จำนวน 8 ชั้น ระดับลักชัวรี่ ตั้งอยู่ในซอยพหลโยธิน 8  โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปีจะสามารถสร้างยอดขาย 50% เนื่องจากยังมีความเชื่อมั่นตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ยังมีกลุ่มลูกค้าต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่จริง  โดยภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่ย่านพหล-อารีย์ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ยังคงมีการพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งทำเลนี้ยังมีอุปสงค์ (Demand) เพิ่มขึ้น ในขณะที่อุปทาน (Supply) ลดลง บริษัทจึงเล็งเห็นศักยภาพของทำเล และจากก่อนหน้านี้ เคยเข้ามาพัฒนาโครงการ ณ วีรา พหล-อารีย์ ซึ่งประสบความสำเร็จสามารถทำยอดขายได้ 40% จากการเปิดการขายช่วงพรีเซลภายในวันเดียว จุดแข็งของโครงการ ณ วรา พหลโยธิน 8 คือ การตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ มีการเติบโตเป็นย่านใจกลางธุรกิจได้ในอนาคต และมีจุดขายที่สำคัญ คือ ความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนเพียง 35 ยูนิต การเชื่อมต่อการเดินทางรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่จอดรถมากถึง 80% ราคาขายเฉลี่ย 135,000 บาทต่อตร.ม. หรือเริ่มต้นราคา 6.6 ล้านบาท  นอกจากนี้ จากการพัฒนาโดยเน้นห้องขนาดใหญ่ ซึ่งมีพื้นที่เริ่มต้น 40 ตร.ม. และส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ตั้งแต่ 50.50-77.50 ตร.ม. เป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ที่ต้องการอยู่ห้องขนาดใหญ่ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ที่พัฒนาอยู่ในปัจจุบัน จะมีห้องขนาดเล็กเริ่มต้น 28-32 ตร.ม. จึงถือว่าเป็นสินค้าที่หาได้ยากในพื้นที่ดังกล่าว  ​ สำหรับโครงการ ณ วรา พหลโยธิน 8 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 0-1-95 ไร่ จำนวน 35 ยูนิต มีห้องให้เลือก 4 แบบ 1.แบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 40-46 ตร.ม. 2.แบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 50.50 ตร.ม. 3.แบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 53-77.50 ตร.ม. และ 4.แบบ ดูเพล็กซ์ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 107.50-116 ตร.ม. โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วงต้นปีหน้า และคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567   นายอภิภู กล่าวอีกว่า ส่วนภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่ผ่านมาว่า ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ สามารถปิดโครงการ ณ วรา เรสซิเดนซ์ และ โครงการ ณ วีรา พหล-อารีย์ ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่โครงการ ณ รีวา เจริญนคร ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 50%  ซึ่งโครงการคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2567    สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต บริษัทตั้งเป้าหมายพัฒนาโครงการให้ได้ปีละ 1,000 ล้านบาท หรือปีละ 2-3 โครงการ  โดยในปีหน้าวางแผนพัฒนาโครงการในย่านลาดปลาเค้า ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำเลย่านโรงพยาบาลศิริราช ย่านพระราม 5 และทำเลย่านสุขุมวิทตอนปลายด้วย    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -5 เหตุผล “ณวรางค์ แอสเซท” พัฒนาโครงการย่านเจริญนคร -“ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” แอคทีฟแบบชีวิตติดเมือง สุขเต็มที่กับความเป็นส่วนตัว จาก “ณวรางค์ แอสเซท”  
ส่อง ตลาดที่อยู่อาศัยปี 66  การเติบโตท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง ดอกเบี้ย-ต้นทุนพุ่ง

ส่อง ตลาดที่อยู่อาศัยปี 66 การเติบโตท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง ดอกเบี้ย-ต้นทุนพุ่ง

ตลาดที่อยู่อาศัยปี 66 แม้ว่าตอนนี้ จะยังไม่สิ้นสุดปี 2565 แต่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเวลาที่เหลือสำหรับปีนี้ คงไม่ได้มีอะไรหวือหวา หรือแตกต่างไปกว่าช่วงระยะเวลาเกือบ 9 เดือนที่ผ่านมา  ซึ่งทางศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย หรือ กรุงไทยคอมพาส (KrungthaiCOMPASS) ประเมินว่า ในปี 2565 มูลค่าตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีมูลค่า 604,000 ล้านบาท ฟื้นตัวจากปีก่อนหน้า 3.3%​ ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากหลายปัจจัย แต่ขณะเดียวกันก็มีหลายปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตต่อเนื่องไปถึงตลาดอสังหาฯ ในปีหน้าด้วย โดยเฉพาะเรื่องของราคาวัสดุก่อสร้างและต้นทุนดอกเบี้ยขาขึ้น   สำหรับทิศทางในปี 2566 ตลาดบ้านและคอนโดจะเป็นอย่างไรนั้น กรุงไทยคอมพาส ได้นำเสนอบทวิเคราะห์ “ตลาดที่อยู่อาศัยปี 2565-2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวท่ามกลางความเสี่ยงจากดอกเบี้ยขาขึ้น และต้นทุนพัฒนาโครงการยืนสูง” โดยนายคณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ ซึ่งจะทำให้พอเห็นภาพและประเมินสถานการณ์ของตลาดที่อยู่อาศัยในปีหน้าได้ว่าจะเติบโตต่อเนื่อง หรือชะลอตัวลง ซึ่งมีรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ ตลาดที่อยู่อาศัยปี 66 โต 4.2% กรุงไทยคอมพาส ประเมินว่า ในปี 2566 ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะเติบโต 4.2%  จากปี 2565 ที่มีมูลค่า 604,000 ล้านบาท  ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจาก 3 เรื่องดังนี้​ 1.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ในปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมองว่าการฟื้นตัวจะยังคงมีอย่างต่อเนื่องไปถึงปีหน้าด้วย   จากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ประกอบกับมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ทั้งการผ่อนปรน LTV และการลดค่าธรรมเนียมโอน-จำนอง ทำให้ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2565 มีการฟื้นตัวในอัตรา 3.3%​ จากปีก่อนหน้า และคาดว่าจะมีมูลค่า 604,000 ล้านบาท   โดยที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรร อาทิ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ ที่สามารถตอบโจทย์การทำงานจากที่บ้าน (WFH) ได้ดีกว่าคอนโดมิเนียมยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคสะท้อนจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ในครึ่งแรกของปี 2565 ที่ขยายตัว สูงถึง 7.2%   ทั้งนี้ สำหรับมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ทั้งการผ่อนปรน LTV ให้ ผู้กู้ทุกสัญญาสามารถกู้ได้เต็ม 100% และการลดค่าธรรมเนียมโอน-จำนองให้ เหลือรายการละ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาท กระทรวงการคลัง และธปท. กำลังหารือถึงความเป็นไปได้ที่จะต่ออายุทั้ง 2 มาตรการต่อไปอีก 1 ปี จากที่จะสิ้นสุดลงปลายเดือนธันวาคม 2565 เป็นปลายปี 2566 แทน1 2.การกลับมาของกําลังซื้อต่างชาติ กรุงไทยคอมพาส ยังประเมินว่า ในปี 2566 กําลังซื้อต่างชาติจะกลับมา หลังจากสถานการณ์การเดินทางระหว่างประเทศที่เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติมากขึ้น จะส่งผลให้มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นที่ 4.2% เมื่อเทียบกับปี 2565 คิดเป็นมูลค่า 630,000 ล้านบาท  โดยคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยว 21.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่คาดว่าจะมีจำนวน 8.9 ล้านคน จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2566 เพราะทำให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในไทย ของชาวต่างชาติเติบโตตาม โดยเฉพาะจากชาวจีนซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของกาลังซื้อต่างชาติทั้งหมด   ข้อมูล Juwai.com เว็บไซต์ซื้อขายยอสังหาฯ ในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของจีน แสดงให้เห็นว่าชาวจีนยังคงให้ความสนใจในภาคอสังหาฯ ไทย  เพราะอสังหาฯ ไทยยังได้รับการค้นหาและมีคำสั่งซื้ออยู่ใน 3-4 อันดับแรกอย่างต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ กลุ่มที่อยู่อาศัยที่จะได้ประโยชน์จากการกลับมาของกำลังซื้อต่างชาติมากที่สุดได้แก่ คอนโด ขนาด 40-50 ตร.ม. ราคา 4-5 ล้านบาทต่อยูนิต  ในทำเลยอดฮติ ของต่างชาติ อย่าง สุขุมวิท สาทร อโศก พระราม 9 และรัชดา เป็นต้น 3.การต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ในปี 2566 มีการคาดการณ์กันว่ารัฐบาลจะมีการต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ที่ใช้ในปีนี้ออกไปอีก 1 ปี เพื่อกระตุ้นภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศให้ฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งในส่วนของมาตรการผ่อนปรน LTV และ มาตรการลดค่าธรรมเนียมโอน-จำนอง จากที่กำหนดสิ้นสุดในปลายเดือนธันวาคม 2565 โดยปัจจุบันกระทรวงการคลังกำลังอยู่ใน ระหว่างการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งหากมีการต่ออายุมาตรการดังกล่าวไปอีก 1 ปี จะส่งผลต่อ การเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2566 ปี 66 อสังหาฯ เปิดใหม่ 1 แสนยูนิต ด้านจำนวนการเปิดตัวใหม่ของตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2565-2566 กรุงไทยคอมพาส ประเมินว่า มีแนวโน้มการเปิดตัวสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะอยู่ในระดับ 90,000-100,000 ยูนิต ซึ่งสูงกว่าปี 2564 ที่เปิดใหม่ประมาณ 56,800 ยูนิต   ที่อยู่อาศัยที่เปิดใหม่ แบ่งเป็น บ้านจัดสรร 40,000-45,000 ยูนิต และคอนโด 50,000-55,000 ยูนิต เนื่องจากผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยต้องเร่งตุน Backlog ให้กับตนเอง โดยหลังจากช่วงการระบาดของโควิด-19 ในปี 2563-2564 ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยส่วน ใหญ่ตัดสินใจที่จะรักษาสภาพคล่องด้วยวิธีการเน้นขายสต็อกเก่าที่สร้างเสร็จแล้ว และเลื่อนการเปิดโครงการใหม่ออกไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ส่งผลให้หน่วยเปิดใหม่ในช่วงเวลาดังกล่าวจึงอยู่ในระดับต่ำเพียงปีละ 65,000 ยูนิต เท่านั้น   แนวโน้มจำนวนยูนิตเปิดใหม่ที่จะปรับตัวสูงขึ้นในปี 2565-2566 สอดคล้องแผนงานของดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ (Top Developers) ที่เกือบทั้งหมดมีแผนจะเปิดโครงการใหม่ในปี 2565 ในระดับที่สูงขึ้นจากปี 2564 เช่น  เอพี​ ในปีนี้มีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 60 โครงการ มูลค่า 75,000 ล้านบาท สูงขึ้นจากปี 2564 ที่มีโครงการเปิดใหม่จำนวน 19 โครงการ มูลค่า 22,540 ล้านบาท และ แสนสิริ ที่ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ จำนวน 46 โครงการ มูลค่า 50,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปี 2465 ที่เปิดโครงการใหม่จำนวน 15 โครงการ มูลค่าเกือบ 8,100 ล้านบาท (รูปที่ 2)   ทั้งนี้  จำนวนเปิดใหม่ที่สูงขึ้นในกลุ่มบ้านจัดสร รซึ่งโดยทั่วไปมักใช้ระยะเวลาก่อสร้างค่อนข้างเร็วที่ 6-12 เดือน ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนให้มูลค่าตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่เร่งขึ้นจากปีนี้เช่นกัน   ส่วนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ​ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวนยูนิตเปิดใหม่ราว 51,500 ยูนิต สูงขึ้นกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับทั้งปีที่ผ่านมา แบ่งเป็น บ้านจัดสรร 21,500 ยูนิต และคอนโด 30,500 ยูนิต โดยกลุ่มที่อยู่อาศัยแต่ละประเภท ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภค ซึ่งสะท้อนจากการมียอดขาย (Pre-sale) อยู่ในระดับสูง เป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยดังนี้ บ้านเดี่ยว ราคามากกว่า 20 ล้านบาท มียอดขาย 18.9% บ้านแฝด ราคา 5-10 ล้านบาท มียอดขาย 23.4% ทาวน์เฮ้าส์ ราคา 5-10 ล้านบาท มียอดขาย 57.8% คอนโด กลุ่มที่ได้รับความนิยมสุดคือ ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท หรือ กลุ่มที่เน้นการมอบความคุ้มค่าให้ผู้บริโภค โดยมียอด มียอดขาย 37.4% สำหรับกลุ่มผู้นำตลาดอสังหาฯ 10 อันดับแรก (Top 10 Developers) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย3 ยังคงมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้มูลค่า 105,617 ล้านบาท ขยายตัว 3.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า  ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ที่มีมูลค่า 103,128 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 อยู่ในอัตรา 2.4%   โดยรายได้ที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก ที่อยู่อาศัยในกลุ่มบ้านจัดสรร อาทิ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เนื่องจากเป็นประเภทของที่อยู่อาศัยที่มีขนาดและพื้นที่ที่ตอบโจทย์การ WFH ​มากกว่าคอนโด  เห็นได้จากจากรายได้ในกลุ่มบ้านจัดสรรของผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยที่ขยายตัวได้ดีในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้  ​อาทิ เอพี ขยายตัวถึง 21.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เอสซีแอสเสท ขยายตัว 11.7% ศุภาลัย ขยายตัว 22.1%​ แม้ว่าดีเวลลอปเปอร์หลายรายจะมีรายได้เติบโต แต่ก็มีผู้ประกอบการบางรายที่รายได้ลดลงเช่นกัน (รูปที่ 3)   ส่วนด้านการทำกำไร พบว่า ดีเวลลอปเปอร์ผู้นำตลาด 10 อันดับแรก มีอัตรากําไรสุทธิเฉลี่ยที่สูงขึ้นจาก 12.5% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 มาอยู่ที่ 12.9% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ เป็นผลจากการลดความรุนแรงในการแข่งขันทำโปรโมชั่นทางการตลาดลง แต่ความสามารถในการกำไรโดยเฉลี่ยยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 อยู่พอสมควร ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 มีกำไรสุทธิเฉลี่ยในที่ 15.5% 2 ปัจจัยกระทบตลาดที่อยู่อาศัยปี 2566 แม้ว่าแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในปีหน้าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จาก 3 ปัจจัยดังกล่าวข้างต้น แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีปัจจัยลบที่อาจจะกระทบตต่อธุรกิจอสังหาฯ ได้เช่นกัน คือ 1. เทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น และ 2.ต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ยังสูง  ซึ่งเป็นปัจจัยลบสำคัญต่อต้นทุนการดำเนินงานของผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย  ถือเป็น 2 สิ่งที่ควรจับตามองในปี 2566 1.อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น กรุงไทยคอมพาส คาดว่าอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี 2565 จนถึงปี 2566 จะอยู่ในทิศทางปรับตัวสูงขึ้นโดยมีแรงผลักดัน หลักจาก -คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 2 ครั้งจากปัจจุบันที่ 0.75% เป็น 1.25% ในปี 2565 ก่อนปรับขึ้นอีก 3 ครั้งเป็น 2% ใน ปี 2566   -การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมนําส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือ FIDF ที่ใน 1 มกราคม 2566 จะกลับมาจ่ายในอัตราเดิมที่ 0.46% จากอัตราปัจจุบันที่ 0.23%4 ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยทั้งฝั่งผู้บริโภคและผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยจะได้รับ ผลกระทบผ่านต้นทุนการกู้ยืมที่ทั้ง Minimum Retail Rate (MRR) และ MinimumLoanRate(MLR)ที่มีแนวโน้มปรบัตัวสูงขึ้นตาม   สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบกับ 2 เรื่องหลัก ๆ ดังนี้ 1.กระทบต่อผู้บริโภค โดยจะมี 2 กลุ่มผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ​ -กลุ่มที่กําลังผ่อนชําระที่อยู่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน แม้จะมีค่างวดที่ต้องชาระต่อเดือนไม่เปลี่ยนไป แต่ค่างวดดังกล่าวจะถูกนำไปชำระดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น และเหลือส่วนต่างที่จะนำไปตัดเงินต้นได้ลดลง หมายความว่า ผลกระทบของผู้บริโภคในกลุ่มนี้จะอยู่ในรูปแบบของระยะเวลาในการผ่อนชำระที่มีโอกาสนานขึ้นหากอัตราดอกเบี้ยยังคงเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง   -ผู้ที่มีความสนใจจะขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 1-2 ปีนี้ การลดลงของมูลค่าที่อยู่อาศัยสูงสุดที่สามารถซื้อได้ โดยเราคาดว่าทุก ๆ การขึ้นดอกเบี้ย 1% มีแนวโน้มจะทำให้มูลค่าที่อยู่อาศัยสูงสุดที่ผู้บริโภคสามารถซื้อได้ลดลงไปราว 10%6 ยกตัวอย่างเช่น ที่อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 5% ผู้บริโภคที่มีกำลังผ่อน 6,000 บาท/เดือน จะสามารถกู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาสูงสุด ราว 1 ล้านบาท แต่หากอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยขึ้นเป็น 6% ผู้บริโภคจะต้องมี กำลังผ่อน 6,700 บาท/เดือน ถึงจะสามารถกู้ซื้อที่อยู่อาศัยในราคาเดิมได้ ดังนั้นหากผู้บริโภคมีกำลังผ่อนเท่าเดิมที่ 6,000 บาท/เดือน ก็จำเป็นต้องซื้อที่อยู่อาศัยในราคาที่ถูกลงมาที่ 900,000บาทเป็นการทดแทน   2.ผลต่อผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย มีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น โดยเมื่อกําหนดให้ปัจจัยอื่น ๆ คงที่ Krungthai COMPASS คาดว่าทุก ๆ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% จะส่งผลให้ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยมี Net Profit Margin ลดลงโดยเฉลี่ยที่ -0.56% เทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น​ใน 1-2 ปีนี้จึงเป็นปัจจัยกดดันต่อการทำกําไรของผู้พัฒนําที่อยู่อําศัย (รูปที่ 6)   อย่างไรก็ดี ผลกระทบของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ Net Profit Margin ของผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยแต่ละรายยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ สัดส่วนการพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากสินเชื่อ (Loan) และหุ้นกู้ (Bond) ต่อ ส่วนของเจ้าของ สัดส่วนของสินเชื่อและหุ้นกู้ที่กำหนดให้จ่ายดอกเบี้ยใน อัตราผันแปร (Float Rate) รวมถึงการครบกำหนดชำระของหุ้นกู้  โดยหากผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยรายใดมีการใช้แหล่งเงินทุนจาก Loan และ Bond ในรูปแบบ Float Rate ที่มาก หรือมีความจำเป็นที่จะต้อง Rollover หุ้นกู้ เพื่อนำมาชำระหุ้นกู้เดิมก็มีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยรายอื่น ๆ 2.ต้นทุนพัฒนายังสูงต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ราคาวัสดุก่อสร้างหลายรายการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาก จากปัจจัยในเรื่องของราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น  โดยเฉพาะเหล็กและปูนซีเมนต์ เช่นเดียวกับราคาที่ดินซึ่งยังเติบโตต่อเนื่องแม้จะอยู่ในภาวะการแพร่ระบาด ของโควิด-19 หรือ แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ได้เติบโตเร็วนักก็ตาม   ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ​ราคาวัสดุก่อสร้างโดยรวม ปรับตัวสูงขึ้นไปแล้ว 5.8% จากปี 2564 เพิ่มขึ้นกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่เพิ่มขึ้นปีละ 1.9% อย่างเห็นได้ชัด โดยราคาเหล็ก ปรับเพิ่มขึ้นมากสุดที่ 10.3% รองลงมาได้แก่ ปูนซีเมนต์ 5.3% ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ 4.2%กระเบื้อง 4% และอุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา7 3.8%   สำหรับวัสดุก่อสร้างหลักอย่าง ราคาเหล็ก คาดว่าจะปรับตัวลดลงแรงในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้  แม้สถานการณ์ภาคอสังหาฯ ของจีน จะทำให้ความต้องการใช้เหล็กลดลดก็ตาม ​ แต่ราคาเหล็กโดยเฉลี่ยในปี 2565-66 คาดว่า จะยังยืนอยู่ในระดับสูงที่ 23,500-24,000 บาท/ตัน เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยใน 5 ปีที่ผ่านมาซึ่งมีราคา​ 20,800 บาท/ตัน เช่นเดียวกับราคาวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีนี้  จากต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่ยังอยู่ใน ระดับสูงกว่าในอดีต   ส่วนด้านราคาที่ดินยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง  จากดัชนีราคาที่ดินในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงครึ่งปีแรกที่ยังสูงขึ้น 2.6% จากค่าเฉลี่ยปี 2564 ส่งผลต่อการพัฒนาโครงการใหม่จะมีต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย (รูปที่ 7)  ขณะที่การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ คาดว่าจะกระทบภาคอสังหาฯ บ้าง แต่มีแนวโน้มที่จะไม่มากนัก เนื่องจากค่าจ้างแรงงานในธุรกิจก่อสร้างที่อยู่อาศัย โดยสวนใหญ่จะสูงเกินค่าแรงขั้นต่ำอยู่ก่อนแล้ว และในปัจจุบันยังมีการใช้เทคโนโลยีก่อสร้างบ้านด้วยระบบ Precast มากขึ้น ซึ่งช่วยลดการใช้จำนวนแรงงานได้ในระดับหนึ่ง   อย่างไรก็ดี ยังคงต้องจับตาปัจจัยด้านดอกเบี้ยขาขึ้น และต้นทุน การพัฒนาโครงการที่อยู่ในระดับสูงอย่างใกล้ชิด เนื่องจากทั้ง 2 ปัจจัยจะส่งผล โดยตรงต่อการซื้อ ของผู้บริโภคและความสามารถในการทำกำไรของผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยในระยะ 1-2 ปีนี้ 3 บทสรุปตลาดที่อยู่อาศัยปี 66 กรุงไทยคอมพาส มองตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงปี 2565-66 ดังนี้ 1.ตลาดที่อยู่อาศัยจะอยู่ในทิศทางขยายตัวทั้งในฝั่งของความต้องการซื้อจากการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจและการ กลับมาของกำลังซื้อต่างชาติ เช่นเดียวกับการเปิดโครงการใหม่ๆ ของผู้พัฒนาที่ อยู่อาศัยที่จะกลับมาอยู่ในระดับปีละ 90,000-100,000 ยูนิต อีกครั้งเพื่อชดเชย การเปิดโครงการใหม่ในระดับต่ำเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา   2.ตลาดที่อยู่อาศัยยัง มี Upside จากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐทั้งมาตรการผ่อนปรน LTV และ มาตรการลดค่าธรรมเนียมโอน-จำนองที่มีโอกาสจะต่ออายุอีก 1 ปี จากเดิมที่กำลัง จะหมดอายุลงในปลายปี 2565 นี้ โดยในปัจจุบัน กระทรวงการคลังกำลังอยู่ใน ระหว่างการหารือกับ ธปท.   3.อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตา Downside ของตลาดที่อยู่ อาศัย ทั้ง 1.ปัจจัยดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งประเมินว่าทุก ๆ การขึ้นดอกเบี้ย 1% จะทำให้มูลค่า ที่อยู่อาศัยสูงสุดที่ผู้บริโภคสามารถซื้อได้ลดลงไปราว 10% และทำให้ผู้พัฒนาที่อยู่ อาศัยมีกำไรสุทธิลดลง -0.56% ผ่านต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น  และ 2.ต้นทุน พัฒนาโครงการที่ยังอยู่ในระดับสูงจากราคาวัสดุก่อสร้างที่ยังยืนสูง และราคาที่ดิน ที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง  
อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565

อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565

อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประชุมครั้งที่ 5/2565  เมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา  ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25%  ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.75% ปรับขึ้นเป็น 1.00% ต่อปีโดยมีผลทันที   ​ทำให้มีธนาคาาพาณิชย์บางแห่งเริ่มประกาศอัตราดอกเบี้ย MRR หรือ Minimum Retail Rate (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี)  กันใหม่บ้างแล้ว ซึ่งได้ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์มีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ที่บางธนาคารปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา ขณะที่บางธนาคารแม้ว่าจะยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย MRR แต่เชื่อว่าในอีกไม่ช้าก็ต้องประกาศปรับแน่นอน ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยที่ลูกค้าต้องแบกรับเปลี่ยนแปลงไป   ส่วนในเดือนตุลาคมอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง แบงก์ไหนปรับเพิ่ม แบงก์ไหนปรับลดลง เรามาอัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565 กันซึ่ง Reviewyourliving ได้รวบรวมและอัปเดทเอาไว้ให้แล้ว ​ อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ สินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนตุลาคม 2565 เอกสารที่ระบุอยู่ในเว็บไซต์ของธนาคาร ยังมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล โดยยังเป็นข้อมูลที่ใช้กับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม -30 มิถุนายน​ 2565  จึงคาดว่าธนาคารกรุงเทพ จะยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเวลาดังกล่าว ​ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป ลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.45% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.45% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% ลูกค้าทั่วไปวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58% -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก MRR-1.20% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า 500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่  10 พฤษภาคม​ – 30 มิถุนายน​ 2565 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา  -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธันวาคม​ 2564 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข -ข้อมูล ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2565   2.ธนาคารกรุงไทย อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด สำหรับธนาคารกรุงไทย ในเดือนตุลาคม  ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเดือนสิงหาคม และเดือนกันยายนที่ผ่านมา และข้อมูลยังเป็นการยื่นขอสินเชื่อภายในวันที่ 30 กันยายน โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ทางเลือกที่ 1 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.77% (MRR-3.45%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2.77% (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% ทางเลือกที่ 2 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี =2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26% ทางเลือกที่ 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.25% ที่คิด 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.92% (MRR-2.30%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.96% เพิ่มขึ้น 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.88% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26% เพิ่มขึ้น 0.03% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 4.23% ทางเลือกที่ 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.25  ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 0.25% ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 1.00% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี =  3.06% เพิ่มขึ้น 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.98% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.30% เพิ่มขึ้น 0.03% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย  4.27% หมายเหตุ : 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ *ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี (การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ เป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ) 2.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)**คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,600 บาท/เดือน MRR = 6.22% ต่อปี 3.สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค / ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย /ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4.เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 กันยายน 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี  เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมิน  และธนาคารยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้ซื้อบ้านและคอนโด ยังคงเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  เนื่องจากมีระยะเวลาการสิ้นสุดแคมเปญถึง 31 ธันวาคมนี้ โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.925% (MRR-2.125%) เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยแตกต่างกันในแต่ละปี โดยหากเปรียบเทียยกับปีที่ 1 ของเดือนที่ผ่านมาจะเพิ่มขึ้น 1.025% ซึ่งเดือนที่แล้วคิดเอัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) หากเปรียบเทียบกับปีที่ 2 จะมีอัตราดอกเบี้ยลดลง 0.125% ซึ่งเดือนที่ผ่านมาดอกเบี้ยปีที่ 2  อัตรา 4.05% (MRR-2.00%) หากเปรียบกับปีที่ 3  จะลดลง 1.025% จากเดือนที่แล้วคิดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 3 อัตรา 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.93% ลดลง 0.04% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.45% เพิ่มขึ้น 0.06% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตรา  4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 2.50% เพิ่มขึ้น 1.0% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตรา 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 415% (MRR-1.9%) ลดลง 0.3% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตรา 4.45% (MRR-1.60%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-1.5%) ลดลง 0.15% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-1.5%) ลดลง 0.4% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.14% ลดลง 0.07% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตราดอกเบี้ย  4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.54% เพิ่มขึ้น 0.02% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) เพิ่มขึ้น  1.125% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) เพิ่มขึ้น 0.375% จากเดือนที่ผ่านมาคิด อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) ลดลง 1.025% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.68% เพิ่มขึ้น 0.16% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.22% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.99% เพิ่มขึ้น 0.74% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 1.25%  เเดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.15%  (MRR-1.9%) เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย  4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.35% (MRR-1.7%) เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.35% (MRR-1.7%) เพิ่มขึ้น 0.35% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย   4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.92% เพิ่มขึ้น 0.03% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.33% เพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอัตราดอกเบี้ย 4.23% หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน​ – 31 ธันวาคม 2565 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ข้อมูลในเว็บไซต์ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พฤษภาคม​ 2563) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม​– 30 กันยายน​ 2565 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯ มีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย โดยไม่มีการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 1 ปีแล้ว มีเฉพาะดอกเบี้ยลอยตัว โดยมีอัตราดอกเบี้ย  ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.4-3.062% เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาที่คิดอัตราดอกเบี้ย 2.4-2.75% ปีต่อไป 5.025% (MLR-1.50%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.5-2.75% ปีต่อไป 5.025% (MLR-1.50%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2563 เท่กับ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5. กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร  6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.ค่าธรรมเนียมติดตามทวงถามหนี้ ค้างชำระ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ ค่างชำระมากกว่า 1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ 8.เบี้ยประกันอัคคี เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู  ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -สำหรับซื้อบ้านและคอนโดจากโครงการทั่วไป -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.25% ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา 0.20% เพราะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย MRR ใหม่เท่ากับ 6.48% ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 แต่การขอสินเชื่อในเดือนนี้ยังจะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม มีรายละเอียด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-2.23%) เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.85% (MRR-1.63%) เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.66% เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.6% (MRR-1.88%) เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา หลังจากนั้น 4.85% (MRR-1.63%) เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.6% เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.77% เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา ทางเลือก 3 (ไม่สมัครผลิตภัณฑ์ครบ 3 รายการ) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.85% (MRR-1.63%) เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.85% (MRR-1.63%) เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.85% เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.85% เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส  2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท  -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.48% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates  -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 30 ธันวาคม 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 มกราคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย แบบทำประกัน Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ 10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) -ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี (ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565  มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม -30 ธันวาคม 2565   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดย อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย  3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  4.95% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.2% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1  กรกฎาคม -30 กันยายน 2565 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 31 ตุลาคม 2565 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น (Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)  -การอนุมัติสินเชื่อ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร  -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี (ตามประกาศธนาคารณ วันที่  9 กรกฎาคม 2564) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้  -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร  -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย (ใบอนุญาตประกันชีวิต เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบ้าน โฮมโลน โดนใจ ที่คิดดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9%  โดยเดือนนี้ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีการคิดอัตราดอกเบี้ยมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดจากช่วงเดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย ดังนี้  แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย  1.9% (MRR-5.45%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.85% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.54% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.50% (MRR-4.85%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.50% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้- 30 ตุลาคม 2565 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีโปรโมชั่น สินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด  โดยปลอดชำระเงินงวด 6 เดือนแรก เมื่อพ้นระยะปลอดชำระหนี้ สามารถเลือกผ่อนต่ำ ล้านละ 3,500 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน ​ โดยมีรายละเอียดสำหรับสินเชื่อกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม ดังนี้  วงเงินกู้สินเชื่อต่ำกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป  กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99% เพิ่มขึ้น 0.04% จากเดือนที่ผ่านมาคิด 1.95%   ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.98% เพิ่มขึ้น 0.105% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.875%   ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.65% เพิ่มขึ้น 0.15% จากดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.5%   อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.144% เพิ่มขึ้น 0.059% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 4.085%   กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.24% เพิ่มขึ้น 0.04% จากเดือนก่อนหน้าคิด 2.20%   ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.605% ลดลง 0.02% จากเดือนก่อนหน้าคิด 3.625%   ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% คิดเท่ากับเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.328% เพิ่มขึ้น 0.001% จากเดือนที่ผ่านมาคิด  4.327%  วงเงินกู้สินเชื่อมากกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป (เดือนที่ผ่านมาไม่ได้แยกวงเงินกู้) กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99%   ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.755%   ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5%   อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.089%   กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.24%   ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.38%   ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.00%   อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.274%   เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -การทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ เป็นการทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่น อย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์/ บัตรเครดิตหรือสินเชื่อบัตรเงินสด/ ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี/ หน่วยงานหักเงินนำส่งชำระหนี้ / จ่ายตรงเงินเดือน / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -การปลอดชำระเงินงวด คือ ระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลาที่ธนาคารยังคงคิดดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงิน -*กรณี ฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) โดยลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าธรรมเนียมจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน ทั้งนี้ กรณีจำนวนเงินที่จ่ายตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ 1.00 ของเงินค่าจดจำนอง โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย คืนเข้าบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกของลูกค้าภายใน 30 วันทำการ นับจากวันที่จดจำนองแล้วเสร็จ -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนด เฉพาะกรณีไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) เพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากผู้กู้ชำระหนี้ปิดบัญชีในทุกกรณี ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้จะต้องชำระค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ยื่นกู้ภายในวันที่ 15 มกราคม 2566 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 หมายเหตุ Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2565   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกันยายน 2565 -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนกันยายน 65
เปิดเหตุผล พราว เรียลเอสเตท บุกตลาดกทม. กับวิธีทางสร้างรายได้ 15,000 ล้าน

เปิดเหตุผล พราว เรียลเอสเตท บุกตลาดกทม. กับวิธีทางสร้างรายได้ 15,000 ล้าน

พราว เรียลเอสเตท พราว เรียลเอสเตท ลดความเสี่ยงธุรกิจ ขยายตลาดแนวราบ-โลว์ไรส์ ปักหมุดทำเลย่านธุรกิจกรุงเทพฯ ประเดิม 2 โปรเจ็กต์ จับตลาดเรียลดีมานด์กลุ่มลักชัวรี่ รวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้าน หวังสร้างโรดแมปรายได้ 5 ปี 15,000 ล้าน   ใครที่ชื่นชอบโครงการ ของ พราว เรียลเอสเตท ซึ่งพัฒนาขึ้นที่เมืองหัวหิน หรือเป็นลูกค้า อย่างโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน แล้วตั้งตารอว่าเมื่อไร  จะขยายการพัฒนาโครงการในรูปแบบดังกล่าว ในกรุงเทพฯ บ้าง เพราะชื่นชอบในรูปแบบ สไตล์  แนวคิดของการพัฒนา ตรงกับความชอบและไลฟ์สไตล์ของตัวเอง   ลูกค้าหรือผู้สนใจ ปีนี้เตรียมตัว เตรียมเงิน ไปจับจองกับโครงการใหม่ของพราว เรียลเอสเตท ได้เลย เพราะกำลังจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ  2 โครงการใหม่ในกรุงเทพฯ ซึ่งยังคงจับตลาดลักชัวรี่เหมือนเคย และครั้งนี้จะปักหมุดปั้นโครงการบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียไฮไรส์  ในย่านทำเลศักยภาพของกรุงเทพฯ ด้วย นางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน)  หรือ PROUD ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่  เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทได้พัฒนา 2 โครงการในเมืองหัวหิน ได้แก่ โครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน แบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์เซส โครงการแรกและแห่งเดียวที่ติดชายหาด ใจกลางหัวหิน และโครงการเวหา (VEHHA) คอนโดมิเนียมไฮไรส์​ ติดสวนน้ำวานา นาวา หัวหิน ซึ่งทุกโครงการของบริษัทจะพัฒนาภายใต้แนวคิด “More Than Just Living”  เพื่อสร้างประสบการณ์และความแตกต่างให้ลูกค้า และสังคม   ในปีนี้บริษัทวางแผนการพัฒนาโครงการต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดตัว 2 โครงการใหม่ มูลค่า 4,407 ล้านบาท ในกรุงเทพฯ ประกอบด้วย ​โครงการแรก คือ โครงการวี อารีย์ (VI ARI) บ้านเดี่ยวใจกลางอารีย์ อยู่ในซอย 3  มูลค่ารวม 507 ล้านบาท ราคา​ขายต่อหลังประมาณ 70 ล้านบาท คาดจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4/2565  ส่วนโครงการที่ 2 เป็นโครงการคอนโดมิเนียม ย่านคอนแวนต์ มูลค่ารวม 3,900 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการตั้งชื่อและวางแผนพัฒนา คาดว่ามีจำนวนห้องไม่เกิน 200 ยูนิต และเป็นห้องขนาดใหญ่ มีไซส์เริ่มต้นมากกว่า 30 ตารางเมตร พราว เรียลเอสเตท บุกตลาดโลว์ไรส์  สำหรับเหตุผลที่ พราว เรียลเอสเตท เตรียมพัฒนาโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น มาจาก 2 เหตุผลสำคัญ คือ 1.กระจายความเสี่ยง จาก 2 โครงการแรกที่พราว เรียลเอสเตท พัฒนาและเปิดขายอยู่ในปัจจุบัน จะเป็นโครงการคอนโดไฮไลท์ และอยู่ในพื้นที่ของเมืองหัวหินเป็นหลัก ทำให้บริษัทต้องมองมีการบริหารพอร์ตสินค้า เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการับรู้รายได้โครงการไฮไลท์เพียงอย่างเดียว เพราะการขยายสินค้ามาสู่โครงการบ้านเดี่ยว และคอนโดโลวไรส์จะช่วยทำให้สามารถรับรู้รายได้ได้เร็วขึ้น มีกระแสเงินสดคืนกลับมาเร็ว 2.การหาโอกาสทางการตลาด ต้องยอมรับว่า กรุงเทพฯ และปริมณฑล คือ ตลาดหลักของสินค้าประเภทที่อยู่อาศัย ที่มีการพัฒนาโครงการจำนวนมาก เพื่อรองรับกับความต้องการของคนที่เข้ามาอยู่อาศัย และทำงานในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงทำให้เป็นพื้นที่ที่มีความต้องการสูงกว่าหัวเมืองท่องเที่ยว  ซึ่งในพื้นที่ของกรุงเทพฯ ตลาดยังเปิดกว้างในการเข้ามาพัฒนาโครงการ  แม้ว่าการแข่งขันจะมีสูง แต่หากพัฒนาสินค้าตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ และจับกลุ่มลูกค้าได้ถูกต้อง พื้นที่กรุงเทพฯ ก็ยังมีโอกาสทางการตลาด นายพสุ  ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร  มองว่า การมุ่งเน้นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ บนทำเลที่มีศักยภาพ ด้วยจำนวนการเปิดโครงการไม่มาก แต่เน้นการออกแบบและบริการที่ดีที่สุด มีมูลค่าเหมาะสมกับกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงที่เป็นเรียลดีมานด์ เพื่อการอยู่อาศัยจริงและเพื่อการลงทุน จะสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่มากกว่า และเป็นจุดแข่งขันที่บริษัทนำมาใช้ จึงน่าจะเป็นโอกาสทางการตลาดที่สร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้   การเข้ามาพัฒนาโครงการในกรุงเทพฯ เป็นการเข้าหาโอกาส และเรียลดีมานด์  ซึ่งจะใช้จุดแข็งในการทำธุรกิจมาแข่งขัน อย่างในช่วงที่เปิดโครงการที่หัวหิน เป็นช่วงเกิดโควิด-19 แต่ก็มียอดขายเยอะมาก แสดงให้เห็นว่าโครงการที่พัฒนามีเรียลดีมานด์รองรับ โดยโจทย์ต่อไป คือ จะทำอย่างไรให้สินค้าสอดคล้องกับเรียลดีมานด์  ซึ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ คิดมานาน เมื่อมีโอกาสและศักยภาพในการทำธุรกิจ จึงเข้ามาเปิดโครงการ    5 ปีวางโรดแมพรายได้รวม 15,000 ล้าน พราว เรียลเอสเตท ถือว่าเป็นดีเวลลอปเปอร์รายเล็ก โครงสร้างของบริษัททั้งหมดมีพนักงานแค่ 48 คนเท่านั้น และพัฒนาโครงการค่อนข้างน้อยปีละ 1-2 โครงการ ซึ่งหากย้อนดูพอร์ตการพัฒนาที่ผ่านมาจนถึงปีนี้ มีเพียง 4 โครงการรวมมูลค่า 10,515 ล้านบาทเท่านั้น และจะทยอยสร้างการรับรู้รายได้ตั้งแต่ปีนี้ ไปจนถึงปี 2569 โดยมีไทม์ไลน์แผนสร้าง การรับรู้รายได้ ดังนี้ โครงการอินเตอร์คอน เรสซิเดนซ์ หัวหิน มูลค่าโครงการ 3,818 ล้านบาท รับรู้รายได้ในปีนี้ 91% และอีก 9% รับรู้รายได้ในปีหน้า โครงการเวหา หัวหิน มูลค่าโครงการ 2,290 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้ในปี 2568 โครงการคอนโด ไฮไลท์ในซอยคอนเวนต์ มูลค่าโครงการ 3,900 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้ในปี 2569 โครงการวีอารีย์ มูลค่าโครงการ 507 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้ในปี 2566 อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าหมายการรับรู้รายได้ในระยะ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2569 จะมีรายได้รวมอยู่ที่ 15,000 ล้านบาท  โดยปัจจุบันมียอดรายรอรับรู้รายได้แล้ว 3,400 ล้านบาท ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวจะมาจากโครงการที่พัฒนาอยู่ในปัจจุบัน และโครงการที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต   นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นการเติบโตของรายได้อย่างเด่นชัด โดยจะสามารถพลิกกลับมาเป็นกำไรได้ในช่วงไตรมาส 3/2565  ซึ่งในปีนี้บริษัทเป้าหมายรับรู้รายได้ 3,400 ล้านบาท  จากโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน ที่ปัจจุบันมียอดขายกว่า 3,500 ล้านาท และจะสามารถล้างการขาดทุนสะสมที่อยู่ให้หมดลง พร้อมกับเริ่มจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ในช่วงต้นปีหน้าด้วย เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้บริษัทยังวางงบลงทุน 5,000 ล้านบาท สำหรับการหาซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในปี 2566-2567 ส่วนในปีนี้ใช้งบลงทุนซื้อที่ดินแล้วประมาณ 1,000 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พราว เรียลเอสเตท ปั้นโปรเจ็กต์ “เวหา” 2,290 ล้าน ชู 6 ไฮไลท์คอนโดลักชัวรี่สูงสุดในหัวหิน -2 เดือนอินเตอร์คอนติเนนตัลฯ หัวหินขาย 2,000 ล้าน เศรษฐีไทย หนี้ซื้อบ้านหลังที่ 2