Tag : Infographic

288 ผลลัพธ์
ฮวงจุ้ยตู้เย็น วางตรงไหนถึงจะดี เลือกสีอย่างไรให้ถูกโฉลก

ฮวงจุ้ยตู้เย็น วางตรงไหนถึงจะดี เลือกสีอย่างไรให้ถูกโฉลก

ฮวงจุ้ยตู้เย็น มาดูการจัดวางตำแหน่งตู้เย็นในห้องต่าง ๆ อาทิ ห้องครัว ห้องนั่งเล่น และห้องนอน รวมไปถึงการเลือกตู้เย็นให้ถูกโฉลก ช่วยเสริมดวงให้กับคนในบ้าน   "ตู้เย็น" เป็นอีกหนึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีกันแทบทุกบ้าน แต่รู้หรือไม่ว่าตู้เย็นก็มีผลต่อการใช้ชีวิตของคนในบ้านเหมือนกัน หากขาดการดูแลรักษา วางผิดตำแหน่ง หรือเลือกสีไม่ถูกต้อง ก็จะส่งผลเสียต่อชีวิต เช่น การงาน การเงิน ความสัมพันธ์ และสุขภาพ ฉะนั้นมาดูวิธีการจัดวางตู้เย็นที่ถูกต้องและเลือกสีตู้เย็นให้ถูกโฉลกกันเถอะ   การดูแลและรักษาความสะอาด ตู้เย็น เปรียบเหมือนสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ฉะนั้นไม่ควรปล่อยให้ตู้เย็นว่าง เพราะส่งผลให้สถานภาพทางการเงินของคนในบ้านแย่ลง ในทางกลับกันหากมีอาหารมากเกินไปจนเต็มตู้ ก็จะทำให้พลังชี่ (Qi) ไม่หมุนเวียน ฉะนั้นควรมีการจัดตู้เย็น ให้มองเห็นสิ่งของต่าง ๆ ภายในตู้ได้ง่าย หยิบสะดวกไร้กลิ่นเหม็น และไม่มีของหมดอายุค้างในตู้ นอกจากนี้ควรหมั่นเช็ดชั้นวางของ ช่องแช่แข็ง และลิ้นชักให้สะอาดอยู่เสมอ เพื่อทำให้พลังชี่ไหลเวียนได้สะดวก พร้อมทั้งทำให้คนในบ้านมีทั้งเงินทอง โชคลาภ และความโชคดี   การจัดวางตำแหน่งตู้เย็น ตำแหน่งการวางตู้เย็นก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะล้วนมีผลกระทบกับความเป็นอยู่ของคนในบ้านทั้งสิ้น ทั้งในเรื่องของการเงิน ความมั่นคง และสุขภาพ ซึ่งมีข้อควรเลี่ยงในการจัดวางตู้เย็นตามห้องต่าง ๆ ดังนี้   ไม่ควรวางตู้เย็นตรงกับประตู : ไม่ว่าจะวางตู้เย็นในห้องนั่งเล่นหรือห้องครัว ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ตรงข้ามประตู เพราะจะทำให้การหมุนเวียนของพลังชี่วิตติดขัด และทำให้เก็บเงินไม่อยู่ มีเรื่องให้ใช้จ่ายตลอด ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้ ให้นำเหรียญจีนโบราณ 5 จักรพรรดิ แขวนไว้เหนือประตู จะช่วยขับไล่พลังร้ายออกไปและเรียกโชคลาภเข้ามาแทน    ไม่ควรวางใกล้เตา : เพราะตู้เย็นจัดอยู่กลุ่มธาตุโลหะ ส่วนเตาจัดอยู่ในกลุ่มธาตุไฟ จึงไม่ควรวางของทั้ง 2 อย่างนี้ไว้ใกล้ ๆ หรือตรงข้ามกัน เพราะจะทำให้คนในบ้านทะเลาะเบาะแว้ง มีปากมีเสียง และขาดความสามัคคี การจัดวางตู้เย็นในห้องครัวที่ดี ควรวางเตา อ่างล้างจาน และตู้เย็นให้เป็นรูปสามเลี่ยม เพื่อลดการปะทะหรือความความขัดแย้ง   ไม่ควรวางของบนตู้เย็น : โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ อาทิ เตาอบ ไมโครเวฟ และอื่น ๆ เพราะนอกจากจะมีผลต่อระบบระบายความร้อนของตู้เย็นแล้ว ทางฮวงจุ้ยถือว่าสิ่งของเหล่านี้จะไปขัดการไหลเวียนของกระแสลมที่เชื่อมโยงไปถึงเรื่องสุขภาพด้วย   ไม่ควรวางตู้เย็นในห้องนอน : เพราะเป็นอุปสรรคขัดขวางโอกาสความก้าวหน้าและความสำเร็จในเรื่องหน้าที่การงาน     การเลือกสีตู้เย็น ควรเลี่ยงการนำตู้เย็นสีแดงมาใช้ในห้องครัว : เพราะสีแดงจัดอยู่กลุ่มธาตุไฟ ที่จะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งภายในบ้าน ส่วนสีตู้เย็นที่ถูกโฉลก ได้แก่ สีขาวและสีเงิน ซึ่งทั้ง 2 สีนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์และสุขลักษณะที่ดี นอกจากนี้ก็มีสีเบจและสีขาวมุกที่จัดอยู่ในกลุ่มของธาตุดินและสามารถนำมาใช้ในห้องครัวได้เช่นกัน ตู้เย็นมีผลต่อชีวิตของเราหลายเรื่องเลยทีเดียว ทั้งการงาน การเงิน ความสัมพันธ์ และสุขภาพ ซึ่งก็ได้ทราบวิธีการจัดวางตู้เย็นและสีที่ถูกโฉลกกันไปแล้ว ก่อนจะซื้อตู้เย็นเครื่องใหม่หรืออยากจะเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น ก็ลองนำฮวงจุ้ยตู้เย็นไปปรับใช้กันดูนะคะ ขอบคุณแหล่งที่มา : https://home.kapook.com/view178537.html          
10 สิ่งของที่ไม่ควรมีในห้องนอน ถ้าอยากหลับสบายฝันดีทุกคืน

10 สิ่งของที่ไม่ควรมีในห้องนอน ถ้าอยากหลับสบายฝันดีทุกคืน

ใครที่อยากเปลี่ยนอาการนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ให้เป็นการนอนหลับสนิทฝันดีต้องรีบเคลียร์สิ่งของเหล่านี้ออกจากห้องนอนให้ไว ! รู้หรือไม่ ว่าการจัดวางหรือมีสิ่งของบางประเภทอยู่ในห้องนอนก็ส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ เช่น ทำให้นอนหลับไม่สนิท นอนกรน หรือนอนหลับ ๆ ตื่น ๆ ได้ แต่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ เพราะในวันนี้กระปุกดอทคอมได้รวบรวมสิ่งของเจ้าปัญหาในห้องนอนที่ทำให้นอนไม่หลับหรือนอนหลับยาก พร้อมวิธีแก้ไขเพื่อช่วยให้นอนหลับสบายขึ้น แถมยังมีผลดีในทางฮวงจุ้ยห้องนอนมาฝากกันค่ะ 1. นำสัตว์เลี้ยงมานอนบนเตียง  เราเข้าใจว่าคนรักสัตว์ทุกคนก็อยากจะพาสัตว์เลี้ยงมานอนบนเตียงเป็นธรรมดา แต่ผลการวิจัยของคลินิกมาโย จากสหรัฐอเมริกา พบว่า ผู้ที่นอนบนเตียงเดียวกับสัตว์เลี้ยงมีปัญหาการนอนถึง 10% สาเหตุก็เพราะหมาและแมวมักจะส่งเสียงรบกวนหรือเดินวุ่นวายในขณะที่เราหลับ อาจทำให้เจ้าของสะดุ้งตื่นกลางดึกหรือนอนหลับไม่สนิทจนมีอาการสะลึมสะลือหรืออ่อนเพลียในตอนเช้าได้ ฉะนั้นเลี่ยงไว้ก่อนดีกว่า หรือถ้าหากแยกมุมที่นอนให้แล้วแต่สัตว์เลี้ยงก็ยังมาป้วนเปี้ยนบนที่นอน ก็เลี้ยงไว้นอกห้องจะดีกว่า เพื่อช่วยให้นอนหลับได้สนิทขึ้นซึ่งเป็นผลดีต่อสุขภาพของตัวคุณเองด้วยนะคะ 2. มีของไม่ใช้ ตั้งไว้ก็เกิดฝุ่น  การจัดวางสิ่งของที่ไม่จำเป็นหลาย ๆ อย่างในห้องนอนทำให้เกิดฝุ่นละอองสะสมและส่งผลให้เกิดโรคภูมิแพ้ ดังนั้นเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ เราควรวางของในห้องนอนเท่าที่จำเป็น อะไรที่ไม่ได้ใช้แล้วและทำให้เกิดฝุ่นได้ง่าย เช่น หนังสือ ของตั้งโชว์ ควรเอาออกไปไว้ที่อื่นทั้งหมด นอกจากนี้ควรหมั่นทำความสะอาดที่นอน หมอน ผ้าห่ม รวมถึงพื้นห้องให้สะอาดอยู่เสมอ และหากห้องนอนของใครมีเครื่องกรองอากาศก็ควรเปิดให้เครื่องช่วยกำจัดฝุ่นสักประมาณ 1 ชั่วโมงก่อนเข้านอนด้วยค่ะ 3. นอนหมอนเก่าซ้ำ ๆ มาหลายปี  แน่นอนว่าเราไม่ควรนอนหนุนหมอนที่เก่า เพราะหมอนเก่า ๆ จะไม่รองรับกับสรีระของเรา และถ้าเราฝืนนอนต่อไปนาน ๆ ก็สามารถทำให้ปวดคอและปวดหลังได้ ซึ่งในวันนี้เราก็มีวิธีเช็กว่าหมอนเก่าหรือไม่แบบง่าย ๆ มาฝาก โดยให้นำหมอนมาพับครึ่ง จากนั้นก็ปล่อยถ้าหมอนคืนตัวกลับเป็นสภาพเดิมก็ถือว่ายังใช้ได้แต่ถ้าพับแล้วหมอนค้างอยู่อย่างนั้น ก็ให้ทำไปทิ้งได้เลย เพราะว่าหมอนที่ไม่คืนตัว ก็คือหมอนเก่าที่เสื่อมสภาพแล้วนั่นเอง 4. วางโต๊ะทำงานไว้ในห้อง  อย่าลืมนะคะว่าห้องนอนไม่ใช่ห้องทำงานหากตอนนี้ใครมีโต๊ะทำงานอยู่ในห้องนอนละก็ ควรรีบย้ายออกโดยด่วน เพราะห้องนอนเป็นสถานที่ที่มีไว้เพื่อพักผ่อน การนำโต๊ะทำงานมาตั้งไว้ในห้องนอนจะทำให้เรารู้สึกไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เช่น บางคนที่มีงานค้างอยู่ พอตาเหลือบไปมองเห็นโต๊ะ ก็พาลให้คิดถึงเรื่องงาน จนไม่ได้พักผ่อนซะอย่างนั้น แต่ถ้าบ้านใครมีพื้นที่จำกัด ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้จริง ๆ ก็ควรวางโต๊ะทำงานให้ห่างจากเตียงนอนมากที่สุด และหาผ้ามาคลุมเมื่อไม่ใช้งาน เพื่อให้ห้องนอนเป็นที่ พักผ่อนอย่างแท้จริง 5. กองหนังสือที่อ่านไม่จบ สำหรับบางคนที่วางกองหนังสือหรือนิตยสารไว้ทั่วห้องนอน เพราะตั้งใจว่าจะอ่านเมื่อมีเวลาว่าง แต่พอถึงเวลาจริง ๆ ก็ไม่ได้หยิบมาอ่าน เพราะเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น หรือไม่เรื่องที่อ่านไม่น่าสนใจแล้ว จนทำให้ห้องนอนมีหนังสืออยู่เต็มไปหมด ส่งผลให้เรารู้สึกไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แถมเสี่ยงสะดุดหนังสือหกล้มและกลายเป็นจุดสะสมฝุ่นอีกต่างหาก ดังนั้นถ้าตัดสินใจว่าจะไม่อ่านแล้ว ให้รีบเคลียร์หนังสือออกจากห้องนอนไปไว้ที่โต๊ะทำงานหรือห้องรับแขกจะดีกว่า แต่ถ้าไม่ได้มีพื้นที่มากขนาดนั้นจะนำหนังสือไปบริจาคก็ดีนะคะ 6. เสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่เต็มตู้ สาว ๆ มักจะเกิดอาการเสียดาย เมื่อเห็นเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่เต็มตู้แต่ก็ตัดใจทิ้งไปไม่ได้ รู้หรือไม่ว่าตามหลักฮวงจุ้ยนั้นถือเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอาซะเลยเพราะการที่ยังเก็บเสื้อผ้าเก่าหรือเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่แล้วไว้ในตู้เป็นการปิดกั้นโอกาสใหม่ ๆ ไม่ให้เข้ามา ฉะนั้นถ้าเรามีเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่แล้วก็ควรเคลียร์ออกเพื่อเปิดช่องว่างต้อนรับสิ่งใหม่ ๆ โดยจะนำไปทำเป็นผ้าขี้ริ้ว หรือบริจาคสร้างบุญก็ยังได้ 7. วางตะกร้าผ้าในห้องนอน  หากมีตะกร้าผ้าอยู่ในห้องนอนอาจทำให้เรารู้สึกถึงงานบ้านที่กำลังรออยู่ในช่วงวันหยุด ทางที่ดีควรนำตะกร้าใส่ผ้าไปไว้ที่อื่น ก็จะช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้นแต่ถ้าหากย้ายตะกร้าผ้าไปไว้ที่อื่นไม่ได้ อย่างน้อย ๆ ก็ควรใส่ผ้าลงในตะกร้าให้หมด อย่าให้ออกมานอกตะกร้า เกะกะขวางทางเดิน ทำให้ห้องดูรก และรู้สึกไม่น่าอยู่ได้ 8. สร้างกองขยะอิเล็กทรอนิกส์ มีหลายคนเก็บขยะอิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ รีโมท และนาฬิกาปลุกเก่า ๆ ที่พังหรือไม่ได้ใช้แล้ว เพราะเป็นความทรงจำดี ๆ หรือไม่ก็เก็บไว้เป็นอะไหล่ โดยที่ไม่รู้ว่าของพวกนี้ไม่ควรอยู่ในห้องนอนเพราะหลักฮวงจุ้ยถือว่า ของที่พัง ชำรุด เสียหาย เป็นแหล่งสะสมพลังงานด้านลบ ซึ่งจะนำเรื่องไม่ดีมาให้คนในบ้านได้ ฉะนั้นเราควรนำของพวกนี้ไปซ่อม บริจาคหรือไม่ก็เก็บใส่กล่องแล้วเอาไปไว้ที่ห้องเก็บของดีกว่า 9. เครื่องสำอางหมดอายุ สาว ๆ ควรระวังให้ดีเพราะนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยลอนดอน เมโทรโพลิตัน บอกว่าเครื่องสำอางเก่า ๆ มีเชื้อแบคทีเรียอยู่เพียบ ถ้าเลือกจะเก็บไว้ในห้องนอนคงไม่เวิร์กแน่ ๆ และที่สำคัญถ้าเครื่องสำอางมันเก่าจนหมดอายุแล้วก็ไม่เห็นจะมีความจำเป็นที่ต้องเก็บไว้ เพราะหากเรานำมาใช้ต่อก็เสี่ยงทำให้หน้าพังได้ง่าย ๆ ดังนั้นเราขอแนะนำให้นำเครื่องสำอางเก่า ๆ ไปทิ้งซะตอนนี้เลย 10. มีโทรทัศน์ไว้นอนดู แม้ว่าการดูโทรทัศน์จะถือเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่งแต่การพักผ่อนที่ดีในสุดในห้องนอนก็คือการนอนหลับซึ่งการที่มีโทรทัศน์หรือเปิดโทรทัศน์ไว้ก็สามารถรบกวนการนอนหลับได้ ดังนั้นเราขอแนะนำให้ย้ายโทรทัศน์ออกจากห้องนอนหรือถ้าย้ายไม่ได้ก็หาผ้ามาคลุมโทรทัศน์ไว้ในเวลาที่ไม่ใช้จะดีที่สุดค่ะ เราเข้าใจว่าสิ่งของบางอย่างก็นำไปไว้ที่อื่นยากแต่ถ้าหากอยากนอนหลับสบายฝันดีก็ควรหาทางจัดการกับสิ่งของเหล่านี้ออกไปจากห้องนอนซะ เช่น การนำไปทิ้งหรือบริจาค ก็จะช่วยให้การนอนดีขึ้นได้ค่ะ ขอบคุณแหล่งที่มา : https://home.kapook.com/view179294.html
เทคนิคดีๆ 5 เคล็ดลับ จัดการกลิ่นในห้องครัว

เทคนิคดีๆ 5 เคล็ดลับ จัดการกลิ่นในห้องครัว

บ้านสวยแต่เอ๊ะกลิ่นอะไรโชยมาจากห้องครัว คงไม่ดีแน่ถ้าเดินเข้ามาในบ้านแล้วทำจมูกฟุตฟิต มาจัดการปัญหาเรื่องกลิ่นอับในห้องครัว ด้วยเคล็ดลับดีๆที่เรานำมาบอกดีกว่าครับ เพราะห้องครัวที่เราใช้ทำอาหารอยู่ทุกวันนั้น แน่นอนต้องมีบ้างที่กลิ่นไม่พึงประสงค์เล็ดลอดเข้าในส่วนของห้องต่างๆ แต่เราจะจัดการปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร ตามมาชมวิธีและขั้นตอนกันเลยครับ     1. ใช้งานห้องครัวเสร็จต้องรีบทำความสะอาด อีกหนึ่งวิธีสุดง่ายและง่ายสุดนั่นก็คือ เมื่อเราใช้งานภายในห้องครัวเสร็จต้องรีบเช็ดล้างทำความสะอาด ไม่ปล่อยให้มีคราบหรือเศษขยะมักหมน รวมไปถึงจานชามก็ต้องล้างในทันทีด้วย เตา เคาน์เตอร์ เช็ดให้สะอาดครับ ยิ่งหากมีคราบน้ำมันกระเด็นอย่าปล่อยไว้นาน ให้ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำยาน้ำความสะอาดและน้ำอุ่น จากนั้นใช้ผ้าเช็ดออกได้เลย หากเราดูและเป็นประจำแบบนี้ ช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ลงไปได้เยอะเลยครับ     2. ทำความสะอาดพัดลมดูดควัน สำหรับพัดลมดูดควันแล้วเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ในห้องครัวที่เราไม่ควรมองข้าม อาจจะไม่ได้ทำความสะอาดเป็นประจำ ทำให้มีคราบสกปรก รวมไปถึงคราบน้ำมันกระเด็น ฝุ่นละออง ทางแก้ก็คือถอดออกมาทำความสะอาดครับ ผึ่งใบพัดให้แห้งสนิท นำมาติดตั้งเหมือนเดิม เท่านี้ก็ช่วยให้บรรยากาศภายในห้องครัวรู้สึกดีขึ้นได้แล้วล่ะ     3. ฮู้ดต้องมีขาดไม่ได้ ลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ด้วยอุปกรณ์ช่วยดับกลิ่นอย่างฮู้ด ควรเปิดฮู้ดเอาไว้ทุกครั้งระหว่างทำอาหาร นอกจากนี้หลังจากไม่ได้ใช้งานแล้ว อย่าลืมทำความสะอาดแผ่นกรองด้วยนะครับ เท่านี้ก็ช่วยลดกลิ่นอับ กลิ่นอาหารไปได้เยอะทีเดียว     4. เพิ่มช่องระบายอากาศ ห้องครัวไทยในสมัยก่อนนั้นมักสร้างอยู่นอกตัวบ้าน นอกจากมีพื้นที่กว้างขวางแล้ว ยังโปร่งสบาย ไม่เหม็นอับ ไอเดียนี้หยิบนำเอาความเป็นอยู่ของคนสมัยก่อนเข้ามาใช้ โดยออกแบบให้มีช่องหน้าต่างด้านใดด้านหนึ่งของห้องครัว เพื่อช่วยระบายกลิ่นของอาหารได้เป็นอย่างดี     5. ผักสวนครัวช่วยกำจัดกลิ่น หัวหอมพืชผักสวนครัวที่ช่วยให้เราคลายหวัดโล่งจมูกในช่วงที่ไม่สบายแล้ว ยังสามารถนำมาช่วยดูดกลิ่นภายในห้องครัวได้อีก เพียงผ่าหัวหอมออกเป็นสี่ส่วนและวางไว้กลางห้อง ก็ช่วยบรรเทากลิ่นได้แล้วล่ะครับ     ขอขอบคุณข้อมูลจาก www.forfur.com/แต่งบ้าน/เทคนิคดีๆ-5-เคล็ดลับ-จัดการกลิ่นในห้องครัว      
ต้องรีบกำจัด ! วิธีแก้ปัญหาแอร์มีกลิ่นเหม็นสุดจะดม ก่อนคนในบ้านจะทนอยู่ไม่ไหว

ต้องรีบกำจัด ! วิธีแก้ปัญหาแอร์มีกลิ่นเหม็นสุดจะดม ก่อนคนในบ้านจะทนอยู่ไม่ไหว

หากแอร์ที่บ้านมีกลิ่นไม่พึ่งประสงค์ มาดูวิธีแก้ปัญหาและกำจัดกลิ่นเหล่านั้นให้หายไป พร้อมรู้ทันถึงสาเหตุ วิธีทำความสะอาด และวิธีป้องกันไม่ให้แอร์มีกลิ่นกันดีกว่าครับ ด้วยอากาศของเมืองไทยที่ร้อนแรงไปซะทุก ๆ ฤดูกาล เชื่อว่าแทบทุกบ้านต้องติดตั้งแอร์เอาไว้ประทังความร้อนกันหมดแล้วแน่ ๆ ซึ่งถึงแม้ว่าแอร์จะมีประโยชน์ดี ๆ ที่ช่วยให้เราหายร้อนได้แบบง่าย ๆ ทว่าแอร์ก็ถือเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีปัญหาเยอะอยู่พอสมควร โดยหนึ่งในปัญหาเหล่านั้นก็คือแอร์มีกลิ่นเหม็น แต่ต่อไปนี้ปัญหาแอร์เหม็นอับจะหมดไป เพราะในวันนี้เราได้นำวิธีแก้ปัญหาแอร์มีกลิ่น พร้อมเจาะลึกถึงสาเหตุและวิธีป้องกันไม่ให้แอร์มีกลิ่นมาฝากทุกคนแล้ว   สาเหตุที่ทำให้แอร์มีกลิ่นเหม็น การที่แอร์ส่งกลิ่นเหม็นสามารถเกิดได้จากสาเหตุต่าง ๆ ต่อไปนี้   ความสกปรก การอุดตัน สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้แอร์มีกลิ่นเหม็นมักมาจากคราบสกปรกและการอุดตัน ทั้งจากฝุ่นละอองและน้ำขังต่าง ๆ และยิ่งไปกว่านั้นคราบสกปรกและสิ่งอุดตันพวกนี้ยังทำให้แอร์ไม่เย็น ทำให้เครื่องยนต์ต้องทำงานหนัก ส่งเสียงดัง และเสียได้ไวขึ้นด้วย   เชื้อรา อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้แอร์มีกลิ่นเหม็น ซึ่งพบเห็นได้บ่อย ๆ ก็คือ มีเชื้อโรคและเชื้อราสะสมอยู่ภายในแอร์ โดยเฉพาะบริเวณถาดรองน้ำทิ้ง ฉะนั้นอย่าลืมทำความสะอาดแอร์ที่บ้านบ่อย ๆ นะครับ   สัตว์ ตามซอกเล็ก ๆ ต้องระวังไว้ให้ดี เพราะอาจมีสัตว์ตัวเล็ก ๆ อาทิ มด แมลงสาบ หรือหนูเข้าไปทำรังหรือซ่อนตัวอยู่ในนั้น ซึ่งอาจจะอึหรือฉี่หรือตายอยู่ในนั้น หากทิ้งไว้นานวันโดยที่เราไม้รู้ ก็จะส่งกลิ่นเหม็นออกมาพร้อมลมจากช่องแอร์ได้   น้ำแอร์รั่ว เครื่องแอร์ที่มีน้ำรั่วไหล ก็มีส่วนที่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นออกมาจากแอร์ได้เหมือนกันนะครับ โดยจะเป็นกลิ่นเหม็นในแบบเหม็นไหม้หรือกลิ่นไอเสียนั่นเอง   วิธีทำความสะอาดแอร์บ้าน เพื่อแก้ปัญหาแอร์มีกลิ่นเหม็น 1. ปิดสวิตซ์และเบรกเกอร์ จากนั้นก็เปิดฝาครอบแอร์ 2. นำแผงกรองฝุ่นและถาดน้ำทิ้งออกไปล้าง โดยแผงกรองฝุ่นสามารถทำล้างทำความสะอาดได้โดยการฉีดน้ำแรง ๆ ในด้านที่ไม่มีฝุ่น เพื่อให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกอีกด้านหลุดออกมา อาจจะใช้แปรงขนนุ่มขัดด้วยก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดก็เปลี่ยนใหม่ไปเลยก็ได้ ส่วนถาดน้ำทิ้งให้ขจัดสิ่งสกปรกด้วยน้ำร้อนหรือน้ำสบู่ จากน้ำล้างออกด้วยน้ำยาฟอกขาวหรือน้ำส้มสายชู 3. นำทั้งคู่ไปตากแดดหรือผึ่งให้แห้ง 4. จากนั้นกลับมาที่แฟนคอยล์ยูนิต แล้วกำจัดฝุ่นและคราบสกปรกอุดตัน รวมถึงซากสัตว์ที่เสียชีวิตออกให้หมด พร้อมล้างทำความสะอาดตัวเครื่องให้เรียบร้อย 5. เสร็จแล้วเป่าลมหรือฉีดน้ำร้อน น้ำยาฟอกขาว หรือน้ำส้มสายชูเข้าไปในท่อน้ำทิ้ง เพื่อเป็นการกำจัดเชื้อราและเชื้อโรคที่สะสมอยู่ภายในให้ออกไปให้หมด อย่าลืมตรวจเช็กตามท่อต่าง ๆ ไม่ให้รูรั่วด้วยนะครับ จากนั้นก็ปล่อยทิ้งไว้ให้แห้ง 6. พอทุกอย่างเสร็จ แห้ง และสะอาดแล้ว ก็ให้ประกอบชิ้นส่วนที่เราถอมาเข้าที่เหมือนเดิม เพียงเท่านี้เราก็จะได้แอร์ที่ไร้กลิ่นเหม็นต่าง ๆ แล้วครับ   วิธีป้องกันไม่ให้แอร์มีกลิ่นเหม็นอับ สำหรับวิธีการป้องกันไม่ให้แอร์มีกลิ่นเหม็นเน่าหรือเหม็นอับนั้นอาจจะไม่ได้มีแน่ชัด แต่ถ้าหากเราหมั่นดูแลและล้างแอร์ให้สะอาดอยู่เสมอก็ถือเป็นการป้องกันไม่ให้แอร์ส่งกลิ่นเหม็นได้ โดยบริเวณแผงขดท่อคอยล์เย็นควรล้างทำความสะอาดเป็นประจำทุกปี ส่วนแผงกรอกฝุ่นก็ควรจะทำความสะอาดทุกเดือน เพราะเจ้าแผงกรองฝุ่นหรือฟิลเตอร์นี้ เป็นชิ้นส่วนที่มีฝุ่นเกาะอยู่มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแอร์ที่ติดตั้งไว้ในพื้นที่ที่มีฝุ่นเยอะ ยิ่งควรถอดล้างให้ได้ทุกวัน หรืออย่างน้อย ๆ ก็ทุกสัปดาห์ ส่วนระยะเวลาในการล้างทำความสะอาดชุดคอยล์ร้อน ควรล้างในทุก ๆ  6 เดือน หรือ 1 ปีครับ อ้อ นอกจากนี้อย่าลืมดูแลท่อน้ำทิ้งและถาดรองน้ำทิ้งไม่ให้มีเมือกและสิ่งสกปรกตกค้างอยู่ด้วย แล้วถ้าหากแถวบ้านมีหนูหรือแมลงสาบพอสมควร ก็อย่านิ่งเฉย คอยกำจัดหรือล่อให้มันไปอยู่ที่อื่นที่ห่างไกลจากแอร์ของเรา เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้มีสัตว์มาฉี่หรือตายในแอร์ด้วย ถ้าเครื่องปรับอากาศที่บ้านส่งกลิ่นเหม็น กลิ่นอับ กลิ่นไม่ดี ชีวิตในบ้านเราไม่มีความสุขแน่ ฉะนั้นเมื่อได้รู้ถึงสาเหตุ วิธีแก้ปัญหา วิธีทำความสะอาด และวิธีป้องกันเหล่านี้ไปแล้ว อย่าลืมใส่ใจดูแลเครื่องปรับอากาศที่บ้านให้ดี จะได้ไร้กลิ่นกวนใจ ส่งผลให้มีความสุขในการพักผ่อนที่บ้านได้แบบเต็มที่ไปเลย เป็นยังไงกันบ้างครับกับสาระดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับบ้านและคอนโดแบบนี้อีกมากมาย ติดตามต่อได้ที่นี่เลยนะค้าบบบ www.reviewyourliving.com/infographic ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.kapook.com/view184108.html
9 ความสกปรกสุดยี้ในห้องนอน รู้แล้วรีบทำความสะอาดด่วน!

9 ความสกปรกสุดยี้ในห้องนอน รู้แล้วรีบทำความสะอาดด่วน!

แหล่งเชื้อโรคในห้องนอน อันตรายใกล้ตัวที่สกปรกอย่างคาดไม่ถึง หลายคนอาจจะมองข้าม เพราะไม่คิดว่าห้องนอนที่ดูสะอาดสะอ้านจะสกปรกถึงขนาดนี้  แหล่งสะสมของเชื้อโรคไม่ได้มีแค่พื้นที่ที่สกปรก เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว หรือพื้นที่ชื้นแฉะเท่านั้น เนื่องจากเชื้อโรคและสิ่งสกปรกอื่น ๆ เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ฉะนั้นในพื้นที่ที่ดูเหมือนจะสะอาดและเรียบร้อย เช่น ห้องนอน ก็มีเชื้อโรคอาศัยและสะสมอยู่เช่นกัน ซึ่งบางทีอันตรายมากกว่าพื้นที่ที่มีคราบสกปรกด้วยซ้ำ 1. ในแต่ละคืนมีไรฝุ่นกว่า 1.5 ล้านตัวนอนร่วมเตียงกับคุณ ไรฝุ่น สาเหตุของโรคภูมิแพ้ มักพบได้ตามห้องนอน โดยพวกมันจะอาศัยอยู่ตามเตียง หมอน และผ้าห่ม มีจำนวนมากถึง 1.5 ล้านตัวเลยทีเดียว วิธีกำจัดคือ หมั่นนำชุดเครื่องนอน หมอน และผ้าห่มไปผึ่งแดดบ่อย ๆ เพื่อไล่ความชื้น ไรฝุ่น รวมถึงสิ่งสกปรกต่าง ๆ   2. พรมมีแบคทีเรียมากกว่าชักโครก 4,000 เท่า พรมในบ้านถือเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรกชั้นดี เนื่องจากพรมทำความสะอาดยากกว่าพื้นธรรมดา ดังนั้นแบคทีเรียจึงชอบมาอยู่ในพรม  เพื่อป้องกันการสะสมของแบคทีเรียในพรม ควรดูดฝุ่นอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง   3. หมอนเป็นแหล่งสะสมของไรฝุ่นและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ในระยะเวลา 3 ปี หมอนจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว และสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็คือไรฝุ่นและเซลล์ผิวหนังบนใบหน้าที่ตายแล้ว เพื่อป้องกันการสะสมของสิ่งเหล่านี้ให้หมั่นซักและทำความสะอาดหมอนเป็นประจำ โดยสามารถนำหมอนลงซักกับเครื่องซักผ้าได้ แต่ถ้าหมอนยุบและไม่คืนรูปแนะนำให้เปลี่ยนใหม่   4. โทรศัพท์มือถือสกปรกกว่าชักโครก จะเห็นได้ว่าในแต่ละวันโทรศัพท์มือถือต้องสัมผัสกับทั้งเหงื่อ เครื่องสำอางบนใบหน้า และสิ่งสกปรกที่ติดมากับมือ เมื่อนานวันเข้าสิ่งสกปรกเหล่านั้นจึงเกิดการสะสม ถ้าไม่ทำความสะอาดก็ยิ่งจะสะสมเพิ่มขึ้นไปอีก แต่สามารถกำจัดได้ด้วยการใช้แอลกอฮอล์เช็ดของใช้เหล่านี้บ่อย ๆ   5. ชุดนอนเป็นแหล่งที่อยู่ของแบคทีเรีย บางคนอาจจะคิดว่าแค่ใส่นอนเฉย ๆ ไม่ได้ใส่ไปเจอสิ่งสกปรกนอกบ้าน แต่ในระหว่างที่นอนหลับนั้นจะมีทั้งเหงื่อและไรฝุ่นที่อยู่บนเตียงสัมผัสกับชุดนอน ถ้าใส่ซ้ำหลายวันอาจจะทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรก ทางที่ดีควรใส่ซ้ำไม่เกิน 2-3 วัน   6. ในแต่ละปีเหงื่อที่ออกในขณะหลับมีปริมาณมากถึง 26 แกลลอน ตอนกลางคืนขณะหลับจะมีเหงื่อออกจากร่างกายไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะกับบ้านเราที่มีอากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้ ฉะนั้นเตียงนอนที่เรานอนทุกวันจึงรับเหงื่อไปเต็ม ๆ สามารถหลีกเลี่ยงการสะสมของเหงื่อและสิ่งสกปรกได้ ด้วยการฉีดสเปรย์กำจัดเชื้อโรคและนำที่นอนไปผึ่งแดด 7. เตียงนอนเต็มไปด้วยไรและสิ่งสกปรก นอกจากเครื่องนอนต่าง  ๆ แล้ว เตียงนอนก็ต้องได้รับการทำความสะอาดเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นสิ่งทีทำความสะอาดยากกว่าส่วนอื่น ๆ ก็ตาม เพราะเตียงนอนที่ผ่านการใช้งานมา 8 ปี มีปริมาณของเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วสะสมอยู่ถึง 4.5 กิโลกรัม ทั้งนี้สามารถทำความสะอาดได้ด้วยการดูดฝุ่น 8. ไวรัสสามารถอาศัยอยู่ในร่างกายคนได้ 48 ชั่วโมง ไวรัสและพาหะของไข้ต่าง ๆ สามารถอาศัยอยู่นอกร่างกายของคนที่เป็นไข้ได้ 48 ชั่วโมง แสดงว่าคนอื่น ๆ สามารถรับเชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายได้ถึงแม้ว่าคนที่เป็นไข้จะไม่ได้อยู่บริเวณนั้นแล้วก็ตาม   9. อาจจะป่วยได้ถ้านอนกับสัตว์เลี้ยง ถึงแม้ว่าเจ้าตูบและเจ้าเหมียวที่บ้านจะอาบน้ำหรือทำความสะอาดมาแล้ว แต่สิ่งสกปรกและเชื้อโรคก็ยังมีหลงเหลืออยู่ คนที่นอนร่วมเตียงกับสัตว์เลี้ยงจึงต้องทำความสะอาดเตียงนอนและเครื่องนอนต่าง ๆ มากกว่าปกติ สำหรับ 9 แหล่งเชื้อโรคในห้องนอนที่เรานำมาฝากนั้นจะเห็นได้ว่าเป็นจุดที่คาดไม่ถึงและต้องคลุกคลีอยู่ทุกวัน ทีนี้รู้แล้วรีบทำความสะอาดด่วนเลยนะคะ ถ้าไม่อยากไปหาหมอ ! เป็นยังไงกันบ้างครับกับสาระดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับบ้านและคอนโดแบบนี้อีกมากมาย ติดตามต่อได้ที่นี่เลยนะค้าบบบ www.reviewyourliving.com/infographic ขอขอบคุณข้อมูลจาก housebeautiful goodhousekeeping home.kapook.com/view152964
วิธีใช้ของก้นครัวปราบ 7 แมลงร้าย ให้ตายยกรังยันตัวแม่ !

วิธีใช้ของก้นครัวปราบ 7 แมลงร้าย ให้ตายยกรังยันตัวแม่ !

  วิธีกำจัดแมลงที่แอบแฝงตัวอยู่ใต้ชายคาบ้านเรา ด้วยของใช้ในครัวที่ปราศจากสารเคมีแรง ๆ และไม่ทำอันตรายกับคนในบ้าน แต่สามารถจำกัดแมลงสุดยี้ได้ทั้งรัง    ทำไมต้องตื่นมาสบตากับแมลงที่น่าขยะแขยงเต็มบ้านด้วยก็ไม่รู้ ทั้งที่บ้านก็บ้านของเราไม่ได้ขอเช่าเจ้าแมลงอยู่ซะหน่อย ครั้นจะซื้อผลิตภัณฑ์เคมีมาปราบก็กลัวว่าตัวเองจะสำลักถึงขั้นช็อกหมดสติไปก่อนเหล่าแมลงร้าย ถ้าอย่างนั้นมาดูเทคนิคการกำจัดแมลงทั้ง 7 ชนิด ที่ชอบแอบซ่อนตัวอยู่ในบ้านเรา กันหน่อยดีกว่า เพราะนอกจากจะมาบอกแหล่งซ่องสุมของเจ้าแมลงร้ายแล้ว ยังมาพร้อมเทคนิคการกำจัดแบบปลอดสารพิษให้คุณได้พิชิตแมลงให้อยู่หมัดให้วอดวายสนิททั้งรังไปเลย !     1. ยุงร้าย สยบได้ด้วยสมุนไพรกลิ่นหอม แหล่งซ่องสุม : ศัตรูตัวฉกาจของทุกคนในบ้านคงหนีไม่พ้นยุงตัวอันตรายพาหะนำโรคร้ายมาสู่เรา แถมการเพาะพันธุ์ก็ช่างง่ายดายซะเหลือเกิ๊น แค่วางไข่ในที่ที่มีน้ำขังและอับชื้นก็ก่อเกิดเป็นลูกน้ำนับสิบตัว และเติบโตเป็นยุงร้ายที่สร้างแต่ความรำคาญใจ ทั้งดูดเลือด บินตอด และเสียงหวี่ ๆ ตอนบินข้างหูที่ใช้มือตบยังไงก็ไม่เคยโดนตัวแบบจัง ๆ ซะที   วิธีกำจัด : แต่เอาเข้าจริงวิธีกำจัดนั้นไม่ยากเลย แนะนำให้คุณทำสเปรย์กันยุงที่ผสมจากน้ำมันหอมละเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ 15 หยด วานิลลาสกัดเข้มข้น 3-4 ช้อนโต๊ะ และน้ำมะนาว ¼ ถ้วยตวง หรือจะใช้สเปรย์น้ำมันตะไคร้หอมแบบไทย ๆ ของเราเอง หรือปลูกไม้สมุนไพรไว้บริเวณประตู เช่น ตะไคร้ สะระแหน่ จากนั้นเปิดให้ลมพัดกลิ่นเข้ามาในบ้านบ้าง แล้วเจ้ายุงตัวร้ายก็จะไม่มากวนใจอีกเลย       2. กำจัดมดตัวแม่ ให้แย่ทั้งรัง แหล่งซ่องสุม :ไม่ว่าบ้านไหน ๆ ก็ต้องเคยเจอปัญหาเจ้ามดร้าย ที่แอบดอดมาตอดอาหารอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นอาหารสำเร็จรูปสวยงามหรือแม้กระทั่งเศษอาหารที่เน่าเสียก็ตาม ที่สำคัญความชื้นก็เป็นปัจจัยหลักที่กวักมือเรียกมันเข้ามาทำรังให้กวนใจเรา ดังนั้นทางที่ดีก็ควรจะหมั่นทำความสะอาดเป็นประจำ โดยเฉพาะจุดที่เก็บหรือกินอาหาร และเบือนหน้าหนีสารเคมีที่ทำได้แค่เพียงบอกให้มันย้ายรังหนีกลิ่นเคมีไปชั่วคราว แล้วรอวันกลับคืนมาใหม่   วิธีกำจัด : ถ้ามันกล้าแกร่งได้เช่นนั้น เราก็ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุขุดรากนางพญามดให้จบสิ้นกันไป ด้วยการผสมน้ำตาล ½ ถ้วยตวงกับน้ำอุ่น 1 ถ้วยตวง และผงบอแรกซ์อีก 1 ช้อนโต๊ะ แล้วคนส่วนผสมจนกระทั่งทั้งหมดละลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำสำลีแผ่นมาชุบให้ชุ่มแล้ววางทิ้งไว้ เจ้ามดก็จะหลงกลออกมาเก็บน้ำหวาน ๆ เพื่อเอาไปให้พญามดกิน เพียงแค่นี้ไม่ว่าจะเป็นมดตัวแม่หรือลูกก็ตายสิ้น       3. ปราบแมงมุมให้เสียท่าแบบไม่รู้ตัว  แหล่งซ่องสุม : แม้ว่าบนโลกนี้จะมีแมงมุมหลากหลายชนิดที่สามารถพบได้ตามที่อยู่อาศัยทั้งในบ้านและในสวน แต่โดยทั่วไปแล้วแมงมุมส่วนใหญ่จะชอบอาศัยอยู่ตามจุดที่มีความชื้นและอากาศเย็น ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจหากพบใยเส้นเล็ก ๆ แผ่หราอยู่ตามมุมเล็ก ๆ ของบ้านเป็นประจำ เช่น บนเพดาน ริมระเบียง หรือแม้แต่บนดอกไม้หรือใต้ใบไม้ในสวนสวย ๆ ของคุณ   วิธีกำจัด : แต่ต่อให้พรางตัวเก่งแค่ไหนก็ไม่มีทางรอดแน่นอน เพราะเราจะจำกัดแบบไม่ให้แมงมุมรู้ตัว โดยเทน้ำยาล้างจานใส่ขวดสเปรย์ที่ผสมกับน้ำสบู่ ¼ ถ้วยตวงกับน้ำเปล่าอีก 2 แกลลอน แล้วนำไปฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณพุ่มต้นไม้สวนหน้าบ้านและตามซอกหลืบมืด ๆ ทีนี้เจ้าแมงมุมก็จะรีบเก็บกระเป๋าย้ายสำมะโนครัวกันด่วน ๆ เลยล่ะค่ะ       4. สูตรผสมจากก้นครัว ให้ตัวริ้นดิ้นรนอยู่ไม่ได้ แหล่งซ่องสุม : พอพูดถึงริ้นทุกคนจะพุ่งเป้าไปที่อวัยวะในช่องปาก แต่ถ้าออกเสียงตามอักขระแล้วละก็มันก็คือ แมลงน้อยฤทธิ์เยอะที่หากใครโชคร้ายโดนมันดูดเลือดเข้าไป จะต้องทนทุกข์ใจกับรอยบวมแดง หรืออาจถึงขั้นเป็นแผลพุพองไปหลายวันเลย   วิธีกำจัด : มาตัดวงจรอันตรายเหล่านี้ด้วยการผสมน้ำยาล้างจาน 2 หยดกับน้ำส้มสายชูใส่ถ้วยไว้หลาย ๆ ถ้วย แล้วนำไปวางรอบบ้าน และอย่างน้อย 1 ถ้วย สำหรับห้องที่คิดว่ามีตัวริ้นซ่อนอยู่ แล้วรอเวลาให้ตัวริ้นมาติดกับดัก และหลังจากที่ตักตัวริ้นออกจากถ้วย ก็อย่าลืมหมั่นเติมส่วนผสมข้างต้นทุก ๆ 1-2 วันด้วยนะคะ       5. แมลงวันหมดทางหนี เพราะนิสัยตะกละ แหล่งซ่องสุม :แมลงวัน เป็นแมลงอีกหนึ่งชนิดที่สร้างความน่ารำคาญใจไม่น้อย เพราะต้องคอยปัดอยู่เรื่อยเวลาที่เอาขาสกปรก ๆ ของมันมาตอมอาหาร แก้วน้ำ หรือของอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ชวนเลยสักนิด จนบางทีต้องตัดใจทิ้งไปบ้าง เพราะมันมาตอมจนสกปรกไปหมด   วิธีกำจัด : อย่าปล่อยให้มันบินรกหูรกตาอีกต่อไป ด้วยการใช้กับดักล่อให้ชีวาวาย โดยผสมไวน์หรือแอปเปิลไซเดอร์กับน้ำยาล้างจานแล้ววางทิ้งไว้ คราวนี้พอแมลงวันบินมาตอมกับดัก และเผลอดูดน้ำเข้าไปก็จะค่อย ๆ หมดลมหายใจไปในที่สุด       6. หมั่นทำความสะอาดปราบแมลงหวี่ขน จอมสกปรก แหล่งซ่องสุม : แมลงที่น่ารำคาญพอ ๆ กับแมลงวัน ที่มักจะพบเห็นได้ทั่วไปในห้องน้ำ อ่างล้างจาน และท่อน้ำทิ้ง ที่อาศัยปัจจัยความชื้น สิ่งสกปรก และความเน่าเหม็นในการดำรงชีวิต ขนาดจะใช้มือบี้อยู่แล้วมันยังเกาะผนังจังก้าอยู่เลย ฉะนั้นต่อให้ใช้สารเคมีมันก็ไม่หนีไปไหนหรอก   วิธีกำจัด : ในเมื่อกำจัดมันไม่ได้เราก็ต้องมาเปลี่ยนสภาพบรรยากาศในบ้านให้สะอาดดีกว่า โดยเริ่มจากการขัดล้างห้องน้ำและโถส้วมทุกอาทิตย์ เรียกบริการสูบส้วมมาบ้าง หรือปิดฝาท่อน้ำทิ้งเมื่อไม่ใช้ ส่วนในครัวก็ต้องทำความสะอาดอ่างล้างจานก่อนนอน และอย่าตั้งจานชามเลอะ ๆ ทิ้งเอาไว้ เมื่อบรรยากาศสกปรกหายไปยังไงแมลงส้วมก็หมดหนทางอยู่แน่นอน       7. ปราบแมลงสาบด้วยส่วนผสมเพียง 2 อย่าง แหล่งซ่องสุม : สุดยอดแมลงลมกรดและหนังเหนียวประจำบ้าน ที่บางครั้งใช้ไม้กวาดตีซ้ำยังวิ่งต่อได้ และหายเข้ากลีบเมฆไปในที่สุด จะโผล่มาให้เห็นอีกทีก็แถว ๆ ถังขยะ ลิ้นชัก หรือตู้เก็บของ ที่ถึงแม้จะไม่มีของสกปรกอยู่เลย แต่ถ้าเป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยได้รับการเหลียวแลจากเจ้าของบ้าน แมลงสาบก็จะเข้ามายึดพื้นที่ และให้กำเนิดลูกหลานอีกนับร้อย   วิธีกำจัด : ผสมเบกกิ้งโซดาและน้ำตาลในปริมาณที่เท่ากัน จากนั้นน้ำไปโรยไว้บริเวณที่เห็นแมลงสาบโผล่ออกมาบ่อย ๆ ทีนี้พอแมลงสาบเห็นกับดักของเรา ก็จะเก็บเอาส่วนผสมเหล่านั้นไปแบ่งกันกินในรัง ที่เหลือเราก็แค่รอเวลาเก็บกวาดเหล่าแมลงสาบที่นอนตายออกจากบ้าน     รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าทนแบ่งพื้นที่บ้านร่วมกับแมลงที่ไม่ได้รับเชิญอีกเลย เพียงแค่นำเทคนิคกำจัดแมลงร้ายด้วยของก้นครัวที่เรานำมาฝากกันไปลองทำดูนะคะ นอกจากแมลงจะหายแล้ว คราวนี้บ้านก็จะทั้งสะอาดและน่าอยู่ แถมร่างกายคุณก็ยังปลอดภัยจากเหล่าแมลงร้ายอีกด้วย       ขอขอบคุณข้อมูลจาก https://home.kapook.com/view120120.html      
วางผิดชีวิตเปลี่ยน!! เผยทิศต้องห้ามวางหิ้งพระ

วางผิดชีวิตเปลี่ยน!! เผยทิศต้องห้ามวางหิ้งพระ

หลังจากที่ดูทริคการจัดหิ้งพระที่ควรทำไปแล้ว คราวนี้เรามาดูทิศต้องห้ามที่เจ้าของบ้านไม่ควรตั้งหิ้งพระกันต่อ มาดูกันว่าคุณเกิดปีไหนและห้ามไม่ให้ตั้งหิ้งพระตรงไหน   เจ้าของบ้านเกิดปีชวด ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศเหนือ เพราะจะส่งผลให้เจ้าบ้านเกิดอันตราย จนอาจถึงขั้นเสียชีวิต   เจ้าของบ้านเกิดปีฉลู ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะส่งผลให้เจ้าบ้าน เกิดการเจ็บป่วยอย่างกะทันหัน เจ้าของบ้านเกิดปีขาล ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จะส่งผลให้ผู้หญิงและสมาชิกในครอบครัวเกิดอันตราย   เจ้าของบ้านเกิดปีเถาะ ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาไปทางทิศตะวันออก จะส่งผลให้เกิดความสูญเสียคนในบ้านจะเสียชีวิต เจ้าของบ้านเกิดปีมะโรง ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออก จะส่งผลให้คนในบ้านเกิดการเสียหายทั้งชายและหญิง   เจ้าของบ้านเกิดปีมะเส็ง ห้ามตั้งหิ้งพระบูชา หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้คนในครอบครัวมีความยุ่งยากที่สุดจนหาความสงบสุขไม่ได้ เจ้าของบ้านเกิดปีมะแม ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้ครอบครัว เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างไม่คาดฝัน   เจ้าของบ้านเกิดปีมะเมีย ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศใต้ จะส่งผลให้เกิดเรื่องราวอัปมงคลขึ้นภายในบ้าน เจ้าของบ้านเกิดปีวอก ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้เกิดเรื่องร้าย ๆ กับสมาชิกเพศชายในครอบครัว   เจ้าของบ้านเกิดปีระกา ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเพราะ จะทำให้ความทุกข์โศกมาเยือนครอบครัวจนต้องร้องให้อยู่เสมอ   เจ้าของบ้านเกิดปีจอ ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เพราะจะส่งผลร้ายให้สมาชิกในครอบครัวอย่างมาก ถึงขั้นเสียชีวิตได้ เจ้าของบ้านเกิดปีกุน ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพราะจะส่งผลให้เกิดเรื่องร้าย ๆ ในครอบครัวอยู่ตลอด เสียเงินเสียทองขึ้นโรงขึ้นศาล ได้หลักการจัดหิ้งพระแบบง่ายๆ กันไปแล้ว ก็ลองตรวจเช็คดูนะครับว่าเราวางถูกต้องแล้วหรือยัง   เป็นยังไงกันบ้างครับกับสาระดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับบ้านและคอนโดแบบนี้อีกมากมาย ติดตามต่อได้ที่นี่เลยนะค้าบบบ www.reviewyourliving.com/infographic ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.sanook.com/home/9521/
ทริคจัดหิ้งพระในบ้านอย่างไรให้เป็นสิริมงคลกับเจ้าของ

ทริคจัดหิ้งพระในบ้านอย่างไรให้เป็นสิริมงคลกับเจ้าของ

บ้านแต่ละหลังย่อมมีหิ้งพระ หรือมากกว่านั้นอาจจะมีหิ้งเทพ หิ้งรูปบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ แต่ก็ยังพบปัญหาว่าหลายคนไม่ทราบว่าควรจัดวาง ตั้งหิ้งพระไว้บริเวณใดของบ้านถึงเหมาะสมและเป็นมงคลกับชีวิต รวมถึงอาจเผลอวางหิ้งพระผิดที่ผิดทางจนเกิดความไม่เป็นมงคลได้ เราจึงรวบรวมคำแนะนำเรื่องการจัดหิ้งพระให้เหมาะสมและเป็นมงคลต่อเจ้าของบ้าน   หมั่นดูแลหิ้งพระให้สะอาดอยู่เสมอ หลายจุดในบ้านเจ้าของบ้านให้ความสำคัญแต่บางครั้งหลงลืมตำแหน่งของหิ้งพระ ดังนั้นต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาดองค์พระหรือรูปเทพ เพราะหากองค์พระหรือรูปเทพมีฝุ่นจับเชื่อว่าจะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย นอกจากนั้นควรหมั่นเปลี่ยนน้ำ ดอกไม้ในแจกันบูชาเพื่อให้ชีวิตของคนในบ้านสดชื่น แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา   เลือกตำแหน่งที่สงบ หิ้งพระควรตั้งอยู่ในพื้นที่ๆ สงบ ไร้เสียงรบกวน จอแจ เช่นบางบ้านประดับหิ้งพระไว้บริเวณประตูเข้า-ออก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าคนในบ้านจะพบแต่ความวุ่นวาย   หิ้งพระบนหลังตู้ควรสูงกว่าศีรษะ หากคุณพักอาศัยในคอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนท์หิ้งพระควรอยู่สูงกว่าศีรษะเพราะมันเกี่ยวพันกับความเจริญก้าวหน้า อาชีพการงาน   หิ้งพระควรตั้งอยู่ในมุมที่เป็นสัดส่วน ไม่ใช่เมื่ออยู่นอกบ้านแล้วสามารถมองเห็นหิ้งพระในบ้านอย่างชัดเจน เช่นนั้นถือว่าไม่ดี บนหิ้งพระควรมีองค์พระหรือองค์เทพเป็นจำนวนเลขคี่ หิ้งพระไม่ควรติดตั้งผนังเดียวกับห้องน้ำหรือห้องครัว รวมถึงไม่ควรหันหน้าหิ้งบูชาไปตรงกับประตูห้องน้ำหรือห้องครัว เพราะจะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย มีเรื่องขัดแย้งหรือเงินทองรั่วไหล   หิ้งพระไม่ควรตั้งอยู่ปลายเตียง หากไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรตั้งหิ้งบูชาไว้ในห้องนอน เนื่องจากเราอาจมีกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าหิ้งพระเช่นการเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือการร่วมหลับนอนของคู่สามี-ภรรยา อีกทั้งยังไม่ควรหันหน้าหิ้งพระไปยังทิศที่เตียงตั้งอยู่ด้วย   ห้องพระคือห้องพระ ห้องพระก็คือห้องสำหรับตั้งบูชาพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว เราอย่าใช้ห้องพระไว้เก็บข้าวของชนิดอื่นๆ รวมทั้งห้องพระไม่ควรอยู่ติดกับห้องน้ำหรือมีประตูตรงกับห้องน้ำ   ห้องรับแขกไม่ใช่ที่ตั้งของหิ้งบูชา อย่างที่บอกว่าหิ้งพระควรตั้งอยู่ในห้องที่ค่อนข้างมีบรรยากาศสงบ   หลีกเลี่ยงการตั้งหิ้งบูชาไว้ใต้คาน เพราะหมายถึงดวงชะตาของเจ้าของบ้านอาจถูกกดทับ และมักมีเรื่องให้ปวดหัวอยู่เสมอ   เป็นยังไงกันบ้างครับกับสาระดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับบ้านและคอนโดแบบนี้อีกมากมาย ติดตามต่อได้ที่นี่เลยนะค้าบบบ www.reviewyourliving.com/infographic   ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.sanook.com/home/9521/
5 วิธีคืนชีพร่องยาแนว สวยสดใส น่าอยู่ยิ่งกว่าเดิม

5 วิธีคืนชีพร่องยาแนว สวยสดใส น่าอยู่ยิ่งกว่าเดิม

“งานบ้าน” ใครว่าไม่เหนื่อย พอลงมือทำจริง ๆ ก็เรียกเหงื่อได้เหมือนกันนะครับ การหาเคล็ดลับดี ๆ วิธีผ่อนแรงจึงเป็นแนวทางที่จะช่วยทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่ายได้ อย่างการทำความสะอาดพื้นกระเบื้องที่มีคราบดำติดฝังแน่นตามร่องยาแนว ที่ใคร ๆ เห็นแล้วก็ต้องหนักใจ เพราะลำพังใช้แปรงขัดถู ขัดทั้งวันก็ไม่สะอาด เนื้อหาชุดนี้ “บ้านไอเดีย” จึงรวบรวมวิธีทำความสะอาดร่องกระเบื้องแบบทำเองได้ไม่ต้องจ้างช่าง เพื่อให้คุณแม่บ้านและคุณพ่อบ้านไม่เหนื่อยจนเกินไป จะได้เหลือเวลาใช้ทำธุระส่วนตัวหรือพักผ่อนร่วมกับครอบครัวในวันหยุดมากขึ้นกว่าเดิม สนับสนุนโดย : บุญถาวร   บ้านยุคใหม่ ใคร ๆ ก็ปูพื้นและผนังด้วยกระเบื้องเซรามิก เนื่องด้วยเป็นวัสดุที่ทนทาน ดูแลง่ายกว่างานไม้และวัสดุอื่น ๆ กระเบื้องมีเพียงข้อเสียเดียวคือรอยต่อของร่องยาแนว เมื่อใช้งานไปนาน ๆ มักมีฝุ่นผงติดแน่น ยากที่จะทำความสะอาดให้กลับมาใหม่เช่นเดิมได้ วันนี้เรามีวิธีการขจัดสิ่งสกปรกฝังแน่นตามร่องยาแนวที่จะกลายเป็นเรื่องง่าย ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ ไม่เปลืองเงิน ไม่เปลืองแรงกับ 5 วิธีนี้ครับ     1. สูตรเบคกิ้งโซดาและไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์   หลายคนอาจจะสงสัยว่าเบคกิ้งโซดากับไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ คืออะไร เบคกิ้งโซดาหรือโซเดียมไบคาร์บอเนต เป็นส่วนผสมสำหรับทำขนมให้ขึ้นฟู (คนละตัวกับผงฟูนะครับ) จะมีความเป็นด่าง ส่วนไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ก็เป็นน้ำยาที่เราใช้ล้างแผลนั่นเองครับ มีคุณสมบัติช่วยให้บริเวณที่ใช้งานขาวและสะอาด โดยไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ที่รุนแรงต่อผู้ใช้และผิววัสดุยาแนว ซึ่งทำมาจากซีเมนต์ที่มีรูพรุน จึงถูกกัดกร่อนได้จากสารเคมีรุนแรงที่พบในน้ำยาทำความสะอาดในครัวเรือนทั่วไป สองอย่างนี้จึงค่อนข้างปลอดภัยเมื่อนำมาใช้ในบ้าน   วิธีใช้คือ ผสมไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ¼ ถ้วยตวง เบคกิ้งโซดา ½ ถ้วยตวง (หรือเพิ่มพลังขจัดความสกปรกด้วยการเติมน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนชา) คนส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วนำไปป้ายตามร่องยาแนว 30 นาที จากนั้นใช้แปรงแข็ง ๆ ขัดจนคราบดำ ๆ หลุดออก ใช้ผ้าสะอาดเช็ดตาม แล้วล้างออกด้วยน้ำอีกครั้ง     2. สูตรน้ำยาล้างห้องน้ำผสมน้ำส้มสายชู   การทำความสะอาดด้วยน้ำส้มสายชู เป็นสูตรคลาสสิคที่หลายบ้านนิยมใช้เป็นน้ำยาพื้นฐานในการทำความสะอาดพื้น เพราะหาง่ายในครัว เป็นกรด acetic acid ที่ไม่มีสารพิษตกค้าง สูตรนี้จะใช้น้ำยาล้างห้องน้ำผสมกับน้ำส้มสายชูอย่างละครึ่ง แล้วใช้แปรงจุ่มขัดตามร่อง ใช้เวลาและแรงเพียงนิดเดียวก็ขัดออกได้หมด น้ำยาล้างตำรับนี้มีกลิ่นฉุนแรงและขจัดคราบค่อนข้างได้ผลดี เพราะน้ำยาล้างห้องน้ำมีส่วนผสมของกรดเกลือ (hydrochloric acid)  น้ำส้มสายชูกลั่นก็มีฤทธิ์เป็นกรดเช่นกัน ดังนั้นจึงเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำลายคราบคูณ 2 ซึ่งผู้ใช้งานเองก็ต้องระวัง ควรลงมือทำในช่วงที่ไม่มีสัตว์เลี้ยงหรือเด็กอยู่ใกล้ ๆ     3. แต้มร่องยาแนวด้วยสี   การเปลี่ยนคราบสีดำบริเวณร่องกระเบื้องให้ดูขาวสะอาดแบบเบสิค ไม่ใช้เทคนิคซับซ้อนก็ขาวได้ทันใจ นั่นคือ การใช้พู่กันจุ่มสีอะคริลิคสำหรับงานวาดรูป แบบ Deco Art ซึ่งจะมีคุณสมบัติที่กันน้ำได้ ทาเคลือบตามร่องยาแนวให้ทั่ว หากสีเลอะออกไปเปื้อนกระเบื้องก็สามารถใช้ฟองน้ำหรือผ้าชุบน้ำเช็ดได้ เมื่อทาเสร็จแล้วทิ้งไว้ให้สีแห้งสนิทประมาณ 24 ชั่วโมงเป็นอันเสร็จเรียบร้อย กรณีใช้สีอะคริลิคแนะนำเป็นกระเบื้องผนังนะครับ หากเป็นกระเบื้องพื้นอาจใช้สีซีเมนต์หรือสีที่ผลิตมาเพื่อเติมร่องยาแนวโดยเฉพาะ จะทนต่อความชื้นและแรงขัดถูได้ดีกว่าสีอะคริลิคทั่วไปครับ     4. ทำความสะอาดด้วยกระดาษทราย    สำหรับใครที่คิดว่าสูตรที่ให้มา 3 ข้อนี้ ยังไม่ได้ผลขั้นสูงสุดแบบที่อยากจะให้เป็น และพร้อมที่จะเสียสละผิวร่องยาแนว ให้ใช้สูตรขัดด้วยกระดาษทราย รับรองว่าร่องยาแนวจะขาวขึ้นแน่นอน แต่อาจต้องแลกมาด้วยการออกแรงมากกว่าสูตรอื่น ๆ สักหน่อย ซึ่งวิธีการก็ง่าย ๆ คือเลือกซื้อกระดาษทรายความละเอียดมากหน่อยประมาณเบอร์ 180-240 นำมาพับเป็นชิ้นเล็ก ๆ หรือพับพันหวีอันเล็ก ๆ  แล้วนำไปขัดตามร่องยาแนวดำ ๆ จนคราบออกหมดก็เสร็จเรียบร้อย ระวังอย่าเลือกกระดาษทรายเม็ดหยาบไปเพราะอาจจะขูดกระเบื้องเป็นรอยได้ครับ     5. ใช้น้ำยาทำความสะอาดร่องยาแนวโดยเฉพาะ   คุณพ่อบ้านแม่บ้านที่ไม่มีวัตถุดิบสำหรับงาน D.I.Y หาในบ้านแล้วไม่มีน้ำส้มสายชู ไม่มีเบคกิ้งโซดา หรือกลัวอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการผสมวัตถุดิบเอง แนะนำให้หาซื้อผลิตภัณฑ์น้ำยาทำความสะอาดร่องยาแนวโดยเฉพาะ  โดยปกติมีจำหน่ายตามแผนกน้ำยาทำความสะอาด ข้อดีของน้ำยาเหล่านี้ คือ ปลอดภัย ไม่ทำลายผิวหน้ากระเบื้อง กลิ่นไม่ฉุนเท่ากับสูตรต่าง ๆ ที่ผสมเอง ซื้อมาเพียงขวดเดียว สามารถใช้ได้กับงานกระเบื้องทั้งหลังครับ   จบทั้ง 5 วิธี ที่จะช่วยให้กระเบื้องพื้นและกระเบื้องผนังบ้านของเรา กลับมาดูสดใสมีชีวิตชีวาน่าอยู่ยิ่งกว่าเดิม แต่ละวิธีไม่ยากเลยใช่ไหมครับ ถนัดใช้วิธีไหนประยุกต์ได้ตามความต้องการ แต่หากเลือกใช้วิธีที่ต้องสัมผัสสารเคมี ซึ่งอาจมีฤทธิ์เป็นกรด เป็นด่าง แนะนำให้หาถุงมือยางมาสวมใส่ เพื่อป้องกันมือไม่ให้สัมผัสกับสารเคมีโดยตรง   ส่วนใครที่อยากใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดคราบสกปรกบริเวณร่องยาแนวโดยเฉพาะ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ทั้งกระดาษทราย สีอะคริลิค ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นบ้านและห้องน้ำหลากหลายยี่ห้อ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นมาเพื่อวัสดุต่าง ๆ โดยเฉพาะ ช่วยป้องกันผิววัสดุไม่ให้ถูกทำลายจากสารเคมี หรือต้องการคำแนะนำอื่น สามารถหาซื้อสินค้าพร้อมรับคำปรึกษาจาก บุญถาวร ผู้นำงานกระเบื้องเซรามิกของไทย ได้ทุกสาขาใกล้บ้านครับ   ข้อมูลเพิ่มเติม เว็บไซต์: Boonthavorn.com ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.banidea.com/tile-cleaner-by-boonthavorn/
วิธีดับกลิ่นเหม็นจากท่อน้ำ ด้วยสิ่งของใกล้ตัว

วิธีดับกลิ่นเหม็นจากท่อน้ำ ด้วยสิ่งของใกล้ตัว

ปัญหาท่อระบายน้ำภายในบ้านและคอนโดส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ เป็นปัญหาอย่างหนึ่งที่กวนใจคุณแม่บ้านและใครหลายๆ คน เช่น ชักโครก ท่อน้ำทิ้งในห้องน้ำ ท่ออ่างล้างจานในห้องครัว หรือท่อระบายน้ำเครื่องซักผ้า ซึ่งจุดนั้นมักมีกลิ่นเหม็นที่เกิดจากเศษอาหารหลุดลงไป หรือเป็นแหล่งสะสมของคราบสกปรกและเชื้อโรค แม้ว่าบางครั้งคุณได้ล้างทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมแล้วก็ตาม ปัญหาเหล่านั้นจะหมดไป เพราะวันนี้เรามีวิธีกำจัดกลิ่นท่อเหม็นเหล่านั้นมาฝากกันค่ะ   รักษาความสะอาด คุณต้องเก็บเศษอาหารทิ้งลงถังขยะแทนการเทลงท่อน้ำโดยตรง ส่วนท่อระบายน้ำในห้องน้ำหมั่นเอาเศษผมออก และเวลาคุณแม่บ้านกวาดบ้านควรตักเศษผงใส่ที่ตักขยะ ห้ามกวาดเศษผงนั้นลงในห้องน้ำเด็ดขาด นอกจากเศษผงจะส่งกลิ่นแล้วยังทำให้ท่อน้ำตันได้อีกด้วยนะ   ทำความสะอาดท่อด้วยเบกกิ้งโซดา โดยการนำเบกกิ้งโซดามาโรยลงในท่อ จากนั้นให้คุณราดน้ำส้มสายชูตามลงไปในปริมาณที่เท่ากัน แล้วรอประมาณ 15 นาที จึงค่อยราดน้ำเดือดตามลงไป วิธีนี้ช่วยสลายเศษอาหารหรือกระจุกเส้นผมภายในท่อออก ทำให้ท่อโล่งและน้ำไหลได้สะดวกขึ้น   ทำความสะอาดด้วยโซดาไฟ เนื่องจากโซดาไฟเป็นสารเคมีอันตรายอย่างมากคุณควรเรียกผู้เชี่ยวชาญมาจัดการให้ หรือหากต้องทำเองควรใช้อย่างระมัดระวัง เวลาใช้ต้องใส่ถุงมือ และผ้าปิดปากปิดจมูกทุกครั้ง นำโซดาไฟใส่ลงในภาชนะ ค่อยๆ เติมน้ำแล้วคนให้ละลาย จากนั้นเทลงในท่อที่อุดตัน ระวังอย่าให้เข้าตา จมูก และปาก แม้กระทั่งผิวหนังเอง เพราะโซดาไฟมีฤทธิ์เป็นด่าง หากเข้มข้นมากก็สามารถกัดผิวหนังให้เปื่อยยุ่ยได้ในระยะเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาทีนะคะ   ใช้ผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ ผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ เช่น ยาขจัดเชื้อโรคเดทตอล หรือจุลินทรีย์ EM เป็นต้น คุณสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์ที่ใช้ในครัวเรือน โดยนำเอา EM เทลงไปในท่อน้ำทิ้ง ประมาณ 2-4 ลิตร (แล้วแต่พื้นที่ของท่อ) ติดต่อกันทุกวันประมาณ 1 สัปดาห์ พวกจุลินทรีย์หรือน้ำหมักชีวภาพนี้ จะทำหน้าที่ย่อยสลายคราบไขมัน หรือคราบสกปรกที่ติดอยู่ภายในท่อ ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาท่อเหม็นนี้   ดับกลิ่นด้วยเกลือ ให้คุณนำเกลือที่เราใช้ปรุงอาหารมาละลายกับน้ำอย่างเข้มข้น แล้วนำไปราดลงในชักโครกหรือคอห่านได้เลย ฤทธิ์ของเกลือจะช่วยขจัดเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นเหม็นได้   จะเห็นว่าการกำจัดท่อเหม็นด้วยวิธีเหล่านี้ จะช่วยแก้ปัญหากลิ่นจากท่อน้ำทิ้งได้ แต่สิ่งที่ควรปฏิบัติคือ การหมั่นดูแลทำความสะอาด อย่าให้มีเศษเส้นผม เศษอาหาร หรืออะไรหลุดลงไปตามท่อ เพียงเท่านี้ก็ขจัดแหล่งสะสมของเชื้อโรค และไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์มารบกวนใจผู้อยู่อาศัยได้อีก     ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.klangpanya.com/วิธีแก้ท่อเหม็น/            
คิดซักนิด ก่อนเช่าคอนโด

คิดซักนิด ก่อนเช่าคอนโด

การเช่าห้องพักหรือคอนโด เป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับวัยทำงาน และวัยเรียน ที่ต้องการมีที่พัก ใกล้ที่ทำงานหรือที่เรียน เพราะหากจะซื้อบ้านหรือคอนโดอยู่ถาวรเลยนั้น ก็เป็นเรื่องที่หนักเอาการ การเช่าอยู่ จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ที่จะช่วยให้ความสะดวกสบายมากขึ้น   ทำเล ทำเล เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพราะการเช่าคอนโดนั้น ต้องช่วยเพิ่มในความสะดวกสบายของการเดินทาง และแหล่งของกินที่จะช่วยในเรื่องของการดำรงชีวิต และอาศัยในแต่ละวัน เพราะถ้ามีสิ่งเหล่านี้ครบ ชีวิตเราก็จสบายขึ้นเยอะเลย และที่สำคัญคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปด้วยนะ   ที่จอดรถ หายากพอสมควรสำหรับหลายๆ ที่โดยเฉพาะคนที่มีรถนั้น ต้องดูที่พักที่มีที่จอดรถ และไม่เปลี่ยวจนเกินไป เพราะนอกจากจะอันตรายต่อทรัพย์สินของท่านแล้ว ยังช่วยให้ง่ายต่อการใช้ชีวิตมากขึ้นอีกด้วย แต่คงไม่มีปัญหาสำหรับหลายๆ คนที่ไม่ได้ใช้รถแต่ใช้การเดินทางโดยรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นใต้ดินหรือบนฟ้าก็ตาม ซึ่งปัจจุบัน ก็มีหลายคอนโดที่อยู่ติดรถไฟฟ้า และเส้นทางคมนาคมอื่นๆ ด้วย ทำให้ง่ายต่อการเดินทาง    เพื่อนบ้านนิสัยดี สภาพแวดล้อมอีกอย่างที่อาจจะสังเกตุยากหน่อย และควรจะหมั่นสังเกตุ ฉะนั้นหากห้องข้างๆ ดูน่าไว้ใจและมีอุปนิสัยที่ดีก็ถือเป็นความโชคดีสุดๆ ของคุณเลยทีเดียว เพราะจะหมดปัญหากวนใจอย่างการส่งเสียงดังรบกวน หรือความเสี่ยงในชีวิต และทรัพย์สินต่างๆ เผลอๆ อาจจะได้เพื่อนดีๆ ที่พึ่งพาได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย   การบำรุงรักษาห้องพัก ก่อนตัดสินใจเช่าคอนโด แนะนำให้ตรวจสอบร่องรอยความเสียหาย และการบำรุงรักษาห้องพักให้ดี ว่าส่วนไหนในห้องพักมีการชำรุด และยังไม่ได้รับการซ่อมแซมบ้าง หรือจุดที่ซ่อมแซมแล้วใช้งานได้จริง หรือไม่ เพราะเจ้าของห้องที่มีการใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ จะช่วยยืนยันได้ว่า หากเกิดปัญหาอะไรในห้องพัก คุณจะได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ อีกอย่างจะได้ใช้ยืนยันเวลาทำสัญญาเช่าพักและจ่ายค่าประกันห้องด้วย เพื่อเลี่ยงปัญหาโดนหักค่าประกันห้องพักในภายหลังค่ะ   ค้นหารายละเอียดเกี่ยวกับคอนโด การรู้ประวัติความเป็นมาของคอนโดนั้นๆ ก่อนตัดสินใจเข้าพักก็จำเป็นไม่น้อย ยิ่งเดี๋ยวนี้โลกออนไลน์เป็นแหล่งข่าวที่ดี ก็จะยิ่งทำให้ได้ทราบปัญหาและความเสี่ยงต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่าง ถ้าพื้นที่ไหนเกิดเหตุร้ายบ่อยๆ เช่น ปล้น ชิงทรัพย์หรือฆ่าข่มขืน คุณจะได้ไหวตัวทันว่าพื้นที่นั้นไม่ปลอดภัย เป็นต้น   ชัดเจนเรื่องค่าใช้จ่าย อย่าลังเลที่จะถามถึงบิลค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต หรือค่าโทรศัพท์จากเจ้าของห้อง ว่าได้รับการชำระหมดแล้วหรือไม่ จะได้ไม่เป็นภาระให้คุณต้องมานั่งรับผิดชอบทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นคนก่อ ให้ปวดใจเล่น รวมไปถึงส่วนกลางต่างๆ การให้บริการ   ตรวจสอบกฎระเบียบเรื่องการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง หากคุณมีเพื่อนรักเป็นสัตว์เลี้ยง การหาคอนโดเช่าก็เป็นเรื่องยากขึ้นมาอีกนิดหน่อย เพราะไม่ใช่คอนโดทุกแห่งจะอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ ดังนั้นควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าที่พักนั้นๆ ไม่มีกฎห้ามในเรื่องสัตว์เลี้ยง แต่หากคุณไม่มีสัตว์เลี้ยงไว้ในครอบครอง ก็เบาใจกับปัญหานี้ไปได้เลย   ค่าเช่าที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าคอนโดแห่งนั้น จะตอบโจทย์ของคุณได้หมดทุกข้อ แต่ถ้าคำนวณแล้วรายรับจะไม่พอรายจ่ายเพราะค่าเช่าคอนโดที่สูงเกินไป ก็เห็นทีว่าจะไม่เวิร์คเช่นกัน ดังนั้นลองมองหาคอนโดที่ราคาเหมาะสมกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และเงินในกระเป๋าของคุณจะดีกว่า   พิจารณาสัญญาเช่าให้ละเอียด ก่อนเซ็นสัญญาเช่า อย่าลืมอ่านรายละเอียดข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญาให้ถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาขั้นต่ำในการเข้าพัก ราคาค่าเช่า จำนวนเงินค่ามัดจำ กฎระเบียบต่างๆ ของหอพัก รวมไปถึง การดูแลรักษาห้องพักในกรณีที่เกิดปัญหาขึ้นด้วย เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันทั้งผู้เช่า และผู้ให้เช่า จะได้ไม่เกิดปัญหาโลกแตกในภายหลังค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเช่าพักหรือจะเป็นการพักอาศัยแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือความปลอดภัย ดังนั้น   นอกเหนือจาก 9 ข้อด้านบนแล้ว ก็ควรเลือกคอนโดในย่านที่มีคนพลุกพล่าน ไม่เปลี่ยว ไม่อยู่ในซอยลึก เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินไว้ก่อน ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.lalinproperty.com/news/think-before-loan-condo.html        
เทคนิคทำความสะอาดบ้านแบบง๊ายง่าย ห่างไกล “ภูมิแพ้”

เทคนิคทำความสะอาดบ้านแบบง๊ายง่าย ห่างไกล “ภูมิแพ้”

การทำความสะอาดบ้านตามปกติก็ต้องหมั่นทำกันบ่อย ๆ อยู่แล้ว แต่ถ้าสมาชิกในบ้านของเรามีผู้ที่เป็น "โรคภูมิแพ้" คุณแม่บ้านต้องใส่ใจการดูแลทำความสะอาดบ้านบ่อย ๆ เลยนะคะ เพราะมลพิษและฝุ่นต่าง ๆ ภายในบ้าน เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ไปกระตุ้นอาการภูมิแพ้ ดังนั้นเรามาดู เคล็ดลับการทำความสะอาด และจัดบ้านให้ปลอดจากเจ้าฝุ่นตัวการกันดีกว่าค่ะ ตุ๊กตาตัวสะสมฝุ่น มีหลายคนเลยที่ติดการนอนกอดตุ๊กตาตัวโปรดทุกคืน แต่รู้หรือไม่ว่าเจ้าตุ๊กตาขน ๆ เหล่านี้เป็นแหล่งสะสมฝุ่นชั้นดีเลยนะคะ ดังนั้นหากเป็นไปได้อย่าวางตุ๊กตาไว้ใกล้หัวนอนเกินไป หรือทางที่ดีไม่ควรที่จะวางตุ๊กตาไว้ในห้อง เพื่อเป็นการป้องกันฝุ่น หรือถ้าหากใครที่ติดนอนกอดตุ๊กตาจริง ๆ ก็ต้องหมั่นนำไปซักทำความสะอาดบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้ฝุ่นจับ โดยวิธีการทำความสะอาด เพียงนำตุ๊กตาไปซักด้วยน้ำสบู่ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำร้อน ซับน้ำออกให้มากที่สุด แล้วนำไปตากแดด หมั่นทำแบบนี้เป็นประจำเพื่อสุขอนามัยที่ดี จะได้ไม่เกิดภูมิแพ้นะคะ ไรฝุ่นบนที่นอนก็ตัวแสบไม่แพ้กัน เตียงนอนถือเป็นจุดที่เราแทบจะใช้เวลาอยู่ตรงนี้มากที่สุดในแต่ละวัน ซึ่งหากที่นอนของเราไม่ได้รับการดูแลทำความสะอาด ก็จะยิ่งเป็นที่สะสมของไรฝุ่นเลยล่ะค่ะ เพราะไรฝุ่นจะอาศัยในบริเวณที่มีความอับชื้น และเจริญเติบโตได้ดีจากอาหารซึ่งก็คือเซลล์ผิวหนังของมนุษย์ รวมถึงใยผ้าและขนสัตว์ ดังนั้นทุก ๆ อาทิตย์ ควรนำผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ไปซักทำความสะอาด และหมั่นนำฟูกที่นอน หมอน ไปตากแดดฆ่าเชื้อโรค จะได้ช่วยลดไรฝุ่นนะคะ หมั่นกำจัดขนสัตว์ และอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงเป็นประจำ ใครที่มีสัตว์เลี้ยงไว้ในบ้านก็ต้องระวังเรื่องของขนสัตว์ด้วยนะคะ โดยเฉพาะกับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ ในส่วนนี้คุณแม่บ้านต้องหมั่นกำจัดขนสัตว์ภายในบ้านเป็นประจำ โดยเฉพาะบริเวณเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นผ้า หรือตามซอกหลืบต่าง ๆ ควรใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดให้ทั่ว ถ้ามีขนสัตว์ติดตามที่นอนหรือเสื้อผ้า ก็ควรใช้ลูกกลิ้งกำจัดให้เรียบร้อย ที่นอกจากนี้ไม่ควรนำสัตว์เลี้ยงเข้ามานอนด้วย  เพราะรังแคของสัตว์เลี้ยงก็เป็นอาหารชั้นดีของไรฝุ่นเช่นกันค่ะ ที่สำคัญเลยก็ควรอาบน้ำทำความสะอาดเจ้าตูบและเจ้าเหมียวในบ้านกันด้วยนะคะ ทำความสะอาดมุมที่อับชื้น และซอกหลืบตามบ้าน  อย่างที่เคยบอกไว้ว่ามุมอับชื้น และซอกหลืบตามบ้าน เป็นแหล่งก่อตัวของเชื้อโรคได้ดีทีเดียว คุณแม่บ้านจึงจำเป็นต้องใส่ใจในการทำความสะอาดบริเวณเหล่านี้กันมาก ๆ นะคะ โดยนอกจากจะทำการดูดฝุ่นแล้ว ยังควรฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อโรคในการทำความสะอาดด้วย เพื่อป้องกกันการก่อตัวของสารก่อภูมิแพ้หรือไรฝุ่นค่ะ ผ้าม่าน แหล่งสะสมฝุ่นที่คุณมักมองข้าม ฝุ่นละอองตามพื้นหรือเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ กันเป็นสิ่งที่เราสามารถมองเห็นฝุ่นด้วยตาเปล่ากันอยู่แล้ว แต่ผ้าม่านกลับเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม แถมนาน ๆ ทีถึงจะถอดมาซักอีกด้วย แต่รู้หรือไม่ว่าที่เราไม่เห็นฝุ่นบนผ้าม่านก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีนะคะ เพราะผ้าม่านนี่แหละตัว “อมฝุ่น” เลยล่ะค่ะ เพราะว่าเรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ก็เลยมักจะไม่ค่อยนำมาทำความสะอาด  ผ้าม่านจึงกลายเป็นแหล่งสะสมเพาะพันธุ์เชื้อโรค ดังนั้นอย่างน้อย ๆ จึงควรถอดผ้าม่านออกมาซักทำความสะอาดกันบ้าง จะได้ไม่อมฝุ่นจนกระตุ้นภูมิแพ้นะคะ ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.tescolotus.com/blog/view/567?cutheadfoot=1
หมดกังวลเรื่องหยากไย่! 5 วิธีไล่แมงมุม แบบไม่ต้องฆ่า

หมดกังวลเรื่องหยากไย่! 5 วิธีไล่แมงมุม แบบไม่ต้องฆ่า

หากพูดถึงแมงมุม คงต้องนึกถึงใยแมงมุมกันอย่างแน่นอน ซึ่งมักจะมีให้เห็นกันอยู่บ่อยครั้ง บริเวณมุมเพดานหรือมุมห้องต่างๆ วันนี้ เราจึงมีวิธีการไล่แมงมุมมาฝากเพื่อนๆ กัน ซึ่งเป็นวิธีการไล่แบบง่ายๆ อีกทั้งไม่ต้องฆ่าให้บาปอีกด้วยค่ะ 1. ไล่แมงมุมด้วย “น้ำส้มสายชู” เรียกได้ว่าสารพัดประโยชน์จริงๆ เลยนะคะ สำหรับน้ำส้มสารชู ซึ่งสามารถนำไปประกอบอาหาร ทำความสะอาดสิ่งของต่างๆ และนำมาไล่แมงมุมได้อีกด้วย โดยนำน้ำสะอาด ผสมกับน้ำส้มสายชู จากนั้นนำไปฉีดบริเวณต่างๆ เท่านี้ก็สามารถไล่แมงมุมกันได้แล้ว และยังทำให้แมงมุมไม่กล้าเข้ามาใกล้อีกด้วย เนื่องจากแมงมุมไม่ชอบกลิ่นฉุนของน้ำส้มสายชูนั้นเองค่ะ 2. ไล่แมงมุมด้วย “สเปรย์เปปเปอร์มินต์” สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่อยากใช้น้ำส้มสายชูแนะนำให้ใช้เป็นสเปรย์เปปเปอร์มินต์แทนค่ะ โดยนำน้ำสะอาดผสมกับน้ำมันหอมระเหยกลิ่นเปปเปอร์มินต์ ฉีดบริเวณต่ามจุดต่างๆ ซึ่งกลิ่นของเปปเปอร์มินต์นั้น ถือเป็นอีกกลิ่นที่แมงมุมไม่ชอบ และไม่อยากเข้าใกล้ค่ะ 3. ไล่แมงมุมด้วย “เกาลัด” ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถทำได้ง่ายๆ มาก เพียงนำเกาลัด ไปวางตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน เท่านี้ก็สามารถไล่แมงมุมกันได้แล้ว อีกทั้งยังไม่กล้าเข้ามาใกล้อีกด้วย เนื่องจากแมงมุมกลัวเกาลัด ซึ่งคาดว่าอาจเป็นเพราะกลิ่นนั้นเองค่ะ 4. ไล่แมงมุมด้วย “ผลไม้รสเปรี้ยว” อีกหนึ่งกลิ่นยอดนิยมที่สัตว์หลายชนิดมักไม่ชอบ รวมไปถึงแมงมุมด้วยเช่นกัน อาทิ มะนาว ส้ม เป็นต้น เพียงนำเปลือกไปทาบริเวณตามจุดต่างๆ ภายในบ้าน และบริเวณที่แมงมุมชอบอาศัยอยู่  หรือจะใช้เป็นน้ำมันหอมระเหยกลิ่นส้มแทนก็ได้เช่นกัน เท่านี้แมงมุมก็ไม่กล้าเข้าใกล้แล้วค่ะ 5. ทำความสะอาดบ้าน พร้อมปิดรูขนาดเล็ก สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้นั้นก็คือ ความสะอาด ซึ่งควรมีการทำความสะอาดอยู่สม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้มีแมงมุมมาทำใยหรือมาอาศัยอยู่ รวมไปถึงควรปิดรูขนาดเล็กบริเวณรอบบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้แมงมุมมาทำใยนั้นเองค่ะ ขอบคุณแหล่งที่มา www.infinitydesign.in.th/หมดกังวลเรื่องหยากไย่-5-วิธีไล่แมงมุม-แบบไม่ต้องฆ่า/57215
ปลั๊กไฟ อันตรายใกล้ตัวที่ (อาจ) คร่าชีวิตลูกน้อย

ปลั๊กไฟ อันตรายใกล้ตัวที่ (อาจ) คร่าชีวิตลูกน้อย

ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ปลั๊กไฟก็ถือเป็นอุปกรณ์ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ หากใช้อย่างประมาท ไม่ระมัดระวัง โตแล้วอาจจะต้องไม่ต้องเป็นห่วงมาก แต่สำหรับเด็ก โดยเฉพาะเด็กตัวเล็กๆ ที่ยังไม่ค่อยประสีประสาต้องบอกเลยว่า อันตรายมาก เสี่ยงโดนไฟดูด ซึ่งในวันนี้เราจะมาแนะนำ 9 วิธีป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว   โดยทั่วไป แล้วเด็กที่มีความเสี่ยงต่อการโดนไฟดูดมากที่สุด คือเด็กที่อยู่ในช่วงอายุต่ำกว่า 5 ขวบ เด็กเล็กตั้งแต่วัยคลานขึ้นไป มักชอบที่จะใช้นิ้วเขี่ยอะไรไปทั่ว ชอบหยิบของที่ตกอยู่ตามพื้นและบางครั้งก็มักจะเอาพวกกิ๊บ หรือของต่างๆ ที่คว้าได้ แหย่เข้าไปในรูปลั๊กไฟตามผนัง ตามปลั๊กสามตา หรือปลั๊กต่อพ่วงที่เสียบไฟไว้ บางครั้งก็คว้าสายไฟไปกัดด้วยความมันเขี้ยว จนอาจเกิดอันตรายร้ายแรงกับลูกได้ ดังนั้นเราจึงควรหาวิธีป้องกัน ระวังอันตรายใกล้ตัวคร่าชีวิตลูก ไว้ก่อนจะดีกว่า   ใส่ตัวครอบปลั๊ก หาซื้อตัวครอบปลั๊กไฟมาปิดรูปลั๊กที่ไม่ได้ใช้ ซึ่งตัวครอบปลั๊กนั้นหาซื้อได้ง่ายมากตามแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้าง หรือตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าทั่วไป   ความสูงของปลั๊กไฟ ควรติดตั้งปลั๊กไฟให้อยู่สูงจากพื้นประมาณ 1.5 เมตร   เก็บและม้วนสายไฟทุกครั้ง เก็บและม้วนสายไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดหลังใช้งานเสร็จเพื่อป้องกันไม่ให้ลูกกัดสายไฟ   ไม่ควรปล่อยให้สายไฟจากเครื่องใช้ไฟฟ้าห้อยหรือเสียบพาดอยู่ตามพื้น เพราะเด็กเล็กอาจกระชากสายไฟเล่นจนทำให้เกิดไฟช็อต และอาจทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างเช่นกระติกน้ำร้อนร่วงตกลงมาใส่หัวเด็กจนเป็นอันตรายได้   หมั่นตรวจสอบสายไฟ อย่าปล่อยให้สายไฟเปื่อยหรือชำรุด หากเจอต้องเปลี่ยนทันที ไม่ควรนิ่งนอนใจ   ระวังปลั๊กสามตา หรือปลั๊กต่อพ่วง หากมีการใช้ปลั๊กสามตา หรือปลั๊กต่อพ่วง ควรไว้ในที่สูง และไม่ควรเสียบไฟมากจนเกินกำลังไฟ เพราะบางครั้งการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าพร้อมกันหลายๆ ตัว ก็เสี่ยงที่จะทำให้เกิดไฟช็อตหรือไฟรั่วได้   ระวังเสียบปลั๊กไม่แน่น การเสียบปลั๊กไม่แน่น ไม่มิด มีเหล็กเสียบเลื่อนออกมาก็เป็นอีกสิ่งที่ต้องคอยระวัง เพราะนอกจากจะเสี่ยงที่จะทำให้เกิดประกายไฟที่หัวปลั๊กแล้ว ยังเสี่ยงต่อการที่เจ้าตัวเล็กจะไปจับเล่นจนโดนไฟดูดอีกด้วย   ติดตั้งเครื่องตัดไฟอัตโนมัติ คุณพ่อคุณแม่ควรหาซื้อและติดตั้งเครื่องตัดไฟอัตโนมัติ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้   ตรวจดูต้นไม้ที่ปลูกไว้รอบบ้าน ตรวจดูต้นไม่ที่ปลูกไว้รอบบ้าน ไม่ให้ไปเกี่ยวกับสายไฟ และหากพบเห็นก็ไม่ควรหักกิ่งตัดต้นเองนะครับ ควรโทรแจ้งเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าจะดีที่สุด     ขอบคุณแหล่งที่มา : www.ddproperty.com/ข่าวอสังหาริมทรัพย์-บทความ/2017/9/161017/ปลั๊กไฟ-อันตรายใกล้ตัวท          
4 วิธีกำจัดสิ่งสกปรกในเครื่องซักผ้า

4 วิธีกำจัดสิ่งสกปรกในเครื่องซักผ้า

รู้หรือไม่? ว่าผลลัพธ์ของการได้ผ้าขาวสะอาดไม่ได้ขึ้นอยู่กับผงซักฟอกและวิธีการซักเท่านั้น เพราะยังมีเรื่อง “ความสะอาดของเครื่องซักผ้า” ที่ช่วยป้องกันสิ่งตกค้างไม่ให้ปะปนขณะซักผ้าอีกด้วย รู้กันแบบนี้แล้วต้องมาดูกับ 4 วิธีนี้กันเลย   1. ทำความสะอาดเครื่องซักผ้าด้วย “เบคกิ้งโซดา” วิธีทำความสะอาด เติมน้ำให้เต็มเครื่องซักผ้า เทเบคกิ้งโซดา 1 ถ้วย เปิดเครื่องซักผ้าให้เบคกิ้งโซดาละลายน้ำ ปิดเครื่องซักผ้าปล่อยแช่ทิ้งไว้ 5-10 ชั่วโมงจึงถ่ายน้ำออก เปลี่ยนน้ำสะอาดใหม่อีกครั้งเพื่อช่วยชะล้างคราบสกปรกที่ตกค้างให้หลุดออกไป 2. ทำความสะอาดเครื่องซักผ้าด้วย “น้ำส้มสายชู” วิธีทำความสะอาด เทน้ำส้มสายชู 1-2 ถ้วย เปิดเครื่องซักผ้าให้น้ำส้มสายชูช่วยชะล้างคราบสกปรกที่ตกค้างให้หลุดออกไป ปิดเครื่องซักผ้าล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อยเป็นอันเสร็จสิ้น 3. ทำความสะอาดเครื่องซักผ้าด้วย “แอมโมเนีย” วิธีทำความสะอาด เทแอมโมเนีย 1-2 ถ้วย เปิดเครื่องซักผ้าให้แอมโมเนียช่วยชะล้างคราบสกปรกที่อุดตันให้หลุดออกไป ปิดเครื่องซักผ้าล้างทำความสะอาดอีกครั้งแค่นี้ก็เรียบร้อยแล้ว 4. ทำความสะอาดเครื่องซักผ้าด้วย “ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรค” วิธีทำความสะอาด: เติมน้ำครึ่งหนึ่งของเครื่องซักผ้า เทผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรค 1 ถ้วย เปิดเครื่องซักผ้าให้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคช่วยฆ่าเชื้อโรคและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ให้หลุดออกไป ปิดเครื่องซักผ้าปล่อยแช่ทิ้งไว้ 5 ชั่วโมงจึงถ่ายน้ำออก เปลี่ยนน้ำสะอาดใหม่อีกครั้งก็เหมือนได้เครื่องซักผ้าใหม่เลยทีเดียว แม้การทำความสะอาดเครื่องซักผ้าถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับใครหลาย ๆ คน แต่เชื่อเถอะค่ะ ว่าคุณจะมั่นใจกับความสะอาดมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.omothailand.com/tips/share_tip/4-วิธีกำจัดสิ่งสกปรกในเครื่องซักผ้า/48
ผ่อนบ้านไม่ไหว ควรทำอย่างไรดี

ผ่อนบ้านไม่ไหว ควรทำอย่างไรดี

เมื่อมีปัญหาผ่อนชำระบ้านไม่ไหว หรือหมุนเงินไม่ทัน ก่อนอื่นต้องสำรวจก่อนว่าเราสามารถลดรายจ่ายอื่นๆ อีกได้ไหม พยายามตัดรายจ่ายก้อนใหญ่ออกก่อน (ที่ไม่เกี่ยวกับการดำรงชีวิต) จากนั้น ดูว่าเดือนนี้ (หรือเดือนถัดไป) จะเหลือเงินส่งผ่อนน้อยกว่าที่กำหนดได้เท่าไหร่ เช่น ผ่อนต่องวด 10,000 บาท แต่เหลือเงินแค่ 5,000 บาท เป็นต้น   เมื่อเราได้สำรวจตัวเองและพยายามที่จะลดรายจ่ายอื่นๆแล้ว สิ่งที่ควรกระทำ เกี่ยวกับการผ่อนชำระบ้าน ควรทำดังต่อไปนี้ 1.เมื่อผ่อนบ้านไม่ไหวให้โทรไปบอกเจ้าหน้าที่ธนาคาร (สาขาที่ทำเรื่องกู้เงิน) แจ้งทางธนาคารว่า เราสามารถผ่อนชำระงวดนี้ได้น้อยกว่าค่างวดปกติ ธนาคารจะมีเบี้ยปรับอย่างไรบ้าง (ส่วนใหญ่จะมีเบี้ยปรับกรณีผ่อนชำระล่าช้า) ซึ่งจะคิดในอัตราที่สูงกว่าปกติ (ราวๆ 18%) และควรถามค่าธรรมเนียมอื่นๆ อีก เช่น ค่าธรรมเนียมในการทวงหนี้ที่ค้างชำระ หรือ ค่าธรรมเนียมธนาคารอื่นๆ เป็นต้น   2.หากผ่อนบ้านไม่ไหว ให้จ่ายค่างวดที่สามารถจ่ายได้ ในเดือนนี้ก่อน ห้ามไม่จ่ายค่างวดเลย หรือ เงียบหายไปเฉยๆ ควรจ่ายของเดือนนี้ไปก่อน เช่น เหลือแค่ 5,000 บาท เพราะธนาคารอาจจะคิดไว้ก่อนว่าเราจะเบี้ยวหนี้ในครั้งต่อไปด้วยครับ ทำให้ธนาคารอาจจะเตรียมเรื่องส่งฟ้องเพื่อยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาด และอาจจะฟ้องเราเป็นบุคคลล้มลายได้ ทำให้เราหรือผู้กู้ร่วมไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆ (การเซ็นฯเอกสารการเงิน) ได้อีกเลย   เพราะหากมีธุรกรรมใดๆ เกิดขึ้น ธนาคารจะตามไปอายัดไว้ แล้วดึงเงินในธุรกรรมนั้นไปหักค่าคงค้างพร้อมดอกเบี้ย นับตั้งแต่วันหยุดชำระ (ดอกเบี้ยบ้านเป็นแบบหักต้นหักดอก ในกรณีจ่ายค่าผ่อนปกติ แต่เมื่อหยุดจ่าย ดอกเบี้ยบ้านก็จะกลายเป็น “ต้นทบดอก” ไป) ทำให้เมื่อไปเจรจากับธนาคารในภายหลังจากที่ให้ฟ้องล้มละลายไปแล้ว จะทำให้เห็นว่ายังมีเงินคงค้างที่เป็นดอกเบี้ยที่ทบต้นทบดอก ตามมาหลอกหลอนอีก ทำให้ธุรกรรมใดๆ เมื่อมีการโอนเงินก็จะถูกดึงไปหักอยู่ตลอด แบบนี้ก็ไม่มีวันที่จะไปทำมาหากินใดๆ ได้อีกเลย   3.การชำระเงินเดือนถัดไป เมื่อผ่อนบ้านไม่ไหว เดือนถัดไปควรจะชำระเงินค่างวดที่คงค้างไว้ครั้งก่อน + ดอกเบี้ยที่ปรับชำระล่าช้า + ค่างวดปกติในเดือนนั้น เพื่อที่ธนาคารจะได้หยุดดอกเบี้ยปรับล่าช้า (18%) กลับมาที่ดอกเบี้ยปกติ ที่ควรจะเป็นครับ เมื่อชำระทั้ง 3 ยอดแล้ว นำสลิปส่ง FAX ไปหาเจ้าหน้าที่สินเชื่อที่เดือนก่อนได้ติดต่อไว้เรื่องขอชำระล่าช้า เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่รีบทำเรื่องยืนยันการชำระที่ค้างชำระไปในเดือนก่อน เพื่อเป็นลายลักษณ์อักษรไปที่สำนักงานใหญ่ด้วย พร้อมทั้งสอบถามว่าแบบนี้จะทำให้กลับมาคิดในดอกเบี้ยปกติเมื่อใด   4.ตรวจสอบยอดชำระเดือนถัดๆ ไป ตรวจสอบว่าเดือนถัดไป (เดือนที่ 3) มีการคำนวณดอกเบี้ย และหักเงินต้นกลับมาเป็นระบบปกติหรือไม่ หากไม่ปกติ ให้รีบติดต่อเจ้าหน้าที่สินเชื่อที่ได้ติดต่อไว้ทันที ว่ามีเหตุผิดพลาดในขั้นตอนไหน หรือ เข้าไปพบเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวให้พิมพ์ Statement การผ่อนชำระมาพูดคุยกัน หากเจ้าหน้าที่อธิบายแล้วไม่เข้าใจ แนะนำให้ติดต่อสำนักงานใหญ่ (อาจผ่านระบบโทรศัพท์ก่อน) หากยังไม่ได้รับการอธิบายที่ชัดเจน หรือยังไม่เข้าใจ ก็ขอชื่อเจ้าหน้าที่ที่สำนักงานใหญ่ที่จะสามารถเข้าพบได้ เพื่อเข้าไปปรึกษา   ทั้งนี้ ควรรีบเข้าไปดำเนินการเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นระบบยังจะคำนวณเป็นการชำระล่าช้าอยู่ ซึ่งก็จะเป็นลักษณะทบต้นทบดอกอยู่ หากปล่อยให้เนิ่นนานก็จะกลายเป็นยอดที่สูงมากจนเราไม่สามารถชำระไหว   หมายเหตุ เหตุที่ผ่อนชำระไม่ไหว ควรรีบติดต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารทันที เมื่อเราทราบว่าผ่อนไม่ไหวแน่ๆ ในเดือนนี้ หรือ ในเดือนถัดไป (อาจจะมีเหตุจำเป็นต้องหมุนเงินขึ้นมา) อย่าคิดเอาเองว่าธนาคารน่าจะช่วยเราอย่างนั้นอย่างนี้ โดยที่เราไม่ติดต่อเข้าไปก่อน (เรื่องหนี้ไม่มีใครมาช่วยเราได้ หากเราไม่ช่วยตัวเอง)   ขอให้ทุกท่านสามารถฟันฟ่าอุปสรรคในการผ่อนบ้านไปได้ครับ เช็คว่าคุณพร้อมจะผ่อนบ้านหรือยัง 5 สัญญาณที่บอกว่าคุณยังไม่พร้อมจะซื้อบ้าน เรื่องราวเกี่ยวกับกับการผ่อนบ้าน-คอนโด เคล็ดลับผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ดอกเบี้ยลด หมดหนี้ไว ผ่อนไหวใช่ว่าดี คำนวณก่อน ดอกเบี้ยบ้าน คุ้มค่าจริงเปล่า? ผ่อนบ้าน (คอนโด) แนวฮาร์ดคอร์ หมดภายใน 7-10 ปี
การเลือกโปรโมชั่นบ้านและคอนโด

การเลือกโปรโมชั่นบ้านและคอนโด

เข้าสู่ช่วงภาวะเศรษฐกิจขาลงแบบนี้ ทำให้คนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง และส่งผลถึงการซื้อบ้านและคอนโดน้อยลงตามไปด้วย เหตุนี้จึงทำให้บ้านและคอนโดต่างๆงัดโปรโมชั่นเด็ดออกมามัดใจลูกค้ากันมากมาย แต่เราก็ควรที่จะศึกษาแต่ละโปรโมชั่นให้ดีก่อนตัดสินใจเลือกซื้อด้วยนะคะ 1. ผ่อน 0% มีหลายคนที่เข้าใจผิดคิดว่าการผ่อน 0% นั้นคือการไม่ต้องผ่อนเลยสักบาท ทั้งที่จริงแล้วผู้ซื้อยังคงต้องผ่อนเงินงวดอยู่ เพียงแต่เงินที่ผ่อนแต่ละเดือนนั้นไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ที่จ่ายไปคือเงินต้นทั้งหมด ก็เหมือนกับว่าเจ้าของโครงการเป็นคนจ่ายดอกเบี้ยแทนผู้ซื้อนั่นเอง ก็เท่ากับว่าเป็นการลดราคาบ้านหรือคอนโดนั้นๆ 2. อยู่ฟรี โปรโมชั่นนี้ส่วนใหญ่ใช้กระตุ้นการขายโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมโอน ซึ่งผู้ซื้อจะต้องวางเงินจอง เงินทำสัญญา แต่เงินดาวน์อาจต้องเทก้อนใหญ่ หรือบางครั้งแค่เพียงใช้เงินจองและเงินทำสัญญา แล้วก็กู้ธนาคารเลย แต่เมื่อทำสัญญากู้และรับโอนแล้ว ยังไม่ต้องผ่อนชำระธนาคารใน 1 ปี หรือ 2 ปี หรือตามเวลาที่ในสัญญาระบุไว้ 3. อยู่ก่อน โปรโมชั่นนี้เป็นการทดลองอยู่ก่อนนี้ผู้ซื้อจะต้องจ่ายค่าเช่าก่อนเข้าอยู่ให้กับโครงการก่อน โดยในสัญญาอาจระบุไว้ว่าเมื่อมีการซื้อจริงๆในอนาคต ก็อาจจะนำมาเป็นส่วนลดหรือเงินดาวน์ได้ 4. การันตีผลตอบแทน โปรโมชั่นนี้เราต้องดูให้ละเอียดว่า มีการการันตีผลตอบแทนในอัตราเท่าไร ระยะเวลากี่ปี จ่ายยังไง และเงื่อนไขอื่นๆด้วย เพื่อประเมินว่าคุ้มหรือไม่ และที่สำคัญเพื่อประเมินโอกาสและความเป็นไปได้เมื่อนำมาปล่อยเช่าเองหลังจากผ่านพ้นช่วงการันตีแล้ว การเลือกโปรโมชั่นที่ดีนั้น คือการเลือกโปรโมชั่นที่เหมาะสมที่สุดกับแต่ละคน และเราสามารถที่จะต่อรองเจรจาได้หากต้องการปรับเปลี่ยนในส่วนต่างๆของโปรโมชั่นนั้น เพื่อเลือกโปรโมชั่นที่ดีและเหมาะสมกับเราที่สุดค่ะ ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.lalinproperty.com/news/choose-promotion-home-condo.html
การดูแลทำความสะอาดพื้นลามิเนต

การดูแลทำความสะอาดพื้นลามิเนต

พื้นลามิเนต" เป็นพื้นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน เพราะสามารถติดตั้งได้ง่าย ราคาไม่แพง  มีหลายแบบให้เลือกได้ตามความเหมาะสมกับคอนโดหรือทาวน์โฮมของท่าน โดยสามารถซ่อมแซมและเปลี่ยนแปลงได้ง่าย และเพื่อเป็นการถนอมพื้นสวยให้อยู่คู่บ้าน ทางเราจึงขอแนะนำวิธีการทำความสะอาดพื้นลามิเนตอย่างถูกต้องเพื่อยืดอายุการใช้งานค่ะ   1. ปัดกวาดเศษฝุ่น ควรปัดกวาดเศษฝุ่นเป็นประจำหรือใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดฝุ่นเป็นประจำ เพื่อให้พื้นสะอาดลดการสะสมฝุ่นตามรอยต่อแผ่นพื้น และการปัดกวาดพื้นให้สะอาดเป็นการลดการขีดข่วนที่ผิวพื้น ช่วยรักษาผิวพื้นลามิเนตให้สวยงาม การปัดกวาดพื้นให้สะอาดเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งในการเตรียมพื้นก่อนการถูทำความสะอาดค่ะ   2. ควรใช้เพียงน้ำเปล่า (น้ำประปา)  ในการทำความสะอาดพื้นลามิเนตด้วยการถูพื้นลามิเนตควรใช้เพียงน้ำเปล่า เพราะถ้าหากใช้น้ำยาถูพื้น น้ำยาถูพื้นจะกัดกร่อนทำให้ผิวพื้นลามิเนตเกิดความเสียหาย นอกจากนี้น้ำยาทำความสะอาดอาจจะซึมเข้าไปทำให้แผ่นลามิเนตหลุดออกมาได้นะคะ   3. ควรใช้น้ำแต่น้อย เพื่อไม่ให้พื้นบวม ด้วยคุณสมบัติของพื้นลามิเนตที่มีการผสมกาวในเนื้อของวัสดุ ดังนั้นการดูแลทำความสะอาดพื้นด้วยการถูพื้นจึงควรใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดถูทำความสะอาด การใช้น้ำที่เปียกเกินไปถูพื้นอาจทำให้พื้นลามิเนตบวมแล้วบิดตัวผิดรูป จนต้องเปลี่ยนพื้นในบริเวณนั้นนะคะ   4. ขจัดคราบด้วยน้ำแข็ง ในกรณีที่มีคราบเหนียวอย่างขี้ผึ้งหรือหมากฝรั่งติดพื้น ให้ถูน้ำแข็งลงบนคราบดังกล่าวและค่อย ๆ ขูดออกอย่างเบามือ โดยระมัดระวังอย่าให้เกิดรอยขีดข่วนบนพื้น นอกจากนี้น้ำแข็งยังสามารถขจัดหมากฝรั่งออกจากพรมได้อีกด้วยอีกนะคะ   5. ห้ามใช้เครื่องขัดพื้น เครื่องขัดพื้นไฟฟ้าอาจจะอำนวยความสะดวกในพื้นที่กว้าง ๆ อย่างร้านอาหาร แต่ไม่เหมาะสมกับการทำความสะอาดพื้นลามิเนตแน่นอนค่ะ เพราะมีความรุนแรงจนอาจสร้างความเสียหายให้กับพื้นได้ จำไว้ว่าเครื่องขัดพื้นแบบนี้เหมาะสมจะใช้กับพื้นไม้แข็ง ๆ เท่านั้น ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่านะคะ   6.หลีกเลี่ยงการใช้น้ำยาขัดพื้นที่มีฤทธิ์กัดกร่อน ควรหลีกเลี่ยงการทำความสะอาดพื้นด้วยน้ำยาทำความสะอาดที่มีฤทธิ์กัดกร่อนทุกประเภท เพราะอาจสร้างความเสียหายแบบถาวรให้กับพื้นไม้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงแปรงขนโลหะหรือแปรงขนแข็งทุกชนิด เพราะอาจทิ้งรอยขีดข่วนไว้ได้นะคะ   หากทำตามขั้นตอนตามที่ทางเราแนะนำข้างต้นแล้ว รับรองว่าพื้นลามิเนตจะสวยอยู่คู่บ้านคุณไปอีกนานค่ะ ^^   ขอบคุณแหล่งที่มา : www.inside2home.com/knowledge/182/การดูแลทำความสะอาดพื้นลามิเนต/            
ข้อดี! ของคอนโดโลวไรส์

ข้อดี! ของคอนโดโลวไรส์

ปัจจุบันในกรุงเทพและปริมณฑล เต็มไปด้วยแหล่งทำงานแหล่งธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยว จึงทำให้ต้องมีการสร้าง คอนโดโลวไลส์ เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้ากลุ่มคนเมือง ผู้พิถีพิถันกับทุกรายละเอียด เน้นอยู่สบาย ท่ามกลางความสะดวกครบครัน เราจึงอยากนำเสนอข้อดีของ คอนโดโลวไลส์ให้ชมกันค่ะ   1.มีความเป็นส่วนตัว คอนโดที่ออกแบบเป็นโลว์ไรส์ สัดส่วนยูนิตของอาคารจะถูกลดลง คนอาศัยจึงพอเหมาะไม่มากจนแออัด ทำให้ลดปัญหาไม่ต้องมานั่งกังวลเพื่อนบ้านในการทำกิจกรรมใช้สอยต่างๆ เช่น ฟิตเนา ว่ายน้ำ มุมห้องสมุด จึงทำให้บรรยากาศทำให้ดูสะดวกสบายและเป็นส่วนตัวมีมากขึ้น 2. ประหยัดค่าใช้จ่าย เมื่อโครงการมีขนาดสร้างเล็ก ทุนในการสร้างบางส่วนน้อยกว่า ราคาจึงถูกกว่าไฮไรส์ ตัวอย่างโครงการใหม่ของพฤกษาที่ชื่อ “The Privacy เรวดี” ราคาเริ่มต้นยังอยู่ที่ ล้านต้นๆ เท่านั้น ขณะที่คอนโดสูงๆ ทั่วไปส่วนใหญ่ราคา 2 ล้านอัพ ประหยัดงบประมาณได้ค่อนข้างสูง 3. หมดกังวลเรื่องที่จอดรถ ด้วยจำนวนชั้นน้อยผู้อาศัย รถประจำตัวจึงมีไม่มากเท่าพวกคอนโดสูงๆ ไม่ต้องมานั่งปวดหัววนรีบร้อนหาที่จอดรถให้วุ่นวาย หรือออกเดินทางลำบาก 4. บรรยากาศคอนโดเป็นมิตร คอนโดใหญ่ๆ ที่คนอาศัยเยอะก็อาจจะดูวุ่นวาย มากคนปัญหาก็เยอะตามมา แต่ไม่ใช่ว่าคอนโดขนาดเล็กอยู่แล้วจะไม่มีปัญหาเลย คอนโดที่ไหนก็มีปัญหากันบ้างมากน้อยต่างกัน เพียงแต่คอนโดขนาดเล็ก ถ้ามีการการนัดประชุมลูกบ้านจะทำได้ง่ายกว่า เพราะคนน้อย แล้วการที่คนน้อย ก็ไม่ต้องแย่งใช้สิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการมาก ทำให้บรรยากาศระหว่างเพื่อนสร้างความเป็นมิตรกันมากขึ้นด้วย ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.lalinproperty.com/news/condo-low-rise.html
เคล็ดลับการรักษาพรม และเลือกซื้อให้ถูกวิธี

เคล็ดลับการรักษาพรม และเลือกซื้อให้ถูกวิธี

หลายคนมีความเชื่อผิดๆว่าพรมเป็นแหล่งสะสมฝุ่นและไม่เหมาะกับสภาพอากาศเมืองไทย ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นเราจะชวนคุณๆมาคิดใหม่ค่ะ เพราะพรมนอกจากให้สัมผัสอ่อนนุ่มแล้ว พรมยังให้ความรู้สึกพิเศษกับการตกแต่งภายใน ช่วยเพิ่มความอบอุ่นหรูหราและลดความกระด้างของพื้น ทำให้ห้องดูมีชีวิตชีวา ช่วยดูดซับเสียง นอกจากนี้ยังมีสีและลวดลายให้เลือกซื้อมากมายไม่จำกัด เราจึงอยากชวนทุกคนลองซื้อพรมติดบ้านเอาไว้บ้างแต่จะเลือกซื้ออย่างไรนั้น วันนี้ มีคำแนะนำดีๆ มาฝากค่ะ   ข้อ 1. วิธีเลือกซื้อพรม คือก่อนอื่นคุณต้องสังเกตรูปแบบการใช้งานก่อนว่าคุณจะนำไปใช้ที่ใด ห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร หรือห้องนอน แล้วพิจารณาว่าพื้นที่ๆ จะนำพรมไปวางถูกใช้งานมากน้อยแค่ไหน มีสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร เช่น ห้องที่ใช้งานบ่อยๆน่าจะพิจารณาพรมที่ทำความสะอาดง่ายและน้ำหนักเบา แต่ถ้าเลือกใช้ในห้องนอนคุณอาจต้องการพรมดีๆที่หนานุ่มเป็นพิเศษเป็นต้น   ข้อ.2 ช่างสังเกต หลังจากนั้นก็ให้สังเกตต่อไปอีกนิดว่าสภาพแวดล้อมที่พรมจะถูกนำไปใช้งานนั้นอยู่ใกล้ถนน ติดกับหน้าต่าง มีเด็กๆหรือสัตว์เลี้ยงเข้ามาใช้พื้นที่ส่วนนั้นร่วมด้วยหรือไม่ หากเป็นแบบนั้นก็ควรพิจารณาพรมสีอ่อนค่ะ เพราะจะช่วยให้มองเห็นสิ่งสกปรกได้ง่าย นอกจากนี้พรมสีเข้มๆยังทำให้ห้องดูแคบลงไม่เหมาะกับคอนโดพื้นที่จำกัดอย่างแน่นอน เลือกใช้โทนสีสว่างสำหรับการตกแต่งภายในจะช่วยให้ห้องดูกว้างขวางมากขึ้น ข้อ 3. คุณสมบัติของพรม นอกจากนี้คุณสัมบัติของพรมแต่ละชนิดเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ละเอียด ตั้งแต่ลักษณะเส้นใย ความคงทน น้ำหนัก ความหนาแน่นในการทอ การดูดซับน้ำ ความนุ่ม ความรู้สึกสัมผัส การทำความสะอาด และอีกจิปาถะร้อยแปดล้วนเป็นสิ่งที่ต้องดูให้ครบทุกด้าน เพื่อที่จะได้พรมที่พอดีกับการใช้งานที่สุดจริงๆโดยไม่ต้องเสียเงินมากเกินไปโดยใช่เหตุ คำแนะนำอีกประการหนึ่งคือถ้าคุณไม่ใช่ Carpet Lover ตัวแม่แล้วล่ะก็ เราไม่แนะนำให้ติดตั้งพรมในครัวหรือพื้นห้องน้ำค่ะ   ข้อ 4. ดูแลรักษา พรมแต่ละชนิดต้องการการดูแลไม่เหมือนกัน แต่โดยพื้นฐานแล้วคุณก็ควรดูดฝุ่นเอาออกมาผึ่งแดดทุกสัปดาห์และซักพรมอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง หากพรมมีการหลุดลุ่ยควรตัดออกโดยห้ามดึงอย่างเด็ดขาด และก่อนตัดสินจ่ายเงินต้องถามคนขายให้ละเอียดว่าพรมที่เราเลือกต้องการการดูแลอย่างไร ใช้วัสดุอุปกรณ์หรือสารเคมีแบบพิเศษในการบำรุงรักษาหรือไม่ จากนั้นค่อยเลือกสีและสไตล์ที่คุณชอบตามข้อพิจารณาด้านบน แล้วเลือกพรมคุณภาพดีที่สุดเท่าที่งบประมาณคุณมีค่ะ เมื่อรู้ถึงคุณสมบัติและวิธีรักษาพรมแล้ว ใครที่เลือกตกแต่งเพิ่มความสวยงามให้บ้านด้วยพรมก็ลุยเลยค่ะ หากดูแลดีๆอย่างถูกวิธี เรื่องคราบสกปรกไม่ตามมารบกวนใจอย่างแน่นอน   ขอบคุณแหล่งที่มา  :  www.forfur.com/แต่งบ้าน/เคล็ดลับการรักษาพรม-และเลือกซื้อให้ถูกวิธี
รอยร้าวของผนัง สัญญาณอันตราย…หรือแค่เรื่องธรรมชาติ

รอยร้าวของผนัง สัญญาณอันตราย…หรือแค่เรื่องธรรมชาติ

เคยมองไปบนผนังบ้านของตัวเองแล้วสังเกตเห็นรอยร้าวกันบ้างมั้ย รอยร้าวเหล่านั้นเป็นแค่เรื่องธรรมชาติหรืออันตรายต่อบ้านขนาดไหน ลองมาดูกันครับ เคยสงสัยกันบ้างไหมครับว่าทำไมอาคารบ้านเรือนเราอยู่ๆก็เกิดมีรอยร้าวทั้งๆที่เพิ่งจะสร้างเสร็จใหม่ๆ แบบบ้านบางหลังสร้างมาตั้งหลายปีก็ไม่เห็นว่าจะร้าวเลย แล้วรอยร้าวพวกนี้ส่งสัญญาณอะไรให้เราบ้าง อันตรายแค่ไหน แบบบ้านจะพังไหม หรือ แค่เราคิดมากไปเอง ไม่แน่อาจจะแค่เรื่องธรรมชาติหรือเปล่าไปถามบางคนก็ว่าแค่ปูนร้าวไม่มีอะไรหรอก แต่อีกคนมาบอกว่าต้องแก้นะเดี๋ยวบ้านพัง แล้วตกลงเราจะรู้ได้อย่างไร ว่ารอยร้าวที่เกิดกับบ้านเรานั้นอันไหนต้องแก้ไข หรืออันไหนปล่อยไว้ก็ได้ วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับรอยร้าวที่ทั้งทำให้เราร้าวรานและร้อนใจนั้นมีแบบไหนกันบ้าง และจะแก้ไขอย่างไร ลองมาดูกันครับ 1.รอยร้าวที่เกิดบนผนัง รอยร้าวประเภทนี้ส่วนใหญ่มักไม่เป็นอันตรายถึงขั้นบ้านถล่มดินทลาย แต่มักจะมาในรูปแบบของความน่ารำคาญ คือจะทำให้ดูรกหูรกตา ไม่น่ามอง แต่ในกรณีนี้ไม่สามารถทำให้บ้านพังได้ครับ เช่น 1.1 รอยร้าวแบบแตกลายงา มักจะเกิดจากปูนฉาบขาดน้ำ คือ ผนังก่ออิฐแห้งเกินไปทำให้เมื่อเราเริ่มงานฉาบปูน น้ำที่ผสมในปูนฉาบที่ได้สัดส่วนดีงามแล้ว โดนผนังด้านในดูดเอาน้ำไปทำให้ปูนฉาบผิดสัดส่วนและแห้งเกินไป เมื่อใช้อาคารไปซักพักจึงเกิดเป็นรอยดังกล่าว หรืออาจจะโดนเร่งงานจากเจ้าของบ้านหรือรีบเก็บงวดงาน ทำให้เมื่อก่อผนังอิฐเสร็จก็ฉาบเลยไม่รอให้ผนังอิฐเซ็ทตัวนั่นเอง การแก้ไข : A - ก่อนงานฉาบปูนให้เรารดน้ำผนังก่ออิฐให้ชุ่มก่อนเพื่อไม่ให้ผนังขาดน้ำ แล้วแบบไหนถึงเรียกว่าไม่ขาดน้ำ สังเกตง่ายๆก่อนจะเริ่มงานฉาบลองเอาฝ่ามือไปนาบผนังถ้ารู้สึกว่าเย็นๆชื้นๆก็แสดงว่าใช้ได้แล้วนั่นเอง B - ถ้าสายไปเสียแล้ว เพราะแตกไปเรียบร้อยก็แก้ไขได้ไม่ยาก ให้ใช้สีที่มีความยืดหยุ่นสูง หาได้หลากหลายยี่ห้อในท้องตลาดมาทาทับให้เรียบร้อย และมักจะแก้ได้อย่างชะงัดทีเดียวครับ 1.2 รอยแตกของผนังตามริมขอบวงกบ อันนี้ส่วนใหญ่เกิดจากความมักง่ายของช่างก่อสร้าง ที่ไม่ยอมทำเสาเอ็น เสาเอ็นก็คือเสา คสล.ขนาดประมาณ 7 x 7 cm ที่ทำเป็นกรอบครอบวงกบประตูไว้นั่นเอง เพื่อป้องกันปูนฉาบแตกจากการเปิดปิดประตู ฉะนั้นในระหว่างการก่อสร้างเจ้าของบ้านก็ควรตรวจสอบให้รอบคอบก่อนจะที่ช่างจะฉาบปูนครับ 1.3 รอยแตกแนวทแยงบนผนังกว้างประมาณ1-2 มม.อันนี้เริ่มจะน่ากังวลขึ้นมาหน่อยครับ รอยร้าวประเภทนี้มักจะเกิดหลังจากอาคารสร้างเสร็จไปแล้วซักพัก หากเราเจอให้ลองเอาดินสอขีดตรงปลายรอยแตกแล้วสังเกตว่าร้าวต่อหรือไม่ ถ้าไม่ก็ถือว่าไม่อันตรายอาจจะแค่เกิดการบิดของผนังหรือเวลาสิบล้อขับผ่านหน้าบ้านบ่อยๆเกิดการสะเทือนมากเป็นต้น แต่ถ้ารอยร้าวกว้างและยาวมากขึ้นอาจจะสันนิษฐานได้ว่า โครงสร้างอาคารอาจจะกำลังทรุดตัว ควรปรึกษาวิศวกรเป็นการด่วน 2.รอยร้าวที่เกิดบนคาน รอยร้าวบริเวณนี้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยหรือเยอะ ให้คิดไว้ก่อนว่านั่นคือเรื่องอันตราย ให้รีบหาสาเหตุและแก้ปัญหาโดยเร็วที่สุด เพราะไม่ใช่เรื่องปกติแล้วครับ โดยเราอาจสังเกตได้ดังนี้ 2.1รอยร้าวแบบแตกลายงาแต่ไม่ปริออกมา อันนี้น่าจะเกิดจากปูนฉาบขาดน้ำเช่นเดียวกับข้อ 1.1 หรืออาจจะเป็นช่างฉาบปูนคนเดียวกัน ไม่ทำให้เกิดอันตรายใดๆ 2.2 รอยร้าวเป็นเส้นตรงแนวตั้งตรงกลางคานและปริจนเห็นเนื้อปูนหรือเหล็กเสริมด้านใน อาการนี้แสดงว่าคานรับน้ำหนักเกินกว่าที่วิศวกรกำหนดไว้ เรามักจะเจอกรณีแบบนี้ในอาคารประเภทโกดังที่มีการกองเก็บสินค้าเกินกำลัง ให้ลองเอาของที่ตั้งอยู่บนเหนือคานออกแล้วสังเกตดูว่ารอยร้าวมันหยุดหรือไม่ ถ้าหยุดก็แสดงว่าเราเจอสาเหตุ ขั้นตอนต่อไปก็ให้กระจายการวางน้ำหนักให้สมดุลกันทั้งอาคาร แต่ถ้ายังคงร้าวต่ออันนี้ให้คิดไว้ก่อนเลยว่าอาคารของเราก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน ก็รีบอพยพชั่วคราวกันก่อนครับ แล้วรีบติดต่อวิศวกรมาดูโดยเร็วที่สุด เพราะอาจจะทำให้อาคารพังได้ 3.รอยร้าวที่เกิดบนเสา รอยร้าวที่เกิดกับเสาก็เป็นอีกตำแหน่งที่ถือว่าอันตรายถึงชีวิตได้ง่าย ถ้าไม่นับรอยแตกลายงา รอยร้าวของเสามักจะเกิดที่หัวเสา อาจจะฉีกออกแค่เสาหรือทั้งคานและเสาก็ได้ อันนี้รีบย้ายออกจากบ้านก่อนเลยครับ แล้วติดต่อวิศวกรผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ เพราะเกิดจากการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน เกิดแรงเฉือนอย่างรุนแรงที่ตำแหน่งหัวเสาเชื่อมกับคานและจะทำให้อาคารทรุดลงมาได้ การแก้ไขมีตั้งแต่เสริมเหล็กรับแรงให้กับเสา ไปจนถึงทุบอาคารทิ้งกันเลย ฉะนั้นถ้าเจอรอยร้าวแบบนี้อย่านิ่งนอนใจอย่างเด็ดขาดครับ 4.รอยร้าวที่เกิดบนพื้น รอยร้าวบนพื้นมักจะมีให้เห็นบริเวณพื้นชั้นล่าง และเป็นพื้นที่วางบนดินหรือที่เรียกว่าพื้นหล่อในที่ โดยสาเหตุเกิดจากการทรุดตัวของดินถมบดอัดที่อยู่ใต้พื้น พอดินที่รับน้ำหนักพื้นทรุดลงก็จะทำให้พื้นทรุดตาม ทำให้เห็นรอยร้าวตามขอบพื้นที่ติดกับคาน การแก้ไข หากกำลังเริ่มทำแบบบ้านให้พยายามทำพื้นแบบวางบนคานไม่ว่าจะเป็นพื้นหล่อหรือพื้นสำเร็จรูปก็ตาม ปัญหานี้ก็จะไม่เกิดกับบ้านเราอย่างแน่นอน ส่วนคนที่อยู่แบบบ้านเดิมมานานและพื้นทรุดตัวแล้ว อันนี้แก้ยากครับ ง่ายสุดคือทุบพื้นเดิมทิ้งแล้วหล่อใหม่ดีกว่า เป็นยังไงบ้างครับได้รับรู้กันไปพอสมควรสำหรับเรื่องรอยร้าวในตำแหน่งต่างๆ ทั้งที่อันตรายและไม่อันตราย วันไหนว่างๆลองเดินสำรวจรอบบ้านกันดู หรือว่าใครกำลังเจอปัญหานี้พอดีก็จะได้มีแนวทางในการแก้ไขเบื้องต้นได้ครับ ขอบคุณแหล่งที่มา http://www.forfur.com/%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99/%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4
ซื้อบ้านมือสอง มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?

ซื้อบ้านมือสอง มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?

เป็นเรื่องปกติที่เวลาเราซื้อบ้านมือสองจะมี “ความเสี่ยง” มากกว่าบ้านใหม่ เพราะถ้าเราซื้อบ้านใหม่ ก็สามารถเลือกได้เลยว่าจะเอาโครงการไหน รู้ประวัติที่มาของโครงการ ความน่าเชื่อถือ เเต่บ้านมือสองนั้นเเตกต่างกัน เพราะอย่างๆน้อยบ้านต้องมีเจ้าของมาก่อนแล้วเเน่นอน แล้วถ้าเราจะเลือกซื้อบ้านมือสองสักหลัง เราเตรียมตัวรับมือกับความเสี่ยงเรื่องอะไรบ้าง?    1.เเน่ใจได้ยังไงว่าคนที่อยู่บ้านหลังนั้นเป็นเจ้าของบ้าน? อย่างเเรกสุดที่เราต้องเจอเลย เพราะเราไม่อาจเเน่ใจได้เลยว่าเขาใช่เจ้าของบ้านตัวจริงหรือเปล่า? หรือเพียงเเค่ผู้อยู่อาศัย ผู้เช่าบ้าน ก่อนจะตกลงซื้อขายเบื้องต้นต้องตรวจสอบให้ดีก่อน วิธีตรวจสอบคือการเอาโฉนดไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินว่าเจ้าของชื่ออะไร พอถึงวันนัดวางเงินก็เอาเอกสารมาเทียบกัน ถ้าตรงกันก็ถือว่าถูกต้อง เเต่ถ้าซื้อบ้านเอง เเนะนำให้สำนักกฎหมายเข้ามาดูเเล จะปลอดภัยกว่า     2.บ้านมีทางออกมั้ย? ความเสี่ยงต่อมาคือเรื่องทางออก ถ้าเป็นบ้านที่อยู่นอกโครงการหมู่บ้านจัดสรร และมีถนนตัดผ่านหน้าบ้าน ต้องตรวจสอบก่อนว่าถนนเส้นนั้นเป็นถนนส่วนบุคคลหรือเป็นถนนภาระจำยอมที่ให้บ้านอื่นสามารถใช้ได้ร่วมกัน เเต่ถ้าใครเลือกขอสินเชื่อธนาคารก็ไม่ต้องกังวล เพราะเจ้าหน้าที่ธนาคารจะส่งฝ่ายประเมินเอกสารไปตรวจสอบให้เรา สบายใจไร้กังวล   3.เรื่องราคาจะเป็นกลางมั้ย? เรื่องสำคัญที่หลายคนกังวลคือเรื่องราคา หลายคนอาจไม่มีประสบการณ์ซื้อขายบ้านมาก่อน ดังนั้นต้องตรวจสอบราคาให้ดีก่อนว่าเป็นราคาตลาดหรือมั้ย? ถ้าเก็บข้อมูลได้เยอะเเล้วเจอหลังที่ใช่ ก็ซื้อได้เลย เเต่ถ้าเพิ่งดูครั้งเเรกแล้วชอบ ก็อย่าพึ่งรีบตัดสินใจ เราอาจจะลองค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เเล้วเปรียบเทียบราคาบ้านในละเเวกเดียวกัน เเต่ก็ต้องเช็คข้อมูลให้ถูกต้องด้วย อย่าเชื่อหมดทุกอย่าง ได้ข้อมูลที่พอใจเเล้วเราก็ลงพื้นที่จริงได้เลย อย่าลืมอีกเรื่องคือ เมื่อตกลงราคากันได้เรียบร้อย ต้องคุยกันให้เด็ดขาดว่าฝ่ายไหนจะจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนใดบ้าง?   4.บ้านถูกอายัดอยู่หรือเปล่า? การอายัดเกิดจากการเอาบ้านไปติดจำนองเเล้วไม่ผ่อนเจ้าหนี้ เจ้าหนี้จึงไปขออำนาจศาลอายัดบ้านไว้ก่อน เหตุการณ์แบบนี้มักเกิดกับการซื้อขายบ้านในเมือง หลายคนเลยที่ดูบ้านเรียบร้อย ตกลงจะซื้อพร้อมวางเงิน เเต่บ้านกลับถูกอายัด วิธีแก้ไขคือเราสามารถไปขอดูโฉนดที่กรมที่ดินก่อนได้ เเจ้งว่าอยากจะตรวจสอบเพราะต้องการจะซื้อบ้านหลังนี้ ส่วนเรื่องการติดจำนอง ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะว่าคนที่ติดจำนองต้องมาไถ่ถอนไปก่อนถึงจะซื้อขายได้   5.ถ้าเอกสารสิทธิที่ครอบครองไม่ใช่โฉนดที่ดินล่ะ? กรณีเป็นพื้นที่ต่างจังหวัด เอกสารสิทธิเป็น น.ส.3 และ น.ส.3ก สามารถซื้อได้ทั้งหมด เเต่ถ้าเป็น ภบท. หรือซื้อใบรับรองจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่ยืนยันว่าใช้เป็นที่ทำมาหากิน พวกนี้ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยง   6.ถ้าซื้อไปแล้วถูกเวนคืน? ก่อนจะเลือกซื้อบ้าน ควรตรวจสอบว่าเเถวนั้นมีโครงการทำทางด่วน รถไฟฟ้า ถนนตัดผ่านใหม่หรือเปล่า? ถ้าอยู้ในช่วงสำรวจก็ถือเป็นความเสี่ยงส่วนหนึ่ง เเต่ถ้าการเวนคืนที่ดินเเถวนั้นออกเป็นกฤษฎีกาแล้วก็สบายใจได้ เพราะถือว่าที่ดินเเถวนั้นห้ามทำการซื้อขายเด็ดขาด     7.แล้วถ้าโฉนดบ้านมีชื่อมากกว่า 1 คน ทำไงดี? เรื่องนี้เวลาวางเงินซื้อขายทุกคนต้องเซ็นยินยอม ถ้าเกิดเหตุการณ์มีคนใดคนหนึ่งไม่ยินยอมในวันโอน เราอาจโดนยึดมัดจำไปฟรีๆ เเล้วต้องมาเสียเวลามาฟ้องร้องเรียกมัดจำคืน     8.ถ้าเกิดสิ่งปลูกสร้างที่ดินไม่มาพร้อมกัน ถ้าที่ดินเป็นชื่อคนละคนกับบ้าน จะซื้อขายต้องมีประกาศจากสำนักงานที่ดินว่าทั้งสองฝ่ายยินยอมก่อน จะต้องเสียเวลาอีก 1 เดือน และถ้าหากไม่ประกาศก็โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้   9.ถ้ามีปัญหา มีผู้จัดการมรดกจัดการหรือเปล่า? ถ้าคนถือครองเสียชีวิต ก็ต้องดูว่ามีใครเป็นผู้จัดการมรดก ทำเรื่องเรียบร้อยเเล้วหรือยัง? เเต่ถ้าเกิดวางเงินไปแล้ว เเต่กลัวว่าจะโอนไม่ได้ ซึ่งจริงๆแล้วสามารถโอนได้ โดยขออำนาจศาลเเต่งตั้งผู้จัดการมรดกก็สามารถทำเรื่องซื้อขายกันต่อได้เเล้ว ตอนนี้เรารู้เเล้วว่าความเสี่ยงที่จะเจอเวลาเราจะซื้อบ้านมือสองนั้นมีอะไรบ้าง ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อบ้านมือสองสักหลังต้องคิดให้ดีๆ เก็บข้อมูลให้มากๆก่อนซื้อ   ขอบคุณแหล่งที่มา  :  https://www.home2nd.com/blog/87690  
ผ่อนไหวใช่ว่าดี คำนวณก่อน ดอกเบี้ยบ้าน คุ้มค่าจริงเปล่า?

ผ่อนไหวใช่ว่าดี คำนวณก่อน ดอกเบี้ยบ้าน คุ้มค่าจริงเปล่า?

การมีทรัพย์สินติดตัวไว้ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ยิ่งเมื่อการได้มาเป็นภาระเกินความจำเป็น ยิ่งมีมูลค่ามาก การได้มากก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น และผู้ให้บริการทางการเงินส่วนมากก็มอบช่องทางสบายๆให้กับคนใจร้อน คนที่มีความต้องการมากเสียจนลืมคิดหน้าคิดหลังให้ดีซะก่อน หากคุณไม่อยากเสียผลประโยชน์จากการไม่วางแผน ลองอ่านบทความนี้ให้จบ แล้วคุณจะพบว่า ดอกเบี้ยจากการผ่อนบ้าน หากไม่บริหารให้ดี จะเจ็บหนักขนาดไหน   อันดับแรกคือหาเจ้าที่ประหยัดที่สุด เวลาเราไปดูตารางดอกเบี้ยของผู้ให้บริการทางการเงินหลายๆเจ้า เรามักจะเห็นคำว่า MRR นำอยู่ข้างหน้าเสมอ ตามด้วย สามปีแรกดอกเบี้ยกี่ % แล้วหลังจากนั้นเป็น MRR ลบเท่าไหร่ เช่น MRR = 7.25% สามปีแรก ดอกเบี้ย 3.75% ปีที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2% เมื่อเห็นแบบนี้ก็เข้าใจง่ายๆว่าคุณจะต้องโดนดอกเบี้ยปีละกี่ % แต่ค่า MRR จะเปลี่ยนไปทุกปีตามกำหนดการของธนาคาร เป็นเหตุผลที่มีการรีไฟแนนซ์ ทำให้การตัดสินใจเลือกผู้บริการธุรกรรมทางการเงินเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ยังไม่รวมไปถึงปริมาณการผ่อนชำระ   หลักการผ่อนไม่ให้ขาดทุน จุดสำคัญที่อยากให้ทุกคนเข้าใจกันคือปริมาณก่อนผ่อนชำระของคุณ เพราะคนส่วนมากมักจะเลือกผ่อนทีละน้อย เพื่อไม่ให้เดือดร้อนทรัพย์สินส่วนอื่น ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกไปซะหมด โดยเฉพาะกับคนที่สามารถรับผิดชอบผ่อนชำระได้มาก บางคนมีรายได้พอจะผ่อนให้เสร็จในสิบปีได้ แต่เลือกจะผ่อน 20 ปีเพื่อจะเอาเงินไปใช้ทำส่วนอื่น ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดเต็มๆ ธนาคารมักจะมีการผ่อนชำระขั้นต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 1ล้านต่อ 7พันบาท จะผ่อนหมดในเวลาประมาณ 142 สัปดาห์หรือ 20 ปี ซึ่งใช้เวลานานมาก ในขณะที่ปริมาณดอกเบี้ยไม่ได้ลดลงเลย คุณอาจจะมีรายได้อยู่ที่ 30,000 บาทต่อเดือน ผ่อน 15,000 บาทต่อเดือนต่อเงินต้นสองล้านบาท คุณคิดว่าคุณจะโดนดอกเบี้ยเท่าไหร่? ดอกเบี้ยหรือค่า MRR อาจจะคงที่ในทุกทุกปีที่คุณผ่อน แต่ดอกเบี้ยจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับเงินต้นว่าคุณผ่อนไปแล้วมากน้อยแค่ไหน ซึ่งดอกเบี้ยนั้นจะคำนวณตามเงินต้นและต้องรับผิดชอบทุกเดือน หมายความว่ายิ่งคุณจ่ายทีละน้อย เงินต้นก็จะลดลงช้าลงเท่านั้น เท่ากับว่าดอกเบี้ยก็จะลดลงช้าด้วยเช่นกัน จากล้านละเจ็ดพัน เปลี่ยนมาเป็นล้านละหมื่น จะย่นระยะเวลาการผ่อนชำระลงได้มากกว่าที่คุณคิด ยอมลงทุนผ่อนทีละมากๆต่อทรัพย์สินทีละชิ้น ดีกว่ามานั่งผ่อนยาวๆแต่เมื่อคำนวณออกมาแล้ว ดอกเบี้ยสูงเท่าเงินต้นนะครับ   รายได้ไม่พอ จะแก้ปัญหาอย่างไร? สำหรับคนที่มีความจำเป็นที่จะต้องผ่อนบ้าน หรือคนที่ผ่อนชำระไปแล้วพึ่งพบว่าตนเองกำลังขาดทุนอยู่จะแก้ปัญหาได้ทางไหนบ้าง? จริงๆแล้วหากไม่มีรายได้เพิ่ม ก็อาจจะเป็นทางออกที่ยาก แต่ก็มีทางเลือกง่ายๆดังนี้ โปะก้อนใหญ่ วิธีการแก้ปัญหาเงินต้นลดช้า แก้ได้ด้วยการโปะเงินก้อนเข้าไปในทุกทุกปีหรือทุกทุกเดือน เพื่อเป็นการลดเงินต้นอีกรูปแบบหนึ่ง แม้จะต้องใช้เงินเยอะเหมือนเดิม แต่ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารเงินของท่านว่าทำได้มากน้อยแค่ไหน รีไฟแนนซ์ การรีไฟแนนซ์นั้นมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเสมอ หากคำนวณไม่ดี จะกลายเป็นขาดทุนไปด้วย แต่หากทำถูกวิธี จะสามารถลดดอกเบี้ยลงอย่างเห็นได้ชัด ข้อเสนอปัจจุบัน ดอกเบี้ยกำไรผู้ซื้อมีเป็นช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก หลังจากนั้นไปการรีไฟแนนซ์จึงกลายมาเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง หาผู้กู้ร่วม ในเมื่อไม่สามารถรับผิดชอบด้วยตัวเองได้ ก็ต้องหาคนมาช่วยรับผิดชอบ อาจจะไม่ใช่รูปแบบของการ กู้ร่วมทั้งหมด แต่ก็สามารถหารายได้เพิ่มจากที่พักที่คุณมีนี่แหล่ะ ไม่ว่าจะเป็นเช่าที่ หรือเปลี่ยนเป็นหอพักก็ดีทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ไม่สามารถแก้ที่ปลายทางได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ วิธีการหลีกหนีดอกเบี้ยบ้านที่สูงเกินไป อยู่ตั้งแต่ตอนเริ่มขอสินเชื่อ ตั้งแต่ตอนคำนวณฐานรายได้และรูปแบบการชำระที่คุณต้องการ หากเตรียมพร้อมไว้ก่อน ก็จะไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม คนที่ไม่มีทางเลือกก็จำเป็นต้องพยายามให้หนักกว่าคนอื่น หากต้องการจะออกจากวังวนนี้ แม้ว่าการผ่อนระยะเวลานานจะเป็นทางเลือกที่คุณสบายใจที่สุด แต่การผ่อนเงินเพียงสองล้านบาทอาจกลายเป็นดอกเบี้ยร่วมหนึ่งล้านบาทได้เลย มากพอที่จะคุณถอยรถยนต์อีกคันได้สบายๆ ดังนั้นก่อนจะทำการใหญ่ การศึกษาข้อมูลทางการเงินมีความจำเป็นมากกว่าที่คุณคิด อย่ารีบร้อน วางแผนให้ดีก่อน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://finance.rabbit.co.th/blog/minimum-house-installment        
เรื่องควรรู้ก่อนตัดสินใจ รีไฟแนนซ์บ้าน

เรื่องควรรู้ก่อนตัดสินใจ รีไฟแนนซ์บ้าน

เรื่องของสินเชื่ออาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจยากซักหน่อย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่เราต้องรู้ไว้ ไม่ว่าคุณจะกำลังผ่อนบ้านอยู่ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อบ้านซักหลังเป็นของตัวเอง เรื่องสินเชื่อบ้าน ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยค่ะ     รีไฟแนนซ์บ้านคืออะไร? การรีไฟแนนซ์บ้าน คือ การขอกู้ยืมสินเชื่อก้อนใหม่จากธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เรามีสัญญาการผ่อนชำระอยู่เดิม หรือ จะทำเรื่องกู้เงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ มาโปะหนี้จากธนาคารเดิมก็สามารถทำได้ การรีไฟแนนซ์บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการขอกู้เงินจากธนาคารเดิม หรือธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ ต่างมีจุดประสงค์เพื่อขยายระยะเวลาการผ่อนที่เหลือให้นานขึ้น และมีค่างวดน้อยลง หรือ เพื่อให้ผ่อนหมดเร็วขึ้น     คนส่วนใหญ่มักจะนิยมรีไฟแนนซ์บ้าน หรือ คอนโดมิเนียม กันทุกๆ 3  ปี หรือ เมื่อเริ่มที่จะรู้สึกว่าผ่อนไม่ไหว แต่ในความเป็นจริงแล้ว การรีไฟแนนซ์บ้าน ไม่จำเป็นต้องรอให้เรารู้สึกว่าผ่อนบ้านหรือคอนโดไม่ไหวถึงจะยื่นเรื่องขอรีไฟแนนซ์ เพราะ ธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ มีกำหนดให้สามารถรีไฟแนนซ์ได้เรื่อยๆ (ทุกรอบ 3ปี) ทั้งนี้เพราะธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่งล้วนมีแรงจูงใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงนั่นเอง เพราะอัตราดอกเบี้ยในการกู้เงินซื้อบ้านหรือคอนโดของทุกธนาคารจะถูกแค่ในช่วง 3 ปีแรกเท่านั้น และหลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น หมายความว่าคุณจะต้องจ่ายค่างวดและดอกเบี้ยการผ่อนบ้านในอัตราปกติ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกค้าหลายๆคนจึงเลือกทำการรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่นั่นเอง       1.เงื่อนไขการรีไฟแนนซ์ของธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ปัจจัยหลักๆของการกู้สินเชื่อบ้านคือดอกเบี้ย ดังนั้นหากคุณต้องการจะรีไฟแนนซ์ ดอกเบี้ยคือสิ่งที่จะต้องพิจารณาเป็นอย่างแรก อัตราดอกเบี้ยสำหรับการรีไฟแนนซ์ที่เหมาะสม คือ อัตราดอกเบี้ยจะต้องต่ำกว่าดอกเบี้ยตลอดสินเชื่อที่ใช้ในปัจจุบัน รวมทั้งเงื่อนไขเรื่องจำนวนเงินผ่อนต่องวดที่ต้องลดลงและ ระยะการผ่อนที่นานขึ้นเพราะธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ย่อมมีเงื่อนไขการรีไฟแนนซ์ที่ต่างกัน หากคุณรู้เงื่อนไขของธนาคารแต่ละแห่ง จะทำให้เราสามารถคำนวนได้ว่าการรีไฟแนนซ์บ้านแต่ละครั้งมีส่วนช่วยในการลดดอกเบี้ยได้มากน้อยแค่ไหน     2.ค่าใช้จ่ายโดยรวมทั้งหมด อัตราดอกเบี้ย ค่าประเมินราคาทรัพย์สิน ค่าธรรมเนียมการปล่อยกู้ ค่าอากรแสตมป์ ค่าจำนองที่ดิน ค่าทำประกัน หรือค่าบริการอื่นๆ (ค่าประกันอัคคีภัย) ส่วนมากค่าใช้จ่ายโดยรวมนี้คุณสามารถคำนวนได้จากเว็บไซต์ของธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่ง เพราะในปัจจุบันธนาคารและสถาบันการเงินที่มีการให้บริการรีไฟแนนซ์ จะมีบริการคำนวนค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าที่ต้องการใช้บริการรีไฟแนนซ์อยู่แล้ว     3.ต้องรู้ว่าใช้เอกสารอะไรในการยื่นขอรีไฟแนนซ์บ้าง สำเนาบัตรประชาชน/สำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมฉบับจริง ใบรับรองเงินเดือน (ย้อนหลัง 3เดือน) หรือ หนังสือผ่านสิทธิสวัสดิการข้อตกลง ฉบับจริง ใบเสร็จการผ่อนชำระย้อนหลัง 24 เดือน (ในกรณีรีไฟแนนซ์บ้านแบบไถ่ถอน) สำเนาบัญชีเงินฝากแสดงรายการย้อนหลัง 6 เดือน และหลักฐานแสดงฐานะการเงินอื่น ๆ พร้อมฉบับจริง หรือ Statement พร้อมเซ็นต์รับรอง หากผู้ยื่นเรื่องขอรีไฟแนนซ์ ประกอบอาชีพส่วนตัว ให้นำสำเนาใบประกอบวิชาชีพ หรือ ใบอนุญาตประกอบการ มาแสดงด้วย แต่หากประกอบธุรกิจให้นำสำเนาทะเบียนการค้า ทะเบียนบริษัท หรือทะเบียนห้างหุ้นส่วนฯ พร้อมยื่นหลักฐานการเสียภาษีเงินได้ แนบใบเสร็จตัวจริงจากกรมสรรพากร ย้อนหลัง 6 เดือน มาด้วย (รูปถ่ายกิจการ จำนวน 3-4 รูป) สำเนาโฉนดที่ดิน/นส.3ก/หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด/อช.2(2ชุด) พร้อมรับรองจาก สนง.ที่ดิน     4.ศึกษาขั้นตอนการรีไฟแนนซ์เบื้องต้น การศึกษาขั้นตอนการรีไฟแนนซ์บ้านจะทำให้คุณประหยัดเวลาในการดำเนินการได้มากขึ้น รวมถึงคุณสามารถเตรียมเอกสารและดำเนินการยื่นเอกสารได้ทันเวลาอีกด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น การติดต่อขอสำเนาสรุปยอดหนี้เงินกู้กับธนาคารเก่า ยื่นเอกสารสรุปยอดหนี้ที่ได้จากธนาคารแห่งเก่าไปขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ เจ้าหน้าที่ธนาคารมาประเมินทรัพย์สิน การนัดวันไถ่ถอนที่สำนักงานที่ดินธนาคารเดิม การนัดวันทำสัญญากับธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ ดำเนินการเรื่องโอนที่ที่ดินในเขตที่ของเราตั้งอยู่   แม้ว่าข้อมูลต่างๆจะสำคัญต่อการรีไฟแนนซ์บ้าน แต่การศึกษาข้อมูลอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่ทางออกทั้งหมด คุณควรดูปัจจัยจากตัวคุณเพิ่มเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นรายได้ประจำ เงินเก็บ กำลังทรัพย์ แนวมโน้มทางการเงิน แนวโน้มหน้าที่การงาน รวมถึงการคำนวนความสามารถในการผ่อนค่างวด ดอกเบี้ย รวมถึงระยะเวลาในการผ่อนด้วย  ขอบคุณข้อมูลจาก : https://finance.rabbit.co.th/blog/re-finance-101