Tag : living

432 ผลลัพธ์
สุดง่าย…วิธีไล่กิ้งกือไม่ให้เข้าบ้าน

สุดง่าย…วิธีไล่กิ้งกือไม่ให้เข้าบ้าน

"กิ้งกือ" เป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศน์ แต่หากกิ้งกือบุกบ้านเราก็คงรำคาญใจใช่ไหมคะ? เพราะด้วยลักษณะตัวที่ค่อยๆ คืบคลานอยู่ภายในบริเวณบ้าน ซึ่งดูไม่น่ามองสักเท่าไหร่ แม้เจ้าตัวนี้จะไม่มีพิษสงร้ายแรงอะไร แต่ก็ทำให้ขนลุก สยดสยอง ไม่ว่าจะตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ยิ่งถ้าใกล้หน้าฝนทีไร กองทัพกิ้งกือก็จะโผล่มาบนดินทันที! แต่ไม่กังวลใจไปค่ะ เพราะวันนี้เรานำวิธีกำจัดกิ้งกือมาฝาก รับรองว่าใช้ได้ผล และสัตว์ร้อยขาชนิดนี้จะไม่มากวนใจบ้านคุณอีกต่อไป 1.ไล่กิ้งกือด้วยปูนขาว  ปูนขาวสามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านวัสดุก่อสร้างแถวบ้าน นำปูนขาวไปโรยไว้รอบๆ บ้าน โดยเฉพาะตามขอบซีเมนต์หรือพื้นดินบริเวณที่กิ้งกือมักจะเดินผ่าน 2.น้ำส้มควันไม้ ใช้ไล่กิ้งกือ น้ำส้มควันไม้สามารถนำมาใช้เป็นยากำจัดแมงในบ้านได้ ผสมน้ำส้มควันไม้ 1 ส่วน กับน้ำเปล่า 20 ลิตร นำไปราดบริเวณที่มีกิ้งกือ นอกจากนี้ยังสามารถไล่แมลงต่างๆ ไม่ให้เข้ามาในบ้านได้อีกด้วย ปัจจุบันน้ำส้มควันไม้หาซื้อได้ง่ายตามร้านวัสดุก่อสร้าง ร้านเคมีภัณฑ์ ร้านเคมีเกษตร ฯลฯ ก็จะมีน้ำส้มควันไม้ขายค่ะ 3.ไล่กิ้งกือง่ายๆ ด้วยเกลือ ใช้เกลือแกงที่ใช้ทำอาหารโรยรอบๆ บ้าน วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายและประหยัด หรืออาจจะใช้เกลือเม็ดที่เป็นแบบกระสอบโรยไว้ตามพื้นรอบๆ บ้าน รับรองกิ้งกือพากันย้ายหนีออกจากบ้านคุณแน่นอนค่ะ แต่ถ้าฝนตกก็ต้องหมั่นโรยบ่อยๆ แต่ระวังอย่าโรยเกลือไว้ใกล้ต้นไม้เกินไปเพราะความเค็มจะเป็นอันตรายต่อพืชค่ะ 4.ลูกเหม็นสารพัดประโยชน์ ไล่กิ้งกือได้ เพียงแค่วางลูกเหม็นไว้ตามจุดต่างๆ ของบ้านเท่านี้กิ้งกือก็จะพากันย้ายหนีออกไป เพราะทนกลิ่นฉุนของเจ้าลูกเหม็นนี้ไม่ไหวนั่นเอง 5.ชอล์คกันมด ก็ไล่กิ้งกือได้ ชอล์คที่เอาไว้ขีดกันมดก็สามารถเอามาขีดไล่กิ้งกือได้เช่นกัน ลองขีดไว้รอบๆ บ้านหรือขีดหนาๆ บริเวณหน้าประตูเพื่อป้องกันเจ้ากิ้งกือกระดื๊บๆ เข้ามาในบ้านของเราค่ะ 6.สมุนไพรไล่แมลงได้ ก็ไล่กิ้งกือได้ ใช้สมุนไพรไล่แมลงฉีดพ่นบริเวณที่ไม่ต้องการไม่ให้ มด แมลงและ กิ้งกือเข้าไปหลบซ่อน   แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเจ้ากิ้งกือตัวยึกยือสุดยี๊ที่เราไม่ชอบให้มาอยู่ในบ้านของเราก็มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศไม่น้อยเช่นกันนะคะ เป็นผู้ช่วยในการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุในระบบนิเวศเพื่อเป็นอาหาร ทั้งซากพืช ซากสัตว์ และสิ่งเน่าเปื่อยต่างๆ แต่ถ้าใครไม่อยากให้เจ้ากิ้งกือเข้ามาในบ้าน ก็หมั่นทำความสะอาดอบ้านอย่าให้มีพื้นที่รกและชื้น (กิ้งกือชอบความชื้น) เพียงเท่านี้เจ้ากิ้งกือก็จะไม่เดินเข้ามาในบ้านของเราแล้วค่ะ ความรู้เกี่ยวกับกิ้งกือ กิ้งกือ (millipedes) ความรู้อื่นๆ ที่เป็นประโยชน์กับบ้านของเรา วิธีกำจัดแมลงสาบ วิธีเด็ดไล่ตุ๊กแก วิธีกำจัดตะขาบ
การเตรียมบ้าน สำหรับคนสูงอายุ ที่ต้องให้ความสำคัญ

การเตรียมบ้าน สำหรับคนสูงอายุ ที่ต้องให้ความสำคัญ

"บ้านที่เราอยู่เมื่อวันที่เราเกิด และเราอยู่ในบ้านหลังนั้นไปอีก 40 ปี หรือมากกว่านั้น เราก็จะรู้ว่า บ้านมันก็ยังเหมือนเดิมแต่คนในบ้านแก่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันเริ่มไม่สมดุลกันละ พอมันเป็นแบบนี้ ความเป็นอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมกับสภาพร่างกายย่อมเกิดอันตรายได้ โดยเฉพาะ 3 จุดเสี่ยงในบ้าน     เริ่มจาก "ห้องน้ำ" เป็นจุดที่มีการเปลี่ยนระดับพื้น ลื่น แสงสว่างไม่พอ เช่นเดียวกับ "บันได" ที่มีการเปลี่ยนระดับพื้นเหมือนกัน ลื่น และค่อนข้างมืด โอกาสหกล้มย่อมเกิดได้ง่าย สุดท้ายคือ "เตียงนอน" เป็นจุดที่จะต้องเปลี่ยนท่าทางจากยืนเป็นนั่ง จากนั่งเป็นนอน หรือตอนเช้า จากนอนเป็นนั่ง จากนั่งเป็นยืน โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุ หกล้มก็มีได้สูง"     ถ้าเป็นไปได้ พื้นต่างระดับต้องปรับให้ระดับน้อยที่สุดไปจนถึงไม่มีเลย ส่วนพื้นที่ลื่น ถ้าเป็นกระเบื้อง ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่เรามากขึ้น ง่ายสุด งบน้อยสุด ซื้อน้ำยามาเคลือบกระเบื้องให้มันมีความสากมากขึ้น แต่ถ้าไม่ไหวละ ยังไงก็ลื่นอยู่ดี อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนพื้นให้เป็นผิวหยาบ   สำหรับบันได ไม่อยากให้ชันมาก ถ้ามีความคิดจะปรับปรุงใหม่ ขนาดลูกนอนควรยาวประมาณ 1 ไม้บรรทัดเพื่อให้เท้าวางได้พอดี ส่วนขนาดลูกตั้งควรอยู่ที่ประมาณ 15 เซนติเมตร ส่วนสีของขั้นบันไดควรใช้สีสว่าง และที่สำคัญคือต้องมีแสงสว่างอย่างเพียงพอเพื่อให้การเดินขึ้นลงอย่างปลอดภัย     ส่วนอีกเรื่องที่จะขาดไม่ได้เลยก็คือ การเพิ่มอุปกรณ์อย่าง 'ราวจับ' เข้าไป เริ่มจากจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงระดับพื้น จุดที่คิดว่าพื้นมันลื่น จุดที่มีการเปลี่ยนแปลงอิริยาบถเยอะๆ อย่างเช่นในห้องน้ำ หรือเตียงนอน ซึ่งหลายๆ ที่เริ่มมีชุดราวจับแบบติดตั้งสำหรับเตียงนอนขายแล้ว"     อย่างแรกเลย ต้องจัดระเบียบเฟอนิเจอร์เพื่อให้โล่ง เดินได้สะดวกขึ้น เนื่องจากผู้สูงอายุมักมีปัญหาเรื่องสายตา ถ้ามีสิ่งของวางเกะกะอาจเป็นสาเหตุทำให้สะดุดล้มได้ง่าย ส่วนห้องรับประทานอาหาร เก้าอี้พลาสติกไม่แนะนำให้ใช้ เวลาค้ำเพื่อลุกเดิน อาจล้มคว่ำได้ และขอฝากไว้อีกนิดเรื่องสัตว์เลี้ยง เพราะอาจไปพันแข้งพันขาผู้สูงอายุจนเกิดอุบัติเหตุได้     นอกจากนั้น สัญญาณช่วยเหลือในบ้านก็จำเป็นเหมือนกัน หลายครั้งผู้สูงอายุล้มอยู่นาน แต่ไม่ได้รับความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีเพราะไม่มีใครรู้ หรือเรียกใครไม่ได้ยิน ดังนั้น ห้องสำคัญๆ ที่ควรติดไว้เลยก็คือ ห้องน้ำ เวลาล้มอยู่ในห้องน้ำจะได้มีคนรู้ ลูกหลานจะได้เข้ามาช่วยได้ทันเวลา"     ถึงตอนนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายประเทศทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เช่นเดียวกับประเทศไทยที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ดังนั้น "การเตรียมบ้าน" ให้พร้อมคืออีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะสิ่งที่ทุกคน ปรารถนาคือความสุขในบั้นปลายชีวิต ไม่ใช่ "พิการ" หรือนอนเป็นผักอยู่บนเตียง   ขอบคุณข้อมูลดีๆ และภาพประกอบ จาก สสส. http://www.thaihealth.or.th ขอบคุณภาพประกอบจาก Internet, https://pixabay.com
เลือกทำเลเปิดร้าน ทำธุรกิจอย่างไรดี

เลือกทำเลเปิดร้าน ทำธุรกิจอย่างไรดี

การจะลงมือทำธุรกิจ เปิดร้านค้าอะไรสักอย่าง ทำเลนับเป็นปัจจัยต้นๆ เลยทีเดียวที่เราต้องคำนึงถึง เพราะหากไม่คิดถึงทำเล จะกลายเป็นการทำ(ทิ้งทะ)เล ประมาณว่าตำน้ำพริกละลายแม่น้ำนะครับ     1.ทำเลกลุ่มลูกค้าต้องมีคนเดินผ่านทั้งหน้า และหลัง   ควรที่จะมองเห็นได้ในหลายมุม เพราะจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการขายได้มากยิ่งขึ้น   2.ทำเลดีโบราณว่า ควรหลีกเลี่ยงทางสามแพร่ง    เพราะเนื่องจากทางฮวงจุ้ยแล้วถือว่าไม่ดีไม่เป็นมงคลจะทำให้ค้าขายไม่ดี   3.ทำเลดีไม่เปิดร้านโดดเดี่ยว ควรมีร้านค้าอื่นๆ ตั้งอยู่ในบริเวณนั้นด้วย    เป็นแหล่งที่ผู้คนเขาไปจับจ่ายซื้อของ ไม่ใช่เป็นร้านเดี่ยวๆ  ยิ่งเป็นแหล่งชุมชน เศรษฐกิจจะยิ่งดีมากยิ่งขึ้น เพราะผู้คนตั้งใจเข้ามาจับจ่ายใช้เงิน   4.ทำเลดีสามารถขยายพื้นที่ได้ในอนาคต   ต้องมองว่าธุรกิจมีโอกาสเติบโต เมื่อโตแล้วต้องขยายได้ หากพื้นที่ไม่เอื้ออำนวยก็จะทำให้การขยายเป็นไปได้วยความยากลำบาก   5.ทำเลดีต้องมีที่จอดรถ หรือ คมนาคมสะดวก   เป็นเรื่องใหญ่มาก หากลูกค้ามาแล้วไม่มีที่จอดรถ หรือเดินทางมาด้วยความยากลำบาก จุดนี้เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงในอันดับต้นๆ   6.ทำเลดีต้องมีลูกค้า หรือ กลุ่มเป้าหมาย   ต้องรู้ว่าลูกค้าเราเป็นใคร เช่น ร้านกาแฟควรเปิดใกล้ออฟฟิศ อุปกรณ์การเรียนควรเปิดใกล้โรงเรียน มหาวิทยาลัย แต่ถ้าเป็นเครื่องสังฆภัณฑ์ ก็ควรอยู่ใกล้วัด เป็นต้น   7.ทำเลดี ต้องมีเงินทุน   ถ้าอยากได้ทำเลดีๆ ก็ต้องช้เงินเพื่อซื้อสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่กล่าวมา หากไม่มีทุนหรือกำลังทรัพย์มากพอ ก็ต้องขยับโซนออกไปย่านชานเมืองหน่อย แต่โอกาสในการสร้างรายได้ก็จะน้อยลง   8.ทำเลไม่ดีอย่าลืมใช้เทคโนโลยี การตลาดออนไลน์   หากเราอยู่ในจุดที่เสียเปรียบเรื่องทำเล ก็ไม่ใช่ว่าจะแย่ไปทั้งหมดนะครับ ลองนำการตลาดออนไลน์มาแทนทำเลที่ไม่สู้ดีนัก ถ้าทำดี ทำเลก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปนะครับ   8 แนวทางเบื้องต้นในการเลือกทำเลครับ แต่ใช่ว่าทำเลดีแล้วจะทำให้ธุรกิจจะรุ่งนะครับ ยังมีอีกหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินค้า การบริหารจัดการ คู่แข่งฯ ที่เราต้องเรียนรู้และพัฒนาปรับปรุงเพื่อให้ธุรกิจเราสามารถเดินหน้าสร้างกำไรได้อย่างไรก็แล้วแต่ครับ “ทำเลดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” อย่างแน่นอนครับ   ขอบคุณแหล่งที่มา : https://taokaemai.com/how-to-select-location-for-business/   ภาพประกอบจาก : https://pixabay.com
12 ร้านคาเฟ่ สุดชิค! ใกล้บีทีเอส

12 ร้านคาเฟ่ สุดชิค! ใกล้บีทีเอส

วันสบายๆ แบบนี้ มีแผนไปไหนกันหรือยัง ถ้ายังไม่มี ขอแนะนำ 12 ร้านคาเฟ่ติดบีทีเอส บรรยากาศฟินเว่อร์ น่านั่งทำงานเป็นที่สุด พร้อมมุมตกแต่ง ไว้ให้ถ่ายรูปชิคๆ เหมาะกับคนที่ใช้การเดินทางด้วย BTS หรือ ที่มีที่พักอาศัยอยู่ย่าน CBD ที่อยู่ใจกลางเมือง ติดสถานีรถไฟฟ้า BTS  มาดูกันว่ามีร้านคาเฟ่ไหนถูกใจวัยชิคบ้าง...       Chu Chocolate Bar & Cafe   คาเฟ่ ที่มีให้ทานได้ทั้งของหวานและของคาวที่ดีไม่ต่างกัน อาหารก็น่าทาน บรรยากาศก็ดีเพราะเป็นการตกแต่งสไตล์มินิมอล เน้นการใช้โครงเหล็กที่ทำให้เรารู้สึกเท่ ภายในร้านก็จะโล่งสบายตา เหมาะแก่การมานั่งเม้ามอยกับเพื่อนไม่ว่าจะกลุ่มเล็กหรือกลุ่มใหญ่ ?เปิดบริการทุกวันจันทร์ – วันอาทิตย์ ⌚ 8.00 – 21.00 น. ?ถนน สุขุมวิท กรุงเทพมหานคร (ชั้น 2​​ Exchange Tower)     Dandelion Cake and Picnic   คาเฟ่เล็กๆแต่ว่าอบอวลไปด้วยความอบอุ่น เป็นค่าเฟ่ที่ให้บริการทั้งอาหารคาวและก็อาหารหวาน ถ้าพูดถึงมุมถ่ายรูป ต้องที่ชั้นสองเพราะมีการตกแต่งให้เป็นสไตล์ปิกนิก ที่ให้มานั่งพักผ่อน ถ่ายรูปกันได้อย่างบันเทิงใจด้วย ที่สำคัญใครที่อยากทำขนมทางร้านมีเปิดคลาสให้เวิร์คช็อปทำขนมได้ด้วย ?เปิดบริการทุกวันจันทร์ – วันอาทิตย์ ⌚ 7.00 – 22.00 น. ? ถ.สุขุมวิท ระหว่างซอย 49 กับ 51 เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร     V La Cha หรือ เวฬาฌา   ร้านขนมไทยทำเองและที่สำคัญตามชื่อเลยค่ะ ร้านนี้ต้องมีดีเรื่องชา ที่จะคัดสรรชามาจับคู่ทานกับขนมไทย ลงตัวสุดๆและที่ขาดไม่ได้เยร้านนี้ตกแต่งโทนน้ำเงิน ไม้ ผสมกับปูนเปลือย พูดง่ายๆว่าจะยกกล้องไปมุมไหนก้ได้ภาพมาลงไอจีอย่างแน่นอน ?เปิดบริการทุกวันจันทร์ – วันศุกร์ ⌚ 10.00 – 20.00 น. ?อารีย์ซอย 1 กรุงเทพมหานคร (อยู่ต้นๆซอยเลย ขวามือ)     Shugaa Room for Dessert   หวาน หวานกว่านี้จะไปที่ไหน ขนมหวานร้านนี้เขาอบอวลด้วยความหอมหวานจริงๆ เพราะมีเค้กชาเขียวนุ่มๆ สไตล์ญี่ปุ่นให้ได้ลิ้มลอง ภายในร้านนี้ตกแต่งด้วยสีพาสเทลหวาน จะเห็นบาร์ขนมหวานที่เป็นเอกลักษณ์ตั้งอยู่ ของประดับตกแต่งต่างๆก็ดีไซน์ออกมาน่ารัก สดใส ที่สำคัญที่นี่ยังมีการเปิดให้เข้ามา เวิร์คช็อปและคลาสการตกแต่งเค้กอีกด้วย สีร้านหวานขนาดนี้ สายหวาน สายแบ้วนี่ต้องมาเลยนะ ?เปิดบริการทุกวันจันนทร์ – วันอาทิตย์ ⌚ 10.00 – 20.00 น. ? The Residence@61 สุขุมวิท 61 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร     Yellow Spoon Pastry   บ้านสีเหลืองที่น่ารักกุ๊งกิ๊ง ร้านนี้มีขนมหวานโฮมเมดสูตรน้ำตาลน้อยไว้ให้เลือกทาน ยังมีเมนูอื่นให้เลือกทานอีกด้วยทั้งคาวทั้งหวาน ร้านนี้เขาไม่ได้มาเล่นๆนะ ภายในร้านจะตกแต่งด้วยงานไม้สีอ่อน ทำให้รู้สึกอบอุ่นเสมือนว่าเรากำลังนั่งทานขนมหวานอยู่ที่บ้าน เหมาะแก่การถ่ายรูปที่สู้ด ?เปิดบริการทุกวันจันนทร์ – วันอาทิตย์ ⌚ 10.00 – 20.00 น. ?โครงการ Ekkamai Complex ระหว่าง ซอยเอกมัย 19 และ 21 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร     Warm Welcome Bakery & Cafe   ร้านเบเกอรี่ที่อบใหม่ๆทุกวัน ที่พร้อมจะเสิร์ฟให้กับลูกค้าอย่างเช่น ขนมปังพานีนี สอดไส้ซอสมะเขือ พร้อมเสิร์ฟให้กับลูกที่แวะเวียนมาที่ร้าน ซึ่งภายในร้านก็ตกแต่งสไตล์มินิมอล สีขาว สบายๆ และยังมีงานศิลปะที่ลูกค้าสามารถจับจองเป็นเจ้าของได้อีกด้วย ?เปิดบริการทุกวันจันทร์ – วันอาทิตย์ ⌚ 8.00 – 18.00 น. ? 19/5 ซอย สุขุมวิท 33 กรุงเทพมหานคร (เยื้องๆกับร้าน Top Daily)     Veganerie Concept   เอาใจสายสุขภาพกันบ้าง เพราะชื่อคาเฟ่ก็นัยๆบอกเราอยู่แล้วว่า vegan ก็คือ มังสวิรัติ นั่นเอง ร้านนี้จึงต้องการทำให้คนที่ไม่ชอบกินผักเปลี่ยนมาทานผักกันมากขึ้น เข้าใจถึงมุมมองการทานอาหารแนวนี้ ร้านก็จะตกแต่ง เท่ๆ ใช้เฟอร์นิเจอร์หรือการตกแต่งที่เป็นไม้เสียส่วนใหญ่ และยังมีที่นั่ง Outdoor ด้านหน้าร้านให้รับลมชิลๆ อีก ?เปิดบริการทุกวันจันนทร์ – วันอาทิตย์ ⌚ 10.00 – 22.00 น. ?ซอยเมธีนิเวศน์ สุขุมวิท 24 ประมาณ 500 เมตร     Ink & Lion café   ร้านนี้เป็นร้านกาแฟ และขนมจุบจิบที่ทานง่ายๆสบายๆ เรียบง่ายมีสไตล์เป็นของตนเอง เนื่องจากอย่างโคมไฟทางร้านก็ทำขึ้นเอง ด้านหลังก็มีแกลลอรี่โชว์ผลงานศิลปะสำหรับคนที่หลงรักในงานศิลปะที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และอย่างที่บอกว่าร้านนี้โดดเด่นด้านกาแฟทางร้านจึงมีกาแฟจำหน่ายและอุปกรณ์ต่างๆให้สามารถกลับไปชงเองที่บ้านได้อีก ?เปิดบริการทุกวันจันนทร์ – วันอาทิตย์ ⌚ 09.00 – 18.00 น. ? ซ.เอกมัย 2 สุขุมวิท 63 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร     Chunky   ร้านน่านั่งกับเมนูอร่อยที่ไม่ควรพลาด บรรยากาศร้านจะเป็นร้านสองชั้นที่จะรองรับลูกค้าที่หลากร้าน เป็นการตกแต่งแบบโมเดิร์นที่ดูสบายตาเหมือนกินข้าวกับที่บ้าน ถ่ายรูปมุมไหนก็ดูไฮแน่นอน และที่นี่มีทั้งอาหารคาวและอาหารหวาน ให้เลือกหลายหลายตอบโจทย์มาก ?เปิดบริการทุกวันอังคาร – วันอาทิตย์ ⌚ 11.00 – 22.00 น. ?ถนน สุขุมวิท ซอย สุขุมวิท 23 กรุงเทพมหานคร (เข้าซอยเลี้ยวขวาซอยแรกแล้วตรงไปร้านอยู่ขวามือ)     One Dee Cafe หรือ วันดีคาเฟ่   เป็นการผสมผสานความเป็นไทยกับความสากลที่มีการเอาขนมไทยมาเป็นส่วนผสมในเมนูต่างๆใช้แต่วัตถุดิบที่มีคุณภาพ มีทั้งความแปลก อย่าง ไอศกรีมกะทิหน้ากุ้ง ที่ความอร่อยล้น อะไรจะลงตัวขนาดนี้ บรรยากาศร้านก็จะสบายๆเรียบง่ายแบบไทย อยากให้เธอได้ลอง ?เปิดบริการทุกวันจันทร์ – วันอาทิตย์ ⌚ 10.00 – 22.30 น. ?ซอย พหลโยธิน 7 กรุงเทพมหานคร (ใกล้บีทีเอสอารีย์)       Childhood Café   เป็นอีกร้านที่มองทางไหนก็ดูออกว่าร้านตกแต่งสไตล์มินิมอล ที่มีความโดดเด่น สีขาว ดูสะอาดสบายตา เข้ากันกับเฟอร์นิเจอร์ของทางร้านที่เป็นหินอ่อน ผสมผสานกับการตกแต่งเพิ่มโดยต้นไม้สีเขียวที่ช่วยให้เรารู้สึกสดชื่น ร้านนี้อีกอย่างที่โดดเด่นคืออาหารไทยฟิวชั่นที่ทานง่าย เป็นเมนูที่เหมือนจะธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา ?เปิดบริการทุกวันจันทร์ – วันศุกร์ ⌚ 11.00 – 22.00 น. ?ซอยสุขุมวิท 23 เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร     ARTIS   ร้านนี้มีสองสาขาสาขาหนึ่งอยู่ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย และอีกสาขาก็ที่กรุงเทพของเรานี่เอง เป็นอะไรที่น่าปลื้มปลิ่มมาก เพราะที่นี่โดดเด่นมาเรื่องกาแฟที่ทางร้านการันตีเลย แต่ไม่ได้มีดีที่กาแฟเพียงอย่างเดียวเพราะของทานเล่นของทางร้านก็หลากหลาย ที่ร้านก็จะตกแต่งสบายๆ มีความโมเดิร์นอยู่ภายในร้าน ?เปิดบริการทุกวันจันนทร์ – วันอาทิตย์ ⌚ 06.00 – 19.00 น. ? สุขุมวิท 18 กรุงเทพมหานคร   ใกล้ที่ไหน สะดวกสถานีไหน จัดไปเลยนะ ขอบคุณข้อมูล และภาพประกอบ จาก EventPass Facebook : https://www.facebook.com/EventPassfanpage/  
เลือกคอนโดชั้นไหนดี ให้ถูกโฉลกผู้อยู่อาศัย

เลือกคอนโดชั้นไหนดี ให้ถูกโฉลกผู้อยู่อาศัย

การเลือกห้องชุด คอนโดมิเนียม มีหลักในการเลือกให้เหมาะสมกับตัวคุณเอง โดยยึดหลักฮวงจุ้ยได้ เลือกดีมีผลต่อการอยู่อาศัย อยู่ดีมีสุข ร่มเย็น เรามาลองดูว่า เลือกคอนโดชั้นไหนดี จึงถูกโฉลกผู้อยู่ ในการเลือกซื้อคอนโดนั้นตามศาสตร์ฮวงจุ้ย ยังสามารถตัดสินใจซื้อได้ตามระบบธาตุ ธาตุดิน คือคอนโดที่เป็นสี่เหลี่ยม ควรซื้อชั้นที่ 5, 10, 15, 25 ธาตุไม้ คือคอนโดที่เป็นลักษณะสูง เป็นแท่งขึ้นไป ควรซื้อชั้นที่ 3, 8, 16, 38, 61 ธาตุทอง คือคอนโดทรงกลม ควรซื้อชั้นที่ 10, 15, 49, 94 อีกทั้งคอนโดที่มีการก่อสร้างเป็นลักษณะตัว U จะถูกตามหลักฮวงจุ้ย คือมีรูปลักษณะที่ดีเหมือนปากโอ่ง รับซ้ายขวามาเก็บไว้ ส่วนคนที่เกิดนักษัตรใด ควรเลือกคอนโดชั้นไหนดี จึงจะส่งผลดีต่อการอยู่อาศัย ปีชวด มะโรง วอก อยู่ในกลุ่มธาตุน้ำ ชั้นที่ดีคือชั้นที่ลงท้ายด้วย 1 กับ 6 ทั้งหมด ปีฉลู ระกา มะเส็ง อยู่ในกลุ่มธาตุทอง ชั้นที่ดีคือชั้นที่ลงท้ายด้วย 9 กับ 4 ทั้งหมด ปีขาล มะเมีย จอ อยู่ในกลุ่มธาตุไฟ ชั้นที่ดีคือชั้นที่ลงท้ายด้วย 2 กับ 7 ทั้งหมด ปีเถาะ มะแม กุน อยู่ในกลุ่มธาตุไม้ ชั้นที่ดีคือชั้นที่ลงท้ายด้วย 3, 8, 1 และ 6 ทั้งหมด   รวมทั้งในตัวคนเราจะมีกลุ่มถ่อฮวย คือ จุดเสน่ห์ ซึ่งคือทิศทางที่ทำให้นักษัตรเรามีพลัง ปีชวด มะโรง วอก มุมเสน่ห์ คือทิศตะวันตก ปีฉลู ระกา มะเส็ง มุมเสน่ห์ คือทิศใต้ ปีขาล มะเมีย จอ มุมเสน่ห์ คือทิศตะวันออก ปีเถาะ มะแม กุน มุมเสน่ห์ คือทิศเหนือ   ในทิศที่เป็นมุมเสน่ห์ต้องไม่ให้มีห้องน้ำ ถังขยะหรือสิ่งสกปรก ควรทำให้มีสิ่งเคลื่อนไหว มีสิ่งสวยงาม สดชื่นเช่นดอกไม้ เพื่อเพิ่มความมีชีวิตชีวา ถ้าแก้ไม่ได้เช่นเป็นห้องน้ำ ต้องรักษาความสะอาด ฝาห้องน้ำต้องทำให้สวยงาม หาต้นไม้ ดอกไม้สวยๆ มาวางไว้ ไม่ใช้ต้นไม้แห้ง ต้นไม้ตายแล้ว คนจีนอาจจะใช้เป็นต้นกวนอิม คนอยากมีคู่อาจจะเป็นกุหลาบ หรือคนทำการค้า ต้องมองทิศนี้เป็นทิศพลังเพื่อเรียกลูกค้า วางสินค้าโชว์ มีของหอม มีดิสเพลย์สวยๆ รับลูกค้า เป็นต้น ขอขอบคุณข้อมูลฮวงจุ้ยดีๆ จาก อาจารย์ธนากร ตันอาวัชนการ ซินแสมังกร การเลือกซื้อคอนโดให้ได้ราคาดี เลือกซื้อห้องคอนโดอย่างไรให้ได้ห้องดี ราคาไม่ตก เกี่ยวกับการเลื้อซื้อคอนโดอื่นๆ ต้องรู้อะไรบ้าง ซื้อคอนโดแล้วไม่เสียสิทธิ์ 5 ทำเลเลี่ยงได้ให้เลี่ยงเมื่อซื้อคอนโด ข้อดีของการซื้อคอนโด ซื้อบ้าน หลุดดาวน์    
วิธีกำจัดตะไคร่น้ำบนพื้นและหลังคา ต้นเหตุที่ทำให้บ้านลื่นและดูสกปรก

วิธีกำจัดตะไคร่น้ำบนพื้นและหลังคา ต้นเหตุที่ทำให้บ้านลื่นและดูสกปรก

รวมวิธีกำจัดตะไคร่น้ำบนพื้นและหลังคา พืชสีเขียวเล็ก ๆ ที่ขึ้นลามไปทั่วในช่วงหน้าฝน จนทำให้บ้านดูสกปรก แถมยังทำให้พื้นลื่น สาเหตุของอุบัติเหตุในบ้านด้วย เมื่อฝนมา...ภายในบ้านมันก็จะชื้น ๆ ต้นเหตุหลักที่ทำให้เกิดตะไคร่น้ำ หรือชื่อภาษาอังกฤษที่เรียกว่า มอสส์ (Moss) มาเกาะบ้าน ทำลายบรรยากาศไปซะหมด ถึงหลายคนจะบอกว่า มันดูสวยดี แต่ยังมีบางบ้านที่ไม่ต้องการให้มันขึ้น กระปุกดอทคอมเลยไม่รอช้าที่จะนำวิธีกำจัดตะไคร่น้ำมาฝากกันค่ะ สำหรับบ้านไหนที่ไม่อยากให้ตะไคร่น้ำเกาะ ก็เลือกวิธีที่เหมาะสมไปกำจัดเลยค่ะ น้ำร้อน วิธีนี้คือขั้นพื้นฐานของการกำจัดตะไคร่น้ำ โดยการราดน้ำต้มเดือดตรงที่มีตะไคร่น้ำ ตามด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอื่น ๆ เทซ้ำลงไปที่เดิม ก่อนใช้แปรงหัวแข็งขัดและทำความสะอาดอีกรอบ   เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง วิธีนี้เป็นการกำจัดดตะไคร่น้ำแบบธรรมชาติเหมือนวิธีแรกนั่นแหละค่ะ ด้วยการใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงมาฉีดบรรดาคราบตะไคร่น้ำที่เกาะอยู่ตามผนังหรือพื้นซีเมนต์ต่าง ๆ ให้ทั่ว คราบตะไคร่น้ำก็จะหายไปในทันที แต่วิธีนี้อาจจะใช้ไม่ได้ผลในบริเวณที่มีคราบตะไคร่น้ำเกาะหนา   น้ำส้มสายชู น้ำส้มสายชูเป็นของดีที่ทุกบ้านต้องมีเลยค่ะ โดยนำน้ำส้มสายชูมาราดลงบนตะไคร่น้ำโดยตรง ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วขัดออก ราดน้ำเพื่อทำความสะอาดให้เกลี้ยง และที่สำคัญต้องทำให้แห้งด้วยนะคะ เพื่อกำจัดความชื้นตัวการที่ทำให้เกิดตะไคร่น้ำให้หมดไปแบบถาวรด้วย   สารฟอกขาว หากทำวิธีด้านบนแล้วยังมีตะไคร่น้ำสีเขียว ๆ เกาะอยู่ งั้นต้องผสมสารฟอกขาว ¾ ถ้วยตวง กับน้ำเปล่า 1 แกลลอน เพื่อนำไปราดบนตะไคร่น้ำและทิ้งไว้ 10 นาที แล้วค่อยล้างออก แต่วิธีนี้ควรระวังไม่ให้ส่วนผสมไหลไปโดนต้นไม้เด็ดขาด ที่สำคัญถ้าจะให้ดีต้องทำวิธีนี้ในวันที่อากาศปลอดโปร่ง เพราะความร้อนจากแสงแดดจะทำให้ส่วนผสมแห้งเร็วขึ้น   เบกกิ้งโซดา ถ้าสารเคมีหายากเกินไป แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในครัวเรือนอย่าง เบกกิ้งโซดา เพียงแค่นำไปโรยบนตะไคร่น้ำให้ทั่ว ทิ้งไว้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง จากนั้นค่อยกวาดเศษตะไคร่น้ำและเศษเบกกิ้งโซดาทิ้งไป น้ำยาล้างจาน ส่วนผสมที่ได้จากในครัวเรือนเหมือนกัน เริ่มจากผสมน้ำยาล้างจาน 600 มิลลิลิตร กับน้ำเปล่า 5 แกลลอนให้เข้ากันดี แล้วราดลงบนตะไคร่น้ำ ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง จากนั้นก็มาขัดและล้างออกให้สะอาด   หากใครจะใช้วิธีกำจัดตะไคร่น้ำที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ ต้องระมัดระวังให้มาก ถ้าเลือกวิธีที่มีสารเคมีก็ควรสวมอุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ ให้พร้อม และปฏิบัติตามคำแนะนำที่มาพร้อมกับผลิตภัณฑ์อย่างเคร่งครัด เพื่อกำจัดตะไคร่น้ำให้หมดไปและไม่เป็นอันตรายต่อตัวเราด้วยนะคะ ขอบคุณแหล่งที่มา : https://home.kapook.com/view172394.html
คู่มือเตรียมบ้านให้พร้อมรับมือกับหน้าฝน

คู่มือเตรียมบ้านให้พร้อมรับมือกับหน้าฝน

  ฝนที่ตกลงมานอกจากก่อความรำคาญใจให้กับเราแล้ว จะเป็นส่วนที่ทำร้ายบ้านของเราอีกด้วย การหมั่นตรวจเช็คสิ่งต่างๆ ของบ้านทั้งภายในและภายนอกให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ จะช่วยให้เราพร้อมรับแรงปะทะจากพายุฝนที่กำลังจะมาได้เป็นอย่างดี โดยควรต้องตรวจเช็คทั้งตัวบ้าน สิ่งแวดล้อมละแวกบ้านอย่างละเอียด โดยสิ่งที่จำเป็นต้องตรวจเช็คมีดังต่อไปนี้..   1. ตรวจสอบหลังคา ฝ้า เพดาน ให้ดี ปัญหากวนใจเกี่ยวกับบ้านในช่วงหน้าฝน คงหนีไม่พ้นปัญหาน้ำรั่วซึมเพดานอย่างแน่นอน ซึ่งทางเราขอแนะนำให้เจ้าของบ้านหรือคอนโดมิเนียมหมั่นตรวจดูรอยรั่วซึมของหลังคา ตรวจดูผนังห้องไม่ให้มีรอยแตกร้าว ไม่มีรอยรั่วซึมของน้ำบน ฝ้าเพดาน โดยดูสังเกตุได้หากฝ้าเพดานมีลักษณะเป็นดวงสีน้ำตาลแสดงว่ามีรอยน้ำรั่ว หากพบสัญญาณบอกเหตุว่ามีการรั่วไหล ให้รีบทำการซ่อมแซมทั้นที   2. รางน้ำฝน และรางระบายน้ำ ก็อย่าละเลย สำหรับรางน้ำฝนและรางระบายน้ำนั้น คงเป็นจุดที่เจ้าของบ้านหลายคนมักไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ แต่ขอบอกเลยว่ามีความสำคัญมากนะ ดังนั้นแนะนำให้ทำความสะอาดรางระบายน้ำรอบบริเวณบ้าน ทั้งบนหลังคาและบนพื้นดินอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้มีสิ่งอุดตันจากเศษดินหรือเศษใบไม้มาขวางทางระบายของน้ำ เพื่อให้น้ำฝนที่ไหลลงมาจากหลังคา หรือไหลตามรางระบายน้ำสามารถระบายน้ำออกไปให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันน้ำขังบริเวณบ้านจนทำให้น้ำท่วมเข้าบ้านนั่นเอง   3. ระเบียงหรือนอกชาน เราก็ต้องดูแล ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดฯ เราเชื่อว่ายังก็ต้องมีระเบียงกลางแจ้ง ซึ่งเราแนะนำให้ตรวจสอบดูว่ามีคราบน้ำ คราบตะไคร่น้ำหรือเชื้อราอยู่บริเวณพื้นหรือไม่ ถ้ามีให้รีบดำเนินการทำความสะอาดขัดล้างออก เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุลื่นล้ม อีกทั้งยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคอีกด้วย และหากทิ้งไว้นานก็จะทำให้ทำความสะอาดได้ยากขึ้น ต้องรับกำจัดตั้งแต่เนิ่นๆ นะ   4. มีปลั๊กไฟ โคมไฟ อยู่กลางแจ้งหรือเปล่า? สำหรับข้อนี้ถือว่าสำคัญนะคะ เพราะบ้านใครที่มีบริเวณส่วนใหญ่มักต่อปลั๊กไฟไว้ใช้งานในสวน จึงควรตรวจเช็คระบบไฟฟ้าหรือบริเวณปลั๊กไฟที่อยู่ในจุดเสี่ยง อาทิ โคมไฟหน้าบ้านที่ไม่มีหลังคาคลุม, กระดิ่งไฟหน้าบ้าน, ปลั๊กไฟที่อยู่นอกบ้าน ก็ควรต้องมีฝาปิดครอบให้แน่นหนาเพื่อป้องกันน้ำกระเซ็นถึง เป็นต้น   5. ต้นไม้ใหญ่ใกล้บ้าน ระวังไว้หน่อยก็ดี แน่นอนว่าหากบริเวณบ้านพักที่อยู่อาศัยของเรา มีต้นไม้สูงอยู่ใกล้เคียง สิ่งที่เจ้าของบ้านควรทำเสมอคือแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เข้ามาตัดแต่งกิ่งไม้ให้อยู่ห่างจากเสาไฟ และไม่ให้เกะกะสายไฟรอบตัวบ้าน เพราะนี่อาจจะเป็นสาเหตุทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้ แถมถ้ามีฝนฟ้าคะนองหรือลมกรรโชกแรงในหน้ามรสุมก็จะยิ่งเสี่ยงให้เกิดอันตรายได้นะคะ ดังนั้นป้องกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ดีจ๊ะ   6. ดูแลเฟอร์นิเจอร์ในสวนให้พร้อมรับหน้าฝน เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน ก็ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องจัดเก็บเฟอร์นิเจอร์สนามประเภทผ้าเข้ากรุ และเตรียมการให้พร้อมรับฤดูที่เต็มไปด้วยความชื้น โดยการทาน้ำยาป้องกันแมลง หรือน้ำยาเคลือบเงาบนเฟอร์นิเจอร์ไม้และทาน้ำยากันสนิมพร้อมกับเคลือบสีใหม่ให้เฟอร์นิเจอร์เหล็ก จะได้สวยงามคงทนสู้แดดและฝน   7. ป้องกันลานลื่นในสวน ถ้าฝนตกชุก พื้นทางเดินก็มักจะมีตะไคร่น้ำเกาะ ซึ่งเจ้าของบ้านควรใช้น้ำยากำจัดตะไคร่น้ำบนพื้นลาน แล้วจึงติดแถบหรือเคลือบน้ำยากันลื่นหรือปูพื้นด้วยแผ่นพื้นไม้สำเร็จรูปกันลื่นที่ถอดประกอบได้และมีน้ำหนักเบา โดยเลือกชนิดที่มีโครงรองพื้นเป็นพลาสติกก็จะสามารถระบายน้ำและความชื้นได้ดี   สุดท้ายอย่าลืมว่าเราไม่สามารถควบคุม บังคับธรรมชาติได้ แต่เราสามารถปรับตัว เรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นเตรียมบ้านให้พร้อมรับกับหน้าฝนที่กำลังจะมากันดีกว่าค่ะ เพราะถ้าบ้านปลอดภัยเราก็สบายกายและสบายใจ :)
วิธีเก็บผักผลไม้ในตู้เย็น ให้สดอร่อยและอยู่นานมากขึ้น

วิธีเก็บผักผลไม้ในตู้เย็น ให้สดอร่อยและอยู่นานมากขึ้น

บ่อยครั้งที่เราไปตลาดหรือซุปเปอร์มาเก็ตแล้วมักหยิบจับผักผลไม้ลงใส่ตระกร้าเป็นจำนวนมาก ครั้นเมื่อพอถึงบ้านก็ยัดทุกสิ่งอย่างที่เลือกซื้อมาเข้าไปในตู้เย็น จนเกิดปัญหาตู้เย็นสูญเสียความเย็นและทำงานหนัก ส่งผลให้ผักและผลไม้อยู่ได้ไม่นาน ไม่สดเหมือนเดิมอีกต่อไป พอถึงเวลาจะนำมาใช้ก็เหี่ยวเน่าไปซะก่อน ถ้าใครกำลังหาวิธียืดอายุผักให้สดได้นานขึ้น วันนี้ Review Your Living  มีวิธีเก็บผักผลไม้ในตู้เย็นที่ถูกต้องและอยู่ได้นานมาฝากกัน   แต่ก่อนที่ทุกคนจะรู้วิธีเก็บผักผลไม้ในตู้เย็น ต้องรู้เรื่องนี้ก่อนนะ! 1. ไม่ควรเก็บผักไว้รวมกัน เพราะจะทำให้เกิดการเน่าเสียและเสื่อมสภาพเร็วขึ้น 2. การเก็บผักด้วยวิธีแช่น้ำ ไม่ควรแช่ผักลงในน้ำทั้งตัน เพราะจะทำให้วิตามินละลายน้ำเสียไป 3. การเก็บผักเล็กๆ น้อยๆ ที่ใช้ในครัวและเก็บในตู้เย็นนั้น ควรล้างผักให้สะอาดก่อนเพราะผักที่ซื้อจากตลาดขายปลีกมักไม่สะอาด หากยังไม่ได้ใช้ทันทีให้ล้างทั้งต้นด้วยน้ำสะอาด แล้วผึ่งให้สะเด็ดน้ำจริงๆ ค่อยเอาเข้าเก็บ เมื่อรู้วิธีก่อนนำผักผลไม้ไปเก็บในตู้เย็นที่ถูกต้องแล้ว เรามาดูวิธีเก็บผักผลไม้ในตู้เย็น ให้อยู่ได้นานยิ่งขึ้นกันดีกว่า 1.วิธีเก็บผักผลไม้ ด้วยกระดาษห่อผัก จริงๆ แล้วผักสดควรจะต้องทานภายใน 1-2 วัน เพื่อให้ได้สารอาหารสูงสุด แต่ถ้าต้องการแช่ผักในตู้เย็น หลังจากล้างผักเสร็จแล้ว ให้ห่อผักด้วยกระดาษเช็ดมือแผ่นใหญ่ แล้วค่อยนำไปแช่ตู้เย็น ซึ่งกระดาษจะช่วยกักเก็บความชื้นไม่ให้ระเหยออกไป และช่วยคงความสดให้นานขึ้น ที่สำคัญอย่าลืมเด็ดผักใบที่ช้ำหรือเน่าทิ้งก่อนด้วยนะ 2.วิธีเก็บผักผลไม้ โดยแยกกลุ่มผักให้ชัดเจนก่อน ก่อนจะนำผักสดเข้าตู้เย็นนั้น แนะนำให้แยกกลุ่มผักออกจากกัน โดยจำแนกเป็น 3 ชนิด คือผักที่เน่าเสียง่ายอย่าง เห็ด, ผักชี, ผักกาดหอม, ถั่วงอก, ถั่วฝักยาว, ผักบุ้ง และชะอม ต่อมาคือกลุ่มผักที่เก็บได้ในระยะเวลาจำกัด ก็จะมีผักกาด, ผักคะน้า, มะเขือเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผักที่เก็บไว้ได้นานกว่าผักอื่นๆ เช่น ฟัก, แฟง, เผือก, มัน และฟักทอง ซึ่งผักเหล่านี้แม้จะเก็บในตู้เย็นก็ยืดเวลาได้ไม่นานนัก แต่การเก็บที่ดีที่สุดคือใส่ถุงพลาสติกที่สะอาดและแห้ง จะช่วยเก็บความสดไว้ได้นานขึ้น 5-7 วัน 3.วิธีเก็บผักผลไม้สุกง่าย จับใส่ถุงสูญญากาศซะ! ขึ้นชื่อว่าผลไม้ ก็มีให้เลือกมายมายนับไม่ถ้วนเลยใช่ไหมล่ะ แต่ผลไม้ต่างๆ ที่สุกง่าย อย่าง มะม่วง, แอปเปิ้ล, อะโวคาโด, องุ่น, ลูกแพร รวมไปจนถึงผักอย่างพริกไทยสด และเห็ดทุกชนิด ถ้าอยากให้คงความสดและเก็บได้นานล่ะก็แนะนำให้ใส่ถุงพลาสติกสูญญากาศ และพยายามอย่าให้ผิวของผลไม้แต่ละลูกสัมผัสกัน เพียงเท่านี้ก็ช่วยเก็บความสดไว้ได้นานขึ้นแล้ว 4.วิธีเก็บผักผลไม้ดิบ ควรใส่ถุงกระดาษเจาะรู มาต่อกันที่ผลไม้ดิบ ที่ยังมีผลเป็นสีเขียว ถ้าแม่บ้านหรือพ่อบ้านคนไหนอยากให้มันยังคงความสดอยู่ล่ะก็ แนะนำให้นำผลไม้ใส่ถุงกระดาษที่เจาะรู อากาศที่ไหลเวียนจะช่วยคงความสดได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยให้ก๊าซเอธิลีนหรือก๊าซที่ทำให้ผลไม้สุกยังคงอยู่ในถุง ไม่ไปรบกวนผลไม้ชนิดอื่น 5.ผลไม้จำพวกเบอร์รี่ กับวิธีเก็บผักผลไม้ ผลไม้จำพวกตระกูลเบอร์รี่มักไม่ถูกกับความร้อนของประเทศไทยเท่าไหร่นัก เพราะสภาพอากาศร้อนชื้นส่งผลให้ผลไม้เสียง่ายมาก ดังนั้นข้อแนะนำของเราคือให้นำผลไม้อย่าง เชอร์รี่, สตรอว์เบอร์รี่, หรือบลูเบอร์รี่ ใส่ตระกร้าแล้วล้างผ่านน้ำร้อนแบบรวดเร็วประมาณ 30 วินาที หลังจากนั้นให้เทลงบนผ้า เพื่อคลายความร้อน แล้วค่อยนำไปแช่ในตู้เย็น ความร้อนจะฆ่าสปอร์แบคทีเรีย ทำให้เบอร์รี่คงความสดได้นานขึ้นนั่นเอง 6.อย่าใช้วิธีเก็บผักผลไม้ ด้วยการแช่รวมกัน สำหรับข้อนี้ขอขีดเส้นใต้รัวๆ เลย สำหรับผักผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดหรือซุปเปอร์มาเก็ตนั้น คุณพ่อบ้านแม่บ้านทั้งหลายไม่ควรนำมาแช่น้ำรวมกัน เพราะผลไม้สุกจะปล่อยก๊าซเอธิลีนออกมา ทำให้ผักที่ว่างอยู่ใกล้ๆ เสียเร็ว ทางที่ดีเราแนะนำให้ควรเก็บผักและผลไม้แยกถุงหรือ แยกชั้นกัน ยิ่งแช่ห่างกันมากเท่าไรผักและผลไม้ก็จะช่วยยืดอายุได้นานขึ้น เชื่อสิ! 7. วิธีเก็บผักผลไม้ สำหรับเห็ดควรใส่ไว้ในกล่องพลาสติก เห็ดเป็นผักอีกหนึ่งประเภทที่เสียค่อนข้างเร็ว ดังนั้นแนะนำให้ล้างให้สะอาดแล้วตากลมให้แห้ง จากนั้นเก็บใส่กล่องพลาสติก แล้วปิดฝาไม่ต้องสนิท ให้ลมเข้าไปเล็กน้อย หรืออาจใช้แผ่นพลาสติกใส ห่อแล้วเจาะรูเล็กๆ ที่ด้านบนเพื่อป้องกันความชื่น ซึ่งเป็นตัวการสำคัญทำให้เห็ดเน่าเสียนั่นเอง 8.เก็บไข่ไว้ในชั้นวางตู้เย็น หนึ่งในวิธีเก็บผักผลไม้ วัตุดิบอย่าง "ไข่สด" ควรเก็บไว้ในกล่องไข่หรือชั้นวางไข่ในตู้เย็น เพื่อกันการกระแทกและป้องกันการระเหยของน้ำออกจากไข่ที่สำคัญไม่ควรล้างไข่ก่อนเก็บเข้าตู้เย็น เพราะจะทำให้อากาศ สิ่งสกปรก และกลิ่นต่างๆ ในตู้เย็น ซึมเข้าภายในฟองไข่ได้ไว ทำให้ไข่ไก่เสียง่าย นอกจากนี้ก็ควรวางไข่ให้ด้านแหลมลง ให้ด้านป้านหงายขึ้น วิธีนี้จะทำให้ไข่แดงอยู่ตรงกลางฟองพอดี   เพียงแค่ทุกคนลองทำตามวิธีที่เรานำมาฝาก รับรองว่าผักผลไม้ที่ซื้อมาจากตลาดหรือซุปเปอร์มาเก็ตนั้นจะอยู่กับเรานานขึ้นแน่นอน แต่ทางทีดี  ‘ผักสด’ ควรจะกินภายใน 1-2 วัน เพื่อให้ได้สารอาหารสูงสุด แต่ถ้าต้องการแช่ผักในตู้เย็น หลังจากล้างผักและเสร็จแล้ว ให้ห่อผักด้วยกระดาษเช็ดมือแผ่นใหญ่ แล้วค่อยนำไปแช่ตู้เย็น กระดาษจะช่วยเก็บความชื้นไม่ให้ระเหยออกไป ซึ่งจะช่วยคงความสดให้นานขึ้น และอย่าลืมเด็ดผักใบที่ช้ำหรือเน่าทิ้งไปก่อนด้วยนะคะ เมื่อทราบวิธีเก็บผักผลไม้ในตู้เย็นแล้ว ก็ควรต้องทำความสะอาดตู้เย็นด้วย ทำตู้เย็นของคุณให้สะอาดและดูใหม่อยู่เสมอ นอกจากวิธีเก็บผักผลไม้ ก็มีเคล็ดลับอื่นๆ มาฝากด้วย 5 วิธีกำจัดกลิ่นเหม็นและคราบสกปรกในตู้ไมโครเวฟได้อยู่หมัด 4 วิธีกำจัดสิ่งสกปรกในเครื่องซักผ้า “ฮาวทูเคลียร์..ตู้เย็น” ไม่ให้เหลือทิ้ง ลดปริมาณขยะตามแบบฉบับของเบโค
แก้เคล็ดฮวงจุ้ยห้องนอน เสริมดวงให้ราบรื่น

แก้เคล็ดฮวงจุ้ยห้องนอน เสริมดวงให้ราบรื่น

ฮวงจุ้ย ถือเป็นศาสตร์อย่างหนึ่งจากประเทศจีน เกี่ยวกับการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตหลายด้านตามความเชื่อ ซึ่งก็ได้รับความนิยมกันหลายประเทศในเอเชียที่มีการวางสถาปัตยกรรม สภาพแวดล้อมให้ตรงตามหลักฮวงจุ้ย เพื่อความเจริญรุ่งเรือง แต่สำหรับฮวงจุ้ยที่ใกล้ตัวเรามากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่องในห้องนอนค่ะ ถ้ารู้สึกว่าชีวิตทำอะไรก็ติดขัดไปหมด ไม่ราบรื่นเอาเสียเลย ก็ลองหันมาจัดแจงปรับเปลี่ยนห้องนอนของเรากันเสียหน่อย อาจะได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นตามศาตร์ของฮวงจุ้ยก็ได้นะคะ 1.ฮวงจุ้ยห้องนอนไม่เป็นสี่เหลี่ยม จัดว่าเป็นห้องเชือดเฉือน ห้องนอนที่ไม่เป็นสี่เหลี่ยม แต่มีส่วนหนึ่งเว้าแหว่งไป จนเป็นรูปทรงคล้ายมีดบังตอ ถือว่าไม่ดี ยิ่งถ้าตั้งเตียงตรงบริเวณส่วนคมของมีดก็ยิ่งถือว่าไม่ดี จะทำให้สามี-ภรรยาชอบหาเรื่องทำร้ายกัน มิว่าทางกายหรือทางคำพูด หรืออาจต้องเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดใหญ่ วิธีแก้เคล็ดตามหลักฮวงจุ้ยห้องนอน ให้ตั้งเตียงในส่วนที่เป็นด้านสันมีด แล้วติดลูกแก้วคริสตัลหรือตั้งกระถางต้นไม้ไว้ที่จุด A ถ้าเตียงจำเป็นต้องอยู่ทางคมมีด เพราะผนังด้านสันมีดเป็นห้องน้ำ ก็ให้ติดกระจกเงาบานใหญ่ไว้ทางผนังด้านตรงข้ามกับเตียง 2.ฝันร้ายบ่อย หงุดหงิดง่าย เพราะปลายเตียงแคบ บริเวณปลายเตียงนอนสมควรให้มีเนื้อที่ว่างอย่างน้อยที่สุดก็สัก 2 ฟุตครึ่ง (ถ้ามีเนื้อที่เหลือกว้างมากก็ยิ่งดี) พยายามอย่าให้มีตู้หรือโต๊ะมาตั้งไว้ที่ปลายเตียงจนเกือบชิด จะทำให้ฝันร้ายบ่อย และจิตใจมักหงุดหงิดไม่สบายอยู่เสมอ แก้เคล็ดฮวงจุ้ยห้องนอน แค่ปล่อยโล่ง  ควรปล่อยให้ปลายเตียงเป็นบริเวณโล่งๆ โปร่งๆ ถ้าเนื้อที่จำกัดจริงๆ และจำเป็นต้องวางตู้ขนาดใหญ่ไว้ที่ปลายเตียงก็ให้ติดผ้าม่านสีอ่อนๆ ที่หน้าประตูตู้ เมื่อนอนมองมาจะมีความรู้สึกสบายตา ไม่รู้สึกถูกพลังบางอย่างกดทับ 3.ฮวงจุ้ยห้องนอน ที่หัวเตียงหันผิดทิศ มีแต่เรื่องทุกข์ใจ  ถ้าตั้งหัวเตียงไปทางทิศตะวันตก คู่สามี-ภรรยาจะมีแต่ความเบื่อหน่ายหมดความรักความใคร่ในกันและกัน แม้เป็นคนโสดก็จะมีแต่เรื่องให้เป็นทุกข์และกังวลใจ ชีวิตถดถอยมากกว่าเจริญก้าวหน้า แค่ขยับเตียง ฮวงจุ้ยห้องนอนก็เปลี่ยนทันที ให้ย้ายหัวเตียงไปทางทิศอื่น แล้วชีวิตจะมีความสุขความเจริญขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คู่สามี-ภรรยาก็จะมีความรักใคร่กันอย่างสดชื่นยิ่งขึ้น 4.ชีวิตคู่แตกแยก การเงินติดขัด เพราะฮวงจุ้ยห้องนอนแบบนี้ การตั้งเตียงนอนต้องระวังให้มากที่สุด ดูด้วยว่าชั้นล่างบริเวณที่ตรงกับเตียงเรานั้น เป็นสิ่งของเครื่องเรือนใดบ้าง ถ้าตั้งเตียงทับเตาไฟในครัวชั้นล่าง หรือตั้งทับทีวี ตู้เย็นที่เป็นเครื่องไฟฟ้าก็ถือว่าไม่เป็นมงคล จะมีผลให้ชีวิตคู่แตกแยก การเงินติดขัด ฮวงจุ้ยห้องนอน ต้องแก้ด้วยการย้ายเตา เพื่อรักมั่นคง ต้องย้ายตำแหน่งของเตียงนอนไปยังมุมอื่น หรือย้ายการจัดวางเตาไฟในมุมครัวชั้นล่างไปวางตั้งยังมุมอื่น แล้วคู่สมรสจะรักกันมั่นคงยั่งยืน ฐานะการเงินก็มั่งคั่งขึ้น 5.ฮวงจุ้ยห้องนอนที่ดี เตียงนอนต้องไม่ขวางประตู  ถ้าตำแหน่งเตียงนอนตั้งอยู่ตรงกับประตู เมื่อนอนอยู่บนเตียงแล้ว มีลักษณะท่าทีคล้ายนอนขวางประตูอย่างหนึ่ง หรืออีกอย่างหนึ่งเหมือนนอนเอาปลายเท้าชี้หาประตู ถือว่าไม่ดี ติดผ้าม่าน เสริมฮวงจุ้ยห้องนอน ให้ติดผ้าม่านอย่างทึบ (มีลวดลายได้ แต่มิใช่ผ้าโปร่งบาง) ติดบังตาไว้โดยห้ามผุกรวบชายม่านเป็นอันขาด หรือหาฉากบานพับมาตั้งบังตาระหว่างเตียงกับประตูห้องนอน หรือกั้นขวางด้วยตู้เสื้อผ้าก็ได้ 6.ฮวงจุ้ยห้องนอน เสริมดวงชีวิตราบรื่น เหนือเตียงต้องโล่ง มิควรติดตั้งตู้หรือชั้นวางของที่เหนือหัวเตียงเด็ดขาด แม้จะเป็นชั้นเล็กๆ หรือตู้ลอยแบบบิลด์-อินก็ตามแม้จะทำให้ได้ประโยชน์ในการใช้สอยแต่จะทำให้การงานติดขัด ความคิดไม่โลดแล่น จิตใจให้หดหู่ว้าวุ่นและเจ็บป่วยง่าย ย้ายเตียงตามฮวงจุ้ยห้องนอนไม่ได้ ก็เสริมดวงด้วยรูปภาพ ควรจัดการรื้อตู้และชั้นต่างๆ ออกจากบริเวณหัวเตียง ที่ผนังด้านเหนือศีรษะ หรือที่หัวเตียงติดรูปภาพลวดลายมงคลแทนจะดีกว่า 7.เตียงใต้คาน ฮวงจุ้ยห้องนอน กล่าวว่ามีปัญหาต่อสุขภาพ  การจัดวางเตียงนอนไว้ใต้คานถือว่าผิดฮวงจุ้ย การตั้งเตียงลักษณะนี้จะทำให้ผู้เป็นเจ้าของเตียงมักเจ็บป่วยง่าย สุขภาพไม่ดี ปวดศีรษะบ่อย ปวดเมื่อยเนื้อตัวบ่อย จิตใจอึดอัดกดดันโดยไม่รู้สาเหตุแน่ชัด เสริมดวงฮวงจุ้ยห้องนอนง่ายๆ ด้วยขลุ่ยจีนผูกด้ายแดง ควรจัดการเคลื่อนย้ายเสียใหม่ ตั้งเตียงไว้ในมุมอื่นที่มิได้อยู่ใต้คาน ถ้าย้ายไม่ได้จริงๆ ให้แขวนขลุ่ยจีนผูกด้ายแดง เพื่อแก้เคล็ดที่บริเวณคานนั้น 8.โต๊ะเครื่องแป้งอยู่ปลายเตียง ฝันร้ายบ่อย ถ้าโต๊ะเครื่องแป้งตั้งอยู่ปลายเตียงพอดี หรือตั้งอยู่ข้างเตียง โดยหันกระจกเงาเข้าหาตัวเตียงพอดี จะทำให้ฝันร้ายบ่อยๆ พลังจิตใจอ่อนแอ ตื่นตกใจง่าย แก้เคล็ดฮวงจุ้ยห้องนอนด้วยผ้าม่าน ย้ายตำแหน่งของโต๊ะเครื่องแป้ง แต่ถ้าย้ายไม่ได้จริงๆ ให้ติดผ้าม่านปิดกระจกเงาไว้ 9.ใต้เตียงสกปรก การเงินติดขัด  พื้นที่ว่างใต้เตียงถ้าทำเป็นที่เก็บของจนรกรุงรัง และมีข้าวของเก่าๆ ชำรุดเก็บไว้ด้วย จะทำให้สตรีที่ตั้งครรภ์อยู่แท้งได้ ผู้ที่นอนบนเตียงนั้นจะมีจิตใจกระสับกระส่าย การงาน-การเงินติดขัดไม่ราบรื่น ถ้าเป็นคู่สามี-ภรรยาก็จะมีปากเสียงกันบ่อย แก้เคล็ดฮวงจุ้ยห้องนอนได้ แค่หมั่นทำความสะอาด  นำข้าวของไปบรรจุใส่กล่องแล้วเก็บไว้ที่อื่น จัดใต้เตียงให้โล่ง ปัดกวาดให้สะอาดเสมอ ถ้าจำเป็นจริงๆ ให้เก็บของใส่กล่องให้เรียบร้อยเป็นระเบียบ แต่อย่าเก็บของหักๆ ชำรุดไว้ใต้เตียงเด็ดขาด เรื่องของฮวงจุ้ยไม่ได้มีเพียงเท่านี้นะคะ แต่ยังมีด้านอื่นๆ ด้วย เช่น วิธีแก้ฮวงจุ้ยในคอนโด ฮวงจุ้ยโต๊ะทำงาน  บ้านเรียกทรัพย์ตามหลักฮวงจุ้ย  
ต้นไม้ไล่ยุง ปลูกไว้ไร้แมลงร้าย

ต้นไม้ไล่ยุง ปลูกไว้ไร้แมลงร้าย

ตะไคร้หอม เชื่อว่าหลายคนต้องเคยใช้ยาทากันยุงหรือสเปรย์กันยุงกลิ่นตะไคร้กันแน่ๆ และคงจะรู้ถึงคุณสมบัติของตะไคร้กันไม่น้อย เพราะน้ำมันหอมระเหยในตะไคร้ คนอาจจะชอบใจ แต่สำหรับยุงน่าจะไม่ชอบใจนัก ถ้าบ้านใครมีพื้นที่ แนะนำว่าปลูกเหนือลมเพื่อให้ลมพัดกลิ่นกระจายไปรอบๆ บ้าน โดยวิธีการไล่ยุงคือต้องทำให้น้ำมันหอมระเหย อาจจะต้องทุบหรือขยี้ใบ และต้องทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เห็นผล   ลาเวนเดอร์ น้ำมันระเหยที่สกัดจากดอกลาเวนเดอร์สามารถไล่ยุงได้ เพราะยุงจะไม่ชอบกลิ่นแรงของลาเวนเดอร์ ดังนั้นหากต้องการแต่งสวนสวยๆ ด้วยดอกไม้ ลองหาต้นลาเวนเดอร์มาปลูก นอกจากจะช่วยไล่ยุงร้ายไม่ให้มากวนใจแล้ว ยังได้สวนสวยๆ ให้นั่งเล่นเวลาพักผ่อนอยู่ที่บ้านอีกด้วย   แคทนิป บ้านที่เลี้ยงเจ้าแมวจะต้องรู้จักหรืออาจจะปลูกต้นแคทนิป หรือกัญชาแมวไว้ในบ้านอยู่แล้ว ต้นไม้ชนิดนี้ไม่ได้แค่ช่วยสร้างความเบิกบานให้น้องเหมียวในบ้านเท่านั้น แต่ยังมีคุณสมบัติช่วยขับไล่ยุงที่มากวนใจได้ดี และไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ด้วย   สะระแหน่ พืชสมุนไพรที่เรานำมาทำอาหารอย่างสะระแหน่ ก็มีคุณสมบัติที่ช่วยไล่ยุงร้ายได้เช่นกัน เพราะภายในสะระแหน่มีน้ำมันหอมระเหยที่ยุงไม่ชอบกลิ่นเอามากๆ ซึ่งสะระแหน่นั้นสามารถขึ้นได้ง่าย เพราะฉะนั้นหากบ้านไหนไม่มีพื้นที่ก็สามารถปลูกใส่กระถางวางไว้ตรงระเบียงก็ได้เช่นกัน ลองเด็ดใบสะระแหน่มาขยี้แล้วทาลงบนผิวรับรองจะไม่มียุงมาคอยกวนใจ แถมยังทำให้ผิวชุ่มชื้นด้วย   เสาร์อาทิตย์หรือวันว่างๆ ลองชวนเด็กๆ ในครอบครัวมาตกแต่งสวนรอบบ้าน ปลูกต้นไม้ที่ช่วยไล่ยุงร้าย ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สร้างความสนุกไม่น้อย อย่างไรก็ตามแม้จะปลูกต้นไม้ที่มีคุณสมบัติช่วยไล่ยุงแล้ว ก็ยังต้องคอยระวังและกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงอีกทางหนึ่งด้วย   ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.pf.co.th/blog/cozy-at-home/green-at-home/2017/09/20/mosquito-repellent-tree/  
คนมีบ้าน-คอนโดเตรียมตัว ค่าส่วนกลางจะขึ้นราคา!

คนมีบ้าน-คอนโดเตรียมตัว ค่าส่วนกลางจะขึ้นราคา!

บทความนี้เราจะมาว่ากันด้วยเรื่องค่าส่วนกลางค่ะซึ่งงค่าส่วนกลางนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าใครที่ซื้อที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม-ทาวน์โฮม-บ้านเดี่ยวกับโครงการต่างๆ ก็จะต้องเสียค่าส่วนกลางล่วงหน้ากันส่วนใหญ่ประมาณ 1-2 ปี ตั้งแต่วันโอนกรรมสิทธิ์กันเลย โดยมีการคิดเป็นบาท/ตร.ม. หรือบาท/ตร.ว. เพื่อนำไปดูแลทรัพย์ส่วนกลาง ภายในโครงการ  ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีต้นทุนอยู่ และหากต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นแน่นอนว่าค่าส่วนกลางก็จะถูกขึ้นราคาตามไปด้วย   ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนค่ะว่า ค่าส่วนกลางที่เราจ่ายไปนั้นจะถูกนำไปบริหารจัดการโดยนิติบุคคล ของโครงการ ซึ่งเงินก้อนนี้จะถูกนำมาดูแลส่วนกลางทั้งหมด เช่น ค่าซ่อมบำรุงลิฟต์ ค่าพนักงานรักษาความปลอดภัย ค่าแม่บ้านทำความสะอาด ค่าดูแลสวน สระว่ายน้ำ ฟิตเนส ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสาธารณูปโภคส่วนกลางต่างๆ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ก็ย่อมมีต้นทุนอย่างที่เกริ่นกันไปแล้วใช่ไหมคะ ซึ่งสิ่งสำคัญที่เรากำลังจะมาบอกถึงสาเหตุของการขึ้นราคา ค่าส่วนกลางในอนาคตนั้นหลักๆ แล้วก็เป็นผลพวงมาจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นจากเดิมในกรุงเทพฯ วันละ 300 บาท เป็นวันละ 325 บาท ซึ่งมีผลมาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา ฉะนั้นค่าจ้างพนักงานนิติบุคคล ค่าจ้างรปภ. ค่าจ้างแม่บ้านก็จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงส่วนกลางที่แต่ละโครงการต่างก็แข่งขันกันทำให้สวยยิ่งขึ้น มีพื้นที่เพิ่มขึ้น ตรงนี้ก็กลายเป็นว่าต้องมีต้นทุนในการดูแลรักษากันมากขึ้นตามไปด้วย หลาย Developer จึงผลักต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ประมาณ 1-2% ไปที่ค่าส่วนกลาง โดยจะเริ่มมีผลกันตั้งแต่ช่วงกลางปีนี้เป็นต้นไป   สุดท้ายอาจมีคำถามเกิดขึ้นว่า แล้วแบบนี้ไม่จ่ายค่าส่วนกลางได้ไหม ซึ่งเราขอแนะนำว่าจ่ายเถอะค่ะ แม้ว่าราคาต่อปีจะอยู่ที่หลายหมื่นบาทก็ตาม เพราะค่าใช้จ่ายนี้ก็นำไปปรับปรุงให้โครงการที่เราอยู่นั้นมีสภาพแวดล้อมสวยงามอยู่เสมอ ดูแลสิ่งอำนวยความสะดวกให้ รวมถึงยังช่วยเรื่องความปลอดภัยของเราด้วย ซึ่งการอาศัยอยู่ร่วมกันก็ต้องทำตามกฎเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่งผลให้บ้านของเราน่าอยู่อาศัยไปด้วย เพราะหากลูกบ้านไม่จ่ายค่าส่วนกลางก็จะมีการกำหนดโทษปรับ ไปจนถึงฟ้องศาลได้ตามกฎหมาย
8 เพื่อนบ้านสุดยี้ที่ใครมีก็ต้องเซ็ง

8 เพื่อนบ้านสุดยี้ที่ใครมีก็ต้องเซ็ง

บ้านคือวิมานแห่งความสุข แต่บางครั้งความสุขที่เราคาดหวังอาจต้องพังครืนเมื่อมีตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้อย่าง “เพื่อนบ้าน” เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ หรือคอนโดฯ หากบังเอิญต้องมาเจอกับ 1 ใน 10 ประเภทของเพื่อนบ้านเหล่านี้ ดีกรีความสุขของคุณอาจติดลบโดยไม่รู้ตัว   เจ้าแห่งเสียง แม้ว่าคุณจะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในห้องสมุดที่จะพูดคุยทีต้องคอยกระซิบกระซาบ แต่หากต้องอยู่บ้านติดหรือละแวกเดียวกับคนที่พูดเสียงดัง ตะโกนโหวกเหวก โวยวาย ทะเลาะกันเช้า-เย็น หรือบ่นทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่เว้นแม้แต่หมา แมว หรือกระรอกบินที่เลี้ยงไว้ในกรง คงไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก แน่นอนว่าอยู่ในห้องหรือบ้านคุณสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ แต่อย่าลืมขอบเขตของคำว่าพอดี เพราะคงไม่มีใครอยากได้รับการเผื่อแผ่คำที่ฟังแล้วไม่รื่นหูนักหรอก “เสียงนั้น” ในยามวิกาล อีกหนึ่งปัญหาที่ไม่น่าเชื่อว่าหลายคนต้องพยักหน้าว่า “ฉันก็เจอมาเหมือนกัน” จริงๆ มันก็เป็นเรื่องของธรรมชาติและการแสดงความรักต่อกัน แต่ทางที่ดีเราไม่ควรให้ความรักนั้นเป็นความร้าวรานของเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะในคอนโดฯ หากไม่ใช่ห้องมุมและอยู่ชั้นบนสุด แหล่งกำเนิดเสียงประเภทนี้จะมาได้ในทุกทิศทาง หากใครที่กำลังประสบปัญหานี้ หากทำใจให้มองผ่านไม่ได้ บางทีคุณอาจจะต้องบอกให้เจ้าของบ้านหรือเจ้าของห้องรู้ ลองเขียนโน๊ต (โดยที่อาจไม่ต้องลงชื่อ) และไปสอดไว้ที่ห้องของจุดเกิดเหตุ ขอความร่วมมือให้ลดการใช้เสียงลงสักนิด หากไม่เวิร์ค สุดท้ายก็คงต้องทำใจ เพราะเสียงแบบนี้มีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดได้ทุกวัน แจกบัตรเบ่งเป็นพี่ใหญ่ประจำซอย ไม่ว่าตำแหน่งในหน้าที่การงานจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่หากต้องอยู่ร่วมกันในชุมชนแล้ว ทุกคนมีสิทธิ์และเสียงเท่ากัน การเป็นซีอีโอของบริษัทใหญ่ ไม่ได้หมายความว่าคุณจะสามารถจอดรถขวางทางเข้า-ออกของซอยได้ หรือต่อเติมบ้านให้มากินพื้นที่สาธารณะได้ เพราะคนที่อยู่ร่วมหมู่บ้านหรือคอนโดฯ เดียวกันกับคุณก็จ่ายค่าส่วนกลางเหมือนๆ กัน ทำตัวเป็นหน่วยสอดส่องความเป็นอยู่ของคนอื่น การเอาใจใส่เพื่อนร่วมบ้าน คอยช่วยกันดูแล เฝ้าระวังเป็นเรื่องที่ดี แต่หากเกินลิมิตจะกลายเป็นการเข้าไปยุ่งเรื่องส่วนบุคคลจนเกินงามคงไม่ดีนัก ส่วนใหญ่มักจะเกิดกับบ้านที่มีรั้วติดกัน หรือเลย์เอาท์แบบเปิดโล่ง หากมีคนคอยจับตามองตลอดเวลาว่าคุณจะไปไหน ทำอะไร ใส่กระโปรงสีไหน ต่างหูเป็นอย่างไร และเอาไปเม้าท์ต่อเป็นที่สนุกสนาน นอกจากคุณจะไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเซเลบฯ แล้ว อาจมีการเปิดศึกกับหน่วยข่าวไม่กรองเหล่านี้ได้ จอดรถขวางทาง แม้ว่าจะเป็นพื้นที่หน้าบ้านคุณ แต่อย่าลืมว่าเมื่อพ้นประตูรั้วของคุณไปแล้ว นั่นเป็นพื้นที่สาธารณะ เรื่องการจอดรถนอกบ้านนี้ เป็นหนึ่งในปัญหา (เรื้อรัง) ที่พบเห็นได้ในหมู่บ้านจัดสรรทุกที่ แม้ว่าแบบบ้านส่วนใหญ่จะออกแบบให้มีพื้นที่จอดรถในเขตบ้าน แต่บางครั้งก็มีเหตุที่จะต้องนำรถออกมาจอดนอกบ้าน ซึ่งหากมีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นจริงๆ ขอให้คิดสักนิดก่อนจอดว่ารถของคุณจะไปขวางทางเข้า-ออกของรถที่อยู่ร่วมซอยกันหรือไม่ ปลูก/ปล่อยต้นไม้ล้ำพื้นที่ อีกหนึ่งปัญหาสำหรับคนที่อยู่บ้านจัดสรร แม้ต้นไม้จะช่วยสร้างร่มเงาและความร่มรื่นให้กับบ้าน แต่หากกิ่งก้านของมันแผ่ขยายไปยังพื้นที่ของบ้านข้างๆ ใบร่วง ดอกโรย หรือผลตกไปในพื้นที่ของคนอื่นโดยที่เจ้าของบ้านนั้นๆ ไม่ได้อยากมีส่วนร่วมแม้แต่น้อย ก็คงต้องมีการพูดคุยกับเพื่อนบ้านให้เข้าใจ หรือทางที่ดี ก่อนจะปลูกต้นไม้ริมรั้ว ริมกำแพง ให้เว้นพื้นที่ไว้ตอนที่ต้นมันโตเต็มที่ หรือเลือกปลูกต้นที่สามารถตัดแต่งกิ่งได้ กันไว้ย่อมดีกว่าต้องมานั่งแก้ปัญหาในภายหลังอยู่แล้ว ปล่อยสัตว์เลี้ยงมาขับถ่ายที่บ้านคนอื่น แม้น้องหมา-น้องแมวส่วนใหญ่จะได้รับการฝึกฝนให้ขับถ่ายเป็นที่เป็นทาง แต่เมื่อถึงเวลาออกมาเดินเล่นนอกบ้าน หากเกิดเหตุสุดวิสัยที่ต้องปล่อยบอมบ์กลางทาง คุณเจ้าของควรต้องคอยตามเก็บใส่ถุงเพื่อความสะอาดของชุมชนโดยรวม ไม่ควรปล่อยให้ลูกรักมาวิ่งเป็นอิสระ เพราะบางครั้งน้องหมา-น้องแมวอาจเดินเล่นเพลินเข้ามาในพื้นที่บ้านของคนอื่นและถ่ายทิ้งไว้ โดยที่บางครั้งเจ้าเองก็ไม่รู้ตัว ทางที่ดีควรให้พวกเขาวิ่งเล่นอยู่ในสายตาของคุณตลอดก็จะหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวได้ ดัดแปลงบ้านผิดวัตถุประสงค์ บ้านจัดสรรไม่ว่าจะหลังเล็ก หลังใหญ่ พื้นที่กว้างหรือแคบ จุดประสงค์หลักก็คือเพื่อการอยู่อาศัย แต่จะมีบางคนที่เกิดไอเดียกระฉูด แต่ลืมนึกถึงความเหมาะสม เช่น บ้านทาวน์เฮ้าส์หลังกลางเปิดเป็นร้านอาหารตามสั่ง ผัดกระเพรา ควันขโมงตั้งแต่เช้ายันเย็น หรือบ้านหลังมุมพอมีพื้นที่แล้วทำเป็นโรงงานที่มีเครื่องจักรเสียงดังเกือบตลอด 24 ชั่วโมง คอนโดฯ บางแห่งเปิดเป็นครัวลอยฟ้าทำอาหารกล่องส่ง กลิ่นอาหารลอยไปกระแทกประตูห้องนอนเพื่อนบ้านตั้งแต่ตี 4 ทุกวัน ลองจินตนาการว่าหากเป็นคุณที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ คงปวดหัวอยู่ไม่น้อย   แม้ว่าการอยู่ร่วมกันจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะประคับประคองให้ทุกคนอยู่ด้วยรอยยิ้มและความสุข หากคนที่อยู่ในชุมชนนั้นๆ ไม่รู้จักการใช้สิทธิ์และเสรีภาพที่มีอยู่ของตัวเองอย่างเหมาะสมแล้วคุณละ ต้องเผชิญกับเพื่อนบ้านเหล่านี้บ้างหรือไม่? ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.ddproperty.com/ข่าวอสังหาริมทรัพย์-บทความ/2015/3/86475/10เพื่อนบ้านสุดยี้ที่ใครมีก็ต้องเซ็ง
5 ต้นตอมะเร็งร้ายใกล้ตัว ภายในบ้าน

5 ต้นตอมะเร็งร้ายใกล้ตัว ภายในบ้าน

เมื่อบ้านอาจจะไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยที่สุด แต่กลายเป็นแหล่งพักพิงอันตราย เพราะภัยร้ายที่สามารถแฝงตัวอยู่รอบด้านตามสิ่งต่างๆ ที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยความคุ้นเคย จากสารก่อมะเร็งใกล้ตัว ทำให้เราสะสมสารพิษที่บั่นทอนสุขภาพสมาชิกในครอบครัวทีละนิด กว่าจะรู้ตัวถึงภัยร้ายที่คืบคลานก็อาจจะสายเกินไป ภัยร้ายที่ว่าจะมีอะไรบ้างนั้น ตามมาดูกัน 1. สีทาบ้าน การเลือกสีทาบ้านที่ดีควรพิจารณาถึงความปลอดภัยต่อสุขภาพด้วย นอกเหนือจากมาตรฐาน มอก.จากกระทรวงอุตสาหกรรมที่รับรองความปลอดภัยไร้สารปรอทและสารตะกั่ว ในสียังมีส่วนประกอบอันตรายอื่นๆ ได้แก่ แคดเมียม โครเมียม ฟอร์มาดีไฮด์ และ VOCs ซึ่งเป็นสารไอระเหยที่อาจทำให้เกิดเป็นมะเร็ง โดยส่วนใหญ่ VOCs ใช้ผสมในวัสดุก่อสร้างหลายชนิด เพื่อทำหน้าที่เป็นตัวละลาย เช่น เคมีที่ใช้ในไม้อัด พรม กาว และสี ดังนั้น เราควรหลีกเลี่ยงห้องทาสีใหม่ โดยเว้นช่วงเวลาอย่างน้อย 2 อาทิตย์ให้สีแห้งสนิท และไอระเหยลดลง ซึ่งห้องที่เพิ่งทาสีใหม่มักจะมีกลิ่นฉุน และทำให้เราเกิดอาการเวียนหัว คลื่นไส้ แม้กลิ่นจะจางลงหลังจากนั้น แต่เราก็ยังคงต้องสูดไอระเหยและสะสมสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ด้วยเหตุนี้ เราควรพยายามหาซื้อสีที่ได้รับมาตรฐานฉลากเขียว ซึ่งสำนักเลขานุการสิ่งแวดล้อมไทยที่มีหน้าที่ดูแลสัญลักษณ์ฉลากเขียวได้กำหนดมาตรฐานสีไม่มีสารตะกั่ว สารปรอท และฟอร์มาดีไฮด์เป็นส่วนผสม รวมถึงค่า VOCs ต้องต่ำกว่า 50 กรัมต่อ 1 ลิตร 2. น้ำยาทำความสะอาด อันตรายของน้ำยาทำความสะอาดอยู่ที่ส่วนประกอบหรือส่วนผสมของน้ำยาทำความสะอาด ไม่ว่าจะเป็น โซดาไฟในน้ำยาทำความสะอาดเครื่องครัวที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเนื้อเยื่อ และเป็นพิษต่อร่างกาย หรือน้ำยาทำความสะอาดพื้นที่มีสารกลุ่มอัลคิล ฟีนอล อีธอกไซเลต หากสูดดมหรือสัมผัสในปริมาณความเข้มข้นสูงสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ตา และผิวหนังอย่างรุนแรง รวมถึงสบู่เหลวเทียมที่มีสารเคมีสังเคราะห์ เช่น สาร SLS (Sodium Lauryl Sulfate) และPEG (polyethylene Glycol) ผสมอยู่ ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว และมีความเสี่ยงก่อให้เกิดมะเร็งใระยะยาว นอกจากนั้น ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ ยังต้องระวังความเสี่ยงจากน้ำยาซักผ้า น้ำยาซักแห้ง และน้ำยาปรับผ้านุ่ม รวมถึงผลิตภัณฑ์ดับกลิ่นต่างๆ ซึ่งผลการวิจัยของสหรัฐอเมริกาพบว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีประกอบให้กลิ่นหอมจำนวนมากกว่า 20 ชนิดที่ปล่อยสารระเหยอินทรีย์และ 7 ชนิดที่เป็นสารอันตรายหรือเป็นพิษตามกฎหมาย 3. เทียนหอม แม้แสงสลัวและกลิ่มหอมของเทียนในห้องนอนจะช่วยสร้างบรรยากาศผ่อนคลายสบายใจ แต่ก็อาจจะต้องแลกมากับความเสี่ยงการเป็นมะเร็งจมูกและมะเร็งคอ จากผลการวิจัยที่ระบุถึงสารเคมีในเทียนหอมระเหย (Volatile organic chemicals หรือ VOCs) ได้แก่ สารเบนซินในควันพิษจากท่อไอเสีย สารอัลฟาไพนีน ที่พบมากในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดรวมถึงสารไลโมนีนที่มีคุณสมบัติในการสร้างกลิ่นหอม โดยที่สารเหล่านี้สามารถรวมตัวกันกลายสภาพเป็นฟอร์มาดีไฮด์ ทำปฏิกิริยากับอากาศจนกลายเป็นสารก่อมะเร็งได้ หากฟอร์มาดีไฮด์และไลโมนีนเข้าสู่ร่างการในปริมาณมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดอาการรเจ็บคอ ไอเป็นเลือด ระคายเคืองตา และเลือดกำเดาไหล ซึ่งสารดังกล่าวไม่สามารถสลายในอากาศได้ และยิ่งสะสมปริมาณในห้องที่อากาศไม่ถ่ายเท โดยสามารถแปรเปลี่ยนเป็นสารก่อมะเร็งจมูกและมะเร็งคอในระยะยาว รวมถึงพาราฟินที่ทำให้เกิดสารเคมีเป็นพิษอย่างไดออกซิน และอโครลีน ซึ่งทำให้เทียนแข็งตัว และเป็นตัวการสำคัญของโรคมะเร็งปอด เช่นเดียวกับที่พบในควันบุหรี่ 4. น้ำหอมปรับอากาศ การใช้น้ำหอมปรับอากาศไม่ใช่การกำจัดกลิ่นเหม็นให้หายไป แต่เป็นการสร้างกลิ่นใหม่ที่หอมถูกใจเราแทนที่กลิ่นเหม็น ซึ่งในกลิ่นหอมสุดสดชื่นกลับแฝงไว้ด้วยอันตรายต่อสุขภาพ จากสถาบันวิจัย UC Berkeley and Lawrence Berkeley National Laboratory ระบุถึงส่วนผสมของไกลคอลอีเธอร์ (ethylene-based glycol ethers) ในน้ำหอมปรับอากาศบางชนิดที่มีสารออกฤทธิ์ทางประสาท และส่งผลต่อระบบเลือดในร่างกาย ทั้งยังทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย อาเจียน และโลหิตจาง รวมถึงในบางชนิดยังมีส่วนผสมของทาเลท ซึ่งเป็นส่วนประกอบในพลาสติกที่ส่งผลต่อระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อในร่างกาย และทำให้ฮอร์โมนเพศผิดปกติ 5. เครื่องใช้ไฟฟ้า แม้เครื่องใช้ไฟฟ้าจะไม่มีส่วนผสมหรือสารประกอบทางเคมีที่เป็นอันตราย แต่ก็มีภัยจากรังสีและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่สามารถบั่นทอนสุขภาพร่างกายให้ทรุดโทรมและเสี่ยงเป็นโรคร้าย เช่น มะเร็งในเม็ดเลือดขาว มะเร็งสมอง โดยเครื่องใช้ไฟฟ้าอันตรายในบ้านที่เราอาจจะมองข้ามความปลอดภัยและใช้งานเป็นประจำ ได้แก่ เตาอบ โทรศัพท์มือถือ ตู้เย็น ไดร์เป่าผม และถ่านไฟฉาย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานที่ยืนยันถึงอันตรายในเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ที่ชัดเจน แต่เราก็ยังควรให้ความสำคัญกับการใช้งานอย่างระมัดระวัง และเว้นระยะห่างของเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าให้อยู่ห่างไกลเรามากที่สุด เช่น การเว้นระยะของโทรทัศน์ประมาณ 4-5 เมตรจากโซฟาตัวโปรดที่เราใช้เวลาร่วมกับสมาชิกในครอบครัว หรือการเว้นระยะไมโครเวฟหลังจากเปิดใช้งานอย่างน้อย 1 เมตร ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.ddproperty.com/ข่าวอสังหาริมทรัพย์-บทความ/2017/6/154270/5-ต้นตอมะเร็งร้ายใกล้ตัว
5 ทำเลเลี่ยงได้ให้เลี่ยงเมื่อซื้อคอนโด

5 ทำเลเลี่ยงได้ให้เลี่ยงเมื่อซื้อคอนโด

การเลือกที่อยู่อาศัยก็เหมือนเลือกทำเลให้กับร้านค้า หากได้พักอาศัยในทำเลที่ดีก็จะช่วยให้คุณสะดวกสบายและช่วยให้มีความสุขมากยิ่งขึ้น แต่ถ้าองค์ประกอบรอบๆ ข้างแย่ เราก็ควรหลีกเลี่ยงด้วยเช่นกัน 1. ไม่ควรซื้อคอนโดที่อยู่ใกล้แนวสายไฟฟ้าไฟแรงสูงถ้าให้ดีควรเลือกคอนโดหรือห้องที่อยู่ห่างเสาไฟฟ้าหรือสิ่งที่จะทำให้เกิดอันตรายได้ อย่างน้อย 300 เมตรขึ้นไป ทั้งนี้ยังสามารถประเมินความปลอดภัยเรื่องอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย เช่น อยู่ใกล้กับอาคารที่ง่ายต่อการลุกลามของเชื้อเพลิงหรือไม่ 2.ลองสังเกตถึงหม้อแปลงกระแสไฟฟ้าให้ดี ในพื้นที่ชุมชนเรามักจะเห็นหม้อแปลงไฟฟ้าอยู่บ่อยๆ แต่ไม่ดีแน่ถ้าสิ่งนี้จะอยู่ละแวกเดียวกับที่อยู่อาศัยของเราควรเลือกห้องที่อยู่ไกลหม้อแปลง ออกมาหน่อยอย่างน้อย 100 เมตร หรือในระยะที่ประเมินได้ว่าการระเบิดของมันจะไม่ส่งผลกระทบกับห้องของเรา 3.ถอยให้ห่างเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือไม่มีใครที่อยากเข้าใกล้เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ แต่นั่นก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ลองสำรวจและเลือกคอนโดที่อยู่ไกลจากแหล่งส่งสัญญาณโทรศัพท์ 300 เมตรเป็นอย่างน้อย เพราะนั่นจะดีกับตัวคุณ 4.ไม่ใกล้วัดและเมรุเผาศพข้อนี้คงเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ถ้าหลีกเลี่ยงได้เราก็ขอแนะนำว่าคงไม่ดีแน่ถ้าห้องของเราหันหน้าไปทางวัด หรือต้องเห็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตลอดเวลา โดยเฉพาะเมรุเผาศพ ถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ควรจะหลีกเลี่ยงดีกว่า 5.อยู่ห่างกองขยะเข้าไว้เพราะนอกจากจะไม่อยู่ในรัศมีของกลิ่นเน่าเหม็นแล้ว กองขยะยังเป็นสัญลักษณ์ของเชื้อโรค ฝุ่นละออง ที่ปลิวมากับอากาศ มันคงไม่ดีแน่ถ้าคุณต้องสูดดมมันทุกวัน เพราะนั่นเป็นบ่อเกิดของโรค ซึ่งทำให้คุณต้องเจ็บป่วย ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.plus.co.th/condo-for-sale/condo-checklist
เลือกซื้อแอร์อย่างไรให้คุ้มค่า เข้ากับทุกขนาดและสไตล์การแต่งห้อง

เลือกซื้อแอร์อย่างไรให้คุ้มค่า เข้ากับทุกขนาดและสไตล์การแต่งห้อง

ย่างเข้าสู่  “ฤดูร้อน” กันแล้ว อย่างที่ทราบกันดีว่าสภาพอากาศช่วงหน้าร้อนของประเทศไทยนั้นทวีอุณหภูมิสูงถึง 40 องศา กันเลยทีเดียว วิธีรับมือส่วนใหญ่ของใครหลายๆ คนคงเป็นการมองหาเครื่องปรับอากาศเครื่องใหม่เพื่อมาคลายร้อนให้กับตัวเอง แต่ปัจจุบันการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศโดยคำนึงเพียงแค่ขนาด BTU และราคานั้นไม่ได้แล้วนะคะ เพราะด้วยสภาวะแวดล้อม คุณภาพของอากาศ หรือไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เราต้องคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้เพิ่มเติมนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น   ซึ่งจะดีแค่ไหนถ้ามีเครื่องปรับอากาศสักตัวที่ตอบโจทย์ทั้งด้านความเย็น ดีไซน์ คุณภาพ และราคา ที่สำคัญต้องประหยัดไฟฟ้า แน่นอนว่าผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty จึงได้ปล่อยผลิตภัณฑ์ที่หลายครอบครัวกำลังมองหานั่นคือให้ทั้งความคุ้มค่า ที่มาพร้อมประสิทธิภาพทรงพลัง ด้วยนวัตกรรมการผลิตที่ตอบโจทย์ได้ทุกไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพของผู้ใช้ และความสะดวกสบายจากการใช้งาน วันนี้เราจึงมีข้อแนะนำในการเลือกขนาดเครื่องปรับอากาศให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละห้อง ที่จะทำให้วันสบายๆ ของคุณหมดกังวลเรื่องความร้อน แถมยังประหยัดและดีต่อสุขภาพมาฝากกันค่ะ..   ถ้ารู้ขนาดห้องที่ชัดเจน ก็จะเลือกเครื่องปรับอากาศง่าย!   สิ่งแรกต้องรู้ในการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศ คือจะใช้แอร์กี่ บีทียู (BTU) โดยค่า BTU คือหน่วยบอกความสามารถในการถ่ายเทหรือดึงความร้อนออกจากห้อง และทำความเย็นภายในห้อง ซึ่งคิดหน่วยต่อชั่วโมง (BTU/h) เราจึงต้องเลือก BTU ให้เหมาะกับขนาดห้อง ในการซื้อแอร์มาติดตั้ง ซึ่งสูตรสำเร็จง่ายๆ ที่เราอยากแนะนำ คือโดยทั่วไปแล้ว เครื่องปรับอากาศแบบติดผนัง หรือเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก จะมีมาตรฐานเริ่มต้นที่ 9000-24,000 บีทียู ขนาด 9,000 BTU จะเหมาะกับห้องขนาด 9-12 ตารางเมตร หรือห้องนอนขนาดเล็ก 12,000 BTU เหมาะกับห้องขนาด 12-16 ตารางเมตร หรือห้องนอนมาตรฐานของคอนโดฯ ทั่วไป ถ้าเป็นขนาด 18,000 BTU จะเหมาะกับห้องขนาด 16-24 ตารางเมตร ซึ่งสามารถเป็นเครื่องปรับอากาศตัวเดียวของห้องสตูดิโอในคอนโดได้ และ 24,000 BTU เหมาะกับห้องขนาด 24-32 ตารางเมตร ใช้กับขนาดของห้องโถงในบ้าน หรือสตูดิโอขนาดใหญ่นั่นเองค่ะ   ถ้าเน้นประหยัดไฟ ต้องเลือกเครื่องปรับอากาศแบบประหยัดพลังงาน   การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศที่มีระบบ Inverter จะช่วยประหยัดไฟได้จริงนะคะ เพราะระบบนี้จะเน้นสร้างความเย็นคงที่ อุณหภูมิจะไม่สวิงไปมา จึงมีความเงียบในการใช้งาน เนื่องจากคอมเพรสเซอร์ในระบบนี้ทำงานต่อเนื่องแบบลดรอบ ซึ่งต่างจากคอมเพรสเซอร์ธรรมดาที่ทำความเย็นถึงจุดหนึ่งแล้วตัด แล้วก็เริ่มทำความเย็นใหม่เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น เครื่องปรับอากาศที่มีระบบ Inverter อาจจะมีราคาสูงสักหน่อย แต่ลงทุนระยาวถือว่าคุ้ม น่าสนใจไม่น้อย แต่เครื่องปรับอากาศ ระบบ inverter ในท้องตลาดนั้นมีมากมายหลายรุ่นหลายยี่ห้อเลยะคะ แถมยังมีราคาที่สูงกว่าระบบธรรมดาอีกด้วย ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อควรเลือกเครื่องปรับอากาศที่ได้รับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ที่จะช่วยประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายได้ ที่สำคัญควรคำนึงถึงประสิทธิภาพการทำงาน และชิ้นส่วนประกอบภายในของเครื่องปรับอากาศแต่ละเครื่องที่เรียกว่า ระบบ inverter แท้ทั้งระบบ (100% Real Inverter) เพื่อประสิทธิภาพในการประหยัดไฟที่มากกว่า คุ้มค่ากว่าในระยะยาว   ถ้าเครื่องปรับอากาศมันเก่ากินไฟ ก็อย่าฝืนใช้ต่อเลย..   หลายๆ คนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าเครื่องปรับรุ่นเก่า หรือเครื่องที่ใช้งานมาอย่างหนักหน่วงยาวนานนั้นกินไฟมาก ดังนั้นแนะนำให้ตัดใจเลือกซื้อใหม่ดีกว่าค่ะ เพราะเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่นั้นมีความสามารถในการทำความเย็นได้ดี ในขณะที่กินไฟน้อย ทั้งยังมีระบบทำความเย็นต่างๆ ที่เราสามารถเลือก หรือปรับใช้ให้เหมาะกับพื้นที่ พร้อมสู้หน้าร้อนได้สบาย แถมยังมีคุณสมบัติพิเศษรวมอยู่ในตัวด้วยเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าแก่ผู้ใช้มากที่สุด เช่น SENSOR ที่จะคอยตรวจจับความเคลื่อนไหวของเราและเลือกโหมดการทำงาน, อุณหภูมิ หรือระดับพัดลมโดยอัตโนมัติ ให้เหมาะสมกับจำนวนคนและจำนวนคนและการทำกิจกรรมต่างๆ ภายในห้อง, โหมดประหยัดพลังงาน หลีกเลี่ยงการทำให้อากาศภายในห้องเย็นจนเกินไป ด้วยการเพิ่มอุณหภูมิและลดระดับพัดลมให้ต่ำลง เพื่อให้เกิดการประหยัดพลังงานมากที่สุด, ระบบเร่งทำความเย็น ที่จะเร่งการทำงานเมื่อเปิดเครื่องให้อุณหภูมิห้องลดลงอย่างรวดเร็ว และลมแรงทำให้เรารู้สึกเย็นสบายขึ้นเมื่อเข้าในห้อง, ฟังก์ชั่นที่ปิดการใช้งานเครื่องปรับอากาศโดยอัตโนมัติหากไม่มีคนอยู่ในห้องเป็นเวลานาน หรือโหมดอัจฉริยะต่างๆ ที่ปรับเปลี่ยนการทำงานตามพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้งานแต่ละคน ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้มีอยู่ในเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty รุ่นใหม่ทุกข้อเลยนะคะ   Mitsubishi Heavy Duty 5 ทศวรรษในประเทศไทย 5 ปีรับประกันทุกชิ้น และเย็นเร็วทันใจ   Mitsubishi Heavy Duty คือเครื่องปรับอากาศแบรนด์ดังจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีจุดแข็งในการผลิตเครื่องจักรกล เครื่องยนต์กลไก เครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งในครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม ทำให้เครื่องปรับอากาศของแบรนด์นี้ ขึ้นชื่อด้านประสิทธิภาพ มาตรฐานการผลิต ความทนทาน ตลอดจนมีตัวแทนจำหน่าย และบริการหลังการขายที่ครองใจและเคียงคู่คนไทยมากว่า 5 ทศวรรษ ด้วยการสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดเทคโนโลยีวิศวกรรมระดับโลกที่มีอยู่ในเครื่องปรับอากาศ อีกทั้งยังคงจุดเด่น “ประหยัดทนทานทุกงานหนัก” ไม่ว่าจะเป็นขนาด หรือฟังก์ชั่นการใช้งานแบบใด เครื่องปรับอากาศแบรนด์นี้ทุกรุ่น ล้วนมีประสิทธิภาพ ประหยัด ทนทานสมชื่อ Heavy Duty ที่เป็นจุดขายอย่างยาวนาน     ความคุ้มค่าของเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty ไม่ได้หมดเพียงเท่านี้ ยังมีระบบ Jet Flow ที่ทำให้เครื่องปรับอากาศ ลมแรงเย็นเร็วทันใจ แถมยังช่วยประหยัดไฟได้มากกว่า ด้วย Inverter แท้ทั้งระบบ  และยังคงใส่ใจสิ่งแวดล้อม โดยงดใช้สารทำความเย็นที่เป็นอันตรายต่อชั้นบรรยากาศโอโซน ตามนโยบายของบริษัท “Move the world forward” มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่ออนาคต ทั้งสังคม อุตสาหกรรมและชีวิตประจำวัน ที่สดใสยิ่งขึ้น     Mitsubishi Heavy Duty ช่วยประหยัดและทนทานทุกงานหนัก   เมื่อเครื่องปรับอากาศ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น Mitsubishi Heavy Duty จึงคิดค้นนวัตกรรมใหม่ที่มาช่วยให้อากาศเย็นขึ้น ดีต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย และมาพร้อมดีไซน์อันโดดเด่น โดยล่าสุดปี 2561 นี้ได้เปิดตัวเครื่องปรับอากาศ inverter แท้ทั้งระบบ (100% Real Inverter) รุ่น SRK-ZSXS SERIES ซึ่งเป็นเครื่องปรับอากาศระดับลักชัวรี่ จุดเด่นอยู่ที่ทุกรุ่นทุกขนาดครอบคลุมทุกความต้องการการใช้งาน ตั้งแต่ 9,000, 12,000, 18,000 และ 24,000 BTU ที่เหนือกว่าด้วยดีไซน์สวยงาม เหมาะแก่การติดตั้งเข้ากับขนาดและสไตล์การแต่งห้อง แถมยังได้รับรางวัล A’ Design award 2017 มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานอันสะดวกสบายและทันสมัย เช่น Motion Sensor ที่คอยตรวจจับความเคลื่อนไหวของมนุษย์อยู่ภายในห้อง, ECO OPERATION ที่ทำงานร่วมกับ Motion Sensor โดยการปรับความเหมาะสมของอุณหภูมิและระดับพัดลมให้เหมาะสมกับจำนวนคนที่อยู่ในห้อง, AUTO OFF ฟังก์ชั่นที่ปิดการใช้งานเครื่องปรับอากาศโดยอัตโนมัติหากไม่มีคนอยู่ในห้องนานกว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไป, PRESET OPERATION ให้ผู้ใช้สามารถเลือกโหมดการทำงานล่วงหน้าได้, LED BRIGHTNESS ADJUSTMENT ให้ผู้ใช้งานสามารถหรี่ไฟ LED หน้า Panel แอร์โดยเพื่อไม่ให้รบกวนการนอน เป็นต้น   เครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty รุ่นล่าสุดปี 2561 SRK-ZSXS SERIES ที่มี inverter แท้ทั้งระบบ  (100% Real Inverter) Design : Italian Designได้รับรางวัล A’ Design award   Mitsubishi Heavy Duty รุ่น SRK-ZSXS SERIES ดีต่อสุขภาพมากกว่า   นอกจาก Mitsubishi Heavy Duty inverter รุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง SRK-ZSXS SERIES จะมาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานอันสะดวกสบายและทันสมัยแล้ว ยังมีฟังก์ชั่นเอาใจคนรักสุขภาพ โดยการใช้ Filter ที่สามารถเลือกเปลี่ยนได้ ตามฟังก์ชั่นเพื่อสุขภาพต่างๆ เช่น Natural Enzyme Filter ที่มีส่วนประกอบของเอ็นไซม์ธรรมชาติ สามารถป้องกันและทำลายเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ, Natural Solar Filter ช่วยกรองอากาศกำจัดกลิ่นเหม็นและกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ทำให้อากาศในห้องมีความสดชื่นมากยิ่งขึ้น, Anti-allergy & Activated carbon filter ช่วยกำจัดสารก่อภูมิแพ้ ดูดซับก๊าซอันตรายและฝุ่นละอองในอากาศ, Vitamin C Filter ช่วยทำให้อากาศที่ออกมามีวิตามิน C ทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื่น เครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty รุ่น SRK-ZSXS SERIES ขนาด 9,000 BTU ที่ออกแบบให้มีหน้าตาเหมือนกันทุกขนาด Btu เหมาะกับห้องขนาด 9-12 ตารางเมตร ซึ่งเมื่อนำไปติดตั้งบริเวณห้องนั่งเล่นของคอนโดมิเนียมก็มีความลงตัว ทั้งขนาดของพื้นที่ และดีไซน์ที่เข้ากับทุกการตกแต่งห้องทุกๆ สไตล์   สุดท้ายนี้ คงไม่มีใครไม่อยากหายใจเอาอากาศดีๆ เข้าปอดหรอกใช่ไหมคะ ดังนั้นการเลือกเครื่องปรับอากาศสักเครื่องหนึ่งก็ถือว่าเป็นตัวช่วยทำให้บรรยากาศดีขึ้นได้เยอะเลยนะคะ โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty รุ่นใหม่ SRK-ZSXS SERIES ที่มาพร้อมระบบ inverter แท้ทั้งระบบ เหนือกว่าแบรนด์คู่แข่งทั้งหมด อีกทั้งยังมีฟังก์ชั่นการทำงานแบบครบครันทันสมัย ที่สำคัญตัวแบรนด์ยังความน่าเชื่อถือและมาตรฐานการผลิตที่ดีเยี่ยม โดยทุกเครื่องที่ผลิตและจัดจำหน่ายในประเทศไทยนั้นได้ผ่านการตรวจรับรองคุณภาพตามมาตรฐานโลกเช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่นที่ QC กันทุกชิ้นส่วนตั้งแต่กระบวนการผลิตจนถึงการ Packaging สินค้าลงกล่อง ทำให้กล้ารับประกันทุกชิ้นส่วนเป็นระยะเวลา 5 ปี แถมดีไซน์ก็ยังสวยงามเข้ากับทุกสไตล์ห้อง ในขณะที่ขนาด BTU ก็มีให้เลือกมากมาย จึงมั่นใจในคุณภาพได้ว่า Mitsubishi Heavy Duty เป็นเครื่องปรับอากาศที่จะช่วยเติมเต็มช่วงเวลาแห่งความสุขของครอบครัวคุณเสมอ   และอีกหนึ่งโปรโมชั่นสุดคุ้มเพียงซื้อเครื่องปรับอากาศ Mitsubishi Heavy Duty รุ่น SRK10CRV และ SRK13CRV รับไปเลย ลำโพง JBL Go สุดคุ้ม 1 เครื่อง ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มี.ค. 2561 เท่านั้น   ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม – 31 พฤษภาคม 2561 เมื่อซื้อเครื่องปรับอากาศซีรี่ย์ SRK-CVV ทุกรุ่น รับไปเลยเสื้อยืดสุดเท่ห์จาก MITSUBISHI HEAVY DUTY   หน้าร้อนนี้ไม่ว่าจะซื้อรุ่นไหน รับรองได้เลยว่าคุ้ม!!!   หมายเหตุ : เฉพาะสินค้ารุ่นที่ร่วมรายการ และห้างสรรพสินค้าที่ร่วมรายการเท่านั้น โปรดสอบถามข้อมูล ณ จุดขาย ดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ www.mitsuheavythai.com     #หนีร้อนมาพึ่งโอ้ #HeavyDutyชื่อนี้ไม่ได้มีไว้เล่นๆ #MitsubishiHeavyDuty #เย็นเร็วทนทานประหยัดไฟ
5 พรรณไม้ที่ควรปลูกไว้ริมรั้ว

5 พรรณไม้ที่ควรปลูกไว้ริมรั้ว

เรามาตกแต่งรั้วบ้านที่เรียบๆ ด้วย “พรรณไม้” ให้กลายเป็นรั้วสีเขียวสวยงามสบายตากันดีกว่าค่ะ โดยทุกบ้านสามารถทำได้แม้จะมีพื้นที่ที่จำกัด เพราะอาศัยเพียงพื้นที่แนวนอนยาวขนาบไปกับตัวรั้วเท่านั้น แถมถ้าเลือกให้ดีต้นไม้บางชนิดยังมีคุณสมบัติช่วยอำพรางสายตาจากคนภายนอกและป้องกันโจรได้ด้วย เพราะไม้บางชนิดมีหนาม หรือจะปลูกไม้พุ่มสูงก็ทำให้โจรเข้ามาในบ้านได้ยากลำบาก ซึ่งการเลือกพรรณไม้สำหรับปลูกริมรั้วนั้นควรเลือกที่ทนแสงแดดและลมแรงได้ อีกทั้งควรเลือกชนิดที่ดูแลง่าย ไปดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้างที่จะเป็นตัวช่วยให้รั้วบ้านของคุณดูสวยงาม ปลอดภัย และโดดเด่นไม่ซ้ำเพื่อนบ้านข้างๆ ต้นไทรเกาหลี ไม้ประดับที่นิยมใช้เป็นไม้แนวรั้วและตัดเเต่งคงหนีไม่พ้น ‘ไทร’ ใช่ไหมคะ? ซึ่งไทรก็แบ่งออกเป็นหลายชนิด แต่ที่เราหยิบยกมาแนะนำวันนี้คือ ไทรเกาหลี ที่มีลักษณะเป็นไม้พุ่มทรงสูงค่อนข้างเเน่น ตัวพุ่มประกอบด้วยใบสีเขียวสดที่เรียงตัวซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ เมื่อโตเต็มที่จะสูงประมาณ 5-6 เมตร ด้วยความที่ไทรเกาหลีเป็นไม้พุ่มแน่นทึบมีใบไม้เรียงตัวซ้อนกันหลายชั้น ทำให้ช่วยกันเเสงเเดดและฝุ่นละอองได้ดี จึงเหมาะที่จะนำมาปลูกกั้นเป็นกำเเพงบดบังสายตาจากคนภายนอก และป้องกันขโมยได้ด้วยเนื่องจากพุ่มสูง ที่สำคัญคือเป็นไม้ที่มีความเเข็งเเรง ทนทาน ดูเเลรักษาง่าย ไม่ค่อยมีโรคหรือเเมลงกวน สามารถเติบโตได้ดีในดินธรรมดา จึงไม่แปลกที่นักจัดสวนส่วนใหญ่นิยมปลูกให้ตามแนวรั้วบ้านนั่นเอง ต้นข่อย ไม้ต้นริมรั้วที่นิยมปลูกตามมาติดๆ ก็คือ ‘ข่อย’ ซึ่งมีลักษณะพุ่มหนา ทนแดดทนลม สูงถึง 5-10 เมตร นิยมปลูกเป็นไม้ริมรั้วเพราะพุ่มแน่นจากโคนถึงยอด หากเจ้าของบ้านหมั่นตัดแต่งดูแลพุ่มก็จะยิ่งแน่นขึ้นและใบจะมีขนาดเล็กลง กลายเป็นรั้วที่สวยงาม หรือบางบ้านอาจปลูกเป็นแนวเพื่อแบ่งอาณาเขตในสวนก็ได้ค่ะ ต้นสลัดได สำหรับใครที่ไม่ชอบพรรณไม้สูงๆ หรือไม้ใหญ่เพราะกลัวแผ่กิ่งก้านสาขาให้เกิดความเสียหายต่อพื้นที่สาธารณะ แนะนำให้ปลูกเป็นไม้พุ่มเตี้ยแทนค่ะ โดยเจ้าของบ้านอาจทำกระบะยกสูงจากพื้นสักระดับหนึ่ง และเลือกปลูก ‘สลัดได’ ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กจำพวกเดียวกับกระบองเพชร มีความสูงประมาณ 3-6 เมตร ลักษณะคือมีหนามทั่วทั้งลำต้น ปกคลุมตามข้อต่อใบ ภายในมียางสีขาวซึ่งเป็นพิษ หากถูกผิวหนังจะระคายเคือง จึงถือเป็นไม้ยอดนิยมที่ปลูกไว้รอบรั้วบ้าน เพราะนอกจากช่วยป้องกันขโมยแล้วยังกันสัตว์ไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วยค่ะ ต้นเข็มกุดั่น หากใครถือเคล็ด ไม่อยากให้มีต้นไม้มีหนามไว้ที่บ้าน แต่ก็ยังอยากปลูกไม้พุ่มขนาดเล็กให้สามารถป้องกันโจรได้ด้วย แนะนำให้เลือกปลูก ‘เข็มกุดั่น’ ค่ะ เพราะเป็นไม้พุ่มเตี้ยคล้ายๆ กับสลัดได แต่จะเป็นทรงพุ่มกลม ใบมีลักษณะหนาและแข็งดูแหลมคม ทนต่อสภาพแห้งแล้งที่มีแสงแดดเต็มวันได้ดี อีกทั้งเวลาออกดอกยังมีกลิ่นหอมตอนกลางคืนด้วยค่ะ ซึ่งเหมาะจะปลูกประดับกระบะยกสูงริมรั้วบ้าน หรือประดับตามสวนหิน และควรระวังเด็กๆ มาสัมผัสนะคะเพราะอาจบาดมือได้ ต้นกุหลาบเทียม เอาใจเจ้าของบ้านที่ชอบพรรณไม้ออกดอกมีสีสันเพื่อเพิ่มความสวยงามตลอดแนวรั้ว แนะนำให้ปลูก ‘กุหลายเทียม’ ไม้พุ่มที่บางครั้งมีลักษณะคล้ายไม้เลื้อย ลำต้นแข็งมีหนามยาวสีน้ำตาลแดงออกเป็นกระจุกตามง่ามใบ ซึ่งจะสูงประมาณ 2-5 เมตร ตัวดอกมีสีม่วงอมชมพู เจริญเติบโตง่าย เรียกว่าไม่ต้องคอยดูแลรักษามาก เหมาะที่จะปลูกไว้ริมรั้วหรือริมหน้าต่างเพื่อช่วยป้องกันโจร และสัตว์ร้ายที่จะเข้ามาในบ้านได้ดีทีเดียวค่ะ Tips : สำหรับพรรณไม้ริมรั้วที่เราแนะนำมาทั้งหมดนี้ เจ้าของบ้านควรดูแลควบคุมระบบรากไม่ให้มีโอกาสชอนไชสิ่งปลูกสร้างอย่างรั้วได้นะคะ และหมั่นตัดแต่งกิ่งด้านของต้นไม้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมขนาดของทรงพุ่มไม่ให้แผ่ขยายใหญ่ออกไปเพราะขนาดของทรงพุ่มกับระบบรากนั้นมีความสัมพันธ์กัน หรืออาจบล็อกรากโดยปลูกลงในกระถางและวางในกระบะริมรั้วที่ก่อขึ้นมาแทน เท่านี้ก็สร้างความสวยงามและกันขโมยให้แก่รั้วบ้านของคุณได้แล้วค่ะ
วิธีป้องกันงูเข้าบ้าน ง่ายๆ แต่ได้ผล

วิธีป้องกันงูเข้าบ้าน ง่ายๆ แต่ได้ผล

ในช่วงฤดูฝนที่มีฝนตกลงมาอาจทำให้เกิดน้ำท่วมตามพื้นที่ต่างๆ บรรดาสัตว์เลื้อยคลาน หรือสัตว์มีพิษอย่าง "งู" ที่มักอยู่ตามพื้นดินย่อมอพยพหนีน้ำขึ้นมาสู่พื้นที่ที่สูงกว่า ดังนั้น ถ้ามีงูเลื้อยเข้ามาในบ้าน จึงถือว่าเป็นอันตรายต่อเจ้าของบ้านมาก ยิ่งกรณีที่ขดตัวอยู่ตามกิ่งไม้หรือซุกซ่อนอยู่ตามมุมบ้านยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึ่งประสงค์ เมื่อเราพบเจอควรอยู่ให้ห่างเข้าไว้ หรือไม่ก็แจ้งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญมาจัดการจะดีกว่า แต่จะให้ดีก็ควรหาวิธีป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ วันนี้ทีมงาน Review Your Living จึงขอเสนอวิธีป้องกันงูที่สามารถทำกันง่ายๆ แถมยังช่วยเพิ่มความสวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อยให้กับบ้านด้วย วิธีป้องกันงูเข้าบ้าน ง่ายๆ แต่ได้ผล   1. กำจัดขยะแหล่งรวมหนู เหยื่อของงู! หนึ่งในวิธีแก้ไขปัญหาที่ดี คือการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และสาเหตุหลักที่งูเข้ามาอยู่ในพื้นที่รอบบ้านและสวน ก็เพราะมาหาอาหารอย่างหนูและกบ ซึ่งสัตว์ชนิดนี้ก็ชอบอยู่อาศัยในพื้นที่สกปรกตามแหล่งขยะ ดังนั้น แนะนำให้กำจัดขยะและเศษอาหารโดยการคัดแยกขยะก่อนนำไปทิ้งให้เป็นที่เป็นทาง และควรปิดปากถุงขยะหรือถังขยะให้มิดชิด ก็จะลดปริมาณหนูลงได้ และช่วยส่งผลให้งูไม่เข้ามาอาศัยในบ้านของเราเช่นกัน หรือหากใครเลี้ยงสัตว์ตัวเล็กอย่าง แมว กระต่าย นก หรือลูกไก่ ก็ควรทำกรงให้มิดชิด หรือคลุมตาข่ายขนาดเล็กในตอนกลางคืน เพื่อป้องกันงูเลื้อยเข้ามาอยู่อาศัย และทำอันตรายกับสัตว์เลี้ยงในบ้าน   2. ดูแลสวนอยู่เสมอ หลายๆ คนคงทราบกันดีว่า งูเป็นสัตว์ที่ชอบใช้ใบไม้และเศษดินมาทำรัง ในอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการอยู่อาศัยประมาณ 30 องศาเซลเซียส และมีความชื้นสูงถึง 95% ซึ่งงูสามารถออกล่าเหยื่อได้ทั้งตอนกลางวันที่มีแสงแดดไม่ร้อนจัด และตอนพลบค่ำ ดังนั้น แนะนำให้เจ้าของบ้านหมั่นตัดแต่งสวนให้แสงแดดสามารถส่องถึงพื้นได้ในช่วงกลางวัน และตัดแต่งหญ้ารวมถึงพุ่มไม้ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ในขณะที่บริเวณบ่อน้ำที่มีปลาอาศัยชุกชุมก็ควรตัดแต่งต้นไม้ที่อยู่รอบๆ บ่อด้วย เพื่อไม่ให้เป็นที่ซ่อนตัวของงู ซึ่งการดูแลสวนสม่ำเสมอก็ถือว่าเป็นการตรวจตราดูแลว่ามีงูเข้ามาทำรังหรือมีคราบงูอยู่หรือไม่ เพื่อจะได้เตรียมการรับมือต่อไป   3. ใช้งานพื้นที่อย่างคุ้มค่า สำหรับข้อนี้คงต้องขออธิบายก่อนว่าโดยพื้นฐานนั้นสัตว์มีพิษอย่าง "งู" จะกลัวคนมากที่สุด เพราะสัมผัสในรูปแบบของเสียง และการสั่นสะเทือนมีอิทธิพลต่องูมาก จึงควรกำจัดมุมอับ เช่น โพรงใต้บ้าน แปลงต้นไม้ สวนกระถางที่ไม่เป็นระเบียบ หรือมุมที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยๆ โดยอาจเพิ่มกิจกรรม และการใช้งานมุมเหล่านี้อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการเลี้ยงสุนัขขนาดใหญ่ หรือห่านที่บริเวณนอกบ้าน ก็มีส่วนช่วยส่งเสียงดังรบกวน  ทำให้งูหวาดกลัวอยู่อาศัยไม่ได้   4. สร้างกับดัก มาถึงข้อสุดท้ายกันแล้ว วิธีป้องกันงูที่เราอยากแนะนำที่สุดนั่นก็คือ การสร้างกับดักให้งูเลื้อยผ่านได้ยาก เพราะวัสดุบางอย่างช่วยให้งูเลื้อยผ่านเข้ามาในสวนเราได้ลำบาก เช่น รั้วตาข่ายขนาดเล็ก หรือพื้นที่โรยด้วยหินกรวดที่มีความคม เช่นเดียวกับต้นไม้บางชนิดที่มีหนามแหลมคม แต่วิธีดังกล่าวแค่ช่วยให้งูเลือกที่จะไม่เข้าใกล้เท่านั้น แต่หากไม่มีทางเลือกอื่น งูก็สามารถเลื้อยเข้ามาได้หากมีแหล่งอาหารที่ล่อตาล่อใจ ปัจจุบันมีนวัตกรรมหลากหลายที่มีคุณสมบัติป้องกันงูได้ไม่ว่าจะเป็น แผ่นกันงูที่มีความลื่นสูงจนงูไม่สามารถเลื้อยผ่านได้ หรือสารเคมีต่างๆ ก็สามารถเลือกนำไปใช้ได้นะคะ "งู" เป็นสัตว์ที่ไม่ชอบอยู่ใกล้มนุษย์ ไม่ชอบเสียงดังและความวุ่นวาย ดังนั้นหากบ้านของเรามีคนอยู่อาศัยตลอดเวลาและมีการใช้งานอย่างทั่วถึงทั้งบ้าน สวนมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย หมั่นตัดแต่งทรงพุ่มอยู่เสมอ กำจัดแหล่งอาหารของงู ก็จะช่วยป้องกันงู และลดพื้นที่ที่งูจะอาศัยอยู่ได้เป็นอย่างดี
สาเหตุหลักที่ทำให้แอร์ไม่เย็นฉ่ำ

สาเหตุหลักที่ทำให้แอร์ไม่เย็นฉ่ำ

อัตราการใช้เครื่องปรับอากาศได้เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี เนื่องจากอากาศที่ร้อนจัดในช่วงฤดูร้อน แอร์จึงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีความจำเป็นอย่างมาก เพื่อช่วยผ่อนคลายความร้อนโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในเมือง และการเรียนรู้วิธีใช้แอร์อย่างถูกวิธีจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้แอร์เย็นฉ่ำสบาย แต่การใช้งานแอร์อย่างไม่เหมาะสม ก็ทำให้ต้องสูญเสียพลังงานสูงขึ้น ทำให้แอร์ไม่เย็นตามอุณหภูมิที่ปรับเอาไว้ ลองมาดูถึงสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้แอร์ไม่เย็นฉ่ำว่าเกิดจากอะไรบ้าง 1.มีฝุ่นจับอยู่ที่คอมเพรสเซอร์มากจนเกินไป โดยเฉพาะในส่วนของรังผึ้ง ถ้าสกปรกมากเกินไปก็จะทำให้แอร์ไม่เย็น การใช้แอร์ในระยะเวลานาน อาจทำให้มีการสะสมของฝุ่นและสิ่งสกปรก เพราะหน้าที่ของแอร์นอกจากปรับอุณหภูมิในห้องให้เย็นลงแล้ว แอร์ยังทำหน้าที่ในการกรองอากาศให้สะอาด หากใช้แอร์แล้วไม่ได้ทำความสะอาดเป็นเวลานาน จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง เพราะมีฝุ่นและสิ่งสกปรกสะสม ทั้งยังอุดตันอยู่ตามส่วนต่างๆ ของแอร์ ดังนั้นสามารถแก้ไขง่ายๆ ด้วยการหมั่นล้างทำความสะอาดแอร์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นกรองอากาศ และส่วนอื่นๆ ของแอร์ก็จะช่วยทำให้การทำงานเป็นไปได้อย่างปกติ ช่วยประหยัดพลังงาน ทำให้แอร์เย็นฉ่ำเหมือนใหม่ 2.น้ำยาแอร์หมดหรือเหลืออยู่น้อย การที่น้ำยาแอร์หมดหรือมีเหลืออยู่น้อย ก็นับเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แอร์ไม่เย็น เพราะทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ แอร์จึงไม่เย็นอย่างที่ต้องการ ดังนั้นหมั่นตรวจเช็กอยู่เสมอว่า มีน้ำยาแอร์อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะหรือไม่ หากสังเกตเห็นว่าน้ำยาแอร์เหลือต่ำ ควรติดต่อให้ช่างแอร์มาเติมน้ำยาใหม่ ก็จะทำให้แอร์เย็นฉ่ำมากขึ้น 3.ห้องโดนแสงแดดตลอดเวลา การติดตั้งแอร์ ไม่ควรติดตั้งในห้องที่โดดแสงแดดอยู่ตลอดเวลา เพราะจะทำให้ความร้อนจากภายนอกเข้ามาในห้องอยู่ตลอด ทำให้แอร์ต้องทำงานหนักเพื่อปรับอุณหภูมิในห้องให้เย็นลง ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมากจนเกินไป ดังนั้นก่อนตัดสินใจติดตั้งแอร์ ควรมั่นใจว่าห้องที่จะติดตั้งแอร์ อยู่ในทิศทางที่ไม่โดนแสงแดดหรือโดนแสงแดดน้อย เพียงแค่นี้ก็จะทำให้แอร์เย็นฉ่ำ ทำให้เครื่องไม่ต้องทำงานหนัก และยังช่วยประหยัดพลังงานได้ 4.BTU มีขนาดเล็ก ก่อนติดตั้งแอร์ทุกครั้ง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมากที่สุดก็คือ ขนาด BTU ที่เหมาะสมกับขนาดของห้องที่จะทำการติดตั้งแอร์ เพราะการใช้แอร์ที่มีขนาด BTU เล็กเกินไป ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แอร์ไม่เย็น เพราะกำลังการกระจายความเย็นไม่ทั่วถึง แต่การติดแอร์ที่มีขนาด BTU ใหญ่มากจนเกินไป ก็ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ โดยทั่วไปแล้วจะมีสูตรในการคำนวณ BTU แอร์ เพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมกับขนาดของห้อง 5.ในห้องมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน หากในห้องที่ติดตั้งแอร์ มีอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน เช่น มีกระติกน้ำร้อน หรืออุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ที่เป็นแหล่งกำเนิดของความร้อน อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ จะทำให้ห้องร้อนขึ้น ทำให้แอร์ไม่เย็นฉ่ำเท่าที่ควร ดังนั้นให้หลีกเลี่ยงการติดตั้งแอร์ในห้องที่มีอุปกรณ์ทำความร้อน จะทำให้แอร์เย็นฉ่ำได้ตามต้องการ 6.เปิดแอร์ผิดโหมด ในรีโมทแอร์จะมีระบบการทำงานให้เลือกใช้หลากหลายรูปแบบ เช่น ถ้าในช่วงที่มีอากาศร้อน แต่เลือกเปิดเป็นโหมดฝนตก ก็จะทำให้แอร์ไม่เย็นฉ่ำตามที่ต้องการ หรือแม้แต่การตั้งเป็นระบบพัดลม ก็จะทำให้แอร์หยุดทำงาน จึงทำให้อากาศในห้องอุ่นขึ้น การใช้แอร์อย่างถูกวิธี จะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องให้ยาวนานขึ้น การเปิดใช้แอร์ในบางครั้งอาจพบว่าห้องไม่เย็นเท่ากับอุณหภูมิที่ปรับไว้ หากแอร์ไม่เย็นฉ่ำให้ใช้วิธีเหล่านี้แก้ปัญหาในเบื้องต้น หากอาการไม่ดีขึ้น ให้รีบติดต่อช่างแอร์ให้มาตรวจสอบความผิดปกติจะดีที่สุด ขอบคุณแหล่งที่มา : http://www.flowtechworld.com/article/article-3370/
5 ต้นไม้ใหญ่ เสริมสิริมงคล ช่วยให้เย็นสบายที่ควรปลูกไว้ในบ้าน

5 ต้นไม้ใหญ่ เสริมสิริมงคล ช่วยให้เย็นสบายที่ควรปลูกไว้ในบ้าน

ใกล้เข้าสู่ฤดูร้อนคราใด ปัญหากวนใจคงหนีไม่พ้นกับความร้อนระอุของสภาพอากาศที่ทุกคนต่างเคยสัมผัสกันดี เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่บนพื้นที่เขตร้อน อุณหภูมิจึงค่อนข้างสูงในเวลากลางวัน และจะค่อยๆ ทวีคูณความร้อนขึ้นในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ของทุกปี ซึ่งแน่นอนค่ะว่า "หน้าร้อน" กับ "บ้านร้อน" เป็นของคู่กัน ยิ่งอากาศภายนอกสูงเท่าไหร่ แอร์คอนดิชั่นก็ยิ่งทำงานหนักจากการเปิดใช้เครื่องปรับอากาศตลอดทั้งวัน โดยปัญหาที่ตามมาก็คือค่าไฟที่สูงกว่าปกติ นับว่าส่งผลกระทบกับการอยู่อาศัยไม่ใช่น้อยเลยนะคะ ซึ่งวิธีลดความร้อนไม่ให้เข้าสู่ตัวบ้านนอกจากการติดตั้งฉนวนกันความร้อนใต้หลังคา, การทำระแนงไม้กรองแสง หรือจะเป็นการเลือกใช้วัสดุอย่างอิฐมวลเบาแทนการก่อผนังอิฐ และคอนกรีตที่สะสมความร้อนแล้ว ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยป้องกันความร้อนเข้าสู่บ้านได้ง่ายๆ คือ ปลูกต้นไม้ใหญ่ เพื่อช่วยสร้างความร่มรื่นและให้ร่มเงาแก่อาคารที่พักอาศัย นอกจากนี้ยังเป็นไม้ประดับเพื่อโชว์ความสวยงามของลำต้น รูปทรงของเรือนยอด ทรงพุ่มใบ รูปทรงหรือสีสันของดอก และกลิ่นหอมก็ช่วยทำให้บรรยากาศในบริเวณนั้นน่าพักผ่อนมากขึ้นไปอีก นับว่าเป็นวิธีป้องกันความร้อนด้วยธรรมชาติก็ว่าได้ค่ะ   แต่ปัญหากวนใจของการปลูกต้นไม้ใหญ่ หลายคนคงกลัวว่ารากลึกของไม้ใหญ่จะมีผลกระทบต่อโครงสร้าง ซึ่งเราอาจแก้ปัญหานี้ได้โดยเลือกต้นไม้ที่มีพุ่มแผ่กว้าง เลือกต้นไม้ที่รากไม่ลึกนักเพื่อป้องกันการทำลายโครงสร้างนั่นเองค่ะ ทั้งนี้ต้นไม้ใหญ่ก็มีให้เลือกหลากหลายพรรณนะคะ แต่จะมีต้นอะไรบ้างที่ช่วยบดบังแสงแดดทำให้บ้านเย็นสบาย ดูแลรักษาง่าย และเสริมสิริมงคล เรามีคำตอบมาให้แล้วค่ะ 1.มะม่วง ต้นไม้ใหญ่ให้ผลดี ต้นไม้ใหญ่ขนาดกลางที่แนะนำให้ปลูกติดบ้านไว้ ก็คือต้นมะม่วงค่ะ ซึ่งเป็นไม้มงคลที่มีมาตั้งแต่พุทธกาล เชื่อกันว่าหากปลูกมะม่วงเอาไว้ในบ้านจะทำให้คนในบ้านมีความร่ำรวยมากขึ้น และควรปลูกไว้ทางทิศใต้เพื่อความเป็นสิริมงคลหรือปลูกในหน้าฝนเนื่องจากจะเจริญเติบโตได้ดี นอกจากแผ่กิ่งก้านสาขาออกมาให้ความร่มเงากับตัวบ้านแล้ว ในช่วงฤดูร้อนยังออกผลให้เจ้าของบ้านสามารถเก็บรับประทานได้ด้วย สำหรับพันธุ์มะม่วงที่นิยมปลูกกันก็คือ เขียวเสวย, อกร่อง, โชคอนันต์, แรด, น้ำดอกไม้ และฟ้าลั่น หากใครอยากขยายพันธุ์ก็สามารถทำได้โดยการเพาะเมล็ด หรือการตอนกิ่งง่ายๆ นับว่าเป็นต้นไม้ที่ดูแลไม่ยากและมีประโยชน์อีกด้วยค่ะ   ข้อแนะนำ : ควรปลูกให้ห่างจากรั้วบ้านและตัวบ้าน เนื่องจากการเจริญเติบโตของต้นมะม่วงอาจทำให้เกิดรอยแตกร้าวได้ 2.ต้นหูกระจง หรือต้นไม้ใหญ่แผ่บารมี "หูกระจงควรปลูกให้ห่างจากตัวบ้าน" เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นหูคุ้นตากับประโยคนี้ดี แต่เคยสงสัยไหมคะว่าทำไมต้องปลูกให้ห่างจากตัวบ้านด้วย เหตุผลก็เพราะต้นหูกระจงค่อนข้างเติบโตเร็ว เมื่อปลูกใกล้ตัวบ้านเวลาโตขึ้นเรื่อยๆ กิ่งก้าน และพุ่มจะขยายใหญ่จนอาจทำให้เกิดความเสียหายกับหลังคาบ้านได้ ดังนั้นจึงควรปลูกโดยเว้นระยะห่างสัก 8 เมตร พุ่มจึงจะแผ่กิ่งก้านออกมาสวยงาม ซึ่งส่วนใหญ่นิยมปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อให้ความร่มเงาแก่อาคารที่พักอาศัย ซึ่งลำต้นมีความสูงประมาณ 15-20 เมตร ลักษณะเด่นคือมีพุ่มใบละเอียดแผ่เป็นชั้นสวยงาม ใบมีลักษณะเหมือนหูกวาง แต่ขนาดใบเล็กกว่า มักออกดอกช่วงกุมภาพันธ์ถึงเมษายน และมีความเชื่อว่าหากปลูกไว้ในบริเวณบ้านจะทำให้มีบารมีกว้างไกล สามารถใช้เป็นไม้ประธานในสวนได้   ข้อแนะนำ : ไม่ควรปลูกใกล้สระหรือบ่อน้ำ เพราะใบร่วงง่าย 3.อโศกอินเดีย ต้นไม้ใหญ่กันฝุ่นละออง ต้นอโศกอินเดียเป็นไม้ยืนต้นทรงสูงแบบผลัดใบ สูงเต็มที่ได้ถึง 25 เมตร  มีลักษณะเป็นพุ่มพีระมิดแคบๆ กิ่งโน้มลู่ลงทั้งต้น ใบเดี่ยวและปลายแหลม มีสีเขียวเป็นมันเงางาม ขอบใบเป็นคลื่น มักออกดอกในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ทนแดดทนฝนได้ดี สามารถใช้เป็นไม้ประดับอำพรางสายตาจากเพื่อนบ้านได้ เนื่องจากส่วนใหญ่นิยมปลูกไว้ริมรั้วเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัว โดยควรปลูกห่างจากริมรั้วอย่างน้อยประมาณ 30 เซนติเมตร นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยบดบังแสงแดด และป้องกันฝุ่นละอองได้ดี ทั้งยังมีความเชื่อว่าเป็นต้นไม้มงคลที่ใครปลูกไว้ในบริเวณบ้านแล้วจะหมดทุกข์หมดโศกนั่นเองค่ะ   ข้อแนะนำ : ในช่วงหน้าแล้งใบจะร่วงเยอะ ทำให้ต้องหมั่นเก็บกวาดและรดน้ำบ่อยๆ หากเจ้าของบ้านต้องการควบคุมความสูงของลำต้นก็ควรหมั่นตัดยอดเรื่อยๆ นะคะ 4.ต้นสารภี ต้นไม้ใหญ่ดูแลง่าย ต้นสารภี จัดว่าเป็นไม้ดอกยืนต้นขนาดกลาง มีลำต้นสูงประมาณ 10-15 เมตร เป็นไม้ไม่ผลัดใบ ลำต้นตรง มีเรือนยอดเป็นทรงพุ่มทึบ ใช้ปลูกเพื่อให้ความร่มเงาและบังลมได้ อีกทั้งยังมีดอกและพุ่มใบที่สวยงาม จึงใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้ด้วย ทั้งนี้มีความเชื่อว่าหากบ้านไหนปลูกต้นสารภีจะทำให้มีอายุยืนยาว ซึ่งสามารถปลูกในดินได้ทุกสภาพ ปลูกได้ดีทั้งในที่ร่มรำไรและกลางแจ้ง นอกจากนี้ยังออกดอกและผลให้สามารถนำใช้ประโยชน์ได้มากมายไม่ว่าจะเป็น ผลไม้สำหรับรับประทาน, สมุนไพรรักษาโรค และผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ ไม่เพียงเท่านี้เนื้อไม้สารภียังมีความแข็งแรง ทนทาน สามารถนำมาใช้สร้างเป็นที่อยู่อาศัย หรือทำเฟอร์นิเจอร์ได้อีกด้วยค่ะ ข้อแนะนำ : เพื่อความเป็นสิริมงคลคนไทยโบราณเชื่อว่า การปลูกไม้เอาคุณนั้นควรปลูกในวันเสาร์ และควรปลูกไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อช่วยป้องกันสิ่งไม่ดี และผู้ปลูกควรเป็นสุภาพสตรีเท่านั้น เนื่องจากสารภีเป็นชื่อที่เหมาะสำหรับสตรี 5.ไทรย้อย ต้นไม้ใหญ่ดูดสารพิษ ต้นไทรย้อยก็เป็นอีกหนึ่งไม้ยืนต้นขนาดกลางไปถึงใหญ่ ที่มีความเชื่อมาตั้งแต่โบราณว่าเป็นที่อาศัยของเทพารักษ์ หากปลูกไว้ในบริเวณบ้านจะทำให้ร่มเย็นเป็นสุข ป้องกันอันตรายทั้งปวง และยังช่วยดูดสารพิษได้ดีด้วย ซึ่งลักษณะของลำต้นจะมีความสูงตรง เมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงประมาณ 10-20 เมตร แตกก้านเป็นพุ่ม มีรากอากาศแตกย้อยห้อยลงมาตามกิ่งก้านและลำต้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ดูสวยงามและสามารถบังแดดได้ดี จัดเป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกไว้ทางทิศตะวันตก เพื่อความเป็นสิริมงคลกับบ้าน นอกจากนี้ยังทนแดด ทนฝนได้ดีอีกด้วยค่ะ   ข้อแนะนำ : หากอยากควบคุมการเจริญเติบโตของรากไม่ให้กระทบโครงสร้าง สามารถสร้างกระบะปลูกต้นไม้ได้นะคะ สำหรับไม้ที่ใหญ่เกินกว่าจะปลูกลงในกระถาง เพื่อให้ต้นไม้เติบโตได้เฉพาะตำแหน่งและพื้นที่ที่กำหนดไว้ สามารถทำได้โดยการก่อกระบะบนผิวดินและฝังไว้ใต้ดิน เพราะการเจริญเติบโตของทรงต้นจะสัมพันธ์กับการแตกทรงพุ่ม ทำให้เราสามารถบังคับทรงพุ่มให้มีขนาดที่ต้องการได้ค่ะ แนะนำต้นไม้กันไปแล้ว หากแฟนๆ ชาว Review Your Living คนไหนอยากตกแต่งสวนในบริเวณบ้านของตัวเองให้ร่มรื่นและเขียวขจี แต่ไม่รู้จะไปหาซื้อต้นไม้ที่ไหนดี วันนี้เรามีแหล่งขายตลาดต้นไม้และอุปกรณ์จัดสวนในราคาย่อมเยามาฝากด้วยค่ะ 1. ตลาดนัดสวนจตุจักร  เรียกได้ว่าเป็นตลาดต้นไม้อันดับต้นๆ ของประเทศกันเลยค่ะ สำหรับตลาดนัดจตุจักร ซึ่งการเดินทางมาตลาดต้นไม้ในครั้งนี้ก็ง่ายและสะดวกมากๆ เพราะสามารถนั่งรถไฟฟ้า BTS มาลงสถานีหมอชิต หรือนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT มาลงที่สถานีกำแพงเพชร เดินเท้าเพียงไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้วค่ะ ภายในตลาดมีต้นไม้ให้เลือกซื้อหลากหลายสายพรรณเลยนะคะ ตั้งแต่ต้นไม้ยอดฮิต, ต้นไม้ใหญ่, ไม้มงคล, แคคตัส หรือแม้กระทั่งต้นไม้พันธุ์หายาก ก็มีหมดเลย โดยทุกคนสามารถแวะเวียนไปได้ในช่วงเวลาขายส่ง วันพุธ-วันพฤหัสบดี ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น. ของทุกสัปดาห์ หากใครทำงานไม่มีเวลาช่วงกลางวัน แนะนำให้ไปเดินซื้อในวันอังคารนะคะ เพราะจะมีบรรดาพ่อค้าแม่ค้ามาเริ่มขายตั้งแต่เวลา 15.00 ไปจนถึง 23.00 น. เลยค่ะ 2. ตลาดต้นไม้ บางใหญ่-บางบัวทอง สำหรับใครที่มีรถส่วนตัว แนะนำให้ขับรถลัดเลาะไปตามเส้นทางถนนกาญจนาภิเษก บางใหญ่-บางบัวทอง เรื่อยๆ จะพบกับร้านขายต้นไม้เรียงรายอยู่ริมฝั่งถนนตลอดเส้นทาง ซึ่งก็มีต้นไม้สารพัดชนิดให้เลือกซื้อกลับไปปลูกในสวนที่บ้านไม่ต่างกับตลาดนัดจตุจักรเลยค่ะ นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ทำสวนขายอีกด้วย โดยตลาดย่านนี้จะเปิดขายทุกวันนะคะ แต่แอบกระซิบว่าวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีร้านต้นไม้มาเปิดขายกันเยอะเป็นพิเศษ 3.ตลาดต้นไม้ คลอง 15 มีทั้งต้นไม้ใหญ่-ไม้ประดับ อีกหนึ่งตลาดต้นไม้แถบชานเมืองที่เรียกว่าขายต้นไม้แบบครบวงจรเลยทีเดียวค่ะ เพราะนอกจากจะเป็นตลาดต้นไม้แล้ว ยังขึ้นชื่อว่าเป็นอันซีนไทยแลนด์อีกด้วย เพราะมีทั้งการจำหน่ายพันธุ์ไม้ดอก-ไม้ประดับ, บอนไซ, ไม้ถัก, ไม้ล้อม, ไม้หายากนานาชนิด และอุปกรณ์ทำสวน ซึ่งตลาดแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณ รังสิต-องครักษ์ คลอง 15 หากขับรถลัดเลาะมาตามเลียบคลองรังสิต จะเจอป้ายบอกทางอยู่ตลอดเลยค่ะ ไม่ต้องกลัวหลงนะคะ แถมตลาดต้นไม้ที่นี่ก็เปิดให้บริการทุกวันด้วยค่ะ เมื่อรู้แหล่งซื้อขายต้นไม้ราคาย่อมเยาแบบครบวงจรหลักๆ ที่เราคัดมาแนะนำกันไปแล้ว ก็อย่าลืมจด list ไว้นะคะว่าสนใจต้นไม้ชนิดไหนบ้าง เวลาไปเลือกซื้อจะได้ควบคุมเงินได้ ซึ่ง 5 ต้นไม้มงคล (ขนาดใหญ่) ที่เรานำมาฝากในบทความด้านบนนั้น จัดว่าเป็นไม้ยืนต้นที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ เนื่องจากเป็นต้นไม้หายากที่กำลังจะถูกลืม เพราะไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก จึงควรค่าแก่การอนุรักษ์ ทั้งยังเหมาะแก่การนำมาปลูกเป็นไม้ประดับเพื่อชื่นชมความงามของดอกและผลที่มีลักษณะสวยงาม นอกจากนี้ยังเป็นต้นไม้ที่มีทรงพุ่มสวยงาม เหมาะแก่การใช้ปลูกเพื่อตกแต่งสวน ปลูกให้ความร่มรื่นและร่มเงาแก่ตัวบ้านให้เย็นสบาย อีกทั้งยังเสริมสิริมงคลตามความเชื่อของคนโบราณได้เป็นอย่างดี รูปภาพจาก : Pinterest รายละเอียดของตลาดไม้เพิ่มเติม ตลาดไท ตลาดต้นไม้ มิกซ์จตุจักร ตลาดต้นไม้ใกล้บ้านเนอวานา   บทความเกี่ยวกับต้นไม้อื่นๆ  9 ต้นไม้มงคล ช่วยเสริมโชคลาภ มอบเป็นของขวัญปีใหม่ 10 ต้นไม้มงคล ควรปลูกไว้ในบ้าน ต้นไม้ไล่ยุง ปลูกไว้ไร้แมลงร้าย
8 สิ่งควรทำ รับ “หน้าร้อน” แบบ ชิล ชิล

8 สิ่งควรทำ รับ “หน้าร้อน” แบบ ชิล ชิล

อากาศที่ทวีความร้อนขึ้นทุกวัน และยังมีการบอกต่อกันมาอีกว่าในปีนี้จะเป็นปีที่บ้านเรามีอุณหภูมิสูงถึงกว่า 40 องศา แม้อากาศจะร้อนอบอ้าวเพียงใด อยากให้ทุกคนใจเย็นๆ ถือโอกาสเตรียมความพร้อม “บ้าน” ในช่วงหน้าร้อนนี้ซะเลย ทาสีบ้านใหม่ การทาสีบ้านใหม่ในช่วงฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพราะบ้านที่ผ่านร้อน หนาว ฝนมานานสีก็เริ่มจะซีดจาง แล้วแดด กับ ลมในช่วงหน้าร้อนนี่แหละจะทำให้สีแห้งไวกว่าการทาสีบ้านในช่วงฤดูอื่น นอกจากนี้ยังควรทาสีกันผนังชื้นเพื่อป้องกันน้ำฝนที่จะโดนบ้านโดยตรง ล้างแอร์ครั้งสุดท้ายเมื่อไร ในช่วงหน้าร้อนใครๆ ก็หันมาใส่ใจตรวจเช็คการทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศ หากเลย 6 เดือนมาแล้วที่คุณยังไม่ได้ล้างแอร์ ก็ควรเรียกช่างให้มาล้างแอร์เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าหน้าร้อนกันเสียที หรือถ้าแอร์โทรมมากแนะนำให้เปลี่ยนเป็นแอร์ประหยัดไฟแบบเบอร์ 5 ทาสีย้อมไม้กันเถอะ ใครมีบ้านไม้ เฟอร์นิเจอร์ไม้ ในช่วงหน้าร้อนเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการทาสีย้อมไม้ หรือลงน้ำมันรักษาเนื้อไม้ เนื่องจากต้องใช้เวลาแห้งนานหลายชั่วโมงถึงจะทารอบใหม่ได้ สำหรับในส่วนของประตูหน้าต่างหรือโครงสร้างไม้นอกบ้าน วิธีการคือเราควรขัดสีที่เสียหายออกให้ถึงเนื้อไม้ ก่อนจะปรับผิวให้เรียบก่อนลงสีใหม่ โดยการทาสีย้อมไม้จะต้องทา 2-3 ชั้น โดยแต่ละชั้นควรทิ้งให้แห้งอย่างน้อย 6 ชั่วโมง สีที่ใช้ควรเป็นสีน้ำมัน สีน้ำพลาสติกสำหรับงานไม้โดยเฉพาะ หรือสีย้อมไม้เพราะจะทนทานต่อน้ำและแสงแดด รวมถึงควรทาน้ำยากันปลวก มด แมลงด้วย ส่วนระเบียงหรือพื้นทางเดินที่ต้องตากแดดตากฝนควรขัดผิวและทาด้วยสีย้อมพื้น หรือสีย้อมไม้สำหรับไม้นอกบ้านทุกๆ 3 ปี ส่วนเฟอร์นิเจอร์การจัดเคลือบผิวจะช่วยให้ไม้ไม่ดูดซับความชื้นมากจนเกินไป เพิ่มกันสาด สำรวจให้รอบๆ บ้านว่ามีพื้นที่ตรงส่วนไหนที่แสงแดดส่องถึงเข้าไปในตัวบ้านได้ โดยดูจากทิศที่แดดส่องถึง ซึ่งจะเป็นทิศใต้กับทิศตะวันตก ทิศตะวันตกเฉียงใต้ จากนั้นดูว่าในบริเวณนั้นมีกันสาดหรือเปล่า โดยเฉพาะทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ ถ้ายังไม่มีกันสาดก็ควรเพิ่มเพราะนอกจากกันสาดจะช่วยกันแดดแล้วยังช่วยกันฝนอีกด้วย หรือถ้าเป็นแสงแดดตอนบ่ายๆ ไปจนถึงตอนเย็นต้องดูว่าสามารถส่องได้ในองศาที่ต่ำประมาณเท่าไร จากนั้นอาจเพิ่มเครื่องกำบังเช่นม่าน ฟิล์มกรองแสง หรือปลูกต้นไม้ในบริเวณนั้น เช็ครางน้ำฝน รองเช็คว่ารางน้ำฝนมีกิ่งไม้ ใบไม้อุดตันหรือเปล่า หากมีให้รีบกำจัดเสียเพราะจะทำให้การระบายน้ำคล่องตัวมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นควรหาตะแกรงมาปิดรางน้ำฝนเพื่อป้องกันเศษใบไม้ตกลงมาสะสมอีก เช็ครอยโหว่ รอยร้าว นอกจากแสงแดดจากหน้าร้อนแล้ว ในหน้าร้อนนี้ยังมีฝนตกร่วมด้วย ดังนั้นหากกรอบหน้าต่างทำด้วยไม้ซึ่งจะมีการยืดหดตัวตามธรรมชาติมีช่องโหว่เกิดขึ้นให้ทาซิลิโคนแบบที่ใช้กับไม้ ชนิดใช้ภายนอกมาอุดรอยโหว่ให้เรียบร้อย ส่วนผนังเราต้องตรวจตราหากมีรอยร้าวจากปูนฉาบแตกร่อน ก็ควรซ่อมแซมเช่นใช้วัสดุยาแนว เช็คบ่อพัก ท่อน้ำทิ้ง ควรตรวจเช็คให้แน่ใจว่ามีสิ่งอุดตันอยู่ในบ่อพักหรือท่อน้ำทิ้งหรือเปล่า ทั้งเศษดิน เศษหิน ใบไม้ ถ้ามีของเหล่านี้ทับถมอยู่ควรขุดลอกเพื่อกำจัดเศษวัสดุต่างๆ ทิ้งไป รั้วบ้าน หากเป็นรั้วเหล็กอาจเกิดสนิมขึ้นได้ง่าย ดังนั้นควรขัดสนิมเก่าออกให้หมดแล้วทาสีใหม่ ส่วนรั้วอัลลอยด์ สีอาจซีดจางดังนั้นควรทำความสะอาดและทาสีใหม่ สำหรับรั้วไม้หากพบว่ามีชิ้นส่วนใดของรั้วไม้เสียหายควรรีบซ่อมแซมหรือเปลี่ยนใหม่ ส่วนรั้วปูนหากพบรอยแตกร้าวควรรีบแก้ไข การตรวจตราบ้านไว้ให้พร้อมก่อนรับหน้าร้อน ถือเป็นการวางแผนการใช้ชีวิตในบ้านอย่างดีเยี่ยม เนื่องจากหลายๆ วิธีช่วยทำให้บ้านของคุณเย็นลง คุณจะได้ไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศให้เปลืองค่าไฟ รู้แบบนี้แล้วเร่งเตรียมตัวเสียแต่เนิ่นๆ นะคะ ขอบคุณแหล่งที่มา : https://www.sanook.com/home/4077/
แน่ใจได้อย่างไร? ที่ดินข้างโครงการไม่มีตึกสูงบัง

แน่ใจได้อย่างไร? ที่ดินข้างโครงการไม่มีตึกสูงบัง

ตำแหน่งห้องในฝันสำหรับการเลือกห้องในคอนโด นอกจากอยู่ในด้านที่ไม่ต้องเจอแดดร้อน ก็มีเรื่องของวิวทิวทัศน์โล่งกว้าง หลายคนจึงพยายามเลือกห้องฝั่งที่ติดกับที่ดินโล่งกว้างหรืออย่างน้อยก็มีเพียงแค่ตึกเตี้ยๆ แต่ไม่มีอะไรแน่นอน วันหนึ่งเราอาจต้องตื่นจากฝัน เมื่อพบว่า ที่ดินข้างๆ ก็ผุดโครงการคอนโดอีกหนึ่งโครงการขึ้นมา กลายเป็นว่าความสุขจากทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตาถูกดับฝันลงทันที ก่อนอื่นขออธิบายว่าในอาคารสูง (สูงตั้งแต่ 23 เมตร) หรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ (พื้นที่ตั้งแต่ 10,000 ตารางเมตร) กฎหมายกำหนดไว้ว่าอาคารต้องเว้นที่ว่างจากเขตที่ดินอย่างน้อย 6 เมตร เพราะฉะนั้น ในกรณีอาคารสูงคนละโครงการกัน จะมีระยะตึกติดกันมากที่สุด 12 เมตร ระยะนี้เป็นระยะเพื่อให้รถดับเพลิงทำงานได้ แต่ไม่ใช่ระยะที่มาจากการพิจารณาความขวยอายที่ต้องสบตากับเพื่อนบ้านข้างตึก ระยะ 12 เมตรระหว่างสองห้องคอนโดสูง จึงดูใกล้จนแทบจะจีบกันได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดหวังเช่นนี้ เราสามารถอาศัยความรู้และความเข้าใจในบ้านเมือง + กฎหมายอาคารเล็กน้อย...แล้วที่ดินข้างตึกเราแบบไหน ที่มีแนวโน้มว่าจะไม่กลายเป็นอาคารสูงขึ้นมาในอนาคต   1. ที่ดินติดแม่น้ำ หรือติดถนน อันนี้ฟันธงได้เลยว่าอนาคตยังไงก็เป็นแม่น้ำหรือถนนวันยังค่ำ และการันตีว่าตึกสูงจะต้องอยู่ห่างจากห้องเราไปอีกฟากถนน + 6 เมตร   2. ที่ดินใกล้เคียงที่ไม่น่าจะมีตึกสูงใกล้ๆ  เช่น โรงพยาบาลดังๆ สวนสาธารณะของรัฐ โรงเรียนหรือวัดที่ปักหลักมั่นคง หรือแม้แต่บ้านมหาเศรษฐี ก็รวมอยู่ในข้อนี้ด้วย แม้ในกรณีนี้อาจจะไม่สามารถรับรองได้ 100% แต่ก็พอจะใช้พิจารณาได้   3. ที่ดินที่มีถนนเล็กกว่า 10 เมตรเข้าถึง เนื่องจากกฎหมายอาคารกำหนดให้อาคารสูง ต้องตั้งอยู่บนที่ดินที่มีถนนกว้างเกิน 10 เมตรเข้าถึง ที่ดินที่ติดถนนเล็กกว่า 10 เมตรจึงสร้างอาคารสูงสุดได้ไม่เกิน 23 เมตร (ประมาณ 7 ชั้น) หากคอนโดของท่านอยู่ติดซอยเล็กๆ แล้วที่ดินด้านข้างหรือด้านหลังติดถนนเล็กกว่า 10 เมตรโดยไม่ติดถนนใหญ่อื่นใด ที่ดินนั้นย่อมไม่มีโอกาสเป็นตึกสูงได้ แต่อย่างไรก็ตาม หากเกิดการรวบที่ดินก้อนนั้นไปติดต่อกับที่ดินอื่นที่ติดถนนกว้างเกิน 10 เมตรได้ ที่ดินนั้นก็จะสามารถสร้างตึกสูงได้เช่นกัน   4. ที่ดินติดตีนสะพาน หรือที่ดินติดทางโค้ง ข้อนี้ก็มาจากข้อกำหนดทางกฎหมายอาคาร เนื่องจากกฎหมายกำหนดว่าอาคารสูงโดยทั่วไปต้องมีที่จอดรถ และอาคารจอดรถห้ามมีทางเข้าออกติดตีนสะพานที่มี ”ความลาดชัน” ใกล้กว่า 50 เมตร (นับจากกึ่งกลางทางเข้าจนถึงจุดเริ่มต้นทางลาด โดยสะพานที่มีความลาดน้อยกว่า 2 ซม.ต่อระยะ 1 เมตร ไม่นับเป็นสะพานที่ต้องทำตามกฎนี้) หรือใกล้ทางโค้งเกินกว่า 20 เมตร (นับจากกึ่งกลางทางเข้าจนถึงจุดเริ่มต้นโค้ง) ที่ดินที่ติดสะพาน และติดทางโค้งทางแยกในระยะดังกล่าวจึงไม่สามารถสร้างอาคารสูงได้ ยกเว้นแต่จะหาทางเชื่อมที่ดินนั้นกับทางเข้าออกทางอื่นๆ ได้คล้ายๆ ข้อ 3 หรือไม่ก็ต้องมีอาคารจอดรถภายในระยะ 200 ม.ในอีกที่ดินอีกผืน ซึ่งยุ่งยากพอตัว   5. ที่ดินที่ผังเมืองกำหนดไว้ว่าห้ามสร้างอาคารสูง กฎหมายผังเมืองมีข้อกำหนดในแต่ละโซนเรื่องขนาดของตึกที่สร้างได้ หากอาคารคอนโดที่ท่านอยู่อาศัยอยู่บนขอบระหว่างผังเมืองโซนสร้างอาคารสูงได้ กับโซนผังเมืองที่ห้ามสร้างอาคารสูง ที่ดินข้างนั้นก็จะห้ามสร้างอาคารสูงโดยปริยาย แต่ข้ออาจจะเป็นกรณีที่หาได้ยากสักหน่อย เพราะโดยทั่วไปผังเมืองจะเปลี่ยนโซนต่อเมื่ออยู่กันคนละบล็อกถนน มิได้ตัดกันระหว่างที่ดิน อีกทั้งผังเมืองจะมีการพิจารณาใหม่เสมอทุก 5 – 10 ปี จึงมีความไม่แน่นอนสูง   6. ที่ดินที่มีขนาดเล็ก เนื่องจากกฎหมายกำหนดระยะร่นต่างๆ ของอาคารสูงไว้ เช่นต้องมีที่ว่างให้รถดับเพลิงวิ่งโดยรอบ 6 เมตร ที่ดินที่มีขนาดเล็กมากๆ (เช่นมีหน้าที่ดินกว้างไม่ถึง 20 เมตร) จึงไม่คุ้มค่าที่จะสร้างเป็นอาคารสูง แต่ข้อนี้มีความไม่แน่ไม่นอนมาก เพราะโครงการอาคารที่จะสร้างใหม่ มักกวาดซื้อที่ดินก้อนเล็กๆรวมแปลงเข้าด้วยกันเป็นที่ดินผืนใหญ่เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าที่ดินผืนเล็กๆ นั้นมีขอบเขตอีกทางเป็นถนน แม่น้ำ หรือโครงการที่ไม่น่าจะเปลี่ยนไปเป็นโครงการอื่น ก็ทำให้มั่นใจได้ว่า ที่ดินนั้นจะไม่กลายเป็นตึกสูงได้มากขึ้น   ที่จริงยังมีอีกหลายกรณียิบย่อย แต่อย่างน้อยหลักการพิจารณาที่ดินว่าจะสร้างอาคารสูงได้หรือไม่ทั้ง 6 ข้อข้างต้น จะช่วยให้ท่านๆ มีหลักการสำหรับคาดเดาสภาพแวดล้อมของคอนโดว่าจะมีอาคารสูงสร้างขึ้นข้างๆ ได้หรือไม่ ความรู้และข้อมูล ช่วยให้เรามองอนาคตได้รอบคอบ และกว้างไกลขึ้นอีกขั้นเสมอ ขอบคุณแหล่งที่มา : https://zmyhome.com/content/ที่ดินแบบไหน-ที่จะไม่กลายเป็นตึกสูงในภายหลัง        
วิธีตรวจสอบที่ดิน และหาราคาประเมิน แบบง่ายๆ แค่คลิ๊กเดียว

วิธีตรวจสอบที่ดิน และหาราคาประเมิน แบบง่ายๆ แค่คลิ๊กเดียว

ยุคนี้จะทำอะไรก็ง่ายแค่คลิ๊กเดียว วิธีตรวจสอบที่ดิน และการหาราคาประเมินก็เช่นเดียวกันค่ะ แค่เปิดเว็บไซต์ค้นหาที่ดินที่เราสนใจจะซื้อ หรือจะเป็นที่ดินของเราอยู่แล้วมาตรวจสอบดูว่าที่ดินตรงนั้นมีขนาดเท่าไร เป็นที่ดินประเภทไหนสามารถนำไปพัฒนาในรูปแบบไหนได้บ้างตามกฎหมายกำหนด และสามารถดูราคาประเมินที่ดินได้ด้วย ที่สำคัญคือสามารถดูได้ทั่วประเทศค่ะ ซึ่งตรงนี้มีประโยชน์มากสำหรับก่อนจะตัดสินใจซื้อที่ดิน หรือจะทำอะไรกับที่ดินก็ตามแต่ ที่สำคัญไม่ต้องเดินทางไปถึงกรมที่ดินเสียเวลาไปเป็นวันแบบสมัยก่อนค่ะ วิธีเช็คที่ดินก็ง่ายมาก ลองทำตามดูทีละข้อนะคะ ขั้นตอนการตรวจสอบที่ดิน 1.เปิดเว็บไซต์กรมที่ดินก็ตรวจสอบที่ดินได้ทันที เลือกจังหวัด อำเภอ ด้านบน หากเรามีฉโนดในมืออยู่แล้วก็ระบุเลขโฉนดลงไปแล้วกดค้นหาได้เลยค่ะ แต่ถ้าในกรณีที่เราสนใจที่ดินผืนไหน หรือแม้กระทั่งคอนโดฯ โครงการไหนก็ลองซูมแผนที่ ไล่หาที่ดินแล้วคลิ๊กตรงที่ดินได้เลยค่ะ จะมีข้อมูลขึ้นมาให้ตามภาพเลย    หาราคาประเมินที่ดินจากกรมธนารักษ์ ในกรณีที่บางที่ดินคลิ๊กขึ้นมาแล้วไม่ได้ระบุราคาประเมินก็ต้องเปิด เว็บไซต์ของกรมธนารักษ์ เราสามารถหาราคาประเมินที่ดินได้จากทั้งเลขที่โฉนด หรือเลขที่ดินก็ได้ค่ะ โดยเอาเลขที่เราได้จากเว็บไซต์กรมที่ดินในข้อที่ 1 มาระบุก็จะได้ราคาประเมินมาค่ะ ซึ่งราคาประเมินที่ได้เป็นเพียงราคาเบื้องต้นเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงมีหลายปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับราคาที่ดิน รวมถึงราคาตัวบ้านและคอนโดตามไปด้วยค่ะ    ตรวจสอบที่ดิน สีผังเมือง ที่ดินแต่ละแปลงย่อมมีข้อกำหนดเอาไว้ค่ะ ว่าสามารถใช้ประโยชน์แบบไหนได้บ้างตามผังเมือง เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย เกิดความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนนั่นเอง 2.ตรวจสอบที่ดิน รายละเอียดการใช้ประโยชน์ ย่อหน้าสุดท้ายของข้อมูลที่ดิน จะระบุเอาไว้ว่าเป็นที่ดินประเภทไหน อย่างในรูปด้านบนนี้เป็นที่ดินประเภท ย.6 ซึ่งที่ดินแต่ละประเภทจะมีข้อกำหนดในการอนุญาตใช้ประโยชน์จากที่ดินได้แตกต่างกัน เช่น ที่ดิน ย.6 อนุญาตให้สร้างที่อยู่อาศัยประเภทอาคารอยู่อาศัยรวม พื้นที่ไม่เกิน 10,000 เมตร ตามเงื่อนไขที่ 3 คือ ตั้งอยู่ริมถนนที่มีเขตทางไม่น้อยกว่า 30 เมตร หรืออยู่ในระยะ 500 เมตร จากสถานีรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน, ไม่อนุญาตให้ใช้ที่ดินในเชิงพาณิชยกรรมพื้นที่เกิน 10,000 ตร.ม. เป็นต้น วิธีตรวจสอบที่ดินแบบดูสีผังเมือง ง่ายๆ เลย คือ เมื่อปักแปลงที่ดินที่เราดูไว้แล้วก็แค่คลิ๊กตรงช่อง เปิด/ปิด ผังเมือง ตรงด้านบน แล้วก็จะกลายเป็นสีผังเมืองขึ้นมา สามารถคลิ๊กดูข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินฯ แต่ละสีได้เลย ซึ่งตามภาพตัวอย่างนี้ ที่ดินที่เราดูเอาไว้เป็นสีน้ำตาล เราก็ไปคลิ๊กตารางทางขวามือที่เป็นสีน้ำตาล ที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก ก็จะมีรายละเอียดทั้งหมดขึ้นให้อ่านแยกกันไปตามสีผังเมือง หรือสามารถเข้าไปรายละเอียดอ่านข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบตารางให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นได้ที่ เว็บไซต์ของสำนักผังเมือง    3.ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายด้านโยธาธิการและผังเมืองเพิ่มเติม  ถ้าอ่านข้อกำหนดจากข้อ 2 แล้วยังไม่เข้าใจ ก็สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องกฏหมายด้านโยธาธิการและผังเมืองได้ที่ เว็บไซต์ของกรมโยธาธิการและผังเมือง สรุปเว็บไซต์ที่สามารถตรวจสอบที่ดิน และราคาประเมิน ได้ฟรี! ระบบค้นหารูปแปลงที่ดิน กรมที่ดิน ค้าหาราคาประเมินจาก กรมธนารักษ์  รายละเอียดข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินจาก สำนักผังเมือง  ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลที่ทำให้เราสามารถทราบข้อมูลเบื้องต้นของที่ดินแต่ละแปลง และยังสามารถรู้ข้อกำหนดที่สามารถสร้างได้กับที่ดินอย่างคร่าวๆ ด้วยค่ะ  
ปัจจัยหลักในการออกแบบบ้านชั้นเดียวสำหรับผู้สูงอายุ

ปัจจัยหลักในการออกแบบบ้านชั้นเดียวสำหรับผู้สูงอายุ

ใครที่กำลังมองหาที่ดินมาสร้างบ้านชั้นเดียว หรือ มีที่ดินครอบครองอยู่ในมือ แล้วกำลังคิดจะสร้างบ้านชั้นเดียวที่รองรับได้ทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และก็ตัวคุณเองที่อายุมากขึ้นเรื่อยๆ ไปตามกาลเวลาก็ได้เวลาอันสมควรที่จะมาดู 5 ปัจจัยหลักในการออกแบบบ้านชั้นเดียวสำหรับผู้สูงอายุแล้ว ว่าควรจัดฟังก์ชันอะไรยังไงบ้างเพื่อตอบโจทย์ความสะดวกสบาย และสามารถรองรับสังคมผู้สูงอายุได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง 1. บ้านชั้นเดียวกับทางเข้าบ้านที่รองรับวีลแชร์ได้ นอกจากบ้านชั้นเดียว ที่เป็นเสมือนหัวใจหลักในการออกแบบบ้านสำหรับผู้ชราแล้ว หลักในการออกแบบบ้านชั้นเดียวเพื่อให้คนชราใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอันดับต้นๆ ก็คือ ทางเดินเข้าออกตัวบ้าน ส่วนนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทุกแบบบ้านชั้นเดียวจะต้องมี เนื่องจากเป็นตัวนำพาคนชราเข้าออกสู่บ้านชั้นเดียว ซึ่งจะแบ่งสองส่วนด้วยกันคือ ทางลาด กับ บันไดทางเข้าบ้าน โดยทางเดินเข้าบ้านทั้งสองทางนี้จะต้องมีราจับตลอดแนว และมีความกว้างมากกว่า 50 ซม. ขึ้นไป และไม่น้อยกว่า 90 ซม. เพื่อรองรับผู้สูงอายุที่นั่งวิลแชร์ได้ รวมไปถึงทางลาดทางลาดต้องมีความลาดชันไม่เกิน  1:12 ตามกฎกระทรวงกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกในอาคาร สำหรับผู้พิการหรือทุพพลภาพ และคนชราพ.ศ. 2548 กำหนด 2.บ้านชั้นเดียวกับประตูทางเข้าบานใหญ่ เมื่อผู้ชราผ่านด่านทางเดินเข้าบ้านได้แล้ว ก็จะพบกับด่านสอง นั่นก็คือประตูทางเข้าบ้าน แน่นอนว่าขนาดของประตูทางเข้าออกบ้านจะต้องมีขนาดกว้างกว่าวีลแชร์หรือมากกว่า 36 นิ้วขึ้นไป ประตูจะต้องใช้แรงผลักเข้าออกง่ายไม่ฝืดเคือง แต่ก็ต้องไม่เบามากเพราะผู้ชราที่เปิดเข้าออกอาจจะลื่นล้มไปกับประตูที่ที่เปิดออกด้วยความรวดเร็วมากได้ ดังนั้นประตูทางเข้าบ้านส่วนใหญ่ของแบบบ้านชั้นเดียวสำหรับคนชรานั้นจึงมักเลือกใช้บานประตูแบบเลื่อนสองตอนที่สามารถจับเกาะและพยุงตัวได้ รวมไปถึงสามารถเปิดช่องทางการเข้าบ้านได้เป็นระยะกว้าง ต้องออกแบบให้ลางเลื่อนนั้นขนาบไปกับพื้นบ้านทางเข้าออกเพื่อป้องกันการสะดุดหกล้ม โดยสามารถดรอปพื้นลงไปเพื่อวางลางเลื่อนได้ 3.บ้านชั้นเดียวกับวัสดุที่ตอบโจทย์ความปลอดภัยและสุขภาพ เมื่อเข้ามาในตัวบ้าน สิ่งแรกที่ผู้ชราจะต้องสัมผัสเมื่ออยู่ในตัวบ้านชั้นเดียวก็คือพื้นบ้าน วัสดุตรงนี้ถ้าอยากจะเน้นความสวยงามด้วยการใช้กระเบื้องแบบขัดมันรับรองว่าไม่ปลอดภัยสำหรับคนชราแน่นอน ดังนั้นการออกแบบบ้านชั้นเดียวสำหรับในส่วนของพื้นจะต้องเน้นพื้นกระเบื้องผิวด้าน ซึ่งสามารถศึกษาวัสดุปูเพื่อนเบื้องต้นได้จาก วัสดุปูพื้นบ้าน กระเบื้องแบบไหน ควรใช้งานกับส่วนใด รวมไปถึงผนังบ้าน เพดาน ก็ควรมีการเคลือบผิวด้วยไวนีล เพื่อการทำความสะอาดที่ง่ายและไม่จำเป็นต้องดูแลรักษาเป็นประจำ ส่วนในเรื่องการตกแต่งบ้านชั้นเดียวที่ประกอบไปด้วย เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค และฝุ่น ตรงนี้ตัดทิ้งไปได้เลย เพื่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น พรม ผ้าม่าน และเฟอร์นิเจอร์แบบลอยต่างๆ ควรเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ขนาดไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป สามารถใช้งานได้แบบไม่ต้องก้มหรือย่อ และควรออกแบบให้บริเวณรอบบ้านมีต้นไม้ใบหญ้าเยอะๆ เพื่อคอยจับฝุ่นที่จะเข้ามาในตัวบ้าน ไม่เพียงแค่นั้นพื้นที่สีเขียวยังช่วยให้บ้านได้รับความร่มรื่นและอากาศบริสุทธิ์อันเป็นที่ชื่นชอบของคนชราด้วย 4.บ้านชั้นเดียวกับห้องนอนที่รองรับความสะดวก สำหรับการออกแบบบ้านชั้นเดียวให้ตอบโจทย์ผู้สูงอายุมากที่สุดต่อมาก็คือการวางตำแหน่งของห้องนอน ควรอยู่ใกล้กับฟังก์ชันอื่นๆ อาทิ ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร หรือ ห้องที่มีการเดินผ่านไปมาของคนภายในบ้าน เพื่อที่ผู้ชราจะสามารถเชื่อมต่อไปใช้งานห้องต่างๆ ได้อย่างสะดวก อีกทั้งคนในบ้านจะได้สามารถดูแลผู้ชราได้อย่างทั่วถึง แต่ทั้งนี้ก็ต้องออกแบบห้องนอนของผู้ชราให้มีความเป็นส่วนตัวไปในตัวด้วย ส่วนใหญ่ Layout ของห้องนอนคนชราจะอยู่บริเวณมุมบ้าน หรือ มุมที่สามารถรับแสงธรรมชาติได้สองด้าน เพื่อเป็นการเปิดห้องให้โล่ง โปร่ง สบาย และสามารถเปิดบานหน้าต่างออกเพื่อรับลมธรรมชาติได้ โดยบานหน้าต่างต้องออกแบบดีไซน์ให้สูงกว่าเอวหรือที่ความสูงประมาณ 1 ฟุต เพื่อป้องกันการพลัดตกลงมาจากห้องนอน ส่วนเตียงไม่ควรมีขอบมุมที่แหลม และไม่จำเป็นต้องสูงมาก ควรวางเข้ามุมเพื่อป้องกันการกลิ้งตกเตียง และต้องเหลือพื้นที่ปลายเตียงและข้างเตียงไว้สำหรับเดินเข้าออกห้องได้อย่างง่ายดายด้วย ซึ่งถ้าจะให้ดีสามารถติดตั้งราวจับตามจุดสำคัญในห้องได้ถ้าห้องมีขนาดกว้างมาก 5.บ้านชั้นเดียวกับห้องน้ำที่ปลอดภัยสำหรับผู้สูงวัย มาที่ส่วนสำคัญส่วนสุดท้ายอย่างห้องน้ำ และเป็นส่วนที่ต้องระมัดระวังที่สุดเพราะผู้สูงอายุจะเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งกับโซนนี้ ดังนั้นห้องน้ำที่ดีควรอยู่บนพื้นที่ที่คนในบ้านเป็นหูเป็นตาด้วยกันได้ โดยแบบแปลนบ้านชั้นเดียวส่วนใหญ่จะออกแบบให้ห้องน้ำอยู่ใกล้กับห้องนอนแต่ไม่อยู่ในห้อง เพื่อป้องกันอันตรายจากอุบัติเหตุ และสามารถเข้าไปช่วยเหลือได้ง่าย ขอบคุณแหล่งที่มา : http://bit.ly/2tql7mY