Tag : News

2400 ผลลัพธ์
[PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม

[PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม

AWC จับมือกับ Ant Group AWC จับมือกับ Ant Group มุ่งยกระดับเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม สําหรับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ของไทย สร้างโอกาสการทำตลาดร่วมกัน ส่งเสริมการเติบโตอย่างไร้ขีดจํากัด ในการสร้างนวัตกรรมและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้วย omnichannel ช่องทางการตลาดที่เชื่อมออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ เพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงช่องทางการชําระเงินดิจิทัลระดับโลกสําหรับผู้ซื้อและผู้ขาย   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า ได้เซ็นสัญญาความร่วมมือกับ Ant Group ผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลก ร่วมสร้างความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม (Digital Technology Ecosystem) ในกลุ่มธุรกิจของ AWC พร้อมยกระดับโซลูชันการชําระเงินดิจิทัลในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยความร่วมมือกับ Ant Group นี้ จะสร้างประสบการณ์การทําธุรกรรมที่สะดวกสบายอย่างไร้รอยต่อแก่ผู้ซื้อและผู้ขายทั่วโลก นับเป็นก้าวสําคัญในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย ความร่วมมือในครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นของ AWC ในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีดิจิทัลในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นไลฟ์สไตล์ของไทย พร้อมพัฒนาอีโคซิสเต็มทางธุรกิจที่ยั่งยืนให้กับกลุ่มธุรกิจค้าส่ง กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน และกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ โดยโซลูชันนี้ จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงการบริการชําระเงินดิจิทัล และสร้างประสบการณ์ Omnichannel ให้กับผู้ซื้อและผู้ขายทั่วโลก ได้แก่ โซลูชันทางการเงินดิจิทัล (Payment Solution) สําหรับกลุ่มธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ และบริการของ AWC รวมถึง 'PhenixBox' ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Omnichannel ที่เชื่อมโยงการซื้อขายจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ และ Pikul แพลตฟอร์มดิจิทัลอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ของ AWC ซี่งการร่วมมือกันนี้ยังส่งเสริมให้ AWC สามารถขยายอีโคซิสเต็มสำหรับกลุ่มธุรกิจค้าส่งด้วยระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ (Cross-Border Payment Solution) เพื่อสร้างโซลูชันการชําระเงินแบบครบวงจรสําหรับศูนย์กลางการค้าส่งของ AWC และแพลตฟอร์ม PhenixBox ที่จะช่วยให้การชําระเงินระหว่างผู้ค้าส่งและผู้ซื้อทั่วโลกในสกุลเงินต่าง ๆ เป็นไปได้อย่างราบรื่น”Thai translation. นอกจากนี้ AWC มุ่งพัฒนาอาคาร เอ็มไพร์ ให้มี ดิจิทัลอีโคซิสเต็ม (Digital Eco-System) ที่ครอบคลุม ส่งเสริมให้เป็นพื้นที่สำนักงานไลฟ์สไตล์สําหรับบริษัทเทคโนโลยีและดิจิทัล เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจด้านเทคโนโลยี ซึ่งความร่วมมือกับ Ant Group นี้ จะส่งเสริมการทำตลาดร่วมกัน (Cross-Marketing) กระตุ้นการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยาว พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้และความเชี่ยวชาญ เปิดโอกาสทางธุรกิจ และขยายฐานลูกค้า ด้วยจุดแข็งที่แข็งแกร่งของ AWC ในการเป็นเจ้าของพอร์ตโฟลิโอที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการไลฟ์สไตล์ และเครือข่ายสํานักงานที่มีผู้เช่าเป็นบริษัทเทคโนโลยีและดิจิทัล สนับสนุนให้ความร่วมมือกับ Ant Group นี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  ผลักดันการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็มสําหรับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ในระยะยาว   นางวัลลภา กล่าวอีกว่า AWC เดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างโอกาสในการยกระดับประสบการณ์การทําธุรกรรมที่ราบรื่นให้แก่ลูกค้าและผู้ประกอบการทั่วโลก พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจในวงกว้างด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลของ Ant Group ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ตรงกันเพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า เพื่อร่วมกันส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนในธุรกิจด้วยการนําเสนอโซลูชันเทคโนโลยีดิจิทัลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย   นางสาวคลารา ชิ รองประธาน Ant Group และ Head of WorldFirst กล่าวว่า การเป็นพันธมิตรกับ AWC ตอกย้ำถึงความสำคัญของระบบการชำระเงินที่มีความคล่องตัวที่ช่วยสนับสนุนการทำธุรกรรมทั่วโลก และเป็นกลไกสู่ความสำเร็จในโลกปัจจุบันที่เชื่อมต่อถึงกันด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทาง ​​Ant Group ได้พัฒนาโซลูชันการชำระเงินข้ามพรมแดนอย่างครอบคลุมเพื่อเพิ่มความคล่องตัวของระบบการทำธุรกรรมข้ามประเทศ Ant Group มุ่งมั่นในการส่งเสริมธุรกิจต่างๆ ให้สามารถเข้าถึงและมอบประสบการณ์ที่ดีกับทั้งพันธมิตร ผู้ขาย และลูกค้าในแต่ละประเทศผ่านช่องทางการชำระเงินแบบ Omnichannel และการบริการทางการเงินต่างๆ ขององค์กรมากมาย 4 กลุ่มธุรกิจภายใตความร่วมมือ การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่าง AWC และ Ant Group นี้ จะสร้างความร่วมมือในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ได้แก่: กลุ่มธุรกิจค้าส่ง ได้ร่วมมือกับ 'WorldFirst' แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการชำระเงินและบริการทางการเงินแบบครบวงจรสำหรับ SME ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระดับโลกหรือการค้าข้ามพรมแดน ภายใต้ Ant Group มีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจค้าส่งโดยนําเสนอบริการชําระเงินข้ามประเทศ อํานวยความสะดวกสำหรับทุกขั้นตอนการใช้จ่ายจากทางออนไลน์สู่ออฟไลน์ (O2O) พร้อมขยายเครือข่ายผู้ซื้อและผู้ขายในการเป็นแพลตฟอร์ม Business-to-Business (B2B) ที่ทำให้การเข้าถึงบริการทางการเงินของซัพพลายเชนง่ายขึ้น อีกทั้ง AWC วางแผนที่จะเปิดใช้งานโซลูชันการชําระเงินข้ามประเทศในแพลตฟอร์ม  PhenixBox ที่ช่วยส่งเสริมช่องทางการชําระเงินของผู้ซื้อ การค้าขาย และการตลาด ภายในปี 2566 กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และกลุ่มธุรกิจศูนย์การค้า ความร่วมมือกับ 2C2P ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการชำระเงินเต็มรูปแบบและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ Ant Group มีเป้าหมายที่จะยกระดับช่องทางการชําระเงิน วิธีการ และประสบการณ์ของผู้ใช้ให้มีประสิทธิภาพสําหรับนักเดินทางและผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน ด้วยจุดแข็งของ Ant Group ในเทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยสร้างการเชื่อมต่อระหว่างองค์กร ผู้คน และสังคม เพื่อสร้างอีโคซิสเต็มในอาคาร ‘เอ็มไพร์’ ให้เป็นคอมมูนิตี้ดิจิทัลรูปแบบใหม่ เชื่อมต่อผู้เช่าในอุตสาหกรรมดิจิทัลเข้าด้วยกัน กลุ่มธุรกิจในด้านดิจิทัล (Digitalization Business) การทำงานร่วมกับ 2C2P เพื่อเสริมศักยภาพของช่องทางการชําระเงินและโซลูชัน e-wallet บัตรเติมเงิน และโปรแกรมระบบสมาชิกที่ปรับเพื่อการใช้งานอย่างลงตัวใน  Pikul แพลตฟอร์มดิจิทัลอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ของ AWC ที่กําลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC
เอพี ไทยแลนด์ ประกาศรายได้ครึ่งปีแรก 23,856 ล้าน เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ทั่วไทย

เอพี ไทยแลนด์ ประกาศรายได้ครึ่งปีแรก 23,856 ล้าน เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ทั่วไทย

เอพี ไทยแลนด์ เผยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 66 เติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยแรงส่งจากสินค้าทุกเซกเมนต์ในเครือ ดันครึ่งปีแรกรายได้รวมมากถึง 23,856 ล้าน กำไรสุทธิ 3,023 ล้าน ผลจากสินค้าแนวราบที่ยังคงรักษาสถานะการเติบโตได้อย่างคงที่ ประกอบกับรายได้จากสินค้ากลุ่มคอนโดที่ปรับตัวกลับคืน ครึ่งปีหลังเตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 55,940 ล้าน  ​   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยมีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 23,856 ล้านบาท กำไรสุทธิเท่ากับ 3,023 ล้านบาท   ทั้งนี้ ณ ไตรมาส 2 ที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 12,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้รวมเท่ากับ 11,805 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิ 1,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 1,478 ล้านบาท เท่ากับ 4.5% โดยในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สินค้ากลุ่มแนวราบอย่างทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวยังถือเป็นคีย์ไดรฟ์สำคัญในการเติบโตทางรายได้และกำไรอย่างแข็งแกร่ง โดยรายได้ที่เกิดขึ้นมาจากสินค้าแนวราบคิดเป็นมูลค่า 17,358 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73% ของสัดส่วนรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งมีบ้านเดี่ยวแบรนด์ THE CITY, CENTRO และบ้านกลางเมือง เป็นกำลังหลักหนุนสร้างรายได้รวมในกลุ่มแนวราบ   สำหรับสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม ภาพรวมธุรกิจเริ่มมีแนวโน้มเป็นบวก ประกอบกับสัญญาณการโอนกรรมสิทธิ์เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ รับรู้รายได้จาก ASPIRE รัตนาธิเบศร์ เวสต์ตัน, ASPIRE เอราวัณ ไพร์ม และคอนโดมิเนียมร่วมทุนอย่าง RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน ที่ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องในไตรมาสที่ผ่านมา ณ 31 กรกฎาคม บริษัทฯ มียอดขายรวมกว่า 46,819 ล้านบาท และในครึ่งปีหลังบริษัทฯ เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 55,940 ล้านบาท โดยเป็นทาวน์โฮม 19 โครงการ มูลค่า 19,550 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 14 โครงการ มูลค่า 24,750 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 8,300 ล้านบาท และต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,340 ล้านบาท ส่งผลให้ตลอดครึ่งปีหลังเอพีจะมีโครงการพร้อมขายทั้ง กทม. และต่างจังหวัดมากกว่า 179 โครงการ มูลค่ากว่า 143,367 ล้านบาท   ทั้งนี้ ในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ DIVE DEEPER IN PROPERTY BUSINESS ด้วยการทำงานแบบเจาะลึก เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียม กลุ่มธุรกิจพัฒนาบ้านเดี่ยว และกลุ่มธุรกิจพัฒนาทาวน์โฮม   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ จบครึ่งปีแรกทำยอดกว่า 39,500 ล้าน เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ครึ่งหลังอีก 40 โครงการ -เอพี ไทยแลนด์ 4 เดือนแรก ตุนยอดกว่า 14,264 ล้าน เปิด 16 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2
ศุภาลัย โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 14,346 ล้าน  ลุยเปิดใหม่ครึ่งปีหลัง 27 โครงการ

ศุภาลัย โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 14,346 ล้าน ลุยเปิดใหม่ครึ่งปีหลัง 27 โครงการ

ศุภาลัย เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก ​สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง โกยรายได้รวม 14,346 ล้าน​ กำไรสุทธิ 2,781 ล้าน​ เดินหน้าลุยตลาดอสังหาฯ เต็มกำลัง ครึ่งปีหลังเปิดโครงการใหม่อีก 27 โครงการ มูลค่ารวม 28,610 ล้าน ขยายโปรดักส์ใหม่ทุกเซกเมนต์ มุ่งสู่เป้าหมายรายได้ 36,000 ล้าน   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2566 บริษัทฯ ยังคงรักษาการเติบโตที่มั่นคงต่อเนื่องและอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยสามารถสร้างรายได้รวม 14,346 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค โดยแบ่งเป็นรายได้กลุ่มสินค้าแนวราบ 65% ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ และรายได้กลุ่มคอนโดมิเนียม 35% โดยตลาดคอนโดเริ่มกลับมามีส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น และลูกค้าให้ความสนใจซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรกมีโครงการศุภาลัย ลอฟท์ สาทร - ราชพฤกษ์ มูลค่า 1,465  ล้านบาท ซึ่งเป็นคอนโดที่สร้างเสร็จส่งมอบโครงการให้ลูกค้าไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่บริษัทฯ สามารถทำยอดขายรวม 6 เดือน อยู่ที่ 17,285 ล้านบาท มาจากการตอบรับที่ดีของลูกค้าในทุกทำเลโครงการที่มีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ รวมถึงเปิดตัวโครงการใหม่แล้ว 10 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค   สำหรับด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 2,781 ล้านบาท และอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 50% ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 2.30% ต่อปี ณ วันที่ 30 มิ.ย. 66 โดยมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 19,804 ล้านบาท  ณ วันที่ 30 มิ.ย. 66 โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าและรับรู้เป็นรายได้ในปี 2566 อีกจำนวน 11,606  ล้านบาท พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังเดินหน้าสรรหาที่ดินในทุกทำเล สำหรับรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และยังเตรียมส่งมอบคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าสามารถทำผลงานถึงเป้ายอดขายและรายได้ที่ตั้งไว้เช่นเดิม   ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิเงินปันผล (XD) 22 ส.ค. 66 และจ่ายเงินปันผล วันที่  6 ก.ย. 66   อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มั่นใจครึ่งปีหลัง 2566 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยบวกโดยเฉพาะการเติบโตของสภาพเศรษฐกิจและการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้บริษัทฯ เตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ รวม 27 โครงการ มูลค่ารวม 28,610 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้า พร้อมนำเสนอสินค้าสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมในทุกทำเล ด้วยการบริหารจัดการอย่างครบวงจร เพื่อให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่ดีมีคุณภาพ ทำเลที่ดีที่สุด ในราคาที่เหมาะสม และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากที่สุด สามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืนในระยะยาว เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ปรับธุรกิจและเตรียมพร้อมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศุภาลัย กวาดยอดขายครึ่งปี 17,285 ล้าน ลุยเปิด 27 โครงการใหม่
PROUD  โชว์งบครึ่งปีแรก โต 984%  กวาดยอดขาย 1,192 ล้าน

PROUD โชว์งบครึ่งปีแรก โต 984% กวาดยอดขาย 1,192 ล้าน

PROUD โชว์ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้ 1,192 ล้าน โต 984% กำไรสุทธิ 147 ล้าน  แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง เร่งโอนกรรมสิทธิ์ เตรียมปิดโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน อัดโปรฯ กระตุ้นยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมเวหา หัวหิน โครงการรมย์คอนแวนต์ คาดยอดขายทั้งปีตามเป้าหมาย 1,705 ล้าน เล็งขยายธุรกิจต่อ เตรียมลงทุนที่ดินเพิ่ม   นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เปิดเผยว่า ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้รวม 1,192 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,082 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 110  ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 984% และมีกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 58 ล้านบาท ขณะที่ ผลประกอบการไตรมาส 2/66 มีรายได้รวม 288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 178 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 110  ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 162% และมีกำไรสุทธิ 9 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 20  ล้านบาท   ทั้งนี้ ผลประกอบการในส่วนของรายได้และกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการขายและทยอยส่งมอบโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน อีกทั้ง บริษัทฯ เร่งโอนกรรมสิทธิ์เตรียมปิด (Sold Out) โครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน มูลค่า 3.84 พันล้านบาท จำนวน 238 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 92% หรือมูลค่ารวม 3,515 ล้านบาท มียอดขายรอโอน (Backlog) 229 ล้านบาท  คาดการโอนเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 3/2566   อีกทั้ง บริษัทเดินหน้าจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย โครงการคอนโดมิเนียม ‘เวหา หัวหิน’(VEHHA)  คอนโดมิเนียมลักชัวรี่ที่สูงที่สุดบนทำเลศักยภาพในหัวหิน มูลค่าโครงการ 2,290 พันล้านบาท จำนวน 364 ยูนิต ปัจจุบัน มียอดขาย (Pre-Sale) แล้ว 33% โครงการ ‘รมย์ คอนแวนต์’ (ROMM Convent) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ใจกลางเมือง บนทำเลศักยภาพที่หาได้ยากที่สุดแห่งหนึ่งบนถนนคอนแวนต์ -สาทร มูลค่าโครงการรวม 4,150 ล้านบาท  ปัจจุบัน มียอดขาย (Pre-Sale) แล้ว 32%  ภาพรวมยอดขายของบริษัทฯ ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนการดำเนินงานที่วางไว้ คาดยอดขายทั้งปีเป็นไปตามเป้าหมาย 1,705 ล้านบาท สำหรับ ทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2566 มีทิศทางที่ดี บริษัทฯ มองหาโอกาสในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายฐานการสร้างรายได้ให้กว้างขึ้น วางแผนซื้อที่ดินแปลงใหม่เพิ่ม รวมถึง มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุม   ทั้งนี้ การเข้าซื้อ 2 โครงการจาก บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) หรือ NOBLE และ บริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จำกัด ได้แก่ นิว ดิสทริค อาร์ 9 (NUE District R9 ) มูลค่าโครงการ 6,519 ล้านบาท และ "นิว ครอส คูคต สเตชัน (NUE Cross Khu Khot)" มูลค่าโครงการ 2,104 ล้านบาท ซึ่งมียอดขายแล้ว 100% คาดว่าเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดได้ในต้นปี 2567 เป็นต้นไป ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 9,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงปี 2569   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -VI ARI บ้านเดี่ยวระดับ Ultra Luxury เริ่ม 82 ล้าน หนึ่งเดียวในย่านอารีย์      -บอร์ด โนเบิล ขาย 2 เงินลงทุนใน 2 โครงการ 867.57 ล้าน ให้ พราว เรียล เอสเตท  
ณวรางค์ แอสเซท ได้แรงหนุนสายสีชมพูสร้างใกล้เสร็จ  ส่ง “ณ รีวา รามอินทรา” รับลูกค้าย่านลาดปลาเค้า

ณวรางค์ แอสเซท ได้แรงหนุนสายสีชมพูสร้างใกล้เสร็จ ส่ง “ณ รีวา รามอินทรา” รับลูกค้าย่านลาดปลาเค้า

ณวรางค์ แอสเซท ชี้โซนลาดปลาเค้า กลายเป็นทำเลทองการอยู่อาศัย ดีมานด์พุ่งทั้งกลุ่มคนทำงาน-นักเรียนนักศึกษา รับอานิสงส์แผนเปิดใช้รถไฟฟ้า สายสีชมพู สายแคราย-มีนบุรี หลังการก่อสร้างคืบหน้ากว่า 97% เตรียมส่งโครงการ ณ รีวา รามอินทรา รองรับเทรนด์การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยคนยุคปัจจุบัน เลือก “ทำเล” มาเป็นอันดับ 1 ชูจุดเด่นโครงการ เพียง 10 นาทีถึง ม.ศรีปทุม 18 นาทีถึง ม.เกษตรศาสตร์   นายอภิภู พรหมโยธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ออกแบบโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัย เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญของการเลือกที่อยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นคนเจเนอเรชั่นไหน ยังคงให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งมาเป็นอันดับแรก เพราะต้องการใช้ชีวิตอยู่ในโครงการที่สามารถเดินทางไปยังจุดต่าง ๆ ได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปทำงาน  เรียนหนังสือ การจับจ่ายใช้สอย หรือการพักผ่อน ซึ่งปัจจัยการเลือกอยู่อาศัยดังกล่าว ทำให้ผู้บริโภคจะเลือกโครงการที่อยู่ใกล้กับระบบการคมนาคมขนส่งที่สะดวกสบายมากที่สุด โดยเฉพาะอยู่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้า ทั้งเส้นทางรถไฟฟ้าเดิมที่เปิดให้บริการแล้ว เส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และมีแผนการเปิดให้บริการในเร็ว ๆ นี้   สำหรับรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีความคืบหน้าไปมาก และพร้อมจะเปิดให้บริการในเร็ว ๆ นี้ คือ รถไฟฟ้า สายสีชมพู เส้นทางแคราย-มีนบุรี ซึ่งเป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว หรือโมโนเรล ที่มีระยะทางยาว 34.5 กิโลเมตร จำนวน 30 สถานีหลัก โดยความคืบหน้าล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2566 มีการก่อสร้างงานโยธา อยู่ที่ 96.97% งานระบบไฟฟ้า อยู่ที่ 97.34% มีความก้าวหน้าโดยรวมอยู่ที่ 97.15% มีการวางแผนเตรียมทดสอบเดินรถเสมือนจริงช่วงปลายปี 2566 และมีแผนเปิดให้บริการเป็นระยะ ๆ รวมถึงการเปิดให้บริการเต็มรูปแบบเชิงพาณิชย์ภายในเดือนมิถุนายน 2567 นายอภิภู กล่าวว่า จากแผนการพัฒนาและเปิดใช้บริการ เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่มีความคืบหน้าและชัดเจน ส่งผลให้ตลอดเส้นทางรถไฟฟ้ากลายเป็นทำเลทองสำคัญของการอยู่อาศัย เกิดความต้องการเข้ามาอยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลลาดปลาเค้า เนื่องจากเป็นถนนที่สามารถเชื่อมต่อไปยังจุดสำคัญ ๆ ของกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ใกล้เคียงได้สะดวก เป็นทำเลที่ตั้งของสถานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม สถานที่ราชการทางทหาร การเชื่อมต่อไปยังถนนสำคัญ อาทิ ถนนลาดพร้าว ถนนรามอินทรา ถนนเลียบทางด่วน-รามอินทรา ถนนเกษตร-นวมินทร์ และถนนพหลโยธิน   "ย่านลาดปลาเค้า เป็นจุดศูนย์กลางสำคัญแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลซีจีเอช สถานศึกษา หน่วยงานราชการมากมาย ศูนย์กีฬาต่าง ๆ ของกองทัพบก แหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร การใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์กลางคืน เพื่อการกิน ดื่ม หรือแม้แต่การทำบุญหรือปฏิบัติธรรม อาทิ วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร เรียกได้ว่ามีครบทุกความต้องการ และทุกไลฟ์สไตล์ของคนกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้​"  จากเทรนด์การเลือกที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่มุ่งเน้นในเรื่องทำเลที่ตั้งมาเป็นอันดับแรก บริษัทจึงวางนโยบายการดำเนินธุรกิจ ด้วยการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ให้ความสำคัญกับเรื่องทำเลที่ตั้ง และออกแบบโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในทุกเจเนอเรชั่น ซึ่งที่ผ่านมามีโครงการต่าง ๆ มากมายที่พัฒนาออกมาและได้รับการยอมรับด้วยดีจากกลุ่มลูกค้า อาทิ โครงการคอนโดมิเนียมหรูบนถนนหลังสวน ใกล้เซ็นทรัลชิดลม และคอนโดมิเนียมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ณ รีวา เจริญนคร ซึ่งเป็นโครงการที่มีคุณภาพ ที่สำคัญตอบโจทย์ความต้องการอยู่อาศัยของลูกค้าที่ต้องการในทำเลนั้น ๆ ด้วย   นายอภิภู กล่าวอีกว่า จากการศึกษาและวิจัยตลาด ประกอบกับศักยภาพทำเลลาดปลาเค้า ที่ตั้งอยู่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู จึงได้เตรียมเปิดตัวโครงการ ณ วีรา รามอินทรา เป็นโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อการอยู่อาศัย ที่จับกลุ่มเป้าหมายทั้งกลุ่มผู้เริ่มต้นวัยทำงาน กลุ่มนักเรียนนักศึกษา และกลุ่มนักลงทุน ที่ต้องการซื้อเพื่อปล่อยเช่า ด้วยจุดเด่นของทำเลที่ตั้งอยู่ในซอยลาดปลาเค้า 72 ถนนลาดปลาเค้า ใช้เวลาเดินทางเพียง 3 นาทีถึงรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีลาดปลาเค้า ใช้เวลาเพียง 10 นาทีถึงมหาวิทยาลัยศรีปทุม และ 18 นาทีถึงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นอกจากนี้ ยังใกล้ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลรามอินทรา The Jas รามอินทรา โดยบริษัทกำหนดเปิดการขายโครงการ ณ วีรา รามอินทรา ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้   โครงการ ณ วีรา รามอินทรา มีแนวคิดการออกแบบในสไตล์ Modern Minimal ห้องสไตล์โมเดิร์น กว้าง โปร่งสบาย แบ่งสัดส่วนอย่างลงตัวระหว่างห้องนอนกับ Living Area ภายในโครงการยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อการอยู่อาศัย อาทิ คลับเฮ้าส์ส่วนกลาง 2 ชั้น Co-working space เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ Work from home สระว่ายน้ำ และห้องฟิตเนสที่มาพร้อมกับวิวธรรมชาติ ทำให้การออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่ Rooftop เพื่อการชมบรรยากาศที่สวยงามของวิวกรุงเทพฯ ซึ่งชมวิวได้ทั้งช่วงเวลากลางวันและกลางคืน เพิ่มความอุ่นใจในการอยู่อาศัย ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งระบบ CCTV & Security Guard   นายอภิภู กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทตั้งใจและมุ่งมั่นในการพัฒนา โครงการ ณ วีรา รามอินทรา เพื่อให้การอยู่อาศัยของลูกค้าสะดวกสบาย มีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงเลือกทำเลลาดปลาเค้า เพราะมีศักยภาพการเติบโตทั้งในปัจจุบัน และอนาคต เนื่องจากกรุงเทพฯ มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และอนาคตอันใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพูจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ จะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพให้ทำเลลาดปลาเค้าน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งโครงการ ณ วีรา รามอินทราเหมาะสำหรับผู้ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือกลุ่มนักลงทุนที่มองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนด้วยการปล่อยเช่า เพราะเป็นทำเลที่เดินทางไปยังสถานศึกษา และแหล่งงานสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย สามารถปล่อยเช่าให้กับนักเรียน นักศึกษา และกลุ่มคนทำงานได้มหาศาล   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] ณวรางค์ แอสเซท ปั้น “ณ รีวา เจริญนคร” รับเทรนด์ Well-being -ณวรางค์ แอสเซท เปิดคอนโด “ณ วรา พหลโยธิน 8” 300 ล้าน ลุยตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย
ตลาดอสังหาฯ  ปี 66 เจอปัจจัยลบรอบด้าน  แอล ดับเบิลยู เอส ปรับลดคาดการณ์โตไม่เกิน 5%

ตลาดอสังหาฯ  ปี 66 เจอปัจจัยลบรอบด้าน แอล ดับเบิลยู เอส ปรับลดคาดการณ์โตไม่เกิน 5%

แอล ดับเบิลยู เอส ปรับลดการคาดการณ์ตลาดอสังหาฯ กรุงเทพ-ปริมณฑล ปี 2566 ลงมาอยู่ที่ 0-5% จากเดิม 10-15% เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าที่คิด ภาระหนี้ครัวเรือน และอัตราดอกเบี้ยสูง รวมทั้งการยกเลิก LTV ที่กระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อ   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ว่า ถึงแม้เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2565 ที่ผ่านมา แต่อัตราการเติบโตมีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากเป็นการเติบโตกระจุกอยู่ในภาคธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว ในขณะที่ภาคการส่งออกติดลบต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ผนวกกับภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นมาแตะระดับ 90.6% อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง   คาดว่าสิ้นปี 2566 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 2.25-2.5% ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทยได้ยกเลิกมาตรการผ่อนคลายอัตราส่วนการอนุมัติสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน(Loan-to-Value: LTV) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ผนวกกับความไม่แน่นอนทางการเมืองภายหลังการเลือกตั้ง ส่งผลให้กำลังซื้อที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2566   โดย “แอล ดับเบิลยู เอส” คาดว่าตลาดอสังหาฯ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลปี 2566 จะใกล้เคียงกับปี 2566 หรือเติบโตไม่เกิน 5% โดยคาดว่าจะมีจำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่ 105,000-108,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 474,000-488,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีจำนวนการเปิดตัว 103,000 หน่วยคิดเป็นมูลค่า 457,000 ล้านบาท 6 เดือนแรกปี 66 เปิดตัว 179 โครงการ   ขณะที่จากการสำรวจการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ของ “แอล ดับเบิลยู เอส” พบว่า  ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์การเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ทั้งสิ้น 179 โครงการ เพิ่มขึ้น 9.81% จากระยะเดียวกันของปี 2565 คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวรวมทั้งสิ้น 45,162 หน่วยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ลดลงจาก 13% จากจำนวนหน่วยเปิดตัวรวมที่ 51,946 หน่วย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ในขณะที่มูลค่าการเปิดตัวโครงการรวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 อยู่ที่ 203,016 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากมูลค่าการเปิดตัวที่ 188,373 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 โดยมีอัตราการขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวโครงการอยู่ที่ 18% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ลดลงจาก 25% ในระยะเดียวกันของปี 2565   จำนวนโครงการที่เปิดตัวเพิ่มขึ้นแต่จำนวนหน่วยเปิดตัวลดลงส่วนมูลค่าสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มีการเปิดตัวโครงการเพิ่มขึ้นโดยที่แต่ละโครงการมีจำนวนหน่วยการเปิดตัวลดลงและมีราคาขายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยที่เน้นตลาดบ้านราคาสูงมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อ ในขณะที่การเปิดตัวอาคารชุดพักอาศัยมีการเปิดตัวจำนวนโครงการ หน่วยเปิดตัว และราคาลดลง จากการสำรวจของ “แอล ดับเบิลยู เอส” พบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จากจำนวนการเปิดตัวโครงการทั้งหมด 179 โครงการ แบ่งเป็น 1.โครงการอาคารชุดพักอาศัย (คอนโดมิเนียม) มีโครงการเปิดตัวจำนวน 45 โครงการ ลดลง 6.2% (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เปิดตัวจำนวน 48 โครงการ มีจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 24,167 หน่วย ลดลง 21%(YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 30,579 หน่วย มีมูลค่าเปิดตัว 68,561 ล้านบาท ลดลง 12% (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าเปิดตัว 78,078 ล้านบาท   โดยที่เดือนมิถุนายน 2566 มีจำนวนและมูลค่าการเปิดตัวโครงการสูงสุด มีจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 6,372 หน่วย เพิ่มขึ้น 58.9% คิดเป็นมูลค่า 18,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.77% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2566  ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีอัตราการขาย ณ วันเปิดตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 28% ลดลงจาก 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่   3 ทำเลที่มีการเปิดตัวโครงการมากที่สุด ได้แก่ บางขันใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ รัชดา-ห้วยขวาง พัฒนาการ โดยราคาขายที่ได้รับความสนใจเป็นอาคารชุดที่ระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ที่ผู้ซื้อมีทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุน 2.โครงการบ้านพักอาศัย -มีการเปิดตัวทั้งสิ้น 134 โครงการ แบ่งเป็น โครงการบ้านพักอาศัยที่ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท มีจำนวน 92 โครงการ เพิ่มขึ้น 2.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่มีจำนวนการเปิดตัว 90 โครงการ มีจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 18,467 หน่วย ลดลง 4.52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 19,343 หน่วย มีมูลค่า 75,203 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.18% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2565 ที่มีมูลค่าการเปิดตัวอยู่ที่ 73,597 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีราคาบ้านขายเฉลี่ยอยู่ที่ 4.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% จากราคาเฉลี่ยที่ 3.8 ล้านบาทต่อหน่วยในช่วงครึ่งแรกของปี 2565   3 ทำเลที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท สูงสุด  ได้แก่ รังสิต-นครนายก ประชาอุทิศ-พุทธบูชา นวนคร โดยมีราคาขายเฉลี่ยไม่เกิน 5 ล้านบาท โครงการบ้านพักอาศัยระดับราคาเกิน 10 ล้านบาท มีการเปิดตัวจำนวน 42 โครงการ เพิ่มขึ้น 68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 25 โครงการ จำนวน 2,528 หน่วย เพิ่มขึ้น 24.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 2,024 หน่วย มูลค่ารวม 59,252 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีมูลค่ารวม 36,698 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีอัตราการขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวที่ 12% ลดลง15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  ราคาขายเฉลี่ยของบ้านพักอาศัยระดับราคาเกิน 10 ล้านบาทอยู่ที่ 23.43 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 29.23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 18.13 ล้านบาทต่อหน่วย เนื่องจากจำนวนและมูลค่าโครงการที่เพิ่มขึ้น 3 ทำเลที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านราคาเกิน 10 ล้านบาทสูงสุดได้แก่ สรงประภา-ดอนเมือง พหลโยธิน-รังสิต และ วัชรพล โดย มีอัตราการขายเฉลี่ยสูงสุดที่ 19% นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า จากข้อมูลการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้มีการปรับกลยุทธ์เปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยที่มีระดับราคาสูงเพิ่มขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกำลังซื้อที่มีอยู่ในตลาดนี้ ในขณะเดียวกันตลาดที่อยู่อาศัยราคาเกิน 10 ล้านบาทเป็นตลาดที่มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ หรือ Rejection Rate ต่ำสุดเมื่อเทียบกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท   ทั้งนี้ จากสถานการณ์ในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารชุดพักอาศัย ทำให้ แอล ดับเบิลยู เอส คาดการณ์ว่าการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จะยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากครึ่งแรกของปี โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 ที่ทิศทางการเมืองยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ น่าที่จะชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 3 โดยเฉพาะโครงการอาคารชุดพักอาศัย แต่จะไปเร่งเปิดตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ถ้าทิศทางการเมืองมีความแน่นอนมากยิ่งขึ้น จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้เราคาดการณ์ว่าตลาดอสังหาฯ ในปี 2566 ทั้งปีจะมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับปี 2565 หรือไม่ก็เติบโตไม่เกิน 5% ซึ่งปรับลดจากที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าว่าจะเติบโตที่ 10-15% อย่างไรก็ตาม  ผู้ประกอบการอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีแนวโน้มที่จะขยายการเปิดตัวโครงการไปในทำเลต่างจังหวัดมากขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขาย หลังจากที่เผชิญกับสถานการณ์ที่กำลังซื้อในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลชะลตัว เราจะเห็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด มีการเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัด ที่ไกลกว่าทำเลปริมณฑลมากขึ้น ทั้งพื้นที่ EEC และพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต เพื่อสร้างยอดขายและสร้างฐานรายได้ใหม่     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -LWS วิสดอม ชี้ “ราชพฤกษ์” แหล่งบ้านขายดีราคา 5.5-6 ล้าน ได้ระบบคมนาคมหนุน ทั้งถนน-รถไฟฟ้า-ทางด่วน -5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้  โชว์ผลงานรายได้-กำไร Q3/66  พร้อมรายได้ 9 เดือนกว่า 11,598 ล้าน

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ผลงานรายได้-กำไร Q3/66 พร้อมรายได้ 9 เดือนกว่า 11,598 ล้าน

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ผลงานไตรมาส 3 ทำรายได้ 4,468 ล้าน พร้อมกำไรสุทธิ 396 ล้าน​ หลังธุรกิจที่อยู่อาศัยได้รับแรงตอบรับดี ได้บ้านเดี่ยวเซกเมนต์ระดับบนหนุน ขณะที่ธุรกิจอุตสาหกรรม – พาณิชยกรรมสร้างรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการเติบโตสูง รับอานิสงส์การย้ายและขยายฐานการลงทุนมาไทย รวมถึงการท่องเที่ยวที่ขยายตัวเต็มที่ ส่วนผลประกอบการ 9 เดือนตุนรายได้ 11,598 ล้านบาท     นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาส 3 ปีงบประมาณ 2566 (เมษายน – มิถุนายน 2566) บริษัทสามารถสร้างรายได้รายได้รวม 4,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2566 (มกราคม – มีนาคม 2566) มี จาก 3,424 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 396 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไร 318 ล้านบาท   บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนธุรกิจอย่างรอบคอบ โดยให้ความสำคัญในการบริหารจัดการเงินทุน เพื่อรักษาเสถียรภาพและคงสภาพคล่องทางการเงิน รองรับโอกาสการฟื้นตัวของตลาด ภายใต้กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นในการรับมือสภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงเสริมความพร้อมเข้าลงทุนธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกิจการควบคู่กับการบริหารจัดการองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานตามเป้าหมาย สำหรับไตรมาส 3 กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยสร้างรายได้ 2,708 ล้านบาท เป็นผลมาจากการออกแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่อง และสามารถสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงสามารถกวาดยอดขายได้ 6,134 ล้านบาท โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปได้รับการตอบรับดี ซึ่งไตรมาส 3 ได้เปิดโครงการอัลพีน่า พระราม 2 บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ราคา 20 – 35 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท   ขณะที่สิ้นไตรมาสบริษัทมีโครงการดำเนินการอยู่ 78 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 108,700 ล้านบาท  ส่วนในไตรมาส 4 ของปีงบประมาณ 2566 (กรกฎาคม - กันยายน 2566) บริษัทเตรียมเปิดตัวบ้านและทาวน์โฮมเพิ่มอีก 2 โครงการ รวมมูลค่า 2,830 ล้านบาท  ปัจจุบันบริษัทมีแบ็กล็อกอีกกว่า 1,000 ล้านบาทที่จะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง   ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมสามารถทำรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการได้ถึง 710 ล้านบาท แรงหนุนมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากยุทธศาสตร์ China Plus One และภูมิศาสตร์การเมืองโลกที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติย้ายฐานและขยายการลงทุนมายังประเทศไทย ซึ่งมีที่ตั้งบนทำเลยุทธศาสตร์พร้อมด้วยศักยภาพที่เหมาะกับการเป็นฐานการผลิต ทำให้โรงงานและคลังสินค้าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เช่า โดยบริษัทได้ส่งมอบอาคารคลังสินค้าแบบสร้างตามความต้องการ (Built-to-Suit) ให้กับผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่อันดับต้นของเอเชียแปซิฟิก มีพื้นที่ใช้สอยรวม 20,000 ตร.ม. ในโครงการเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (บางพลี 7) เฟส 2 จังหวัดสมุทรปราการ และสามารถรักษาอัตราการเช่าของพอร์ตโฟลิโอได้สูงถึง 86%   ด้านกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม พอร์ตโฟลิโอของอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอในพื้นที่ CBD และโครงการมิกซ์ยูสมีอัตราการเช่าสูงถึง 93% ด้วยความสามารถในการบริหารจัดการที่รองรับการใช้งานของผู้เช่า ผู้ใช้อาคาร และลูกค้าได้อย่างครอบคลุม   ล่าสุด อาคารที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการทั้งปาร์คเวนเชอร์ เอฟวายไอ เซนเตอร์ และสามย่านมิตรทาวน์ผ่านการรับรองจาก WiredScore มาตรฐานระดับโลกการันตีความสามารถด้านการเชื่อมต่อและโครงสร้างด้านสาธารณูปโภคดิจิทัลของอาคารเทียบเท่าในระดับสากล ส่วนศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์และสีลมเอจมีทราฟฟิกสูงต่อเนื่อง เป็นผลจากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในไทยมากขึ้น ซึ่งจากการขยายตัวของภาคท่องเที่ยวได้ส่งผลบวกต่อธุรกิจโรงแรมด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ จากรายได้ของธุรกิจโรงแรมที่เติบโตขึ้น รวมถึงรายได้ค่าบริหารจัดการ การขายที่ดิน และการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท ย่อยที่ดำเนินธุรกิจด้านดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของ FPT ที่ปรับการใช้เงินลงทุนในอนาคตเพื่อมุ่งเน้นการลงทุนในกลุ่มธุรกิจหลัก ส่งผลให้ในไตรมาสนี้ บริษัทรับรู้รายได้อื่น ๆ รวม 1,050 ล้านบาท สำหรับโครงการในอนาคต FPT มีแผนพัฒนาสินทรัพย์โครงการเมย์แฟร์ แมริออท เอ็กเซกคิวทีฟ อพาร์ตเมนต์ (Mayfair Marriott Executive Apartment)  เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ เพื่อเป็นการต่อยอดทางธุรกิจ และเพิ่มผลตอบแทนให้กับบริษัทในระยะยาว   สำหรับผลประกอบการรอบระยะเวลา 9 เดือนของปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2565 – มิถุนายน 2566) FPT มีรายได้รวม 11,598 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 7,691 ล้านบาท รายได้ค่าเช่าและค่าบริการ 2,061 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ 1,846 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,031 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ปรับแผนธุรกิจปี 65 เพิ่มพอร์ต บ้านหรู ปูทางโตอย่างยั่งยืน เล็งรายได้คอนโด 20% -เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ​โชว์กำไร 6 เดือน เฉียดพันล้าน หลังใช้ธุรกิจเชิงรุก -ผลดีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
เปิด 5 ทำเล ราคาที่ดินปรับสูงใน Q2/66  บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ขยับมากสุด 54.9%

เปิด 5 ทำเล ราคาที่ดินปรับสูงใน Q2/66 บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ขยับมากสุด 54.9%

ราคาที่ดิน REIC เผย ราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2566​ ชะลอตัวลง​มีค่าดัชนีเท่ากับ 376.5 จุด เพิ่มขึ้น​ 6.2% จากปีก่อน​ แต่ลดลง​ 2.4%​ จากไตรมาสก่อนหน้า ​เหตุเริ่มมีการชะลอตัวของตลาดจากปัจจัยลบต่าง ๆ     ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เปิดเผยว่าดัชนีราคาที่ดิน เปล่าก่อนการพัฒนา ในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2566 มีค่าดัชนีเท่ากับ 376.5 จุด เพิ่มขึ้น 6.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ลดลง 2.4% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนายังคงมีทิศทางที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่มีการชะลอตัวจากไตรมาสแรก   โดยอัตราการเพิ่มของดัชนีราคาที่ดินในไตรมาสนี้ ยังเป็นการเพิ่มที่ไม่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราค่าเฉลี่ย 5 ปี ในช่วงก่อนเกิดวิกฤต COVID-19 (ปี 2558 – 2562) ซึ่งมีอัตราเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 14.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2565 (YoY) อีกทั้งยังมีอัตราเฉลี่ยของอัตราการเปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ที่เพิ่มขึ้นถึง 4.1% แสดงให้เห็นอัตราเร่งของดัชนีราคาที่ดินในช่วงดังกล่าวที่สูงกว่าปัจจุบัน ปัจจัยที่ทำให้ราคาที่ดินเปล่ามีการเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง เนื่องจากการที่เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปี 2566 มีการขยายตัวลดลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งการยกเลิกการผ่อนคลายมาตรการ LTV ของ ธปท. และภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังคงมีอัตราส่วนที่สูงถึง 90% ของ GDP  อีกทั้งเป็นช่วงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่จะทำให้ความสามารถในการซื้อและการผ่อนชำระที่อยู่อาศัยของประชาชนลดลง ส่งผลให้กำลังซื้อที่อยู่อาศัยชะลอตัว ผู้ประกอบการจึงชะลอแผนในการเปิดขายโครงการใหม่ในปีนี้ถึงปี 2567 มีผลให้เกิดการชะลอการซื้อที่ดินเปล่าเพื่อรองรับการพัฒนาลงบ้างในหลายทำเล ประกอบกับรัฐบาลได้ประกาศจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเต็มอัตราในปี 2566 จึงทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับแผนการซื้อที่ดินสะสมเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต  ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่ดินสะสมในตลาดเพื่อเป็น Land Bank ลดลง เพื่อควบคุมภาระต้นทุนจากการถือครองที่ดิน โดยภาระภาษีที่ดินฯ ซึ่งเป็นต้นทุนในการพัฒนาโครงการในระยะต่อไป 5 ทำเล ราคาที่ดินเพิ่มสูงสุด ในไตรมาส 2 ปี 2566 REIC พบว่าโซนที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) มีดังนี้ อันดับ 1 ได้แก่ ที่ดินในโซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง มีอัตราการเปลี่ยนราคามากถึง 54.9% อันดับ 2 ได้แก่ ที่ดินในโซนสมุทรสาคร มีอัตราการเปลี่ยนราคา  26.1% อันดับ 3 ได้แก่ ที่ดินในโซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคา 17.6% อันดับ 4 ได้แก่ ที่ดินในโซนราษฎร์บูรณะ-บางขุนเทียน-ทุ่งครุ-บางบอน-จอมทอง มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคา 17.5% อันดับ 5 ได้แก่ ที่ดินในโซนเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ มีอัตราการเปลี่ยนราคาราคา 11.4% จากภาวะราคาที่ดินที่มีการเปลี่ยนแปลงข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าที่ดินที่อยู่บริเวณพื้นที่ชานเมืองของกรุงเทพฯและปริมณฑลมีการเปลี่ยนแปลงของราคามาก เนื่องจากที่ดินที่อยู่บริเวณพื้นที่ชานเมืองมีราคาไม่แพงและยังสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบได้ ซึ่งทำให้สามารถควบคุมต้นทุนของราคาที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยได้ ทั้งนี้ โซนเหล่านี้เป็นโซนที่มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก และที่สำคัญเป็นโซนที่มียอดขายในระดับต้น ๆ อีกด้วย 5 ทำเลรถไฟฟ้ารถไฟฟ้าราคาเพิ่มสูง สำหรับราคาที่ดินเปล่าก่อนการพัฒนาในแนวเส้นทางที่มีรถไฟฟ้าผ่านในไตรมาสนี้ พบว่าเส้นทางรถไฟฟ้า 5 อันดับแรกที่มีอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY)  ส่วนใหญ่เป็นที่ดินที่มีโครงการรถไฟฟ้าเปิดให้บริการแล้ว และเป็นโครงการในอนาคตที่มีการเชื่อมต่อกับพื้นที่สำคัญด้านพาณิชยกรรมและเป็นพื้นที่ที่มีการพัฒนาโครงการอยู่ในปัจจุบัน โดยมีรายละเอียด ดังนี้ อันดับ 1 ได้แก่ สายสีเขียว (สมุทรปราการ-บางปู) และ สายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) เป็นโครงการในอนาคตและโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 256.6 จุด และ 252.8 จุด ตามลำดับ และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 11.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตเมืองสมุทรปราการและพระสมุทรเจดีย์ เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อันดับ 2 ได้แก่ สายสีม่วง (บางใหญ่-เตาปูน) เป็นโครงการในอนาคต ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 415.1 จุด และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 4.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตเมืองนนทบุรี บางใหญ่ และบางบัวทอง เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อันดับ 3 ได้แก่ MRT และสายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-หัวลำโพง) เป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้วและโครงการในอนาคต ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 474.4 จุด และ 467.0 จุด ตามลำดับ และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น  3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตจตุจักร ห้วยขวาง และพญาไท เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อันดับ 4 ได้แก่ สายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) และ สายสีแดงเข้ม (บางซื่อ-มธ.รังสิต)  ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดให้บริการแล้ว ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 443.4 และ 436.6 จุด ตามลำดับ และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตบางเขน หลักสี่ ดอนเมือง และคลองหลวง เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อันดับ 5 ได้แก่ สายสีแดงเข้ม (หัวลำโพง-มหาชัย) เป็นโครงการในอนาคต ซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 440.4 จุด และอัตราการขยายตัวของราคาที่ดินเพิ่มขึ้น 2.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยราคาที่ดินในเขตจอมทอง บางบอน และบางขุนเทียน เป็นบริเวณที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นมาก อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -REIC เปิด 5 ทำเลราคาที่ดินยังพุ่งสูง​​ ท่ามกลางโควิด-19 ระรอกใหม่ -ทำเลส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ราคาที่ดินก่อนการพัฒนาเพิ่มกว่า 21%
กทม.ออกคำสั่งให้แอชตันอโศกกลับไปแก้ไขข้อผิดพลาด เพื่อกลับมายื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างใหม่

กทม.ออกคำสั่งให้แอชตันอโศกกลับไปแก้ไขข้อผิดพลาด เพื่อกลับมายื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างใหม่

แอชตันอโศก จากบัลลังก์ศาลปกครองสูงสุดที่ยืนตามบันทึกของศาลปกครองกลาง ซึ่งรวมถึงใบรับแจ้งการก่อสร้างคอนโดฯ แอชตันอโศกของ บริษัท อนันดา เอ็มเอฟ ออสเตรเรีย อโศก จำกัด (บริษัท ร่วมทุนระหว่างกันขอรับ.อนัน ดาดีเวลลอปเม้นท์เปรียบเทียบ 51% และบริษัทมิตซุยฟุโดซังจากประเทศญี่ปุ่น 49%) โครงการแอชตันอโศกนั้น    แอชตันอโศก นายวิศณุ ทรัพย์สมพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า สำหรับประเด็นคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีแอชตัน อโศกที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างนั้น สำนักการโยธา กรุงเทพมหานครจะมีหนังสือแจ้ง สำนักงานเขตวัฒนา พิจารณาออกคำสั่งให้เจ้าของอาคารดำเนินการแก้ไขอาคารให้ถูกต้องตามกฎหมายควบคุมอาคาร โดยใช้อำนาจตามมาตรา 40 มาตรา 41  และมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 แล้วแต่กรณี   นายวิศณุ  กล่าวอย่างไรก็ตาม การเพิกถอนใบรับแจ้งการก่อสร้างดังกล่าว ไม่ได้หมายความว่าอาคารชุดแอชตัน อโศก จะต้องมีการรื้อถอนอาคาร บริษัทผู้เป็นเจ้าของโครงการ สามารถยื่นขอใบแจ้งก่อสร้างใหม่ได้ที่สำนักการโยธา​ กรุงเทพมหานคร โดยบริษัทจะต้องแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามที่ศาลสั่ง ซึ่งก็คือเพิ่มทางเข้า-ออกโครงการให้มีความกว้างของถนน 12 เมตร และอยู่ติดกับถนนสาธารณะที่มีความกว้าง 18 เมตร ซึ่งเป็นไปตามที่กฎหมายควบคุมอาคารและกฎหมายผังเมืองกำหนด หากบริษัทเจ้าของโครงการสามารถปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางเข้า-ออกแล้วเสร็จ ก็สามารถยื่นขอใบแจ้งก่อสร้างได้   "สำหรับกรณีนี้ขอเวลาให้ทีมกฎหมายของกรุงเทพมหานครพิจารณารายละเอียด ตามคำพิพากษาอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากมีผลกระทบกับพี่น้องประชาชนอย่างสูง”         ข่าวที่เกี่ยวข้าง อนันดา ขีดเส้น 14 วันพบผู้ว่ากทม.-รฟม.หาทางแก้ปัญหา แอชตัน อโศก หลังศาลปกครองสูงสุด สั่งยกเลิกใบอนุญาตก่อสร้าง ​ศาลปกครอง ออกคำสั่งให้แอชตัน-อโศกใน 90 วัน เฉพาะส่วนที่สูงกว่าถนนไม่เกิน 6.40 ไมโครเมตร ถอดคำพูดเปิดใจ CEO อนันดากรณี ASHTON Asoke
อนันดา ขีดเส้น 14 วันพบผู้ว่ากทม.-รฟม.หาทางแก้ปัญหา แอชตัน อโศก หลังศาลปกครองสูงสุด สั่งยกเลิกใบอนุญาตก่อสร้าง​

อนันดา ขีดเส้น 14 วันพบผู้ว่ากทม.-รฟม.หาทางแก้ปัญหา แอชตัน อโศก หลังศาลปกครองสูงสุด สั่งยกเลิกใบอนุญาตก่อสร้าง​

อนันดา ออกโรงแจงด่วน หลังศาลปกครองสูงสุด พิพากษายืน ตามคำพิพากศาลปกครองกลาง กรณี แอชตัน อโศก ใช้ที่ดินของรฟม.มาเป็นทางเข้า-ออกโครงการได้ เหตุเป็นที่ดินเวนคืนของรฟม. ให้เอกชนใช้ประโยชน์ไม่ได้ ส่งผลให้ใบอนุญาตก่อสร้างก่อนหน้าไม่ชอบด้วยกฎหมาย “ชานนท์” ขีดเส้นภายใน 14 วันเข้าพบ ผู้ว่ากทม.-รฟม.จี้ให้รับผิดชอบ หามาตรการเยียวยา ระบุ อนันดา คือ หนึ่งในผู้เสียหาย ร่วมกับลูกบ้าน 580 ครอบครัว   เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ได้ออก Company Statement (หนังสือชี้แจงของบริษัทฯ) กรณีที่ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษาในคดีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กับพวก (ผู้ฟ้องคดี ได้ยื่นฟ้องผู้อำนวยการเขตวัฒนา ที่ 1 , ผู้อำนวยการสำนักการโยธา ที่ 2 , ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ 3 , ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่ 4 , คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านอาคาร การจัดสรรที่ดิน และบริการชุมชน ที่ 5 (ผู้ถูกฟ้องคดี และบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด "บริษัทฯ" ซึ่งไม่ใช่ผู้ถูกฟ้องคดีโดยตรง แต่ถูกเรียกเข้ามาในฐานะเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากผลแห่งคดี ในฐานะผู้ร้องสอด ในคดีหมายเลขดำที่ อส 67/2564 หมายเลขแดงที่ อส.188/2566 โดยศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษา ยืนตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอน้อมรับและเคารพในคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดตามที่ได้วินิจฉัยไว้กรณีที่ศาลปกครองสูงสุด ได้วินิจฉัยไว้ แต่ไม่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นแบบนี้ขึ้น โดยบริษัทได้ออก Company Statement เพื่อขอควาเมเป็นธรรม เนื่องจากบริษัทเป็นภาคเอกชน ทำงานด้วยความสุจริต มีการขออนุญาตหน่วยงานอย่างถูกต้องมาโดยตลอด โดยเห็นว่าศาลปกครอง ถือว่าไม่ใช่ศาลยุติธรรม เป็นศาลระหว่างประชาชนกับรัฐ ถ้ารัฐเอาเปรียบประชาชน สามารถฟ้องได้ กรณีภาครัฐทำบางสิ่งบางอย่างไม่ถูกต้อง   "สถานการณ์มาถึงตรงนี้ ภาครัฐจะช่วยหาทางออกซึ่งกันและกันได้อย่างไร ทางออกมันเป็นปัญหากฎหมาย เราก็ไม่ได้ expert ด้านกฎหมาย เราก็เป็นหนึ่งบริษัทที่ทำตามขั้นตอนกฎหมายแล้ว ก็สงสัยเหมือนกันว่าจะมีทางออกอย่างไร หรือจะต้องทุบตึกเลยหรือ หรือมีวิธีใด ถ้าเป็นปัญหากฎหมาย จะมีการออกกฎหมายใหม่ให้รฟม.เอาที่มาทำทางเข้าออกได้หรือไม่ ก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมยังเกาหัวเหมือนกัน ยังคิดไม่ออก ขอให้หน่วยงานภาครัฐ หลัก ๆ ทางกทม. รฟม.ต้องหาทางออกช่วยเราและลูกค้าของเรา ต้องด่วนเร็วที่สุด เราอยากไปพบผู้ว่ากทม. ผู้ว่ารฟม. จะช่วยเราหาทางออกร่วมกันอย่างไร เพราะนี่เป็นปัญหาสังคม นี่เป็นความยากลำบากของเรามาก"   จากผลแห่งคำพิพากษาที่เกิดขึ้นดังกล่าว หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ในความเสียหายที่เกิดขึ้น อย่างไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ต่อเจ้าของร่วมอาคารชุด และบริษัทฯ เพราะหากหน่วยงานราชการผู้มีอำนาจหน้าที่ไม่เห็นซอบ และอนุมัติแล้วโครงการนี้จะไม่สามารถก่อสร้างได้ตั้งแต่แรก ซึ่งจะไม่เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงอย่างที่เป็นอยู่   ทั้งนี้ บริษัทฯจะเร่งรีบดำเนินการ ในการเรียกร้องค่าเสียหายกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อเยียวยาความเสียหายแก่เจ้าของร่วมอาคารชุดและบริษัทฯ โดยเร็ว รวมทั้ง บริษัทฯ จะดำเนินการประสานงานคณะกรรมการนิติบุคคลแอชต้น อโศก และท่านเจ้าของร่วมบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด เพื่อขอเข้าพบผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเพื่อทวงถามความรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น ภายใน 14 วัน นับแต่วันนี้   บริษัทฯ ใคร่ขอยืนยันว่า การทำโครงการแอชตัน อโศก นั้น ได้มีการตรวจสอบประเด็นทางกฎหมายรวมทั้งข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตต่าง ๆ รวมทั้งสภาพที่ดินของโครงการอย่างรอบคอบรัดกุม อีกทั้งการพิจารณาอนุมัติในการทำโครงการต่าง ๆ ยังได้ผ่านการพิจารณาอนุมัติ และภายใต้การกำกับ ควบคุมจากหน่วยงานของรัฐไม่ต่ำกว่า 8 หน่วยงาน จึงเป็นที่เห็นประจักษ์และยืนยันได้ว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการไปด้วยความสุจริต และชอบด้วยกฎหมายอย่างชัดแจ้งแล้วทุกประการเท่าที่บริษัทฯ จะทำได้ด้วยความเชื่อถือโดยสุจริตว่าการอนุมัติของหน่วยงานราชการทุกฝ่ายนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว บริษัท ฯ จึงใคร่ขอความเป็นธรรมจากทุกภาคส่วนที่จะร่วมกันแก้ไขป้องกันมิให้ปัญหาที่เกิดขึ้นดังเช่นคดีนี้ได้เกิดขึ้นอีก และเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐได้เยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยเร็วด้วย ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ปรากฎการณ์นี้เป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมนี้ที่ตึกที่พักอาศัยสร้างเสร็จแล้วและมีศาลปกครองมาพิพากษาเช่นนี้ แต่บริษัทฯ ต้องเคารพคำพิพากษา อนันดาฯ หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้ได้รับผลกระทบนี้ ร่วมกับเจ้าของ 580 ครัวเรือน จำนวน 668 ยูนิต ที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว ทุกยูนิตมีหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดหมดแล้ว แบ่งเป็นชาวไทย 438 ยูนิต ต่างชาติ 142 ยูนิต จาก 20 ประเทศ ​โดยโครงการมีมูลค่า 6,481 ล้านบาท ส่งมอบแล้ว 87% หรือคิดเป็นมูลค่า 5,653 ล้านบาท มีมูลค่าคงเหลือ 828 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้บริษัทฯ ถือหุ้น 51% ในบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด ส่วนที่เหลืออีก 49% เป็นกลุ่มมิตซุย ฟูโดซัง จากประเทศญี่ปุ่น ถือหุ้น เคสนี้เรายืนยันว่าเราทำด้วยความถูกต้องและสุจริต เพราะเราผ่านการขออนุญาตมาจาก 8 หน่วยงาน โดยมี 9 ใบอนุญาต และเรายังขอความเห็นก่อนดำเนินการด้วย อย่างน้อย 7 หน่วยงานในเคสนี้ และผ่าน 5 คณะกรรมการก่อนจะออกมาเป็นใบอนุญาตและใบอ.ช. สิ่งสำคัญ มีโครงการที่คล้ายคลึงกันอีก 13 โครงการ ยังไม่นับรวมโครงการที่ใกล้เคียงอีกเป็นร้อยในการขอเชื่อมทางกับหน่วยงานราชการ และเรายังมีการจ่ายค่าเชื่อมทางเกือบร้อยล้านบาทให้กับรฟม.ไม่ใช่ขอเชื่อมทางฟรี ขณะที่นายพิสิษฐ เดชไชยยาศักดิ์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย กล่าวว่า กรณีศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนคำพิพากษาตามศาลปกครองกลาง มีประเด็นสำคัญมีเพียงประเด็นเดียว คือ ที่ดินของรฟม. มาจากการเวนคืนทำให้ไม่สามารถนำมาให้เอกชนประกอบการได้ และศาลจึงพิจารณาว่าการที่หน่วยงานภาครัฐมาออกใบอนุญาตในการก่อสร้างขัดต่อกฎหมาย ขัดกับกฎกระทรวงฉบับที่ 33 และฉบับที่ 50 เป็นประเด็นสำคัญ ส่วนประเด็นอื่น ๆ ไม่มีนัยยะต่อความเสียหายครั้งนี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศาลปกครอง สั่งรื้อ แอชตัน-อโศก ใน 90 วัน เฉพาะส่วนที่สูงเกินกว่าความกว้างถนน 6.40 เมตร -ถอดคำแถลงฯ CEO อนันดา กรณี ASHTON Asoke
[PR News] อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ หนุนโครงการ “DIPROM PATHFINDER”

[PR News] อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ หนุนโครงการ “DIPROM PATHFINDER”

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรเพื่อพิชิตพันธกิจ ในการร่วมสานฝันและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ที่รักงานออกแบบ ผ่านโครงการ “DIPROM PATHFINDER” กับการประกวด CRAFT INNOVATION AWARDS เพื่อเฟ้นหาดีไซน์เฟอร์นิเจอร์แนวใหม่ จากนักออกแบบบุคคลทั่วไปที่มีไฟและความฝัน มาร่วมประลองไอเดียงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ผสานงานหัตถศิลป์เข้ากับนวัตกรรมแห่งอนาคต ในคอนเซ็ปต์ “โต๊ะ WORK TO DINE” Work hard, Eat harder     นางสาวพิชพิมพ์ ปัทมสัตยาสนธิ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท  อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM ​ เปิดเผยว่า  ได้ร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรกับ “กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม” โดย ดร.วรวิทย์ จิรัฐิติเจริญ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่ และนางสาวฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ กรรมการผู้จัดการ  บริษัท โซเชียลแล็บ จำกัด ในโครงการ “DIPROM PATHFINDER” การประกวด ‘CRAFT INNOVATION AWARDS’ เพื่อสนับสนุนไอเดียผู้ที่รักงานดีไซน์สู่การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ผสานนวัตกรรมแห่งอนาคต  และต่อยอดการสร้างโอกาสทางธุรกิจด้วย DESIGN THINKING โดยการผลิตจริงและจำหน่ายจริงที่ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์   ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำพันธกิจด้านความยั่งยืน (ESG) ในฐานะผู้ส่งต่อโอกาสให้แก่สังคมอย่างยั่งยืน ในขณะเดียวกันก็สามารถนำเฟอร์นิเจอร์แนวใหม่มาเพิ่มประสบการณ์ช้อปให้กับผู้บริโภค อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ตอบโจทย์ เทรนด์การใช้ชีวิตยุคใหม่อย่างลงตัว  ซึ่งการประกวดภายใต้โครงการ “DIPROM PATHFINDER” ถือเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักออกแบบบุคคลทั่วไปที่  แม้ไม่ได้เป็นดีไซน์เนอร์ก็สามารถร่วมส่งผลงานเข้าประกวดได้อย่างเท่าเทียม โดยโจทย์การออกแบบภายใต้ คอนเซ็ปต์ “โต๊ะ WORK TO DINE” Work hard, Eat harder (โต๊ะอาหารที่ทำงานได้สะดวก - โต๊ะทำงานที่กินข้าวได้สบาย) เป็นการผสานไอเดียหัตถศิลป์เข้ากับนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี เช่น แสง, เสียง ฯลฯ เพื่อให้ได้โต๊ะที่โดดเด่นด้านดีไซน์ควบคู่ฟังก์ชันการใช้งานแบบมัลติฟังก์ชั่น รวมทั้งต้องเลือกวัสดุที่ให้ความปลอดภัยกับการใช้งาน  มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า และราคาที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้   โดยการเฟ้นหานักออกแบบและเวิร์คช้อปได้ดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 6 เดือน โดยมีคณะกรรมการ 7 ท่านจากแวดวงการออกแบบและอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ ดร.วรวิทย์ จิรัฐิติเจริญ จาก กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, นางสาวพิชพิมพ์ ปัทมสัตยาสนธิ รองกรรมการผู้จัดการสายการค้า และทีม Index Design Center จาก อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์, นายกิตติรัตน์ ปิติพานิช รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้และผู้อำนวยการสถาบันอุทยานการเรียนรู้ (TK Park), ผศ.ดร.สุภชัย วงศ์บุณย์ยง  รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี, นางสาวฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ ผู้ก่อตั้งเพจ Ceemeagain และนายสาธิต กาลวันตสานิช ผู้ก่อตั้งบริษัท Phenomena และ Propagenda เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการตั้งแต่การคัดเลือกนักออกแบบผู้เข้ารอบ พร้อมให้คำแนะนำ-เสริมแนวคิด และองค์ความรู้เพื่อพัฒนาดีไซน์และเลือกวัสดุเพื่อผลิตผลงานจริง   ล่าสุดได้คัดเลือกผู้ชนะเลิศในโครงการ “DIPROM  PATHFINDER” ร่วม 3 ทีม ดังนี้ ผู้ชนะเลิศอันดับ 1 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “LAYER WORKING SPACE KHANOM CHAN” ใช้ไอเดียการเล่นเลเยอร์ไม้แบบขนมชั้น พร้อมฟังก์ชันจัดเก็บและปลั๊กไฟ เหมาะกับบ้านยุคใหม่ ในสไตล์มินิมอลโทนไม้สบายตา เรียบง่าย สะดวกทั้งกินข้าวและทำงาน  ผลงานโดย  ปรีชา แตงเล็ก ผู้ชนะเลิศอันดับ 2 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “การเพิ่ม-ปรับ-ขยับ-เปลี่ยน” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและฟังก์ชันการใช้งานของทุกคนได้อย่างลงตัว โดยทีม Big : Bear : Book Theteam ประกอบด้วย นางสาวปรียศรี พรหมจินดา, นางสาวสันทิตา พยุงพงศ์ และนายพงษ์พันธ์ สุริยภัทร ผู้ชนะเลิศอันดับ 3 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Ma” การออกแบบโต๊ะตอบโจทย์ฟังก์ชันจัดเก็บการใช้งานรูปแบบโต๊ะอาหารและทำงาน โดยซ่อนจุดจัดเก็บอเนกประสงค์ส่วนขาโต๊ะ ทั้งเครื่องครัว-ช้อนส้อม, เครื่องเขียน โดย Ma Team ประกอบด้วย นางสาวนิรินธนา คุมมณี, นายสุชนม์ พรหมปัญญา และนางสาวสิชล พรหมปัญญา ในขณะนี้ทีม Index Design Center จาก Index Living Mall  ได้ร่วมกับทีมผู้ชนะ เพื่อพัฒนาแบบ&ดีไซน์ผลงาน ให้ลงตัวกับภาคการผลิตก่อนทำ Prototype  นอกจากผลงานของผู้ชนะการประกวดจะเข้าสู่กระบวนการผลิตจริงแล้ว ผู้ชนะเลิศอันดับ 1  ยังจะได้ส่วนแบ่งจากการจำหน่ายสินค้า 5% โดยมีระยะเวลาจำหน่าย 1 ปี ที่ ILM  (วางจำหน่ายราวปลาย Q4 / 2566)  สำหรับผลงานของผู้ชนะเลิศอันดับ 2 และอันดับ 3 สามารถพรีออเดอร์ได้ผ่านทาง www.goodgeek.com ก่อนดำเนินการผลิตและจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ต่อไป อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เชื่อมั่นในพลังความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย  พร้อมเข้าร่วมสนับสนุน และมอบโอกาสเพื่อต่อยอดการสร้างรายได้ให้สังคมอย่างรอบด้าน  ตามนโยบายการขับเคลื่อนธุรกิจหลักควบคู่พัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน       อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อินเด็กซ์ฯ ปรับตัวสู้โควิด ลุยออนไลน์ สร้างยอดโต 150% เดินหน้าปรับโฉมสาขาจับลูกค้าไฮเอนด์
เสนา ฮันคิว ฮันชิน เปิดศึกตลาด “ทาวน์โฮม” ส่ง “เสนา เวล่า” ชิงแชร์ย่านบางบัวทอง

เสนา ฮันคิว ฮันชิน เปิดศึกตลาด “ทาวน์โฮม” ส่ง “เสนา เวล่า” ชิงแชร์ย่านบางบัวทอง

เสนา ฮันคิว ฮันชิน  รุกตลาดทาวน์โฮมย่านบางบัวทอง ขานรับดีมานด์ตลาดที่อยู่อาศัยชานเมืองแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วงที่มีการเติบโตสูง ล่าสุดลงสนามชิงแชร์ดีมานด์ตลาดทาวน์โฮมกับโครงการใหม่ล่าสุดแบรนด์ เสนา เวล่า รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง ทาวน์โฮม แนวคิดบ้านพลังงานเป็น “0” ครั้งแรก สร้างไลฟ์สไตล์ช่วยลดคาร์บอน พร้อมฟังก์ชันครบตอบรับทุกการอยู่อาศัย ราคาเริ่มเพียง 3.79 ล้านบาท พบกัน 5 -6 สิงหาคมนี้      ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เตรียมเปิดตลาดทาวน์โฮมแนวคิดบ้านพลังงานเป็น 0  โครงการใหม่ล่าสุด แบรนด์ เสนา เวล่า รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง ด้วยมูลค่าโครงการ 700 กว่าล้านบาท พัฒนาเป็นทาวน์โฮมอิสระ 2 ชั้น บนเนื้อที่โครงการ 22 ไร่เศษ มีให้เลือก 2 แบบ คือ แบบ THEE พื้นที่ใช้สอย 128 ตรม. และแบบ THEE PLUS ทาวน์โฮมแนวใหม่ หน้ากว้าง 7.7 เมตร พื้นที่ใช้สอย 140 ตรม. ฟังก์ชันภายในแบ่งเป็น 4+1 ห้องนอน และ 3 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน รวมทั้งหมด 180 ยูนิต ราคาเริ่ม 3.79 ล้านบาท*   จุดเด่นตัวบ้านกว้างขวาง ผนังแยกเป็นสัดส่วนไม่ติดเพื่อนบ้าน และมีพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชั่นการใช้งานมี 4+1 ห้องนอน (สามารถปรับเปลี่ยนได้ เป็นห้องทำงาน หรือห้องผู้สูงอายุ)  เหนือกว่าทาวน์โฮมทั่วไปเสมือนอารมณ์ได้บ้านเดี่ยว เสนา เวล่า รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง ถือเป็น “ทาวน์โฮม” ทางเลือกสำหรับกลุ่มลูกค้าที่กำลังซื้อไม่มากพอ หรืออีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจและตอบสนองความต้องการเบื้องต้นของผู้ซื้อบ้านหลังแรกได้เป็นอย่างดี สำหรับโครงการ เสนา เวล่า รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง ทาวน์โฮมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ไม่ว่าวัยทำงานและกลุ่มคนที่ต้องการขยับขยายเพื่อสร้างครอบครัวใหม่ ด้วยบ้านดีไซน์สไตล์โมเดิร์นหรูหราผสมผสานความทันสมัย พร้อมปลูกฝังสร้างไลฟ์สไตล์ช่วยลดคาร์บอนเริ่มต้นจากบ้านและวิถีชีวิตประจำวัน (Decarbonization lifestyle) ด้วยเทคโนโลยีมาตรฐานใหม่ EV Ready ที่นี่ จึงเป็นทาวน์โฮมแห่งแรก ที่เตรียมระบบสำหรับรองรับการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าไว้ให้เป็นมาตรฐานในทุกหลังคาเรือน ชาร์จได้เต็มประสิทธิภาพ พร้อมสร้างแนวคิดบ้านพลังงานเป็น “0” (Zero Energy House : ZEH) ด้วยการเลือกใช้วัสดุและองค์ประกอบของตัวบ้านที่ช่วยประหยัดพลังงาน และการออกแบบเพื่อกันความร้อน เช่น เลือกใช้บุฉนวนหลังคาบ้าน และกระจกป้องกันรังสี เพื่อป้องกันความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ตัวบ้าน และเลือกโถชักโครก แบบ Dual Flush เพื่อช่วยประหยัดน้ำ มีระบบ Emergency Light ระบบไฟฟ้าแสงสว่างฉุกเฉิน รองรับกรณีไฟดับกระทันหัน โดยติดตั้งบริเวณชั้น 2   เสนาเป็นอสังหาฯ รายแรกของไทยที่พัฒนาโครงการติดโซลาร์เซลล์แบบครบวงจร  และเป็นครั้งแรกกับการพัฒนาอีกขึ้นด้วยการนำแนวคิดบ้านพลังงานเป็น 0 ปรับใช้ใส่โซลูชั่นดีไซน์ภายในทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และอาคารพาณิชย์ ให้ลูกบ้านได้ประโยชน์สูงสุดทั้งประหยัดค่าใช้จ่าย ช่วยลดโลกร้อน ช่วยลดคาร์บอน พร้อมการบริการ SENA 360 Application ดูแลหลังการขายและแจ้งช่อมให้ลูกบ้านได้สะดวกสบายตลอด 24 ชั่วโมง สาธารณูปโภคภายในโครงการครบครัน แบ่งออกเป็น 2 โซน ได้แต่ “Circle Of Nature” พื้นที่กิจกรรมกลางแจ้งในแบบ Universal Design ตอบสนองการใช้งานของคนทุกช่วงวัยในครอบครัว พร้อมกับ Play Ground” Adventure Theme Park พื้นที่ที่ถูกจัดสรรไว้สำหรับเด็กๆ ได้ทำกิจกรรม วิ่งเล่น ปล่อยพลังได้อย่างสุดเหวี่ยง และ Basket Ball Court สำหรับกลุ่มวัยรุ่นวัยทำงาน ได้ใช้ออกกำลังกายกับกีฬาสุดโปรด ซึ่งกิจกรรมทั้งหมด ผสานต่อเนื่องกลมกลืนไปกับสวนขนาดใหญ่และลู่ Jogging Track เชื่อมต่อสู่สวนริมน้ำภายในโครงการ และยังมี Bicycle Lane Link ช่องทางปั่นจักรยานที่จะเชื่อมต่อไปยังส่วนกลางอีกโซนที่สำคัญคือ “Circle Of Wellness” ซึ่งเป็นคลับเฮ้าส์ที่รวมกิจกรรมแอคทีฟต่างๆ ไว้ให้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นฟิตเนสหรือสระว่ายน้ำ และพื้นที่รับรองแขกและ Co-Working Space   ด้วยศักยภาพ “ถนนบางกรวย-ไทรน้อย” ทำเลสุดยอดโลเคชั่นในวันนี้ ด้วยเส้นทางที่มีศักยภาพมีผู้คนใช้สัญจรไปมาเป็นอันดับต้นๆ เดินทางสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า ใกล้กับรถไฟฟ้าถึง 2 สาย สถานีคลองบางไผ่และสถานีบางพลู เพียง 5 นาที สะดวกทุกการเดินทางใกล้แยกบางบัวทอง-ไทรน้อย ถนนราชพฤกษ์-ชัยพฤกษ์ ถนนรัตนาธิเบศร์  เป็นต้น และแวดล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ เช่น เซ็นทรัล พลาซ่า เวสต์เกต สถานศึกษา และโรงพยาบาลต่าง ๆ อีกหลากหลายแห่ง
[PR News] ธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า บ้านแฝดที่ครบเครื่องทุกฟังก์ชัน

[PR News] ธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า บ้านแฝดที่ครบเครื่องทุกฟังก์ชัน

ธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า ใครที่ยังคิดไม่ตกว่าจะซื้อบ้านแบบไหนดี ?  "บ้านเดี่ยว" ไปเลยดีไหม ? ... แล้ว "บ้านแฝด" ล่ะ ... ก็น่าสนนะ ? ทั้งยังเป็นตัวเลือกใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่สิ่งสำคัญ นอกจากตอบโจทย์ความต้องการของเราแล้ว ยังต้องตอบโจทย์เงินในกระเป๋าสตางค์ด้วย   ธนาสิริ (THANA) เปิดตัวโครงการธนาวิลเลจ วงแหวน - ปิ่นเกล้า พร้อมกับนิยามบ้านแฝดที่มีพื้นที่เกือบเท่าบ้านเดี่ยวในราคาจับต้องได้ เสมือนเป็นตัวเลือก "ตรงกลาง" ที่มีพื้นที่ไม่น้อยเกินไป แต่จ่ายในราคาไม่เกินตัว ไปกับแนวคิดโครงการที่ว่า “ใช้ชีวิตกับความสุขที่ใช่ ... ในพื้นที่ส่วนตัวของคุณ” “ธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า” บ้านแฝดหลังใหญ่ 2 ชั้น จำนวน 114 ยูนิต บนเนื้อที่ 18-2-5.15 ไร่ มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น (โปรโมชั่น) 4.69 ล้านบาท ก่อสร้างแล้วเสร็จ ประมาณ 30 % โดยมีหน้ากว้าง 11 เมตร ส่งให้ทุกฟังก์ชันสัมผัสกับธรรมชาติบริเวณหน้าบ้านโดยรอบ เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่เริ่มสร้างชีวิตในสไตล์ที่บ่งบอกความเป็นตัวตน ใส่ใจกับทุกรายละเอียดของการใช้ชีวิต ด้วยการออกแบบสไตล์ Modern Craft จำนวน 3 แบบบ้าน ได้แก่ Levie (เลวี่) (28 ยูนิต) พื้นที่ใช้สอย 164.30 ตร.ม. , Vejle (ไวเล่) (60 ยูนิต)  พื้นที่ใช้สอย 155.47 ตร.ม. , Dalarna (ดอลลาน่า) (26 ยูนิต) พื้นที่ใช้สอย 151.08 ตร.ม. โดยการออกแบบ Modern Craft เน้นที่ความทันสมัย แต่ไม่หมุนเปลี่ยนตามกระแส สอดรับกับการใช้ชีวิตในวิถีการรู้คุณค่าทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม สำหรับตัวบ้านก่อสร้างด้วยผนังก่ออิฐมวลเบาที่แข็งแรง ทนทานกับความร้อน และเก็บเสียงได้มากกว่าผนังทั่วไป ทั้งยังจัดวางพื้นที่ภายในบ้านให้มีความเป็นส่วนตัว ขณะเดียวกันแบ่งพื้นที่ใช้สอยได้อย่างเป็นสัดส่วน ลงตัวทุกอิริยาบถ เหมาะกับการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของคนทุกวัย สร้างความรู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งที่เข้ามาในบ้าน และเมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยล้า ที่นี่จะกลายเป็นที่สำหรับเติมพลังเก็บเกี่ยวความสดชื่นให้สามารถสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาที่เกิดขึ้นที่ “ธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า”   สลับบรรยากาศมาที่สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ เริ่มจาก Clubhouse ที่เน้นการออกแบบให้เป็นพื้นที่โปร่งโล่ง และประหยัดพลังงาน โดยการนำหลักการธรรมชาติมาปรับภูมิทัศน์ให้กลมกลืนกับการออกแบบให้สามารถใช้ทุกพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใน Clubhouse ประกอบด้วย สระว่ายน้ำระบบเกลือ และห้องออกกำลังกาย โดยรอบนอกอาคารล้อมรอบด้วยพื้นที่สวนสีเขียว เติมเต็มทุกพื้นที่โล่งภายในโครงการ พร้อมสรรพด้วยเครื่องออกกำลังกายกลางแจ้ง สนามเด็กเล่น เลนสำหรับวิ่งกลางแจ้ง และเดินออกกำลังกายตามแนวสวน ตลอดจนลานหินนวดเท้าคลายเส้น จุดเด่นของ “ธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า” ตั้งอยู่ในย่านถนนกาญจนาภิเษกที่สามารถเชื่อมต่อได้หลากหลายเส้นทาง เป็นหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้อยากมีบ้านที่ต้องการใช้ชีวิตแบบคนเมืองที่มีความเป็นส่วนตัวสูง กับทำเลที่มากด้วยศักยภาพ ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกสบาย ทั้งห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์  ตลาดสด โรงพยาบาล สถานศึกษา และหน่วยงานราชการต่างๆ   “ใช้ชีวิตกับความสุขที่ใช่ ... ในพื้นที่ส่วนตัวของคุณ” กับโครงการธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นพื้นที่ที่ให้เราได้ใช้ชีวิต สร้างแรงบันดาลใจ และรู้สึกผ่อนคลายไปในทุกๆ วัน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ธนาสิริ จับมือ อนาบูกิ โคซัน บุกโซนกรุงเทพฯ​ ตะวันออก ปั้น “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน -ธนาสิริ เดินแผนปี 66 เปิดขายบ้าน 2-20 ล้าน พร้อมรับร่วมทุนปั้นที่ดิน100ไร่ในภูเก็ต
[PR News] ERA ชู CHAT GPT สุดล้ำ หนุนสร้าง ตัวแทนขาย คุณภาพ

[PR News] ERA ชู CHAT GPT สุดล้ำ หนุนสร้าง ตัวแทนขาย คุณภาพ

นักขายอสังหา ERA (THAILAND) ประกาศแผนกลยุทธ์ต่อยอดการเติบโตหลังดำเนินธุรกิจมาครบ 30 ปี วางธีม “Enrich lives, Embrace Tech” เติมเต็มชีวิต นักขายอสังหาฯ ด้วยเทคโนโลยีโลกอนาคต ชูจุดแข็งเป็นรายแรกที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ OPEN AI ‘CHAT GPT’ เข้ามาเสริมศักยภาพตัวแทนขายให้ก้าวข้ามทุกขีดจำกัด ควบคู่กับเครื่องมือสุดสมาร์ท ‘VR PRO’ เพิ่มโอกาสปิดทุกดีลการขายได้ง่ายดั่งใจ พร้อมเดินหน้าเต็มสูบขยายสาขา แฟรนไชส์ครอบคลุมทั่วไทย และมีตัวแทนคุณภาพแตะระดับ 3,000 ราย ในสิ้นปี 2566 นี้ นายวรเดช ศิวเตชานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีอาร์เอ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ERA Holding (ประเทศไทย)เปิดเผยว่า บริษัทดำเนินธุรกิจตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ปัจจุบันจะก้าวขึ้นสู่ปีที่ 31 บริษัทจึงประกาศทรานฟอร์มธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ วางธีมประจำปี “Enrich lives, Embrace Tech” เติมเต็มชีวิตนักขายอสังหาฯ ด้วยเทคโนโลยีโลกอนาคต” ชูจุดเด่นเป็นบริษัทแรกของวงการธุรกิจซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ที่นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ โดยจะนำ Chat GPT หรือ Chatbot Generative Pre-trained Transformerมาใช้ และด้วยการสนับสนุนจาก ERA Asia Pacificทำให้ Chat GPT โมเดลนี้ ได้ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นภายใต้การดูแลของทีม AI LAB เพื่อให้ตอบสนองต่อธุรกิจของ ERA โดยเฉพาะ จึงมีความชาญฉลาดในด้านการขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะช่วยให้ตัวแทนขายและบริษัทสมาชิกของ ERA สามารถนำไปใช้งานได้ง่ายขึ้นเพียงปลายนิ้ว ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 เป็นต้นมา ERA Asia Pacific ได้นำ Chat GPT มาใช้เป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจซื้อขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับสำนักงานภูมิภาคในประเทศต่างๆ ได้แก่ ประเทศจีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน เวียดนาม กัมพูชา สปป.ลาว และประเทศไทย โดยจะมีการฝึกสอนการใช้งานและสนับสนุนในทุกด้าน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบริษัทสมาชิกและตัวแทนขายจะสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทยังนำโปรแกรม“VR PRO” มาใช้ ซึ่งจะสามารถแสดงภาพเสมือนจริงของทรัพย์แต่ละประเภทได้อย่างละเอียดทุกพื้นที่ ทำให้ลูกค้าในทุกมุมโลกสามารถเข้าดูทรัพย์และสภาพแวดล้อมโดยรอบ ผ่านทางระบบได้ทุกที่ทุกเวลาตามต้องการ โดยไม่ต้องเดินทางไปยังสถานที่ตั้งจริง ช่วยเพิ่มความสะดวกและประหยัดเวลา ทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสในการปิดดีลซื้อหรือเช่าขายอสังหาริมทรัพย์ได้ง่ายขึ้นอย่างมาก เรามั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการมีตัวแทนขายแตะระดับ 3,000 คน และขยายสาขาได้ครบ 50 สาขาภายในปี 2566 นี้ ได้อย่างแน่นอน ด้าน นางสาวรณิดา พูลเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ  บริษัท อีอาร์เอ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 นี้ บริษัทมั่นใจว่าด้วย เทคโนโลยี Chat GPT ที่ถูกจัดทำขึ้นโดยเฉพาะสำหรับ ERA จะเป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาเสริมศักยภาพของตัวแทนขาย ให้สามารถทำการขายทรัพย์ได้เพิ่มขึ้นและให้ Agentทำงานได้ง่ายขึ้น   บริษัทเชื่อว่าภาพความสำเร็จของตัวแทนขายและบริษัทสมาชิกที่เกิดขึ้นทั้งก่อนหน้าและต่อจากนี้ จะเป็นเครื่องการันตีความเชื่อมั่นให้กับแฟรนไชส์และตัวแทนใหม่ ให้ก้าวเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ERA และสนับสนุนให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายการขยายสาขาแฟรนไชส์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศภายในสิ้นปี 2566 นี้  ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาในระยะเวลา 6 เดือน ERA สามารถขยายการให้บริการได้ถึง 15 สาขา ในพื้นที่ดังนี้ สาขาอยุธยา,สาขานครปฐม,สาขากาญจนบุรี,สาขาชิดลม,สาขาสาทร,สาขาภูเก็ต,สาขาพานทอง(ชลบุรี),สาขาสมุทรปราการ,สาขาเชียงใหม่1,สาขาสุพรรณบุรี, สาขารามอินทรา, สาขาปทุมธานี, สาขาเชียงใหม่2, สาขาพิษณุโลก และสาขาหัวหิน และในขณะนี้มีผู้ที่สนใจเข้ามาเป็นบริษัทสมาชิก ERA อยู่อีกหลายรายซึ่งยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ จึงมั่นใจว่าจะสามารถขยายสาขาได้ตรงตามเป้าหมายอย่างแน่นอน   สำหรับ ERA THAILAND มีระบบการทำงานที่แข็งแรง มีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งและมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีตลอดเวลา มีการซัพพอร์ตตัวแทนขายและบริษัทสมาชิกในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดอบรม การดูแลวางแผนงาน และอื่นๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้สามารถทำงานได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังมีการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นจุดแข็งสำคัญ ที่ทำให้บริษัทเติบโตไปพร้อมกับสมาชิกตามเป้าหมายที่วางไว้ในทุกด้าน​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พร็อพฟิต เปิดแพลตฟอร์มออนไลน์ Propfit ดึง 900 รายสร้างยอดขายอสังหาฯ​ 3,200 ล้าน
สิงห์ เอสเตท รุกตลาดบ้าน Ultra Luxury ปักหมุด SMYTH’S Ramintra เริ่ม 120 ล้าน

สิงห์ เอสเตท รุกตลาดบ้าน Ultra Luxury ปักหมุด SMYTH’S Ramintra เริ่ม 120 ล้าน

สิงห์ เอสเตท เดินหน้า Cluster Home โครงการที่ 2 ต่อจาก ลาซัวว์ เดอ เอส เปิดตัว แบรนด์ “SMYTH’S Ramintra” บ้านแนวราบระดับอัลตร้าลักชัวรี ทำเลกรุงเทพฯ โซนตะวันออก โดยยังคงคอนเซปต์ ULTIMATE PRIVACY นำเสนอความเป็นส่วนตัวสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพียง 4 ยูนิต ด้วยฟังก์ชันและดีไซน์ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษตามกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ให้เหมาะสำหรับไลฟ์ไตล์ที่โดดเด่นอย่างแตกต่าง ดันรายได้รวมธุรกิจพักอาศัยแนวราบเติบโตขึ้นกว่า 70% จากปีก่อน   นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการ SMYTH’S Ramintra (สมิทธ์ รามอินทรา) คือการต่อยอดสำคัญของการขยายธุรกิจแนวราบแบบใหม่ ในรูปแบบ Cluster Home (คลัสเตอร์ โฮม) หรือที่สิงห์ เอสเตท จะเรียกว่า บ้านแบบ Private Estate ซึ่งจะเป็นบ้านที่ดีไซน์มาเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของลูกบ้านแต่ละหลัง เป็นการต่อยอดความสำเร็จในกลุ่มโครงการบ้านแนวราบระดับอัลตร้าลักชัวรี   ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัท มองเห็นโอกาสในการเติบโตและการขยายธุรกิจในกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเซ็กเมนท์นี้ จากความสำเร็จของโครงการที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าตลาดลักชัวรียังคงเติบโตและยังมีดีมานด์อยู่  ซึ่งสอดคล้องกับแผนการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบทั้ง 5 โครงการ ที่สิงห์ เอสเตท ตั้งเป้าไว้ในปีนี้ ที่จะครอบคลุมเซ็กเมนท์ลักชัวรีที่หลากหลาย ตั้งแต่บ้านเดี่ยวกลุ่มราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป กลุ่มราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป และกลุ่มราคา 50 ล้านบาทขึ้นไป รวมถึงโครงการ Private Estate ที่เป็น Flagship อย่างลาซัวว์ เดอ เอส และล่าสุด SMYTH’S Ramintra เปิดขายที่ราคาเริ่มต้น 120 ล้านบาท โดยบริษัทคาดว่าโครงการที่พักอาศัยแนวราบในปีนี้ จะมีรายได้ที่เติบโตขึ้นกว่า 70% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า SMYTH’S Ramintra เป็น  Private Estate โครงการที่ 2 บนทำเลศักยภาพย่านรามอินทรา ซึ่งเป็น Residential Hub ที่น่าอยู่ สำหรับที่ตั้งโครงการ อยู่ใกล้เซ็นทรัล รามอินทรา เพียง 2.8 กม. และรายล้อมด้วยช้อปปิ้งมอลล์อื่นๆ  สนามกอล์ฟ สถาบันการศึกษาชั้นนำ โรงพยาบาลชั้นนำ และสนามบิน รวมถึงเป็นทำเลที่เชื่อมต่อไปยังย่านอื่นได้สะดวกมาก ทำให้ทำเลนี้มีจุดเด่นเรื่องการเชื่อมต่อกับศูนย์กลางธุรกิจได้อย่างง่ายดาย (Business Connectivity) เพียง 3.8 กม. ถึงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ มุ่งสู่ใจกลางเมือง และสุขุมวิทได้สะดวก และเพียง 650 ม. ถึงรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีรามอินทรา 3 ซึ่งเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าอีก 2 สาย   โดยบริษัทมั่นใจได้ว่าโครงการนี้จะเป็นอีกหนึ่ง Flagship ด้วยจุดเด่นโครงการที่เป็น ULTIMATE PRIVACY หรือ ความเป็นส่วนตัวที่สมบูรณ์แบบ กับจำนวนบ้านเพียง 4 ยูนิต บนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ มูลค่าเริ่มต้นที่ 120 ล้านบาท ออกแบบภายใต้แนวคิดงานสถาปัตยกรรมแบบ Metropolitan Tropical Modern ที่มาในรูปแบบของบ้านสั่งสร้างที่สามารถปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ตามความชอบและการใช้งานที่เหมาะสมของผู้อยู่อาศัย และยังคงไว้ซึ่งคุณภาพและแนวการพัฒนาโครงการแบบ “Best in Class” คงอัตลักษณ์ในแบบฉบับของสิงห์ เอสเตท ที่ถูกถ่ายทอดเป็น DNA ไว้อย่างสมบูรณ์แบบ   จุดเด่นภายในโครงการ ประกอบไปด้วย ระบบไฟฟ้าใต้ดินทั้งโครงการ ระบบ Solar Cell ช่วยผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ Heat Exchanger อุปกรณ์ที่นำความร้อนจากคอยล์ร้อนของเครื่องปรับอากาศ แลกเปลี่ยนมาเก็บไว้ในถังน้ำร้อนเพื่อผลิตน้ำร้อน แทนหม้อต้มไฟฟ้า ช่วยประหยัดไฟฟ้าในการผลิตน้ำร้อนใช้ในบ้าน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องปรับอากาศ รวมถึงเตรียมระบบรองรับนวัตกรรมต่างๆ เช่น EV Charger เพื่อชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า Power Wall แบตเตอรี่เก็บไฟฟ้าจาก Solar Cell S-Air System ที่ทำให้อากาศภายในบ้านหมุนเวียน และนำอากาศบริสุทธิ์จากภายนอกเข้าสู่ภายในบ้าน พร้อมกรองฝุ่น PM 2.5 และปรับอุณหภูมิให้เย็นขึ้น โดย SMYTH’S Ramintra นำเสนอแบบบ้าน 2 รูปแบบ รวมสระว่ายน้ำ บนที่ดินขนาด 180 - 189 ตารางวา ได้แก่ 1.Residences I: พื้นที่ใช้สอย 1,023 ตารางเมตร และ 2.Residences II: พื้นที่ใช้สอย 1,014 ตารางเมตร บ้านทั้ง 2 รูปแบบ ประกอบด้วย 5 ห้องนอน 8 ห้องน้ำ 2 พื้นที่รับแขก 1 ห้องอเนกประสงค์ 2 พื้นที่ทานอาหาร 2 พื้นที่ Pantry 1 ห้องครัวไทย สำหรับปรุงอาหารแบบเต็มรูปแบบ มีห้องซักรีด และแยกส่วนสำหรับห้องแม่บ้านไว้ 2 ห้องพร้อมห้องน้ำอย่างเป็นสัดส่วน รวมถึงจุดเด่นที่เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของการออกแบบพื้นที่ คือ ห้อง Hideaway Chamber และที่จอดรถได้สูงสุดถึง 10 คัน ประกอบด้วย ที่จอดรถในร่ม 4 คัน Supercar Garage 2 คัน และรองรับการจอดรถด้วย Parking Lift System ถึง 4 คัน เราเชื่อมั่นว่า SMYTH’S Ramintra จะเป็นหนึ่งในความสมบูรณ์แบบของบ้านเดี่ยวแบบ Private Estate ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่พิเศษของลูกค้าโครงการนี้อย่างแท้จริง ทั้งยังสะท้อนแนวคิด และวิสัยทัศน์ของ สิงห์ เอสเตท ในการสร้างความหลากหลายที่สมดุล เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน ผ่านการพัฒนาโครงการที่ใส่ใจในทุกๆ รายละเอียด   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -สิงห์ เอสเตท เปิด 5 โครงการที่อยู่อาศัยหมื่นล้าน ขายบ้านอัลตร้า ลักชัวรี่ หลังละ 550 ล้าน -สิงห์ เอสเตท ขอท้าทายตัวเอง กับกลยุทธ์ RISE ABOVE พร้อมแผน 5 ปีปั้นโปรเจ็กต์บ้านหรู 52,000 ล้าน
“ออริจิ้น อีอีซี” เปลี่ยนชื่อใหม่ “ออริจิ้น เนชั่นวายด์” ปั้นคอนโดทั่วประเทศรวม 26,000 ล.​

“ออริจิ้น อีอีซี” เปลี่ยนชื่อใหม่ “ออริจิ้น เนชั่นวายด์” ปั้นคอนโดทั่วประเทศรวม 26,000 ล.​

“ออริจิ้น อีอีซี” เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “ออริจิ้น เนชั่นวายด์” สอดคล้องทิศทางใหม่ตามแผน Origin Infinity ขยายทิศทางจากการบุก EEC สู่การบุกพัฒนาคอนโดทั่วประเทศ ครึ่งปีหลังจ่อบุกภูเก็ต-ชลบุรี-โคราช-ขอนแก่น พร้อมเดินหน้าหาที่ดินแปลงใหม่ๆ เพิ่มเติม ตั้งเป้าสิ้นปี 66 พัฒนาโครงการสะสมทะลุ 13,000 ยูนิต 26,000 ล้านบาท   นายภูมิพัฒน์ ฤทธิธาดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด ในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า จากการประกาศแผนการเติบโต Origin Infinity ของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่แต่เดิมมุ่งเน้นขยายทิศทางการเติบโตในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้ปรับสู่การขยายโครงการอสังหาริมทรัพย์และบริการในเครือออริจิ้นไปในพื้นที่ทั่วประเทศ (Nationwide Serve) ล่าสุด จึงได้มีการเปลี่ยนชื่อบริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด เป็น บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด (Origin Nationwide) พร้อมทั้งปรับทิศทางจากการเป็นผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่ EEC สู่การเป็นผู้พัฒนาโครงการคอนโดทั่วประเทศ ยกเว้นเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อให้สอดรับกับทิศทางการเติบโตของเครือออริจิ้น และเข้าถึงผู้บริโภคในทำเลใหม่ ๆ ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ช่วงต้นปี เราได้ทยอยชิมลางการบุกต่างจังหวัดในทำเลใหม่ ๆ นอกเหนือ EEC ไปแล้ว 2 โครงการ ที่ภูเก็ต และ ขอนแก่น เราได้รับการตอบรับที่ดีมาก ๆ การเปลี่ยนชื่อเป็น ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จึงเปรียบเสมือนการฉลองความสำเร็จของการเดินหน้าบุกพื้นที่หัวเมืองใหญ่ และยืนยันถึงความมั่นใจของบริษัทในการบุกพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศต่อไป   สำหรับช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา​ บริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 5,630 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในพื้นที่ EEC จำนวน 3 โครงการ และโครงการในหัวเมืองใหญ่อีก 2 โครงการ โดยใช้แบรนด์ดิ ออริจิ้น (The Origin) แบรนด์คอนโดตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ Gen Y-Gen Z และกลุ่มผู้เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) เป็นแกนหลักในการบุกถึง 5 โครงการ เพื่อมอบฟังก์ชันห้องและพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ให้แก่คนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ   นายภูมิพัฒน์ กล่าวอีกว่า ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 บริษัทมีแผนการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ต่อยอดความสำเร็จ อีกทั้งสิ้น 6 โครงการในพื้นที่ EEC และ ต่างจังหวัด มูลค่าโครงการรวมประมาณกว่า 6,000 ล้านบาท อาทิ แบรนด์ โซ ออริจิ้น (So Origin) ดิ ออริจิ้น (The Origin) และ ออริจิ้น เพลส (Origin Place) ไปในทำเล EEC และ หัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ภูเก็ต ชลบุรี โคราช และ ขอนแก่น มุ่งเน้นเจาะตลาดกลุ่ม Gen X-Gen Y ในเซ็กเมนท์ Upper Class และ High Class นำจุดเด่นทั้งการออกแบบและการบริการที่เติมเต็มไลฟ์สไตล์เข้าไปตอบโจทย์การอยู่อาศัยและการพักผ่อนในพื้นที่ คาดว่าจะทยอยเปิดเผยรายละเอียดของแต่ละโครงการได้เร็วๆ นี้ ขณะเดียวกัน เนื่องจากความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่หัวเมืองใหญ่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงเดินหน้าหาที่ดินศักยภาพแปลงใหม่ๆ ทั่วประเทศเพิ่มเติม เพื่อเตรียมรองรับการเติบโตตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกพื้นที่ในอนาคต   ทั้งนี้ หากการดำเนินงานเป็นไปตามแผนงาน คาดว่าในสิ้นปีนี้ บริษัทจะมียอดการพัฒนาโครงการสะสมนับตั้งแต่ก่อตั้งรวมทั้งสิ้นเป็น 24 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 26,000 ล้านบาท ครอบคลุมจำนวนห้องชุด 13,000 ยูนิต และเป็นหนึ่งในกำลังหลักของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ในการตอบโจทย์ด้านการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตของผู้บริโภค   สำหรับ บริษัท ออริจิ้น เนชั่นวายด์ จำกัด เป็นผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในหัวเมืองใหญ่ ที่มีจุดเริ่มต้นจากการพัฒนาในแถบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีหลากหลายโครงการที่ถือเป็นระดับเมกะโปรเจกต์และได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค อาทิ การพัฒนาโครงการออริจิ้น ดิสทริค แหลมฉบัง-ศรีราชา (Origin District Laemchabang-Sriracha) บริเวณตรงข้าม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา จ.ชลบุรี โครงการออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง (Origin Smart City Rayong) เมืองอัจฉริยะบนพื้นที่กว่า 24 ไร่ บริเวณแยกเนินสำลี จ.ระยอง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“ออริจิ้น” เปิดกลยุทธ์บุก ทำเลรถไฟฟ้า 6 สายส่งคอนโด 19,580 ล้าน ทั่วกทม.-ปริมณฑล -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทำยอดขายบ้าน-คอนโด Q2/66 นิวไฮ
ศุภาลัย กวาดยอดขายครึ่งปี 17,285 ล้าน ลุยเปิด 27 โครงการใหม่

ศุภาลัย กวาดยอดขายครึ่งปี 17,285 ล้าน ลุยเปิด 27 โครงการใหม่

ศุภาลัย โชว์ผลงานครึ่งปีแรกกวาด ยอดขาย รวม 17,285 ล้านบาท พร้อมเปิดแผนรุกตลาดอสังหาฯ ครึ่งปีหลัง ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม รวม 27 โครงการ ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค ขับเคลื่อนสู่เป้าหมายยอดขาย 36,000 ล้านบาท   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรก 2566 บริษัทยังคงรักษาการเติบโตที่มั่นคงอย่างต่อเนื่อง ดีมานด์ตอบรับดีทั้งสินค้าแนวราบและคอนโดมิเนียม สามารถสร้าง ยอดขาย รวม 17,285 ล้านบาท คิดเป็น 48% จากเป้าหมายยอดขาย 36,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายโครงการแนวราบ 11,304 ล้านบาท และโครงการคอนโดที่เปิดใหม่และสร้างเสร็จพร้อมอยู่ 5,981 ล้านบาท โดยมาจากการตอบรับที่ดีของลูกค้าในทุกทำเลโครงการที่มีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ รวมถึงโครงการที่เปิดตัวใหม่ ทั้งนี้ ยอดขาย ที่เพิ่มขึ้นมาจากโครงการภูมิภาคของบริษัท ยังคงได้รับความสนใจและเติบโตโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งยอดขายคอนโด 570 ล้านบาท เติบโต 72% โครงการแนวราบ 7,214 ล้านบาท เติบโต 6% เมื่อเทียบกับยอดขายครึ่งปี 2565 สำหรับโครงการใหม่ที่สามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง อาทิ ศุภาลัยปาร์ค เอกมัย - พัฒนาการ , ศุภาลัยบลูเวล หัวหิน , ศุภาลัยเอเลแกนซ์ พหลโยธิน 50 และ ศุภาลัย เลค วิลล์ ภูเก็ต   นอกจากนี้ บริษัทยังมีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ในมือ ทั้งโครงการแนวราบและคอนโด มูลค่ามากกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเข้ามารองรับการเติบโตของยอดขายในครึ่งปีหลัง โดยล่าสุด ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โครงการศุภาลัยลอฟท์ สาทร - ราชพฤกษ์” ได้เปิดให้ลูกค้าเข้าตรวจรับห้องชุดและได้รับการตอบรับจากลูกค้าทยอยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดไปแล้ว ประมาณ 75%   สำหรับครึ่งปีหลัง 2566 บริษัทเดินเครื่องพัฒนาโครงการใหม่รวม 27 โครงการ มูลค่ารวม 28,610 ล้านบาท เปิดตัวโครงการแนวราบ 26 โครงการ และคอนโด 1 โครงการ โดยมีการออกแบบผลิตภัณฑ์และเปิดตัวแบรนด์ใหม่ การพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมลุยเปิดตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดใหม่ ๆ ในทำเลศักยภาพ โดยโครงการแนวราบวางแผนเปิดเพิ่ม 4 จังหวัดใหม่ คือ นครปฐม ลำปาง ราชบุรี และจันทบุรี และคอนโดแบรนด์ใหม่อีกด้วย เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายให้เติบโตได้ตามเป้าหมาย อีกทั้งไตรมาส 3 ยังเตรียมพร้อมโอนฯ ห้องชุดให้ลูกค้ากับโครงการศุภาลัยพรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าจะได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากการโอนฯ ของลูกค้าเช่นกัน และคาดว่าจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ได้ครบภายในปี 2566 ช่วยผลักดันรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้   ด้วยความมั่นใจในกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 36,000 ล้านบาท ด้วยการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแล้วครอบคลุม 28 จังหวัด และมีสินค้าพร้อมอยู่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ความพร้อมทางต้นทุนทางการเงิน สร้างสรรค์สินค้าและนวัตกรรมต่างๆ การตลาดและการขาย การบริการอย่างครบวงจร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศุภาลัย เปิดแผนขายบ้าน-คอนโดปี 66 ลุยขยายต่างจังหวัดเพิ่ม 5 แห่ง ​​20 โครงการ -ศุภาลัย บุกตลาดต่างจังหวัดแห่งที่ 23 ปั้นคอนโด “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน”
เพอร์เฟค  ลุยพัฒนา 6 โครงการบ้านหรู  จับตลาดใกล้โรงเรียนนานาชาติ

เพอร์เฟค ลุยพัฒนา 6 โครงการบ้านหรู จับตลาดใกล้โรงเรียนนานาชาติ

ไลฟ์สไตล์ลูกค้าตลาดบ้านหรูเปลี่ยน เน้นเลือกบ้านทำเลใกล้ โรงเรียนนานาชาติ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ลุยพัฒนาสินค้าใน 6 โครงการลักซ์ชัวรี่ใกล้โรงเรียนนานาชาติ ครึ่งปีหลังเปิดแบบบ้านใหม่ โครงการใหม่ เพิ่มความหลากหลาย พร้อมรุกขยายฐานลูกค้าร่วมกับโรงเรียน เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ปกครองนักเรียนนานาชาติโดยตรง   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจของไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าโครงการบ้านระดับบน โดยลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มผู้บริหารระดับสูง เจ้าของกิจการ และกลุ่ม Expat เพิ่มเติมคือนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว โดยที่ผ่านมาลูกค้ากลุ่มนี้จะนิยมโครงการทำเลเมืองหรือทำเลที่ใกล้สถานที่ทำงาน แต่ปัจจุบันมีแนวคิดในการเลือกที่อยู่อาศัยในทำเลใกล้โรงเรียนนานาชาติชื่อดังเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ โดยคำนึงถึงความสะดวกและปลอดภัยในการส่งบุตรหลานไปยังสถานศึกษา ประหยัดเวลาในการเดินทาง เพื่อให้มีเวลากับการเรียนและทำกิจกรรมมากขึ้น บริษัทมีโครงการบ้านหรูบนทำเลใกล้โรงเรียนนานาชาติถึง 6 โครงการ และมีลูกค้าที่เป็นกลุ่มผู้ปกครองนักเรียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ร.ร.นานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพ หรือ SISB ซึ่งซื้อที่ดินบนถนนหอการค้าไทย จากบริษัท ได้เปิด ร.ร.นานาชาติเอสไอเอสบี นนทบุรี การเปิดตัวของโรงเรียนแห่งใหม่สร้างความคึกคักเพิ่มขึ้นให้กับโครงการบ้านเดี่ยวระดับบน ทั้ง เลค เลเจ้นด์ แจ้งวัฒนะ และ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ แจ้งวัฒนะ ซึ่งอยู่หน้าร.ร.นานาชาติ   บริษัทยังมีโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ที่สามารถรองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการอยู่อาศัยในทำเลใกล้โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ ได้แก่ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา ทำเลที่เป็นแหล่งรวมโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง เช่น เวลลิงตันคอลเลจ ไบรท์ตันคอลเลจ เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ รามคำแหง ซึ่งอยู่ติดกับโรงเรียนร่วมฤดีวิเทศศึกษา หรือ RIS โรงเรียนนานาชาติเก่าแก่ที่เปิดมาแล้ว 66 ปี เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ สุขุมวิท 77 อยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติชาร์เตอร์ และโรงเรียนนานาชาติคอนคอร์เดียน รวมถึง เลค เลเจ้นด์ บางนา-สุวรรณภูมิ อีกหนึ่งทำเลที่มีโรงเรียนนานาชาติตั้งอยู่จำนวนมาก โดยโครงการยังอยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ  โรงเรียนนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทยังมีแผนพัฒนาสินค้าในโครงการกลุ่มลักซ์ชัวรี่ที่อยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติ เพื่อเพิ่มความหลากหลายมากขึ้น  ทั้ง การเปิดตัวแบบบ้านใหม่ในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ขนาดพื้นที่ครึ่งไร่ ราคา 80 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอย 850 ตร.ม. ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในทำเลกรุงเทพกรีฑา เพื่อรองรับครอบครัวขนาดใหญ่ มีการเพิ่มคฤหาสน์หรูที่ดินขนาดใหญ่กว่าครึ่งไร่ในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ รามคำแหง  มีการเปิดคิดส์คลับสโมสรสำหรับเด็กในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ สุขุมวิท 77   นอกจากนี้ บริษัทจะมีการเปิดโครงการใหม่ “วาวิล่า สุขุมวิท 77”  เพื่อรองรับกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ เป็นบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ ใช้ประโยชน์ได้เต็มพื้นที่ ประกอบด้วย บ้านขนาด 400 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท และ บ้านขนาด 557 ตร.ม. พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว ราคาเริ่มต้น 33 ล้านบาท  บริษัทยังมีแผนรุกทำการตลาดร่วมกับโรงเรียนนานาชาติชั้นนำ ทั้ง เอสไอเอสบี ร่วมฤดีวิเทศศึกษา บรอมส์โกรฟ เวลลิงตันคอลเลจ  และ ไบรท์ตันคอลเลจ  เพื่อสื่อสารโดยตรงไปยังกลุ่มผู้ปกครองนักเรียน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] เพอร์เฟค เปิดตัว “เพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ – ราชพฤกษ์” -[PR News] เพอร์เฟค เดินหน้าเปิด 4 โครงการใหม่ในไตรมาส 2
AssetWise เข้าถือหุ้น 57% TITLE “รุกตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต” สร้างรายได้ 10,000 ล้านบาทใน 3 ปี

AssetWise เข้าถือหุ้น 57% TITLE “รุกตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต” สร้างรายได้ 10,000 ล้านบาทใน 3 ปี

AssetWise นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันการท่องเที่ยวฟื้นตัว ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ใน จ.ภูเก็ตมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภูเก็ต ถูกจัดลำดับให้เป็นจุดหมายการพักอาศัยระดับต้นๆของโลก  AssetWise จึงตัดสินใจขยายธุรกิจไปสู่จังหวัดภูเก็ต โดยจับมือกับบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีความเชี่ยวชาญและเข้าใจตลาดภูเก็ตเป็นอย่างดี และร่วมผลักดันตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต ให้เติบโต ผ่านตลาดต่างชาติ     AssetWise แอสเซทไวส์ ก้าวสู่ตลาดที่อยู่อาศัยภูเก็ตโดยเข้าซื้อหุ้นในบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE  ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยเป็น โดยแอสเซทไวส์จะถือหุ้น 57% ผ่านบริษัทย่อยของแอสเซทไวส์     นายกรมเชษฐ์ กล่าวว่า TITLE เป็นหนึ่งใน2 บริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ในช่วงโควิด 3 ปีที่ผ่านมา TITLE สามารถเปิดขายและโอนทุกโครงการได้ทั้งหมด 100% ด้วยความที่อยู่ในตลาดอสังหาฯภูเก็ตมานาน เข้าใจถึงความต้องการได้เป็นอย่างดี และมีพันธมิตรเอเจนท์อสังหาฯ ต่างชาติมากมายเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะการซื้ออสังหาฯของชาวต่างชาติเกือบ100% ซื้อผ่านเอเจนท์ อีกหนึ่งความเชื่อมั่นคือซึ่งมีทีม TITLE มีผู้บริหารที่อยู่ในธุรกิจในภูเก็ต มายาวนานกว่า 10 ปี มีเครือข่ายที่น่าเชื่อถือ มีที่ดินในทำเลศักยภาพพร้อมพัฒนาโครงการได้อย่างต่อเนื่อง  ด้วยความเชี่ยวชาญและความแข็งแกร่งของทั้ง 2 บริษัท มีส่วนสำคัญในการร่วมผลักดันตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตให้เติบโต พร้อมต่อยอดไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และ TITLE ก็จะช่วยให้ช่องทางรับรู้รายได้ของ แอสเซทไวส์เพิ่มขึ้น   นายกรมเชษฐ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับแผนงานหลังจากนี้  TITLE  มีโครงการที่เตรียมพัฒนาไปจนถึงปี 2569 ทั้งหมด 9 โครงการ รวมมูลค่า 14,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 80 ไร่ ใน 3 ทำเลศักยภาพของภูเก็ต ได้แก่ หาดในยาง ทั้งหมด 5 โครงการ, หาดบางเทา 3 โครงการ และหาด ราไวย์ 1 โครงการ ประกอบกับ จ.ภูเก็ต อยู่ในระหว่างการขยายสนามบินนานาชาติเฟสที่ 2 และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทำให้แอสเซทไวส์ คาดการณ์ว่า จะเป็นปัจจัยเสริมให้การพัฒนาโครงการดังกล่าว สามารถสร้างรายได้ตามเป้าหมาย 10,000 ล้านบาทที่วางไว้ ใน 3 ปี (2567 - 2569) ต่อจากนี้ได้อย่างแน่นอน   สำหรับการร่วมมือกับ TITLE ในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำว่า แอสเซทไวส์ มั่นใจในศักยภาพการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต และยังเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการขยายการลงทุนในธุรกิจอสังหาของ   แอสเซทไวส์ให้เติบโตด้วยการขยายตัวไปในทำเลใหม่ ๆ ในตลาดที่หลากหลายเพิ่มขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ บริษัทฯ ได้ผนึกกำลังกับบริษัท โบทานิก้า ลักซูรี่ ภูเก็ต จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการพูลวิลล่าระดับลักชัวรี่ในภูเก็ต เพื่อพัฒนาโครงการ BOTANICA Grand Avenue  (โบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว) ให้เป็น พูลวิลล่าระดับลักชัวรี่ที่ดีที่สุดบนหาดบางเทา คาดว่าจะพร้อมเปิดให้ชมในเดือนกันยายนปีนี้   บทความน่าสนใจ แอสเซทไวส์  กวาดยอดขายไตรมาสแรกเกือบ  3,500 ล้าน ลุยต่อเปิด 3 โครงการใหม่   แอสเซทไวส์ ปั้นคอนโด “เคฟ” อีก 5 โปรเจกต์ จับตลาดปล่อยเช่านักศึกษายีลด์ 7-8%
[PR News] SENA ส่งคอนโดของคนช่างคิด  เสนา คิทท์ ครองใจมวลชน

[PR News] SENA ส่งคอนโดของคนช่างคิด เสนา คิทท์ ครองใจมวลชน

เสนา คิทท์ แบรนด์เสนา คิทท์ (SENA Kith) คอนโดมิเนียม จาก SENA เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์คอนโดที่ได้รับการยอมรับและมีการเติบโตอย่างรวดเร็วใช้เวลาเพียง 4 ปี (ตั้งแต่ปี 2562 - ปัจจุบัน) ส่วนใหญ่พัฒนาใกล้นิคมฯ แหล่งงาน แหล่งทำมาหากิน และใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ทำให้คุณสะดวกกว่าที่คิดในทุกมิติชีวิตคุณ SENA Kith “คอนโดของคนช่างคิด” ปัจจุบันมีทั้งหมด 21 โครงการ มากกว่า 10,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 11,000 กว่าล้านบาท   กลยุทธ์สำคัญ คือ การวางโพสิชันคอนโดแบรนด์ SENA Kith ภายใต้แนวคิด SENA Kith “คอนโดของคนช่างคิด” เนรมิตที่อยู่อาศัยให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยจากข้อมูลอินไซด์ของแบรนด์เสนาคิทท์ จะเน้นการเลือกทำเลใกล้แหล่งงาน การออกแบบต่างๆ ฟังก์ชันการใช้สอยครบและลงตัว โดยแต่ละโครงการจะมีแบบห้องขนาด      1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยเฉลี่ย 26 ตร.ม. ราคาเริ่ม  999,000 บาท ทำให้ลูกค้าเอื้อมถึงและสามารถผ่อนจ่ายได้อย่างสบายใจไร้ความกังวล   SENA Kith “คอนโดของคนช่างคิด” พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทุกคน ดังนั้นจุดเริ่มต้นมาจากการหาอินไซต์ผู้บริโภค ผู้ซื้อที่ต้องการคอนโดฯ ราคาต่ำล้านไปจนถึง 1.5 ล้านบาทเป็นกลุ่มเพิ่งเริ่มทำงาน ที่มีรายได้ตั้งแต่ 15,000 – 20,000 บาท ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใกล้แหล่งงานอยู่แล้ว และเช่าหอพักหรืออพาร์ทเมนท์ คอนโดเสนา คิทท์ จึงเปรียบเสมือนคอนโดที่ตอบโจทย์กับลูกค้าที่ต้องการเปลี่ยนจากผู้เช่าเป็นผู้ซื้อเมื่อต้องการบ้านหลังแรก ครึ่งปีหลัง 2566 ของ SENA Kith เตรียมเปิดคอนโดใหม่ครอบคลุมทำเลศักยภาพ 6 โครงการ ประกอบด้วย โครงการเสนาคิทท์ บางนา กม.29, เสนาคิทท์ สาทร – กัลปพฤกษ์, เสนาคิทท์ รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง, เสนาคิทท์ สำโรง,เสนาคิทท์  พหลโยธิน นวนคร และเสนาคิทท์ เพชรเกษม 48 เป็นต้น   SENA Kith เตรียมจัด 2 อีเว้นต์ใหญ่ 22 – 23 ก.ค.กระตุ้นยอดขาย เร็วๆ นี้ ทางเสนาเตรียมจัดงาน 2 อีเว้นต์ เปิดขายโครงการเสนาคิทท์ รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง ภายใต้คอนเซ็ปต์คอนโดที่ให้ “คุ้มกว่าที่คิด"  เตรียมจัดงานพรีเซลล์ครั้งแรกในวันที่ 22- 23 กรกฏาคม 2566 โปรโมชั่น 1 ห้องนอน ฟรีเฟอร์ฯ ราคาเดียว 999,000 บาท ซื้อถูกกว่าเช่าล้านละ 4,100 บาท/เดือน* หรือลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษก่อนใครผ่านลิ้งค์ bit.ly/3FVU2KG  สอบถามเพิ่มเติมโทร.1775 #61 อีก 1 โครงการ เสนาคิทท์ สาทร – กัลปพฤกษ์ คอนโดที่พร้อมคอนเซ็ปต์ “คอนโดโลว์คาร์บอน” ใช้พลังงานสะอาด เตรียมเปิดให้ยลโฉมห้องตัวอย่างเป็นครั้งแรกเช่นกัน วันที่ 22 กรกฏาคม 2566 พบโปรโมชั่น 1 ห้องนอน เฟอร์ฯ ครบ เริ่ม 990,000 บาท* ผ่อนเพียง 1,500 บาท/เดือน* ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ https://bit.ly/3NFcNae หรือ สอบถามเพิ่มเติมโทร.1775 #71   สำหรับใครที่สนใจโครงการแบรนด์เสนาคิทท์ ราคาเริ่มไม่ถึงล้านบาท บนโลเคชั่นที่มีศักยภาพให้เลือกใกล้แหล่งงาน ใกล้สิ่งความสะดวก ทั้งการเดินทาง แหล่งกิน แหล่งช้อป ที่มีให้เลือกถึง 21โครงการคุณภาพ หรือสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sena.co.th/brands/sena-kith   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่รองรับลูกบ้าน -เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2 หนุนเป้ายอดขายกว่า 1.8 หมื่นล.
REIC รายงานตลาดที่อยู่อาศัย Q1/66 กทม.คอนโดเหลือกว่า 4.7 หมื่นยูนิต 2 ปีกว่าจะขายหมด

REIC รายงานตลาดที่อยู่อาศัย Q1/66 กทม.คอนโดเหลือกว่า 4.7 หมื่นยูนิต 2 ปีกว่าจะขายหมด

REIC รายงานตลาดที่อยู่ Q1/66 ขายได้ 21,291 ยูนิต ขายลดลง​ 29.1% มีมูลค่า 105,768 ล้านบาท ลดลง​ 22.0% หลังบ้านแนวราบเสนอขายกว่า 124,723 ยูนิต เพิ่มขึ้น 6.9% ด้วยมูลค่า 679,672 ล้าน เพิ่ม 13.0% แต่คอนโด​มีขายลดลง ลดลง 4.3% ด้วยจำนวน 79,503 ยูนิต มูลค่า 309,579 ล้าน​ ลดลง 9.5% ระบุ 5 ทำเลบ้านเหลือขายเยอะน่าเป็นห่วง ทำบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย เหลือขายมากสุดถึง 16,803 ยูนิต มูลค่า 80,150 ล้าน ส่วนคอนโด ทำเลธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด เหลือขายเยอะสุด 8,544 ยูนิต มูลค่า 27,045 ล้าน Q1 ที่อยู่อาศัยยอดขายลดเหลือกว่า 1 แสนล้าน ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) เปิดเผยถึงภาวะภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัย ทั้งโครงการแนวราบและอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) ที่มียูนิตเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 ยูนิต ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในไตรมาส 1 ปี 2566 ว่า มีการเสนอขายที่อยู่อาศัยรวม (บ้านจัดสรรและคอนโด) จำนวน 204,226 ยูนิต ขยายตัว 2.3% และมีมูลค่า 989,251 ล้านบาท ขยายตัว 4.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นยูนิตเกิดจากโครงการเปิดตัวใหม่เพียง 21,680 ยูนิต หรือเพียง 10.62% ของยูนิตที่เสนอขายทั้งหมด มีมูลค่า 82,246 ล้านบาท หรือเพียง 8.31% ของมูลค่าที่เสนอขายทั้งหมด ซึ่งยูนิตที่เปิดตัวใหม่มีจำนวนลดลง 26.0% และมูลค่าที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน​ 22.5%  ​   เมื่อดูถึงยอดขายใหม่ที่เกิดในไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีจำนวน 21,291 ยูนิต พบว่าลดลง​ 29.1% และมูลค่า 105,768 ล้านบาท ลดลง​ 22.0% และมีอัตราการดูดซับที่ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจาก 3.5% ต่อเดือน หรือระยะเวลาขายหมดประมาณ 26 เดือน (ลดลงจากปีก่อน 5.0% และระยะเวลาขายหมด 17 เดือน) แสดงให้เห็นว่า ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยปรับตัวลงค่อนข้างแรงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการปรับตัวลงของยอดขายคอนโด ประกอบกับส่วนต่างของยูนิตเปิดตัวใหม่ มากกว่ายูนิตที่ขายได้ใหม่ในไตรมาสนี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 389 ยูนิต ส่งผลให้ยูนิตที่เหลือขายภาพรวมที่อยู่อาศัย (แนวราบและคอนโด) ในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 182,935 ยูนิต ขยายตัว 7.8% และมูลค่า 883,484 ล้านบาท ขยายตัว 9.4% ​จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ผ่านมา บ้านแนวราบเสนอขายกว่า 1.24 แสนยูนิต เมื่อแยกวิเคราะห์เฉพาะตลาดบ้านแนวราบ ในไตรมาส 1 ปี 2566 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่า ยูนิตที่มีการเสนอขายที่อยู่อาศัยแนวราบ 124,723 ยูนิต ขยายตัว 6.9% มูลค่า 679,672 ล้านบาท ขยายตัว 13.0% ​เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งพบว่า ประเภทบ้านที่มีการขยายตัวของยูนิตเสนอขายมากได้แก่ บ้านเดี่ยว ขยายตัวจากปีก่อนถึง 13.0% และทาวน์เฮ้าส์ ที่มีจำนวนยูนิต ขยายตัวจากปีก่อน 2.8% โดยบ้านเดี่ยวมูลค่าขยายตัว 21.5% และทาวน์เฮ้าส์ขยายตัว 2.0% ​ในจำนวนนี้เป็นยูนิตเกิดจากโครงการแนวราบเปิดตัวใหม่เพียง 8,699 ยูนิต หรือเพียง 6.97% ของยูนิตที่เสนอขายทั้งหมด และมูลค่า 51,473 ล้านบาท หรือเพียง 7.57% ของมูลค่าที่เสนอขายทั้งหมด ซึ่งยูนิตที่เปิดตัวใหม่มีจำนวนลดลง 16.8% และมูลค่าที่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.8%  โดยประเภทที่มีการลดลงมากคือ ทาวน์เฮ้าส์ ที่ลดลงทั้งยูนิต 23.4% และมูลค่าลดลง 35.3%   เมื่อดูถึงยอดขายใหม่ของที่อยู่อาศัยแนวราบที่เกิดในไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 11,581 ยูนิต ขยายตัว 5.1% และ มูลค่า 69,599 ล้านบาท ลดลง 0.02% และมีอัตราการดูดซับทรงตัวอยู่ในระดับ 3.1% ต่อเดือน หรือจะขายหมดในเวลาประมาณ 29 เดือน ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบค่อนข้างคงตัวเช่นเดียวกับไตรมาส 1 ปี 2565 ทั้งนี้ บ้านแฝด เป็นประเภทที่มียอดยูนิต ขยายตัว 6% และมูลค่าการขายได้ใหม่ขยายตัวมากสุด 11.5% แม้ว่าจะยังมีขนาดของตลาดยังไม่ใหญ่ และยังมีอัตราการดูดซับที่ต่ำสุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่น บ้านเดี่ยวมียอดขายใหม่ในไตรมาสนี้ที่ขยายตัวทั้งยูนิต 8% และมูลค่า​ขยายตัว 3.2% โดยมีอัตราการดูดซับที่ 3.3% ซึ่งสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเภทอื่น หรือระยะเวลาขายหมดประมาณ 27 เดือน (ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน 3.5% และระยะเวลาขายหมด 26 เดือน) ทาวน์เฮ้าส์ พบว่า ยอดขายใหม่ แม้จะมีขนาดตลาดที่ใหญ่ และยังมีการขยายตัวของยูนิตขายใหม่ 8% แต่มีมูลค่าการขายได้ใหม่ ลดลง 7.4% แสดงให้เห็นว่า ตลาดบ้านเดี่ยว และ ทาวเฮ้าส์ ยังคงมีการขยายตัวอย่างอย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ บ้านแฝด เป็นประเภทที่มีการตอบรับที่ดีจากตลาดมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับความสามารถในการซื้อของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน เนื่องจากราคาที่ดิน ค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง   จากการที่ยอดขายใหม่ที่เพิ่มขึ้น และมียูนิตเปิดตัวใหม่น้อยกว่ายูนิตที่ขายได้ใหม่ในไตรมาสนี้ถึง -2,882 ยูนิต ส่งผลให้ยูนิตที่เหลือขายของที่อยู่อาศัยแนวราบ ในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 113,142 ยูนิต มูลค่า 610,073 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% และ 14.7% ตามลำดับ จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ผ่านมา   ทั้งนี้ บ้านเดี่ยว มีการขยายตัวของยูนิตเหลือขายอย่างมากถึง 13.4% และ บ้านแฝดขยายตัว 15.1%  ขณะที่บ้านเดี่ยวมูลค่าก็มีการขยายตัวสูงถึง 24.2%  และบ้านแฝดมูลค่าขยายตัว 19.5%  สำหรับ ทาวน์เฮ้าส์ มียูนิตเหลือขายขยายตัวเล็กน้อยที่ 2.9% และมูลค่าขยายตัว 3.1% การที่อัตราขยายตัวของมูลค่าที่เพิ่มมากกว่าของจำนวนยูนิตได้สะท้อนเห็นว่าที่อยู่อาศัยแนวราบมีการปรับราคาขึ้นจากปีก่อนอีกด้วย คอนโด Q1 เสนอขายลดทั้งจำนวน-มูลค่า ตลาดคอนโด ในไตรมาส 1 ปี 2566 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่า ยูนิตที่มีการเสนอขายคอนโด 79,503 ยูนิต ลดลง 4.3%  และมูลค่า 309,579 ล้านบาท ลดลง 9.5% ​เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นยูนิตเกิดจากโครงการคอนโดเปิดตัวใหม่สูงถึง 12,981 ยูนิต หรือ 16.33% ของยูนิตที่เสนอขายทั้งหมด และมูลค่า 30,773 ล้านบาท หรือ 9.94% ของมูลค่าที่เสนอขายทั้งหมด ซึ่งยูนิตที่เปิดตัวใหม่มีจำนวนลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31.1% และมูลค่าที่ลดลง 34.7% ตามลำดับ และเมื่อดูยอดขายใหม่ของคอนโดที่เกิดในไตรมาส 1 ปี 2566 จำนวน 9,710 ยูนิต ลดลง 48.9%​ มูลค่า 36,169 ล้านบาท ลดลง 45.2% และมีอัตราการดูดซับทรงตัวอยู่ในระดับ 4.1% ต่อเดือน หรือจะขายหมดในเวลาประมาณ 21 เดือน   ทั้งนี้ สาเหตุที่ยูนิตเปิดใหม่และยูนิตขายได้ใหม่ของคอนโดปรับตัวลดลงอย่างมากในไตรมาส 1 ปี 2566 เมื่อเทียบกับปีก่อนนั้น มาจากการที่การเปิดตัวใหม่เป็นจำนวนมากและสามารถสร้างยอดขายใหม่จากโครงการคอนโดที่เป็นโครงการบ้านล้านหลัง หรือ โครงการ BOI ที่เปิดขึ้นจำนวนมากในช่วงไตรมาส 1 และ 2 ปี 2565 โดยเป็นที่น่าสังเกตว่าการเปิดตัวโครงการใหม่เริ่มกลับมามากขึ้นและเริ่มขยับเข้ามามีจำนวนใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิด COVID-19 แต่ยอดขายยังคงต่ำกว่าในช่วงก่อนเกิด COVID-19   โดยในไตรมาสแรกยูนิตเปิดตัวใหม่ของลดลงมาก รวมถึงยอดขายใหม่ด้วย ​ซึ่งพบว่า ยูนิตเปิดตัวใหม่มีจำนวนมากกว่ายูนิตที่ขายได้ใหม่ถึง 3,271 ยูนิต ส่งผลให้ยูนิตที่เหลือขายของคอนโดในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 69,793 ยูนิต ขยายตัว 9.0% และมีมูลค่า 273,411 ล้านบาท ลดลง 0.9% ตามลำดับ จากไตรมาส 1 ปี 2565 ที่ผ่านมา   จากผลการสำรวจภาคสนาม  ได้แสดงให้เห็นทำเลศักยภาพของตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ซึ่งพบว่า ทำเลที่มียอดขายสูงสุดและมีอัตราการดูดซับสูงกว่าค่ากลางของที่อยู่อาศัยแนวราบที่ 3.1% ต่อเดือน ประกอบด้วยโซน บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ยอดขาย 2,674 ยูนิต มูลค่า 16,579 ล้านบาท และ อัตราดูดซับ 5.0%ต่อเดือน เมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ ยอดขาย 1,477 ยูนิต มูลค่า 5,394 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 4.7% ต่อเดือน บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย ยอดขาย 942 ยูนิต มูลค่า 5,521 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 1.8% ต่อเดือน คลองสามวา-มีนบุรี-ลาดกระบัง ยอดขาย 918 ยูนิต มูลค่า 5,990 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 5.6% ต่อเดือน เมืองสมุทรสาคร ยอดขาย 821 ยูนิต มูลค่า 3,091 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 4.2% ต่อเดือน 5 ทำเลบ้านเหลือขายมากสุด อย่างไรก็ตาม ทำเลสำหรับบ้านแนวราบที่ต้องระมัดระวังเนื่องจากยังคงมียูนิตเหลือขายที่มากติดอันดับต้น ๆ แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่ ทำเลบางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย เหลือขาย 16,803 ยูนิต มูลค่า 80,150 ล้านบาท ทำเลบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง เหลือขาย 15,221 ยูนิต มูลค่า 84,580 ล้านบาท ทำเลลำลูกกา-ธัญบุรี เหลือขาย 13,726 ยูนิต มูลค่า 54,287 ล้านบาท ทำเลคลองหลวง-หนองเสือ เหลือขาย 12,146 ยูนิต มูลค่า 43,574 ล้านบาท ทำเลเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก เหลือขาย 10,021 ยูนิต มูลค่า 40,796 ล้านบาท 5 ทำเลศักยภาพตลาดคอนโด สำหรับทำเลศักยภาพของตลาดคอนโด ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ที่มียอดขายสูงสุดและมีอัตราการดูดซับสูงกว่าค่ากลางของที่อยู่อาศัยคอนโดที่ 4.1% ต่อเดือน ประกอบด้วยโซน ทำเลคลองหลวง-หนองเสือ ยอดขาย 1,628 ยูนิต มูลค่า 3,550 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 14.4% ต่อเดือน ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ ยอดขาย 799 ยูนิต มูลค่า 2,539 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 3.8% ต่อเดือน ทำเลเมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ ยอดขาย 775 ยูนิต มูลค่า 2,010 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 4.7% ต่อเดือน ทำเลเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด ยอดขาย 758 ยูนิต มูลค่า 1,468 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 3.5% ต่อเดือน ทำเลห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง ที่มียอดขายจำนวน 689 ยูนิต มูลค่า 2,674 ล้านบาท และอัตราดูดซับ 2.7% ต่อเดือน เป็นทำเลที่ยังได้รับความสนใจในการหาซื้อคอนโดอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีระบบสาธารณูปโภคที่ดี และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ แต่มีจุดอ่อนคือมีอุปทานในตลาดมาก 5 ทำเลคอนโดเหลือขายเยอะ ทั้งนี้ ทำเลที่มียูนิตเหลือขายของคอนโดมาก ที่ควรจะต้องระมัดระวังเนื่องจากยังคงมียูนิตเหลือขายที่มากติดอันดับต้น ๆ แม้ว่าบางพื้นที่จะมียอดขายและอัตราการดูดซับที่ดี ได้แก่ ทำเลธนบุรี-คลองสาน-บางกอกน้อย-บางกอกใหญ่-บางพลัด เหลือขาย 8,544 ยูนิต มูลค่า 27,045 ล้านบาท ทำเลห้วยขวาง-จตุจักร-ดินแดง เหลือขาย 7,951 ยูนิต มูลค่า 31,786 ล้านบาท ทำเลเมืองนนทบุรี-ปากเกร็ด เหลือขาย 6,432 ยูนิต มูลค่า 14,774 ล้านบาท ทำเลพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ เหลือขาย 6,204 ยูนิต มูลค่า 18,007 ล้านบาท ทำเลสุขุมวิท เหลือขาย 5,348 ยูนิต มูลค่า 47,222 ล้านบาท กทม.แบกซัพพลายคอนโดเหลือกว่า 4.7 หมื่นยูนิต​ ผลสำรวจข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ภาพรวมไตรมาส 1 ปี 2566 ตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลยังขับเคลื่อนตัวด้วยโครงการบ้านแนวราบเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนในเชิงมูลค่ายอดขายของตลาดถึง 69,599 ล้านบาท หรือเท่ากับ 65.8% แต่คอนโดมีมูลค่าตลาดรวม 36,169 ล้านบาท หรือเท่ากับ 34.2%  ของมูลค่าตลาดโดยรวม   แต่สิ่งที่มีน่าจะเป็นข้อสังเกตที่สำคัญ คือ จังหวัดที่มียอดขายใหม่ของบ้านจัดสรรมากที่สุดคือ จังหวัดสมุทรปราการที่มีจำนวนถึง 4,151 ยูนิต มูลค่า 21,974 ล้านบาท รองลงมาที่กรุงเทพมหานคร มีจำนวน 2,734 ยูนิต มูลค่า 27,105 ล้านบาท แต่ยูนิตเหลือขาย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2566 อยู่ที่จังหวัดปทุมธานีมากสุดถึง 35,893 ยูนิต มูลค่า 138,658 ล้านบาท ทั้งที่จังหวัดปทุมธานีที่มียอดขายเป็นอันดับ 3 เท่านั้น ทำให้ปทุมธานีมีอัตราการดูดซับเพียง 1.3% ต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งคำนวณได้ว่าต้องใช้เวลาถึง 74 เดือนจึงจะขายได้หมด ทั้งที่ภาพรวมของกรุงเทพฯและปริมณฑลอยู่ที่ 3.1% ต่อเดือน ซึ่งสะท้อนภาวะตลาดบ้านแนวราบในจังหวัดปทุมธานีเริ่มมีภาวะ Oversupply แล้ว ผู้ประกอบการต้องให้ความสนใจในการลงทุนเป็นพิเศษ   ขณะที่ตลาดคอนโดยังคงอยู่ในพื้นที่เป็นหลัก โดยจังหวัดที่มียอดขายสูงสุดอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีจำนวนถึง 5,221 ยูนิต มูลค่า 24,686 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายกว่า 60% ของการขายห้องชุดในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รองลงมาที่จังหวัดปทุมธานี มีจำนวน 2,205 ยูนิต มูลค่า 4,664 ล้านบาท แต่ยูนิตเหลือขาย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2566 และ จังหวัดสมุทรปราการ มีจำนวน 1,227 ยูนิต มูลค่า 4,732 ล้านบาท   แต่อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานครก็ยังมียูนิตเหลือขายสูงสุดถึง 47,225 ยูนิต มูลค่า 225,596 ล้านบาท ทำให้มีอัตราการดูดซับเพียง 3.3% ต่อเดือนเท่านั้น ซึ่งคำนวณได้ว่าต้องใช้เวลาถึง 27 เดือนจึงจะขายได้หมด ทั้งที่ภาพรวมของกรุงเทพฯ และปริมณฑลอยู่ที่ 4.1%/เดือน ขณะที่จังหวัดปทุมธานี มีอัตราการดูดซับถึง 7.3% และสมุทรปราการ มีอัตราดูดซับ 5.3% ต่อเดือน ซึ่งสะท้อนว่า ตลาดคอนโดของกรุงเทพมหานครยังคงมีการแบกอุปทานที่หนักอยู่ หากต้องการลงทุนอาจต้องพิจารณาถึงอุปทานในแต่ละ Segment ของราคาและรูปแบบของแต่ละทำเลอย่างละเอียดเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ผู้ประกอบการฯ คงต้องติดตามดูทิศทางทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และผลกระทบจากปัจจัยลบของภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างใกล้ชิดอีกด้วย     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -REIC เผย ยอดโอนคอนโดต่างชาติ Q1/65 ลดทั้งจำนวน-มูลค่า เหตุลูกค้าจีนยังปิดประเทศ   -REIC เปิด ค่าก่อสร้างบ้าน Q2/66 เพิ่ม 2.1% กระเบื้อง-ค่าแรง  ขึ้นราคา ​หวั่นกระทบต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้น
[PR News] CPANEL มองธุรกิจครึ่งปีหลัง 66 โตต่อเนื่องลุ้น Backlog ปีนี้แตะ 1,800 ล้าน

[PR News] CPANEL มองธุรกิจครึ่งปีหลัง 66 โตต่อเนื่องลุ้น Backlog ปีนี้แตะ 1,800 ล้าน

CPANEL เผยทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลัง 2566 เติบโตต่อเนื่อง ดีมานด์ลูกค้าเดิม-ลูกค้าใหม่พุ่ง พร้อมแตกไลน์รับงานโรงแรม ปั้นพอร์ตคอนโด ความผันผวนทางเศรษฐกิจกระทบต้นทุนก่อสร้าง หนุน Precast Concrete ขาขึ้นลุ้น Backlog แตะ 1,800 ล้านบาท มั่นใจเป้าหมายรายได้ปีนี้โตตามแผน 10-15% ด้านโรงงานแห่งที่ 2 ก่อสร้างตัวอาคารแล้วเสร็จ คาดเริ่มติดตั้งเครื่องจักรภายในปีนี้   นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีแพนเนล จำกัด (มหาชน) หรือ CPANEL ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจครึ่งปีหลังปี 2566 ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากแนวโน้มลูกค้าใหม่ที่มากขึ้น และลูกค้าเดิมมีคำสั่งซื้อซ้ำ รวมถึงแผนขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ เพิ่มเติม ซึ่งช่วงที่ผ่านมาบริษัทรับงานก่อสร้างโรงแรมแห่งแรก มูลค่าประมาณ 13 ล้านบาท รวมถึงงานก่อสร้างคอนโดมิเนียมจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ มูลค่าประมาณ 46 ล้านบาท ซึ่งงานประเภทดังกล่าวถือเป็นโอกาสของบริษัทในการรับงานที่หลากหลายมากขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ยังมีโครงการแนวราบอีก 5 ราย มูลค่าประมาณ 240 ล้านบาท ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog)  ประมาณ 1,400 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาลูกค้าเพิ่มเติมอีกหลายราย  จะส่งผลให้บริษัททำรายได้ตามเป้าหมายเติบโต 10-15% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 433.97 ล้านบาท และคาดว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวสูงขึ้น จากการบริหารจัดการควบคุมต้นทุนการผลิตและการขาย ทำให้เกิด  Economy of Scale   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัว จากภาวะความผันผวนทางเศรษฐกิจ แต่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายยังมีแผนลงทุนในโครงการใหม่ๆ จึงมีความจำเป็นต้องควบคุมต้นทุนที่มีความผันแปร เช่น การขาดแคลนแรงงาน ค่าแรง ค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าพลังงาน และดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น จึงเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ Precast Concrete มีความต้องการที่สูงขึ้น เนื่องจากสามารถตอบโจทย์ความต้องการได้ดี ส่งผลให้มีคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายเดิมและรายใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันที่คาดว่าภายในปีนี้จะมี Backlog 1,800 ล้านบาท นายชาคริต กล่าวอีกว่า ส่วน​ความคืบหน้าโรงงานผลิตแห่งที่ 2 ปัจจุบันก่อสร้างตัวอาคารเสร็จเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเริ่มติดตั้งเครื่องจักรได้ในภายในปีนี้ หลังจากติดตั้งแล้วเสร็จจะเพิ่มกำลังการผลิตอีก 1 เท่าตัว จากปัจจุบันกำลังการผลิต 7.92 แสนตารางเมตร สามารถรองรับความต้องการใช้ Precast Concrete จากแนวโน้มคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“ซีแพนแนล” รับผลบวกมาตรการ LTVหลังดีเวลลอปเปอร์ หันมาขยายตลาดบ้านแนวราบ -5 เทรนด์อุตสาหกรรมก่อสร้างโลกที่แรงไม่หยุด
เซ้าเทิร์นกรุ๊ป ลุยผลิตทรายหิน M-Sand สร้างมูลค่าเพิ่ม-รักษาสิ่งแวดล้อม

เซ้าเทิร์นกรุ๊ป ลุยผลิตทรายหิน M-Sand สร้างมูลค่าเพิ่ม-รักษาสิ่งแวดล้อม

เซ้าเทิร์นกรุ๊ป ชูนโยบายดำเนินธุรกิจรับผิดชอบต่อสังคม-สิ่งแวดล้อม ให้บริษัทลูก “ครีเอทีฟ มิเนอรัล” ติดตั้งเครื่องจักแบรนด์ Propel ผลิตทรายหิน M-Sand สร้างมูลค่าเพิ่มจากทรัพยากรเหลือใช้ ช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม​ กระตุ้นวงการก่อสร้างลดการใช้ทรายธรรมชาติ   นายธีรโชค มุขดี กรรมการผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ กลุ่มบริษัทเซ้าเทิร์นกรุ๊ป เปิดเผยว่า โลกปัจจุบันให้ความสำคัญต่อการประกอบธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม  ร่วมรักษาสภาพแวดล้อม และประหยัดพลังงาน บริษัทที่อยู่ในกลุ่มบริษัทเซ้าเทิร์นกรุ๊ป  อย่างเช่นบริษัท ครีเอทีฟ มิเนอรัล จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตหินก่อสร้าง หินโดโลไมต์และทรายก่อสร้าง ดำเนินการอยู่ในพื้นที่อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ จึงได้ลงทุนติดตั้งเครื่องจักรแบรนด์ Propel เพื่อผลิตทรายหิน M-Sand ป้อนสู่วงการก่อสร้างในพื้นที่จังหวัดกระบี่ พังงา และภูเก็ต ซึ่งจะมีส่วนช่วยทดแทนการใช้ทรายธรรมชาติทั้งทรายบกและทรายแม่น้ำ โดยเครื่องจักรแบรนด์ Propel นำเข้าจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่ามีความชำนาญในการผลิตทรายจากหิน  เพราะอินเดียมีกฎหมายห้ามใช้ทรายจากแม่น้ำมานานแล้ว ขณะที่ประเทศไทยเริ่มมีความเข้มงวดในการควบคุมการดูดทรายจากแม่น้ำ หรือเหล่าประเทศลุ่มแม่น้ำโขงต่างตระหนักถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศน์จากการดูดทรายจากแม่น้ำโขง   นายธีรโชค กล่าวว่า ทางบริษัทมีหินคลุก หินฝุ่น และหิน3/8 ซึ่งมีขนาดที่แตกต่างกันอยู่ เมื่อได้เครื่องจักรที่มีเทคโนโลยีทันสมัยเอาทรัพยากรที่มีอยู่เข้ากระบวนการบดและคัดแยกขนาดให้เป็นทรายที่ได้มาตรฐานสากล สามารถป้อนสู่โรงงานปูนซีเมนต์นครหลวง โรงงานซีแพคเครือปูนซิเมนต์ไทย และผู้รับเหมาทั่วไป จึงเป็นการใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าพร้อมกับเพิ่มมูลค่าผลผลิต โดยการผลิต M-Sand ของบริษัทครีเอทีฟ มิเนอรัล  ขณะนี้กำลังศึกษาต่อยอดไปทำการผลิตที่เหมืองศิลาชัย และเหมือง 39ศิลาทองในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป้าหมายหลักของเราคือ ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด  เพราะแม้แต่น้ำที่ใช้ในกระบวนผลิตเรายังรีไซเคิลได้ถึง 85%  ขณะเดียวกันยังช่วยลดการใช้ทรายธรรมชาติซึ่งมีผลต่อระบบนิเวศน์  มีผลต่อรูปทรงของแม่น้ำ  ตลิ่ง  ขณะที่ทรายบกก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่มีข้อจำกัด    ด้านดร.สมหวัง  วิทยาปัญญานนท์  กรรมการและเลขาธิการสมาคมสินแร่และวัสดุก่อสร้าง ให้ความเห็นว่า  การลงทุนของกลุ่มบริษัทเซ้าเทิร์นกรุ๊ปในการผลิตทรายหิน M-Sand ที่มีคุณภาพมาตรฐานนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของผู้ประกอบการเหมืองแร่ในปัจจุบันที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม  มีส่วนร่วมในการดูแลสิ่งแวดล้อม และร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน  ซึ่งทางสมาคมยังคาดหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะให้ความสำคัญต่อธุรกิจสินแร่ และวัสดุก่อสร้างที่มีปัญหาค้างคาด้านกฎหมายและรอการขับเคลื่อนจากรัฐบาลมานานปี     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66 -REIC เปิด ค่าก่อสร้างบ้าน Q2/66 เพิ่ม 2.1% กระเบื้อง-ค่าแรง  ขึ้นราคา ​หวั่นกระทบต้นทุนก่อสร้างสูงขึ้น -5 เทรนด์อุตสาหกรรมก่อสร้างโลกที่แรงไม่หยุด  
[PR News] ผลิตภัณฑ์ตราเพชร เดินหน้าต่อยอด DIAMOND CAFE สู่บ้านผู้สูงอายุและโฮมออฟฟิศ

[PR News] ผลิตภัณฑ์ตราเพชร เดินหน้าต่อยอด DIAMOND CAFE สู่บ้านผู้สูงอายุและโฮมออฟฟิศ

ผลิตภัณฑ์ตราเพชร ผลิตภัณฑ์ตราเพชร มองตลาดวัสดุก่อสร้างครึ่งปีหลังขยายตัวต่อเนื่อง เดินเกมขยายฐานลูกค้ากลุ่ม SME ต่อเนื่อง มุ่งต่อยอดผลิตภัณฑ์ DIAMOND CAFE สู่ LIVING SPACE อาคารสำเร็จรูปสำหรับพักอาศัยและประกอบธุรกิจ เจาะโฮมออฟฟิศขนาดเล็กและกลุ่มบ้านผู้สูงอายุ          ดร.พิชญานันท์ ล้อวรลักษณ์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการขายและการตลาด บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT  เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดวัสดุก่อสร้างในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ยังมีสัญญาณการเติบโตต่อเนื่อง แม้ในไตรมาส 3/2566 จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของตลาด เนื่องจากก้าวเข้าสู่ฤดูฝนทำให้งานก่อสร้างชะลอตัวลงไป อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่และกลุ่มลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ยังเดินหน้าลงทุนขยายสาขาและพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทฯ จะมุ่งตอกย้ำด้านความหลากหลายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ตราเพชร เพื่อต่อยอดขยายฐานลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการ SME ผ่านผลิตภัณฑ์ DIAMOND CAFE ช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการก่อสร้าง รองรับความต้องการกลุ่มผู้ประกอบการที่ลงทุนเริ่มต้นทำธุรกิจร้านกาแฟ รวมถึงต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่ กลุ่มอาคารสำเร็จรูปสำหรับพักอาศัย และประกอบธุรกิจ (LIVING SPACE) โดยมีการออกแบบอาคารสำนักงานขนาดเล็ก หรือโฮมออฟฟิศและบ้านสำเร็จรูปสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ   โดยสินค้ากลุ่ม LIVING SPACE ได้มีการนำไปจัดแสดงโชว์ภายในงาน Thailand Coffee Fest 2023: Good Coffee For Everyone ที่อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 5-8 เมืองทองธานี ในวันที่ 13-16 กรกฎาคมนี้ เพื่อนำเสนอแพ็กเกจงานก่อสร้าง และรูปแบบร้าน DIAMOND CAFE  & LIVING SPACE ดีไซน์ใหม่ในราคาพิเศษ โดยอาคารสำเร็จรูปสำหรับร้านกาแฟเพียง 529,990 บาท จากปกติ 570,300 บาท และอาคารสำเร็จรูปสำหรับพักอาศัย และประกอบธุรกิจ เริ่มต้นที่ 429,990 บาท จากปกติ 450,300 บาท   สำหรับผู้สนใจหากวางเงินจองสิทธิในการก่อสร้างภายในงาน รับส่วนลดพิเศษเพิ่มอีก 1 เท่าจากยอดเงินจอง หรือรับส่วนลดสูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท หรือหากซื้อ DIAMOND CAFE ตัวโชว์ภายในงาน รับส่วนลดทันที 50% ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าการออกบูทในงานครั้งนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และเป็นโอกาสของ ตราเพชร ตอกย้ำความแข็งแกร่งด้านผลิตภัณฑ์เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นอีกด้วย   สำหรับบริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชรฯ ผู้ผลิตและจำหน่ายระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ และบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์ บอร์ดตกแต่งผนัง อิฐมวลเบา คานทับหลัง เคาน์เตอร์มวลเบาสำเร็จรูป ร้านกาแฟสำเร็จรูป (DIAMOND Cafe) และบริการติดตั้งโครงหลังคา และกระเบื้องหลังคา ภายใต้เครื่องหมายการค้า “ตราเพชร” มีประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจกว่า 38 ปี มีเทคโนโลยีการผลิตทันสมัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และได้รับการรับรองระบบมาตรฐาน ISO9001:2015, ISO14001:2015 และ ISO45001:2018 จากสถาบัน Lloyd's Register Quality Assurance Limited (LRQA) รวมถึงได้รับเครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งยืนยันถึงคุณภาพสินค้า ตลอดจนมีการบริหารจัดการภายในโรงงานที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นทางเลือกที่ดีกว่าด้านวัสดุก่อสร้างและบริการ”   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ตราเพชรเปิดตัวบ้านน็อกดาวน์ 1.2 ล้าน ตอบโจทย์มีสินค้าครบทั้งหลัง