Tag : News

891 ผลลัพธ์
‘เพซ’ ลงนามสัญญาเงินกู้ กับ ‘SCB’ สนับสนุนการซื้อกิจการ ‘ดีน แอนด์ เดลูก้า’ ขยายศักยภาพทางธุรกิจสู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก

‘เพซ’ ลงนามสัญญาเงินกู้ กับ ‘SCB’ สนับสนุนการซื้อกิจการ ‘ดีน แอนด์ เดลูก้า’ ขยายศักยภาพทางธุรกิจสู่แบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก

กรุงเทพฯ (12 ม.ค. 58) เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามสัญญาเงินกู้ด้วยวงเงิน 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 4 พันล้านบาท) กับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (SCB) เพื่อสนับสนุนการซื้อกิจการทั้งหมดของ ‘ดีน แอนด์ เดลูก้า’ แบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่มกูร์เมต์ชั้นนำของโลก เพื่อขยายศักยภาพทางธุรกิจเพิ่มเติมจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์สู่ธุรกิจแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมี่ยม ตอบรับเทรนด์ตลาดโลก โดยลงนามสัญญา ณ ดีน แอนด์ เดลูก้า สาขามหานคร คิวบ์ บมจ. เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอร์เรชั่น นำโดย คุณสรพจน์ เตชะไกรศรี (กลาง) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร,  คุณพรสัณห์ พัฒนสิน (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการบริหาร, คุณนฑา กิตติอักษร (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน และ มร. บายานี ลอรายา (ซ้ายสุด) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ร่วมลงนามสัญญาเงินกู้วงเงินประมาณ 4 พันล้านบาท สนับสนุนการซื้อกิจการ ดีน แอนด์ เดลูก้า กับ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) นำโดย คุณอาทิตย์ นันทวิทยา (ที่ 3 จากขวา) รองผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่, คุณศิโรตม์ วิชยาภัย (ที่ 2 จากขวา) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจตลาดทุน, และ ม.ล. จีรเดช จักรพันธ์ (ขวาสุด) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายธุรกิจขนาดใหญ่ 3 กลุ่มธุรกิจตลาดทุน ณ ดีน แอนด์ เดลูก้า สาขามหานคร คิวบ์
เจ๋ง ! ชั้นวางของพับเก็บได้ เรียบติดผนังไม่มีเกะกะ

เจ๋ง ! ชั้นวางของพับเก็บได้ เรียบติดผนังไม่มีเกะกะ

ชั้นวางของติดผนังเจ๋ง ๆ แบบพับเก็บได้ สามารถใช้งานได้หลากหลายฟังก์ชั่น เมื่อเลิกใช้งานก็แค่พับเก็บให้เรียบกับผนัง เหลือพื้นที่ในบ้านมากขึ้น สำหรับบ้านหรือคอนโดที่มีพื้นที่แคบและไม่อยากได้ชั้นวางของใหญ่ ๆ ให้เกะกะ  ชั้นวางของพับเก็บได้ จาก Ambivalenz  จะเป็นอีกหนึ่งไอเดียเด็ด ๆ ที่พยายามปรับเปลี่ยนดีไซน์ของเฟอร์นิเจอร์ให้มีความทันสมัย กะทัดรัด และสามารถใช้งานได้หลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับพื้นที่ทุกขนาด อีกทั้งยังสามารถพับเก็บได้ง่าย ๆ เพื่อให้ราบเรียบไปกับผนังและเหลือพื้นที่ใช้สอยในบ้านมากขึ้นด้วย เพราะดีไซน์ชั้นวางของพับเก็บได้มาในรูปแบบของไม้กระดานสีขาวติดฝาผนัง ซึ่งถ้าหากไม่ได้ถูกใช้งานก็จะเป็นเหมือนกระดานไม้ทั่วไป แต่เมื่อไรที่ต้องการใช้งาน ก็สามารถเปลี่ยนรูปร่างพร้อมใช้งานได้ทันที แค่เพียงดึงแผ่นกระดานสี่เหลี่ยมด้านในออกมา เพียงเท่านี้ก็สามารถนำสิ่งของต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นของใช้ หนังสือ ของแต่งบ้าน หรืออื่น ๆ ไปวางบนชั้นวางของได้แล้ว อีกทั้งผู้ใช้งานยังสามารถเปลี่ยนชั้นวางของเป็นโต๊ะทำงาน โต๊ะสำหรับรับประทานอาหาร หรือแขวนเสื้อผ้าก็ได้อีกด้วย บวกกับดีไซน์ที่มีความกะทัดรัด จึงช่วยประหยัดพื้นที่ภายในบ้านได้มากทีเดียว ที่มา : home.kapook.com
MAGNOLIAS WATERFRONT RESIDENCES @ ICONSIAM

MAGNOLIAS WATERFRONT RESIDENCES @ ICONSIAM

แมกโนเลียส์เปิดตัวอาคารที่พักอาศัย วันที่ 22 กรกฎาคม 2557 บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดให้ชมห้องตัวอย่างของโครงการคอนโดมีเนียมที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี่เป็นครั้งแรกซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง และตั้งอยู่ในอภิมหาโครงการเมือง แลนด์มาร์คแห่งใหม่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา “ไอคอนสยาม” โดยเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมพรีวิวโครงการล่วงหน้า ก่อนที่จะเปิด Sales Gallery โครงการ แมกโนเลียส์ วอ-เตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ ณ ไอคอนสยาม อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่สื่อมวลชนได้รับเชิญไปเยี่ยมชมสถานที่ก่อสร้างโครงการไอคอนสยาม เนื้อที่ 50 ไร่ ซึ่งจะประกอบด้วย 2 อาณาจักรศูนย์การค้าแห่งยุค ที่ล้ำเลิศที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวแห่งใหม่ทั้ง 7 ที่จะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย โดยได้รับการขนานนามให้เป็น “7 สิ่งมหัศจรรย์แห่งไอคอนสยาม” และ 2 อาคารคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยมาตรฐานระดับโลกที่หรูหราสง่างามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา นายธนวันต์ ชัยวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิ ไอคอนสยาม เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า “ไอคอนสยาม เป็นโครงการแลนด์มาร์คระดับโลก โดยในส่วนที่เป็นโครงการที่พักอาศัย ซึ่งใช้ชื่อว่า แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ ณ ไอคอนสยาม ได้รับการออกแบบอย่างพิถิพิถัน ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ ที่จะทำคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยคุณภาพระดับสูง ที่หรูหราสง่างามที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย เราคาดหวังอย่างเต็มที่ว่าลูกค้าของเรา จะเปรียบเทียบมาตรฐานของโครงการนี้ เทียบชั้นมาตรฐานเดียวกันกับโครงการที่พักอาศัยที่ดีที่สุดในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นโครงการที่พักอาศัยในนิวยอร์ค ลอนดอน โตเกียว หรือเซี่ยงไฮ้” “กรุงเทพฯ ยังมีช่องว่างในตลาดระดับบน สำหรับโครงการที่พักอาศัยระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ที่คุณภาพเหนือระดับ และตั้งอยู่ในทำเลที่ตั้งระดับแลนด์มาร์คที่โลกยอมรับ ซึ่งไอคอนสยามถือเป็นแลนด์มาร์คระดับโลก และยิ่งไปกว่านั้น ยังมีทำเลที่ตั้งริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยงามและมีเสน่ห์น่าประทับใจ ซึ่งแน่นอนว่าทุกห้องพักในโครงการ แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ ณ ไอคอนสยาม จะได้สัมผัสและอิ่มเอมไปกับวิวแม่น้ำที่สวยที่สุด” ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่เยื้องกับโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นตำนาน อาคารคอนโดมิเนียมที่พักอาศัย ถูกออกแบบให้มีส่วนของพื้นที่เปิดโล่ง ในอัตราส่วนที่สูงกว่าโครงการปกติทั่วไป เช่นเดียว กับการออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวริมฝั่งแม่น้ำที่กว้างใหญ่ ซึ่งจะช่วยตอกย้ำความเป็นแลนด์มาร์คระดับประเทศ เมื่อโครงการสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 2560 ข้อมูลทั่วไป ผู้พัฒนาโครงการ : บริษัท ดิ ไอคอนสยาม เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ชื่อโครงการ : แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ ณ ไอคอนสยาม สถานที่ตั้ง : ถนนเจริญนคร, เขตคลองสาน ประเภทโครงการ : อาคารที่พักอาศัย 1 อาคาร 379 ยูนิต 70 ชั้น ขนาดที่ดินของโครงการ : 7-2-63 ไร่ ประเภท และขนาดพื้นที่แต่ละยูนิต : 1 ห้องนอน (60-79 ตร.ม) - 203 ยูนิต 2 ห้องนอน (95-126 ตร.ม) - 107 ยูนิต 3 ห้องนอน (144-222 ตร.ม) - 69 ยูนิต ห้องดูเพล็กซ์ (293 ตร.ม) - 2 ยูนิต ห้องดูเพล็กซ์ สกาย วิลล้า (238 และ 276 ตร.ม) - 2 ยูนิต ห้องสกายวิลล่า (346 ตร.ม) - 4 ยูนิต ราคาขาย  : ราคาเริ่มต้นที่ประมาณ 230,000 บาทต่อตารางเมตร เริ่มการก่อสร้าง : พ.ศ. 2557 กำหนดแล้วเสร็จ : พ.ศ. 2560    
แสนสิริหั่นเป้ายอดขายหมื่นล้าน ศก.ไม่เอื้อ

แสนสิริหั่นเป้ายอดขายหมื่นล้าน ศก.ไม่เอื้อ

บริษัท แสนสิริ มีแผนจะทบทวนเป้ายอดขายในปี 2557 ลงเหลือเพียง 3.6-3.7 หมื่นล้านบาท จากเป้ายอดขายในปีนี้อยู่ที่ 4.8 หมื่นล้านบาท นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บอกว่า เป็นเพราะการเร่งทำยอดขายสูงมากเกินไป เฉพาะ 9 เดือนของปีนี้ ทำยอดขายแล้ว 4.5 หมื่นล้านบาท จึงมีต้นทุนดำเนินงานบริหารจัดการสูงตามไปด้วย ทั้งงบประมาณในการทำตลาด และโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ทำให้มีกำไรลดลง โดยไตรมาสแรกขาดทุน 80 ล้านบาท เพราะเป็นไตรมาสที่เปิดโครงการมาก และมียอดขายสูงถึง 2.8 หมื่นล้านบาท   ส่วนไตรมาส 2 และ 3 คาดว่าจะมีกำไรไตรมาสละ 500 ล้านบาท และไตรมาส 4 คาดจะมีกำไรกว่า 1,000 ล้านบาท หลังจากบริษัทได้พยายามปรับให้ยอดขายมีความสมดุลอยู่ที่ไตรมาสละกว่า 1 หมื่นล้านบาท   "ปีนี้เราตั้งเป้ากำไรไว้ที่ 3,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ดูแล้วน่าจะทำได้ต่ำกว่าเป้า เพราะการขายคอนโดต้องใช้เวลาโอน 18-24 เดือน"   ที่ผ่านมา การก่อสร้างยังดำเนินการไม่ทันยอดขายที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) กว่า 6 หมื่นล้านบาท ไม่เฉพาะงานก่อสร้างที่ตึงมือ ผู้รับเหมายังหายาก หากยอดขายโตไปมากกว่านี้ จะทำให้การก่อสร้างล่าช้าส่งมอบไม่ทันกำหนด   ขณะที่ แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจเติบโตน้อย ส่งผลให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตน้อยตามไปด้วย เพราะว่าการเติบโตของอสังหาฯ จะล้อไปกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) อีกทั้งภาวะเศรษฐกิจโลกก็ไม่ค่อยดีมากนัก ทำให้บริษัทไม่มีนโยบายที่จะไปลงทุนต่างประเทศในระยะสั้นนี้   รุกธุรกิจโรงแรมเมืองท่องเที่ยว   บริษัทได้รุกขยายฐานการลงทุนมาในธุรกิจโรงแรม โดยเน้นทำเลในหัวเมืองท่องเที่ยว เพราะเล็งเห็นแนวโน้มการเติบโตด้านการท่องเที่ยวของไทยสูงมากในปีนี้และปีหน้า จากมาตรการส่งเสริมการลงทุน รวมถึงมาตรการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวของภาครัฐบาล ที่มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวเลขของนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาสูงถึง 22 ล้านคนแล้ว จากเป้าทั้งปีที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย วางไว้ 22 ล้านคน เช่นเดียวกับในจังหวัดภูเก็ต ยอดนักท่องเที่ยว 9 เดือนพุ่งไปถึง 9 ล้านคน จากเป้าทั้งปี 9 ล้านคน อีกทั้งไทยเริ่มเป็น "ฮับเดสซิเนชั่น" ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องการมาเที่ยวมากที่สุด ส่งผลให้ธุรกิจโรงแรมมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง   ทั้งนี้ เพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจ และการสร้างรายได้ต่อเนื่องในระยะยาว บริษัทได้เปิดตัวโรงแรม ภายใต้แบรนด์ "เอสเคปแสนสิริ โฮเทล คอลเลคชั่น” หลังจากเปิดให้บริการโรงแรม "คาซ่า เดล มาเร่" ที่หัวหินมาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว โดยนำโครงการดังกล่าวมาปรับปรุงใหม่ 46 ห้อง แบ่งเป็น 3 แบบ 3 สไตล์ ในรูปแบบ Sea, Sand และ Sun ราคาพักคืนละตั้งแต่ 3,500-4,500 บาท หากเป็นช่วงไฮซีซัน ราคาจะอยู่ที่ 5,000-6,000 บาทต่อคืน เน้นลูกค้ากลุ่มคนไทย 60% และชาวต่างชาติ 40% โดยจะเปิดให้บริการวันที่ 16 ต.ค. นี้   ส่วนอีกหนึ่งทำเล คือ ที่เขาใหญ่ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 10 ไร่ จากทั้งหมด 50 ไร่ ซึ่งอยู่บนพื้นที่เดียวกับโครงการ 23 Degree เป็นอาคารสูง 3 ชั้น ประกอบด้วยห้องพักแบบดีลักซ์ 48 ห้อง และห้องพักในแบบ พูล วิลล่า อีก 6 ห้อง รวมทั้ง เอสเคป พูล วิลล่า อีก 1 หลัง ภายใต้ 4 ธีมให้เลือกพักผ่อน ได้แก่ Wood, Earth, Floral และ Forest โดยราคาห้องพักจะใกล้เคียงกับที่หัวหิน มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายคนไทย 80% และชาวต่างชาติ 20% โดยจะเปิดตัวในต้นปี 2557   "ธุรกิจโรงแรมต้องใช้เวลาคืนทุนนาน 12 ปี ไม่ได้มองเรื่องตัวเลขรายได้ แต่การดำเนินธุรกิจโรงแรมของบริษัท จะเสริมหรือเกื้อหนุนธุรกิจอสังหาฯ โดยผู้ที่อยู่คอนโด สามารถมาใช้บริการที่โรงแรมได้คิดค่าบริการส่วนลด"   จ่อเปิดเพิ่ม3เมืองท่องเที่ยว   ด้านนายอุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัทแสนสิริกล่าวว่า แผนการพัฒนาโรงแรมภายใต้แบรนด์เอสเคป, แสนสิริ โฮเทล คอลเลคชัน ในอนาคต บริษัทอาจเปิดตัวเพิ่มในเมืองเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพอื่นๆ อาทิ ภูเก็ต เชียงใหม่ และ พัทยา เป็นต้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาในจังหวัดที่แสนสิริ จะเปิดตัวโครงการ และเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการท่องเที่ยวที่ดี ซึ่งมองจังหวัดภูเก็ต เป็นลำดับแรก คาดเข้าดำเนินการปีหน้า โดยเป็นโรงแรมสูงไม่เกิน 7 ชั้น ไม่เกิน 50 ห้องพัก ขณะนี้อยู่ในระหว่างการมองหาที่ดิน   ทั้งนี้ คาดว่าหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จะมีกลุ่มลูกค้าจากอาเซียนรวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยว ช่วยกระตุ้นให้ธุรกิจโรงแรมคึกคักขึ้นอีก และเป็นโอกาสดีในการขยายธุรกิจต่อไป   แอล.พี.เอ็น.-เสนาฯยังมั่นใจโตต่อเนื่อง   ด้านผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่มียอดขายรองลงมาอย่าง บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ยังเชื่อมั่นความต้องการตลาดอสังหาฯ ในกลุ่มที่อยู่อาศัยระดับกลางลงล่างว่า ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะแหล่งที่อยู่อาศัย ตามแนวเส้นทางคมนาคม รถไฟฟ้าสายใหม่ ที่กำลังดำเนินการในปัจจุบัน โดยเฉพาะรถไฟชานเมือง เส้นทางสายสีแดงที่วิ่งจากรังสิตเข้าสู่เมืองชั้นใน จะกระตุ้นให้ความต้องการที่อยู่อาศัย ในรอยต่อเมืองเหล่านี้เติบโตสูง   แอล.พี.เอ็น. จึงได้ตัดสินใจ เปิดโครงการคอนโดโครงการใหญ่ ระดับชุมชนเมืองย่อมๆ อย่าง โครงการ "ลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต คลอง1" จำนวนถึง 10,000 ยูนิต เป็นการพัฒนาที่ดินแปลงใหญ่ถึง 100 ไร่ ขึ้นเป็นอาคารชุด 8 ชั้น จำนวน 50 อาคาร   ส่วนสถานการณ์ปีหน้า ต้องรอดูภาพรวมเศรษฐกิจอีกครั้ง แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี และการเติบโตของบริษัท จะขยายไปตามทำเลใหม่ๆ อาจจะเป็นในกรุงเทพฯ หรือหัวเมืองต่างจังหวัด ที่เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง และเตรียมแผนพัฒนาโครงการใหญ่ระดับ 10,000 ยูนิต ในทำเลอื่นๆ ของกรุงเทพฯ ด้วย เป็นการรองรับเมืองที่ขยายตัวตามเส้นทางคมนาคมขนส่งใหม่ๆ   ขณะที่ นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้ไม่ได้เลวร้าย แต่มีปัญหาลูกค้าติดเครดิตบูโร จึงขอสินเชื่อไม่ผ่าน ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาหนี้ครัวเรือน แต่ปีหน้าเมื่อภาครัฐมีการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2 ล้านล้านบาท จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้ามาในระบบมากขึ้น ทำให้กำลังซื้อภาพรวมดีขึ้น  
ศก.ซบ-แบงก์เข้มปล่อยกู้ คอนโดฯใหม่แผ่ว

ศก.ซบ-แบงก์เข้มปล่อยกู้ คอนโดฯใหม่แผ่ว

ซีบีริชาร์ดฯเผยตลาดคอนโดในเมืองไตรมาส 4"ชะลอตัว" คาดปีนี้มีซัพพลายใหม่ 7 พันยูนิต ลดลงจากทุกปีเปิด 9 พันยูนิต ผลพวงศก.ซบ-แบงก์เข้มปล่อยกู้ นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบี ริชาร์ดเอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดคอนโดมีเนียมไตรมาส 4 ซัพพลายใหม่ออกสู่ตลาด "ชะลอตัว" โดยเฉพาะย่านใจกลางเมือง เช่น สุขุมวิท สีลม สาทร เนื่องจากที่ดินมีจำกัดและราคาที่ดินปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉลี่ยมีซัพพลายเข้าสู่ตลาดปีละ 9,000 ยูนิต แต่คาดว่าปีนี้จะมีซัพพลายใหม่เพียง 7,000 ยูนิต คิดเป็นซัพพลายที่อยู่ย่านสาทรเพียง 18% ส่วนใหญ่เป็นสำนักงานให้เช่า ซัพพลายที่อยู่อาศัยมีน้อยโดยเฉพาะที่ติดถนนใหญ่ เชื่อว่ายังมีความต้องการทั้งผู้ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและซื้อเพื่อให้เช่า ในปีหน้า คาดว่าตลาดคอนโด มีการชะลอเปิดตัวโครงการใหม่ เพราะผู้ประกอบการรายกลางและเล็ก จะไม่มีการลงทุน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ธนาคารเข้มงวดการปล่อยกู้ รวมถึงการหาที่ดินในการพัฒนายาก เหลือแต่ผู้ประกอบการรายใหญ่ คาดซัพพลายใหม่ออกสู่ตลาด 4 หมื่นยูนิตในปีหน้า จากซัพพลายรวมอยู่ที่ 4.7 หมื่นยูนิต แบ่งเป็น คอนโดพื้นที่ในเมือง 7,000 ยูนิต พื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ 4 หมื่นยูนิต ส่วนราคาขายคอนโดตลาดลักชัวรี่ และซูเปอร์ลักชัวรี่ มีแนวโน้มปรับราคาขึ้น 10% ส่วนตลาดระดับกลาง คาดว่าจะไม่มีการปรับราคา แต่จะปรับลดขนาดของห้องเล็กลง เพื่อขายราคาเดิม "การแข่งขันของตลาดคอนโดจากนี้ เน้นแข่งในรูปแบบของโปรดักส์มากกว่าโดยมุ่งพัฒนาโปรดักส์ที่มีการแข่งขันไม่สูง และมีช่องว่างตลาดอยู่" นายกฤษณ์ ณรงค์เดช ประธานบริษัท เคพีเอ็น กรุ๊ป คอปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ตลาดคอนโดในเมืองยังเติบโตได้ดี ประกอบการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 จะทำให้ความต้องการคอนโดเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มกลาง-บน ส่วนใหญ่อยู่แนวรถไฟฟ้า ล่าสุด บริษัทได้เปิดโครงการคอนโดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ภายใต้ชื่อ เดอะ ดิโพลแมท สาทร มูลค่า 2,700 ล้านบาท พื้นที่ 1 ไร่ครึ่ง เป็นอาคารสูง 38 ชั้น จำนวน 192 ยูนิต ขนาด 40-203 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 7.9 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 2 แสนบาทต่อ ตร.ม. โดยเตรียมงบประชาสัมพันธ์กว่า 40 ล้านบาท พร้อมดึง สน-ยุกต์ ส่งไพศาล เป็นพรีเซนเตอร์ ชคาดปิดขายภายในสิ้นปีนี้ ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2559
แอลพีเอ็นคงเป้ารายได้ปีนี้ที่1.5หมื่นลบ.

แอลพีเอ็นคงเป้ารายได้ปีนี้ที่1.5หมื่นลบ.

แอลพีเอ็นคงเป้ารายได้ปีนี้ 1.5 หมื่นลบ.ยอดขาย 2 หมื่นลบ. เตรียมเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่า 5.8 พันลบ. นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) คงเป้ารายได้ปีนี้ไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอโอน (backlog)ประมาณ 8 พันล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ โดยรายได้ในครึ่งปีหลัง หรือ 8 เดือนที่ผ่านมาทำได้แล้วจำนวน 6,200 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 5.8 พันล้านบาท โดยบริษัทมีเป้าหมายยอดขายในปีนี้อยู่ที่ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งในช่วง 8 เดือนแรกทำยอดขายได้แล้ว 1.8 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ คือ โครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1 ที่มีกำหนดเปิดพรีเซลในวันที่ 12 ต.ค.นี้ มูลค่าโครงการ 2,800 ล้านบาท และโครงการ ลุมพินี สุขุมวิท 24 มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท ขนาด 350 ยูนิต และในปี 57 บริษัทคาดว่าจะเปิดโครงการใหม่อีกจำนวน 5 โครงการ "เรามองว่าแม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวลง หรือขาดการกระตุ้นจากภาครัฐ บรรยากาศอาจดูไม่สดใส แต่เชื่อว่าไม่ได้เลวร้ายกว่าที่เราเจอในปี 40 ซึ่งกลุ่มลูกค้าของเรายังมีกำลังซื้ออยู่ในฐานที่สูงอยู่ และเชื่อว่าธุรกิจยังเดินหน้าต่อไปได้ โดยครึ่งปีแรกเราเปิดตัวโครงการไปแล้ว 6 โครงการ ถือว่าขายได้ 100% และจากตัวเลขของลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชมโครงการยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก เนื่องจากลูกค้าให้ความสนใจพอสมควร"นายโอภาส กล่าว ในการเปิดพรีเซลโครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1 วันที่ 12 ต.ค.นี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายวันแรกไว้ 4,000 ล้านบาท จากการเปิดขายจำนวน 14 อาคาร โดยมีราคาเริ่มต้น 639,000 บาท เป็นห้องชุดขนาน 21.50-26.0 ตารางเมตร เจาะกลุ่มคนวัยทำงานและกลุ่มที่ต้องการขยายครอบครัว ซึ่งโครงการจะแล้วเสร็จและสามารถโอนได้ในปลายปี 58 อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวพัฒนาภายใต้แนวคิดชุมชนเมือง(ทาวน์ชิป) บริษัทจึงได้เตรียมส่วนสันทนาการที่หลากหลายและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับความต้องการของผู้ที่อยู่อาศัยในโครงการ อาทิ ร้านสะดวกซื้อเซเว่น-อีเลฟเว่น 3 จุด, ศูนย์การค้าระดับชุมชนเมืองน่าอยู่, รถตู้ชุมชน,ศูนย์ประชาคม ฯลฯ
ต่างชาติซุ่มปักฐานคอนโดพัทยา

ต่างชาติซุ่มปักฐานคอนโดพัทยา

ต่างชาติซุ่มปักฐานคอนโดฯพัทยา "ไฮทส์ โฮลดิ้งส์"ทุนอิสราเอล-ยุโรป เดินหน้า 15 โครงการรวด ทั้งหาดจอมเทียน เขาพระตำหนัก พัทยาเหนือ พัทยา เมื่อสิบปีที่แล้ว กับปัจจุบันมีภาพที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างอาคารสูง ทั้งเพื่ออยู่อาศัยและพาณิชยกรรม โรงแรม ศูนย์การค้า เปิดตัวใหม่กันอย่างคึกคัก ทั้งที่ผู้ประกอบการคนไทยจากส่วนกลาง ที่รุกเข้าลงทุนในพัทยามีจำนวนไม่มากนัก นับได้ไม่ถึง 10 ราย แต่กลับพบภาพการพัฒนาอาคารสูงในพัทยาเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำรวจล่าสุดเมื่อต้นปีนี้ พบตัวเลขว่า เฉพาะคอนโดมิเนียมในพัทยา (อ.บางละมุง) จังหวัดชลบุรี มีจำนวนการเปิดขายใหม่กว่า 4.2 หมื่นยูนิต มากเป็น "อันดับสอง" รองจากกรุงเทพฯ และเป็น "อันดับหนึ่ง" ในจังหวัดชลบุรี มีสัดส่วนมากกว่า 80% ของคอนโดใหม่ทั้งหมดในจังหวัดชลบุรี ในจำนวนโครงการใหม่เหล่านี้ พบว่ามีไม่น้อยเป็นการลงทุนจากผู้ประกอบการ "ต่างชาติ" ซึ่งรุกเข้ามาร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน ในลักษณะ "ร่วมทุน" ตั้งบริษัทผู้ประกอบการ แยกเป็นรายแปลงแต่ละโครงการ โดยเจ้าของที่ดินในฐานะเป็นผู้ถือหุ้นฝ่ายคนไทย ตามกฎหมาย 51% ตีจากมูลค่าราคาที่ดินเป็นสัดส่วนหุ้น ในขณะที่ทุนต่างชาติจะรับหน้าที่เป็นผู้พัฒนาโครงการ บริหารการตลาด และงานก่อสร้าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาและขาย โดยเน้นลูกค้าชาวต่างชาติเป็นหลัก ซึ่งยึดกรอบกฎหมายพ.ร.บ.อาคารชุด ที่เปิดให้ต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ได้ไม่เกิน 49% ที่เหลือ 51% ของพื้นที่ขายต้องถือโดยคนไทย หรือบริษัทนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย "ไฮทส์โฮลดิ้งส์" ทุนอิสราเอล ผุด 15 โครงการ นางสาวนฤทัย โพธิ์เดช ผู้ช่วยกรรมการบริหาร บริษัท ไฮทส์ โฮลดิ้งส์ จำกัด บริษัทผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยแบบคอนโดมิเนียมริมทะเลรายใหญ่พัทยา เปิดเผยว่า กลุ่มไฮทส์โฮลดิ้งส์ เป็นบริษัทลงทุนอสังหาฯ ของนักธุรกิจชาวอิสราเอล และยุโรป ที่เข้ามาลงทุนในพัทยา ตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาโครงการ และขายให้กับลูกค้าต่างชาติ ตามสัดส่วนที่กฎหมายกำหนด โดยมีทั้งโครงการที่หาดจอมเทียน เขาพระตำหนัก พัทยาใต้ ล่าสุดเปิดโครงการใหม่พัทยาเหนือ ที่หาดวงศ์อมาตย์ ซอย 16 เป็นโครงการที่ 14 และเตรียมพัฒนาโครงการที่ 15 ในเร็วๆ นี้ "รูปแบบการลงทุน จะเป็นลักษณะการร่วมทุน ระหว่าง บริษัท ไฮทส์ โฮลดิ้งส์ ซึ่งมีฐานะเป็นโฮลดิ้งส์ คอมปะนี เข้าไปจับมือกับเจ้าของที่ดิน ที่ทำเลดีในพัทยา เพื่อนำมาพัฒนาโครงการในรูปแบบที่ต่างกันไปตามความเหมาะสม และเงื่อนไขกฎหมายแต่ละทำเล โดยเจ้าของที่ดินเป็นผู้ถือหุ้นฝ่ายคนไทย ขณะที่ ไฮทส์โฮลดิ้งส์ จะเป็นทั้งผู้ถือหุ้นและพัฒนาโครงการ รวมทั้งการทำตลาดและบริหารการก่อสร้าง" นางสาวนฤทัย เผย โดยโครงการที่เปิดตัวแห่งที่ 14 ในพัทยา คือ โครงการ "วงศ์อมาตย์ ทาวเวอร์" เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์โมเดิร์นลักชัวรี สูง 38 ชั้น อยู่ห่างจากชายหาดวงศ์อมาตย์ 80 เมตร พัฒนาบนพื้นที่โครงการ 2 ไร่ มีห้องชุดทั้งสิ้น 391 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,285 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นที่ 10.5 ล้านบาท โครงการนี้ก่อสร้างไปแล้วเกินกว่า 50% และมียอดขายแล้วกว่าครึ่งเช่นกัน ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวแนะนำโครงการเพื่อขยายฐานลูกค้าคนไทยมากขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้เน้นเฉพาะลูกค้าต่างชาติ ซึ่งผู้บริหารไฮทส์ โฮลดิ้งส์ เผยว่าลูกค้าต่างชาติที่ซื้อโครงการมากที่สุดคือ กลุ่มรัสเซียและยุโรป เนื่องจากคุ้นเคยกับผู้ประกอบการ ที่เป็นชาวอิสราเอล และมีทีมขายที่เป็นตัวแทน กลุ่มต่างชาติที่อยู่ในไทย ทั้งรัสเซียและยุโรป นอกจากนี้ ไฮทส์ โฮลดิ้งส์ ยังอยู่ระหว่างก่อสร้างคอนโดอีก 12 โครงการ เช่น โครงการคอนโดมิเนียมทำเลเขาพระตำหนัก ได้แก่ ปาร์ค รอยัล 1-3, โครงการที่หาดจอมเทียน ได้แก่ ลากูน่าเบย์ 1-2, ลากูน่า จอมเทียน มัลดีฟส์ เป็นต้น สำหรับรูปแบบการขายที่ผ่านมา ลูกค้าต่างชาติต้องทยอยชำระเงิน จากวันแรกที่จองจนถึงวันโอน ไม่น้อยกว่า 90% จึงทำสัญญาโอนตามกฎหมาย ต่างจากลูกค้าคนไทยที่ส่วนใหญ่ซื้อโดยการใช้สินเชื่อจากธนาคารเป็นหลัก ล่าสุดได้ประสานธนาคารไทยพาณิชย์ ส่งเจ้าหน้าที่มาประสานงานกับลูกค้าโดยตรง ผู้บริหารไฮทส์ โฮลดิ้งส์ เผยว่าทางกลุ่มยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนคอนโดในพัทยาต่อเนื่อง เพราะมั่นใจว่าทำเลที่มีศักยภาพดีของเมืองชายทะเลแห่งนี้ ยังเป็นที่ต้องการของลูกค้าต่างชาติ เนื่องจากสนนราคาไม่แพง โครงการล่าสุดที่กลุ่มเปิดขาย ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 8 หมื่นบาทต่อตร.ม. เทียบแล้วยังต่ำกว่าหลายเมืองท่องเที่ยวที่ติดอันดับโลก และยังต่ำกว่าราคาขายคอนโดของผู้ประกอบการคนไทยด้วยซ้ำไป อสังหาฯ "ชลบุรี" เปิดกว่า 9.6 หมื่นหน่วย ข้อมูลจากการสำรวจ "โครงการที่อยู่อาศัย จังหวัดชายทะเล จังหวัดชลบุรี" ของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จากงานสัมมนา “วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย จังหวัดชายทะเล เมื่อช่วงต้นปี 2556 ระบุว่า จังหวัดชลบุรีมีหน่วยที่อยู่อาศัย ที่อยู่ระหว่างการขายทั้งสิ้นถึง 96,600 หน่วย แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 39,800 หน่วย อาคารชุด 56,400 หน่วย และบ้านพักตากอากาศ 400 หน่วย เมื่อลงรายละเอียดทำเลที่ตั้ง จะพบว่าโครงการจัดสรรใหม่เหล่านี้ อยู่ในอำเภอศรีราชา ราว 13,000 หน่วย ในอำเภอบางละมุง (พัทยา) ราว 11,200 หน่วย ในอำเภอเมือง 8,100 หน่วย ในอำเภอสัตหีบ 4,700 หน่วย และในอำเภอพานทอง ราว 2,900 หน่วย หากแบ่งตามประเภท พบว่า เป็นบ้านเดี่ยว 19,500 หน่วย เป็นทาวน์เฮ้าส์ 11,700 หน่วย เป็นบ้านแฝด 5,000 หน่วย และอาคารพาณิชย์ 3,500 หน่วย ส่วนหน่วยที่เหลือเป็นที่ดินเปล่า ซึ่งทุกอำเภอมีบ้านเดี่ยวมากกว่าทาวน์เฮ้าส์ ยกเว้นอำเภอเมืองชลบุรี มีทาวน์เฮ้าส์มากกว่าบ้านเดี่ยว ส่วนอัตราการดูดซับของบ้านจัดสรร หรืออัตราการขายออกของอสังหาฯ ในชลบุรี อยู่ที่ 6.3% หรือหมายความว่าหากไม่มีการเปิดขายหน่วยบ้านจัดสรรใหม่เพิ่มเติม ตลาดจะขายได้หมดภายในระยะเวลา 16 เดือนโดยประมาณ ในจำนวนโครงการใหม่ดังกล่าว พบว่า เป็นหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้าง 4,100 หน่วย อยู่ระหว่างก่อสร้าง 12,800 หน่วย ส่วนใหญ่สร้างเสร็จแล้ว 23,000 หน่วย จากหน่วยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ มีสินค้าเหลือขาย หรือเป็นบ้านว่างอยู่ราว 2,100 หน่วย คอนโด "พัทยา" กว่า 4.2 หมื่นหน่วย สำหรับประเภทอาคารชุด หรือ คอนโด พบว่าอยู่ระหว่างการขายทั้งสิ้นถึง 56,400 หน่วย มาจาก 217 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 170,200 ล้านบาท ขายได้แล้วประมาณ 37,400 หน่วย หรือขายได้แล้ว 66% ของทั้งหมด มูลค่าที่ขายได้ราว 113,800 ล้านบาท ยังเหลือขาย 19,000 หน่วย มูลค่ารวม 56,400 ล้านบาท จากหน่วยในผังโครงการอาคารชุดทั้งหมด แบ่งตามพื้นที่ พบว่า อยู่ในอำเภอบางละมุง (รวมพัทยา) 42,400 หน่วย ในอำเภอเมือง 8,500 หน่วย อำเภอสัตหีบ 3,600 หน่วย และ อำเภอศรีราชา 1,900 หน่วย ส่วนอัตราการดูดซับของห้องชุดในจังหวัดชลบุรี อยู่ที่ 7.8% หรือหมายความว่าหากไม่มีการเปิดขายหน่วยห้องชุดใหม่เลย ตลาดจะขายได้หมดภายในระยะเวลาประมาณ 13 เดือน สถานะของการก่อสร้าง พบว่า เป็นหน่วยที่ยังไม่ก่อสร้าง 12,100 หน่วย อยู่ระหว่างก่อสร้าง 32,300 หน่วย และก่อสร้างแล้วเสร็จ 11,900 หน่วย จากหน่วยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ มีเหลือขายห้องว่างราว 2,300 หน่วย สำหรับกลุ่มคอนโดมิเนียม ในปีนี้มีประเด็นน่าสนใจ เมื่อพบว่าได้มีผู้ประกอบการจากส่วนกลางหลายราย ทั้ง บมจ.แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์, บมจ.ศุภาลัย ต่างประกาศความสำเร็จในการขายหมด ภายในเวลาอันรวดเร็ว สวนทางกับผู้ประกอบการคอนโดจากส่วนกลาง ที่รุกลงทุนในพัทยาอยู่แล้ว อย่าง บมจ.ไรมอนแลนด์ ซึ่งเปิดคอนโดใหม่ในพัทยาใต้ บนเขาพระตำหนัก ด้วยอัตราการขายอย่างค่อยเป็นค่อยไป
แสนสิริเผยยอดขาย 9 เดือนกว่า3.7หมื่นล้านบาท

แสนสิริเผยยอดขาย 9 เดือนกว่า3.7หมื่นล้านบาท

แสนสิริ เผยยอดขาย 9 เดือนกว่า 3.7 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 80% ของเป้าทั้งปี เผยยอดรอรับรู้รายได้ 5 ปี สูงถึง 6.5 หมื่นล้านบาท นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริจำกัด (มหาชน) (SIRI)กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนของปีนี้ บริษัทมียอดขาย (พรีเซล) สูงถึง 37,000 ล้านบาท นับเป็นยอดขายสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และคิดเป็นประมาณ 80% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 48,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขายในช่วง 9 เดือนที่ประมาณ 26,000 ล้านบาท ทั้งนี้ แบ่งเป็นยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสแรก มูลค่ารวมกว่า 21,000 ล้านบาท และยอดขายในช่วงไตรมาสสอง 8,000 ล้านบาท รวมทั้งยอดขายในช่วงไตรมาสสาม ที่บริษัทสามารถปิดการขายได้อีก 8,000 ล้านบาท ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงครองยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างรอรับรู้รายได้ (Presale backlog)ในอีก 5 ปีข้างหน้าสูงถึงประมาณ 65,457 ล้านบาทแล้ว นับเป็นยอดขายล่วงหน้าที่สูงที่สุดในระบบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในขณะนี้เช่นเดียวกัน รวมทั้งยังนับเป็นยอดรอรับรู้รายได้ที่สูงที่สุดที่บริษัทเคยทำได้ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจ สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/56 บริษัทจะมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ อีกประมาณ 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,700 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการมูลค่ารวมประมาณ 5,700 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยว 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,200 ล้านบาท รวมทั้งการพัฒนาทาวน์เฮาส์อีก 1 โครงการ มูลค่ารวม 800 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายไว้ประมาณ 11,000 ล้านบาท
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ 6 เดือนข้างหน้าต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ 6 เดือนข้างหน้าต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ 6 เดือนข้างหน้าต่ำสุดในรอบ 5 สัปดาห์ ผวาปัญหาการเมือง-ศก.ซบ-ขาดแคลนแรงงาน-ต้นทุนวัสดุพุ่ง ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ไตรมาส 3 ปี 2556 มีผู้ประกอบการตอบแบบสอบถาม 166 บริษัท เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 30 บริษัท และบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ 136 บริษัท ในการคำนวณดัชนีรวมจะให้น้ำหนักบริษัทจดทะเบียนและบริษัทไม่จดทะเบียนเท่ากัน นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในภาวะปัจจุบันมีค่าเท่ากับ 52.5 ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 2 ปี 2556 ซึ่งดัชนีมีค่าเท่ากับ 54.7 แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งดัชนีมีค่าเท่ากับ 51.3 เมื่อแยกประเภทผู้ประกอบการ พบว่า ผู้ประกอบการที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันเท่ากับ 57.8 ปรับลดลงจากไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีค่าดัชนี 59.2 ส่วนผู้ประกอบการที่ไม่ใช่บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นในภาวะปัจจุบันเท่ากับ 47.3 ปรับลดลงจากไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีค่าดัชนี 50.1 ทั้งนี้ ค่าดัชนีไตรมาส 3 ปี 2556 สูงกว่า 50.0 แสดงว่าผู้ประกอบการยังมีความเห็นว่าภาวะตลาดยังดี แต่ดัชนีปรับลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แสดงว่าผู้ประกอบการไม่มั่นใจมากเท่ากับเมื่อไตรมาสก่อนหน้า โดยไตรมาส 3 ปี 2556 ผู้ประกอบการมีความกังวลใจในด้านผลประกอบการ ยอดขาย การลงทุน การจ้างงาน อีกทั้งต้นทุนการประกอบการเพิ่มขึ้นจากราคาวัสดุ ปัจจัยเศรษฐกิจโดยภาพรวมที่มีสัญญาณชะลอตัว การเข้าสู่ฤดูฝน ทำให้มีความกังวลต่อปัญหาอุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้น อีกทั้งผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจในการซื้อที่อยู่อาศัย สำหรับดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้า มีค่าเท่ากับ 60.4 ปรับลดลงจากไตรมาสที่แล้ว ซึ่งมีค่าเท่ากับ 67.4 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2555 ซึ่งดัชนีมีค่าเท่ากับ 69.6 โดยในส่วนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีค่าดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้า เท่ากับ 64.4 ปรับลดลงจากไตรมาสที่แล้วซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 72.0 ส่วนบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีค่าดัชนีความคาดหวังในอีก 6 เดือนข้างหน้า มีค่าดัชนีเท่ากับ 56.4 ปรับลดลงจากไตรมาสที่แล้วซึ่งมีค่าดัชนีเท่ากับ 62.7 อย่างไรก็ตาม ดัชนีความคาดหวังใน 6 เดือนข้างหน้า ปรับลดลงจากไตรมาสที่แล้วเช่นกัน และเป็นค่าดัชนีต่ำที่สุดในรอบ 5 ไตรมาส โดยผู้ประกอบการมีความกังวลมากขึ้นต่ออนาคต ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สถานการณ์การเมืองที่ส่อเค้าความยุ่งยาก ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือน การขาดแคลนแรงงานและผู้รับเหมา ราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มสูง