Tag : LivingProducts

216 ผลลัพธ์
คูโดส ต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่โมเดิร์นลิฟวิ่งไลฟ์สไตล์ ประเดิมป๊อปอัพสโตร์สาขาแรกที่สยามดิสคัฟเวอรี่

คูโดส ต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่โมเดิร์นลิฟวิ่งไลฟ์สไตล์ ประเดิมป๊อปอัพสโตร์สาขาแรกที่สยามดิสคัฟเวอรี่

คูโดส (KUDOS) แบรนด์ผลิตภัณฑ์สำหรับห้องน้ำและห้องครัวสัญชาติไทย จับมือสยามดิสคัฟเวอรี่ เปิดป๊อบอัพสโตร์สุดฮิปแห่งใหม่ใจกลางกรุง ต่อยอดกลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้งแนวอีโค่ ดิจิตอล และยูนิเวอร์แซลดีไซน์ เจาะกลุ่มโมเดิร์นไลฟ์สไตล์ ณ โซน Ecotopia ชั้น 4 สยามดิสคัฟเวอรี่ ดิเอ็กซ์พลอราทอเรี่ยม ด้วยความใส่ใจและมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมือง รวมถึงความเข้าใจในไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่ให้คุณค่าทั้งงานดีไซน์และใส่ใจในคุณภาพของสินค้าไปพร้อมๆ กัน คูโดสจึงเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับการคัดสรรจากสยามดิสคัฟเวอรี่ ให้วางจำหน่ายสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีฟังก์ชั่นและดีไซน์ล้ำสมัย และใส่ใจสิ่งแวดล้อม ในโซน Ecotopia ซึ่งสินค้าทุกชิ้นในEcotopia ต้องผ่านเกณฑ์การคัดเลือกในการเข้ามาวางขาย โดยแต่ละหมวดหมู่ก็มีเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไป นายสันติ ศรีวิชาญกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซี.ไอ.ที. จำกัด และผู้ก่อตั้งแบรนด์คูโดส กล่าวว่า “ปีนี้นับว่าเป็นอีกก้าวที่สำคัญของแบรนด์ผลิตภัณฑ์สำหรับห้องน้ำและห้องครัวสัญชาติไทยอย่างเรา ที่ได้มีโอกาสต่อยอดผลิตภัณฑ์สำหรับห้องน้ำและห้องครัว (Kitchen & Bath) สู่ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมสำหรับบ้านและที่อยู่อาศัย (Living) โดยเราหวังว่าผลิตภัณฑ์ที่เรานำเสนอ จะตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งในแง่ของนวัตกรรม ดีไซน์ และความใส่ใจสิ่งแวดล้อม” ด้วยความใส่ใจสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง คูโดสมีผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมสำหรับคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจทั้งตนเองและสิ่งแวดล้อม อาทิMIST ฝักบัวนวัตกรรมรุ่นล่าสุดที่จะสร้างมิติใหม่แห่งการล้างหน้า ด้วยเทคโนโลยี NanomistTM ออกแบบเพื่อให้น้ำไหลตัดกันทำให้ได้ละอองเบานุ่มละมุน ให้สัมผัสอ่อนโยน เหมาะต่อผิวแพ้ง่าย พร้อมฟังก์ชั่นปรับอุณหภูมิน้ำให้ทำงานเหมาะสมสำหรับผิวหน้า และPUREBLISS ฝักบัวกรองคลอรีน ปกป้องเส้นผมและผิวให้คงความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ พร้อมเทคโนโลยี AtomistTM ที่ให้สายน้ำแรงแต่นุ่มนวล โดยฝักบัวทั้ง 2 รุ่นช่วยประหยัดน้ำได้มากถึง 45%   KUDOS MIST นวัตกรรมฝักบัวใหม่ล่าสุด ละอองน้ำอนุภาคขนาดเล็ก นอกจากนี้ หนึ่งในจุดเด่นของผลิตภัณฑ์คูโดสที่มาวางจำหน่ายในสยามดิสคัฟเวอรี่ ส่วนหนึ่งจะเป็นผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิดUniversal Design เทรนด์ใหม่แห่งการออกแบบเพื่อทุกคนในสังคม  อาทิ CASTA กรรไกรอเนกประสงค์ ที่ส่วนคมของกรรไกรถูกซ่อนไว้ แม้แต่เด็กหรือคนชราก็สามารถใช้ได้อย่างปลอดภัย LINE คัตเตอร์รูปทรงคล้ายเม้าส์ ใช้งานง่าย ใบมีดทำจากเซรามิก วัสดุทนทาน ปลอดภัยแม้กับเด็กและผู้พิการ หรือ NAIL กรรไกรตัดเล็บที่ใช้แรงน้อยที่สุด เหมาะสำหรับเด็กและผู้สูงอายุที่ข้อมืออ่อนแรง ผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด Universal Design อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ทางแบรนด์ภูมิใจนำเสนอ คือ IGLOOHOME ล็อคประตูแบบดิจิตอล เป็นสินค้าใหม่ซึ่งได้เปิดตัวครั้งแรกในประเทศไทย เหมาะสำหรับบ้านและคอนโด เพราะความปลอดภัยในการอยู่อาศัยเป็นเรื่องสำคัญ  โดยล็อคประตูแบบดิจิตอลนี้ ใช้เทคโนโลยีสมาร์ทล็อคระดับโลก ทำงานได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ป้องการการแฮ็คด้วยระบบ Synchronization ซึ่งเป็นระบบที่ธนาคารชั้นนำส่วนใหญ่เลือกใช้ จึงมั่นใจได้ในความปลอดภัยขั้นสูงสุด โดยจะเริ่มต้นวางจำหน่ายเฉพาะที่สยามดิสคัฟเวอรี่ และทางออนไลน์เท่านั้น IGLOOHOME ล็อคประตูแบบดิจิตอล แม้เทรนด์ของผู้บริโภคจะเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว คูโดสยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์แนวแก็ตเจ็ตเพื่อตอบสนองดิจิตอลเทรนด์ ผลิตภัณฑ์อีโค่เพื่อเอาใจผู้รักสิ่งแวดล้อม และผลิตภัณฑ์งานออกแบบเพื่อมวลชน (Universal Design) ให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงและใช้ได้อย่างเท่าเทียมกัน โดยมุ่งหวังที่จะยกระดับงานออกแบบผลิตภัณฑ์โดยฝีมือคนไทย และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมไปพร้อมๆ กัน “สำหรับคูโดส การรักษ์โลก คือ การรักตัวเองไปพร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการประหยัดน้ำ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ก็เพื่อความเป็นอยู่ที่ดี และอนาคตที่ดี สำหรับตัวเราเองและคนที่เรารัก ดังนั้น การใส่ใจสิ่งแวดล้อมไม่ใช่แค่ เทรนด์ เราจึงมุ่งมั่นพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์จากห้องน้ำห้องครัว ให้ครอบคลุมถึง Total Living ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ และที่สำคัญผลิตภัณฑ์ของเราต้องใส่ใจสิ่งแวดล้อมด้วย” นายสันติ กล่าว
แต่งคอนโดเล็กๆ ของคนงบน้อยให้น่าอยู่ แถมมีพื้นที่เก็บของเยอะ

แต่งคอนโดเล็กๆ ของคนงบน้อยให้น่าอยู่ แถมมีพื้นที่เก็บของเยอะ

ในยุคที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด ที่อยู่อาศัยในรูปแบบของ “คอนโดมิเนียม” จึงเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของผู้คนทั่วไป เหตุผลหลักนอกจากจะตั้งอยู่ในทำเลทองซึ่งมักอยู่ติดกับถนนสายหลักที่ช่วยให้การเดินทางสะดวกสบายและประหยัดเวลาแล้ว ผู้อยู่อาศัยยังสามารถออกแบบและตกแต่งห้องให้สวยงามในสไตล์ตัวเองได้ดั่งใจ แม้พื้นที่ห้องจะมีขนาดจำกัดแค่ไหน แต่ก็ยังสามารถเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์แบบมัลติฟังก์ชั่นที่ผสานพื้นที่พักผ่อนกับพื้นที่เก็บของเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว และหากคุณตัดสินใจจะซื้อคอนโดฯ ขนาดเล็กไว้สักห้องหนึ่ง นอกจากการคำนึงถึงรูปแบบของพื้นที่ การเลือกเฟอร์นิเจอร์ก็เป็นเรื่องจำเป็นมาก เพราะเฟอร์นิเจอร์ที่ดีจะต้องแข็งแรง ทนทาน สวยงามและใช้งานได้หลากหลาย วันนี้ Review Your Living จึงขอเสนอไอเดียหลักเพื่อช่วยคุณในการจัดสรรพื้นที่เล็กๆ ให้สามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ รวมถึงการตกแต่งสเปซภายในให้ลงตัวพร้อมอยู่ได้ทันทีมาฝาก ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ที่เราจะพูดถึงในวันนี้ก็คือ Bricko Collection จาก Koncept Furniture ด้วยไอเดียการผสาน Style & Function ไว้ด้วยกัน นอกจากจะได้ความสวย เท่ แล้ว ยังใช้งานได้จริงอย่างแน่นอน จุดเด่นของ Bricko Collection คือเฟอร์นิเจอร์ที่ยืดขนาดพื้นที่ความสุขในคอนโดได้มากขึ้น ด้วยการออกแบบสินค้าทุกชิ้นให้เข้ากับพื้นที่ใช้สอยทั้งแนวราบและแนวดิ่ง ที่สำคัญคือมีขนาดกะทัดรัด เว้นขอบบัว ลงตัวง่ายแม้คอนโดเล็กๆ ซึ่งก็ทำให้ห้องสวยพร้อมตอบโจทย์สไตล์โมเดิร์น ทันสมัย แต่งสวยได้ทุกห้อง เพราะครบครันไปด้วยเฟอร์นิเจอร์สำหรับห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องทานข้าว ซึ่งเทรนด์การตกแต่งที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง คือการตกแต่งในสไตล์ LOFT ด้วยลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ เน้นการโชว์พื้นผิว เช่น ปูนเปลือย อิฐ โครงเหล็ก รวมไปถึงการเดินสายไฟต่างๆ แต่ในบางครั้งโครงสร้างของที่อยู่อาศัย ก็ไม่ได้เอื้ออำนวยให้เราเสมอไป ดังนั้นวิธีแก้คือการหันมาโฟกัสที่เฟอร์นิเจอร์ แทนการไปปรับเปลี่ยนโครงสร้างของตัวอาคาร ด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์ LOFT ที่นำมาฝากกันในวันนี้ค่ะ...     LIVING ROOM  มาเริ่มกันที่มุมแรกกับเป็นมุมรับแขก ในที่นี้ขอแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ มุมโฮมเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ กับมุมโซฟา  เริ่มกันที่มุมโฮมเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ประกอบไปด้วยชั้นวางทีวี (ที่ดีไซน์ให้เป็นตู้เก็บรองเท้าไปด้วยในตัว) และชั้นแขวนด้านบน ที่มีดีไซน์ครอบเบรกเกอร์ ดังนั้นคุณจึงสามารถใช้พื้นที่ผนังได้อย่างเต็มที่ ตอบโจทย์ชีวิตคอนโดถึงแม้จะพื้นที่น้อย ก็มีห้องสวยคุมโทนได้ ชุดวางทีวี บริคโก้ สไตล์ลอฟท์ (Bricko Loft Style) ขนาด 120 x 30 x 230 ซม. สีออทัมบราวน์ ตัด เกรย์โต้ ชั้นวางทีวีด้านบนเป็นชั้นแขวนมีรูร้อยสายไฟ พร้อมด้วยฟังก์ชั่นตู้เก็บของด้านล่างเป็นชั้นวางรองเท้า สามารถวางรองเท้าได้ 16-24 คู่ พร้อมรูระบายอากาศด้านหลัง 4 ช่อง ช่วยเพิ่มพื้นที่จัดเก็บพื้นที่จัดเก็บได้มากขึ้น อีกด้านคือโซฟา มุมพักผ่อนเล็กๆ ที่เอาไว้เอนกาย เหยียดขา เมื่อคุณกลับมาถึงห้อง ซึ่งในมุมนี้ Bricko มีการดีไซน์ที่ผสานความจำเป็นในการใช้งานจริง ไม่ว่าจะเป็น โซฟา ชั้นเก็บของ และโต๊ะทำงาน  พร้อมฟังก์ชั่นการจัดเก็บมากมาย เช่น โซฟามีช่องเก็บของหน้าบานสไลด์ไว้ด้านล่าง โต๊ะทำงานมีรูร้อยสายไฟเพื่อความเป็นระเบียบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังคงความ Loft ไว้ได้อย่างลงตัว กล่องแขวนด้านบนเพิ่มพื่จัดเก็บมากขึ้น ซึ่งมีขนาดกว้าง 160 x ยาว 30 x สูง 60 ซม. เจาะยึดผนังแขวนด้วยไม้ก้อน มีบานเปิดด้วยกัน 4 บาน  ภายในแบ่งเป็นชั้นวางของ 2 ชั้น 8 ช่อง โดยแต่ละชั้นสามารถรองรับน้ำหนักในการวางของได้ 5 กิโลกรัม และยังสามารถเลื่อนปรับระดับได้อีกด้วย โซฟาบริคโก้ ขนาดกว้าง 160 x ยาว 100 x  สูง 90 ซม. โครงสร้างทำมาจากไม้สีโซลิดโอ๊ค ซึ่งเป็นสีไม้อ่อนที่ให้ความรู้สึกธรรมชาติของสีไม้ มีเบาะรองหนา 13 ซม. เป็นเบาะที่ห่อหุ้มด้วยผ้า นุ่มสบาย นอกจากนั้นยังสามารถถอดซักแห้งทำความสะอาดได้อีกด้วย ด้านบนของโซฟาเป็นพื้นปิดผิวสีเดนิม และช่องริมสุดเป็นช่องวางสำหรับวางของอื่นๆ ความพิเศษของโซฟาบริคโก้ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ เพราะด้านล่างของโซฟาเป็นหน้าบานสไลด์ สำหรับเก็บของ 2 บาน มีความลึก 70 ซม. เราสามารถเก็บของได้ไว้ในใต้โซฟานี้ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า, กล่องใส่ของ, หนังสือ หรือจิปาถะอื่นๆ ชั้นแขวนบริคโก้ ขนาดกว้าง 160 x ยาว 20 x สูง 60 ซม. มีส่วนประกอบหลักเป็นเหล็กสีดำ เพิ่มความดิบในแนวสไตล์ลอฟท์มากขึ้น โดยแบ่งชั้นวางของ 4 ชั้น สามารถวางของโชว์ ตุ๊กตา ต้นไม้เล็ก หรืออื่นๆ พร้อมด้วยกล่องแขวนขนาดกว้าง 160 x ยาว 30 x สูง 60 ซม. เจาะยึดผนังแขวนด้วยไม้ก้อน มีบานเปิดด้วยกัน 4 บาน  ภายในแบ่งเป็นชั้นวางของ 2 ชั้น  8 ช่อง ซึ่งแต่ละชั้นสามารถรองรับน้ำหนักในการวางของได้ถึง 5 กิโลกรัม และยังสามารถเลื่อนปรับระดับได้อีกด้วย BEDROOM  ห้องนอน จุดเด่นคือชั้นและตู้เก็บของบริเวณหัวเตียงที่ช่วยเพิ่มพื้นที่การใช้งาน โดยตัวเตียงจะมีลิ้นชักเก็บของบริเวณด้านข้าง ที่สำคัญคือสามารถเลือกติดตั้งได้ทั้งซ้ายหรือขวาตามความชอบ ในส่วนของดีไซน์ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน เพราะมีการหยิบเอาลูกเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ของสไตล์ลอฟท์อย่าง “ปูนเปลือย” มาดีไซน์เป็นหน้าบานลิ้นชักตัดกับโทนสีน้ำตาลเข้มและพื้นผิวของวัสดุในบริเวณอื่น ทำให้สไตล์ลอฟท์ในห้องนอนนี้ ดูโดดเด่นมากขึ้น “ชุดห้องนอนบริคโก้  (Bricko Bedroom Set 6 ชิ้น)” ที่มาพร้อมเตียงนอน 5 ฟุต ขนาดกว้าง 160 x  ยาว 220 x  สูง 90 ซม. โดยโครงสร้างทำมาจากไม้สีออทัมน์ บราวน์ ซึ่งเป็นสีไม้เข้มที่ให้ความรู้สึกธรรมชาติของสีไม้ ส่วนเรื่องรองรับน้ำหนักไม่มีปัญหาเลยค่ะ ไม่ว่าผู้อยู่อาศัยจะตัวเล็กตัวใหญ่ก็สามารถนอนได้สบาย เพราะสามารถรองรับน้ำหนักได้ถึง 800 กิโลกรัมเลยทีเดียวค่ะ นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับฟังก์ชั่นที่เพิ่มพื้นที่จัดเก็บให้กับเรามากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหัวเตียง ที่ปิดผิวด้วยสีเกรย์โต้ ซึ่งเป็นวัสดุปิดผิวสีใหม่ให้ดูคล้ายเหมือนสีปูนเปลือย ซึ่งเป็นสีประจำในแนวสไตล์ลอฟท์ และมีช่องว่างเปล่าๆ อีก 1 ช่องริมสุด ซึ่งเราสามารถวางวางไอแพด วางมือถือได้สะดวกเมื่อตอนเวลาเรานอนอีกด้วย ฟังก์ชั่นของเตียงรุ่นบริคโก้ยังมีความพิเศษอีกอย่างนั่นคือใต้เตียงเป็นลิ้นชัก 2 ช่อง ที่เราสามารถดึงเข้าดึงออก เอาไว้ใส่สิ่งของต่างๆ ได้สารพัดไม่ว่าจะเป็นหนังสือ กล่อง รูปภาพ และอื่นตามแต่ใจ ถือว่าเป็นการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้กับห้องมากยิ่งขึ้น ในส่วนบริเวณด้านข้างนั้นยังมีตู้ข้างเตียง ขนาดกว้าง 160 x  ยาว 220 x  สูง 90 ซม. มีช่องใส่ของด้านบน ถัดลงมาเป็นลิ้นชักเก็บของ ส่วนด้านล่างก็เป็นช่างวางของขนาดใหญ่ ไม่มีผนังหลังสะดวกในการใช้ปลั๊กไฟหรือจะวางหนังสือซ้อนกันเป็นชั้นๆ ก็สะดวกสบายแบบสุดๆ มาพร้อมกับกล่องแขวนด้านบน กว้าง 30 x ยาว 30 x สูง 60 ซม. เป็นชั้นวางของ 2 ชั้น สามารถเลื่อนปรับระดับได้ และชั้นวางของขนาด กว้าง 30 x ยาว 20 x สูง 80 ซม.ที่จะเราสามารถวางของได้สารพัดนึกเลยค่ะ ถัดมาเป็นพื้นที่บริเวณปลายเตียง ซึ่งขอเรียกรวมๆ ว่าเป็นมุมจัดเก็บสำหรับห้องนอน เพราะเฟอร์นิเจอร์ในมุมนี้ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเครื่องแป้งและตู้เสื้อผ้านั้น จะเน้นการดีไซน์ที่โดดเด่นเรื่องฟังก์ชั่นการจัดเก็บที่หลากหลาย เพื่อให้ผู้ใช้ได้จัดเก็บเสื้อผ้า เครื่องประดับ และเครื่องแต่งกายอื่นๆ ในคอนโดของคุณ ให้เป็นสัดส่วนมากยิ่งขึ้นนั่นเอง เรื่องแต่งตัวก็เป็นสิ่งสำคัญ สำหรับคนที่ชอบรักการแต่งตัวเป็นชีวิตจิตใจ ก็ต้องอยากมีไว้ภายในห้อง เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่นชุดบริคโกก็จัดหนักจัดเต็มออกแบบมาตอบสนองความต้องการด้วย “โต๊ะเครื่องแป้งแบบยืนรุ่นบริคโก้” เหมาะสำหรับคอนโดหรือบ้านที่มีพื้นที่จำกัด โดยโครงสร้างเป็นไม้สีออทัมน์ บราวน์ ซึ่งเป็นสีไม้เข้มที่ให้ความรู้สึกธรรมชาติของสีไม้ได้เป็นอย่างดี ด้านบนเป็นกระจกบานใหญ่เอาไว้สำส่องสำหรับแต่งตัว แถมยังมีตะขอแขวนตรงด้านข้าง 2 ตะขอ เราสามารถใช้ไว้สำหรับแขวนสร้อยคอ กุญแจ นาฬิกา ก็ง่ายสะดวกสบาย มีชั้นวางของตรงใต้กระจกสามารถวางของเพิ่มเติมได้ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง น้ำหอม หรืออื่นๆ ส่วนด้านล่างนั้นเป็นราวแขวนผ้า เราสามารถแขวนกางเกง ผ้าขนหนู ผ้าเช็ดหน้า ได้ที่ราวแขวนนี้เลย ก้มลงไปหยิบได้สะดวก แถมด้านหลังไม่มีผนังหลัง เปิดโล่ง เพิ่มความสะดวกในการใช้ปลั๊กไฟ และยังดีไซน์เข้ามุมหลบบัวด้านหลังเพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่ในการจัดวางเฟอร์นิเจอร์มากยิ่งขึ้น DINING CORNER มุมเล็กๆที่คุณสามารถเอาไว้นั่งชิลกับทุกมื้ออาหารของคุณ ตอบโจทย์ความต้องการนี้ด้วย ชุดโต๊ะอาหาร Bricko ที่มีดีไซน์กระทัดรัด สวย จบในเซตเดียว ทั้งลิ้นชักเก็บของด้านข้าง สำหรับเก็บอุปกรณ์ของใช้ กล่องแขวนติดผนังด้านบน และชั้นวางของอเนกประสงค์ สำหรับใช้จัดเก็บหรือวางของตกแต่ง...เรียกได้ว่าสวยเต็มสไตล์เหมาะสำหรับชาวคอนโดอย่างแท้จริง ชุดโต๊ะอาหาร บริคโก้ สไตล์ลอฟท์ (Bricko Loft Style) สีออทัมบราวน์ ตัดสีเกรย์โต้ ประกอบด้วย โต๊ะ 100 ซม., ชั้นแขวน 20 ซม., ชั้นแขวน 80 ซม. และ กล่องแขวน 100 ซม. ทั้งหมดจำนวน 4 ชิ้น โต๊ะอาหารที่พร้อมไปด้วยฟังก์ชั่นมากมาย โต๊ะเพิ่มความเท่บ่งบอกสไตล์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วยส่วนประกอบเหล็กสีดำ 1 ด้าน มีหน้าบานลิ้นชัก เปิดเก็บของด้านใน 2 ชั้น มือจับเป็นเหล็กสีดำ ดีไซน์หลบบัวบ้านด้านหลังเพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่ในการใช้สอยได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งสินค้าชุดนี้เหมาะสำหรับผนังที่มีความสูง 240 ซม. เป็นต้นไป และจำเป็นต้องยึดเกาะผนังด้วยนะคะ ถ้าใครที่ชื่นชอบในสไตล์การตกแต่งห้องแนวลอฟท์ และกำลังหาเฟอร์นิเจอร์ไปจัดวาง โดยเฉพาะห้องขนาดพื้นที่จำกัดที่เน้นประหยัดพื้นที่ แต่ก็ยังมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน  เฟอร์นิเจอร์คอลเลคชั่นใหม่จาก Koncept Furniture ก็นับว่าน่าสนใจและถูกออกแบบมาเพื่อพื้นที่เล็ก เอาใจสาวกลอฟท์ที่อยากแต่งห้องสวย เท่ แต่มีขนาดจำกัดได้เป็นอย่างดี เพราะ  “Bricko Style for Condo” เผยเสน่ห์ดิบเท่ด้วยงานดีไซน์เรียบง่าย ผสานหลากวัสดุ ใช้พื้นที่จัดวางน้อยแต่เพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้มาก นอกจากนี้ยังมีมัณฑนากรหรือเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบตกแต่งห้องประจำแต่ละสาขาด้วย เพียงคุณมีแปลนห้องและรายละเอียดขนาดห้องต่างๆ ก็สามารถปรึกษาและรับการออกแบบได้ฟรี! จะวางเฟอร์นิเจอร์ชิ้นที่สนใจ ตรงไหน ห้องไหน ยังไงดี ก็ลองไปปรึกษาดูนะคะ ถือว่าครบชุดและคุ้มค่ากับราคาจริงๆ ค่ะ สำหรับเฟอร์นิเจอร์ที่เราเลือกมาแนะนำในวันนี้ เพราะนอกจากจะตกแต่งได้ง่าย เลือกขนาดได้ตามใจ สามารถประกอบเข้าชุดกับตัวอื่นๆ ในคอลเลคชั่นเดียวกันได้อย่างสะดวก รวดเร็วแล้ว ยังมีความสวยเท่ ทันสมัย และมีสไตล์ในแบบลอฟท์ได้ดีทีเดียว หากอยากรู้จักเฟอร์นิเจอร์ Bricko Collection มากขึ้น หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่ https://goo.gl/75Ljpv
คิดจะเปลี่ยนแบบห้องน้ำใหม่ให้สวยและปลอดภัย เริ่มต้นง่ายๆ ที่ HomePro

คิดจะเปลี่ยนแบบห้องน้ำใหม่ให้สวยและปลอดภัย เริ่มต้นง่ายๆ ที่ HomePro

ส่วนประกอบในการสร้างบ้านสักหลังหนึ่งให้ออกมาสวยงามและสมบูรณ์แบบ นอกจากการออกแบบลักษณะการใช้งานให้ผู้อยู่อาศัยสามารถใช้สอยพื้นที่ได้อย่างคุ้มค่าแล้ว การเลือกใช้วัสดุที่ดีก็ย่อมทำให้บ้านดูแข็งแรงทนทานมากขึ้น โดยเฉพาะกับ ‘ห้องน้ำ’ สิ่งอำนวยความสะดวกที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของทุกคนตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน นับว่าเป็นห้องที่มีความสำคัญอีกห้องหนึ่ง ดังนั้นการออกแบบตกแต่งให้สวยงามน่าใช้งานจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น สำหรับคนที่กำลังอยากปรับปรุงห้องน้ำใหม่ หรือสร้างบ้านใกล้จะสำเร็จเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว งานโครงสร้างหลักของบ้านเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเกือบเสร็จสมบูรณ์ เหลือเพียงขั้นตอนส่วนตกแต่งจิปาถะต่างๆ ในห้องน้ำที่แม้จะเป็นงานที่ดูยิบย่อย หากใครคิดจะเปลี่ยนห้องน้ำใหม่แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ไม่ควรพลาดขั้นตอนเหล่านี้.. หา Reference แบบห้องน้ำตัวอย่าง ขั้นตอนแรกเริ่มด้วยการค้นหาแบบห้องน้ำตัวอย่าง รูปภาพ reference ห้องน้ำสไตล์ที่ชื่นชอบให้ตรงใจมากที่สุด ซึ่งแหล่งค้นหาภาพห้องน้ำสวยๆ มีหลากหลายช่องทางจาก Google, Pinterest, instagram และภาพจากนิตยสารเกี่ยวกับบ้าน รวมทั้ง ภาพถ่ายจากห้องน้ำ, โรงแรม หรือรีสอร์ท ที่ชื่นชอบ เป็นต้น เมื่อได้แนวทางแบบห้องน้ำที่ต้องการแล้ว ขั้นตอนต่อไปแนะนำให้ลองไปเดินเลือกดูผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกระเบื้อง, สุขภัณฑ์ หรือวัสดุ โดยเฉพาะกระเบื้องที่มีให้เลือกหลากหลาย ลองเลือกมาจับคู่กันและจินตนาการถึงภาพตอนจัดวางเสร็จแล้ว ปูทั้งห้องจะเป็นอย่างไร โทนสีเป็นแบบไหน หรืออยากใช้ลวดลายไหนบ้าง ซึ่งการที่คุณได้เห็นวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้งานภายในห้องน้ำของจริง ก่อนจะตัดสินใจซื้อสินค้าและติดตั้ง ย่อมดีกว่าอยู่แล้วค่ะ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบห้องน้ำก่อน กระเบื้องและสุขภัณฑ์เป็นหนึ่งในวัสดุสำคัญภายในห้องน้ำ ทั้งด้านการใช้งานและเพิ่มความสวยงามอย่างมีสไตล์และมีสีสันที่ไม่จำเจ การจะเลือกวัสดุสักชิ้นจึงต้องใส่ใจและ “รู้” ถึงความชอบและความต้องการของเราก่อน ซึ่งการออกแบบที่ดีคือจุดเริ่มต้นให้งานทั้งหมดประกอบเสร็จเป็นรูปร่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งทาง HomePro ก็ได้ให้ความสำคัญกับลูกค้า จึงมีทีม Home Service นักออกแบบผู้เชี่ยวชาญ คอยให้คำปรึกษาและออกแบบห้องน้ำสวยให้ลูกค้าประจำแต่ละสาขา โดยมีประสบการณ์มาอย่างต่อเนื่อง ใครที่สนใจอยากให้ทางผู้เชี่ยวชาญออกแบบห้องน้ำให้ ก็เพียงนำแปลนห้องน้ำ หรือบอกความต้องการของตัวเองไปโดยเจ้าหน้าที่จะทำแบบห้องน้ำขึ้นมาให้ดู พร้อมทั้งตำแหน่งการวาง สุขภัณฑ์ เคาน์เตอร์ ต่างๆ ลายกระเบื้องที่สวยงามเข้ากับห้องน้ำโดยคำนึงถึงความปลอดภัยมาให้แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาหรือปวดหัวกับการค้นหาแบบและเลือกกระเบื้องกันลื่นเองเลยค่ะ แบบห้องน้ำจะสวย ต้องเลือกวัสดุอย่างพิถีพิถัน เมื่อได้แบบห้องน้ำสวยๆ แล้ว การเลือกวัสดุที่จะใช้ในการทำห้องน้ำ ไม่ว่าจะเป็นกระเบื้องหรือสุขภัณฑ์ จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องคุณภาพและความน่าเชื่อถือของสินค้าด้วย เพราะบางครั้งห้องน้ำถูกออกแบบมาสวยงาม แต่เลือกสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพก็จะมีผลต่อการใช้งาน เช่น ถ้ากระเบื้องไม่ได้ฉากหรือมุมเมื่อปูออกมาแล้วร่องยาแนวอาจจะเบี้ยวได้ เป็นต้น เลือกผู้รับเหมา โดยดูที่ผลงานแบบห้องน้ำมากกว่าค่าจ้างถูก สิ่งสำคัญในการทำห้องน้ำใหม่คือการเลือกช่างติดตั้ง เพราะงานปรับปรุงห้องน้ำเป็นส่วนงานที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นการปูพื้นหรือผนัง, งานระบบประปา, งานเดินสายไฟ ซึ่งถ้าเราไม่จ้างผู้รับเหมาที่มีคุณภาพเพราะคิดว่าแพง แต่กลับไปจ้างช่างราคาถูกที่ไม่ได้เก่งด้านนี้ ก็จะส่งผลทำให้เกิดปัญหาทำห้องน้ำผิดแบบจนต้องทุบทิ้งหรือรื้อทำใหม่ หรือมีปัญหาเพิ่มเติมในภายหลังได้ ก่อเกิดการสิ้นเปลืองงบประมาณจนบานปลาย รวมทั้งอาจส่งผลให้เกิดปัญหาจุกจิกไม่จบไม่สิ้น เพราะฉะนั้นการเลือกช่างฝีมือที่มีความเชี่ยวชาญจริงๆ มีความสำคัญมากกว่าการเลือกช่างที่เห็นว่าราคาถูกค่ะ ซึ่งควรดูผลงานที่ผ่านมาของช่างด้วยนะคะ ใครที่คิดจะทำห้องน้ำใหม่ การเริ่มต้นที่ดีและถูกต้องโดยอาศัยผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงทำไปทีละขั้นตอนอย่างเป็นสเต็ป นอกจากช่วยลดปัญหาจุกจิกจิกที่อาจจะตามมาภายหลัง ยังได้ห้องน้ำสวยตรงใจปลอดภัยไร้กังวล หากไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง แนะนำให้ลองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญการออกแบบห้องน้ำที่ HomePro ได้ทุกวันค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : 0-2831-6000 หรือ Home Pro บทความอื่นๆ เกี่ยวกับแบบห้องน้ำ 10 ปัญหาห้องน้ำที่แก้ได้ 5 ขั้นตอนในการวางแผนปรับปรุงห้องน้ำ อย่างมืออาชีพ 10 วิธีดับกลิ่นฉุนปัสสาวะในห้องน้ำ
ชี้เป้าเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านสไตล์อินดัสเทรียล

ชี้เป้าเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านสไตล์อินดัสเทรียล

หลายคนอาจจะคุ้นหูคุ้นตากับคำว่า “ลอฟต์” ใช่ไหมคะ? เพราะเป็นกระแสฮิตที่ไม่ว่าบ้านไหนก็ต้องหาทางฉาบปูนเปลือยให้สวยกันอยู่พักใหญ่ แต่สไตล์ลอฟต์และอินดัสเทรียลมีส่วนคล้ายกันในเรื่องการใช้งานสถาปัตยกรรมให้เป็นประโยชน์ ซึ่งมีความต่างในรายละเอียดบางอย่าง สไตล์อินดัสเทรียลต้องมีโครงสร้างของสถาปัตยกรรมที่เก็บไว้ในรูปแบบเดิม เช่น โกดังเก่า หรืออาคารที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่ มีการตกแต่งเลียนแบบโรงงานเก่า ใช้วัสดุขึ้นสนิมที่ดูผ่านกาลเวลามานาน และเฟอร์นิเจอร์ที่ย้อนยุคไปช่วงปี 1950 ซึ่งถือเป็นการตกแต่งที่ทันสมัย และเก๋ที่สุดในยุคนั้น ให้ความรู้สึกขัดแย้งกับความเก่าของตัวอาคาร ส่วนสไตล์ลอฟต์ต้องมีฝ้าเพดานสูง ดูเท่ นิ่ง และเรียบง่าย มีรายละเอียดการตกแต่งของสไตล์โมเดิร์นมาประกอบมากกว่า   วันนี้เราเลยขอเอาใจคนชอบแต่งบ้านแนวเข้มๆ เท่ๆ กับสไตล์ อินดัสเทรียล ที่โชว์ความดิบของพื้นผิววัสดุที่แท้จริง โดยเน้นการใช้วัสดุอย่าง ปูน อิฐ และเหล็กเป็นหลัก ให้บรรยากาศเหมือนโรงงานเก่า เปิดให้เห็นการเดินท่อ และเส้นสายไฟอย่างไม่มีอะไรมาบดบัง ถือเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจของการตกแต่งสไตล์นี้ ซึ่งการตกแต่งสไตล์อินดัสเทรียลนี้ถือว่าได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากการตกแต่ง พื้น ผนังและฝ้าให้ดูดิบแบบอินดัสเทรียลแล้ว การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ก็มีส่วนช่วยเพิ่มบรรยากาศให้สมจริงมากขึ้นอีกด้วย เราจึงมีเฟอร์นิเจอร์แต่งบ้านสวยๆ จาก คลีเช โฮม (Cliché Home) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์แนวไลฟ์สไตล์นำเข้าจากต่างประเทศโดย SB Design Square โดดเด่นด้วยเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านแบบอเมริกันสไตล์ ซึ่งเป็นงานดีไซน์ลูกผสมระหว่างอินดัสเทรียลและเรโทร เน้นการใช้วัสดุที่โชว์ผิวสัมผัสแท้ เช่น ไม้จริง เหล็กสีสนิม และงานโลหะต่างๆ เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นไม้จริงในสีเอิร์ธโทน สะท้อนความแข็งแกร่งแฝงความอบอุ่น เหมาะสำหรับนำไปตกแต่งบ้าน หรือออฟฟิศเพื่อจะได้มีที่ทำงานดีไซน์เท่ไม่เหมือนใครมาแนะนำกันค่ะ.. 1. โซฟาหนัง เริ่มต้นกันที่โซฟาหนังแท้ตัวยาว 3 ที่นั่ง รุ่น Alger สไตล์อินดัสเทรียลลอฟท์ ที่ผสมผสานระหว่างอเมริกันเรโทรกับอินดัสเทรียล มีกลิ่นอายความเก่าแต่เก๋า พร้อมอายุการใช้งานยาวนาน ข้อดีคือดูแลรักษาง่ายไม่เก็บฝุ่นและไม่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ โดดเด่นด้วยลายธงชาติอังกฤษผลิตจากหนังสังเคราะห์คุณภาพสูง ใครอยากแต่งบ้านสไตล์นี้ รับรองว่าแค่จับโซฟาตัวนี้เข้าไปวางไว้กลางห้องนั่งเล่น ก็ดูโดดเด่นไม่ซ้ำใครแล้วค่ะ   2. ชั้นวางของ ให้ห้องนั่งเล่นสวยจนใครๆ ก็รู้สึก...ต้องมีชั้นวางของรุ่น Alarico ไปจัดวางในห้องนั่งเล่นสักชิ้น เพื่อช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้งานตกแต่ง ให้คุณได้มีพื้นที่จัดเก็บเพิ่มมากขึ้น ใช้งานได้หลากหลาย ไม่ว่าจะใช้เป็นตู้เก็บหนังสือ ตู้เก็บของทั่วไป เพิ่มพื้นที่จัดเก็บให้บ้านของคุณดูมีระเบียบมากขึ้น แถมมีเสน่ห์สวยงามในสไตล์อินดัสเทรียลด้วย 3. โต๊ะกลาง เสริมเสน่ห์ให้มุมนั่งเล่นง่ายๆ ด้วยกล่องอเนกประสงค์ (หีบเก็บของ) รุ่น KC-FU-1700 ที่มีกลิ่นอายสไตล์อินดัสเทรียลลอฟท์ ผสมผสานระหว่างอเมริกันเรโทรกับอินดัสเทรียล ใช้เก็บของทั่วไป ใช้งานได้สะดวกสบาย เพิ่มพื้นที่จัดเก็บให้มีระเบียบมากขึ้น แถมยังสะดุดตาด้วยนะเออ 4. โต๊ะทานอาหาร เติมบรรยากาศอบอุ่นให้มุมทานข้าว เริ่มต้นง่ายๆ โดยลองใช้สีเอิร์ทโทนเป็นสีหลักของห้อง เสริมโต๊ะรับประทานอาหารท๊อปไม้ Cleaf ขนาด 6-8 ที่นั่ง รุ่น Marc นำเข้าจากประเทศอิตาลี ให้ผิวสัมผัสดุจไม้จริง แข็งแรง ทนทาน สะท้อนความโอ่อ่า แล้วจัดวางเก้าอี้รับประทานอาหารโครงเหล็กสีสนิมล้อมรอบ ก็ช่วยเสริมความดิบเท่แบบอินดัสเทรียลมากขึ้นไปอีก 5. เตียงนอน แต่งห้องนอนให้สวยเท่ไปด้วยเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านสไตล์อเมริกัน ช่วยเพิ่มอุณหภูมิความอบอุ่นให้หลับฝันดีตลอดคืน กับเตียงนอน 6 ฟุต รุ่น Woodwild  นำเข้าจากประเทศอิตาลี ให้ผิวสัมผัสดุจไม้จริง แข็งแรง ทนทาน ดีไซน์ทันสมัย ระบบโครงสร้างเตียง Firm Structure System ที่ยึดโครงสร้างเตียง 12 จุด ไม่เกิดเสียงดังรบกวนเวลานอน รองรับน้ำหนักได้ 800 ถึง 1000 กิโลกรัม แถมยังป้องกันฝุ่นใต้เตียงได้อีกด้วย ใครที่ชอบสไตล์อินดัสเทรียลเป็นทุนเดิมแต่เป็นภูมิแพ้ กลัวระคายเคืองจากวัสดุ คงต้องเปลี่ยนใจแล้วล่ะ สำหรับใครที่ชื่นชอบการแต่งบ้าน ที่เน้นโชว์ผิวสัมผัสของวัสดุที่ปราศจากการปรุงแต่งอย่าง ไม้จริง ผ้ากระสอบ หนังแท้ ฯลฯ การแต่งบ้านสไตล์เท่ๆ ที่ให้ลุคอบอุ่นในสีเอิร์ธโทน น่าจะเป็นอีกหนึ่งสไตล์การแต่งบ้านที่น่าสนใจ และสะท้อนไลฟ์สไตล์ของคุณได้เป็นอย่างดี สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเลือกเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านดีไซน์สวยสไตล์อินดัสเทรียล ไปแต่งบ้านได้ที่ร้าน คลีเช โฮม (Cliché Home) By SB Design Square ทุกสาขา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02-115-0555 หรือ www.sbdesignsquare.com/
ไทวัสดุ เขย่าตลาดวัสดุก่อสร้างปลายปี ทุ่ม 600 ล้านผุดสาขาที่ 43 บนถนนชัยพฤกษ์

ไทวัสดุ เขย่าตลาดวัสดุก่อสร้างปลายปี ทุ่ม 600 ล้านผุดสาขาที่ 43 บนถนนชัยพฤกษ์

ไทวัสดุ ศูนย์รวมสินค้าบ้านของคนไทย เดินหน้าตอกย้ำผู้นำของตกแต่งบ้าน และ วัสดุก่อสร้าง ทุ่มเงินลงทุนกว่า 600 ล้านบาท เปิดสาขาที่ 43 บนถนนชัยพฤกษ์ หวังดูดลูกค้ากว่า 400,000 ครัวเรือนในรัศมี 10 กิโลเมตร ด้วยดีไซน์รูปแบบอาคารใหม่ และติดแอร์ทั้งศูนย์เพิ่มความสบายให้ลูกค้า บนพื้นที่ 17,000 ตารางเมตร ตอกย้ำสโลแกน “ครบเรื่องบ้าน ถูกและดี” นายสุทธิสาร  จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด  ผู้ดำเนินธุรกิจร้านค้าปลีก  ไทวัสดุ ,โฮมเวิร์ค และบ้าน  แอนด์ บียอนด์ ในกลุ่มเซ็นทรัล เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีกำหนดเปิดร้านไทวัสดุ สาขาชัยพฤกษ์ เป็นสาขาที่ 43 บนพื้นที่ 17,000 ตารางเมตร ในวันศุกร์ที่ 1 ธันวาคม 2560 และสาขานี้จะเป็นศูนย์รวมสินค้าบ้านที่ใหญ่ที่สุด และมีสินค้าครบที่สุดบนถนนราชพฤกษ์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าเจ้าของบ้านรวมทั้งกลุ่มผู้รับเหมา ในรัศมี 10 กิโลเมตร ซึ่งจากการสำรวจพบว่ามีจำนวนบ้านมากกว่า 430,000 ครัวเรือน และมีโครงการที่กำลังเกิดขึ้นใหม่อีกมากกว่า 30 โครงการ ขณะเดียวกัน ยังได้มองไปถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในอนาคตที่จะเกิดขึ้นตามแนวถนนที่จะขยายไปเชื่อมกับถนนวงแหวนตะวันตก   สำหรับสาขานี้ ได้ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 19 ไร่ ใกล้จุดตัดถนนราชพฤษ์ และถนนชัยพฤกษ์ ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนาโครงการก่อสร้างถนนต่อเชื่อมถนนราชพฤกษ์ – ถนนกาญจนาภิเษก (แนวเหนือ – ใต้) ต่อไปอีก ทำให้มีการผุดโครงการหมู่บ้านต่างๆ ตามแนวถนนในอีกหลายๆ โครงการ อีกทั้งยังทำให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าได้อีกเป็นจำนวนมาก ทั้งทางด้านถนนวงแหวน ถนนชัยพฤษ์-ราชพฤกษ์ ลูกค้าตอนเหนือของจังหวัดปทุมธานี และฝั่งตะวันออก-ตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งคาดว่า สาขานี้จะทำยอดขายได้ไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาทต่อปี “ไทวัสดุ สาขาชัยพฤกษ์จะเป็นสาขาต้นแบบ เพราะเราDesign รูปแบบอาคารใหม่ และติดเครื่องปรับอากาศภายในทั้งศูนย์ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในเลือกซื้อสินค้า ด้วยสโลแกน  “ศูนย์รวมสินค้าบ้านของคนไทย” โดยเน้นความครบของสินค้า มีครบทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เครื่องมือช่าง, มีการจัดเรียงสินค้าที่สวย ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อ เช่น สินค้าตกแต่ง กระเบื้องปูพื้น-ผนัง สุขภัณฑ์ ห้องครัว และยิ่งไปกว่านั้นเรามีครบด้วย Complete Kitchen Solution อาทิ ครัวปูน พร้อมบริการออกแบบ3D Design ฟรี, เฟอร์นิเจอร์ชุดครัวในรูปแบบ Complete set หรือ DIY Kitchen ที่ลูกค้าสามารถเลือก Mix&Match ชุดครัวได้เอง และชุดครัวสำเร็จ/ตู้กับข้าว ที่ลูกค้าสามารถยกไปวางได้เลย นอกจากนี้ พิเศษยิ่งขึ้นด้วย Contractor Gallery ที่ทำให้ลูกค้าเห็นตัวอย่างการใช้งานหรือติดตั้งจริงของวัสดุต่าง ๆ อีกด้วย ในส่วนของบริการ Home service เรามีทีมช่างที่ให้บริการติดตั้งและซ่อมแซมแก่ลูกค้า มั่นใจ ได้มาตรฐาน ตอบโจทย์ทุกปัญหาบ้าน ด้วยทีมช่างมืออาชีพ เพื่อตอกย้ำสโลแกน ครบเรื่องบ้าน  ถูกและดี” นายสุทธิสาร กล่าว นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มีการทำโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นยอดขาย ในสาขาใหม่ด้วย โดย 5 วันแรกของการเปิดสาขา คือวันที่ 1-5 ธันวาคม 2560 เพียงกด Like facebook thaiwatsadu fan page และ Share Location ไทวัสดุสาขาชัยพฤกษ์เปิดแล้ว! แจกฟรีบัตรกำนัลเงินสด มูลค่า 500 บาท  จำกัด 100 ท่านแรกต่อวัน (เริ่มแจกเวลา 08.00 น.บัตรกำนัลเงินสด 500 บาท ซื้อครบ 1,000 บาทขึ้นไป จึงใช้เป็นส่วนลดได้) และเมื่อสมัครสมาชิก The1Card  รับฟรี!!เสื้อยืดไทวัสดุ จำนวนจำกัด หมดแล้วหมดเลย (เฉพาะการสมัครสมาชิกใหม่) ขณะเดียวกัน ยังมีแคมเปญรับของสมนาคุณฟรี ในระหว่างวันที่ 1-28 ธันวาคม 2560 อีกมากมาย อาทิ ช้อปครบรับฟรี ช้อปครบทุก 3,000 บาท  รับฟรี คูปองส่วนลด 300 บาท, รับเพิ่ม เมื่อช้อปครบทุก 30,000-59,999 บาท  รับฟรี เตาแม่เหล็กไฟฟ้า SHARP มูลค่า 2,290 บาท, รับเพิ่ม เมื่อช้อปครบ 60,000-99,999 บาท  กล้องติดรถยนต์ 4,200 บาท, รับเพิ่ม เมื่อช้อปครบ 100,000-299,999 บาท  บัตรกำนัลทองคำ หรือบัตรกำนัลเงินสด มูลค่า 5,000 บาท, รับเพิ่ม เมื่อช้อปครบ 300,000 บาทขึ้นไป  บัตรกำนัลทองคำ หรือบัตรกำนัลเงินสด มูลค่า 20,000 บาท และโปรโมชั่นพิเศษ เมื่อซื้อกลุ่มอิฐ ปูน เหล็ก ทุก 10,000 บาท รับฟรี คูปองส่วนลด 1,000 บาท  (ระหว่างวันที่ 1-8 ธันวาคม 2560) รับเพิ่ม เมื่อซื้อครบ 100,000-199,999 บาท รับบัตรกำนัลเงินสด 3,000 บาท, รับเพิ่ม เมื่อซื้อครบ 200,000-399,999 บาท รับบัตรกำนัลเงินสด 7,000 บาท, รับเพิ่ม เมื่อซื้อครบ 400,000 บาทขึ้นไป รับบัตรกำนัลเงินสด 15,000 บาท พิเศษ! สมาชิกที่มียอดซื้อสูงสุด  รับฟรี LED TV 55 นิ้ว  (1-28 ธ.ค 60) ซึ่งรายละเอียดโปรโมชั่นของสาขาพระราม 2 สามารถติดตามได้ใน www.thaiwatsadu.com หรือสอบถามได้ที่สาขาโดยตรง
3 เฟอร์นิเจอร์แบรนด์ไทย แต่งบ้านเก๋ แถมรักษ์โลกด้วย

3 เฟอร์นิเจอร์แบรนด์ไทย แต่งบ้านเก๋ แถมรักษ์โลกด้วย

เพราะหัวใจของการอยู่อาศัยอย่างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมนั้นอยู่ที่ความพอดี ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคพลังงาน การไม่ก่อมลพิษที่จะทำร้ายทำลายตนเองและสิ่งแวดล้อม รวมถึงความพอดีในการลงทุนเพื่อทำให้บ้านของคุณ "เขียว" ขึ้น ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ บิลค่าน้ำ ค่าไฟ ที่เรียกเก็บอยู่ทุกเดือน สารเคมีที่คุณใช้ หรือปริมาณขยะในถังที่คุณต้องเททิ้งอยู่ทุกวันนั่นเอง ซึ่งความจริงอีกประการหนึ่งที่เราต้องยอมรับก็คือ บนโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ การที่บ้านจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้นั้น ย่อมจะต้องอาศัยการลงทุนลงแรงเช่นกัน แนวคิดพื้นฐานในการปรับปรุงบ้านให้เป็นมิตรต่อผู้อยู่และไม่ทำร้ายสภาพแวดล้อมนั้น คือการหาจุดสมดุลระหว่างความสามารถในการลดการบริโภคพลังงาน ลดมลพิษ ไม่ขัดกับวิถีชีวิต และเป็นมิตรต่อเงินในกระเป๋าด้วย โดยเรื่องเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่เราสามารถบริหารจัดการได้ หากเราวางแผนตั้งแต่ต้น คิดทุกอย่างตั้งแต่การออกแบบ การกำหนดทิศทางของบ้าน การคัดสรรวัสดุ และการเลือกซื้อของมาใช้สอยในบ้านให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้น เริ่มต้นง่ายๆ เพียงแค่เลือกเฟอร์นิเจอร์ หากเอ่ยคำว่า ‘เฟอร์นิเจอร์รักษ์โลก’ คุณคิดถึงอะไร? ภาพแรกที่คุณคิดคือโต๊ะหรือเก้าอี้จากเศษวัสดุเหลือใช้ ดีไซน์ในรูปแบบเดิมๆ กันอยู่หรือเปล่า? วันนี้เราจะทำให้คุณลบภาพเหล่านั้นทิ้งไป เพราะปัจจุบันมีแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ในคอนเซ็ปต์รักษ์โลกมากมาย ที่สำคัญคือเป็นฝีมือดีไซเนอร์ไทย ที่ไม่เพียงแต่ออกแบบเพื่อความสวยงามเท่านั้นแต่ยังช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าและรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย อยากรู้แล้วใช่ไหมล่ะคะว่ามีแบรนด์อะไรกันบ้าง ตามไปดูพร้อมๆ กันเลยค่ะ 1. Many go Round เฟอร์นิเจอร์ไม้ดีไซน์น่ารัก ขนาดเล็กกะทัดรัดที่เกิดจากความคุ้นเคยในสิ่งรอบๆ ตัว ของเจ้าของแบรนด์และพาร์ทเนอร์อีก 2 คน ที่หยิบยกแม่พิมพ์พลาสติกซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้จากในโรงงาน มาออกแบบให้เป็นเฟอร์นิเจอร์โดยผ่านกระบวนการรีไซเคิล ผสมผสานกับการใช้เยื่อไม้ซึ่งเป็นขี้เลื่อยมาผสมผสานกับพลาสติกประมาณ 30% เพื่อลดปริมาณการใช้ปิโตเลียม ผ่านกระบวนการรีไซเคิลจนออกมาเป็น ชิ้นส่วนรูปทรงคล้ายถาด และกล่อง แล้วจึงเติมสีสันให้ดูน่าสนใจ เมื่อผ่านขั้นตอนรีไซเคิลจนได้ชิ้นส่วนหลักของผลิตภัณฑ์แล้ว ดีไซเนอร์จึงนำความแข็งแรงของแม่พิมพ์เก่า ที่มีอยู่เดิมมาผสมผสานปรับปรุงโดยใช้วัสดุที่เป็นพลาสติกผสมเยื่อไม้มาประกอบกับโครงสร้างไม้ยางพารา ซึ่ง ปลูกภายในประเทศและมีราคาย่อมเยาว์ ออกแบบให้มีน้ำหนักเบา ดีไซน์สไตล์มินิมอลที่เรียบง่าย แฝงไปด้วยฟังก์ชั่นเก็บของเพื่อช่วยประหยัดพื้นที่ เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนเมืองในปัจจุบัน มีให้เลือก 2 แบบ คือ เก้าอี้สตูล และโต๊ะข้าง 2 ขนาด โดยมีเอกลักษณ์ที่ลวดลายไม้และผิวสัมผัสของวัสดุหลักอย่าง Wood composite plastic เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นวัสดุที่ลงตัวระหว่างฟังก์ชั่นความแข็งแรง ความสวยงามของผงไม้และเยื่อไม้ที่ผสมอยู่กับพลาสติก และยังสามารถรีไซเคิลได้ 100% อีกด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ :  www.manygoround.com  หรือโทร. 086-365-9716 2. THAS ผลิตภัณฑ์ Eco จากไม้คอร์กที่ใช้ไอเดียจากหลายเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกับการออกแบบมาปรุงรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดตามหลักวิทยาศาสตร์ในเรื่องของแรงโน้มถ่วง หรือกฎของนิวตันมาเป็นตัวแปรสำคัญ ในการนำไม้คอร์กที่มีความอ่อนตัวมาบิดดัดให้อยู่ตัวและคงรูป โดยใช้กระบวนการ อัพไซเคิล (Upcycle) ซึ่งเป็นคำประสมของคำว่าอัพเกรด (upgrade) รวมกับคำว่า รีไซคลิ่ง (Recycling) เข้ามาข้องเกี่ยวในส่วนของการผลิต ซึ่งจุดเด่นของแบรนด์เราคือกระบวนการอัพไซเคิล โดยนำเศษวัสดุเหลือใช้ กลับมาทำเป็นของใช้ใหม่ให้มีมูลค่ามากขึ้น โดยไม่ต้องใช้พลังงานและกระบวนการทางเคมีใดๆ ซึ่งจะแตกต่างจากการรีไซเคิล ที่นำสิ่งที่ไม่สามารถใช้ซ้ำได้แล้วไปเข้ากระบวนการแปรรูปให้เป็นวัตถุดิบ โดยใช้วิธีหลอมรวมกันเพื่อนำกลับมาใช้ใหม่ จึงทำให้คุณภาพหรือมูลค่าของสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ด้อยกว่าของเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังคิดต่อยอดที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดูน่าสนใจ ด้วยการเติมคุณสมบัติให้กับไม้ชนิดนี้ โดยออกแบบให้เป็นบอร์ดแปะข้อความต่างๆ ซึ่งออกแบบลวดลายโดยสร้างบล็อกพิมพ์ขึ้นมาเองจากนั้นจึงกดพิมพ์ลงไปด้วยมือ แทนการพิมพ์แบบอิงค์เจ็ทเพราะต้องการคงพื้นผิวของเนื้อไม้เอาไว้ และยังช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าอีกด้วย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.facebook.com/thasofficial/ หรือโทร. 088-293-9646 3. e-LITE solar jar ขวดโหลโคมไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ ที่เกิดจากความมุ่งมั่นของ เจ้าของแบรนด์และพาร์ทเนอร์ชาวแอฟริกาอีกหนึ่งคน ซึ่งต้องการฉีกรูปดีไซน์โคมไฟตั้งโต๊ะรูปแบบเดิมๆ ผ่านนำเสนอความคิดแปลกใหม่ในแบบฉบับของตนเอง  โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ที่แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและยังสร้างความสวยงามให้กับบ้านดีไซน์แสนน่ารัก เหมาะการนำไปตกแต่งในมุมต่างๆ ซึ่งทำงานด้วยระบบ Solar Cell แผ่นเปลี่ยนพลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า การใช้งานของ e-Lite Solar jar นั้นก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร เพียงแค่ในช่วงเวลากลางวันที่แดดร้อนจัดก็นำขวดโหลออกมาให้สัมผัสกับแสงแดดเพื่อเป็นการชาร์จพลังงาน โดยไม่ต้องเปิด Magnet Switch ปิดการทำงานของวงจรไฟเพื่อชาร์จแบตเตอรี่เข้าสู่แบตเตอรี่แบบ Rechargable ที่ใต้ฝาขวด โดยต้องสัมผัสกับแสงแดดอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ในวันที่แดดแรงจัด หรือวางกลางแจ้งทิ้งไว้ 10-12 ชั่วโมง ในกรณีที่แดดไม่แรงมากนัก เพียงเท่านี้ก็สามารถให้แสงสว่างต่อเนื่องได้ถึง 6 ชั่วโมงต่อการชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 1 ครั้งแล้วค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.facebook.com/eLitesolarjar/ เมื่อทุกอย่างเริ่มต้นที่ตัวเรา วิธีรักษาสิ่งแวดล้อมง่ายๆ นอกจากลดการใช้พลังงานไฟฟ้า นั่นก็คือการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์รักษ์โลกมาแต่งบ้าน ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ช่วยดูแลรักษาโลกของเราไปในตัวพร้อมๆ กับฟังก์ชั่นใช้งานที่ถูกออกแบบมาให้ใช้ประโยชน์มากที่สุด แถมบ้านยังสวย เก๋ ไม่เหมือนใครอีกด้วย  :)
เฟอร์นิเจอร์ไม้แบรนด์ไทยน่าช็อป ในงานบ้านและสวนแฟร์ 2017 (PART 2)

เฟอร์นิเจอร์ไม้แบรนด์ไทยน่าช็อป ในงานบ้านและสวนแฟร์ 2017 (PART 2)

สำหรับใครที่กำลังมองหาของแต่งบ้านที่มีสไตล์เป็นของตัวเองคงจะเพลิดเพลินกับเฟอร์นิเจอร์ไม้แบรนด์ไทยน่าช็อป ในงานบ้านและสวนแฟร์ 2017 (PART 1) จากโซน SELECTED ZONE ในงานที่เราคัดมาแนะนำกันไปแล้ว ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ไม้ก็เป็นอีกหนึ่งงานดีไซน์ที่เข้ามาช่วยสร้างบรรยากาศภายในบ้านให้ดูทันสมัยในสไตล์มินิมอลที่เรียบง่าย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความอบอุ่น ที่สำคัญสามารถสร้างเอกลักษณ์ที่คงความโดดเด่นได้ไม่ซ้ำใคร แม้เวลาจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม แต่ชิ้นงานเหล่านี้ก็ยังคงงดงาม มีคุณค่าในความเป็นแบรนด์สัญชาติไทยที่ดูอย่างไรก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่จะมีเฟอร์นิเจอร์ไทยแบรนด์ไหนที่น่าสนใจอีกบ้าง ไปดูพร้อมๆ กันเลยดีกว่าค่ะ Flo ถ้าพูดถึงสไตล์การแต่งห้องแบบมินิมอล หลายคนคงจะนึกถึงการแต่งอะไรน้อยๆ แต่ก็ดูมีอะไรขึ้นมาได้ ซึ่งคอนเซ็ปต์หลักจะเน้นที่ความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่ประโยชน์ใช้สอยไม่ได้น้อยตามเลย เช่นเดียวกับ Flo (ฟโล) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อความลงตัว และตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่โดยเฉพาะ ซึ่งวัสดุหลักของแบรนด์จะเป็นไม้ เฟอร์นิเจอร์ของฟโลแต่ละชิ้นได้ถูกสร้างสรรค์ออกมาอย่างมีคุณภาพ และใส่ใจในรายละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว จนออกมาเป็นชิ้นงานที่เรียบง่ายแต่ว่าสวยงาม ดูดี อย่างที่เราได้เห็นกันนั่นเองค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.flofurniture.com หรือโทร. 088-220-8611 Niiq อีกหนึ่งแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้สไตล์มินิมอลที่ได้รับรางวัลการันตีมากมายอย่าง Niiq ดีไซน์ของแบรนด์ไม่ได้คำนึงถึงแต่ความเรียบหรือเก๋เท่านั้น แต่ยังคงให้ความสำตัญในเรื่องดีเทล ฟังก์ชั่น ออฟชั่นในการใช้งานต่างๆ ด้วย ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นของแบรนด์นั้นให้ความรู้สึกที่น่าใช้งาน ดูโปร่งสบายตา และสีของไม้จะค่อนข้างนุ่มนวล ไม่เข้มจนเกินไป เรียกได้ว่าถ้าซื้อไปใช้ที่บ้านหรือคอนโดฯ ก็ช่วยเติมความอบอุ่นให้กับบรรยากาศของห้องได้ดีเลยทีเดียวค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.niiqshop.com หรือโทร. 02-002-2860-1 odst เฟอร์นิเจอร์สวยๆ ที่ได้แรงบันดาลใจและดีไซน์จากความงดงามของศิลปะและธรรมชาติอย่าง odst ก็เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่คนรักบ้านไม่ควรพลาดเลยค่ะ เพราะด้วยสไตล์มินิมอลที่ดูทันสมัยผสมผสานเข้ากับลูกเล่นให้เฟอร์นิเจอร์ดูน่าดึงดูดมากขึ้น ไอเท็มเด็ดของแบรนด์คงหนีไม่พ้นเฟอร์นิเจอร์ไม้หลากหลายโทนสี ตั้งแต่ไม้สีอ่อนที่ดูอบอุ่น ไปจนถึงสีน้ำตาลเข้มที่ให้อารมณ์แตกต่างกันออกไป แต่ยังคงความเรียบง่ายอย่างกลมกล่อมเอาไว้ในตัว ถ้าลองเลือกไปตกแต่งบ้านหรือคอนโดดูบ้าง คงเพิ่มความมีสไตล์ให้กับพื้นที่ธรรมดาๆ ได้ไม่น้อยเลยค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.odstmaker.com หรือโทร. 02-933-5040 Romanee เฟอร์นิเจอร์ไม้สไตล์มินิมอลอีกหนึ่งแบรนด์ แน่นอนว่าต้องมาในคอนเซ็ปต์ความเรียบง่าย ดีไซน์ไม่ซับซ้อน แต่จุดเด่นของ Romanee น่าจะเป็นเรื่องของความโค้งมนที่ซ่อนอยู่ในการออกแบบของเฟอร์นิเจอร์แต่ละตัว รวมถึงความง่ายต่อการใช้สอย และก็เหมาะกับชีวิตความเป็นอยู่สไตล์คนเมืองมากๆ ไม่ต้องเยอะ แต่ก็ดูมีเสน่ห์ได้ ไอเท็มที่น่าสนใจก็มีให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเซตโต๊ะรับประทานอาหาร เตียงนอนสไตล์ญี่ปุ่น โต๊ะ ตู้ และเก้าอี้ เป็นต้น เชื่อว่าใครเห็นก็คงอยากได้มาครอบครองไว้ใช้ที่บ้านแน่นอนค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : http://romaneedesign.com  หรือโทร. 02-890-5051-5 Hari Ora Hari Ora คือแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ฝีมือดีไซน์เนอร์ไทยรุ่นใหม่ ที่ตั้งใจออกแบบให้ผลิตภัณฑ์ตอบสนองไลฟ์สไตล์ทั้งเรื่องความสวยงามและการใช้งาน โดยเลือกใช้วัสดุที่เป็นไม้โอ๊คเกือบทั้งหมดเพราะมีความเหนียว แข็งแรง และให้ลวดลายไม้สวยงาม โดยนำเสนอผ่านสไตล์มินิมอลและสแกนดิเนเวียที่ดูเรียบง่าย ไม่รกสายตา แต่แอบแฝงความอบอุ่นไว้ด้วยโทนสีและผิวสัมผัสจากธรรมชาติ ทั้งยังคำนึงถึงประโยชน์ของการใช้พื้นที่ให้มากที่สุดอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มีคุณภาพและยังสวยงามตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคจริงๆ ค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.hariora.com หรือโทร. 080-934-9347 Chaw Cher : ฌ เฌอ แค่ชื่อก็น่าสนใจแล้วล่ะ สำหรับแบรนด์นี้ Chaw Cher : ฌ เฌอ เฟอร์นิเจอร์ดีไซน์โดยคนไทย แน่นอนว่าต้องมีความมินิมอลที่เรียบง่ายในตัวอยู่แล้ว แต่จุดเด่นของแบรนด์อยู่ที่การนำกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นเข้ามาผสมผสานในเฟอร์นิเจอร์อย่างลงตัว ซึ่งก็มีทั้ง โต๊ะ เก้าอี้ เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า ที่ทำมาจากไม้วอลนัทที่ขึ้นชื่อว่าเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงคงทน ส่วนเรื่องดีไซน์นั้นจะเน้นออกแบบให้ดูเรียบง่าย ใช้งานได้จริง แต่ขณะเดียวกันก็มีรายละเอียดและลูกเล่นที่สวยงามซ่อนอยู่ ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์เลยล่ะ ใครที่ชอบแต่งบ้านสไตล์ญี่ปุ่น คงรู้สึกดีต่อใจกับแบรนด์นี้แน่นอน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.chawcher.com  หรือโทร. 095-490-3174 Many go Round แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ขนาดเล็กที่เติมเต็มช่องว่างความต้องการของคนเมืองที่อาศัยอยู่ในคอนโดพื้นที่จำกัด เนื่องจากเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่มีขายอยู่มากมาย จึงทำให้แบรนด์ Many go Round คิดผลิตเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเล็ก โดยหยิบเอาวัสดุใกล้ตัวอย่างแม่พิมพ์เก่ามาดัดแปลงผสมผสานกับงานออกแบบจนกลายเป็นโต๊ะและเก้าอี้ Wood composite plactic ที่เติมความสนุกและพื้นที่การใช้งาน โดยดีไซน์ให้ผลิตภัณฑ์สามารถถอดประกอบง่ายทั้งยังเอื้อต่อการขนส่ง แต่ก็ยังเน้นในเรื่องของความแข็งแรง ทนทาน เหมาะแก่การใช้ตกแต่งบ้านที่มีขนาดเล็กหรือคอนโดที่มีพื้นที่จำกัดได้เป็นอย่างดี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.manygoround.com  หรือโทร. 086-365-9716 Filobula แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่มีจุดเด่นอยู่ที่งานดีไซน์ โดยเอาความโค้งมนใส่เข้าไปในงานออกแบบเกือบทุกชิ้น ให้ความรู้สึกที่ดูเป็นกันเอง นุ่มนวล ดูอบอุ่นขึ้น และยังมีโทนสีของเนื้อไม้ให้เลือกหลากหลายเฉด อีกทั้งยังมีโทนสีของผ้าที่นำมาประกอบในเฟอร์นิเจอร์ให้เราสามารถจับ Mix & Match กันได้หลากหลายสีอีกด้วย ใครอยากให้บ้านและคอนโดฯ มีความ Unique ไม่ซ้ำใคร คงต้องเพิ่มเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ Filobula เข้าไปอยู่ใน shopping list แล้วล่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.facebook.com/Filobula/   หรือโทร. 099-421-5553 เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้จากฝีมือดีไซเนอร์ไทยที่เราคัดมาแนะนำกันใน PART 2 นี้ ใครที่ชื่นชอบงานสไตล์มินิมอลที่เรียบง่ายอยู่แล้ว ก็คงถูกใจกับรูปฟอร์มและดีไซน์ของแต่ละแบรนด์ที่มีความน่ารัก เก๋ไก๋ มากฟังก์ชั่นในตัวเอง จนกลายเป็นเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ใครเห็นแล้วเป็นต้องหลงรักอย่างแน่นอน หากลิสช็อปปิ้งยังไม่เต็มสามารถเข้าไปเลือกเฟอร์นิเจอร์จาก PART ก่อนหน้าได้ที่นี่เลยค่ะ สำหรับงานบ้านและสวนแฟร์ 2017 นี้จัดขึ้นวันที่ 27 ตุลาคม ไปจนถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2560 ตั้งแต่เวลา ตั้งแต่เวลา 9:30 - 21:00 น. ณ ชาเลนเจอร์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี
เฟอร์นิเจอร์ไม้แบรนด์ไทยน่าช็อป ในงานบ้านและสวนแฟร์ 2017

เฟอร์นิเจอร์ไม้แบรนด์ไทยน่าช็อป ในงานบ้านและสวนแฟร์ 2017

“เราจะไม่ลืม” งานบ้านและสวนแฟร์ปีนี้ชวนให้เราย้อนรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 และพระบรมราโชวาทที่ชี้แนะให้ทุกคนคำนึงถึงการรักษาความสมดุลในการใช้ชีวิต พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันระหว่างผู้คนกับธรรมชาติรอบตัว ภายในงานกลับมาพร้อมกับโซนสินค้าและงานดีไซน์ที่ชวนตื่นตาตื่นใจหลายโซน เริ่มตั้งแต่นิทรรศการและกิจกรรมที่ให้ความรู้ ข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย, บ้านตัวอย่าง, บูธวัสดุก่อสร้าง, เครื่องใช้ไฟฟ้าและครัว, ของแต่งสวนไปจนถึงพรรณไม้นานาชนิด และหนึ่งในโซนที่คนรักบ้านไม่ควรพลาดก็คือ SELECTED ZONE โซนเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่มากร้านละลานตาเต็มไปหมด ซึ่งแต่ละร้านก็มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร เราเลยอาสาพาไปช้อปปิ้งในโซนนี้กัน รับรองว่าแต่ละแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เราเลือกมานั้นสวยและดี เหมาะแก่การแต่งบ้านและคอนโดฯ อย่างแน่นอน oggi เรามาเริ่มแบรนด์แรกกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เพิ่มความอบอุ่นให้แก่บ้านอย่าง oggi ที่เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2006 โดยยึดคอนเซ็ปต์เรียบง่ายและซุกซนเพื่อแสดงถึงตัวตนของแบรนด์ โดยเฟอร์นิเจอร์ในร้านจะมีตั้งแต่โต๊ะ ตู้ เก้าอี้ เตียงนอน ที่ทำมาจากไม้โอ๊ค ลวดลายธรรมชาติและมีดีไซน์ที่สามารถตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ซึ่งนอกจากความสวยงามแล้วเรื่องของคุณภาพก็ยังมีรางวัลการันตรีมากมายอีกด้วยค่ะ สำหรับผู้ที่สนใจ Oggi มีโชว์รูมอยู่ที่ซอยนาคนิวาส 47 ซึ่งสามารถติดต่อขอเข้าชมโชว์รูมได้ แต่ต้องทำการนัดหมายก่อนนะคะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : http://www.oggi-living.com หรือโทร. 087-700-5401 KILTT เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่เราตกหลุมรักในความเรียบง่ายและน่ารักจริงๆ ค่ะ สำหรับ KILTT (คิลท์) เฟอร์นิเจอร์ใช้งานภายในบ้านที่ทำจากไม้จริง ในรูปแบบเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และฟังก์ชั่นที่เหมาะแก่การใช้งาน โดยคำนึงถึงความปลอดภัยต่อผู้ใช้ทุกวัยในครอบครัวเป็นหลัก ซึ่งทุกขั้นตอนล้วนผ่านกระบวนการคิด ความใส่ใจในรายละเอียด ผลิตด้วยทักษะของงานช่างฝีมือผสมผสานกับเครื่องจักรในระบบอุตสาหกรรม จนกลายเป็นเฟอร์นิเจอร์คุณภาพที่มีความน่ารักสดใส ใครอยากแต่งบ้านในสไตล์ญี่ปุ่นที่เรียบง่าย แต่ว่าครบครันทุกความต้องการ คงต้องมีครอบครองไว้สักชิ้นแล้วล่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.kilttdesign.com หรือโทร. 092-529-5465 3. Skog “ไม่ใช่แค่เฟอร์นิเจอร์ แต่แสดงออกถึงตัวตนของคุณ show YOUR style with your FURNITURE” นี่คือนิยามของแบรนด์ Skog เฟอร์นิเจอร์ที่เน้นความเป็นธรรมชาติของวัสดุและดีไซน์ โดยใช้ไม้ธรรมชาติอย่างไม้แอชและไม้โอ๊คดีไซน์สวยหรู ซึ่งมีให้เลือกตั้งแต่สไตล์โมเดิร์นไปจนถึงสไตล์วินเทจสอดแทรกอยู่ในความสวยงามของเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้น ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ โซฟา รวมไปถึงของแต่งบ้านมากมายหลายชนิดที่รอให้ทุกคนไปจับจองเป็นเจ้าของ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.skog-home.com หรือโทร. 086-561-9000 MAHASAMUT เฟอร์นิเจอร์แบรนด์ไทยที่นำวัสดุที่ให้ความรู้สึกแข็งแรงอย่างเหล็กมาผสมผสานดีไซน์กับงานไม้ solid จนออกมาเป็นเฟอร์นิเจอร์สไตล์โมเดิร์น ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่ก็แฝงด้วยเส้นสายเฉียบคม สมกับความเป็นเฟอร์นิเจอร์สไตล์โมเดิร์น  หากใครอยากตกแต่งบ้านให้ดูทันสมัย รับรองว่าเฟอร์นิเจอร์ของ MAHASAMUT จะต้องถูกใจคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่นิยมงานดีไซน์ที่มี detail ไม่เยอะ แต่ยังสร้างเอกลักษณ์ที่คงความโดดเด่นได้ไม่ซ้ำใคร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.mahasamut.com หรือโทร. 02-811-8054 POOM แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่เหมาะกับการนำไปตกแต่งในคอนโดมิเนียมและบ้านที่มีพื้นที่จำกัด ดีไซน์ของแบรนด์จะผสมผสานระหว่างสไตล์ญี่ปุ่นและสแกนดิเนเวียน แต่ชื่อของสินค้าจะเป็นภาษาไทยทั้งหมด งานทุกชิ้นจึงมีเอกลักษณ์ที่ทำให้ผู้คนจดจำได้ง่ายด้วยรูปฟอร์มโค้งมน เรียบง่าย แต่ก็ยังแอบซ่อนฟังก์ชันที่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้ตรงใจ ในส่วนของการเลือกใช้วัสดุนั้นก็เน้นความเป็นธรรมชาติอย่าง ไม้อเมริกันแอช แอชวูด ไม้นำเข้าเนื้อแข็งจากอเมริกา ซึ่งเป็นพืชป่าปลูกโดยเฉพาะ เรียกว่าไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและยังเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ที่อยู่อาศัยไปในตัวด้วยค่ะ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.poom-home.com หรือโทร. 092-456-9555 Easy Cozy เฟอร์นิเจอร์ไม้ที่แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ อย่างมีสไตล์ เพราะสินค้าของ Easy Cozy นั้นผลิตจากไม้ยางพาราเกรดคุณภาพ ลายสวยและไม่มีตาไม้ ออกแบบมาให้ต่างจากเฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพาราทั่วไป ด้วยดีไซน์ Minimalist เรียบง่ายแต่มีสไตล์ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับไอเดียการใช้งานเอนกประสงค์สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามใจ ด้วยรูปแบบที่เรียบง่ายแต่มีความเก๋ไก๋อยู่ในตัว ทั้งยังเหมาะแก่การใช้สอยในบ้าน คอนโดฯ หรือแม้แต่ร้านค้า เพราะสามารถเข้ากับเฟอร์นิเจอร์อื่นได้อย่างกลมกลืน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.easycozyfurniture.com หรือโทร. 081-771-2298 นอกเหนือจากเฟอร์นิเจอร์ไม้แบรนด์ไทยที่เรานำมาแนะนำในวันนี้แล้ว ยังมีร้านเฟอร์นิเจอร์ไม้อีกหลากหลายแบรนด์ ที่เหมาะแก่การนำมาตกแต่งบ้านและคอนโดในสไตล์มินิมอล หากใครสนใจและอยากรู้ว่าจะมีแบรนด์อะไรในโซน SELECTED ZONE ที่น่าสนใจอีกบ้าง ก็สามารถติดตาม PART 2 ได้ที่นี่เลยค่ะ :))
“โกลบอลเฮ้าส์” ทุ่มงบกว่า 600 ล้านบาท เสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ สร้างศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติที่มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ามากที่สุด

“โกลบอลเฮ้าส์” ทุ่มงบกว่า 600 ล้านบาท เสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ สร้างศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติที่มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ามากที่สุด

“โกลบอลเฮ้าส์” ทุ่มงบกว่า 600 ล้านบาท เสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ สร้างศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติที่มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ามากที่สุดในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างของเมืองไทย พร้อมขยายผลต่อในอาเซียน “โกลบอลเฮ้าส์” ทุ่มงบกว่า 600 ล้านบาท เปิดตัวศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติที่มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ามากที่สุดในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างของเมืองไทยบนพื้นที่กว่า 100 ไร่ ใน อ.วังน้อย จ.อยุธยา เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับธุรกิจ พร้อมนำระบบบริหารคลังสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage Retrieval System) หรือ ASRS ขยายผลต่อสำหรับร้านโกลบอลเฮ้าส์ที่กำลังจะเปิดในอาเซียนเร็วๆ นี้ นายวิทูร สุริยวนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตามที่ทางบริษัทฯ มีวิสัยทัศน์ให้ “โกลบอลเฮ้าส์” เป็นช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านที่ดีที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ทางบริษัทฯ ได้กำหนดกลยุทธ์การแข่งขันไว้ 5 เรื่อง ได้แก่ • Best Price จำหน่ายสินค้าในราคาที่สมเหตุสมผลและยุติธรรมที่สุด • Best Personal บุคลากรพร้อมให้บริการอย่างดีที่สุด • Best Selection มีสินค้าให้เลือกมากที่สุด ทั้งระดับล่าง ระดับกลางและระดับบน • Best Service บริการดีที่สุด เมื่อเทียบกับมาตรฐานสากล • Best Store พัฒนาการจัดวางและการจัดแสดงสินค้าให้ดีที่สุด นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทางบริษัทฯ จึงได้นำนวัตกรรมทางการค้าระบบโมเดิร์นเทรดมาปรับใช้กับการบริหาร “โกลบอลเฮ้าส์” ในทุก ๆ ด้านอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในส่วนของการบริหารคลังสินค้าซึ่งถือเป็นหนึ่งในหัวใจของธุรกิจค้าปลีกนั้น ทางบริษัทฯ ได้นำระบบบริหารคลังสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage Retrieval System) หรือ ASRS ที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งระบบมาใช้กับร้านโกลบอลเฮ้าส์ สาขาปราณบุรี เป็นแห่งแรกเมื่อปี 2559 เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว แม่นยำ สะดวกและประหยัดเวลาสำหรับลูกค้ามากยิ่งขึ้น ในปัจจุบันทางบริษัทฯ นำระบบ ASRS ไปใช้กับร้านโกลบอลเฮ้าส์แล้วจำนวน 16 สาขา นอกจากนี้ เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของธุรกิจในอนาคต และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานทั้ง Supply Chain บริษัทฯ จึงได้ทุ่มงบกว่า 600 ล้านบาทก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติซึ่งติดตั้งระบบ ASRS (Automated Storage Retrieval System) ขึ้นบนพื้นที่กว่า 100 ไร่ ใน อ.วังน้อย จ.อยุธยา โดยใน เฟสแรกศูนย์กระจายสินค้าจะมีพื้นที่คลังสินค้า 30,000 ตารางเมตร จัดเก็บสินค้าในส่วนของพื้นที่ ASRS ได้กว่า 43,000 พาเลท จัดเก็บเหล็กได้กว่า 5,000 ตัน และจัดเก็บกระเบื้องเซรามิคได้กว่า 5,000 พาเลท นับได้ว่าเป็นศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติที่มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ามากที่สุดในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างของเมืองไทย ซึ่งศูนย์กระจายสินค้าวังน้อยแห่งนี้จะทำให้บริษัทฯ ลดการเสียโอกาสในการขายและช่วยเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้กับลูกค้า รวมทั้งช่วยให้ต้นทุนในการบริหารจัดการของบริษัทฯ อยู่ในระดับที่เหมาะสม ส่งผลให้ผู้บริโภคได้ซื้อสินค้าในราคาที่สมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น นายเกรียงไกร สุริยวนากุล ซัพพลายเชน ไดเรกเตอร์ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ศูนย์กระจายสินค้าวังน้อยได้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษให้เหมาะสมกับการดำเนินงานธุรกิจของ “โกลบอลเฮ้าส์” โดยเฉพาะ ตั้งแต่การสั่งสินค้าจากผู้จัดจำหน่ายจนถึงการนำส่งสินค้าให้กับผู้บริโภคที่ร้าน ซึ่งทางเราใช้ทีมงานออกแบบและพัฒนาระบบของบริษัทฯ เองทั้งหมด ทำให้เราสามารถปรับปรุงและขยายความสามารถและประสิทธิภาพของศูนย์กระจายสินค้าได้อย่างต่อเนื่องและไม่มีขีดจำกัด นอกจากนี้ เรายังได้ร่วมพัฒนา Packaging กับผู้ผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการบริหาร Supply Chain สำหรับความพิเศษของศูนย์กระจายสินค้าวังน้อยมี 3 เรื่องหลัก ได้แก่ • ผู้จัดจำหน่ายสามารถจองคิวส่งสินค้าในระบบได้เองอย่างสะดวกสบาย ลดปัญหาการรอคิวเป็นเวลานานๆ • ระบบจัดเก็บและกระจายสินค้าถูกออกแบบมาเพื่อลดความผิดพลาดและเพิ่มความรวดเร็วของการกระจายสินค้า โดยทุกๆ จุดสัมผัสจะถูกบันทึกและสามารถตรวจสอบได้ (Track and Trace) นอกจากนั้น เรายังได้นำระบบการชั่งสินค้าแทนการนับมาใช้เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนสินค้าอีกด้วย • ระบบ ASRS (Automated Storage Retrieval System) มีส่วนที่ออกแบบมาเป็นพิเศษให้สามารถจัดเก็บและจ่ายสินค้าที่มีขนาดใหญ่พิเศษได้ยาวสูงสุดถึง 2.40 เมตร รองรับความหลากหลายของสินค้าที่มีอยู่ในร้าน ศูนย์กระจายสินค้าวังน้อยใช้ระบบ ASRS (Automated Storage Retrieval System) ในการบริหารสินค้า ซึ่งเป็นระบบที่ควบคุมผ่านคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ทำให้เพิ่มความรวดเร็ว แม่นยำ และลดต้นทุนในการบริหารจัดการสินค้าทั้ง Supply Chain ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยระบบนี้ทำให้สามารถลดจำนวนการพึ่งพาทรัพยากรมนุษย์ลงเมื่อเทียบกับระบบบริหารคลังแบบทั่วไปได้มากถึง 60% โดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะซึ่งกำลังเป็นที่ขาดแคลน ทั้งนี้ ระบบ ASRS (Automated Storage Retrieval System) จะถูกนำไปใช้ในการบริหารสินค้าของร้านโกลบอลเฮ้าส์ซึ่งกำลังจะเปิดสาขาในอาเซียนเร็วๆ นี้อีกด้วย อย่างไรก็ดี นายวิทูร กล่าวเพิ่มเติมถึงการเติบโตในปีนี้ว่า บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ สำหรับไตรมาส 1/2560 เท่ากับ 5,376.94 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2559 จำนวน 222.32 ล้านบาท หรือ 4.31% เป็นผลมาจากการเปิดสาขาเพิ่ม 12 สาขา ปัจจุบัน “โกลบอลเฮ้าส์” มีสาขาทั่วประเทศจำนวน 52 สาขา และในเดือนพฤศจิกายนนี้เรากำลังจะเปิดสาขาที่ 53 ที่ จ.พัทลุง ทั้งนี้ ทางบริษัทฯ มีแผนการขยายสาขาลงในระดับอำเภอเพิ่มขึ้น เช่น จ.ขอนแก่น มี 3 สาขาที่ อ.เมือง , อ.บ้านไผ่ และ อ.ชุมแพ ในขณะที่ จ.สกลนคร มี 2 สาขาที่ อ.เมือง และ อ.พังโคน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนขยายสาขาไปให้ทั่วอาเซียนอย่างต่อเนื่อง
5 เหตุผล ทำไม Open Innovation Center โดยเอสซีจี สามารถพลิกโฉมวงการนวัตกรรมได้จริง

5 เหตุผล ทำไม Open Innovation Center โดยเอสซีจี สามารถพลิกโฉมวงการนวัตกรรมได้จริง

ถึงจะเพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นาน สำหรับ “Open Innovation Center” โดย เอสซีจี แต่ก็สามารถสร้างกระแสความแปลกใหม่ให้เกิดขึ้นกับแวดวงนวัตกรรมได้ไม่น้อย เพราะนอกจากความมุ่งมั่นของเอสซีจีที่ต้องการตอกย้ำการเป็นผู้นำนวัตกรรมอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียนแล้ว เหตุใดศูนย์ฯ แห่งนี้จึงถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการนวัตกรรมอย่างแท้จริง ต้องมาติดตามไปพร้อมกัน... เหตุผลแรก คือ การเป็นศูนย์กลางที่พร้อมเปิดรับความร่วมมือด้านงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมกับทุกหน่วยงาน ให้เกิดการต่อยอดสร้างสรรค์นวัตกรรมแห่งอนาคต เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้บริโภค สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยแบ่งพื้นที่กว่า 1,600 ตร.ม. ออกเป็น 4 โซนหลัก ได้แก่ 1.) โซนจัดแสดงผลงาน เพื่อต่อยอดการวิจัยระหว่างนักวิจัยเอสซีจีและพันธมิตร 2.) โซนห้องสัมมนาและห้องประชุม เพื่อใช้เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างนักวิจัย 3.) ห้องปฏิบัติการ เพื่อให้ผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่อยู่ในความสนใจของเอสซีจีใช้วิจัยและพัฒนา 4.) โซนออฟฟิศ สำหรับนักวิจัยและทีมประจำศูนย์ของเอสซีจี เหตุผลที่ 2 คือ การตั้งอยู่ในแหล่งต้นกำเนิดนวัตกรรมเพื่ออนาคต คือ อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางด้านการวิจัยและพัฒนาที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ เนื่องจากเป็นแหล่งรวมของนักวิจัยกว่า 3,000 คน จึงเป็นโอกาสที่ทุกคนจะได้มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวคิดระหว่างกัน หรือหากงานวิจัยสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจของเอสซีจี ที่มุ่งมั่นส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้บริโภค ก็สามารถพัฒนาต่อยอดสู่งานนวัตกรรมเพื่ออนาคตอย่างเป็นรูปธรรม นอกจากนี้ เอสซีจียังได้สร้าง network of network ที่เป็นพันธมิตรของ สวทช. ในการพัฒนาสินค้าและนวัตกรรมเพื่อต่อยอดทางธุรกิจให้กว้างขวางต่อไปอีกด้วย อย่างไรก็ตาม งานนวัตกรรมใหม่ๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีห้องปฏิบัติการที่มีความพร้อม ดังนั้น เหตุผลที่ 3 จึงเป็น ห้องปฏิบัติการที่ใช้สำหรับการทดสอบแนวความคิดหรือการสาธิตต้นแบบเพื่อประเมินความเป็นไปได้ในเชิงเทคนิคเบื้องต้น ก่อนที่จะส่งต่อให้กับหน่วยธุรกิจที่มีเครื่องมือครบครันต่อไป เหตุผลที่ 4 ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ คือ การจัดแสดงผลงานนวัตกรรมเพื่อต่อยอดการวิจัย อันเกิดจากแนวคิดที่ว่าไม่ต้องการให้สถานที่แห่งนี้ถูกจำกัดเพียงแค่นักวิจัยเท่านั้น แต่ต้องการเปิดกว้างให้กับบรรดาผู้ที่ต้องการแสวงหาความรู้ด้านนวัตกรรมใหม่ๆ อีกด้วย ในส่วนนี้แบ่งออกเป็น 5 โซนย่อย ได้แก่ 1.) Inspiration starts here บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาอันยาวนานกว่า 100 ปีของเอสซีจี 2.) Performance+ จัดแสดงนวัตกรรมอันโดดเด่นของเอสซีจี เช่น Sea Cement สูตรการผสมปูนที่สามารถนำน้ำทะเลและทรายจากทะเลมาผสมเป็นคอนกรีตใช้งานได้โดยไม่ทำให้เกิดสนิมในเหล็กเสริม รวมทั้งยังทำให้คอนกรีตมีความสามารถในการป้องกันคลอไรด์จากภายนอกได้ ทำให้การก่อสร้างในพื้นที่ชายฝั่งทำได้สะดวกยิ่งขึ้น เป็นต้น 3.) Design for Sustainability การพัฒนาวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การออกแบบสินค้าตามรสนิยมของผู้บริโภค และการพัฒนาสินค้าเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร 4.) Moving Edge เน้นการพัฒนา Solution เพื่อส่งมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับคู่ค้าและผู้บริโภคเพื่อชีวิตที่ดีของทุกคนในภูมิภาค และ 5.) Drawing the Future Together ขยายเครือข่ายการวิจัยและพัฒนากับทุกภาคส่วน ผลักดันงานวิจัยสู่การใช้ประโยชน์ในเชิงพานิชย์อย่างเป็นรูปธรรม ผ่าน 60 Technology Platforms และสุดท้ายกับ เหตุผลที่ 5 การสนับสนุนเครือข่ายสตาร์ทอัพจากทั่วโลก ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property) ในการดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Sci-Tech) ผ่านโปรแกรม Accelerator เพื่อร่วมพัฒนานวัตกรรมที่มีศักยภาพสูงกับเอสซีจีในกลุ่ม Materials, Clean Technology, Well Being และ Sensor & IoT ก่อนนำไปสู่การต่อยอดธุรกิจร่วมกันในอนาคตอีกด้วย เห็นแบบนี้แล้ว ดีใจแทนบรรดาเหล่านักวิจัยทั้งหลาย ที่จะมีคนมาช่วยสานต่อผลงานวิจัยให้เป็นรูปธรรม รวมทั้งบรรดานักเรียน นักศึกษา องค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน หรือผู้ที่ต้องการแสวงหาความรู้ด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะได้มีแหล่งข้อมูลดีๆ เพิ่มอีกแห่งหนึ่ง ใครอยากรู้ว่าศูนย์แห่งนี้จะสามารถเข้ามาพลิกโฉมวงการนวัตกรรมได้จริงหรือไม่ งานนี้ขอบอกว่าต้องรีบไปดูด้วยตาตัวเองได้ที่ Open Innovation Center โดยเอสซีจีด่วนเลย เปิดให้เยี่ยมชมได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) ตั้งแต่เวลา 09.00-16.30 น. หรือถ้าต้องการสร้างความร่วมมือกับเอสซีจี สามารถสอบถามรายละเอียดและนัดหมายเพื่อสำรองวันและเวลาในการเยี่ยมชมล่วงหน้าได้ที่อีเมล openinnovation@scg.com และ โทร. 02-586-1065 หรือ 02-586-6324
ยิปรอคนำเสนอนวัตกรรมเพื่อการพักอาศัยที่ยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “Gyproc Go Green” ในงาน 2017 Thai Green Building Expo and Conference

ยิปรอคนำเสนอนวัตกรรมเพื่อการพักอาศัยที่ยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “Gyproc Go Green” ในงาน 2017 Thai Green Building Expo and Conference

บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงแบรนด์ “ยิปรอค” และผู้ให้บริการโซลูชั่นส์ระบบผนังและฝ้าเพดานครบวงจรมานานกว่า 45 ปี นำโดย สหัทยา ทองปรีชา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ตอกย้ำสถานะผู้นำในตลาดวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จัดแสดงนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยิปซัมใหม่ล่าสุดภายใต้แนวคิด “Gyproc Go Green” ในงาน Thai Green Building Expo and Conference ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ โดยงานครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในการสนับสนุนการออกแบบและการก่อสร้างที่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมในประเทศไทย มร. ริชาร์ด จูเชรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “งานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่ยิปรอคจะได้นำเสนอแนวคิด “Gyproc Go Green” เนื่องจากยิปรอคต้องการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในด้านการปฏิบัติงานเพื่อสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่มจึงมุ่งมั่นนำเสนอ นวัตกรรมที่ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและลดมลภาวะที่อาจเกิดกับสภาพแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลต่อสภาวะโลกร้อนในอนาคต ผ่านการดำเนินงานภายใต้แนวคิด Gyproc Go Green ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของยิปรอคได้รับกระแสตอบรับจากผู้บริโภคอย่างดียิ่ง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและต้องการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเยียวยาสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน” ด้วยการตระหนักถึงความสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ยิปรอคจึงยึดมั่นการดำเนินงานภายใต้แนวคิดยิปรอค 3G  ได้แก่ Green Products ด้วยมาตรฐาน ASTM D5116-90 จึงรับประกันว่าผลิตภัณฑ์ของยิปรอคมีการแพร่กระจายของสารเคมีในระดับต่ำ ผลิตจากวัสดุรีไซเคิลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่น้อยกว่า 30% และปราศจากสารกัมมันตรังสีหรือสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ Green Solutions  นำเสนอระบบผนังและฝ้าเพดานแบบประหยัดพลังงานที่สามารถป้องกันความร้อนจากภายนอกแพร่เข้าสู่ภายในอาคาร จึงช่วยลดภาระของเครื่องปรับอากาศและลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ และ Green Manufacturing เน้นกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมทุกขั้นตอน พร้อมติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียที่ทันสมัยและระบบประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง รับรองด้วยมาตรฐาน ISO 14001 บูธยิปรอคนำเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อการก่อสร้างผนังและเพดานยิปซัมแบบครบวงจร รวมถึงโซลูชั่นส์การก่อสร้างที่ตอบโจทย์ความต้องการพิเศษ เช่น การป้องกันความร้อน การป้องกันความชื้น หรือการป้องกันเสียงรบกวน โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากยิปรอคพร้อมให้คำแนะนำและข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ร่วมงานด้วยอัธยาศัยไมตรี ถึงการเลือกผลิตภัณฑ์ยิปรอคสำหรับการใช้งานเฉพาะด้าน และการสร้างอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานระดับสากล กรุณาดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ http://www.gyproc.co.th/ หรือ https://www.facebook.com/GyprocClub
“คอตโต้” ดีไซน์ห้องน้ำสวย 9 สไตล์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความชอบที่แตกต่าง เนรมิตให้ชมจริงในงานสถาปนิก 60

“คอตโต้” ดีไซน์ห้องน้ำสวย 9 สไตล์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความชอบที่แตกต่าง เนรมิตให้ชมจริงในงานสถาปนิก 60

“คอตโต้” ดีไซน์ห้องน้ำสวย 9 สไตล์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความชอบที่แตกต่าง เนรมิตให้ชมจริงในงานสถาปนิก 60 คอตโต้ แบรนด์กระเบื้อง สุขภัณฑ์ และก๊อกน้ำระดับโลก นำเทรนด์ความต้องการของลูกค้ามาสร้างสรรค์เป็นห้องน้ำสวย 9 สไตล์ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากความสวยงามของธรรมชาติ เนรมิตให้ชมบนพื้นที่ขนาดจริง เปิดให้ชมเพื่อเป็นไอเดียสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างหรือปรับปรุงห้องน้ำใหม่ ในงานสถาปนิก 60 ระหว่างวันที่ 2-7 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้ ที่อิมแพค เมืองทองธานี           นายธนนิตย์ รัตนเนนย์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด สินค้ากระเบื้องคอตโต้ บริษัท เซรามิคอุตสาหกรรมไทย จำกัด กล่าวว่า คอตโต้เข้าใจถึงสไตล์และความชื่นชอบที่แตกต่างกันของลูกค้า จึงได้ใส่ใจในการออกแบบห้องน้ำสวย (Beautiful Bathroom) ถึง 9 สไตล์ เพื่อให้ห้องน้ำเป็นพื้นที่แห่งความสุขที่ตรงใจลูกค้าที่มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน ประกอบด้วยห้อง EBLU จุดประกายไอเดียสร้างสรรค์ และเพิ่มความสนุกด้วยความสดใสแวววาวในบรรยากาศสไตล์ Minimal pop-art,POLLINO สร้างสรรค์สไตล์ที่แตกต่างของ Urban Loft และ Vivid Yellow Art เปลี่ยนห้องไม้โอ๊กแดง ให้เด่นด้วยสีสันของยาแนวสีเหลือง, LEGEND ห้องน้ำที่ทำให้หวนนึกถึงความทรงจำในอดีต เผยให้เห็นความงามของธรรมชาติที่ผ่านกาลเวลา, HARMONIZE STONE มอบความอบอุ่นของลวดลายหินผสมความดิบของธรรมชาติและการตกแต่งด้วยของสะสม, THE 60s WOOD ย้อนวันวานไปกับความเท่สไตล์เรโทรในยุค 60 ด้วยลวดลายไม้แบบเรขาคณิต สำหรับห้องน้ำสวยอีก 4 สไตล์ ได้แก่ CHARISMA หรูหราและทันสมัยด้วยเฉดสีของลวดลายหินอ่อนผสมผสานกับลูกเล่นของสีโรสโกลด์ พร้อมประโยชน์ใช้สอยที่ซ่อนพื้นที่จัดเก็บไว้อย่างลงตัว,NIPPON WOOD โชว์ให้เห็นลวดลายไม้สนที่สวยงามที่ผ่านกระบวนการเผาไฟแบบญี่ปุ่น โดดเด่นด้วยกาวยาแนวที่ทำให้ห้องดูเรียบง่ายในแบบฉบับญี่ปุ่น, CALACATTA CLASSICO สร้างบรรยากาศห้องที่เรียบ เท่ ด้วยสีขาวละมุนและอบอุ่นของหินอ่อน Golden Calacatta และ ARCH WOOD เข้ากับวิถีชีวิตคนยุคใหม่ โดยผสานเทคโนโลยีและวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกัน นอกจากห้องน้ำสวยทั้ง 9 สไตล์แล้ว คอตโต้ยังมีตัวอย่างห้องน้ำให้เลือกอีกมากมาย พร้อมสัมผัส กระเบื้องแก้ว ดีไซน์ล่าสุดที่การันตีด้วยรางวัล Best of the Best จากเวทีประกวดระดับโลก Red Dot Design Awards 2016 และพบกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายด้วย กระเบื้องพอร์ซเลน นำเข้าจากอิตาลี นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถเป็นเจ้าของห้องน้ำสวยในแบบของตัวเองได้เพียงนำแรงบันดาลใจที่ได้จากที่ใดก็ตามมาพูดคุยกับ ครีเอทีฟ         ดีไซเนอร์ ผู้เชี่ยวชาญการออกแบบห้องน้ำของคอตโต้ได้ภายในงาน ซึ่งสินค้าและบริการทั้งหมดนี้ ผู้สนใจยังสามารถไปใช้บริการได้ที่เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ หรือเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมในเบื้องต้นได้ที่ www.cotto.com    
ยิปรอค นำเสนอนวัตกรรมความแข็งแกร่งระบบผนังและฝ้าเพดาน ครั้งแรกของวงการยิปซัมเมืองไทยในงานสถาปนิก’60

ยิปรอค นำเสนอนวัตกรรมความแข็งแกร่งระบบผนังและฝ้าเพดาน ครั้งแรกของวงการยิปซัมเมืองไทยในงานสถาปนิก’60

03 พฤษภาคม 2560 กรุงเทพฯ - บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงแบรนด์ “ยิปรอค” และผู้ให้บริการโซลูชั่นส์ระบบผนังและฝ้าเพดานครบวงจรมานานกว่า 45 ปี ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมระบบการก่อสร้างผนังและเพดานสำเร็จรูปภายในด้วยผลิตภัณฑ์แผ่นยิปซัมรุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับที่พักอาศัย ภายใต้แนวคิด “Inside-Out Space” ในงานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม ครั้งที่ 31 (งานสถาปนิก'60) โดยครั้งนี้ยิปรอคนำเสนอนวัตกรรมและรูปแบบการใช้งานผลิตภัณฑ์ยิปซัมคุณภาพสูง ในการก่อสร้างและตกแต่งที่พักอาศัยได้อย่างสวยงามแบบไร้ข้อจำกัด พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด ปูนยิปฟิลล์ ซุปเปอร์จ๊อยท์ (Gypfill SUPERJOINT) ปูนฉาบรอยต่อแผ่นยิปซัม สูตรพิเศษสีขาว  อีกทั้งภายในบูธยังมีการสาธิตในรูปแบบผนังสำเร็จรูปที่สามารถรับน้ำหนักโซฟาได้มากถึง 85 กก. ได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อโชว์ประสิทธิภาพการใช้งานและความแข็งแกร่งอันน่าทึ่งของนวัตกรรมแผ่นยิปซัม ยิปรอค ฮาบิโต้  (Gyproc® HabitoTM) แนวคิด “Inside-Out Space” ของยิปรอคเกิดจากการผสานความเป็นบ้านเข้ากับธรรมชาติ ผ่านการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบภายในด้วยการใช้วัสดุตกแต่งอาคารคุณภาพสูงและนวัตกรรมการก่อสร้างรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างความสมดุลของการพักอาศัยที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นแผ่นผนังยิปซัม แผ่นฝ้าเพดาน โครงคร่าวเหล็ก และผลิตภัณฑ์ปูนปลาสเตอร์ ตลอดจนโซลูชั่นส์รูปแบบใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ การนำเสนอผลิตภัณฑ์ในบูธของยิปรอคไม่ได้จำกัดเฉพาะการตกแต่งบ้านพักอาศัยเท่านั้น หากยังครอบคลุมถึงพื้นที่ใช้สอยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ อาทิ ห้องโฮมเธียเตอร์ ห้องเล่นเด็ก ห้องครัว ห้องทำงาน ห้องอเนกประสงค์ ฯลฯ บูธกิจกรรมยิปรอคนำเสนอแนวคิดการตกแต่งห้องด้วยแผ่นยิปซัมในการสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์การพักอาศัยที่เหนือระดับ เพื่อสาธิตแนวทางการใช้งานผลิตภัณฑ์เพื่อการตกแต่งห้องให้มีความสวยงามทันสมัย ซึ่งผู้เข้าชมงานจะได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงของยิปรอค ซึ่งนำมาติดตั้งเป็นห้องตัวอย่างให้เห็นถึงการใช้งานจริงที่เปี่ยมด้วยคุณสมบัติพิเศษทั้งในด้านการป้องกันความร้อน การป้องกันความชื้นและเชื้อรา และการป้องกันเสียงรบกวนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำเสนอแนวคิดและแรงบันดาลใจให้ผู้บริโภคเกิดแนวคิดในการตกแต่งบ้านพักอาศัยของตนเองด้วยผลิตภัณฑ์ของยิปรอคนอกเหนือจากการใช้กั้นผนังห้องหรือกรุฝ้าเพดานทั่วไป โดยไฮไลท์สำหรับปีนี้คือการติดตั้งระบบผนังด้วยแผ่นยิปซัมรุ่น ยิปรอค ฮาบิโต้  (Gyproc® HabitoTM) ซึ่งมอบความแข็งแกร่งและรับน้ำหนักได้มากเป็นพิเศษถึง 15 กิโลกรัมต่อจุด มีความแข็งแรงกว่ายิปซัมบอร์ดทั่วไปถึง 5 เท่า ด้วยวิธีการสาธิตแขวนโซฟาขนาดยักษ์โดยใช้สกรูไม้เบอร์10 จำนวน 6 ตัว ในการรองรับน้ำหนัก 85 กก. เพื่อพิสูจน์ความแข็งแรงให้ผู้เข้าชมงานได้สัมผัสอย่างใกล้ชิด มร. ริชาร์ด จูเชรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ยิปรอครู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ในงานสถาปนิก’60 ซึ่งถือเป็นงานจัดแสดงสินค้าและวัสดุก่อสร้างครั้งสำคัญของเมืองไทย งานครั้งนี้ทำให้เราได้พบปะกับลูกค้ารายใหม่และมีโอกาสนำเสนอโซลูชั่นส์การก่อสร้างชั้นเลิศของเราสู่ผู้บริโภคโดยตรง บริษัทไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่มจะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาและสนับสนุนการก่อสร้างอาคารด้วยนวัตกรรมสมัยใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมการเติบโตที่ยั่งยืนของประเทศไทย ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ยิปรอคที่ผลิตขึ้นภายใต้แนวคิดเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ Gyproc Go Green อันได้แก่ (1) Green Products, (2) Green Solutions, และ (3) Green Manufacturing โดยเฉพาะระบบผนังของยิปรอคนั้นมีความเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการตกแต่งภายในบ้านสมัยใหม่ เนื่องจากมีน้ำหนักเบา รับน้ำหนักแขวนได้มากเป็นพิเศษ พร้อมคุณสมบัติป้องกันเสียงรบกวน ไม่ติดไฟ และป้องกันความร้อนเข้าสู่ภายในอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นอกเหนือจาก ยิปรอค ฮาบิโต้  (Gyproc® HabitoTM) ยิปรอคยังนำเสนออีก 4 ผลิตภัณฑ์เด่นในงานสถาปนิก’60 ครั้งนี้ ได้แก่ ปูนยิปฟิลล์ ซุปเปอร์จ๊อยท์ (Gypfill SUPERJOINT) ปูนฉาบรอยต่อแผ่นยิปซัม สูตรพิเศษสีขาว ใช้สำหรับงานฉาบรอยต่อแผ่นยิปซัม ซ่อมรอยแตก รอยถลอก หรือฉาบตกแต่งแผ่นยิปซัมให้เรียบร้อย ทำให้พื้นผิวผนังเรียบเนียน สวยงามไม่ยุบตัว ให้การยึดเกาะสีดีเยี่ยม และสามารถทาสีทับได้โดยไม่ต้องทาสีรองพื้น ยิปรอค กลาสร็อค เอช โอเชียน (Gyproc® Glasroc H OCEAN) แผ่นยิปซัมสำหรับพื้นที่เปียก ด้วยคุณสมบัติป้องกันความชื้นและเชื้อรามากกว่าแผ่นยิปซัมทั่วไป ปูนยิปรอค แม็กเนติค (Gyproc® Magnetic Plaster) ปูนฉาบตกแต่งภายในสูตรพิเศษที่ทำให้ผนังทั่วไปสามารถยึดเกาะกับแถบแม่เหล็กได้ พร้อมคุณสมบัติการปกปิดรอยแตกร้าวได้เนียนสนิท เหมาะสำหรับใช้ตกแต่งห้องเด็กเล่นและมุมทำงานของโฮมออฟฟิศได้อย่างดีเยี่ยม และแผ่นฝ้าเพดานยิปรอค ยิปโทน แอคทีฟ แอร์ (Gyproc® Gyptone® Activ’ Air) แผ่นฝ้าที่สามารถดูดซับเสียงสะท้อนภายในห้อง และช่วยปรับสภาพอากาศภายในห้องได้อย่างดีเยี่ยม เหมาะสำหรับสถาบันการศึกษา โรงเรียน โรงพยาบาล ร้านค้า และสำนักงาน ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดของยิปรอคผลิตขึ้นภายใต้แนวคิดเพื่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือ Gyproc Go Green ในรูปแบบของกลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใส่ใจต่อสุขภาพแบบครบวงจร เพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าทั้งแก่พนักงานในสายการผลิต ลูกค้า ผู้ติดตั้ง และผู้บริโภคทั่วไป หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ หมายเลขโทรศัพท์ 02-640-8600 และติดตามข่าวสารได้ที่เว็บไซต์  http://www.gyproc.co.th/ หรือเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/GyprocClub  
เฌอร่า นำเสนอการใช้วัสดุทดแทนไม้เพื่อสร้างสรรค์งานดีไซน์แนวใหม่ ด้วยแนวคิด “Creativity Beyond Imagination” ในงานสถาปนิก’60

เฌอร่า นำเสนอการใช้วัสดุทดแทนไม้เพื่อสร้างสรรค์งานดีไซน์แนวใหม่ ด้วยแนวคิด “Creativity Beyond Imagination” ในงานสถาปนิก’60

กรุงเทพฯ 3 พฤษภาคม 2560 – บริษัท มหพันธ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ ภายใต้แบรนด์ เฌอร่า (SHERA) และกระเบื้องหลังคาตรา ห้าห่วง (HaHuang) ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านวัสดุทดแทนไม้ นำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อบ้านพักอาศัยในงานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม ครั้งที่ 31 (งานสถาปนิก’60) เนรมิต “มหพันธ์ พาวิลเลียน” โดดเด่นภายในงาน ตามสโลแกน “Creativity Beyond Imagination” เพื่อนำเสนอแนวคิดการใช้วัสดุทดแทนไม้แนวใหม่และยกระดับผลิตภัณฑ์แบรนด์เฌอร่าและห้าห่วงให้เป็นมากกว่าวัสดุตกแต่งบ้าน หากสามารถตอบโจทย์งานออกแบบที่สร้างสรรค์และสถาปัตยกรรมทุกรูปแบบได้อย่างไร้ข้อจำกัด นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มหพันธ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม ครั้งที่ 31 หรืองานสถาปนิก’60 นับเป็นงานแสดงเทคโนโลยีก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน การร่วมงานครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีในการแสดงให้เห็นว่า มหพันธ์ไฟเบอร์ซีเมนต์เป็นผู้นำในตลาดวัสดุทดแทนไม้เบอร์หนึ่งของไทย และเรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของเรา รวมถึงแนวคิดการใช้งานไฟเบอร์ซีเมนต์รูปแบบใหม่ๆ ให้กับกลุ่มสถาปนิก นักออกแบบ ผู้พัฒนาโครงการ ตลอดจนผู้บริโภคทั่วไปให้ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมบูธเฌอร่าจะได้เห็นถึงคุณสมบัติอันน่าอัศจรรย์ของวัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์ ตลอดจนแนวคิดการใช้งานที่เปลี่ยนจากกฎเกณฑ์เดิมๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและเปลี่ยนแนวคิดของผู้บริโภคให้หันมาพิจารณาวัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์ในแนวทางใหม่ๆ ในฐานะวัสดุทดแทนไม้ได้แบบ 100% ซึ่งสามารถนำไปใช้เพื่อการสร้างสรรค์ผลงานได้ทุกรูปแบบ” นวัตกรรมล่าสุดที่ถือเป็นไฮไลท์ของมหพันธ์ไฟเบอร์ซีเมนต์ในปีนี้ มีทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์ซีเมนต์เฌอร่าและกระเบื้องมุงหลังคาตราห้าห่วง ได้แก่ เทคโนโลยีคัลเลอร์ทรู (Color Through Technology) เทคนิคการผสมสีในเนื้อผลิตภัณฑ์ด้วยนาโนพิกเมนต์สีชนิดพิเศษ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีสีสันสวยงามจากภายในถึงภายนอกใกล้เคียงไม้ธรรมชาติมากที่สุด ประกอบด้วย ไม้พื้น เฌอร่า คัลเลอร์ทรู หลังคา เฌอร่า ซีดาร์เชค และ หลังคาห้าห่วงชิงเกิ้ล เทคโนโลยีคริสตัล เอนจิเนียร์ริง (Crystal Engineering) การพัฒนาสสารของวัตถุดิบในระดับคริสตัล (ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าระดับนาโน) เพื่อเพิ่มคุณสมบัติให้ผลิตภัณฑ์อย่าง เฌอร่า บอร์ด และผลิตภัณฑ์อื่นๆ มีความแข็งแกร่งและทนทานขึ้นกว่าเดิม 10% เทคโนโลยีหลังคาเย็น (Cool Technology) ซึ่งสามารถสะท้อนความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้สูงสุด 80% โดยไม่พึ่งฉนวนกันความร้อน บ้านจึงเย็นสบาย และประหยัดค่าไฟฟ้าจากเครื่องปรับอากาศได้ถึง 30% โดยนำเทคโนโลยีนี้มาใช้กับผลิตภัณฑ์หลายรุ่น เช่น หลังคาไตรลอน ตราห้าห่วง รุ่นคูล ซีรีส์ และหลังคาไตรลอน เมทัลลิค คูล เป็นต้น “ปัจจุบันนี้ วัสดุไม้จริงนับว่าหายากขึ้นในท้องตลาด เนื่องจากเป็นทรัพยากรที่มีจำกัด ประกอบกับมีข้อเสียเรื่องปลวก ความชื้น และไม่ทนไฟ ซึ่งหากผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้ไฟเบอร์ซีเมนต์ก็จะหมดกังวลกับปัญหาดังกล่าว โดยที่ยังได้ความรู้สึกราวกับไม้จริง แต่ทนทาน และดูแลรักษาง่ายกว่า ในส่วนของความสวยงามนั้นก็มีลวดลายให้เลือกหลากหลาย โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มคัลเลอร์ทรูซึ่งใช้เทคโนโลยีผสมสีในเนื้อวัสดุ ทำให้มีความใกล้เคียงกับไม้จริงมากที่สุด เราคาดว่าไฟเบอร์ซีเมนต์จะได้รับความนิยมในท้องตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ เรายังมีเทคโนโลยีที่สามารถนำไฟเบอร์ซีเมนต์ไปใช้ร่วมกับกลุ่มวัสดุก่อสร้างหลายประเภท และได้พัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกทางหนึ่ง” “นอกเหนือจากการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่นิยมในท้องตลาดแล้ว บริษัทยังมีนโยบายพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภค (Green Policy) ปราศจากแร่ใยหิน และการใช้เทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด (Zero waste) ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสรรหาวัตถุดิบ การผลิต จนถึงมือผู้บริโภค เพื่อสุขภาพที่ดีของพนักงานตลอดจนกลุ่มผู้ใช้งาน ซึ่งทำให้แบรนด์เฌอร่าเป็นสินค้ารายแรกและรายเดียวในประเทศไทย และห้าห่วงเป็นรายแรกในเอเชียที่ผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ระดับสากลจากสถาบันระดับนานาชาติ EPD (Environmental Product Declaration) ISO 14025 และ EN 15804 และยังได้รับรางวัล Thailand's  Most Admired Brand ในหมวดแบรนด์ที่น่าเชื่อถือที่สุด กลุ่มไม้และวัสดุทดแทน จากนิตยสาร BrandAge ติดต่อกันถึง 6 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 – 2017 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทเป็นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างที่คำนึงถึงผู้บริโภคและสังคมเป็นหลัก” นายประกรณ์ กล่าวเสริม ค้นพบวัสดุก่อสร้างแห่งยุค “ไฟเบอร์ซีเมนต์ เฌอร่า และ หลังคาห้าห่วง” พร้อมไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในงานดีไซน์ นำเสนอมุมมองใหม่ของวัสดุไฟเบอร์ซีเมนต์ ที่ไม่ใช่เพียงสิ่งทดแทนไม้เท่านั้น แต่เป็นวัสดุจริงที่สามารถใช้สร้างสรรค์งานได้อย่างหลากหลาย ร่วมออกจากกฎเกณฑ์เดิมๆ สู่อิสระแห่งการดีไซน์อันไร้ขอบเขตกับเฌอร่าและห้าห่วงได้แล้ววันนี้
แบรนด์จระเข้” ก้าวสู่ยุค 4.0 ด้วยการเปลี่ยนชื่อองค์กรใหม่!!! ภายใต้ชื่อ “บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” อย่างเป็นทางการ ในงานสถาปนิก’60 จ่อเดินหน้ารุกตลาดโลกต่อเนื่อง

แบรนด์จระเข้” ก้าวสู่ยุค 4.0 ด้วยการเปลี่ยนชื่อองค์กรใหม่!!! ภายใต้ชื่อ “บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” อย่างเป็นทางการ ในงานสถาปนิก’60 จ่อเดินหน้ารุกตลาดโลกต่อเนื่อง

“แบรนด์จระเข้” ประกาศศักยภาพอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง ก้าวสู่ยุค 4.0 ด้วยการเปลี่ยนชื่อองค์กรใหม่!!! ภายใต้ชื่อ “บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” อย่างเป็นทางการ ในงานสถาปนิก’60 จ่อเดินหน้ารุกตลาดโลกต่อเนื่อง เตรียมขึ้นแท่นผู้นำอันดับ 1 ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมพบการเปิดตัวครั้งแรกกับ 2 นวัตกรรมใหม่ล่าสุด เจ้าแรกในตลาด “กาวซีเมนต์จระเข้ เอ็กซ์ตรีม” และ “สีจระเข้ คัลเลอร์ สตัคโค ประกาศอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อย ในงานสถาปนิก 60 …กับก้าวใหม่แบรนด์จระเข้ ภายใต้ชื่อองค์กรใหม่ “บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” (จากชื่อเดิม บริษัท เซอรา ซี-เคียว จำกัด)” ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตราจระเข้มากว่า 25 ปี ครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง และพร้อมเตรียมก้าวขึ้นเป็นที่ 1 ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  พร้อมรุกหนักเร่งทำการตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ CLMV เน้นตลาดในพม่า และเวียดนามเป็นหลัก ตั้งเป้าปีนี้จะเติบโตขึ้นจากปีที่แล้ว 15-20% นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด  ออกเปิดเผยอย่างเป็นทางการครั้งแรก ในงานสถาปนิก 60 ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขององค์กร แบรนด์จระเข้ ที่ได้มีการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ โดยได้กล่าวว่า “ปัจจุบันองค์กรของเราผู้บริหารแบรนด์จระเข้ ใช้ชื่อ “บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” อย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากชื่อเดิมคือ บริษัท เซอรา ซี-เคียว จำกัด โดยดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ มีผลตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเหตุที่เราปรับเปลี่ยนชื่อบริษัทนั้น เราต้องการให้ชื่อแบรนด์จระเข้ ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าที่เราเป็นทั้งผู้ผลิตและจัดจำหน่าย กับชื่อของบริษัทเป็นชื่อเดียวกัน จึงเป็นที่มาของชื่อ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้ถือเป็นก้าวใหม่ขององค์กร  ที่ไม่ใช่ก้าวเริ่มต้น แต่จะเป็นก้าวกระโดด อย่างยิ่งใหญ่ของแบรนด์จระเข้กว่า 25 ปีที่ผ่านมา ที่เราผลิตและจัดจำหน่ายกาวซีเมนต์-ยาแนว วัสดุติดตั้ง-ตกแต่งกระเบื้อง เคมีซีเมนต์เพื่อแก้ปัญหาร้าวรั่วซึม และสีคัลเลอร์ซีเมนต์ ครองความเป็นผู้นำอันดับ 1 ตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง และยังเป็นบริษัทชั้นนำทางด้านธุรกิจวัสดุก่อสร้างที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน การดำเนินธุรกิจในประเทศที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จอย่างมาก ผลิตภัณฑ์แบรนด์จระเข้ ได้รับการตอบรับและเป็นที่รู้จักดีของตลาดวัสดุก่อสร้าง โดยกลุ่มสินค้าหลักที่เป็นตัวสร้างยอดขายคือกาวซีเมนต์และกาวยาแนว  ซึ่งปัจจุบันเรามีตัวแทนจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ มากกว่า 4,000 ราย ครอบคลุมทั่วทุกแห่ง เข้าถึงทุกชุมชนในทุกพื้นที่ในประเทศ และกลุ่มประเทศ CLMV สร้างยอดขายทำให้ผลประกอบการของบริษัท เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด สำหรับปีนี้เราได้ตั้งเป้ายอดขายเติบโตต่อเนื่องเหมือนทุกๆปี โดยปีนี้จะมุ่งเน้นไปที่ตลาดต่างประเทศกลุ่ม CLMV มากขึ้น โดยวางเป้าหมายไว้ที่ ประมาณ 2,800 ล้านบาท เติบโตจากปี 2559 ประมาณ 15-20% ก้าวใหม่แบบก้าวกระโดดของเราต่อจากนี้ แบรนด์จระเข้ พร้อมเตรียมก้าวขึ้นเป็นที่ 1 ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอีกไม่นานนี้   ซึ่งภายใน 3-5 ปีจากนี้  เราให้ความสำคัญในการทำตลาดต่างประเทศมากขึ้น เร่งเดินหน้ารุกหนักตลาดโลก และตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เน้นหนักไปที่ตลาดในกลุ่ม CLMV โดยเฉพาะประเทศพม่าและเวียดนาม  โดยตั้งเป้ายอดขายในตลาดต่างประเทศ เป็นสัดส่วนอยู่ที่ 25-30% ของยอดขายทั้งหมด  ซึ่งจะเน้นส่งออกผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้ามูลค่าสูง (High Value) เพื่อให้ได้เม็ดเงินจำนวนมากเข้าสู่ประเทศไทย และทำการตลาดขยายฐานลูกค้าใหม่ สร้างการรับรู้แบรนด์จระเข้ ให้เป็นที่รู้จักในตลาดต่างประเทศมากยิ่งขี้น หลังวางรากฐานมาแล้ว โดยเริ่มส่งออกผลิตภัณฑ์แบรนด์จระเข้ ออกสู่ตลาดต่างประเทศตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา นอกจากเน้นหนักในการทำการตลาดต่างประเทศแล้ว  เรายังมุ่งเดินหน้าสู่สิ่งที่ดีกว่าในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการระบบการทำงานต่างๆ ขององค์กร ตลอดจนการพัฒนาและวิจัยสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ดีกว่า ล้ำกว่า ตอบสนองและเข้าถึงความต้องการของลูกค้า และความต้องการของตลาดได้มากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตที่จะเกิดขึ้น  และที่สำคัญเรามีแผนในการนำบริษัท เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการเตรียมตัวเพื่อเตรียมความพร้อม จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่ากว่า 25 ปี องค์กรของเราไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่เคยหยุดพัฒนา ให้ความสำคัญและใส่ใจในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะต่อลูกค้า บุคลากรภายในองค์กร หรือคนรอบข้างนอกองค์กร  ส่งผลให้ในปี 2559 ที่ผ่านมา  แบรนด์จระเข้เป็นองค์กรที่เป็นผู้นำแห่งนวัตกรรมการผลิต ที่ใส่ใจทั้งคุณภาพสินค้า คุณภาพชีวิต และสิ่งแวดล้อม ได้รับมาตรฐานคุณภาพ ISO 14001 : 2015 บ่งบอกความเป็นเลิศด้านระบบจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดจากหน่วยงานและองค์กรทั่วโลก เป็นการก้าวสู่ Green Industry ระดับ 3 อย่างเต็มตัว  ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีลดฝุ่น ทันสมัยที่สุดในโลก ลดการใช้พลังงาน ลดการสร้างของเสียมลพิษ นอกจากนี้ ยังได้รับการรับรองคุณภาพมาตรฐาน ISO 9001 : 2008 แสดงถึงความเป็นเลิศด้านคุณภาพและประสิทธิภาพภายในองค์กรอีกด้วย สำหรับการร่วมออกบูธของ “จระเข้” กับงานสถาปนิก 60 ในปีนี้ ต้องบอกว่านับตั้งแต่ครั้งแรกที่มีงานสถาปนิก  “จระเข้” ได้เข้าร่วมงานทุกปีอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ ของบริษัทฯ ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มสถาปนิก นักออกแบบ รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจก่อสร้างและสถาปัตยกรรม  ในปีนี้คอนเซปต์ของเรายังคงเป็นไปตามปณิธานขององค์กร คือ “การสร้างสรรค์ความสุข เพื่อคุณและทุกคนในครอบครัว - Innovation for your family’s happiness” โดยไฮไลท์ปีนี้  “จระเข้” มีการเปิดตัว 2 นวัตกรรมสินค้าใหม่ เจ้าแรกในตลาด ได้แก่ “กาวซีเมนต์ จระเข้ เอ็กซ์ตรีม” ที่สุดแห่งกาวปูกระเบื้องใหญ่ยักษ์”  มีพลังยึดเกาะสูงเป็นพิเศษ ช่วยในการยึดเกาะกระเบื้องแผ่นใหญ่ ขนาด 3 เมตรขึ้นไป ที่มีน้ำหนักมากๆ ทนต่อสภาวะอากาศ เหมาะสำหรับกระเบื้องพอร์ซเลนขนาดใหญ่ หินอ่อน หินแกรนิตธรรมชาติ  ปูได้ทุกพื้นผิว ทั้งภายใน ภายนอกอาคาร  หรือปูทับกระเบื้องเดิมทั้งพื้นและผนัง  สินค้าได้รับมาตรฐานทั้งอเมริกาและยุโรป ซึ่งเป็นเทรนด์ของการใช้กระเบื้องเซรามิคในปัจจุบัน ที่เน้นแผ่นใหญ่ยักษ์ทั้งการปูพื้นและผนัง “จระเข้” จึงคิดค้นนวัตกรรมการผลิต กาวซีเมนต์ จระเข้ เอ็กซ์ตรีม ขึ้นมา เพื่อตอบโจทย์และรองรับการใช้งานดังกล่าวเป็นรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย และอีกหนึ่งนวัตกรรมไฮไลท์ ก็คือ “จระเข้ คัลเลอร์ สตัคโค” จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้การออกแบบต้องการความแตกต่าง  ไม่ใช่แค่เรื่องความสวย แต่ต้องมี function ด้วย เราจึงคิดค้นและขอนำเสนอนวัตกรรมสีที่ให้คุณค่าทั้งสองส่วนในหนึ่งเดียว จระเข้ คัลเลอร์ สตัคโค คือมอร์ต้าสีชนิดพิเศษ เปลี่ยนผนังภายนอกให้เป็นผลงานที่คุณสามารถสร้างสรรค์ให้มีมิติโดดเด่น ได้มากมาย  ตอบรับการออกแบบได้เป็นอย่างดี เนื้อวัสดุ Hybrid ที่จะทำให้ความสวยและความแกร่งผสานเป็นเรื่องเดียวกัน ช่วยให้ผู้ออกแบบเติมจินตนาการบนผนังให้สวยลึก มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวยิ่งขึ้น ตอบโจทย์การใช้งาน ลดการดูแลรักษา เหมาะสำหรับผนังภายนอก ให้ความคงทนสูงไปอีกขั้น ทนทุกสภาวะ และความชื้นสูง ใช้ได้ดีกับผนังภายในที่ต้องการความแตกต่างในรายละเอียด กับ คอนเซปต์สินค้าที่ว่า  “Freestyle to design, worry free to use”  การเข้าร่วมงานในครั้งนี้ เราคาดหวังว่าสินค้าแบรนด์จระเข้ของเราจะเป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น  โดยสินค้าที่ได้นำเสนอไปนั้นจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงประเด็น ซึ่งในช่วงแรกสินค้า 2 ตัวนี้คงเน้นจำหน่ายในประเทศก่อน โดยกลุ่มเป้าหมายหลักเน้นไปที่ เจ้าของบ้าน  เจ้าของโครงการ และสถาปนิก นายศุภพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายถึงภาพรวมและการแข่งขันของตลาดรวมธุรกิจสินค้าอุปกรณ์เพื่องานก่อสร้างว่า “สำหรับปี 2559 ที่ผ่านมา ด้วยทิศทางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอาจทำให้ตลาดรวมธุรกิจวัสดุก่อสร้างไม่คึกคักเท่าที่ควร  อีกทั้งในปีปัจจุบันนี้ ยังมีคู่แข่งรายใหม่ๆ เข้ามามากพอสมควร สภาวะตลาดโดยทั่วไปยังถือว่าไม่ค่อยดีมากนักเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ดังนั้นจึงมีการแข่งขันในเรื่องสงครามราคามากพอสมควร  แต่อย่างไรก็ตาม “จระเข้” ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง  และเชื่อมั่นว่าจะยังรักษาแชมป์ความเป็นผู้นำในตลาดไว้ได้อย่างแน่นอน”
“คอตโต้” จับมือดีไซเนอร์ระดับโลก “นาโอโตะ ฟูกาซาว่า” สร้างพื้นที่โชว์ไอเดียดีไซเนอร์รุ่นใหม่จากโครงการ “COTTO Another Perspective 5” ในงาน Milan Design Week 2017

“คอตโต้” จับมือดีไซเนอร์ระดับโลก “นาโอโตะ ฟูกาซาว่า” สร้างพื้นที่โชว์ไอเดียดีไซเนอร์รุ่นใหม่จากโครงการ “COTTO Another Perspective 5” ในงาน Milan Design Week 2017

ปีนี้นับเป็นปี 5 ของโครงการ COTTO Another Perspective ซึ่ง คอตโต้ แบรนด์ผู้นำกระเบื้อง สุขภัณฑ์ และก๊อกน้ำของไทยที่ประสบความสำเร็จในระดับโลกได้จัดขึ้นเพื่อมอบโอกาสให้ดีไซเนอร์รุ่นใหม่ได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนแนวคิดการออกแบบกับดีไซเนอร์ระดับโลก และมีโอกาสได้แสดงผลงานของตนเองบนเวทีโลกอย่าง Milan Design Week ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งโครงการครั้งล่าสุดจัดขึ้นเมื่อวันที่ 4-9 เมษายนที่ผ่านมา ใช้ชื่อโครงการว่า COTTO Another Perspective 5 Curated by Naoto Fukasawa โดยได้ นาโอโตะ ฟูกาซาว่า ดีไซเนอร์สไตล์มินิมัลชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงระดับโลกและเคยมีผลงานร่วมกับแบรนด์ชั้นนำในหลายประเทศ มาเป็นโค้ชให้คำปรึกษาแก่ผู้เข้าร่วมโครงการจาก 5 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส อิสราเอล โปรตุเกส ญี่ปุ่น และไทย นาโอโตะ ฟูกาซาว่า ไม่เพียงเป็นโค้ชแต่ยังเป็นผู้กำหนดคอนเซ็ปต์ Good Morning ในการออกแบบให้กับโครงการครั้งนี้ด้วย โดยเขาได้แรงบันดาลใจมาจากห้องน้ำที่แม้จะเป็นพื้นที่เล็กๆ ในบ้านแต่มีความพิเศษที่สามารถปลุกความสดชื่น สร้างความผ่อนคลาย และเติมพลังความคิด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเริ่มต้นในวันใหม่ ซึ่งประเทศที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันก็สามารถสร้างเสน่ห์และตีความคำว่า Good Morning ได้หลากหลายมุมมอง นาโอโตะ ฟูกาซาว่า ได้ปลุกพลังความคิดให้ดีไซเนอร์ที่เข้าร่วมโครงการสร้างสรรค์ผลงานที่ตอบโจทย์คอนเซ็ปต์แต่ยังคงความเป็นตัวตนที่มีเอกลักษณ์ตามแนวทางของตนเอง โดยดีไซเนอร์แต่ละกลุ่มได้นำผลิตภัณฑ์คอตโต้มาเป็นส่วนหนึ่งของผลงาน ซึ่งทำให้ชิ้นงานมีความลงตัวเข้ากันได้ทั้งสไตล์และฟังก์ชั่นการใช้งาน ผลงานการออกแบบห้องน้ำในคอนเซ็ปต์ Good Morning จากฝีมือดีไซเนอร์รุ่นใหม่ 7 กลุ่ม 5 ประเทศ EVERYDAY CEREMONY by Ferréol Babin, France “Everyday Ceremony” เป็นคอลเลกชั่นงานไม้ที่ออกแบบให้ลงตัวกับอ่างล้างมือ COTTO รุ่น Simply Modish สร้างมิติให้กับพื้นที่ในห้องน้ำ ซึ่งใช้ประกอบกิจกรรมที่เปรียบเสมือนเป็นพิธีกรรมประจำวัน คอลเลกชั่นงานไม้นี้ได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งที่ใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา (เช่น แท่นบูชา) วัฒนธรรมประเพณี (เช่น การดื่มชา) และอุปกรณ์ต่างๆ (เช่น หีบใส่สิ่งของ) จนเกิดเป็นสถานที่ประจำวันที่สร้างความสดชื่นจากกลิ่นหอมและความอบอุ่นของไม้ ความสวยงามของผิวไม้แกะสลัก และสัมผัสที่ได้จากการผิวไม้ที่แผ่นรองเท้า และกระจกไม้ ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน ก๊อกผสมอ่างล้างหน้าชนิดก้านโยกรุ่นซีรอคโคเซ้นส์ (Scirocco Sense) อ่างล้างหน้าชนิดวางบนเคาน์เตอร์ รุ่นซิมพลี โมดิช (Simply Modish) HINOKI by Nitsan Debbi, Israel การดื่ม การชำระล้าง และการฟอกถู ถือเป็นกิจกรรมพื้นฐานในห้องน้ำเพื่อปลุกความสดชื่น และสร้างพลังใหม่ให้กับร่างกายและจิตใจ ผลงาน “HINOKI” ได้รับแรงบันดาลใจจากถังไม้โบราณของประเทศญี่ปุ่น ที่เรียกว่า Oke ซึ่งคนญี่ปุ่นใช้เป็นพื้นที่อาบน้ำเมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว ผลงานชิ้นนี้ทำจากต้นไซปรัสหรือเรียกว่า Hinoki ในภาษาญี่ปุ่น ถือเป็นถังไม้ Oke ในดีไซน์ใหม่ที่ผสานกลิ่นอายของประเพณีดั้งเดิมกับบ้านยุคปัจจุบันได้อย่างลงตัว ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้องอิตาเลียคอลเลกชั่น รุ่น Bianchezza ก๊อกอ่างล้างหน้า ชนิดฝังผนัง SMALL STEPS by Rui Pereira + Ryosuke Fukusada, Portugal + Japan ช่วงเวลายามตื่นนอนมักไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เริ่มจากการถูกปลุกด้วยเสียงดังของนาฬิกา กระโดดลงจากเตียง และรีบตรงเข้าห้องน้ำอย่างทุลักทุเล ผลงาน “Small Steps” ออกแบบห้องน้ำให้เป็นชั้นวางซ้อนกันในมุมมองที่แปลกใหม่ สร้างบรรยากาศสงบ ผ่อนคลาย ให้การเริ่มต้นวันใหม่เป็นไปอย่างน่ารื่นรมย์ ด้วยลวดลายหินอ่อนจากกระเบื้อง Italia Collection รุ่น Bianchezza ช่วยผ่อนคลายความวุ่นวายในยามเช้า และสร้างบรรยากาศที่สดชื่นเพื่อปรับร่างกายและจิตใจให้พร้อมกับการเริ่มต้นใหม่ในแต่ละวัน ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้องอิตาเลียคอลเลกชั่น รุ่น Bianchezza ก๊อกผสมอ่างล้างหน้าชนิดก้านโยก รุ่นซีรอคโคเซ้นส์ (Scirocco Sense) CIRCULAR MOTION MIRROR by STUDIO248, Thailand ผลงาน “CIRCULAR MOTION MIRROR” เป็นกระจกที่สามารถสร้างความรู้สึกสดชื่นแก่ผู้ใช้งาน เป็นความสดชื่นที่สัมผัสได้แม้ว่าผู้ใช้จะไม่ได้ยืนบริเวณหน้ากระจกตรงๆ โดยออกแบบรูปลักษณ์ให้ดูแปลกตาและให้ความรู้สึกเหมือนงานศิลปะ แต่ขณะเดียวกันก็สร้างฟังก์ชั่นการใช้งานในห้องน้ำ ให้ทุกยามเช้ามีความรู้สึกสดชื่น ผ่อนคลาย ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้อง รุ่น Calacatta Classico RITUAL by studio NOCC, France ห้องน้ำเป็นสถานที่ที่เราใช้งานเป็นกิจวัตร ซึ่งเปรียบเหมือนพิธีกรรมที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน พฤติกรรมที่มักเกิดขึ้นในห้องน้ำในทุกเช้าแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนง่ายๆ คือ การชำระล้าง การทำความสะอาด และการเช็ดให้แห้ง ผลงาน “RITUAL” ได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์กิจวัตรทั้ง 3 ส่วน ได้แก่ ก๊อกน้ำสำหรับชำระล้าง แท่นสำหรับวางอุปกรณ์ทำความสะอาด และราวแขวนผ้าขนหนู โดยได้รับแรงบันดาลใจจากก๊อกน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บริเวณหน้าโบสถ์หรือวัด ประดับด้วยกระเบื้องโมเสก รุ่น Marble Massa Herringbone จาก COTTO ให้ Look ความเป็นหินอ่อนที่ดูแปลกตา และก๊อกน้ำที่ออกแบบใหม่โดยผู้ออกแบบเอง ให้สามารถใช้งานในพื้นที่อ่างที่จำกัดโดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้องโมเสก รุ่น Marble Massa Herringbone GROWTH by THINKK Studio, Thailand ยามเช้าเป็นช่วงเวลาของความหวังใหม่และการเริ่มต้นใหม่ ผลงาน “Growth” ได้รับการออกแบบเพื่อปลุกความสดชื่นในห้องน้ำยามเช้าด้วยชุดกระถางต้นไม้แนวตั้ง ซึ่งสามารถแขวนและจัดเรียงบนผนังอย่างอิสระ เข้ากันกับกระจกส่องหน้า ถาด และชั้นวางของ ผลงานชิ้นนี้สร้างความสดชื่นจากการได้เห็นความเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของต้นไม้ ซึ่งแต่ละกระถางติดตั้งด้วยกระเบื้อง Italia Collection ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้องอิตาเลียคอลเลกชั่น รุ่น Pietra, Neo Basalt และ Balza ก๊อกผสมอ่างล้างหน้าชนิดก้านโยก รุ่นซีรอคโคเซ้นส์ (Scirocco Sense) อ่างล้างหน้าชนิดวางบนเคาน์เตอร์ รุ่นซิมพลี โมดิช (Simply Modish) AMES BOND ISLAND by COTTO Creative Design Office, Thailand ประเทศไทยมีธรรมชาติที่สวยงามมากมาย ผลงานออกแบบชิ้นนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเขาตะปู จังหวัดพังงา หรือ “James Bond Island” เป็นวิถีใหม่แห่งการปลุกความสดชื่น ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นต่างๆ ของห้องน้ำ ไม่ว่าจะเป็นก๊อกน้ำ อ่างล้างหน้า ฝักบัวอาบน้ำ ชั้นวาง และผนังที่ถูกตกแต่งด้วยกระเบื้องลายหินธรรมชาติ รุ่น M-Stone ที่ดึงเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของ James Bond Island นับเป็นประสบการณ์สร้างความสดชื่น ผ่อนคลายของห้องน้ำแนวใหม่ ให้บรรยากาศธรรมชาติและฟังก์ชั่นการใช้งานที่ลงตัว ผลิตภัณฑ์คอตโต้ที่ใช้ในผลงาน กระเบื้อง รุ่น M-Stone ก๊อกผสมยืนอาบน้ำชนิดฝังผนัง ชุดฝักบัวอาบน้ำก้านแข็ง
“โกลบอลเฮ้าส์” เดินหน้าบุกภาคใต้ ประเดิมเปิด 2 สาขาแรก ที่สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช

“โกลบอลเฮ้าส์” เดินหน้าบุกภาคใต้ ประเดิมเปิด 2 สาขาแรก ที่สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช

“โกลบอลเฮ้าส์” เดินหน้าบุกภาคใต้ ประเดิมเปิด 2 สาขาแรก ที่สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช โกลบอลเฮ้าส์ เล็งเห็นโอกาสการขยายตัวของธุรกิจวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านในภาคใต้ ทุ่มงบกว่า 500 ล้าน  ประเดิมเปิด 2 สาขาแรกที่สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช มั่นใจจุดเด่นในการเป็น ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยและมีบริการที่ทันสมัย รวดเร็ว แม่นยำ จะได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี  เตรียมลุยเปิดสาขาให้ครอบคลุมทุกจังหวัดในภาคใต้ พร้อมเปิดสาขาที่ 3 ในภาคใต้ที่จังหวัดพัทลุงช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ นายอภิสิทธิ์ รุจิเกียรติกำจร ประธานกรรมการ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราช นับเป็นจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตของตลาดการก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผู้บริโภคเริ่มมีความคุ้นเคยกับการเลือกซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างจากร้านค้าประเภทโมเดิร์นเทรดมากขึ้น บริษัทฯ จึงได้เปิดโกลบอลเฮ้าส์ขึ้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี บริเวณใกล้สี่แยกบางกุ้ง ถนนเส้นปากน้ำตาปี และจังหวัดนครศรีธรรมราช บริเวณถนนอ้อมค่ายวชิราวุธ ภายใต้งบลงทุนสาขาละกว่า 250 ล้านบาท เพื่อเป็นทางเลือกใหม่และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าที่ต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้าน ที่มีให้เลือกอย่างครบครัน หลากหลาย พร้อมบริการที่ทันสมัย ซึ่งการเปิดสาขาในภาคใต้ในครั้งนี้ส่งผลให้โกลบอลเฮ้าส์มีสาขารวมทั้งสิ้น 48 สาขา นับเป็นศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านที่มีสาขา   มากที่สุดในประเทศไทยเมื่อเทียบกับร้านค้าประเภทเดียวกัน “โกลบอลเฮ้าส์มีความได้เปรียบในการแข่งขันโดยมีจุดแข็งที่เป็นศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ มีการนำนวัตกรรมการค้าระบบโมเดิร์นเทรดใหม่มาปรับใช้ตลอดเวลา รวมทั้งมีการพัฒนาการให้บริการอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้รับความพึงพอใจสูงสุด ซึ่งการมาเปิดสาขาใหม่ที่ 2 จังหวัดนี้ โกลบอลเฮ้าส์ก็ได้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในพื้นที่ด้วยการเพิ่มสัดส่วนสินค้าในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรและการท่องเที่ยวมากกว่าสาขาอื่น เนื่องจาก 2 จังหวัดนี้เป็นจังหวัดที่เศรษฐกิจหลักจะมาจากภาคการเกษตรและภาคการท่องเที่ยว” นายอภิสิทธิ์ กล่าว นายอภิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราชแล้ว โกลบอลเฮ้าส์ยังมีแผนที่จะขยายสาขาให้ครอบคลุมทุกจังหวัดในภาคใต้  โดยขณะนี้กำลังก่อสร้างสาขาที่ 3  ในภาคใต้ที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ อนึ่ง โกลบอลเฮ้าส์ นับเป็นศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้าน ที่มีสินค้าคุณภาพกว่าแสนรายการ นับล้านชิ้น ในราคาที่คุ้มค่า บนพื้นที่ขายกว่า 15,000 ตารางเมตร ซึ่งสินค้าแต่ละชิ้นได้รับการคัดสรรมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทั้งเจ้าของบ้าน ช่าง ผู้รับเหมาและงานโครงการ รวมถึงเกษตรกร อาทิ ปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น   เหล็กรูปพรรณ กระเบื้องมุงหลังคา เครื่องมือช่าง สินค้าฮาร์ดแวร์ สุขภัณฑ์ กระเบื้องเซรามิก สีและเคมีภัณฑ์ โคมไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้า ท่อประปา ประตูหน้าต่าง เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน สินค้ากลุ่มเกษตร โดยมีสินค้าครบครันสำหรับการสร้างบ้านทั้งหลัง ตามสโลแกน “โกลบอลเฮ้าส์ ครบ หลากหลาย ให้บ้านคุณ” ทั้งนี้โกลบอลเฮ้าส์ยังได้พัฒนาระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ(Automated Storage Retrieval System) หรือ ASRS ที่  ศูนย์กระจายสินค้าโกลบอลเฮ้าส์ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีพื้นที่จัดเก็บสินค้าได้กว่า 43,000 พาเลท นับได้ว่าเป็นเป็นระบบคลังสินค้าอัตโนมัติที่มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ามากที่สุดในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างของเมืองไทย พร้อมเปิดใช้ระบบ ASRS เต็มรูปแบบในเดือนเมษายนนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ นอกจากนี้ โกลบอลเฮ้าส์ยังมีระบบสมาชิกโกลบอลคลับ เพื่อให้ลูกค้าได้สะสมคะแนนและ  รับสิทธิประโยชน์มากมาย
“วัสดุก่อสร้าง เอสซีจี” เผยแผนธุรกิจปี 60 เล็งสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจ วางแคมเปญการตลาดตลอดปี ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายทั่วประเทศ ตั้งเป้าโต 1-3% พร้อมเดินหน้าสานต่อบริการผ่านอี-คอมเมิร์ซ

“วัสดุก่อสร้าง เอสซีจี” เผยแผนธุรกิจปี 60 เล็งสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจ วางแคมเปญการตลาดตลอดปี ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายทั่วประเทศ ตั้งเป้าโต 1-3% พร้อมเดินหน้าสานต่อบริการผ่านอี-คอมเมิร์ซ

กรุงเทพฯ - “เอสซีจี” ผู้นำนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง เปิดแผนธุรกิจปี 60 เผยเล็งเห็นสัญญาณบวกจาก 3 ปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่มีผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง การขยายตัวด้านสาธารณูปโภคตามนโยบายรัฐ กำลังซื้อของผู้บริโภค และราคาพืชผลด้านการเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น เน้นการนำเสนอนวัตกรรมสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added : HVA) ด้วยเทคโนโลยีระบบการก่อสร้างและรูปแบบการอยู่อาศัยที่มี “Performance” เป็นระดับขั้นที่แตกต่างตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย ลงชิงส่วนแบ่งตลาด พร้อมอัดแคมเปญกระตุ้นการซื้ออย่างต่อเนื่องตลอดปีประเดิมแคมเปญตลาดแรก ด้วยรายการ “SCG Family Festival ยิ่งช้อป ยิ่งคุ้ม ลุ้นเที่ยวฟรี” ลุ้นสิทธิ์ชมแสงเหนือ ณ ประเทศไอซ์แลนด์ ผ่านช่องทางจัดจำหน่ายของเอสซีจีที่ร่วมรายการกว่า 150 แห่งทั่วประเทศ  และตอบโจทย์การซื้อของผู้บริโภคยุคใหม่ด้วยการสานต่อการขายผ่านช่องทางอี-คอมเมิร์ซ มั่นใจยอดขายปีนี้เติบโต 1-3%     นายนิธิ ภัทรโชค ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-ตลาดในประเทศ ธุรกิจ เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กล่าวว่า “เอสซีจี” ในฐานะผู้นำนวัตกรรมวัสดุก่อสร้าง คาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้างในปีนี้ค่อนข้างทรงตัว อย่างไรก็ตามยังมองเห็นปัจจัยบวก 3 ปัจจัย ได้แก่ การลงทุนพื้นฐานด้านคมนาคมของภาครัฐส่งผลให้เมืองขยายตัว ทำให้เกิดการก่อสร้างบ้าน และคอนโดมิเนียมตามมา อีกทั้งยังเริ่มเห็นปัจจัยบวกจากการที่ผู้บริโภคบางส่วน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 50,000 บาท ได้ปลดภาระผ่อนหนี้ในโครงการรถคันแรกไปตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา และปัจจัยบวกจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ยางพารา ปาล์ม อ้อย เป็นต้น ส่งผลให้ในปีนี้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้น ดังนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับปัจจัยบวกในตลาดดังที่ได้กล่าวมา ทิศทางการดำเนินธุรกิจของวัสดุก่อสร้างเอสซีจี ปี 2560 จึงเดินหน้าจัดแคมเปญการตลาดเพื่อคืนกำไรและกระตุ้นการซื้อในกลุ่มผู้บริโภคครอบคลุมทุกกลุ่มตลอดทั้งปี ทั้งกลุ่มที่ต้องการสร้างบ้านใหม่ และกลุ่มที่ต้องการรีโนเวทบ้านเก่า ประเดิมด้วยการจัดแคมเปญโปรโมชั่น “SCG Family Festival ยิ่งช้อป ยิ่งคุ้ม ลุ้นเที่ยวฟรี” ที่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าเลือกใช้สินค้าอย่างครบชุดเป็นระบบ โดยนำวัสดุก่อสร้างที่ลูกค้านิยมซื้อเป็นคู่ หรือเป็นระบบ มาจัดเป็นชุดสินค้าราคาพิเศษ 5 เซ็ต ได้แก่ เซ็ตคู่สุดคุ้ม คือสินค้าที่แนะนำให้ใช้คู่กัน เช่น กระเบื้องหลังคาและอุปกรณ์หลังคา, เซ็ตระบบหลังคา ตอบทุกสไตล์แบบบ้าน, เซ็ตบ้านเย็น, เซ็ตบ้านเงียบ และเซ็ตบ้านปลอดภัย เพื่อให้ลูกค้าเลือกใช้สินค้าเป็นระบบอย่างถูกต้อง ทั้งยังได้สินค้าราคาพิเศษ พร้อมสิทธิ์ลุ้นทริปพิชิตแสงเหนือ ณ ประเทศไอซ์แลนด์ สำหรับลูกค้าที่มีแผนสร้างบ้านสามารถซื้อสินค้าราคาพิเศษได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 พฤษภาคม 2560 ที่เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์, เอสซีจี โฮมโซลูชั่น และร้านผู้แทนจำหน่ายเอสซีจี ที่ร่วมรายการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เอสซีจี คอนแทค เซ็นเตอร์ 02 586 2222 หรือคลิกเว็บไซต์ www.scgbuildingmaterials.com ทั้งนี้ครึ่งปีหลังจะมีแคมเปญการตลาดสำหรับลูกค้าที่ต้องการรีโนเวทบ้าน และ มีแคมเปญการตลาดอื่นๆ ต่อเนื่องตลอดทั้งปี รวมถึงการร่วมออกบูธจัดแสดงนวัตกรรมสินค้า พร้อมมอบโปรโมชั่นพิเศษให้กับลูกค้า ในงานสถาปนิก 60 และงานบ้านและสวนแฟร์ 60 อีกด้วย     นอกจากการเดินหน้าจัดแคมเปญเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในกลุ่มผู้บริโภค “เอสซีจี” ยังได้เตรียมเดินหน้าวิจัยและเปิดตัวนวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม รวมถึงรูปแบบการใช้ชีวิต จึงเกิดเป็นเทคโนโลยีการก่อสร้างที่อยู่อาศัย แบบ “Performance Based” คือการก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่มีประสิทธิภาพแตกต่างกันเป็นระดับขั้น เพื่อความเหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า โดยเน้น Performance การอยู่อาศัย 3 ด้านหลัก ได้แก่ “Living Comfort Performance: การสร้างสภาวะอยู่สบาย” พัฒนาการอยู่อาศัยให้อยู่สบายมากยิ่งขึ้นในทุกด้าน โดยสภาวะอยู่สบายที่ดี ที่เรามุ่งเน้นจะประกอบไปด้วย บ้านที่มีอุณหภูมิภายในบ้านเหมาะสมไม่เกิดการกักเก็บความร้อน มีสภาพการระบายอากาศที่ดีทั้งหลัง เพื่อลดสภาวะความอบอ้าวและลดปัญหาอากาศไม่หมุนเวียน และไม่มีปัญหามลภาวะทางเสียงจากภายนอก โดยเราจะมี Performance ของเทคโนโลยีในแต่ละเรื่อง เพื่อสร้างสภาวะอยู่สบายภายในบ้านได้หลายระดับ เป็นต้น “Care Performance: เพื่อทุกเพศทุกวัยอยู่ร่วมกันได้” การพัฒนาโซลูชั่นที่จะสามารถตอบโจทย์สมาชิกทุกเพศ ทุกวัยภายในบ้าน ให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันโดยมีสุขภาพที่ดี ปลอดภัย และสะดวกสบาย และ “ECO Saving Performance: ลดการใช้พลังงานในที่อยู่อาศัย” การพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้าง ระบบและวัสดุต่างๆ เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าในที่อยู่อาศัย ซึ่งจะเริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานสถาปนิก 60 ระหว่างวันที่ 2-7 พ.ค. นี้ ที่อิมแพค เมืองทองธานี พร้อมเดินหน้าแนะนำสินค้าและบริการที่มีนวัตกรรมเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี   ในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า ปัจจุบันมีเอสซีจี โฮมโซลูชั่น จำนวน 41 สาขา สามารถมอบโซลูชั่นและบริการที่มีคุณภาพและครบวงจรที่สุดให้กับลูกค้า เพียงถือแบบก่อสร้างเข้ามารับคำปรึกษา ประมาณราคาวัสดุ  ติดตั้งแบบครบวงจร และรับประกัน นอกจากนี้ยังมี เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมความรู้ให้คำปรึกษาทุกขั้นตอนของการสร้างบ้าน เป็นแหล่งรวมแรงบันดาลใจสำหรับที่อยู่อาศัย ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้ลองสัมผัสประสบการณ์การใช้งานจริงก่อนการตัดสินใจ และ SCG Authorized Dealer จำนวนกว่า 356 สาขา  นอกจากนี้ยังเดินหน้ารุกช่องทางจำหน่ายอี-คอมเมิร์ซ ที่สะดวก รวดเร็ว และวางใจได้ โดยพัฒนาระบบการขายผ่านเว็บไซต์www.scgshoppingexperience.com  ปัจจุบันมีการจำหน่ายสินค้าบนเว็บกว่า 2,500 รายการ  ซึ่งสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มสินค้าแลนด์สเคป และกลุ่มสินค้าเอสซีจี เอลเดอร์แคร์ โซลูชั่น   “จากกลยุทธ์การพัฒนานวัตกรรมสินค้า บริการ ช่องทางการจัดจำหน่าย ตลอดจนกิจกรรมการตลาดที่คำนึงลูกค้าเป็นหลัก เรามั่นใจว่าจะช่วยผลักดันให้ผลการดำเนินธุรกิจของเอสซีจีในปีนี้เติบโต 1-3% ไปในทิศทางเดียวกับตลาดที่มีแนวโน้มเติบโตด้วยปัจจัยบวกต่างๆ ดังที่กล่าวมา   นอกจากภาคธุรกิจแล้ว ในด้านส่งเสริมสังคมทางเอสซีจีไม่ได้นิ่งนอนใจกับเหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับพี่น้องภาคใต้ โดยได้ให้ความช่วยเหลือใน 3 รูปแบบ คือการช่วยเหลือเร่งด่วน อาทิ มอบสุขากระดาษ ถุงยังชีพ อุปกรณ์กู้ภัยเบื้องต้น หินคลุก ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตปูนซีเมนต์เพื่อนำไปถมพื้นที่ การช่วยเหลือฟื้นฟูหลังน้ำลด โดยจัดพิมพ์คู่มือซ่อมบ้านสร้างสุข จำนวน 50,000 เล่ม แจกฟรีผ่านเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายสินค้าวัสดุก่อสร้างโซนภาคใต้ นำพนักงานจิตอาสาลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างต่อเนื่อง และออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่บ้านนาเปลี่ยน การช่วยเหลือซ่อมแซมด้านความเสียหาย มีการช่วยเหลือเรื่องสินค้าวัสดุก่อสร้างราคาพิเศษ ลดสูงสุดถึง 30% ได้แก่ ปูนซีเมนต์ คอนกรีตผสมเสร็จ กระเบื้องหลังคา ฝา ฝ้า เป็นต้น นอกจากนี้ ในวันที่ 9 ก.พ. นี้ ทางเอสซีจี จะจัดงาน “เอสซีจี รวมพลังคืนสุขชาวใต้” โดยมีศูนย์กลางการจัดงานที่วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จ.นครศรีธรรมราช ภายในงานมีการระดมประชาชนจิตอาสา เครือข่ายผู้แทนจำหน่ายและพนักงานเอสซีจีในภาคใต้ ร่วมลงพื้นที่ฟื้นฟูสถานที่ประสบภัย รวมถึงให้คำปรึกษาเรื่องการซ่อมแซมบ้านด้วยตนเอง แจกแบบบ้านอยู่กับน้ำเพื่อผู้ประสบภัยอีกด้วย” นายนิธิ กล่าวทิ้งท้าย
ชนินทร์ ลิฟวิ่ง เปิดตัวโชว์รูม เฮอร์แมน มิลเลอร์ ด้วยคอนเซ็ปต์ “ลิฟวิ่ง ออฟฟิศ” แฟลกชิป แห่งแรกในประเทศไทย

ชนินทร์ ลิฟวิ่ง เปิดตัวโชว์รูม เฮอร์แมน มิลเลอร์ ด้วยคอนเซ็ปต์ “ลิฟวิ่ง ออฟฟิศ” แฟลกชิป แห่งแรกในประเทศไทย

กรุงเทพฯ – ชนินทร์ ลิฟวิ่ง ร่วมกับ Herman Miller แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับไอคอนของโลก เปิดตัวโชว์รูมภายใต้แนวคิด Living Office (ลิฟวิ่ง ออฟฟิศ) คอนเซ็ปต์สถานที่ทำงานรูปแบบใหม่ที่จะช่วยสร้างและยกระดับประสบการณ์การทำงานที่ดีให้กับพนักงาน โดยโชว์รูม Herman Miller และ Living Office ตั้งอยู่ที่สำนักงานใหญ่ บริษัท ชนินทร์ ลิฟวิ่ง ชั้น 18 อาคาร จีพีเอฟ ถนนวิทยุ คอนเซ็ปต์ Living Office  ช่วยองค์กรจัดการพื้นที่ทำงาน ให้เหมาะสมกับลักษณะและสไตล์ขององค์กร เพราะ Herman Miller เชื่อว่าการออกแบบพื้นที่ที่สอดคล้องกับจุดประสงค์ของธุรกิจ และเป้าหมายขององค์กรจะช่วยให้พนักงานตระหนักถึงเป้าหมายและหน้าที่ของตนเอง ออฟฟิศที่ดีจะช่วยสื่อสารวัฒนธรรมและค่านิยมขององค์กร เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือของคนในองค์กร และจะช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่นำไปสู่ผลงานที่ยอดเยี่ยมขึ้น ลูกค้าของ Herman Miller ที่ใช้คอนเซ็ปต์ Living Office ทั่วโลก เช่นใน ฮ่องกง เมลเบิร์น ซานฟรานซิสโก จนถึงบังกาลอร์ ต่างเห็นผลลัพธ์และได้รับประโยชน์จากคอนเซ็ปต์นี้อย่างชัดเจน  โดยการเปลี่ยนออฟฟิศจากสถานที่ที่มาเพื่อทำงาน ให้กลายมาเป็น “สถานที่ทำงานที่น่ามาทำงานที่สุด” โดยคอนเซ็ปต์ Living Office ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดมี Herman Miller’s Passport ซึ่งเป็นระบบฐานข้อมูลอัจฉริยะที่สามารถช่วยแนะนำและปรับปรุงการใช้พื้นที่ส่วนต่างๆของออฟฟิศ เพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพต่อสินทรัพย์ของบริษัทและองค์กรในระยะยาว แนวทางในการกำหนดคอนเซ็ปต์ Living Office สำหรับแต่ละออฟฟิศ Herman Miller ใช้ระบบการวิจัย Office Discovery Process ในการเก็บข้อมูลเพื่อประมวลผล และจำแนกรูปแบบ ลักษณะงาน เป้าหมาย กิจกรรมหลักขององค์กรนั้นๆ ตลอดจนพนักงาน และกลุ่มงานที่แตกต่างกันในแต่ละแผนก โดยข้อมูลและมุมมองต่างๆจากฐานข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยองค์กรเห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นว่า สถานที่ทำงานที่ดีที่จะสะท้อนเป็นภาพลักษณ์ขององค์กรของเขาควรจะเป็นเช่นไร และเพื่อออกแบบพื้นที่ให้องค์กรนั้นๆมีพื้นที่ใช้งานที่สอดคล้องกับความต้องการ และสิ่งที่พวกเขากำลังสร้างสรรค์อยู่ ทำไมถึงต้องเป็น Living Office? หลายออฟฟิศในปัจจุบัน ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับกระบวนการทำงานและเทคโนโลยีจากยุคก่อน  ซึ่ง Herman Miller มองเห็นศักยภาพของสถานที่ทำงานในยุคปัจจุบันและอนาคต  ด้วยการออกแบบที่เข้าใจมุมมองของบุคลากร รูปแบบงานและพฤติกรรม ตลอดจนอุปกรณ์เครื่องใช้ที่จำเป็น ซึ่ง Living Office จะเป็นสถานที่ที่ยกระดับประสบการณ์ในการทำงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้พนักงานอยากมาและกระตือรือร้นในการทำงานมากกว่าเพียง “ต้องมาทำงาน” การจัดสรรพื้นที่ สถานที่สามารถเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย วัฒนธรรมและบุคลากรของแต่ละองค์กร ย่อมมีความแตกต่างกัน แต่โดยมากออฟฟิศทั่วๆไปกลับมีรูปแบบ หน้าตาและบรรยากาศเหมือนๆกัน Herman Miller  ได้นำระบบ Living Office Discovery มาใช้ เพื่อช่วยให้องค์กรเห็นภาพและช่วยการออกแบบพื้นที่ Living Office ของแต่ละองค์กร ให้เหมาะสม 10 กิจกรรมหลักในการทำงาน การพูดคุย (Chat): การพูดคุยทักทายชีวิตประจำวันระหว่างเพื่อนร่วมงาน การสนทนา (Converse): การปฏิสัมพันธ์ ระหว่างกลุ่มเพื่อนร่วมงานในหัวข้อประชุม การสร้างสรรค์ร่วมกัน (Co-Create): การสร้างสรรค์ คิดค้นไอเดียใหม่ๆร่วมกันในรูปแบบกลุ่ม การแบ่งงานเพื่อร่วมสร้าง (Divide & Conquer): การแบ่งงานระหว่างสมาชิกในทีม เพื่อกระจายตัวไปคิดงานในส่วนที่รับมอบหมายของตน เพื่อร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานโปรเจกต์ใหญ่ ร่วมกัน การรวมตัว (Huddle): กิจกรรมนี้หมายถึงเมื่อเวลาทีมต้องการจะประกาศหรือบอกกล่าวเกี่ยวกับ เรื่องด่วน การหารือ หรือการกำหนดทิศทางแผนการดำเนินงาน การอุ่นเครื่อง และเตรียมสรุป (Warm Up, Cool Down): เป็นกิจกรรมเพื่อเตรียมประชุมแบบเป็นทางการ การสร้างสรรค์ (Create): การสร้าง และผลิตผลงานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย การนำเสนอ และบอกเล่า (Show & Tell): การนำเสนองานระหว่างเพื่อนร่วมงานในทีมนั้นๆ โดยจะมีหรือไม่มีลูกค้าในการนำเสนอนั้นก็ได้ การดำเนินงาน และการตอบรับ (Process & Respond): การทำงาน ตอบรับ ประสานงาน ไม่ว่าในรูปแบบของอีเมล์ โทรศัพท์ ฯลฯ เพื่อการทำงานที่ต่อเนื่อง การทบทวน (Contemplate): พฤติกรรมเมื่อพนักงานแต่ละคนสามารถหยุดเพื่อทบทวนความคิดเกี่ยวกับงานของตนเอง หรือพักงานไว้ก่อนเพื่อให้สมองปลอดโปร่ง ทั้งนี้ การออกแบบ  Living Office โดย Herman Miller มีเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไฮไลท์ เช่น ชุดโต๊ะทำงาน Optimis Desking System, เก้าอี้ Activity Chair, โต๊ะ  T2 Smart Desk, ชุดเฟอร์นิเจอร์รุ่น Public Office Landscape, ชุดโต๊ะทำงาน Imagine Desking, เก้าอี้ Mirra 2 Butterfly Back, เก้าอี้ Sayl เป็นต้น Living Office โดย Herman Miller พร้อมต้อนรับทุกท่านแล้วที่ ชนินทร์ ลิฟวิ่ง สำนักงานใหญ่ ชั้น 18 อาคาร จีพีเอฟ วิทยุ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร +662 015 8889 ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลิฟวิ่ง ออฟฟิศ – ภูมิทัศน์ใหม่ของการทำงาน http://www.hermanmiller.com/global/en_apc/solutions/living-office.html
ยิปรอค โชว์นวัตกรรมและโซลูชั่นส์เพื่อการอยู่อาศัยแบบครบวงจรในงาน “Home Expo by Central Group” พร้อมร่วมลุ้นแจกของรางวัลมากมาย

ยิปรอค โชว์นวัตกรรมและโซลูชั่นส์เพื่อการอยู่อาศัยแบบครบวงจรในงาน “Home Expo by Central Group” พร้อมร่วมลุ้นแจกของรางวัลมากมาย

กรุงเทพฯ - บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตนวัตกรรมยิปซัมคุณภาพสูงแบรนด์ “ยิปรอค” และผู้ให้บริการโซลูชั่นส์ระบบผนังและฝ้าครบวงจรมากว่า 45 ปี เชิญชวนเจ้าของบ้านและผู้ปฏิบัติงานในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ร่วมสัมผัสนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และวัสดุก่อสร้างรูปแบบใหม่ ที่บูทหมายเลข HC 4.2 อาคาร ชาเลนเจอร์ 1 ภายในงาน “Home Expo by Central Group” ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คอารีน่า เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 16-25 กันยายน 2559 โดยผู้เข้าชมบูธจะได้รับชุดกระเป๋าของที่ระลึกจากยิปรอค ซึ่งมีทั้งสมุดโน้ต ปากกา แคตตาล็อกสินค้า และคู่มือการติดตั้งโซลูชั่นส์ผนังและผลิตภัณฑ์ของยิปรอค นอกจากนี้ ยิปรอคได้จัดกิจกรรมร่วมสนุกภายในบูธ เพียงแค่โพสต์ภาพถ่ายและแชร์โลเคชั่นผ่านทางเฟสบุ๊ค อินสตราแกรม พร้อมกับติดแฮชแท็ก #GYPROCTHAILAND และ #GYPROCHOMEEXPO เพื่อลุ้นรับของรางวัลสุดพิเศษจากทางยิปรอคตลอด 10 วันของการจัดงาน มร. ริชาร์ด จูเชรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงงานครั้งนี้ว่า “Home Expo by Central Group คือโอกาสสำคัญของยิปรอคในการจัดแสดงนวัตกรรมและโซลูชั่นส์การก่อสร้างให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มเจ้าของบ้านและผู้ปฏิบัติงานในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เพื่อเชื่อมโยงผู้บริโภคที่มีความต้องการด้านไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย ให้มารู้จักกับผลิตภัณฑ์ยิปซัมคุณภาพสูงของตลาดในเมืองไทย ทั้งยังทำให้เราสามารถประชาสัมพันธ์แบรนด์ของเราให้เป็นที่รู้จักในหมู่ผู้บริโภคได้โดยตรง นอกเหนือจากกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างชั้นนำ ซึ่งรู้จักแบรนด์ของเรามาเป็นเวลานานแล้ว” บูธของยิปรอคจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด ซึ่งรวมถึง ปูนยิปรอค แม็กเนติค (Gyproc® Magnetic Plaster) ปูนฉาบตกแต่งภายในสูตรพิเศษที่ทำให้แถบแม่เหล็กสามารถยึดเกาะกับผนังได้ พร้อมคุณสมบัติการปกปิดรอยแตกร้าวได้เนียนสนิท ยิปรอค ฮาบิโต้  (Gyproc® HabitoTM) ผนังยิปซัมรูปแบบใหม่ที่แข็งแกร่งทนทานเป็นเลิศ พร้อมคุณสมบัติป้องกันการกระแทก ป้องกันเสียงได้อย่างดีเยี่ยม และติดตั้งได้ง่าย และ โปรคลีน คัลเลอร์ (ProClean Color) แผ่นฝ้าเพดานยิปซัมเพื่อสุขอนามัยของผู้ใช้ที่รวบรวมคุณสมบัติความสวยงาม เช็ดทำความสะอาดง่าย ทั้งยังไม่เก็บฝุ่นและไม่ลามไฟ ไว้ในหนึ่งเดียว ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดของยิปรอคถูกผลิตภายใต้แนวคิด “Gyproc Go Green” หรือ “Gyproc 3G” ซึ่งประกอบด้วย Green Products, Green Solutions และ Green Manufacturing มีจุดประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและลดมลภาวะ ตลอดจนการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ยิปซัม รวมถึงผู้ติดตั้งและผู้บริโภคทั่วไป ยิปรอคพัฒนาโซลูชั่นส์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเพื่อตอบสนองความต้องการที่แตกต่างของผู้บริโภคและช่างก่อสร้างอย่างครอบคลุม ซึ่งเกิดจากความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับผู้อยู่อาศัยในอาคารและตอบสนองความต้องการในด้านไลฟ์สไตล์การพักอาศัยในโลกปัจจุบันได้อย่างแท้จริง โดยผู้เข้าชมงาน Home Expo by Central Group สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากพนักงานและผู้เชี่ยวชาญของยิปรอค ซึ่งพร้อมตอบคำถามและให้รายละเอียดด้านการก่อสร้างตลอดการจัดงานครั้งนี้ หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับกิจกรรมภายในงาน กรุณาติดต่อ  02-640-8600 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ http://www.gyproc.co.th
“เอสซีจี บิลดิ้งเทค” เปิดตัว “ระบบผนัง ฟูลฟิลล์ วอลล์” รุกตลาดผนังภายในสำหรับอาคารสูง ชูจุดเด่น “แข็งแรง ติดตั้งง่าย หน้างานสะอาด ส่งงานเร็ว” เดินหน้าสร้างการรับรู้เจาะกลุ่มเป้าหมาย B2B ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 223 ล้านบาท

“เอสซีจี บิลดิ้งเทค” เปิดตัว “ระบบผนัง ฟูลฟิลล์ วอลล์” รุกตลาดผนังภายในสำหรับอาคารสูง ชูจุดเด่น “แข็งแรง ติดตั้งง่าย หน้างานสะอาด ส่งงานเร็ว” เดินหน้าสร้างการรับรู้เจาะกลุ่มเป้าหมาย B2B ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 223 ล้านบาท

กรุงเทพฯ - “เอสซีจี บิลดิ้งเทค” (SCG Building Tech) เดินหน้ารุกตลาดผนังภายในสำหรับอาคารสูง ผนึกพันธมิตร สยามอิมเมจดีเวลลอปเม้นท์ ร่วมเปิดตัว “ระบบผนังอิฐมวลเบาเสริมโครงเหล็ก ฟูลฟิลล์ วอลล์” (FULFiLwall System) ชูจุดเด่น “แข็งแรง ติดตั้งง่าย หน้างานสะอาด ส่งมอบงานเร็ว” ด้วยนวัตกรรมปูนสูตรพิเศษ และนวัตกรรมการกรอกปูนแบบมัลติเลเยอร์ (Multi-Layer) ลิขสิทธิ์เฉพาะรายแรกและรายเดียวของไทย พร้อมบริการออกแบบ ติดตั้ง และตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ มั่นใจช่วยยกระดับมาตรฐาน การก่อสร้าง ตอบความต้องการตลาดที่ต้องการสินค้าที่ติดตั้งได้รวดเร็ว และตอบโจทย์ปัญหาขาดแคลนแรงงานฝีมือ เตรียมเดินหน้าสร้างการรับรู้เจาะกลุ่มผู้รับเหมา และดีเวลลอปเปอร์กลุ่มงานอาคารแนวดิ่ง ตั้งเป้าหมาย ปี 59 ประเดิมยอดขาย 223 ล้านบาท นายสราวุฒิ สำราญทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ–มาร์เก็ตติ้ง เฮ้าส์ซิ่ง บิสซิเนส ธุรกิจ เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เปิดเผยว่า จากแนวทางการดำเนินธุรกิจของ “เอสซีจี บิลดิ้งเทค” (SCG Building Tech) ที่เน้นตอบแนวโน้มผู้ประกอบการในตลาดที่ต้องการสินค้าที่มีนวัตกรรม ทันสมัย มีคุณภาพ และติดตั้งได้รวดเร็ว มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้างใหม่ๆ เพื่อลดปัญหาด้านการก่อสร้าง ตลอดจนช่วยลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานฝีมือ ล่าสุดจึงได้ร่วมกับ บริษัท สยามอิมเมจดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในฐานะพันธมิตรทางธุรกิจ แนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ “ระบบผนังอิฐมวลเบาเสริมโครงเหล็ก ฟูลฟิลล์ วอลล์” (FULFiLwall System) นวัตกรรมระบบก่อสร้างผนังภายในสำหรับอาคารสูง ภายใต้แบรนด์ “เอสซีจี บิลดิ้งเทค” ที่มีการเปิดตัวเข้าสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ “ปัจจุบันธุรกิจอาคารทั้งคอนโดมิเนียมและโรงแรมที่มีการแข่งขันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการจึงต้องการเทคโนโลยีที่สามารถช่วยลดระยะเวลาในการก่อสร้าง ลดต้นทุนแฝง และลดการพึ่งพาแรงงานฝีมือ แต่ยังคงคุณภาพที่ได้มาตรฐาน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ดังนั้น เอสซีจี บิลดิ้งเทค จึงร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ แนะนำระบบก่อสร้างผนังภายในสำหรับอาคารสูงที่ตอบโจทย์ข้างต้น โดยพัฒนายกระดับการก่อสร้างจากการก่ออิฐฉาบปูนเป็นระบบผนังแบบหล่อในที่ (Stay In Place) ปัจจุบันตลาดระบบผนังภายในสำหรับอาคารสูงมีสัดส่วนเป็นระบบการก่อสร้างแบบก่ออิฐฉาบปูน 96% และเป็นระบบผนังรูปแบบอื่นๆ 4% จึงเป็นตลาดที่น่าจับตามองและเป็นโอกาสที่เราจะแนะนำนวัตกรรมการก่อสร้างระบบใหม่เข้าสู่ตลาด” นายสราวุฒิ กล่าว ด้านนายประกาญจน์ อัยยะภาคย์ ผู้อำนวยการการตลาด ซิสเต็ม แอนด์ โซลูชั่น ธุรกิจ เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กล่าวว่า เอสซีจี บิลดิ้งเทค ร่วมกับ พันธมิตรทางธุรกิจ แนะนำ “ระบบผนังอิฐมวลเบาเสริมโครงเหล็ก ฟูลฟิลล์ วอลล์” (FULFiLwall System) นวัตกรรมระบบผนังยุคใหม่ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการก่อสร้างให้กับผู้ประกอบการหรือผู้รับเหมาที่ต้องการการส่งมอบงานที่เร็วขึ้นกว่า 30% และช่วยลดต้นทุนแฝง เมื่อเทียบกับระบบการก่อสร้างแบบก่ออิฐฉาบปูน หน้างานสะอาดเพราะเป็นระบบหล่อในที่ด้วยการก่อสร้างแบบกึ่งแห้ง (Stay In Place) โดยสามารถออกแบบผนังกันเสียงที่มีความหนาของผนังน้อยกว่าผนังก่ออิฐทั่วไป ช่วยเพิ่มพื้นที่ให้กับห้องและอาคาร ในขณะที่ยังคงความแข็งแรงตามมาตรฐานสากล ยึดแขวนของได้มากกว่า 50 กก.ต่อจุด และกันเสียงได้ตั้งแต่ 40-66 เดซิเบล (ตามการออกแบบ) รับแรงสั่นสะเทือนได้มากกว่า 6 ริคเตอร์ นอกจากนี้ยังสามารถออกแบบผนังให้สูงได้ถึง 9 เมตร โดยมีการใช้ นวัตกรรมปูนสูตรพิเศษ ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับวิธีการติดตั้งระบบผนัง ฟูลฟิลล์ วอลล์ โดยเฉพาะ คือใช้ระยะเวลาในการเซ็ทตัวเพียง 1.30 นาที เร็วกว่าปูนซีเมนต์ทั่วไปถึง 95% ทำให้สามารถควบคุมระนาบผนังให้เรียบสวย เนื้อปูนเกาะเป็นเนื้อเดียวกันแม้มีการกรอกเพิ่มเติมภายหลัง ปูนมีความหนาแน่นเทียบเท่าอิฐมวลเบา G4 และทนไฟได้นานถึง 2 ชั่วโมง 45 นาที อีกทั้งยังได้รับลิขสิทธิ์ นวัตกรรมการกรอกผนังฟูลฟิลล์ วอลล์แบบมัลติเลเยอร์ (Multi-Layer) เป็นรายแรกและรายเดียวในไทย ซึ่งช่วยลดแรงดันที่เกิดจากการเทปูนลงในผนัง ลดการปูดบวม และควบคุมระนาบของผนังให้เรียบสวย ผนังตรงได้ฉาก นอกจากนวัตกรรมการก่อสร้างที่เป็นจุดแข็งแล้ว ยังมีบริการเบ็ดเสร็จครบวงจร ตั้งแต่ให้คำปรึกษา ออกแบบ ติดตั้ง ตรวจสอบคุณภาพ และรับประกัน จากผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ พร้อมวางกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มผู้รับเหมา และดีเวลลอปเปอร์ กลุ่มงานอาคารแนวดิ่ง ได้แก่ คอนโดมิเนียม โรงแรม และอพาร์ทเม้นต์ ที่ต้องการงานก่อสร้างที่รวดเร็วและมีคุณภาพ โดยผู้ที่สนใจสามารถติดต่อรับบริการได้ที่เอสซีจี คอนแทค เซ็นเตอร์ โทร. 02-586-2222 หรือร้านผู้แทนจำหน่ายเอสซีจีทั่วประเทศ ทั้งนี้ที่ผ่านมาเราได้รับความไว้วางใจจากองค์กรธุรกิจชั้นนำหลายองค์กรในการก่อสร้างระบบผนังภายในโครงการต่างๆ อาทิ blu ชะอำ-หัวหิน คอนโดมิเนียม ของบริษัทร่วมอิสสระ จำกัด, The Zea ศรีราชา ของบริษัท เวลธ์ ดีเวลลอปเปอร์ จำกัด และ เดอะแกรนด์ AD จอมเทียน/AD หัวหิน ของบริษัท เอ.ดี.เฮ้าส์ จำกัด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโครงการที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างอีกหลายโครงการ “เนื่องจากระบบผนังอิฐมวลเบาเสริมโครงเหล็ก ฟูลฟิลล์ วอลล์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นกลุ่มเป้าหมายแบบ B2B ดังนั้นบริษัทจึงได้เริ่มผลักดันการขายนับตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เกิด Reference Site ตอกย้ำความเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์ก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่งต่อจากนี้ก็จะเดินหน้าสร้างการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมายต่อไป โดยเน้นสื่อสารถึงจุดเด่นและนวัตกรรมของระบบผนังที่ทำให้การก่อสร้างง่ายและรวดเร็วกว่าการก่อสร้างในรูปแบบเดิม หน้างานสะอาด ส่งงานเร็ว ลดต้นทุนแฝง อีกทั้งยังมีบริการการติดตั้งครบวงจร ผ่านการออกบูธจัดแสดงเกี่ยวกับงานก่อสร้าง อีกทั้งยังมีการประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อดิจิตอล ตลอดจนอัพเดทข้อมูลในเว็บไซต์www.scgbuildingmaterials.com โดยเรามั่นใจว่าหลังการแนะนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดอย่างเป็นทางการ จะทำให้ได้รับผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมาย โดยตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 223 ล้านบาท หรือคิดเป็น 320,000 ตร.ม. ทั้งนี้นอกจากการเปิดตัวระบบผนังอิฐมวลเบาเสริมโครงเหล็ก ฟูลฟิลล์ วอลล์ เข้าสู่ตลาดแล้ว หลังจากนี้ทางเอสซีจี บิลดิ้งเทค ยังมีแผนในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นโซลูชั่นสำหรับผนังในรูปแบบอื่นๆ อาทิ S Wall, Precast เข้าสู่ตลาดอย่างเป็นทางการต่อไป เพื่อตอบวิสัยทัศน์ในการเป็นแบรนด์สินค้าเทคโนโลยีระบบก่อสร้าง ที่ตอบโจทย์งานก่อสร้างที่รวดเร็ว คุณภาพสูง แก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอนาคต” นายสราวุฒิ กล่าวสรุป
กรุงเทพฯ เป็นแหล่งรวมแบรนด์สินค้าอินเตอร์มากที่สุดอันดับที่ 18 ของโลก

กรุงเทพฯ เป็นแหล่งรวมแบรนด์สินค้าอินเตอร์มากที่สุดอันดับที่ 18 ของโลก

กรุงเทพฯ 11 พฤษภาคม 2559 - รายงานการศึกษาตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทศูนย์การค้าจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล (โจนส์ แลง ลาซาลล์) เปิดเผยว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีแบรนด์ระหว่างประเทศสนใจเข้ามาเปิดร้านจำหน่ายสินค้ามากที่สุดเป็นอันดับที่ 18 ของโลก รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุด้วยว่า หัวเมืองใหญ่ของเอเชียเป็นทำเลที่ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมให้ความสนใจมาก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมระดับหรู รายงานฉบับดังกล่าวของเจแอลแอล วิจัยตลาดศูนย์การค้าในเมืองสำคัญๆ 140 เมืองทั่วโลก โดยพิจารณาความน่าสนใจในการดึงดูดให้ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมระหว่างประเทศเข้ามาเปิดร้านจำหน่ายสินค้า เมืองที่มีแบรนด์สินค้าอินเตอร์สนใจเปิดร้านวางจำหน่ายสินค้ามากที่สุด 20 อันดับแรกของโลก ลอนดอน ฮ่องกง ปารีส ดูไบ นิวยอร์ค เซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ ปักกิ่ง คูเวตซิตี้ โตเกียว อาบูดาบี ไทเป เจดดาห์ ริยาดห์ โซล ลอสแองเจลิส มอสโคว์ กรุงเทพฯ ลาสเวกัส โอซากา ที่มา – เจแอลแอล ในบรรดา 10 เมืองที่มีจำนวนแบรนด์สินค้าระหว่างประเทศสนใจเปิดร้านมากที่สุดในโลก เป็นเมืองจากเอเชีย 5 เมือง ได้แก่ ฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ ปักกิ่ง และโตเกียว โดยเฉพาะฮ่องกง ติดอันดับที่ 2 เป็นรองเฉพาะแต่ลอนดอน กรุงเทพฯ ติดอันดับ 18 ของโลก ชื่อเสียงของกรุงเทพฯ ในฐานะแหล่งช็อปปิ้งยอดนิยมสำหรับสินค้าแฟชั่นกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยขณะนี้ ติดอยู่ในอันดับที่ 18 ของเมืองที่ผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแบรนด์เนมระหว่างประเทศต้องการเข้ามาเปิดร้านวางจำหน่ายสินค้ามากที่สุด แซงหน้าลาสเวกัสของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 19 การที่ประชากรมีกำลังซื้อเพิ่มสูงขึ้นและการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจากทั่วทุกมุมโลก ทำให้มีแบรนด์สินค้าระดับโลกหลากหลายแบรนด์เข้ามาเปิดร้านจำหน่ายสินค้าที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น H&M, Zara Home, Pull & Bear และ Victoria’s Secret ตามมาด้วย Dior Homme, Pierre Hermé, A Bathing Ape และ Tiffany & Co. ซึ่งเพิ่งเข้ามาเมื่อไม่นานมานี้ ราชประสงค์นับเป็นศูนย์กลางย่านศูนย์การค้าของกรุงเทพฯ มีแบรนด์สินค้าระหว่างประเทศหลากหลายแบรนด์เข้ามาเปิดร้านจำหน่ายสินค้า และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมาก จากการมีทำเลในใจกลางเมืองและเข้าถึงได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้า ในย่านนี้ มีศูนย์การค้ารวม 7 แห่ง รวมถึงศูนย์การค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด อาทิ สยามพารากอน เซ็นทรัลเวิลด์ และสยามสแควร์วัน ในขณะเดียวกัน การเปิดตัวของเอ็มควอร์เทียร์, เซ็นทรัล เวสต์เกต และเซ็นทรัลเฟสติวัล อิสต์วิลล์ ในทำเลรอบนอกของย่านศูนย์การค้าหลัก ยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้แบรนด์สินค้าระหว่างประเทศมีช่องทางขยายร้านจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น โอกาสที่จะมีแบรนด์สินค้าระหว่างประเทศเข้ามาเปิดร้านจำหน่ายสินค้าในกรุงเทพฯ ยังมีอีกมาก เนื่องจากตลาดศูนย์การค้าของกรุงเทพฯ ยังคงมีการขยายตัว ดังจะเห็นตัวอย่างได้จากกลุ่มเซ็นทรัลที่มีแผนเปิดศูนย์การค้าอีกหลายโครงการในเขตกรุงเทพฯ ชั้นนอก เมืองใหญ่ของเอเชียดึงดูดแบรนด์หรูได้มากที่สุดในโลก รายงานฉบับเดียวกันของเจแอลแอล ได้แยกย่อยการศึกษาแบรนด์สินค้าเฉพาะกลุ่มระดับหรูด้วย และพบว่ามีเมืองในเอเชียมากถึง 7 เมืองที่ติด 10 อันดับแรกที่มีจำนวนแบรนด์สินค้าระดับหรูหราเปิดร้านมากที่สุด ได้แก่ ฮ่องกง โตเกียว เซี่ยงไฮ้ สิงคโปร์ ปักกิ่ง โอซาก้า และไทเป 10 อันดับของเมืองที่มีแบรนด์สินค้าระดับหรูเปิดร้านวางจำหน่ายสินค้ามากที่สุดในโลก 1 ลอนดอน 2 ฮ่องกง 3 ปารีส 4 โตเกียว 5 นิวยอร์ค 6 เซี่ยงไฮ้ 7 สิงคโปร์ 7 ดูไบ 9 ปักกิ่ง 10 โอซากา 10 ไทเป ที่มา – เจแอลแอล นายเจมส์ แอสเซอร์สัน ผู้อำนวยการฝ่ายบริการธุรกิจศูนย์การค้าภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกของเจแอลแอล กล่าวว่า “ฮ่องกงยังคงเป็นแหล่งช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์หรูชั้นนำในเอเชียแปซิฟิก แม้ยอดขายสินค้าแบรนด์หรูจะชะลอตัวลงค่อนข้างมากจากผลกระทบของการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน แต่ฮ่องกงยังคงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนที่มีกำลังซื้อสูงเข้ามาได้เป็นจำนวนมาก” “ในภาพรวม การที่เมืองของเอเชียติดอันดับต้นๆ ที่แบรนด์สินค้าหรูให้ความสนใจ เป็นผลมาจากการขยายตัวของชนชั้นกลางและกำลังการซื้อที่สูงขึ้นในภูมิภาค” นายแอสเซอร์สันอธิบาย ที่โตเกียวซึ่งอยู่ในอันดับที่ 4 ของโลก ความต้องการพื้นที่ร้านค้าในศูนย์การค้าชั้นดีจากผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าแบรนด์หรูระดับโลกเริ่มฟื้นตัวตามการปรับตัวดีขึ้นของแนวโน้มเศรษฐกิจและการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ ค่าเงินเยนที่ปรับตัวลดลงไปแล้วเกือบ 30% นับตั้งแต่ปี 2555 ทำให้ญี่ปุ่นสามารถดึงดูดนักชอปที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติได้มากขึ้น โดยในปี 2558 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 47% จากปีก่อนหน้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากจีน เซี่ยงไฮ้อยู่ในดับ 6 ของเมืองที่เป็นแหล่งรวมแบรนด์สินค้าระดับหรูมากที่สุดในโลก “มีแบรนด์สินค้าหรูระดับโลกจำนวนมากที่สนใจเข้ามาเปิดร้านในเซี่ยงไฮ้ เนื่องจากประชากรในเมืองนี้มีกำลังซื้อสูง โดยบางแบรนด์ใช้เซี่ยงไฮ้เป็นสถานที่ทดสอบตลาดจีน และเป็นฐานในการเสริมสร้างชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นในหมู่นักช็อปชาวจีน นอกจากนี้ สินค้าแบรนด์เนมระดับหรูของโลกบางแบรนด์ที่ไม่มีขายในฮ่องกง สามารถพบเห็นได้ที่เซี่ยงไฮ้” นายแอสเซอร์สันกล่าว นายแอสเซอร์สันกล่าวว่า “สินค้าแบรนด์เนมระดับหรูจะสามารถขายได้มากน้อยเพียงใดในแต่ละเมือง ไม่ได้ขึ้นอยู่เฉพาะกับสภาพเศรษฐกิจของเมืองนั้นๆ แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ ด้วย อาทิ จำนวนนักท่องเที่ยว และการขยายตัวของรายได้ประชากร ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า รายได้ของประชากรในเมืองส่วนใหญ่ของเอเชียจะมีการขยายสูงในช่วง 15 ปีข้างหน้า ซึ่งหมายความว่า การจับจ่ายซื้อสินค้าแบรนด์เนมหรูในเอเชียยังมีโอกาสขยายตัว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อภายในประเทศหรือในต่างประเทศ”
วินด์เซอร์ เปิดตัวระบบประตูหน้าต่างรุ่น “Smart Series” เจาะกลุ่มลูกค้าบ้านสร้างใหม่ และกลุ่มบ้านเก่า พร้อมปล่อยหมัดเด็ด ประสิทธิภาพสูงในราคาที่ใครๆ ก็เอื้อมถึง

วินด์เซอร์ เปิดตัวระบบประตูหน้าต่างรุ่น “Smart Series” เจาะกลุ่มลูกค้าบ้านสร้างใหม่ และกลุ่มบ้านเก่า พร้อมปล่อยหมัดเด็ด ประสิทธิภาพสูงในราคาที่ใครๆ ก็เอื้อมถึง

วินด์เซอร์ (WINDSOR) ผู้พัฒนาระบบประตูหน้าต่างไวนิลเจ้าแรกของเมืองไทย เปิดตัว “SMART Series” ระบบประตูหน้าต่างรุ่นใหม่ พร้อม 3 เทคโนโลยีสุดล้ำเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย ระบบ Z-Lock ระบบ smart clip และระบบ fast frame technology ที่ครบครันด้วยคุณภาพในราคาที่ไม่สูงเกินเอื้อม นายธีรัตถ์ อุทยานัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท นวพลาสติกอุตสาหกรรม จำกัด ผู้ผลิตประตูหน้าต่างไวนิล ภายใต้แบรนด์ WINDSOR เปิดเผยว่า WINDSOR ได้เปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ล่าสุด “SMART Series” ระบบประตูหน้าต่างรุ่นใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The revolutionary windows and doors” การปฏิวัติระบบประตูหน้าต่าง และยกมาตรฐานความปลอดภัยของผู้อยู่อาศัย ด้วย 3 เทคโนโลยีสุดล้ำ ที่ อาทิ ระบบ Z-Lock ระบบ smart clip และ ระบบ fast frame technology เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่มองหาระบบประตูหน้าต่างสำเร็จรูปที่ครบครันด้วยคุณภาพ การพัฒนาสินค้ารุ่นใหม่ “Smart Series” ขึ้นมาเพื่อลดข้อบกพร่องของสินค้าแบบเดิมซึ่งอาจจะ ก่อให้เกิดปัญหา อาทิ  น้ำรั่ว ฝุ่นเข้า เป็นต้น ซึ่งวินด์เซอร์ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวจึงได้ พยายามคิดออกแบบและพัฒนาสินค้าระบบประตูหน้าต่างรุ่น SMART Series ขึ้น ด้วยการใช้วัสดุไวนิลสูตรพิเศษที่แข็งแรง คงทน และคงภาพสีเดิมไว้ตลอดอายุการใช้งาน ผสมผสานกับดีไซน์ ที่สวยงาม ในราคาที่ไม่สูงเกินไป นายธีรัตถ์ กล่าวถึงรายละเอียดของระบบประตูหน้าต่างรุ่น “SMART Series”  ว่า วินด์เซอร์ต้องการสร้างมาตรฐานใหม่ที่ดีเกี่ยวกับประตูหน้าต่าง เราได้พัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพที่ดีขึ้นในราคาที่ย่อมเยา เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยสินค้ารุ่นใหม่นี้ สามารถตอบโจทย์ทั้งกลุ่มบ้านที่สร้างใหม่ และกลุ่มลูกค้าบ้านเก่าที่ต้องการเปลี่ยนประตูหน้าต่างใหม่ นอกจากนี้ทางวินด์เซอร์ ได้ขยายการบริการสำหรับกลุ่มเจ้าของบ้านเก่า คือ “วินด์เซอร์ ฟาสต์ รีนิว” (WINDSOR Fast Renew) ด้วยการนำระบบ Fast Frame Technology เข้ามาใช้ในการเปลี่ยนประตู หน้าต่างเก่า ให้เป็นประตูหน้าต่างไวนิลใหม่ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่วินด์เซอร์ พัฒนาขึ้นและเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ที่เดียวในประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหา การชำรุด ผุพังของบานประตู หน้าต่าง ประตู หน้าต่างเปิด-ปิด ลำบาก เป็นต้น โดยยังคงโครงสร้างวงกบไม้เดิมไว้ และใช้โครงใหม่ครอบและยึดไว้ด้วยอุปกรณ์พิเศษ ทำให้หน้าต่างใหม่มีความแข็งแรง ทนทาน และสวยงามมากขึ้น สามารถเปลี่ยนหน้าต่างเก่าให้สวยใหม่ ได้ภายใน 1 วัน โดยที่ไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัยในบ้าน นายธีรัตถ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับกลุ่มเจ้าของบ้านใหม่ ระบบประตูหน้าต่าง SMART Series ใช้ 3 เทคโนโลยีพิเศษ ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เหนือกว่าสินค้าที่ขายอยู่ในท้องตลาดปัจจุบัน รวมทั้งใช้วัสดุไวนิลสูตรพิเศษ (WINDSOR Advance Vinyl) ที่คิดค้นเพื่อรองรับสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นสูงของเมืองไทยโดยเฉพาะ จึงมีความทนทานต่อ ความร้อน แสงแดดและความชื้น ช่วยยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น ประกอบด้วย ระบบ z-lock : ระบบหน้าต่างบานเลื่อนทั่วไป ระบบการเกี่ยวบานจะทำหน้าที่แค่ “เกี่ยว” เท่านั้น เมื่อลมพัดแรง หรือเอามือไปเขย่า จะรู้สึกว่าไม่แน่น บานจะกระทบกันเสียงดัง ด้วยระบบ Z-LOCK TECHNOLOGY ที่ออกแบบระบบ เสาเกี่ยว หรือ อินเตอร์ล็อค ที่สามารถขัดตัวเองกันจนแน่นเมื่อปิดบาน บานจะแน่น เขย่าแล้วไม่สั่น อากาศและฝุ่นจะผ่านเข้าออกได้น้อยมาก ส่งผลให้กันเสียงดีขึ้น คุณภาพชีวิตในการพักผ่อนก็จะดีขึ้นด้วย ซึ่ง SMART Series เป็นหน้าต่างบานเลื่อนระบบเดียวในสินค้าระดับราคาเท่ากันที่มีเทคโนโลยีการป้องกันระดับพรีเมียม ระบบ smart clip : เป็นนวัตกรรมการติดตั้งที่ช่วยให้ติดหน้าต่างได้แข็งแรงขึ้น เร็วขึ้น โดยไม่เหลือรูเจาะสกรูอยู่บนวงกบ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดเสี่ยงน้ำรั่ว เมื่อไม่มีการเจาะรู ความเสี่ยงต่อปัญหาน้ำรั่วจึงไม่เกิด  และวัสดุคลิปและสกรูนี้ เป็นเทคโนโลยีสูงระดับเดียวกับอากาศยาน ซึ่งวินด์เซอร์สามารถเสนอการรับประกันตลอดอายุการใช้งาน ระบบ fast frame technology : ระบบวงกบที่ติดตั้งด้วยวิธีครอบช่องปูน และมีคิ้วประดับวงกบเข้าชุด สามารถติดตั้งประตูหน้าต่างให้ตรงได้ระนาบ เนื่องจากมีปีกด้านนอกบ้าน และมีคิ้วประดับวงกบด้านในบ้าน สามารถครอบช่องปูนได้ทุกด้าน แม้ว่าช่องปูนจะฉาบมาไม่ได้ดิ่งฉาก ทำให้ติดตั้งได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำขึ้น นายธีรัตถ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สินค้าใหม่ที่ทาง WINDSOR ได้พัฒนาขึ้นนี้ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในงานสถาปนิก  โดยมีลูกค้าลงทะเบียนสนใจจองในงานเกือบ 300 คน หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 11 ล้านบาท และในช่วงการเปิดตัวสินค้าใหม่ในช่วงแรกนี้ ทาง WINDSOR ขอมอบโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับลูกค้าที่สนใจซื้อ สินค้าประตูหน้าต่างรุ่นใหม่ล่าสุด ! “ระบบประตูหน้าต่าง รุ่น สมาร์ทซีรี่ย์ ในราคาพร้อมติดตั้งเริ่มต้นที่ 3,000 บาทต่อตารางเมตร พร้อมส่วนลดถึง 500 บาทต่อ ตรม. สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-555-0333 หรือ facebook.com/windsorpage