Tag : Infographic

288 ผลลัพธ์
4 เทคนิคเบื้องต้นแต่งคอนโดปล่อยเช่า

4 เทคนิคเบื้องต้นแต่งคอนโดปล่อยเช่า

สำหรับผู้ที่ลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อหวังผลระยะยาวจากกำไรจากการปล่อยเช่าคอนโด “เวลา” เป็นสิ่งมีค่าและสำคัญยิ่ง นั่นหมายถึงเวลาที่เสียไปอาจจะทำให้กำไรที่ควรจะได้ก็ลดน้อยลงไปด้วยเช่นกัน การแต่งคอนโดเพื่อให้เช่า เป็นเรื่องที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญเพราะการแต่งคอนโดที่มีเอกลักษณ์จะสร้างความประทับใจแรกให้กับผู้เช่า และทำให้ทรัพทย์ของเรามีจุดต่างจากอีกหลายร้อยห้องในอาคารเดียวกัน จนผู้เช่าไม่สามารถปฎิเสธได้และวางเงินมัดจำทันที 4 เทคนิคสำคัญในการแต่งคอนโด ทำได้ไม่ยาก แค่ใส่ใจในรายละเอียดและลงมือทำอย่างรวดเร็ว วิธีการง่ายๆ เพียงแค่ 4 ข้อ ปรับแต่งห้องของคุณให้น่าอยู่ และเป็นที่ประทับใจให้กับผู้เช่า ทำได้ดังนี้   1.รู้จักห้อง ทุกซอก ทุกมุม คอนโดในเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอนโดที่อยู่ใจกลางเมืองติดรถไฟฟ้ามักจะมีราคาสูงและมีขนาดเล็ก ดังนั้นการแต่งคอนโดไม่ว่าจะสำหรับเช่า หรืออยู่อาศัยเอง สิ่งแรกที่ต้องรู้ คือพื้นที่การใช้สอย เริ่มโดยวัดขนาดของห้องและสำรวจไปถึงซอกหลืบให้ละเอียดทุกซอกทุกมุม วาดแผนผังห้องออกมาและระบุขนาดพื้นที่บริเวณต่างๆ ซึ่งรวมถึงขนาดผนังแต่ละด้าน ขนาดเสา กรอบประตู กรอบหน้าต่าง ไม่ว่าจะเป็นความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึกโดยละเอียด เพื่อใช้ในการประกอบการเลือกเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งแต่ละชิ้น   2. เฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูป หรือ บิ้วท์อิน? หลายคนใช้วิธีตกแต่งคอนโดด้วยเฟอร์นิเจอร์แบบบิ้วท์อินเพราะคิดว่าช่วยประหยัดเวลาในการตกแต่ง ประหยัดแรงและได้คุณภาพที่คงทนยาวนาน แต่อย่าลืมว่าวัตถุประสงค์หลักของการแต่งคอนโดเพื่อทำกำไรจากการปล่อยเช่านั้น เวลาและต้นทุนถือเป็นหัวใจหลักของการทำกำไร นอกจากว่าคอนโดที่ซื้อ มีเฟอร์นิเจอร์บิ้วท์อินให้อยู่แล้ว ถือเป็นกำไร สำหรับห้องที่ไม่มีการตกแต่งและต้องการปล่อยเช่า การใช้เฟอร์นิเจอร์แบบบิ้วท์อินต้องใช้เวลามากในการออกแบบ ก่อสร้าง และตกแต่ง นอกจากนี้หากมีการทรุดโทรมตามการใช้งาน 5 – 7 ปี ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรื้อและสร้างใหม่ ใช้ต้นทุนและเวลามากกว่าซื้อเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปใหม่ยกเซตก็เป็นได้ หากมีการวางแผนเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์สำเร็จรูปเป็นอย่างดีแล้ว นอกจากประหยัดเงิน ยังช่วยประหยัดเวลาอีกด้วย   3. เครื่องใช้สารพัดประโยชน์ คอนโดปล่อยเช่า ก็เปรียบเสมือนบ้านหลังใหญ่ที่ถูกย่อส่วนลงมาแต่ยังคงไว้ทุกฟังค์ชั่นการใช้งาน ดังนั้นการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า จะต้องมีการจัดสรรพื้นที่ให้ลงตัวและอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน เช่น เลือกใช้โต๊ะติดผนังที่สามารถพับขึ้นลงได้แทนโต๊ะแบบทั่วไปเพื่อประหยัดพื้นที่ โดยสามารถเป็นโต๊ะทำงานหรือทานข้าวในเวลาเดียวกัน นอกจากเครื่องใช้ไฟฟ้าหลักๆ อย่าง แอร์ ตู้เย็น โทรทัศน์ เครื่องทำน้ำร้อน ที่จำเป็นต้องมีแล้ว การลงทุนสำหรับสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างเครื่องเล่นดีวีดี เตาอบไมโครเวฟ ที่เป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับการใช้ชีวิตประจำวันแก่ผู้เช่า ก็สามารถทำให้ห้องของคุณมีค่าเพิ่มมากขึ้น และสามารถปล่อยเช่าห้องได้ราคาสูงกว่าเมื่อเทียบกับห้องอื่นๆ ที่ไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ   4. โทนสีสร้างความประทับใจ การแต่งห้องโดยใช้โทนสีแบบเอิร์ธโทนจะทำให้ห้องมีความเป็นกลางไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายก็สามารถประทับใจได้ ทำการบ้านด้วยการเลือกโทนสีสำหรับตกแต่งห้องและการจับคู่สีสามารถหา Reference จากแหล่งข้อมูลด้านการตกแต่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือตกแต่งบ้าน หรือ เว็บไซต์ไอเดียต่างๆ เช่น Pinterest เพื่อให้การเลือกเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้นเข้ากันมากขึ้น การใช้สีสันที่ฉูดฉาด โทนสีร้อน อาจจะเหมาะกับแค่คนบางกลุ่ม แต่การใช้โทนสีแบบเอิร์ธโทนเรียบง่าย เช่น เทา น้ำตาล ครีม ขาว จะทำให้ห้องดูมีความเป็นธรรมชาติ ให้อารมณ์เหมือนอยู่บ้านและช่วยให้ขนาดห้องขนาดเล็กดูกว้างขึ้นอีกด้วย   จากเทคนิคที่กล่าวมาข้างต้น สามารถทำให้ห้องของคุณดูน่าสนใจและสร้างความประทับใจได้โดยไม่ต้องเสียเวลาในการอธิบาย และผู้เช่ามีแนวโน้มที่จะตัดสินใจและวางเงินจองได้ในทันทีเพราะไม่อยากเสียโอกาสในการเป็นเจ้าของ อีกทั้งยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ในห้องของคุณได้อย่างสะดวกสบาย บางอย่างอาจจะต้องลงทุนและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเป็นสิ่งที่สามารถทำให้ผู้เช่าตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลแล้ว คุณจะเสียเวลาไปอีก 1 เดือน 2 เดือน หรือมากกว่าโดยไม่ได้รับค่าเช่าไปเพื่ออะไร หากมีคนพร้อมจะควักเงินให้คุณแล้วอยู่ตรงหน้า เริ่มแต่งห้องและจบดีลให้เร็ว เท่านั้นคุณก็นอนรอรับเงินได้อย่างสบายใจหายห่วง เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://www.plus.co.th
ข้อคำนึงถึงความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย

ข้อคำนึงถึงความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย

เมื่อที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ดังนั้นการคิดเลือกซื้อคอนโดมิเนียมหรือบ้านสักหลังก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งเลยใช่ไหมคะ? ครั้นจะเลือกซื้อเพราะถูกใจในทำเล แนวคิดโครงการ ขนาดพื้นที่ใช้สอย หรือชื่อเสียงจากผลงานที่ผ่านมาของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังอย่างเดียวก็คงจะไม่พอ อีกหนึ่งข้อสำคัญที่พวกเราทีมงาน Review Your Living อยากให้คุณผู้อ่านพิจารณาให้ดีในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยนั่นก็คือ ‘ความปลอดภัย’ ทั้งในด้านของชีวิตและทรัพย์สินค่ะ เพราะถ้าลำดับเหตุการณ์จากข่าวโจรกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศจะเห็นได้ว่ามีบ้านในโครงการหรือแม้กระทั่งคอนโดมิเนียมส่วนหนึ่งที่ดูเหมือนปลอดภัยดี แต่ก็ยังไม่วายที่จะโดนยกเค้า! วันนี้เราจึงรวบรวม 3 ข้อมูลโดยเน้นในเรื่องความปลอดภัยของที่อยู่อาศัยมาฝากค่ะ เพื่อให้ทุกคนได้คำนึงและนำไปตรวจสอบก่อนตัดสินใจซื้อพร้อมย้ายเข้าอยู่อย่างสบายใจ บทความโดย Review Your Living 1. ความปลอดภัยในการวางแผนออกแบบโครงการ ข้อนี้ถือว่าเป็นหัวใจหลักของการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเลยล่ะค่ะ เพราะการออกแบบถนนและจัดวางตำแหน่งอาคารให้มีความเป็นอยู่ปลอดภัย การจัดแบ่งโซนนิ่งหรือการสัญจรในโครงการ รวมไปจนถึงการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ดี การจัดระบบรักษาความปลอดภัยและระเบียบการบริหารของหมู่บ้าน/คอนโดฯ  ก็ล้วนแต่มีความสำคัญที่จะทำให้ที่อยู่อาศัยสบายและปลอดภัยมากขึ้น 2. ระบบป้องกันภัยของโครงการ เป็นอีกเรื่องที่ถือว่ามีความสำคัญต่อความสุขและความสบายใจของครอบครัวไม่ใช่น้อยจริงๆ ค่ะ สำหรับระบบป้องกันภัยของโครงการ ฉะนั้นการเลือกระบบป้องกันภัยที่เราสามารถตรวจสอบได้หลักๆ เลยก็คือ ความสูงของรั้วโครงการควรสูงเกิน 3 เมตรขึ้นไป ระบบควบคุมการเข้าออกโครงการควรมีพนักงานรักษาความปลอดภัย ควมคุมการเข้าออกยานพาหนะด้วยระบบอิเล็คโทรนิกส์ เซ็นเตอร์ คอนโทรล แทนการติกสติ๊กเกอร์หน้ากระจก มีระบบประตูทางเข้า 2 ชั้น กล้องวงจรปิด CCTV ที่คอยบันทึกเทปตลอด 24 ชั่วโมง การควบคุมด้วยระบบ Key Card ทั้งการเข้าออกและการใช้ลิฟต์ การออกแบบโครงการให้ดูโปร่งโล่ง ง่ายต่อการมองเห็นหรือตรวจสอบลาดตระเวน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจราจร 3. การจัดการและออกกฎระเบียบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพสูง อย่างที่ทราบกันดีแหละค่ะว่าทุกๆ โครงการบ้านหรือคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่นั้นจะมีนิติบุคคลคอยดูแลทั้งในเรื่องของพื้นที่ส่วนกลางและระบบรักษาความปลอดภัย แต่ถ้าจะให้มั่นใจก็ควรตรวจสอบถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้รอบคอบกันสักนิดนะคะ อาทิ บุคคลภายนอกที่จะเข้ามาในโครงการนั้นต้องแลกบัตรทุกครั้ง หรือถ้าเป็นคอนโดฯ ก็ควรมีบริเวณพื้นที่ล็อบบี้รองรับไม่ให้เข้าไปสู่ด้านบนได้ทันที การตรวจสอบช่วงเวลาลาดตระเวนของรปภ. ที่ควรมีทุกชั่วโมง และการจัดยามรักษาการณ์ประจำบริเวณแยกแต่ละโซนนอกเหนือจากจุดผ่านเข้าออกโครงการ เป็นต้น ข้อมูลข้างต้นที่เรานำมาฝากนั้นก็เป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งในการคำนึงถึงความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย แต่ถ้าคุณผู้อ่านกำลังตัดสินใจจะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดฯ พวกเราทีมงาน Review Your Living แนะนำให้ลองศึกษาถึงข้อดีและข้อเสียของด้านอื่นๆ ด้วยนะคะ จะได้มีที่อยู่อาศัยที่ใช่และตรงใจที่สุดนั่นเอง เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr  
เคล็ดลับเก็บออมของมนุษย์เงินเดือน เพื่อเงินก้อนโต!

เคล็ดลับเก็บออมของมนุษย์เงินเดือน เพื่อเงินก้อนโต!

เคยสงสัยกันบ้างไหมคะว่าเงินแต่ละเดือนเราสูญหายไปไหนหมด? ทั้งๆ ที่ประหยัดแล้วแต่ก็ยังไม่มีเหลือเก็บ ยิ่งเป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีค่าใช้จ่ายมากมายครั้นจะซื้อของขวัญชิ้นใหญ่ให้ตนเองอย่างยานพาหนะ หรือที่อยู่อาศัย ต่างก็ต้องใช้เงินก้อนจำนวนหนึ่งไปดาวน์เพื่อให้ได้สิ่งนั้นมา แต่จะทำยังไงให้ตนเองมีวินัยและสามารถเก็บเงินก้อนได้อยู่หมัด มาดูวิธีเก็บออมแบบง่ายๆ แต่ได้ผล ที่ทีมงาน Review Your Living รวบรวมมาฝากดีกว่าค่ะ เรียบเรียงโดย Review Your Living 1. ทำบัญชีรายรับรายจ่าย การแยกแยะรายรับรายจ่ายโดยการจดบันทึกหรือใช้แอพพลิเคชั่นในสมาร์ทโฟนนั้นจะช่วยอุดรอยรั่วปัญหาเงินหายไปไหนได้เป็นอย่างดี เพราะบัญชีเหล่านี้จะช่วยสะท้อนการใช้เงินในแต่ละวันของคุณว่าหมดไปกับอะไรบ้าง อีกทั้งยังเป็นตัวชี้วัดจำนวนรายได้ที่เข้ามาด้วย ทำให้สามารถคำนวณการใช้เงินและแบ่งเก็บออมได้อย่างสบายใจ 2. แบ่งแยกสัดส่วนให้ชัดเจน เมื่อมีรายรับเข้ามาให้แบ่งเงินออกเป็นส่วนๆ โดยแยกค่าสาธารณูปโภคจำพวกค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรเครดิตไว้ส่วนหนึ่ง แล้วจึงแบ่งเก็บออมแบบค่อยเป็นค่อยไปอาจจะ 5% หรือ 10% ของยอดที่เหลือจากการหักไว้ และเหลือเท่าไหร่ค่อยมาหารเฉลี่ยใช้รายวันอีกที 3. กำหนดค่าใช้จ่ายรายวัน หากเกินต้องหยอดกระปุก! อย่างที่กล่าวมาตามรายละเอียดจากข้อข้างต้น เมื่อคำนวณแบ่งค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆ อย่างรอบคอบแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มเงินออมของคุณให้เพิ่มพูนขึ้นอย่างดาย โดยกำหนดค่าใช้จ่ายรายวันเช่น ตั้งใจใช้เงินวันละ 200 บาท แต่ใช้เกินไปเป็น 250 บาท ก็ต้องนำเงินมาหยอดกระปุก 50 บาท เพื่อเป็นกฎเกณฑ์ฝึกวินัยการใช้เงินไปในตัว ทั้งยังมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นอีกด้วย 4. ดื่มกาแฟ = ออมเงิน สำหรับคอกาแฟตัวจริงที่ขาดไม่ได้เลยในแต่ละวันและรู้สึกผิดต่อตัวเองทุกครั้งที่เสียสตางค์จ่ายนั้น คงไม่ต้องรู้สึกกังวลใจอีกต่อไปแล้วค่ะ วิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณรู้สึกดีทุกครั้งที่ซื้อกาแฟสักแก้วนั้น ก็เพียงแค่ใช้คติ ‘ซื้อเท่าไหร่ออมเท่านั้น’ เช่น เมื่อคุณซื้อกาแฟราคา 75 บาท คุณก็ต้องออมเงิน 75 บาท ซึ่งอาจจะดูเหมือนเป็นเงินจำนวนไม่มาก แต่เชื่อเถอะค่ะถ้าคุณออมแบบนี้ไปเรื่อยๆ จะมีเงินก้อนเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด   5. เศษอย่าใช้สิจ๊ะ แน่นอนค่ะว่าเงินเดือนหรือใบเสร็จต่างๆ มักไม่ใช่ยอดที่พอดิบพอดีเป๊ะ ดังนั้นอีกหนึ่งวิธีออมเงินที่เราอยากแนะนำก็คือ การเก็บเศษค่ะ ตัวอย่างเช่น มียอดเงินเดือนเข้ามา 24,500 บาท ก็กลั้นใจใช้ไปทุกเดือนเพียง 24,000 บาท ส่วน 500 บาทที่เหลือนั้นก็ถือเป็นการเก็บออมไปในตัวนั่นเอง ยิ่งถ้าคุณมีวินัยและตั้งใจเก็บไปทุกเดือนๆ เงินก้อนก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนค่ะ   6. แบงค์ 50 ก็ช่วยได้นะ อีกหนึ่งเคล็ดลับที่ฮิตมากในกลุ่มนักศึกษาและพนักงานออฟฟิศนั่นก็การเก็บธนบัตรจำนวน 50 บาทค่ะ เพราะแบงค์ 50 นั้นไม่ใช่ว่าเรามีโอกาสได้รับบ่อยๆ เหมือนแบงค์ 20 และ 100 บาท ฉะนั้นหาก มีโอกาสได้เจอเวลาใช้จ่ายรับเงินทอนก็เก็บไว้เถอะค่ะ สะสมไปเรื่อยๆ เมื่อผ่านไปครบ 1 ปี ลองเอาออกมานับดู คุณอาจจะตกใจกับยอดเงินออมที่สูงลิ่วก็เป็นได้นะคะ เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr  
จะกู้บ้านทั้งที ต้องทำประกันด้วยหรือ?

จะกู้บ้านทั้งที ต้องทำประกันด้วยหรือ?

เมื่อความฝันในการมีบ้านหลังแรกหรือคอนโดมิเนียมในปัจจุบันนั้นไม่ใช่เรื่องยากอยู่ไกลเกินเอื้อมสักเท่าไหร่  เพราะเพียงแค่คุณวางเงินจองหรือดาวน์ตามสัญญาข้อกำหนดของโครงการที่ถูกใจ จากนั้นก็ดำเนินตามขั้นตอนคือยื่นกู้ธนาคาร รอผลอนุมัติ เพียงเท่านี้ความฝันของคุณก็เป็นจริงขึ้นมาแล้วแล้วค่ะ แต่การทำเรื่องขอเงินกู้เพื่อซื้อบ้านกับธนาคารนั้นส่วนใหญ่มักจะมีเรื่องของข้อเสนอขายกรมธรรม์พ่วงเข้ามาเกี่ยวข้องให้เราทำด้วย เพื่อได้อัตราดอกเบี้ยในการกู้สินเชื่อที่ถูกกว่าการไม่ทำประกัน บางคนอาจจะสงสัยว่าเราต้องทำด้วยไหม? ทำไปแล้วได้อะไร? วันนี้ทีมงาน Review Your Living จึงได้รวบรวมข้อมูลคลายข้อสงสัยมาฝากค่ะ เรียบเรียงโดย Review Your Living   สำหรับประกันสินเชื่อบ้านนั้นมีอยู่ 3 ประเภท คือ   1. ประกันคุ้มครองหลักทรัพย์ เป็นประกันชีวิตที่คุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้านที่เราได้รับอนุมัติจากธนาคารนั่นเองค่ะ ซึ่งจะมีระยะเวลาคุ้มครองให้คุณเลือกตั้งแต่ 5 – 30 ปี อัตราค่าเบี้ยประกันนั้นก็ขึ้นอยู่กับวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติ ส่วนวิธีการชำระค่าดอกเบี้ยก็มักจะรวมอยู่ในวงเงินสินเชื่อแล้วค่ะ สังเกตได้ว่าทุกๆ ธนาคารมักจะใช้อัตราดอกเบี้ยมาเป็นสิ่งจูงใจเพื่อให้ผู้บริโภคเลือกโปรแกรมสินเชื่อที่มีประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้านด้วย โดยทางเลือกนี้อัตราดอกเบี้ยจะถูกกว่าสินเชื่อธรรมดาประมาณ 0.5% ค่ะ   ทั้งนี้ประโยชน์ของประกันชนิดนี้ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อยนะคะ ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่คุณกำลังผ่อนบ้านอยู่กับธนาคารและเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเสียชีวิตหรือทุพลภาพถาวรตามระยะเวลาที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ บริษัทจะเป็นผู้จ่ายเงินกู้ที่เหลืออยู่ทั้งหมดกับธนาคารให้ หากคำนวณแล้วทุนประกันสูงกว่าจำนวนหนี้ที่เหลืออยู่นั้นครอบครัวก็มีสิทธิ์ได้ส่วนต่างคืน รวมถึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกยึดบ้านอีกด้วย และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้นะคะ   2. ประกันอัคคีภัย เป็นประกันคุ้มครองบ้านระยะเวลาสั้นๆ แต่ต้องทำเป็นประจำทุกปีหรือ 2-3 ปีตามข้อตกลง กรณีที่เกิดอัคคีภัยซึ่งจะคุ้มครองเฉพาะตัวบ้านไม่รวมที่ดินนะคะ  หากเกิดอัคคีภัยขึ้นบ้านที่ไม่มีภาระหนี้ผลประโยชน์ก็จะเป็นของเจ้าของบ้านโดยตรง แต่ถ้าตัวบ้านติดจำนองกับธนาคาร ผู้รับประโยชน์คือธนาคารซึ่งจะหักไปกับหนี้ที่เหลืออยู่ ทำให้เจ้าของบ้านมีหนี้น้อยลงหรือหมดไปแล้วแต่กรณีข้อตกลง โดยประกันชนิดนี้จะคลอบคลุมความเสียหายของบ้านจาหเหตุการณ์อาทิ ไฟไหม้ ฟ้าผ้า แก๊สจากการทำแสงสว่าง แต่ไม่รวมการระเบิดดนื่องจากแผ่นดินไหว เป็นต้น   pinterest 3. ประกันภัยพิบัติ ประกันที่คุ้มครองบ้านจากภัยธรรมชาติต่างๆ อาทิ น้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุเข้า เป็นต้น ซึ่งจะมีเงื่อนไขตามข้อกำหนดของแต่ละธนาคารและเสียเบี้ยประกัน 0.5% ของราคาบ้านต่อปี โดยที่รัฐบาลไม่ได้บังคับ จะทำหรือไม่ทำก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณเองค่ะ แต่ประกันชนิดนี้จะไม่คลอบคลุมบ้านในพื้นที่ที่ถูกกำหนดว่าเป็นพื้นที่รองรับน้ำ กักเก็บน้ำ ทางผ่านน้ำนะคะ ดังนั้นถ้าจะซื้อบ้านอยู่ตรงไหนก็ควรศึกษาพื้นที่ให้ดีก่อนแล้วกันนะจ๊ะ     "สรุป" การทำประกันทุกๆ ชนิดที่มาพร้อมกับวงเงินกู้ซื้อบ้านนั้น ส่วนใหญ่ต่างก็มีข้อเสนอที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยใช่ไหมล่ะคะ? เพราะฉะนั้นถ้าใครกำลังจะตกลงปลงใจซื้อบ้านและยื่นกู้ธนาคาร ทีมงาน Review Your Living ก็อยากให้คุณศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ ข้อแนะนำง่ายๆ คือลองปรึกษาเจ้าหน้าที่สินเชื่อขอคำอธิบายเงื่อนไขต่างๆ ให้เข้าใจทุกรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนก่อน เพื่อลดความเสี่ยงและความสบายใจของครอบครัวคุณเอง       ขอขอบคุณภาพจาก www.toonpool.com/cartoons/Fire_7295            
4 เคล็ดลับ ควรเลือกธนาคารยังไงในการกู้ซื้อบ้าน

4 เคล็ดลับ ควรเลือกธนาคารยังไงในการกู้ซื้อบ้าน

เมื่อตัดสินใจที่จะมีบ้านใหม่อาจเป็นเพราะเริ่มมีครอบครัวใหม่ ข้าวใหม่ปลามัน หรือต้องการเปลี่ยนบ้านใหม่ เพราะบ้านเราเล็กไปบ้างเก่าไปบ้างหรือเป็นเพราะย้ายที่อยู่ใหม่ก็ต้องการบ้านใหม่หรือมีบ้านอยู่แล้วต้องการขยายปรับปรุงบ้านใหม่เหล่านี้แน่นอนว่าผู้ซื้อหรือผู้สร้างบ้านย่อมศึกษาทำเล ประเภทบ้าน ราคา สิ่งแวดล้อมที่ต้องการให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ตัวเอง สิ่งที่ต้องเตรียมตัวคือเตรียมเงินได้ออมไว้ส่วนหนึ่งสำหรับเป็นเงินมัดจำ เงินดาวน์ เงินส่วนเพิ่มสำหรับการสร้างบ้านที่ไม่ให้ “บาน” มิฉะนั้นก็ต้อง “บ้า” ไปเลย ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นส่วนใหญ่ก็ต้องไปขอกู้กับสถาบันการเงินต่างๆ   จะกู้ที่ใหนดี สถาบันการเงินที่ให้กู้มีหลากหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นธนาคารพาณิชย์ซึ่งมีหลายแห่ง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน นอกจากนั้นยังมีสหกรณ์ออมทรัพย์ บริษัทประกันชีวิต บริษัทอสังหาริมทรัพย์ การเคหะแห่งชาติ หรือบริษัทนายจ้างของตนเอง เป็นต้น แต่การที่เลือกสถาบันการเงินที่ให้กู้เพื่อซื้อบ้านก็ควรต้องศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เหมาะกับความต้องการของผู้กู้ แต่ที่ไม่แนะนำก็คือกู้กับอาบังหรือใช้บัตรเครดิตรูดปรี๊ด เพราะดอกเบี้ยก็จะให้ก้นบานเป็นแน่   เงื่อนไขสินเชื่อที่เหมาะกับตัวเอง ในการเลือกสถาบันการเงินสำหรับเงินกู้สินเชื่อบ้านประเด็นที่สำคัญคือสถาบันแห่งนั้นเป็นสถาบันที่ให้กู้เป็นอาชีพหรือไม่ หรือเป็นเพียงเฉพาะกิจ เพราะการกู้ซื้อบ้านต้องใช้เวลาในการผ่อนชำระที่ยาวนาน 25-30 ปี และในการผ่อนชำระนั้นไม่ควรมีการสะดุดใดๆ หรือถูกเรียกคืนเงิน ระหว่างผ่อนชำระสถาบันการเงินที่ให้บริการเป็นอาชีพจะให้เงินกู้ผ่อนชำระคืนระยะยาว   ดอกเบี้ยต่ำดูอย่างไร ถ้าต้องการดอกเบี้ยต่ำและไม่ต้องการให้มีภาระกับการผ่อนมาก ก็ควรจะเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่กับสถาบันที่ให้กู้อัตราดอกเบี้ยคงที่นานๆ เช่น 5 ปี เพราะในระหว่างนั้นจะไม่มีการปรับอัตราผ่อนและหลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยที่คิดเป็นเท่าไร ส่วนใหญ่จะอิงกับ MLR ลูกค้ารายย่อยชั้นดี ซึ่งอย่างหลังจะมีอัตราสูงกว่าเล็กน้อย การอิงกับอัตราดังกล่าวจะต้องดูว่าบวกหรือลบเท่าไรจากอัตราอ้างอิง ถ้าคำนวณแล้วสูงกว่าอีกสถาบันหนึ่งก็เป็นข้อพิจารณาเลือกใช้บริการ   กู้ได้มากน้อยดูตรงใหน การคำนวณวงเงินให้กู้ สถาบันการเงินจะมีการประเมินราคาบ้านโดยบริษัทประเมินราคาซึ่งส่วนใหญ่ธนาคารพาณิชย์จะมีบริษัทในเครือเป็นผู้ประเมิน ซึ่งการประเมินราคาหลักประกันถ้าเป็นโครงการที่ส้รางโดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจำอิงกับราคาซื้อขายบ้านเป็นหลัก ดังนั้นวงเงินให้กู้ตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ถ้าเป็นบ้านแนวราบคือบ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮ้าส์สูงสุดไม่เกิน 95% ของราคาประเมิน และเป็นบ้านแนวดิ่งหมายถึงคอนโดฯ สูงสุดไม่เกิน 90% ของราคาประเมิน ฉะนั้นถ้าผู้กู้มีเงินออมมากหน่อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องวงเงินกู้มากเท่ากับผู้มีเงินออมจำกัดที่จำต้องเลือกสถาบันที่ให้วงเงินกูมากกว่า   ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.home.co.th
7 จุดต้องตรวจเช็ค เตรียมบ้านต้อนรับหน้าฝน

7 จุดต้องตรวจเช็ค เตรียมบ้านต้อนรับหน้าฝน

นับเป็นความโชคดีที่ปีนี้อากาศไม่ร้อนมากนัก แต่ในขณะเดียวกันหลาย ๆ พื้นที่ ฝนตกชุกยิ่งกว่าฤดูฝน ฝนที่มาเร็วกว่าทุก ๆ ปีแถมยังตกกระหน่ำยาวนานหลายเดือน บ้านที่ต้องเจอกับความชื้นทุก ๆ วัน อาจก่อให้เกิดเชื้อรา เกิดรอยดำไม่สวยงาม ยิ่งบ้านไหนมีรอยร้าว หลังคารั่วซึม ท่อน้ำตัน ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหาย หากแก้ไขช้าไปย่อมส่งผลกระทบบานปลายขึ้นเรื่อย ๆ เราจึงรวบรวมสิ่งที่ควรตรวจเช็คและวิธีการเตรียมบ้านให้พร้อม เพื่อรับมือกับหน้าฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพมาฝากกัน หน้าฝนนี้จะได้นั่งชิล ๆ ริมหน้าต่าง ฟังเสียงฝนตกกระทบอย่างสบายใจ   1. ตรวจเช็ครอยรั่ว 3 จุดใหญ่ หลังคา ฝ้าเพดาน และผนัง เป็น 3 จุดสำคัญหลัก ๆ ที่เมื่อเกิดการร้าว รั่ว ซึม จะเกิดปัญหากับบ้านอย่างแน่นอน บางจุดใหญ่ ๆ ก็เห็นได้ชัดเจน แต่บางจุดเล็ก ๆ ที่ถูกละเลยอาจลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ได้ จึงต้องหมั่นสังเกตว่ามีสัญญาณอันตรายหรือไม่ เช่น ฝ้าเพดานมีคราบรอยน้ำหยดซึมเป็นดวงสีน้ำตาล, ผนังตรงไหนมีรอยแตกร้าว เกิดรูรั่วตามรอยต่อไหม เป็นต้น หากพบจุดที่เสียหายไม่มากก็อาจจะซ่อมแซมด้วยตัวเองด้วยวัสดุอุดรูรั่ว กันซึมประเภทอะคลิริค ซีเมนต์ หรือซิลิโคน แล้วแต่ชนิดของปัญหา หรือให้ช่างผู้เชี่ยวชาญเข้ามาช่วย ที่สำคัญ อย่าลืมตรวจดูน้ำรั่วซึมตามขอบวงกบประตูหน้าต่าง ผนังภายนอกอาคาร และพื้นดาดฟ้าด้วยนะครับ   2. ดูแลทำความสะอาดรางน้ำฝน รางระบายน้ำ ทางระบายน้ำไม่ว่าจะเป็นรางน้ำฝนหรือท่อระบายน้ำทิ้งออกจากตัวบ้าน ตรวจเช็คทำความสะอาดเพื่อไม่ให้มีสิ่งอุดตันมาขวางทางไหลของน้ำ เมื่อน้ำฝนไหลลงมาจากหลังคาสู่รางน้ำลงท่อระบายน้ำก็จะไหลออกจากตัวบ้านได้อย่างรวดเร็ว ป้องกันปัญหาน้ำไหลย้อนเข้าไปรั่วซึมภายในบ้านหรือท่วมขังรอบตัวบ้าน ซึ่งจะทำให้โครงสร้างส่วนนอกเปียกชื้น โดยเฉพาะส่วนฐานรากของตัวบ้านที่จะดูดซับความชื้นจากใต้ดิน อาจทำให้ตัวบ้านเสียหายได้   3. ขัดพื้นบริเวณระเบียง ชาน ทางเดิน หลังฝนตกชุกติดต่อกันหลายวัน เรามักจะพบคราบตะไคร่สีเขียวเกาะติดอยู่บนพื้นภายนอก หรือดินโคลนลื่น ๆ บริเวณระเบียงกลางแจ้ง ทางเดินในสวน ทางเดินรอบตัวบ้าน หมั่นตรวจเช็คดูว่ามีตะไคร่น้ำหรือเชื้อราอยู่บริเวณพื้นหรือไม่ ถ้ามีให้ทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อราและกำจัดตะไคร่น้ำสูตรน้ำ นำแปรงมาขัดล้างออก เพื่อป้องกันอุบัติเหตุจากการลื่นล้ม   4. ตัดแต่งกิ่งต้นไม้ใหญ่ใกล้ ๆ บ้าน แม้ต้นไม้จะให้ร่มเงาที่เย็นสบายในช่วงฤดูร้อน แต่อาจส่งผลอันตรายได้ในฤดูฝน ด้วยพายุลมกรรโชกแรงมักส่งผลให้กิ่งไม้แตกหักล้มทับตัวบ้าน ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ เมื่อเข้าสู่หน้าฝนควรตัดแต่งกิ่งไม้ให้ดูโปร่ง ไม่ให้มีพุ่มใหญ่หนาจนเกินไป นอกจากนี้ควรต้องดูแลสวนไม่ให้มีน้ำขัง หญ้าไม่รก เพราะอาจเป็นที่ซ่อนตัวของสัตว์มีพิษและที่อยู่ของยุงลายได้   5. เช็คปลั๊กไฟ โคมไฟ กลางแจ้ง จุดนี้สำคัญมาก บ้านบางหลังที่มีความจำเป็นต้องต่อสายไฟ ปลั๊กไฟนอกบ้าน จึงควรยกปลั๊กให้สูงจากพื้นบ้านและระดับที่น้ำท่วมถึง ตรวจเช็คระบบไฟฟ้าและบริเวณปลั๊กไฟที่อยู่ในจุดเสี่ยงว่ามีการรั่วของไฟหรือไม่  และทำฝาปิดครอบให้แน่นหนาเพื่อป้องกันละอองน้ำฝน หรือเปลี่ยนไปใช้ปลั๊กแบบที่มีฝาเปิด-ปิด   6. ซ่อมแซมอุปกรณ์ฟิตติ้งในบ้าน หน้าฝนประตูหน้าต่างที่ทำจากไม้จะขยายตัวทำให้ประตูฝืด ๆ และความชื้นจะทำให้อุปกรณ์ฟิตติ้งประเภทต่าง ๆ  เป็นสนิมจนทำให้ฝืดและเกิดเสียงดังจนน่ารำคาญได้ รูกุญแจ ลูกบิดก็ใช้งานได้ยากขึ้น วิธีแก้ไขคือใช้ผ้าแห้ง เช็ดอุปกรณ์และวัสดุที่จะซ่อมแซม จากนั้นใช้น้ำมันจักร น้ำมันหล่อลื่นสารพัดประโยชน์มาชโลม ฉีด พ่น ตามจุดรอยต่อ บานพับประตู หน้าต่าง แต่ทั้งนี้ต้องแน่ใจว่าจุดดังกล่าวแห้งแล้วจริง ๆ ค่อยใส่น้ำมัน และไม่ควรใช้จารบีอัดเข้าไปเพราะอาจจะทําให้นํ้าที่ยังขังอยู่ภายในไม่สามารถระเหยออกได้   7. เตรียมพร้อมสำหรับจุดอื่น ๆ ในบ้านและสวน เช่น ทาสีย้อมไม้กันน้ำเคลือบเนื้อไม้ที่อยู่กลางแจ้ง เพื่อป้องกันน้ำฝนซึมเข้าไปในเนื้อไม้ ไม้บริเวณนั้นอาจเสียหายจนอาจจะต้องเปลี่ยนใหม่ กำจัดรังมดและแมลงที่ชอบหนีน้ำเข้ามาอยู่ในบ้าน ยกต้นไม้ที่ไม่ชอบน้ำมากเข้ามาอยู่ในเขตที่ไม่โดนน้ำฝนมากเกินไป เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับขั้นตอนง่าย ๆ ในการเตรียมตัวรับมือกับหน้าฝนนี้ หวังว่าจะเป็นแนวทางในการจัดการบ้านให้ไร้ปัญหากวนใจกันนะครับ สำหรับผู้อ่านท่านไหนที่กำลังมองหาตัวช่วย อุปกรณ์ซ่อมแซมรอยร้าว รั่ว ซึม บริเวณเสา ผนัง ดาดฟ้า หลังคา และดูแลอุปกรณ์ฟิตติ้งให้ใช้งานได้ดี   ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.banidea.com/thai-watsadu/
วิธีทำความสะอาดกระจกห้องน้ำ

วิธีทำความสะอาดกระจกห้องน้ำ

หากกระจกห้องน้ำไม่ใสสะอาดพอ คุณจะเเน่ใจได้อย่างไรว่าคุณดูดีแล้ว? ไม่ว่าจะเป็นการเช็คลิปสติกที่ติดฟันหรือเช็คผมที่กระเซอะกระเซิงจากการตื่นนอน กระจกห้องน้ำสามารถช่วยให้คุณดูดีได้ ดังนั้นเราจึงควรให้ความสำคัญกับกระจกและทำความสะอาดให้ใสสะอาดอยู่ตลอดเวลา คุณรู้วิธีทำความสะอาดกระจกห้องน้ำหรือไม่? จริงๆ แล้วการทำความสะอาดกระจกห้องน้ำไม่ได้ยากอย่างที่หลายคนคิดไว้ เพราะอาจมีอะไรต่อมิอะไรสาดใส่ทำให้ดูสกปรกอยู่ตลอดเวลา ลองคิดดูสิว่ากระจกห้องน้ำต้องเจอกับอะไรบ้าง? ไม่ว่าจะเป็นแชมพูที่กระเด็นใส่ คราบเครื่องสำอาง และคราบน้ำหลังจากการอาบน้ำ แต่การทำความสะอาดกระจกห้องน้ำไม่ใช่เรื่องยากเลย หากคุณทราบถึงเทคนิคการทำความสะอาดที่ถูกต้อง 5 ขั้นตอนการทำความสะอาดกระจกห้องน้ำ วิธีทางด้านล่างนี้เป็นวิธีการทำความสะอาดกระจกห้องน้ำให้ดูสะอาดเงางามเป็นประกาย เริ่มจากการใช้ฟองน้ำจุ่มลงในน้ำอุ่นและเช็ดบนกระจกเบาๆ การใช้น้ำเพียงอย่างเดียวจะไม่สามารถทำความสะอาดกระจกได้ดี เพราะน้ำจะทิ้งคราบเอาไว้เมื่อแห้งแล้ว ทำให้กระจกแลดูไม่สะอาด อย่างไรก็ตาม การเช็ดสิ่งสกปรกให้ออกก่อนการเช็ดกระจกจะช่วยให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สิ่งสกปรกประเภทฝุ่นละอองสามารถทำให้กระจกเกิดรอยขีดข่วนได้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องเช็ดฝุ่นละอองออกจากกระจกให้ได้มากที่สุด การใช้กรดเป็นการทำความสะอาดกระจกอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เช่น น้ำส้มสายชูที่มีส่วนประกอบเป็นกรด ผสมน้ำส้มสายชูหนึ่งส่วนกับน้ำสองส่วนเข้าด้วยกัน เทใส่ขวดสเปรย์และฉีดให้ทั่วกระจก จากนั้นให้เช็ดด้วยฟองน้ำตามอีกรอบ   หรือหากคุณไม่มีขวดสเปรย์ คุณสามารถจุ่มฟองน้ำลงในส่วนผสม บีบให้พอหมาดแล้วนำมาเช็ดกระจกได้เลย การใช้น้ำส้มสายชูยังเป็นอีกทางเลือกที่ปลอดภัย เพราะเป็นสะสารที่มีส่วนผสมของแอมโมเนียซึ่งปลอดภัยต่อเด็กและสัตว์เลี้ยงที่บ้าน อย่าลืมทดลองใช้ส่วนผสมของน้ำส้มสายชูเพียงเล็กน้อยบนกระจกก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ทำให้กระจกเสียหาย คุณทราบหรือไม่ว่า น้ำส้มสายชูยังเป็นวิธีขจดคราบน้ำบนกระจกได้? น้ำส้มสายชูนี่แหละสามารถทำหน้าที่เป็นน้ำยาขจัดคราบน้ำบนกระจกได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ น้ำส้มสายชูยังสามารถใช้ทำความสะอาดกระเบื้อง อ่างล้างมือ และอ่างอาบน้ำได้อีกด้วย!   คราบน้ำที่แห้งมักเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดคราบบนกระจก วิธีการกำจัดคราบน้ำคือ ใช้น้ำส้มสายชูฉีดลงบนกระจก จากนั้นให้ใช้ไม้ปาดน้ำปาดคราบออกโดยเริ่มจากบนลงล่าง และจากด้านข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่ง การใช้ผ้านุ่มๆ เช็ด แต่ผ้าจะทิ้งขุยไว้บนกระจก การใช้ไม้ยางรีดน้ำอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า   ขั้นตอนสุดท้ายคือการขัดกระจกด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์ที่จะช่วยให้กระจกเงาและใสขึ้น ผ้าไฟเบอร์จะไม่ทิ้งขุยผ้าไว้บนกระจก เพียงเท่านี้คุณก็จะได้กระจกที่ใสสะอาด ไร้คราบน้ำและคราบสกปรกอื่นๆ ตอนนี้คุณก็ทราบวิธีขจัดคราบต่างๆ บนกระจกและวิธีทำความสะอาดกระจกให้สะอาดเงางามเป็นประกายแล้ว ที่นี้ไม่ว่าคุณจะต้องการเช็คการแต่งหน้าแล้วทรงผมปัญหาในการมองเห็นอีกต่อไปก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เคล็ดลับ เมื่อทำความสะอาดกระจกห้องน้ำ คุณควรหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าเช็ดทำความสะอาด ผ้าจะทิ้งขุยผ้าเล็กๆ ไว้บนกระจก เราขอแนะนำให้ใช้ฟองน้ำเช็ดกระจกหรือไม้ปาดน้ำแทน คุณสามารถใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ที่ไม่ทิ้งขุยเช็ดในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อขัดให้กระจกเงาใส ขั้นตอนสำคัญ อย่าลืมทำความสะอาดกระจกห้องน้ำเป็นประจำ การทำความสะอาดกระจกห้องน้ำเป็นประจำ จะช่วยป้องกันการเกิดคราบที่ฝังแน่น และช่วยให้การทำความสะอาดกระจกง่ายและรวดเร็วขึ้น   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  www.cleanipedia.com
พื้นที่บันได ทำอะไรเพิ่มเติมได้

พื้นที่บันได ทำอะไรเพิ่มเติมได้

ปัจจุบันบ้านในเมืองมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ จากราคาที่ดินและค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น การใช้พื้นที่ต่างๆ ภายในบ้านจึงต้องทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด พื้นที่บริเวณบันไดทั้งใต้บันไดและเหนือบันไดชั้นบนสุดมักจะเป็นพื้นที่ที่ถูกมองข้าม และถูกทิ้งให้เปล่าประโยชน์อยู่เสมอ พื้นที่ดังกล่าวถ้าวัดขนาดจากแปลนจะมีพื้นที่ประมาณ 2-3 ตารางเมตร หากเป็นคอนโดแบบ Duplex ที่มีชั้นลอย ขนาดของพื้นที่ใต้บันไดดังกล่าวคิดเป็นเงินกว่า 2-3 แสนบาทเลยทีเดียว ดังนั้นด้วยการออกแบบที่ดีจะช่วยให้พื้นที่ว่างบริเวณบันไดถูกใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ บันไดแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ บันไดทึบ และบันไดโปร่ง บันไดทั้งสองประเภทมีผลต่อการออกแบบพื้นที่ใช้สอยใต้บันได บันไดทึบคือบันไดที่มีทั้งลูกตั้งและลูกนอนบันได ไม่สามารถมองทะลุลงไปได้ ส่วนท้องของบันไดทึบมีทั้งแบบ ท้องเรียบ และท้องหยักตามลูกตั้งลูกนอน หรือที่เรียกว่าแบบพับผ้า และแบบมีคานแม่บันได บันไดทึบเหมาะแก่การใช้ประโยชน์พื้นที่ใต้บันได แต่ต้องระวังเรื่องท้องของบันได เช่น บันไดแบบพับผ้าจะมีหยักมุมแหลม อาจจะไม่เหมาะเป็นพื้นที่ให้คนเข้าไปใช้งาน ภาพ: ตัวอย่างบันไดทึบ ท้องบันไดเรียบ ส่วนบันไดโปร่งเป็นบันไดที่มีแต่ลูกนอนบันไดอย่างเดียว สามารถมองทะลุลงไปได้ ส่วนท้องของบันไดโปร่งแบ่งเป็นแบบแม่บันไดด้านข้าง และแบบแม่บันไดข้างใต้ที่รองรับลูกนอน บันไดโปร่งเหมาะแก่การเป็นบันไดโชว์ให้สวยงาม ไม่เหมาะแก่การกั้นห้อง หรือใช้งานข้างใต้ อาจทำได้เพียงชั้นวางของเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ภาพ: ตัวอย่างบันไดโปร่งที่มีแม่บันไดอยู่ด้านข้าง พื้นที่ใต้บันได สามารถออกแบบให้ใช้ประโยชน์ได้ 3 รูปแบบ คือ ใช้เก็บของ ใช้เป็นส่วนใช้งานต่างๆ และใช้เป็นส่วนเซอร์วิสของบ้าน การใช้พื้นที่ใต้บันไดไว้เก็บของ เป็นรูปแบบที่เห็นได้บ่อย เนื่องจากง่ายต่อการทำ และมีพื้นที่มากเพียงพอ รูปแบบของการเก็บของใต้บันไดมีทั้ง การทำเป็นห้องเก็บของที่มีผนังปิดทึบและประตู การทำเป็นชั้นวางของหรือเป็นตู้ Built-in ให้เข้ากับพื้นที่ใต้บันไดโดยจะมีบานเปิดปิดหรือไม่มีก็ได้ และยังมีรูปแบบที่เป็นตู้รางเลื่อนที่สามารถดึงชั้นวางของออกมาได้ซึ่งจะเพิ่มพื้นที่เก็บของให้มากขึ้น ของที่เก็บใต้บันไดมักจะเป็น รองเท้า เสื้อผ้า หนังสือ หรือของจิปาถะอื่นๆ ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดโดย Built-in เป็นชั้นเก็บของ ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดโดย Built-In เป็นชั้นเก็บของแบบตู้รางเลื่อน (สไลด์) การใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นส่วนใช้งานต่างๆ มักจะใช้กับบ้านที่มีพื้นที่น้อยมาก เช่น คอนโดแบบ Duplex บางครั้งพื้นที่ใต้บันไดสามารถใช้สำหรับวางโต๊ะและทีวีสำหรับส่วนนั่งเล่น หรือใช้สำหรับวางโต๊ะคอมพิวเตอร์เป็นส่วนทำงานได้ นอกจากนี้ ยังอาจจะออกแบบเป็นเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินที่เป็นหลุมเข้าไปสามารถใช้เป็นที่นั่งหรือที่นอนเล่นใต้บันได้ได้อีกด้วย ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นที่ทำงาน ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นที่นั่งเล่น การใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นส่วนเซอร์วิสของบ้าน พบได้บ่อยในบ้านที่เป็นตึกแถวหรือทาวน์เฮ้าส์ ส่วนมากมักจะใช้ทำเป็นห้องน้ำ โดยวางโถส้วมในบริเวณที่ท้องบันไดเอียงลงเนื่องจากเวลาใช้งานจะเป็นการนั่งจึงไม่ต้องใช้พื้นที่สูงมากนัก นอกจากห้องน้ำแล้วพื้นที่ใต้บันไดยังสามารถทำเป็นส่วนซักล้าง โดยตั้งเครื่องซักผ้า และเครื่องอบผ้า หรือจะทำเป็นเคาน์เตอร์ครัว หรือ Pantry เล็กๆ ก็ได้ ทั้งนี้การใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นส่วนเซอร์วิสจะต้องคำนึงถึงท่อน้ำประปาและท่อน้ำทิ้งด้วยว่าจะเดินท่ออย่างไร ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นห้องน้ำ ภาพ: ตัวอย่างการใช้พื้นที่ใต้บันไดเป็นส่วนเตรียมอาหาร ในส่วนของพื้นที่เหนือบันไดชั้นบนสุด มักจะเป็นโถงสูงจากชานพักบันไดช่วงสุดท้ายจนถึงหลังคา ซึ่งเราสามารถต่อเติมเป็นชั้นลอยเล็กๆ ได้ โดยทำเป็นพื้นโครงสร้างเหล็ก และปูวัสดุแผ่นที่มีน้ำหนักไม่มาก เช่น ไม้ หรือไฟเบอร์ซีเมนต์ พื้นที่ดังกล่าวสามารถใช้ทำเป็นหิ้งพระ ที่เก็บของ ส่วนทำงาน หรือนั่งเล่นก็ได้ (ควรปรึกษาวิศวกรถึงรูปแบบโครงสร้างที่เหมาะสม) บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​ 
เรื่องของเครื่องปรับอากาศ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

เรื่องของเครื่องปรับอากาศ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน

รวมเรื่องจริงที่เกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศหรือแอร์เพื่อให้เราได้รู้จักและรู้ถึงที่มามากขึ้น แอบบอกหน่อยดีกว่าว่า ถ้ายิ่งรู้จักคุณก็จะรักแอร์ของคุณมากขึ้น นับวันอากาศก็ยิ่งร้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งสิ่งศักสิทธิ์ที่ไหนแล้ว ก็เห็นจะมีแต่เครื่องปรับอากาศนี่แหละที่ช่วยเราได้ ในเมื่อเครื่องปรับอากาศก้าวเข้ามาบทบาทสำคัญกับชีวิตของเราอย่างมาก วันนี้เราเลยจะพาทุกคนไปทำความรู้จักเจ้าเครื่องปรับอากาศหรือที่เรียกติดปากว่าแอร์ ผ่าน 11 เรื่องจริงของเครื่องทำความเย็นเหล่านี้กันครับ แล้วจะมีอะไรบ้างนั้นต้องไปดู 1. ผู้ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องปรับอากาศ วิลลิส แคร์เรียร์ วิศวกรโรงพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา เป็นคนแรกที่ประดิษฐ์คิดค้นเครื่องปรับอากาศเครื่องแรกของโลก เมื่อปี ค.ศ. 1902 โดยแคร์เรียร์มองหาวิธีในการควบคุมความชื้นในอาคาร เพื่อป้องกันไม่ให้หมึกแห้งเร็ว จึงเกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เขาเรียกว่า "Apparatus for Treating Air" หรือเครื่องปรับอากาศ กระทั่งได้รับการจดสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1906   2. กลายมาเป็นเครื่องปรับอากาศปี 1950 แม้จะได้รับการจดสิทธิบัตรในปี ค.ศ. 1906 แต่เครื่องปรับอากาศก็เพิ่งจะมาเป็นรูปเป็นร่าง มีขนาดและระบบที่เล็กอย่างทุกวันนี้ เมื่อปี  ค.ศ. 1950 และออกขายสู่ท้องตลาดมากกว่า 1 ล้านเครื่อง ซึ่งปรากฎว่าขายหมดเกลี้ยง   3. ควรตรวจเช็กเครื่องปรับอากาศประจำปี หากที่บ้านไหนมีเครื่องปรับอากาศชควรจะเรียกช่างเข้ามาตรวจเช็กระบบเป็นประจำทุก ๆ ปี เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องปรับอากาศที่บ้านยังใช้งานได้ตามปกติและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาจนต้องตามแก้ไขทีหลัง   4. เครื่องปรับอากาศทำงานด้วยการลดความชื้น เครื่องปรับอากาศทำงานด้วยการนำพาความชื้นหรือลดความชื้นออกจากอากาศในบริเวณนั้น ถึงแม้หลักการทำงานจะไม่มีประสิทธิภาพเทียบเท่าเครื่องปรับความชื้น แต่เครื่องปรับอากาศก็ช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราและฝุ่นสกปรกได้   5. เครื่องปรับอากาศช่วยกำจัดสารก่อภูมิแพ้ได้ นอกจากเครื่องปรับอากาศจะทำให้บ้านเย็นแล้ว ระบบการทำงานภายในยังมีคุณสมบัติช่วยกำจัดสารก่อภูมิแพ้และเศษฝุ่นที่มากับอากาศได้อีกด้วย ถ้าหากอาการภูมิแพ้ของคุณกำเริบในช่วงที่อากาศกำลังร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ก็ลองเปิดเครื่องปรับอากาศช่วยดูสิครับ   6. หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศทุก 3 เดือน เครื่องปรับอากาศจะทำงานได้ดีหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับแผ่นกรองอากาศด้วยนะครับ เพราะถ้าปล่อยให้แผ่นกรองด้านในสกปรก มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด ประสิทธิภาพในการทำงานของเครื่องปรับอากาศก็จะลดลงตามไปด้วย แถมเครื่องยังต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้นไม่ว่าที่บ้านจะใช้เครื่องปรับอากาศชนิดไหน ก็ต้องหมั่นทำความสะอาดทุก 3 เดือนด้วยนะครับ   7. ผ้าม่านช่วยกักเก็บความเย็น ถ้าหน้าต่างของห้องหันตรงกับทางที่แสงแดดส่องเข้ามาพอดี ให้หาม่านมาติดไว้เพื่อป้องกันความร้อนจากแสงแดดไม่ให้เข้ามาทำให้อุณหภูมิภายในห้องสูงขึ้น จนเครื่องปรับอากาศก็ต้องทำงานหนักตามไปด้วย   8. ยิ่งปิดช่องลมแอร์ เครื่องก็ยิ่งพังง่าย หลายคนคงไม่รู้ว่าการปิดช่องลมแอร์ด้านใดด้านหนึ่ง มันไม่ได้ช่วยปรับเปลี่ยนทิศทางแอร์ได้ตามที่ต้องการหรอกนะครับ แต่มันกลับทำให้เครื่องทำงานหนักขึ้นกว่าเดิม จนอาจถึงขั้นทำให้ระบบภายในเสียหายเลยก็มี  หากต้องการให้ความเย็นกระจายตัวอย่างทั่วถึง แนะนำให้เปิดพัดลมช่วยอีกแรงจะดีกว่า   9. เครื่องปรับอากาศใหญ่ก็ก็ยิ่งจ่ายค่าไฟเยอะ อย่างที่รู้กันดีว่าเครื่องปรับอากาศจะทำให้บ้านอยู่สบายขึ้น แต่ก็กินไฟโหดไม่แพ้กัน ทางที่ดีควรหันมาเลือกใช้เครื่องปรับอากาศแบบติดผนังและ BTU ที่เหมาะสมกับขนาดห้อง เนื่องจากจะทำให้การใช้ไฟฟ้าน้อยลง และจะช่วยประหยัดเงินไปได้เยอะเลย   10. แอร์บ้านสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1913 แอร์สำหรับติดตั้งในบ้านเครื่องแรกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1913 โดย ชาร์ลส์ เกตส์ (Charles Gates) ผู้ที่ได้ฉายาว่า “Spend-a-Million” ทายาทเจ้าของกิจการลวดหนามในสมันนั้น ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่สร้างอพาร์ทเม้นท์ติดแอร์ขึ้นมา แต่ยังไม่ทันสร้างเสร็จสมบูรณ์ดี เกตส์ก็เสียชีวิตไปในระหว่างร่วมทริปล่าสัตว์ แม้จะเป็นคนสร้างแต่ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้งาน   11. คนอเมริกันจ่ายเงินเป็นพันล้านเพื่อแอร์ ทุกวันนี้ชาวอเมริกันต้องเสียเงินไปกับการติดตั้งแอร์บ้านเป็นจำนวนมาก ตามที่กระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกาได้กล่าวว่า โดยรวมแล้วคนอเมริกันจะจ่ายเงินมากกว่า 22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 700 พันล้านบาทในการติดตั้งแอร์ นอกจากนี้ยอดการใช้ไฟฟ้ายังมากกว่า 183 พันล้านกิโลวัตต์ ต่อชั่วโมงในทุก ๆ ปีอีกด้วย   เป็นอย่างบอกไว้ไหมล่ะครับ ถ้าคุณยิ่งรู้จักเครื่องปรับอากาศคุณก็จะยิ่งรักและอยากดูแลเอาใจใส่ให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะกว่าเจ้าเครื่องนี้จะมาช่วยให้เราไม่ต้องทุรนทุรายกับอากาศร้อนได้นั้น มันต้องมีการพัฒนามาอย่างยาวนาน ปรับเปลี่ยนรูปแบบไปต่าง ๆ นานา รวมไปถึงการดูแลจากเราเป็นสำคัญ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.kapook.com
5 วิธีลดร้อนให้บ้าน

5 วิธีลดร้อนให้บ้าน

ว่ากันว่าเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนทีไรค่าไฟแต่ละบ้านจะขึ้นสูงปรี๊ดทุกที ก็แหม ด้วยอุณหภูมิข้างนอกที่ร้อนฉ่าขนาดนั้น ครั้นจะไม่ให้ใช้เครื่องปรับอากาศเลยก็คงจะทรมานเกินไปใช่ไหมล่ะคะ แต่จะให้เปิดแอร์อยู่ทั้งวันทั้งคืน พอถึงสิ้นเดือนทีเห็นบิลค่าไฟก็คงเศร้าใจไม่ใช่น้อย วันนี้ทีมงาน Review Your Living จึงได้รวบรวมสารพัดวิธีลดความร้อนให้กับบ้านมาฝาก ซึ่งต้องบอกเลยว่าเป็นเทคนิคดีๆ ที่จะช่วยเพิ่มความเย็นให้กับบ้านแสนรักของคุณได้อย่างแน่นอน เรียบเรียงโดย Review Your Living www.prosperitybni.com 1. Façade ช่วยได้ การดีไซน์ Facade (ฟาซาด) ไม่ว่าจะใช้วัสดุอะไรปกคลุมตัวอาคารก็คงคล้ายกับการแต่งตัวให้แก่บ้าน เพราะสามารถ เปลี่ยนบรรยากาศภายนอกของบ้านสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี บางคนอาจจะคิดว่าไม่มีความจำเป็นอะไร ไม่ต้องมีก็ได้ แต่ทราบไหมคะว่าฟาซาดนั้นช่วยกันฝนและกรองแสงลดความร้อนก่อนจะเข้าสู่ตัวบ้านได้เป็นยังดี อีกทั้งยังช่วยให้สายลมพัดผ่านได้ง่ายขึ้นรวมถึงอำพรางสายตาจากภายนอกเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวอีกด้วยค่ะ   2. ติดฟิลม์กรองแสงลดความร้อนสิ! ถ้าบ้านของคุณรายล้อมไปด้วยกระจกใส แน่นอนค่ะว่าคงทำให้บรรยากาศในบ้านดูโปร่งโล่งแต่ก็ต้องแลกมาด้วยความร้อนนะคะ ยิ่งมีแสงสว่างจากธรรมชาติสาดส่องมามากเท่าไหร่ความร้อนก็ยิ่งเข้าสู่ตัวบ้านมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นแนะนำว่าควรติดฟิลม์กรองแสงชนิดเคลือบโลหะค่ะ ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยกรองแสงสว่างจากด้านนอกได้เป็นอย่างดีแล้ว คุณสมบัติเด่นของโลหะยังช่วยสะท้อนความร้อนออกไปอีกด้วย เพียงเท่านี้บ้านคุณก็เกิดภาวะเย็นสบายแล้วค่ะ ภาพจากโครงการ มาเอสโตร 19 รัชดา 19 - วิภา 3. เปลี่ยนผ้าม่าน ชีวิตก็เปลี่ยน... อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะว่าผ้าม่านจะช่วยกันความร้อนได้อย่างไร แน่นอนว่าถ้าคุณเลือกใช้ผ้าม่านทั่วๆ ไปก็คงช่วยกรองแสงได้ประมาณหนึ่ง แต่ถ้าคุณเลือกใช้ม่าน Blackout หรือผ้าทึบแสงที่มีประสิทธิภาพกันแสงได้ถึง 99% ซึ่งส่วนใหญ่จะมาพร้อมกับการเคลือบกันรังสี UV ทำให้บ้านเย็นขึ้น ผู้อยู่อาศัยสบายตัว สบายใจ และที่สำคัญสบายกระเป๋าด้วยค่ะเนื่องจากช่วยประหยัดค่าไฟไปได้เยอะเชียวล่ะ ภาพจากโครงการ The Village บางนา - วงแหวนฯ 2 4. ต้นไม้ก็ช่วยได้นะ อีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้บ้านของคุณเย็นขึ้น นั่นก็คือการปลูกต้นไม้ใหญ่สีเขียวขจีให้แตกแขนงกิ่งก้านปกคลุมบ้าน แต่ก็ต้องคอยดูแลให้ดีนะคะ ถ้ามันเริ่มโตหรือสูงเกินไปอาจบดบังตัวบ้านได้ ดังนั้นต้องคอยหมั่นตัดกิ่งก้านเล็มใบเพื่อให้ลมสามารถพัดผ่านได้อย่างสะดวก ส่วนข้อแนะนำที่เราอยากบอกก็คือควรปลูกต้นไม้ทางทิศตะวันตกหรือทิศใต้ เพราะทิศทางลมจะช่วยพัดผ่านทำให้บ้านเย็นขึ้น   5. ติดฉนวนกันความร้อน แน่นอนค่ะว่าปัจจุบันมีวัสดุใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย หนึ่งในวัสดุที่รู้จักกันดีก็คงหนีไม่พ้นฉนวนกันความร้อนที่มักนิยมติดกันบนฝ้า ใต้หลังคา หรือแม้แต่ผนังบ้าน ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยสะท้อนและปกป้องความร้อนได้ดี ทั้งยังติดตั้งง่ายไม่ว่าจะเป็นบ้านสร้างสำเร็จรูปหรือบ้านสร้างใหม่ ทำให้บ้านเย็นฉ่ำตลอดทั้งวัน
11 ปัญหาสุดเบสิกของสนามหญ้า จัดการได้อยู่หมัด

11 ปัญหาสุดเบสิกของสนามหญ้า จัดการได้อยู่หมัด

สนามหญ้าสวย ๆ ต้องเป็นสนามหญ้าที่เขียวชอุ่ม ต้นหญ้าทุกต้น รวมถึงดินก็ต้องดูสุขภาพดี ซึ่งถ้าคุณเป็นอีกคนที่เลือกจะปลูกสนามหญ้าเอาไว้ที่บ้าน เพื่อเพิ่มความสดชื่นและบรรยากาศสวย ๆ แต่จัดการดูแลแค่ไหนสนามหญ้าก็ยังมีปัญหาจุกจิกกวนใจอยู่ตลอด ถ้าอย่างนั้นลองมาดูวิธีจัดการปัญหาสุดเบสิกของสนามหญ้าตามนี้กันดีกว่า เผื่อจะช่วยให้คุณแก้ปัญหาสนามหญ้าที่ไม่ได้ดั่งใจได้บ้างนะคะ   1. หญ้าไม่ขึ้นแถวโคนต้นไม้ สำหรับปัญหาพื้นที่สนามหญ้าเป็นช่องโหว่ เพราะปลูกหญ้าไม่ขึ้นบริเวณใต้โคนต้นไม้ แนะนำให้เลือกปลูกหญ้าให้ถูกทิศทาง ในพื้นที่ด้านทิศเหนือ ควรเลือกปลูกต้นหญ้าพันธุ์ที่ไม่ชอบแดดเท่าไร ส่วนพื้นที่ด้านทิศใต้ ให้เลือกปลูกหญ้าพันธุ์ที่มีลำต้นสูงสักนิด เพื่อให้เขาชูต้นมารับแดดได้สะดวก จะช่วยลดปัญหาหญ้าขึ้นเป็นหย่อม ๆ ได้ค่ะ   2. หญ้าเฉาตรงที่เป็นเนิน ในพื้นที่ที่เป็นเนินสูง อาจจะเจอปัญหาต้นหญ้าแห้งตาย หรือไม่เจริญเติบโตบ้าง ซึ่งหลัก ๆ แล้วก็เกิดจากพื้นที่ที่เป็นเนินสูง จะมีโอกาสได้รับแสงแดดดีกว่าปกติ ทำให้ดินแห้งได้ง่าย ต้นหญ้าก็เลยไม่ได้รับน้ำที่พอเพียงสำหรับการเจริญเติบโต วิธีแก้ปัญหาก็ง่าย ๆ เลย แค่จัดการระบบน้ำในส่วนนี้เพิ่มเข้าไปอีกหน่อย หรือเพื่อความยั่งยืน จะให้ผู้เชี่ยวชาญเลือกพันธุ์หญ้า และจัดการระบบรดน้ำให้ก็ได้   3. วัชพืชก่อกวนสนามหญ้า ถ้าสนามหญ้าของคุณเต็มไปด้วยวัชพืชที่ขึ้นแซมไม่หยุดหย่อน ให้จัดการวัชพืชเหล่านี้ด้วยยากำจัดวัชพืชไปเลย แต่ก็ควรเลือกสูตรที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด และต้องฉีดกำจัดวัชพืช 2 ช่วง คือ ช่วงฤดูฝน และช่วงฤดูหนาว เนื่องจากวัชพืชในแต่ละฤดูก็เป็นวัชพืชต่างชนิดกัน อาจต้องใช้วิธีการกำจัดที่แตกต่างกันไปด้วย   4. สนามหญ้าโหว่เป็นช่วง ๆ สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้สนามหญ้าไม่สวยเพอร์เฟคท์ คงหนีไม่พ้นสนามหญ้าเว้าแหว่งเป็นหย่อม ๆ ไม่เขียวชอุ่มทั่วกันทั้งผืน ซึ่งถ้าเกิดปัญหานี้ขึ้นกับสนามหญ้าของคุณ ให้จัดการถอนเศษหญ้า ปรับหน้าดินในบริเวณนั้นให้เรียบร้อย จากนั้นปลูกพันธุ์หญ้าลงไปใหม่รดน้ำให้ชุ่ม และหาพืชมาปกคลุมดินบริเวณนั้นให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอดด้วย ปล่อยทิ้งไว้ 2 สัปดาห์ หมั่นรดน้ำบ่อย ๆ อนุบาลจนหญ้าค่อย ๆ เติบโตอย่างแข็งแรง หรือจะเลือกใช้หญ้าแผ่นสำเร็จรูปมาปูเสริมพื้นที่ก็ได้เช่นกัน แต่อาจจะต้องดูเรื่องพันธุ์หญ้า สี และขนาดของต้นหญ้าให้ใกล้เคียงที่สุด เพื่อเลี่ยงปัญหาผืนหญ้ามีสีไม่สม่ำเสมอกันด้วย   5. ต้นหญ้ากลายเป็นสีน้ำตาล หญ้าที่กลายเป็นสีน้ำตาลเป็นหย่อม ๆ มีสาเหตุมาจากเชื้อราฟูซาเรียม (Fusarium) ที่มาพร้อมกับความชื้นที่มากเกินไป จนทำให้ต้นหญ้ากลายเป็นสีน้ำตาลในบริเวณกว้าง ซึ่งเราก็ควรแก้ปัญหาด้วยการใส่ปุ๋ยบำรุง และพยายามลดความชื้นด้วยการหาทางระบายน้ำให้ดินมากขึ้น อีกทั้งควรจะหายาฆ่าเชื้อรามาจัดการเสริมด้วยอีกแรง   6. มีใยสีเทาปกคลุมต้นหญ้า ในตอนเช้าหลังน้ำค้างตก อาจจะมีโอกาสได้เห็นทั้งหยดน้ำค้าง และใยสีเทาจาง ๆ บนยอดหญ้าพร้อม ๆ กัน แต่ใยที่ว่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีกับสุขภาพของสนามหญ้านัก เพราะถ้าปล่อยไว้ไม่รีบจัดการ ใยบาง ๆ สีเทาที่เป็นเชื้อรา ก็อาจจะลุกลามปกคลุมต้นหญ้าในบริเวณกว้างกว่านี้ ฉะนั้นจึงต้องรีบหายาฆ่าเชื้อรามาฉีดพ่น เพื่อกำจัดเชื้อราทั้งหมดให้เกลี้ยง   7. โคนต้นหญ้าเป็นสีส้มสนิม ต้นหญ้าที่มีสุขภาพไม่ดี มักจะดูออกได้ง่าย ๆ ที่โคนต้น หากลำต้นของต้นหญ้าแห้งเหี่ยว แถมที่โคนต้นยังมีสีส้มคล้าย ๆ สีสนิมเกาะอยู่ด้วย ก็แปลได้ว่า สนามหญ้าของคุณขาดน้ำในปริมาณที่พอเพียงแล้วล่ะ รวมทั้งปุ๋ยและสารอาหารก็มีไม่พอเช่นกัน ดังนั้นก็ควรรีบหาปุ๋ยมาใส่ และบำรุงดูแลด้วยการรดน้ำให้ชุ่มชื้นเสมอ นอกจากนี้ก็ควรตัดหญ้าบ่อย ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ต้นหญ้าได้ผลัดใบด้วย   8. หญ้าขึ้นเขียวชอุ่มล้อมต้นหญ้าที่ตายแล้ว หากเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นกับสนามหญ้าของคุณ ก็แสดงว่าพื้นดินบริเวณนั้นมีความชื้นมากเกินไป จนอาจจะมีเห็ดเติบโตขึ้นได้ และเราก็ควรปรับปรุงพื้นดินตรงนั้นให้อุดมสมบูรณ์ และร่วนซุยขึ้นอีกนิด ด้วยการใส่ปุ๋ยบำรุงลงไป จากนั้นก็ควบคุมความชื้นให้สม่ำเสมอประมาณ 3-5 วัน   9. สนามหญ้าแห้งตายขยายวงกว้าง ถ้าจู่ ๆ สนามหญ้าของคุณเริ่มกลายเป็นสีน้ำตาลมากขึ้นทุกที และขยายวงกว้างจนความสวยงามหายไปไม่มีเหลือ ให้ขุดดินตรงบริเวณที่เป็นปัญหาขึ้นมาสำรวจดูว่ามีเชื้อรา หรือแมลงอะไรมาก่อกวนสนามหญ้าของคุณหรือเปล่า ถ้ามีก็จัดการกำจัดให้สิ้นซาก โดยใช้ยากำจัดศัตรูพืชจำพวก Diazinon, Isofenphos หรือ Chlorpyrifos ซึ่งก่อนใช้ควรจะเช็กเรื่องความปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง เด็ก และคนชราก่อนด้วย หรือทางที่ดีแจ้งหน่วยงานหรือผู้เชี่ยวชาญมาทำให้ดีกว่าค่ะ   10. มีเห็ดขึ้นหลากหลายชนิด หลายคนอาจจะกุมขมับหากจะบอกว่าเห็ดเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำจัดออกยากที่สุดในบรรดาวัชพืชที่ขึ้นแซมมาในสนามหญ้า เพราะต้องใช้วิธีการดึงออกเท่านั้นจึงจะกำจัดได้ แต่นี่ก็เป็นเพียงวิธีการแก้ปัญหาชั่วคราว ดังนั้นทางที่ดีควรจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการจัดการระบบระบายน้ำให้ดี เพื่อเลี่ยงการสะสมความชื้น ต้นเหตุของเชื้อรา รวมทั้งกำจัดสารอินทรีย์ที่เน่าเปื่อย และตอไม้ออกจากสนามหญ้าด้วยค่ะ   11. น้ำท่วมขังในสนามหญ้า สาเหตุของการที่มีน้ำขังท่วมสนามหญ้ามีอยู่หลายปัจจัย ทั้งพื้นที่ต่ำเกินไป หรือฝนตามฤดูที่ตกชุก แต่ปัญหานี้ก็แก้ไม่ยาก แค่คุณลองหาไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นมาปลูกในสนามหญ้า เลือกเอาพันธุ์ที่ทนทานต่อสภาพน้ำท่วมขัง และดินที่แห้งแล้งด้วยก็ดี เช่น ต้นจั๋ง ต้นจันทร์ผา หรือหมากเหลือง เป็นต้น ปลูกต้นไม้เอาไว้แบบนี้ ก็จะช่วยให้น้ำที่ท่วมขังอยูในสนามหญ้า ค่อย ๆ ถูกดูดซึมจนหมดไปได้เองจ้า   จะว่าไปปัญหาสนามหญ้าก็จุกจิกพอตัวเลยนะคะ แต่ถ้าเรามีวิธีจัดการดูแลอย่างดีจะกี่ปัญหาก็เหมือนจะไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นแค่อุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราต้องปัดเป่าให้หมดไป เพื่อที่สนามหญ้าของเราจะได้เขียวชอุ่มสุดเพอร์เฟคท์อย่างที่ตั้งใจไว้จ้า   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.kapook.com
9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว

9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว

บ้านร้อนอบอ้าวทำไงดี แก้ปัญหาได้ง่าย ๆ ด้วย 9 ไอเดียแต่งบ้านรับซัมเมอร์ ที่จะทำให้บ้านเย็นสดชื่น ไม่อบอ้าว อยู่ในบ้านได้สบาย ๆ ไม่ต้องหาเรื่องออกไปเที่ยข้างนอก อย่างที่รู้ ๆ กันว่าประเทศของเราเป็นเมืองร้อนอยู่แล้ว พอย่างก้าวเข้าสู่ฤดูร้อนทีไรอากาศก็จะยิ่งทวีความร้อนให้เพิ่มพูนขึ้นไปอีก วันนี้เราเลยขอนำ 9 ไอเดียแต่งบ้านหน้าร้อนที่จะช่วยลดอุณหภูมิภายในและทำให้บ้านเย็นสบายขึ้นไม่ต้องหนีบ้านร้อน ๆ เพื่อดอดไปตากแอร์เย็น ๆ ที่ห้างอีกต่อไป แล้วจะมีวิธีไหนที่น่าสนใจนำมาใช้กับที่บ้านได้บ้างนั้นก็ตามไปไปดูกันเลยยย.. 1. ติดกันสาดกันแดด ในเมื่อเราไม่สามารถหลบเลี่ยงบ้านจากแสงแดดได้ การติดตั้งกันสาดช่วยลดความร้อนได้ โดยควรจะติดไว้บริเวณทิศตะวันตก ทิศตะวันออก และทิศใต้ เนื่องจากทั้ง 3 ทิศที่ว่ามานี้เป็นทิศที่มักจะมีแสงส่องเข้ามาเลยทำให้บ้านยิ่งร้อนหนักหากไม่มีอะไรมาบัง ถ้าจะให้ดีควรเลือกกันสาดชนิดโพลีไวนิลคลอไรด์และแบบวัสดุสังเคราะห์ เพราะจะทนทานสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่าวัสดุชนิดอื่น ๆ และช่วยให้บ้านเย็นได้มากกว่า 2. ใช้หลังคาป้องกันความร้อน การเลือกหลังคาก็เป็นสิ่งสำคัญ หากไม่อยากให้บ้านร้อนระอุในหน้าร้อน ควรเลือกหลังคาที่มีสารเคลือบเซรามิคโค้ทติ้ง ซึ่งจะช่วยปกป้องและสะท้อนความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ดี หรืออีกหนึ่งวิธีก็คือใช้สีขาวทาหลังคาบ้าน เพราะสีขาวจะช่วยสะท้อนความร้อนและไม่อมความร้อนไว้เหมือนหลังคาสีเข้ม 3. ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา สังเกตไหมว่าต่อให้แดดจะร้อนแรงสักแค่ไหน แต่ถ้ามีต้นไม้ช่วยบังแสงไว้ก็จะทำให้บริเวณนั้นเย็นขึ้นมาทันที ดังนั้นเพื่อช่วยในการบังแสงและให้ร่มเงาแก่บ้าน ควรเลือกต้นไม้ที่สูงสักประมาณ 12 เมตร มาปลูกไว้ทางทิศใต้ และนำต้นไม้สูง 18 เมตรมาปลูกไว้ทางทิศตะวันตก นอกจากจะบังแสงได้แล้ว วิธีนี้ยังช่วยประหยัดพลังงาน ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ต้องทำงานหนัก เพราะอุณหภูมิภายในลดลงนั่นเอง 4. เปิดหน้าต่างระบายอากาศ ถ้าอากาศในภายบ้านแลดูร้อนอบอ้าวไปซะทุกพื้นที่ ให้เปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้ให้ลมโกรก เพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก โดยเมื่ออากาศจากด้านนอกจะเข้ามาภายในบ้าน มันก็จะดันอากาศร้อนที่อยู่ภายในบ้านให้ลอยตัวสูงและไหลออกไป ช่วยระบายความร้อนอบอ้าว ทำให้บ้านเย็นสบายไม่อึดอัด 5. ติดพัดลมเพดาน หลายคนอาจจะคิดว่าพัดลมเพดานนั้นไล่ความร้อนได้ช้า ไหนจะอยู่ไกลตัวจนไม่สามารถนำมาเปิดจ่อลมได้โดยตรงอย่างพัดลมตั้งพื้นทั่วไปอีก แต่ที่จริงแล้วพัดลมเพดานนี่แหละที่เหมาะกับการใช้งานในฤดูร้อนมากที่สุด เพราะมันจะดูดเอาความร้อนจากพื้นให้ลอยตัวสูงขึ้นและปล่อยให้อากาศเย็นสบายไหลเข้ามาแทนที่ ทำให้อุณหภูมิบริเวณนั้นเย็นสบายยังไงล่ะ 6. เลี่ยงการปูพรม พรมนี่แหละที่เป็นตัวการกักเก็บความร้อนเอาไว้ในบ้าน หากไม่อยากให้บ้านยิ่งร้อนหนัก เลือกปูด้วยไม้หรือกระเบื้องจะทำให้บ้านเย็นกว่า เพราะเป็นวัสดุที่ไม่อมความร้อน แต่ถ้ายังตัดใจจากพื้นพรมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่เลือกพรมที่ทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น คอตตอนหรือขนสัตว์ เพราะทั้ง 2 วัสดุนี้จะช่วยกักเก็บความชื้นในอากาศไว้ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ทำให้บ้านร้อนและชื้นแต่อย่างใด 7. เลือกใช้หลอด LED หลอดไฟที่ติดตั้งอยู่ภายในบ้านก็เป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญที่ทำให้บ้านร้อนจากภายใน ดังนั้นควรจะหันมาใช้หลอดแอลอีดี (LED) เพราะหลอดไฟชนิดนี้จะปล่อยพลังงานความร้อนออกมาน้อยกว่าหลอดชนิดอื่น ๆ แสงก็ดูเย็นสบายตา ไม่ทำให้รู้สึกร้อนเหมือนหลอดฟลูออเรสเซนต์ทั่วไป แถมคุณภาพของแสงสว่างก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานอีกด้วยล่ะ 8. ทาผนังด้วยสีโทนเย็น โทนสีที่ใช้ตกแต่งภายในบ้านก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรจะเลือกโทนสีสว่าง ๆ ที่ดูเย็นสบายตา อย่าง สีขาว สีมุก สีครีม และสีฟ้า หรือใช้ของตกแต่งที่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ ก็จะช่วยปรับอากาศในบ้านให้เย็นสบาย ไม่ร้อนตามอากาศภายนอก 9. ติดพัดลมอากาศในห้องน้ำ หากทำตามมาทุกวิธีแล้วสังเกตว่าบ้านยังร้อนอยู่เลย ให้ติดตั้งพัดลมดูดอากาศในห้องน้ำเพิ่มไปอีกตัว และเปิดพัดลมดูดอากาศพร้อมกับเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้ หรือจะเปิดพัดลมเพดานที่ห้องข้าง ๆ ไว้ด้วยก็ได้ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยดูดให้ความร้อนออกไปได้เร็วกว่าเดิม ทำให้บ้านเย็นสบายขึ้นเยอะเลย ต่อให้อากาศจะร้อนกว่านี้อีกสักเท่าไร แต่ถ้านำไอเดียแต่งบ้านในหน้าร้อนที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไปใช้ รับรองได้เลยว่าอุณหภูมิในบ้านจะลดลงไปได้เยอะเลย ไม่ต้องทนร้อน นอนทรมานอยู่กับความอบอ้าวอีกต่อไป   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  https://home.kapook.com/view168042.html
มันมากับหน้าฝน ตะขาบเข้าบ้านทำอย่างไรดี

มันมากับหน้าฝน ตะขาบเข้าบ้านทำอย่างไรดี

บ้านหลายหลังเจอปัญหาตะขาบเข้าบ้าน สร้างความรำคาญและน่าขนลุกขนพอง แต่หากคุณรู้วิธีจัดการกับตะขาบ ปัญหานี้ก็ไม่รบกวนคุณ ตะขาบชอบอยู่ในที่ชื้น ห้องที่มีความชื้น อย่างเช่นห้องใต้ดิน และห้องน้ำนั้น เป็นที่เหมาะสำหรับพวกมัน ตะขาบเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว และชอบออกมาในตอนกลางคืน แต่ทราบหรือไม่ว่ามีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เราไม่ควรจะไปยุ่งกับมัน เพราะตะขาบช่วยฆ่าแมลงชนิดอื่น แน่นอนว่าในบ้านของเรานั้น มีแมลงอยู่หลายชนิดทั้งแมลงสาบ แมลงเม่า แมลงวัน และปลวก แมลงเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นที่รังเกียจสำหรับเราทั้งนั้น ซึ่งตะขาบแม้จะมีรูปร่างที่น่าเกลียดแต่มันก็ช่วยจัดการแมลงเหล่านี้ให้เรา นอกจากนี้ ตะขาบยังไม่เป็นพาหะนำเชื้อโรค ไม่ได้ทำให้เครื่องเฟอร์นิเจอร์ไม้เสียหาย ไม่ยุ่งกับอาหารของมนุษย์ มันเป็นแค่แมลง แต่ทั้งนี้ เราอาจจะเคยได้ยินมาว่า เราไม่ควรจับตะขาบด้วยมือเปล่า เพราะมันมีพิษ ซึ่งแน่นอนว่า เราอาจจะถูกมันกัด แม้พิษของมันจะไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องไปสัมผัสมัน แต่หากต้องการนำมันออกไปให้พ้น ก็เพียงแค่กวาดใส่ที่ตักผง แล้วนำไปปล่อยข้างนอกบ้านก็พอแล้ว และสำหรับผู้ที่ต้องการจะป้องกันไม่ให้ตะขาบเข้าบ้าน ก็มีวิธีเช่นกันคือ ปิดช่องทางต่าง ๆ ที่จะทำให้ตะขาบเข้ามาในตัวบ้านได้ กำจัดแมลงภายในบ้านที่เป็นอาหารของตะขาบ ใช้อุปกรณ์ป้องกัน หรือดูดความชื้นภายในบ้าน ติดตั้งพัดลมดูดอากาศในห้องน้ำเพื่อระบายความชื้น จุดที่มีรอยแยกรอยแตกตามบ้าน ให้ปิดให้หมด เพราะตะขาบมักจะไปวางไข่ตามช่องเหล่านั้น กำจัดของที่มีความเปียกชื้น ไม่นำเอาของเหล่านั้นเข้ามาในตัวบ้าน   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.sanook.com
เทคนิคใช้ไฟฟ้าอย่างไรให้ปลอดภัยในหน้าฝน

เทคนิคใช้ไฟฟ้าอย่างไรให้ปลอดภัยในหน้าฝน

เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากฝนตกฟ้าคะนองจะทำให้การเดินทางไปไหนมาไหนลำบากแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่อยากให้ทุกคนคำนึงถึงนั่นคือ การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วงหน้าฝน หรือฝนตกหนัก เพราะฤดูฝนแบบนี้มักเกิดเหตุไฟดูด ไฟช็อตได้บ่อยครั้ง มาดูกันว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ควรระมัดระวัง 1.ระมัดระวังเวลาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่วางไว้ในที่ชื้น มีเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภทมักตั้งอยู่ในบริเวณที่มีความชื้นเช่นปั๊มน้ำ เครื่องซักผ้า ดังนั้นเวลาใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ควรเพิ่มความระมัดระวัง สวมรองเท้าก่อนเข้าไปสัมผัสหรือใช้งานเพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่ว 2.ไม่ควรใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าขณะตัวเปียก เรื่องนี้เรารู้กันอยู่แล้ว แต่บางครั้งอาจหลงลืม หลายๆ คนพอตัวเปียกฝน หรือชื้นๆ มาจากนอกบ้าน พอเข้ามาในบ้านอาจเผลอตัวไปสัมผัสปลั๊กไฟ หรือบางคนชอบใช้ไดรฟ์เป่าผมหลังสระผมใหม่ๆ ซึ่ง ไม่แนะนำให้ทำแบบนั้น เนื่องจากหากเกิดไฟรั่วกระแสไฟจะผ่านร่างกายได้สะดวกขึ้น และเมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าช็อตเราควรทำอย่างไร 1.ห้ามเข้าไปช่วยผู้ถูกไฟฟ้าช็อต จนกว่าจะแน่ใจว่าผู้บาดเจ็บไม่ได้สัมผัสกับสายไฟฟ้าหรือตัวนำไฟฟ้าใดๆ ถ้าจำเป็นต้องหาวัสดุที่เป็นฉนวนไม่นำกระแสไฟฟ้า เช่นไม้ หรือผ้ามาเขี่ยสายไฟออกจากผู้บาดเจ็บก่อน 2.ถ้าผิวหนังผู้ที่จะช่วยเปียกชื้น ห้ามเข้าไปช่วยเพราะยิ่งเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าและอาจถูกไฟฟ้าดูดได้ วิธีป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด หมั่นตรวจเช็คอุปกรณ์และสายไฟ และควรซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด บริเวณที่วางสายไฟไม่ควรให้สิ่งของที่หนักไปทับ และวางให้พ้นทางเดิน เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ควรเปียกน้ำ ห้ามซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเองโดยที่ไม่มีความรู้ ไม่ควรใช้ไฟฟ้าหลายอย่างกับปลั๊กไฟตัวเดียว ต่อสายดินเพื่อให้ไฟลงดิน และควรติดตั้งเครื่องตัดไฟฟ้าลัดวงจรภายในบ้าน เพื่อความปลอดภัยและเป็นการป้องกันที่ดี สิ่งเหล่านี้สามารถป้องกันได้ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายที่รุนแรง   ขอขอบคุณข้อมูลจาก คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล home.sanook.com
9 พันธุ์ไม้ที่คุณสามารถปลูกได้ในคอนโด

9 พันธุ์ไม้ที่คุณสามารถปลูกได้ในคอนโด

หลายๆ คนคงเคยมีความเชื่อว่า การปลูกต้นไม้ในห้องของเราจะเป็นอันตราย เพราะต้นไม้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในเวลากลางคืน แต่มีนักวิชาการที่มีความรู้เรื่องเกี่ยวกับต้นไม้ได้ออกมาแย้งว่า ต้นไม้บางชนิดสามารถปล่อยก๊าซออกซิเจนในตอนกลางคืน ยิ่งไปกว่านั้นบางชนิดยังสามารถฟอกอากาศได้ด้วย วันนี้เราเลยนำ 9 พันธุ์ไม้ที่คุณสามารถปลูกได้ในคอนโดมาให้ดูกันครับ 1. ลาเวนเดอร์ : กลิ่นของลาเวนเดอร์ทำให้รู้สึกผ่อนคลายยามนอนหลับ ลดความวิตกกังวล ลองใส่ดอกลาเวนเดอร์แห้งในแจกันแล้วตั้งไว้บริเวณหัวเตียง ก็สามารถช่วยให้หลับสบายขึ้นได้ 2. ว่านหางจระเข้ : นอกจากสรรพคุณด้านการรักษาแผลแล้ว ว่านหางจระเข้ยังช่วยดูดสารเคมีต่างๆ ทำให้อากาศบริสุทธิ์ อีกทั้งยังปลูกง่ายและไม่ต้องดูแลมากด้วย 3. ตีนตุ๊กแกฝรั่ง : ไม้ประดับที่นิยมปลูกในกระถางแขวนเพื่อความสวยงาม จัดเป็นพืชอันดับหนึ่งเรื่องการดูดซับสารพิษ ลดปัญหาด้านระบบหายใจ หรือหอบหืด จากการศึกษาพบว่าพืชชนิดนี้ช่วยลดเชื้อราในอากาศได้ถึง 94% สรรพคุณมาเต็มขนาดนี้ พลาดไม่ได้แล้วล่ะ 4. มะลิ : โดยทั่วไปหลายคนคงชินกับการปลูกมะลิไว้นอกบ้าน แต่จริงๆแล้วมะลิสามารถปลูกไว้ในบ้านได้ กลิ่นของดอกมะลิช่วยให้รู้สึกสบายและสดชื่น แถมยังมีงานวิจัยพบว่ากลิ่นของมะลิช่วยให้ความจำดีอีกด้วย 5. ลิ้นมังกร : พันธุ์ไม้ยอดฮิตสำหรับการปลูกในบ้าน เนื่องจากดูแลง่ายและทนทาน นอกจากคุณสมบัติในการคายออกซิเจนและดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในเวลากลางคืนแล้ว พันธุ์ไม้ชนิดนี้ยังช่วยลดปัญหาทางระบบหายใจและอาการปวดศีรษะได้อีกด้วย 6. เดหลี : ไม้ประดับที่โดดเด่นด้วยดอกสีขาวสวยงามแถมด้วยความสามารถในการดูดสารพิษ เหมาะแก่การประดับไว้ในห้องนั่งเล่น เดหลีเป็นหนึ่งในไม้ประดับจำนวนน้อยที่สามารถออกดอกได้แม้อยู่ในอาคาร ใครที่ชื่นชอบไม้ดอก เดหลีเป็นตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว 7. บอสตันเฟิร์น : สำหรับคอนโดที่มีพื้นที่ไม่มาก การปลูกไม้ในกระถางแขวนคงจะเป็นทางเลือกแรกๆ บอสตันเฟิร์นเป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกในกระถางแขวน พร้อมทั้งสรรพคุณการดูดซับสารพิษในอากาศอีกเช่นกัน ทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับอากาศภายในห้องได้ด้วย 8. โรสแมรี่ : พืชสมุนไพรชนิดนี้มีจุดเด่นที่กลิ่นหอมสดชื่น ทำให้คุณภาพอากาศภายในห้องดีขึ้น สำหรับใครที่ชื่นชอบในการทำอาหาร คงจะถูกใจพืชชนิดนี้เป็นพิเศษ เพราะโรสแมรี่เป็นส่วนประกอบที่นิยมในการทำซอสต่างๆ 9. เศรษฐีเรือนใน : แค่ชื่อก็เป็นมงคลแล้ว ถ้านำไปไว้ในห้องนอน ช่วยเพิ่มความสวยงามในห้องได้ เพราะใบของต้นเศรษฐีเรือนในมีความสวยงามมาก เป็นริ้วสีขาว และมีสีเขียวอยู่ขอบใบ  อีกทั้งยังสามารถฟอกอากาศได้ดีอีกด้วย   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.sanook.com
ลดความร้อนที่ผนังก่ออิฐฉาบปูนได้อย่างไรบ้าง

ลดความร้อนที่ผนังก่ออิฐฉาบปูนได้อย่างไรบ้าง

การลดความร้อนที่ผนังบ้าน นับเป็นอีกหนึ่งในองค์ประกอบของการทำบ้านเย็น และบ้านประหยัดพลังงาน สำหรับเมืองร้อน  โดยหลักแล้วการทำให้ผนังบ้านร้อนน้อยลงมีอยู่ 2 วิธี  วิธีแรกเป็นการ “ปกป้องผนังจากแสงแดด” กับอีกวิธีคือ “ทำให้ผนังกันความร้อนได้มากขึ้น” การปกป้องผนังจากแสงแดดทำได้โดยสร้างร่มเงาเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ ติดตั้งหลังคากันสาด   แผงบังแดด  ระแนงกันแดด เป็นต้น ภาพ: แผงบังแดดตามทิศต่างๆ ของบ้าน ส่วนการทำให้ผนังกันความร้อนได้มากขึ้นนั้น โดยทางทฤษฎีก็คือ การเพิ่ม “ค่ากันความร้อน” ให้กับผนัง  ซึ่งจะทำให้ความร้อนผ่านผนังเข้ามาในบ้านได้น้อยลง ค่ากันความร้อนของวัสดุจะวัดเป็นตัวเลขได้ในรูปของ  ค่า R (มีหน่วยเป็น m2K/W) โดยค่า R ยิ่งสูงยิ่งกันความร้อนได้มาก ปกติแล้วผนังก่ออิฐมอญฉาบปูน 2 ด้าน หนา 10 ซม. จะมีค่า R = 0.3 m2K/W  ทั้งนี้การนำวัสดุอื่นๆ ที่ช่วยกันความร้อนได้มาติดตั้งกับผนังก่ออิฐฉาบปูน ไม่ว่าจะเป็น แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ ไม้ฝา ฉนวนกันความร้อนใยแก้ว ก็จะทำให้ค่า R ของผนังเพิ่มขึ้น ภาพ: ค่า R ของระบบผนังต่างๆ วิธีที่แนะนำทั่วไปในการเพิ่มค่ากันความร้อนให้กับผนังบ้านที่เป็นก่ออิฐฉาบปูน คือ การติดตั้งฉนวนกันความร้อนใยแก้ว ไว้ที่ผนัง โดยมีขั้นตอนคือ ให้ตีโครงคร่าวเหล็กกล่องบนผนัง แล้วนำฉนวนกันความร้อนใยแก้วติดตั้งระหว่างช่องโครงคร่าว จากนั้นปิดทับด้วยไม้ฝา ไม้เทียม หรือวัสดุแผ่นอย่างแผ่นยิปซั่ม (เฉพาะกรณีติดตั้งฝั่งภายในบ้าน) แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ แผ่นไม้อัดซีเมนต์ การติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่ผนังนั้น จะติดตั้งไว้ฝั่งภายนอกบ้านหรือภายในบ้านก็ได้  หากเลือกติดตั้งฝั่งภายในบ้าน ความหนาของฉนวนและวัสดุปิดทับจะทำให้พื้นที่ในบ้านลดลง แต่ก็มีข้อดีคือ สามารถเลือกใช้วัสดุปิดทับได้หลากหลายและมีลูกเล่นเยอะกว่าการติดตั้งฉนวนไว้ภายนอกซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องวัสดุปิดทับที่ต้องทนแดดทนฝน และยังต้องป้องกันไม่ให้น้ำรั่วไหลเข้าไปในผนังได้ ภาพ: การติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่ผนังด้านนอก และปิดทับด้วยไม้ฝาแนวนอน ภาพ: กรณีเป็นผนังด้านใน จะสามารถติดตั้งไม้ฝาในแนวตั้งได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำรั่วเข้าในผนัง บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​ 
ผนัง Precast สามารถเจาะเพิ่มช่องประตูหรือหน้าต่างได้หรือไม่

ผนัง Precast สามารถเจาะเพิ่มช่องประตูหรือหน้าต่างได้หรือไม่

“Precast Concrete” ระบบผนังคอนกรีตสำเร็จรูปที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในวงการก่อสร้างปัจจุบัน โดยเฉพาะโครงการหมู่บ้านและคอนโดมิเนียมต่างๆ ด้วยความที่ช่วยประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนในการก่อสร้างได้พอสมควร แต่สำหรับผู้อยู่อาศัยที่เมื่อใช้ชีวิตอยู่ในบ้านไปสักระยะหนึ่งแล้ว หากต้องการปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยบางส่วนที่ส่งผลให้ต้องเจาะผนังเพิ่มเพื่อขยายขนาดช่องเปิดหรือเพิ่มช่องประตูหน้าต่างใหม่ด้วยแล้ว อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ภาพ:  กระบวนการผลิตชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูปที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ มีความถูกต้องแม่นยำทั้งเรื่องตำแหน่งและขนาดช่องเปิดจากโรงงาน พร้อมบริการขนส่งไปยังไซต์งานบ้านลูกค้า ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า Precast เป็นผนังคอนกรีตเสริมเหล็กหล่อสำเร็จที่ขึ้นรูปมาจากโรงงานพร้อมติดตั้งที่หน้างานจริง ทำหน้าที่เป็นผนังรับน้ำหนักโดยไม่ต้องมีโครงสร้างเสาคานมารองรับ มีช่องประตูหน้าต่างที่เจาะสำเร็จมาจากโรงงาน ส่วนที่ไม่ได้เจาะช่องเปิดนั้นจะมีเสาเหล็กเดินอยู่ภายในตามจำนวนและขนาดที่วิศวกรได้คำนวณไว้เพื่อให้สามารถรับน้ำหนักบ้านทั้งหลังได้อย่างแข็งแรง การเจาะผนังบางส่วนออกจึงอาจจะเจอเหล็กเส้นที่เดินอยู่ภายในผนังนั้นๆ และการจะตัดเหล็กบางส่วนออกก็จะมีผลกระทบกับโครงสร้างโดยรวมทั้งหลังได้ จึงไม่แนะนำให้เจาะช่องเปิดเพิ่มเพื่อทำประตูหน้าต่าง แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องทำจริงๆ ก็ควรปรึกษาวิศวกรโครงการเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้ ภาพ:  ผนังสำเร็จรูป Precast เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างบ้าน ภาพซ้าย: ผนัง Precast ซึ่งทำหน้าที่เป็นผนังรับน้ำหนัก  ภาพขวา: ผนังก่ออิฐฉาบปูน ดังนั้นเมื่อเราตัดสินใจจะซื้อบ้านสักหลัง นอกจากรูปแบบที่ใช่ สไตล์ที่ชอบ ฟังก์ชันใช้สอยภายในบ้านตอบโจทย์เราได้ดีแล้ว ยังควรศึกษาเพิ่มเติมว่าบ้านที่เราจะซื้อเป็นระบบใด เพราะหากโครงการบ้านจัดสรรก่อสร้างด้วยระบบ Precast การจะเปลี่ยนจะปรับหรือจะเจาะช่องเปิดเพิ่มคงไม่ง่ายนัก และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องคำนึงคือบ้านต้องมีการก่อสร้างที่ได้มาตรฐาน แข็งแรงทนทาน ให้เราสามารถอาศัยอยู่ได้อย่างสบายใจตราบนานเท่านาน บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​ 
หน้าต่างวงกบและบานกรอบไม้ไม่เก็บเสียง แก้ไขอย่างไร?

หน้าต่างวงกบและบานกรอบไม้ไม่เก็บเสียง แก้ไขอย่างไร?

สำหรับบ้านเก่าที่ใช้ประตูหน้าต่างไม้ไม่ว่าจะเป็นบานเปิด บานติดตาย หรือบานเกล็ดนั้น ส่วนใหญ่จะมีปัญหาเสียงเล็ดลอด สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะประตูหน้าต่างไม้รุ่นเก่ามักไม่มีขอบยางกันเสียงที่ช่วยให้ปิดได้มิดชิด (ต่างกับประตูหน้าต่างอะลูมิเนียม ไวนีล และหน้าต่างไม้บานติดตายแบบใหม่ที่มีการใช้ซิลิโคนยิงวงกบไม้เข้ากับกระจก)  วิธีที่ช่วยลดเสียงรบกวนได้คือการทำให้รอยต่อมิดชิดมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการเสริมเส้นยางตลอดแนววงกบ  หรือติดตั้งไม้ชิ้นบังช่องรอยต่อหน้าต่าง ภาพ: การทำรอยต่อบริเวณหน้าต่างให้มิดชิดเพื่อป้องกันเสียง อีกปัจจัยที่ทำให้เสียงรบกวนลอดเข้ามาในบ้านคือ “สภาพของหน้าต่าง” เนื่องจากไม้เป็นวัสดุที่ยืดหดและผุพังได้ง่ายจากสภาวะอากาศ ทั้งแดด ฝน ความชื้น และยังเป็นอาหารของปลวกอีกด้วย เมื่อใช้งานไปนานจึงมักเกิดรอยผุหรือรอยแยกเป็นช่องทางให้เสียงจากภายนอก ลอดเข้ามารบกวน และยังทำให้อากาศในบ้านรั่วไหลออกได้จนทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้น สำหรับวิธีแก้ไข   กรณีเกิดรอยรั่วตามรอยต่อระหว่างวงกบไม้กับผนังให้อุดด้วยวัสดุยาแนว เช่น โพลียูริเทน อะคริลิก เป็นต้น หากเป็นรอยผุหรือรอยรั่วเพียงเล็กน้อยตามชิ้นวงกบหรือบานกรอบไม้ สามารถซ่อมแซมโดยใช้กระดาษทรายหรือแปรงขัดบริเวณรอยผุพังให้เรียบ แล้วอุดด้วยวัสดุโป๊วก่อนจะแต่งผิวและทาสีทับให้ดูเรียบเนียนไปกับเนื้อไม้ (หากวัสดุอุดโป๊วผสมสีมาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องทาสี) หรือจะใช้อีกวิธีคือตัดชิ้นไม้มาเปลี่ยนแทนส่วนที่ผุพังตามความเหมาะสม   ในขณะเดียวกัน หากวงกบหรือบานกรอบไม้อยู่ในสภาพไม่เหมาะจะซ่อม  เช่น  ผุพังมาก เป็นเชื้อรา หรือกรณีหน้าต่างเดิมเป็นบานเกล็ดซึ่งเสียงลอดเข้าตามรอยต่อกระจกได้ง่าย  อาจลองพิจารณาเปลี่ยนหน้าต่างใหม่โดยเลือกติดตั้งหน้าต่างกันเสียง  อย่างหน้าต่างไวนีลที่มีระบบ Multiple Lock พร้อมยางกันเสียงซีลรอบบาน เป็นต้น   ภาพ: หน้าต่างไวนีล ที่มีลักษณะช่วยกันเสียงรบกวนจากภายนอก   สำหรับบ้านก่ออิฐฉาบปูน การเปลี่ยนบานหน้าต่างพร้อมบานกรอบไม้อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าต้องเปลี่ยนวงกบ ด้วยจะยุ่งยากและใช้เวลามากกว่า เพราะโดยธรรมชาติของวัสดุปูนจะยึดกับวงกบไม้อย่างแน่นหนา จึงรื้อถอนได้ยากและมักทำให้ผนังเสียหายจนต้องซ่อมแซม โดยต้องรอให้ปูนแห้งอีกอย่างน้อย 1 วัน ก่อนจะติดตั้งวงกบตามด้วยบานหน้าต่างใหม่ได้ ดังนั้นในการเปลี่ยนวงกบไม้สำหรับบ้านก่ออิฐฉาบปูน เจ้าของบ้านควรให้ความสำคัญในการเลือกทีมช่างที่มีความชำนาญและประณีตมาเป็นผู้ดำเนินงานรื้อถอนและติดตั้ง   บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​                   
เมื่อชักโครก น้ำรั่วไม่หยุด ต้องแก้ไขอย่างไร?

เมื่อชักโครก น้ำรั่วไม่หยุด ต้องแก้ไขอย่างไร?

เคยมั้ย…ที่แม้ไม่ได้ใช้น้ำหรือใช้งานโถสุขภัณฑ์ แต่มิเตอร์หรือปั๊มน้ำก็ทำงานไม่ยอมหยุด หรือบางครั้งได้ยินเสียงน้ำไหลในโถสุขภัณฑ์ตลอดเวลา หากเจอกับปัญหานี้ มีวิธีเช็คและแก้ไขเบื้องต้นด้วยตนเองไม่ยาก เมื่อชักโครก น้ำรั่ว ให้เริ่มจากสังเกตลูกลอยว่ามีปัญหาเหล่านี้หรือไม่ ระดับลูกลอย ว่าอยู่สูงหรือต่ำกว่าปกติหรือไม่ หากลูกลอยอยู่สูงกว่าปกติ คืออยู่สูงกว่าระดับน้ำล้นในโถกักเก็บน้ำ แสดงว่าน็อตบางตัวหลวมหรือคลายตัว ให้แก้โดยปรับลูกลอยให้ต่ำลงและทำการขันน็อตให้แน่น หากลูกลอยลดระดับลงต่ำผิดปกติหรือลูกลอยจมน้ำ ให้ถอดลูกลอยออกมาดูว่าเกิดรอยรั่วหรือการแตกร้าวหรือไม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้น้ำซึมเข้าไปในลูกลอย ทำให้น้ำไหลออกทางรูน้ำล้นลงโถสุขภัณฑ์ตลอดเวลา ซึ่งควรแก้ไขโดยขันสกรูเอาลูกลอยออกแล้วเปลี่ยนอันใหม่แทน ลูกลอยเสีย ให้ลองยกลูกลอยขึ้นสุด หากน้ำยังคงไหลอยู่ แสดงว่าลูกลอยเสีย ให้เปลี่ยนลูกลอยใหม่ ภาพ: ชื่อเรียกส่วนประกอบต่างๆ ในหม้อน้ำของโถสุขภัณฑ์ สังเกต ลูกกบ (ที่หน้าที่ปิดเปิดรูปล่อยน้ำให้ไหลลงสุขภัณฑ์) และ ยางลูกกบ (แผ่นยางปิดรูปล่อยน้ำ ทำหน้าที่ซีลหรืออุดร่องระหว่างลูกกบและช่องเปิดปิดน้ำให้แน่นแนบสนิทมากขึ้น) ลูกกบถูกเปิดง้างทิ้งไว้หรือไม่ โดยดูว่าอาจเพราะมีวัตถุบางอย่างติดค้างทำให้ปิดไม่สนิทจนน้ำไหลทิ้ง แก้โดยเอาวัตถุนั้นออกหรือเช็ดทำความสะอาด หากไม่มีวัตถุผิดสังเกตที่ว่า ให้ดูว่าโซ่หรือเชือกที่ดึงเพื่อเปิดปิดน้ำนั้นตึงเกินไปจนทำให้ลูกกบเปิดค้างไว้หรือไม่ แก้โดยปรับสายให้พอดี ไม่ให้ตึงหรือหย่อนเกินไป ลูกกบชำรุดหรือฉีกขาด ต้องทำการเปลี่ยนใหม่ทันที สำหรับลูกกบใหม่ลองนำมาวางปิดรูปล่อยน้ำก่อน ว่าสามารถปิดรูปล่อยน้ำได้สนิทดีหรือไม่ จึงค่อยยึดเข้ากับโซ่หรือเชือกดึง แผ่นยางลูกกบ หรือยางซีลลูกกบปิดไม่สนิท  มักเกิดจาก ข้อแรก มีตะไคร่หรือคราบสกปรกเกาะอยู่ แนะนำให้ถอดออกมาทำความสะอาดและติดตั้งกลับเข้าไปใหม่ ข้อสอง เสื่อมสภาพหรือชำรุด ไม่ว่าจะเป็นลักษณะภายนอกที่ผิดปกติ บิดเบี้ยว บวม เปื่อย หรือขาด ทำให้ยางปิดไม่สนิทดี แนะนำให้เปลี่ยนแผ่นยางใหม่ ภาพ: ลูกกบ และ ยางลูกกบ บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​  รวมวิธีซ่อมแซมบ้านได้ด้วยตัวเอง ซ่อมแซมห้องน้ำใหม่อย่างไร ให้รวดเร็ว จบงานภายใน 1 วัน! วิธีแก้ปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้าบ้าน สาเหตุและวิธีรับมือปัญหารั่วซึมจากพื้นห้องน้ำ
ฟ้าใสหลังฤดูฝนผ่านไป ก็ได้เวลารีโนเวทบ้าน

ฟ้าใสหลังฤดูฝนผ่านไป ก็ได้เวลารีโนเวทบ้าน

บ้านของเรามักเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นสภาพที่ดูทรุดโทรมลง ส่วนประกอบต่างๆ เสื่อมชำรุดต้องซ่อมแซม อยากเปลี่ยนบรรยากาศหรือปรับพื้นที่เพื่อรองรับการใช้สอยซึ่งต่างไปจากเดิม การรีโนเวทบ้านจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อยู่เสมอ ทั้งนี้ หลังฤดูฝนนับเป็นอีกช่วงเวลาที่เหมาะกับการรีโนเวทบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมบ้าน ปรับปรุงบ้านและอาจรวมถึงการต่อเติมบ้าน ด้วยดินฟ้าอากาศที่เป็นใจ เอื้ออำนวยต่อทั้งการทำงาน การขนส่ง และการจัดเก็บวัสดุ รีโนเวทตรวจซ่อมบ้านหลังหน้าฝน คงมีเจ้าของบ้านจำนวนไม่น้อยที่อยากจะจัดการปัญหารั่วซึม ซึ่งก่อกวนใจตลอดช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา โดยเฉพาะปัญหาหลังคาบ้านรั่ว หากเป็นหลังคาดาดฟ้าคอนกรีตมักหาจุดรั่วซึมได้ง่าย ถ้าเป็นรอยรั่วซึมขนาดเล็กก็สามารถสกัดและอุดซ่อมด้วยปูน Non-Shrink Grout ได้ แต่หากรอยแตกร้าวมีขนาดใหญ่เสียหายมากจนเหล็กเสริมเป็นสนิมขุม ควรปรึกษาวิศวกรเพื่อหาทางแก้ไขที่ปลอดภัย สำหรับหลังคารูปทรงต่างๆ ที่ไม่ใช่หลังคาดาดฟ้าคอนกรีตนั้น ให้ลองหาจุดรั่วซึมเบื้องต้นโดยเปิดฝ้าเพดานแล้วมองหาจุดที่แสงลอดเข้ามาได้ หากไม่พบให้ลองสังเกตคราบน้ำตามโครงสร้างเพื่อย้อนไปหาตำแหน่งรั่วซึมที่แท้จริง (บางครั้งอาจมาจากหลังคาทาวน์โฮมเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน) ปัญหาหลังคาบ้านรั่วลักษณะนี้ มักต้องพึ่งผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบหาวิธีแก้ไข ซ่อมแซม หรือปรับปรุงที่เหมาะสม ภาพ: ปัญหาหลังคาบ้านรั่ว อาจเกิดจากกระเบื้องหลังคาแตกร้าว หลุดเผยอ หรือรั่วซึมตามรอยต่อต่างๆ ของหลังคาดังภาพ รอยร้าวตามผนังก็เป็นอีกช่องทางให้น้ำรั่วซึมเข้าบ้านได้ ส่วนใหญ่มักพบบริเวณประตูหน้าต่าง หากเป็นรอยร้าวผนังรอบวงกบ สามารถซ่อมด้วยวัสดุอุดยาแนวหรือใช้ปูนซีเมนต์สำหรับงานซ่อม ส่วนรอยร้าวผุเล็กน้อยที่เนื้อวงกบไม้ก็ใช้วัสดุยาแนวอุดซ่อมได้ด้วย แต่หากวงกบไม้ผุพังมากให้ลองพิจารณาเปลี่ยนประตูหน้าต่างใหม่ โดยเจ้าของบ้านอาจเลือกวัสดุที่คงทนมากขึ้น หรือใช้ประตูหน้าต่างที่ขายพร้อมบริการเปลี่ยนติดตั้งแบบครบวงจรได้เพื่อเน้นคุณภาพและความสะดวก ผนังร้าวรั่วซึมอีกกรณีที่พบได้ก็คือ ตามรอยต่อของผนังส่วนต่อเติมซึ่งถูกก่อฉาบเชื่อมรอยต่อติดกับตัวบ้าน เมื่อส่วนต่อเติมทรุดตัว จะเกิดการฉีกขาดเป็นรอยร้าวทำให้น้ำรั่วซึมเข้ามาได้ วิธีแก้ไขเบื้องต้นคือให้ยาแนวรอยต่อด้วยวัสดุที่ยืดหยุ่น อย่าง PU หรือซิลิโคน ภาพ: การแก้ไขปัญหาผนังร้าวรั่วซึมบริเวณรอยต่อของส่วนต่อเติมกับตัวบ้าน รีโนเวทปรับปรุงบ้านหลังหน้าฝน หลังหน้าฝนเป็นโอกาสอันดีที่จะปรับปรุงบ้านในส่วนกลางแจ้ง อย่างการปรับปรุงหลังคา  ปรับปรุงพื้นบริเวณรอบบ้าน และปรับปรุงผนังภายนอกบ้าน จุดประสงค์อาจมิใช่แค่เพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์บรรยากาศเท่านั้น แต่เป็นการปรับปรุงเพื่อแก้ปัญหาที่ต่อเนื่องมาจากหน้าฝนด้วย อย่างกรณีหลังคารั่วหลายจุดหรือโครงหลังคามีปัญหา ก็อาจปรับปรุงโดยรื้อมุงกระเบื้องใหม่หรือวางโครงหลังคาใหม่ เป็นต้น ปัญหาดินรอบบ้านทรุด จนเห็นโพรงใต้บ้านก็เป็นอีกเรื่องที่เหมาะจะปรับปรุงแก้ไขหลังหน้าฝน หากพื้นดินยังมีแนวโน้มจะทรุดตัวต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ก็อาจปิดโพรงแบบชั่วคราวไปก่อน เช่น นำกระถางต้นไม้ทรงสี่เหลี่ยมมาวางปิดไว้ ใช้ขอบคันหินปิด หรือจะก่ออิฐบนพื้นคอนกรีตเดิมเพื่อปิดโพรงโดยใช้แผ่นโฟมคั่นระหว่างก้อนอิฐกับตัวบ้าน เป็นต้น แต่สำหรับกรณีที่พื้นทรุดไปมากแล้วและมีแนวโน้มว่าจะทรุดช้าลงมาก ให้ทำการแก้ไขแบบถาวร โดยทุบรื้อเอาหญ้าหรือวัสดุเดิมบนหน้าดินออก แล้วถมดินปิดโพรงในระดับที่เหมาะสมก่อนจะติดตั้งวัสดุปูพื้น ทั้งนี้อาจถือโอกาสเลือกวัสดุปูพื้นแบบใหม่เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศก็ได้ ภาพ: ดินรอบบ้านทรุดจนเห็นโพรงใต้บ้านเล็กน้อย ภาพ: การใช้ขอบคันหินวางปิดโพรงใต้บ้าน พร้อมปลูกต้นไม้ประดับเล็กน้อย อีกปัญหาที่พบบ่อยในหน้าฝน ซึ่งแม้จะไม่ได้มีผลกระทบต่อการใช้งานนัก แต่ก็ทำลายความสวยงามอย่างมากนั่นคือปัญหาผนังชื้น สีโป่งพองลอกล่อนโป่งพอง หรือมีเชื้อราตะไคร่ เจ้าของบ้านสามารถปรับปรุงผนังใหม่หลังหน้าฝนโดยใช้หลักการคือ ทำให้ผนังระบายความชื้นได้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้สีที่มีคุณสมบัติระบายความชื้น ทำผนังปูนแบบต่างๆ เช่น ผนังปูนเปลือยฉาบขัดมัน ผนังกรวดล้างทรายล้าง เป็นต้น ไปจนถึงการใช้ไม้เทียมตกแต่งทับผนังเดิม รีโนเวทและต่อเติมบ้านหลังหน้าฝน บางครั้งการปรับปรุงพื้นที่ใช้สอยอาจไม่จบเพียงแค่ในบ้าน แต่มีการขยับขยายต่อเติมออกนอกตัวบ้านด้วย ไม่ว่าจะเป็นการต่อเติมห้องนอน ต่อเติมห้องครัว ต่อเติมห้องนั่งเล่น ฯลฯ เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยส่วนนั้นให้กว้างขวางขึ้น การต่อเติมขยายพื้นที่ลักษณะนี้มักทุบผนังเพื่อเชื่อมพื้นที่ส่วนต่อเติมเชื่อมเข้ากับพื้นที่บ้านเดิม ดังนั้นโครงสร้างที่รองรับพื้นควรลงเสาเข็มให้ลึกถึงชั้นดินแข็งเช่นเดียวกับโครงสร้างบ้านเดิม เพื่อลดปัญหาการทรุดตัวของพื้นที่ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ กระบวนการต่อเติมบ้านจะเป็นการทำงานกลางแจ้งเสียส่วนใหญ่ ดังนั้น ช่วงปลายปีหลังฤดูฝนจึงนับเป็นเวลาที่สะดวกต่อการดำเนินงาน รวมทั้งการขนส่งและจัดกองเก็บวัสดุ ภาพ: การลงเสาเข็มส่วนต่อเติมให้ลึกถึงชั้นดินแข็ง การรีโนเวทบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมบ้าน ปรับปรุงบ้านหรือต่อเติมบ้าน ควรอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายควบคุมอาคาร และควรยื่นขออนุญาต อย่างถูกต้อง (หากเข้าข่ายต้องขออนุญาต) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีปรับปรุงต่อเติมบ้าน มักมีกฎหมายควบคุมหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น การปรับปรุงหรือต่อเติมนั้นไม่ควรขัดขวางทางหนีไฟ  มีขนาดที่ว่าง ภายในขอบเขตที่ดินและระยะร่นต่างๆ ที่เพียงพอ การกำหนดตำแหน่งของช่องเปิด ซึ่งสัมพันธ์กับแนวเขตที่ดิน เป็นต้น และทางที่ดีควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการรีโนเวท โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่การซ่อมแซม ปรับปรุง หรือต่อเติมบ้านนั้นมีผลกระทบต่อโครงสร้างบ้าน ควรอยู่ภายใต้ความดูแลวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความปลอดภัยและลดปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อการอยู่อาศัยในระยะยาว บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​  img class="alignnone size-full wp-image-61869" src="https://www.reviewyourliving.com/wp-content/uploads/2017/05/5-1-2-รีโนเวทบ้าน-headline.png" alt="" width="1446" height="800" />
เปลี่ยนหน้าต่างบานเกล็ด เป็นหน้าต่างวินด์เซอร์..ทำได้หรือไม่?

เปลี่ยนหน้าต่างบานเกล็ด เป็นหน้าต่างวินด์เซอร์..ทำได้หรือไม่?

เมื่อเราอาศัยอยู่ในบ้านไปสักระยะหนึ่ง อาจต้องการปรับเปลี่ยนบางส่วนเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการของเรา ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนให้ดูใหม่ขึ้น หรือเปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่หรือฟังก์ชันใหม่ หน้าต่างเองก็เป็นส่วนหนึ่งของบ้านที่มีหลายรูปแบบ ซึ่งหลายคนอาจสงสัยว่า หากของเดิมเป็นหน้าต่างบานเกล็ด แต่ต้องการเปลี่ยนเป็นหน้าต่างวินด์เซอร์สามารถทำได้หรือไม่ ก่อนอื่นจะต้องให้ทีมช่างของวินด์เซอร์เข้าไปสำรวจหน้างานจริงว่าสภาพหน้าต่างบานเกล็ดเดิมเป็นอย่างไร วัดขนาด ระยะ และรายละเอียดต่างๆ เพื่อเสนอแนะแนวทางให้เจ้าของบ้านเลือก รวมทั้งให้คำปรึกษาถึงความเป็นไปได้ของหน้าต่างใหม่ที่เราจะเลือก โดยหน้าต่างของวินด์เซอร์เองจะสามารถสั่งตัดได้ตามขนาดที่พอดีกับหน้างาน ภาพ: หน้าต่างบานเกล็ดขนาดใหญ่หรือทรงผอมสูง ขอขอบคุณสถานที่: AREE HOUSE (Floating House) ภาพ: บ้านที่ใช้หน้าต่างบานเกล็ด ขอขอบคุณสถานที่: บ้านคุณสุทธิพันธ์ และ คุณวราภรณ์ จาริยะวัฒน์ แนวทางการเปลี่ยนมาใช้หน้าต่างวินเซอร์ การเปลี่ยนเป็นหน้าต่างวินเซอร์สามารถทำได้ 2 แนวทาง คือ การรื้อหน้าต่างเดิมออกทั้งหมดแล้วติดตั้งหน้าต่างวินด์เซอร์ใหม่เข้าไป กับ การถอดบานหน้าต่างเดิมออกแต่เก็บวงกบเดิมไว้ แล้วจึงติดตั้งหน้าต่างใหม่ทับวงกบหน้าต่างเดิมได้เลย (Fast Renew) ซึ่งใช้เวลาในการทำงานน้อยกว่าแนวทางแรก หากวงกบหน้าต่างเดิมอยู่ในสภาพดีจะสามารถเลือกเปลี่ยนได้ทั้งสองแนวทาง แต่ถ้าสภาพเดิมอาจผุพังหรือสภาพไม่ค่อยจะดีนัก จะแนะนำให้เลือกเป็นแนวทางแรกคือการรื้อหน้าต่างเดิมออกทั้งหมดแล้วจึงเปลี่ยนใหม่ทั้งชุดจะดีที่สุด ภาพ: ตัวอย่างการติดตั้งหน้าต่างวินด์เซอร์บานใหม่แบบ Fast Renew โดยถอดบานหน้าต่างเดิมออกแต่เก็บวงกบเดิมไว้ แล้วจึงติดตั้งหน้าต่างใหม่ทับวงกบหน้าต่างเดิมได้เลย ขอขอบคุณ: www.youtube.com/watch?v=x3Q8HkHbneY เปลี่ยนหน้าต่างบานเกล็ดเป็นหน้าต่างรูปแบบไหนดี รูปแบบของหน้าต่างวินเซอร์จะไม่แตกต่างจากหน้าต่างทั่วไปในท้องตลาดเท่าไรนัก เช่น หน้าต่างบานเปิด บานเลื่อน บานกระทุ้ง และบานเกล็ด เป็นต้น หากต้องการเปลี่ยนจากหน้าต่างบานเกล็ดเดิมเป็นหน้าต่างบานเกล็ดวินเซอร์ก็สามารถทำได้ เพราะมีฟังก์ชันใช้สอยไม่ต่างจากเดิมมากนัก แต่หากต้องการเปลี่ยนเป็นบานเปิดจะมีข้อควรคำนึงคือจะกินพื้นที่บริเวณที่บานหน้าต่างเปิดออกไป (ซึ่งอาจจะกีดขวางทางเดินได้) แต่มีข้อดีคือสามารถเปิดรับลมได้อย่างเต็มที่ ส่วนกรณีต้องการเปลี่ยนเป็นบานเลื่อน ต้องดูก่อนว่าขนาดหน้าต่างบานเกล็ดเดิมเป็นอย่างไร ใหญ่พอที่จะเปลี่ยนเป็นบานเลื่อนหรือไม่ หากเปลี่ยนได้ก็มีเรื่องที่ควรคำนึงคือ ขณะเปิดเลื่อนเข้าหากันจะได้ช่องลมลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง แต่มีข้อดีคือไม่กินพื้นที่เพราะเป็นการเลื่อนเปิดในแนวขนานราบไปกับผนัง จึงสามารถใช้ในบริเวณที่คนเดินผ่านไปมาได้ ส่วนการเปลี่ยนมาใช้บานกระทุ้ง หน้าต่างลักษณะนี้จะเปิดแบบดันจากด้านล่างของบานออกไป ซึ่งจะกินพื้นที่ขณะเปิด หากบริเวณที่จะติดตั้งห่างจากทางสัญจรก็สามารถเลือกใช้งานแทนหน้าต่างบานเกล็ดเดิมได้ ภาพ:หน้าต่างบานเปิด ภาพ:หน้าต่างบานเลื่อน ภาพ:หน้าต่างบานกระทุ้ง ดังนั้น การเปลี่ยนจากหน้าต่างบานเกล็ดเดิมเป็นหน้าต่างใหม่จากวินด์เซอร์ สามารถทำได้ แต่ต้องพิจารณาจากหลายๆ อย่างประกอบกัน ทั้งพื้นที่หน้างาน สภาพและขนาดของหน้าต่างเดิม เพื่อหาแนวทางและรูปแบบหน้าต่างที่เหมาะสมและตอบโจทย์ที่สุด บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​ 
วิธีทำน้ำยาขจัดคราบ “กระเบื้องฝังลึก” ในห้องน้ำใช้เอง

วิธีทำน้ำยาขจัดคราบ “กระเบื้องฝังลึก” ในห้องน้ำใช้เอง

คราบฝังแน่นในห้องน้ำที่อาจจะมีทั้งเชื้อรา คราบสบู่ คราบไขมัน คราบโน่นนี่ จากร่องกระเบื้องขาวใส ผ่านไปไม่นานกลายเป็นคราบจับดำเป็นหย่อมๆ เห็นแล้วระคายสายตา เชื่อว่าหลายคนคงหาวิธีทำความสะอาดคราบสกปรกที่ว่านี้ให้สิ้นซากด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่หาซื้อได้ทั่วไปตามท้องตลาด แต่วันนี้เรามีวิธีทำน้ำยาขจัดคราบสกปรกเหล่านี้มาแนะนำครับ อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม น้ำเปล่าครึ่งขวด ผงสบู่ 1 ฝาขวดน้ำเปล่า น้ำส้มสายชู 2 ฝาขวดน้ำเปล่า แอลกอฮอลล์ 3 ฝาขวดน้ำเปล่า แป้งทำอาหารครึ่งฝา เศษผ้า หรือสก๊อตไบร์ท ถุงมือยาง ผ้าปิดปากและจมูก วิธีทำ เพียงแค่นำส่วนผสมทุกอย่างเทลงในขวดน้ำแล้วปิดฝาขวดน้ำให้แน่นจากนั้นก็เขย่าๆ ให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นอย่างดี เทน้ำที่ได้ลงบนสก๊อตไบร์ทหรือเศษผ้า แล้วขัดบริเวณที่เป็นคราบสกปรก จากนั้นใช้น้ำเปล่าราดล้างทำความสะอาดอีกรอบ เพียงเท่านี้คราบสกปรกฝังลึกก็จะค่อยๆ จางไป แนะนำให้ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง กระเบื้องในห้องน้ำของคุณก็จะใสวิ้งทันตา คำแนะนำ ใครที่แพ้กลิ่นน้ำส้มสายชูหรือกลิ่นแอลกอฮอล์อาจเตรียมผ้าปิดจมูกไว้ด้วยนะครับ ควรใส่ถุงมือระหว่างขั้นตอนการทำความสะอาด เพื่อป้องกันเกิดการระคายเคืองผิว   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.sanook.com
ใช้ปูนอุดรอยรั่วกระเบื้องหลังคาแตกร้าว ป้องกันน้ำรั่วซึมเข้าบ้านได้จริงหรือ

ใช้ปูนอุดรอยรั่วกระเบื้องหลังคาแตกร้าว ป้องกันน้ำรั่วซึมเข้าบ้านได้จริงหรือ

รอยแตกร้าวบนแผ่นกระเบื้องหลังคาที่มักนำปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้ามาในบ้าน ซึ่งเจ้าของบ้านหลายท่านอาจเลือกวิธีแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้าโดยการอุดซ่อมรอยร้าวด้วยปูนทราย กาวซีเมนต์ (ปูนกาว) หรือแม้แต่ปูนเกราต์ประเภทต่างๆ แต่วิธีนี้อาจช่วยแก้ปัญหาได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น เพราะปูนจะมีคุณสมบัติเรื่องการหดตัวจากแสงแดด อุณหภูมิ และความชื้นที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งส่งผลให้เกิดการแตกร้าว และสุดท้ายน้ำฝนก็สามารถซึมผ่านเข้ามาได้อีก ภาพ: กระเบื้องหลังคาแตกร้าว นำมาซึ่งปัญหาน้ำฝนรั่วซึมเข้ามาในบ้าน ดังนั้น เมื่อกระเบื้องหลังคาแตกร้าว ไม่ว่าจะเป็นแผ่นกระเบื้องหรือครอบหลังคาส่วนต่างๆ วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนกระเบื้องหลังคาหรือครอบแผ่นใหม่ โดยเลือกใช้กระเบื้องรุ่นเดิมเท่านั้น ทั้งนี้ ถึงแม้เลือกกระเบื้องหลังคาเฉดสีเดิม แต่ด้วยล็อตผลิตและอายุการใช้งานที่ต่างกัน จึงอาจทำให้เฉดสีของกระเบื้องหลังคาแผ่นใหม่ต่างจากเดิม ซึ่งสามารถทาสีสำหรับกระเบื้องหลังคาทั้งผืนเพื่อความสวยงามได้ ภาพ: การเปลี่ยนกระเบื้องหลังคาแผ่นใหม่เป็นวิธีแก้ไขที่ดีที่สุด การเปลี่ยนครอบหลังคาใหม่ทั้งที่สันหลังคาและตะเข้สัน ต้องพิจารณาว่าเป็นระบบครอบหลังคาแบบเปียกหรือระบบครอบหลังคาแบบแห้งด้วย เนื่องจากมีวิธีแก้ไขที่ต่างกัน ภาพ: กระเบื้องครอบแตก สำหรับระบบครอบหลังคาแบบเปียก – หลังจากรื้อครอบหลังคาเดิมรวมถึงเนื้อปูนปั้นบริเวณครอบหลังคาที่แตกร้าวออกแล้ว ควรทำความสะอาดพื้นผิวครอบหลังคาให้เรียบร้อย จากนั้นจึงปั้นปูนทรายซ่อมแซมใหม่ในสัดส่วนตามมาตรฐาน และมีปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ล้นหรือน้อยจนเกินไป แล้วจึงติดตั้งครอบหลังคา และปาดตัดแต่งเนื้อปูนทรายให้เรียบร้อย เซาะร่องบังคับรอยร้าว เจาะรูระบายน้ำ และทาสีเพื่อความกลมกลืนกับผืนกระเบื้อง (การติดตั้งครอบระบบเปียกต้องใช้ช่างผู้เชี่ยวชาญพอสมควรเพื่อให้ได้ผลงานออกมาถูกต้องตามมาตรฐาน) แต่หากครอบหลังคาแตกร้าวหลายแผ่น อาจพิจารณารื้อครอบหลังคาออกทั้งแถว และเปลี่ยนเป็นระบบครอบหลังคาแบบแห้งแทน เนื่องจากทำงานง่าย ไม่สกปรก ลดความเสี่ยงต่อปัญหาต่างๆ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าระบบครอบหลังคาแบบเปียก ภาพ: ระบบครอบหลังคาแบบเปียก ภาพ: ขั้นตอนการซ่อมแซมระบบครอบหลังคาแบบเปียก ส่วนระบบครอบหลังคาแบบแห้ง – หากรื้อกระเบื้องที่แตกร้าวออกมาแล้ว ควรตรวจสอบสภาพแผ่นรองใต้ครอบว่าเสียหายหรือเสื่อมสภาพด้วยหรือไม่ ถ้ายังอยู่ในสภาพดีก็สามารถเปลี่ยนเฉพาะครอบหลังคาได้ แต่หากตรวจสอบแล้วพบว่าแผ่นรองใต้ครอบเกิดความเสียหาย เช่น กาวหลุด แผ่นลอกล่อน หรือติดตั้งผิดวิธี ฯลฯ ควรรื้อครอบหลังคาเดิมออกทั้งแถวแล้วเปลี่ยนใช้แผ่นรองใต้ครอบชุดใหม่ก่อนติดตั้งครอบหลังคาชุดเดิมและครอบหลังคาชิ้นใหม่ทดแทนชิ้นที่แตกร้าว ภาพ: ระบบครอบหลังคาแบบแห้ง อย่างไรก็ตาม หากยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแผ่นกระเบื้องทดแทน ในเบื้องต้นอาจแก้ปัญหาด้วยการใช้แผ่นปิดรอยต่อหลังคาปิดรอยร้าวบนแผ่นกระเบื้องหลังคา หรือครอบหลังคา โดยทาสีทับให้ดูกลมกลืนไปกับผืนหลังคาก็ได้เช่นกัน ภาพ: การใช้แผ่นปิดรอยต่อปิดบนแผ่นกระเบื้องระหว่างรอยต่อโครงสร้างป้องกันน้ำรั่วซึม ทั้งนี้ หากพบปัญหาเกี่ยวกับหลังคาบ่อยครั้ง โดยเฉพาะปัญหาโครงหลังคาเสียหายจนผืนหลังคาเกิดการบิด แอ่น การติดตั้งกระเบื้องหลังคาไม่ได้มาตรฐาน ไปจนถึงปัญหารั่วซึมในหลายจุดเพราะบ้านมีอายุการใช้งานเกิน 15-30 ปี อาจพิจารณารื้อหลังคาทั้งระบบ และติดตั้งใหม่ทั้งหมดเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว ภาพ: การเปลี่ยนหลังคาบ้านใหม่ สถานที่ บ้านคุณหมอกังวาล วิเชียรสินธุ์ บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​ 
3 ตัวการหลักที่ทำให้ส้วมตันหรือกดชักโครกไม่ลง พร้อมวิธีแก้ไขแบบตรงจุด

3 ตัวการหลักที่ทำให้ส้วมตันหรือกดชักโครกไม่ลง พร้อมวิธีแก้ไขแบบตรงจุด

บางครั้งแม้ว่าจะติดตั้งสุขภัณฑ์อย่างถูกวิธี แต่ยังคงมีปัญหาที่พบกันบ่อยๆ ว่าเมื่อกดชักโครกสุขภัณฑ์แล้วไม่มีแรงดูดชำระล้าง ซึ่งทำให้กดชักโครกไม่ลง ไม่สามารถชำระล้างได้อย่างสะอาดหมดจด หรือรู้สึกว่าส้วมตัน สาเหตุสำคัญของปัญหานี้มาจากหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น ส่วนของท่อระบายอากาศ การระบายน้ำออกจากถังบำบัดหรือบ่อเกรอะ-บ่อซึม และปัญหาสิ่งอุดตันในท่อน้ำทิ้ง กดชักโครกไม่ลง เพราะติดตั้งท่อระบายอากาศ แต่ไม่สมบูรณ์ หรือเกิดการอุดตัน ปกติแล้วจะต้องมีการติดตั้งท่อระบายอากาศลักษณะตัวที (T) ต่อจากท่อน้ำทิ้งสุขภัณฑ์และถังบำบัดน้ำเสีย เพื่อป้องกันปัญหาอากาศไหลย้อนเวลากดชักโครกและยังช่วยให้สามารถกดชำระล้างสุขภัณฑ์ได้ดีอีกด้วย แต่หากระดับความสูงของปลายท่ออากาศอยู่ต่ำกว่าระดับที่น้ำท่วมถึง หรือการอุดตันบริเวณปลายปากท่อ จะทำให้ท่ออากาศไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ กรณีที่ระดับความสูงปลายท่ออากาศอยู่ต่ำเกินไปหรืออยู่ต่ำกว่าระดับที่น้ำสามารถท่วมถึง ควรเดินท่อใหม่ให้สูงกว่าระดับน้ำท่วม หรือติดตั้งเลยหลังคาขึ้นไปเพื่อป้องกันกลิ่นรบกวน ส่วนกรณีการอุดตันบริเวณปลายปากท่อ สามารถแก้ไขได้โดยเอาสิ่งอุดตันนั้นออก กรณีสิ่งอุดตันเข้าไปอยู่ภายในไม่สามารถเอาออกมาได้ง่ายๆ สามารถแก้ไขได้โดยการใช้งูเหล็กทะลวง หรือฉีดน้ำแรงๆ เข้าไป เพื่อล้างทำความสะอาดให้สิ่งสกปรกไหลกลับเข้าสู่ระบบระบายน้ำทิ้งต่อไป หลังจากนั้น ควรป้องกันโดยการติดตั้งตาข่ายกันสิ่งสกปรก แมลง และสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กไม่ให้เข้าไปอยู่อาศัยที่อาจเป็นสาเหตุให้ท่ออากาศอุดตัน ภาพ: ตำแหน่งการติดตั้งท่ออากาศ แนะนำให้ติดตั้งท่ออากาศจากถังบำบัดน้ำเสีย (1) และในบริเวณที่ใกล้กับโถสุขภัณฑ์ (2) โดยติดตั้งให้ปลายท่ออยู่สูงกว่าระดับที่น้ำจะสามารถท่วมถึง การระบายน้ำออกจากถังบำบัดหรือบ่อเกรอะ-บ่อซึมติดขัด ทำให้กดชักโครกไม่ลง ไม่ว่าบ้านที่เลือกติดตั้งเป็นถังบำบัดสำเร็จรูป หรือใช้ระบบดั้งเดิมที่เป็นแบบบ่อเกรอะ-บ่อซึม น้ำจากการชำระล้างสุขภัณฑ์จะสามารถระบายออกไปได้ด้วยแรงดูดปกติ แต่อาจมีบางครั้งที่น้ำไม่สามารถระบายได้ทัน ไม่ว่ากรณีเป็นบ้านมีระดับท่อระบายน้ำจากถังบำบัดหรือบ่อเกรอะ-บ่อซึมที่ต่ำกว่าระดับท่อระบายน้ำสาธารณะ เมื่อระดับน้ำในท่อสาธารณะสูงขึ้นก็จะทำให้การระบายน้ำของบ้านเราเป็นไปได้ช้าลง นอกจากนี้ยังมีกรณีที่ฝนตกหนักมากๆ จนน้ำเกิดท่วมขังที่เป็นสาเหตุทำให้มีน้ำค้างในท่อระบายของถังบำบัดหรือบ่อเกรอะ-บ่อซึมที่ต้องรอการระบายออกไป รวมถึงอาจมีแรงดันน้ำต้านกลับ (Back Pressure) ที่ส่งผลให้น้ำไหลย้อนเข้าสู่ถังบำบัดหรือบ่อเกรอะ-บ่อซึมได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลให้แรงดูดชักโครกลดต่ำลงจนทำให้การชำระล้างในโถสุขภัณฑ์ได้ไม่ดีเหมือนเดิม กรณีนี้เมื่อน้ำลดระดับที่ท่วมขังลงก็จะสามารถใช้งานสุขภัณฑ์ได้ตามปกติ ภาพ: แสดงการระบายน้ำออกจากถังบำบัดสำเร็จรูปไปยังท่อระบายน้ำสาธารณะ ภาพ: แสดงการระบายน้ำออกจากบ่อเกรอะ-บ่อซึม ปัญหาสิ่งอุดตันในท่อน้ำทิ้ง ท่อน้ำทิ้งจะรับน้ำจากโถสุขภัณฑ์โดยตรงแล้วส่งต่อไปยังถังบำบัดหรือบ่อเกรอะ-บ่อซึมที่จะระบายสู่พื้นดินหรือแหล่งน้ำสาธารณะต่อไป แต่หากมีสิ่งอุดตัน โดยเฉพาะเศษขยะที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติหรือย่อยสลายได้ยาก เช่น เศษกระดาษทิชชู่ ผ้าอนามัย หรือเศษขยะชิ้นใหญ่ติดค้างในท่อ ซึ่งจะทำให้เกิดการอุดตันในท่อและส่งผลให้น้ำจากสุขภัณฑ์ไม่สามารถระบายออกไปได้ และอาจเกิดการไหลย้อนกลับ จนชักโครกเกิดอาการกดแล้วไม่มีแรงดูดชำระล้างนั่นเอง ปัญหาสิ่งอุดตันค้างในท่อน้ำทิ้งสุขภัณฑ์สามารถแก้ไขได้โดยการใช้ไม้ยางปั๊ม กดให้เกิดแรงดันเพื่อดันน้ำและสิ่งอุดตันให้เคลื่อนผ่านลงไป ทั้งนี้ การทิ้งเศษขยะที่ย่อยสลายยากลงไปบ่อยๆ จะทำให้ถังบำบัดสำเร็จรูปหรือบ่อเกรอะ-บ่อซึมเต็ม ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาที่ยุ่งยากต่อการแก้ไขในอนาคต จึงควรระมัดระวังการทิ้งเศษขยะลงไป นอกจากนี้ การเลือกสุขภัณฑ์ที่มีคุณภาพมาตรฐานก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยให้การใช้งานเป็นไปได้อย่างราบรื่น รวมถึงการเลือกปริมาณน้ำที่จะกดชำระให้เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละครั้ง เพื่อให้สามารถใช้งานสุขภัณฑ์ได้อย่างดีและใช้น้ำเท่าที่จำเป็นอีกด้วย บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​