Tag : living

432 ผลลัพธ์
SECOM Smart Security ระบบรักษาความปลอดภัยครบวงจรอันดับหนึ่งจากญี่ปุ่น

SECOM Smart Security ระบบรักษาความปลอดภัยครบวงจรอันดับหนึ่งจากญี่ปุ่น

SECOM Smart Security ระบบรักษาความปลอดภัยครบวงจรอันดับหนึ่งจากญี่ปุ่น ที่มากกว่ากล้องวงจรปิดทั่วไป เพื่อการดูแลทุกคนในบ้านให้ปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง   SECOM Smart Security คือบริการอะไร? Smart Security Care บริการใหม่เพื่อดูแลผู้สูงวัยในบ้าน อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ควรติดตั้งในบ้าน บริการของ Smart Security care …………………………………………………………………     เมื่อระบบรักษาความปลอดภัยที่มีแค่กล้องวงจรปิด (CCTV) ไม่สามารถทำให้คุณอุ่นใจ ได้อย่างแท้จริง เพราะหลายเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เราไม่สามารถจัดการเหตุได้อย่างทันท่วงที ยิ่งสังคมในปัจจุบันประชากรส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตที่ต้องออกไปทำงาน ทำกิจกรรมนอกบ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ การมองหาอุปกรณ์และระบบเพื่อรักษาความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินภายในบ้าน จึงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ ที่หลายคนมองหามาติดในบ้าน   ครั้งนี้เราจะมาพูดถึงระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร ภายใต้แบรนด์ “SECOM” ผู้ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยอันดับหนึ่งจากประเทศญี่ปุ่น มีเครือข่ายทั่วโลกครอบคลุม 17 ประเทศ และดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมานานถึง 37 ปี และปัจจุบันมีการขยายศูนย์บริการมากกว่า 50 สาขาแล้ว ซึ่งเป็นเครื่องการันตีความเป็นผู้เชี่ยวชาญและเป็นผู้นำในตลาดระบบรักษาความปลอดภัยได้เป็นอย่างดี     ด้วย “SECOM Smart Security” เป็นโซลูชันที่ครอบคลุมการดูแลความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มให้คำปรึกษา, บริการออกแบบระบบ, บริการติดตั้งโดยทีมงานมืออาชีพ พร้อมบริการเฝ้าระวังสัญญาณผิดปกติตลอด 24 ชั่วโมง, บริการซ่อมบำรุง, รวมถึงระบบวิเคราะห์ภาพอัจฉริยะ (Video Analytics) และเซ็นเซอร์ตรวจจับความผิดปกติ แจ้งเตือนผ่านสมาร์ทโฟน และโทรแจ้งเจ้าบ้าน รวมทั้งบริการส่งทีมเข้าพื้นที่กรณีฉุกเฉินตามความจำเป็น ซึ่งนับเป็นระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรอย่างแท้จริง   ความปลอดภัยที่เหนือกว่า ด้วยจุดเด่นของ SECOM SECOM มีประสบการณ์และความเป็นมืออาชีพด้านความปลอดภัย และเป็นระบบรักษาความปลอดภัยเดียว ที่ป้องกันความเสี่ยงอย่างครบวงจร ตั้งแต่มาตรการป้องกันก่อนเกิดเหตุไปจนถึงหลังเกิดเหตุ เพื่อควบคุมและลดความเสียหายจากเหตุฉุกเฉิน ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่มีจุดเด่น 3 ด้าน ได้แก่ One Intelligent Platform : บริการสุดทันสมัย ให้คุณจัดการควบคุมทั้งเซ็นเซอร์ กล้อง และระบบอัตโนมัติได้อย่างสะดวกสบายใน Application เดียว Monitoring 24/7 : ศูนย์ควบคุมคอยเฝ้าระวังสัญญาณจากเซ็นเซอร์ตลอด 24 ชม. อุ่นใจได้หากตรวจพบเหตุการณ์ผิดปกติ ทางศูนย์จะติดต่อลูกค้า พร้อมมีบริการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานดับเพลิงได้ตามความต้องการ Interactive Solution : แจ้งเตือนจาก Application เมื่อมีผู้มาเยี่ยมบ้าน หรือตรวจพบผู้บุกรุก พร้อมบันทึกภาพจากกล้องบน Cloud และตรวจจับคนและสัตว์ได้อัตโนมัติ   จากระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะครบวงจรที่กล่าวถึงมาข้างต้นนี้แล้ว ล่าสุด SECOM ได้เปิดตัวบริการ “Smart Security Care” ซึ่งถือเป็นการต่อยอดบริการอีกขั้นของระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับผู้สูงวัยภายในบ้าน     เตรียมป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่า “Smart Security Care” เป็นบริการที่จะมาตอบโจทย์การดูแลผู้สูงวัยที่อาศัยอยู่ในบ้านเพียงลำพัง ภายใต้คอนเซ็ปต์ Caring By Your Side เนื่องจากสังคมประเทศไทยในปัจจุบันก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ที่เริ่มมีจำนวนผู้สูงวัยต้องใช้ชีวิตในบ้านเองเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่สมาชิกของครอบครัวต้องออกไปทำงานนอกบ้าน มีความจำเป็นต้องอยู่อาศัยคนละที่ หรือแม้กระทั่งผู้สูงวัยที่อยู่คนเดียวและอยากดูแลตัวเอง ดังนั้นโซลูชันอัจฉริยะที่ทาง SECOM ออกแบบไว้จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเพื่อลดความกังวลทั้งในด้านความปลอดภัย และด้านสุขภาพ ให้กับสมาชิกในครอบครัว ซึ่งหากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาจะได้เข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที ซึ่งบริการและอุปกรณ์ที่เพิ่มเติมขึ้นมาจะมีอะไรบ้าง เราไปทำความรู้จักกันได้เลย     3 จุดเด่นของ SECOM SMART security care ด้านความปลอดภัย ให้บริการระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมงโดยทีมงานมืออาชีพ เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ SECOM จะติดต่อผ่านเบอร์ของลูกค้าที่ลงทะเบียนไว้ และประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้านสุขภาพ โซลูชันติดตามกิจกรรมและพฤติกรรมของผู้สูงวัยผ่านแอปพลิเคชันได้ตลอดเวลา ด้านการช่วยเหลือฉุกเฉิน บริการแจ้งเตือนสมาชิกในครอบครัวทันทีที่เกิดเหตุ และหากมีเหตุฉุกเฉิน SECOM จะช่วยเรียกรถพยาบาลให้ตามความจำเป็น   จุดเด่นของบริการทั้งหมดนี้จะทำงานร่วมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ติดตั้งไว้ในบ้าน เพื่อเฝ้าติดตามกิจกรรมและพฤติกรรมโดยรวมของผู้สูงวัย ทำให้สามารถแจ้งเตือนความผิดปกติผ่านโทรศัพท์มือถือได้ทันที พร้อมรายงานสรุปข้อมูลช่วยให้วิเคราะห์สุขภาพของผู้สูงวัยได้อีกด้วย     สำหรับอุปกรณ์แต่ละตัวที่จะใช้ทำงานร่วมกันก็ยกตัวอย่างเช่น กล้อง Wi-Fi สำหรับใช้ภายในบ้าน (Indoor Wi-Fi Camera) กล้องวงจรปิดที่สามารถพูดคุย โต้ตอบ กับคนในบ้านได้อย่างเรียลไทม์ ผ่านแอปพลิเคชันในมือถือ ถือแม้จะอยู่กันคนละที่ แต่เราก็สามารถทักทาย พูดคุยกับคนที่บ้านได้ตลอดเวลาที่ต้องการ   ปุ่มฉุกเฉินทางการแพทย์ (Medical Button) อุปกรณ์สำหรับขอความช่วยเหลือ ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นปุ่มสีแดงที่ติดตั้งในจุดเสี่ยงสำคัญ เช่น ห้องน้ำ ห้องนอน เพื่อส่งสัญญาณแจ้งเตือนให้สมาชิกในบ้านรับรู้ และส่งไปที่ศูนย์ควบคุมของ SECOM เพื่อตรวจสอบเหตุการณ์และให้ความช่วยเหลือได้ทันที     เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว (Motion Sensor) หรือเซ็นเซอร์เฝ้าระวังการเปิด-ปิดประตู (Door Contact) อุปกรณ์ตัวนี้จะช่วยติดตามการเคลื่อนไหวตามการใช้ชีวิตประจำวัน อย่างเวลาตื่นนอน หรือเวลาที่ใช้ทำกิจกรรมตามจุดต่าง ๆ ในบ้าน ซึ่งข้อมูลนี้จะนำไปวิเคราะห์ว่ามีความผิดปกติในชีวิตประจำวัน หรือใช้วิเคราะห์ปัญหาสุขภาพได้เช่นกัน   ตัวอย่างเหตุการณ์ : หากไม่มีการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาที่ผู้สูงวัยต้องตื่นนอนตามเวลา อาจจะสันนิษฐานได้ว่ามีความผิดปกติอื่น ๆ เกิดขึ้น เช่น เจ็บป่วย ไม่สบายหรือไม่ หรือเกิดอุบัติเหตุที่ส่วนใดของบ้าน ซึ่งเราก็จะสามารถตรวจสอบผ่านแอปพลิเคชันในมือถือได้ทันที ด้วยการเปิดดูกล้องวงจรปิดในจุดต่าง ๆ ของบ้าน นอกจากนี้ยังสามารถนำเซ็นเซอร์ไปติดตั้งไว้ในกล่องยา เพื่อแจ้งเตือนให้ทานยาให้ตรงเวลาได้ด้วย   เซ็นเซอร์ตรวจจับควัน (Smoke Detector) และเซ็นเซอร์ตรวจจับน้ำรั่ว (Water Leakage Sensor) เนื่องจากผู้สูงวัยอาจจะมีการหลงลืม เปิดแก๊สทำอาหาร หรือเปิดน้ำทิ้งไว้ การตรวจจับเหล่านี้ ก็จะช่วยแจ้งเตือน และป้องกันความเสียหายจากเหตุไม่คาดคิดได้ทันนั่นเอง   SECOM Smart Security Care ถือเป็นตัวช่วยที่ถูกออกแบบมาเพื่อชีวิตคนยุคใหม่อย่างแท้จริง เพราะด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ลูกหลานอาจจะไม่สามารถอยู่บ้านดูแลผู้สูงวัยได้ตลอดเวลา ด้วยบริการที่มีให้เลือกหลายหลายรูปแบบตามความต้องการ จึงช่วยลดความกังวลใจในเรื่องต่าง ๆ ในบ้านไปได้มากเลยทีเดียว ขณะเดียวกันผู้สูงวัยก็อุ่นใจ ไม่รู้สึกเป็นภาระให้กับลูกหลาน เมื่อลูกหลานต้องออกไปทำงานข้างนอก     ซึ่งเราได้มีโอกาสได้ฟังประสบการณ์การใช้งานจริงจาก Real User คุณบอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ และคุณแม่ เล่าถึงเวลาต้องออกไปทำงาน หรือเดินทางไปต่างประเทศนาน ๆ แล้วคุณแม่ต้องอยู่ที่บ้านคนเดียว Smart Security Care สามารถช่วยเตือนให้คุณแม่ทานยาได้ตามเวลา รวมถึงคุณบอยสามารถเปิดกล้อง พูดคุยกับคุณแม่ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเดินทางอยู่ส่วนไหนของโลกก็ตาม ทำให้รู้สึกใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น รวมถึงเรื่องเล่าจากเหตุการณ์สัญญาณของปุ่มฉุกเฉินทางการแพทย์แจ้งเตือนไปยังศูนย์ควบคุม แล้วเจ้าหน้าที่ต่อสายตรงถึงคุณบอยอย่างรวดเร็ว เพื่อขออนุญาตเข้าดูภาพในระบบว่าเกิดเหตุอะไรภายในบ้าน ก่อนที่จะทราบเรื่องภายหลังว่า คุณแม่พลาดกดถูกปุ่มฉุกเฉินโดยไม่รู้ตัว ซึ่งทำให้ได้รู้เพิ่มเติมว่า “ความเป็นส่วนตัว” เป็นอีกเรื่องที่ทาง SECOM ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน ถึงแม้ศูนย์ควบคุมจะสามารถเข้าดูภาพและข้อมูลได้ในกรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด แต่ก็ต้องผ่านการได้รับความยินยอมจากเจ้าของบ้านก่อนทุกครั้ง ด้วยระบบป้องกันความเป็นส่วนตัวที่แน่นหนา ทำให้ SECOM และคนนอกไม่สามารถเข้าดูภาพและข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างแน่นอน   ดูวิดีโอตัวอย่างการใช้งาน Smart Security Care ได้ที่ bit.ly/3UrtxVN     หลังจากได้รับฟังข้อมูลของ SECOM Smart Security Care พร้อมประสบการณ์ใช้งานจริงแล้ว เราเชื่อว่าการลงทุนติดตั้งบริการเพื่อความปลอดภัยของคนที่เรารักนั้นเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามาก ด้วยค่าบริการรายเดือนเริ่มต้นเพียง 1,099 บาท เพื่อแลกกับความอุ่นใจ และทุกคนในครอบครัวสามารถออกไปทำงาน ไปใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ถือว่าไม่แพงเลย     ใครที่สนใจ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Line : @secomthailand โทร. 02-026-6593 หรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://bit.ly/3VTzdt0   บทความอื่นที่น่าสนใจ 5 จุดเหมาะติดกล้องวงจรปิด ไขความลับ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้านยังไง ตอบโจทย์ชีวิตเกษียณ 7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง    
สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล  เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต”

สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต”

สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล  จับมือ 2 ดีเวปลอปเปอร์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  อสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของไทยและ บริษัท ซีจี แคปปิตอล จำกัด  บริษัทบริหารการลงทุนจากตระกูลจิราธิวัฒน์ในรูปแบบกองทุน Private Equity ที่เจาะกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวโครงการ “THE STANDARD RESIDENCES”   ที่พักอาศัยรูปแบบbranded residences บนทำเลสุดฮอตกับ 2 เมืองท่องเที่ยวระดับโลก ได้แก่เดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์หัวหิน โครงการbranded residences แห่งแรกในเอเชีย กับทำเลบีชฟร้อนท์และเดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์ภูเก็ตบางเทา ย่านที่ฮอตที่สุดในภูเก็ต ตอบโจทย์ทั้งการใช้ชีวิตอยู่อาศัยเองและซื้อไว้เป็นฮอลิเดย์โฮมด้วยดีไซน์ทันสมัย แปลกใหม่ และมาตรฐานที่ไม่เหมือนใครในแบบฉบับของ เดอะ สแตนดาร์ด มูลค่าทั้ง 2 โครงการรวมกว่า 8,500 ล้านบาท คุณอมาร์ ลัลวานี่ ประธานกรรมการบริหาร Standard International กล่าวว่า Standard International บริษัทเครือไลฟ์สไตล์โฮเทลระดับโลกและเป็นบริษัทแม่ของเครือโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด  ซึ่งก่อตั้งมากว่า 25 ปีด้วยเอกลักษณ์ ตัวตน เปิดตัวโรงแรมแห่งแรกในฮอลลีวูด รวมทั้งปักหมุดเปิดให้บริการในทำเลสำคัญทั่วโลกได้แก่ นิวยอร์ก, ไมอามี่, ลอนดอน, อิบิซา, มัลดีฟส์, หัวหิน และกรุงเทพมหานครที่เป็นแฟล็กชิพของเอเชีย อย่าง The Standard, Bangkok Mahanakhon   โดยโครงการ The Standard Residences จะหยิบยกเอาจุดเด่นด้านดีไซน์ของโรงแรม The Standard ไม่ว่าจะเป็น ห้องนั่งเล่นที่ดูสนุกสนาน การผสมผสานโทนสี การเลือกสรรวัสดุ และเตียงนอนที่นุ่มสบาย มาต่อยอดกับบริการอันเป็นเอกลักษณ์  และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสร้างประสบการณ์พักผ่อนที่แตกต่าง ตลาด branded residences ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตถึง 216% ด้วยโลเคชั่นที่มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น The Standard Residences จึงไม่จำกัดเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลักแต่ยังเล็งการขยายตัวไปยังเมืองที่มีศักยภาพในการเติบโตและมีเอกลักษณ์โดดเด่น ยกตัวอย่างเช่น บาหลี สิงคโปร์หรือ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น   ทั้งนี้คุณอมาร์ มีความเชื่อมั่นว่า ทั้ง 2 โครงการใหม่ อย่าง The Standard Residences, Hua Hin โดย แสนสิริ และ The Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่ได้ ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity  จะเพิ่มมูลค่าของ branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard มั่นใจว่า 2โครงการนี้จะสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ   คุณอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  แสนสิริ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 40ในฐานะบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์พัฒนามาแล้วรวมกว่า 500 โครงการ ทั้งนี้แสนสิริพัฒนาโครงการรีสอร์ทคอนโดมิเนียม(รวม The Standard Residences, Hua-Hin) ในหัวหินมาแล้วจำนวนรวม 25 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 31,000 ล้านบาท โดย 22 โครงการ Sold out (ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว)   คุณอุทัยกล่าวว่า หัวหินเป็นตลาดที่มีโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจสูง เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ในปี 66 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในหัวหิน 9 ล้านคนและคาดว่าในปี 67จะมีมากขึ้นกว่าเดิมด้วยมาตรการผ่อนปรนต่างๆ ส่งผลให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัย Resort home เป็นบ้านหลังที่ 2 มากขึ้น ทั้งซื้อเพื่ออยู่เองเพื่อการลงทุนของชาวไทยและต่างชาติรวมทั้งปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่กำลังพัฒนา ด้านระบบคมนาคม รวมถึงการผลักดันของภาครัฐให้หัวหินเป็น World Class City of Relaxation ศูนย์กลางของด้าน Wellness และ Medical Tourism Hub การขยายสนามบินเพื่อรองรับไพรเวทเจ็ทของนักท่องเที่ยวกลุ่มลักซ์ซัวรี่และการตั้งเป้าให้หัวหินเป็นสมาร์ทซิตี้ที่มีความทันสมัยและปลอดภัยและที่สำคัญ The Standard Residences, Hua Hin นับเป็นโปรเจกท์ไฮไลท์ของแสนสิริในปีนี้โดยมีมูลค่าโครงการรวม 4,500 ล้านบาทและเป็น Beachfront branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard แห่งแรกในเอเชีย และมีกำหนดเปิดตัวเป็นแห่งที่ 3 ของโลก โครงการตั้งอยู่บนไพร์มโลเคชั่นบนที่ดินหายากติดหาดหัวหิน ที่สามารถพัฒนาโครงการใหญ่แบบฟรีโฮลด์ได้มาพร้อมกับไฮไลท์ Beachfront Pool Villa สุด Rare ราคาแตะ 100 ล้านบาท เพียง 2 ยูนิตเท่านั้น โดดเด่นด้วย programming experience ที่ยกระดับประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสไปกับ experience facilities ที่มีให้เฉพาะลูกบ้านของเรสซิเดนซ์เท่านั้นเพื่อสุดยอดประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่ฉีกกรอบทุกการพักผ่อนอาทิ pickle ball court, the mud lounge, salt sauna และ experience shower จำนวน 245 ยูนิตบนพื้นที่ขนาด9 ไร่เริ่มตั้งแต่ 1 ห้องนอน ขนาด 40-65 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด77-120 ตารางเมตร, 3 ห้องนอน ขนาด107-153 ตารางเมตรและBeachfront Pool Villa สุด Rare ขนาด 220 ตารางเมตร ทั้งนี้โครงการพร้อมเปิดให้ชม sales gallery ครั้งแรกวันที่ 23-24 มีนาคม 2567 นี้และพร้อมเข้าอยู่ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2569 คุณภูมิ จิราธิวัฒน์กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีจี แคปปิตอลจำกัด กล่าวว่า ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity ในเครือเซ็นทรัล ได้จัดตั้ง กองทุนแรกในมูลค่า 10,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวลงทุนหลักได้แก่ 1. ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 2. ธนาคารชั้นนำ 3. นักลงทุนสถาบันระดับโลกซึ่งมีแผนที่จะลงทุนทั้งในส่วนโรงแรม คอนโดมิเนียม สวนสนุกสวนน้ำ และโครงการมิกซ์ยูส ที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นในเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศได้แก่ กรุงเทพมหานครภูเก็ต สมุย และพัทยา โดยคาดว่าจะลงทุนปีละ 3-5 โครงการ   ยิ่งสำคัญ ภูเก็ต เมืองท่องเที่ยวอันโด่งดังติดอันดับ1 ใน 10 ของโลก และยังได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ Workation อันดับ 10 ของโลก หลังช่วงโควิดในปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตแล้วกว่า 11 ล้านคน ทำให้มีการเล็งเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทจากหลายผู้ประกอบการมากที่สุดในเมืองไทยประกอบกับโดยมีโรงเรียนนานาชาติถึง 13 แห่ง และโรงพยาบาลระดับไฮเอ็นด์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของคอนโดมิเนียมในภูเก็ตเพิ่มขึ้นถึง 113% โครงการ The Standard Residences Phuket Bang Tao ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดในย่านที่เป็นไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์ของภูเก็ต อย่างย่านบางเทา การเดินทางจากกรุงเทพฯเพียง 3 ชั่วโมงโดยเครื่องบิน โครงการเดินทางจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตเพียง 25 นาที   พื้นที่ของโครงการทั้งหมดมีขนาด 19 ไร่โดยแบ่งเป็น 3 โปรเจค เริ่มจากThe Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่มีขนาด 12 ไร่ และ โรงแรมเดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา(The Peri Hotel Phuket Bang Tao) รวมถึง F&B Concept ใหม่ล่าสุดจากThe Standard ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันอีก 7 ไร่   ทั้งนี้ตัวโครงการ branded residences ประกอบด้วยอาคาร7 ชั้นรวมแล้ว6 อาคารมีจำนวนห้องทั้งหมด 188 ยูนิตโดยออกแบบให้เป็นห้องตกแต่งพร้อมเฟอร์นิเจอร์เริ่มตั้งแต่1 ห้องนอนขนาด 75 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด 100-120 ตารางเมตร, 3 ห้องนอนขนาด167-172 ตารางเมตร และห้องดูเพล็กซ์สุดหรู ขนาด 301–313 ตารางเมตร โครงการให้บริการพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลาดหลายอาทิ โคเวิร์คกิ้งสเปซ, โซนเกมส์, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำความยาว25 เมตร, สระว่ายน้ำเด็ก และสปา เป็นต้นพร้อมบริการอื่น ๆ ตามมาตรฐานโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ดรวมถึงมีพนักงานดูแลอำนวยความสะดวกตลอด24 ชั่วโมง และบริการรถรับ-ส่งไปยังชายหาดบางเทา ทั้งนี้ The Standard Residences, Phuket Bang Tao เตรียมเปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้นที่ 11.9 ล้านบาท รวมถึงเปิดsales gallery ครั้งแรกในเดือนเมษายนปี 2567 และพร้อมเข้าอยู่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2569   บทความน่าสนใจ เปิดตัว CG Capital บริษัทบริหารกองทุน โดยตระกูลจิราธิวัฒน์ เจาะตลาดอสังหาฯ โรงแรม ในเมืองท่องเที่ยว แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว  
RML เปิดให้ชมโฉม ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ คอนโดฯ ลักชัวรี่ พร้อมอยู่ ใจกลางสาทร

RML เปิดให้ชมโฉม ‘เทตต์ สาทร ทเวลฟ์’ คอนโดฯ ลักชัวรี่ พร้อมอยู่ ใจกลางสาทร

เปิดให้ชม คอนโดฯ ลักชัวรี่ พร้อมเข้าอยู่  เทตต์ สาทร ทเวลฟ์ (Tait Sathorn 12)  ครั้งแรก ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Live The Iconic Life’ ที่สุดของการใช้ชีวิตที่แตกต่างใจกลางสาทร ชูไฮไลต์โครงการ ‘สะดวกทุกมิติของการใช้ชีวิต-ดีไซน์โดดเด่นการันตีรางวัล 3 ปีซ้อน- พื้นที่ส่วนกลางจัดเต็มกว่า 2,000 ตร.ม.’ เผยโครงการกระแสแรง! กวาดยอดขายถล่มทลายไปถึง 97% ราคาขายเฉลี่ย 200,000 บาท/ตร.ม.ขึ้นไป เทตต์ สาทร ทเวลฟ์ เป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง RML และโตเกียว ทาเทโมโนะ โดยมีสัดส่วนการลงทุน 51:49 เป็นคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ความสูง 40 ชั้น จำนวน 231 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,400 ล้านบาท ที่ตั้งใจพัฒนาภายใต้แนวคิด  Live The Iconic Life – ที่สุดของการใช้ชีวิตอย่างแตกต่างใจกลางสาทร ปลดล็อกการใช้ชีวิตที่เหนือระดับ กับความเป็นไอคอนิคไลฟ์หรือสุดยอดชีวิตที่แตกต่าง ผ่าน 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่   THE ICONIC LOCATION: ตั้งอยู่ในซอยสาทร 12 ห่างจาก BTS เซนต์หลุยส์เพียง 180 เมตร สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนสาทร และถนนสีลม มอบความสะดวกสบายให้การเดินทางของทั้งผู้ใช้รถยนต์ส่วนตัวและ Public Transportation ทั้งยังห้อมล้อมด้วยคาเฟ่ ร้านอาหารชื่อดัง แหล่งไลฟ์สไตล์ยามค่ำคืน พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนนานาชาติ ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน โรงแรม 5 ดาว สถานทูต ฯลฯ นับว่าเป็นทำเลที่ upscale และ happening ที่สุดบนเส้นสาทร-สีลม     THE ICONIC DESIGN: แลนด์มาร์กใหม่ของย่านสาทรที่สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกเห็น ออกแบบโดยบริษัทสถาปนิกอันดับหนึ่งของไทยอย่าง ‘A49’ และภูมิสถาปัตย์โดย ‘Shma’ ซึ่งอาคารได้รับการออกแบบให้มีลักษณะเฉพาะตัวด้วยรูปทรงไล่ระดับ Iconic Slope ลดหลั่นกันลงไปแต่ละชั้นบริเวณยอดอาคาร ดีไซน์โมเดิร์นคมชัดดูสะอาดตาด้วยกระจกบานสูง การันตีคุณภาพงานออกแบบทั้งภายนอกภายใน โดยได้รับรางวัลในด้านงานออกแบบและความเป็นสุดยอดคอนโดฯ ลักชัวรี่ 3 ปีซ้อน ได้แก่ รางวัล Best Luxury Condominium Project จากเวที International Finance Award ในปี 2564 ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่คอนโดฯ ลักชัวรี่ที่มีมาตรฐานระดับอินเตอร์, รางวัล Best Luxury Condo Architectural Design จาก PropertyGuru Thailand Property Awards ในปี 2565 ในฐานะคอนโดฯ ลักชัวรี่ที่มีสถาปัตยกรรมภายนอกยอดเยี่ยม และนวัตกรรมดีไซน์ที่ทันสมัย และล่าสุดปีนี้ได้รับรางวัล Best Exposure Condo จาก Livinginsider Awards ซึ่งมอบให้แก่คอนโดฯ ที่โดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมภายนอกที่มีรูปทรงสวยงาม   THE ICONIC FACILITIES: เทตต์ สาทร ทเวลฟ์ มอบประสบการณ์ใช้ชีวิตสุดไอคอนิค ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ได้อย่างครบครัน ตั้งแต่บริเวณล็อบบี้ รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางลอยฟ้า 6 ชั้นบนยอดอาคารครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,000 ตร.ม. ได้แก่ Outdoor Lobby ซึ่งเชื่อมต่อกับสวนด้านหน้าของโครงการ ให้ความรู้สึกเสมือนพักในโรงแรม ด้านหลังโครงการ พื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงและพื้นที่สีเขียว โครงการออกแบบให้มีพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ เพื่อให้ลูกบ้านสามารถนำสัตว์เลี้ยงออกมาเดินเล่นบริเวณนี้ได้   สระว่ายน้ำระบบปราศจากคลอรีน ที่มอบวิวเมืองสวย และอยู่ในร่มแบบ Semi Outdoor ไม่ทำให้ผิวเสียทั้งจากแสงแดดตรง และสารเคมี สามารถใช้งานได้ในเวลากลางวัน และด้านข้างสระแบ่งเป็นสระเด็ก และ Jacuzzi ที่ช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อและความเครียดจากการใช้งานมาตลอดทั้งวัน เลาจน์สำหรับนั่งพักผ่อน และชมวิวเมือง ที่เปิดรับทิวทัศน์ของกรุงเทพฯ ได้อย่างตระการตา ห้องแอมพิเธียเตอร์สำหรับชมภาพยนตร์ขนาดใหญ่และจัดกิจกรรม ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของโครงการ เพราะเป็นพื้นที่ที่ถูกดีไซน์เพื่อการรับชมภาพยนตร์ และมอบประสบการณ์แบบ เอ็กซ์คลูซีฟได้ทั้งความเป็นส่วนตัวและความบันเทิงไปพร้อมกัน รวมทั้งห้องนี้ยังสามารถจัดกิจกรรมสังสรรค์กับครอบครัวหรือชวนเพื่อนๆ มาได้ด้วย   ห้องออกกำลังกายอเนกประสงค์พร้อมห้องยิมสตูดิโอ ที่มีจุดเด่น คือ ออกแบบให้เป็นห้องกระจกเต็มบาน รับวิวเมืองได้เต็มสายตา สามารถออกกำลังกายไปด้วยและชมวิวเมืองได้แบบพาโนรามา โดยห้องออกกำลังกาย แบ่งเป็น 2 โซน ช่วยลดความหนาแน่น และมีอุปกรณ์ออกกำลังกายจากแบรนด์อันดับ 1 ของโลกจากอิตาลีอย่าง Technogym ให้เล่นมากกว่า 20 ฟังก์ชั่น นอกจากนี้ ยังมีห้องสตูดิโอ สำหรับให้ครูมาสอนโยคะ ซ้อมเต้น หรือกิจกรรมอื่นๆ ได้  ห้องรับประทานอาหาร และจัดกิจกรรมส่วนตัว เหมาะสำหรับจองเพื่อจัดปาร์ตี้หรือเชิญเชฟที่ถูกใจมาทำอาหารรับประทานร่วมกับครอบครัวและเพื่อนๆ และห้องนี้ยังสามารถเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ด้านข้างห้องซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมได้ จุดพักผ่อนชั้นดาดฟ้า ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดของย่านสาทร เห็นทั้งวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและวิวเมือง ช่วงเย็นๆ มานั่งกินลมชมวิว เล่นโยคะรับอาทิตย์ยามเช้า หรือจะนอนอาบแดดบริเวณนี้ก็ได้     เทตต์ สาทร ทเวลฟ์ มีห้องหลายรูปแบบ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่เปิดรับกลุ่มคนหลากหลายทั้งคนโสด คู่รัก ไปจนถึงครอบครัวขนาดเล็ก ซึ่งขายหมดไปหลายรูปแบบแล้ว ปัจจุบันเหลือห้องขนาด 1-2 ห้องนอน โดยมีขนาดพื้นที่ใช้สอย ตั้งแต่ 68 - 118 ตร.ม. ทั้งนี้มีห้องตัวอย่างใหม่ให้ชมบนตึกจริง 2 ห้อง คือ แบบ 1 ห้องนอน ‘ดิ ไอคอนิค สวีท’ ที่มีพื้นที่ห้องอเนกประสงค์สามารถปรับให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย พื้นที่ใช้สอย 68 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นเพียง 17.9 ล้านบาท และแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย ตั้งแต่ 79-118 ตร.ม. โดยยูนิต 2 ห้องนอนปัจจุบันที่เหลืออยู่แต่ละห้องมี layout ที่แตกต่างเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งผู้ซื้อจะได้แบบห้องที่มีแบบเดียวในโลก ถือว่าเป็นไอคอนิคไลฟ์แท้จริง และทุกห้องอยู่บนชั้นสูงทั้งหมด มอบวิว ทั้งแบบพาโนรามา หรือ 360 องศา   บทความน่าสนใจ ชาญอิสสระ อวดโฉม โครงการ ดิ อิสสระ สาทร ครั้งแรก ชู Luxury Urbanature Anil สาทร 12 คอนโด WELL Building Standard 1 เดียวในไทย  
ESTAR ลุยทำเลทอง  บ้านฉาง – ระยอง เปิดโครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

ESTAR ลุยทำเลทอง บ้านฉาง – ระยอง เปิดโครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

  บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดความสำเร็จ 5 โครงการฝั่งตะวันออก ทำนิวไฮ อัพเดท กวาดรายได้รวมแล้วกว่า 700 ล้านบาท พร้อมเร่งเครื่องท้ายปีเตรียมเปิดตัว โครงการน้องใหม่ ‘เวลาน่า ไฮด์’ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท ทำเลติดสนามกอล์ฟ ใกล้สนามบิน อู่ตะเภา   ESTAR นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ สามารถคว้าความสำเร็จในการปิดยอดขายโครงการพื้นที่ฝั่งระยอง – บ้านฉาง อาทิ โครง การบ้านสินทวี การ์เด้นท์ 2 โครงการแฮมเล็ต 3 โครงการเวลาน่า กอล์ฟ เฮ้าส์ ที่ปัจจุบันปิดโครงการเป็นที่เรียบร้อย แล้ว เช่นเดียวกันกับโครงการ บรีซ แอท อีสเทอร์น สตาร์ ฟอเรสโต้ ที่ตอนนี้ยอดขายอยู่ที่ 99% ซึ่งคาดว่าจะปิดได้ สำเร็จภายในสิ้นปีนี้ สำหรับโครงการเวลาน่า อะโมด้า อู่ตะเภา - บ้านฉาง ยอดขายตอนนี้ขึ้นมาที่ 96% และในส่วน ของโครงการแกรนด์ เวลาน่า ยอดขายตอนนี้อยู่ที่ 80% นอกจากนี้ จากที่ทราบกันในปีนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการที่เปิด ใหม่ โครงการเธร่า พรีม่า บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ที่ตอนนี้ทำยอดขายได้แล้ว 75% ของ เฟสแรก เช่นเดียวกับโครงการบรีซ ชาเล่ต์ บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ที่ตอนนี้ยอดขายแตะ อยู่ที่ 80% ของเฟสแรก   จากการสำรวจพื้นที่ทำเลในบริเวณรัศมีรอบโครงการอีสเทอร์น สตาร์ พบว่า โซนระยอง - บ้านฉาง มีศักยภาพทำเลสูง เนื่องจากมีนิคมอุตสาหกรรมและประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น อีกทั้งยังมีเส้นทางคมนาคมที่หลากหลาย โดย เฉพาะสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาที่ตอนนี้กำลังจะมีโปรเจกต์ในการสร้างส่วนต่อขยาย อีกทั้งยังมีโครงการใน อนาคตที่เป็นเมกะโปรเจกต์ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เชื่อม กทม. สู่ EEC คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2029 การเดินทางที่สะดวก ทันสมัย จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น การจ้างงานในอุตสาหกรรมต่อเนื่องกว่า 1 แสนตำแหน่ง เกิดเมืองใหม่ที่เป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ตามสองข้างทางที่ รถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่าน หากมีเมกะโปรเจกต์เหล่านี้มาก็จะสร้างแหล่งงานมากในพื้นที่ ทำให้ความต้องการ อสังหาริมทรัพย์มีอย่างต่อเนื่อง     ในปีนี้ โครงการฝั่งระยอง - บ้านฉาง ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ โดยให้ความสนใจเข้ามา เยี่ยมชมโครงการอีสเทอร์น สตาร์ เพิ่มขึ้น เห็นได้จากกระแสตอบรับสำหรับโครงการเปิดใหม่อย่าง โครงการบรีซ ชาเล่ต์ บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท บ้านเดี่ยว 2 ชั้น หน้ากว้าง พื้นที่โครงการ 27-0-66.3 ไร่ จำนวนบ้าน 134 หลัง สไตล์ Modern English Garden Home ในราคาเริ่มต้น 3.89 ล้านบาท ซึ่งกำลังเป็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากสามารถทำ ยอดจองได้สูง พร้อมกับโครงการบ้านในสนามกอล์ฟที่เป็นไฮไลท์ โครงการอะโมด้า อู่ตะเภา - บ้านฉาง บ้านเดี่ยว พร้อมอยู่ 2 ชั้น จำนวน 104 ยูนิต บนที่ดินกว่า 27-1-55.80 ไร่ ในสนามกอล์ฟ สไตล์โมเดิร์นคลาสสิค รูปแบบ Timeless Design ราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาท ที่ตอนนี้ยอดขายกระโดดมาสูงเกือบจะ 100% ภายในระยะเวลาเพียง ไม่กี่เดือน และใกล้ปิดการขายโครงการได้ในเร็วๆ นี้   ซึ่งจากปัจจัยบวกต่างๆ ตลอดปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุผลให้ บริษัทฯ ลงทุนขยายโครงการใหม่เพิ่มในพื้นที่เดียวกัน เพื่อตอบรับความต้องการผู้อยู่อาศัย ในชื่อ โครงการเวลาน่า ไฮด์ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 128 ยูนิต มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท บนคอนเซ็ปต์ Modern Classic สะท้อนความงดงาม สมบูรณ์แบบของการใช้ชีวิต โดยการออกแบบตัวบ้านและโครงการได้รับแรงบันดาลใจจาก สถาปัตยกรรมยุโรป และยังคงเน้นกลุ่มเป้าหมาย เป็นกลุ่มผู้บริหาร บริษัทในนิคมฯ มาบตาพุด กลุ่มหมอ และพนักงานสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ตั้งแต่ช่วงวัยทำงาน อายุ 30-55 ปี รายได้เดือนละ 7 หมื่น - 3 แสนบาท ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่ามี กำลังซื้อศักยภาพสูง และโอกาสรีเจ็กต์เรตอยู่ในเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก ทั้งนี้ปัจจุบัน โครงการเวลาน่า ไฮด์ อู่ตะเภา - บ้านฉาง อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ดำเนินการแล้วกว่า 60% โดยคาดว่า แล้วจะเสร็จพร้อมเปิดตัวในช่วงต้นปีหน้า ไตรมาส 1/2024     อย่างไรก็ตาม ภาพรวมสำหรับโครงการอีสตาร์ในพื้นที่ระยอง ปีนี้คาดว่าจะทำนิวไฮของบริษัทฯ กว่า 700 ล้านบาท นอกจากนี้ในปีหน้าบริษัทฯ ยังมีการลงทุนเพิ่มสำหรับขยายโครงการ เพื่อตอบรับผู้อยู่อาศัย ในทุกเซกเมนท์โดยมีจะการออกโปรดักส์ในราคาเริ่มตั้งแต่ 2 ล้านบาทต้นๆ ไปจนถึง 12 ล้านบาท ซึ่งตามคาดการณ์ จะสามารถรับรู้รายได้ อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท นายไพโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย   บทความน่าสนใจ ESTAR  เปิดชม ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39  ยอดนิยมในย่าน ขายแล้วกว่า 70% ESTAR เปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ ไพโรจน์ วัฒนวโรดม ปรับใหญ่รุกตลาดบ้าน
The Gentry สุขุมวิท-บางนา วิลล่าหรูเพื่อชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติสไตล์คนติดเมือง

The Gentry สุขุมวิท-บางนา วิลล่าหรูเพื่อชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติสไตล์คนติดเมือง

The Gentry สุขุมวิท-บางนา วิลล่าหรูเพื่อชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติสไตล์คนติดเมือง   ถ้าคุณเป็นคนกรุงเทพที่ติดไลฟ์สไตล์แบบใจกลางเมือง ทั้งทำงาน กินข้าว แฮงค์เอ้าท์อยู่แต่ย่าน CBD หรือแม้แต่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองจนเคยชิน แล้วเกิดอยากขยับขยายครอบครัว มองหาบ้านซักหลังที่ใหญ่ขึ้น แต่ก็ไม่อยากได้ทำเลที่ต้องหนีไปถึงพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพฯ เรามีโครงการบ้านเดี่ยวบนทำเล “สุขุมวิท-บางนา” จาก SC Asset มาแนะนำภายใต้ชื่อแบรนด์ “The Gentry Sukhumvit-Bangna” (เดอะ เจนทริ สุขุมวิท-บางนา) โครงการบ้านเดี่ยวใหม่ล่าสุดซึ่งปักหมุดอยู่บนถนนสุขุมวิทจริงๆ พร้อมสัมผัสนิยามของชีวิตที่ใกล้ชิดธรรมชาติ ตอบโจทย์ชีวิตติดเมือง แบบใกล้กว่านี้ไม่มีอีกแล้ว!!   EFFORTLESS Location The Gentry สุขุมวิท-บางนา ตั้งอยู่บนทำเลสุขุมวิท-บางนาอย่างแท้จริง เพราะใกล้กับสี่แยกบางนาแบบสุดๆ ตัวโครงการตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 68 ใกล้ทางด่วนเฉลิมมหานคร (ด่านบางนา) เพียง 250 เมตรเท่านั้น แถมยังมีเส้นทางเข้าออกโครงการได้หลากหลายเส้นทาง เช่น ทางซอยสุขุมวิท 68,ซอยสุขุมวิท 64, ถนนบางนา-ตราด และถนนสรรพาวุธ ตอบโจทย์การเดินทางของคนติดเมืองแบบสุดๆ เพราะแค่อึดใจก็สามารถเข้าถึงใจกลาง CBD ได้อย่างรวดเร็วแล้ว หรือถ้าวันไหนไม่อยากขับรถ ก็สามารถใช้บริการรถไฟฟ้า BTS ได้ง่ายๆ ด้วยทำเลที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้ามากถึง 2 สถานี ใช้เวลาแค่ 5 นาที ก็เลือกได้เลยว่าจะไปที่สถานีอุดมสุข หรือสถานีบางนาก็ได้เช่นกัน   นอกจากนี้บริเวณใกล้เคียงกับโครงการยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งโรงเรียนนานาชาติ ห้างสรรพสินค้า และโรงพยาบาลชั้นนำ เช่น Berkeley International School, Anglo Singapore International School, St. Andrews International School, Bangkok Mall, Cloud 11, True Digital Park, Central Plaza Bangna, Emporium, Emquartier, รพ.ไทยนครินทร์, รพ.สมิติเวช ฯลฯ ซึ่งเรารู้กันดีอยู่แล้วว่า ทำเลในย่านนี้จะหาบ้านเดี่ยวสักหลังไม่ใช่เรื่องง่ายเลย จึงไม่เกินจริงถามเราจะบอกว่าที่ตั้งของโครงการ The Gentry สุขุมวิท-บางนานั้น เป็น Rare Item ที่หาได้ยากในปัจจุบัน ห้างสรรพสินค้า บางกอกมอลล์         1.2 กม. คลาวด์ 11                2.3 กม. ทรู ดิจิทัล พาร์ค       2.5 กม. เซ็นทรัล บางนา       4.0 กม. เอ็มโพเรียม             8.5 กม. เอ็มควอเทียร์           8.7 กม. เมกา บางนา            9.6 กม.                       สถานศึกษา โรงเรียนนานาชาติเบอร์กลีย์                                 1.8 กม. โรงเรียนนานาชาติแองโกล-สิงคโปร์                   2.4 กม. โรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส สุขุมวิท 107  2.8 กม. โรงเรียนนานาชาติเวลส์                                        4.5 กม. โรงเรียนบางกอกพัฒนา                                        4.7 กม. โรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส กรุงเทพฯ       6.6 กม. โรงพยาบาล โรงพยาบาลไทยนครินทร์                         4.9 กม. โรงพยาบาลสุขุมวิท                                  6.8 กม. โรงพยาบาลพริ้นซ์สุวรรณภูมิ                    7.9 กม. โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท                     9.5 กม. Club House และส่วนกลาง ด้วยคอนเซปต์การออกแบบโครงการที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Swedish Forest, Sweden ด้วยบรรยากาศของป่าสนที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งอยู่ร่วมกันกับชุมชน ดังนั้นบรรยากาศของพื้นที่ส่วนกลางตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าโครงการ, Club House และพื้นที่สวนส่วนกลางจึงแวดล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวครึ้มในสไตล์สวนป่าที่มีพื้นที่พักผ่อนแทรกตัวอยู่อย่างกลมกลืน   นอกจากบรรยากาศที่ทำให้การอยู่อาศัยของทุกคนได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากขึ้นแล้ว ทางโครงการยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องของความปลอดภัยของลูกบ้าน ตั้งแต่บริเวณซุ้มทางเข้าที่ควบคุมการเข้าออกด้วย Smart Gate with License Plate จัดการการเข้าออกได้ง่ายผ่านการสแกนทะเบียนรถ รวมถึงการติดตั้ง Solar Roof ในพื้นที่ส่วนกลางเพราะใช้พลังงานทดแทนและช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายส่วนกลาง   บรรยากาศสวนส่วนกลางในโครงการ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากป่าสนที่สมบูรณ์ ของประเทศสวีเดน พร้อมมุมพักผ่อนที่แทรกตัวอยู่ตามจุดต่างๆ มุมเด็กเล่นที่ถูกออกแบบให้กลมกลืนไปกับธรรมชาติ   บริเวณ Club House เป็นอาคาร 2 ชั้นที่มีสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ระแนงของ façade ในโทนสีเอิร์นโทนที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบด้าน ภายในอาคารประกอบไปด้วย ฟิตเนส, Co-working Area & Meeting Room และสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือยาวกว่า 16 เมตร ซึ่งแยกสระว่ายน้ำเด็กมาให้ด้วย พร้อมรองรับทุกการใช้งานของลูกบ้านทุกช่วงวัยอย่างแท้จริง   อาคาร Club House ถูกออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมที่ใช้โทนสีสอดคล้องไปธรรมชาติ โดยมีทั้งโซน indoor และ semi outdoor สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ แบ่งโซนของสระเด็กและมุมพักผ่อนไว้เป็นสัดส่วน สระว่ายน้ำกว้างเหมาะสำหรับการออกกำลังกาย  มุมพักผ่อนริมสระว่ายน้ำ ให้บรรยากาศสบายๆ เหมาะกับการพักผ่อนทุกๆ วัน บริเวณชั้น 2 ของอาคาร Club House มีโซนที่เป็น Co-working & Meeting Room เพื่อรองรับการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ของลูกบ้านไม่ว่าจะเป็นการทำงาน WFH หรือแม้แต่การนัดประชุมงานกลุ่มย่อยๆ ได้อย่างสะดวกสบาย ฟิตเนสบริเวณชั้น 2 ของ Club House พร้อมด้วยอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน ระบบรักษาความปลอดภัยบริเวณทางเข้าโครงการ ซึ่งใช้ระบบ Smart Gate with License Plate ลูกบ้านเข้าออกสะดวกด้วยการสแกนทะเบียนรถ และสามารถจัดการการเข้าออกของแขกผ่านแอปพลิเคชันรู้ใจได้ด้วย นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. พร้อมกล้อง CCTV ซึ่งทำให้ลูกบ้านอุ่นใจได้ตลอดการอยู่อาศัย   3 แบบบ้านจาก The Gentry สุขุมวิท-บางนา The Gentry สุขุมวิท-บางนา คือบ้านเดี่ยวสุดหรู 3 ชั้น พร้อมสังคมคุณภาพที่ให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุดด้วยจำนวนบ้านเพียง 17 ยูนิตเท่านั้น บ้านทุกหลังครบครันด้วยนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย ทั้ง Ruejai Home OS แอปพลิเคชันควบคุมบ้านอัจฉริยะ, จุดรองรับการติดตั้ง EV Charger, Active Air Qualityระบบที่ขจัดมลพิษทางอากาศในบ้าน, ติดตั้งสัญญาณกันขโมยในตัวบ้านด้วย Magnetic และ Shock Sensor, Smoke & Heat Detector และ CCTVs รอบตัวบ้าน ฯลฯ     รูปแบบบ้านของ The Gentry สุขุมวิท-บางนา ออกแบบผ่านแนวคิดเพื่อคนเจนเนอเรชั่นใหม่ที่กำลังมองหาบ้านเพื่อการใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัว แต่ยังไม่ทิ้งไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบคนเมือง สามารถตอบโจทย์ด้านความสะดวกสบาย ความทันสมัย และมีความเป็นส่วนตัว ทางโครงการมีแบบบ้านให้เลือกด้วยกัน 3 แบบ HAVEN-T พื้นที่ใช้สอย 442 ตร.ม. ขนาด 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 ส่วนพักผ่อน 1 ห้องครัว 1 ห้องรับประทานอาหาร 1 ห้องแม่บ้าน 3 ที่จอดรถ และรองรับการติดตั้งลิฟต์ HIDEAWAY-T พื้นที่ใช้สอย 553 ตร.ม ขนาด 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 ส่วนพักผ่อน 1 ห้องครัว 1 ห้องรับประทานอาหาร 1 ห้องแม่บ้าน 4 ที่จอดรถ และลิฟต์ SANCTUARY-T พื้นที่ใช้สอย 695 ตร.ม. ขนาด 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 2 ส่วนพักผ่อน 1 ห้องครัว 1 ห้องรับประทานอาหาร 1 ห้องแม่บ้าน 5 ที่จอดรถ ลิฟต์ และสระว่ายน้ำ   ซึ่งเราจะพาไปชมบ้านตัวอย่างทั้ง 3 แบบ เพื่อให้เห็นฟังก์ชันการใช้งานภายในบ้าน และรูปแบบการตกแต่งภายในบ้านแต่ละสไตล์กันครับ The Gentry สุขุมวิท-บางนา เริ่มต้นกันด้วยบ้าน HAVEN-T พื้นที่ใช้สอย 442 ตร.ม. ขนาด 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 ส่วนพักผ่อน 1 ห้องครัว 1 ห้องรับประทานอาหาร 1 ห้องแม่บ้าน 3 ที่จอดรถ และรองรับการติดตั้งลิฟต์ (หน้ากว้างของบ้าน 15 เมตร) ถึงแม้จะบอกว่าเป็นบ้านไซส์เล็กสุด แต่พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านก็ยังมากถึง 442 ตร.ม. ซึ่งมาพร้อมฟังก์ชันเพื่อครอบครัวขยาย สามารถอยู่ได้หลายเจนเนเรชั่น  ทางโครงการเตรียมจุดติดตั้ง EV Charger เพื่อรองรับการใช้รถไฟฟ้า และพื้นที่หน้าบ้านสามารถจอดรถได้มากถึง 3 คัน และภายในบ้านยังมี Home Automation แผงควบคุมไฟฟ้าในบ้าน ซึ่งสามารถสั่งการผ่านแอปพลิเคชั่น Ruejai  เมื่อเข้าบ้านมาจะเจอกับโถงรับแขกที่เป็น Double Volume เพดานสูงโปร่งและเชื่อมต่อกับพื้นที่สวนบริเวณข้างๆ บ้านได้ เอื้อต่อการขยายพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมครอบครัวที่ต้องการพื้นที่มากขึ้น สำหรับบ้านหลังนี้ ทางโครงการจัดเตรียมพื้นที่สำหรับติดตั้งลิฟต์โดยสารบริเวณด้านหน้าบันไดทางขึ้นชั้นบนไว้ให้ด้วย โถงทางเดินชั้น 2 เชื่อมต่อกับบริเวณ Double Volume ชั้นล่าง และเชื่อมต่อกับห้องพักอีก 2 ห้อง ซึ่งเปิดโล่งรับแสงได้เต็มที่ ทำให้ไม่อึดอัดเลย ส่วนห้องนอนในตำแหน่งต่างๆ เราสามารถเลือกตกแต่งฟังก์ชันการใช้งานได้ตามชอบ ไม่ว่าจะเป็นห้องเสริมสวยสำหรับสาวๆ หรือจะเป็นห้องนอนของสมาชิกในบ้าน เพราะทุกห้องมีห้องน้ำในตัว โถงพักผ่อนบริเวณชั้น 3 เป็นอีกมุมที่น่าสนใจ เนื่องจากทางโครงการได้ออกแบบเป็นมุมพักผ่อนและโชว์ของเล่น ของสะสมไว้เต็มผนัง เชื่อว่ามุมนี้น่าจะถูกใจใครหลายๆ คนเลยทีเดียว   -----------------------------------------------------------------     บ้านหลังต่อมาคือ HIDEAWAY-T พื้นที่ใช้สอย 553 ตร.ม ขนาด 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 ส่วนพักผ่อน 1 ห้องครัว 1 ห้องรับประทานอาหาร 1 ห้องแม่บ้าน 4 ที่จอดรถ และลิฟต์ (หน้ากว้างของบ้าน 18 เมตร) สำหรับบ้านหลังขนาดกลางนี้ ยังคงเตรียมจุด EV Charger ไว้ให้เช่นกัน ส่วนชานข้างบ้านทางโครงการเลือกแต่งให้เป็นมุมพักผ่อน และมุมออกกำลังกายกึ่งกลางแจ้ง เลยทำให้เห็นว่าพื้นที่บริเวณนี้กว้างมากเลยครับ โถงรับแขกบริเวณชั้น 1 ยังโดดเด่นด้วยความเป็น Double Volume เพดานสูงโปร่ง และบานหน้าต่างที่เปิดรับแสงได้เต็มที่มากๆ ด้วยขนาดพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น จึงสามารถวางโซฟาชุดใหญ่เพื่อรองรับแขกได้จำนวนมาก   แบบบ้านหลังนี้ เพิ่มเติมห้องนอนที่ชั้น 1 ไว้ให้ด้วย ซึ่งเหมาะจะใช้เป็นห้องสำหรับผู้สูงอายุ ด้วยการออกแบบ Universal Design เสริมอุปกรณ์ช่วยพยุงในห้องน้ำเพื่อการใช้ที่สะดวกขึ้น รวมถึงการออกแบบพื้นให้เรียบ ไม่มีส่วนที่ต่างระดับ เตรียมรองรับการใช้ Wheel Chair ในอนาคต แต่ถ้าเราได้เข้ามาดูในบ้านตัวอย่าง ทางโครงการลองตกแต่งให้เป็นห้องออกกำลังกายในร่ม พร้อมเติมแสงสีให้รู้สึก Active กับการออกกำลังกายมากขึ้น และยังเชื่อมโยงกับพื้นที่ออกกำลังกายด้านนอก ซึ่งก็เป็นไอเดียที่ดีมากๆ เลยทีเดียว พื้นที่ของครัวไทยภายในบ้านก็แยกออกมาเป็นสัดส่วน และมีพื้นที่มากขึ้นเหมาะสำหรับการทำครัวจริงๆ  โถงทางเดินชั้น 2 ยังคงโล่งและเชื่อมต่อกับโถงรับแขกด้านล่าง และด้วยธีมการออกแบบของบ้านนี้ที่ออกแนวเท่ห์ๆ แบบคนรักรถและรักความเร็ว บรรยากาศโดยรวมของห้องต่างๆ จึงดูเท่ห์และแมนมาก ทั้งห้องทำงานที่เป็นเหมือนห้องทำงานของนักแข่ง หรือห้องเกมซึ่งก็ยังเป็นเกมแข่งรถจากเครื่อง PS5 เชื่อว่าหลายห้องของบ้านนี้ต้องถูกใจคุณผู้ชายที่มีใจรักการแข่งรถแน่นอน บ้านหลังนี้ มีห้อง Master Bedroom ที่ให้บรรยากาศคล้าย Penthouse เพราะมีทั้งมุมพักผ่อนภายในห้อง มีระเบียงกว้าง พร้อม Walk-in Closet ขนาดใหญ่ ซึ่งวาง Layout เพื่อการใช้งานไว้อย่างดี รวมถึงห้องน้ำภายในห้อง Master Bedroom ก็มาพร้อมอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ และสุขภัณฑ์ไฟฟ้า (washlet) ขณะเดียวกัน ห้องนอนเล็กอีกห้องก็ไม่ได้มีขนาดเล็กเลย ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่กว้างและจัด Layout ไว้เป็นสัดส่วน ถามยังมีระเบียบส่วนตัวเหมือนกับห้องอื่นๆ จึงทำให้บรรยากาศภายในห้องโปร่งน่าอยู่มากๆ   -----------------------------------------------------------------   ส่วนแบบบ้านหลังสุดท้ายเป็นหลังที่ใหญ่สุดชื่อ SANCTUARY-T พื้นที่ใช้สอย 695 ตร.ม. ขนาด 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 2 ส่วนพักผ่อน 1 ห้องครัว 1 ห้องรับประทานอาหาร 1 ห้องแม่บ้าน 5 ที่จอดรถ ลิฟต์ และสระว่ายน้ำ (หน้ากว้างของบ้าน 23 เมตร) ด้วยขนาดบ้านที่เป็นหลังใหญ่สุดสามารถรองรับสมาชิกจำนวนมาก ดังนั้นลานจอดรถหน้าบ้านจึงเตรียมพร้อมรองรับการจอดได้มากถึง 5 คัน รวมถึงจุด EV Charger  ความอลังการของโถงรับแขกของบ้านหลังนี้ เชื่อว่าใครเห็นก็ต้องร้องว้าว ทั้งความกว้างของพื้นที่ใช้สอย เพดานสูงแบบ Double Volume และประตูกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับสระว่ายน้ำส่วนตัวภายในบ้าน แถมทางโครงการยังปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นของบ้านหลังนี้หลายส่วน จนแทบจะเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยเดิมไปอย่างสิ้นเชิง บรรยากาศภายในบ้านหลังนี้จึงดูพิเศษไปซะทุกส่วน จริงๆ พื้นที่บริเวณนี้ เป็นส่วนของห้องนอนชั้นล่างที่ออกแบบไว้สำหรับผู้สูงอายุ แต่พอปรับเปลี่ยนเป็นมุมพักผ่อนประกอบกับตำแหน่งห้องอยู่ติดกับสระว่ายน้ำ เลยทำให้พื้นที่บริเวณชั้น 1 ของบ้าน โอ่อ่าอลังการมากที่สุด เหมือนได้ไปพักผ่อนตากอากาศในพูลวิลล่าหรูจนเกือบลืมไปว่าจริงๆ แล้วเราอยู่แค่แยกบางนาซึ่งใกล้เมืองมากๆ สระว่ายน้ำส่วนตัวภายในบ้าน ให้บรรยากาศของความผ่อนคลายมากที่สุด เพราะแวดล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขึยวซึ่งเป็นสวนที่พร้อมจะปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่สังสรรค์ได้อย่างลงตัว พื้นที่ครัวไทยขนาดใหญ่จัดสรรไว้เป็นสัดส่วน และยังเชื่อมต่อไปยังโซนรับประทานอาหาร และ pentry ด้านนอก อย่างที่บอกไว้ว่า บ้านหลังนี้ทางโครงการได้นำเสนอไอเดียการปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานส่วนต่างๆ ไว้หลายจุด ทั้งกั้นพื้นที่เพิ่ม หรือลองปรับให้ใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น ไม่จำกัดอยู่แค่ห้องนอน ดังนั้นเราจะเป็นพื้นที่พักผ่อน Family Room รวมถึงพื้นที่อเนกประสงค์ที่ถูกจัดเป็นพื้นที่สำหรับกิจกรรมที่หลากหลายมากขึ้น เช่น ห้องซ้อมดนตรี ห้องพลู หรือมุมเก็บของสะสมต่างๆ รวมถืงพื้นที่พักผ่อนชิวๆ บริเวณระเบียง หรือบริเวณชานบ้าน เพื่อแสดงให้เห็นว่า หากสมาชิกในบ้านมีความสนใจในกิจกรรมที่ต่างกัน หรือหลากหลาย พื้นที่ทั้งหมดภายในบ้านก็สามารถรองรับทุกกิจกรรมได้อย่างเต็มที่ ขึ้นมาที่บริเวณชั้น 3 ทางโครงการออกแบบให้เป็นเหมือน Penthouse ส่วนตัว มีทั้งโซนทำสปาเพื่อความผ่อนคลายของเจ้าบ้าน แล้วจัดสรรพื้นที่ใหม่โดยปรับพื้นที่เกือบทั้งชั้นให้เป็น Master Bedroom พร้อม Walk-in Closet สุดอลังการ (เพราะปรับห้องนอนเล็กอีกห้องของชั้นนี้ จัดเป็นห้องแต่งตัวทั้งหมด) แบบห้องแต่งตัวในฝันของใครหลายๆ คน โดยเสนอไอเดียแบ่งพื้นที่แต่งตัวชาย-หญิงแยกกันด้วยสไตล์การตกแต่ง ในขณะเดียวกันพื้นที่ในห้องนอนก็มีพร้อมทั้งมุมนั่งเล่น และระเบียงขนาดใหญ่สำหรับนั่งเล่นรับลมได้ตลอดวัน  ห้องนอนเล็กที่ถูกปรับฟังก์ชันให้เป็นห้องแต่งตัวแบบเข้มๆ ในสไตล์แมนๆ  Master Bedroom พร้อมอ่างอาบน้ำ และสุขภัณฑ์ washlet ซึ่งแยกส่วนแห้งส่วนเปียกไว้เป็นสัดส่วน   ดูบ้านตัวอย่างกันไปครบทั้ง 3 แบบแล้ว จะเห็นได้ว่าบ้านแต่ละหลังถูกออกแบบฟังก์ชันการใช้งานเป็นสัดส่วนมาอย่างดี แต่ก็ยังสามารถปรับแต่งพื้นที่การใช้งานให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเจ้าบ้านได้หลากหลายเช่นกัน ซึ่ง The Gentry สุขุมวิท-บางนา สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของคนเมืองได้เป็นอย่างดี ด้วยจุดเด่นของทำเลที่ตั้งที่อยู่บนถนนสุขุมวิท ใกล้กับสี่แยกบางนา สามารถเข้า-ออกได้หลายทาง ใกล้ทางด่วนเฉลิมมหานคร (ด่านบางนา) เพียง 250 เมตรเท่านั้น ทำให้การเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองในเวลาแค่อึดใจเท่านั้น สิ่งอำนวยความสะดวกรอบๆ โครงการยังเพียบพร้อมพอดีกับการใช้ชีวิตของคนเมืองที่ดูยังไงก็ลงตัวไปทุกด้าน พร้อมสังคมคุณภาพที่มีเพื่อนบ้านเพียง 17 หลังเท่านั้น ในราคาเริ่มต้น 45-75 ล้านบาท* ใครที่สนใจสามารถติดต่อเข้าชมบ้านตัวอย่างได้แล้ว หรือต้องการสอบถามข้อมูลโครงการเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 065-919-3456 หรือคลิกลิงก์เพื่อลงทะเบียน https://m.scasset.com/If7G     บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เอสซี แอสเสท ลุยเปิดคอนโดแบรนด์ใหม่ COBEเจาะ 2 ทำเล COBE รัชดา-พระราม 9 โครงการใหม่ของคนรุ่นใหม่ เอสซี แอสเสท ส่งบ้านหรูแบรนด์ใหม่ 95E1 ราคาเริ่มต้นหลังละ 100 ล้าน  
Grand Bangkok Boulevard พระราม 9 กรุงเทพกรีฑา โครงการ Modern Luxury เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น

Grand Bangkok Boulevard พระราม 9 กรุงเทพกรีฑา โครงการ Modern Luxury เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น

Grand Bangkok Boulevard พระราม 9 กรุงเทพกรีฑา โครงการ Modern Luxury เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น New Series ใหม่เอี่ยมของ SC ASSET บนทำเลรวมบ้านหรูราคามากกว่า 10 ล้าน กรุงเทพกรีฑา Grand Bangkok Boulevard พระราม 9 กรุงเทพกรีฑา บนที่ดิน 23 ไร่ ที่มีเพียง 35 ยูนิตเท่านั้นให้ความเป็นส่วนตัวมาก มาพร้อมกับพื้นที่ส่วนกลางครบครัน มี CLUBHOUSE สระว่ายน้ำระบบเกลือ ,Kid’s Room , Game room ,Fitness และพื้นที่สีเขียวจัดสวนสวยๆรอบโครงการ พร้อมกับระบบความปลอดภัยในแบบ SC ASSET ที่บอกเลยว่าเข้ม สำหรับตัวบ้าน หรือจะเรียกคฤหาสน์ก็ไม่ผิดอะไร ดีไซน์ใหม่หรูแปลกตา ในแบบ Modern Luxury ที่เหนือการเวลา บ้านมี 3 ชั้น 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ การออกแบบภายใต้แรงบันดาลใจจาก ORVIETO  ITALY อาสนวิหารที่สวยติดอันดับต้นๆ ในยุโรป Grand Bangkok Boulevard พระราม 9 กรุงเทพกรีฑา มีแบบบ้านให้เลือกทั้งหมด 3 แบบ ราคาเริ่มต้นที่ 45 - 85 ล้านบาท SOLIANA พื้นที่ใช้สอย 593 ตร.ม. 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 3 ห้องพักผ่อน จอดรถได้ 4 คัน กับอีก 1 ห้องแม่บ้าน CAPPELLA พื้นที่ใช้สอย 620 ตร.ม. 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 3 ห้องพักผ่อน จอดรถได้ 4 คัน 2 ห้องแม่บ้าน และ Lift ส่วนตัว ORVIETO  พื้นที่ใช้สอย 776 ตร.ม. ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 3 ห้องพักผ่อน จอดรถได้ 5 คัน กับอีก 2 ห้องแม่บ้าน และ Lift ส่วนตัว   บ้านตัวอย่างเสร็จเรียบร้อยพร้อมเปิดให้ชมแล้ว ในตลอดทั้งปีนี้  SC ASSET ยังจะมีโครงการใหม่ออกมาให้ชมอีกทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้น 10,680 ล้านบาท ซึ่งจะประกอบไปด้วย   โครงการ บางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์ รามอินทรา-วัชรพล โครงการ แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด แจ้งวัฒนะ - ราชพฤกษ์ โครงการ วี คอมพาวด์ ราชพฤกษ์ - 345 โครงการ เวนิว ไอดี ราชพฤกษ์ - 345 แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด บางนา กม.15 บางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์ บางแค โดยโครงการทั้งหมดนี้สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่งาน “20 Years of Good Mornings” ที่ SC ASSET จะจัดขึ้น ณ ลานพาร์ค พารากอน ในวันนี้ถึง 23 ตุลาคม สิ้นค้าทุกแบบของ SC ASSET รวมอยู่ที่งาน พร้อมโปรโมชั่นพิเศษมากมากมาย และสำหรับลูกค้าที่จองโครงการ 20 ท่านแรกภายในงาน รับทันที iPhone 15 Pro Max มูลค่า 48,900 บาท*ดูรายละเอียดและเงื่อนไขโปรโมชั่นเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.scasset.com บทความที่เกี่ยวข้อง SC เปิดบ้านหรูซีรีส์ใหม่ “อยู่แบบใหม่ แบบสับ” bangkok boulevard signature westgate “เดอะ เครสท์ พาร์ค เรสซิเดนเซส” อยู่อย่าง 5ดาว ที่ 5 แยกลาดพร้าว
เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia

เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia

บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (Euro Creations) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์   แบรนด์ดังระดับโลกสัญชาติยุโรป จัดงาน “An Infinite Comfortness” by Natuzzi Italia เปิดตัวนาทุซซี่  อิตาเลีย (Natuzzi Italia) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังจากประเทศอิตาลี ที่โดดเด่นในเรื่องความพิถีพิถันแห่งดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้งาน สีและวัสดุที่คัดสรรมาเป็นพิเศษเพื่อส่งมอบสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อน ผ่านการให้ความสำคัญเรื่องคอมฟอร์ต (comfort) กับโซฟาทุกชิ้น Natuzzi Italia พร้อมการจับมือร่วมกับบริษัท มิวสิคพลัส ซีนีม่า จำกัด ในเครือโซนิค วิชั่น กรุ๊ป ผู้นำเครื่องเสียงนำเข้าระดับไฮเอนด์มากว่า 26 ปี เผยโฉม The New 801 D4 Signature ลำโพงไฮเอนด์ในตระกูล 800 ซีรีย์ กับการปรับโฉมดีไซน์ที่ให้ความละเมียดละไมมากขึ้น คุณภาพในการถ่ายทอดพลังเสียงสู่ความสมจริงมากขึ้น การผสมผสานระหว่าง 2 แบรนด์สู่สัมผัสแห่งการใช้ชีวิตที่ลงตัวระหว่างสุนทรียแห่งการพักผ่อนที่สบายบนโซฟา นาทุซซี่ อิตาเลีย และสุนทรียจากการฟังเพลงระดับไฮเอนด์ซาวน์จาก Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature     คุณเควิน กัมบีร์ (Kevin Gambir) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดังระดับโลกสัญชาติยุโรป กล่าวว่า “ยูโร ครีเอชั่นส์ เราพิถีพิถันในการคัดสรรผลิตภัณฑ์และแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ด้วยความตั้งใจ จากความเชื่อที่ว่า ‘Life is better in a beautiful space’ การใช้ชีวิตที่ดีเริ่มต้นจากการอยู่ในพื้นที่ที่สวยงาม ซึ่งความสวยงามในที่นี้หมายความว่า การได้อยู่ในพื้นที่ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์และรสนิยมของผู้อยู่อาศัย ซึ่งยูโร ครีเอชั่นส์ เป็นดั่งปลายทางที่ตอบรับกับทุกไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของลูกค้า ซึ่งในปีนี้เราขอนำเสนอ นาทุซซี่ อิตาเลีย (Natuzzi Italia) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังจากประเทศอิตาลี ที่ให้ความพิถีพิถันในเรื่องดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้งาน สีและวัสดุที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ เพื่อส่งมอบสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อน ที่โซฟาทุกชิ้นของนาทุซซี่ อิตาเลีย จะถ่ายทอดความสบายด้วยวัสดุ พรีเมียมที่มีให้เลือกทั้งหนังวัวแท้ และผ้า เพื่อตอบรับความชอบและรสนิยมการตกแต่งที่แตกต่างกันโดยนาทุซซี่ อิตาเลีย มีคาเรคเตอร์งานดีไซน์แบบโมเดิร์นที่ทั้งเรียบหรู ผสานกับฟังก์ชั่นการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเอน การปรับพนักวางศีรษะและที่วางขาให้เหมาะสมกับท่านั่งพักผ่อนได้อย่างง่ายดายด้วยระบบไฟฟ้า เป็นการเติมเต็มความสุนทรียการพักผ่อน และการใช้ชีวิตในบ้านอย่างแท้จริง” และถือเป็นโอกาสพิเศษสุดที่ ยูโร ครีเอชั่นส์ ได้ร่วมกับบริษัท มิวสิคพลัส ซีนีม่า จำกัด ในการร่วมกันถ่ายทอดสัมผัสแห่งไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตผ่านสุนทรียภาพการพักผ่อนที่ครบทุกมิติทั้งความสบายจากโซฟานาทุซซี่ อิตาเลีย และการเติมเต็มด้วยบรรยากาศแห่งเสียงเพลงคุณภาพผ่าน Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature ลำโพงไฮเอนด์สัญชาติอังกฤษกับคุณภาพระดับออดิโอไฟล์ ที่เผยโฉมครั้งแรกในไทย เป็นการจับคู่ความลงตัวระหว่างสุนทรียแห่งการฟังระดับพรีเมียมกับเฟอร์นิเจอร์หรูภายใต้คอนเซปต์ “Senses of living” สัมผัสสุนทรียแห่งการพักผ่อนผ่านการมองเห็นดีไซน์ที่งดงาม และการได้ยินเสียงที่ไพเราะ ที่เราตั้งใจเนรมิตขึ้นเป็นพิเศษผ่าน living space ที่จะจำลองบรรยากาศในการอยู่บ้านผ่านสัมผัสแห่งสุนทรียความสบายของโซฟา นาทุซซี่ อิตาเลีย และสุนทรียแห่งเสียงเพลงระดับไฮเอนด์ ภายในโชว์รูม ยูโร ครีเอชั่นส์ ซีอีโอ ยูโร ครีเอชั่นส์ กล่าว   คุณเถกิงลาภ กอวัฒนา กรรมการบริหาร บริษัท มิวสิคพลัส ซีนีม่า จำกัด ในเครือโซนิค วิชั่น กรุ๊ป ผู้นำเครื่องเสียงนำเข้าระดับไฮเอนด์มากว่า 26 ปี เปิดเผยว่า “มิวสิค พลัสซีนีม่า ในฐานะผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายลำโพงไฮเอนด์แบรนด์ Bowers & Wilkins จากประเทศอังกฤษอย่างเป็นทางการ รู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ครั้งนี้ ในการนำเสนอแรงบันดาลใจสุนทรียแห่งการพักผ่อนผ่านการสัมผัสความสบาย ความสุขผ่านดีไซน์ที่สวยงาม และสัมผัสสุนทรียการพักผ่อนกับการฟังเพลงผ่านเครื่องเสียงคุณภาพ ที่ตอบโจทย์นิยามแห่งความสุขในการพักผ่อนที่บ้านได้ครบทุกมิติ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในปี 2023 นี้ มิวสิค พลัส ซีนีม่า ได้นำเข้าลำโพงรุ่นเรือธง The New 801 D4 Signature ที่ถือเป็นงานฝีมือแห่งปีที่ Bowers & Wilkins ได้รังสรรค์ให้เป็นรุ่นที่มีความพิเศษตั้งแต่กลไกภายในที่ต่อยอดความสำเร็จจากลำโพงในตระกูล 801 D4 ที่ได้รับความนิยมสูงสุดกับ 800 Series Diamond™ ที่ใช้เพชรในโดมทวีตเตอร์เป็นตัวขับเสียงให้สะอาดใส ทุ่มนุ่มลึก จนได้รับความไว้วางใจและการันตีคุณภาพจากสตูดิโอบันทึกเสียงระดับโลก Abbey Road Studio ให้เป็นลำโพงอ้างอิง โดยความพิเศษของรุ่น The New 801 D4 Signature นี้ คือการพัฒนาปรับเปลี่ยนนวัตกรรม เทคโนโลยีขั้นสูงสุด ที่แบรนด์ Bowers & Wilkins ไม่ได้ใช้คำว่า Signature กับทุกรุ่นที่ปรับปรุงใหม่ จะแต่ใช้คำนี้ให้กับรุ่นที่มีการอัพเกรดขั้นสูงสุดแห่งเทคโนโลยีจริงๆ ซึ่งนับตั้งแต่แบรนด์ก่อตั้งขึ้นในปี 1966 มีลำโพงเพียง 7 รุ่นเท่านั้นที่มีชื่อรุ่นต่อท้ายด้วย Signature ดังนั้นการนำเข้าลำโพงตระกูล 801 D4 ในโมเดลใหม่รุ่น 801 D4 Signature จึงเป็นที่สุดแห่งความเอ็กซ์คลูซีฟที่แฟน B&W และนักฟังเพลง จะได้ยลโฉมความโดดเด่นแห่งดีไซน์ที่บ่งบอกถึงรสนิยมการฟังและความพิถีพิถันในการเลือกลำโพงไฮเอนด์ที่ได้รับการออกแบบประหนึ่งเป็นงานศิลป์ที่มอบทั้งสุนทรียแห่งการฟังที่สมบูรณ์แบบ และความสุขจากดีไซน์ที่ไม่ว่าจะวางมุมไหนในบ้านก็สวยงามลงตัวบ่งบอกรสนิยมเหนือระดับในการตกแต่งกับดีไซน์สีพิเศษ Midnight Blue Metallic ที่ใช้เวลาผลิตด้วยมือจากช่างฝีมือถึง 18 ชั่วโมง ต่อลำโพง 1 คู่ จึงเปรียบเสมือนเป็นงานศิลปะที่ควรค่าแก่การเป็นเจ้าของ” โดยโซฟาแบรนด์ นาทุซซี่ อิตาเลีย (Natuzzi Italia) และลำโพง Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature เปิดตัวให้คนรักการแต่งบ้าน และแฟนเครื่องเสียงไฮเอนด์ชาวไทยได้ชมความงามและสัมผัสพลังเสียงครั้งแรกผ่าน Living space ในการจำลองพื้นที่การตกแต่งภายในบ้านให้ผู้สนใจได้ทดลองพักผ่อนบนโซฟา และสัมผัสคุณภาพเสียงจาก Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature ณ โชว์รูมยูโร ครีเอชั่นส์ ทองหล่อ ซอย 5 สามารถมาเยี่ยมชมและสัมผัสความงามแห่งเสียงและดีไซน์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2566 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 0-2712-9555        
บ้านเดี่ยวทำเลหายาก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา “Noble Aqua Riverfront Ratburana”

บ้านเดี่ยวทำเลหายาก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา “Noble Aqua Riverfront Ratburana”

Noble Aqua โนเบิล เอควา ริเวอร์ฟร้อนท์ ราษฎร์บูรณะ "Noble Aqua Riverfront Ratburana" บ้านเดี่ยวทำเลหายาก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา คอนเซปท์ออกแบบบนแนวคิดการสร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตใจกลางเมืองที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ  เป็นโครงการบ้านเดี่ยวบนที่ดิน 15 ไร่ จำนวน 53 ยูนิต มีลิฟท์ส่วนตัวทุกยูนิต  แต่ละหลังอยู่บนที่ดินเริ่มต้น 56.5-182.3 ตร.ว.  พื้นที่ใช้สอยเต็มพื้นที่  346-795 ตร.ม.   Noble Aqua โนเบิล เอควา ริเวอร์ฟร้อนท์ ราษฎร์บูรณะ มีแบบบ้านให้เลือก 5 แบบ VIA 01 พื้นที่ดินประมาณ 56.72 - 58.72 ตรว. พื้นที่ใช้สอย 346.64 ตรม. เป็นบ้านสูง 3 ชั้น มีจำนวน 15 หลัง 3 นอน 4 ห้องน้ำ  จอดรถได้ 3 คัน VIA 02 พื้นที่ดินประมาณ 63.61 - 65.42 ตรว. พื้นที่ใช้สอย 431.18 ตรม. เป็นบ้านสูง 4 ชั้น มีจำนวนเยอะสุดคือ 20 หลัง 4 นอน 5 ห้องน้ำ จอดรถได้ 3 คัน PARC  พื้นที่ดินประมาณ 71.10 - 71.8 ตรว. พื้นที่ใช้สอย 527.95 ตรม. เป็นบ้านสูง 4 ชั้น จำนวน 14 หลัง 4 นอน 1 ห้องเอนกประสงค์ 5 น้ำ จอดรถได้ 4 คัน VIU  พื้นที่ดินประมาณ 82.95 ตรว. พื้นที่ใช้สอย 658.41 ตรม. สูง 4 ชั้น มีแค่ 2 หลัง 5 นอน 1 ห้องเอนกประสงค์ 7 น้ำ  จอดรถได้ 5 คัน ORA 01 พื้นที่ดินประมาณ 159.67 ตรว. พื้นที่ใช้สอย 779.42 ตรม. สูง 4 ชั้น  5 นอน 1 ห้องเอนกประสงค์ 7 น้ำ จอดรถได้ 5 คัน มี 1 หลัง โนเบิล เอควาโครงการตั้งอยู่บนถนนราษฎร์บูรณะ ติดแม่น้ำเจ้าพระยา สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ เช่น สาทร สีลม และสุขุมวิทได้โดยสะดวก การเดินทางสะดวกใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน 3.9 กิโลเมตร ใกล้ MRT สีม่วงใต้ สถานีราษฎร์บูรณะ 1.2 กิโลเมตรที่จะเสร็จในอนาคต   การออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวโดยมีโจทย์หลักคือ ทิวทัศน์ (VIEW) จากแม่น้ำ เพื่อให้บ้านทุกหลังสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำได้มากที่สุด โดยนำเอาพื้นที่ห้องรับแขกหรือห้องนั่งเล่น ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่เป็นศูนย์กลางของบ้านขึ้นไปไว้บนชั้น 2 และชั้น 3 ซึ่งเป็นจุดที่ดีที่สุดสำหรับการมองเห็น (VISUAL) แม่น้ำ รวมถึงการสร้าง ช่องว่าง (VOID) ระหว่างบ้านแต่ละหลังคือการใช้รูปทรงหลังคาแบบทรงจั่ว   สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในบ้าน โดยจัดเตรียมพื้นที่สำหรับครอบครัวที่เป็น Multi-Generation ไว้ในบ้านทุกหลัง เช่น การเตรียมห้องนอนและห้องน้ำผู้สูงอายุที่ชั้น 1 มีทางลาดทางเข้าบ้านสำหรับการใช้ wheelchair และมี Lift ทุกหลัง ระบบ Home Automation และระบบ Active Air Flow เติมอากาศบริสุทธิ์ พร้อมถ่ายเทความร้อนภายในบ้านให้เย็นสบายตลอดวัน รวมถึงติดตั้ง EV Charger ให้กับบ้านทุกหลัง     จุดเด่นสำคัญของ เอควา ริเวอร์ฟร้อนท์ หน้ากว้างริมน้ำ 110 เมตร  มีคลับเฮ้าส์ 2 จุด ด้านหน้า Garden Clubhouse และ Riverfront Clubhouse  ในโครงการออกแบบให้มีสวนขนาดใหญ่เป็นแนวยาว มี Fitness  สระน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา สายไฟฟ้าลงดินทั้งโครงการ  ค่าส่วนกลาง 100 บาทต่อตารางวาต่อเดือน   โนเบิล เอควา ริเวอร์ฟร้อนท์ ราษฎร์บูรณะ จะกลายเป็น ICONIC RIVERFRONT VILLA ที่โดดเด่นริมน้ำได้โดยสมบูรณ์แบบ โดดเด่นทั้งจากการมองเห็นทั้งภายนอก และ การมองเห็นจากผู้อยู่อาศัยในโครงการ ถ้ากำลังมองหาบ้านเดี่ยวทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยา การเดินทางสะดวก สิ่งอำนวยความสะดวกครบ เปิดให้ชมบ้านตัวอย่าง ในวันที่ 30 ก.ย. - 1 ต.ค. 66  กับราคาเริ่มต้น 30-100 ล้านบาท คิดเป็นตร.ม. ก็ประมาณ 86,000 บาทต่อ ตร.ม. กับการออกแบบที่โนเบิลดีเวลลอปเม้นท์ตั้งใจ้ให้เป็น ICONIC RIVERFRONT VILLA ที่โดดเด่นสะดุดตา ริมน้ำได้โดยสมบูรณ์แบบ พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษสุด ได้ที่  https://bit.ly/45Tqt8l หรือไลน์โครงการ @noblerarity   บทความน่าสนใจ Noble Around Ari  คอนโดพรีเมี่ยมที่สุดในย่าน อารีย์ NOBLE CREATE Condo High Rise กลางเลียบด่วน เอกมัย-รามอินทรา NUE CROSS KHU KHOT STATION  ชีวิตคูลๆ ที่คูคต  
ROMM Convent Luxury Wellness Condominium ความสุขของชีวิตที่ดีและยืนยาว

ROMM Convent Luxury Wellness Condominium ความสุขของชีวิตที่ดีและยืนยาว

  ROMM Convent โครงการใจกลางเมืองที่  Concept “CBD Retreat Residences” เพื่อคุณภาพที่ดีและยืนยาวในทุกมิติ LIVE. WELL. LIFE  โดยโครงการมี  Holistic Wellness Solution การบริการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ผ่านทางแอปพลิเคชัน BeDee by BDMS โรงพยาบาลบีเอ็นเอชที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโครงการ   ROMM Convent BeDee by BDMS  จะทำให้ลูกบ้านเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ตลอด 24 ชม. ลูกบ้านสามารถขอคำแนะนำและได้รับความช่วยเหลือด้านสุขภาพเบื้องต้น พร้อมประสานต่อไปยังบริการเฉพาะทางด้านต่างๆ นอกจากนั้นยังมีบริการพิเศษกว่าใคร อย่าง  การทำกายภาพบำบัด หรือการจัดหาพยาบาลพิเศษมาดูแลถึงห้องชุด หรือการสั่งยามาส่ง เป็นการดูแลเป็นพิเศษระดับ VVIP จาก BNH Royal Heritage Membership และลับส่วนลดสูงสุด 20%     ROMM Convent  มีทำเลอยู่บนทำเล CBD  ในถนนคอนแวนต์ และมี โรงพยาบาลบีเอ็นเอชตรงข้ามโครงการ ใกล้แหล่งสำนักงาน โรงเรียนชื่อดัง โรงพยาบาลที่ทันสมัย ใกล้พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ของคนกรุงเทพอย่างสวนลุม การเดินทางใกล้รถไฟฟ้า BTS และ MRT   ROMM Convent เป็นคอนโด High-Rise สูง 32 ชั้น จำนวน 1 อาคาร ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการ 1-2-40.7 ไร่ จำนวนห้องชุดพักอาศัยทั้งหมด 180 ยูนิต มีห้องพักให้เลือกทั้งหมด 7 แบบ 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 34.5 ตารางเมตร 1 Bedroom (Deluxe) พื้นที่ใช้สอย 48-51 ตารางเมตร 1 Bedroom Plus พื้นที่ใช้สอย 60 ตารางเมตร 2 Bedroom (Sky Villa) พื้นที่ใช้สอย 84 – 128 ตารางเมตร 3 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 147-192 ตารางเมตร Duplex พื้นที่ใช้สอย 71 – 97 ตารางเมตร Penthouse พื้นที่ใช้สอย 418 – 468 ตารางเมตร     สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ Automated Parking ที่สามารถรองรับได้ถึง 110% , Lobby, FitLab Café and Co-working Space, Sensory Garden, Wellness Lounge, Teens Club (Music and Study Room), Swimming Pool, Kids Pool, Jacuzzi, Gym, Wellness Studio, Meditation Pod, Onsen and Treatment Room, Rooftop Garden and BBQ Yard, ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.     โครงการ ROMM Convent ที่พร้อมการบริการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม Holistic Wellness Solution  พร้อมกับการบริการจากโรงพยาบาลชั้นนำด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยผ่าน “แอปพลิเคชัน BeDee by BDMS และ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช” ซึ่งลูกบ้านสามารถเข้าถึงบริการด้านดูและสุขภาพและรักษาสุขภาพ รวมถึงการดูแลผู้สูงอายุหรือแม้แต่ คุณแม่หลังการคลอดบุตร ได้ตลอด 24 ชม. แถมทำเลที่อยู่ใจกลาง CBD ที่มากพร้อมด้วยความสะดวกสบายกับราคา เริ่มต้น 8.5 ล้านบาท   บทความน่าสนใจ VI ARI บ้านเดี่ยวระดับ Ultra Luxury เริ่ม 82 ล้าน หนึ่งเดียวในย่านอารีย์ Anil สาทร 12 คอนโด WELL Building Standard 1 เดียวในไทย  
10 ปี AP Thailand – Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน

10 ปี AP Thailand – Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน

10 ปี AP Thailand - Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน 10 ปี AP Thailand - Mitsubishi Estate นับว่าเป็นการร่วมมือกันทางธุรกิจที่ยาวนานและแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยมีมาในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยเลยก็ว่าได้ ด้วยผลงานร่วมทุน ร่วมพัฒนาคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า 24 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 116,300 ล้านบาท เพื่อตอบโจทย์ที่อยู่อาศัยที่ดีที่สุดของคนเมือง พร้อมประกาศเดินหน้าความร่วมมือภายใต้โรดแมป “From Strength to Strength”     ที่ผ่านมาเราคงเคยได้ยินการออกแบบเพื่อมวลชน หรือ Universal Design (UD) มาบ้าง ซึ่งแนวคิดการออกแบบสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน ที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเจาะจงไปที่ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ด้อยโอกาสที่มีข้อจำกัดในการใช้เท่านั้น แต่ปัจจุบัน Universal Design (UD) ก็เริ่มมีบทบาทและถูกนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น ล่าสุด เราได้รู้จักกับคำว่า “Inclusive Living” (การออกแบบพื้นที่เพื่อทุกคน) จาก AP Thailand ยิ่งประกอบกับการได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาดูงานที่ประเทศญี่ปุ่นในวาระฉลองครบรอบ 10 ปี แห่งการร่วมมือกันทางธุรกิจระหว่าง AP Thailand – Mitsubishi Estate จึงทำให้เข้าในแนวคิดของคำว่า Inclusive Living มากยิ่งขึ้นไปอีก     หนึ่งในความท้าทายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมาในช่วงหลายปีนี้ คือการออกแบบและพัฒนา “พื้นที่ที่เข้าถึงความต้องการของทุกคน” โดยเฉพาะการออกแบบคอนโดมิเนียมสำหรับคนเมืองที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์อย่างรอบด้าน ทั้งการเดินทางที่สะดวก ติดแนวรถไฟฟ้า มีพื้นที่ส่วนกลาง และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมการไลฟ์สไตล์ ไปจนถึงสเปซของคนแต่ละช่วงวัย รวมถึงการปรับเปลี่ยนสเปซเพื่อการอาศัยอยู่ร่วมกันของผู้คนได้อย่างสะดวกสบาย ดังนั้นแนวคิด “การออกแบบพื้นที่เพื่อทุกคน” หรือ Inclusive Living ในคอนโดมิเนียมแต่ละโครงการ จึงมีความซับซ้อนในการออกแบบมากกว่าการพัฒนาโครงการทั่วๆ ไป เนื่องจาก “ทุกคนล้วนมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน” ทั้งช่วงวัย ไลฟ์สไตล์ ความพิเศษทางกายภาพ หรือแม้แต่วัฒนธรรมที่หลากหลาย จึงเป็นโจทย์ที่สำคัญในการออกแบบเพื่อทุกคนที่อาศัยอยู่ร่วมกันได้รับความสะดวกสบายครบครันมากที่สุด   และเมื่อการร่วมมือกันพัฒนาที่อยู่อาศัยของ AP Thailand กับ Mitsubishi Estate จากประเทศญี่ปุ่นไม่ได้จำกัดอยู่แค่การร่วมทุน แต่หมายรวมไปถึงการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี นวัตกรรมร่วมกันชนิดที่มีทีมงานจากญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมานั่งทำงานประจำร่วมกับ AP ที่สำนักงานใหญ่ เราจึงมีโอกาสได้เห็นการออกแบบพื้นที่ในโครงการต่างๆ ที่ JV (Joint Venture) ร่วมกันต่างไปอย่างมีนัยสำคัญ   แล้ว Inclusive Living ต่างกับ Universal Design อย่างไร? ต้องยอมรับว่าญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการใส่ใจในรายละเอียดมากๆ ยิ่งในเรื่องการออกแบบที่อยู่อาศัยด้วยแล้ว ยิ่งมีรายละเอียดที่เกินความคาดหมายไปมาก เราได้เห็นการออกแบบด้วยแนวคิด Inclusive Living ผ่านโครงการ The Parkhouse Nishi Shinjuku Tower 60 คอนโดมิเนียมพร้อมเข้าอยู่ใจกลางโตเกียว ภายใต้การพัฒนาโดย Mitsubishi Estate ตัวโครงการโดดเด่นด้วยการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง (Facilities) เพื่อให้ทุกคนได้มีสภาพแวดล้อม การใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย สามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ได้โดยไม่เกิดอุปสรรคในการใช้ชีวิต ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใด หรือมาจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกันก็ตาม   เริ่มตั้งแต่การเลือกวัสดุปูพื้นชนิดพิเศษซึ่งกันลื่นได้อย่างดีแม้กรณีพื้นเปียก, ทางเดินแบบไร้สเตปตั้งแต่บริเวณ Drop Off พร้อมติดตั้ง Braille Block ตลอดทาง, ราวจับแบบ 2 ระดับ เพื่ออำนวยความสะดวกทั้งเด็กและคนชรา พร้อมอักษรเบรลล์บริเวณมือจับเพื่อการสื่อสารให้ผู้พิการทางสายตาทราบได้ว่าเดินอยู่ในตำแหน่งไหนและกำลังนำทางไปสู่ที่ใด ซึ่งสิ่งที่กล่าวมานี้ คุณอาจจะคุ้นชินหรือเคยเห็นมาบ้างแล้วในแนวคิด Universal Design ในขณะที่แนวคิดแบบ Inclusive Living มีรายละเอียดที่ลงลึกมากไปอีก อย่างเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะถูกมองข้ามหรือคิดไม่ถึง เช่น ระดับความสูงของปุ่มกดลิฟต์, ความหน่วงของการเปิดปิดประตูลิฟต์ สำหรับผู้ที่มีข้อจำกัดในการใช้งานแบบปกติ, การติดตั้งกระจกด้านในลิฟต์เพิ่ม เพื่อให้ผู้ที่ใช้รถเข็นมองเห็นพื้นที่ด้านหลังก่อนออกจากลิฟต์, รูปแบบของสัญลักษณ์ต่างๆ ที่เป็นสากล สามารถเข้าใจได้ง่ายแม้จะต่างชาติ ต่างภาษากัน รวมถึงตำแหน่งการติดตั้งสัญลักษณ์ต่างๆ เพื่อให้เห็นได้ชัดเจน     และรายละเอียดที่เหนือกว่าของแนวคิด Inclusive Living คือ การคิดออกแบบไปถึง “Bio Living” การคำนึงการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ภายในโครงการ ไม่ว่าจะเป็นพืชในสวน ความหลากหลายของพันธุ์พืชเพื่อเกื้อกูลกันในระบบนิเวศน์ รวมไปถึงการคิดคำนึงถึงคนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่รอบๆ โครงการที่จะได้รับประโยชน์จากการอาศัยอยู่ร่วมกันในชุมชนไปพร้อมๆ กันอีกด้วย     อีกหนึ่งในฟังก์ชันที่น่าสนใจภายในโครงการคือ การนำแนวคิด ENGAWA – Multi Generation Facility มาออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อมุ่งเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันของลูกบ้านที่อาศัยอยู่ภายในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้พื้นที่ส่วนนี้ในการทำกิจกรรมร่วมกัน สามารถรองรับได้ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงคุณพ่อคุณแม่ และคนสูงวัย ได้มีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันได้อย่างราบรื่น AP Thailand ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ ตลอดระยะเวลา 10 ปีแห่งความร่วมมือทางธุรกิจในการพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทย ผ่าน 24 โครงการที่ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ด้วยการนำหลากหลายแนวคิดจากพันธมิตรอย่าง Mitsubishi Estate มาพัฒนาโดยมุ่งเน้นถึง “การออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้งานของคนทุกกลุ่ม” โดยเฉพาะการดีไซน์พื้นที่สาธารณะ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงได้ง่ายอย่างเข้มข้นและจริงจัง เพื่อตอบโจทย์คุณภาพชีวิตในทุกมิติของการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง     ซึ่งเร็วๆ นี้ AP Thailand – Mitsubishi Estate พร้อมส่ง 2 โครงการ Masterpiece ร่วมทุนที่เป็นความภาคภูมิใจแห่งปี บนที่ดินแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพฯ โดยมีไฮไลต์แรก “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โครงการระดับเพรสทีจ-ลักซ์ บนทำเลใจกลางมหานคร จาก BTS ราชเทวี เพียง 150 เมตร พร้อมเผยโฉมห้องชุด  1 ห้องนอน 35 ตารางเมตร PANORAMIC CITY VIEW ราคาเริ่มต้น 8.29 ล้านบาท และเตรียมเปิดโอนในวันที่ 26 - 27 สิงหาคมนี้   และอีกหนึ่งไฮไลต์คือ การเปิดแฟล็กชิปโครงการร่วมทุนใหม่ล่าสุด “RHYTHM เจริญนคร” บนที่ดินขนาด 4 ไร่ ตรงข้ามไอคอนสยาม เพียง 100 เมตรจากรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีเจริญนคร ตอบโจทย์ลูกค้าไฮเอนด์ และเป็นต้นแบบ Super Condominium ที่รวมความเป็นที่สุดไว้ในหนึ่งเดียว โดยมีแผนเตรียมเปิดขายในเดือนพฤศจิกายนนี้   #APxMEC10YearOfPartnership #APFromStrengthToStrength #APThai #ชีวิตดีๆที่เลือกเองได้ #RHYTHMCharoennakhonIconic #TheAddressSiamRatchathewi #APThaiUpdate2023 บทความที่เกี่ยวข้อง เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี”  
Flexi Mega Space Bangna คอนโดของคนรักษ์โลก ในแบบ Low Carbon

Flexi Mega Space Bangna คอนโดของคนรักษ์โลก ในแบบ Low Carbon

Flexi โดย บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ไลฟ์สไตล์คอนโดเพื่อคนรุ่นใหม่ (GEN Z) โดยเริ่มเปิดตัวโครงการใหม่ที่โลเคชั่นบางนา  Flexi Mega Space Bangna เคาะราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านภายใต้ 4 แนวคิด 1.FLEXIBLE FUCTION  ฟังก์ชันห้องและพื้นที่ส่วนกลางที่ ‘ปรับเปลี่ยน’ ได้ ตอบสนองทุกความต้องการ ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต ไปสนุกกับชีวิตให้เต็มที่ ทั้งการทำงานที่เรารักและปาร์ตี้สนุกกับเพื่อนหลังเลิกงาน   2.FLEXIBLE FACILITIES ส่วนกลางดีไซน์สวย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลายตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ครบทุกความต้องการ ทั้ง Co-Living, Co-Working Space, Meeting Room, Fitness, Lounge Area สำหรับพักผ่อนหรือปาร์ตี้กับเพื่อน ทำให้ #ไปมุมไหนๆ ก็น่าเก็บมาอวดในโซเชียล 3.FLEXIBLE LIVING ปลดล็อกการใช้ชีวิตด้วยห้องแต่งครบ Fully Furnished ทุกยูนิตของ Flexi ให้เฟอร์นิเจอร์มาตรฐานที่ตั้งใจออกแบบรองรับทุกการใช้งาน ลดภาระทางการเงินให้ผู้อยู่อาศัยพร้อมข้อเสนอทางการเงินที่ดี ทำให้ ไปถึงสิ้นเดือนสบายๆ ไม่ต้องอด   4.FLEXIBLE SUSTAINABILITY เพื่อให้ลูกบ้านของเสนามีคุณภาพชีวิตที่ดีและใช้ชีวิตแบบลดคาร์บอนพร้อมรักษ์โลกได้ง่ายๆ ด้วยนวัตกรรม Smart Tech ภายใต้การพัฒนาอย่างยั่งยืน จากแนวคิด Smart City อย่างเช่น Solar Rooftop การนำพลังงานสะอาดมาใช้ในพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนกลางให้กับลูกบ้าน Smart Mobility อย่าง V Move เพื่อการเดินทางแบบไร้รอยต่อ ด้วย Shuttle Bus ไปส่งลูกบ้านที่จุดขนส่งสาธารณะ BTS, MRT รวมถึงจัดพื้นที่สำหรับ Ev Charger Station ในพื้นที่จอดรถทำให้คุณ Flexi Mega Space Bangna คอนโดสไตล์ Modern Japandi  โครงการตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการ 3-1-72.80 ไร่  พัฒนาเป็นคอนโด High-Rise สูง 32 ชั้น จำนวน 1 อาคาร จำนวนห้องชุดพักอาศัยทั้งหมด 807 ยูนิต จุดเด่นที่ฟังก์ชันเพดานสูง 2.9 ม. มีห้องพักให้เลือกมากมายแบบหลักๆ Studio, 1 Bedroom, 1 Bedroom Plus, 1 Bedroom Exclusive และ 2 Bedrooms ขนาดเริ่มต้น 22.50-50 ตร.ม. ตกแต่งครบพร้อมเฟอร์นิเจอร์ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท   โครงการอยู่ติดถนน ถนนบางนา-ตราด การเดินทาง 2.1 กิโลเมตรถึง รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และ 7 กิโลเมตร ถึงแยกบางนา รถไฟฟ้าสายสีเขียว (เคหะ-คูคต) ที่จะตรงเข้าเมืองได้อย่างรวดเร็ว ส่วนสิ่งอำนวยความสะดวกรอบ  บางนาแหล่งที่อยู่อาศัยระดับไฮเอ็น  เป็นแหล่งใกล้สถานศึกษาโรงเรียนนานาชาติหลายแห่ง ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาลชั้นนำ และ ออฟฟิศบริษัทชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ   ภายในโครงการ มีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่บริเวณด้านหน้าโครงการ เปรี่ยบเหมือนกำแพงขนาดใหญ่ที่กัน มลพิษ ฝุ่นควัน จากถนนใหญ่ไม่ให้เข้าสู่โครงการLobby จะเป็นพื้นที่ฝ้าเพดานสูงแบบ Double Volumeสำหรับพื้นที่ส่วนกลางหลักๆจะประกอบด้วย สระว่ายน้ำ / Fitness / Yoga / Co-Working Space และ Multi-Purpose Room  ที่จอดรถคิดจำนวน 45% แบบรวมจอดซ้อนคัน โครงมีรถไฟฟ้า Shuttle Service คอยบริการรับ-ส่งให้ฟรีด้วยครับ Flexi Mega Space Bangna คอนโดแห่งที่ 2 บนผืนที่ดินขนาดใหญ่ติดถนนใหญ่บางนา-ตราด อีกหนึ่งโครงการของทางเสนาที่เปิดตัวในปีนี้ เป็นคอนโด High Rise ที่จุด ฝ้าสูงโปร่ง 2.9 เมตร ประหยัดพลังงาน สะอาด Low Carbon  แต่งเฟอร์ฯครบพร้อมอยู่ สนใจเปิดให้ชมห้องตัวอย่างแล้ว   บทความน่าสนใจ Nue Mega+ Bangna คอนโดแนวคิดใหม่ ชีวิตติดห้างดีกว่าที่เคย!! Niche Mono Mega Space Bangna คอนโดสูงพร้อมอยู่แห่งแรก ยืนหนึ่งบนถนนบางนา-ตราด Mulberry Grove The Forestias Villas บ้านคลัสเตอร์ แนวคิดใหม่เพื่อความสุขที่เพิ่มขึ้นของทุกเจเนอเรชั่นในครอบครัว  
ศุภาลัย เอสเซ้นส์  โครงการพรีเมี่ยมแห่งแรกในอ่างศิลา   

ศุภาลัย เอสเซ้นส์  โครงการพรีเมี่ยมแห่งแรกในอ่างศิลา   

ศุภาลัย เอสเซ้นส์ อ่างศิลา ศุภาลัย เอสเซ้นส์ อยู่ในพื้นที่ชลบุรีมาถึงวันนี้ 10 ปีพอดี เลยฉลองปั้นโครงการใหม่ นำแบรน์สุดพรีเมียมอย่าง เอสเซ็นส์ลงชลบุรีเป็นโครงการแรกโดยเริ่มที่ทำเล อ่างศิลาเป็นที่หมายแรก ในราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านจนไปถึง 18 ล้านบาท จัดว่าเป็น บ้านหรู 3 ชั้น แห่งแรกใน ชลบุรี ศุภาลัย เอสเซ้นส์ อ่างศิลา โครงการที่รวมความเป็นที่อยู่อาศัยให้เลือกหลายรูปแบบ บ้านเดี่ยว ศุภศรันย์ และศุภศิริ ที่ให้พื้นที่ใช้สอย321-380ตรม.ให้ ความโปร่งด้วย Double Volume  ในห้องนั่งเล่นชั้น1  พร้อมฟังก์ชั่นบ้าน 5ห้องนอน 5-7ห้องน้ำ และ4ที่จอดรถ บ้านแฝด ศุภศิลป์ พื้นที่ใช้สอย 234 ตรม. 4ห้องนอน 4ห้องน้ำ 3ที่จอดรถ   ที่มีลูกเล่นระเบียงชั้น2ที่ใหญ่ใช้แระโยชน์ได้จริง ทาวน์โฮม ศุภนรา พื้นที่ใช้สอย 160 ตรม. 3ห้องนอน 3ห้องน้ำ 2ที่จอดรถพร้อม พื้นที่อเนกประสงค์ 2จุด บ้านทุกหลัง พร้อมติดตั้ง ระบบ Home Automation และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ในบ้านติดตั้ง COTTO Smart Toilet สุขภัณฑ์อัตโนมัติ  ด้วยเทคโนโลยีด้าน Smart & Hygiene เพื่อตอบโจทย์สุขภาพและอนามัยเป็นหลัก และGreen concept รองรับ EV charger และหลังคา Solar ที่จะรองรับการใช้ไฟฟ้าในตอนกลางวันได้อย่างสบาย เปิดแอร์เย็นสบายด้วยแสงแดดบนหลังคาบ้านเราเอง ประหยัดไฟฟ้าได้มากเลย ส่วนความปลอดภัยในโครงการก็หายห่วง มีระบบอ่านป้ายทะเบียนรถยนต์ที่ทางเข้าออก กล้องวงจรปิดรอบโครงการ และ พนักงานรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง   ศุภาลัย เอสเซ้นต์ อ่างศิลา โครงการตั้งอยู่ตำบลอ่างศิลา อ.เมืองชลบุรี จ.ชลบุรี บนทำเลศักยภาพ เพียง 2 กม. ถึงถนนสุขุมวิท เชื่อมต่อสะดวกทุกการเดินทาง ใจกลางเมืองชลบุรี และยิ่งอนาคตจะมีรถไฟความเร็วสูงสามสนามบิน ยิ่งจะทำให้การเดินสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น พิเศษมากๆ ศุภาลัย เอสเซ้นต์ อ่างศิลา พร้อมเปิดบ้านPressle 15-16 ก.ค.นี้ จองในงานสำหรับบ้านเดี่ยว บ้านแฝด  รับรถยนต์ไฟฟ้า Tesla model3 หรือส่วนลดสูงสุด2ล้าน ส่วนทาวน์โฮม ก็ได้รับรถไฟฟ้าหรือส่วนลดเช่นกัน โดยสามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษ มูลค่าสูงสุด 100,000 บาท     บทความน่าสนใจ PARC Ekkamai-Pattanakarn คอนโดแนวคิดใหม่ ที่ให้คุณได้ “พัก” ในแบบของคุณเอง City Home ดีไซน์ใหม่ ราคาสบายกระเป๋า เริ่ม 1.09 ล้านบาท
[PR News] ณวรางค์ แอสเซท ปั้น “ณ รีวา เจริญนคร” รับเทรนด์ Well-being

[PR News] ณวรางค์ แอสเซท ปั้น “ณ รีวา เจริญนคร” รับเทรนด์ Well-being

ณวรางค์ แอสเซท ตอกย้ำเทรนด์ Well-being และแนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยืน ตอบรับไลฟ์สไตล์คนยุคปัจจุบัน ล่าสุดจับมือคู่รัก “พีเค-ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร” และ “โยเกิร์ต-ณัฐฐชาช์ บุญประชม” จัดเสิร์ฟเมนูสุขภาพด้วยสมุนไพรที่ปลูกในโครงการ ณ รีวา เจริญนคร โครงการที่เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงโค้งที่กว้างที่สุด พร้อมอัดโปรเด็ด จองเพียง 4,999 บาท ผ่อนสัญญา 0% นาน 6 เดือน เฉพาะในวันที่ 8 กรกฎาคม 2566 นี้เท่านั้น   นายอภิภู พรหมโยธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ออกแบบโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัย เปิดเผยว่า เทรนด์การอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ได้ให้ความสำคัญกับการมีสุขภาวะที่ดี (Well-being) ทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาด้านมลพิษ อาทิ ปัญหาฝุ่น PM 2.5 การเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ขณะเดียวกันการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันต้องยึดหลักการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักการ ESG ได้แก่ การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social)และธรรมาภิบาล (Governance) จากแนวคิดดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ มีนโยบายในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ด้วยหลักการของ Well-being และ ESG มาโดยตลอด อย่างเช่นโครงการ ณ รีวา เจริญนคร โครงการร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ กับบริษัท พาราเม้าท์ คอร์ปอเรชั่น เบอร์ฮาด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของ ประเทศมาเลเซีย พัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรซ์ (High Rise) สูง 29 ชั้น ประกอบไปด้วยห้องพักอาศัยจำนวน 253 ยูนิต ที่ให้ความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตเพียง 13 ยูนิต/ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 1-2-80.9 ไร่ มูลค่ารวมประมาณ 1,300 ล้านบาท ปัจจุบันการก่อสร้างมีความคืบหน้าไปมาก คาดว่าแล้วเสร็จภายในช่วงปลายปีนี้ และพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ได้ในช่วงต้นปี 2567   สำหรับจุดเด่นของโครงการ ณ รีวา เจริญนคร คือ ตั้งอยู่ในทำเลไพร์มโลเกชั่นของฝั่งเจริญนคร ที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงโค้งที่กว้างที่สุด โครงการมีห้องชุดให้เลือกถึง 5 แบบ ได้แก่ แบบ 1-Bedroom, 1-Bedroom Loft, 1-Bedroom Executive, 1-Bedroom Plus และแบบ 2-Bedroom ซึ่งห้องชุดที่เป็นไฮไลท์ คือ ห้องแบบสองชั้นหรือลอฟท์ที่ออกแบบมาอย่างสวยงาม ลงตัวกับการอยู่อาศัยและเอกเซกคิวทีฟฟลอร์ที่มอบบริการแบบโรงแรมด้วย   นอกจากนี้ โครงการ ณ รีวา เจริญนคร ยังมีพื้นที่ส่วนกลางครบครัน อาทิ Co-working Space, สวนส้มที่สะท้อนความเป็นเมืองแห่งผลไม้ซึ่งลูกบ้านสามารถนำไปบริโภคได้ สวนสมุนไพรเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์รักสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ฟิตเนสที่มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและสนามเด็กเล่นทั้งอินดอร์และกลางแจ้งเพื่อให้ เด็กๆ ได้สนุกสนานเพลิดเพลินและมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมในโครงการ ขณะที่ทำเลที่ตั้งของโครงการยังอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก ทั้งการเข้าสู่ใจกลางเมืองย่าน CBD อย่างสาทรหรือสีลม ใกล้โรงเรียนนานาชาติชั้นนำและห้างสรรพสินค้าไอคอน สยามอีกด้วย นายอภิภู กล่าวอีกว่า จากความต้องการของคนยุคปัจจุบันที่ใส่ใจเรื่องการมีสุขภาวะที่ดี ทำให้โครงการจัดทำสวนสมุนไพรสำหรับลูกบ้านซึ่งปลูกสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมาย อาทิ โรสแมรี่ เตยหอม ตะไคร้หอม พยับเมฆ ไว้ภายในโครงการบริเวณชั้นล่าง เพื่อตอบสนองผู้อยู่อาศัยที่รักสุขภาพ สามารถนำเอาผลผลิตไปบริโภคหรือใช้ประโยชน์ตามความต้องการได้ รวมถึงการจัดทำสวนส้มที่ถือเป็นผลไม้ประจำพื้นที่ตั้งแต่อดีต แต่ปัจจุบันพื้นที่สวนส้มถูกพัฒนาใช้ประโยชน์อย่างอื่นหมดแล้ว มาไว้ภายในโครงการ เพื่อให้ลูกบ้านได้บริโภคผลไม้ที่มีประโยชน์และไม่มีสารพิษ ซึ่งพื้นที่ส่วนกลางในรูปแบบนี้หาได้ยากในโครงการคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน ภายในโครงการยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อสร้างเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีอีกหลายอย่าง อาทิ  ชั้น 7 เป็นยิมและบริเวณออกกำลังกายกลางแจ้ง มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา Kid’s Play Room มีทั้ง ส่วนในห้องแอร์และส่วนกลางแจ้ง ชั้น 29 Rooftop มีสระว่ายน้ำ Infinity Edge Pool ความยาว 22 เมตร เลาจน์ที่สามารถ ดื่มด่ำกับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาแบบเต็มตาอีกด้วย ล่าสุด “พีเค-ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร” และภรรยานางแบบสาว “โยเกิร์ต-ณัฐฐชาช์ บุญประชม” ได้เข้าเยี่ยมชม โครงการ ณ รีวา เจริญนคร พร้อมกับร่วมทำเมนูสุขภาพ เพื่อสะท้อนถึงความตั้งใจของโครงการ ที่จะมอบความเป็นอยู่ที่ดี มีสุขภาพ ให้กับลูกบ้านด้วย ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้สนใจและลูกบ้านในการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้จำนวนมาก นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังต้องการให้ผู้ที่สนใจโครงการที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ และการอยู่อาศัยที่ดี และกระตุ้นยอดขายในโอกาสที่โครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จ ด้วยการจัดโปรโมชั่นพิเศษสุดสำหรับผู้ จองในวันนั้นคือรับบัตรกำนัลช้อปปิ้งมูลค่า 300,000 บาทที่ไอคอนสยาม โดยสามารถ จองได้เพียง 4,999 บาท ผ่อนสัญญา 0% ได้นานถึง 6 เดือน เฉพาะในวันที่ 8 กรกฎาคม 2566 นี้เท่านั้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ณวรางค์ แอสเซท เปิดคอนโด “ณ วรา พหลโยธิน 8” 300 ล้าน ลุยตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย -5 เหตุผล “ณวรางค์ แอสเซท” พัฒนาโครงการย่านเจริญนคร
6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่าให้ดูใหม่  ได้ฟังก์ชั่น​ แบบไม่หลุดเทรนด์

6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่าให้ดูใหม่ ได้ฟังก์ชั่น​ แบบไม่หลุดเทรนด์

ปรับบ้านเก่า เคยไหม? อยู่บ้านหลังเดิมไปนาน ๆ แล้วรู้สึกหมดแพชชั่น แต่ก็ไม่อยากซื้อบ้านใหม่หรือไม่อยากย้ายทำเลไปที่อื่น เลยอยากปรับบ้านเก่า แต่งลุคบ้านใหม่ให้ดูต่างออกไปจากเดิม และเพิ่มฟังก์ชันที่หลากหลายในตัวบ้านมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องรื้อบ้านทั้งหลัง หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าวิธีการดังกล่าวเป็นไปได้ยาก รู้หรือไม่ว่าการเปลี่ยนรูปแบบบ้านใหม่แบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ทำได้จริง!     วันนี้มีไอเดียการแปลงโฉมบ้านที่เคยอยู่อาศัยแบบเดิม ๆ มาปรับลุคใหม่โดยที่ไม่ต้องรีโนเวททั้งหลัง แค่ลองปรับเปลี่ยนดีไซน์และฟังก์ชันต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกบ้านใหม่ก็ใช้ได้แล้ว ซึ่งการปรับลุคบ้านใหม่ทำได้หลายวิธี ทั้งการปรับเปลี่ยนหลังคา สีทาบ้าน ผนังบ้าน รั้ว พื้น และสวนนอกบ้าน เพียงแค่เลือกดีไซน์และวัสดุที่ตอบโจทย์กับการใช้งานและความชอบ ลองมาดูกันว่าบ้านหลังเก่าของเราปรับลุคแบบไหนได้บ้าง 6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่า ให้ดูใหม่แถมได้ฟังก์ชั่น​ 1.เปลี่ยนฟาซาด สร้างโฉมบ้านหลังเดิม   บ้านสไตล์คลาสสิกธรรมดาทั่วไป อายุอาจจะมาไกลตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่า ถ้าอยากเปลี่ยนลุคบ้านใหม่ให้ดูโมเดิร์น แนะนำฟาซาด (Façade) ที่สามารถปรับอารมณ์บ้านให้เปลี่ยนไปได้ในทันที โดยฟาซาดจะเป็นการตกแต่งเปลือกอาคารหรือพื้นผิวภายนอกสุดของบ้าน ที่สามารถแสดงคาแรกเตอร์ของบ้านได้อย่างชัดเจนที่สุด ซึ่งนอกจากจะช่วยให้บ้านสวยเหมือนใหม่แล้ว ฟาซาดยังมีคุณสมบัติระบายความร้อน บดบังแสงแดด และสร้างความเป็นส่วนตัวภายในบ้านได้อีกด้วย ฟาซาด มีวัสดให้เลือกหลากหลาย 2.เพิ่มความ natural ด้วยผนังลายไม้ ผนังบ้านขาว ๆ ที่เราเคยชิน ลองสร้างลูกเล่นใหม่ให้น่าสนใจขึ้นได้ไม่ยาก เชื่อว่าหลายคนคงคิดว่าการเปลี่ยนผนังบ้าน คงต้องยุ่งยากและใช้เวลานาน ซึ่งปัจจุบันมีผนังตกแต่งให้เลือกใช้หลากหลาย ตามสไตล์ที่ต้องการ ซึ่งมาพร้อมคุณสมบัติแข็งแรง ทนทาน และลวดลายหลากหลาย สำหรับผู้ที่ต้องการดีไซน์บ้านให้มีลุคความเป็นธรรมชาติ การเลือกใช้ผนังตกแต่งที่ให้ลายไม้เหมือนธรรมชาติ อย่าง ผนังตกแต่ง เอสซีจี รุ่น วูด-ดี ก็นับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ   เนื่องจากให้ทั้งลวดลายที่ใกล้เคียงไม้จริง จากเทคโนโลยีการผลิตแบบ Digital Printing และวัสดุผลิตจากไฟเบอร์ซีเมนต์ ใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก ปลวกไม่กิน ทนทานต่อสภาพอากาศ ไม่บิดหรือแตกเปราะง่าย และยังให้สีสวยแน่นทนทาน จากเทคนิคการเคลือบสีเฉพาะของเอสซีจี รวมถึงได้ผนังเรียบร้อยสวยงาม จากระบบติดตั้งแบบคลิปล็อค ไม่เห็นรอยสกรู โดยสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งงานผนังและงานฝ้า 3.ทำรั้วบ้านสร้างเอกลักษณ์​ ก่อนจะเห็นตัวบ้าน เราต้องมองรั้วบ้านกันก่อนอย่างแน่นอน ถ้ารั้วบ้านสวยมีสไตล์ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของบ้าน ทำให้คนจดจำบ้านหลังนี้ได้ไม่ลืม เพราะฉะนั้นการทำรั้วบ้านให้โดดเด่นเป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ทำได้ 4.คืนพื้นที่รอบบ้าน สร้างพื้นใหม่สวยสะดุดตา บ้านที่มีพื้นที่ภายนอก บางคนปล่อยให้รกร้าง มีของที่ไม่ได้ใช้เกะกะอยู่เต็มพื้นหน้าบ้าน เราสามารถปลุกพื้นที่ตรงนั้นขึ้นมาใหม่ โดยเคลียร์ของที่ไม่ใช้ทิ้งไป แล้วปรับพื้นใหม่ให้แมตช์กับสวนสวยดูเป็นธรรมชาติได้ อาจจะลองเลือกใช้วัสดุกระเบื้องซีเมนต์ตกแต่งพื้น ซึ่งมีรุ่นและลายให้เลือกหลากหลายชนิด 5.เปลี่ยนลุคหลังคาให้บ้านดูโมเดิร์น หลังคาบ้านสวยช่วยทำให้บ้านดูใหม่และดูดีกว่าเดิมได้ ลองสังเกตดูว่าถ้าบ้านไหนปล่อยให้หลังคาชำรุดตัวบ้านก็จะดูทรุดโทรมตามไปด้วย ซึ่งหากสามารถทำการเปลี่ยนหลังคาใหม่ได้ ก็จะช่วยทำให้บ้านดูมีชีวิตชีวา และการใช้งานที่ดี ไม่ต้องห่วงเรื่องฝนตก น้ำรั่วช่วงหน้าฝนได้อีกด้วย ​ 6.ปรับภูมิทัศน์สวนให้สวยน่านั่งเล่น อย่าปล่อยพื้นที่สวนหน้าบ้านให้รกร้างโดยเปล่าประโยชน์ การจัดสวนให้น่าอยู่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเปลี่ยนลุคใหม่ให้บ้าน และยังเติมเต็มอารมณ์ให้ผู้อยู่อาศัยผ่อนคลายขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหากว่าใครยังไม่มีไอเดียการจัดสวน และกลัวว่าจะเหนื่อยถ้าต้องมานั่งจัดสวนเอง เอสซีจีก็มีบริการจัดสวนรอบบ้าน โดยมีรูปแบบสวนกึ่งสำเร็จรูปที่ออกแบบไว้หลากหลายแนวให้เลือกตามใจชอบ ปรับใช้ให้เข้ากับพื้นที่บ้าน รับรองว่ามีสวนสวยรวดเร็วไม่เกินเอื้อมแน่นอน   อย่างไรก็ตาม ใครที่อยากปรับลุคบ้านให้สวยด้วยหลาย ๆ ดีไซน์และฟังก์ชัน อาจจะลองเข้าไปดูตามห้างโมเดิร์นเทรดชั้นนำ หรือผู้ให้บริการด้านการปรับปรุงบ้าน ซึ่งมีหลากหลายมากมาย รวมถึงผู้ให้บริการอย่าง SCG ซึ่งมีบริการหลากหลาย และจำหน่ายสินค้าหลายช่องทาง   ที่มา-SCG Home   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -4 วิธีอย่างง่าย ปรับบ้านให้มีสุขภาวะที่ดีรับ WFH  -“ปรับบ้านรับทรัพย์ ตามหลักฮวงจุ้ย” รับปีใหม่ 2564 กับหมอช้าง
5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล  ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19

5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19

LWS แนะ 5 ธุรกิจบริการ ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมดิจิทัลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตเพื่อคนทุกวัยที่พัฒนาขึ้นมาที่เติบโตพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล. ดับเบิลยู. เอส. วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) แนะนำ 5 ธุรกิจบริการที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตเพื่อคนทุกวัยในยุคหลังการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ได้แก่ ธุรกิจบริการเพื่อผู้สูงอายุ, สุขภาพ, สิ่งแวดล้อม, ที่อยู่อาศัย และความบันเทิง   หลังจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน เทคโนโลยี่ดิจิทัล เข้ามามีบทบาทในการพัฒนางานบริการอย่างหลากหลาย โดยเฉพาะการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อสร้างการเข้าถึงข้อมูลและเชื่อมต่อระหว่างผู้คน ไปพร้อมๆ กับการสร้างโอกาสในการทำธุรกิจใหม่ๆ ทั้งภาคการผลิตและการบริการ โดยเฉพาะงานบริการ เทคโนโลยี่เข้ามามีบทบาทในการเชื่อมต่องานบริการต่างๆ ที่ตอบสนองกับความต้องการของผู้คนในสังคมมากขึ้น และเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่จะพัฒนาต่อยอดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้มากขึ้น 5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล จากการศึกษาของฝ่ายวิจัยและพัฒนางานบริการของ LWS พบว่า ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี ของการแพร่ระบาดของ COVID-19 งานบริการที่มีการพัฒนาและได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชนตั้งแต่การแพร่ระบาดของ COVID-19 และยังคงได้รับความนิยมมาถึงปัจจุบันที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย แล้ว ประกอบด้วย 5 ธุรกิจที่น่าสนใจและมีศัยกภาพในการเติบโตและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ได้แก่ ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ, สุขภาพ, สิ่งแวดล้อม, ที่อยู่อาศัย, และงานบริการที่เกี่ยวข้องกับความบันเทิงของคนรุ่นใหม่ บริการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ เมื่อปี 2565 ที่ผ่านมาประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบเต็มรูปแบบ หนึ่งในธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตสูง คือ ธุรกิจดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างมากในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เนิร์สซิ่งโฮมที่ได้มาตรฐาน และขึ้นทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเพิ่มขึ้นจาก 200 กว่าแห่งในปี 2563 เป็น 450 ยังไม่รวม เนิร์สซิ่งโฮมที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนอีกนับ 1,000 – 2,000 แห่งทั่วประเทศ   นอกจากงานดูแลด้านสุขภาพของผู้สูงอายุที่เนิร์สซิ่งโฮมแล้ว ยังมีพัฒนางานบริการพาผู้สูงอายุไปโรงพยาบาล ท่องเที่ยว ทำบุญ และกิจกรรมต่างๆ โดยมีแพลตฟอร์มที่น่าสนใจอย่าง Joy Ride กับบริการพาผู้สูงอายุไปหาหมอ เป็นงานบริการที่ให้บริการในประเทศไทย และคิดค้นโดยคนไทย ที่มีรูปแบบการให้บริการผู้ดูแลพาผู้สูงวัยและผู้ป่วยไปโรงพยาบาล จากบ้านไปโรงพยาบาล และอยู่เป็นเพื่อนตลอดระยะเวลาของการพบแพทย์ และพากลับมาส่งกลับถึงบ้าน โดยมีการให้บริการในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น บริการพาไปรับวัคซีนป้องกันโควิด, บริการ Welcome Home พาเธอกลับบ้าน ,Joy Go Round พาเที่ยว ทำบุญ ทำธุระ ฯ ล ฯ มีค่าบริการเริ่มต้นเพียง 280 บาทเท่านั้น ซึ่งกลุ่มผู้ใช้บริการไม่มีเพียงแต่ผู้สูงอายุเท่านั้น ยังมีกลุ่มของสตรีมีครรภ์ ที่ไม่สะดวกในการขับรถเองใช้บริการอีกด้วย   นอกจากนี้ ยังมี Senior Move ธุรกิจบริการรถลีมูซีนสำหรับผู้ใหญ่โดยเฉพาะ ให้บริการเป็นรายชั่วโมง โดยผู้ใช้บริการสามารถกำหนดเส้นทาง หรือปรับเปลี่ยนเส้นทางได้ตลอดเวลา ทั้งยังสามารถแวะทำธุระระหว่างทางได้ตามสะดวก เสมือนมีรถและพนักงานขับรถส่วนตัว สามารถจองคิวการใช้บริการผ่าน Line ได้ โดยมีอัตราค่าบริการเริ่มต้นที่ 500 บาทต่อชั่วโมง ได้ถือเป็นธุรกิจงานบริการที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์กับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปและเป็นโอกาสสำหรับการสร้างธุรกิจใหม่ๆ หลังยุค COVID-19 บริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ จากรายงานของกรมพัฒนาธุรกิจพบว่า การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2565 เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพถึง 353 ราย เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปี 2564 ที่มีจำนวน 167 รายถึง 90% สะทัอนให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจบริการในหมวดนี้ที่สูงขึ้นตามความต้องการของประชาชนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้นหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19   โดยธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพนอกเหนือจากการดูแลสุขภาพแล้ว งานบริการที่เกี่ยวกับสินค้าในหมวดหมู่ที่เกี่ยวกับสุขภาพมีทั้งเรื่องของอาหาร การออกกำลังกาย รวมไปถึงการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เป็นต้น โดยเฉพาะอาหาร ปัจจุบันประชาชนให้ความสนใจกับการเลือกบริโภคอาหารที่ปลอดสารพิษ ทำให้มีการพัฒนางานบริการจัดส่งผัก-ผลไม้ออร์แกนิค จากสวนส่งตรงถึงบ้าน โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อเชื่อมต่อความต้องการของผู้ซื้อไปยังผู้ผลิต และบริการจัดหา อย่าง  Happy Grocers บริการจัดส่งผัก และผลไม้ออร์แกนิค ถึงบ้าน   เป็นธุรกิจที่เกิดจากการพัฒนาของนักศึกษาจากวิทยาลัยโลกคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากในช่วงของการระบาดใหญ่ของ COVID-19 ที่ทำให้สินค้าทางการเกษตรไม่สามารถเข้าสู่ตลาดกลางได้ ทำให้นักศึกษากลุ่มนี้เกิดความคิดที่จะเป็นตัวกลางให้ผู้บริโภคและเกษตรกรได้พบกันโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลางอีกหลายทอด ช่วยแก้ปัญหาให้เกษตรกรรายย่อยได้มีตลาดระบายสินค้าในราคาที่สมเหตุสมผล และผู้บริโภคได้รับสินค้าคุณภาพจากเกษตรกรโดยตรง มีการนำรถ Grocers Truck นำฟาร์มขนาดย่อมมาให้ลูกค้าถึงหน้าคอนโดมิเนียม โดยมีความพิเศษคือ ลูกค้าเป็นคนส่งคำขอกับทางนิติคอนโดฯให้ทาง Happy Grocers ไปลงพื้นที่เองอีกด้วย โครงการนี้ประสบความสำเร็จและคว้ารางวัลจากเวที Startup Thailand League 2020   อีกหนึ่งในบริการที่มีการเติบโตค่อนข้างสูง และยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องหลังจากการระบาดของโควิด-19 คือ บริการหาหมอออนไลน์ โดยรายงานปี 2563 จากบริษัทวิจัย แกรนด์ วิว รีเสิร์ช มีระบุว่า ตลาดเทเลเมดิซีนมีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง โดยปี 2563 มีมูลค่าราว 55,900 ดอลล่าสหรัฐ และคาดว่าในช่วงปี 2564-2571 จะมีการขยายตัวต่อปีที่ 22.4% ซึ่งทำให้คาดว่าทำให้ตลาดเทเลเมดิซีนจะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง บริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เป็นกลุ่มงานบริการที่ได้รับความนิยมมากขึ้นจากแนวคิดเกี่ยวกับ สิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล หรือ  ESG (Environment, Social, Governance) ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ภาวะโลกร้อน ปริมาณฝุ่น PM 2.5 ที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึง การพบไมโครพลาสติกในสัตว์ทะเล และปัญหาน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มที่ใช้บริโภคในชีวิตประจำวัน ปัญหาต่างๆด้านสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการผลิตวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การนำขยะมาใช้ในการผลิตเป็นเฟอร์นิเจอร์ และของใช้ต่างๆ   รวมไปถึงการให้บริการเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์อย่างบริษัท รีไซเคิล เดย์ จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจบริการที่เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดในการเปลี่ยนขยะให้เป็นประโยชน์ โดยการให้ความรู้ในการแยกขยะไปจนถึงการบริหารจัดการ ผ่านแอพพลิเคชั่น โดยแอพพลิเคชั่น จะบันทึกการจัดเก็บและแยกขยะของแต่ละบ้าน เพื่อให้สามารถแลกเป็นคะแนนไว้ใช้สำหรับแลกของรางวัลหรือเงินคืนได้จำนวนเท่าไหร่ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจในการบริหารจัดการขยะ และ   อีกหนึ่งในบริการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจ และมีการเติบโตขึ้นเรื่อยๆคือ บริการที่เกี่ยวข้องกับการติดตั้งอุปกรณ์พลังงานทดแทน เช่น Pavegen slab ซึ่งเป็นแผ่นพื้นที่สามารถเปลี่ยนแรงกดให้เป็นพลังงานไฟฟ้าได้ โดยบริการนี้เริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ มีการติดตั้งตามเมืองสำคัญหลายจุด เช่น ถนนอ๊อคฟอร์ด กับถนนบาเรท ซึ่งในประเทศไทยเองก็มีการติดตั้งที่ True Digital park และ 101 The Third place อีกด้วย บริการที่เกี่ยวข้องกับบ้าน ธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับบ้าน เป็นอีกหนึ่งในงานบริการที่ถูกพัฒนารูปแบบบริการต่างๆให้ครอบคลุมกับความต้องการมากขึ้น โดยเฉพาะการให้บริการดูแลบ้าน ทั้งงานทำความสะอาดไปจนถึงงานช่างและงานซ่อมแซมต่างๆ โดยปัจจุบันมีหลายบริษัทที่พัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมา เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้และเรียกใช้บริการได้ตามความต้องการ เช่น Q-Chang คิวช่าง แพลตฟอร์มรวมช่างคุณภาพเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ให้บริการเกี่ยวกับบ้าน เช่น บริการดูแลรักษาบ้าน ,บริการติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ภายในบ้าน ,บริการปรับปรุงและซ่อมแซมบ้าน ฯลฯ   โดย Q-Chang เป็นธุรกิจบริการ ที่มีอัตราการเติบโตจากช่วง 3 ปีได้อย่างชัดเจน ในปี 2565 ที่ผ่านมา มีผู้เข้าใช้บริการผ่านช่องทางเว็ปไซต์เพิ่มขึ้นถึง 6.5 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2564 และมียอดผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว มีมูลค่าการจองใช้บริการสูงสุดถึง 610,000 บาท/คน/ปี ซึ่งท้อนได้ถึงความต้องการในการใช้บริการงานที่เกี่ยวข้องกับบ้านได้อย่างชัดเจน ซึ่งทาง Q-Chang เองก็ได้ขยายบริการจากเว็ปไซต์ เพิ่มขึ้นเป็น Line Official : @q-chang รวมถึงมีการให้บริการรวมกับพาร์ทเนอร์ เช่น SCG, Shopee, Lazada NocNoc เป็นต้น   โดยบริการยอดนิยมจะอยู่ในกลุ่มงานบริการล้างแอร์ ซ่อมแซมหลังคารั่ว บริการล้างเครื่องซักผ้า ฯ ล ฯ นอกจากนี้ผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง SCG ก็ยังมีบริการที่เกี่ยวข้องกับบ้านด้วยเช่นกัน เช่น บริการจาก SCG Heim ซึ่งให้บริการงานต่อเติม ตรวจสอบและซ่อมแซมสภาพบ้าน ตกแต่งภายใน บิ้วอิน เป็นต้น บริการที่เกี่ยวข้องกับไลฟ์สไตล์ ปัจจุบันผู้คนเริ่มมีความคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยมากขึ้น ทั้งการทำงานและกิจกรรมเพื่อความบันเทิง โดยเฉพาะการเล่นเกมส์ ที่ปัจจุบันกลายเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ถูกบรรจุเป็นกีฬาในระดับภูมิภาค และระดับโลก ในประเทศไทยก็เริ่มมีการเรียนการสอนในโรงเรียนวิชา E-Sport ตั้งแต่ระดับมัธยมในประเทศไทย เช่น โรงเรียนสิรินธร จ.สุรินทร์ ,โรงเรียนสระบุรีวิทยาคม ที่ได้มีการสร้างห้อง E-Sport Room เพื่อรองรับการส่งเสริมนักเรียนในทุกด้าน และในระดับมหาวิทยาลัยนั้น ภาคเอกชนก็เริ่มนำคอร์สการเรียนที่เกี่ยวข้องกับ E-Sport มาเป็นทางเลือกให้ผู้ที่สนใจในด้านนี้โดยเฉพาะด้วยเช่นกัน   การเติบโตของ E-Sport ทำให้การพัฒนาห้อง E-Sport ภายในที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในอาคารชุดพักอาศัยเริ่มกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นนอกเหนือจาก Co-Working และ Co-Kitchen space โดยปัจจุบันมีโครงการอาคารชุดพักอาศัย อย่าง โครงการ เพลส 168 ปิ่นเกล้า ที่พัฒนาโดยบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) และโครงการอัลติจูด ยูนิคอร์น สาทร ที่พัฒนาโครงการโดย อัลติจูด ดีเวลลอปเมนท์ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของคนรุ่นใหม่ ที่ใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยมากขึ้น   นอกจากนี้ยังพบว่าธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศก็มีการนำห้อง E-Sport Room เข้ามาใช้เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เช่นโรงแรม iHotel — Taoyuan City ประเทศไต้หวัน , โรงแรม The Arcade Hotel ในประเทศเนเธอแลนด์ และ โรงแรม eZONe Cyber Space Hotel ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น โดยการให้บริการจะมีเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับเล่นเกมส์ในห้องพักโดยเฉพาะ มีที่นอนภายในห้อง โดยที่พักจะมีเริ่มต้นตั้งแต่ 2 คน ไปจนถึงห้องใหญ่ที่รองรับผู้เข้าพักได้ถึง 5 คน มีค่าบริการเริ่มต้นตั้งแต่ 1,500 เป็นต้นไป   “วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้คนจากวิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) มาสู่วิถีชีวิตปกติถัดไป (Next Normal) ภายหลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 งานบริการไม่ใช่งานที่ผู้คนต้องออกจากบ้านเพื่อไปรับบริการแล้ว แต่งานบริการกลายเป็นงานที่ผู้คนสามารถใช้บริการได้จากที่บ้านของพวกเขาเอง ผ่านการเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มต่างๆ ที่เชื่อมต่อทุกงานบริการเข้าด้วยกัน เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้คน จึงเป็นมิติใหม่ของการสร้างโอกาสในการสร้างธุรกิจบริการเพื่อที่จะเข้าถึงผู้คนและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เทคโนโลยี่ดิจิทัล เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโอกาสทั้งทางธุรกิจและเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน”    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -โควิดทุบ SMEs ธุรกิจบริการ-ท่องเที่ยว รายได้หาย 27,000 ล้าน
[PR News] สมาร์ท อัปเกรด Smart World แอปเพื่อการอยู่อาศัย หวังยอดทะลุ 2 แสนราย

[PR News] สมาร์ท อัปเกรด Smart World แอปเพื่อการอยู่อาศัย หวังยอดทะลุ 2 แสนราย

สมาร์ท  อัปเกรด SMART WORLD โมบาย แอปพลิเคชัน ที่ครบ จบ ในแอปเดียว ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ Ultimate Digital Living เพิ่มลูกเล่นและฟังก์ชันการให้บริการที่มากขึ้น   นายสุวัฒน์ กุลไพจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SMART) เปิดเผยว่า บริษัทได้อัปเกรดแอปพลิเคชันสมาร์ท เวิล์ด "SMART WORLD" เวอร์ชันใหม่ ให้เป็นสุดยอดแอปเพื่อการอยู่อาศัย ในคอนเซปต์ SMART WORLD Ultimate Digital Living  เรียกได้ว่าดูแลกันตั้งแต่เริ่มต้นวันแรกของการซื้อบ้าน จนถึงวันโอน และดูแลต่อเนื่องไปตลอดของการพักอาศัย โดยสมาร์ทดำเนินธุรกิจการบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 26ปี ดูแลมากกว่า 390 โครงการ   สำหรับแอปพลิเคชันดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวก ตั้งแต่เรื่องการให้ข้อมูลสินเชื่อธนาคาร รวมถึงสามารถเข้าดูรายละเอียดความคืบหน้าของโครงการได้ด้วยตนเอง ผ่านหน้าแอปฯ และยังทำธุรกรรมการผ่อนดาวน์ , Refund , ยื่นขอเอกสารออนไลน์, ฝากขาย-เช่า ได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว หลังจากการโอนบ้านแล้ว แอปฯ นี้ยังคงดูแลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้ชีวิตในบ้านหลังใหม่เป็นไปอย่างสะดวก ง่ายดาย เป็นตัวเชื่อมติดต่อกับนิติบุคคลของ SMART หรือเพื่อนบ้านในโครงการได้สะดวกผ่านแชท และมีข่าวสารที่คอยอัปเดตเพื่อไม่พลาดทุกการเคลื่อนไหวในโครงการ แจ้งเตือนรับพัสดุ , จ่ายบิล , ประทับตรารถเข้า-ออกโครงการผ่านแอปฯ รวมทั้งสามารถดูกล้องวงจรปิดในพื้นที่ส่วนกลางของโครงการได้ในกรณีที่เราไม่อยู่บ้าน   นอกจากนี้ ยังช่วยจัดการเรื่องบ้านให้สมาร์ทมากขึ้นด้วยฟีเจอร์ Home Service หรือบริการเรื่องบ้าน ทั้งตกแต่งต่อเติมก่อนเข้าอยู่ รีโนเวต รวมถึงบริการต่าง ๆ ที่ช่วยให้บ้านดูสวย ใหม่ และ ดูแลรักษาตลอดเวลา เช่น บริการเรื่องบ้าน ทั้งล้างแอร์ ล้างบ่อดักไขมัน ล้างแทงค์น้ำ ติดตั้งโครงหลังคาจอดรถ ติดตั้งรางน้ำฝน และอื่น ๆ อีกมากมายจากพาร์ทเนอร์มืออาชีพ และยังมีสิทธิพิเศษ ส่วนลดต่างๆ ที่ SMART รวบรวมมาครบทุกแกน ทั้ง ร้านอาหาร กีฬา อุปกรณ์เครื่องใช้ สัตว์เลี้ยง และความงาม เพื่อลูกบ้านโดยเฉพาะ เรียกได้ว่าแค่มีแอปพลิเคชันอยู่ในมือ ก็ตอบโจทย์ตั้งแต่ต้น จนเข้าพักอาศัยแบบครบ จบในแอปเดียว เพียงปลายนิ้วสัมผัส บริษัทคาดว่า แอปพลิเคชั่น สมาร์ท เวิล์ดจะมียอดดาวน์โหลด 200,000 user หรือเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวภายในสิ้นปี      อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เทอร์ร่า เผยเทรนด์การอยู่อาศัยในปี 65 ต้องตอบโจทย์ Well-Being & ความปลอดภัย -[PR News]แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  เปิดให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “iDesign” โฉมใหม่แล้ววันนี้
[PR News] CPN ผนึกพันธมิตร ปักธงสีรุ้งรับเดือน Pride Month จัดงาน THAILAND’S PRIDE CELEBRATION 2023

[PR News] CPN ผนึกพันธมิตร ปักธงสีรุ้งรับเดือน Pride Month จัดงาน THAILAND’S PRIDE CELEBRATION 2023

CPN ปักธงสีรุ้งรับเดือน Pride Month ผนึกพันธมิตรจัดงาน THAILAND’S PRIDE CELEBRATION 2023 “PRIDE FOR ALL” สร้างแลนด์มาร์กเทศกาลระดับโลกที่ทุกคนต้องมาเยือน ปลุกเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวไตรมาส 2   โดยในงานแถลงข่าวได้รับเกียรติจาก ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธาน พร้อมด้วย ชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจและโครงการ, ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา , มร.เรอโน เมแยร์ ผู้แทนโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย UNDP, เมทินี กิ่งโพยม CEO จาก Muse by Metinee, ชุมาพร แต่งเกลี้ยง ผู้ก่อตั้งบางกอกไพรด์ , ภก.พิรพัฒน์ ศรีวัฒนวงศ์ ผู้อำนวยการธุรกิจความงาม ประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียน บริษัท กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) จำกัด และ ประภัสสร กาญจนสูตร ศิลปินผู้เชื่อในความเท่าเทียมของมนุษย์   ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท ซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เปิดเผยว่า เซ็นทรัลพัฒนา พร้อมเป็นหัวหอกในการผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันผลักดันให้งานฉลองเทศกาล Pride Month ของประเทศไทยเป็น Top of Pride Destination ของคนทั่วโลก และยกระดับสู่การเป็นเจ้าภาพ World Pride 2028 ชาติแรกในเอเชียตามเป้าหมายที่มีร่วมกัน ทั้งนี้ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศไตรมาส 2 และดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยชู 3 แนวคิดสำคัญ ได้แก่ 1.สร้าง Global Impact ยกระดับงานไพรด์ประเทศไทย ให้เป็นเดสติเนชั่นระดับโลกด้วย Great partnership การผนึกกำลังร่วมกับพาร์ทเนอร์ระดับโลก และพันธมิตรชั้นนำภาครัฐ-เอกชน จัดงานฉลองเทศกาลไพรด์ยิ่งใหญ่ผ่านพื้นที่ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ Global destination ชูไทยเป็น 1 ในแลนด์มาร์กแห่งการฉลองเทศกาลที่ทั่วโลกอยากมาเยือน เทียบชั้น NYC Pride นิวยอร์ก, EuroPride 2019 & Pride Week เวียนนา ออสเตรีย, Tokyo Rainbow Pride ญี่ปุ่น และTaiwan LGBT Pride เพราะประเทศไทยเป็นเดสติเนชั่นที่เหมาะสม เปิดกว้าง และยอมรับในความแตกต่าง หลากหลาย และการสร้าง Global awareness สร้างกระแสผ่าน Tourist Platform ทั่วโลก เหมือนที่เราประสบความสำเร็จมาแล้วจากการจัดงานเคานต์ดาวน์ และเทศกาลสงกรานต์ 2.จับเทรนด์ Rainbow Economy เศรษฐกิจสีรุ้งมาแรง-กำลังซื้อสูง ขานรับนโยบาย “เศรษฐกิจดี” ของกรุงเทพมหานคร มุ่งปั้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กระตุ้นเศรษฐกิจประเทศให้คึกคัก ยกระดับงานไพรด์ของไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก จับ 2 กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่ม LGBTQIAN+ กำลังซื้อสูง ตลาดสำคัญในยุค Genderless เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนการใช้จ่ายสินค้าและท่องเที่ยวมากกว่ากลุ่มทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารระดับสูง รายได้ดี มีรสนิยมดี สร้างเม็ดเงินมหาศาลในหลายอุตสาหกรรม เช่น ท่องเที่ยว ภาพยนตร์ ดนตรี บันเทิง รวมไปถึงอุตสาหกรรมการแพทย์ จากข้อมูล พบว่า ปัจจุบัน LGBTQIAN+ ทั่วโลกมีมากถึง 486 ล้านคน อยู่ในเอเชีย 288 ล้านคน และเป็นคนไทย 4 ล้านคน โดยมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 50,000-85,000 ต่อคน กลุ่ม Gen Z ที่เปิดกว้างสนับสนุนความเท่าเทียม ให้ความสำคัญกับ Brand value แบรนด์ดัง Global & Local ผลิต Collectible items ช่วง Pride Month อาทิ สายกิน: Daisen กับเมนูซูชิสีรุ้ง, ไอศกรีม Guss Damn Good พิเศษเฉพาะเทศกาลไพรด์ (เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล ลาดพร้าว), สายแฟชั่น: พบกับไอเท็ม Pride คอลเลคชั่น สุดว้าวจาก Adidas, Calvin Klein, Casetify, CPS CHAPS, Guess, Nike, Comma And มัลติแบรนด์คอนเซ็ปต์สโตร์แห่งใหม่ล่าสุดที่เซ็นทรัลเวิลด์ รวมถึง LEGO และแบรนด์อื่นๆ อีกมากมาย 3.ชู Pride Highlight ตอบโจทย์ทุก GEN ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ สร้างปรากฏการณ์ PRIDE ทั่วประเทศ ตลอดเดือนมิถุนายน 2566 ให้ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเป็น Trendsetter ของทุกจังหวัด โดยมีไฮไลต์พิเศษมากมาย อาทิ The Biggest Pride Parade โบกสะบัดธงสีรุ้งใน 8 สาขาทั่วประเทศ อาทิ เซ็นทรัลเวิลด์ จัด 2 งานใหญ่: Pride Fashion Parade จาก Muse by Metinee โดย ลูกเกด เมทินี กิ่งโพยม และศิลปินดัง-นักศึกษากว่า 500 คน และงาน Bangkok Pride 2023 ร่วมกับกรุงเทพมหานครฯ และนฤมิตรไพรด์ ขบวนพาเหรดธงสีรุ้งสุดตระการตาใหญ่ที่สุดในไทยกว่า 8 เมตร ประกาศก้องความหลากหลายและเท่าเทียม โดยขบวน Bangkok Pride2023 จะเคลื่อนตัวจากแยกปทุมวัน ถึงแยกราชประสงค์ พร้อมผู้คนนับแสนที่ร่วมขบวนอย่างยิ่งใหญ่ และโชว์สุดพิเศษ มินิคอนเสิร์ต การฉลองความหลากหลายทางเพศ โดย ผู้ว่าราชการจังหวัด คณะเอก อัคราชฑูต หน่วยงานราชการ และตัวแทนจากชุมชน LGBTQIAN+ ​โดยเซ็นทรัลเวิลด์เป็นไฮไลต์เดสติเนชั่นสุดท้ายฉลองร่วมกัน สมเป็น World’s Best Festive Destination, เซ็นทรัล พัทยา และเซ็นทรัล มารีนา จัดงาน Pattaya International Pride Festival 2023 ไพรด์พาเหรดเลียบชายหาดเมืองพัทยา, Central Phuket Pride For All ไพรด์พาเหรดครั้งแรกใหญ่สุดในภาคใต้​ พร้อมแฟชั่นโชว์ร่วมกับไซม่อนคาบาเร่ต์ และสาขาอื่นๆ อีกมากมาย คือ เซ็นทรัล ขอนแก่น, อุบล, อุดร และสมุย Pride Happening อาทิ Pride Talk ร่วมกับ UNDP และสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย ฟังเสวนาจาก LGBTQIAN+ คนสำคัญในวงการ สร้างแรงบันดาลใจที่เซ็นทรัลเวิลด์, พัทยา, ภูเก็ต, อุดร, ขอนแก่น, เชียงใหม่, ชลบุรี, Pride Competition ชมการประกวด Miss International Queen ชุดประจำชาติ ที่เซ็นทรัลเวิลด์, Pride Market อาทิ centralwOrld ร่วมกับ SpicyDisc และ Tinder แอพหาคู่ที่ฮิตที่สุดในโลก presents "ตลาดโสด MADE WITH PRIDE" 1-4 มิ.ย.66 เป็นต้นและ Pride Concert จากศิลปินดังที่เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล พัทยา, ภูเก็ต, อุบล, ชลบุรี Pride Vibes ชม Installation Art จากศิลปินดัง เตยยี่-ประภัสสร เจ้าของผลงาน Seat the Pride ฉลองความเท่าเทียม ตลอด 2 เดือนเต็มที่เซ็นทรัลเวิลด์ (มิ.ย. - ก.ค. 2566) และ เซ็นทรัล ชลบุรี ในคอนเซ็ปต์งาน "Mirror Mirror: Reflect Yourself” และพลาดไม่ได้ จุดเช็คอินสีรุ้ง Pride Photo landmark ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ พบกับกิจกรรมพิเศษจาก กัลเดอร์มา (ประเทศไทย) ผู้นำนวัตกรรมด้านความงามที่ใหญ่ที่สุดของโลก ปีนี้มีกิจกรรมพิเศษ ที่จะให้ผู้ที่สนใจร่วมโชว์“This is my look” ของคุณเอง โดยผู้โชคดีจะได้รับรางวัล Beauty package มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท จาก 5 คลินิกความงามชั้นนำ  V Square Clinic, Nitipon Clinic, The Klinique, SLC Clinic, KKC Clinic สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่ Facebook page, TikTok “Central Pattana” พร้อมชมขบวนพาเหรดที่เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล พัทยา, มารีน่า, ภูเก็ต, อุบล, และอุดร อยากให้ทุกคนรู้สึกมั่นใจ และเชื่อมั่นในตัวเองว่าสามารถดูดีและมีเสน่ห์  โดยไม่คำนึงถึงเพศหรือเชื้อชาติเป็นตัวเองอย่างแท้จริง ในทุกสถานการณ์ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสุขและความพึงพอใจในการเป็นตัวเองได้อย่างอิสระ   เตรียมพบปรากฏการณ์แลนด์มาร์กสีรุ้งสุดยิ่งใหญ่ กับงาน Thailand’s Pride Celebration 2023 “Pride For All” ตลอดเดือนมิถุนายน นี้ ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ
5 วิธีปล่อยเช่าคอนโด สำหรับมือใหม่ ให้ได้ผู้เช่าแน่นอน

5 วิธีปล่อยเช่าคอนโด สำหรับมือใหม่ ให้ได้ผู้เช่าแน่นอน

ปีนี้ดูเหมือนตลาดคอนโดมิเนียม จะเริ่มกลับมาฟื้นตัวแล้ว ใครที่เป็นเจ้าของคอนโด แล้วไม่อยากอยู่อาศัยเอง หรือซื้อไว้เพื่อการลงทุน และต้องการปล่อยเช่าคอนโด แต่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการปล่อยเช่าคอนโดมาก่อน วันนี้ Reviewyourliving มีคำแนะนำสำหรับมือใหม่อยากปล่อยเช่าคอนโดมาแนะนำ กับ​เทคนิคง่าย ๆ แค่ 5 วิธีก็ปล่อยเช่าคอนโดได้แล้ว 5 วิธี ปล่อยเช่าคอนโด สำหรับมือใหม่  1.ทำห้องให้พร้อมเข้าอยู่ อย่างแรกเลย ห้องพักของเราควรจะพร้อมเข้าอยู่ เพราะผู้เช่ามักจะเลือกเช่าคอนโดที่พร้อมจะหิ้วกระเป๋าเข้าไปอยู่ได้เลย เจ้าของห้องจึงต้องทำให้ห้องพร้อมอยู่ ซึ่งอาจจะไม่ต้องมีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบทุกอย่างก็ได้  แต่ควรมีเท่าที่จำเป็นต่อการอยู่อาศัย ที่สำคัญอุปกรณ์ต้องไม่ชำรุดเสียหาย  และควรมีเฟอร์นิเจอร์พื้นฐานที่จำเป็นต่อการอยู่อาศัย เช่น เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า โต๊ะทำงาน   นอกเหนือจากการมีเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้ว สิ่งที่เราไม่ควรละเลย คือเรื่องของความสะอาด มีการจัดห้องไว้เป็นเรียบร้อย ไม่มีกลิ่นเหม็นอั บหรือฝุ่นเกาะตามเครื่องใช้หรือเฟอร์นิเจอร์ 2.กำหนดราคาเช่าให้เหมาะสม ถ้าคอนโดอยู่ในทำเลที่ดี เดินทางสะดวก โดยเฉพาะใกล้รถไฟฟ้า รวมถึงมีพื้นที่ส่วนกลางที่หลากหลายไว้บริการจะเป็นแต้มต่อในการปล่อยเช่า ​แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เช่ามักใช้เป็นเกณฑ์ ในการพิจารณาเลือกเช่าคอนโด คือ ราคาค่าเช่า ซึ่งเจ้าของคงต้องกำหนดไว้อย่างเหมาะสม ไม่ถูกจนไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน และไม่แพงเว่อร์จนไม่มีคนมาเช่า หลักคิดสำคัญในการปล่อยเช่า มีดังนี้ -ความคุ้มค่าต่อการลงทุน เจ้าของต้องดูอัตราการผ่อนต่อเดือน ราคาที่เราซื้อมา รวมกับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เราเสียไป เช่น ค่าส่วนกลาง ค่าเฟอร์นิเจอร์ แล้วนำมาคำนวณเพื่อที่จะคิดค่าเช่า ว่าต้องการกำไรเท่าไร หรือให้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป -ความเหมาะสมกับกลไกตลาด ต้องดูว่าในโครงการเดียวกัน ขนาดห้องเท่ากัน ปล่อยเช่าราคาเท่าไร หรือในโครงการใกล้เคียงปล่อยเช่าราคาเท่าไร เราเอาข้อมูลประกอบการพิจารณาให้เหมาะสม และคงต้องดูดีมานด์ซัพพลายประกอบด้วย -ความพึงพอใจของเรา บางครั้งเราอาจจะไม่สามารถปล่อยเช่าได้ในราคาที่มีกำไร หรือคุ้มค่ากับเงินลงทุน เพราะคู่แข่งในตลาดเยอะ แต่เราจำเป็นต้องมีรายได้เข้ามาซัพพอตกับการผ่อนคอนโด อาจจะต้องปล่อยเช่าถูกลงหน่อย เพื่อให้มีคนมาเช่า จึงต้องกลับมาตอบคำถามตัวเองว่า เราพอใจในราคาค่าเช่าเท่าไรที่จะรับได้​ 3.รวบรวมข้อมูลคอนโด ขั้นตอนสำคัญในการจะปล่อยเช่าอีกประการ คือ การรวบรวมข้อมูลคอนโดของเรา ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลโครงการ ทำเลที่ตั้ง รายละเอียดต่าง ๆ ภายในโครงการ ที่เป็นจุดน่าสนใจหรือจุดขายในการจะทำให้คนสนใจมาเช่า เหมือนกับความน่าสนใจที่เรามาซื้อโครงการนี้   นอกจากข้อมูลพื้นฐานต่าง ๆ แล้ว เราต้องมีการถ่ายรูปห้อง สภาพภายในโครงการ พื้นที่ส่วนกลาง จุดน่าสนใจต่าง ๆ หากจะให้ดีและถ้าเป็นไปได้ ถ่ายสภาพแวดล้อมโดยรอบโครงการด้วย และสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต​ ใกล้โครงการเราก็ควรบอกไว้ด้วย เช่น จะมีศูนย์การค้าใหม่ หรือเส้นทางรถไฟฟ้าสีใหม่เข้ามา นอกจากถ่ายเป็นภาพนิ่งแล้ว ถ้าจะทำให้น่าสนใจอาจจะมีการถ่ายเป็นคลิปวิดีโอสั้น ๆ ไว้ประกอบด้วยก็ดี ​ 4.ลงประกาศให้เช่า เมื่อเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ไว้ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ก็ถึงเวลาประกาศหาผู้เช่ากันได้แล้ว ซึ่งวิธีการก็ไปตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เปิดให้บริการโพสต์ประกาศได้ฟรี หรือหากจะลงทุนแบบเสียเงินก็ได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของเอง นอกจากเว็บไซต์แล้ว ตามโซเชียลมีเดีย ตามเพจ หรือกลุ่มต่าง ๆ ที่มีพื้นที่ให้โพสต์ข้อมูลได้ฟรี ให้ไปโพสต์ไว้ให้หมด หรือแม้แต่บอร์ดของโครงการที่ห้องนิติบุคคล หรือพื้นที่ส่วนกลางของคอนโด   แต่หากใครมองว่าการประกาศในเว็บช้า ไม่ทันใจ หรือมีโอกาสน้อยที่จะได้ผู้เช่า อาจจะต้องใช้บริการนายหน้าอสังหาฯ หรือเอเย่นต์ต่าง ๆ ที่เป็นมืออาชีพ ก็จะช่วยทำให้มีโอกาสได้ผู้เช่าเร็วขึ้น แต่ก็ต้องยอมเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปด้วย ​ 5.ทำสัญญาเช่าให้ถูกต้อง เมื่อมีผู้สนใจจะมาเช่าห้องของเราแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็เป็นการตกลงทำสัญญาระหว่างเรากับผู้เช่า ซึ่งต้องเตรียมหนังสือสัญญาเช่า เพื่อเซ็นต์ร่วมกัน แต่หากใครให้เอเย่นต์หรือตัวแทนนายหน้า ขั้นตอนการเตรียมเอกสารสัญญาก็เป็นหน้าที่ของตัวแทนนายหน้า หรือเอเย่นต์ที่จะดำเนินการให้เรา แต่สำหรับคนที่ปล่อยเช่าได้ด้วยตนเอง ก็ต้องเป็นผู้เตรียมสัญญาเช่า   โดยหนังสือสัญญาเช่า จริง ๆ สามารถหาได้ตามร้านขายเครื่องเขียนทั่วไป หรือไม่ก็ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ต แต่จะร่างขึ้นมาใหม่ก็ได้ ซึ่งรายละเอียดภายในสัญญาจะต้องเห็นชอบกันทั้ง 2 ฝ่าย และที่สำคัญ ต้องมีการแสดงรายละเอียด และเงื่อนไขภายในสัญญานั้นที่มีรายละเอียด ครอบคลุม และเป็นไปตามมาตรฐานสัญญาเช่า ซึ่งสัญญาเช่าต้องระบุรายละเอียดต่าง ๆ ได้แก่ รายละเอียดเงินจอง ค่าเช่าต่อเดือน กำหนดวันจ่ายค่าเช่า ค่าปรับกรณีจ่ายล่าช้า เงินประกัน เงื่อนไขการคืนเงินประกัน และระยะเวลาที่จะเช่า   ทั้งหมดนี้ก็เป็น 5 วิธี ปล่อยเช่าคอนโด สำหรับมือใหม่ ที่นำเอาไปใช้ได้ไม่ยาก และมีโอกาสที่จะได้ผู้เช่า แต่หากไม่ทันใจ หรือไม่ต้องการจะยุ่งยากในการปล่อยเช่า ก็คงต้องให้มืออาชีพมาช่วย พวกเอเย่นต์หรือนายหน้าอสังหาฯ ซึ่งก็ต้องยอมเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปบ้าง       ที่มา- DDproperty, SCB, ธ.กรุงศรี, moneybuffalo, อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -อยากปล่อยเช่าอสังหาฯ ต้องรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง
อยากปล่อยเช่าอสังหาฯ ต้องรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง  จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง

อยากปล่อยเช่าอสังหาฯ ต้องรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง จะได้ไม่มีปัญหาภายหลัง

ปล่อยเช่าอสังหาฯ การปล่อยเช่าอสังหาฯ หรือคอนโดมิเนียม อาจจะดูเหมือนไม่ได้มีอะไรยุ่งยาก ใครเป็นเจ้าของห้องคอนโด บ้าน หรืออาคารพาณิชย์ก็สามารถปล่อยเช่าได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากอะไร แต่สำหรับมือใหม่ที่อาจจะยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็คงต้องหาความรู้ ศึกษาข้อมูล ขั้นตอนและวิธีการเพื่อให้สามารถปล่อยเช่าได้ค่าเช่าตามที่ต้องการ และถูกต้องตามกฎหมายด้วย ​   โดยเรื่องสำคัญ ที่เจ้าของห้องจะต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย ในการปล่อยเช่าอสังหาฯ เพื่อผลประโยชน์และความเป็นธรรมของทั้ง 2 ฝ่าย  นั่นก็คือ การทำสัญญาเช่า ที่จะต้องมีรายละเอียดที่ครอบคลุม ชัดเจน และยอมรับด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ตามที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญา เพราะหนังสือสัญญาเช่า จะนำมาใช้เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญานั่นเอง หากไม่ทำก็ไม่สามารถฟ้องร้องกันได้ วันนี้ Reviewyourliving จึงจะมาเล่าให้ฟังว่า หนังสือสัญญาเช่ามีรูปแบบอย่างไรบ้าง ​ การ ปล่อยเช่าอสังหาฯ      การทำสัญญาเช่า จะมีรายละเอียด และข้อปฏิบัติที่แตกต่างกันไป ตามระยะเวลาเช่าที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งมี 2 รูปแบบ ดังนี้ คือ ​​ 1.สัญญาเช่าแบบไม่เกิน 3 ปี การทำสัญญาเช่าที่มีระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี โดยอาจเป็นได้ทั้งสัญญาเช่าคอนโด 1 ปี สัญญาเช่าคอนโด 6 เดือน หรือแบบอื่น ๆ ที่ไม่เกิน 3 ปี กฎหมายระบุว่า กรณีเช่าแบบนี้ต้องมีการลงลายมือชื่อ ทั้งผู้เช่าและผู้ให้เช่า และหากไม่มีหนังสือสัญญาเช่า หากเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำผิดสัญญา ก็ไม่สามารถฟ้องร้องกันตามกฎหมายได้ 2.สัญญาเช่าแบบเกิน 3 ปี  กฎหมายไทยให้ทำสัญญาเช่าได้สูงสุดไม่เกิน 30 ปี  ซึ่งกรณีที่มีการทำสัญญาเช่ากินกว่า 3 ปี ขึ้นไป หรือตลอดอายุของผู้เช่า/ผู้ให้เช่า กฎหมายกำหนดไว้ว่า ต้องทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือ และยังต้องไป “จดทะเบียนการเช่า” และต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน ในอัตรา 1% โดยติดตามค่าเช่าตลอดเวลาที่เช่าหรือเงินกินเปล่า หรือทั้งสองอย่างรวมกัน   โดยมีกฎหมายที่มาบังคับใช้ คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538  ที่ระบุไว้ว่า การทำเป็นหนังสือ คือ เอกสารที่มีลายมือชื่อของคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก ต่างจากหลักฐานเป็นหนังสือ ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้รับผิดเพียงคนเดียวเท่านั้น และที่สำคัญต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วย จึงจะมีผลบังคับใช้ได้ตามกฎหมายตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นต้นไป แต่ถ้าหากว่าไม่ได้ไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ดิน แต่มีสัญญาเช่าก็จะมีผลบังคับทางกฎหมายได้เพียง 3 ปี เท่านั้น ในหนังสือสัญญาจะต้องมีการระบุรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคที่ผู้เช่าแยกจ่ายเองตามจริง ต้องระบุให้ชัดเจนว่าผู้เช่าต้องจ่ายอะไรบ้าง ข้อกำหนดของคอนโดแห่งนั้น เช่น ห้ามเลี้ยงสัตว์ ห้ามสูบบุหรี่ รายการเฟอร์นิเจอร์ และสิ่งของทั้งหมดที่เรา นำมาไว้ให้ผู้เช่าได้ใช้  หากสูญหาย หรือชำรุด เวลาคืนห้องตอนหมดสัญญาเช่าด้วย จะต้องหาซื้อมาคืน หรือชำระเป็นเงินตามมูลค่า​ เงื่อนไขอื่น ๆ เช่น ห้ามต่อเติม เปลี่ยนแปลงห้องพัก การซ่อมแซมบำรุง​​เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในห้อง ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ อย่างเช่นการล้างแอร์ประจำทุก 6 เดือน อีกเรื่องที่มีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องกับการปล่อยเช่า คือ เจ้าของห้องไม่สามารถ ปล่อยเช่า​คอนโดแบบรายวันได้ เพราะถือว่าผิดกฎหมาย ที่เป็นกฎข้อบังคับเกี่ยวกับโรงแรม ที่ระบุว่า อาคารหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของอาคารที่ปล่อยเช่าเพื่อพักอาศัยเป็นรายวัน เข้าข่ายโรงแรม ต้องขอจดทะเบียนเป็นโรงแรม ซึ่งกรณีที่เป็นโครงการคอนโดจะจดทะเบียนเป็นโรงแรมไม่ได้  นอกจากนี้ ยังขัดกับกฎหมายเกี่ยวกับอาคารชุดที่ระบุว่า ห้ามนำห้องชุดไปจดทะเบียนเป็นโรงแรม เนื่องจากไม่ใช่เจ้าของคนเดียว และถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น เป็นต้น     หมายเหตุ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเช่า -ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจการให้เช่าอาคารเพื่ออยู่อาศัยเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2562 -กฎกระทรวงกำหนดประเภทและหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. 2551   ที่มา- ราชกิจจานุเบกษา, thebkkresidence.com​   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -สูตรคำนวณผลตอบแทน ก่อนปล่อยเช่าคอนโด  
เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย?

เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย?

เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย?  มาไขคำตอบกัน เพราะแม้ว่าเดือนเมษายน ซึ่งเป็นเดือนที่ประเทศไทยร้อนที่สุดแห่งปี ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมืองไทยจะมีอากาศเย็น เมืองไทยยังคงร้อนเป็นปกติ ซึ่งนั่นหมายความว่า เรายังคงต้องพึ่งพาการเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือพัดลม เพื่อช่วยทำให้ห้องเย็น ทำให้เรายังต้องเสียเงินค่าไฟฟ้าที่สูงอยู่ดี   แต่ก็ยังนับว่าเรายังโชคดี ที่ช่วงระยะเวลา 4 เดือนนี้ คือ พฤษภาคม-สิงหาคม รัฐบาลออกมาตรการมาช่วยลดภาระค่าไฟ จากราคาค่าไฟที่ปรับขึ้นมาแล้ว ดังนั้น แนวทางสำคัญที่จะช่วยลดภาระให้กับเงินในกระเป๋าเราได้ คือ การใช้ไฟอย่างคุ้มค่า หากสามารถประหยัดไฟได้ก็ต้องทำ โดยเฉพาะการเลือกแอร์ที่ประหยัดไฟได้ตั้งแต่ต้น รวมถึงการเลือกติดแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดของห้องด้วย เปิดแอร์ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไร แล้วรู้หรือไม่ว่า แอร์ที่มี BTU แตกต่างกัน เราต้องเสียค่าไฟชั่วโมงละกี่บาท หากคิดตามราคาค่าไฟที่หน่วยละ 2.3488 บาท (อัตราค่าไฟ 1-15 หน่วยแรก) แอร์ 12000 BTU เสียค่าไฟ ชั่วโมงละ 1.37 บาท แอร์ 18000 BTU เสียค่าไฟ ชั่วโมงละ 1.88 บาท ดังนั้น ถ้าจะหาว่าเดือนหนึ่งเราเสียค่าไฟกี่บาท ก็ให้คูณจำนวนชั่วโมงที่เปิด คูณจำนวนวันที่เปิดใช้ และในบ้านมีแอร์กี่เครื่องก็นับรวมกัน จะเป็นค่าไฟที่ต้องเสียแต่ละเดือน แต่ทั้งนี้ ราคาที่เราคำนวณมาให้เป็นค่าไฟโดยประมาณ อาจจะต้องพิจารณาจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น การดูแลรักษาแอร์ เทคโนโลยีของแอร์ ระบบแอร์รุ่นใหม่หรือเก่า เป็นต้น   (หมายเหตุ -ค่าไฟดังกล่าว คำนวณจากแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์, ราคายังไม่รวมค่าบริการ 8.19 บาท ค่า Ft หน่วยละ 0.9827 บาท และค่า Vat 7%) เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย? ตามคำแนะนำของการไฟฟ้าที่ออกมาระบุว่า หากต้องการประหยัดไฟ ให้เปิดแอร์ที่ระดับ 27 องศา ควบคู่กับการเปิดพัดลม จะช่วยประหยัดไฟได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นความจริง เนื่องจากมีงานวิจัย จากดร.มานพ แจ่มกระจ่าง จากมหาวิทยาลัยบูรพา ทำการศึกษาทางเลือกการตั้งอุณหภูมิเคลื่องปรับอากาศที่เหมาะสมเพื่อการประหยัดพลังงาน ด้วยการเปิดแอร์ในระดับอุณหภูมิ 25-27 องศา กับแอร์ที่มีขนาด BTU 9000-18000 พบว่าถ้าตั้งอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศา จะประหยัดไฟเฉลี่ย 20%   ดังนั้น ถ้าหากใครต้องการประหยัดค่าไฟ จากการเปิดแอร์ให้ลดลง ก็อาจจะต้องเปิดพัดลมช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง แต่ทางที่ดี เราควรเลือกแอร์ที่มีประสิทธิภาพประหยัดไฟได้สูงสุดเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะทำการติดตั้งแอร์ แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่ารุ่นทั่วไปก็ตาม รวมถึง หากติดตั้งแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ ก็พบว่าสามารถประหยัดไฟได้ดีกว่าแอร์ปกติถึง 30-35% ด้วย และเราคงต้องดูแลรักษาแอร์ให้อยู่ในสภาพที่ดี ล้างแอร์เป็นประจำตลอดอายุการใช้งาน   ที่มา- การไฟฟ้านครหลวง, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, ช่างสามัญประจำบ้าน   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -แอร์ส่งกลิ่นเหม็นอับ ทำไงดี  
เปิด พฤติกรรมการกิน ของคนไทย สู่คนอ้วนอันดับ 2 ของอาเซียน ​

เปิด พฤติกรรมการกิน ของคนไทย สู่คนอ้วนอันดับ 2 ของอาเซียน ​

พฤติกรรมการกิน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบ้านเรามีร้านบุฟเฟ่ต์สารพัดชนิด หรือจำนวนมากเกินไปหรือเปล่า จึงทำให้คนไทยติดอันดับ 2 ของคนที่มีภาวะโรคอ้วนมากที่สุดในอาเซียน เป็นพลจาก พฤติกรรมการกิน ของคนไทยที่ทำให้ติดอันดับนี้ ข้อมูลล่าสุดเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา บ้านเรามีคนที่เป็นโรคอ้วนมากถึง 26 ล้านคน หรือสัดส่วน 46.2% ของคนไทยทั้งประเทศ   ถามว่าเมื่อมีคนเป็นโรคอ้วนแล้วมีปัญหาอะไรตามมา อย่างที่เห็นชัดเจน ก็คือ ภาวะโรคแทรกซ้อน และโรคที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อาทิ ความดัน ไขมัน ความหวาน หัวใจ เป็นต้น ซึ่งก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล และระบบสาธารณสุข ยังไม่นับรวมกับการสูญเสียแรงงานที่จะเข้ามาสู่ระบบในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีก ประเมินตัวเลขความสูญเสียทางเศรษฐกิจไทยน่าจะมากกว่า 2 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน​1.27% ของ GDP เลยทีเดียว   โดยล่าสุด นักศึกษาปริญญาโท สาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ​ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างประชาชนและวิเคราะห์ข้อมูลงานวิจัยเรื่อง “What If Marketing การตลาดสามมิติสู่การเปลี่ยนแปลง” เพื่อศึกษาพฤติกรรม ทัศนคติและความเชื่อในการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การดูแลสุขภาพจิต และการบริโภคสินค้าเพื่อความยั่งยืน ในแต่ละกลุ่มช่วงอายุ เพศ สู่การคิดค้นกลยุทธ์การตลาดใหม่ที่ให้ความสำคัญต่อ “สุขภาพ-ชีวิต-อนาคต ที่ดีกว่า”โดยเจาะสำรวจกลุ่มตัวอย่าง รวมจำนวน 1,130 ตัวอย่าง แบ่งเป็น โดยพบปัญหาพฤติกรรมเชิงลบของคนไทยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การดูแลสุขภาพใจ และการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่ง Reviewyuorlivig ได้นำประเด็นการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มาฉายภาพให้เห็นว่า ทำไมคนไทยถึงติดอันดับ 2 ที่มีคนอ้วนมากที่สุดในอาเซียน พฤติกรรมการกิน ของคนไทย หลังโควิด-19 โดย พฤติกรรมการกิน ของคนไทยหลังเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้คนไทยน้ำหนักเพิ่ม จากข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ มีดังนี้ กินน้ำหวานมากขึ้น                       18.7% กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากขึ้น        18.3% กินอาหารกระป๋องมากขึ้น            15.6% กินขนกรุบกรอบมากขึ้น               13.6% กินลไม้ลดลง                                 10.5% กินผักน้อยลง                                 8.3% กินขนมหวานหรือลูกอมมากขึ้น    6.8% ขณะที่นางสาวจันทร์กานต์ เบ็ญจพร นักศึกษาปริญญาโท วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า คนไทยมีความต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารให้ดีต่อสุขภาพ แต่ก็ยังพบปัญหาด้านราคาที่สูงกว่าปกติ การหาซื้อที่ยาก และอาหารสุขภาพก็ไม่อร่อย สู้อาหารอื่นไม่ได้   ส่งผลให้ผลการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 1,000 คน พบว่า ปัจจุบันคนไทยยังมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพเพียง 17.09% ของค่าใช้จ่ายการกินอาหารทั้งหมดเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ยังพบว่าเทรนด์การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ (Better Food for Better Health) ก็มีอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคต้องการเ​รักษาและคงสุขภาพระยะยาว ต้องการเสริมภาพลักษณ์ และ ต้องป้องกันโรค โดยประเภทอาหารที่ดีต่อสุขภาพ พบว่า 5 อันดับแรกที่พูดถึงมากที่สุด คือ อาหารออร์แกนิค (Organic) อาหารโลว์คาร์บ (Low Carb) อาหารโพรไบโอติกส์-พรีไบโอติกส์ (Prebiotic/Probiotic) อาหารแพลนต์เบสด์ (Plant-Based) และ อาหารคีโตวีแกน (Keto Vegan) ขณะที่คุณลักษณะของอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ผลวิจัยพบว่า อาหารที่ปลอดสารพิษและยาฆ่าแมลงมาเป็นอันดับสูงสุด รองลงมาคือ อาหารโซเดียมต่ำ และอาหารไขมันต่ำ กลยุทธ์ LIFE สร้างชีวิตให้ดีขึ้น จากปัญหาที่พบจากงานวิจัยดังกล่าว ทางทีมวิจัยจึงได้คิดค้น กลยุทธ์แห่งชีวิตที่จะสร้างชีวิต สังคม และแบรนด์ให้ดีขึ้น เรียกว่า “LIFE” (ไลฟ์) เพื่อนำเสนอกลยุทธ์ใหม่ต่อนักการตลาด ผู้ประกอบการ ตลอดจนเจ้าของธุรกิจกลุ่มอาหาร และสุขภาพ ในการสร้างแรงจูงใจและการสื่อสาร ที่จะทำให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้นในระยะยาวและสร้างโอกาสต่อธุรกิจอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงเน้นการขายของอย่างเดียวดังนี้ L: Less is more - ลดบางอย่างน้อยลงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น แบรนด์สามารถลดส่วนประกอบบางอย่าง เพื่อให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีขึ้น รวมถึงลดการใช้สิ่งที่ไม่จำเป็นบางอย่างในการผลิต เพื่อทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ในมุมของผู้บริโภคก็ต้องพยายามลดการรับประทานอาหารบางอย่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน I: Image – ภาพลักษณ์แบรนด์เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องสร้างความเชื่อต่อผู้บริโภค แบรนด์ควรสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภคในแง่การผลิตสินค้าหรือบริการที่มีความใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกันผู้บริโภคต้องการใช้สินค้าหรือบริการที่เสริมภาพลักษณ์ตนเองให้ดูดีขึ้นเช่นกัน เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร หรือผลิตภัณฑ์กลุ่มอื่นๆ ที่มีความใส่ใจถึงผลดีต่อโลกอย่างแท้จริง F: Fear – ความกลัวเป็นจุดที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลง ทุกคนย่อมมีความกลัว ฉะนั้นแบรนด์ต้องเล่นกับความกลัว โดยสร้างสินค้าหรือบริการให้ตอบโจทย์การแก้ปัญหาความกลัวและสร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภค สามารถใช้การสื่อสารเน้นย้ำให้เห็นผลเสียชัดเจนได้ หรือสื่อสารด้านคุณประโยชน์ที่จะได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือการเปลี่ยนสินค้าว่า ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อสินค้าและบริการของเรา E: Experience - การทำให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับประสบการณ์ความเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีไม่น่ากลัวอย่างที่คิด โดยแบรนด์สามารถสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าสัมผัสจริงได้ไม่ยาก เช่น การทดลองใช้ หรือทดลองชิม เมื่อผู้บริโภคค่อยๆ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทีละน้อย ก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต และทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทำได้ไม่ยากและผลลัพธ์ที่ได้ดีต่อตนเองมากกว่าก่อนหน้านี้ สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องโรคอ้วน ก็คงต้องหันมาปรับ พฤติกรรมการกิน  หันมาดูแลตัวเองกันให้มากขึ้นแล้ว ส่วนใครที่มองเห็นว่า พฤติกรรมการกินของคนไทยที่แย่ลงแบบนี้ แล้วจะสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ ก็คงต้องรีบผลิตสินค้าและบริการออกมารองรับแล้ว เพื่อให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -6 สูตรลับ ปรับกลยุทธ์ธุรกิจอาหารต้องรอดในยุคโควิด-19  -4 แอปสั่งอาหาร อิ่มแบบจุกๆ ส่งฟรี มีโปรฯ แถมสิทธิ์คนละครึ่ง
ทอสเท็ม ฉลอง 100 ปี ตั้งเป้าโต 20%  เดินหน้าขยายโชว์รูมบุกตลาดคอนซูเมอร์

ทอสเท็ม ฉลอง 100 ปี ตั้งเป้าโต 20% เดินหน้าขยายโชว์รูมบุกตลาดคอนซูเมอร์

ทอสเท็ม (TOSTEM) ฉลองครบรอบ 100 ปี การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมสำเร็จรูป  รุกตลาดปี 2566 เปิดตัวนวัตกรรมสีใหม่ “DUSK GRAY” ชูจุดเด่นด้วยเทคโนโลยีหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมการชุบสีอะลูมิเนียมด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD พร้อมขนทัพนวัตกรรมเรือธงและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซกเมนต์ พร้อมเดินหน้าขยายโชว์รูมครอบคลุมทั่วประเทศ จับตลาดคอนซูเมอร์ ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 20%   นายวิชา วรสายัณห์ ลีดเดอร์ กลุ่มธุรกิจเฮาส์ซิ่งเทคโนโลยี บริษัท แอล เอช ที เอเซีย เซลส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมแบรนด์ ทอสเท็ม (TOSTEM)  เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ว่า หลังจากเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ลูกค้ามาอย่างยาวนานถึง 100 ปีในประเทศญี่ปุ่น และครบ 40 ปีในการตั้งโรงงานประเทศไทย ถึงเวลาก้าวเข้าสู่ศตวรรษใหม่ในปีนี้พร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำ ในงานสถาปนิก’66 (Architect Expo 2023) งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน ด้วยการเปิดตัวนวัตกรรมสีใหม่ “DUSK GRAY” ซึ่งเป็นนวัตกรรมล่าสุดและหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมการชุบสีอะลูมิเนียมด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD   นอกจากนี้ บริษัทได้ขนทัพนวัตกรรมเรือธงและผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ GRANTS ดีไซน์ใหม่ เพื่อเปิดมุมมองให้ลูกค้าได้มีความสุขกับทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างเต็มสายตา GRANTS Corner Sliding Doors นวัตกรรมโซลูชั่นที่มอบทิวทัศน์แบบพาโนรามาที่ไร้สิ่งกีดขวาง ขยายขนาดพื้นที่พักผ่อนด้วยบานเลื่อนเข้ามุมที่เลื่อนเปิดบานออกโดยไม่เหลือเสามุมบดบังสายตา ผลิตภัณฑ์ประตูบานเลื่อนเข้ามุมบนรางเรียบ ดีไซน์เพื่อเชื่อมต่อสเปซภายในและภายนอกตัวบ้านด้วยดีไซน์แบบเข้ามุมที่เลื่อนเปิดออกได้โล่ง เหมาะสำหรับพื้นที่พักผ่อน ที่ได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ และรับแสงสว่างธรรมชาติได้สูงสุด กลุ่มผลิตภัณฑ์ ATIS กับ Streamline Design ดีไซน์ไร้รอยต่อที่มาพร้อมกับ อุปกรณ์อันสวยงาม เส้นกรอบ พื้นผิวกรอบประตูหน้าต่างและการใช้งานทำงานร่วมกันอย่างนุ่มนวล และบานหน้าต่างรูปแบบใหม่ที่สามารถใช้งานได้สะดวกมากขึ้น รวมถึง Smart Insect Screen นวัตกรรมมุ้งลวดล่องหน ที่ช่วยป้องกันแมลงและมลพิษจากภายนอกมุ้งลวดที่สามารถเพิ่มการมองเห็น เชื่อมต่อพื้นที่ภายในและภายนอกได้มากขึ้น โดยทอสเท็มพร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษและกิจกรรมทางการตลาดมาร่วมในงานสถาปนิก’66 ครั้งนี้กับส่วนลด 10% สำหรับทุกผลิตภัณฑ์ของทอสเท็มและลุ้นรับตั๋วเครื่องบิน (ไป-กลับ) ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 5  รางวัล / รางวัลละ 2 ที่นั่ง   นายวิชา กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ได้ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 20% จากปีที่แล้ว โดยในช่วงสถานการณ์ก่อนโควิด-19 ระบาด รายได้ส่วนใหญ่ของทอสเท็มประมาณ 80% มาจากตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบโครงการหรืออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ แต่หลังวิกฤตโควิด-19 เริ่มมีสัดส่วนรายได้จากตลาดลูกค้าที่อยู่อาศัยรายย่อยเพิ่มมากขึ้น จาก 20% เป็น 30% ของยอดขายทั้งหมด   ทั้งนี้ ทางทอสเท็มวางแผนที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าอยู่อาศัย (Retails) มากขึ้น พร้อมขยายส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มรายได้สูง  Upper mass – Luxury segment เพราะพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป คืออยู่บ้านมากขึ้นจึงเลือกมองหาอุปกรณ์ในบ้านเอง ได้เลือกซื้อ สัมผัส ทดลอง และเห็นสินค้าจริงเพื่อนำไปปรับปรุงบ้านให้อยู่อาศัยอย่างสะดวกสบายมากขึ้น  ซึ่งทอสเท็มได้วางแผนกลยุทธ์การตลาดที่จะขยายสัดส่วนลูกค้ารายย่อยกลุ่มนี้ต่อไป   ทอสเท็มได้เพิ่มช่องทางการเข้าถึงให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อ สัมผัส ทดลอง และเห็นสินค้าจริงผ่าน TOSTEM Flagship Showroom โดยปัจจุบันทอสเท็มมีโชว์รูมและเดโม่รูมอยู่ในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองทั้งหมด 4 แห่ง ได้แก่ ทอสเท็มแฟลกชิปโชว์รูม (TOSTEM Flagship Showroom) ที่คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์, ทอสเท็มโชว์รูม ในบุญถาวร สาขาราชพฤกษ์,  ทอสเท็ม เดโม่รูมในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดภูเก็ต รวมถึงยังผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจขยาย TOSTEM Studio ที่บริหารโดยตัวแทนจำหน่าย ขยายโชว์รูมในพื้นที่จริงให้ครอบคลุมในต่างจังหวัดโดยเน้นหัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยว เพื่อหวังขยายตลาดลูกค้ากลุ่มที่อยู่อาศัย, รีสอร์ท และบริษัทรับสร้างบ้านในพื้นที่ดังกล่าว โดยขณะนี้ได้ทำการเปิด TOSTEM Studio ไปแล้ว 4  แห่ง ในจังหวัดปทุมธานี พิษณุโลก อุดรธานี และขอนแก่น และมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 10 แห่ง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย อุบลราชธานี นครราชสีมา กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง กาญจนบุรี เพชรบุรี สงขลา โดยคาดภายในสิ้นปี 2566 ทอสเท็ม จะสามารถขยายโชว์รูมครอบคลุมได้ครบทั่วทุกภูมิภาคทั่วประเทศ   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] ทอสเท็มเปิดตัว “ATIS” นวัตกรรมประตูหน้าต่างรวม 2 ฟังก์ชั่นในหนึ่งบาน
[PR News]โฟกัส มีเดีย​ ลุยสื่อโฆษณาในลิฟท์ออฟฟิศ-คอนโด  เดินหน้าสร้างกำไร ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์

[PR News]โฟกัส มีเดีย​ ลุยสื่อโฆษณาในลิฟท์ออฟฟิศ-คอนโด เดินหน้าสร้างกำไร ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์

โฟกัส มีเดีย เดินหน้ารุกตลาดโฆษณาในลิฟท์ทั้งออฟฟิศ-คอนโด  เผยผลงานไตรมาสแรกปีนี้ก้าวกระโดดมั่นใจถึงปลายปีกวาดยอด 250 ล้าน  วางเป้าหมายทำกำไรต่อเนื่อง ปูทางเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์   นายเลมอน ลี รองประธานฝ่ายขาย บริษัท โฟกัส มีเดีย (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำด้านสื่อโฆษณาในและนอกลิฟท์ (Lift Advertising / Elevator Media) อาคารสำนักงานและคอนโดมิเนียม  เปิดเผยว่า  ตลาดที่ประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว  นับจากเดือนกรกฎาคม 2565 ที่มีสื่อโฆษณา 3,000 จอ ถึงปี 2566 ไตรมาสแรก จำนวนสื่อทะลุเกิน 10,000 จอ  เป็นผลจากการขยายทีมงานจากแค่ 20 คน เป็นประมาณ100 คนทำให้บุกตลาดได้มากขึ้น   ปี 2565 มียอดขายทั้งปี 20 ล้านบาท  ปี 2566 ไตรมาสแรกยอดขายทะลุ 20 ล้านบาทไปแล้ว  จึงตั้งเป้าหมายทั้งปีไว้ที่ 250 ล้านบาท ซึ่งค่อนข้างมั่นใจว่าจะทำได้เมื่อขยายทีมงานได้เพียงพอ  และเชื่อในBusiness Model จากประสบการณ์ 20 ปีในจีน โควิดไม่มีผลต่อตลาดมากนักเพราะ INDOOR MEDIA ไม่เหมือน OUTDOOR MEDIA แม้ช่วงล็อคดาวน์ยังไงก็ต้องใช้ลิฟท์  ความจริงเป็นโอกาสของINDOOR MEDIA ด้วยซ้ำ  มีผลให้ตลาดเติบโตในช่วงนี้อย่างไรก็ตาม ​ตอนนี้บุคลากรยังไม่พอเพียงสำหรับการเจาะตลาดและการติดตั้งจอในช่วงไตรมาสสองจึงต้องปรับจังหวะให้เหมาะสม  เป้าหมายถึงสิ้นปีคือ 15,000 – 18,000 จอ  โดยจะมุ่งเป้าอาคารสำนักงานขนาดใหญ่  ไฮเปอร์มาร์เก็ตของค่ายต่างๆทั่วประเทศ   หัวเมืองสำคัญอาทิจังหวัดชลบุรีที่มีอยู่แล้ว 700 จอ  จะขยายตลาดให้ถึง 5,000 จอ  ส่วนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ก็ยังมีโอกาสอีกมากเพราะประเมินว่ามี INDOOR MEDIA ไม่ถึง 50,000 จอ   ทั้งนี้ จอโฆษณาเดิมมีขนาด 21 นิ้ว  ตั้งแต่ปี 2565 ได้เปลี่ยนให้เด่นชัดขึ้นเป็นขนาด 25-32 นิ้ว ฉายวิดีโอได้  จอโฆษณานี้มีทั้งในลิฟท์ นอกลิฟท์ และลิฟท์ที่จอดรถ   นายเลมอน ลี กล่าวอีกว่า 4 ปัจจัยสนับสนุนการตลาดของโฆษณาในลิฟท์  ได้แก่  1.กลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 20,000 บาท และเป็นกลุ่มคนทำงานในเมืองที่อาศัยอยู่ในคอนโด  คือผู้ใช้ลิฟท์ที่มีโอกาสเห็นจอโฆษณามากที่สุด  2. มีเส้นทางการเดินทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตประจำวันที่ต้องใช้ลิฟท์ในคอนโด​ และอาคารสำนักงาน  3. ลิฟท์ คือ พื้นที่ปิด  คนเข้าลิฟท์ไม่รู้จักกัน  มีแต่จอโฆษณา ความสนใจอยู่ที่จอเท่ากับถูกบังคับให้ดู 4-8 ครั้งต่อวัน  และ 4.ในพื้นที่ปิด ด้วยความถี่ที่สูงทำให้เกิดประสิทธิภาพต่อการรับรู้ได้เป็นอย่างดี ในชีวิตประจำวันแม้สายตาจะถูกดึงดูดจากป้ายโฆษณาและโทรศัพท์มือถือ  แต่ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่เป็นที่จดจำ  ในขณะที่ลิฟท์คือสิ่งที่ต้องเผชิญตั้งแต่เริ่มงานจนเลิกงาน  สำหรับ ตลาดโฆษณาในไทยมีมูลค่าประมาณ 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือประมาณ 100,000 ล้านบาท​ แบ่งเป็นสื่อโทรทัศน์ 50%  สื่ออินเตอร์เน็ท 20%   สิ่งพิมพ์และโรงภาพยนตร์ 10% สื่อ Out of Home (OOH) 10-12%   ซึ่งงานของโฟกัส มีเดียอยู่ในกลุ่ม OOH  โดยตลาดโฆษณาของไทยวันนี้เหมือนกับตลาดจีนเมื่อ 10-15 ปีก่อน   นายเลมอน กล่าวในตอนท้ายว่า  เป้าหมายของบริษัทคือต้องการแชร์ส่วนแบ่งการตลาด 2-3%  เมื่อต้นปีซีอีโอของโฟกัส มีเดียจากประเทศจีนมาประชุมกับทีมงานไทย  มีการคุยกันถึงการเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย  นั่นหมายถึงต้องทำกำไรต่อเนื่อง 3 ปี และต้องมียุทธศาสตร์ในระยะยาวซึ่งบริษัทกำลังหาผู้ร่วมงานด้านการเก็บและวิจัยข้อมูลมาช่วยสร้างความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น   อนึ่ง บริษัท โฟกัส มีเดีย(ประเทศไทย) จำกัด  อยู่ในเครือของบริษัท โฟกัส มีเดีย ประเทศจีน  ซึ่งบริษัทแม่ที่จีนนั้นมีส่วนแบ่งการตลาดในจีนเกินกว่า 1 แสนล้านหยวน(5 แสนล้านบาท)  มียอดขาย 16,000 ล้านหยวนต่อปี  ปี2548 จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แนสแด็กที่สหรัฐอเมริกา  ปี2549 ติดท็อป100ของแนสแด็ก  ปี2558 ถอนจากตลาดแนสแด็กไปจดทะเบียนที่ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น  สาธารณรัฐประชาชนจีน   ปี 2560  โฟกัส มีเดีย เริ่มขยายออกต่างประเทศในแถบเอเชียที่เกาหลีใต้ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย และไทย  ปี 2564 สาขาเกาหลีใต้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  เป็นจุดเปลี่ยนให้บริษัทแม่ที่จีนให้ความสำคัญต่อตลาดต่างประเทศมากขึ้นทั้งด้านเงินทุนและบุคลากร  โดยเฉพาะในสิงคโปร์และไทยที่มีตลาดหลักทรัพย์   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -5 โซลูชั่น “S-E-N-S-E” การออกแบบการพัฒนาเมือง กับวิถีชีวิต The Next Normal
“ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” เปลี่ยนไป  ปรับ 4 โซนใหม่ ครั้งใหญ่รอบ  30 ปี

“ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” เปลี่ยนไป ปรับ 4 โซนใหม่ ครั้งใหญ่รอบ  30 ปี

ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า ฉลองครบรอบ 30 ปี ทุ่มงบกว่า 400 ล้าน อวดโฉมใหม่ “ศูนย์กลางธุรกิจ – ไลฟ์สไตล์ชอปปิ้ง - บ้านพักอาศัย” ใจกลางเกาะรัตนโกสินทร์ บนสุดยอดทำเลการค้า “พาหุรัด – ตรีเพชร – เจริญกรุง - บูรพา” ดึงแบรนด์ดังเสริมทัพส่วนพลาซ่า และศูนย์อาหาร เติมสีสันวิถีชีวิต ดันกราฟธุรกิจเติบโตมั่งคั่งและยั่งยืน   นายอภิชัย สิริดำรงพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจอาคารพาณิชย์ บริษัท สยามสินธร จำกัด  เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งมั่นพัฒนา “ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” ให้เป็นศูนย์กลางการค้าและชอปปิ้งของผู้คนทั้งในกรุงเทพฯ และคนต่างจังหวัด ที่เดินทางเข้ามาติดต่อธุรกิจกับร้านค้าพันธมิตร ซึ่งภาพความสำเร็จดังกล่าวได้เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานร่วม 30 ปี นับตั้งแต่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี 2536 เป็นต้นมา และในครั้งนี้จะเป็นอีกก้าวที่สำคัญกับแผนพัฒนา  “ปรับโฉม” ดิโอลด์ สยาม พลาซ่า ให้เป็นศูนย์กลาง “ธุรกิจ  -ไลฟ์สไตล์ชอปปิ้ง - บ้านพักอาศัย” ให้เต็มไปด้วยสีสันและประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้คนในย่านนี้ และรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี มิกซ์ยูสที่เป็นมิตรใกล้ชิดย่านการค้า “ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” แหล่งธุรกิจที่มีเอกลักษณ์ และเจริญมั่นคงมายาวนาน เป็นศูนย์รวมร้านทองส่ง แหล่งผลิตเครื่องประดับ เพชร ปืน ผ้าไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ นำเข้าผ้าลูกไม้จากต่างประเทศ ศูนย์รวมอาหาร ขนมไทยที่ขึ้นชื่อ และบ้านพักอาศัยที่อยู่สบายใจกลางเมืองติดรถไฟฟ้า นับเป็นโครงการมิกซ์ยูสแห่งแรกบนเกาะรัตนโกสินทร์ และเป็นพลาซ่าที่ใหญ่ที่สุดในทำเลนี้ บนที่ดิน 13.61 ไร่ ซึ่งเดิมเป็นตลาดมิ่งเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นย่านการค้าหลักของกรุงเทพฯ อย่างยาวนาน   ด้วยความโดดเด่นของทำเลที่ตั้ง อยู่ติดกับถนนสายการค้าทั้ง 4 ด้าน คือ พาหุรัด ตรีเพชร เจริญกรุง บูรพา ทำให้มีผู้คนไหลเวียนเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวชม สถานที่สำคัญใกล้เคียง อาทิ พระบรมมหาราชวังฯ วัดพระแก้ว ชมการแสดงโขนที่ศาลาเฉลิมกรุง แวะทานอาหารและขนมไทยที่ศูนย์การค้าฯ นอกจากความเป็นเอกลักษณ์ของย่านการค้าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และความหลากหลายของสินค้าและบริการ เช่น ผ้าไหม ร้านเพชร และขนมไทยที่หาทานได้ยากจะรวมอยู่ที่นี่แล้ว ในด้านการเดินทางมีความสะดวกสบาย ทั้งโดยรถยนต์ส่วนตัว ซึ่งทางศูนย์การค้าฯ มีบริการที่จอดรถมากกว่า 1,100 คัน หรือสะดวกสบายเดินทางโดยรถไฟฟ้า MRT สถานีสามยอด แลนด์มาร์ค "ธุรกิจ – ไลฟ์สไตล์ชอปปิ้ง - เรสซิเดนซ์" แผนพัฒนา “ดิ โอลด์ สยาม” เดินหน้าปรับพื้นที่ภายในและภายนอกทั้งหมด ทั้งในส่วนพลาซ่า และบ้านพักอาศัย โดยคงเอกลักษณ์ของอาคารในสไตล์โคโลเนียลที่มีความคลาสสิค บนพื้นที่ให้บริการ 98,500 ตารางเมตร   ในส่วนของพลาซ่า พื้นที่รวม 17,945 ตารางเมตร เตรียมออกแบบและตกแต่งให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น พร้อมปรับพื้นที่ร้านค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการทั้งลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (B2B : Business to Business) และ ลูกค้ากลุ่มค้าปลีก (B2C : Business to Consumer)   โดยพื้นที่พลาซ่า ชั้น 1 ยังคงเป็นแหล่งรวม ร้านเพชร ร้านทองส่งชั้นนำ ผ้าลูกไม้นำเข้า ร้านเครื่องประดับ และขนมไทยโบราณที่มีชื่อเสียงมายาวนาน   พื้นที่พลาซ่า ชั้น 2 เป็นศูนย์รวมผ้าไหม เครื่องประดับ ห้องเสื้อ ชุดราตรี ชุดแต่งงาน ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ   พื้นที่พลาซ่า ชั้น 3 พบกับโฉมใหม่ ศูนย์รวมร้านอาหาร และ มาร์เก็ต ที่เตรียมยกระดับให้เป็น Food Experience แห่งใหม่ของย่านนี้ ที่จำหน่ายสินค้าและให้บริการที่จะอำนวยความสะดวก และตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้น   ในส่วนของชั้น 4 เป็นพื้นที่บ้านพักอาศัย (Residence) ประกอบด้วย 128 ยูนิต ขนาดพื้นที่เริ่มต้น 95 ตารางเมตร แบบ Duplex 2 ห้องนอน ห้องรับแขกขนาดใหญ่ 1 ห้องครัว  2 ห้องน้ำ พื้นที่รวมทั้งหมด 13,000 ตารางเมตร เตรียมปรับโฉมในคอนเซ็ปต์ที่ทันสมัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้ง Lobby , Outdoor Living , Meeting Room , Fitness และ Sky Pavilion โดยมุ่งไปกลุ่มคนทำงาน นักเรียน นักศึกษา ในพื้นที่ใกล้เคียง และกลุ่มครอบครัวที่ต้องการความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตและการเดินทาง ในราคาเริ่มต้น 3.2 ล้านบาท ส่งต่อธุรกิจมั่งคั่งสู่เจเนอเรชั่นใหม่ สำหรับแนวทางการพัฒนา “ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” ในครั้งนี้นอกจากการปรับปรุงอาคารให้มีความทันสมัย สินค้าที่มีเอกลักษณ์และมีความหลากหลาย รวมถึงบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนทุกช่วงวัย ยังมาพร้อมแนวคิดของการต่อยอดและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้เกิดขึ้น  โดยการปรับรูปแบบการให้เช่าพื้นที่ ที่ครอบคลุมความต้องการ และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีความคล่องตัว ทั้งแบบสัญญาเช่าระยะสั้น และสัญญาเช่าระยะยาว เพื่อให้เอื้อต่อการทำธุรกิจและการพักอาศัย จุดเด่นของดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า คือ ร้านค้ามากกว่า 50% เป็นธุรกิจที่ขายให้กับธุรกิจ หรือ B2B โดยเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการจากรุ่นสู่รุ่น อาทิ ธุรกิจร้านเครื่องประดับ ร้านเพชร  หากต้องการเพชรคุณภาพระดับพรีเมี่ยม หรือ ร้านทองส่ง ให้นึกถึง ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า อีกก้าวใหม่ของความสำเร็จ นายอภิชัย กล่าวว่า จากประสบการณ์และความมุ่งมั่นของทีมงาน ที่พัฒนาโครงการ  “เวลา สินธร วิลเลจ หลังสวน” (Velaa Sindhorn Village Langsuan) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในการบริหารพื้นที่ ที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์และความต้องการของคนเมือง   ในการพัฒนา “ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” ครั้งนี้ก็เช่นกัน ทีมงานมีความมุ่งหวังที่จะเติมสีสันให้กับผู้คนในย่านนี้ และผลักดันธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยวางแผนเพิ่มผู้เช่าในกลุ่มร้านค้าและบริการอื่นๆ เพื่อรองรับความต้องการ ในกลุ่ม B2C ให้มากยิ่งขึ้น เน้นการสร้าง One stop service อีกแห่งใจกลางเมือง พร้อมรับกลุ่มคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มาใช้บริการภายในศูนย์การค้าฯ มากยิ่งขึ้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“สยามสินธร” ดึง “เคมปินสกี้” แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก สร้างสรรค์โครงการใหม่ ที่พักอาศัยและโรงแรมระดับ 5 ดาว