Tag : LivingProducts

216 ผลลัพธ์
RUARK AUDIO รุกตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ส่งความบันเทิงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รับเทรนด์ตลาดบ้านหรู

RUARK AUDIO รุกตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ส่งความบันเทิงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รับเทรนด์ตลาดบ้านหรู

RUARK AUDIO แบรนด์ดังจากอังกฤษ เปิดตัวลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะอัจฉริยะ 5 รุ่นใหม่ R1S, R2, R3S, MR1 และ R410 รุกตลาดเครื่องเสียงระดับลักซ์ชัวรี่เมืองไทย รับเทรนด์ตลาดบ้านหรูโตแรง เตรียมส่งนวัตกรรมแห่งพลังเสียง พร้อมสัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงเหนือระดับ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ครอบครัวยุคใหม่     RUARK AUDIO นายลักษณ์วัตร์ เหรียญเจริญสุข ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและพัฒนาธรุกิจ บริษัท โคแอน จำกัด เปิดเผยว่า เทรนด์การเลือกที่อยู่อาศัยของครอบครัวยุคใหม่เน้นมองหาบ้านที่สะท้อนความสำเร็จของชีวิต และใส่ใจในการออกแบบที่หรูหรา เรียบง่าย และโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่งผลให้ดีมานด์ในตลาดบ้านหรูเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โดยการขยายตัวดังกล่าวมา สะท้อนจากตัวเลขการเติบโตของตลาดบ้านหรู   RUARK AUDIO แบรนด์ลำโพงและเครื่องเสียงชั้นนำระดับโลกจากประเทศอังกฤษ ผู้นำนวัตกรรมและความบันเทิงภายในบ้านในครั้งนี้ นำโดยลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะอัจฉริยะรุ่นใหม่ R1S, R2,R3S, MR1 และ R410 ที่มาพร้อมสโลแกน Ruark Audio - A passion for sound ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ชูจุดเด่นด้วยความมินิมอล คลาสสิก เน้นโทนสีเรียบง่าย เรียบหรู ดูทันสมัย เหมาะกับทุกการออกแบบภายในบ้าน ให้ความรู้สึกลักซ์ชัวรีเป็นเสมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเด่นรับกับเทรนด์ตลาดบ้านหรูที่เติบโตอย่างมากในประเทศไทย   โดยในปีนี้ เราจะเน้นสื่อสารการตลาดให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจสินค้า และเห็นความโดดเด่นของสินค้า อีกทั้งยังจะพัฒนาระบบการซื้อขายหรือบริการหลังการขายให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภครักที่ในเสียงเพลงได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่และเกิดความพึงพอใจมากที่สุด” นายลักษณ์วัตร์ กล่าว   สำหรับความพิเศษของ Ruark Audio แบรนด์ลำโพงชั้นนำจากประเทศอังกฤษ ที่เดินทางมายาวนานถึง 38 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1985 โดยแบรนด์เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของครอบครัว O’Rourke ที่มีใจรักต่อเสียงดนตรี จากนั้นในปี 2006 ได้เปิดตัว “the R1” ที่ถือได้ว่าเป็นลำโพงตั้งโต๊ะตัวแรก ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ที่ชื่นชอบการฟังเพลง และต่อมาได้มีการวิจัยและพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด   นายริชาร์ด แมคคินนีย์ Ruark Audio Sale Director กล่าวว่า แผนการตลาด RUARK AUDIO ในประเทศไทย ตั้งเป้าสร้างการรับรู้แบรนด์และภาพลักษณ์ผ่านการประชาสัมพันธ์ โดยชูจุดขายด้วยลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะรุ่นใหม่ R1S, R2, R3S, MR1 และ R410 ที่ได้รับการอัปเกรดฟังก์ชันการทำงานให้ตอบโจทย์การใช้งาน พร้อมกำหนดมาตรฐานคุณภาพของเสียงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังมีแผนที่จะทำคอนเทนต์และถ่ายทอดประสบการณ์การใช้งานสินค้าจริงผ่านทาง Social Media พร้อมชูกลยุทธ์ทำการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์   โดยร่วมกับพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำมากมาย อาทิ dotlife, iStudio, Asavasopon, Central Department Store, Power Buy, Power Mall, Munkong Gadget และร้านค้าอื่น ๆ เพื่อทำให้แบรนด์ขยายตลาดสู่กลุ่มผู้บริโภคได้รวดเร็วขึ้น ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างและลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าของ Ruark Audio ได้มากขึ้น  สำหรับไฮไลต์ผลิตภัณฑ์จาก Ruark Audio ที่เปิดตัวภายในงาน เป็นลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะอัจฉริยะ 5 รุ่นใหม่ ดังนี้   รุ่น R1S มาพร้อมการดีไซน์สุดคลาสสิก ออกแบบด้วยโทนสีไม้และเฉดสีเทาแบบใหม่เพื่อให้ความรู้สึกหรูหรา จึงทำให้กลมกลืนเข้ากับการตกแต่งของบ้านในทุกสไตล์ ผสานกับพลังเสียงสมจริงเหนือระดับ พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth ยังมีฟังก์ชันจดจำอุปกรณ์ได้สูงสุด 6 เครื่อง และอีกหนึ่งคุณสมบัติเด่นของ R1S คือจอแสดงผล TFT สีเต็มรูปแบบ ที่แสดงเวลา การเตือน และข้อมูลรายการอย่างชัดเจน พร้อมมีเซ็นเซอร์วัดแสงที่ช่วยปรับหน้าจอให้เหมาะกับระดับแสงแบบอัตโนมัติ ทำให้สามารถวางไว้ข้างเตียงได้โดยไม่รบกวนการพักผ่อน    รุ่น R2 มาพร้อมระบบเสียงสเตอริโอที่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก สามารถใช้งานผ่านตัวควบคุม RotoDial และหน้าจอ LCD รองรับการสตรีมเพลงผ่านแอปพลิเคชัน Spotify, Deezer และ Amazon Music พร้อมสามารถเชื่อมต่อ Bluetooth กับเครื่องรับวิทยุ DAB, FM และอินเทอร์เน็ตได้ ส่วนด้านการดีไซน์รุ่นนี้มีรูปทรงเพรียวบางหรูหรา ทำให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีเพื่อใช้สำหรับการตกแต่งพื้นที่ภายในบ้านของทุกคน    รุ่น R3S ด้านการดีไซน์ยังคงรักษามาตรฐานและเอกลักษณ์เฉพาะแบบดังเดิมไว้ เน้นความเรียบหรู ทันสมัย พร้อมมีการปรับปรุงคุณภาพของเสียงให้ดีขึ้น และยังเพิ่มการประมวลผลเสียง STEREO+  ซึ่งจะทำให้การถ่ายทอดทุกรายละเอียดเสียงมีความคมชัด นุ่มลึก และสมจริง นอกจากนี้ R3S ยังมีตัวรับสัญญาณ Bluetooth 5 รุ่นใหม่ที่ใช้เฟิร์มแวร์ 5.2 ล่าสุด ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนฟังก์ชัน Bluetooth ยังสามารถทำงานร่วมกับการควบคุมระดับเสียงบนสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตได้อย่างราบรื่นอีกด้วย    รุ่น MR1 เป็นรุ่นที่เปิดตัวในปี 2013 โดยระบบลำโพงสเตอริโอ Bluetooth MR1 ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นระบบที่ดีที่สุด พร้อมชูจุดขายด้วยดีไซน์ที่กะทัดรัด ทำให้ดึงดูดลูกค้าที่ใส่ใจในการออกแบบมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสี Rich Walnut สุดคลาสสิกหรือสีเทา Soft Grey ที่ได้รับการออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์ร่วมสมัยและเสียงที่ยอดเยี่ยมในการใช้งาน พร้อมเหมาะจะตั้งไว้ในหลากหลายสถานที่   รุ่น R410 มีหัวใจหลักเป็นโปรเซสเซอร์ที่ทรงพลัง สามารถรองรับไฟล์เสียงที่มีความละเอียดสูง รวมถึงการสตรีมมิ่งในตัวผ่าน Spotify, Tidal Connect, Apple Airplay 2 และ Chromecast สามารถเชื่อมต่อ aptX HD Bluetooth กับเครื่องรับวิทยุ DAB, DAB+, FM และอินเทอร์เน็ต ด้านการดีไซน์เน้นความมินิมอลเรียบง่าย ด้วยโทนสีสบายตา ทำให้รู้สึกถึงความผ่อนคลาย พร้อมออกแบบจัดวางหน้าจอแสดงผลในแนวตั้ง เพื่อเลียนแบบวิธีการดูรายการเพลงบนสมาร์ตโฟน จึงทำให้ใช้งานง่ายและสะดวกสบาย ผู้ที่สนใจสามารถเป็นเจ้าของลำโพงและเครื่องเสียงคุณภาพระดับพรีเมียมจาก RUARK AUDIO ได้แล้ววันนี้ โดยราคาเริ่มต้นที่รุ่น R1S ราคา 16,990 บาท, รุ่น R2 และ MR1 ราคา 20,990 บาท, รุ่น R3S ราคา 39,990 บาท และ รุ่น R410 ราคา 67,900 บาท (ยังไม่มีวางจำหน่าย) โดยทุกรุ่นจะมีการรับประกันทุกชิ้นส่วน นานสูงสุด 2 ปีเต็ม* มีจัดจำหน่ายที่ร้าน dotlife จำนวน 5 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, สยามพารากอน, ไอคอนสยาม, เมกาบางนา และเซ็นทรัล ภูเก็ต และที่ Showroom Asavasopon จำนวน 4 สาขา ได้แก่ สยามพารากอน, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลอีสต์วิลล์ และรามคำแหง หรือสามารถสั่งซื้อได้ผ่านช่องทางออนไลน์ ได้ที่ www.dotlife.store หรือ www.asavasopon.co.th   บทความน่าสนใจ KEF เผยโฉม LS50 Meta และ LS50 Wireless II ลำโพงสองรุ่นแรกที่พ่วงเทคโนโลยีดูดซับเสียงสะท้อนแบบใหม่ล่าสุด เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia  
ทอสเท็ม เปิดโรงงาน 400 ไร่ โชว์ศักยภาพการผลิต และชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ (TOSTEM Innovation Center)

ทอสเท็ม เปิดโรงงาน 400 ไร่ โชว์ศักยภาพการผลิต และชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ (TOSTEM Innovation Center)

TOSTEM เปิดให้ชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม (TOSTEM Innovation Center) ที่โชว์จุดเด่นของการดีไซน์ ออกแบบ ประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ พร้อมเปิดโรงงานโชว์นวัตกรรมและแทคโนโลยีในการผลิต นวัตกรรมที่ทันสมัยของผลิตภัณฑ์ ที่มีศักยภาพการผลิตประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมครบวงจร ตั้งแต่การขึ้นรูปอะลูมิเนียม ไปจนถึงการชุบเคลือบผิวด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ที่เป็นหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมการชุบสีอะลูมิเนียมด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD   TOSTEM Innovation Center นายวิชา วรสายัณห์ ลีดเดอร์ กลุ่มธุรกิจเฮาส์ซิ่งเทคโนโลยี บริษัท แอล เอช ที เอเซีย เซลส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมแบรนด์ ทอสเท็ม (TOSTEM) เปิดเผยว่า ศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม (TOSTEM Innovation Center) เป็นศูนย์นวัตกรรมที่จัดสร้างขึ้นเพื่อแสดงผลิตภัณฑ์ของ TOSTEM โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอจุดเด่นของการออกแบบ ประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการติดตั้งบานประตู-หน้าต่างของ TOSTEM ไว้ภายใน TOSTEM Innovation Center แห่งนี้   โดยผลิตภัณฑ์ที่จัดแสดงภายใน มีทั้งประตู หน้าต่าง รั้ว ประตูรั้วที่ผลิตจากอะลูมิเนียมภายใต้แบรนด์ TOSTEM ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในตลาดอาเซียน นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นให้ลูกค้าโครงการ สถาปนิก ได้สัมผัสก่อนใคร เพื่อให้ผู้รับชมมีความเข้าใจ พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ให้พนักงานทุกคนของ TOSTEM และตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม สามารถเข้ามาเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้อีกด้วย   ภายใน Innovation Center แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.Material Board (Disassemble) เป็นบอร์ดสำหรับอธิบายคุณสมบัติ และส่วนประกอบต่างๆ ของประตูและหน้าต่างจากทอสเท็มแต่ละซีรีส์ ทำให้ลูกค้าสามารถเห็นรายละเอียดแต่ละชิ้นได้อย่างชัดเจน นำไปสู่การเลือกบานประตูและหน้าต่างที่เหมาะสมกับโครงการ และเลือกประตู-หน้าต่างที่เหมาะสมกับผู้อยู่อาศัย     2.ส่วนตรงกลางโชว์รูม ซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น โดย TOSTEM ภูมิใจนำเสนอ Panoramic Door ที่ได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงโปร่งสบาย สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้ในมุมกว้าง มาพร้อมกับฟังก์ชันมือจับที่สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย     นอกจากนี้ภายใน TOSTEM Innovation Center ยังมีผลิตภัณฑ์ประตูหน้าต่างรุ่นต่างๆ ที่วางจำหน่ายในตลาดอาเซียน และยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของประเทศญี่ปุ่นที่จัดแสดงอยู่ภายในเพื่อให้เข้าถึงนวัตกรรมและเป็นไอเดียให้กับผู้เข้าชม เช่น GIESTA Door Smart Lock ซึ่งเป็นประตูที่มีความพิเศษกว่ารุ่นที่วางจำหน่ายในตลาดอาเซียน โดยสามารถปิด – เปิดผ่านสมาร์ทโฟน หรือ รีโมทได้ และบานเกล็ดอัตโนมัติที่ควบคุมการปิด-เปิดได้ด้วยรีโมทคอนโทรล และภายใน ยังมีห้องฝึกอบรมการติดตั้งผลิตภัณฑ์ TOSTEM สำหรับอบรมตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ TOSTEM ให้สามารถติดตั้งผลิตภัณฑ์ของทอสเท็มได้อย่างถูกต้อง และเกิดประสิทธิภาพในการใช้งานสูงสุด โดยผู้อบรมเป็นทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากทอสเท็ม   สำหรับ ศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม  ตั้งอยู่ภายในพื้นที่โรงงานของบริษัท ทอสเท็ม ไทย จำกัด (TOSTEM THAI CO., LTD.) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม และผลิตภัณฑ์สำหรับอาคารที่อยู่อาศัยและบานประตูหน้าต่างชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ด้วยกระบวนการผลิตแบบครบวงจรตั้งแต่การรีดขึ้นรูปอะลูมิเนียมผ่านแม่พิมพ์ หรือที่เรียกว่า ALUMINIUM EXTRUSION ไปจนถึงการชุบเคลือบผิวด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD   อีกทั้งยังมีระบบ PRE ENGINEERED การผลิตผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปพร้อมประกอบจากโรงงานโดยตรง ซึ่งทำให้ประตูหน้าต่างของทอสเท็มมีคุณภาพสม่ำเสมอกันทุกชุด สามารถผลิตได้ตามขนาดที่ลูกค้าต้องการ และศูนย์ปฎิบัติการทดสอบประสิทธิภาพทอสเท็มไทย หรือ Quality Performance Test Center (QPTC) ในการทดสอบวัสดุอะลูมิเนียมสำหรับอุตสาหกรรม โดยให้ความใส่ใจในเรื่องของมาตรฐาน รวมถึงความปลอดภัยต่อทุกชิ้นงาน และส่วนสำคัญของการส่งต่อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ที่มาจากการใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต จนถึงทุกกระบวนการจนกว่าจะส่งมอบให้ลูกค้า     ทอสเท็ม ไทย โรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี บนพื้นที่กว่า  539,000 ตารางเมตร หรือราว 400 ไร่ มีพนักงานกว่า 6,000 คน นับว่าเป็นโรงงานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของทอสเท็มจากทั่วโลกและมีกำลังการผลิตสูงที่สุด  7,000 ตันต่อเดือน มีการผลิตงานตลอด 24 ชั่วโมง มีสินค้าว่างจำหน่ายในประเทศไทย 52% และส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น 48%   สำหรับประเทศไทยว่างจำหน่ายผ่านตัวแทนที่ผ่านการอบรมจากผู้เชี่ยวชาญจาก ทอสเท็ม เท่านั้น ปัจจุบันมี 150 ตัวแทนอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ และพัฒนาต่อเนื่องเพื่อก้าวสู่ผู้นำธุรกิจผู้ผลิตประตูหน้าต่างอะลูมิเนียม ที่ทันสมัยด้วยศักกยภาพของเครื่องจักรและกำลังคน พร้อมมาตรฐานที่ดีก่อนสินค้าถึงมือผู้บริโภค บทความน่าสนใจ ทอสเท็มเปิดตัว “ATIS” นวัตกรรมประตูหน้าต่างรวม 2 ฟังก์ชั่นในหนึ่งบาน ‘ทอสเท็ม’ นำเสนอ ‘บานประตูและประตูรั้วอะลูมิเนียมสำเร็จรูป’ รุ่นใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการหลากหลายของผู้อยู่อาศัย วินด์เซอร์ เปิดตัวระบบประตูหน้าต่างรุ่น “Smart Series”
เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia

เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia

บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (Euro Creations) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์   แบรนด์ดังระดับโลกสัญชาติยุโรป จัดงาน “An Infinite Comfortness” by Natuzzi Italia เปิดตัวนาทุซซี่  อิตาเลีย (Natuzzi Italia) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังจากประเทศอิตาลี ที่โดดเด่นในเรื่องความพิถีพิถันแห่งดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้งาน สีและวัสดุที่คัดสรรมาเป็นพิเศษเพื่อส่งมอบสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อน ผ่านการให้ความสำคัญเรื่องคอมฟอร์ต (comfort) กับโซฟาทุกชิ้น Natuzzi Italia พร้อมการจับมือร่วมกับบริษัท มิวสิคพลัส ซีนีม่า จำกัด ในเครือโซนิค วิชั่น กรุ๊ป ผู้นำเครื่องเสียงนำเข้าระดับไฮเอนด์มากว่า 26 ปี เผยโฉม The New 801 D4 Signature ลำโพงไฮเอนด์ในตระกูล 800 ซีรีย์ กับการปรับโฉมดีไซน์ที่ให้ความละเมียดละไมมากขึ้น คุณภาพในการถ่ายทอดพลังเสียงสู่ความสมจริงมากขึ้น การผสมผสานระหว่าง 2 แบรนด์สู่สัมผัสแห่งการใช้ชีวิตที่ลงตัวระหว่างสุนทรียแห่งการพักผ่อนที่สบายบนโซฟา นาทุซซี่ อิตาเลีย และสุนทรียจากการฟังเพลงระดับไฮเอนด์ซาวน์จาก Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature     คุณเควิน กัมบีร์ (Kevin Gambir) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดังระดับโลกสัญชาติยุโรป กล่าวว่า “ยูโร ครีเอชั่นส์ เราพิถีพิถันในการคัดสรรผลิตภัณฑ์และแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ด้วยความตั้งใจ จากความเชื่อที่ว่า ‘Life is better in a beautiful space’ การใช้ชีวิตที่ดีเริ่มต้นจากการอยู่ในพื้นที่ที่สวยงาม ซึ่งความสวยงามในที่นี้หมายความว่า การได้อยู่ในพื้นที่ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์และรสนิยมของผู้อยู่อาศัย ซึ่งยูโร ครีเอชั่นส์ เป็นดั่งปลายทางที่ตอบรับกับทุกไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของลูกค้า ซึ่งในปีนี้เราขอนำเสนอ นาทุซซี่ อิตาเลีย (Natuzzi Italia) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังจากประเทศอิตาลี ที่ให้ความพิถีพิถันในเรื่องดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้งาน สีและวัสดุที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ เพื่อส่งมอบสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อน ที่โซฟาทุกชิ้นของนาทุซซี่ อิตาเลีย จะถ่ายทอดความสบายด้วยวัสดุ พรีเมียมที่มีให้เลือกทั้งหนังวัวแท้ และผ้า เพื่อตอบรับความชอบและรสนิยมการตกแต่งที่แตกต่างกันโดยนาทุซซี่ อิตาเลีย มีคาเรคเตอร์งานดีไซน์แบบโมเดิร์นที่ทั้งเรียบหรู ผสานกับฟังก์ชั่นการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเอน การปรับพนักวางศีรษะและที่วางขาให้เหมาะสมกับท่านั่งพักผ่อนได้อย่างง่ายดายด้วยระบบไฟฟ้า เป็นการเติมเต็มความสุนทรียการพักผ่อน และการใช้ชีวิตในบ้านอย่างแท้จริง” และถือเป็นโอกาสพิเศษสุดที่ ยูโร ครีเอชั่นส์ ได้ร่วมกับบริษัท มิวสิคพลัส ซีนีม่า จำกัด ในการร่วมกันถ่ายทอดสัมผัสแห่งไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตผ่านสุนทรียภาพการพักผ่อนที่ครบทุกมิติทั้งความสบายจากโซฟานาทุซซี่ อิตาเลีย และการเติมเต็มด้วยบรรยากาศแห่งเสียงเพลงคุณภาพผ่าน Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature ลำโพงไฮเอนด์สัญชาติอังกฤษกับคุณภาพระดับออดิโอไฟล์ ที่เผยโฉมครั้งแรกในไทย เป็นการจับคู่ความลงตัวระหว่างสุนทรียแห่งการฟังระดับพรีเมียมกับเฟอร์นิเจอร์หรูภายใต้คอนเซปต์ “Senses of living” สัมผัสสุนทรียแห่งการพักผ่อนผ่านการมองเห็นดีไซน์ที่งดงาม และการได้ยินเสียงที่ไพเราะ ที่เราตั้งใจเนรมิตขึ้นเป็นพิเศษผ่าน living space ที่จะจำลองบรรยากาศในการอยู่บ้านผ่านสัมผัสแห่งสุนทรียความสบายของโซฟา นาทุซซี่ อิตาเลีย และสุนทรียแห่งเสียงเพลงระดับไฮเอนด์ ภายในโชว์รูม ยูโร ครีเอชั่นส์ ซีอีโอ ยูโร ครีเอชั่นส์ กล่าว   คุณเถกิงลาภ กอวัฒนา กรรมการบริหาร บริษัท มิวสิคพลัส ซีนีม่า จำกัด ในเครือโซนิค วิชั่น กรุ๊ป ผู้นำเครื่องเสียงนำเข้าระดับไฮเอนด์มากว่า 26 ปี เปิดเผยว่า “มิวสิค พลัสซีนีม่า ในฐานะผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายลำโพงไฮเอนด์แบรนด์ Bowers & Wilkins จากประเทศอังกฤษอย่างเป็นทางการ รู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ครั้งนี้ ในการนำเสนอแรงบันดาลใจสุนทรียแห่งการพักผ่อนผ่านการสัมผัสความสบาย ความสุขผ่านดีไซน์ที่สวยงาม และสัมผัสสุนทรียการพักผ่อนกับการฟังเพลงผ่านเครื่องเสียงคุณภาพ ที่ตอบโจทย์นิยามแห่งความสุขในการพักผ่อนที่บ้านได้ครบทุกมิติ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในปี 2023 นี้ มิวสิค พลัส ซีนีม่า ได้นำเข้าลำโพงรุ่นเรือธง The New 801 D4 Signature ที่ถือเป็นงานฝีมือแห่งปีที่ Bowers & Wilkins ได้รังสรรค์ให้เป็นรุ่นที่มีความพิเศษตั้งแต่กลไกภายในที่ต่อยอดความสำเร็จจากลำโพงในตระกูล 801 D4 ที่ได้รับความนิยมสูงสุดกับ 800 Series Diamond™ ที่ใช้เพชรในโดมทวีตเตอร์เป็นตัวขับเสียงให้สะอาดใส ทุ่มนุ่มลึก จนได้รับความไว้วางใจและการันตีคุณภาพจากสตูดิโอบันทึกเสียงระดับโลก Abbey Road Studio ให้เป็นลำโพงอ้างอิง โดยความพิเศษของรุ่น The New 801 D4 Signature นี้ คือการพัฒนาปรับเปลี่ยนนวัตกรรม เทคโนโลยีขั้นสูงสุด ที่แบรนด์ Bowers & Wilkins ไม่ได้ใช้คำว่า Signature กับทุกรุ่นที่ปรับปรุงใหม่ จะแต่ใช้คำนี้ให้กับรุ่นที่มีการอัพเกรดขั้นสูงสุดแห่งเทคโนโลยีจริงๆ ซึ่งนับตั้งแต่แบรนด์ก่อตั้งขึ้นในปี 1966 มีลำโพงเพียง 7 รุ่นเท่านั้นที่มีชื่อรุ่นต่อท้ายด้วย Signature ดังนั้นการนำเข้าลำโพงตระกูล 801 D4 ในโมเดลใหม่รุ่น 801 D4 Signature จึงเป็นที่สุดแห่งความเอ็กซ์คลูซีฟที่แฟน B&W และนักฟังเพลง จะได้ยลโฉมความโดดเด่นแห่งดีไซน์ที่บ่งบอกถึงรสนิยมการฟังและความพิถีพิถันในการเลือกลำโพงไฮเอนด์ที่ได้รับการออกแบบประหนึ่งเป็นงานศิลป์ที่มอบทั้งสุนทรียแห่งการฟังที่สมบูรณ์แบบ และความสุขจากดีไซน์ที่ไม่ว่าจะวางมุมไหนในบ้านก็สวยงามลงตัวบ่งบอกรสนิยมเหนือระดับในการตกแต่งกับดีไซน์สีพิเศษ Midnight Blue Metallic ที่ใช้เวลาผลิตด้วยมือจากช่างฝีมือถึง 18 ชั่วโมง ต่อลำโพง 1 คู่ จึงเปรียบเสมือนเป็นงานศิลปะที่ควรค่าแก่การเป็นเจ้าของ” โดยโซฟาแบรนด์ นาทุซซี่ อิตาเลีย (Natuzzi Italia) และลำโพง Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature เปิดตัวให้คนรักการแต่งบ้าน และแฟนเครื่องเสียงไฮเอนด์ชาวไทยได้ชมความงามและสัมผัสพลังเสียงครั้งแรกผ่าน Living space ในการจำลองพื้นที่การตกแต่งภายในบ้านให้ผู้สนใจได้ทดลองพักผ่อนบนโซฟา และสัมผัสคุณภาพเสียงจาก Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature ณ โชว์รูมยูโร ครีเอชั่นส์ ทองหล่อ ซอย 5 สามารถมาเยี่ยมชมและสัมผัสความงามแห่งเสียงและดีไซน์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2566 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 0-2712-9555        
DRT โชว์ผลงานไตรมาส 2/66 สูงกว่าเป้า  มีรายได้รวม 1,519.43 ล้าน โต 10.78%

DRT โชว์ผลงานไตรมาส 2/66 สูงกว่าเป้า มีรายได้รวม 1,519.43 ล้าน โต 10.78%

DRT เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 ทำรายได้รวม 1,519.43 ล้าน เติบโต 10.78% สูงกว่าเป้าหมาย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 166.87 ล้าน​ ตอกย้ำขีดความสามารถการแข่งขัน ภายใต้แบรนด์ “ตราเพชร” ที่แข็งแกร่ง พร้อมบริหารจัดการความเสี่ยงด้านต้นทุน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หนุนอัตราการทำกำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ครึ่งปีแรกทำกำไรสุทธิ 344.22 ล้าน​ พร้อมเร่งเครื่องครึ่งปีหลัง วางแผนเชิงรุกดันยอดขายเติบโตตามแผน   นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 ว่า  บริษัททำรายได้รวม 1,519.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.78% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีกำไรสุทธิ 166.87 ล้านบาท ซึ่งมาจากขีดความสามารถการแข่งขันของบริษัท ที่มีความแข็งแกร่งของแบรนด์สินค้า และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ “ตราเพชร” รวมถึงช่องทางจัดจำหน่าย ที่ครอบคลุมความต้องการลูกค้าได้ดี ทั้งร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อย ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ ลูกค้าโครงการผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ รวมถึงการบริหารจัดการ ด้านการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ย 80-90% สามารถบริหารจัดการความเสี่ยง จากปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบได้ดีขึ้น เป็นผลให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นในไตรมาส 2 เพิ่มเป็น 25.16% ดีขึ้นจากไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 24.70% ตอกย้ำถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัท​ ที่แข็งแกร่งเอาชนะความท้าทาย และความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงาน ในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน) ของปีนี้ มีรายได้รวม 3,071.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 344.22 ล้านบาท ผลงานในไตรมาส 2 สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินงานของบริษัท และการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นผลให้มีอัตราการทำกำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้ปรับตัวดีขึ้น และขับเคลื่อนการเติบโตของผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้เช่นกัน   สำหรับแผนงานครึ่งปีหลัง บริษัทจะมุ่งทำงานเชิงรุกโดยมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถการแข่งขัน การทำตลาดภายใต้แบรนด์ "ตราเพชร"​ และตอกย้ำจุดแข็งด้านความหลากหลายผลิตภัณฑ์ ที่สามารถนำไปก่อสร้างบ้านได้ทั้งหลัง รองรับความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างของลูกค้าในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย ควบคู่กับการบริหารจัดการด้านการผลิต ให้มีประสิทธิภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันเป้ายอดขายเติบโต 5% และรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 25-27% ได้ตามแผน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -DRTโชว์ผลงาน Q1 ยังทำกำไร แม้รายได้ลดลงกว่า 7%
[PR News] อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ หนุนโครงการ “DIPROM PATHFINDER”

[PR News] อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ หนุนโครงการ “DIPROM PATHFINDER”

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรเพื่อพิชิตพันธกิจ ในการร่วมสานฝันและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ที่รักงานออกแบบ ผ่านโครงการ “DIPROM PATHFINDER” กับการประกวด CRAFT INNOVATION AWARDS เพื่อเฟ้นหาดีไซน์เฟอร์นิเจอร์แนวใหม่ จากนักออกแบบบุคคลทั่วไปที่มีไฟและความฝัน มาร่วมประลองไอเดียงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ผสานงานหัตถศิลป์เข้ากับนวัตกรรมแห่งอนาคต ในคอนเซ็ปต์ “โต๊ะ WORK TO DINE” Work hard, Eat harder     นางสาวพิชพิมพ์ ปัทมสัตยาสนธิ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท  อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM ​ เปิดเผยว่า  ได้ร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรกับ “กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม” โดย ดร.วรวิทย์ จิรัฐิติเจริญ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่ และนางสาวฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ กรรมการผู้จัดการ  บริษัท โซเชียลแล็บ จำกัด ในโครงการ “DIPROM PATHFINDER” การประกวด ‘CRAFT INNOVATION AWARDS’ เพื่อสนับสนุนไอเดียผู้ที่รักงานดีไซน์สู่การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ผสานนวัตกรรมแห่งอนาคต  และต่อยอดการสร้างโอกาสทางธุรกิจด้วย DESIGN THINKING โดยการผลิตจริงและจำหน่ายจริงที่ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์   ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำพันธกิจด้านความยั่งยืน (ESG) ในฐานะผู้ส่งต่อโอกาสให้แก่สังคมอย่างยั่งยืน ในขณะเดียวกันก็สามารถนำเฟอร์นิเจอร์แนวใหม่มาเพิ่มประสบการณ์ช้อปให้กับผู้บริโภค อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ตอบโจทย์ เทรนด์การใช้ชีวิตยุคใหม่อย่างลงตัว  ซึ่งการประกวดภายใต้โครงการ “DIPROM PATHFINDER” ถือเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักออกแบบบุคคลทั่วไปที่  แม้ไม่ได้เป็นดีไซน์เนอร์ก็สามารถร่วมส่งผลงานเข้าประกวดได้อย่างเท่าเทียม โดยโจทย์การออกแบบภายใต้ คอนเซ็ปต์ “โต๊ะ WORK TO DINE” Work hard, Eat harder (โต๊ะอาหารที่ทำงานได้สะดวก - โต๊ะทำงานที่กินข้าวได้สบาย) เป็นการผสานไอเดียหัตถศิลป์เข้ากับนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี เช่น แสง, เสียง ฯลฯ เพื่อให้ได้โต๊ะที่โดดเด่นด้านดีไซน์ควบคู่ฟังก์ชันการใช้งานแบบมัลติฟังก์ชั่น รวมทั้งต้องเลือกวัสดุที่ให้ความปลอดภัยกับการใช้งาน  มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า และราคาที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้   โดยการเฟ้นหานักออกแบบและเวิร์คช้อปได้ดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 6 เดือน โดยมีคณะกรรมการ 7 ท่านจากแวดวงการออกแบบและอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ ดร.วรวิทย์ จิรัฐิติเจริญ จาก กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, นางสาวพิชพิมพ์ ปัทมสัตยาสนธิ รองกรรมการผู้จัดการสายการค้า และทีม Index Design Center จาก อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์, นายกิตติรัตน์ ปิติพานิช รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้และผู้อำนวยการสถาบันอุทยานการเรียนรู้ (TK Park), ผศ.ดร.สุภชัย วงศ์บุณย์ยง  รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี, นางสาวฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ ผู้ก่อตั้งเพจ Ceemeagain และนายสาธิต กาลวันตสานิช ผู้ก่อตั้งบริษัท Phenomena และ Propagenda เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการตั้งแต่การคัดเลือกนักออกแบบผู้เข้ารอบ พร้อมให้คำแนะนำ-เสริมแนวคิด และองค์ความรู้เพื่อพัฒนาดีไซน์และเลือกวัสดุเพื่อผลิตผลงานจริง   ล่าสุดได้คัดเลือกผู้ชนะเลิศในโครงการ “DIPROM  PATHFINDER” ร่วม 3 ทีม ดังนี้ ผู้ชนะเลิศอันดับ 1 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “LAYER WORKING SPACE KHANOM CHAN” ใช้ไอเดียการเล่นเลเยอร์ไม้แบบขนมชั้น พร้อมฟังก์ชันจัดเก็บและปลั๊กไฟ เหมาะกับบ้านยุคใหม่ ในสไตล์มินิมอลโทนไม้สบายตา เรียบง่าย สะดวกทั้งกินข้าวและทำงาน  ผลงานโดย  ปรีชา แตงเล็ก ผู้ชนะเลิศอันดับ 2 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “การเพิ่ม-ปรับ-ขยับ-เปลี่ยน” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและฟังก์ชันการใช้งานของทุกคนได้อย่างลงตัว โดยทีม Big : Bear : Book Theteam ประกอบด้วย นางสาวปรียศรี พรหมจินดา, นางสาวสันทิตา พยุงพงศ์ และนายพงษ์พันธ์ สุริยภัทร ผู้ชนะเลิศอันดับ 3 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Ma” การออกแบบโต๊ะตอบโจทย์ฟังก์ชันจัดเก็บการใช้งานรูปแบบโต๊ะอาหารและทำงาน โดยซ่อนจุดจัดเก็บอเนกประสงค์ส่วนขาโต๊ะ ทั้งเครื่องครัว-ช้อนส้อม, เครื่องเขียน โดย Ma Team ประกอบด้วย นางสาวนิรินธนา คุมมณี, นายสุชนม์ พรหมปัญญา และนางสาวสิชล พรหมปัญญา ในขณะนี้ทีม Index Design Center จาก Index Living Mall  ได้ร่วมกับทีมผู้ชนะ เพื่อพัฒนาแบบ&ดีไซน์ผลงาน ให้ลงตัวกับภาคการผลิตก่อนทำ Prototype  นอกจากผลงานของผู้ชนะการประกวดจะเข้าสู่กระบวนการผลิตจริงแล้ว ผู้ชนะเลิศอันดับ 1  ยังจะได้ส่วนแบ่งจากการจำหน่ายสินค้า 5% โดยมีระยะเวลาจำหน่าย 1 ปี ที่ ILM  (วางจำหน่ายราวปลาย Q4 / 2566)  สำหรับผลงานของผู้ชนะเลิศอันดับ 2 และอันดับ 3 สามารถพรีออเดอร์ได้ผ่านทาง www.goodgeek.com ก่อนดำเนินการผลิตและจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ต่อไป อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เชื่อมั่นในพลังความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย  พร้อมเข้าร่วมสนับสนุน และมอบโอกาสเพื่อต่อยอดการสร้างรายได้ให้สังคมอย่างรอบด้าน  ตามนโยบายการขับเคลื่อนธุรกิจหลักควบคู่พัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน       อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อินเด็กซ์ฯ ปรับตัวสู้โควิด ลุยออนไลน์ สร้างยอดโต 150% เดินหน้าปรับโฉมสาขาจับลูกค้าไฮเอนด์
[PR News] ไทวัสดุ เดินหน้าดันสินค้ารักษ์โลก จัดโปรสี “JBP Good Paint Re-Acrylic”

[PR News] ไทวัสดุ เดินหน้าดันสินค้ารักษ์โลก จัดโปรสี “JBP Good Paint Re-Acrylic”

สีทาอาคาร ไทวัสดุ เดินหน้าผลักดันกลุ่มสินค้ารักษ์โลก กับผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ “JBP Good Paint Re-Acrylic” ครั้งแรกของสีทาอาคารรีไซเคิลในประเทศไทย พร้อมส่งดีลสุดคุ้มเอาใจคนรักบ้านสายกรีน เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ JBP Good Paint Re-Acrylic ขนาด 2.5 แกลลอน รับส่วนลดพิเศษท้ายบิล 100 บาท/ถัง ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม นี้ ที่ไทวัสดุทุกสาขา   นางสาวชุติพร คงเจริญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดเผยว่า จากความร่วมมือกับ บริษัท เจ.บี.พี อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์ จำกัด ภายใต้โครงการ “One World : One Future Together” ที่ตั้งเป้าการลดใช้พลังงาน เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่มีความยั่งยืนให้กับประเทศไทย ไทวัสดุจึงพร้อมสนับสนุนคู่ค้าที่มีแนวทางดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมร่วมกัน เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันหันมาให้ความสำคัญและตระหนักถึงเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น อ้างอิงจากผลสำรวจ Global Consumer Insights Pulse Survey จาก PwC ที่พบว่าปัจจัยดังกล่าวเป็นอานิสงส์ของการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภค และเป็นไลฟ์สไตล์ที่ถูกปรับเปลี่ยนในชีวิตประจำวันเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ไทวัสดุ  จึงเดินหน้าจัดหาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้ามาจัดจำหน่ายในทุกสาขาทั่วประเทศ ล่าสุดกับผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ สี JBP Good Paint Re-Acrylic ซึ่งเป็นสีทาอาคารที่ผ่านกรรมวิธีรีไซเคิล ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติสำหรับกระบวนการผลิตสี และลดการเกิดของเสียที่เป็นต้นเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อม เข้ามาวางจำหน่ายที่ไทวัสดุเป็นที่แรกและที่เดียวในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะมีเป้าหมายกระตุ้นให้เกิดมูลค่าในสินค้ารักษ์โลกแล้ว ยังมุ่งที่จะเป็นช่องทางให้คนในทุกภูมิภาคได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและตกแต่งบ้านที่ยั่งยืนผ่านไทวัสดุกันได้อย่างสะดวก   นางสาวชุติพร กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการเปิดตัวสีทาอาคาร JBP Good Paint Re-Acrylic สุดยอดนวัตกรรมสีรีไซเคิล และส่งเสริมให้คนไทยได้ร่วมส่งต่อความยั่งยืนสู่สิ่งแวดล้อม ไทวัสดุขอส่งโปรโมชันสุดเอกซ์คลูซีฟ เมื่อซื้อสี JBP Good Paint Re-Acrylic ขนาด 2.5 แกลลอน สูตรใดก็ได้ รับไปเลยส่วนลดพิเศษท้ายบิล 100 บาทต่อถัง ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม ที่ไทวัสดุเท่านั้น ทุกสาขาทั่วประเทศ และทางช่องทางออนไลน์ การจับมือกับบริษัท เจ.บี.พี.อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์ จำกัด ถือเป็นอีกก้าวของความตั้งใจที่จะส่งเสริมและผลักดันให้สินค้าในกลุ่มรักษ์โลกให้เป็นที่นิยมในวงกว้าง ซึ่งเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสินค้าเหล่านี้จะสามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ให้เข้ามาสัมผัสกับความครบครันเรื่องบ้านที่ไทวัสดุเพิ่มมากขึ้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News]ไทวัสดุ ส่งแคมเปญ “ใช่เลย ถูกจริง” -[PR News]ซีอาร์ซี ไทวัสดุ ตั้งเป้าแท่นเบอร์ 1 วงการค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง อัดฉีดงบ 7,000 ลบ. ปี 65
เผย 7 สไตล์การแต่งบ้านยอดฮิต  คนไทยชื่นชอบแบบ Japandi มากที่สุด

เผย 7 สไตล์การแต่งบ้านยอดฮิต คนไทยชื่นชอบแบบ Japandi มากที่สุด

NocNoc เผย 7 สไตล์การแต่งบ้าน ที่คนไทยชื่นชอบมากที่สุด Japandi  ครองอันดับ 1 ตามด้วยสไตล์ Scandinavian พร้อมเผยสินค้าที่คนซื้อมากที่สุด คือ กลุ่ม Home and Living ด้านแบงก์กรุงศรี มองเทรนด์ตลาดอี-คอมเมิร์ซไทย อีก 2 ปีโต​ 19%   นายอนุพงศ์ ทะสดวก ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการค้าและพาณิชย์ บริษัท เบ็ตเตอร์บี มาร์เก็ตเพลส จำกัด หรือ NocNoc ศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลผู้ใช้บริการซื้อสินค้าออนไลน์บนแพลตฟอร์ม NovNoc ได้เห็นเทรนด์ความนิยมในการแต่งบ้านของผู้บริโภคคนไทย ที่พบว่า ชื่นชอบสไตล์การแต่งบ้าน และนิยมมากที่สุด คือ 1.สไตล์ Japandi ในสัดส่วน 25% 2.สไตล์ Scandinavian สัดส่วน 23% 3. สไตล์ Industrial  20% 4. สไตล์ Glam 15% 5.Transitional 10% 6.สไตล์ Shabby Chic 5% และ 7.สไตล์ Mid-Century Modern 2%   หนึ่งในพฤติกรรมของลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ คือเรื่องของ Personalize จะเห็นได้ว่าไลฟ์สไตล์การตกแต่งบ้านของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน โดย NocNoc ให้ลูกค้าเริ่มต้นการใช้งาน Application ด้วยการค้นหาสไตล์ที่ใช่แบบ Personalize ด้วยระบบ AI เพื่อให้แอปนำเสนอสินค้าแต่งบ้านได้ตรงตามสไตล์ของแต่ละบุคคล นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญการคัดสรรสินค้าที่หลากหลาย เพื่อให้เหมาะกับลูกค้าที่ชื่นชอบการตกแต่งบ้านในสไตล์ที่แตกต่างกัน โดยปัจจุบัน NocNoc แบ่งสินค้าออกเป็น 4 กลุ่มหลัก คือ 1. Home and Living กลุ่มสินค้าตกแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์ 2. Home Appliances กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า 3. Home Improvement กลุ่มสินค้าปรับปรุงบ้าน และ 4. Home Service กลุ่มบริการงานช่างทุกเรื่องบ้าน ซึ่งในแต่ละกลุ่มยังแยกย่อยออกเป็นอีกหลายหมวดสินค้า ทำให้ NocNoc มีสินค้ารวมแล้วกว่า 500,000 ชิ้น จาก 3,000 ร้านค้า นับว่าตอบโจทย์ได้อย่างครอบคลุมสำหรับคนรักบ้าน   นายอนุพงศ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังพบข้อมูลจากพฤติกรรมการซื้อสินค้า ที่ผู้บริโภคซื้อซ้ำมากที่สุดใน  5 หมวดสินค้า ดังนี้ 1.โฮม เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ 2.โซฟาและเก้าอี้ 3.ชุดเครื่องนอน 4.ตู้และชั้นวางของ และ 5.เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก โดยพฤติกรรมการกลับมาซื้อซ้ำนั้น จะเป็นสินค้าในหมวดเดียวกัน เช่น กลุ่มเครื่องนอน ลูกค้าซื้อที่นอนขนาด 6 ฟุต  และกลับมาซื้อผ้าปูที่นอน หมอน เพิ่มเติม หรือในกลุ่มโซฟาและเก้าอี้ ซื้อเก้าอี้ทำงานไปในครั้งแรกและกลับมาซื้อโต๊ะทำงานหรือโซฟาเพิ่มเติม แม้ว่าใน 5 หมวดสินค้าดังกล่าวจะเป็นกลุ่มสินค้าที่อาจจะต้องสัมผัสสินค้า หรือเห็นสินค้าจริงก่อนตัดสินใจซื้อเกือบทั้งสิ้น แต่กลับเป็นกลุ่มสินค้าที่ลูกค้า NocNoc กลับมาซื้อซ้ำอย่างสม่ำเสมอ สะท้อนให้เห็นว่าการจะซื้อสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน ไม่จำเป็นต้องสัมผัสสินค้าจริงก่อนซื้อเสมอไป หรือ อาจจะมีประสบการณ์ทดลองสินค้าจากที่อื่นแล้ว   ให้ความสำคัญกับ DATA นายอนุพงศ์ ยังกล่าวอีกว่า Data-Driven Marketing นับว่ามีความสำคัญ แต่ต้องดูว่าจะนำมาใช้อย่างไรให้เกิดประโยชน์มากที่สุด  NocNoc ให้ความสำคัญกับ Data ของลูกค้า เพราะข้อมูลเหล่านี้สามารถบ่งบอกตัวตนของลูกค้าให้แบรนด์ได้เข้าใจความต้องการ และไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันของลูกค้าแต่ละคนได้ โดยการนำเอาเทคโนโลยีทางการตลาด MarTech และ AdTech มาใช้ในการวางแผน ดำเนินการ และวัดผลแคมเปญเพื่อให้เข้าถึงลูกค้าแบบมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด   ประกอบกับการทำ Story-Driven Communication ที่เข้าถึงทุก Journey ของลูกค้าตั้งแต่ Discovery , Inspired , Compare , Selection ไปจนถึง Complete Journey ซึ่งลูกค้าจะเห็นการสื่อสารผ่านเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอช่วยให้พวกเขาได้รู้จัก NocNoc ว่าเรามีดีอะไร สินค้าที่กำลังมองหาตอบโจทย์พวกเขาอย่างไร ช่วยให้ง่ายต่อการตัดสินใจซื้อเรื่องบ้านมากขึ้น  และไม่ลืมสร้างประสบการณ์การช้อปในโลกออนไลน์สู่ออฟไลน์ เพื่อ ให้ลูกค้าได้เข้าถึง ใกล้ชิด ได้เห็น Visibility ของแบรนด์มากยิ่งขึ้น   อย่างไรก็ดี มองว่าการพัฒนา Feature บน Application  ให้ตอบโจทย์ Pain Point ของลูกค้า ทำให้ประสบการณ์ในการเข้ามาใช้งาน NocNoc ดีขึ้น และช่วยให้การตัดสินใจซื้อสินค้าแต่งบ้านเป็นเรื่องง่าย เช่น  Image Search หรือการค้นหาด้วยภาพ หากลูกค้าถูกใจโซฟาในคาเฟ่ แต่ไม่รู้รุ่นหรือยี่ห้อของโซฟา ก็สามารถถ่ายรูปและนำไปค้นหาใน NocNoc Application ได้เลย แม้ว่าพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันจะมีทางเลือกที่หลากหลาย บางครั้งมักจะไปเดินดูของจากร้านค้าอื่นเพื่อนำมาเปรียบเทียบสินค้า ราคา รวมถึงหาไอเดียในการแต่งบ้าน ทั้งสินค้าที่หลากหลายไม่จำกัดที่ร้านใดร้านหนึ่ง แบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง NocNoc ให้บริการทางเลือกที่มากกว่า ทำให้ ผู้คนเข้ามาหาไอเดียและแรงบันดาลใจใน Community ทั้งยังสะดวกสบายอยู่ที่ไหนก็ช้อปได้ พร้อมบริการจัดส่งทั่วไทย นับว่าเป็นการแก้โจทย์ ไม่ได้สัมผัสสินค้า ก็ไม่ใช่ปัญหาในการซื้อสินค้าเกี่ยวกับบ้านออนไลน์คาด E-Commerce ไทยโต​ 19% สำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์ ถือว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ​ โดยเฉพาะในกลุ่มเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน เห็นได้จากตัวเลขงานวิจัยของกรุงศรี คาดการณ์ว่าในปี 2025 ตลาด E-Commerce ไทยจะเติบโตขึ้นอีก 19% โดยผู้ประกอบการร้านค้าปลีกสมัยใหม่ มีแนวโน้มที่จะขยายธุรกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาช่องทางการขายออนไลน์   นายอนุพงศ์ กล่าวอีกว่า แม้ว่าการเติบโตของการช้อปปิ้งออนไลน์จะเติบโตมากเพียงใด แต่ก็ต้องยอมรับว่า Pain point ของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซในกลุ่มสินค้าและของตกแต่งบ้าน คือ ลูกค้าไม่สามารถเห็นและสัมผัสได้จริง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากในการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ อาทิ โซฟา ตู้ โต๊ะ เตียง เป็นต้น โดยพฤติกรรมของลูกค้าคือจะมีความกังวลว่าอาจจะได้สินค้าจะไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ทำให้มีผู้บริโภคมีการพิจารณาประเด็นดังกล่าวกันอย่างละเอียด   สำหรับในช่วงที่ผ่านมา NocNoc ก้าวขึ้นมาเป็น Home and Living Platform หรือศูนย์รวมสินค้าและบริการเรื่องบ้านออนไลน์ ที่รวบรวม เฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน วัสดุปูพื้น-ผนัง เครื่องใช้ไฟฟ้า และบริการทุกเรื่องบ้านที่ครบที่สุดรายแรกในไทย และได้ผลักดันให้ข้อจำกัดเหล่านี้หมดไป คลายความกังวล ลดความลังเลในการซื้อสินค้าแต่งบ้านให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สะท้อนจากตัวเลขของลูกค้า 60% ที่มาช้อปสินค้าแต่งบ้านออนไลน์บนแพลตฟอร์ม NocNoc สร้าง ตกแต่ง ต่อเติมบ้านได้ทั้งหลัง เป็นการซื้อสินค้าและบริการครอบคลุมในหลากหลายกลุ่มสินค้าและบริการ เรียกได้ว่าสามารถ Complete Journey ครบ จบ ใน NocNoc ที่เดียว จากข้อมูลเชิงลึกของ NocNoc จะเห็นได้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่ของ NocNoc เป็นกลุ่มสร้างบ้านและต่อเติมบ้าน (Home Building and Renovator) ประมาณ 60% นับว่าเป็นกลุ่มที่มองหาการซื้อสินค้าและบริการแบบ Complete journey ในการสร้าง ต่อเติม และตกแต่งบ้านทั้งหลัง ทั้งยังมีพฤติกรรมในการซื้อสินค้าหลากหลายหมวดบนแพลตฟอร์มของ NocNoc และกลับมาซื้อซ้ำกว่า 74% เพราะทยอยซื้อของตกแต่งบ้านให้ครบตามความต้องการ   ขณะที่ของตกแต่งบ้านและผู้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั่วไป (Home Decoration and Furnishing Shoppers) คิดเป็นอีกประมาณ 40% จะเน้นการตกแต่งเป็นหลัก และมีพฤติกรรมการซื้อซ้ำบนแพลตฟอร์ม NocNoc มากถึง 26% เพราะลูกค้าจะมีไอเดียใน การตกแต่งบ้านอย่างต่อเนื่อง  จากการหาแรงบันดาลใจในการแต่งบ้านจากที่ต่าง ๆ รวมถึงใน NocNoc ที่มีไอเดียในการตกแต่งบ้านมากมาย   ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าจากการทำตลาดเพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าในแบบ Complete journey รวมถึงการสร้างประสบการณ์ ช้อปปิ้งที่ดีแก่ผู้บริโภค และนำเสนอประสบการณ์มากกว่าที่ลูกค้าได้คาดหวังไว้ ทำให้ภาพรวมจำนวนผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม NocNoc ทั้งเว็บไซต์และแอปพลิเคชันระหว่างเดือนมกราคม – เมษายน 2566 เพิ่มสูงขึ้น  64% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2565 โดยจากแนวโน้มดังกล่าว คาดว่าในปี 2566 นี้ ยอดขายจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้กว่า 170% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาอีกด้วย   นอกจากนี้ หนึ่งในพฤติกรรมของลูกค้าที่บริษัทให้ความสำคัญ คือเรื่องของ Personalize จะเห็นได้ว่าไลฟ์สไตล์การตกแต่งบ้านของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน โดย NocNoc ให้ลูกค้าเริ่มต้นการใช้งาน Application ด้วยการค้นหาสไตล์ที่ใช่แบบ Personalize ด้วยระบบ AI เพื่อให้แอปนำเสนอสินค้าแต่งบ้านได้ตรงตามสไตล์ของแต่ละบุคคล      
6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่าให้ดูใหม่  ได้ฟังก์ชั่น​ แบบไม่หลุดเทรนด์

6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่าให้ดูใหม่ ได้ฟังก์ชั่น​ แบบไม่หลุดเทรนด์

ปรับบ้านเก่า เคยไหม? อยู่บ้านหลังเดิมไปนาน ๆ แล้วรู้สึกหมดแพชชั่น แต่ก็ไม่อยากซื้อบ้านใหม่หรือไม่อยากย้ายทำเลไปที่อื่น เลยอยากปรับบ้านเก่า แต่งลุคบ้านใหม่ให้ดูต่างออกไปจากเดิม และเพิ่มฟังก์ชันที่หลากหลายในตัวบ้านมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องรื้อบ้านทั้งหลัง หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าวิธีการดังกล่าวเป็นไปได้ยาก รู้หรือไม่ว่าการเปลี่ยนรูปแบบบ้านใหม่แบบง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก ทำได้จริง!     วันนี้มีไอเดียการแปลงโฉมบ้านที่เคยอยู่อาศัยแบบเดิม ๆ มาปรับลุคใหม่โดยที่ไม่ต้องรีโนเวททั้งหลัง แค่ลองปรับเปลี่ยนดีไซน์และฟังก์ชันต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกบ้านใหม่ก็ใช้ได้แล้ว ซึ่งการปรับลุคบ้านใหม่ทำได้หลายวิธี ทั้งการปรับเปลี่ยนหลังคา สีทาบ้าน ผนังบ้าน รั้ว พื้น และสวนนอกบ้าน เพียงแค่เลือกดีไซน์และวัสดุที่ตอบโจทย์กับการใช้งานและความชอบ ลองมาดูกันว่าบ้านหลังเก่าของเราปรับลุคแบบไหนได้บ้าง 6 พื้นที่ ปรับบ้านเก่า ให้ดูใหม่แถมได้ฟังก์ชั่น​ 1.เปลี่ยนฟาซาด สร้างโฉมบ้านหลังเดิม   บ้านสไตล์คลาสสิกธรรมดาทั่วไป อายุอาจจะมาไกลตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่า ถ้าอยากเปลี่ยนลุคบ้านใหม่ให้ดูโมเดิร์น แนะนำฟาซาด (Façade) ที่สามารถปรับอารมณ์บ้านให้เปลี่ยนไปได้ในทันที โดยฟาซาดจะเป็นการตกแต่งเปลือกอาคารหรือพื้นผิวภายนอกสุดของบ้าน ที่สามารถแสดงคาแรกเตอร์ของบ้านได้อย่างชัดเจนที่สุด ซึ่งนอกจากจะช่วยให้บ้านสวยเหมือนใหม่แล้ว ฟาซาดยังมีคุณสมบัติระบายความร้อน บดบังแสงแดด และสร้างความเป็นส่วนตัวภายในบ้านได้อีกด้วย ฟาซาด มีวัสดให้เลือกหลากหลาย 2.เพิ่มความ natural ด้วยผนังลายไม้ ผนังบ้านขาว ๆ ที่เราเคยชิน ลองสร้างลูกเล่นใหม่ให้น่าสนใจขึ้นได้ไม่ยาก เชื่อว่าหลายคนคงคิดว่าการเปลี่ยนผนังบ้าน คงต้องยุ่งยากและใช้เวลานาน ซึ่งปัจจุบันมีผนังตกแต่งให้เลือกใช้หลากหลาย ตามสไตล์ที่ต้องการ ซึ่งมาพร้อมคุณสมบัติแข็งแรง ทนทาน และลวดลายหลากหลาย สำหรับผู้ที่ต้องการดีไซน์บ้านให้มีลุคความเป็นธรรมชาติ การเลือกใช้ผนังตกแต่งที่ให้ลายไม้เหมือนธรรมชาติ อย่าง ผนังตกแต่ง เอสซีจี รุ่น วูด-ดี ก็นับเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ   เนื่องจากให้ทั้งลวดลายที่ใกล้เคียงไม้จริง จากเทคโนโลยีการผลิตแบบ Digital Printing และวัสดุผลิตจากไฟเบอร์ซีเมนต์ ใช้งานได้ทั้งภายในและภายนอก ปลวกไม่กิน ทนทานต่อสภาพอากาศ ไม่บิดหรือแตกเปราะง่าย และยังให้สีสวยแน่นทนทาน จากเทคนิคการเคลือบสีเฉพาะของเอสซีจี รวมถึงได้ผนังเรียบร้อยสวยงาม จากระบบติดตั้งแบบคลิปล็อค ไม่เห็นรอยสกรู โดยสามารถประยุกต์ใช้ได้ทั้งงานผนังและงานฝ้า 3.ทำรั้วบ้านสร้างเอกลักษณ์​ ก่อนจะเห็นตัวบ้าน เราต้องมองรั้วบ้านกันก่อนอย่างแน่นอน ถ้ารั้วบ้านสวยมีสไตล์ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของบ้าน ทำให้คนจดจำบ้านหลังนี้ได้ไม่ลืม เพราะฉะนั้นการทำรั้วบ้านให้โดดเด่นเป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ทำได้ 4.คืนพื้นที่รอบบ้าน สร้างพื้นใหม่สวยสะดุดตา บ้านที่มีพื้นที่ภายนอก บางคนปล่อยให้รกร้าง มีของที่ไม่ได้ใช้เกะกะอยู่เต็มพื้นหน้าบ้าน เราสามารถปลุกพื้นที่ตรงนั้นขึ้นมาใหม่ โดยเคลียร์ของที่ไม่ใช้ทิ้งไป แล้วปรับพื้นใหม่ให้แมตช์กับสวนสวยดูเป็นธรรมชาติได้ อาจจะลองเลือกใช้วัสดุกระเบื้องซีเมนต์ตกแต่งพื้น ซึ่งมีรุ่นและลายให้เลือกหลากหลายชนิด 5.เปลี่ยนลุคหลังคาให้บ้านดูโมเดิร์น หลังคาบ้านสวยช่วยทำให้บ้านดูใหม่และดูดีกว่าเดิมได้ ลองสังเกตดูว่าถ้าบ้านไหนปล่อยให้หลังคาชำรุดตัวบ้านก็จะดูทรุดโทรมตามไปด้วย ซึ่งหากสามารถทำการเปลี่ยนหลังคาใหม่ได้ ก็จะช่วยทำให้บ้านดูมีชีวิตชีวา และการใช้งานที่ดี ไม่ต้องห่วงเรื่องฝนตก น้ำรั่วช่วงหน้าฝนได้อีกด้วย ​ 6.ปรับภูมิทัศน์สวนให้สวยน่านั่งเล่น อย่าปล่อยพื้นที่สวนหน้าบ้านให้รกร้างโดยเปล่าประโยชน์ การจัดสวนให้น่าอยู่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเปลี่ยนลุคใหม่ให้บ้าน และยังเติมเต็มอารมณ์ให้ผู้อยู่อาศัยผ่อนคลายขึ้นด้วย ซึ่งถ้าหากว่าใครยังไม่มีไอเดียการจัดสวน และกลัวว่าจะเหนื่อยถ้าต้องมานั่งจัดสวนเอง เอสซีจีก็มีบริการจัดสวนรอบบ้าน โดยมีรูปแบบสวนกึ่งสำเร็จรูปที่ออกแบบไว้หลากหลายแนวให้เลือกตามใจชอบ ปรับใช้ให้เข้ากับพื้นที่บ้าน รับรองว่ามีสวนสวยรวดเร็วไม่เกินเอื้อมแน่นอน   อย่างไรก็ตาม ใครที่อยากปรับลุคบ้านให้สวยด้วยหลาย ๆ ดีไซน์และฟังก์ชัน อาจจะลองเข้าไปดูตามห้างโมเดิร์นเทรดชั้นนำ หรือผู้ให้บริการด้านการปรับปรุงบ้าน ซึ่งมีหลากหลายมากมาย รวมถึงผู้ให้บริการอย่าง SCG ซึ่งมีบริการหลากหลาย และจำหน่ายสินค้าหลายช่องทาง   ที่มา-SCG Home   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -4 วิธีอย่างง่าย ปรับบ้านให้มีสุขภาวะที่ดีรับ WFH  -“ปรับบ้านรับทรัพย์ ตามหลักฮวงจุ้ย” รับปีใหม่ 2564 กับหมอช้าง
3 จุดสำคัญของบ้าน ที่ต้องตรวจเช็ค ป้องกันบ้านป่วยช่วงหน้าฝน

3 จุดสำคัญของบ้าน ที่ต้องตรวจเช็ค ป้องกันบ้านป่วยช่วงหน้าฝน

จุดสำคัญของบ้าน   ในช่วงเวลาที่หน้าฝนกำลังเข้ามาแทนที่หน้าร้อน ทำให้อากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว นอกจากการดูแลสุขภาพร่างกายไม่ให้เจ็บป่วยแล้ว สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามอีกอย่างก็คือ "สุขภาพของบ้าน" ซึ่งมีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะช่วงหน้าฝนที่กินระยะเวลากว่า 5 เดือน ทำให้หลายๆ บ้านได้เห็นปัญหาที่ไม่คาดคิดมาก่อนทั้งจากบริเวณภายในและภายนอก เช่น น้ำรั่วซึม การระบายน้ำ ผนังแตกร้าว พื้นดินโดยรอบเกิดการทรุดตัว ฯลฯ   เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับตัวบ้านในช่วงหน้าฝน ​ วันนี้ จึงอยากจะชวนให้เจ้าของบ้าน ได้ดูแลพื้นที่เสี่ยงของตัวบ้าน ที่อาจจะได้รับอันตราย หรือกเกิดความเสียหายได้ กับ 3 จุดสำคัญที่ต้องตรวจเช็คภายในบ้านเพื่อรับมือช่วงหน้าฝน พร้อมแนะเคล็ดลับการดูแลบ้านให้สุขภาพดีไปทั้งปี 3 จุดสำคัญของบ้าน ที่ต้องตรวจเช็ค   1.หลังคาบ้าน เข้าหน้าฝนทีไรปัญหาใหญ่ที่เจ้าของบ้านส่วนใหญ่ต้องเจอ คงหนีไม่พ้นปัญหาน้ำรั่วน้ำซึมจากบนเพดานและฝ้า ที่นอกจากจะสร้างความรำคาญใจแล้วยังอาจทำให้น้ำที่หยดลงมาจนพื้นบ้านบวมและไหลลามไปยังห้องอื่น ๆ ดังนั้นเจ้าของบ้านจะต้องหมั่นตรวจเช็คและสำรวจหลังคาบ้านทุกจุด ว่ามีหลังคาบ้านรั่วและมีรอยร้าว รอยแตก ตรงไหนบ้าง ก็ให้รีบทำการซ่อมทันที 2.ผนังและหน้าต่าง จุดสำคัญที่หลายคนอาจมองข้าม แต่ถ้าเมื่อไรที่เข้าหน้าฝนแล้ว แน่นอนว่าเป็นปัญหาไม่แพ้หลังคารั่วแน่ ๆ หากไม่ตรวจเช็คให้ดี เพราะรอยร้าวของผนังและช่องว่างระหว่างวงกบหน้าต่าง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้น้ำซึมผนังบ้าน ซึ่งส่งผลให้เกิดคราบน้ำที่สร้างความไม่น่ามอง บ้านดูเก่าโทรมแล้ว ยังอาจนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ ที่ใหญ่ขึ้น เช่น เกิดเป็นเชื้อราหรือตะไคร่ วัสดุกรุผนังโป่งพอง จนไปถึงปัญหาโครงสร้างภายในบ้านจากการที่เหล็กขึ้นสนิม 3.รางน้ำรับน้ำฝน การติดตั้งรางน้ำฝนให้บ้านถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยไม่ให้บ้านโทรมจากสิ่งสกปรกที่มากับฝนไหลลงมาเปื้อนผนังบ้าน ดังนั้นเจ้าของบ้านจะต้องหมั่นตรวจเช็คว่ามีเศษใบไม้หรือกิ่งไม้อุดตันรางน้ำฝนหรือไม่ เพื่อไม่ให้เป็นตัวขวางการระบายน้ำฝนในช่วงที่ตกหนัก   สำหรับบ้านไหนที่สำรวจตามเช็คลิสต์นี้แล้วพบจุดที่ต้องซ่อมแซม ก็ไม่ต้องกังวลใจ สามารถแก้ไขได้ด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ อาทิ สีทาหลังคา ซีเมนต์ซ่อมแซมโครงสร้าง น้ำยากำจัดแมลง น้ำยากำจัดคราบเชื้อรา รางน้ำฝน อุปกรณ์ช่าง และอื่นๆ อีกมากมาย หรืออาจจะขอรับบริการจากช่างที่มีให้บริการมากมาย ทั้งช่างอิสระ ช่างรับเหมาทั่วไป หรือช่างจากร้านขายสินค้า อย่างเช่น ไทวัสดุยังมีบริการช่างมือโปรจากวีฟิกซ์ (vFix) ครบวงจรที่เดียวจบทุกเรื่องบ้าน ตั้งแต่ติดตั้ง ออกแบบ ปรับปรุง ต่อเติมและทำความสะอาดฆ่าเชื้อ มีบริการสำรวจหน้างานผ่านระบบออนไลน์ เพื่อความสะดวกรวดเร็ว ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคนี้ รับประกันผลงานสูงสุด 180 วัน ซึ่งตอนนี้ ทางไทวัสดุยังมี  โปรพิเศษค่าบริการตั้งแต่วันนี้ – 29 มิ.ย. 2566  และสินค้าต่าง ๆ ที่ส่วนลดสูงสุดกว่า 60% ตั้งแต่วันนี้ – 30 มิ.ย. 2566 ด้วย     ที่มา - ไทวัสดุ ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ภายใต้ บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -10 จุดเสี่ยงของบ้าน ต้องเช็กด่วน!! ก่อนสร้างปัญหาในหน้าฝน -10 วิธีป้องกันสัตว์มีพิษเข้าบ้าน ช่วงหน้าฝน
เทรนด์สุขภาพมาแรง คนไทยใช้ที่นอนหลังละ 50,000 บาท

เทรนด์สุขภาพมาแรง คนไทยใช้ที่นอนหลังละ 50,000 บาท

เทรนด์สุขภาพมาแรง คนไทยใช้ที่นอนหลังละ 50,000 บาท จากอดีต 10 ปีก่อนหน้า ใช้แพงแค่หลังละหมื่นบาท ชิค รีพับบลิค ชี้ตลาดที่นอนสุขภาพเติบโตต่อเนื่อง 20% ยอดขายปีละกว่า 100 ล้าน พร้อมจับมือแบรนด์เซอร์ต้า จากอเมริกาลุยขายที่นอนพรีเมียม   มนุษย์ใช้เวลาเฉลี่ย 1 ใน 3 ของวัน หรือประมาณ 8 ชั่วโมง หมดไปกับการนอนเพื่อการพักผ่อน เติมพลังในการออกมาใช้ชีวิตในแต่ละวันสำหรับการทำงาน ดังนั้น อุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการนอน จึงเป็นสินค้าจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะที่นอนและเครื่องนอน ซึ่งปัจจุบันสินค้ากลุ่มนี้ก็ได้พัฒนาคุณภาพ และคุณสมบัติเพื่อทำให้การนอนหลับของคนได้นานขึ้นและสบายมากขึ้น   ตลาดที่นอนและเครื่องนอน คาดว่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี เพราะผู้ผลิตสินค้ามีการพัฒนาสินค้าออกมาให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค และบริโภคเองก็ต้องการสินค้าที่มีคุณภาพ และคุณสมบัติที่ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะที่นอนที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพของผู้ใช้งาน เมื่อตื่นนอนแล้วไม่มีปัญหาปวดหลัง หรือเมื่อใช้ไปนาน ๆ ไม่เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค แบคทีเรีย หรือไรฝุ่น ที่จะส่งผลให้เกิดโรคทางเดินหายใจหรือภูมิแพ้ตามมาภายหลัง นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน) หรือ CHIC ผู้จัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน ของใช้ในบ้าน ที่นอนและเครื่องนอนครบวงจร เปิดเผยว่า ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของชิค รีพับบลิค มีค่าใช้จ่ายในการซื้อที่นอนเฉลี่ย 50,000 บาทต่อบิล ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วง 10 ปีก่อนหน้านี้ ที่ซื้อที่นอนเฉลี่ยเพียง 10,000 บาทต่อบิลเท่านั้น   สาเหตุสำคัญเป็นเพราะผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพการนอน ที่เน้นที่นอนคุณภาพ เพื่อให้หลับสบาย ประกอบกับผู้ผลิตสินค้าที่นอน ได้พัฒนาคุณภาพของที่นอนที่ดีขึ้น จากอดีตที่ผู้ผลิตจะใช้วัสดุประเภท ใยมะพร้าว นุ่น หรือฟองน้ำ ทำให้สินค้ากลุ่มราคาถูกเริ่มหายไปจากตลาด และพฤติกรรมการเลือกซื้อที่นอนคุณภาพ ในระดับพรีเมียมมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย โดยเห็นได้จากยอดขายของชิค รีพับบลิค ที่เติบโตต่อเนื่องปีละ 20% ปัจจุบันมีสัดส่วนยอดขายสินค้ากลุ่มที่นอนประมาณ 100 ล้านบาทต่อปี จากการจำหน่ายสินค้า 4-5 แบรนด์ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปมาก 10 ปีก่อน ลูกค้าซื้อที่นอนหลังละหมื่นบาทก็เป็นเรื่องน่าตกใจแล้ว แต่ปัจจุบันลูกค้ายอมจ่ายซื้อที่นอน 40,000-50,000 บาท ถือเป็นเรื่องปกติ ล่าสุด บริษัทได้ร่วมกับบริษัท เซอร์ต้า (ไทยแลนด์) จำกัด ในการจัดจำหน่ายที่นอนและอุปกรณ์แบรนด์เซอร์ต้า (Serta) จากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งวางจำหน่ายทั้ง 5 สาขาของชิค รีพับบลิค ในราคาเริ่มต้น 30,000 บาท จนถึงกว่า 200,000 บาท โดยชิค รีพับบลิค คาดว่ายอดขายของที่นอนแบรนด์เซอร์ต้า จะช่วยผลักดันให้ผลประกอบการของบริษัทโดยรวมเติบโต 15% ตามเป้าหมายที่วางไว้   ด้านMr. Indra Setiawan กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซอร์ต้า (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้า จำหน่าย และขายปลีก ที่นอนและอุปกรณ์เครื่องนอน Serta®  กล่าวว่า แผนดำเนินธุรกิจของ เซอร์ต้า (ไทยแลนด์) ในปีนี้ จะเน้นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย ผ่านการสื่อสารและการตลาดในช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงการทำตลาด การส่งเสริมการขาย และโปรโมชั่นร่วมกับ  ชิค รีพับบลิค ซึ่งเป็นช่องทาการจำหน่ายแห่งแรกในประเทศไทยที่   โดยปัจจุบันที่นอนแบรนด์เซอร์ต้า มีจำหน่ายอยู่กว่า 150  ประเทศทั่วโลก ในอาเซียน มีจำหน่ายที่ประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เวียดนาม และประเทศไทย ซึ่งการเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยนั้น มองว่าเป็นเพราะเป็นตลาดที่มีศักยภาพและโอกาสการเติบโตสูง จากภาคการท่องเที่ยว และฮอสพิทาลิตี้ ซึ่งโรงแรมระดับ 5 ดาวหลายเชนได้ใช้ที่นอนแบรนด์เซอร์ต้าในห้องพัก ทำให้เห็นว่าตลาดการท่องเที่ยวของไทยที่กำลังขยายตัวสูง เป็นโอกาสที่จะเข้ามาทำตลาดและสร้างยอดขายให้เติบโต ​   ทั้งนี้ ที่นอนแบรนด์ Serta®  เริ่มนำเข้ามาวางจำหน่ายครบทั้ง 5 คอลเลคชั่น ซึ่งเป็นคอลเลคชั่นที่มีกระแสตอบรับดีจากลูกค้ากลุ่มประเทศอาเซียน อาทิ “Celestial” “Pedic Series” “Perfect Sleeper” “Perfect Spine” และ “Sleep True” โดยทุกรุ่น ทุกคอลเลคชั่น ผ่านการผลิตด้วยเทคโนโลยี Pocket Spring ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Serta® สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังเพิ่มเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์เมืองร้อนด้วย เช่น ADAPTIVE DYNAMIC COOLING SYSTEM (ADCS) ซึ่งสามารถปรับอุณหภูมิในขณะนอน หรือ Cool Fiber และ Cool Max อีกทั้งโดดเด่นด้วยดีไซน์สุดหรู มีเอกลักษณ์ลงตัวในแบบที่ใจต้องการด้วย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -3 เหตุผล ชิค รีพับบลิค ระดมทุนในตลาด เอ็ม เอ ไอ ขาย 360 ล้านหุ้น
[PR News] สมาร์ท อัปเกรด Smart World แอปเพื่อการอยู่อาศัย หวังยอดทะลุ 2 แสนราย

[PR News] สมาร์ท อัปเกรด Smart World แอปเพื่อการอยู่อาศัย หวังยอดทะลุ 2 แสนราย

สมาร์ท  อัปเกรด SMART WORLD โมบาย แอปพลิเคชัน ที่ครบ จบ ในแอปเดียว ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ Ultimate Digital Living เพิ่มลูกเล่นและฟังก์ชันการให้บริการที่มากขึ้น   นายสุวัฒน์ กุลไพจิตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SMART) เปิดเผยว่า บริษัทได้อัปเกรดแอปพลิเคชันสมาร์ท เวิล์ด "SMART WORLD" เวอร์ชันใหม่ ให้เป็นสุดยอดแอปเพื่อการอยู่อาศัย ในคอนเซปต์ SMART WORLD Ultimate Digital Living  เรียกได้ว่าดูแลกันตั้งแต่เริ่มต้นวันแรกของการซื้อบ้าน จนถึงวันโอน และดูแลต่อเนื่องไปตลอดของการพักอาศัย โดยสมาร์ทดำเนินธุรกิจการบริหารจัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 26ปี ดูแลมากกว่า 390 โครงการ   สำหรับแอปพลิเคชันดังกล่าวจะช่วยอำนวยความสะดวก ตั้งแต่เรื่องการให้ข้อมูลสินเชื่อธนาคาร รวมถึงสามารถเข้าดูรายละเอียดความคืบหน้าของโครงการได้ด้วยตนเอง ผ่านหน้าแอปฯ และยังทำธุรกรรมการผ่อนดาวน์ , Refund , ยื่นขอเอกสารออนไลน์, ฝากขาย-เช่า ได้ง่ายๆ แค่ปลายนิ้ว หลังจากการโอนบ้านแล้ว แอปฯ นี้ยังคงดูแลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การใช้ชีวิตในบ้านหลังใหม่เป็นไปอย่างสะดวก ง่ายดาย เป็นตัวเชื่อมติดต่อกับนิติบุคคลของ SMART หรือเพื่อนบ้านในโครงการได้สะดวกผ่านแชท และมีข่าวสารที่คอยอัปเดตเพื่อไม่พลาดทุกการเคลื่อนไหวในโครงการ แจ้งเตือนรับพัสดุ , จ่ายบิล , ประทับตรารถเข้า-ออกโครงการผ่านแอปฯ รวมทั้งสามารถดูกล้องวงจรปิดในพื้นที่ส่วนกลางของโครงการได้ในกรณีที่เราไม่อยู่บ้าน   นอกจากนี้ ยังช่วยจัดการเรื่องบ้านให้สมาร์ทมากขึ้นด้วยฟีเจอร์ Home Service หรือบริการเรื่องบ้าน ทั้งตกแต่งต่อเติมก่อนเข้าอยู่ รีโนเวต รวมถึงบริการต่าง ๆ ที่ช่วยให้บ้านดูสวย ใหม่ และ ดูแลรักษาตลอดเวลา เช่น บริการเรื่องบ้าน ทั้งล้างแอร์ ล้างบ่อดักไขมัน ล้างแทงค์น้ำ ติดตั้งโครงหลังคาจอดรถ ติดตั้งรางน้ำฝน และอื่น ๆ อีกมากมายจากพาร์ทเนอร์มืออาชีพ และยังมีสิทธิพิเศษ ส่วนลดต่างๆ ที่ SMART รวบรวมมาครบทุกแกน ทั้ง ร้านอาหาร กีฬา อุปกรณ์เครื่องใช้ สัตว์เลี้ยง และความงาม เพื่อลูกบ้านโดยเฉพาะ เรียกได้ว่าแค่มีแอปพลิเคชันอยู่ในมือ ก็ตอบโจทย์ตั้งแต่ต้น จนเข้าพักอาศัยแบบครบ จบในแอปเดียว เพียงปลายนิ้วสัมผัส บริษัทคาดว่า แอปพลิเคชั่น สมาร์ท เวิล์ดจะมียอดดาวน์โหลด 200,000 user หรือเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวภายในสิ้นปี      อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เทอร์ร่า เผยเทรนด์การอยู่อาศัยในปี 65 ต้องตอบโจทย์ Well-Being & ความปลอดภัย -[PR News]แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  เปิดให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “iDesign” โฉมใหม่แล้ววันนี้
ดูโฮม เดินแผนธุรกิจ 3 ปี  ขยายสาขาครบ 36 แห่ง พร้อมกลยุทธ์ “ครบ ถูก ดี”

ดูโฮม เดินแผนธุรกิจ 3 ปี ขยายสาขาครบ 36 แห่ง พร้อมกลยุทธ์ “ครบ ถูก ดี”

ดูโฮม ร้านวัสดุก่อสร้างจากอุบลราชธานี เดินหน้าตามแผนธุรกิจ 3 ปี ขยายสาขาให้ครบ 36 แห่ง เตรียมงบลงทุนกว่า 2,400 ล้าน ขยายเพิ่มอีก 3 สาขาในจ.เชียงราย อยุธยา และปทุมธานี  พร้อมกลยุทธ์ "ถูก ครบ ดี"   นางสาวอริยา ตั้งมิตรประชา รองกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการและจัดซื้อ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจบริษัทตั้งเป้าหมายขยายสาขาให้ครบ 30 แห่งภายใน 3 ปี ซึ่งปัจจุบันมีสาขาขนาดใหญ่แล้ว 21 แห่ง โดยในปีนี้จะเพิ่มสาขาอีก 3 แห่ง ที่จังหวัดเชียงราย อยุธยา และปทุมธานี ขณะเดียวกันยังได้ขยายสาขาขนาดเล็กในชื่อ ToGo อีก 6 แห่งในปีนี้ จากปัจจุบันมีแล้ว 8 แห่ง เพื่อกระจายไปยังชุมชนต่าง ๆ   สำหรับงบประมา​ณการลงทุน คาดว่าจะใช้กว่า 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นสาขาขนาดใหญ่ แห่งละ 800 ล้านบาท ซึ่งใช้เป็นงบลงทุนก่อสร้าง 500 ล้านบาท งบสต็อกสินค้าอีก 300 ล้านบาท ส่วนสาขา ToGo จะใช้งบลงทุนสาขาละประมาณ 10 ล้านบาท   ปัจจุบันดูโฮม ถือเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง ของตกแต่ง และของใช้ในบ้าน ใหญ่เป็นอันดับ 4 เมื่อเทียบกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นหนึ่งใน 10 ผู้ดำเนินธุรกิจดังกล่าวในรูปแบบค้าปลีกสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรด ที่ปัจจุบันน่าจะมีมูลค่าตลาดของธุรกิจกว่า 400,000-500,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการในรูปแบบร้านค้าดั้งเดิมเป็นหลัก   นางสาวอริยา กล่าวว่า หากนับรวมผู้ประกอบการรายใหญ่ในปัจจุบัน 4-5 ราย น่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันไม่เกิน 20% ของมูลค่าตลาดรวม ขณะที่ดูโฮมน่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 3% ขณะที่ผู้นำตลาดอันดับ 1 น่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 10% ทำให้ธุรกิจนี้ยังมีโอกาสทางการตลาด สามารถสร้างการเติบโตได้อีกมากมาย โดยผลประกอบการในปีที่ผ่านมา ดูโฮมสามารถทำรายได้ 31,530 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 774 ล้านบาทส่วนไตรมาสแรกที่ผ่านมา สามารถทำรายได้ 8,515 ล้านบาท กำไรสุทธิ 258 ล้านบาท ดูโฮม เดินกลยุทธ์ ครบ ถูก ดี ด้านนายอดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา ประธานกรรมการบริหาร กล่าวว่า  ตั้งแต่ช่วง ปี 2562 – 2565 รายได้เติบโตกว่า 75% โดยคาดว่ารายได้ของปี 2566 จะยังสามารถเติบโตได้ ด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่เร่งผลักดันการขายในทุกช่องทาง อีกทั้งยังมีบริการโฮมเซอร์วิสที่พัฒนาให้ตอบโจทย์ลูกค้าและครบวงจรมากขึ้น   เพื่อตอกย้ำความ “ ครบ ถูก ดี ” ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พร้อมฉลองครบรอบ 40 ปี Better Together ครบ ถูก ดี ตลอดไป   โดยกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ จะดำเนินการภายใต้แนวคิด Better Together ที่ให้ความสำคัญใน 4 เรื่องหลัก      เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้ง กลุ่มผู้ใช้ทั่วไป กลุ่มผู้รับเหมา/ช่าง และกลุ่มร้านค้าช่วง ดังนี้ ครบรุ่น :  ตอบโจทย์ลูกค้าด้วยสินค้าที่หลากหลายหมวดผลิตภัณฑ์และหลากหลายรุ่นสินค้า เช่น เหล็กมีทุกขนาด เครื่องมือช่างมีทุกไซส์ ทุกแบบ เคยมีลูกค้าบอกว่า “ฮาร์ดแวร์ที่หายากดูโฮมมีขาย” อีกทั้งยังมีตัวช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นด้วย ห้องตัวอย่างภายในสโตร์ที่สามารถช่วยสร้างอินสไปรเรชั่นได้ ครบกลุ่ม :  ตอบโจทย์ลูกค้าครบทุกกลุ่ม เช่น ลูกค้าผู้ใช้ทั่วไป, ลูกค้าช่าง, ลูกค้าผู้รับเหมา, ร้านค้าช่วง เรียกว่ามีให้ครบตั้งแต่ลูกค้ารายใหญ่ไปจนรายย่อย และปัจจุบันมีช่องทางการช้อป  ที่หลากหลาย ทั้งสาขาขนาดใหญ่ สาขาขนาดเล็ก (Dohome ToGo) และอีคอมเมิร์ซอีกด้วย ครบเกรด :  ดูโฮม ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยสินค้าเกรดคุณภาพ ที่พร้อมตอบโจทย์ความลูกค้าหลายกลุ่ม เช่น สินค้าเกรดพรีเมียม สินค้าเกรดมาตรฐาน รวมทั้งเกรดพิเศษที่สามารถสั่งพิเศษได้ ครบบริการ :  ดูโฮม ตอบสนองความต้องการด้วยการส่งมอบการบริการด้านต่างๆ อาทิ การบริการด้านการเงินให้ลูกค้าปลีก  เช่น ผ่อน 0%, ลูกค้าโครงการและรับเหมา เช่น วงเงินเครดิตต่อยอดธุรกิจ รวมไปถึงบริการขนส่งสินค้า บริการออกแบบ 3D และยังมีบริการโฮมเซอร์วิส “นายช่าง” ที่พร้อมจะตอบโจทย์คนทำบ้าน นอกจากนี้บริษัทได้พัฒนาระบบการช้อปปิ้งออนไลน์บนเว็บไซต์ www.dohome.co.th  รวมถึงโซเชียลมีเดียช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Marketplace Facebook, Line OA, Lazada, Shopee เพื่อเพิ่มความสะดวกและตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น อาทิ การเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ บริการจัดส่งถึงบ้าน หรือนัดรับที่สาขา โดยปัจจุบันสินค้าที่จัดจำหน่ายบนเว็บไซต์มีทั้งกลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้าง กลุ่มสินค้าซ่อมแซม และกลุ่มสินค้าตกแต่งบ้าน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66 -ใครท็อปฟอร์มสุด ในธุรกิจ ร้านวัสดุ-เฟอร์นิเจอร์ Q3/65
เอสซีจี ตั้งเป้าโต 200% ลุยตลาดโซลาร์รูฟ ส่ง SCG Solar Expert Station รุกตลาด ตั้งเป้าโต 200% รับค่าไฟพุ่ง

เอสซีจี ตั้งเป้าโต 200% ลุยตลาดโซลาร์รูฟ ส่ง SCG Solar Expert Station รุกตลาด ตั้งเป้าโต 200% รับค่าไฟพุ่ง

โซลาร์รูฟ เอสซีจี  ส่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัย เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 200% ภายในปี 2566 ชูกลยุทธ์ด้วย SCG Solar Expert Station สร้างจุดเชื่อมระหว่างลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโซลาร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า      นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า จากปัญหาค่าไฟที่ปรับสูงขึ้น และพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า ในเวลากลางวันของผู้อยู่อาศัยมากขึ้น  ส่งผลให้ค่าไฟสูงขึ้นเฉลี่ย 30-50% และผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้นถึง 12-15% และคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 สัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนของโลกจะสูงขึ้นถึง 85% ซึ่งสามารถชี้วัดได้ว่าการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มีแนวโน้มเพิ่มสูงตามลำดับ อาทิ การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว รวมไปถึงปัจจัยร่วมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น อัตราค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดในช่วงที่ผ่านมา ภาครัฐมีมาตรการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ประกอบกับด้านเทคโนโลยีในการติดตั้งและต้นทุนวัสดุอุปกรณ์ที่ถูกลง ไปจนถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์นำระบบโซลาร์รูฟเข้ามาใช้เป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับโครงการที่อยู่อาศัย ตลอดจน Solar Energy Trading การซื้อขายพลังงานไฟฟ้าระหว่างครัวเรือน ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ล้วนแล้วแต่มีส่วนช่วยเร่งให้พลังงานทางเลือกเพิ่มระดับความนิยมที่เข้มข้น รวมถึงผลักดันให้ตลาดโซลาร์รููฟเติบโตได้ดียิ่งขึ้น   เอสซีจี โซลาร์ รูฟ โซลูชัน ในฐานะผู้นำและผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมระบบหลังคาโซลาร์ พร้อมโซลูชันครบวงจร ได้เล็งเห็นเทรนด์และแนวโน้มความนิยมด้านพลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทน จึงได้พัฒนานวัตกรรมหลังคาโซลาร์รูฟมาไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยให้บริการติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์แบบครบวงจร พัฒนาสินค้านวัตกรรมให้มีคุณภาพ โดยเฉพาะระบบการยึดติดแผงโซลาร์โดยไม่ต้องเจาะหลังคา เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องหลังคารั่วด้วย Solar FIX ตลอดจนพัฒนาสินค้าและบริการให้เข้ากับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างครอบคลุมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด   ทั้งนี้  เพื่อขับเคลื่อนและผลักดันให้พลังงานสะอาดสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งยอมรับว่าเป็นความท้าทายอย่างมากในการทำการตลาดระบบหลังคาโซลาร์ในไทย ที่นับได้ว่าเป็นเรื่องใหม่และกำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในปัจจุบัน แต่ส่วนใหญ่ยังต้องการความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้อง โดยกลยุทธ์ที่ต้องมุ่งเน้นไปพร้อม ๆ กันคือการสื่อสารเกี่ยวกับระบบหลังคาโซลาร์แก่ผู้บริโภค เริ่มตั้งแต่ความจำเป็น การติดตั้ง การใช้งาน รวมถึงความคุ้มค่าระยะยาว   จากเทรนด์และเทคโนโลยีโซลาร์รูฟที่กำลังได้รับความนิยมในวงกว้าง โดยเฉพาะภาคครัวเรือนที่มีโอกาสเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ เอสซีจีจึงได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมหลังคาโซลาร์ เดินหน้าด้วยกลยุทธ์ SCG Solar Expert Station โมเดลธุรกิจที่ถูกพัฒนาขึ้นจาก Insight ของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ โดยสร้างจุดเชื่อมระหว่างลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบหลังคาโซลาร์โดยตรง   เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า สามารถติดต่อและเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องได้รวดเร็วขึ้น ทำให้การติดตั้งหลังคาโซลาร์ รูฟ เป็นไปได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดย SCG Solar Expert หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโซลาร์จะให้คำปรึกษาฟรี แนะนำขั้นตอนและระบบการทำงาน, ออกแบบระบบหลังคาโซลาร์ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน พร้อมประเมินราคา โดยมีแผนขยายไปที่ SCG Home, SCG Home Experience และ SCG Authorized Dealer ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ มีสาขานำร่อง อาทิ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ชลบุรี อุบลราชธานี เชียงใหม่ และหาดใหญ่ พร้อมขยายไปยังหัวเมืองหลักเพื่อครอบคลุมทั่วประเทศ ภายในปี 2566 โดยในช่วงปีที่ผ่านมา เอสซีจี โซลาร์ รูฟ โซลูชัน เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง พร้อมรุกขยายไปยังตลาดบ้านพักอาศัยที่มีศักยภาพสูง ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านระบบหลังคาโซลาร์ในตลาด Residential ประเทศไทย โดยคาดการณ์จากตัวเลขภายในปี 2566 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 200% ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความแตกต่างและโดดเด่นจากคู่แข่งในตลาด ผ่าน 3 จุดแข็ง คือ EXPERT เอสซีจีมีวิศวกรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Solar & Home Energy management และมีความเชี่ยวชาญด้านหลังคาซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการติดตั้งโซลาร์ โดยมีบริการตรวจสุขภาพหลังคาก่อนการติดตั้ง พร้อมนวัตกรรม Solar FIX ที่ติดตั้งหลังคาโซลาร์โดยไม่ต้องเจาะหลังคา ทำให้หลังคาไม่เสี่ยงต่อการรั่วซึม ONE STOP SERVICE การให้บริการแบบครบวงจร โดยออกแบบระบบโซลาร์ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้ไฟของบ้านลูกค้า รวมถึงดำเนินการ ขออนุญาตกับทางภาครัฐ ทำให้การติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์กับเอสซีจีถูกต้องตามกฎหมาย 100% AFTER SALES SERVICE การรับประกันตลอด 25 ปีโดยเอสซีจี   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​ -เอสซีจี ลุย 2 ธุรกิจ “ให้คำปรึกษา-งานระบบอาคารแบบครบวงจร” รับเทรนด์ Well-being
บีไอดับบลิว รุกตลาดม่านไฮเอนด์ 5,000 ล้าน  จับมือแบรนด์จากยุโรป เปิดตัวสินค้าใหม่​ 

บีไอดับบลิว รุกตลาดม่านไฮเอนด์ 5,000 ล้าน จับมือแบรนด์จากยุโรป เปิดตัวสินค้าใหม่​ 

บีไอดับบลิว เปิดตัวผ้าม่านนวัตกรรมจาก 2 แบรนด์ดังจากยุโรป คูลิส และ เซิร์จ เฟอรารี่ ตอบโจทย์เทรนด์และไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานยุคใหม่ ​รุกตลาดม่านระดับไฮเอนด์มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้าน  ชูผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด ยกระดับคุณภาพชีวิต และ ปกป้องชีวิต   นายสิริชัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บีไอดับบลิว โพรดัคส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายม่านเพื่อการตกแต่งภายในและภายนอกอาคารระดับไฮเอนด์ เปิดเผยว่า เทรนด์ม่านในตลาดโลกในปัจจุบันให้ความสำคัญ 4 ด้าน คือ คุณภาพ (Quality) ความฉลาด (Smart) การจัดการพื้นที่ (Space Management) และความยั่งยืน (Sustainability) บีไอดับบลิว ในฐานะที่เป็นผู้นำเทรนด์ม่านใหม่ ๆ เข้ามาในประเทศไทย จึงได้รุกตลาดด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบรับกับเทรนด์ที่เกิดขึ้น ภายใต้ 2 แนวคิด คือ “การยกระดับคุณภาพชีวิต และการปกป้องชีวิต” เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้งาน โดยจับมือกับแบรนด์ คูลิส (Coulisse) ประเทศเนเธอร์แลนด์ และแบรนด์ เซิร์จ เฟอรารี่ (Serge Ferrari) ประเทศฝรั่งเศส   สำหรับม่านในกลุ่มที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ที่บีไอดับบลิวเน้นในปีนี้ คือ การสร้างพื้นที่ใหม่ ๆ ให้ที่อยู่อาศัยผ่านผลิตภัณฑ์ของแบรนด์คูลิส และเซิร์จ เฟอรารี่ และการทำให้ผู้ใช้งานใช้ชีวิตสะดวกสบาย มีไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้น เช่น ม่านอัจริยะ Eve Motion จากแบรนด์คูลิส รายแรกของโลกที่ไม่ใช้สายและรีโมตคอนโทรล เพียงกระตุกโซ่เบา ๆ ให้ม่านขึ้น-ลง หรือสั่งงานผ่านมือถือ รายแรกและรายเดียวที่เชื่อมกับ Apple Home Kit โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เชื่อมต่อ และยังเชื่อมกับค่ายอื่น ๆ เช่น กูเกิลโฮม ซัมซุง ได้บนแอปพลิเคชันเดียว ซึ่งมีทั้งม่านที่ใช้ระบบโฮมออโตเมชันในราคาที่เข้าถึงง่าย ไม่ยุ่งยากในการเซ็ตระบบ และม่านที่ปรับตามไลฟ์สไตล์ที่ทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น เช่น ทำให้ตื่นนอนได้อย่าง  สดชื่นด้วยการตั้งเวลาและรูปแบบการเปิดของม่านด้วยวิธีง่าย ๆ ในกลุ่มเดียวกันนี้ บีไอดับบลิว ยังเปิดตลาดกลุ่ม ม่านระบบ Zip จากแบรนด์เซิร์จ เฟอรารี่ นวัตกรรมที่ทำให้ผู้ใช้งานใช้พื้นที่ได้ประโยชน์สูงสุด โดยใช้ม่านเป็นฉากที่เปิด-ปิดได้ตามต้องการ เช่น แบ่งโซนภายในห้อง เชื่อมต่อภายในบ้านกับสวนด้านนอก หรือการทำโรงรถที่เปิด-ปิดได้โดยไม่เสียพื้นที่ใช้สอย และยังได้เพิ่มไลน์ ผ้าม่านและผ้าใบคุณภาพสูงสำหรับงานโครงสร้างน้ำหนักเบากลางแจ้ง ที่ใช้เทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะของเซิร์จ เฟอรารี่ ทำให้ผ้ามีความแข็งแรง ตึงตัวเป็นพิเศษ หนา นุ่ม ดูเป็นธรรมชาติ ป้องกันเชื้อรา คงทน และคงรูปได้นาน   สำหรับ ม่านในกลุ่มที่ช่วยปกป้องชีวิต จะมุ่งเน้นเรื่องการสร้างความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน และคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานระดับสูง โดยม่านในกลุ่มที่ช่วยปกป้องชีวิตที่นำมาเปิดตัว ได้แก่ ม่านม้วน Eco Luxury จากแบรนด์คูลิส ด้วยเทรนด์ที่สวยกลมกลืนเป็นธรรมชาติควบคู่กับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่มีกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน คำนึงถึงการปล่อยมลพิษให้น้อยที่สุด และนำวัสดุมารีไซเคิลแล้วผ่านกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพให้กลายเป็นผ้าม่านคุณภาพ   นายสิริชัย กล่าวอีกว่า ในเรื่องของคุณภาพมาตรฐานนั้น ทุกแบรนด์ที่บีไอดับบลิวนำมาทำตลาด จะมุ่งเน้นความปลอดภัย โดยได้รับการรับรองว่าปราศจากสารก่อมะเร็ง เช่น ปรอท ฟอร์มาดีไฮน์ และ VOC นอกจากนี้ ผ้ากันแสงแดดจากคูลิสยังผ่านการทดสอบมาตรฐานระดับสูงจาก Greenguard Gold ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสำหรับใช้กับเด็ก หรือผู้ที่แพ้ง่าย ตลาดม่านระดับไฮเอ็นด์ในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท และยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก โดย บีไอดับบลิวครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 15% ของตลาดม่านม้วน ติดอันดับ 1 ใน 3 ผู้นำตลาด เรามั่นใจว่าการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในแนวคิดใหม่ครั้งนี้จะทำให้เราเติบโตขึ้น 50% ภายในปีนี้   ด้านนางแสงสุรีย์ อินทเดช ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีไอดับบลิว โพรดัคส์ จำกัด กล่าวเสริมว่า “บีไอดับบลิวได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ โดยเป็นแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่มีใบรับรองมาตรฐานมากที่สุด ทั้งมาตรฐานด้านความปลอดภัย มาตรฐานด้านประหยัดไฟ และมาตรฐานเรื่องความยั่งยืน  รวมทั้งมีฟังก์ชันที่หลากหลาย ทำให้เจ้าของบ้านและดีไซเนอร์มีทางเลือกมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีบริการหลังการขายที่สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ปัจจุบันมีร้านค้าที่มีแค็ตตาล็อกของบีไอดับบลิวกว่า 1,000 ร้านทั่วประเทศ สำหรับแผนงานในปีนี้จะมีการขยายดีลเลอร์ในจังหวัดใหญ่เพิ่มขึ้น รวมทั้งขยายกำลังการผลิตด้วยการตั้งโรงงานใหม่ ขยายไลน์สินค้า และขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่โดยเน้นกลุ่มโปรเจ็กใหญ่ และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์”   ขณะที่นายไบรอัน โบ อัน ชาง ผู้บริหารจากคูลิส เนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า คูลิสมีแนวคิดในการผลิตม่านที่คำนึงถึงการยกระดับคุณภาพชีวิต และปกป้องชีวิต ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของเจ้าของบ้านและดีไซเนอร์ยุคใหม่ หนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของคูลิสที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องชีวิตผู้ใช้งาน คือ การที่คูลิสเลือกที่จะทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในระดับสูงจาก Greenguard นอกจากนี้ คูลิสยังมุ่งที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อโลก รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันอัจริยะที่จะสร้างความสุข และทำให้ผู้ใช้งานมีชีวิตที่ดีขึ้น   การที่บีไอดับบลิวเป็นผู้นำในตลาด มีแผนการตลาดที่น่าสนใจ ประกอบกับความโดดเด่นของคูลิสที่เป็นอันดับ 1 ของโลกเรื่องดีไซน์และแฟชั่น รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ทำให้เราเชื่อมั่นว่าม่านของคูลิสที่นำมาทำตลาดครั้งนี้ทั้ง Eve Motion และ Eco Luxury จะได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลกที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ในส่วนของเซิร์จ เฟอรารี่ นับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าม่านกลางแจ้งอันดับ 1 ของโลก ผ้าของเซิร์จ เฟอรารี่ มีความโดดเด่นแตกต่างจากผ้าทั่วไป โดยได้รับความไว้ใจจากโครงการระดับโลกมากมาย ทั้งหลังคาสนามฟุตบอลโลกที่การ์ตา รวมถึงสนามฟุตบอลและเรือยอชต์ที่สำคัญทั่วโลก และยังมีผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบให้เลือก ทั้งที่เป็นโครงสร้างถาวร และโครงสร้างเบา โดยมุ่งเน้นด้านเทคโนโลยี เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีให้ผู้ใช้งาน และใส่ใจสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดแผน “บีไอดับบลิว” รุกตลาดผ้าม่านม้วน 2,000 ล้าน
[PR News] ซีทรูวอลล์  ปลุกอุณหภูมิสถาปนิก’66  นวัตกรรมสระว่ายน้ำแนวอควาเรียม

[PR News] ซีทรูวอลล์ ปลุกอุณหภูมิสถาปนิก’66 นวัตกรรมสระว่ายน้ำแนวอควาเรียม

ซีทรูวอลล์ เจ.ดี.พูลส์สร้างความร้อนแรงงานสถาปนิก’66 โชว์ ซีทรูวอลล์ นวัตกรรมสระว่ายน้ำสร้างประสบการณ์ใหม่แนวอควาเลียม  มั่นใจช่วยยกระดับคุณค่าและมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท   นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช  ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท เจ.ดี.พูลส์ จำกัด  ผู้ผลิตและจำหน่ายสระว่ายน้ำคุณภาพเจ.ดี.พูลส์ (J.D.Pools) เปิดเผยว่า ​ งานสถาปนิก’66 ว่า  บรรยากาศในงานดูคึกคักกว่า 2 ปีที่ผ่านมา  เพราะปีนี้มีผู้ประกอบการจากต่างประเทศนำผลิตภัณฑ์มาร่วมออกบูธจำนวนมาก  ขณะที่ผู้ที่เข้ามาชมงานหรือสนใจมาศึกษาตลาดก็พบว่ามีชาวต่างประเทศจำนวนมากเช่นกันโดยเฉพาะชาวจีน  จึงถือเป็นข้อดีเพราะงานสถาปนิกเป็นงานที่รวบรวมวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง จากทั่วประเทศและทั่วโลกเข้ามาไว้ในจุดเดียวกัน  สมกับสโลแกนที่ว่า “ตำถาด รสนัว”   ขณะนี้บรรยากาศเริ่มเข้าสู่โหมดของการก่อสร้างหลังจากที่โควิดทำให้การก่อสร้างชะลอตัวไประยะหนึ่ง  ตอนนี้การก่อสร้างกลับมาแล้วทั่วประเทศโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว  รวมถึงชาวต่างชาติที่มองหาบ้านหลังที่สอง  และแหล่งลงทุนใหม่ที่ปลอดภัยจากสงครามหรือเป็นทางเลือกใหม่ที่เหมาะสมมีความมั่นคงสำหรับการทำธุรกิจในระยะยาว   ประธานเจ.ดี.พูลส์ กล่าวต่อว่า  งานสถาปนิกคือการบอกเล่านวัตกรรมใหม่ซึ่งเจ.ดี.พูลส์ได้ทำมาตลอด25ปี  มีเรื่องราวของเทคโนโลยีใหม่ๆมานำเสนอจึงประสบความสำเร็จมากกับการใช้เวทีของงานสถาปนิก  ในปีนี้เจ.ดี.พูลส์ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์บรรยากาศของบ้านพักอาศัยราคาแพงหรือบ้านที่มีความหรูหรา  รวมไปถึงบ้านที่ต้องการวิวพันล้านด้วยซีทรูวอลล์ ( C2Wall : See Through Wall ) นวัตกรรมสระว่ายน้ำรุ่นใหม่ของเจ.ดี.พูลส์ ที่ทำให้สระว่ายน้ำเป็นเหมือนอควาเรียมในบ้าน   ซีทรูวอลล์เป็นการออกแบบที่สมบูรณ์แบบ  เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างทีมงานของเจ.ดี.พูลส์กับมืออาชีพด้านอคาเรียม  สร้างประสบการณ์ใหม่ด้วยผนังอะคริลิคคุณภาพสูงที่มีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงงานดันน้ำ  สามารถมองเห็นในตัวสระ เพิ่มความโดดเด่น ทันสมัย สวยงาม  มีประโยชน์ในการเฝ้าระวังเพื่อความปลอดภัย  สามารถประยุกต์ใช้ได้กับสระทุกรูปแบบทั้งไอพาแนลไลเนอร์และคอมโพสิตพูลส์  ออกแบบและติดตั้งโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ   เรามีความตั้งใจในการสร้างมิติใหม่ของสระว่ายน้ำ  เปิดมุมมองใหม่  เปิดความมั่นใจใหม่  นวัตกรรมซีทรูวอลล์จะเป็นการยกระดับสระว่ายน้ำให้เป็นตัวช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับที่อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภททั้งบ้านอยู่อาศัย วิลล่า รีสอร์ท คอนโดมิเนียมและโรงแรม  เพราะเป็นการยกระดับมาตรฐานใหม่ ทั้งด้านคุณค่า และมูลค่า    สำหรับเรื่องที่เจ.ดี.พูลส์ให้ความสำคัญและไม่เคยละเลยคือคุณภาพของน้ำในสระของเจ.ดี.พูลส์   เจ.ดี.พูลส์เริ่มพัฒนาจากการใช้คลอรีนฆ่าเชื้อโรค  ต่อมาได้เป็นผู้นำในการนำระบบเกลือเข้ามาเป็นรายแรกและจำหน่ายมายาวนานหลายปี   ถึงปัจจุบันได้เลิกใช้เกลือโดยเปลี่ยนมาใช้แร่ธาตุจากทะเลเดดซี ประเทศจอร์แดนและอิสราเอล  นำมาพัฒนาร่วมกับเครื่องมือให้เป็นน้ำแร่คุณภาพดี  ช่วยบำรุงผิวพรรณให้กับผู้ใช้สระว่ายน้ำให้นุ่มเนียนขึ้นด้วยออยล์ที่ออกมาจากแร่ธาตุ   ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ  บำบัดความตึงเครียด  ทำให้สดชื่นมีความสุขในขณะว่ายน้ำ   งานสถาปนิก’66 มีกำหนดจัดตั้งแต่วันที่ 25 -30 เมษายน 2566 ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เวลา 10.00 – 20.00 น. ผู้สนใจสามารถแวะชมสระเจ.ดี.พูลส์ ได้ที่โซน Q39 พร้อมโปรโมชั่น J.D.Pools 6 Days Summer Sale  จองสระในงานทุกรุ่น รับฟรีเครื่องทำน้ำแร่  J.D.Mineral Chlorinator และ แร่บริสุทธิ์จากทะเลสาปเดดซีในการบำบัดน้ำครั้งแรก พร้อมแร่เดดซีราคาพิเศษเป็นเวลา 1 ปี   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เจ.ดี.พูลส์ ชู 3 กลยุทธ์สู้โควิด-19 ปั้นรายได้ 1,000 ล้าน
ทอสเท็ม ฉลอง 100 ปี ตั้งเป้าโต 20%  เดินหน้าขยายโชว์รูมบุกตลาดคอนซูเมอร์

ทอสเท็ม ฉลอง 100 ปี ตั้งเป้าโต 20% เดินหน้าขยายโชว์รูมบุกตลาดคอนซูเมอร์

ทอสเท็ม (TOSTEM) ฉลองครบรอบ 100 ปี การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมสำเร็จรูป  รุกตลาดปี 2566 เปิดตัวนวัตกรรมสีใหม่ “DUSK GRAY” ชูจุดเด่นด้วยเทคโนโลยีหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมการชุบสีอะลูมิเนียมด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD พร้อมขนทัพนวัตกรรมเรือธงและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซกเมนต์ พร้อมเดินหน้าขยายโชว์รูมครอบคลุมทั่วประเทศ จับตลาดคอนซูเมอร์ ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 20%   นายวิชา วรสายัณห์ ลีดเดอร์ กลุ่มธุรกิจเฮาส์ซิ่งเทคโนโลยี บริษัท แอล เอช ที เอเซีย เซลส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมแบรนด์ ทอสเท็ม (TOSTEM)  เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ว่า หลังจากเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ลูกค้ามาอย่างยาวนานถึง 100 ปีในประเทศญี่ปุ่น และครบ 40 ปีในการตั้งโรงงานประเทศไทย ถึงเวลาก้าวเข้าสู่ศตวรรษใหม่ในปีนี้พร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำ ในงานสถาปนิก’66 (Architect Expo 2023) งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน ด้วยการเปิดตัวนวัตกรรมสีใหม่ “DUSK GRAY” ซึ่งเป็นนวัตกรรมล่าสุดและหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมการชุบสีอะลูมิเนียมด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD   นอกจากนี้ บริษัทได้ขนทัพนวัตกรรมเรือธงและผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ GRANTS ดีไซน์ใหม่ เพื่อเปิดมุมมองให้ลูกค้าได้มีความสุขกับทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างเต็มสายตา GRANTS Corner Sliding Doors นวัตกรรมโซลูชั่นที่มอบทิวทัศน์แบบพาโนรามาที่ไร้สิ่งกีดขวาง ขยายขนาดพื้นที่พักผ่อนด้วยบานเลื่อนเข้ามุมที่เลื่อนเปิดบานออกโดยไม่เหลือเสามุมบดบังสายตา ผลิตภัณฑ์ประตูบานเลื่อนเข้ามุมบนรางเรียบ ดีไซน์เพื่อเชื่อมต่อสเปซภายในและภายนอกตัวบ้านด้วยดีไซน์แบบเข้ามุมที่เลื่อนเปิดออกได้โล่ง เหมาะสำหรับพื้นที่พักผ่อน ที่ได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ และรับแสงสว่างธรรมชาติได้สูงสุด กลุ่มผลิตภัณฑ์ ATIS กับ Streamline Design ดีไซน์ไร้รอยต่อที่มาพร้อมกับ อุปกรณ์อันสวยงาม เส้นกรอบ พื้นผิวกรอบประตูหน้าต่างและการใช้งานทำงานร่วมกันอย่างนุ่มนวล และบานหน้าต่างรูปแบบใหม่ที่สามารถใช้งานได้สะดวกมากขึ้น รวมถึง Smart Insect Screen นวัตกรรมมุ้งลวดล่องหน ที่ช่วยป้องกันแมลงและมลพิษจากภายนอกมุ้งลวดที่สามารถเพิ่มการมองเห็น เชื่อมต่อพื้นที่ภายในและภายนอกได้มากขึ้น โดยทอสเท็มพร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษและกิจกรรมทางการตลาดมาร่วมในงานสถาปนิก’66 ครั้งนี้กับส่วนลด 10% สำหรับทุกผลิตภัณฑ์ของทอสเท็มและลุ้นรับตั๋วเครื่องบิน (ไป-กลับ) ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 5  รางวัล / รางวัลละ 2 ที่นั่ง   นายวิชา กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ได้ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 20% จากปีที่แล้ว โดยในช่วงสถานการณ์ก่อนโควิด-19 ระบาด รายได้ส่วนใหญ่ของทอสเท็มประมาณ 80% มาจากตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบโครงการหรืออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ แต่หลังวิกฤตโควิด-19 เริ่มมีสัดส่วนรายได้จากตลาดลูกค้าที่อยู่อาศัยรายย่อยเพิ่มมากขึ้น จาก 20% เป็น 30% ของยอดขายทั้งหมด   ทั้งนี้ ทางทอสเท็มวางแผนที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าอยู่อาศัย (Retails) มากขึ้น พร้อมขยายส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มรายได้สูง  Upper mass – Luxury segment เพราะพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป คืออยู่บ้านมากขึ้นจึงเลือกมองหาอุปกรณ์ในบ้านเอง ได้เลือกซื้อ สัมผัส ทดลอง และเห็นสินค้าจริงเพื่อนำไปปรับปรุงบ้านให้อยู่อาศัยอย่างสะดวกสบายมากขึ้น  ซึ่งทอสเท็มได้วางแผนกลยุทธ์การตลาดที่จะขยายสัดส่วนลูกค้ารายย่อยกลุ่มนี้ต่อไป   ทอสเท็มได้เพิ่มช่องทางการเข้าถึงให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อ สัมผัส ทดลอง และเห็นสินค้าจริงผ่าน TOSTEM Flagship Showroom โดยปัจจุบันทอสเท็มมีโชว์รูมและเดโม่รูมอยู่ในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองทั้งหมด 4 แห่ง ได้แก่ ทอสเท็มแฟลกชิปโชว์รูม (TOSTEM Flagship Showroom) ที่คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์, ทอสเท็มโชว์รูม ในบุญถาวร สาขาราชพฤกษ์,  ทอสเท็ม เดโม่รูมในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดภูเก็ต รวมถึงยังผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจขยาย TOSTEM Studio ที่บริหารโดยตัวแทนจำหน่าย ขยายโชว์รูมในพื้นที่จริงให้ครอบคลุมในต่างจังหวัดโดยเน้นหัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยว เพื่อหวังขยายตลาดลูกค้ากลุ่มที่อยู่อาศัย, รีสอร์ท และบริษัทรับสร้างบ้านในพื้นที่ดังกล่าว โดยขณะนี้ได้ทำการเปิด TOSTEM Studio ไปแล้ว 4  แห่ง ในจังหวัดปทุมธานี พิษณุโลก อุดรธานี และขอนแก่น และมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 10 แห่ง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย อุบลราชธานี นครราชสีมา กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง กาญจนบุรี เพชรบุรี สงขลา โดยคาดภายในสิ้นปี 2566 ทอสเท็ม จะสามารถขยายโชว์รูมครอบคลุมได้ครบทั่วทุกภูมิภาคทั่วประเทศ   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] ทอสเท็มเปิดตัว “ATIS” นวัตกรรมประตูหน้าต่างรวม 2 ฟังก์ชั่นในหนึ่งบาน
หมดยุคห้างสินค้าไอที พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ  AWC ปรับสู่ศูนย์กลางค้าส่งด้านอาหาร ใหญ่สุดในไทย

หมดยุคห้างสินค้าไอที พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ AWC ปรับสู่ศูนย์กลางค้าส่งด้านอาหาร ใหญ่สุดในไทย

พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ AWC ปิดฉาก พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ ห้างสินค้าไอทีในตำนาน สู่ ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค “AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM” มูลค่ากว่า 10,000 ล้าน ตอบโจทย์อนาคตครบวงจร เชื่อมผู้ค้าส่งอาหารทั่วโลกกับผู้ซื้อทั่ว AEC พร้อมผนึกพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน   ถ้าพูดถึงห้างสรรพสินค้า ที่ขายสินค้าด้านไอทีและอุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่ออดีตหลายปีที่ผ่านมา ชื่อแรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึง ก็คือ ห้างพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ แม้ปัจจุบันห้างแห่งนี้จะไม่ได้รับความนิยม ในการเดินทางไปเลือกซื้อสินค้าไอทีแล้ว เพราะได้ถูกปรับโฉม รีโนเวทใหม่ไปหลายรอบ จนสัดส่วนร้านขายสินค้าไอทีลดลงไปเหลือเพียงไม่มากเหมือนแต่ก่อน นับตั้งแต่ช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา   โดยในปีนี้ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ในฐานะเจ้าของ ได้มีกำหนดฤกษ์ดีที่จะเปิดให้บริการ ห้างพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ โฉมใหม่ ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ กับคอนเซ็ปต์การเป็นศูนย์ค้าส่งด้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ภายใต้ชื่อใหม่ เออีซี ฟู้ด โฮเซล ประตูน้ำ (AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM) ภายใต้แนวคิด “INTEGRATED WHOLESALE PLATFORM FOR NON-STOP OPPORTUNITY ซึ่ง AWC มีเป้าหมายสำคัญที่พัฒนาโครงการนี้ขึ้น คือ การเป็นศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค รองรับกับความต้องการของกลุ่มผู้ประกอบการต่าง ๆ และลูกค้าในภูมิภาคกว่า 800 ล้านคน จากพันธุ์ทิพย์​ ประตูน้ำ สู่​ศูนย์กลางด้านค้าส่งอาหาร สำหรับโครงการ เออีซี ฟู้ด โฮเซล ประตูน้ำ จะเป็นชื่อใหม่ที่ถูกมาแทน ห้างพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ กับมูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท หลังจากได้ใช้เม็ดเงินลงทุน ปรับปรุง ซ่อมแซม และพัฒนา รวม 6,500 ล้านบาท ตั้งแต่เริ่มแรกที่ได้เข้ามาบริหารจนถึงปัจจุบัน เออีซี ฟู้ด โฮเซล ประตูน้ำ ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ โดยมีพื้นที่อาคารรวม (Gross Floor Area) กว่า 67,000 ตร.ม. ใช้เป็นพื้นที่ขายเพื่อให้ผู้ประกอบการด้านธุรกิจอาหารเข้ามาเช่ากว่า 30,000 ตร.ม. รองรับ​ผู้ประกอบการกลุ่มอาหารชั้นนำทั่วโลกกว่า 600 ราย แบ่งเป็น 8 กลุ่มธุรกิจ ​ได้แก่ อาหารแช่แข็ง อาหารแช่เย็นและผลิตภัณฑ์จากนม เครื่องปรุงและวัตถุดิบ ข้าว เครื่องดื่ม กาแฟและชา ขนมขบเคี้ยวและขนมหวาน ของใช้ในครัวเรือน   ตัวโครงการมีทั้งหมด 8 ชั้น รวมชั้นใต้ดิน (B) แบ่งพื้นที่เป็นโซนต่าง ๆ ที่สำคัญดังนี้ FOOD WHOLE SALE SPACE พื้นที่สำหรับให้ผู้ประกอบการทั้ง 8 กลุ่มสินค้ามาเปิดขาย โดยหากเป็นบูธขนาดเล็ก อัตราค่าเช่าจะอยู่ในระดับราคา 30,000-50,000 บาทต่อเดือน พื้นที่ขายสินค้านี้จะอยู่ตั้งแต่ชั้น 1-4 SSC & SHARE SHOP SSC (SERVICE SOLUTION CENTER) หรือ ศูนย์ส่งเสริมผู้ประกอบการ ที่จะคอยช่วยให้คำปรึกษาด้านการส่งออกและนำเข้าสินค้า รวมถึงการบริการด้านภาษา การจัดแสดงและนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ประกอบการ จะอยู่บริเวณ ชั้น 2   นอกจากนี้ ในพื้นที่ชั้น M และชั้น 4 จะส่วนของ SHARE SHOP ที่ไว้คอยบริการผู้ประกอบการที่ยังต้องการขายสินค้า แต่ไม่มีพนักงานหรือเจ้าหน้าที่มาขายสินค้า ให้ TASTE KITCHEN พื้นที่การทดสอบสินค้า สำหรับลูกค้าที่ต้องการทดลองใช้สินค้าจริง ซึ่งจะเป็นกลุ่มเชฟทำอาหาร ที่ต้องการทดสอบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นไปตามที่ต้องการใช้งานหรือไม่ โดยจะอยู่บริเวณชั้น 5 LOGISTIC FACILITIES การให้บริการด้านโลจิสติกส์ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำให้ กระบวนการทางธุรกิจสมบูรณ์แบบ ทาง AWC จึงได้จัดพื้นที่บริเวณด้านหลังโครงการเป็นคลังสินค้าและจุดให้บริการโลจิสติกส์ ขณะที่ทุก ๆ ชั้นของอาคารรถกระบะขนาดเล็กสามารถขับขึ้นมารับ-ส่งสินค้าได้สะดวก SERVICE PROVISERS พื้นที่การให้บริการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนำเข้าและส่งออกอาหาร ซึ่งจะอยู่บริเวณชั้น 5 FOOD LOUNGE & F&B -พื้นที่สำหรับให้ผู้ประกอบการและลูกค้า ได้เจรจาธุรกิจ การซื้อขายและนำเข้าสินค้าต่าง ๆ ซึ่งจะอยู่บริเวณชั้น 5 TRADE HALL & PROMOTION AREA พื้นที่สำหรับการจัดแสดงสินค้า จัดนิทรรศกาลแสดงสินค้า รวมถึงการนำสินค้ามาจัดรายการส่งเสริมการขาย ซึ่งจะอยู่บริเวณชั้น 1 และชั้น M   ส่วนบริเวณชั้น 6 พื้นที่จะถูกใช้เป็น CO-WORKING SPACE ,OFFICE และพื้นที่ MIX-USE   นอกจากพื้นที่ออฟไลน์ ที่ใช้เป็นจุดแสดงสินค้า การเจรจา ซื้อขาย  นำเข้า-ส่งออกสินค้าแล้ว AWC ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ Phenix Box สำหรับการทำธุรกรรมด้านสินค้าออนไลน์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจค้าส่ง ทั้งในแง่การบริการจัดการธุรกรรมที่ตรงกับธุรกิจได้ง่ายขึ้น อาทิ Bulk Purchase, Group Purchase, Multi-Level Procurement และการจัดส่งที่ครอบคลุม พร้อมสนับสนุนเครื่องมือทางการตลาดและโปรแกรมลูกค้าสัมพันธ์ผ่านระบบ Loyalty Program ให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถพบปะเจรจาธุรกิจกันผ่านช่องทางดังกล่าวได้ตลอด 365 วัน และตลอด 24 ชั่วโมง เชื่อมต่อผู้ซื้อผู้ขายได้ทั่วโลก ผนึกพันธมิตรรัฐ-เอกชน การพัฒนา เออีซี ฟู้ด โฮเซล ประตูน้ำ ยังมีความร่วมมือกับพันธมิตร ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ และที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย 15-16 ราย อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และอี้อู (Yiwu) ผู้พัฒนาและบริหารตลาดค้าส่งสินค้าเบ็ดเตล็ดที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากเมืองอี้อู สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งได้มีการลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับทาง AWC เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา   สภาหอการค้าอังกฤษแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย-จีน หอการค้าออสเตรเลีย-ไทย หอการค้าไทย-แคนาดา หอการค้าไทย-นิวซีแลนด์ หอการค้าสวิส-ไทย สมาคมหอการค้าไทย-สเปน บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีพีเอฟ โกล บอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท เบทาโกร จํากัด (มหาชน) บริษัท พี อาร์ จี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า  AWC เชื่อมั่นการรวมพลังของทั้งภาครัฐและเอกชน ในการร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” เชื่อมเครือข่ายค้าส่ง (WHOLESALE ECO-SYSTEM) ตอบโจทย์อนาคตครบวงจร เสริมโอกาสธุรกิจแบบไร้ขีดจำกัด ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มค้าส่งที่เชื่อมโยงออนไลน์-ออฟไลน์ (ONLINE-OFFLINE INTEGRATION) ช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ซื้อและผู้ขายให้สามารถทำธุรกรรมระหว่างกันได้สะดวกยิ่งขึ้นตลอดกระบวนการตั้งแต่ การสรรหาสินค้า ไปจนถึงการจัดส่งและชำระค่าสินค้า   นอกจากนี้การเปิดตัว “AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM” ในครั้งนี้ ยังเป็นการร่วมสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นประตูเชื่อมของอุตสาหกรรมการค้าส่งในตลาด AEC หรือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนกว่า 10 ประเทศสมาชิก ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงด้วยจำนวนประชากรรวมกว่า 700 ล้านคน อีกทั้งประเทศไทยยังมีศักยภาพในการเชื่อมต่อการค้าส่งไปยังประเทศต่างๆ ได้อย่างสะดวกผ่านโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งอีกด้วย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาคอย่างแท้จริง   โครงการ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM จะเป็นเสมือนประตูเชื่อมที่จะพาผู้ประกอบการค้าส่งให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดที่เชื่อมต่อโอกาสในรูปแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์อนาคตครบวงจร ผ่านเครือข่าย Eco-System ที่มี AWC และพันธมิตรจากทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย พร้อมร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมค้าส่งของไทยสู่การเป็นศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาคอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -AWC เดินแผนขยายธุรกิจแสนล้าน เตรียมเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 9 แห่ง
ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66

ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66

งานสถาปนิก’66 งานสถาปนิก’66 เป็นอีกงานหนึ่ง ที่คนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และการออกแบบทางสถาปัตยกรรม ต่างตั้งตารอคอย เพื่อเช้าชมงาน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่จะมาโชว์ผลงาน และผู้ที่มามองหาแรงบันดาลใจในการออกแบบ และการใช้วัสดุเพื่อการก่อสร้าง ซึ่งผู้เข้าร่วมงาน จะได้พบกับนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างที่ทันสมัย แปลกใหม่  ที่ถูกออกแบบและพัฒนา แล้วนำมาแสดงภายในงาน เพื่อให้คนในแวดวงได้อัปเดต และนำเอาวัสดุต่าง ๆ เหล่านั้น ไปใช้ในงานก่อสร้าง และงานออกแบบต่าง ๆ ของตนเองหรือลูกค้า   งานสถาปนิก’66 งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน ปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-30 เมษายน 2566 ที่อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี  มาด้วยการจัดงานภายใต้แนวคิด "ตำถาด : Time of Togetherness”   ภายในงาน นอกจากจะยกขบวนนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จากผู้ประกอบการระดับแนวหน้า ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ร่วมแสดงสินค้ากว่า 800 ราย ยังมีการเนรมิตพื้นที่ไฮไลท์ อย่าง Thematic Pavilion โชว์ศักยภาพของวัสดุผ่านการใช้งานในรูปแบบใหม่ ๆ ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับการนำเอาไปใช้ ในการต่อยอดของผู้ประกอบการ สถาปนิก และนักออกแบบ 4 พื้นที่ Thematic Pavilion ใน งานสถาปนิก’66 สำหรับพื้นที่โชว์ศักยภาพของวัสดุ ผ่านการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ มีด้วยกัน 4 พื้นที่ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของแบรนด์ซัพพลายเออร์วัสดุก่อสร้างและสถาปนิก ดังนี้ 1.VG & TOA x Hypothesis  ครั้งแรกกับการร่วมกันระหว่าง VG เจ้าของรางน้ำฝนและหลังคาไวนิลคุณภาพสูง และผู้นำด้านนวัตกรรมสีทาบ้านภายใต้แบรนด์ TOA จับมือ สถาปนิกจาก Hypothesis เนรมิตพื้นที่ให้มีความสมมาตร ตรงกลางมีการติดตั้งพีระมิดกระจกรูปแบบน้ำผุด โดยสามารถเดินเข้ามาได้จากทุกทิศทาง สามารถมองความต่างของวัสดุที่แขวนติดตั้งจากแต่ละแบรนด์อย่างชัดเจน และดูกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อมองจากภายนอก ซึ่งถือเป็นการออกแบบที่โดดเด่นและลงตัวเป็นอย่างมาก 2.WOODDEN x PAVA architects  หยิบอัตลักษณ์อย่างไม้ เปลี่ยนมุมมองใหม่ให้เข้าถึงได้ โดยเฉพาะ "ไม้สัก" ซึ่งเป็นวัสดุที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้สัมผัส บอกเล่าเรื่องราวด้วยการสร้างสรรค์ผ่านมุมมองสถาปนิกให้ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ในรูปแบบ enclosed space ที่จะช่วยให้ผู้เข้าชมสัมผัสความสงบจากป่าไม้สักคอนทราสต์กับบรรยากาศภายนอกทันทีที่ก้าวเข้ามา อีกทั้ง ยังสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับวงจรชีวิตของไม้สักตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ บอกได้เลยว่าผู้ที่หลงใหลวัสดุที่ทำจาก “ไม้” ต้องไม่พลาด 3.THAI KOON STEEL & THAI PREMIUM PIPE x Context Studio  ฉีกกฎเดิมๆ ของงานเหล็ก สู่การสร้างสรรค์ให้พลิ้วไหวจาก Context Studio โดยการนำวัสดุอย่างท่อและโซ่มาออกแบบได้อย่างกลมกลืนและน่าสนใจ สร้างรูปลักษณ์ใหม่ในพื้นที่จำกัด ด้วยวิธีการปรับองศาการติดตั้งท่อเหล็ก เปลี่ยนเส้นตรงให้อยู่ในรูปทรงเกลียว (spiral) สอดประสานกันเพื่อให้ความรู้สึกที่พลิ้วไหวแต่ยังได้ฟังก์ชันที่สอดรับกันเพื่อสร้างความแข็งแรง และโครงสร้างทุกชิ้นสามารถนำกลับไปใช้ใหม่ได้  แบบนี้บอกได้เลยว่าเป็นการออกแบบที่คิดถึงการใช้งานและสิ่งแวดล้อมด้วย 4.EMPOWER STEEL x ACa Architects  ผลงานการถอดรหัสเหล็กที่แข็งแรงสู่โมเลกุลในยูนิตที่เล็กลงทรงเรขาคณิต สื่อถึงความเป็นธาตุโลหะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่มีความพลิ้วไหว สร้างจินตนาการใหม่ๆ โดยใช้เหล็กจาก EMPOWER STEEL ที่มีนวัตกรรมทำสีและพิมพ์ลวดลายมาตัดเป็นชิ้นนับหมื่นแผ่น บากร่องเพื่อต่อขึ้นเป็นโครงสร้าง (Modular Structure) โชว์พื้นผิว สี ฉีกกฎเหล็กจากอุตสาหกรรมทั่วไป สู่งานดีไซน์ที่หลากหลายตามจินตนาการ สำหรับผู้สนใจ สามารถเข้ามาสัมผัส และเรียนรู้แนวคิด การออกแบบสถาปัตยกรรม บนพื้นที่ Thematic Pavilion  ได้ภายในงานสถาปนิก’66 นี้ พร้อมพบกับ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และการออกแบบ รวมถึงแรงบันดาลใจอีกมากมาย ภายในงานสถาปนิก’66    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] เริ่มแล้ว! “สถาปนิก’65”  กระตุ้นเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง – หนุนเม็ดเงินสะพัดกว่า 2 หมื่นล้าน
[PR News] สีนิปปอนเพนต์ อัดแคมเปญ “เหนือ SHIELD ยังมี BOND – WEATHERBOND”

[PR News] สีนิปปอนเพนต์ อัดแคมเปญ “เหนือ SHIELD ยังมี BOND – WEATHERBOND”

สีนิปปอนเพนต์  สีนิปปอนเพนต์ รุกตลาดสีไตรมาส 2 ส่งเรือธง “นิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์” บุกตลาดสีทาอาคารภายนอกระดับอัลตร้าพรีเมียม พร้อมแคมเปญเด็ด “เหนือ SHIELD ยังมี BOND - WEATHERBOND” ชูจุดขายความทนทานนาน 15 ปี+ ตอบรับทุกกลุ่มลูกค้า จัดเต็มกลยุทธ์ O2O มั่นใจดันยอดขายสิ้นปีโตขั้นต่ำ 25%   นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด  ผู้ผลิตและจัดจำหน่าย สีนิปปอนเพนต์ ในประเทศไทย ในฐานะผู้ผลิตสีรายใหญ่อันดับ 1 ของเอเชีย และอันดับ 4 ของโลกจากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า เพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่กลับมาขยายตัวตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2565 ที่ผ่านมา อีกทั้งการขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2566 ทำให้มีอุปสงค์ในตลาดเพิ่มสูงขึ้น ผนวกกับการที่ผู้บริโภคหันมาปรับปรุงที่อยู่อาศัย เพื่อเตรียมต้อนรับเทศกาลสงกรานต์และความสวยงามของบ้านในระยะยาว ทำให้นิปปอนเพนต์มองเห็นถึงโอกาสในการทำตลาดสีทาภายนอก บริษัทจึงรุกทำตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ สีนิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ (NIPPON PAINT WEATHERBOND) สีน้ำทาอาคารภายนอก เกรดอัลตร้าพรีเมียม หนึ่งเดียวที่พร้อมมอบงานสีคุณภาพสูงสุด ทนทาน สวยงาม ด้วยสุดยอด “เทคโนโลยีสี WEATHERBOND” เอกสิทธิ์เฉพาะจากประเทศญี่ปุ่น กับ 4 คุณสมบัติตอบโจทย์ทุกความต้องการ ได้แก่ เหนือกาลเวลา 15 ปี + เหนือการปกปิดรอยแตกลายงา เหนือการปกป้องสภาวะอากาศ เหนือการเช็ดล้างขัดถู คุณสมบัติดังกล่าวเกิดจากการที่สี NIPPON PAINT WEATHERBOND ถูกผลิตและพัฒนามาจากกาวอะคริลิกคุณภาพสูงที่มีการเรียงตัวของพันธะแน่นเป็นพิเศษ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของชั้นฟิล์มสี ตั้งแต่พื้นผิวภายนอกจนถึงโครงสร้างภายในฟิล์มสี ทำให้ฟิล์มสียึดเกาะดีเยี่ยม สวยเหมือนใหม่เสมอ หมดปัญหาสีซีดจาง รอยแตกลายงา ลอกล่อน บวมพอง เป็นฝุ่นชอล์ก พร้อมให้บ้านสวยทนนานกว่า 15 ปี ป้องกันการเกิดคราบด่าง-คราบเกลือ ป้องกันน้ำและความชื้นซึมเข้าสู่ผนัง อีกทั้งยังสะท้อนรังสีแสงอาทิตย์สูงถึง 94% ทำให้ลดอุณหภูมิได้ถึง 12 องศาเซลเซียส และปลอดภัยจากสารปรอทและตะกั่ว   พร้อมกันนี้บริษัทได้จัดแคมเปญ “เหนือ SHIELD ยังมี BOND – WEATHERBOND” แคมเปญเชิงอบอุ่นที่เริ่มจากการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจถึงความต้องการอย่างแท้จริงของผู้ที่รักบ้าน ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์สี NIPPON PAINT WEATHERBOND อย่างแตกต่างด้วยคุณค่าทางอารมณ์ (Emotional Value) ถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์โฆษณาหลัก ชุด “ความทรงจำสีไม่จาง” พร้อมแฮชแทก #ฟีลเปลี่ยนสีไม่เปลี่ยน บอกเล่าเรื่องราวของเด็กชายและความทรงจำเกี่ยวกับสีบ้านตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ จนกระทั่งเติบโตเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น ผู้ผ่านเรื่องราวและความรู้สึกมากมายเกี่ยวกับสีบ้านมาตลอดระยะเวลา 15 ปี ถึงแม้ความรู้สึกและสภาพแวดล้อมของตัวบ้านจะเปลี่ยนไปมากเพียงใด แต่สีบ้านที่ทาด้วย NIPPON PAINT WEATHERBOND ก็ยังคงอยู่คู่กับความรู้สึก สวยงามตลอด ไม่เคยเปลี่ยน   โดยภาพยนตร์โฆษณาชุดดังกล่าวสร้างขึ้นเพื่อ ตอกย้ำถึงคุณสมบัติความทนทานเป็นเลิศ สวยงามเหนือกาลเวลากว่า 15 ปีอย่างเต็มประสิทธิภาพและไม่ก่อเกิดปัญหาสีกวนใจในภายหลัง ทั้งนี้แคมเปญยังมาพร้อมแนวคิดการทำการตลาด O2O หรือ ONLINE to OFFLINE เชิงรุก เริ่มต้นด้วยการปลุกชีพตึกร้างคุ้นตา ที่เป็นเสมือนไอคอนหนึ่งแห่งย่านรัชดา - ลาดพร้าว ด้วยครีเอทีฟบิลบอร์ดซิลูเอท (Silhouette) รูปบ้านสีแดงสดกับจอแอลอีดีบอกเล่าภาพเคลื่อนไหวอย่างเข้าใจง่าย ของเด็กชายในแต่ละช่วงอายุที่เชื่อมโยงกับภาพยนตร์โฆษณาชุดความทรงจำสีไม่จาง ก่อนที่แคมเปญจะเพิ่มการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้นด้วยมีเดียอีกหลายประเภทที่น่าสนใจและดึงดูด   อีกทั้งแบรนด์ยังได้ยกระดับการเข้าถึงของแคมเปญและผลิตภัณฑ์ด้วยการสื่อสารเฉพาะกลุ่มความสนใจ (Customized message) พร้อมเพิ่มสีสันของแคมเปญด้วยการทำ Localized marketing ผ่าน KOLs ผู้เป็นที่รู้จักและอาศัยอยู่ในแต่ละภูมิภาคของประเทศ ตบท้ายแคมเปญด้วยโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการทั้งผู้ที่ต้องการซื้อผ่านออนไลน์หรือจุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ   สี NIPPON PAINT WEATHERBOND จึงเหมาะกับกลุ่มผู้บริโภคที่กำลังมองหาสีทาบ้านคุณภาพสูง ทนทาน สวยงาม และผู้ประกอบการทั้งช่างสี ดีไซเนอร์ เจ้าของโครงการ ฯลฯ เพื่อให้ได้งานที่สวยงาม ประหยัดเวลา ประหยัดค่าแรง และค่าใช้จ่ายในการให้บริการหลังการขาย เรียกว่าตอบโจทย์อย่างแท้จริง ทำให้มั่นใจว่า NIPPON PAINT WEATHERBOND เป็นสีเรือธงที่ผลักดันให้นิปปอนเพนต์ ในปีนี้มีการเติบโต 25% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ด้านนายณรงค์ฤทธิ์ มาลัยนวล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด  กล่าวว่า กลยุทธ์การทำตลาดของ สีนิปปอนเพนต์ ยังคงเน้นเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสีทาบ้านและอาคาร หรือ The Coatings Expert ผ่าน Inspired by you ภายใต้แนวคิด “3C” ได้แก่ Customer Centric  Customized Solution และ Concrete Innovationโดยการทำตลาดสี “NIPPON PAINT WEATHERBOND” ครั้งนี้ เริ่มต้นด้วยการนำแนวคิด Customer Centric  ผ่านการทำการศึกษาความต้องการของผู้บริโภค 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่ม Generation X และ กลุ่ม Generation Y   โดยพบว่า ส่วนใหญ่ของ Generation ทั้ง 2 กลุ่ม มองหาสีทาภายนอกที่สวยงามและทนทาน บริษัทจึงเริ่มวางแผนกลยุทธ์การตลาดและการสื่อสารที่สอดคล้องและตอบโจทย์ ผ่านแนวคิด Customized Solution เพื่อสร้างความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์จะครอบคลุมทุกความต้องการ ซึ่งเราพัฒนาด้วย Concrete Innovation จนได้เป็นสุดยอดเทคโนโลยีสีเวเธอร์บอนด์   ทั้งนี้ ตลาดสีทาบ้านและอาคารในปี 2566 นี้คาดว่าจะเติบโตราว 10% ส่งผลให้มีมูลค่ารวมเพิ่มขึ้นเป็น 30,000 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีมูลค่ารวมกว่า 27,000 ล้านบาท เติบโต 6% แบ่งออกเป็น ตลาดสีทาบ้านและอาคารที่จำหน่ายผ่านช่องทาง Modern Trade  30% มีการเติบโต 12-15% ช่องทาง Traditional Trade 50% มีการเติบโตแบบทรงตัว และช่องทาง Direct Sale 20% มีการเติบโต 8-10% ขณะที่ในปีนี้นิปปอนเพนต์ตั้งเป้าหมายที่จะเติบโต 25 %   สนใจดูรายละเอียดแคมเปญ “เหนือ SHIELD ยังมี BOND - WEATHERBOND” พร้อมภาพยนตร์โฆษณาชุด “ความทรงจำสีไม่จาง” ได้ที่ Facebook: Nippon Paint Decorative และ ช่อง Youtube: Nippon Paint Decorative พร้อมกับโปรโมชั่นพิเศษมากมาย  ผ่านร้านค้าชั้นนำ Modern Trade   และร้านตัวแทนจำหน่าย สีนิปปอนเพนต์ ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2566   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -นิปปอนเพนต์ เร่งแก้ 2 โจทย์ธุรกิจ ปูทางสู่เบอร์ 1 ตลาดสี -[PR News] นิปปอนเพนต์ จัดกิจกรรม สีสร้างสุข ลงพื้นที่ “ชุมชนเบญจสุข” 
คอตโต้ จับ 5 บริษัทรวมกลุ่มสู่ SCG Decor  ลุยตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์

คอตโต้ จับ 5 บริษัทรวมกลุ่มสู่ SCG Decor ลุยตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์

คอตโต้ จับ 5 บริษัทในกลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ รวมเป็นหนึ่งเดียว สู่กลุ่ม SCG Decor บุกตลาดอาเซียน ขยายฐานจับลูกค้ากว่า 560 ล้านคน หวังเติบโตถึง 6 เท่า ชู 5 กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ​ ​   นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ คอตโต้ (COTTO) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด หรือ SCG Decor เปิดเผยว่า COTTO เป็นบริษัทที่เติบโตต่อเนื่องและมีผลประกอบการที่ดี โดยมียอดขายกระเบื้องปูพื้น บุผนัง เป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 33.0%  อีกทั้งนักลงทุนให้ความสนใจและเชื่อมั่นด้วยดีตลอดมา   อย่างไรก็ตาม COTTO ยังมีโอกาสขยายตลาดให้ครอบคลุมทุกวัสดุตกแต่งพื้นผิว ดังนั้นการปรับโครงสร้างโดยการขยายสินค้าให้ครอบคลุมทุกวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ พร้อมทั้งขยายธุรกิจไปยังตลาดอาเซียนที่มีศักยภาพสูง ภายใต้ SCG Decor นับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจเติบโตยิ่งขึ้น รวม 5 บริษัทสู่ SCG Decor SCG Decor เป็นบริษัทแกนหลักของ เอสซีจี ในการประกอบธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ (Decor Surfaces & Bathroom) พร้อมช่องทางจัดจำหน่ายทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน โดยมีกลุ่มบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอินโดนีเซีย ได้แก่   1.บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศไทย มียอดขายกระเบื้องเซรามิกเป็นอันดับ 1 ในประเทศ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 33.0%   2.บริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด (SSW) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์ในประเทศไทยและส่งออกไปต่างประเทศ มียอดขายสุขภัณฑ์เป็นอันดับ 1 ในประเทศ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 32.8%   3.Prime Group ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศเวียดนาม มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในประเทศ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 26.4%   4.บริษัท Mariwasa-Siam Ceramics, Inc (MSC) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศฟิลิปปินส์ มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในประเทศ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 16.8%   5.PT Keramika Indonesia Assosiasi, Tbk (KIA) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากร 274 ล้านคน สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน   นายนำพล กล่าวว่า  การรวมแต่ละบริษัทในกลุ่มธุรกิจกระเบื้องปูพื้น บุผนัง และสุขภัณฑ์ของ เอสซีจี เข้ามาอยู่ภายใต้ SCG Decor  เป็นการเสริมความแข็งแกร่ง และสร้างประโยชน์สูงสุดจากการประสานพลังร่วมกันระหว่างทุกบริษัท (Business Synergy) เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และเร่งการขยายการเติบโตอย่างรวดเร็วไปสู่ภูมิภาคอาเซียน  ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายครอบคลุมทุกวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ รวมถึงช่องทางจัดจำหน่ายทั้งในประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกระดับได้อย่างครบวงจร โดยมีโอกาสสร้างการเติบโตได้ถึง 6 เท่า จากประชากรไทยที่มี 70 ล้านคนไปสู่ตลาดที่มีประชากรมากกว่า 560 ล้านคน   (1 อ้างอิงมูลค่าตลาดสำหรับปี 2564 ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย เทียบกับมูลค่าตลาดรวมของประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอินโดนีเซีย ตามรายงานของ Euromonitor) การปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นของ COTTO ที่เปลี่ยนเป็นผู้ถือหุ้นของ SCG Decor คือ ยกระดับเป็น ผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ประกอบธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและธุรกิจสุขภัณฑ์ชั้นนำระดับอาเซียน และยังคงสถานะเป็น ผู้ถือหุ้นทางอ้อมของ COTTO และบริษัทในกลุ่ม SCG Decor 5 กลยุทธ์เติบโตในอาเซียน 5 กลยุทธ์ SCG Decor เติบโตสู่ผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในอาเซียน ได้แก่ 1.ขยายตลาดสู่อาเซียน ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ (Bathroom) จากประเทศไทย เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอาเซียน ซึ่งกลุ่มสุขภัณฑ์ ในประเทศไทย เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง มียอดขายและส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 โดยนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ อาทิ “COTTO Smart Toilet” ตอบโจทย์เทรนด์ด้านสุขภาพและอนามัย 2.สร้างแบรนด์วัสดุตกแต่งพื้นผิว ต่อยอดความแข็งแกร่งของธุรกิจตกแต่งพื้นผิว (Decor Surfaces) ทั้งในประเทศไทยและในอาเซียน โดยประยุกต์โมเดลธุรกิจที่เข้มแข็งของไทยถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อเร่งการเติบโต ผลักดันแบรนด์สินค้าทุกประเทศให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เช่น PRIME ในเวียดนาม MARIWASA ในฟิลิปปินส์ และ KIA ในอินโดนีเซีย พร้อมเสริมความแข็งแกร่งทุกช่องทางการขาย และขยายการส่งออกไปทั่วโลก ด้วยนวัตกรรมการออกแบบและวิจัย นำเสนอสินค้าหลากหลาย ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่กลุ่มประหยัด กลุ่มมาตรฐาน และกลุ่มพรีเมียม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA - High Value Added Products & Services) เช่น “LT แผ่นปูพื้น Smart Flexible by COTTO” นวัตกรรมวัสดุสร้างความยืดหยุ่น ติดตั้ง-ดูแลสะดวก ลวดลายและสัมผัสเสมือนธรรมชาติ “AIR ION” กระเบื้องฟอกอากาศ และสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ผลิตภัณฑ์ติดตั้งและซ่อมแซม  ปูนกาว และยาแนว เป็นต้น 3.แตกไลน์ธุรกิจใกล้เคียงเพิ่ม ขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่อง ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการให้บริการแบบครบวงจร เพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ด้านตกแต่งพื้นผิว สุขภัณฑ์ และบริการ ด้วยโซลูชั่นแบบครบวงจรจากการผนึกกำลังของบริษัทในกลุ่มและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง 4.บริหารซัพพลายเชนทั้งผลิต-จัดหา การบริหารห่วงโซ่อุปทานทั้งด้านการผลิตและการจัดหาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด (Regional Optimization and Global Sourcing Powerhouse) ผสานความร่วมมือระหว่างฐานการผลิตในภูมิภาคและบริษัทในกลุ่มเพื่อบริหารกำลังการผลิตในภาพรวมอย่างมีประสิทธิภาพและสรรหาผลิตภัณฑ์ชั้นนำจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก 5.สร้างสินค้ามาตรฐานโลก เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยมาตรฐานระดับโลก พัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลกและกระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  ลดของเสียจากการผลิตและนำกลับมาหมุนเวียนเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลกเพื่อสร้างรายได้ ลดต้นทุนพลังงานด้วยการเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนและเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ มุ่งบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 (NET ZERO 2050) สอดคล้องกับแนวทาง ESG (Environmental, Social, and Governance)   นายนำพล กล่าวเสริมว่า SCG Decor เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีรายได้จากการขาย ปี 2563 – 2565 ที่ 24,378.6 ล้านบาท 25,937.4 ล้านบาท และ 30,253.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% และ 16.6% ตามลำดับ ปี 2565 ส่งออกสินค้าไปสู่ตลาดในอาเซียน เช่น กัมพูชา ลาว พม่า และประเทศอื่น ๆ รวมกว่า 53 ประเทศ มีรายได้จากการส่งออกกว่า 4,500 ล้านบาท คิดเป็น 15.0% ของรายได้รวม   ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการของ COTTO เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 พิจารณาให้นำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น COTTO เพื่อขออนุมัติเพิกถอนหุ้นของบริษัทฯ ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ตามแผนการปรับโครงสร้างบริษัทร่วมกับ SCG Decor โดยมีเงื่อนไขสำคัญ คือ COTTO ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของผู้ถือหุ้นทั้งหมด และต้องไม่มีผู้ถือหุ้นของ COTTO คัดค้านการเพิกถอนหลักทรัพย์เกินกว่า 10% ในวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 ปูพรมจับตลาด 560 ล้านคน นายสมิทธิ โกสีย์เจริญ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด  กล่าวว่า อุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิก และอุตสาหกรรมสุขภัณฑ์ ทั้งในประเทศไทย รวมถึงเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง รองรับประชากรเกือบ 560 ล้านคน มีมูลค่าตลาดกระเบื้องปูพื้น บุผนัง และสุขภัณฑ์ รวมกันกว่า 1.9 แสนล้านบาท  จึงเป็นโอกาสที่  SCG Decor จะขยายธุรกิจและเติบโตต่อไปในอาเซียนได้อีก   ทั้งนี้ อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ปี 2565-2569 ของ ตลาดกระเบื้องเซรามิกในประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 1.2% ขณะที่ตลาดในไทย รวม เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เติบโตเฉลี่ย 7.1% SCG Decor ส่วนตลาดสุขภัณฑ์ในประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 2.1% เทียบกับรวม 3 ประเทศข้างต้น เติบโตเฉลี่ยต่อปี 8.6% (อ้างอิงจาก Euromonitor ปี 2564)   เมื่อ COTTO ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว SCG Decor จะยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ยื่นแบบ Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขออนุมัติการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ภายหลังจากแบบไฟลิ่งมีผลใช้บังคับ SCG Decor จะเริ่มทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ COTTO ในราคา 2.40 บาทต่อหุ้น โดยจะชำระค่าหุ้นเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SCG Decor เท่านั้น ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับการเสนอขายหุ้น IPO ของ SCG Decor หลังจากการทำคำเสนอซื้อสิ้นสุดลง COTTO จะถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยผู้ถือหุ้น COTTO ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าว จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นของ SCG Decor และยังคงเป็นเจ้าของ COTTO ทางอ้อม จากนั้น SCG Decor จะเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป   นายนำพล กล่าวสรุปเพิ่มเติมว่า บริษัท ฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุน และได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์จากผู้ถือหุ้น COTTO ในปัจจุบัน รวมถึงมอบความไว้วางใจตอบรับคำเสนอซื้อในครั้งนี้ ด้วยการแลกหุ้นและกลายเป็นผู้ถือหุ้นของ SCG Decor ต่อไป พร้อมทั้งขอเรียนเชิญผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทุกท่าน ร่วมเป็นพลังสำคัญในการนำ SCG Decor สยายปีกสู่การเป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในอาเซียน     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -คอตโต้ เผย 5 ดีไซน์เทรนด์สุขภัณฑ์หลังโควิด กับ 2 ความท้าทายหลังเปิดประเทศ
เสนา ดีเวลลอปเม้นท์  ไม่ขายบ้าน-คอนโดอย่างเดียวแล้ว  เปิด 10 ธุรกิจใหม่ 3กลุ่ม โฮลดิ้ง

เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ไม่ขายบ้าน-คอนโดอย่างเดียวแล้ว เปิด 10 ธุรกิจใหม่ 3กลุ่ม โฮลดิ้ง

เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ประกาศมูฟเม้นต์ ปี 2023 ชูจุดยืนธุรกิจองค์กรภายใต้วิชั่นของการเป็น Sustainable Business ผ่านคีย์เวิร์ด “SENA Multiplied” เบิกทางลงทุนพัฒนาโครงการและขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ ด้วยมูลค่า 55,000 กว่าล้านบาท ปูทางสร้างรากฐานตามแบบ “Lifelong Trusted Partner” เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีทุกช่วงอายุ พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงของโลก แจงแผนเปิด 26 โครงการ 24,000 ล้าน​ ตั้งเป้ายอดขาย 18,000 กว่าล้าน และยอดโอนรวม 16,500 ล้าน   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจและสิ่งที่คนทั่วโลกต้องเผชิญมีทั้งเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Economic Recession) เกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นภาวะเงินเฟ้อ ราคาสินค้าแพงแต่รายได้เท่าเดิม และอัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอไม่ต่างไปจากปีที่ผ่านมา ประกอบกับสถานการณ์โลกที่แปรปรวน และปัญหาสิ่งแวดล้อม (Climate Change) ถือเป็นความท้าทายหรือ Social Challenge ของภาคธุรกิจ ทั้งการบริหารสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและที่พักอาศัย ด้านสาธารณสุข รวมถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ทำให้ทุกภาคธุรกิจให้ความสำคัญและผลักดันเป็นยุทธศาสตร์หลักเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจบนแนวคิดสร้างความยั่งยืน (Sustainability) ให้กับสังคม   ด้วย Core Business SENA พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ได้แก่ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ ทาวน์โฮมและอาคารชุด ธุรกิจเช่า ได้แก่ อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า ธุรกิจอาคารสำนักงาน ธุรกิจสนามกอล์ฟ ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ธุรกิจบริหารงานนิติบุคคล ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่พักอาศัย เป็นต้น วันนี้ SENA เรายกระดับ (ENHANCED) การพัฒนาโครงการบ้านติดโซลาร์สู่การพัฒนาบ้านพลังงานเป็นศูนย์ “ZERO ENERGY HOUSING” (ZEH)” ลดการใช้พลังงานได้ไม่ต่ำกว่า 20 % ในบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียมของ SENA พร้อมขยายธุรกิจใหม่ (New Business) ที่หลากหลายและครอบคลุมตาม Mega Trend และ Social Challenge ผ่านแกนวิชั่นโครงสร้างองค์กรที่เป็นมากกว่า Property Developer สู่ “The Essential Lifelong Trusted Partner” เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี บนแกน “SENA Multiplied” อย่างไรก็ตาม ทาง SENA วางงบเพื่อการลงทุนในการพัฒนาสินค้าและขยายโอกาสสู่ธุรกิจใหม่ 9,084 ล้านบาท โดยประกอบด้วย New Business to Strengthen Core Business SENA มุ่งมั่นในการต่อยอดพัฒนาอสังหาฯ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตลูกบ้านให้มีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ประกอบด้วย   1.จับมือบริษัท เอ็นอีซี คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ NEC Thailand ที่ปรึกษาเทคโนโลยีด้านไอที บริษัทชั้นนำระดับโลก พัฒนาแพลตฟอร์ม “SMARTIFY” Smart Living Community เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าและลูกบ้าน   2.ธุรกิจบริการทางการเงิน “เงินสดใจดี” เพื่อเพิ่มความสามารถในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้า พร้อมให้คำปรึกษาและให้ความรู้ทางด้านการเงิน   3. ธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เพื่อบริการขายและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์   4.ธุรกิจบริหารนิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินแบบครบวงจร (Property Management)   5.ธุรกิจบ้านมือสอง “SENA SURE” โดยร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM และบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM คัดเลือกทรัพย์และนำมาปรับปรุงให้มีคุณภาพ ทางเลือกหนึ่งให้คนที่ต้องการที่อยู่อาศัย New Business New Foundation ขณะเดียว SENA การขยายธุรกิจใหม่ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวกสบาย (Convenience) ให้กับทุกคน และเน้นธุรกิจที่ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ใหม่ให้กับการใช้ชีวิตเพื่อช่วยกันลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization Lifestyle) รวมถึงการนำเทคโนโลยีด้านบริการเข้าปรับใช้เพิ่มความสะดวกสบายให้กับทุกคนและในทุกช่วงชีวิต พุ่งเป้าหมายธุรกิจเมกะเทรนด์ (Mega Trends) ของโลก สร้างสังคมที่ยั่งยืน ทั้งด้านบริการครอบคลุมครบ ขณะเดียวกัน มองว่าเทรนด์การลงทุนในธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เราพุ่งเป้าไปธุรกิจที่ตอบรับเมกะเทรนด์ (Mega Trend) ทั้งความยั่งยืนในการประกอบธุรกิจที่เป็นมิตรต่อโลก สังคม สุขภาพ​ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ประกอบด้วย   1. เตรียมขยายพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ใหม่ Premium Segment   2. การบริหารจัดการด้าน Hospitality เต็มรูปแบบ “Hotel & Service Apartment Management” ผ่านการจัดการด้วยมืออาชีพเฉพาะด้าน   3. ธุรกิจสถานดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยระยะฟื้นตัว (Nursing Home) “SJ HEALTHCARE” เพื่อรองรับการเติบโตของสังคมสูงอายุพัฒนา MEDICAL WELLNESS CENTER และ PRIMARY CARE สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการและความกังวลด้านดูแลสุขภาพโดยเฉพาะ   4.ธุรกิจ WAREHOUSE ให้เช่าแบบครบวงจร “METROBOX” ซึ่งเป็นอาคารคลังสินค้ามาตรฐานสากลเพื่อผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ เตรียมเปิด 2 ทำเล 1.บางนา บางพลี สมุทรปราการ และ 2.พหลโยธิน วังน้อย อยุธยา   5.จับมือบริษัท ชิเซ็น อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Shizen เพื่อลงทุนและศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ในการขยายตลาดด้านพลังงานหมุนเวียนร่วมกันในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมองหาพันธมิตรในการติดตั้ง “โซลาร์แนวตั้ง” สำหรับอาคารสูงในประเทศไทยเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้มากที่สุด   6.เดินหน้าขยายพื้นที่ให้บริการชาร์จรถไฟฟ้า หรือ EV CHARGING STATION ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์ เพื่อให้สอดคล้องไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และแนวทางการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (SMARTCITY) ปัจจุบันติดตั้งในหมู่บ้านของ SENA ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการติดตั้งสถานีชาร์ตรถไฟฟ้า (EV Charging Station) เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับลูกบ้านในโครงการและลูกค้าทั่วไปในอนาคต   7.บริษัท SENA REFORESTATION ปลูกป่ารักษาโลก ตามเป้าเจตนารมณ์ 100,000 ไร่ New Project Launch ปี 2023 เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 26 โครงการ รวมมูลค่า 24,024 กว่าล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 9 โครงการ 7,471 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 17 โครงการ 16,553 ล้านบาท (ซึ่งใน 26 โครงการ แบ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป 22 โครงการ 21,210 ล้านบาท) ตอกย้ำพันธมิตรธุรกิจที่แข็งแกร่ง 8 ปี ร่วมกันพัฒนาโครงการรวม 45 โครงการ มูลค่า 69,554 ล้านบาท ทั้งนี้ วางเป้าหมายสร้างนิวเรคคอร์ดครั้งใหม่ของบริษัท ด้วยเป้ายอดขาย 18,242 ล้านบาท และเป้าโอนรวม 16,539 ล้านบาท โดยมีสินค้าที่เหลือขาย คิดเป็นมูลค่า 22,294 ล้านบาท เพื่อรอรับรู้รายได้ในอนาคต   แต่อย่างไรก็ตาม เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ยังมองถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก แผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ และธุรกิจใหม่ รองรับ Mega Trend ที่พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนานวัตกรรมด้านสินค้าและการบริการ สานต่อจุดยืนขององค์กรที่เป็นมากกว่าคนพัฒนาอสังหาฯ ด้วยการเป็น “THE ESSENTIAL LIFELONG TRUSTED PARTNER” เพื่อสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงชีวิต   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาฯ เปิดโมเดล​ บ้านพลังงานเป็นศูนย์ เดินหน้าสู่บริษัท ด้านความยั่งยืน -[PR News] เสนาเจ จับมือ NEC พลิกโฉม “Smart Living Community”
นิปปอนเพนต์  เร่งแก้ 2 โจทย์ธุรกิจ  ปูทางสู่เบอร์ 1 ตลาดสี

นิปปอนเพนต์ เร่งแก้ 2 โจทย์ธุรกิจ ปูทางสู่เบอร์ 1 ตลาดสี

นิปปอนเพนต์ เดินหน้าแก้ 2 โจทย์ทางธุรกิจ การวางกลยุทธ์ที่ถูกต้อง การรับมือการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม ด้วยยุทธศาสตร์ “Inspired by you” กับแนวคิด “3C” ไขความพร้อมสู่การชนะใจลูกค้าหวังสร้างยอดขายเติบโต เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มสีทาอาคาร ดันให้ภาพรวมขึ้นแท่นเบอร์ 1 ตามบริษัทแม่ หลังปีที่ผ่านมา​โชว์ผลงานสร้างประวัติศาสตร์​ ทำยอดขายสูงสุด ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจในไทย     นิปปอนเพนต์ แบรนด์สีจากประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยแล้วกว่า 56 ปี ถ้าเทียบอันดับในตลาดเอเชีย แบรนด์นิปปอนเพนต์ ถือว่าเป็นแบรนด์อันดับ 1 ติดต่อ 7 ปี มียอดขายล่าสุดปี 2563 จำนวน ​8,460 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นส่วนแบ่ง 20% ในตลาดสีของเอเชีย และยังเป็น​อันดับ 4 ของตลาดโลกด้วย ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป และกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ที่ต้องใช้สี แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ปัจจุบันแบรนด์นิปปอนเพนต์ ยังไม่ได้ครองใจผู้บริโภค หรือกลุ่มธุรกิจ จนมียอดขายเป็นเบอร์ 1 ทั้ง ๆ ที่มีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี สินค้า หรือการสนับสนุนจากบริษัทแม่ แก้ 2 โจทย์ธุรกิจ สู่เบอร์ 1 ​นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด  ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีนิปปอนเพนต์ ในประเทศไทย เปิดเผยว่า สาเหตุสำคัญที่ปัจจุบันยอดขายของสีนิปปอนเพนต์ในประเทศไทย ไม่เป็นอันดับ 1 เหมือนในตลาดเอเชียมี 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การวางกลยุทธ์ทำธุรกิจไม่ถูกต้อง ในอดีตเมื่อ 20 ปีก่อนเคยวางกลยุทธ์การทำตลาดที่ถูกต้องมาก่อน จนสามารถครองยอดขายอันดับ 1 ได้ แต่จากกลยุทธ์ทางธุรกิจไม่ถูกต้องกับสภาพทางการตลาด ทำให้ยอดขายลดลงมาอย่างต่อเนื่อง 2.การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม จากการเปลี่ยนแปลงทางการตลาดที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้รูปแบบการตลาดของเจ้าของสินค้าต้องปรับเปลี่ยนตาม ซึ่งช่วงที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงสำคัญ คือ ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า อย่างช่องทางโมเดิร์นเทรด เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการซื้อสินค้า เดิมผู้บริโภคนิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางตัวแทนจำหน่าย แต่การขยายตัวของร้านโมเดิร์นเทรด ทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางนี้มากขึ้น ทำให้สีนิปปอนเพนต์ที่มีช่องทางหลัก คือ ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย ต้องสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับคู่แข่ง ที่เข้าไปขายผ่านช่องทางร้านโมเดิร์นเทรด   อย่างไรก็ตาม สีนิปปอนเพนต์ ได้พยายามปรับกลยุทธ์และวิธีการทำตลาดมากขึ้น เพื่อให้ได้ส่วนแบ่งทางการตลาดกลับมาเพิ่มมากขึ้น และก้าวสู่เป็นเบอร์ 1 ในทุกกลุ่มสี โดยเฉพาะการผลักดันกลุ่มสีทาบ้านและอาคาร ที่ปัจจุบันสีนิปปอนเพนต์มีส่วนแบ่งทางตลาดในทุกผลิตภัณฑ์สี อาทิ สีทาอาคาร สีรถยนต์ และสีอุตสาหกรรม เป็นอันดับ  2 ​ ด้วยยอดขายเกือบ 10,000 ล้านบาท   แต่หากเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มสีทาบ้านและอาคารและโรงงาน ปี 2564 มีมูลค่าตลาดรวม 24,000 ล้านบาท นิปปอนเพนต์มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ ​ 4 หรือคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 7%  ขณะที่ผู้นำตลาดเบอร์ 1  มีส่วนแบ่งตลาด 50% สำหรับภาพรวมตลาดสีทาบ้านและอาคารในปี 2565 น่าจะมีอัตราการเติบโต​ 12.5%  คิดเป็นมูลค่า 27,000 ล้านบาท ปัจจัยส่งเสริมให้ตลาดเติบโตมาจาก นโยบายภาครัฐที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการใช้เพิ่มมากขึ้น การปรับปรุงซ่อมแซมบ้านของผู้บริโภค และราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้นจากภาวะต้นทุนที่เพิ่มขึ้น   ปีที่ผ่ามานิปปอนเพนต์มีรายได้กลุ่มสีทาบ้านและอาคาร 1,800 ล้านบาท ปี 2566 นี้ตั้งเป้าเพิ่มรายได้เป็น 2,170 ล้านบาท หรือเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 9-10% และบริษัทพยายามผลักดันส่วนแบ่งยอดขายกลุ่มสีทาบ้านและอาคารเพิ่มขึ้นเป็น 15% ภายใน 3-5 ปี เพื่อจะขยับจากอันดับ 4 ขึ้นมาเป็นอันดับ 2  ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมของสีนิปปอนเพนต์ในทุกตลาดสีขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ให้ได้ภายใน 3-5 ปีด้วย ​​ โดยปัจจุบันตลาดสีรวมทุกผลิตภัณฑ์มีมูลค่ารวม ​ 50,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 56 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เราทำได้ไม่ดี คือ เราไม่ปรับตัว เราเริ่มมาปรับตัวได้ดีขึ้นในช่วง 4-5 ปีส่งผลให้ปีที่แล้วมีการเติบโตกว่า 30% สูงสุดนับตั้งแต่ทำธุรกิจในไทย ​โดยมีการพัฒนาช่องทางตัวแทนจำหน่ายให้เติบโตคู่กับช่องทางโมเดิร์นเทรด  การพัฒนาและเพิ่มช่องทางใหม่ๆ เช่นออนไลน์ 3C ยุทธศาสตร์ทำตลาดปี 66 สำหรับกลยุทธ์ในการทำตลาด และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ สีนิปปอนเพนต์จะใช้ยุทธศาสตร์เดินหน้า “Inspired by you” กับแนวคิด “3C” ได้แก่ Customer Centric-Customized Solution-Concrete Innovation ชูกลยุทธ์การตลาดครบเครื่อง ยกระดับความมั่นใจ พร้อมตอบโจทย์ทุกปัญหาและความต้องการของลูกค้าทั้งกลุ่ม B2B และ B2C   โดยนายณรงค์ฤทธิ์ มาลัยนวล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กล่าวว่า กลยุทธ์การทำตลาดของนิปปอนเพนต์ในปี 2566 นี้ บริษัทยังคงเน้นเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสีทาบ้านและอาคาร หรือ The Coatings Expert ผ่าน Inspired by you กับแนวคิด “3C” ได้แก่ Customer Centric ตามปณิธานขององค์กร การยึดความต้องการของลูกค้าเพื่อเข้าใจ แก้ไขและป้องกันปัญหาสี เป็นสิ่งสำคัญ โดยนิปปอนเพนต์ต้องการสร้างความแตกต่าง เพื่อสร้างความประทับใจ การจดจำ และการบอกต่อถึงความเอาใจใส่ Customized Solution “เพราะความใส่ใจทำให้เราเชี่ยวชาญ” การศึกษาเพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการลูกค้าแต่ละบุคคล แต่ละองค์กรอย่างถ่องแท้ พร้อมนำเสนอ Solution ที่เหมาะสมและตอบโจทย์ผ่านความเชี่ยวชาญที่นิปปอนเพนต์มีเสมอมาอย่างมากที่สุด เพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาสี Concrete Innovation การเดินหน้าคิดค้น วิจัยและพัฒนาเพื่อนำเสนอนวัตกรรมในทุกผลิตภัณฑ์สีอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสิ่งใหม่ที่สร้างประโยชน์ แก้ปัญหาและป้องกันได้จริง สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา   นายณรงค์ฤทธิ์  กล่าวอีกว่า นิปปอนเพนต์เน้นการสร้าง Engagement กับลูกค้าในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ผู้รับเหมา ช่างสี ฯลฯ รวมไปถึงโมเดิร์นเทรด หรือดีลเลอร์ และเพื่อรองรับดีมานด์ที่เกิดขึ้นในทุกๆกลุ่ม ในปีนี้จะเห็นการนำเสนอนวัตกรรมออกสู่ตลาดทั้งในกลุ่มสินค้าสีทาพื้น  ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 500 ล้านบาทมีการเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่รายจึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก  รวมทั้งยังมีแผนนำสินค้าที่เป็นเรือธงออกมาทำตลาดเพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย ​ ปี 2566 ถือเป็นปีที่มีความท้าทายอย่างมากสำหรับนิปปอนเพนต์ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น จากปัจจัยบวก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริโภคในประเทศ และภาคท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาคึกคักขึ้น หลังจีนเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวออกเดินทางท่องเที่ยวได้ ทำให้โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงต่างๆ ต้องปรับปรุงตกแต่งอาคาร ร้านค้า เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามา   นอกจากนี้กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนยังมีความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย ทำให้คาดการณ์ว่า ตลาดคอนโดมิเนียมจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง อีกปัจจัยบวกคือการย้ายฐานการผลิตมาอยู่ในประเทศไทย ของผู้ประกอบการรายใหญ่ ทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนมากและการใช้จ่ายที่จะตามมาในอนาคต ขณะที่ปัจจัยลบที่ต้องจับตามองคือ การเลือกตั้ง ซึ่งยังต้องรอดูนโยบายใหม่ของรัฐบาลว่าจะเดินหน้าอย่างไร   นายณรงค์ฤทธิ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้บริษัทยังมีความเชื่อมั่นว่าภาพรวมของเศรษฐกิจจะกลับมาดีขึ้น จากภาคการผลิตและภาคท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งนิยมซื้ออาคารสูงในไทยจะส่งผลให้ตลาดอาคารสูงกลับมาคึกคักและเดินหน้าก่อสร้างเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดสีทาบ้านและอาคารกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้นิปปอนเพนต์เองเติบโตตามไปด้วย โดยภาพรวมในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น 25% พร้อมกับมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นและกลายเป็นผู้นำตลาดในที่สุด   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -นิปปอนเพนต์ ออกสีใหม่ “เวเธอร์บอนด์” สู้ตลาด 2 หมื่นล้านหดตัว 15%
[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​

[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​

เอสซีจี  จับมือ เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ติดตั้ง​ SCG Active AIR Quality เครื่องเติมอากาศดีสำหรับบ้านและคอนโด  รับความต้องการและพฤติกรรมที่หลากหลายของผู้บริโภคปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นให้ความสนใจในด้านเทคโนโลยีทันสมัยและเรื่องสุขอนามัย  นำร่องติดตั้งเครื่องเติมอากาศดี กว่า 1,000 ยูนิต ภายในปี 2566     นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันเรื่องฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทยกำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤต โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครติดอันดับต้น ๆ ของเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดของโลก  เอสซีจีได้เล็งเห็นและเข้าใจถึงความสำคัญด้านสุขภาพ และความปลอดภัยของผู้บริโภค ไปสู่การพัฒนาสินค้าเพื่อยกระดับคุณภาพอากาศที่คนเมืองกำลังเผชิญ ด้วยเหตุนี้จึงได้พัฒนาสินค้านวัตกรรม SCG Active AIR Quality เครื่องเติมอากาศดีสำหรับบ้านและคอนโด ภายใต้แนวคิด Clean Air For All ผลักดันโซลูชันเพื่ออากาศสะอาดและคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยที่ดีสำหรับทุกคนในบ้าน โดยในปี 2566 เอสซีจีได้วางกลยุทธ์ให้สินค้านวัตกรรม SCG Active AIR Quality เดินหน้ารุกตลาด Housing Project ให้เครื่องเติมอากาศดีเป็นส่วนสำคัญของบ้าน  ด้วยการจับมือกับ SC Asset ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของไทย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในการร่วมผลักดันสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับที่พักอาศัย โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพอากาศ กับการติดตั้งเครื่องเติมอากาศดีให้กับโครงการบ้าน SC Asset จำนวน 1,000 ยูนิตภายในปีนี้ ซึ่งเอสซีจีมีทีมงาน Smart Living Solution Tech พร้อมร่วมออกแบบระบบ SCG Active AIR Quality ให้เหมาะสมกับงานโครงการแต่ละประเภท   พร้อมกันนี้ เอสซีจียังตั้งเป้าผลักดันยอดขาย SCG Active AIR Quality ที่ 100 ล้านบาทภายในปี 2566 โดยโฟกัสไปยังโครงการบ้าน รวมถึงเจ้าของบ้านทั่วประเทศ ที่ใส่ใจสุขภาพ และความปลอดภัย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็กในบ้าน กลุ่มเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ ผู้สูงอายุ และยังรวมไปถึงบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงอีกด้วย   สำหรับหลักการทำงานของ SCG Active AIR Quality คือ เติมอากาศดีเข้าบ้าน เป็นหลักการที่ช่วยให้เกิดอากาศกหมุนเวียนที่ดีอยู่ตลอดเวลา โดยอากาศใหม่นี้จะมีคุณภาพดีตั้งแต่แรกจากตัวกรอง 5 ชั้น เริ่มจากการกรองฝุ่น PM 2.5 กรองและกำจัดเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย รวมถึงไวรัสโคโรน่า สาเหตุของโรคโควิด-19 ได้ 99%   หลังจากนั้น สร้างอากาศแรงดันบวกภายในห้อง จากการที่มีอากาศสะสมภายในห้องมากขึ้น จึงเกิดเป็นแรงดันบวก หรือ Positive Pressure (กรณีในพื้นที่ปิด) ที่จะดันอากาศเสียสะสม มลภาวะ ฝุ่น เชื้อโรคที่ตกค้างในอากาศออกสู่ภายนอก จึงทำให้อากาศภายในห้องเป็นอากาศคุณภาพดีตลอดเวลา  เมื่ออากาศที่เข้าสู่ตัวบ้านมีคุณภาพดี จะเป็นการเติมออกซิเจนให้กับตัวบ้าน ช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศที่เกิดจากการสะสมภายในห้องลดลงได้ถึง 70% ภายใน 1 ชั่วโมงอีกด้วย ด้านนายดิเรก ตยาคี Head of Tech Solutions บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC Asset กล่าวว่า ปัจจุบันเทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภคมีความหลากหลายมากขึ้น มองหาสิ่งที่มาตอบโจทย์แตกต่างกัน สำหรับ SC Asset เราพัฒนาสินค้าและบริการแบบยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Human Centric) จึงมีการออกแบบดีไซน์ที่อยู่อาศัยเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด อีกทั้งยังได้วางกลยุทธ์เพื่อพัฒนาในส่วนดังกล่าวอย่างใกล้ชิด   โดยจัดตั้งทีมเฉพาะ Design Core Team  ไปพร้อม ๆ กับการวางคอนเซปท์ H .O. U. S. E. S คือให้ความสำคัญต่อด้านดีไซน์และการอยู่อาศัย (H : Home is Everything) การเลือกใช้วัสดุคุณภาพ (O : Old) การใส่ใจในเรื่องสุขภาพ (U : Unhealthy) ความปลอดภัย (S : Safety) การดูแลรักษา (E : Expense) ตลอดจนด้านสินค้าและบริการของ SC Asset ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (S : Scero House)   ในด้านพฤติกรรมและความสนใจของกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ในประเภทบ้านเดี่ยว ของปี 2566 อันดับต้น ๆ คือ ความต้องการด้านนวัตกรรมจัดการคุณภาพอากาศ มากถึง 83% รองลงมา Smart Home ด้านความปลอดภัย 75% และ ด้านความสะดวกสบาย 66% จะเห็นได้ว่ากลุ่มเป้าหมายปัจจุบันมองหาด้านเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ทุกมิติในชีวิตประจำวัน   สำหรับปี 2566 ทาง SC Asset ได้วางเป้าหมายติดตั้งเครื่องเติมอากาศดีสำหรับบ้านและคอนโด กว่า 1,000 ยูนิต ปัจจุบันนำร่องติดตั้งไปแล้ว จำนวน 8 โครงการแนวราบ 106 ยูนิต เพื่อส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยและคุณภาพอากาศที่ดีในบ้านให้กับผู้บริโภค   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซีจี ลุย 2 ธุรกิจ “ให้คำปรึกษา-งานระบบอาคารแบบครบวงจร” รับเทรนด์ Well-being -เอสซี แอสเสท ชู 3 ยุทธศาสตร์  ปั้นรายได้แสนล้าน ประเดิมปี 65 ลุยเปิด 27 โปรเจ็กต์ใหม่
[PR News] นิปปอนเพนต์ จัดกิจกรรม สีสร้างสุข ลงพื้นที่ “ชุมชนเบญจสุข” 

[PR News] นิปปอนเพนต์ จัดกิจกรรม สีสร้างสุข ลงพื้นที่ “ชุมชนเบญจสุข” 

สีสร้างสุข “นิปปอนเพนต์” เดินหน้ากิจกรรมเพื่อสังคม ผ่านโครงการ สีสร้างสุข จุดเริ่มต้นดีๆ ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน เชื่อมสัมพันธ์ชุมชน ลงพื้นที่ “ชุมชนเบญจสุข” ในวันแห่งความรัก “วาเลนไทน์” ร่วมปรับปรุงทัศนียภาพ ทาสีกำแพง เก็บขยะ พร้อมมอบกระถางต้นไม้รีไซเคิล จากของเสียในกระบวนการผลิตสี เพื่อช่วยส่งเสริมสุขภาวะ และสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับคนในชุมชนกว่า 100 ครัวเรือน     นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า หนึ่งในพันธกิจของนิปปอนเพนต์คือ การเดินหน้าพัฒนาสู่ความยั่งยืน  (Sustainable Development Goals) โดยยึด 3 หลักการคือ Education การส่งเสริมด้านการศึกษา Engagement การสร้างการมีส่วนร่วมของคนในสังคม และ Empowerment การสร้างการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนพร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ร่วมพัฒนาและส่งเสริมให้ชุมชนน่าอยู่ จึงจัดทำกิจกรรมเพื่อสังคมภายใต้โครงการ We Care We Share by Nippon Paint ที่ได้จัดมาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งการลงพื้นที่ไปแบ่งปันเครื่องอุปโภคบริโภคเพื่อการดำรงชีวิตในยามวิกฤต การปรับปรุงทัศนียภาพให้กับสถาบันการศึกษาและพื้นที่สาธารณะประโยชน์มากมาย แนวคิดสำคัญของโครงการ สีสร้างสุข  คือ สุขใจที่ได้ให้ สุขภาวะคนในชุมชน สุขสภาพแวดล้อม เพราะความสุขที่ยั่งยืน คือความสุขที่ทุกคนมีร่วมกัน ​ นอกเหนือจากการคิดค้นและพัฒนานวัตกรรมสีทาอาคารที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคแล้ว นิปปอนเพนต์ยังให้ความสำคัญกับเรื่องของการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยให้สังคมและคุณภาพชีวิตของคนดีขึ้น โดยจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในการเปลี่ยนแปลง นั่นคือการจัดการขยะในชุมชนใกล้โรงงาน เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต สุขภาวะอนามัย และความเป็นอยู่ของชุมชนโดยรอบให้ดีขึ้น   สำหรับกิจกรรมในปีนี้เป็นการลงพื้นที่ชุมชนเบญจสุข ชุมชนที่มีผู้อาศัยกว่า 100 หลังคาเรือน ซึ่งป็นชุมชนที่อยู่รอบโรงงาน เป็นพี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่มาเป็นเวลานาน ตั้งแต่รุ่นพ่อแม่  รุ่นลูก รุ่นหลาน จนถึงปัจจุบัน สำหรับกิจกรรมหลักคือ การปรับปรุงทัศนียภาพ เพื่อส่งเสริมสุขภาวะของผู้คนในชุมชนและร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ด้วยนวัตกรรมสีและผลิตภัณฑ์ของนิปปอนเพนต์ ภายใต้ความร่วมมือของหน่วยงานราชการส่วนท้องถิ่น อาทิ เทศบาลตำบลลัดหลวง สถานีตำรวจภูธรพระประแดง และพี่น้องประชาชนในชุมชน   รวมทั้งการสร้างแรงบันดาลใจโดยศิลปินอาสามาร่วมเพนต์ผนังกำแพง จากกำแพงเก่า ให้ดูมีชีวิตชีวา สดใส ภายใต้แรงบันดาลใจที่ว่า “สีสันสดใส สร้างความสุขและรอยยิ้มให้กับชุมชน” ซึ่งพี่น้องในชุมชนต่างให้ความสนใจเป็นอย่างมาก และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือ การนำของเสียจากอุตสาหกรรมสี มาผ่านกระบวนการรีไซเคิล เป็นกระถางต้นไม้ เพื่อมอบให้กับพี่น้องในชุมชน และสื่อถึงการปลูก ความรัก และความสัมพันธ์ที่ดีให้กับชุมชน และส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับโลกอีกด้วย สำหรับกิจกรรมนี้เกิดจากแนวคิดการสร้างการมีส่วนร่วม เราอยากดูแลคนในชุมชนที่อยู่โดยรอบโรงงาน ให้มีสุขภาวะที่ดี และยังเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ให้ชุมชนกับโรงงานอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน เพราะความสุขที่ยั่งยืน คือความสุขที่ทุกคนมีร่วมกัน โดยนิปปอนเพนต์เลือกวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันแห่งความรัก เพื่อส่งต่อความรัก ให้กับสังคมและชุมชน วันนี้จึงเป็นวันแห่งความทรงจำที่ดีที่นิปปอนเพนต์และชุมชนเบญจสุขมีต่อกัน และจะสานต่อความสัมพันธ์อันดีเช่นนี้ต่อไป   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -นิปปอนเพนต์ ออกสีใหม่ “เวเธอร์บอนด์” สู้ตลาด 2 หมื่นล้านหดตัว 15% -สีนิปปอนเพนต์ วางเป้าโต 20% ลุยตลาดสีท่ามกลางโควิด-19