Tag : living

408 ผลลัพธ์
10 อุปกรณ์รอบตัว ตรวจคอนโดด้วยตัวเอง ได้ง่าย ๆ

10 อุปกรณ์รอบตัว ตรวจคอนโดด้วยตัวเอง ได้ง่าย ๆ

สำหรับใครที่จองซื้อคอนโดมิเนียมเอาไว้ และได้ผ่อนดาวน์จนครบ หรือถึงกำหนดเวลาที่คอนโดได้สร้างเสร็จ  พร้อมที่จะให้เราเข้าไปอยู่ ก็ต้องถึงคิวการ ตรวจคอนโด เพื่อโอนกรรมสิทธิ์มาให้เราได้เป็นเจ้าของเสียที   แต่การจะรับมอบโอนคอนโด ที่สำคัญเราคงต้องตรวจดูสภาพของห้อง ว่าเป็นไปตามสเป็คที่ทางคอนโดได้โฆษณาไว้ตั้งแต่แรกไหม รวมถึงคุณภาพของการก่อสร้างได้มาตรฐาน และอยู่ในสภาพที่ดี สมบูรณ์ พร้อมการใช้งานหรือเปล่า ซึ่งหากสภาพคอนโดห้องของเราไม่ได้เป็นไปตามที่โฆษณาไว้  หรือไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดี มีอุปกรณ์หรือสภาพห้องชำรุดเสียหาย เราอย่าไปเซ็นรับมอบคอนโดเด็ดขาด เพราะจะเป็นการยอมรับในข้อบกพร่องของห้องนั้น   การตรวจรับคอนโด สามารถทำได้ด้วยตนเอง หรือใครจะจ้างบริษัทที่รับตรวจคอนโดโดยเฉพาะ ก็สามารถทำได้ ราคาก็หลักพันบาทเท่านั้น ขึ้นอยู่กับขนาดของห้องเป็นหลัก แต่ใครไม่อยากจ้างบริษัทมาตรวจ ก็สามารถทำได้ด้วยตนเอง ซึ่งไม่ได้ยุ่งยากหรือมีขั้นตอนที่ซับซ้อนอะไร แถมอุปกรณ์ที่จะตรวจก็สามารถหาได้ทั่วไป บางอย่างเราก็มีใช้กันอยู่แล้วในบ้านหรือที่ทำงาน​ 10 อุปกรณ์รอบตัว ตรวจคอนโด ด้วยตัวเอง ได้ง่าย ๆ   1.สมุด-ปากกา ก่อนจะ ตรวจคอนโด เราต้องวางแผนจดรายการที่จะต้องตรวจไว้ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ไปถึงหน้างานแล้วหลงลืม ทำเป็นเช็คลิสต์เอาไว้ก่อน และเมื่อไปถึงหน้างาน เมื่อเจอจุดบกพร่องต้องซ่อมแซมหรือแก้ไข ก็จดรายละเอียดเอาไว้ให้ทางโครงการซ่อมแซมหรือเอาไว้ตามงานจะได้ไม่หลงลืม​ 2.โพสต์อิท เมื่อตรวจสอบพื้นที่ต่าง ๆ หรืออุปกรณ์ ที่พบว่าชำรุด เสียหาย หรือไม่เป็นไปตามสเป็ค ก็ติดโพสต์อิทเอาไว้ให้เห็นชัดเจน จะได้เห็นชัดเจน และเอาไว้ตรวจสอบหลังจากซ่อมแซมแล้วในภายหลัง 3.โทรศัพท์มือถือ เดี๋ยวนี้โทรศัพท์มือถือมีฟังก์ชั่นที่มีประโยชน์มากมาย และนำเอามาใช้ตรวจรับคอนโดเราได้ด้วย  เช่น ไฟฉาย สำหรับการส่องดูจุดต่าง ๆ ในมุมอับของห้อง กล้องถ่ายรูป เอาไว้เก็บหลักฐาน จุดที่ต้องซ่อมแซม ระบบวัดระดับน้ำ ที่เอาไว้วัดความลาดเอียงของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีการติดตั้งว่าได้ระดับหรือไม่ เป็นต้น 4.เหรียญบาท การตรวจสอบผนัง หรือพื้นที่มีการปูด้วยวัสดุต่าง ๆ เช่น กระเบื้อง เราสามารถตรวจสอบความเรียบร้อย หรือการชำรุดของผนังหรือพื้น ได้ด้วยการนำเหรียญบาทมาใช้เคาะพื้นและผนัง เพื่อหาจุดบกพร่อง ชำรุด หรือการปูได้ไม่สนิทได้ ซึ่งเมื่อเราเคาะดูแล้วจะได้ยินเสียงที่แตกต่างไปจากบริเวณอื่น ๆ ต้องให้ทางโครงการตรวจสอบอีกครั้ง 5.ลูกแก้ว-ลูกปิงปอง ลูกแก้วหรือลูกปิงปอง ใช้สำหรับตรวจสอบความลาดเอียงของพื้นห้อง พื้นห้องน้ำ หรือพื้นระเบียง เพื่อตรวจสอบว่าได้ปูพื้นลาดเอียงเหมาะสม สำหรับน้ำที่จะไหลลงไปสู่ท่อระบายน้ำได้ ไม่อย่างนั้นน้ำจะท่วมขังไม่ลงในท่อระบาย ซึ่งลูกแก้หรือลูกปิงปอง บางคนอาจจะไม่มีติดบ้านไว้ ก็อาจจะต้องหาซื้อเพิ่ม ซึ่งราคาไม่ได้สูงมาก ตามร้านสินค้าทุกอย่าง 20 บาทก็มีขาย 6.ถังน้ำ ถังน้ำเอาไว้สำหรับรองน้ำ และเทตรวจสอบ การไหลและระบายของน้ำ และยังทดสอบระบบน้ำประปาของห้องว่าไหลได้ปกติหรือไม่ด้วย ​ 7.ไขควงวัดไฟ-สายชาร์จโทรศัพท์ การตรวจสอบระบบไฟฟ้า และปลั๊กไฟต่าง ๆ ปกติจะใช้ไขควงวัดไฟ มาเป็นอุปกรณ์ช่วยตรวจ แต่ปัจจุบันปลั๊กไฟบางชนิดมีระบบการทำงานที่จะต้องเสียบขาปลั๊กไฟพร้อมกัน 2 ข้าง ปลั๊กไฟจึงจะทำงาน ซึ่งอุปกรณ์ที่นำมาใช้ทดแทนได้ดีไม่แพ้ไขควงวัดไฟฟ้าก็คือ สายชาร์จโทรศัพท์นั่นเอง ให้เราทดสอบการเสียบปลั๊กชาร์จไฟฟ้าในเต้าเสียบทุกจุด เพื่อตรวจสอบว่ามีกระแสไฟฟ้าเดินมาเป็นปกติ 8.ตลับเมตร ใช้วัดพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อดูว่าขนาดพื้นที่จริง กับแปลนห้องมีขนาดที่ตรงกันหรือไม่ 9.ขนมปังแผ่น การตรวจสอบโถชักโครกว่าใช้งานได้ปกติหรือไม่ จะใช้ขนมปังแผ่นในการทดสอบแทนสิ่งปฏิกูล โดยให้ฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และกดชักโครกดู หากไหลลงปกติแสดงว่า โถสุขภัณฑ์ทำงานได้ปกติ 10.กระดาษทิชชู สำหรับพื้นห้องน้ำ หรือพื้นครัว หรือจุดที่จะมีน้ำรั่วซึมได้ ให้ใช้กระดาษทิชชูทดสอบความชื้น การรั่วซึมของน้ำในบริเวณต่าง ๆ เหล่านั้น เพราะหากมีการั่วซึมกระดาษจะเปียกชื้นนั่นเอง   ทั้งหมดนี้ ก็เป็น 10 อุปกรณ์รอบตัว ตรวจคอนโด ด้วยตัวเอง ได้ง่าย ๆ ที่เชื่อว่าทุกคนทำตามได้ไม่ยาก ​ซึ่งนอกจากการตรวจสอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ เหล่านี้แล้ว การตรวจด้วยสายตา และการทดลองใช้งานจริงอย่างละเอียด ก็จะทำให้เราสามารถหาจุดบกพร่องของอุปกรณ์ หรือสภาพของห้องได้ด้วย เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า ก็ต้องลองเปิด-ปิดการใช้งาน ประตู-หน้าต่างก็ตรวจสอบการเปิดปิด ดูจุดการติดตั้ง เฟอร์นิเจอร์ที่ทางโครงการแถมให้ ก็ดูความเรียบร้อยของการติดตั้ง ดูสภาพของเฟอร์นิเจอร์ตรงไหนเสยหายหรือไม่ เป็นต้น   ที่มา : SCB, แสนสิริ,​ อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -10 จุดตรวจเช็คสุขภาพบ้าน เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน
“บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์” บ้านแฝดและทาวน์โฮมสไตล์ นิวยอร์ก

“บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์” บ้านแฝดและทาวน์โฮมสไตล์ นิวยอร์ก

บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์  โครงการบ้านแฝดและทาวน์โฮมสุดหรูที่โดดเด่นด้วยดีไซน์มีสไตล์ เหมือนอยู่ในบ้านกลางนิวยอร์ก พัฒนาโดย “อยู่เจริญเอสเตทส” (U Charoen Estate) U Charoen Estate บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์ โครงการตั้งอยู่บนถนนนาคนิวาส ซอย 6 ในโซนลาดพร้าวเข้าออกได้หลายช่องทาง ที่ใกล้ทางด่วนเพียง 5 นาที และจะเดินทางเข้าเอกมัยทองหล่อก็ใช้เวลาไม่นาน  โครงการตั้งอยู่บนที่ดิน 4 ไร่ ให้ความส่วนตัวเพราะมีแค่ 28 ยูนิต  ราคาเริ่มต้นที่ 38 ล้านบาทจนถึง 50 ล้านบาท โลเคชั่นดีรายล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหารอร่อย ใกล้แหล่งงานภาครัฐและเอกชน  โครงการอยู่ด้านหลังห้างเซ็นทรัล อีสต์วิลล์ เพียง300 เมตร  แหล่งรวมสิ่งอำนวยความสะดวกในย่านเรียบด่วน  การเดินทางสะดวกใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน และเข้าสู่กลางเมือง อย่างเอกมัย ทองหล่อ ก็ใช้เวลาไม่นาน   ส่วนไฮไลท์ของโครงการ บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์ ได้รับแรงบันดาลใจจากการใช้ชีวิตของผู้คนในในย่านสุดหรูของมหานครนิวยอร์ก อย่างย่าน Upper Eastside เช่น Madison, Lexington และ Park Avenue มาตอบโจทย์ผู้บริโภค ที่มีไลฟ์สไตล์ชอบการท่องเที่ยว และงานศิลปะ ด้านการออกแบบบ้านแฝดและทาวน์โฮม สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันให้ตรงตามต้องการ หรือแม้แต่การจัดเป็นโฮมออฟฟิศก็สามารถจัดทำได้เช่นกัน และยังคงความเป็นส่วนตัว สอดคล้องกับพฤติกรรมความต้องการของผู้อยู่อาศัย การออกแบบในสไตล์ Modern Palladian โดยแรงบันดาลใจจากการใช้ชีวิตของผู้คนในมหานครนิวยอร์ก และยังทันสมัยเพราะทุกหลัง Smart Home Automation  และ ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ทุกหลัง จุดเด่นของบ้านเป็นบ้านหน้ากว้าง 12 เมตรจอดรถสูงสุดได้ 4 คัน   “บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์”  มีความเป็นส่วนตัวสุง ด้วยจำนวนเพียง 28 ยูนิต โดยมีแบบบ้าน 2 รูปแบบ ได้แก่ ทาวน์โฮม 4 ชั้น 3 ห้องนอน ขนาดเริ่มต้น 40 ตารางวา จำนวน 20 หลัง และ บ้านแฝด 3 ชั้น และ 2 ชั้นลอย 3 ห้องนอน ขนาดเริ่มต้น 44.2 ตารางวา เพียง 8 หลัง ราคาเริ่มต้น ที่มาหน้ากว้าง 12 เมตรที่สามารถจอดรถได้ถึง 4 คัน 3 ห้องนอนและมีห้องสำหรับแม่บ้าน พร้อมฟังชั่นปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของทุกคน ส่วนกลาง พื้นที่ส่วนกลางมีพื้นที่สีเขียวพร้อมต้นไม้ใหญ่  โอบล้อมด้วยพืชพันธุ์ไม้หอมของไทย เช่น ลำดวน และปีป มีคลับเฮ้าส์ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ ฟิตเนส และห้องประชุม รวมถึงสนามกว้างขวาง ที่รองรับกิจกรรมกลางแจ้งได้หลากหลาย มาพร้อม โคเวอคกิ้ง สเปส และ คุกกิ้งสเปส จัดปาร์ตี้บาร์บีคิวกันได้เลย   บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์ ตอนนี้บ้านตัวอย่างมีให้ชมครบทั้งบ้านแฝดและทาวน์โฮม  โครงการมูลค่ากว่า 1000 ล้าน ที่ตั้งใจยก มหานครนิวยอร์ก มาวางที่เรียบด่วนรามอินทรา สนใจเยี่ยมชมโครงการกันได้แล้ว     บทความน่าสนใจ One Atelier Phaholyothin ไพรเวท เรสซิเดนซ์ Luxury townhome เอกสิทธิ์เพียง 13 ครอบครัวเท่านั้น DEMI Sathu 49 บ้านที่พัฒนา มาเพื่อคุณ The Haute กาญจนา–สาทร Vertical Biz Villa บ้านที่เป็นได้ทุกอย่างในทุกจังหวะของชีวิต  
อัปเดต ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน และคอนโด 2566 มีอะไรบ้าง?

อัปเดต ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน และคอนโด 2566 มีอะไรบ้าง?

ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน ใครวางแผนจะซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียม ปี 2566 นี้ รู้หรือเปล่าว่าต้องเตรียมงบประมาณอะไรบ้าง เป็น ค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียมบ้าง เพราะปีนี้รัฐบาลมีมาตรการช่วยลดหย่อนค่าธรรม สำหรับกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วด้วย แต่ค่าลดหย่อนก็มีปรับเปลี่ยนไปบ้าง ลองมาอัปเดตกันดูว่า ถ้าจะซื้อบ้านหรือคอนโดในปีนี้ จะต้องเตรียม ค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และไว้เท่าไร 1.เงินจองและทำสัญญา ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน  อย่างแรกเลยก็ต้องเตรียมเงินจอง และเงินทำสัญญา ซึ่งเงินส่วนนี้อาจจะไม่มากนัก ทั่ว ๆ ไปเงินจองก็อยู่ที่ 5,000-10,000 บาท และมีเงินทำสัญญาอีกก้อนหนึ่ง ก็หลักไม่กี่หมื่นเท่านั้น ขึ้นอยู่กับราคาบ้านที่เราจะซื้อด้วย 2.เงินดาวน์ 10-20% เงินดาวน์ใน 10-20% ของราคาบ้าน แต่ส่วนนี้อาจจะไม่ต้องเตรียมเป็นเงินก้อนไว้ทั้งหมด เพราะโครงการมักจะให้ผ่อนเป็นงวด ๆ ได้ ตามระยะเวลาก่อนที่บ้านหรือคอนโดจะพร้อมโอน แต่ผู้ซื้อก็ควรเตรียมเงินก้อนไว้ เพราะมักจะมีเงินดาวน์ที่เป็นก้อนใหญ่ ๆ หรือที่เรียกว่างวดบอลลูน ที่ต้องใช้เงินดาวน์มากกว่าผ่อนงวดปกติ รวมถึง บางครั้งในงวดสุดท้ายของการผ่อนดาวน์มักจะเป็นเงินก้อน ที่เป็นเงินจำนวนมากเพื่อให้ได้เงินดาวน์ 10-20% ของราคาบ้านหรือคอนโด ซึ่งมักจะเป็นการผ่อนดาวน์ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หรือโครงการใกล้จะก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมโอน 3.ค่าใช้จ่ายขอสินเชื่อธนาคาร สำหรับใครที่มีความสามารถในการซื้อบ้านหรือคอนโด ด้วยเงินสดไม่ต้องกู้ธนาคาร ค่าใช้จ่ายในการขอสินเชื่อธนาคารก็จะไม่มี แต่คนส่วนใหญ่มักจะกู้เงินธนาคารมากกว่า จึงต้องมีการเตรียมค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไว้ ยกเว้นว่าทางโครงการหรือทางธนาคาร มีการจัดแคมเปญยกเว้นค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้กับลูกค้า ​โดยค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ที่เกี่ยวกับการขอสินเชื่อมีดังนี้ ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แล้วแต่ธนาคารเป็นคนกำหนด ค่าประเมินหลักทรัพย์ เริ่มต้น 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ 4.ค่าเบี้ยประกันภัย ในการขอสินเชื่อกับทางธนาคาร สิ่งหนึ่งที่มักจะเป็น ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน ตามมา คือ ค่าประกันอัคคีภัย และค่าประกันภัยพิบัติ ซึ่งธนาคารจะบังคับให้ลูกค้าทำไว้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดเหตุไฟไหม้ หรือภัยพิบัติกับตัวบ้านหรือคอนโด เพราะถือว่าทรัพย์สินดังกล่าวยังเป็นของธนาคาร เนื่องจากเราเอาบ้านหรือคอนโด ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ไว้นั่นเอง ​   ส่วนค่าประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ จะขึ้นอยู่กับความสมัครใจ ลูกค้าเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ ซึ่งหากทำประกันชีวิต ก็มักจะได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าการไม่ทำ 5.ค่าจดจำนอง 0.01% ของราคาประเมิน โดยปกติค่าจดจำนอง จะมีอัตราการจัดเก็บอยู่ที่ 1% แต่ในปีนี้รัฐบาลได้มีมาตรการที่ออกมาช่วยกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนที่ต้องการมีบ้านพักอาศัย จึงลดอัตราค่าจดจำนองเหลือเพียง 0.01% เท่านั้น 6.ค่าธรรมเนียมการโอน 1% ของราคาประเมิน ส่วนค่าธรรมเนียมการโอน ก็เป็นอีกหนึ่ง ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน หรือคอนโด ที่ผู้ซื้อต้องเสีย แต่ก็มีข่าวดีที่รัฐบาลช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้สำหรับปี 2566 จากที่ต้องเสีย 2% ก็เหลือเพียง 1% แม้ว่าปีที่ผ่านมาจะลดมากกว่านี้ คือ ลดให้เหลือ 0.01% เท่านั้น แต่ถือว่าค่าธรรมเนียมการโอนปีนี้ลดไปตั้ง 50% เลยทีเดียว 7.ค่ามิเตอร์น้ำ-ไฟฟ้า   สำหรับการอยู่บ้านใหม่ ก็ต้องมีการติดตั้งมิเตอร์น้ำประปา และไฟฟ้า แต่ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ผู้ประกอบการก็มักใจดี จัดแคมเปญช่วยออกให้กับผู้ซื้อ แต่สำหรับใครที่ไปซื้อโครงการที่ไม่ได้มีแคมเปญตรงนี้ไว้ ก็ต้องเตรียมเงินในส่วนนี้ไว้ด้วย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดของมิเตอร์และพื้นที่ว่าอยู่ในเขตนครหลวง หรือส่วนภูมิภาค ซึ่งค่าใช้จ่ายแตกต่างกันเล็กน้อย 8.ค่าส่วนกลาง-เงินกองทุน อีกค่าใช้จ่ายหนึ่งที่ผู้ซื้อจะต้องแบกรับไปตลอดการอยู่อาศัยก็คือ ค่าส่วนกลาง ที่ต้องจ่ายทุกเดือน แต่ส่วนใหญ่มักจัดเก็บเป็นรายปี ขึ้นอยู่กับระดับความหรู พรีเมียม หรือการจัดพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ ให้กับลูกบ้าน ราคาก็จะแตกต่างกันไป และก็แตกต่างตามขนาดพื้นที่ของบ้านและคอนโดด้วย นอกจากนี้ ยังต้องมีเงินก้อนอีกจำนวนหนึ่ง ที่ต้องจ่ายคือ เงินกองทุน สำหรับโครงการเอาไว้จัดตั้งนิติบุคคล เพื่อดูแลความเรียบร้อยของหมู่บ้านหรือคอนโด 9.ค่าตรวจบ้าน 2,000-9,000 บาท ก่อนจะรับมอบบ้าน หรือโอนบ้าน ผู้ซื้อก็ต้องตรวจบ้าน ดูความเรียบร้อยของงานก่อสร้าง และสเป็ควัสดุหรือตัวบ้านให้เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาที่ผู้ขายบอกเราไว้ตั้งแต่ต้น ทำให้เราจำเป็นต้องตรวจบ้านก่อน ซึ่งหากใครมีความรู้ หรือพอจะตรวจบ้านหรือคอนโดเองได้ ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็ไม่ต้องมี แต่บางครั้งเพื่อความมั่นใจ และมีการตรวจอย่างละเอียด ผู้ซื้อก็มักจะจ้างบริษัทหรือผู้ที่รับงานตรวจบ้านมาดำเนินการให้ ซึ่งค่าใช้จ่ายก็มักจะขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่เหมือนกัน สำหรับคอนโดราคาก็จะถูกกว่าบ้าน เพราะรายการที่ต้องตรวจมีน้อยกว่านั่นเอง 10.ค่าตกแต่ง ของใช้ และเฟอร์นิเจอร์ การอยู่อาศัยในบ้านหรือคอนโด ต่อให้ทางโครงกาตกแต่งจนสามารถเข้าอยู่ได้ แต่ส่วนใหญ่คนอยู่อาศัยก็ต้องมีการตกแต่ง หรือไม่ก็ซื้อของใช้ เฟอร์นิเจอร์ที่ชอบ เข้ามาไว้ในบ้าน ทำให้ต้องเตรียมงบประมาณส่วนนี้ไว้ด้วย จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความชอบและความต้องการของคนซื้อเลย เพราะเฟอร์นิเจอร์และของใช้มีหลากหลายชนิด หลายเกรด และคุณภาพ   ทั้งหมดนี้ ก็เป็น ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน​ ที่ผู้ซื้อบ้านต้องเตรียม และคำนวณให้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งหลายรายการก็สามารถปรับเปลี่ยน หรือยืดหยุ่นได้ ตามความต้องการเพราะเป็นรายการที่เพิ่มขึ้นมา แต่หลาย ๆ รายการก็เป็นค่าใช้จ่ายจำเป็นที่จะต้องจ่ายก่อนที่เราจะเข้าอยู่ อย่างไรก็ต้องวางแผนให้ดี หรืออาจจะปรึกษากับทางฝ่ายสินเชื่อของธนาคารต่าง ๆ ก็ได้ ให้ช่วยคำนวณค่าใช้จ่าย และประเมินความสามารถในการกู้เงินของเราว่าจะได้วงเงินมากน้อยแค่ไหน เราจะได้วางแผนการเงินได้ถูกต้อง   ที่มา – กรมที่ดิน, ธอส, ธนาคารกสิกร   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมกราคม 2566 แบงก์ไหนให้ดอกต่ำสุด
เสนา ดีเวลลอปเม้นท์  ไม่ขายบ้าน-คอนโดอย่างเดียวแล้ว  เปิด 10 ธุรกิจใหม่ 3กลุ่ม โฮลดิ้ง

เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ไม่ขายบ้าน-คอนโดอย่างเดียวแล้ว เปิด 10 ธุรกิจใหม่ 3กลุ่ม โฮลดิ้ง

เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ประกาศมูฟเม้นต์ ปี 2023 ชูจุดยืนธุรกิจองค์กรภายใต้วิชั่นของการเป็น Sustainable Business ผ่านคีย์เวิร์ด “SENA Multiplied” เบิกทางลงทุนพัฒนาโครงการและขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ ด้วยมูลค่า 55,000 กว่าล้านบาท ปูทางสร้างรากฐานตามแบบ “Lifelong Trusted Partner” เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีทุกช่วงอายุ พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงของโลก แจงแผนเปิด 26 โครงการ 24,000 ล้าน​ ตั้งเป้ายอดขาย 18,000 กว่าล้าน และยอดโอนรวม 16,500 ล้าน   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจและสิ่งที่คนทั่วโลกต้องเผชิญมีทั้งเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Economic Recession) เกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นภาวะเงินเฟ้อ ราคาสินค้าแพงแต่รายได้เท่าเดิม และอัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอไม่ต่างไปจากปีที่ผ่านมา ประกอบกับสถานการณ์โลกที่แปรปรวน และปัญหาสิ่งแวดล้อม (Climate Change) ถือเป็นความท้าทายหรือ Social Challenge ของภาคธุรกิจ ทั้งการบริหารสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและที่พักอาศัย ด้านสาธารณสุข รวมถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ทำให้ทุกภาคธุรกิจให้ความสำคัญและผลักดันเป็นยุทธศาสตร์หลักเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจบนแนวคิดสร้างความยั่งยืน (Sustainability) ให้กับสังคม   ด้วย Core Business SENA พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ได้แก่ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ ทาวน์โฮมและอาคารชุด ธุรกิจเช่า ได้แก่ อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า ธุรกิจอาคารสำนักงาน ธุรกิจสนามกอล์ฟ ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ธุรกิจบริหารงานนิติบุคคล ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่พักอาศัย เป็นต้น วันนี้ SENA เรายกระดับ (ENHANCED) การพัฒนาโครงการบ้านติดโซลาร์สู่การพัฒนาบ้านพลังงานเป็นศูนย์ “ZERO ENERGY HOUSING” (ZEH)” ลดการใช้พลังงานได้ไม่ต่ำกว่า 20 % ในบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียมของ SENA พร้อมขยายธุรกิจใหม่ (New Business) ที่หลากหลายและครอบคลุมตาม Mega Trend และ Social Challenge ผ่านแกนวิชั่นโครงสร้างองค์กรที่เป็นมากกว่า Property Developer สู่ “The Essential Lifelong Trusted Partner” เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี บนแกน “SENA Multiplied” อย่างไรก็ตาม ทาง SENA วางงบเพื่อการลงทุนในการพัฒนาสินค้าและขยายโอกาสสู่ธุรกิจใหม่ 9,084 ล้านบาท โดยประกอบด้วย New Business to Strengthen Core Business SENA มุ่งมั่นในการต่อยอดพัฒนาอสังหาฯ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตลูกบ้านให้มีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ประกอบด้วย   1.จับมือบริษัท เอ็นอีซี คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ NEC Thailand ที่ปรึกษาเทคโนโลยีด้านไอที บริษัทชั้นนำระดับโลก พัฒนาแพลตฟอร์ม “SMARTIFY” Smart Living Community เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าและลูกบ้าน   2.ธุรกิจบริการทางการเงิน “เงินสดใจดี” เพื่อเพิ่มความสามารถในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้า พร้อมให้คำปรึกษาและให้ความรู้ทางด้านการเงิน   3. ธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เพื่อบริการขายและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์   4.ธุรกิจบริหารนิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินแบบครบวงจร (Property Management)   5.ธุรกิจบ้านมือสอง “SENA SURE” โดยร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM และบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM คัดเลือกทรัพย์และนำมาปรับปรุงให้มีคุณภาพ ทางเลือกหนึ่งให้คนที่ต้องการที่อยู่อาศัย New Business New Foundation ขณะเดียว SENA การขยายธุรกิจใหม่ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวกสบาย (Convenience) ให้กับทุกคน และเน้นธุรกิจที่ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ใหม่ให้กับการใช้ชีวิตเพื่อช่วยกันลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization Lifestyle) รวมถึงการนำเทคโนโลยีด้านบริการเข้าปรับใช้เพิ่มความสะดวกสบายให้กับทุกคนและในทุกช่วงชีวิต พุ่งเป้าหมายธุรกิจเมกะเทรนด์ (Mega Trends) ของโลก สร้างสังคมที่ยั่งยืน ทั้งด้านบริการครอบคลุมครบ ขณะเดียวกัน มองว่าเทรนด์การลงทุนในธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เราพุ่งเป้าไปธุรกิจที่ตอบรับเมกะเทรนด์ (Mega Trend) ทั้งความยั่งยืนในการประกอบธุรกิจที่เป็นมิตรต่อโลก สังคม สุขภาพ​ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ประกอบด้วย   1. เตรียมขยายพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ใหม่ Premium Segment   2. การบริหารจัดการด้าน Hospitality เต็มรูปแบบ “Hotel & Service Apartment Management” ผ่านการจัดการด้วยมืออาชีพเฉพาะด้าน   3. ธุรกิจสถานดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยระยะฟื้นตัว (Nursing Home) “SJ HEALTHCARE” เพื่อรองรับการเติบโตของสังคมสูงอายุพัฒนา MEDICAL WELLNESS CENTER และ PRIMARY CARE สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการและความกังวลด้านดูแลสุขภาพโดยเฉพาะ   4.ธุรกิจ WAREHOUSE ให้เช่าแบบครบวงจร “METROBOX” ซึ่งเป็นอาคารคลังสินค้ามาตรฐานสากลเพื่อผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ เตรียมเปิด 2 ทำเล 1.บางนา บางพลี สมุทรปราการ และ 2.พหลโยธิน วังน้อย อยุธยา   5.จับมือบริษัท ชิเซ็น อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Shizen เพื่อลงทุนและศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ในการขยายตลาดด้านพลังงานหมุนเวียนร่วมกันในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมองหาพันธมิตรในการติดตั้ง “โซลาร์แนวตั้ง” สำหรับอาคารสูงในประเทศไทยเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้มากที่สุด   6.เดินหน้าขยายพื้นที่ให้บริการชาร์จรถไฟฟ้า หรือ EV CHARGING STATION ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์ เพื่อให้สอดคล้องไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และแนวทางการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (SMARTCITY) ปัจจุบันติดตั้งในหมู่บ้านของ SENA ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการติดตั้งสถานีชาร์ตรถไฟฟ้า (EV Charging Station) เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับลูกบ้านในโครงการและลูกค้าทั่วไปในอนาคต   7.บริษัท SENA REFORESTATION ปลูกป่ารักษาโลก ตามเป้าเจตนารมณ์ 100,000 ไร่ New Project Launch ปี 2023 เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 26 โครงการ รวมมูลค่า 24,024 กว่าล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 9 โครงการ 7,471 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 17 โครงการ 16,553 ล้านบาท (ซึ่งใน 26 โครงการ แบ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป 22 โครงการ 21,210 ล้านบาท) ตอกย้ำพันธมิตรธุรกิจที่แข็งแกร่ง 8 ปี ร่วมกันพัฒนาโครงการรวม 45 โครงการ มูลค่า 69,554 ล้านบาท ทั้งนี้ วางเป้าหมายสร้างนิวเรคคอร์ดครั้งใหม่ของบริษัท ด้วยเป้ายอดขาย 18,242 ล้านบาท และเป้าโอนรวม 16,539 ล้านบาท โดยมีสินค้าที่เหลือขาย คิดเป็นมูลค่า 22,294 ล้านบาท เพื่อรอรับรู้รายได้ในอนาคต   แต่อย่างไรก็ตาม เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ยังมองถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก แผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ และธุรกิจใหม่ รองรับ Mega Trend ที่พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนานวัตกรรมด้านสินค้าและการบริการ สานต่อจุดยืนขององค์กรที่เป็นมากกว่าคนพัฒนาอสังหาฯ ด้วยการเป็น “THE ESSENTIAL LIFELONG TRUSTED PARTNER” เพื่อสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงชีวิต   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาฯ เปิดโมเดล​ บ้านพลังงานเป็นศูนย์ เดินหน้าสู่บริษัท ด้านความยั่งยืน -[PR News] เสนาเจ จับมือ NEC พลิกโฉม “Smart Living Community”
เปิด 10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ปี 2023  ที่ช่วยทำให้ชีวิตคุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น

เปิด 10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ปี 2023 ที่ช่วยทำให้ชีวิตคุณมีสุขภาพที่ดีขึ้น

เฮลท์แคร์ ฟิลิปส์เปิด 10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ของปี 2023 หลังเกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านกาาแพทย์ ปริมาณงานที่เพิ่ม และความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจ   ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร ปริมาณงานที่เพิ่มมากขึ้น และความผันผวนทางเศรษฐกิจ ล้วนเป็นปัจจัยที่ ท้าทายผู้ให้บริการทางสาธารณสุขทั่วโลก ในการพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงาน และคิดค้นรูปแบบการดูแลรักษาผู้ป่วยใหม่ ๆ ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารแถวหน้าในวงการเฮลท์แคร์ ยังตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น ได้หันมาให้ความสำคัญกับการยกระดับความเท่าเทียมด้านการเข้าถึงระบบสาธารณสุข ตลอดจนความจำเป็นในการลดก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรม เพื่อการรักษาสุขภาพของโลกเช่นกัน เป็นการตอบสนองต่อความท้าทายข้างต้น ฟิลิปส์ จึงได้รวบรวม 10 เทรนด์เทคโนโลยีเฮลท์แคร์ที่คาดว่าจะมาแรงในปี 2023 นี้ 10 เทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์  1.การแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้วยระบบการทำงานอัตโนมัติ (Workflow Automation) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากรายงาน Philips Future Health Index 2022 report เผยว่าปัญหาด้านบุคลากรเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกๆ ของผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์  และหากไม่จัดการกับปัญหานี้อย่างเร่งด่วน ภาวะหมดไฟและการขาดแคลนบุคลากรจะส่งผลให้ระบบสาธารณสุขอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น ในด้านรังสีวิทยา มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า นักรังสีวิทยาอย่างน้อยครึ่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาประสบกับภาวะเหนื่อยล้าจากการทำงาน และทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง [1] ในขณะที่มีการคาดการณ์ว่า ทั่วโลกจะขาดแคลนเจ้าหน้าที่พยาบาลถึง 13 ล้านคนภายในปีค.ศ. 2030 [2] นอกจากนี้ บุคลากรทางการแพทย์ยังต้องเผชิญกับงานค้างจากการรักษาปกติที่ถูกพักไว้ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดยิ่งทำให้เกิดภาวะตึงเครียดมากกว่าปกติ ซึ่งจากปัญหานี้ จะเห็นว่าผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขได้นำระบบการทำงานอัตโนมัติที่มีเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์   ระบบการทำงานอัตโนมัติ (Automation) เป็นเทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ที่สามารถช่วยลดภาระงานด้านเอกสารให้กับแพทย์ พยาบาล และนักเทคนิคการแพทย์ เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้เวลาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์น้อยลงและมีเวลาอยู่กับผู้ป่วยมากขึ้น นั่นหมายถึงการปรับปรุงกระบวนการทำงานขั้นพื้นฐานที่ให้ผลลัพธ์สูง เช่น การเปิดใช้งานระบบส่งต่อข้อมูลตรวจติดตามผู้ป่วยเข้าสู่ระบบเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์โดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีและประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ได้ 2.การเพิ่มทักษะด้านดิจิทัลผ่านการฝึกอบรมและการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ระบบการทำงานอัตโนมัติสามารถช่วยลดภาระงานที่มากเกินไปในแต่ละแผนกของโรงพยาบาลได้ แต่บุคลากรทางการแพทย์ยังจำเป็นต้องได้รับความรู้และการฝึกอบรมที่เหมาะสมเพื่อให้ทันกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยพบว่า 1 ใน 5 ของบุคลากรทางการแพทย์ลาออกจากสายงานนี้ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 [3] การฝึกอบรมบุคลากรใหม่ๆ อย่างเพียงพอจึงสำคัญอย่างยิ่งต่อความต่อเนื่องในการทำงาน ความปลอดภัยและคุณภาพของการดูแลรักษาผู้ป่วย และในอนาคต เราจะเห็นความต้องการ ‘บริการด้านการศึกษา’ เพิ่มมากขึ้น เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง รับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นด้านดิจิทัลในวงการเฮลท์แคร์ 3.การปฏิบัติงานทางไกล (Remote Operations) ผ่านการทำงานร่วมกันออนไลน์ (Virtual Collaboration) นี่เป็นหนึ่งในเทรนด์เทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์ที่ถูกนำมาใช้งานมากขึ้นหลังจากมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัจจุบันได้กลายเป็นเทคโนโลยีหลักในวงการเฮลท์แคร์ เนื่องจากขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์หรือมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในพื้นที่ห่างไกลมากขึ้น   การทำงานร่วมกันแบบทางไกลยังมีประโยชน์ด้านการแพทย์อื่นๆ เช่น การดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน อย่างระบบ Tele-ICU (เทเล-ไอซียู) ช่วยส่งเสริมการดูแลผู้ป่วยวิกฤติถึงข้างเตียงผ่านการใช้เทคโนโลยีไม่ว่าสถานพยาบาลนั้นจะตั้งอยู่ที่ไหนก็ตาม โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากส่วนกลางสามารถตรวจติดตามอาการของผู้ป่วยวิกฤติ (ICU) แบบทางไกล ได้สูงสุดถึง 500 เตียงเพื่อสนับสนุนการทำงานของทีมบุคลากรในพื้นที่ โดยผสานเทคโนโลยีแสดงภาพและเสียง (Audio-visual technology), เทคโนโลยีการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predictive analytics) และการแสดงผลข้อมูล (Data visualization) เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างทันท่วงทีเมื่อจำเป็น 4.โซลูชันด้านสารสนเทศ (Informatics solutions) ที่เป็นกลางและสามารถทำงานร่วมกับหลากหลายเครื่องมือหรือระบบได้ เนื่องจากระบบสาธารณสุขมีการเชื่อมต่อกันมากขึ้น ระบบและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่แตกต่างกันจำเป็นต้องสามารถ 'เชื่อมต่อ' ถึงกันได้เพื่อสร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อสำหรับผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ ตามปกติ โรงพยาบาลจะจัดซื้ออุปกรณ์และเครื่องมือการแพทย์จากหลากหลายแบรนด์ ซึ่งมักส่งผลต่อการกระจัดกระจายของโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ส่งผลต่อประสบการณ์ด้านสาธารณสุขที่ไม่เชื่อมต่อกัน แนวทางในการแก้ปัญหาคือ การนำโซลูชันด้านสารสนเทศที่เป็นกลางและสามารถทำงานร่วมกับหลากหลายเครื่องมือหรือระบบได้มาใช้มากขึ้นใน ปีค.ศ. 2023 และในอนาคต   อีกตัวอย่างหนึ่งคือ ในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินและในระยะฟื้นฟู แพลตฟอร์มเชื่อมต่อเครื่องมือแพทย์แบบเป็นกลาง สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากเครือข่ายของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันเพื่อประมวลผลข้อมูลเชิงลึกและการแจ้งเตือนที่สนับสนุนการดูแลผู้ป่วยได้ดีขึ้น และแพลตฟอร์มดังกล่าวยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบ เวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ (EMR) ของโรงพยาบาล รวมถึงเครื่องมือสื่อสารและความร่วมมือทางคลินิกได้อีกด้วย ส่งผลให้บุคลากรในโรงพยาบาลสามารถเห็นภาพรวมเกี่ยวกับอาการและปัจจัยด้านสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละรายได้ เมื่อการส่งต่อข้อมูลระหว่างระบบและอุปกรณ์ง่ายขึ้น บุคลากรทางการแพทย์ก็ไม่ต้องเสียเวลาไปกับการดึงข้อมูลผู้ป่วยจากไซต์และแผนกต่าง ๆ อีกต่อไป 5.เฮลท์แคร์กำลังย้ายไปอยู่บนคลาวด์ (Cloud) คลาวด์เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่สำคัญในการเชื่อมต่อและบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานไอทีด้านเฮลท์แคร์ เมื่อโครงสร้างพื้นฐานจำเป็นต้องมีความปลอดภัยระดับสูงและสามารถรองรับข้อมูลปริมาณมากๆ ได้ เพื่อช่วยให้ผู้ให้บริการด้านสาธารณสุขสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูล ก่อนหน้านี้การประยุกต์ใช้คลาวด์ในวงการเฮลท์แคร์ถือว่าล้าหลังมาก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การประยุกต์ใช้คลาวด์ในวงการเฮลท์แคร์เติบโตอย่างรวดเร็วและได้รับการยอมรับมากขึ้น และน่าจะได้เห็นการนำคลาวด์ไปใช้ทั่วทุกมุมโลกในปี 2023 นี้ และน่าจะได้เห็นการเพิ่มขึ้นของโซลูชัน software-as-a-service (SaaS) ที่ส่งผ่านระบบคลาวด์ตามมา 6.การติดตามอาการผู้ป่วยอย่างไร้รอยต่อทั้งในและนอกโรงพยาบาล การใช้งานโซลูชันดิจิทัลบนคลาวด์ในวงการสาธารณสุขจะช่วยสนับสนุนการแชร์ข้อมูลที่เพิ่มมากขึ้นและสร้างรากฐานของระบบสาธารณสุขที่สามารถเชื่อมต่อจากโรงพยาบาลไปสู่บ้านผู้ป่วยและชุมชน จากรายงาน Philips Future Health Index 2022 report เผยว่า ผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์เล็งเห็นว่าการดูแลรักษาผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลเป็นสิ่งที่ต้องหันมาให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ รองจากความพึงพอใจและการรักษาบุคลากรทางการแพทย์ในองค์กร การให้การดูแลรักษาอย่างถูกต้องในสถานที่และเวลาที่เหมาะสม เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อให้กับผู้ป่วยได้ 7.มุ่งเน้นที่การส่งมอบบริการทางสาธารณสุขที่ครอบคลุมและเท่าเทียมกันมากขึ้น การแพร่ระบาดของโควิด-19 เร่งให้เกิดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลด้านเฮลท์แคร์เร็วขึ้น เพื่อเพิ่มการเข้าถึงด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลและพื้นที่ชนบท การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางบางกลุ่ม และทำให้ช่องว่างด้านสุขภาพทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น ความไม่เท่าเทียมด้านการเข้าถึงระบบสาธารณสุขทั้งภายในและระหว่างประเทศอาทิ อัตราการเจ็บป่วยที่สูงกว่าในบางเชื้อชาติและบางกลุ่มชาติพันธุ์กำลังเป็นที่สนใจมากขึ้น [4] ทำให้ทั่วโลกพยายามหาทางออกในการแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมในระบบสาธารณสุข [5] จากการรายงาน Future Health Index 2022 report เผยว่าผู้นำในวงการเฮลท์แคร์ของสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญด้านความเท่าเทียมทางสาธารณสุขเป็นอันดับแรก ต่อจากนี้ สังคมคาดหวังให้องค์กรมีบทบาทสำคัญในการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในการดูแลสุขภาพและเป็นพันธมิตรทางด้านการเงินในการสร้างระบบสาธารณสุขที่เท่าเทียม แพลตฟอร์ม อย่าง Digital Connected Care Coalition สามารถเชื่อมต่อองค์กรภาครัฐและเอกชนเพื่อช่วยผลักดันให้โครงการดิจิทัลเฮลท์ในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลางได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว   สำหรับโซลูชันด้านเฮลท์แคร์เทคโนโลยีในอนาคต ต้องช่วยให้เกิดการส่งมอบด้านสาธารณสุขที่เท่าเทียมกันมากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครหรืออาศัยอยู่ที่ใด เราต้องแน่ใจว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ซึ่งจำเป็นต้องมีแนวทางที่ครอบคลุมและได้รับความร่วมมือในการให้ผู้คนเป็นศูนย์กลางของกระบวนการทางนวัตกรรม และนั่นหมายถึงการรับฟังและทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้ที่ต้องเผชิญกับความไม่เท่าเทียมทางสาธารณสุขที่มีอยู่ 8.การหมุนเวียน คือ กลยุทธ์ในการลดผลกระทบต่อสภาพอากาศของผู้ให้บริการด้านสาธารณสุข การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุและอุบัติการณ์ของโรคเรื้อรัง ทำให้โมเดลด้านสาธารณสุขอย่างยั่งยืนเป็นที่ต้องการอย่างมาก รวมถึงปัญหาด้านพลังงาน ซึ่งอุตสาหกรรมด้านเฮลท์แคร์มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์คิดเป็นร้อยละ 4  ของการปล่อยก๊าซทั้งหมดทั่วโลก [6] ซึ่งมากกว่าอุตสาหกรรมการบินหรือการขนส่งอีก และยังทำให้เกิดขยะจำนวนมากอีกด้วย ผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์ที่ให้ความสำคัญด้านความยั่งยืน จึงมองหาเทคโนโลยีเฮลท์แคร์ที่สามารถช่วยลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมนี้ได้   ในเทคโนโลยีเฮลท์แคร์  'การหมุนเวียน' เกี่ยวข้องกับกระบวนการเกี่ยวกับเครื่องมือทางการแพทย์  แต่การประยุกต์ใช้เครื่องมือด้านสมาร์ทดิจิทัลก็ยังสามารถช่วยให้ระบบการดูแลสุขภาพสามารถลดการใช้ทรัพยากรการผลิต ' เพื่อส่งมอบประโยชน์สูงสุดโดยใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด ยกตัวอย่าง เช่น การสนับสนุนให้เปลี่ยนสิ่งอำนวยความสะดวกทางคลินิกที่ใช้ทรัพยากรมากไปสู่การใช้เครือข่ายที่เชื่อมต่อได้จากที่บ้านซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่า และเทรนด์การใช้โซลูชั่นบนคลาวด์ โซลูชั่นบริการ และโซลูชั่นด้านซอฟต์แวร์นั้น จะช่วยประหยัดการใช้ทรัพยากรสำหรับเครื่องมือทางการแพทย์ และลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ในขณะที่ยังเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น 9.ลดคาร์บอนในวงการเฮลท์แคร์ให้สอดคล้องกับการตั้งเป้าตามหลัก science-based ผู้บริหารในวงการเฮลท์แคร์ตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลก และพยายามลงมือทำบางอย่างเพื่อรับผิดชอบต่อปัญหาดังกล่าว โดยบริษัทเครื่องมือแพทย์และบริษัทเทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์มีการตั้งเป้ากำหนดการลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนตามหลัก science-based   ตัวอย่างเช่น รัฐแคลิฟอร์เนียได้ประกาศให้บริษัทที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไปต้องกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซคาร์บอนภายในปีค.ศ. 2025 โดยมี Science Based Targets initiative (SBTi)เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนให้องค์กรต่างๆ กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซอย่างชัดเจนว่าจะสามารถลดผลกระทบได้มากและเร็วเท่าใดเพื่อลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ในปีค.ศ. 2022 องค์กรมากกว่า 2,200 แห่ง ซึ่งมีมูลค่ารวมกันมากกว่า 1 ใน 3 ของมูลค่าเศรษฐกิจโลกได้ทำงานร่วมกับองค์กร SBTi สำหรับองค์กรด้านเฮลท์แคร์ได้มีการดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ด้วยการลดการใช้พลังงานทางตรงผ่านการนำเสนอเทคโนโลยีด้านด้านเฮลท์แคร์ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น และทางอ้อม ด้วยการลดการปล่อยมลพิษผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน 10.สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่มีต่อสุขภาพของประชากร จากข้อมูลของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค Centers for Disease Control and Prevention (CDC) เผยว่าอุณหภูมิและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มสูงขึ้น สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และผลกระทบด้านสภาพอากาศ ส่งผลต่อสุขภาพประชากรในด้านต่างๆ   บริษัทเครื่องมือแพทย์และบริษัทเทคโนโลยีด้านเฮลท์แคร์เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพผ่านการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน มลพิษ การบริโภค และการปล่อยก๊าซพิษ ด้วยการตระหนักถึงความสำคัญของระบบนิเวศที่ดีต่อสุขภาพของประชากรที่เพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะเห็นแนวโน้มการประยุกต์ใช้ในวงการเฮลท์แคร์ ด้านการ ‘ประเมินต้นทุนทางธรรมชาติ’ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากรจากข้อมูลของ World Economic Forum พบว่าการป้องกันและฟื้นฟูระบบนิเวศทางธรรมชาติสามารถช่วยลดต้นทุนในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึงร้อยละ 37 ซึ่งจำเป็นภายในปีค.ศ. 2030 เพื่อรักษาภาวะโลกร้อนให้ลดลง 2 องศาเซลเซียสอีกทั้งยังช่วยรักษาสภาพแวดล้อมให้มีความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อคนรุ่นต่อๆ ไปในอนาคต [7]   ข้อมูลอ้างอิง [1] Le, Rebecca T., et al. Comparative Analysis of Radiology Trainee Burnout Using the Maslach Burnout Inventory and Oldenburg Burnout Inventory. Academic Radiology, September 2022. [2] Almendral, Aurora, The world could be short of 13 million nurses in 2030 - here's why, World Economic Forum, January 2022. [3] Masson, Gabrielle. About 1 in 5 healthcare workers have left medicine since the pandemic began — Here's why. Becker’s Hospital Review, November 2021. [4] Centers for Disease Control and Prevention. What is Health Equity? [5] United Nations. UN Response to COVID-19. [6] Karliner, Josh, et al. Healthcare’s climate footprint: How the health sector contributes to the global climate crisis and opportunities for action. Health Care Without Harm and Arup, September 2019 (p. 22). [7] Quinney, Marie. 5 reasons why biodiversity matters – to human health, the economy and your wellbeing. World Economic Forum, May 2020.   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -10 จุดตรวจเช็คสุขภาพบ้าน เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน
[PR News] เสนาเจ จับมือ NEC  พลิกโฉม “Smart Living Community”

[PR News] เสนาเจ จับมือ NEC พลิกโฉม “Smart Living Community”

เสนาเจ จับมือบิ๊กด้านไอทีจากญี่ปุ่น NEC Thailand ปั้นแพลตฟอร์มใหม่เพื่อที่อยู่อาศัย  พร้อมลงดีเทลโซลูชั่นด้านเซอร์วิส ตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์รอบด้าน สร้าง “Smart Living Community” เดินหน้าขยายฐานลูกค้าของทั้งสององค์กรสู่กลุ่มใหม่และเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจสู่ความยั่งยืน   ผศ.ดร. เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนา เจ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ SENAJ เปิดเผยว่า ปี 2566 ถือว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของทางเสนาเจ ซึ่งจะยกระดับ มาพร้อมกับการให้บริการในเรื่องเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม พลังงาน สุขภาพ และลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติของสังคม รวมถึงผลกระทบของภาวะโลกร้อน ซึ่งนับวันเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้เป็นเรื่องค่อนข้างใหม่สำหรับประเทศไทย แต่เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากเพราะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนทำให้บริบทของชีวิตและพฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป ก่อให้เกิด Mega Trend ต่างๆ ที่เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายเชิงสังคม (Social Challenge) และเรื่องของวิกฤตสิ่งแวดล้อม (Environmental Crisis)   อย่างไรก็ดี เสนาเจ มุ่งมั่นสร้างสรรค์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการขยายบริการด้านที่อยู่อาศัยอย่างครอบคลุมและคุ้มค่า โดยมุ่งตอบโจทย์ New  Mega Trends ของโลก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยความละเอียดใส่ใจ โดยแกนหลักเสนาเจ ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัย(Safety) ,ความสะดวกสบาย (Convenience),ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Heath care and wellbeing), โดยยึดหลักการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืน และปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ใหม่ให้กับการใช้ชีวิตที่จะช่วยกันลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization lifestyle) ในรูปแบบของการนำเทคโนโลยีเข้าปรับใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า โดยเฉพาะบริการที่เกี่ยวกับการอยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ทุกมิติของการใช้ชีวิต   SENAJ ร่วมกันกับทาง บริษัท เอ็นอีซี คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ NEC Thailand ที่ปรึกษาเทคโนโลยีด้านไอที บริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า 100 ปี ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและการสื่อสารอย่างครบวงจร ร่วมพัฒนาแพลตฟอร์ม “Smart Living Community” ผ่าน Application ที่จะมาเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าและลูกบ้าน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Smart Living and Health Care Solutions”   ความร่วมมือกันของทั้งสององค์กรในครั้งนี้ ถือเป็นการขยายโอกาสและเสริมฐานลูกค้าทางธุรกิจให้กันและกัน พร้อมเปิดมิติใหม่ของการอยู่อาศัยให้กับลูกบ้านเสนาด้วย   ด้านนายอิชิโร่ คูริฮารา ประธาน บริษัท เอ็นอีซี คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ NEC  Thailand กล่าวเพิ่มว่า NEC Thailand มีแนวความคิดร่วมกันกับ SENAJ ในเรื่อง Society Serve เพื่อให้ผู้คนได้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้สำหรับสังคมของเราในอนาคต เราเชื่อว่าการสร้างสรรค์ร่วมกับลูกค้าและผู้มีส่วนร่วมอื่น ๆ เป็นสิ่งจำเป็น และเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ก้าวแรกกับ SENAJ ด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรมและประสบการณ์ของเรา เรามุ่งมั่นที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ SENAJ เพื่อพัฒนาโซลูชั่นที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการทางสังคม เพื่อให้คนในสังคมของเรามีมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้น NEC Thailand วางแผนที่จะพัฒนาโซลูชั่นการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของสังคม   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาฯ เปิดโมเดล​ บ้านพลังงานเป็นศูนย์ เดินหน้าสู่บริษัท ด้านความยั่งยืน
[PR News] พานาโซนิค เปิดตัวระบบควบคุมอากาศ ตรวจับ PM2.5  ประเดิมจับมือ ซื่อตรง ก่อนวางเป้าติดอีกกว่า 25 โครงการ

[PR News] พานาโซนิค เปิดตัวระบบควบคุมอากาศ ตรวจับ PM2.5 ประเดิมจับมือ ซื่อตรง ก่อนวางเป้าติดอีกกว่า 25 โครงการ

พานาโซนิค เปิดตัวระบบควบคุมอากาศ  “Panasonic Complete Air Management System” ชูเทคโนโลยีสร้างคุณภาพอากาศที่ดีกว่า  ตรวจจับ PM2.5 มุ่งเจาะตลาดโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอ็นด์ จับมือ  “ซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้” ประเดมติดตั้งในบ้านในโครงการ “ซื่อตรง พรีเมี่ยม ไอแอม พระราม 2 – แสมดำ” เตรียมเดินหน้าบุกอีกกว่า 25 โครงการในปีนี้   นายฮิเดกิ คิตาซาวะ ผู้อำนวยการส่วนการตลาดเครื่องปรับอากาศ และฝ่ายขาย B2B บริษัท พานาโซนิค เอ.พี. เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพของอากาศมากขึ้น ซึ่งเทรนด์นี้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือเกิดวิกฤติฝุ่นพิษ PM2.5 พานาโซนิคในฐานะ Professional Solution Provider ของไทย จึงได้พัฒนา Panasonic Complete Air Management System (ระบบควบคุมอากาศสมบูรณ์แบบ) ซึ่งเป็นระบบควบคุมอากาศสมบูรณ์แบบ (Complete Air Management System) ที่จะมาตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่กังวลเรื่องคุณภาพอากาศ จุดเด่นของ Panasonic Complete Air Management System อยู่ที่เทคโนโลยีไฮบริดลิงค์ที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะประสานการทำงานกับเครื่องปรับอากาศ และการระบายอากาศ โดยใช้อัลกอริทึมของตัวเอง และเซ็นเซอร์ในตัว ตรวจจับคุณภาพอากาศ เช่น ความชื้น PM2.5, CO2 อุณหภูมิภายในอาคาร และใช้เทคโนโลยี nanoeTM X ที่ได้รับการพัฒนามายาวนานกว่า 20 ปี ทำให้อากาศสะอาดโดยยับยั้งไวรัส แบคทีเรีย มลพิษ กลิ่น ฝุ่น PM2.5 สารก่อภูมิแพ้ เชื้อรา ละอองเกสรดอกไม้ และยังควบคุมความสมดุลของอากาศ เพื่อให้ผิวและผมมีสุขภาพดี ไม่แห้งขาดน้ำ จึงเหมาะที่จะติดตั้งในห้องนอน ซึ่งเป็นที่ที่ทุกคนใช้เวลาอยู่นานกว่า 8 ชั่วโมง   สำหรับการเปิดตัวระบบควบคุมอากาศสมบูรณ์แบบ Panasonic Complete Air Management System ครั้งนี้ ทางบริษัทซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ ได้นำ ระบบควบคุมอากาศสมบูรณ์แบบ ไปติดตั้งในบ้านในโครงการ ซื่อตรง พรีเมี่ยม ไอแอม พระราม 2 – แสมดำ นับเป็นโครงการนำร่องโครงการแรกในเมืองไทยที่มีการติดตั้งระบบควบคุมอากาศสมบูรณ์แบบในห้องนอนของบ้านทุกหลัง การร่วมมือครั้งนี้จะช่วยสร้างการรับรู้ และสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และเรายังมีแผนที่จะติดตั้งระบบนี้ในโครงการใหม่ของซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ รวมถึงโครงการอสังหาฯ  ระดับไฮเอ็นด์อื่น ๆ ประมาณ 25 โครงการ ภายในปีนี้ หลังจากนั้นมีแผนที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มเจ้าของบ้านด้วย​ ด้านนายรุ่งรัตน์ ลิ่มทองแท่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ และบริษัทในเครือ กล่าวว่า ปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญในการเลือกซื้อบ้าน นอกจากจะอยู่ที่ทำเล แบบบ้าน ราคา คุณภาพการก่อสร้างแล้ว ระบบปรับอากาศที่โครงการมอบให้ก็มีผลต่อการตัดสินใจเช่นกัน เพราะเป็นสิ่งจำเป็นที่ลูกค้าต้องติดตั้งก่อนเข้าพักอาศัย เมื่อบริษัท ซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ สร้างโครงการ ซื่อตรง พรีเมี่ยม ไอแอม พระราม 2 – แสมดำ ซึ่งมีระดับราคาอยู่ที่ 7-12 ล้านบาท ลูกค้ากลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับสุขภาพ และคุณภาพอากาศในบ้าน ทางโครงการจึงมองหาผลิตภัณฑ์ที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า จึงได้นำ Panasonic Complete Air Management System มาติดตั้งในบ้านทุกหลังในโครงการนี้ บริษัทซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ กับ พานาโซนิคเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันมานาน บ้านในโครงการซื่อตรง พรีเมี่ยม ไอแอม พระราม 2 – แสมดำ เลือกใช้เครื่องปรับอากาศจากพานาโซนิค ครั้งนี้เป็นการจับมือกันอีกครั้ง เพื่อมอบความสมบูรณ์แบบของอากาศให้ลูกบ้าน เราอยากให้บ้านเป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย ทำให้ลูกบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -Suetrong The Oxy Rangsit Klong 6-ซื่อตรง ดิ ออกซี่ รังสิต คลอง 6 : รีวิวบ้าน    
ตลาดจ๊อดแฟร์ เตรียมย้ายไปที่ใหม่  ใหญ่กว่าเดิม มีทั้งเอ้าท์ดอร์-อินดอร์

ตลาดจ๊อดแฟร์ เตรียมย้ายไปที่ใหม่ ใหญ่กว่าเดิม มีทั้งเอ้าท์ดอร์-อินดอร์

ตลาดจ๊อดแฟร์ เตรียมย้ายไปที่ใหม่ ใกล้ MRT ศูนย์วัฒธรรม ​บนเนื้อที่ 13 ไร่ พร้อมจับมือ กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ปรับคอนเซ็ปต์ใหม่ มีร้านทั้งอินดอร์และเอ้าท์ดอร์ พร้อมเปิดบริการต้นปี 67 ร้านค้าเดิม 700-800 ร้าน เตรียมย้ายหลังหมดสัญญากับกลุ่มเซ็นทรัลในสิ้นปีนี้ ​   ถนนรัชดา เป็นทำเลที่ถูกนิยามเป็น CBD แห่งใหม่ ที่ตอนนี้ใคร ๆ ก็มุ่งหน้าเข้ามาพัฒนาโครงการจำนวนมาก และหนึ่งในทำเลยอดฮิตในการช้อปปิ้ง ที่ในอดีตเคยมีตลาดนัดรถไฟรัชดา สถานที่ยอดฮิตที่คนไทยและต่างชาติ นิยมไปเดินช้อปปิ้ง กิน-ดื่ม กันจำนวนมาก ซึ่งมี “ไพโรจน์ ร้อยแก้ว” หรือ คุณจ๊อด บริหารงานมาตั้งแต่ตลาดรถไฟ สวนจตุจักร เป็นผู้บริหาร ตลาดจ๊อดแฟร์   ล่าสุด ได้เปิดตลาดจ๊อดแฟร์ หลังศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 9 ที่เปิดมาจะ 2 ปีแล้ว โดยตอนเปิดตลาดก็ยังเป็นช่วงไวรัสโควิด-19 ยังแพร่ระบาดอยู่ด้วย แต่คุณจ๊อดก็ยังสามารถนำพาตลาดจ๊อดแฟร์  ฟันผ่าและผ่านวิกฤตโควิด-19 มาได้จนประสบความสำเร็จ กลายเป็นตลาดยอดฮิตแห่งตลาดหนึ่งของคนกรุงเทพฯ ที่สำคัญตลาดจ๊อดแฟร์ยังไม่ได้ฮิตเฉพาะคนไทยเท่านั้น แต่ยังฮิตในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วย  จากข้อมูลล่าสุดของการใช้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชั่น Grab พบว่า ตลาดจ๊อดแฟร์ คือ ติดอันดับ 2 ของ 5 จุดหมายปลายทางที่ชาวต่างชาติชอบไปมากที่สุด เป็นรองอันดับ 1 แค่ ไอคอนสยาม เท่านั้น ส่วนอีก 3 อันดับเป็น เซ็นทรัลเวิล์ด ถนนข้าวสาร และสยามพารากอน   แต่ตลาดจ๊อดแฟร์กำลังจะสิ้นสุดสัญญาเช่ากับ กลุ่มเซ็นทรัลภายในสิ้นปีนี้ และเตรียมจะย้ายไปเปิดที่ใหม่ บนที่ดินของกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค บนถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเดิมคือจัสโก้ ซูปเปอร์มาร์เก็ต สาขารัชดา และต่อมามีการพัฒนาเป็นตลาดนัดอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะปิดตัวลง พื้นที่ดังกล่าวอยู่ติดกับบิ๊กซี รัชดา ใกล้กับ MRT สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เนื้อที่ 13 ไร่  ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และสายสีส้ม พื้นที่ใกล้เคียง มีอาคารสำนักงานขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น AIA Capital Center, CW Tower, Rs Tower ศูนย์การเอสพลานาด และเดอะสตรีท   ตลาดจ๊อดแฟร์ แห่งใหม่มีกำหนดเปิดช่วงต้นปี 2567 ซึ่งมีไฮไลท์น่าสนใจ คือ จะมีพื้นที่ร้านค้าทั้งในส่วนเอาท์ดอร์ และอินดอร์ พร้อมด้วยอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ รวม​มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท  ภายใต้การพัฒนาโดยบริษัท วีรีเทล จำกัด (มหาชน) ในเครือ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค นั่นเอง ไฮไลท์โปรเจ็กต์ ตลาดจ๊อดแฟร์ ใหม่ สำหรับรายละเอียดโครงการมีดังนี้ โครงการแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ  อาคารสูง 12 ชั้น และพื้นที่ร้านค้าด้านหน้าอาคาร ประกอบด้วย ตัวอาคารมีพื้นที่รวมกว่า 93,000 ตร.ม. พื้นที่สำนักงาน 5 ชั้น 20,000 ตร.ม. พื้นที่ร้านค้า 3 ชั้น 25,000 ตร.ม. พื้นที่จอดรถ 4 ชั้น 33,000 ตร.ม. (จอดรถได้ 750 คัน) พื้นที่บริการและสัญจร สวน ล็อบบี้ 15,000 ตร.ม. ส่วนของพื้นที่สำนักงาน จะเป็นสำนักงานแห่งใหม่ของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และบริษัทในกลุ่ม เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ และออกแบบให้เป็นสำนักงานทันสมัย ภายใต้แนวคิด Smart Green Office ทั้งการอนุรักษ์พลังงานเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การออกแบบอาคารให้แสงธรรมชาติเข้าถึงภายในเพื่อประหยัดพลังงาน มีรูฟการ์เด้นท์หรือสวนลอยฟ้า และพื้นที่สีเขียวภายในอาคาร ติดตั้ง Solar Roof ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และมี EV Charging Station สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ตัวอาคารยังมีการใช้เทคโนโลยีใหม่เรื่องการจัดการอาคาร เช่น  ระบบจดจำใบหน้าในการเข้า-ออก ระบบจดจำป้ายทะเบียนรถยนต์ ระบบแลกบัตรผ่านเข้าออกอัจฉริยะ  และระบบชำระค่าจอดรถแบบไร้สัมผัส   ในส่วนของร้านค้าภายในอาคารรวมพื้นที่ 25,000 ตร.ม. จำนวน 3 ชั้น รวมร้านค้า 928 ร้าน ตัวอาคารออกแบบสไตล์วินเทจ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เน้นบรรยากาศสบายๆ เหมือนเดินอยู่ในเชลซีมาร์เก็ต นิวยอร์ค โดยวางคอนเซ็ปต์ให้เป็นแหล่งรวมร้านอาหารสตรีทฟู้ดร้านเด็ดจากทั่วทุกย่านมาไว้ที่นี่   สำหรับพื้นที่กลางแจ้งด้านหน้าอาคารประมาณ 5.6 ไร่ จะเป็นไนท์มาร์เก็ตแห่งใหม่ ที่มีทั้งพื้นที่เป็นล็อค ร้านค้า และร้านในรูปแบบคีออส รวม 798 ร้าน ที่มีสินค้าหลายอย่าง ทั้งอาคาร คาเฟ่ สตรีทฟู้ดชื่อดัง ต้นไม้ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ ของแต่งบ้าน งานวินเทจ งานคราฟท์ งานแฮนด์เมด ซึ่งจะคงคอนเซ็ปท์ไนท์มาร์เก็ตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติในแบบฉบับ “จ๊อดแฟร์” นายไพโรจน์ ร้อยแก้ว เจ้าของตลาดจ๊อดแฟร์ เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ บริษัท วีรีเทล จำกัด (มหาชน) ในการเข้าบริหารพื้นที่รีเทลของโครงการมิกซ์ยูส ริมถนนรัชดาภิเษก ติด MRT ศูนย์วัฒนธรรมฯ ซึ่งมีระยะเวลาสัญญา 20 ปี นานที่สุดเท่าที่เคยบริหารตลาดมาก่อน โดยตลาดนัดสวนรถไฟ ถนนศรีนครินทร์มีระยะเวลาสัญญาเช่า 15 ปี ส่วนตลาดจ๊อดแฟร์ หลังศูนย์การค้าเซ็นทรัลพระราม 9 มีระยะเวลาสัญญา 2 ปี ที่กำลังจะหมดลงภายในสิ้นปี 2566 นี้ จึงเตรียมเปิดตลาดจ๊อดแฟร์แห่งใหม่ ในพื้นที่ 13 ไร่ของบริษัท วีรีเทลฯ ดังกล่าว   โดยจำนวนผู้เช่าที่ตลาดจ๊อดแฟร์ปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 700-800 ราย หากรวมผู้ค้าในเครือข่ายที่เคยเช่าพื้นที่น่าจะมีมากกว่า 3,000 ราย ซึ่งเชื่อว่าหากเปิดจองจะสามารถขายพื้นที่ได้ทั้งหมดโดยเร็ว และอัตราค่าเช่าน่าจะอยู่ในอัตราใกล้เคียงเดิมกับตลาดจ๊อดแฟร์ปัจจุบัน ซึ่งคิดในเรทวันละ 500 บาทต่อ 4 ตร.ม. โดยเท่ากันในทุกทำเล   นายไพโรจน์ กล่าวอีกว่า ในปีนี้ยังมีเปิดให้บริการตลาดนัดกลางคืนอีก 1 แห่ง ซึ่งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก ด้วยรถไฟฟ้า มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 13 ไร่ และเป็นคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ขณะเดียวกันบริษัท วีรีเทลฯ ยังมีที่ดินอีกหลายแปลง อาทิ ที่ดินจำนวนกว่า 11 ไร่ บริเวณตรงข้ามที่ดิน 13 ไร่ มีซึ่งสามารถพัฒนาเป็นตลาดได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ตนจะได้เข้าไปพัฒนาและบริหารต่อไปในอนาคต   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ตุนยอดขายครึ่งปีแรก 7,900 ล้าน จ่อขึ้นราคาบ้าน-คอนโดเพิ่ม5%หลังต้นทุนพุ่ง
แอสเซทไวส์  ปั้นคอนโด “เคฟ” อีก 5 โปรเจกต์  จับตลาดปล่อยเช่านักศึกษายีลด์ 7-8%

แอสเซทไวส์ ปั้นคอนโด “เคฟ” อีก 5 โปรเจกต์ จับตลาดปล่อยเช่านักศึกษายีลด์ 7-8%

แอสเซทไวส์ ยึดทำเลมหา’ลัย ปั้นคอนโด เคฟ อีก 5 โปรเจกต์ 8,980 ล้าน หลังสร้างแบรนด์จนเป็นขวัญใจนักศึกษาและนักลงทุนมากว่า 5 ปี มูลค่ากว่า 14,700 ล้าน   นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้แอสเซทไวส์ยังพัฒนาคอนโดมิเนียมแบนด์เคฟ (Kave) ในพื้นที่ใกล้มหาวิทยาลัย ที่ปีนี้เปิด 5 โครงการ รวม 8,980 ล้านบาท  ได้แก่ เคฟป๊อป ศาลายา  เคฟ วันเดอร์แลนด์  เคฟ โคโค บางแสน เคฟ เอ็มบริโอ รังสิต  และ เคฟ ทาวน์ ไอซ์แลนด์ เนื่องจากตลาดยังมีความต้องการ จากผู้ปกครอง ที่ซื้อเพื่อให้บุตรหลานได้พักอาศัยขณะเรียนหนังสือ และกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่า เพราะได้ผลตอบแทนสูง 7-8% โดยแอสเซทไวส์ได้พัฒนาแบรนด์เคฟ มาไม่ต่ำกว่า 5 ปี จำนวน 9 โครงการรวมมูลค่ากว่า 14,700 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าด้วยดี เนื่องจากเป็นโครงการที่พัฒนาตรงกับความต้องการของกลุ่มนักศึกษา แต่ละโครงการจะมีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ซึ่งตรงกับไลฟ์สไตล์ของนักศึกษา ซึ่งราคาขายเริ่มต้น 1.19-1.79 ล้านบาท มีราคาผ่อนใกล้เคียงกับอัตราค่าเช่าหอพักหรืออพาร์ทเมนท์ แต่มีความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวก จึงทำให้ผู้ปกครองนิยมซื้อให้บุตรหลาน และเมื่อเรียนจบยังสามารถปล่อยเช่าหรือขายต่อได้กำไรด้วย เราเริ่มต้นพัฒนาจากโครงการที่มีไม่กี่ร้อยยูนิต หลัง ๆ เป็น 1,000 ยูนิต ซึ่งก็ยังได้รับการตอบรับที่ดี เพราะโลเกชั่นดีติดมหาวิทยาลัย มีส่วนกลางที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย เพราะให้ความสำคัญกับคอนซูเมอร์อินไซด์ สำหรับทำเลหลักปัจจุบันของแบรนด์เคฟ ยังคงเป็นพื้นที่ในย่านรังสิต เพราะมองว่าตลาดยังมีดีมานด์ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ปัจจุบันจำนวนนักศึกษาและบุคลากรมีจำนวนมากกว่า 45,000 คน โดยหากสามารถขายให้กับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวได้เพียง 10% ก็เป็นจำนวน 4,500 คน แต่ปัจจุบันบริษัทยังพัฒนาโครงการขายได้ไม่ถึง 2,000 ยูนิตเท่านั้น ม.กรุงเทพ กับม.ธรรมศาสตร์ยังมีทำเลพัฒนาโครงการได้อีก เราสนใจไปพัฒนาทุกมหา'ลัย เพราะมีแฟนคลับเป็นกลุ่มนักลงทุนด้วย ซึ่งซื้อปล่อยเช่าได้เดือนละ 10,000 บาทในทำเลม.ธรรมศาสตร์ และถ้าม.กรุงเทพ ปล่อยเช่าได้เดือนละ 12,000 บาท​   นอกจากทำเลในย่านรังสิตแล้ว แอสเซทไวส์ยังมองการพัฒนาในทำเลใกล้มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั้งในเขตกรุงเทพฯ​ ปริมณฑล และต่างจังหวัดด้วย อย่างปีที่ผ่านมาได้พัฒนาโครงการใกล้มหาวิทยาลัยบูรพา บางแสน เนื่องจากมีนักศึกษาจำนวนมากกว่า 25,000 คน ใกล้เคียงกับม.กรุงเทพ ในปีนี้แอสเซทไวส์พัฒนาเฟสต่อเนื่องจำนวนกว่า 800-900 ยูนิต ด้วย​ เรายังเชี่ยวชาญทำเลมหา’ลัย แต่สุดท้ายก็ต้องดูหลักดีมานด์และซัพพลาย เราหวังว่าเด็กครึ่งหนึ่งของมหาลัย จะอยู่โครงการเรา   สำหรับภาพรวมในปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุด ตั้งแต่บริษัทได้ดำเนินธุรกิจมา จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 22,500 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนคอนโด 70% และโครงการแนวราบ 30% แบ่งเป็นโครงการคอนโดภายใต้แบรนด์เคฟ, แบรนด์แอทโมซ (Atmoz) และแบรนด์โมดิซ (Modiz) จำนวน 9 โครงการ มูลค่ารวม 15,830 ล้านบาท และโครงการบ้าน 3 โครงการ มูลค่ารวม 6,670 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (The Honor) และ แบรนด์แนวราบน้องใหม่กับ แบรนด์ดิ อาร์เบอร์ (The Arbor) เพื่อเปิดประสบการณ์ที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมดีไซน์ใหม่ เตรียมขยายกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์มากยิ่งขึ้น   ทั้งนี้บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของยอดขายที่ระดับ 15,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารับรู้รายได้ในปีนี้ที่ 7,200 ล้านบาท อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พาไปดู โปรเจ็กต์หมื่นล้าน “ไวส์พาร์ค มีนบุรี” มิกซ์ยูสใหญ่สุดของ แอสเสทไวส์ ในรอบ 10 ปี -แอสเซทไวส์ เปิด 5 กลยุทธ์ความสำเร็จแบรนด์เคฟ แคมปัสคอนโด จับกลุ่มนศ.มหาลัย-นักลงทุน
[PR News] รพ.อินเตอร์เมดิคัล ปั้นโปรเจกต์ “IMH Medical Hub” ย่าน BTS แบริ่ง

[PR News] รพ.อินเตอร์เมดิคัล ปั้นโปรเจกต์ “IMH Medical Hub” ย่าน BTS แบริ่ง

กลุ่มโรงพยาบาล อินเตอร์เมดิคัลฯ ​จับมือ​ “พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์”  อดีตนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ปั้นที่ดิน 12 ไร่ย่านแบริ่ง ขึ้นโปรเจกต์  "IMH Medical Hub"   ย่าน BTS แบริ่ง กว่า 12 ไร่ หวังดัน “IMH” ติด TOP 3 กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลไทย     ดร.สิทธิวัตน์ กำกัดวงษ์ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มโรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ (“IMH”) เปิดเผยว่า ได้เตรียมปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัท โดยแชร์ทรัพยากรร่วมกัน (synergy)​ ภายในกลุ่ม IMH​ ซึ่งประกอบด้วย โรงพยาบาล​อินเตอร์​เมด​ฯ โรงพยาบาล IMH​ ธนบุรี โรงพยาบาล มเหสักข์​ ย่านสีลม ที่เพิ่งซื้อกิจการเข้ามาใหม่ เพื่อปูทางสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งไปสู่ การลงทุนเมกะโปรเจกต์ใหม่ ภายใต้ชื่อ "IMH​ Medical​ Hub" ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ กลางปี 2568 นี้ สู่การ ปูทางเพื่อก้าวเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจโรงพยาบาล TOP 3 ในกลุ่มโรงพยาบาลชั้นนำของปะเทศ   โดยล่าสุด กลุ่มโรงพยาบาล​ IMH ได้ลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาว 30 ปี (ต่อได้อีก 30ปี รวม60ปี)​ ที่ดินเกรดเอ 12 ไร่  ติดสถานีรถไฟฟ้า BTS แบริ่ง (สายสุขุมวิท)​ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งต้นปี 2566 นี้ IMH​ จะเริ่มพัฒนาที่ดินแปลงนี้ ร่วมกับ กลุ่มคุณ พรนริศ ชวน​ไชย​สิทธิ์​ อดีต​นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และ ประธานกฎบัตร​ไทย ซึ่งเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงประสบความสำเร็จ​ในวงการอสังหา​ริมทรัพย์ เพื่อพัฒนา เมกะโปรเจกต์ใหม่ ภายใต้ชื่อ "IMH​ Medical​ Hub" ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เฟส​ ดังนี้ โดยเฟส 1 คาดว่า จะเปิดให้บริการในครึ่งปีหลังของปี 2568 ประกอบด้วย โรงพยาบาล IMH​ แบริ่ง ขนาด 200​ เตียง รองรับคนไข้เงินสด และสิทธิประกันสังคม​ อาคาร Retail space ศูนย์แพทย์เฉพาะทาง &​ Wellness Center ส่วนเฟส  2 คาดว่าจะเปิดให้บริการ ปี 2571 ประกอบด้วย โรงพยาบาล IMH​ International ขนาด 400​ เตียง รับคนไข้เงินสด และต่างชาติ ศูนย์พักฟื้นผู้ป่วยและกายภาพบำบัด สำหรับ เมกะโปรเจกต์ “IMH​ Medical​ Hub” มีจุดเด่นคือ 1.ที่ตั้งโครงการมีศักยภาพสูง และพื้นที่มีขนาดใหญ่ถึง 12 ไร่ จึงสามารถจะขยายธุรกิจทางการแพทย์ได้หลากหลาย และดึงดูด พาร์ทเนอร์ที่มีประสบการณ์ มาร่วมลงทุน-แบ่งกำไร ทำให้ธุรกิจแต่ละส่วนในพื้นที่โครงการ อยู่แบบพึ่งพิงกันได้อย่างครบวงจร ซึ่งจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนไข้เข้ามาใช้บริการในหลายรูปแบบ และ สามารถ cross -​sell บริการต่าง ๆ ในโครงการได้เป็นอย่างดี  ทำให้ได้เปรียบโรงพยาบาลอื่น ๆที่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ ซึ่งทำให้การขยายโรงพยาบาล​เป็นไปได้ยาก   2.ที่ตั้งโครงการ อยู่ติด BTS​ แบริ่ง ไป-มาสะดวก สามารถรับคนไข้ได้ทั้งกรุงเทพ​ และสมุทรปราการ พร้อมที่จอดรถ กว่า 800 คัน  และโครงการนี้ยังได้รับการ refer ฐานลูกค้าจาก โรงพยาบาล อื่น ในเครือ IMH​ อีกด้วย   3.การระดมลงทุนสำหรับโครงการนี้ เน้นการลงทุนทีละเฟส โดยใช้เงินทุนหมุนเวียน และเงินกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบัน กลุ่ม IMH​ อยู่ระหว่างเจรจากับพาร์ทเนอร์​ที่มีประสบการณ์ เช่น โรงพยาบาลเบอร์ต้นๆ ของประเทศ มาร่วมลงทุน-แบ่งกำไร ซึ่ง IMH​ จะได้รับส่วนแบ่งกำไร ตามส่วนธุรกิจที่พาร์ทเนอร์ ​เข้ามาลงทุน เพื่อรับรู้รายได้เร็วและคืนทุนเร็ว   4.ทางด้านการแพทย์และจัดหาบุคลากรวิชาชีพ นั้น กลุ่ม IMH​ ได้มอบหมายให้ นายแพทย์สุขุม กา​ญ​จน​พิมาย​ กรรมการ และ ประธานที่ปรึกษาของกลุ่มโรงพยาบาล​ ผู้มีประสบการณ์ด้านการแพทย์ สาธารณสุข และปัจจุบันเป็น นายกแพทยสมาคมฯ เป็นผู้ดูแล ให้มีแพทย์และวิชาชีพ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและมีประสบการณ์​สูง ให้เพียงพอกับจำนวนคนไข้ที่เพิ่มมากขึ้น 5.ทางด้าน Retail space นั้น กลุ่ม IMH​ ได้มอบหมายให้ คุณบุณยฤทธิ์​ กัลยาณมิตร​ กรรมการกลุ่มโรงพยาบาล ที่มีประสบการณ์ด้านการค้าการพาณิชย์ เป็นผู้ดูแล โดยเบื้องต้น IMH​ จะให้เช่าพื้นที่ Retail space ซึ่งอยู่ใกล้สถานที่รถไฟฟ้า BTS แบริ่ง ที่มีคนเข้า-ออกเป็นจำนวนมากทุกวัน จะออกแบบให้เป็นพื้นที่ Retail Mall จำหน่ายสินค้า/บริการ เกี่ยวกับสุขภาพทุกประเภท ตั้งเป้าให้เป็น Organic Market Place ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ และ จะเปิดให้บริการได้ทันที ระหว่างการก่อสร้างโรงพยาบาล โดยใช้ประโยชน์จากพื้นที่ดินในส่วนที่ยังไม่ได้ก่อสร้าง เพื่อให้เกิดการทำรายได้สูงสุด สำหรับรายได้ของ เมกะโปรเจกต์ ​IMH​ Medical Hub  ได้ตั้งเป้าไว้ระดับ 5,000 ล้านบาท ใน 5 ปี ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางนโยบายของภาครัฐ ที่จะดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ในระยะใกล้นี้    
มีอะไรใหม่ใน เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ หลังทุ่มพันล้านสู่ Co-Living Space

มีอะไรใหม่ใน เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ หลังทุ่มพันล้านสู่ Co-Living Space

AWC ทุ่มงบ 1,000 ล้าน ปรับโฉม “เอ็มไพร์ ทาวเวอร์” สู่ Co-Living Space ผสานการใช้ชีวิตและการทำงาน พร้อมปั้นรูฟท็อป แลนด์มาร์คใหม่ย่านสาทร   AWC หรือ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) ของตระกูล "สิริวัฒนภักดี" ที่มีลูกสาวคนรองของเจ้าสัว เจริญ สิริวัฒภักดี อย่าง นางวัลลภา ไตรโสรัส นั่งบริหารงาน ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC ได้ประกาศทุ่มงบถึง 1,000 ล้านบาท เพื่อปรับโฉมอาคารเอ็มไพร์ใหม่ สู่ “Co-Living Collective: Empower Future” จากเดิมที่เป็นอาคารสำนักงานเกรด เอ เหมือน ๆ กับอาคารสำนักงานทั่วไปที่อยู่ในย่านใจกลางธุรกิจ เป็น Co-Living Space ทำไมต้องก้าวสู่ Co-Living Space ต้องยอมรับว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงชีวิตพนักงานออฟฟิศ ที่ต้องอยู่บ้านเพื่อทำงาน หรือ Work from Home ทำให้พื้นที่ออฟฟิศลดความจำเป็นในการใช้งานลง แม้แต่ภายหลังที่สถานการณ์โควิดเบาบางลง จนทำให้หลายองค์กรเริ่มกลับมาทำงานที่ออฟฟิศกันปกติ แต่ก็ยังมีออฟฟิศจำนวนมาก ปรับรูปแบบสู่การทำงานแบบไฮบริด คือ ผสมผสานการทำงาน ให้พนักงานมาทำงานที่ออฟฟิศบางวัน ทำงานจากที่บ้าน หรือทำงานจากที่ไหน ๆ ก็ได้ (Work from anywhere) ในบางวัน   เพราะในช่วงเวลาของการเกิดโควิดและพนักงานจำนวนมากทำงานอยู่ที่บ้าน หรือที่ใด ๆ ก็ตาม  การทำงานก็ยังมีประสิทธิภาพ และสามารถจบงานต่าง ๆ ได้ ไม่แตกต่างจากการต้องมาทำงานที่ออฟฟิศ แถมมีงานวิจัยหรือการสำรวจความเห็นของหลายองค์กร ระบุว่า คนทำงานบางส่วนไม่พร้อมจะกลับมาทำงานที่ออฟฟิศแบบฟลูไทม์แล้ว ยิ่งคนรุ่นใหม่จำนวนมาก หลักเกณฑ์ในการเลือกองค์กรทำงาน ก็จะเน้นองค์กรที่มีความยื่นหยุ่นสูงในเรื่องสถานที่การทำงา หรือเรื่องของการทำงาน   ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่าตอนนี้อาคารสำนักงานใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในปัจจุบัน และแผนการพัฒนาในอนาคต จะเกิดขึ้นอีกมากมายหลายประเภท และหลายเกรด ทำให้การแข่งขันในธุรกิจอาคารสำนักงานมีสูงมากขึ้น ทำให้อาคารสำนักงานที่มีอยู่แต่เดิม ต้องลุกขึ้นมาปรับโฉม รีโนเวท พัฒนาหรือเติมเต็มการบริการให้กับผู้เช่า  เพื่อจะรักษาฐานผู้เช่ารายเดิมไว้ ขณะเดียวกันก็ดึงดูดผู้เช่ารายใหม่ให้เข้ามาใช้บริการด้วย   การปรับโฉมของ AWC ครั้งนี้ ก็เพราะมองเห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงไป ของรูปแบบการทำงานและไลฟ์สไตล์การทำงานของคนยุคปัจจุบัน ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแค่ออฟฟิศเท่านั้น แถมการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันก็เชื่อมโยงไปกันหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน การกิน การใช้ชีวิต หรือการพักผ่าน นอกจากนี้ AWC ก็มองเห็นว่าการแข่งขันในธุรกิจอาคารสำนักงานมีสูง นอกจากจะเติมเต็มประสบการณ์ให้กับพนักงานแล้ว ต้องเพิ่มและเสริมการบริการใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ และรักษาฐานลูกค้าเดิมเอาไว้ ไม่ให้ย้ายออกไปไหนด้วย มีอะไร? ใน อาคารเอ็มไพร์   สำหรับอาคารเอ็มไพร์ โฉมใหม่ ที่ได้ทุ่มทุน 1,000 ล้านบาท เพื่อเติมไฮไลท์ใหม่ ๆ เข้ามาเสริม ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนทำงานยุคปัจจุบัน เป็นการเพิ่มพื้นที่ส่วนกลาง เหมือนการอาศัยอยู่กับคอนโด จากเดิมที่มีแค่การให้บริการที่จอดรถ และห้องน้ำ แต่ต่อไปนี้จะมีพื้นที่ใหม่ ๆ ที่เตรียมเข้ามา ซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 2 และจะสมบูรณ์ภายในสิ้นปีนี้ โดยอาคารเอ็มไพร์ ภายใต้รูปโฉม The Co-Living Collective: Empower Future จะเพิ่มเติมสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ Co-Living Space ที่ใหญ่ที่สุด AWC ได้ผสมผสานประสบการณ์การใช้ชีวิตและการทำงาน ให้การมาทำงานที่อาคารเอ็มไพร์ มีบรรยากาศเหมือนอยู่บ้าน ด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามา ภายใต้แนวคิด “Co-Living Collective: Empower Future” ซึ่งได้เตรียมพื้นที่กว่า 1,500 ตารางเมตร บนชั้น 53 สร้าง อาทิ พื้นที่เตรียมอาหาร รับประทานอาหาร พื้นที่นั่งเล่น ประชุม พักผ่อนหย่อนใจ เสริมสร้างสุขภาพ ห้องอาบน้ำ พื้นที่ทำงานร่วมกัน และ ห้องประชุม  Circle Club Chat Board ห้องนั่งเล่น (Living Room) พื้นที่สันทนาการเพื่อการพักผ่อน เพลิดเพลินกับเกมคอนโซล โต๊ะพูล และโต๊ะปิงปอง ห้องพักผ่อนที่หลับได้พักนึง  (Nap Lounge) ในวันที่ทำงานหนักหรือพักผ่อนไม่พอ ห้องอาบน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า (Locker Room) ห้องสำหรับเด็ก (Kids Room) เพื่อมานั่งเล่น ทำการบ้าน หลังเลิกเรียน ระหว่างรอผู้ปกครองกลับบ้าน ห้องดูแลลูก (Nursing Lounge) เปลี่ยนผ้าอ้อม ห้องปั๊มนมสำหรับคุณแม่ลูกอ่อน พื้นที่สำหรับดูแลสัตว์เลี้ยง (Pet’s Hotel) “EA” รูฟท็อปอาหาร-เครื่องดื่ม ใหญ่สุด  การกินอาหารปัจจุบันไม่ใช่แค่ความจำเป็นของชีวิตอย่างเดียว ยิ่งเป็นคนทำงานหรือนักธุรกิจ การกินอาหารยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยเรื่องธุรกิจด้วย เพราะสามารถคุยงานหรือเจรจาธุรกิจระหว่างกินอาหารได้ และที่สำคัญ AWC มีเครือโรงแรมจำนวนมากที่บริหารงานอยู่ จึงถือว่านำเอาความแข็งแกร่งในเรื่องของอาหารและเครื่องดื่มมาช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า และสร้างจุดแข็งให้กับอาคารเอ็มไพร์ ด้วยการสร้างแลนด์มาร์คใหม่ย่านสาทร บนชั้น 55-58 พื้นที่รวม 9,000 ตารางเมตร ใช้งบประมาณ 500-600 ล้านบาท เป็นศูนย์รวมร้านอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำ โดยมีรูฟท็อปที่สามารถเห็นวิวกรุงเทพฯ ได้แบบ 360 องศา และใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วย ชั้น 55 รวบรวมภัตตาคารและร้านอาหารนานาชาติที่หลากหลาย อาทิ ร้าน % Arabica ที่จะเปิดเป็นสาขาแบบ Sky Café แห่งแรกของโลก และ The Cassette Music Bar แฮงเอาท์คลับยอดนิยมของชาวกรุงเทพฯ เป็นต้น ชั้น 56 “EA” (เอ-ยา) จุดหมายปลายทางแห่งอาหารอันโดดเด่นบนยอดตึกใจกลางกรุง ที่ผสมผสานระหว่างบาร์ ภัตตาคาร พร้อมบริการชั้นเลิศ เพื่อนำเสนออาหารและเครื่องดื่มอันหลากหลาย ชั้น 57 – 58 นำเสนอสุดยอดแบรนด์ไลฟ์สไตล์สุดหรูระดับโลกครั้งแรกในประเทศไทย โดยเชฟ Nobu Matsuhisa เชฟผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารญี่ปุ่น-เปรู ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกจากการนำเสนอวัตถุดิบชั้นเลิศและบริการชั้นยอด พร้อมด้วยการออกแบบตกแต่งร้านให้มีเอกลักษณ์จากบริษัทออกแบบระดับตำนานอย่าง Rockwell Group นอกจากนี้ ในบริเวณชั้น Ground  จะมีการพัฒนาเป็นเลาจ์ เพื่อเชื่อมโยงลิฟท์ขึ้นไปโดยตรงบริเวณชั้นอาหารและเครื่องดื่มตั้งแต่ชั้น 55 ขึ้นไปด้วย ก่อนหน้าเรามีแค่ห้องน้ำและที่จอดรถให้กับผู้เช่า วันนี้เราเติม Common facility เหมือนการซื้อคอนโดอยู่ เตรียม 40,000 ตร.ม.เพิ่มการอัตราเช่า อาคารเอ็มไพร์มีพื้นที่รวม 314,800 ตร.ม. มีจำนวน 58 ชั้น มูลค่าสินทรัพย์ถึง 20,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีอัตราการเข้าใช้พื้นที่เช่าอยู่ประมาณ 70% เป็นบริษัทองค์กรต่างชาติถึง 74% ซึ่งอัตราเข้าใช้พื้นที่อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด แม้ว่าช่วง 3 ปีจะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่อาคารเอ็มไพร์ก็ยังรักษาระดับจำนวนผู้เช่าไว้ได้อย่างดี   แต่ปัจจุบันอาคารเอ็มไพร์ ยังมีพื้นที่เหลือถึง 40,000 ตร.ม. สำหรับรองรับกับผู้เช่ารายใหม่ได้ พื้นที่ดังกล่าวหักในส่วนที่ต้องปรับปรุงเป็นพื้นที่ทำส่วนกลางและร้านอาหารแล้ว​ ซึ่ง AWC มีเป้าหมายการดึงกลุ่มผู้เช่ารายใหม่ โดยเฉพาะที่บริษัทข้ามชาติ และบริษัทคนรุ่นใหม่ให้เข้าใช้บริการ โดยปัจจุบนคิดอัตราเช่า 1,200-1,400 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน แต่อัตราเช่าจะมีโปรโมชั่นและส่วนลดแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสัญญาเช่า ระยะเวลา และขนาดพื้นที่   โดย AWC ได้จัดเตรียมพื้นที่เช่าที่มีความหลากหลาย ทั้งพื้นที่เปล่า พื้นที่สำเร็จรูปตกแต่งพร้อมเข้าอยู่ ให้กับผู้เช้าได้เลือกใช้บริการ มี Swing Floor พื้นที่ทำงานชั่วคราวสำหรับผู้เช่าระหว่างการออกแบบตกแต่งสำนักงาน ที่มีการตกแต่งบางส่วนหรือทั้งหมดด้วยวัสดุและอุปกรณ์ที่สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการเฉพาะของผู้เช่า เช่น ฉากกั้นแบบยืดหยุ่น เฟอร์นิเจอร์โมดูลาร์ เฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับสรีระ ตลอดจนให้คำปรึกษาในการออกแบบและตกแต่งสำนักงาน   AWC คาดหวังกว่า การปรับโฉมใหม่ครั้งนี้ และการเตรียมเพิ่มประสบการณ์อันหลาหลายเหล่านี้ จะช่วยทำให้อัตราการเข้าใช้พื้นที่ขยับมากขึ้น เพราะตามพอร์ตอาคารสำนักงาน ที่ AWC บริหารงานอยู่มีอัตราการเข้าใช้พื้นที่มากกว่านี้ อาทิ อาคารสำนักงานแอทธินีทาวเวอร์ มีอัตราการเช่า 96% อาคาร 208 ไวร์เลส โรด อัตราเช่า 92% พร้อมกับดึงทราฟฟิคให้คนเข้ามาใช้บริการส่วนร้านอาหารและเครื่องดื่มได้อีกวันละ​ 5,000 คน จากปัจจุบันมีการหมุนเวียนการใช้บริการต่าง ๆ ภายในอาคารวันละ 20,000 คน ตอนนี้เป็นการบิวด์ธุรกิจให้กลับมา ช่วง 3 ปี เรารักษาการเช่าไว้ได้ที่ 70% แต่ควรขยับมากกว่านี้ ที่ไม่ขยับ   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -จากโรบินสันสีลม สู่ สีลมเอจ มิกซ์ยูส 1,800 ล้านของ เฟรเซอร์สฯ -ตลาดออฟฟิศ-โรงแรมในกรุงเทพฯ Q1 บทสรุป ยังบาดเจ็บจากพิษโควิด-19 -AWC เดินแผนขยายธุรกิจแสนล้าน เตรียมเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 9 แห่ง  
9 เทคนิคจัดบ้านให้มงคล รับตรุษจีน 66

9 เทคนิคจัดบ้านให้มงคล รับตรุษจีน 66

ตรุษจีน 66 หรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน ปี 2566 สำหรับปีนี้​ ตรงกับวันที่ 22 มกราคม ส่วนวันที่ 20 มกราคม จะเป็นวันจ่าย สำหรับซื้อสินค้าและของต่าง ๆ มาใช้ในพิธีไหว้าเจ้าไหว้บรรพบุรุษ และวันที่ 21 มกราคม เป็นวันไหว้เจ้าและทำพิธีไหว้ต่าง ๆ ซึ่งตามธรรมเนียมจีนแล้ว เทศกาลตรุษจีนจะมีการทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว ซึ่งสิ่งหนึ่งต้องทำคือ การทำความสะอาดบ้าน หรือการจัดบ้าน     โดยการจัดบ้าน นอกจากจะทำให้บ้านเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ยังช่วยเสริมในเรื่องฮวงจุ้ย เสริมโชคลาภและทำให้การอยู่อาศัยในบ้านมีสุขภาพที่ดี มีความสุข สบายด้วย ไม่จำกัดเฉพาะการจัดบ้านให้เป็นมงคล รับตรุษจีน 66 ก็ตาม เทคนิคที่จะเล่าต่อไปนี้ สามารถใช้ได้ตลอดทั้งปีด้วยนะ 9 เทคนิคจัดบ้านให้มงคลรับ ตรุษจีน 66 มาดูกันว่า 9 เทคนิคจัดบ้านให้มงคล รับตรุษจีน 66 มีอะไรบ้าง ซึ่งมั่นใจได้เลยว่า สามารถทำตามได้ไม่ยาก ใคร ๆ ก็ทำได้ 1.จัดทางเข้าบ้าน-ประตูบ้านไม่ให้รก ทางเข้าบ้าน หรือบริเวณประตูเข้าบ้าน ถือเป็นจุดสำคัญตามหลักฮวงจุ้ย เพราะเป็นบริเวณพลังชี่ ซึ่งเป็นพลังที่ดี สามารถเรียกเงินเรียกทองเข้าบ้าน หากบริเวณดังกล่าวรก หรือไม่เป็นระเบียบ ก็จะขัดขวางโชคลาภ และเงินทองเข้าบ้านด้วย แต่หากพูดถึงตามหลักการทั่วไปแล้ว ทางเข้าบ้านเป็นจุดที่เราต้องเข้าออกบ้านทุกวัน หากมีสิ่งของวางไว้เกะกะ ไม่เป็นระเบียบ มันก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุหรือไม่สะดวกต่อการเข้าออกได้เช่นกัน 2.ทิ้งของแตกหัก-ชำรุดใช้งานไม่ได้ ของแตกหัก หรือชำรุด หากอยู่ในบ้าน ชาวจีนถือว่าไม่ควรทำ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เป็นมงคล อาจทำให้คนอยู่ในบ้านเกิดการทะเลาะแตกแยกกันได้ จึงควรทิ้งหรือเอาออกจากบ้าน 3.จัดบ้านให้สว่าง แสงสว่าง ถือเป็นส่วนสำคัญอีกอย่างสำหรับการเพิ่มความมงคลภายในบ้าน เพราะจะทำให้เกิดความสุข ชีวิตมีแต่ความรุ่งโรจน์ จึงควรทำให้บ้านมีแสงสว่างที่เหมาะสม ตามบริเวณต่าง ๆ ขณะเดียวกัน การมีแสงสว่างยังช่วยทำให้เกิดความปลอดภัยภายในบ้านด้วย เพราะหากมีมุมอับแล้วมีสิ่งของกีดขวางอยู่ เราก็อาจจะได้รับอุบัติเหตุได้ด้วยเหมือนกัน 4.จัดบ้านให้เป็นระเบียบ-ไม่รก ข้อนี้ คงมีความใกล้เคียงกับ การจัดหน้าบ้านไม่ให้รก แต่หากจัดบ้านไม่ให้รกเฉพาะหน้าบ้าน  ขณะที่พื้นที่อื่น ๆ ในบ้านรก ไม่เป็นระเบียบ ก็เป็นการทำให้โชคลาภไม่เข้ามาได้ด้วยเหมือนกัน จุดอื่น ๆ ของบ้านจึงจะต้องมีความเป็นระเบียบ ไม่รก ไม่สกปรกด้วย เพื่อให้คนอยู่ในบ้านมีสุขภาพดี มีโชคลาภเข้ามาด้วย 5.ประดับโคมไฟจีน สำหรับโคมไฟจีนนั้น ชาวจีนถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของงานรื่นเริง งานสำคัญ ทำให้ช่วงเทศกาลสำคัญอย่างตรุษจีน จึงมีการประดับตกแต่งด้วยโคมไฟจีน ทั้งในบ้านและที่ทำงาน แต่ห้ามนำมาแขวนไว้หน้าบ้านเวลากลางคืน เพราะจะหมายถึงว่า บ้านนี้คนเสียชีวิต 6.แตกผนังบ้านด้วยอักษรจีน อักษรจีน ที่มีความหมายเป็นมงคล เป็นที่นิยมนำมาประดับตกแต่งบ้านอยู่แล้วเป็นปกติ เพราะเหมือนการดึงดูดพลังงานที่ดีเข้ามาไว้ในบ้าน ทำให้ในช่วงวันตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ ชาวจีนจึงนิยมนำเอาภาพอักษรจีนมาประดับตกแต่งบ้าน โดยเฉพาะตุ้ยเลี้ยง คือ คำอวยพรปีใหม่ ความหมายดี ๆ เป็นมงคล ด้วยความหมายต่าง ๆ  ที่เป็นอักษรจีน มักจะประกอบด้วยตัวอักษรจีน 7 เขียนเป็นคำกลอน ซึ่งคนจีนนิยมนำมาติดไว้ในบ้าน มักจะติดสองข้างประตูบ้าน และติดตรงกลางทางเข้าออก เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดความร่ำรวย เป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว 7.ปลูกไม้มงคล เช่น ไผ่, กล้วยไม้ สิ่งของที่เป็นมงคล ที่ชาวจีนเชื่อถือ และนิยมนำมาไว้ในบ้านมีหลายอย่าง ต้นไม้มงคล ก็เป็นสิ่งที่ชาวจีนนิยมนำมาปลูกหรือประดับบ้าน โดยต้นไม้มงคลมีอยู่มาหมายหลายชนิด แล้วแต่ความเชื่อของคนจีนว่าอยากได้ความเป็นมงคลในเรื่องอะไร ซึ่งเทศกาลตรุษจีน เพื่อความเป็นมงคล จึงนิยมปลูกต้นไม้มงคลไว้หน้าบ้าน เช่น ต้นไผ่ หมายถึง ความดีงาม ต้นสน ช่วยเกื้อหนุนให้อายุยืนยาว เป็นต้น 8.จัด-ทำความสะอาด หิ้งพระ-ตีจู้เอี๊ยะ ธรรมเนียมปฏิบัติหนึ่งของเทศกาลตรุษจีน คือ การไหว้เจ้า ไหว้เจ้าที่ ทำให้บริเวณหิ้งพระ หรือตีจู้เอี๊ยะ จึงต้องทำความสะอาด และจัดให้เป็นระเบียบ เพื่อทำพิธีไหว้ให้เกิดความเป็นมงคล นอกจากนี้ หากในบ้านมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ก็ต้องทำเช่นเดียวกัน เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นช่วยคุ้มครองให้คนในบ้านประสบแต่โชคดี และมีความมงคลเกิดขึ้นด้วย 9.แต่งบ้านด้วยของมงคล ของมงคลต่าง ๆ ที่ชาวจีนเชื่อ และให้การยอมรับมีจำนวนมาก แล้วแต่จะเน้นเรื่องอะไรบ้าง ซึ่งชาวจีนมักจะนำเอาของมงคลมาใช้ประดับตกแต่งบ้าน มาตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน หรือเอามาติดตัว เพื่อทำให้ชีวิตมีแต่ความมงคล มีโชคลาภ มีความสุข สุขภาพแข็งแรง ทำให้ช่วงเทศกาลตรุษจีน หรือปีใหม่จีน ชาวจีนจึงมักจะแต่งบ้าน หรือจัดบ้านให้เกิดความเป็นมงคล ด้วยของมงคลต่าง ๆ เช่น ตุ๊กตารูปสัตว์ อาทิ หมู แสดงความมั่งคั่ง  เครื่องปั้นดินเผา เสริมดวงการเงิน เป็นต้น   ทั้งหมดนี้ก็เป็น 9 เทคนิคจัดบ้านให้มงคลรับ ตรุษจีน 66 ที่ทำได้ทุกคน ทุกบ้าน หรือหากจะผ่านพ้นเทศกาลตรุษจีนไปแล้ว เราก็สามารถนำเอาเทคนิคนี้มาจัดบ้านได้ เพื่อให้ชีวิตการอยู่อาศัย มีแต่ความเฮง ๆ โชคดีรับปี 2566 ตลอดไปนั่นเอง   ที่มา-ไทยรัฐ, ดีดีพร็อพเพอร์ตี้, บ้านและสวน   อ่านบทความเพิ่มเติม -สิ่งที่ต้องทำในวันตรุษจีน 66 เพื่อความเป็นมงคลของชีวิต
สิ่งที่ต้องทำในวันตรุษจีน 66 เพื่อความเป็นมงคลของชีวิต

สิ่งที่ต้องทำในวันตรุษจีน 66 เพื่อความเป็นมงคลของชีวิต

ตรุษจีน 66 นอกจากวันที่ 1 มกราคมของทุกปี จะถือเป็นวันขึ้นปีใหม่สากลแล้ว ทุก ๆ ช่วงต้นปี ชาวจีน หรือผู้ที่มีเชื้อสายจีนทั่วโลก ก็มักจะถือเอาวันที่ 1 เดือน 1 ตามปฏิทินจีน เป็นวันขึ้นปีใหม่จีน หรือวันตรุษจีน ซึ่งจะมีการเฉลิมฉลองและพิธีกรรมต่าง ๆ ตามธรรมเนียมจีนกันด้วย แต่วันที่ 1 เดือน 1 หรือวันตรุษจีน ในแต่ละปีจะไม่ใช่วันเดียวกันในทุก ๆ ปี จะเป็นวันไหนบ้างนั้น ต้องดูปฏิทินจีนเป็นหลัก   โดยปี 2566 นี้ วันตรุษจีน 2566 ตรงกับวันที่ 22 มกราคม ส่วนวันที่ 20 มกราคม จะเป็นวันจ่าย สำหรับซื้อสินค้าและของต่าง ๆ มาใช้ในพิธีไหว้าเจ้าไหว้บรรพบุรุษ และวันที่ 21 มกราคม เป็นวันไหว้เจ้าและทำพิธีไหว้ต่าง ๆ ซึ่งตามธรรมเนียมจีนแล้ว เทศกาลตรุษจีนจะมีการทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว รวมถึงการห้ามทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อผลในทางเดียวกันด้วย   มาดูกันว่าตามธรรมเนียมจีนแล้ว วันตรุษจีน 66 ปีนี้ เราควรทำอะไร ในวันตรุษจีนกันบ้าง เพื่อชีวิตจะได้พบเจอแต่สิ่งดี ๆ มีความสุข เป็นมงคลแก่ชีวิตของเรากันบ้าง สิ่งต้องทำในวันตรุษจีน 1.ไหว้เจ้า, ไหว้เจ้าที่, ไหว้บรรพบุรุษ สิ่งมงคลที่ต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในเทศกาลตรุษจีน ก็คือ การไหว้เจ้า ไหว้เจ้าที่ภายในบ้าน และไหว้บรรพบุรุษ รวมไปถึงไหว้ผีไม่มีญาติ ด้วยของไหว้ อาหารคาว อาหารหวาน และผลไม้ ที่เป็นมงคลตามความเชื่อของชาวจีน ซึ่งในพิธีการไหว้นี้ จะมีการจุดประทัดด้วย ตามความเชื่อในเรื่องจะช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย 2.ทำพิธีรับ “ไฉ่ ซิ่ง เอี้ย” ชาวจีนนิยมไหว้ “ไฉ่ ซิ่ง เอี้ย” ที่เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภและเงินทอง เพราะจะทำให้มั่งคั่งร่ำรวย ให้โชคลาภ รวมถึงสุขภาพดี ครอบครัวรักสามัคคีปรองดอง ​โดยพิธีรับ ไฉ่ ชิ่ง เอี้ย จะดูฤกษ์ยามที่เทพลงมายังโลก ซึ่งมักจะเป็นช่วงวันก่อนวันตรุษจีน   โดยฤกษ์ไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย สำหรับตรุษจีน 2566 ปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 21 มกราคม ช่วงเวลา 23.00-02.59 น. วิธีไหว้ให้ตั้งโต๊ะบูชาของไหว้ ด้วยการหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ​​ 3.นำส้ม 4 ผล ไหว้ขอพรผู้ใหญ่ ธรรมเนียมการไหว้ขอพรผู้ใหญ่ที่เคารพ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติในทุกชนชาติ อย่างช่วงเทศกาลสงกรานต์ของไทย เราก็มีรดน้ำดำหัวขอพรผู้ใหญ่ เพราะต้องการความเป็นสิริงคล เทศกาลตรุษจีนของชาวจีน ก็มีธรรมเนียมการขอพรผู้ใหญ่เช่นกัน แต่สิ่งที่จะต้องนำติดตัวไปด้วยก็คือ ส้ม 4 ผล   สาเหตุที่ต้องนำส้ม 4 ผลไปไหว้ผู้ใหญ่นั้น เป็นเพราะชาวจีนมีความเชื่อว่า ส้มเป็นตัวแทนของเครื่องสักการะเทพเจ้าทั้ง 4 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูฝน  ซึ่งจะช่วยให้ โชคดี มั่นคั่ง และร่ำรวย ตลอดปี ส้มยังเป็นตัวแทนการอวยพร และมีความหมายถึง ทองคำ และการให้ส้ม 4 ผล เพราะเป็นตัวเลขจำนวนที่เป็นมงคล ​​ซึ่งอาจจะให้ส้มมากกว่า 4 ลูกก็ได้ แต่ต้องเป็นเลขคู่ เช่น  6 ลูกหรือ 8 ลูก ก็ยิ่งมงคลขึ้นไปอีก  ตามประเพณีจีน เมื่อลูกหลานมอบส้ม 4 ลูก ให้แก่ญาติผู้ใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่จะมอบส้ม 2 ลูก กลับมาเป็นการอวยพรแก่ลูกหลานด้วยเช่นกัน 4.รับ-แจก อั่งเปา อั่งเปา ตามความหมายในภาษาจีน หมายถึง ซองสีแดง ที่มีเงินบรรจุอยู่ภายใน ซึ่งมอบหรือรับ เป็นของขวัญ ในวันสำคัญของครอบครัวจีน เช่น วันตรุษจีน หรือในงานพิธีแต่งงาน โดยในวันตรุษจีนผู้ที่มีอายุสูงกว่าหรือทำงานมีเงินเดือนแล้ว จะเป็นคนให้อั่งเปาแก่เด็กหรือญาติที่ยังไม่ได้ทำงานและเกษียณแล้ว   สาเหตุที่อั่งเปาเป็นซองสีแดง  เพราะสีแดงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความโชคดี และเงินที่บรรจุภายบางครั้งจะเป็นเลขนำโชค เช่น เลข 8 อ่านในภาษาจีนจะมีความหมายถึงความรุ่งเรือง หรือความร่ำรวย 5.ใส่เสื้อผ้าสีแดงหรือสีสดใส ชาวจีน มีความเชื่อว่าการสวมเสื้อสีแดง หรือสีสันสดใส จะนำความสุข ความสดชื่นมาทั้งปี โดยเฉพาะสีแดง ที่เป็นสีมงคลสำหรับชาวจีน 6.กินเจมื้อเช้า การกินเจ เป็นการทำบุญ ที่ชาวจีนนิยมปฏิบัติ ซึ่งช่วยทำให้เกิดกุศล และสร้างบุญบารมีให้เกิดขึ้นกับตนเองและครอบครัว ดังนั้น ในช่วงเช้าวันแรกของปีใหม่ ชาวจีนจึงนิยมจะกินเจในมื้อเช้า เพื่อสร้างบุญสร้างกุศลในวันแรกของปีใหม่ ที่จะส่งผลให้ตลอดทั้งปีมีแต่ความสุขและเกิดมงคลแก่ตัวเอง รวมถึงครอบครัวด้วย 7.กินเกี๊ยว เหตุผลที่คนจีนนิยมกินเกี๊ยว ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ก็เพราะว่ารูปร่างของเกี๊ยว มีลักษณะเหมือนกับเงินและทองของชาวจีน การกินเกี๊ยวจึงเชื่อกันว่าจะทำให้ร่ำรวยเงินทองมีความมั่งคั่ง และเป็นสิริมงคลแก่ครอบครับ โดยการกินเกี๊ยวจะกินพร้อมหน้าพร้อมตากัน ในวันรวมญาติของทุกคนในครอบครัว 8.ติด “ตุ้ยเลี้ยง” ตุ้ยเลี้ยง คือ คำอวยพรปีใหม่ ความหมายดี ๆ เป็นมงคล ด้วยความหมายต่าง ๆ  ที่เป็นอักษรจีน มักจะประกอบด้วยตัวอักษรจีน 7 เขียนเป็นคำกลอน ซึ่งคนจีนนิยมนำมาติดไว้ในบ้าน มักจะติดสองข้างประตูบ้าน และติดตรงกลางทางเข้าออก เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดความร่ำรวย เป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว 9.นำของมงคลวางบนโต๊ะทำงาน โดยปกติชาวจีนจะไม่นิยมทำงานในวันปีใหม่ หรือวันตรุษจีน แต่ในปัจจุบันหลายคนอาจจะไม่ได้หยุดงาน เพื่อไปเที่ยวหรือพักผ่อนในวันตรุษจีน หรืออาจจะยังเปิดกิจการค้า หรือไปทำงานเป็นปกติ ดังนั้น จึงมีการทำให้วันทำงานในช่วงตรุษจีน ยังคงดำเนินไปด้วยดี และเกิดมงคลแก่ตัวเอง จึงมีการนำเอาของมงคลต่าง ๆ ตามความเชื่อของชาวจีนมาวางไว้บนโต๊ะทำงาน เพื่อจะได้เกิดสิริมงคลและมีความสุขตลอดทั้งปี ​   ที่มา-ธนาคารกรุงศรี, Springnews, Newtv   อ่านบทความที่เกี่ยวข้องฃ -9 ข้อห้ามทำ ขัดโชคลาภวันตรุษจีน
[PR News]ซัมซุงชูวิสัยทัศน์หลัก Sustainable Living และ Connectivity  เป้าครองเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทย ภายใน 3 ปี

[PR News]ซัมซุงชูวิสัยทัศน์หลัก Sustainable Living และ Connectivity เป้าครองเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทย ภายใน 3 ปี

ซัมซุงชูวิสัยทัศน์ Sustainable Living และ Connectivity มอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ยั่งยืนและเชื่อมต่อแบบอัจฉริยะ ชูนวัตกรรมเปลี่ยนโลก "SmartThings" พร้อม เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ทำตลาดครบทุกกลุ่ม ขยายไลน์กลุ่ม Bespoke เพิ่มผลิตภัณฑ์กลุ่มไลฟ์สไตล์มากขึ้น พร้อมเปิดตัวธีมของปี “Samsung Live A New Day” ตั้งเป้าความสำเร็จเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในเมืองไทย ภายใน 3 ปี [PR News]ซัมซุงชูวิสัยทัศน์หลัก Sustainable Living และ Connectivity เจนนิเฟอร์ ซอง ประธานบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า “ปี 2565 ที่ผ่านมา ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย พบว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพรีเมียมเติบโตสูง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับซัมซุงที่กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าพรีเมียมมียอดขายเติบโต 2 เท่า ตอกย้ำความเชื่อมั่นของผู้บริโภคชาวไทยที่มีต่อซัมซุง ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคที่มุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมสินค้าทุกประเภทเพื่อยกระดับการใช้ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น โดยปีนี้ซัมซุงเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้ารวมกว่า 100 รุ่น”   “นอกจากนี้ซัมซุงยังประสบความสำเร็จในระดับโลก โดยได้รับการจัดอันดับจากอินเตอร์แบรนด์ ให้เป็น 1 ใน 5 บริษัทที่ดีที่สุดตามการจัดอันดับ Best Global Brands 2022 รวมถึงซัมซุงยังครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดทีวีระดับโลกต่อเนื่องเป็นปีที่ 16 และครองอันดับ 1 ยอดขาย Soundbar ติดต่อกัน 8 ปี และล่าสุดได้รับ 42 รางวัล ในงาน International Design Excellence Awards 2022 (IDEA) ด้วยสุดยอดนวัตกรรมการออกแบบที่ช่วยยกระดับไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ของผู้บริโภคที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และได้รับ 46 รางวัลนวัตกรรมจาก CES® 2023 Innovation Awards รวมถึงรางวัลสุดยอดนวัตกรรม (Best of Innovation) ถึง 3 รางวัล”   “ซัมซุงยังคงเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อการใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้นและอนาคตที่ยั่งยืน ผ่านนวัตกรรมทันสมัยและการเชื่อมต่ออัจริยะ และเน้นเรื่องมอบประสบการณ์กลุ่มผลิตภัณฑ์ Bespoke การปรับแต่งเพื่อบ่งบอกตัวตน ซึ่งซัมซุงเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวที่มีความแข็งแกร่งด้าน Personalization การปรับแต่งด้วยดีไซน์ที่สามารถเลือกเองตามความชอบที่สะท้อนสไตล์ของแต่ละคน ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าสร้างคุณค่าทางจิตใจ ดึงเอกลักษณ์ของเจ้าของออกมาอย่างชัดเจน สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคทำความต้องการให้เป็นจริงและตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากที่สุด" Samsung Live A New Day ทุกวันนี้ชีวิตบนโลกเปลี่ยนแปลงเร็ว บ้านในวันนี้ไม่เหมือนเมื่อวาน ซัมซุงมุ่งพัฒนาและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อแสดงออกถึงบุคลิกของผู้อาศัย ตรงความต้องการยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนวันใหม่ วิถีใหม่ของการใช้ชีวิต เครื่องปรับอากาศจะเป็นมากกว่าแค่อุปกรณ์ทำความเย็น ทีวีไม่เพียงแค่มอบความบันเทิงเท่านั้น เมื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านสะท้อนถึงสุนทรียภาพของทัศนคติ บ่งบอกไลฟ์สไตล์แต่ละบุคคล    Bringing Calm to Our Connected World มอบพลังการควบคุมแก่ผู้บริโภคบนโลกด้วยทุกอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันได้ เมื่อนวัตกรรมกำหนดนิยามใหม่ของการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดด้วยบ้านอัจฉริยะ ซัมซุงผลักดันนวัตกรรม SmartThings เพื่อส่งมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ทุกๆ อุปกรณ์ในพื้นที่หรือจุดสำคัญที่มีความจำเป็นกับผู้บริโภคในชีวิตประจำวัน จะดำเนินไปพร้อมกับการมีส่วนร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนกว่าเดิม ซึ่งเกิดจากความตั้งใจของซัมซุงที่จะมอบพลังการควบคุม ให้กับผู้บริโภคบนโลกสามารถใช้ทุกอุปกรณ์เชื่อมโยงกัน มอบประสบการณ์ที่ดีกว่า เข้าถึงผู้บริโภคแต่ละคนได้มากกว่าและใช้งานง่ายกว่าเดิม   โดย SmartThings สำหรับผู้บริโภคเป็นแพลตฟอร์มแรกที่ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านพลังงาน ENERGY STAR SHEMS  อีกด้วย รวมถึงให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อมเพื่อการใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้นและอนาคตที่ยั่งยืน พร้อมตอกย้ำอีโคซิสเต็มที่เชื่อมต่อกันอย่างชาญฉลาด ซัมซุงประกาศกลยุทธ์ด้านสิ่งแวดล้อม Net Zero เพื่อให้การปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 รวมถึงการเข้าร่วม RE100 ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มระดับโลกที่ซัมซุงทุ่มเทแสวงหาพลังงานหมุนเวียน 100% นอกจากนี้ยังได้สร้าง Eco Packaging เพื่อสิ่งแวดล้อม คืนชีวิตให้กับกล่องบรรจุภัณฑ์ นำกลับมาใช้ใหม่ หรือเอามาประดิษฐ์เป็นของใช้ที่มีประโยชน์ เช่น กล่องใส่ทีวี ที่นำมาดัดแปลงเป็นของใช้ในบ้านที่หลากหลาย หรือ Solar Cell Remote ประหยัดพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน   นอกจากนี้ ตลาดผู้บริโภคในปี 2566 โดยรวมทั้งหมด ยังคงมองหาฟังก์ชันการใช้งานที่ตอบโจทย์ อีกทั้งให้ความบันเทิงที่มากกว่าและใส่ใจสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นตลาดทีวีพรีเมียม การออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับ Bespoke และ Smart Home ชีวิตที่ให้บ้านเป็นเทรนด์การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ ดังนั้นผู้บริโภคจึงมองหาการเชื่อมต่อเพื่อรองรับชีวิตส่วนตัวและการทำงาน โดยประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 3 (72%) สำหรับความต้องการติดตั้งสมาร์ทโฮม รองจากเวียดนาม (84%) และอินโดนีเซีย (81%)  ซึ่งยังมีความเป็นไปได้ที่ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอัจฉริยะจะเติบโตสูงขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มลดลงในช่วงที่ผ่านมา แต่ช่องว่างระหว่างครัวเรือนที่มีรายได้สูงและครัวเรือนที่มีรายได้น้อยกลับกว้างขึ้น  นั่นหมายถึงผู้บริโภคระดับพรีเมียมที่สูงขึ้น   ตลาดทีวีพรีเมียมมาแรง ตลาดทีวีปีที่ผ่านมา ผู้บริโภคให้การตอบรับทีวีจอใหญ่มากขึ้น ทำให้สัดส่วนหน้าจอตั้งแต่ 65 นิ้วขึ้นไป เติบโตขึ้นมากแบบเห็นได้ชัดถึง 1.5 เท่า ทีวีพรีเมียมยังคงเติบโตสูง ในปี 2565 ยอดขาย Samsung Neo QLED เติบโตขึ้นถึง 3 เท่า เฉพาะ Neo QLED 8K เติบโตถึง 4 เท่า ไลฟ์สไตล์ทีวียังเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เติบโตได้ดี และยังจะเป็นกลุ่มที่ซัมซุงให้ความสำคัญต่อเนื่องในปีนี้ โดยปีที่ผ่านมายอดขายไลฟ์สไตล์ทีวีโต 2 เท่า นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องเสียงของซัมซุงที่ใช้คู่กับทีวี เช่น Soundbar รวมไปถึง Sound Tower ก็ได้รับการตอบรับจากตลาดมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้ยอดขายของ Soundbar เติบโต 1.5 เท่า ปัจจัยการเติบโตหลักของกลุ่มภาพและเสียงของซัมซุง มาจากผลิตภัณฑ์กลุ่มพรีเมียม ไลฟ์สไตล์ทีวี รวมถึงได้แรงหนุนจากเทศกาลฟุตบอลระดับโลก ตลอดจนการจับมือกับพาร์ทเนอร์จัดโปรโมชั่นต่างๆ ที่โดนใจผู้บริโภค อาทิ ร่วมกับมินิคูเปอร์, BMW, Snow Peak และ 333 Gallery   ในปี 2566 ซัมซุงจะส่งผลิตภัณฑ์ทีวีรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอีกมากมาย อาทิ Samsung OLED TV ที่ขณะนี้เปิดให้พรีออเดอร์พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ, Neo QLED รุ่นใหม่, Lifestyle TV และทีวีรุ่นที่มี IOT บิลท์อินในตัว เป็นต้น รวมถึงการยกระดับประสบการณ์ของผู้บริโภคทั้งในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ เช่น ผู้บริโภคออนไลน์จะได้เห็นภาพผลิตภัณฑ์ในมุมต่างๆ อย่างสวยงามชัดเจน และมีการจำลองภาพให้เห็นว่า การนำผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่นไปวางตกแต่งในแต่ละห้องจะออกมาเป็นอย่างไร ส่วนหน้าร้านจะมีการเลือกผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในแต่ละช่องทางให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าในช่องทางนั้นๆ โดยกลุ่มภาพและเสียงซัมซุงตั้งเป้าการเติบโตในปี 2566 ที่ 17%   จัดเต็มไลน์อัพเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านทุกกลุ่ม เน้น Bespoke กลยุทธ์การตลาดที่เหนือคู่แข่ง ปีที่ผ่านมา กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของซัมซุงในภาพรวมเติบโต 5% กลุ่มเครื่องซักผ้าและตู้เย็นเติบโต 5%        กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก (เตาอบไมโครเวฟ เครื่องดูดฝุ่นและเครื่องฟอกอากาศ) เติบโต 10% ปัจจัยหลักมาจากวิถีการใช้ชีวิตที่ปลี่ยนแปลง สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่มีฤดูกาลที่แน่นอนทำให้ผู้บริโภคต้องการเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าซัมซุงมีนวัตกรรมล้ำหน้า รวมถึงกลุ่มตลาดพรีเมียมที่ขยายตัวขึ้น และซัมซุงมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคกลุ่มนี้ โดยเฉพาะกลุ่ม Bespoke ที่ซัมซุงเป็นผู้บุกเบิกตลาด ส่งผลให้เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านกลุ่มพรีเมียมของซัมซุงเติบโตถึง 2 เท่าจากปี 2564   ในปี 2566 ซัมซุงเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ รวมถึงกลุ่ม Bespoke Home ภายใต้แนวคิด Bespoke My Life มุ่งเน้น 1.ไลฟ์สไตล์ที่ผู้บริโภคออกแบบเองได้ เช่น ตู้เย็นสามารถออกแบบได้ทั้งสีสันและฟังก์ชันการใช้งานให้เหมาะกับความต้องการและพื้นที่ และจะขยายไลน์ Bespoke ออกไปสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของซัมซุง 2. Sustainability การประหยัดพลังงานด้วย AI Saving Mode และความทนทานของผลิตภัณฑ์ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าของผู้บริโภค โดยซัมซุงมั่นใจในคุณภาพผลิตภัณฑ์ ขยายเวลารับประกันอินเวอร์เตอร์มอเตอร์เครื่องซักผ้าและอินเวอร์เตอร์คอมเพรสเซอร์ตู้เย็นออกไปเป็น 20 ปี ซึ่งถือว่าเป็นการรับประกันที่นานที่สุดในตลาดขณะนี้ และ 3.Connectivity การเชื่อมโยงอัจฉริยะผ่าน SmartThings โดยในปีนี้ซัมซุงตั้งเป้าเติบโต 2 เท่าสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านกลุ่มพรีเมียม   ผู้นำด้านโซลูชั่นเครื่องปรับอากาศตัวจริง ซัมซุงตั้งเป้าเป็นผู้นำด้านโซลูชั่นเครื่องปรับอากาศด้วยผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ทั้งกลุ่มลูกค้าบ้านที่อยู่อาศัยทั่วไปและกลุ่มลูกค้าองค์กร โดยปีที่ผ่านมาเครื่องปรับอากาศพรีเมี่ยมในกลุ่ม WindFree เติบโตถึง 30% ส่วนยอดขายกลุ่ม B2B เติบโตถึง 40% สำหรับในปีนี้ซัมซุงเตรียมเปิดตัวไลน์อัพเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ในกลุ่ม WindFree แบบจัดเต็ม ทั้งรุ่น WindFree Premium Plus, WindFree AI, WindFree, 360 Cassette, WindFree 1-Way Cassette, WindFree 4-Way Cassette และ Ceiling ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมเครื่องปรับอากาศ WindFree แบรนด์แรกของโลก พร้อมขยายระยะเวลารับประกันสูงสุดถึง 10 ปี นอกจากนี้ยังพร้อมบุกตลาดลูกค้าองค์กรด้วยระบบเครื่องปรับอากาศ DVM S2, Free Joint Multi (FJM) และ Ceiling Fixed Speed R32 Mark5   SmartThings มอบประสบการณ์ Hyper-Connected ที่พัฒนาให้ชีวิตสะดวกสบายยิ่งขึ้น SmartThings เป็นแพล็ตฟอร์มสมาร์ทโฮมอัจฉริยะ ยกระดับการเชื่อมต่อภายในบ้านให้ชีวิตสมาร์ทยิ่งขึ้นด้วย Home Automation ที่ครบวงจร ทางเลือกใหม่ให้ผู้คน Live a New Day ยกระดับประสิทธิภาพของเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านรวมเข้ากับ SmartThings ในแบบที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน ซัมซุงเป็นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวที่ผลิตนวัตกรรมล้ำหน้า SmartThings สามารถควบคุมการใช้พลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้แบบเรียลไทม์ ผ่านแอพพลิเคชัน SmartThings ที่สามารถสั่งการให้เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นทีวี ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ หรือโซล่าเซลล์ มอบทั้งความสะดวกสบาย เอื้อชีวิต Multi Tasking มากขึ้น ปลอดภัย ควบคุมและติดตามการใช้พลังงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และที่สำคัญให้ผู้ใช้งานสามารถประหยัดพลังงานและควบคุมค่าใช้จ่ายได้ และด้วยโหมด AI Saving Mode จะช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างยั่งยืน และช่วยลดค่าไฟโดยเฉลี่ยได้ถึง 40% เปลี่ยนบ้านธรรมดาเป็นบ้านอัจฉริยะ นับเป็นนวัตกรรม breakthrough ของการใช้ชีวิตแบบ Live a New Day อย่างแท้จริง   บทความน่าสนใจ รีวิว Dyson V11 Absolute จากเรื่องจริงที่ใช้แล้วฟินเลยต้องบอกต่อ 7 เรื่องต้องรู้ “GREE” แอร์เบอร์ 1 ของโลก 4 จุดเสี่ยง ปัญหาบ้าน ช่วงหน้าร้อน ที่ต้องตรวจเช็คด่วน
5 ไฮไลท์ มูจิ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ต้นแบบโมเดลโรดไซด์

5 ไฮไลท์ มูจิ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ต้นแบบโมเดลโรดไซด์

หลังจากที่ มูจิ (MUJI) แบรนด์สินค้าล์ไลฟ์สไตล์จากประเทศญี่ปุ่น ได้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2549 ในรูปแบบของธุรกิจแฟรนไชส์ โดยสามารถขยาย จำนวนสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในปี 2556 ได้จับมือกับบริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ในสัดส่วนที่เท่ากัน จัดตั้ง​บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด โดยปัจจุบันสามารถขยายธุรกิจจนมีสาขา 29 แห่งโดยรวมร้านมูจิ โรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ สาขาใหม่ล่าสุด เพื่อจำหน่ายสินค้ามากกว่า 3,000 รายการ  ซึ่งถือว่าเป็นสาขาคอนเซ็ปต์ใหม่แห่งแรก กับร้าน​โมเดลโรดไซด์ ​5 ไฮไลท์ มูจิ โมเดลโรดไซด์ นายอกิฮิโร่ คาโมการิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดสาขา โรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ สาขาที่ 29 ซึ่งเป็นสาขาขนาดใหญ่ นับเป็นการเปิดร้านโมเดลโรดไซด์ หรือ ร้านรูปแบบใกล้ริมถนน สาขาแรกที่เปิดกับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ติดถนน โดยหากประสบความสำเร็จจะพัฒนาและขยายสาขาใหม่ ภายใต้โมเดลดังกล่าวต่อไปในอนาคต ปัจจุบันสาขาที่มีขนาดใหญ่พื้นที่มากกว่า 1,000 ตร.ม. มีอยู่ 11 แห่ง โดยสาขาส่วนใหญ่พื้นที่จะอยู่ที่ 500-800 ตร.ม.   ขณะที่แผนในปี​ 2566 ตั้งเป้าหมายเปิดสาขาใหม่ 5-6 แห่ง ซึ่งจะเน้นการขยายสาขาในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น อาทิ เชียงใหม่ และอีก 1 จังหวัดในภาคใต้  เนื่องจากปัจจุบันสาขาส่วนใหญ่​ 90% จะอยู่ในกรุงเทพ ฯ และปริมณฑล ส่วนสาขาต่างจังหวัดปัจจุบันมีอยู่ 3 แห่ง ได้แก่  เซ็นทรัลชลบุรี เซ็นทรัลศรีราชา และเซ็นทรัลเชียงใหม่ รวมถึงวางแผนรีโนเวตสาขาเดิมให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก 7 สาขา ส่วนปี 2567 ตั้งเป้าจะเปิดเพิ่มอีก 10 แห่ง   สำหรับมูจิ สาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ถือว่าเป็นสาขาที่มีความแปลกใหม่ และมีไฮไลท์ที่น่าสนใจ รวมถึงการมีสินค้าที่จำหน่ายเฉพาะที่สาขาแห่งนี้ด้วย ซึ่งในส่วนไฮไลท์นั้น มีอยู่ 5 เรื่องสำคัญ คือ 1.สาขาแรกในรูปแบบ 2 ชั้น ถือเป็นสาขาแรกของมูจิ ที่มีร้านในรูปแบบ 2 ชั้น ซึ่งเป็นร้าน​โมเดลโรดไซด์ หรือ ร้านรูปแบบใกล้ริมถนน สาขาแรกที่เปิดกับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ติดถนน  มีขนาดพื้นที่รวม 1,700 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นพื้นที่บริเวณร้านชั้น 1 มีขนาดกว่า 900 ตารางเมตร และชั้น 2 มีขนาดกว่า 800 ตารางเมตร และสาขาแห่งนี้เป็นสาขา 29 ที่เข้ามาเปิดร้านจำหน่ายสินค้าในเมืองไทย 2.โซนสินค้าราคาต่ำกว่า 300 บาท รวบรวมสินค้าคุณภาพที่เป็นที่นิยมในหลากหลายหมวดหมู่ ที่มีราคาต่ำกว่า 100 บาท 200 บาท และ 300 บาท อาทิ ไม้ทำความสะอาด 35 บาท กระดาษซับหน้า 39 บาท ใยอาบน้ำ 39 บาท รองเท้าแตะในบ้าน 99 บาท ผ้าขนหนู 99 บาท เบาะรองนั่ง 290 บาท พรมเช็ดเท้า 150 บาท กระบอกน้ำอะคริลิค 250 บาท เป็นต้น 3.บริการออกแบบภายใน มูจิ สาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ยังมีโซนเครื่องใช้ในบ้านและเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน ขนาดพื้นที่ใหญ่กว่า 100 ตร.ม. ที่มีการนำสินค้าคอลเลกชันใหม่มาให้เลือกหลากหลาย อาทิ เตียงนอนครบทุกขนาดไซส์และทุกดีไซน์ แถมยังมีการให้บริการปรึกษาด้านออกแบบภายใน หรือ​ MUJI Interior Consultation Service อีกด้วย 4.โซน MUJI Green & Normal Shop จากแนวคิดในการดำเนินธุรกิจ “ประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ” ออกแบบอย่างเรียบง่าย “ไม่มียี่ห้อ” และราคาสมเหตุสมผล ตั้งแต่วันเริ่มต้นก่อตั้งธุรกิจ เป็นปรัชญาที่ปัจจุบันก็ยังคงยึดถืออยู่ ทำให้ในร้านของมูจิ มีโซนสินค้าจากธรรมชาติ (Normal Shop) รวมถึงรีฟิลสินค้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสบู่ น้ำยาทำความสะอาดเสื้อผ้า แชมพูสระผม ในราคาย่อมเยา เพื่อสนับสนุนแนวคิด Zero Waste ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  และโซนสินค้าต้นไม้ (MUJI Green) ที่เหมาะกับการปลูกเลี้ยงในบ้าน ​เพราะคิดว่าสินค้าอีโคไลฟ์สไตล์นั้นดีต่อตัวเอง และดีต่อสิ่งแวดล้อม 5.ขายสินค้าเฉพาะคนไทย คอนเซ็ปต์ ASEAN MD การนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทย นอกจากจะเป็นสินค้าที่คนไทยชื่นชอบ และได้รับความนิยมมากแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นแนวคิดในการทำธุรกิจของมูจิ คือ การขายสิค้าให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และการใช้งานเฉพาะคนในแต่ละประเทศ จึงเป็นที่มาของการพัฒนาและผลิตสินค้าเฉพาะในประเทศไทย หรือตามคอนเซ็ปต์ ​ASEAN MD (ASEAN Merchandise)   ปัจจุบันสินค้าที่พัฒนาและจำหน่ายเฉพาะในประเทศ มีด้วยกันอยู่ 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย สิงค์โปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์  มีสินค้าครอบคลุมทุกกลุ่ม อาทิ ​ กลุ่มเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย กลุ่มสินค้าของใช้ภายในบ้าน กลุ่มเฟอร์นิเจอร์ กลุ่มเฮลท์แอนด์บิวตี้ และกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ สำหรับประเทศไทยสินค้า ASEAN MD มีสัดส่วน 30%ของสินค้าภายในร้าน อาทิ -ม็อบถูพื้น เป็นสินค้าชนิดแรกที่มูจิ พัฒนาและผลิตขึ้นมาจำหน่ายให้กับคนไทยโดยเฉพาะ เนื่องจากคนไทยมีการถูพื้นบ้านหรือพื้นห้อง ต่างจากบ้านที่ประเทศญี่ปุ่นที่มีการปูเสื่อ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ไม้ม็อบสำหรับถูกพื้นบ้าน -เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา เป็นสินค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่คนไทยต้องการ และชื่นชอบ ทำให้มูจิผลิตสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์จากยางพาราออกมาจำหน่าย เริ่มต้นเป็นที่วางรองเท้าและวางนิตยสาร ขณะที่เฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ เช่น โครงเตียง วางแผนนำมาจำหน่ายในอนาคต​ -หมอนข้าง คนญี่ปุ่นไม่นิยมนอนกอดหมอนข้าง แต่สำหรับคนไทยหมอนข้างยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่หลายคนต้องมีอยู่บนเตียงนอน ทำให้มูจิพัฒนาหมอนข้างออกมาจำหน่าย แต่เป็นในรูปแบบหมอนขนาดยาว ซึ่งสามารถใช้หนุนนอนได้ หรือจะปรับเป็นหมอนข้างเพื่อนอนกอดก็ได้เช่นกัน สินค้ากลุ่ม ASEAN MD จะมีนำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และครอบคลุมในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ปัจจุบันสินค้ายังเป็นนำเข้าจากต่างประเทศมาจำหน่าย ซึ่งพบปัญหาสำคัญในเรื่องการขออนุญาตการนำเข้า และการขึ้นทะเบียนได้รับอนุญาตจากหน่วยงานต่าง ๆ ทำให้สินค้ามีความล่าช้าในการนำเข้ามาจำหน่าย ในอนาคตมูจิวางแผนผลิตสินค้า ASEAN MD ขึ้นภายในเทศไทยด้วย ​ 4 สินค้าที่วางขายครั้งแรกในไทย สำหรับสิ่งที่ มูจิ จะนำมาวางจำหน่ายที่แรกในไทย กับสาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ นั้นมีดังนี้ -สินค้าสกินแคร์และดูแลเส้นผม โดยมีการเพิ่มกลิ่นส้ม กลิ่นฟลอรัล และกลิ่นเลม่อน ในกลุ่มสินค้าสกินแคร์และดูแลเส้นผม เข้ามาวางจำหน่ายเป็นที่แรก ก่อนนำไปวางขายในสาขาอื่น ๆ ในปีหน้า พร้อมกับปรับลดราคาสินค้าลง จากราคา 149 บาท ราคา 129 บาท ในสินค้าโฟมล้างหน้า และสบู่ -แกงกะหรี่ 5 รสชาติ สินค้ากลุ่มอาหารนำเข้าจากญี่ปุ่น มูจิมีขายอยู่แล้วหลากหลายชนิด และได้รับความนิยมในหมู่คนไทยเสียด้วย การขยายสาขามูจิ โรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ จึงได้นำเอาแกงกะหรี่ พร้อมทาน MUJI CURRY ซึ่ง​เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในญี่ปุ่น มาวางขายในประเทศไทยเป็นครั้งแรก มี 5 รสชาติ ได้แก่  BUTTER CHICHKEN CURRY, DHAL CURR, CHICKEN RENDANG, CHICKEN MASAK LEMAK และ CHICHKEN KEEMA CURRY ในราคา 139 บาท ส่วนสาขาอื่น ๆ จะมีการวางจำหน่ายต่อไป -ขนมอบร้อน ปัจจุบันมูจิ มีการเปิดโซน MUJI Coffee Corner ที่จำหน่ายเครื่องดื่มและเบอเกอรี่หลากหลายชนิด โดยมีสาขาอยู่ประมาณ​ 11-12 แห่ง แต่สำหรับสาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์แห่งใหม่นี้ ได้มีการเพิ่มไฮไลท์เมนูใหม่เป็นเบเกอรี่สไตล์ตะวันตกแบบ​ Hot Menu อาทิ ครัวซองท์แซนวิช ริงแซนวิช เดนิช และพานินี่ วางขายในราคา 59 -119 บาท -ไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ นอกจากจำหน่ายเบกอรี่แล้ว มูจิ สาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ได้มีการเพิ่มสินค้าเป็นเมนูใหม่และวางขายเป็นที่แรก คือ ไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ (MULI Soft Serve) รสชาเขียว (Green Tea) และรสนมฮอกไกโด (Hokkaido Milk) ซึ่งมีทั้งแบบ Cone ในราคา 89 บาท และ Cup ราคา 69 บาท โดยจะจำหน่าย Exclusive จำกัดระยะเวลาจำหน่ายไอศกรีม Soft Serve เพียง 3 เดือนเท่านั้น -เสื้อผ้ากอซทอสองชั้น เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย ที่มูจิ สาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ได้วางจำหน่ายชุดเครื่องแต่งกายทั้งผู้หญิง และผู้ชายที่ทอจากผ้ากอซสองชั้น เป็นที่แรกที่วางขายในประเทศไทย ซึ่งเนื้อผ้ากอซทอสองชั้น จะมีความโปร่งสบาย ให้ความนุ่มนวล และยังคงผลิตจากฝ้ายออร์แกนิกเหมือนเดิม   ทั้งหมดคือเรื่องราวของ มูจิ สาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ที่พร้อมเปิดให้บริการช้อปปิ้งได้แล้วตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2565 พร้อมโปรโมชั่นต่าง ๆ มากมาย​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -‘เอพี ไทยแลนด์’ จับมือ ‘มูจิ’ ไลฟ์สไตล์แบรนด์ดังระดับโลก นำเสนอพื้นที่พักอาศัยสไตล์ญี่ปุ่น ผสานชีวิตส่วนตัวและการทำงานอย่างลงตัว
เสนาฯ  เปิดโมเดล​ บ้านพลังงานเป็นศูนย์  เดินหน้าสู่บริษัท ด้านความยั่งยืน

เสนาฯ เปิดโมเดล​ บ้านพลังงานเป็นศูนย์ เดินหน้าสู่บริษัท ด้านความยั่งยืน

เสนาฯ เปิดโมเดล​ บ้านพลังงานเป็นศูนย์ เดินหน้าสู่บริษัท ด้านความยั่งยืน ดึง 2 โปรเจ็กต์นำร่อง พร้อมจับมือ ศูนย์บริการวิชาการจุฬาฯ สร้างต้นแบบก่อนใช้จริง อ้อนแบงก์หนุนลดดอกเบี้ย0.5-1% ให้ผู้ซื้อ   ถ้าย้อยไปในปี 2558 การนำเอาแผงโซลาร์เซลล์มาติดตั้งตามบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก เนื่องจากยังมีราคาสูง ประกอบกับ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่บ้านในช่วงกลางวัน แต่สำหรับบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กลับมองว่าการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านเรือน เป็นเทรนด์ที่กำลังมา จากกระแสการรักษ์โลก การประหยัดพลังงาน ตามภาวะวิกฤตพลังงาน รวมถึงการลดภาวะโลกร้อน จึงได้เริ่มต้นนำ Solar Rooftop มาติดตั้งในโครงการของบริษัทเป็นรายแรก และบ้านทุกหลังของโครงการจนมาถึงปัจจุบัน ได้ขยายการติดตั้งครบสินค้าทุกประเภท​   มาในปี 2565 เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ เดินหน้าต่อกับก้าวสู่ความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ จึงได้เตรียมความพร้อม กับการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ Sustainable Development และ Net Zero Emission ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรญี่ปุ่น อย่างฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพรอ์ตี้ คอร์ป ร่วมกันพัฒนา บ้านพลังงานเป็นศูนย์ หรือ Zero Energy House (ZEH)   เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีมาตรฐานกลางในเรื่องนี้ เสนา ดีเวลลอปเม้นท์​ จึงได้นำแนวคิด Zero Energy House (ZEH) จากญี่ปุ่น ที่เป็นกรณีศึกษาจริงจากพันธมิตรทางธุรกิจ มาเป็นต้นแบบของการพัฒนาและประยุกต์ใช้ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตของคนไทย บ้านพลังงานเป็นศูนย์ คืออะไร? ตามคำนิยาม Zero Energy House ของประเทศญี่ปุ่น  จะหมายถึง ​บ้านที่มีการใช้ไฟฟ้าในชีวิตประจำวันในรอบ 1 ปี ได้ใกล้ หรือน้อยกว่าศูนย์ ด้วยการประหยัดพลังงานให้มากที่สุด ในการอยู่อาศัยภายใต้สภาพวะแวดล้อมที่ยังสะดวกสบาย โดยหลักการ คือ ใช้พลังงานไม่มาก เพื่อการควบคุมอุณหภูมิภายในบ้าน ในแต่ละฤดูให้เหมาะสมจากการออกแบบ (Passive Design) และใช้พลังงานอย่างมีระสิทธิภาพมากขึ้น (Efficiency) รวมถึงมีระบบผลิตพลังงานใช้เองจากพลังานหมุนเวียน (Renewable energy) นางสาว ยูคาโกะ มาสึโอะ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายธุรกิจบ้านจัดสรร บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป  อธิบายว่า หลักการบ้านพลังานเป็นศูนย์ คือการลดใช้พลังงาน โดยเกณฑ์พื้นฐานที่เรียกว่า ค่า Ua Value (ค่าการถ่ายเทความร้อนภายใน) เป็นค่าที่ถูกกำหนดในแต่ละเมืองให้มีการลดพลังงานที่ไม่ใช้ Renewable energy อย่างน้อย 20% ในทุกระดับ เกณฑ์การวัด บ้านพลังงานเป็นศูนย์ ปัจจุบันการพัฒนาอาคารให้เป็น Zero Energy House 100% นั้น ยังคงทำได้ยาก เนื่องจากมีเรื่องต้นทุนเข้ามาเกี่ยวข้อง ทางรัฐบาลญี่ปุ่น จึงมีการแบ่งเกณฑ์ในการประเมินเป็น 4 ระดับ ทั้งกลุ่มบ้านและกลุ่มคอนโด (ในประเทศญี่ปุ่นจะเรียกคอนโดว่าแมนชั่น-Mansion) สำหรับเกณฑ์การประเมินกลุ่มบ้าน แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้ ZEH Oriented เป้าหมาย ลดการใช้พลังงานได้ไม่ต่ำกว่า 20% ไม่รวมการใช้พลังงานสะอาด ZEH Ready เป้าหมาย ลดการใช้พลังงานได้ 50%ขึ้นไป รวมการใช้พลังงานสะอาด Nearly ZEH   เป้าหมาย ลดการใช้พลังงานได้ 75%ขึ้นไป รวมการใช้พลังงานสะอาด ZEH   เป้าหมาย ลดการใช้พลังงานได้ 100%ขึ้นไป รวมการใช้พลังงานสะอาด เกณฑ์กลุ่มคอนโด เรียกว่า Zero Energy House-Mansion (ZEH-M) มี 4 ระดับ เช่นกัน แต่มีการเพิ่มเติมเกณฑ์ที่เกี่ยวกับจำนวนชั้น สำหรับเกณฑ์การประเมินคอนโด แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้ ZEH Oriented เป้าหมาย ลดการใช้พลังงานได้ไม่ต่ำกว่า 20%  ไม่รวมการใช้พลังงานสะอาด เป้าหมาย 6 ชั้นขึ้นไป ZEH Ready เป้าหมาย ลดการใช้พลังงานได้ 50%ขึ้นไป รวมการใช้พลังงานสะอาด เป้าหมาย 4-5 ชั้น Nearly ZEH   เป้าหมาย ลดการใช้พลังงานได้ 75%ขึ้นไป รวมการใช้พลังงานสะอาด เป้าหมาย 1-3 ชั้น ZEH   เป้าหมาย ลดการใช้พลังงานได้ 100%ขึ้นไป รวมการใช้พลังงานสะอาด เป้าหมาย 1-3 ชั้น ในประเทศญี่ปุ่น มีกฎหมายบังคับให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องพัฒนาบ้านพลังงานเป็นศูนย์  ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังมีการสนับสนุนเงินงบประมาณให้กับดีเวลลอปเปอร์ ที่มีระบบการการปล่อยคคาร์บอนไดออกไซด์ด้วย ​สำหรับบ้านพลังงานเป็นศูนย์ ที่เข้าเกณฑ์จะได้รับเงินสนับสนุน 550,000 เยนสำหรับบ้านเดี่ยว 400,000 ต่ออาคารสำหรับคอนโดโลว์ไรส์ กรณีที่สูงกว่านี้จะได้รับการสนับสนุนเงิน  1 ใน 2 หรือ 1 ใน 3 ของระบบการสร้าง เนื่องจากบ้านพลังงานเป็นศูนย์มีราคาสูงกว่าบ้านปกติทั่วไป 30-50% ส่วนฝั่งผู้ที่ซื้อบ้านที่ผ่านเกณฑ์ ก็จะได้รับประโยชน์ เช่น การู้ขอสินเชื่อได้ง่ายขึ้น เสนาฯ เดินหน้าสู่บริษัทยั่งยืน ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เล่าว่า หนึ่งในวิสัยทัศน์ของบริษัท คือ ความยั่งยืน เพราะปัจจุบันทีความท้าทายเกิดขึ้นหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ Climate Change หรือภาวะโลกร้อน​  สินค้าที่พัฒนาจะต้องเดินไปตามวิสัยทัศน์ดังกล่าวด้วย โดยปัญหาหลักของประเทศไทยในปัจจุบันเป็นเรื่องของพลังงาน ไม่ใช่แค่ภาวะโลกร้อน ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงภาวะเศรษฐกิจ เพราะไทยต้องนำเข้าพลังงานที่มีต้นทุนสูง และส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าต่าง ๆ หากเราสามารถลดการนำเข้าพลังงานได้ ​จะทำให้ไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศมากเกินไป   การทำบ้านพลังงานเป็นศูนย์ จึงเป็นแนวคิดที่เกิดขึ้น โดยการทำใน ​3 เรื่องหลัก คือ ​ การทำดีไซน์ ทำบ้านไม่ให้ร้อนมาก การใช้ไฟอย่างมีประสิทธิภาพ efficiency เช่น การใช้สมาร์ทโฮมที่สามารถสั่งงานในบ้านได้ แม้ลืม การผลิตไฟขึ้นมาใช้เอง ถ้าทั้งหมดบวกลบ แล้วเท่ากับศูนย์ แสดงว่าเราเป็นไปตามหลักการนั้น  ในเมืองไทย มีเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ไม่ชัดขนาดนี้ เช่น บ้านเบอร์ 5 บ้านประหยัดไฟ ของการไฟฟ้า แต่ไม่รวมการผลิตไฟเข้ามา โจทย์เรื่องนี้ไม่ใช่อยากทำและทำได้ โจทย์ที่ยากสุดวันนี้ คือ ทำแล้วขายได้ จับมือจุฬาฯ สร้างแบบจำลอง แม้ว่า​​ ประเทศไทยจะมีหลายหน่วยงาน​ที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงาน แต่ในเรื่องบ้านพลังงานเป็นศูนย์ ยังไม่มีเกณฑ์เรื่อง Zero Energy House (ZEH) ที่เป็นมาตรฐานกลาง เสนา ดีเวลลอปเมนท์จึงได้นำองค์ความรู้และแนวทางการพัฒนาของ​มาพัฒนาต่อยอดในบ้านของเสนา ​ด้วยการร่วมมือกับ ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Chula Unisearch) ซึ่งเป็นหน่วยงานวิสาหกิจของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ทำการศึกษาและทดลองจัดทำแบบจำลอง ในการศึกษาประสิทธิภาพด้านพลังงาน   โดยจะใช้การจำลองการใช้พลังงานของอาคารด้วยคอมพิวเตอร์ (Building energy simulation) ด้วยโปรแกรม ซึ่งเป็นที่ยอมรับ เช่น โปรแรกม DOE-2, EnergyPlus และ eQUEST โดยกำหนดข้อมูลในการจำลองเป็นตัวแปรควบคุม ได้แก่ ข้อมูลอากาศรายชั่วโมงของกรุงเทพมหานคร โดยกรมอุตุนิยมวิทยา การหมุนอาคารเป็น 4 ทิศ (เหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก) และหาค่าเฉลี่ยการใช้พลังงานรวม ด้วยการสร้างสมมุติฐานช่วงเวลาการใช้งานอาคาร 2 รูปแบบ ได้แก่ การใช้งานบ้านแบบปกติ (เน้นออกนอกบ้านมาทำงานกลางวันและพักผ่อนเวลากลางคืน) โดยเปิดใช้เครื่องปรับอากาศวันจันทร์-ศุกร์ (18.00-08.00 น.) และเสาร์-อาทิตย์ (ตลอด 24 ชั่วโมง) การใช้งานแบบบ้านที่มีผู้สูงอายุ หรือ WFH ที่มีการใช้สอยตลอด 24 ชั่วโมง มีการเปิดใช้เครื่องปรับอากาศตลอดเวลา เมื่อได้ผลการทดลองแล้ว จะนำเอาไปสร้างบ้านต้นแบบ (SENA HHP Zero Energy House Prototype) ใน 2 โครงการ ได้แก่ เสนา แกรนด์โฮม บางนา กม.29 คาดว่าจะทำ Simulation แล้วเสร็จในปลายเดือนมกราคม 2566 แล้วจึงนำไปก่อสร้างเป็นบ้านต้นแบบ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2566 เพื่อวัดผลจากการใช้งานจริงอีกครั้ง และคอนโด ที่คาดว่าจะทำ Simulation แล้วเสร็จปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2566 เป้าหมายสำคัญของ เสนา ดีเวลลอปเมนท์  คือ การลดการใช้พลังงานให้ได้ไม่ต่ำกว่า 20% รวมการใช้ Renewable Energy ที่บ้านเดี่ยว และคอนโดของเสนา และจะนำมาใช้กับบ้านทุกหลังของเสนา ดีเวลลอปเม้นท์ต่อไปในอนาคต แม้ว่าจะลดพลังงานไม่ได้ตามเป้าหมาย 20% ก็ตาม โดยแนวทางของเสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จะทำกับโครงการเก่าที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือระหว่างการขาย เช่น โครงการที่อาจจะสร้างมาแล้ว 20 หลัง ส่วนหลังที่ 21 ก็จะเริ่มพัฒนาเป็นบ้านพลังงานเป็นศูนย์​​ โดยไม่รอการสนับสนุน​ แต่ในส่วนของผู้ซื้อ หากได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน ลดอัตราดอกเบี้ยลงจากเรทปกติ 0.50-1% ในปีแรก จะช่วยกระตุ้นการซื้อได้มาก เพราะราคาบ้านพลังงานเป็นศูนย์จะแพงกว่าบ้านปกติแน่นอน เหมือนกับการทำบ้านโซลาร์ในช่วยแรกที่แพงกว่าบ้านปกติ 10-15%​ คิดว่าทำอะไรได้ก็ต้องเริ่มเลย สิ่งที่เราทำเราคิดและทำเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งวัดผลได้จริง แต่จะลดได้เท่าไรก็ตาม  เราเอาต้นแบบมาทำ แม้จะลดได้แค่ 5% ก็ทำ ปีหน้าไตรมาสแรกน่าจะได้เห็น จะมีแบบบ้านใหม่ในโครงการ ทุกโครงการ            
พรีโม ขาย IPO หุ้นละ 15 บาท 80 ล้านหุ้น  วางเป้า Top 3 บริการด้านอสังหาฯ ​

พรีโม ขาย IPO หุ้นละ 15 บาท 80 ล้านหุ้น วางเป้า Top 3 บริการด้านอสังหาฯ ​

พรีโม พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น เคาะราคา IPO 15 บาทต่อหุ้น พร้อมเปิดจองซื้อวันที่ 22 – 24 พฤศจิกายนนี้ เตรียมระดมทุน 80 ล้านหุ้น ในตลาด เอ็ม เอ ไอ ต่อยอดธุรกิจบริการด้านอสังหาฯ ครบวงจร พร้อมใช้เทคโนโลยีเสริมการบริการ ตั้งเป้าขึ้น Top3 หลัง 9 เดือนกวดรายได้กว่า 604.26 ล้าน มีกำไรสุทธิ 156.02 ล้าน   หลังจากบริษัทแม่อย่าง ออริจิ้น เข้าตลาดหลักทรัพย์ไปก่อนหน้า พร้อมนำเอาบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครืออีกหนึ่งบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงคิวของบริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน)  หรือ PRI ที่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นรายต่อไป   นางสาวจตุพร วิไลแก้ว  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโมฯ  เปิดเผยว่า บริษัทได้เริ่มต้นธุรกิจขึ้นตั้งแต่ปี 2554 ในธุรกิจให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ และเป็นนายหน้า และมีการจัดตั้งบริษัทต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบริการด้านอสังหาฯ จนปัจจุบันได้เตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ​เนื่องจากเป็นบริษัทเรือธงของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ซึ่งเดิมทางออริจิ้นถือหุ้น 100% จะปรับลดเหลือ 75% ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 160 ล้านบาท ชำระแล้ว 120 ล้านบาท   โดยปัจจุบันมีบริการที่หลากหลายตั้งแต่ระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ หรือก่อนเข้าอยู่อาศัย เข้าอยู่อาศัยแล้วและบริการหลังการขายอสังหาฯ เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าอสังหาฯ ที่ต้องการพัฒนาโครงการและลูกค้ารายย่อย โดยสามารถให้บริการได้ตั้งแต่เริ่มออกแบบก่อสร้าง จนถึงโอนกรรมสิทธิ์และมีบริการหลังการขายอสังหาฯ ที่หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการด้านการอยู่อาศัยแบบวันสต็อปเซอร์วิส ภายใต้แนวคิด “Living Partner” เสมือนเป็นเพื่อนคู่คิดในการใช้ชีวิตร่วมกับลูกค้า สำหรับวัตถุประสงค์ของการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อใช้ในการสร้างการเติบโตแบบออกานิคอย่างต่อเนื่อง ​ และการเพิ่มบริการให้ เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่า ที่มีอยู่กว่า 30,000 ครัวเรือน 100 โครงการ และขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเสริมบริการ อาทิ การเพิ่มบริการของแอปพลิเคชั่น PRIMO PLUS ด้านเฮลท์แคร์ การช้อปปิ้ง นอกจากนี้ ยังเสริมธุรกิจด้านต่าง ๆ ให้เติบโตเพื่อไปสู่เป้าหมายสำคัญ ในการขึ้นเป็นผู้นำ1 ใน 3  หรือ Top3 ตลาดธุรกิจบริการด้านอสังหาฯ ด้วย สาเหตุที่ออกมาจากออริจิ้น เพราะอยากเติบโตรองรับลูกค้าจาก One-time customer เป็น Life-time เพราะบริษัทเป็นฟันเฟืองที่ใหญ่ในธุรกิจอสังหาฯ ที่สามารถเติบโตได้ด้วยตนเอง สามารถรับลูกค้าได้ทั้งกลุ่มนอกออริจิ้นได้ด้วย 3 กลุ่มธุรกิจ 8 บริษัทในเครือ ปัจจุบันบริษัทฯ แบ่งการดำเนินธุรกิจเป็น 3 กลุ่ม ภายใต้การดำเนินงานของ 8 บริษัทย่อย ได้แก่ 1.ธุรกิจที่ปรึกษาและออกแบบทางวิศวกรรม (Pre-Living Services) โดยมีบริการที่ปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้างโครงการอสังหาฯ  บริการออกแบบสถาปัตยกรรม งานวิศวกรรมและงานระบบ โดยได้รับมาตรฐาน ISO 9001: ด้านที่ปรึกษาและบริหารจัดการก่อสร้าง รวมถึงมีบริการจัดฝึกอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับอสังหาฯ และการพัฒนาบุคลากร 2.ธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Living Services) โดยให้บริการรับบริหารนิติบุคคลอาคารชุด บ้านจัดสรร ห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงาน บริการจัดหาผู้เช่าห้องชุดภายใต้แบรนด์ “พรีโม แมเนจเม้นท์” โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 มีลูกค้า 56 โครงการ และให้บริการดังกล่าวแก่โครงการระดับลักชัวรี่ภายใต้แบรนด์ “คราวน์ เรสซิเดนซ์” โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 มีลูกค้า 15 โครงการ (ไม่รวมลูกค้าจากบริการจัดหาผู้เช่าห้องชุด) นอกจากนี้ยังมีบริการรับบริหารจัดการอสังหาฯ เพื่อเช่าระยะยาวภายใต้แบรนด์ “แฮมตัน” (Hampton) บริการนายหน้าซื้อ ขาย ให้เช่า อสังหาฯ  ครบวงจร รวมถึงบริการที่ปรึกษาพัฒนาโครงการอสังหาฯ และการตลาด 3.ธุรกิจให้บริการหลังการขายอสังหาริมทรัพย์ (Living & Earning Services) โดยมีบริการต่างๆ ได้แก่ ออกแบบตกแต่งภายในบ้าน คอนโดฯ และพื้นที่ส่วนกลาง, ตกแต่งพื้นที่ส่วนกลาง สำนักงานขายโครงการอสังหาฯ, ทำความสะอาดที่พักอาศัยแบบทำสัญญาและรายครั้ง และบริการช่างและขนย้ายสิ่งของ ทั้งนี้ การที่บริษัทสามารถให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาฯ แบบครบวงจร ถือเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น ๆ โดยฐานรายได้หลักของบริษัทมาจากการให้บริการ ซึ่งมีทั้งการทำสัญญาให้บริการแบบระยะยาว เช่น บริการที่ปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้าง, บริหารนิติบุคคลอาคารชุด บ้านจัดสรร เป็นต้น และการให้บริการเป็นรายครั้ง รวมถึงมีฐานลูกค้าจากโครงการของ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านรายได้แก่บริษัท  นอกจากนี้บริษัทมุ่งขับเคลื่อนการให้บริการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยหรือ Tech Service Company โดยมีแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นช่องทางติดต่อและให้แก่บริการแก่ลูกค้า   นางสาวจตุพร กล่าวอีกว่า บริษัทวางกลยุทธ์การเติบโตด้วยการมุ่งเพิ่มศักยภาพการให้บริการและสร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ แบบวันสต็อปเซอร์วิส เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านการอยู่อาศัยในทุกจังหวะการใช้ชีวิต หรือ “At Your Service, Every Moment” โดยจะมุ่งรักษาฐานลูกค้าเดิมใช้บริการต่อเนื่องและขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีศักยภาพ พร้อมทั้งวางแผนยายการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักในปัจจุบัน ควบคู่กับการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีไอทีและดิจิทัลเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการ มุ่งสู่ผู้นำของธุรกิจให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์สมัยใหม่แบบครบวงจร 9 เดือนกวาดรายได้กว่า 600 ล้าน ด้านนางสาวนุชจรีย์ จิตต์อาจหาญ ผู้บริหารสายงานบัญชีและการเงิน กล่าวว่า บริษัทมีผลการดำเนินงานเติบโตแข็งแกร่ง โดยในปี 2562 – 2564 มีรายได้รวม 255.69 ล้านบาท 266.51 ล้านบาท และ 489.56 ล้านบาทตามลำดับ เติบโตเฉลี่ย 30.48% ต่อปี และมีกำไรสุทธิ 34.52 ล้านบาท 40.05  ล้านบาท และ 111.25 ล้านบาทตามลำดับ เติบโตเฉลี่ย 74.09% ต่อปี ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของ   ปี 2565 มีรายได้รวม 604.26 ล้านบาท เติบโต 95.92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 156.02 ล้านบาท เติบโต 128.17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้ทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจเติบโตได้ดีและมีอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) ณ งวด 9 เดือนแรกของปี 2565 อยู่ที่ 61.62% และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 81.20% เคาะราคาหุ้นละ 15 บาท ระดม 80 ล้านหุ้น ขณะที่นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ความคืบหน้าการนำ บริษัท​ พรีโมฯ หรือ PRI เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ หลังจากที่ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อพิจารณาอนุมัติ   ล่าสุด ได้รับการอนุมัติแบบคำขอฯ และแบบไฟลิ่งมีผลใช้บังคับแล้ว โดย บมจ.พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 80 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญ ที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อนำเงินจากการระดมทุนไปใช้ขยายกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจในปัจจุบัน และพัฒนาเทคโนโลยีในการให้บริการลูกค้า รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ   โดย PRI เป็นบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตได้อีกมากตามการขยายตัวของธุรกิจอสังหาฯ และความต้องการใช้บริการด้านการอยู่อาศัย โดยมีบริการที่สามารถตอบสนองลูกค้าที่เป็นโครงการอสังหาฯ และลูกค้ารายย่อย   ส่วนนางสาวยอดฤดี สันตติกุล กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า บมจ.พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น ได้กำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่ราคาหุ้นละ 15 บาท ซึ่งมองว่าเป็นราคาที่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพการเติบโตในอนาคต โดยจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในวันที่ 22 – 24 พฤศจิกายนนี้ ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 5 ราย   โดยคาดว่าจะนำหุ้น PRI เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2565 โดยเชื่อว่า PRI จะเป็นหุ้น IPO ที่ได้รับความสนใจที่ดีจากนักลงทุน ด้วยจุดแข็งด้านบริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาฯ แบบครบวงจร มีฐานลูกค้าที่มั่นคง มีรายได้ประจำที่มาจากการทำสัญญาระยะยาวกับลูกค้า และผลประกอบการที่ผ่านมาที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โชว์ศักยภาพธุรกิจเป็นผู้ให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ครอบคลุมต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ ตั้งแต่ก่อนเข้าอยู่อาศัย เข้าอยู่อาศัยแล้วและบริการหลังการขายอสังหาฯ ส่วนกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 อยู่ที่ 156.02 ล้านบาท เติบโต 128.17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน วางกลยุทธ์ขยายบริการใหม่มุ่งสู่ผู้นำของธุรกิจให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์สมัยใหม่แบบครบวงจร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดโรดแมพธุรกิจ “ออริจิ้น” ใน 3 ปี ปูทางสู่มาร์เก็ตแคปกลุ่มธุรกิจ 1 แสนล้าน -พรีโม เตรียม IPO ในปลายปีนี้ วางเป้าขึ้น Top3 ด้านบริการอสังหาฯ ​ครบวงจร
The Haute กาญจนา–สาทร Vertical Biz Villa บ้านที่เป็นได้ทุกอย่างในทุกจังหวะของชีวิต

The Haute กาญจนา–สาทร Vertical Biz Villa บ้านที่เป็นได้ทุกอย่างในทุกจังหวะของชีวิต

The Haute กาญจนา–สาทร หากพูดถึงการขยายตัวของกรุงเทพฯ นอกจากโซนทิศเหนือของกรุงเทพฯ ที่มักได้รับความนิยมมาตลอดหลายปีแล้ว โซนทางด้านทิศตะวันตกช่วงถนนกาญจนาภิเษก (บางแค) ก็นับว่าเป็นพื้นที่ที่น่าจับตามองไม่แพ้กัน ด้วยความที่ถนนกาญจนาภิเษกเชื่อมต่อกับถนนสายสำคัญหลายเส้นทาง ทำให้การเดินทางเข้า-ออกเมืองทำได้โดยสะดวก โดยเฉพาะโซน CBD เช่น สีลม สาทร ก็ใช้เวลาไม่เกิน 40 นาที (ในช่วงการจราจรปกติ) ดังนั้นถ้าคิดจะขยายที่อยู่พร้อมๆ กับทำธุรกิจไปด้วย การเลือก Home Office ในย่านนี้ก็ดูจะสะดวกไม่น้อยเลย ทั้งการเดินทางด้วยรถส่วนตัว รวมถึงการใช้บริการรถไฟฟ้า MRT และขนส่งมวลชนอื่นๆ รีวิวฉบับนี้ เราจะพาทุกคนไปดู "บ้าน" สไตล์ Vertical Living ซึ่งผสมผสานระหว่างการอยู่อาศัยแบบ บ้าน คอนโดมิเนียม และออฟฟิศไว้อย่างลงตัว จากโครงการ The Haute กาญจนา–สาทร โปรเจคใหม่ของบริษัท พอยส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่ตั้งใจออกแบบบ้านมาเพื่อตอบโจทย์วิถีชีวิต Next Normal ที่บ้านต้องเป็นได้ทุกอย่างในทุกจังหวะของชีวิต ตามคอนเซ็ปต์ของโครงการที่ว่า Shaping all your lives ไม่ว่าคุณจะมีรูปแบบการใช้ชีวิตแบบไหน ที่นี่คืออิสระที่เป็นของคุณ   เจาะทำเลย่าน กาญจนาภิเษก-บางแค ลองปักหมุดบนถนนกาญนาภิเษก ในบริเวณที่ตัดผ่านถนนเพชรเกษมตรงแยกบางแค ซี่งถือเป็นแยกใหญ่ที่ตัดผ่านย่านชุมชนที่อยู่อาศัยที่สำคัญ เนื่องจากทำเลถนนบางแค-พุทธมณฑลมีบ้านพักอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ความเจริญขยายตัวมาถึงโซนนี้นานแล้ว ยิ่งรถไฟฟ้า MRT เปิดให้บริการด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ทำเลแถบนี้มีบรรยากาศทันสมัยขึ้นไปอีก ทั้งในด้านของไลฟ์สไตล์และการเดินทาง ห้างสรรพสินค้าในย่านมีการปรับปรุงรูปโฉมเพื่อการรองรับกลุ่มเป้าหมายที่ขยายตัวมากขึ้น   พื้นที่ในย่านนี้ตอบโจทย์สำหรับการอยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี เพราะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสาธารณูปโภคต่างๆ ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นตลาดสด ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ไฮเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้า ร้านอาหาร คาเฟ่ เช่น The Mall บางแค, Seacon บางแค, ตลาดสดบางแค, Lotus บางแค, The Explace Mall, ตลาดอินดี้ กัลปพฤกษ์, Homepro กัลปพฤกษ์ ฯลฯ อีกทั้งยังมีสถานศึกษาหลายแห่งไว้คอยรองรับทุกช่วงวัยเรียน เช่น โรงเรียนเลิศหล้า กาญจนาภิเษก, โรงเรียนนานาชาติบริทิชโคลัมเบีย, โรงเรียนอนุบาลเด่นหล้า, โรงเรียนราชวินิจประถม บางแค, โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ บางบอน, โรงเรียนสารสาสน์ธนบุรี, โรงเรียนนานาชาติไพโอเนียร์ส บางแค, โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี, มหาวิทยาลัยสยาม, มหาวิทยาลัยธนบุรี ฯลฯ  และหากเจ็บไข้ได้ป่วย โรงพยาบาลชั้นนำก็แวดล้อมอยู่ไม่ไกล เช่น โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ บางแค, โรงพยาบาลบางประกอก 8, โรงพยาบาลพญาไท 3, โรงพยาบาลสหวิทยาการมะลิ ฯลฯ   Home & Office ให้ชีวิตลงตัวได้ในที่เดียว The Haute กาญจนา–สาทร บ้านหรูสไตล์วิลล่าส่วนตัว มาพร้อมแนวคิดใหม่ที่ตั้งใจออกแบบเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิต และรูปแบบการใช้งานที่สามารถเปลี่ยนไปได้ตามต้องการแบบ Shaping all your lives ได้ทุกมิติจริงๆ ด้วยฝีมือการออกแบบของคุณอยุทธ์ มหาโสม สถาปนิกและผู้ก่อตั้ง Ayutt and Associates design (AAd) ที่เข้าใจการออกแบบที่อยู่อาศัยสไตล์ “Vertical Living” ทำให้บ้านของโครงการ The Haute กาญจนา–สาทรมีรูปอาคารเป็น Vertical Biz Villa 5 ชั้น ซึ่งออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในตัวอาคารเป็นได้ทั้ง ออฟฟิศ และ บ้านพักอาศัย แถมยังสามารถปรับรูปแบบได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะใช้เป็นบ้านทั้งหลัง หรือเป็นออฟฟิศทั้งหมดเลยก็ยังได้ โดยที่ทางโครงการได้จัดเตรียมงานระบบทั้งน้ำและไฟฟ้าไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่า ทำพร้อมทุกอย่างไว้ให้คุณแล้ว     ตัวอาคารถูกออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่นสูงมาก พร้อมรองรับการปรับเปลี่ยนการใช้งาน แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมแทรกพื้นที่สีเขียว พร้อมสร้างความเป็นส่วนตัวอย่างสูงสุดเพื่อแก้ปัญหากังวลใจที่จะถูกเพื่อนบ้านมองเห็นกัน โดยความโดดเด่นแรกที่ถ้าเราขับรถผ่านจะเห็นได้ทันทีก็คือความแปลกตาของ Façade ที่สวยงามไม่เหมือนใคร หรูหราและลงตัว ซึ่งนอกจากความสวยงามที่เราสัมผัสได้แล้ว ยังช่วยพรางสายตาเพิ่มความเป็นส่วนตัวระหว่างบ้านตรงข้ามแล้ว ยังช่วยในเรื่องลดทอนความร้อนจากแสงแดดที่ส่องกระทบโดยตรง ในขณะเดียวกัน Flow ของอากาศภายในอาคารก็ถูกออกแบบให้ลมสามารถหมุนเวียนได้ตลอดตัวอาคาร สามารถช่วยประหยัดพลังงานและทำให้บ้านเย็นสบายโดยไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศตลอดทั้งวันอีกด้วย นอกจากนี้ การแยกส่วนที่ต้อง service เช่น ตำแหน่งการวางคอมเพรสเซอร์แอร์ไว้ทางหลังบ้านก็ทำให้ช่างสามารถเข้าทำงานได้จากทางบันไดหนีไฟ โดยที่ไม่ต้องเดินผ่านภายในตัวบ้านเลย ทั้งนี้ก็เพราะทางโครงการคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวสูงสุดของเจ้าของบ้าน พร้อมความปลอดภัยอย่างมากที่สุดอีกด้วย       ภายในบ้านติดตั้งลิฟท์ส่วนตัวระบบ Private Access Control สามารถเลือกล็อคชั้นได้ รวมถึงการติดตั้ง Digital Door Lock เพื่อเพิ่มความปลอดภัย กรณีที่ต้องการใช้พื้นที่ชั้นบนเป็น Living Area ส่วนตัว ถือเป็นการคิดอย่างรอบด้านเพื่อทุกการใช้งานอย่างแท้จริง แถมยังเหมือนเป็นการแยกบรรยากาศบ้านกับที่ทำงานไม่ให้ผสมผสานกันจนเกินไป จะได้ช่วย Balance ชีวิตได้ดีขึ้นอีกทาง เอกลักษณ์จาก AAd ใส่ Design ทุกรายละเอียด ด้วยความที่ The Haute กาญจนา–สาทร มีจำนวนยูนิตสุด Exclusive เพียง 10 ยูนิตเท่านั้น การออกแบบทั้งตำแหน่งการวางตัวบ้าน และสถาปัตยกรรมภายนอกที่โดดเด่นตามสไตล์ของ AAd แน่นอนว่าจะต้องพิเศษและลงรายละเอียดกันทุกกระเบียดเลยทีเดียว เริ่มตั้งแต่การจัดวางตำแหน่งของบ้านแต่ละหลัง ไม่ใช่แค่การสลับตำแหน่งซ้ายขวาของบ้านหลังตรงข้ามเพื่อเลี่ยงการ Facing กันโดยตรงแล้ว การใช้ Façade และตัวระแนงอันเป็นเอกลักษณ์ของ AAd ซึ่งถูกคำนวณองศาความถี่มาอย่างดี ทำให้ไม่ว่าคนภายนอกจะมองจากมุมไหนก็ไม่สามารถมองเห็นพื้นที่ส่วนตัวภายในบ้านได้เลย ต่างจากคนในบ้านที่มองออกไปแล้วมองเห็นวิวกว้างสบายตา และมองเห็น Pocket Garden อันเป็นพื้นที่สีเขียวจากบ้านฝั่งตรงข้ามแทน ถ้าบอกว่า Façade มีหน้าที่เด่นเรื่องบังแดดฝนในช่วงกลางวันแล้ว ในยามค่ำคืน Façade เดียวกันนี้ ยังทำให้ตัวอาคารเป็นเหมือน โคมไฟ (Lantern) ส่องสะท้อนแสงสว่างนวลตาจากภายในให้บรรยากาศอบอุ่นสวยงามไปอีกแบบ   นอกจากนี้ ทางโครงการยังติดตั้ง EV Charger พร้อมรองรับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าของลูกค้า รวมถึงพื้นที่จอดรถได้มากถึง 6 คันเลยทีเดียว   Walk through The Haute กาญจนา–สาทร โครงการ The Haute กาญจนา–สาทร เปิดบ้านตัวอย่างให้เยี่ยมชม ซึ่งภายในบ้านตัวอย่างมีขนาดพื้นที่ใช้สอยมากถึง 556 ตารางเมตร โดยทางโครงการนำเสนอไอเดียการใช้พื้นที่ภายในแบบ Life Combination ผสานระหว่างการใช้ชีวิตแบบบ้านและออฟฟิศส่วนตัว โดยบริเวณชั้น 1-3 จัดตกแต่งเป็น Office Working Space ส่วนบริเวณชั้น 4-5 เป็นพื้นที่ของ Residential เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว แต่ถ้าผู้อยู่อาศัยต้องการปรับเปลี่ยนการใช้งานเป็นแบบเฉพาะตัวก็สามารถจัดสรรได้อย่างอิสระ ตามคอนเซ็ปต์โครงการ Shaping all you lives ได้ทันที   1st Floor โซนด้านหน้าของตัวบ้าน ตกแต่งเป็น Reception Area ประกอบไปด้วยเคาน์เตอร์ต้อนรับ พร้อมพื้นที่รับแขกซึ่งกว้างขวางโอ่อ่าสบายตามากๆ ถัดจากโซนกลางบ้านซึ่งมีลิฟท์โดยสารแล้ว บริเวณโซนด้านหลังของชั้นแรก ยังมีมุมเอนกประสงค์เชื่อมต่อกับสวนทางด้านหลังที่ทางโครงการจัดเป็นอีกมุมรับแขก หรืออาจจะใช้นั่งประชุมแบบส่วนตัวสบายๆ ก็ได้เช่นกัน เพราะมีความเป็นส่วนตัวสูงด้วยการออกแบบที่ผ่านการคิดมาอย่างรอบด้าน จึงสามารถใช้พื้นที่ทุกส่วนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด   2nd - 3rd Floor พื้นที่ทั้งหมดของชั้น 2 และ 3 จะมีความคล้ายคลึงกัน เนื่องจากเป็น Open Space เพื่อการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ ซึ่งทางโครงการได้มีการวางงานระบบท่อน้ำ ไฟฟ้า ไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะต่อเติมเป็น Pentry ครัว หรือตกแต่งเป็นห้องพักอาศัยก็สามารถทำได้เช่นกัน   ในบ้านตัวอย่างทางโครงการตกแต่งเป็น Working Space จำลองบรรยากาศออฟฟิศน่ารัก ที่มีทั้งมุมทำงานส่วนตัว สตูดิโอ รวมถึงมุมที่ช่วยสร้าง inspiration ในบรรยากาศคล้ายห้องสมุดงานดีไซน์สุดเก๋ ด้วยการเลือกใช้หน้าต่างกระจกบานใหญ่ทำให้สามารถเปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ แต่ขณะเดียวกันยังคงให้ความเป็นส่วนตัว พร้อมพื้นที่สีเขียวจาก Pocket Garden บริเวณชั้น 2 ของตัวบ้าน รวมถึงมองเห็น Pocket Garden ของเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามอีกด้วย ซึ่งในส่วนของพื้นที่ Office นั้น สามารถรองรับการทำงานของพนักงานได้ถึง 20 คนเลยทีเดียว ตอบโจทย์ Start-up รุ่นใหม่มาก ๆ ที่ต้องการพื้นที่แบบฟังก์ชันครบ และยังสร้างแรงบันดาลใจได้ด้วย             4th Floor ถัดขึ้นมาที่บริเวณชั้น 4 ของบ้านตัวอย่างซึ่งเริ่มเข้าสู่พื้นที่ Residential โดยทางโครงการเพิ่มความเป็นส่วนตัวของการอยู่อาศัยด้วยการติดตั้ง Digital Door Lock และ Key Card สำหรับลิฟท์โดยสารแบบล็อคชั้น ซึ่งช่วยแยกโซนอยู่อาศัยและโซนทำงานออกจากกันได้อย่างชัดเจน โดยบริเวณชั้น 4 ตกแต่งเป็น Living Area ขนาดใหญ่พร้อม Pantry ครัวเล็กๆ พร้อมกับ Pocket Garden อีก 2 จุด รวมถึงประตูกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่ที่สามารถเปิดได้เต็มความกว้างของตัวบ้าน โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเสียความเป็นส่วนตัวไป เพราะเราสามารถเลือกเปิด-ปิดบาน Façade ได้ตามต้องการ ซึ่งพื้นที่ห้องนี้ก็กว้างมากพอที่บางท่านอาจจะอยากจัดเป็นห้อง Private Party หรือ Entertainment Room สำหรับรับรองแขกหรือพักผ่อนส่วนตัวได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่ห้องเอนกประสงค์ในโซนทางด้านหลัง จัดตกแต่งเป็นครัวไทยขนาดใหญ่รองรับการใช้งานในทุกด้านจริงๆ        5th Floor ชั้น 5 เป็น Residential Area ทั้งหมด โดยแบ่งเป็น 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ซึ่ง Master Bedroom จะอยู่ในโซนด้านหน้าของตัวบ้าน พร้อม Walk-in Closet ความพิเศษที่เราเห็นได้จากรายละเอียดของการออกแบบที่สำคัญคือ การเน้นเรื่องความเป็นส่วนตัวของผู้อาศัย ถึงแม้ห้องน้ำของใน Master Bedroom จะเป็นกระจกเต็มบาน เปิดรับแสงและวิวจาก Pocket Garden ด้านล่างได้เต็มที่มากๆ แต่ด้วยความตั้งใจให้ Layout ของบ้านไม่ตรงกัน กำแพงของบ้านหลังข้างๆ เลยเป็นกำแพงทึบทั้งหมดไม่สามารถมองเห็นกันได้ไม่ว่าจะมุมใดก็ตาม จึงทำให้ห้องน้ำนี้เป็น Sexy Bath ที่สามารถเปิดโล่งระหว่างใช้งานได้อย่างแท้จริง   พื้นที่โซนด้านหลัง จัดตกแต่งเป็นห้องนอนเล็กอีกห้อง พร้อมห้องน้ำที่อยู่ตรงข้ามกัน จริงๆ แล้วห้องนี้ยังคงเป็นห้องเอนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องทำงาน ห้องออกกำลังกาย หรือห้องอื่นๆ ได้ตามไลฟ์สไตล์ของผู้อาศัย แต่ถ้าหากท่านใดอยากทำเป็น Super Master Bedroom แบบทั้งชั้น เสมือนเป็น Private Penthouse ก็สามารถทำได้สบาย ๆ        อย่างที่บอกไว้แล้วว่า The Haute กาญจนา–สาทร เป็นได้ทั้ง บ้าน และ Home Office ซึ่งผู้ออกแบบตั้งใจ ลงรายละเอียดในทุกๆ จุด เพื่อให้บ้านสามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้ทุกไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง โครงสร้างภายในพร้อมรองรับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งาน ประกอบกับความสวยงามของสถาปัตยกรรมแบบ Timeless ไม่เหมือนใคร ต่อให้ผ่านเปลี่ยนไปอีกกี่ generation อีกกี่สิบปี บ้านก็ยังคงสวยงามทันสมัยอย่างแน่นอน     The Haute กาญจนา–สาทร Vertical Biz Villa  : Shaping all you lives คิดเพื่อทุกจังหวะชีวิตของคุณ จะเปิดให้ชมบ้านตัวอย่างสุด Exclusive กับงาน Exclusive Day 26-27 พ.ย. นี้ พบ Special Offers ภายในงาน มูลค่ารวมกว่า 2 ล้านบาท* ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษก่อนใคร*: https://bit.ly/3OO2NIY หรือโทร 02-821-5653   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง พอยส์ คอร์ปอเรชั่น เปิดโปรเจ็กต์ เดอะโฮท 400 ล้าน รับไลฟ์สไตล์ทำงาน-อยู่อาศัยในที่เดียว [Preview] M Life บางแค-สาทร – พรีเมี่ยมทาวน์โฮม  
10 เรื่องต้องคิด ซื้อบ้านหรือคอนโดดี? ถ้างบเท่ากัน

10 เรื่องต้องคิด ซื้อบ้านหรือคอนโดดี? ถ้างบเท่ากัน

ก่อนเกิดสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาด เชื่อว่าคนที่อยากซื้อบ้านก็จะเลือกซื้อบ้าน ส่วนคนที่อยากอยู่คอนโดมิเนียม ก็คงเลือกซื้อคอนโด ตัดสินใจได้ไม่ยาก แต่พอเกิดโควิด-19 ระบาด หลายคนก็อาจจะลังเล และชั่งใจ จะเอาไงดี ซื้อบ้านหรือคอนโดดีกว่ากัน ถ้าราคาบ้านและคอนโดเท่ากัน เพราะช่วงโควิดระบาดที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่อยู่กับบ้าน จึงต้องการใช้พื้นที่เพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ บ้านก็เลยขายดี   แต่ตอนนี้สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ คนต้องกลับมาทำงานที่ออฟฟิศกันแล้ว การจะเลือกไปอยู่บ้าน ที่ส่วนใหญ่อยู่ไกล หรือไม่ก็แถบชานเมือง การเดินทางต้องเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายเยอะขึ้น ก็น่าจะลังเล และเกิดคำถามขึ้นมาว่าถ้าจะเลือกซื้อบ้านหรือคนโดดี ถ้ามีงบเท่ากัน หรือราคาบ้านและราคาคอนโดก็พอ ๆ กันนั่นเอง   วันนี้ Reviewyourliving มีบทความ "10 เรื่องต้องคิด ซื้อบ้านหรือคอนโดดี? ถ้างบเท่ากัน" มาเป็นเครื่องช่วยในการตัดสินใจ ว่าอะไรจะเหมาะกับคุณ ๆ 1.ทำเลที่ตั้ง เริ่มต้นแรกของการพิจารณาว่าจะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดดี ถ้ามีงบประมาณเท่ากัน คงต้องเป็นเรื่องของ ทำเลที่ตั้ง เพราะมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของเรา โดยเฉพาะเรื่องการเดินทางไปทำงาน ซึ่งหลายคนอาจจะต้องคิดถึงคนอื่น ๆ ในครอบครัวด้วย (ถ้าไม่ใช่พักอาศัยแค่ตัวเราคนเดียว) ไม่ว่าจะเป็นแฟนเราที่ต้องเดินทางไปทำงาน หรือใครมีลูกก็ต้องคิดถึงที่ตั้งของโรงเรียนลูกด้วย เพราะเราคงต้องเดินทางไปส่งลูกที่โรงเรียน และต้องเดินทางต่อไปทำงาน   เรื่องของทำเลที่ตั้ง คงต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมในเรื่องการเดินทาง ไปยังสถานที่จำเป็นต้องไป ว่าห่างไกลกันแค่ไหน มีบริการรถสาธารณะเชื่อมต่อกันไหม เพราะหากใครไม่มีรถยนต์ส่วนตัว หรือต่อให้มีถ้าไม่สะดวกต่อการเดินทาง รับรองต้องเสียทั้งเวลา และต้องเสียค่าใช้จ่ายเยอะมาก หากต้องการเดินทางสะดวก ใกล้รถไฟฟ้า บริหารเวลาเดินทางได้ การเลือกที่อยู่อาศัยก็ต้องเลือก คอนโด​ หากไม่มีปัญหาเรื่องการเดินทาง หรือสามารถบริหารจัดการเรื่องการเดินทางได้ รวมถึงมีที่ทำงานอยู่ชานเมือง หรือบริเวณรอบนอก หากจะเลือกบ้าน ก็สามารถทำได้ 2.พื้นที่ใช้สอย ถ้าใครมีโจทย์สำคัญของการอยู่อาศัย ที่ต้องการพื้นที่มาก ๆ ในการอยู่อาศัย คำตอบแรก ก็ต้องเลือกซื้อบ้าน เพราะหากพิจารณาเฉพาะเรื่องราคาของอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียว บ้านหรือทาวน์โฮม มีขนาดพื้นที่มากกว่าคอนโดอย่างแน่นอน ถ้าหากอยู่อาศัยกันแบบคู่รัก หรือ 1-2 คน ไม่ได้ต้องการพื้นที่มากนัก การเลือกคอนโด ก็ตอบโจทย์ไม่ต้องดูแลมาก แถมได้ทำเลในเมือง แต่หากใครต้องการพื้นที่มาก เพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ หรือทำงานจากที่บ้าน หรืออยู่แบบครอบครัวขยาย การเลือกบ้านน่าจะเหมาะสมกว่า ในงบประมาณที่เท่ากับการซื้อคอนโด 3.สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ที่จอดรถ เรื่องสิ่งอำนวยความสะดวก อาจจะต้องดูเป็นโครงการ ๆ ไป ว่าใครสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่ากัน ซึ่งเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องหลักในการพิจารณาว่าจะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดดี ถ้ามีงบเท่ากัน คอนโด ส่วนใหญ่จะจำกัดจำนวนรถยนต์ให้ห้องละ 1 คันเท่านั้นที่จอดได้ หากมีรถมากกว่า 1 คันอาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม บ้าน มักจะจอดรถได้มากกว่า 1 คัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่ของบ้านที่ซื้อ แต่โดยส่วนใหญ่จะจอดได้อย่างน้อย 2  คัน 4.การดูแล-ซ่อมบำรุง การดูแลบ้าน หรือการซ่อมบำรุงความเสื่อมของที่อยู่อาศัย ก็เป็นข้อพิจารณาเพิ่มเติม อาจจะไม่ใช่เรื่องหลักที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจ จะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดดี ถ้ามีงบเท่ากัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ควรรู้ไว้ เพราะเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมกับเราภายหลัง ที่หลายคนอาจจะละเลย หรือลืมพิจารณา คอนโด ถือว่ามีจุดดูแล-ซ่อมบำรุงน้อย ซึ่งจะดูแลเฉพาะภายในห้องพักเราเท่านั้น และมักไม่ค่อยมีปัญหามาก ส่วนใหญ่จะเป็นพวกงานระบบไฟ หรือระบบประปา และอยู่ในพื้นที่จำกัดเฉพาะของห้องเราเท่านั้น บ้าน มีจุดดูแลและซ่อมบำรุงมาก ทั้งพื้นที่ในบ้านไม่ว่าจะเป็นพื้น ผนัง ตัวโครงสร้าง หลังคา รวมถึงงานระบบต่าง ๆ ทั้งระบบไฟฟ้า ระบบประปา ระบบรักษาความปลอดภัย และพื้นที่รอบบ้าน​ ทั้งรั้ว สนามหญ้า ประตูรั้วบ้าน ก็ต้องดูแล ถือว่ามีงานที่ต้องดูแลเยอะ และหากเสียหาย ชำรุด ก็คงต้องเสียเงินเยอะพอสมควร 5.บรรยากาศ และสภาพแวดล้อม บรรยากาศการอยู่บ้าน กับบรรยากาศการอยู่คอนโด คงไม่เหมือนกัน เพราะสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนว่าจะเลือกแบบไหน คอนโด มักจะอยู่ในสภาพแวดล้อมของเมือง มุมมองหรือวิว ก็จะได้วิวเมือง บ้าน บรรยากาศก็จะเป็นชุมชน บ้านเรือนแวดล้อม ไม่มีจุดชมวิวบนที่สูง อาจจะได้วิวสวนของโครงการ หรือ สวนของบ้านเราเอง รอบ ๆ ข้างก็เป็นบรรยากาศเพื่อนบ้าน 6.เพื่อนบ้านและความเป็นส่วนตัว การพักอาศัยในคอนโดกับบ้านจัดสรร ความเป็นส่วนตัวคงแตกต่างกันพอสมควร  ถ้าเราอยู่คอนโดโอกาสจะเจอเพื่อนบ้านหรือรู้จักกันก็น่าจะน้อยกว่าการอยู่บ้านจัดสรร ทำให้มีความเป็นส่วนตัวถ้าอยู่บ้านจะมีมากกว่า ขณะเดียวกันปัญหาระหว่างเรากับเพื่อนบ้านก็น่าจะน้อยกว่าด้วย คอนโด คนที่พักอาศัยมักจะไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกัน และเราแทบจะไม่รู้จักกับคนอยู่ข้างห้องเลย ทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูงกว่า บ้าน มีโอกาสพบเจอและรู้จักเพื่อนบ้านได้มากกว่าคอนโด ​ซึ่งปัญหาเพื่อนบ้านมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่าการอยู่คอนโด หากเราไปเจอเพื่อนบ้านที่นิสัยไม่ดี 7.ปัญหา-ความปลอดภัย ปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับบ้าน การอยู่อาศัยในบ้านจัดสรรมีโอกาสที่เราจะพบเจอได้มากกว่าการอยู่คอนโด อย่างเช่น ปัญหาน้ำท่วม ซึ่งอยู่คอนโดปัญหาอย่างมากก็แค่เราเข้า-ออกคอนโดได้ลำบาก แต่ถ้าอยู่บ้านน้ำอาจจะท่วมเข้ามาในตัวบ้าน สร้างความเสียหายให้ได้  หรือแม้แต่เรื่องสัตว์มีพิษต่าง ๆ อยู่บ้านก็มีโอกาสเจอมากกว่า คอนโด ถือว่ามีความปลอดภัยสูง เพราะบุคคลภายนอกเข้า-ออกได้ยาก ไม่มีปัญหาน้ำท่วมที่พักอาศัย หรือสัตว์มีพิษเข้ามาได้ยาก บ้าน มีโอกาสคนบุกรุก หรือลักลอบเข้ามาได้ง่าย หากมีปัญหาน้ำท่วมก็อาจจะเข้ามาสร้างความเสียหายต่อที่อยู่อาศัยได้ รวมถึงสัตว์มีพิษเข้าบ้านได้ง่ายกว่าคอนโด 8.ไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัย การเลือกว่าจะซื้อบ้านหรือคอนโดดี ถ้ามีงบเท่ากัน อีกเรื่องที่ต้องคิดและน่าจะสำคัญลำดับต้น ๆ ก็คือ ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย เพราะมันคือวิถีชีวิตของตัวเรา ว่าเรามีความชอบอย่างไร มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตอย่างไร คอนโด เหมาะสำหรับการอยู่อาศัย-พักผ่อน ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรมากมาย หรือไม่ได้ต้องการใช้พื้นที่ทำงานจากที่บ้าน หรือประกอบธุรกิจ (แต่บางคอนโดในปัจจุบัน ก็มีพื้นที่ส่วนกลางรองรับการทำงานจากที่บ้าน หรือทำธุรกิจจากที่บ้านได้ อาจจะต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ เพิ่มเติม) บ้าน สามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้มากมาย เช่น คนที่ชอบทำสวน ปลูกต้นไม้ เพาะต้นไม้ หรือชอบเลี้ยงสัตว์ ชอบทำอาหาร หรือมีธุรกิจที่สามารถทำจากที่บ้านได้ การอยู่บ้านน่าจะตอบโจทย์เรื่องพวกนี้ได้ดี 9.ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง นอกจากเงินที่ต้องมีสำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดแล้ว ค่าใช้จ่ายที่จะตามมาภายหลังการอยู่อาศัย ก็ควรพิจารณาประกอบด้วย เพราะการอยู่บ้านกับการอยู่คอนโด ค่าใช้จ่ายตามมาก็ไม่เท่ากันแน่นอน ซึ่งอยู่บ้านน่าจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมภายหลังสูงกว่า คอนโด มักจะมีค่าใช้จ่ายหลัก ๆ คือ ค่าส่วนกลาง ส่วนที่เหลือก็อาจจะเป็นค่าซ่อมบำรุงตามสภาพการใช้งานของอุปกรณ์ภายในห้อง บ้าน ถ้าเปรียบเทียบกับคอนโดค่าใช้จ่ายจะมีมากกว่า เพราะนอกจากค่าส่วนกลางที่จ่ายตามขนาดพื้นที่ (ซึ่งมากกว่าคอนโด) ยังต้องมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบ้านในเรื่องอื่น ๆ ด้วย เช่น ค่าซ่อมบำรุงบ้าน ค่าดูแลสวน เป็นต้น 10.โอกาสการลงทุน เรื่องของโอกาสได้รับผลตอบแทนจากบ้านหรือคอนโด หากใครที่มองเรื่องนี้ ก็ต้องพิจารณาหลายเรื่องเป็นองค์ประกอบ แต่ที่แน่ ๆ หากต้องการซื้อเพื่อปล่อยเช่า การเลือกซื้อคอนโดน่าจะตอบโจทย์ได้มากกว่า เพราคอนโดปล่อยเช่าได้ง่าย และความต้องการสูงกว่า คอนโด ปล่อยเช่าหรือขายต่อได้ง่าย เพราะความต้องการสูงกว่า คนที่ยังไม่มีที่อยู่อาศัยมักจะเลือกเช่าคอนโดมากกว่าบ้าน เพราะทำเลที่ตั้งใกล้แหล่งงาน แถมราคาค่าเช่าก็ถูกกว่าบ้าน แต่ราคาขายต่อก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบอื่น ๆ บ้าน ปล่อยเช่าหรือขายต่อได้ยากกว่าคอนโด และคนส่วนใหญ่ซื้อบ้านมักจะเป็นผู้ที่อยู่อาศัยเอง กลุ่มนักลงทุนที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่าจะมีน้อยกว่าประเภทคอนโด ส่วนเรื่องราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นตามระยะเวลานั้น ก็ต้องมีเรื่องอื่น ๆ เป็นองค์ประกอบด้วย เช่น ทำเลที่ตั้ง สภาพบ้าน ขนาดพื้นที่ เป็นต้น ทั้งหมดนี้ ก็เป็นไกด์ไอเดียให้กับผู้ที่กำลังลังเลว่า จะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดดี ถ้ามีงบเท่ากัน ซึ่งหลักเกณฑ์คร่าว ๆ ให้ใช้พิจารณาเลือกให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ วิถีชีวิต และความต้องการการอยู่อาศัย ว่าแบบไหนจะเหมาะกับตัวเรา และคนในครอบครัวมากที่สุด     ที่มา -Reviewyourliving รวบรวม    
The Reserve 61 Condo Luxury ที่ทำให้ทุกๆวันให้เป็นวันพักผ่อน

The Reserve 61 Condo Luxury ที่ทำให้ทุกๆวันให้เป็นวันพักผ่อน

The Reserve 61 Condo Luxury The Reserve 61 Hideaway  คอนโดโลว์ไรส์ระดับ Luxury ตั้งอยู่ท้ายซอยสุขุมวิท 61 มีทางเข้าออกได้ 2 ทาง จะทางสุขุมวิท 61 ซอยข้างเมเจอร์เอกมัย หรือจะออก สุขุมวิท 63 เอกมัย ก็ได้  การเดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้า 850 เมตรถึงสถานีเอกมัย มี Shuttle  รับส่งปากซอยสุขุมวิท 61 พร้อมทุกการเข้าออกของลูกบ้าน เพียงโทรจ้างความต้องการ .   The Reserve 61 Condo Luxury อีกความสุดยอดและคัดสรรมาเป็น อย่างดีคือการเลือก  3 บริษัทออกแบบที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในระดับสากล อย่าง บริษัท I’ll Design Studio (งานสถาปัตยกรรม) บริษัท T.R.O.P :Terrain & Open Space (งานภูมิสถาปัตย์) และบริษัท PIA Interior (งานออกแบบตกแต่งภายใน)  ทำทำให้โครงการนี้ เก็บรายละเอียดได้ครบจริงๆ   . The Reserve 61 ถูกวางบนพื้นที่โครงการ 3 ไร่เศษๆ เป็นอาคาร 7 ชั้น ได้ 2 อาคาร อาคารล้อมส่วนกลางที่มีขนาด1 ใน3 ของขนาดโครงการทั้งหมด  สระว่ายน้ำตัว U แบบ INFINITE POOL ความยาว 90 เมตร มีพื้นที่ตรงกลางคือ HIDEAWAY GARDEN ที่ล้อมด้วยพื้นที่สวน เชื่อมต่อกับพื้นที่ชั้นใต้ดิน ที่มี PRIVATE SALON & SPA ,Private Steam,Private Sauna ,WELLNESS RETREAT & ONSEN  มีที่จอดรถ100 % มี EV Charger ถึง 10 Slot และพื้นที่สำหรับจอดรถสปอร์ต  ซุปเปอร์คาร์ขนาดพิเศษ  สำหรับยูนิตพิเศษมีจุดจอดรถเฉพาะประตูปิดมิดชิด ส่วนตัวมากๆ . . The Reserve 61 โครงการที่นี่ มี 2 อาคาร สูง 7 ชั้น  จำนวน 155 ยูนิต ห้องมีตั้งแต่ 1 BEDROOM ถึง 3 BEDROOM เริ่ม 49.73 ตร.ม. ไปจนถึง 228.55 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นที่  12.9 ล้านบาท ขายแบบ Fully Furnished พร้อมอยู่ . . ภายในห้องพักหน้ากว้างที่ใส่ใจในรายละเอียด เริ่มจากประตู ดิจิตอลดอล็อกที่ดูสุดอลังการแข็งแรง   Mail Box อยู่ที่หน้าประตู นิติจะส่งจดหมายให้ถึงห้อง ตู้เก็บของเยอะมาก จุดแขวนจุดเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดและซักล้างได้อย่างดีมิดชิด สะดวกกับการนำออกมาใช้งาน . . ครัว built-in เป็นชุดครัวของ Gorenje by philippe Starck ใต้ Sink ล้างจานมีระบบ บดเศษอาหารที่อาจจะหลุดรอดไปก่อนลงท่อน้ำทิ้ง  ห้องแบบ 2 นอน ในห้องน้ำให้คิดถึงโรงแรมหรู 5 ดาวที่มีอ่างล้างหน้าแยก his & her แบบลอยตัว ปลั๊กไฟ ยูนิเวอร์แซล ที่ใส่ใจถึงการใช้งาน ทุกรูปแบบของเครื่องใช้ไฟฟ้า . . The Reserve 61 มีห้องให้เลือกหลายขนาด แต่ก็ไม่ทันแล้ว Duplex และ Triplex ขายหมดไปเรียบร้อย และปัจจุบันก็เหลือให้ เลือกไม่มาก ชมห้องตัวอย่างห้องจริงได้ ห้อง 2 นอน 3 ห้องน้ำ ขนาด 121 ตรม. ราคา 35 ลบ.ขายแบบ Fully Furnished โดยราคาเฉลี่ยของที่นี่จะประมาณตรม.ละ 26x,xxx บาท ห้องราคาเริ่มต้นคือ 12.9 ลบ. ขนาด 48 ตรม. ส่วนกลาง 90 บาท   บทความน่าสนใจ พฤกษา ลุย 3 ธุรกิจหลัก สร้างการเติบโตยั่งยืน โชว์ผลงาน Q2 ทำรายได้ 5,389 ล้าน [PR News] พฤกษา ปล่อยกิจกรรม PRUKSA Tomorrow Verse ตอกย้ำจุดยืน “ลีฟวิ่ง โซลูชั่น”  9 บทสรุป ผลประกอบการพฤกษา Q1/65 และทิศทางไปต่อ  
สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) บ้านสวยทำเลดีใกล้รถไฟฟ้าสถานีเคหะฯ

สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) บ้านสวยทำเลดีใกล้รถไฟฟ้าสถานีเคหะฯ

สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) บ้านสวยทำเลดีใกล้รถไฟฟ้าสถานีเคหะฯ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) โครงการบ้านสวยสไตล์ Modern English Victorian ที่มีให้เลือกทั้งบ้านแฝดอารมณ์บ้านเดี่ยว และพรีเมี่ยมทาวน์โฮม เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตหลากหลายรูปแบบ บนทำเลอยู่อาศัย เดินทางสะดวกห่างจากรถไฟฟ้าสายสีเขียว (สถานีเคหะ) เพียงแค่ 3 นาที เชื่อมต่อเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างง่ายดาย ด้วยเส้นทางหลักทั้งถนนสุขุมวิท ถนนแพรกษา ถนนศรีนครินทร์ อีกทั้งยังใกล้ทางด่วนกาญจนาภิเษก วงแหวนรอบนอก หรือสามารถใช้เส้นทางปู่เจ้าฯ ขึ้นสะพานภูมิพล เพื่อเข้าสู่โซนพระราม 3 ได้ไม่ยาก อีกทั้งตัวโครงการตั้งอยู่ในบริเวณทางเชื่อมในซอยซึ่งสามารถเลือกเข้าออกได้ 2 ทาง ทั้งทางซอยบางปู 58 และ ซอยบางปู 60 (ซอยวัดอโศการาม) จึงถือว่าเป็นอีกซอยที่คึกคักพอสมควร เนื่องจากอยู่ในแหล่งชุมชนจึงมีร้านค้า ร้านกาแฟ รวมถึงตลาดนัดอยู่ในบริเวณใกล้ๆ อีกด้วย     ด้วยทำเลที่ตั้งโครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) ที่แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ห้างสรรพสินค้า โรบินสัน สมุทรปราการ, บิ๊กซี สมุทรปราการ, รวมถึงใกล้โรงพยาบาล สถานศึกษา หน่วยงานราชการ และแหล่งงานสำคัญอย่างนิคมอุตสาหกรรมบางปูอีกด้วย สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านเพื่อการขยายครอบครัว หรือมองหาบ้านหลังใหม่ที่สามารถตอบโจทย์สมาชิกครอบครัวได้มากขึ้น ด้วยลักษณะโครงการที่มีแบบบ้านให้เลือกหลากหลาย ซึ่งรีวิวฉบับนี้ เราจะพาไปชมบ้านตัวอย่างในรูปแบบต่างๆ รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางของโครงการกัน ซึ่งปัจจุบันในเฟสแรกของโครงการก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเลยทีเดียว   2 แบบบ้านสไตล์ Modern English Victorian ที่โครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) มีแบบบ้านหลักๆ ให้เลือกคือ บ้านแฝดสไตล์บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ซึ่งบ้านแต่ละแบบก็มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของสมาชิกครอบครัวที่หลากหลายมากขึ้น โดยพื้นที่ใช้สอยภายบ้านกว้างขวาง เหมาะกับการพักผ่อนอาศัยที่เงียบสงบ รวมถึงการทำงานในรูปแบบ work from home ก็มีพื้นที่เป็นสัดส่วนเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ   เริ่มต้นกันด้วยบ้านตัวอย่างหลังแรกที่มีชื่อว่า “Austin” บ้านแฝดที่ให้บรรยากาศสไตล์บ้านเดี่ยว เพราะสามารถเดินได้รอบตัวบ้าน ด้วยตัวบ้านที่มีหน้ากว้างถึง 10.2 เมตร สามารถจอดรถได้ 2 คัน พร้อมพื้นที่ใช้สอยของตัวบ้าน 152 ตารางเมตร กับฟังก์ชันใหม่ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ เพียงแค่เข้ามาในตัวบ้านก็จะพบกับห้องนั่งเล่นกว้างที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ใช้สอยส่วนอื่นๆ ในบริเวณชั้น 1 ภายในบ้านให้บรรยากาศโอ่โถงไม่อัดอัดด้วยฝ้าเพดานที่สูงถึง 2.65 เมตร พร้อมกับประตูกระจก และหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ภายในบ้านจึงโปร่งสบายตาและทำให้ได้ใกล้ชิดกับพื้นที่สีเขียวของสวนรอบบ้านได้อีกด้วย     บริเวณชั้น 1 แบ่งเป็นห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามความต้องการ ทั้งห้องทำงาน ห้องเกมส์ ห้องออกกำลังกาย หรือจะใช้เป็นอีกหนึ่งห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุก็ได้เช่นกัน ภายในบ้านตัวอย่างต่อเติมส่วนพื้นที่ด้านหลังออกไปเป็นห้องครัวและพื้นที่ซักผ้าได้อย่างลงตัว ซึ่งหลายบ้านก็แนะนำไอเดียการต่อเติมครัวแบบนี้ได้อย่างน่าสนใจ ทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์ในส่วนต่างๆ ของบ้านได้อย่างเต็มที่มากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ควรศึกษาโครงสร้างการต่อเติม และการเว้นระยะห่างจากพื้นที่โดยรอบตามที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาภายหลัง     เมื่อขึ้นไปที่บริเวณชั้น 2 จะแบ่งออกเป็น 3 ห้องนอน โดยที่พื้นที่ของ Master Bedroom จะอยู่โซนด้านหน้าของบ้าน เป็นห้องใหญ่เต็มหน้ากว้างของตัวบ้าน ทำให้ภายในห้องกว้างขวางมากพอที่จัดสรรเป็น walk-in closet บริเวณหน้าห้องน้ำภายในห้อง ในขณะเดียวกันก็พื้นที่ภายในห้องยังคงกว้างขวางเหมาะกับการพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ และโปร่งสบายตาด้วยความสูงของฝ้าเพดานถึง 2.9 เมตร ในขณะที่อีก 2 ห้องนอนในบ้านตัวอย่างตกแต่งเป็นห้องนอนสำหรับเด็กๆ ทั้งในสไตล์หวานๆ สำหรับเด็กผู้หญิง และสไตล์เท่ๆ แบบเด็กผู้ชาย ซึ่งแน่นอนว่าพื้นที่ของห้องนอนทั้ง 2 ห้องนี้ เจ้าของบ้านสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้ตามต้องการ เช่น การตกแต่งเป็นห้องแต่งตัว สตูดิโอสำหรับ Live ขายของออนไลน์ หรือห้องหนังสือก็ทำได้ เพราะทั้ง 2 ห้องมีหน้าต่างบ้านใหญ่เปิดรับแสงได้เป็นอย่างดี     ถัดมาที่บ้านตัวอย่างอีกแบบที่มีชื่อว่า “Charlotte” บ้านทาวน์โฮม 2 ชั้น ขนาดพื้นที่ใช้สอยภายใน 124 ตารางเมตร ตัวบ้านมีหน้ากว้างถึง 5.4 เมตร รองรับการจอดรถได้ถึง 2 คัน แบ่งเป็น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ด้วย Layout ที่ลงตัว ทำให้บริเวณชั้น 1 ของบ้านมีพื้นที่กว้างและสามารถจัดสรรการใช้งานได้เป็นสัดส่วน เมื่อเปิดเข้ามาในบ้านจะพบกับบริเวณรับแขก เชื่อมต่อไปยังบริเวณโต๊ะกินข้าวและครัวที่ถูกต่อเติมเพิ่มตรงบริเวณพื้นที่ซักล้างด้านหลังของตัวบ้าน ซึ่งทางโครงการก็นำเสนอไอเดียการใช้สอยให้เป็นทั้งครัวและห้องซักผ้าไปในตัว นอกจากนี้บริเวณชั้น 1 ยังมีห้องเอนกประสงค์เพื่อการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นห้องนอนเท่านั้น เจ้าของบ้านสามารถเลือกตกแต่งเป็นห้องดูหนัง ห้องพักผ่อน ห้องทำงาน หรือห้องอื่นๆ ได้อีกมากมายตามต้องการ     เมื่อขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 ของบ้านทาวน์โฮมหลังนี้ที่มีจุดเด่นพิเศษที่ห้อง Master Bedroom มีห้องน้ำในตัว เพิ่มความสะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น ในขณะที่บริเวณด้านหน้าห้องมีอีกหนึ่งห้องน้ำสำหรับการใช้งานร่วมกันกับอีก 2 ห้องนอนเล็ก ซึ่งในบ้านตัวอย่างตกแต่งเป็นห้องนอนใน 2 แบบ 2 สไตล์ ซึ่งการใช้ประโยชน์พื้นที่ของทั้ง 2 ห้องนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้หลายรูปแบบตามความต้องการ และด้วยความสูงของฝ้าเพดานที่บริเวณชั้น 2 ที่สูงถึง 2.9 เมตร หากต่อเติมเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินน่าจะช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของได้ไม่น้อยเลยทีเดียว   สวนสไตล์อังกฤษจัดเต็มเพื่อทุกการพักผ่อนของครอบครัว นอกจากการจัดสรรพื้นที่ภายในบ้านที่น่าสนใจแล้ว บ้านทุกหลังในโครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู58) ยังมีระบบแจ้งเตือนสัญญาณกันขโมย (Smart Security System) ที่ติดตั้งมาให้เรียบร้อยแล้ว จึงมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยได้อย่างแน่นอน รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยภายในทั้ง CCTV การเข้าออกด้วยระบบ Key Card และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับการอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น     พื้นที่ Facility ส่วนกลางนั้น ทางโครงการก็มีการจัดสรรไว้ให้อย่างเต็มที่ไม่แพ้กัน ทั้ง Club House ขนาดใหญ่ ที่รวม Co-Working Space, ห้องฟิตเนส และคิดส์รูมขนาดใหญ่พร้อมของเล่นเสริมสร้างพัฒนาการไว้เพื่อรองรับการทำกิจกรรมสำหรับครอบครัวที่มีเด็กๆ ในขณะที่พื้นที่กลางแจ้งก็ยังมีทั้ง สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ สนามเด็กเล่นพร้อมอุปกรณ์ และพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่สามารถเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจในสวนสไตล์อังกฤษ รวมถึงสามารถออกกำลังกายได้ด้วย เพราะทางโครงการได้จัดเตรียมอุปกรณ์ออกกำลังกายกลางแจ้งไว้ให้เรียบร้อย     สำหรับโครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) จาก บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ปักหมุดทำเลย่านบางปูไว้อย่างเหนียวแน่น หลายโครงการในเครือมีความน่าสนใจและได้รับการตอบรับจากผู้ที่ต้องการบ้านในโซนทำเลนี้เป็นอย่างดี ด้วยความสวยงามและฟังก์ชั่นของตัวบ้าน รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทำให้หลายๆ โครงการถูกจับจองหมดไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งโครงการนี้เองก็มีแบบบ้านให้เลือกด้วยกันถึง 2 แบบ ตามความต้องการที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกันของแต่ละครอบครัว รวมถึงพื้นที่ปบริเวณด้านหน้าของโครงการ ยังแบบการจัดสรรเป็นอาคารพาณิชย์ไว้ด้วย (ปัจจุบันยังไม่มีการเปิดขายในส่วนนี้) เนื่องจากเป็นทำเลในเขตชุมชนที่เดินทางสะดวกและมีผู้คนสัญจรผ่านมากพอสมควร จึงเหมาะกับการเปิดกิจการค้าขาย ในขณะเดียวกับก็เหมาะกับการอยู่อาศัยด้วย เพราะบริเวณโดยรอบมีความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องร้านค้าและอาหารการกิน และการเดินทางที่สะดวก ด้วยราคาเริ่มต้น 2.59-4.59 ล้านบาท*   ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ https://sivaromvillage-bangpu58.com/ โครงการอื่นที่น่าสนใจ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ทาวน์โฮมดีใกล้รถไฟฟ้า M Life บางแค-สาทร พรีเมียมทาวน์โฮม ติดถนนกาญจนา    
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ผนึก 2  พันธมิตร  ปั้น มอลตัน เกทส์  บ้านหรู  Well-Being 

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ผนึก 2  พันธมิตร  ปั้น มอลตัน เกทส์ บ้านหรู  Well-Being 

“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” รุกตลาดบ้านระดับลักชัวรี่ “มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา” พร้อมเปิดตัวพันธมิตรใหม่ด้าน Well-Being  ผนึก “สมิติเวช” มอบนวัตกรรม TytoCare เชื่อมโรงพยาบาลมาอยู่ในบ้านทุกหลัง ร่วมด้วย​ “ปัญญ์ปุริ” รังสรรค์ Wellness Aroma กลิ่นพิเศษ     นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชูรีและคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ เปิดเผยว่า การเกิดภาวะโรคระบาดในช่วงที่ผ่านมา และปัจจุบันสังคมไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้คนทั่วโลกให้ความสำคัญกับแนวคิด Health is Wealth ซึ่งการมีสุขภาวะที่ดี หรือ Well-Living กำลังเป็นเมกะเทรนด์แห่งอนาคตที่ผู้บริโภคมองหา และมีความต้องการ เนื่องจากการมีสุขภาพที่ดีเป็นเครื่องหมายของความมั่งคั่งยั่งยืน   จากแนวคิดดังกล่าว บริษัทจึงมุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้สามารถส่งมอบคุณค่า และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน จึงได้พัฒนาโครงการ​ “มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา” (Malton Gates Krungthep Kreetha) โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซูรี ที่มีฟังก์ชันตอบสนองเมกะเทรนด์ด้าน Well-Living หรือการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยอย่างครบครันบ้านเดี่ยวหรูที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยแห่งอนาคต เรามองว่า Well-Living ไม่ใช่เพียงแค่กิจกรรม Wellness เท่านั้น แต่เป็นองค์ประกอบแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่ต้องผสานกันทั้งหมด เราจึงรังสรรค์คุณค่าผ่าน 6 แกนหลักให้ตอบโจทย์แก่ผู้อยู่อาศัย จึงได้ผนึก 2 พันธมิตรแบรนด์ชั้นนำ คือ สมิติเวช และปัญญ์ปุริ เพื่อร่วมกันสร้างปรากฏการณ์ใหม่แก่ลูกบ้านแบบ Personalized ภายใต้แนวคิด The Gates to Well-Living ให้ครอบคลุมกับการใช้ชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน   ทั้งนี้ โครงการมอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา พัฒนาภายใต้แนวคิด “The Gates to Well-Living” เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีทั้ง 6 มิติ ได้แก่ 1.The Gates to Well Design การออกแบบทุกรายละเอียดอย่างประณีต แต่ยังคำนึงถึงหลักอารยสถาปัตย์ (Universal Design) ใส่ใจการใช้ชีวิตของคนทุกเจเนอเรชัน และสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานได้หลากหลาย 2.The Gates to Well Community มอบความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตน้อยที่สุดบนทำเลเพียง 49 หลัง พร้อมส่วนกลางครบครัน ท่ามกลางแหล่งไลฟ์สไตล์ สถานศึกษา และสถานพยาบาลชั้นนำ เชื่อมต่อการเดินทางเข้า-ออกเมืองง่ายดาย ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง 3.The Gates to Well Rest การพักอาศัยที่มีคุณภาพกับ Well Living Solutions อาทิ นวัตกรรมบ้านเย็น ระบบบ้านปลอดฝุ่น PM 2.5 เชื้อแบคทีเรียและไวรัส เทคโนโลยี Touchless ลดการสัมผัส ไปจนถึงการคัดเลือกวัสดุคุณภาพและปลอดสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ 4.The Gates to Well Service กับ Hygienic Concierge Service คัดสรรบริการที่มั่นใจได้ในคุณภาพและความปลอดภัย 5.The Gates to Well Essence ครั้งแรกที่ “ปัญญ์ปุริ” (PAÑPURI) ปั้นแบรนด์ “PANPURI Private Edition” มอบสุนทรียภาพในการอยู่อาศัยแบบเอ็กคลูซีฟเฉพาะโครงการมอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา โดยปรุง Signature Scent สร้างความผ่อนคลายและสะท้อนกลิ่นอายความเป็นอังกฤษ พร้อมพื้นที่สวนสีเขียวบรรยากาศร่มรื่นขนาดใหญ่กว่า 1,100 ตร.ม. ในโครงการ 6.The Gates to Well Health เสริมสร้างสุขภาพที่ดีกับโซนออกกำลังกายหลากรูปแบบ อีกทั้งยังร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ “รพ.สมิติเวช” มอบนวัตกรรมชุดตรวจสุขภาพทางไกล TytoCare และแอปพลิเคชันที่ช่วยตรวจติดตามสุขภาพ EngageCare มอบให้แก่ลูกบ้านทุกหลังในโครงการ และเชื่อมบริการ Samitivej Virtual Hospital ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตลอด 24 ชม. ด้านร.อ.นพ.ศรัณย์ อินทกุล รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ กล่าวว่า จากแนวคิด #เราไม่อยากให้ใครป่วย การป้องกันก่อนเกิดโรค (Early Detection) ย่อมดีกว่าการรักษา สมิติเวชได้จับมือกับเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เพื่อร่วมมอบความเป็นอยู่ที่ดีให้ผู้อยู่อาศัยโครงการมอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา โดยนำจุดแข็งเรื่องความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Health Tech) รูปแบบใหม่ เข้ามาอำนวยความสะดวกให้ผู้อยู่อาศัยสามารถดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ทั้งด้านการป้องกัน และการรักษาขั้นเบื้องต้น ภายใต้การดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเครือสมิติเวช เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะที่ดี นอกจากนี้ หากจำเป็นต้องเข้าโรงพยาบาล ลูกบ้านยังได้รับสิทธิพิเศษในการรักษาพยาบาลต่างๆ มากมาย สอดรับกับเมกะเทรนด์ด้าน Well-Living ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี   ขณะที่นายปราโมทย์ เดชะบุญศิริพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปุริ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Clean Beauty สกินแคร์ และเวลเนส ไลฟ์สไตล์ ภายใต้แบรนด์ “ปัญญ์ปุริ” (PAÑPURI) กล่าวว่า นับเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ปัญญ์ปุริได้นำศาสตร์ชั้นสูง ซึ่งผสานความเชี่ยวชาญด้าน Aromatherapy มาสร้างประสบการณ์ลักซูรีที่ซ่อนแนวคิด Well-Being ไว้ มาสร้างสรรค์เป็นแบรนด์ใหม่ “PAÑPURI Private Edition” เพื่อร่วมตอบโจทย์ The Gates to Well Essence สร้างสุนทรียะแห่งการผ่อนคลาย โดยมอบชุดผลิตภัณฑ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Malton Gates Welcome Home Package” ที่มีเพียง 49 เซ็ต เอกสิทธิ์พิเศษที่มอบให้แก่ลูกบ้านทุกหลัง เพื่อยกระดับบรรยากาศในบ้านให้ผ่อนคลาย พร้อมปรุงกลิ่นใหม่สำหรับใช้เป็นเครื่องหอมหลักภายในพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ   สำหรับโครงการมอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับ Luxury Wellness Residence สไตล์ Modern Classic สูง 3 ชั้น บนพื้นที่ขนาด 21 ไร่ มอบความเป็นส่วนตัวให้ผู้อยู่อาศัยด้วยจำนวนจำกัดเพียง 49 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,100 ล้านบาท มีแบบบ้านให้เลือกถึง 3 สไตล์ ได้แก่ 1.SMITHSON ขนาด 71-90 ตร.ว. 2.MIDDLETON ขนาด 90-108 ตร.ว. 3.LIVINGSTON บนเนื้อที่ 102-137 ตร.ว. และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ราคา 38-80 ล้านบาท     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แกะกล่อง แบรนด์ใหม่ บุกตลาดบ้านหรู 20 ล้าน+
บางกอกแลนด์ เตรียมเปิดใช้รถไฟฟ้าสายสีชมพู 2 สถานีเข้าเมืองทองธานี ปี 68

บางกอกแลนด์ เตรียมเปิดใช้รถไฟฟ้าสายสีชมพู 2 สถานีเข้าเมืองทองธานี ปี 68

เตรียมใช้รถไฟฟ้าสายสีชมพู เข้าเมืองทองธานี ปี 68 รวมระยะทาง 3 กิโลเมตร กับ 2 สถานี บางกอกแลนด์หวังอำนวยความสะดวกให้ลูกบ้านกว่า 300,000 คน และคนทั่วไปเข้าใช้บริการปีละ 10 ล้านคน เล็งปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสบนเนื้อที่ 400 ไร่ กระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ ในเมืองทองเติบโต 10-20%   รถไฟฟ้าสายสีชมพู ส่วนต่อขยาย 2 สถานีที่จะเข้าสู่เมืองทองธานี มูลค่า 4,000 ล้านบาท ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้ว ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2568   ​โดยโครงการสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู ส่วนต่อขยาย 2 สถานีที่เข้าสู่เมืองทองธานี รวมระยะทาง 3 กิโลเมตร มีชื่ออย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทสไทย (รฟม.)  กรมการขนส่งทางราง กระทรวงคมนาคม และบริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ ​BLAND​ ได้ตกลงร่วมกัน คือ 1.สถานีอิมแพ็ค เมืองทองธานี (ชาเลนเจอร์อาคาร 1) 2.สถานีทะเลสาบ เมืองทองธานี ล่าสุด ในวันที่ 2 สิงหาคม 2565  บางกอกแลนด์ ได้จัดพิธีลงนามเซ็นสัญญากับ บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด หรือ ​NBM  ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกลุ่มกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ (BSR JV consortium) ที่ร่วมทุนกันระหว่างบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน)  หรือ BTSG , บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC และบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ใน “โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายเข้าเมืองทองธานี”      นายปีเตอร์ กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ ทางบางกอกแลนด์ไม่ได้มีการแบ่งผลประโยชน์ในด้านค่าตั๋ว หรือจัดสรรผลประโยชน์จากรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยาย แต่มองว่าจะเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้พักอาศัยในเมืองทองธานีกว่า 300,000 คน และผู้ที่เดินทางเข้ามาร่วมงานแสดงสินค้าและการประชุมที่มีกว่า 10 ล้านคนต่อปี นอกจากนี้ ยังจะช่วยทำให้ธุรกิจต่าง ๆ ในเมืองทองธานีมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 10-20% โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า อาทิ ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค, โรงแรม, คอสโม บาซาร์, คอสโม วอล์ค, เอาท์เล็ท  สแควร์, บีไฮฟ ไลฟ์สไตล์มอลล์ และ คอสโม ออฟฟิศ พาร์ค  ๆ นอกจากนี้ ยังจะช่วยให้ที่ดินภายในเมืองทองธานีมีมูลค่าและศักยภาพเพิ่มมากขึ้นด้วย ปัจจุบันบางกอกแลนด์ยังมีที่ดินเปล่าที่รอการพัฒนาอีก 600 ไร่ ซึ่งวางแผนการพัฒนาเป็นโครงการลักษณะมิกซ์ยูส 400 ไร่รอบทะเลสาบเมืองทองธานี มีคนถามว่าเราลงทุนโครงการนี้เพื่ออะไร การที่รถไฟฟ้าเข้ามา ธุรกิจเราจะดีขึ้น ที่ดินที่มีอยู่จะมีศักยภาพพัฒนาที่ดีขึ้น โดยนอกจากบางกอกแลนด์จะให้งบประมาณสนับสนุนโครงการมูลค่า 1,293.75 ล้านบาทแล้ว บริษัทยังลงทุนอีก 1,000 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาทางเชื่อม หรือ Skywalk  เพื่อเชื่อมต่อจากสถานีไปยังศูนย์ แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค, โรงแรม, ร้านค้าปลีก และห้างสรรพสินค้าต่างๆ เพื่อรองรับการเติบโตและมอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้ที่มาใช้บริการ ด้านนายกวิน กาญจนพาสน์  กรรมการบริหาร บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด  กล่าวว่า การลงนามในครั้งนี้ระหว่าง NBM และ BLAND เป็นการลงนามในสัญญา 2 ฉบับ แบ่งเป็น 1.สัญญาให้การสนับสนุนการก่อสร้าง (Construction Support Agreement) โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ส่วนต่อขยายเข้าเมืองทองธานี   2.สัญญาก่อสร้างทางเชื่อม (Skywalk Connection Agreement) จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายเข้ามายังตัวอาคารของเมืองทองธานี   โดยภายใต้สัญญาดังกล่าว ทางบางกอกแลนด์ ได้อนุมัติเงินสมทบและค่าสิทธิให้กับ NBM ประมาณ 1,293.75 ล้านบาท (รวมภาษี มูลค่าเพิ่ม) เพื่อสนับสนุนการก่อสร้าง และพัฒนาส่วนต่อขยายเมืองทองธานี และเพื่อสิทธิของ บางกอกแลนด์ หรือบริษัทในเครือของบางกอกแลนด์ ในการก่อสร้างทางเชื่อมสถานี เพื่อเชื่อมต่ออาคารหรือสิ่งก่อสร้างใด ๆ อันเป็นกรรมสิทธิ์ของกลุ่ม บางกอกแลนด์ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเมืองทองธานี เข้ากับสถานีรถไฟฟ้าในส่วนต่อขยายเมืองทองธานี นับแต่วันที่ทำสัญญา จนถึงวันที่สิทธิในการดำเนินงานระบบรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเมืองทองธานี ตามสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูระหว่าง NBM และ รฟม.สิ้นสุดลง และยังได้อนุมัติเงินสมทบเพื่อสนับสนุนการบำรุงรักษาจำนวน 10.35 ล้านบาทต่อปี (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) นับจากวันที่ส่วนต่อขยายเมืองทองธานีเปิดให้บริการด้วย โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายเข้าเมืองทองธานี ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการในธุรกิจ MOVE ที่บีทีเอส กรุ๊ปฯ ให้ความสำคัญ เพราะเรามุ่งหวังจะเป็นผู้ให้บริการเดินทางแบบ door-to-door เพื่อตอบโจทย์การเดินทาง ตั้งแต่ก้าวแรกถึงก้าวสุดท้ายให้กับผู้โดยสารอย่างสมบูรณ์ ภายใต้การให้บริการที่สะดวกและปลอดภัย โดยโครงการดังกล่าว จะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูเส้นทางหลัก ช่วงแคราย-มีนบุรี ซึ่งสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าได้อีก 4 สายได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วง (ช่วงบางใหญ่-บางซื่อ), รถไฟชานเมืองสายสีแดง (ช่วงบางซื่อ-รังสิต), รถไฟฟ้าสายสีเขียว (ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) และรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี)   ทั้งนี้โครงการดังกล่าวจะใช้ระยะเวลาการก่อสร้างประมาณ 37 เดือน และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ เปิดให้บริการได้ในปี 2568 ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณผู้โดยสารอยู่ที่ 13,785 คน/เที่ยว/วัน หากโครงการดำเนินการแล้วเสร็จ จะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรในการเดินทางเข้าพื้นที่เมืองทองธานีได้เป็นอย่างดี เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นชุมชนขนาดใหญ่ และมีผู้เดินทางเข้า-ออกเป็นจำนวนมาก ส่วนภาพรวมโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี จำนวน 30 สถานี (ไม่รวมสถานีอิมแพ็คเมืองทองธานี และสถานีทะเลสาบเมืองทองธานี) มีความคืบหน้าโครงการ 89.43% แบ่งเป็นงานโยธา 91.01% และงานระบบรถไฟฟ้า 87.90% ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้บางส่วนช่วงต้นปี 2566  
M Life ลำลูกกา-คลอง 4 ทาวน์โฮมหรู 2 ชั้น ดีไซน์ใหม่ไม่ซ้ำใคร ใกล้รถไฟฟ้าคูคต

M Life ลำลูกกา-คลอง 4 ทาวน์โฮมหรู 2 ชั้น ดีไซน์ใหม่ไม่ซ้ำใคร ใกล้รถไฟฟ้าคูคต

M Life ลำลูกกา-คลอง 4 ทาวน์โฮมหรู 2 ชั้น ดีไซน์ใหม่ไม่ซ้ำใคร ใกล้รถไฟฟ้าคูคต จากที่เราเคยลงข้อมูลพรีวิวโครงการ “M Life ลำลูกกา-คลอง 4” กันไปก่อนหน้านี้ ก็คงจะพอเห็นภาพและข้อมูลของโครงการกันบ้างแล้วว่า “M Life ลำลูกกา-คลอง 4” เป็นโครงการบ้านทาวน์โฮมดีไซน์หรูหราทันสมัย จาก Maison Development หรือ บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด ที่ปักหมุดในทำเลที่เน้นการตอบโจทย์เพื่อการอยู่อาศัย และสะดวกในการเดินทาง เพราะห่างจากทางพิเศษกาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก) เพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น และยังอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีคูคตไปไม่ไกล จึงสามารถตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองที่ต้องการขยายครอบครัว และกำลังมองหาบ้านหลังใหม่ที่จะสามารถตอบโจทย์การชีวิตได้รอบด้าน   และรีวิวครั้งนี้ เราจะพาไปเยี่ยมชมบรรยากาศภายในโครงการ “M Life ลำลูกกา-คลอง 4” เพื่อให้เห็นบรรยากาศจริงทั้งภายในบ้านตัวอย่างรวมถึงพื้นที่ส่วนกลางของโครงการด้วย ซึ่งทางโครงการมีแบบบ้านให้เลือกด้วยกัน 2 แบบ ภายใต้แนวคิด Timeless Townhome ที่เน้นการออกแบบที่หรูหราทันสมัย ด้วยเส้นสายโค้งมนทำให้ดีไซน์ของบ้านสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็นเลยทีเดียว   ปักหมุดบนทำเลเพื่อการอยู่อาศัย โครงการ “M Life ลำลูกกา-คลอง 4” ตั้งอยู่บนถนนลำลูกกาคลอง 4 ซึ่งเป็นถนนใหญ่ที่เชื่อมระหว่างถนนลำลูกกาและถนนรังสิต-นครนายกไว้ด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นถนนหลักที่สำคัญสายหนึ่งเนื่องจากเป็นถนนใหญ่ที่มีการพัฒนาและมีสาธารณูปโภคต่างๆ อยู่อย่างครบครัน รวมถึงบริเวณตอนเหนือของกรุงเทพฯ เป็นย่านที่ได้รับความนิยมและมีการพัฒนาที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่อง การขยายเมืองมาในโซนนี้เห็นได้ชัดตลอดหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงการเปิดใช้ส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียวมาถึงคูคตในปีที่ผ่านมา ก็ยิ่งทำในพื้นที่ในย่านนี้กลับมาคึกคักอีกครั้ง   นอกจากนี้ ถนนลำลูกกายังสามารถเชื่อมต่อกับถนนสายสำคัญอีกหลายสาย ทั้ง ถนนวิภาวดี ถนนพหลโยธิน ถนนสายไหม และที่สำคัญยังมีทางพิเศษถนนกาญจนภิเษก (วงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก) ห่างออกไปไม่ไกล ทำให้การเดินทางเข้าออกเมืองสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ส่วนถ้าใครที่ต้องเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นประจำ ปัจจุบันสถานีคูคตเป็นสถานีปลายทางที่อยู่ไม่ไกลจากตัวโครงการ ส่วนในอนาคตรถไฟฟ้าสายนี้จะมีการต่อขยายไปอีก ก็จะมีสถานีคลอง 4 เป็นสถานีที่ใกล้กับตัวโครงการมากที่สุด   ในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่จะตอบโจทย์การอยู่อาศัยในย่านนี้นั้น ต้องบอกว่าบริเวณรอบๆ โครงการ “M Life ลำลูกกา-คลอง 4” มีครบรอบด้านเลยทีเดียว เยื้องๆ กับทางเข้าโครงการมีตลาดเอซี ซึ่งนับว่าเป็นตลาดขนาดใหญ่บนถนนลำลูกกาคลอง 4 ก็ว่าได้ ทำให้บริเวณรอบๆ ตลาดมีความอุดมสมบูรณ์ ทั้งสองฝั่งถนนเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อมากมาย ในขณะที่บนถนนลำลูกกาเองก็มีครบทั้ง ห้างแมคโครฟู้ด, ห้างโลตัส ลำลูกกา, ห้างบิ๊กซี, โรงพยาบาลสินแพทย์ลำลูกกา นอกจากนี้พื้นที่ใกล้เคียงก็มีทั้ง ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน โรงพยาบาลชั้นนำ รวมถึงสถานที่สำคัญต่างๆ อีกมากมาย เช่น ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต, โรงเรียนสารสาสน์วิเทศสายไหม, โรงเรียนนานาชาติสยาม, โรงพยาบาลสายไหม, โรงพยาบาลเปาโล, สนามบินดอนเมือง, สนามกีฬาธูปเตมีย์, ตลาดสี่มุมเมือง ฯลฯ ด้วยความสะดวกที่เพียบพร้อมมาก ทำให้ทำเลที่ต้องของโครงการมีศักยภาพและเหมาะกับการเป็นที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง   2 แบบบ้านตอบโจทย์การอยู่อาศัย โครงการ “M Life ลำลูกกา-คลอง 4” เป็นทาวน์โฮมหรูที่มีการออกแบบปรับฟังก์ชันใหม่ ภายใต้แนวคิด Timeless Townhome ด้วยดีไซน์หรูหราทันสมัย ที่มาพร้อมพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านที่จะมาตอบโจทย์การใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัว ด้วยแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ และพื้นที่ส่วนกลางที่ประกอบไปด้วยสวนสวย สนามเด็กเล่น และคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกบ้าน   แบบบ้าน M 1 - ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร 1 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 123 ตร.ม. มาพร้อมฟังก์ชัน 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ   บริเวณชั้น 1 ของตัวบ้านสามารถจอดรถได้ 1 คัน ตามแบบแปลนของตัวบ้านจะมีพื้นที่เอนกประสงค์บริเวณด้านหน้าสุดที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามต้องการ ซึ่งทางโครงการได้นำเสนอไอเดีย จัดการตกแต่งให้เป็นหน้าร้านขายเสื้อผ้าเล็กๆ ที่มีการแบ่งการใช้งานได้อย่างเป็นสัดส่วน ซึ่งก็เป็นไอเดียที่น่าสนใจสำหรับผู้อาศัยที่อยากมีหน้าร้านเล็กๆ ไว้ต้อนรับลูกค้า ในขณะที่พื้นที่ถัดเข้ามาด้านในจะเป็น Living Area สำหรับห้องนั่งเล่น มี 1 ห้องน้ำ และโซนสำหรับวางโต๊ะกินข้าวของครอบครัวที่สามารถเชื่อมต่อกับโซนหลังบ้าน โดยพื้นที่บริเวณด้านหลังสุดของบ้านตัวอย่างทางโครงการได้ต่อเติมเป็นห้องครัว และห้องซักผ้า ซึ่งทางโครงการได้ลงเสาเข็มไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พื้นที่หลังบ้านจึงสามารถต่อเติมเพื่อใช้ประโยชน์ได้ตามความต้องการของผู้อาศัยได้เต็มที่     สำหรับพื้นที่ชั้น 2 แบ่งเป็น 3 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ที่แบ่งฟังก์ชันการใช้ห้องน้ำ โดยแยกห้องอาบน้ำและห้องส้วมออกเป็น 2 ห้องโดยชัดเจนเพื่อความสะดวกในการใช้งาน ในส่วนของห้อง Master Bedroom อยู่บริเวณด้านหน้าของตัวบ้าน กินพื้นที่ครึ่งหนึ่งของบริเวณชั้น 2 ทำให้ได้ขนาดห้องกว้างและเปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ในขณะห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง นอกจากวางเตียงขนาด 3.5 ฟุตเพื่อใช้เป็นห้องนอนเล็กแล้ว อาจตกแต่งเป็นห้องทำงาน หรือใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้ตามต้องการหากจำนวนสมาชิกในครอบครัวไม่มาก     แบบบ้าน M 2 - ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5.4 เมตร 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 123.7 ตร.ม. พร้อมฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ   แบบบ้านหลังนี้ จะมีหน้ากว้างที่เพิ่มมากขึ้น สามารถจอดรถในบริเวณบ้านได้ 2 คัน ในขณะที่พื้นที่ภายในบ้านบริเวณชั้น 1 กว้างขวาง สามารถแบ่งโซน Living Area และ Dining Area ได้อย่างลงตัว และเพิ่มพื้นที่สำหรับใช้เป็นห้องนอนหรือห้องเอนกประสงค์ไว้อีก 1 ห้อง ซึ่งทางโครงการได้เสนอไอเดียการจัดตกแต่งให้เป็นห้องทำงาน หรือห้องเล่นเกมส์ไว้อย่างน่าสนใจ โดยที่ห้องนอนนี้จะอยู่ติดกับโซนหลังบ้านที่ได้มีการลงเสาเข็มไว้ให้เรียบร้อย พร้อมต่อเติมเป็นห้องครัวและห้องซักผ้าไว้ให้ไอเดียในการตกแต่งเพิ่มเติมสำหรับใครที่สนใจ หรือต้องการต่อเติมพื้นที่ซักล้างด้านหลังให้เกิดประโยชน์ใช้สอยที่เพิ่มมาขึ้น     ถัดมาที่บริเวณชั้น 2 ของตัวบ้าน ถูกแบงออกเป็น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ โดยที่มีจุดเด่นอยู่ที่ห้อง Master Bedroom ที่กว้างเต็มหน้ากว้างของตัวบ้าน และมีห้องน้ำในตัว ทำให้สามารถตกแต่งเพิ่มเป็นWalk in Closet ได้อีกด้วย ในขณะห้องนอนเล็กอีก 2 ห้องในโซนด้านหลังของตัวบ้านจะแชร์ห้องน้ำที่อยู่ด้านนอกร่วมกัน และเช่นเดิมที่เราสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้สอยพื้นที่ห้องนอนเล็กทั้ง 2ได้ตามความต้องการนอกเหนือจากการใช้เป็นห้องนอนเพียงอย่างเดียว   Facility ส่วนกลางเพื่อทุกช่วงวัยของครอบครัว นอกจากการออกแบบดีไซน์ตัวบ้านได้หรูหราน่าสนใจแล้ว พื้นที่ส่วนกลางของโครงการ “M Life ลำลูกกา-คลอง 4” ก็สวยงามพร้อมตอบสนองทุกความต้องการของลูกบ้านทุก Generations ซึ่งประกอบไปด้วย คลับเฮ้าส์หรูพร้อมสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือกว้าง 4 x 14.7 เมตร และฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์การออกกำลังกายมากมาย ที่ลูกบ้านทุกคนจะได้เพลิดเพลินไปกับการออกกำลังกายในพื้นที่สีเขียว และได้ใกล้ชิดธรรมชาติไปพร้อมๆ กัน นอกจากที่พื้นที่สีเขียวและสวน outdoor ส่วนกลาง ก็มีทั้งเครื่องออกกำลังกายกลางแจ้ง และสนามเด็กเล่นพร้อมเครื่องเล่นบนลานสีสันสดใสที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ       ด้วยยูนิตรวมทั้งโครงการที่มีจำนวนเพียง 210 ยูนิต ซึ่งจัดว่าเป็นโครงการที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก ทำให้การดูแลเรื่องความปลอดภัยเป็นไปอย่างทั่วถึง โดยที่ทางโครงการมีทั้งกล้อง CCTV และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงการเข้าออกพื้นที่โครงการด้วย Auto Access Card ก็ยิ่งทำให้ลูกบ้านเพิ่มความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยในการอยู่อาศัยมากขึ้น     สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านหลังใหม่ เพื่อการขยายครอบครัว หรือสร้างครอบครัวใหม่บนทำเลที่เดินทางสะดวก ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่สะดวกสบายแบบคนเมือง โครงการ “M Life ลำลูกกา-คลอง 4” จัดว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจ ด้วยราคาเริ่มต้น 2.39 ล้านบาท* และเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้ไม่ยาก สำหรับผู้ที่สนใจ หรือสอบถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อ โทร. 063-207-8555 หรือ http://www.maison.co.th/   โครงการอื่นๆ ที่น่าสนใจ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน ท่ามกลางบรรยากาศสุดชิล สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ทาวน์โฮมดีใกล้รถไฟฟ้า M Life บางแค-สาทร พรีเมี่ยมทาวน์โฮม ติดถ.กาญจนาฯ-เดอะมอลล์ บางแค