Tag : News

2376 ผลลัพธ์
ศรีพันวาเปิดตัว The Sky Series เวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่า หลังละ 250 ล้าน

ศรีพันวาเปิดตัว The Sky Series เวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่า หลังละ 250 ล้าน

ศรีพันวา ผุดโปรเจกต์ The Sky Series เวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่าเพียง 4 หลัง บนที่ดินกว่า 2 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,000 ลบ. ภายใต้แนวคิด Modern Natural ชูสไตล์การออกแบบที่มีเอกลักษณ์จากสถาปนิกชั้นนำ บริษัทแฮบบิต้า เพื่อสร้างความเป็น World Class Tourist Destination ของจังหวัดภูเก็ต ราคาเริ่มต้น 250 ลบ.     The Sky Series นายดิฐวัฒน์ อิสสระ กรรมการ บริษัท ชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตในปีนี้ว่ามีทิศทางการเติบโตขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาภูเก็ตยังได้รับการยกย่องว่าเป็น World Class Tourist Destination ของโลก และในปัจจุบันกำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็น World Class Investment Destination ของนักลงทุนไทยและต่างชาติที่สำคัญอีกด้วย โดยเห็นได้ชัดจากจำนวนนักท่องเที่ยว นักลงทุนต่างชาติ ที่เดินทางเข้าสู่จังหวัดภูเก็ตเป็นจำนวนมากขึ้น ซึ่ง ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปีนี้มีนักท่องเที่ยวมากว่า 8.2 ล้านคน และคาดว่า ณ สิ้นไตรมาส 4 ของปีจะมีนักท่องเที่ยวสูงถึง 14 ล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย ออสเตรเลีย อินเดีย จีน และคาซัคสถาน ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต ในทุกพื้นที่ คึกคักเป็นอย่างมาก     “จากภาพรวมการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ตที่ฟื้นตัว ทำให้ภาคธุรกิจอสังหาฯ โรงแรม เร่งปรับตัว พร้อมพัฒนาโปรดักส์ที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านพักตากอากาศ โดยเฉพาะบ้านพักตากอากาศซึ่งค่อนข้างได้รับความสนใจซื้อจากเศรษฐี-นักลงทุน ทั้งคนไทยและต่างชาติอย่างมาก โดยเฉพาะบ้านพักตากอากาศตามแนวชายหาด วิวทะเล ที่เงียบสงบ ให้ความเป็นธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันที่ดินบริเวณนี้เริ่มหายากและมีราคาที่สูง บวกกับการปรับตัวของราคาที่ดินในพื้นที่เกาะภูเก็ตในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด” นายดิฐวัฒน์ กล่าว   ล่าสุด ศรีพันวา ภูเก็ต เดินหน้าเปิดที่ดินส่วนเรสซิเดนซ์ผืนสุดท้ายของโครงการจำนวนกว่า 2 ไร่ 1,000 ล้านบาท เปิดตัว  The Sky Series เรสซิเดนซ์ 4 หลังในโครงการ ศรีพันวา ภายใต้แนวคิด Modern Natural ชูจุดเด่นด้านงานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะจากสถาปนิกชั้นนำอย่างแฮบบิตา ในการสร้างให้สถานที่แห่งนี้คือจุดหมายปลายทางที่หลายคนใฝ่ฝันต้องมาเยือน ประกอบกับศักยภาพของทำเลที่ยังคงคอนเซ็ปต์การอนุรักษ์ธรรมชาติ เพราะเรสซิเดนซ์แต่ละหลังจะเน้นให้ผู้อยู่อาศัยได้เห็นทั้งวิวทะเล ต้นไม้ใหญ่ที่สมบูรณ์ อีกทั้งบางแอเรียจะได้สัมผัสกับบรรยากาศแบบซีวิว บางแอเรียจะได้สัมผัสบรรยากาศในแบบสกายวิว ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากการออกแบบ Baba Nest ภายในโครงการศรีพันวา ที่มีชื่อเสียงดังไกลระดับโลก มาย่อส่วนให้เรสซิเดนซ์ทั้ง 4 หลัง มี Baba Nest ส่วนตัว พร้อมสระว่ายน้ำ ให้สามารถขึ้นมาเทควิวที่สวยงาม ชมพระทิตย์ตก นอกจากนี้การออกแบบพื้นที่ใช้สอยยังถูกออกแบบให้พื้นที่ภายนอกและภายในเชื่อมต่อเป็นพื้นที่เดียวกัน ให้บรรยากาศของธรรมชาติ ท้องฟ้า ทะเล พื้นที่สีเขียว ให้เราได้อยู่กับธรรมชาติตลอดเวลา   “จากการพัฒนาโครงการของชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เรามีความเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี และสามารถพัฒนาทุกโปรดักส์ออกมาตอบโจทย์ตรงตามความต้องการของกลุ่มลูกค้าในทุกเซกเมนต์ โดยโปรเจกต์ The Sky Series นับว่าเป็นสัญลักษณ์ความเป็นเวิลด์คลาสลักชัวรี่วิลล่า ที่จะเป็นแลนด์มาร์คที่โดดเด่น และสร้างความภาคภูมิใจในการครอบครอง โดย The Sky Series เป็นเรสซิเดนซ์ 3 ชั้น 5 ห้องนอน มีจำนวนเพียง 4 หลังสุดท้าย ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 1,200 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 250 ล้านบาท โดยทุกๆ หลัง จะคงคอนเซ็ปต์ในการอนุรักษ์ธรรมชาติ ต้นไม้ใหญ่สำคัญๆ ที่มีอยู่ อาทิต้นมะกอก ต้นมะค่า ที่ยังคงเก็บไว้ ดังนั้นการออกแบบของเรซิเดนซ์ทั้ง 4 หลัง จะไม่เหมือนกัน เพราะเราจะรักษาต้นไม้ดั่งเดิมไว้ และทำบ้านให้อยู่โอบล้อมธรรมชาติ โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วงเดือนมิถุนายน 2567” นายดิฐวัฒน์ กล่าว   ทั้งนี้จากจุดเด่นทั้งทำเลที่เป็นแลนด์มาร์ค งานออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ผสมผสานกับงานอินทีเรียดีไซน์ที่สื่อถึงความเป็น Craft และ Unique จะเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความภูมิใจที่เหนือระดับให้กับผู้อยู่อาศัยที่ได้ครอบครองวิลล่าหรูที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโครงการศรีพันวา ภูเก็ต นอกจากนี้ยังจะได้รับบริการ สิ่งอำนวยความสะดวก สุดเอ็กซ์คลูซีฟจากโรงแรมที่ขึ้นชื่อระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร, รูฟท็อปบาร์, สปา ที่พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง   สำหรับโครงการศรีพันวา ภูเก็ต เป็นโครงการบ้านพักตากอากาศ และโรงแรมสุดหรู แบบพูลวิลล่า ตั้งอยู่บนหาดส่วนตัว ปลายสุดของแหลมพันวา ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะภูเก็ต บนเนื้อที่ 85 ไร่ วิลล่าของศรีพันวา แฝงตัวอยู่ท่ามกลางแมกไม้ และบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว ทั้งยังเปิดให้เห็นทะเลแสนสวยของท้องทะเลอันดามันพร้อมหมู่เกาะล้อมรอบ วิลล่าทุกหลังมีสระว่ายน้ำส่วนตัว   ศรีพันวาได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในห้ารีสอร์ทชั้นนำของประเทศไทย และยังได้รับการคัดเลือก ให้เป็นโรงแรมที่มีเสน่ห์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก วิลล่าออกแบบในสไตล์ทรอปิคอลร่วมสมัย ตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลสูงประมาณ 40-60 เมตร มีสิ่งอำนวยความสะดวก และกิจกรรมสันทนาการมากมาย เพียบพร้อมไปด้วย 6 ร้านอาหาร, 2 รูฟท็อปบาร์, สปา และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ครบครัน พร้อมให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง  และโซนใหม่ล่าสุด "Yaya" ห้องพัก Pool Suite 24 ห้อง พร้อมห้อง Convention ความจุ 400 คน รวมถึง Baba Soul Cafe และ รูฟท๊อปแห่งใหม่ TU Bar ชมพระอาทิตย์ตกบนชั้นดาดฟ้าที่วิวดีที่สุด แลนด์มาร์คแห่งใหม่ที่ทุกคนต้องมา   บทความน่าสนใจ ชาญอิสสระ อวดโฉม โครงการ ดิ อิสสระ สาทร ครั้งแรก ชู Luxury Urbanature ชาญอิสสระ แตกไลน์ 2 ธุรกิจ “เวลเนส-คริปโตฯ” พร้อมขนบ้าน-คอนโดหั่นราคา 50%
ESTAR ลุยทำเลทอง  บ้านฉาง – ระยอง เปิดโครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

ESTAR ลุยทำเลทอง บ้านฉาง – ระยอง เปิดโครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท

  บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดความสำเร็จ 5 โครงการฝั่งตะวันออก ทำนิวไฮ อัพเดท กวาดรายได้รวมแล้วกว่า 700 ล้านบาท พร้อมเร่งเครื่องท้ายปีเตรียมเปิดตัว โครงการน้องใหม่ ‘เวลาน่า ไฮด์’ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท ทำเลติดสนามกอล์ฟ ใกล้สนามบิน อู่ตะเภา   ESTAR นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ สามารถคว้าความสำเร็จในการปิดยอดขายโครงการพื้นที่ฝั่งระยอง – บ้านฉาง อาทิ โครง การบ้านสินทวี การ์เด้นท์ 2 โครงการแฮมเล็ต 3 โครงการเวลาน่า กอล์ฟ เฮ้าส์ ที่ปัจจุบันปิดโครงการเป็นที่เรียบร้อย แล้ว เช่นเดียวกันกับโครงการ บรีซ แอท อีสเทอร์น สตาร์ ฟอเรสโต้ ที่ตอนนี้ยอดขายอยู่ที่ 99% ซึ่งคาดว่าจะปิดได้ สำเร็จภายในสิ้นปีนี้ สำหรับโครงการเวลาน่า อะโมด้า อู่ตะเภา - บ้านฉาง ยอดขายตอนนี้ขึ้นมาที่ 96% และในส่วน ของโครงการแกรนด์ เวลาน่า ยอดขายตอนนี้อยู่ที่ 80% นอกจากนี้ จากที่ทราบกันในปีนี้ บริษัทฯ ยังมีโครงการที่เปิด ใหม่ โครงการเธร่า พรีม่า บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ที่ตอนนี้ทำยอดขายได้แล้ว 75% ของ เฟสแรก เช่นเดียวกับโครงการบรีซ ชาเล่ต์ บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ที่ตอนนี้ยอดขายแตะ อยู่ที่ 80% ของเฟสแรก   จากการสำรวจพื้นที่ทำเลในบริเวณรัศมีรอบโครงการอีสเทอร์น สตาร์ พบว่า โซนระยอง - บ้านฉาง มีศักยภาพทำเลสูง เนื่องจากมีนิคมอุตสาหกรรมและประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น อีกทั้งยังมีเส้นทางคมนาคมที่หลากหลาย โดย เฉพาะสนามบินนานาชาติอู่ตะเภาที่ตอนนี้กำลังจะมีโปรเจกต์ในการสร้างส่วนต่อขยาย อีกทั้งยังมีโครงการใน อนาคตที่เป็นเมกะโปรเจกต์ รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เชื่อม กทม. สู่ EEC คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมดภายในปี 2029 การเดินทางที่สะดวก ทันสมัย จะดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น การจ้างงานในอุตสาหกรรมต่อเนื่องกว่า 1 แสนตำแหน่ง เกิดเมืองใหม่ที่เป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ตามสองข้างทางที่ รถไฟความเร็วสูงวิ่งผ่าน หากมีเมกะโปรเจกต์เหล่านี้มาก็จะสร้างแหล่งงานมากในพื้นที่ ทำให้ความต้องการ อสังหาริมทรัพย์มีอย่างต่อเนื่อง     ในปีนี้ โครงการฝั่งระยอง - บ้านฉาง ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ โดยให้ความสนใจเข้ามา เยี่ยมชมโครงการอีสเทอร์น สตาร์ เพิ่มขึ้น เห็นได้จากกระแสตอบรับสำหรับโครงการเปิดใหม่อย่าง โครงการบรีซ ชาเล่ต์ บูรพาพัฒน์ – สุขุมวิท บ้านเดี่ยว 2 ชั้น หน้ากว้าง พื้นที่โครงการ 27-0-66.3 ไร่ จำนวนบ้าน 134 หลัง สไตล์ Modern English Garden Home ในราคาเริ่มต้น 3.89 ล้านบาท ซึ่งกำลังเป็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากสามารถทำ ยอดจองได้สูง พร้อมกับโครงการบ้านในสนามกอล์ฟที่เป็นไฮไลท์ โครงการอะโมด้า อู่ตะเภา - บ้านฉาง บ้านเดี่ยว พร้อมอยู่ 2 ชั้น จำนวน 104 ยูนิต บนที่ดินกว่า 27-1-55.80 ไร่ ในสนามกอล์ฟ สไตล์โมเดิร์นคลาสสิค รูปแบบ Timeless Design ราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาท ที่ตอนนี้ยอดขายกระโดดมาสูงเกือบจะ 100% ภายในระยะเวลาเพียง ไม่กี่เดือน และใกล้ปิดการขายโครงการได้ในเร็วๆ นี้   ซึ่งจากปัจจัยบวกต่างๆ ตลอดปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุผลให้ บริษัทฯ ลงทุนขยายโครงการใหม่เพิ่มในพื้นที่เดียวกัน เพื่อตอบรับความต้องการผู้อยู่อาศัย ในชื่อ โครงการเวลาน่า ไฮด์ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 128 ยูนิต มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท บนคอนเซ็ปต์ Modern Classic สะท้อนความงดงาม สมบูรณ์แบบของการใช้ชีวิต โดยการออกแบบตัวบ้านและโครงการได้รับแรงบันดาลใจจาก สถาปัตยกรรมยุโรป และยังคงเน้นกลุ่มเป้าหมาย เป็นกลุ่มผู้บริหาร บริษัทในนิคมฯ มาบตาพุด กลุ่มหมอ และพนักงานสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา ตั้งแต่ช่วงวัยทำงาน อายุ 30-55 ปี รายได้เดือนละ 7 หมื่น - 3 แสนบาท ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่ามี กำลังซื้อศักยภาพสูง และโอกาสรีเจ็กต์เรตอยู่ในเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมาก ทั้งนี้ปัจจุบัน โครงการเวลาน่า ไฮด์ อู่ตะเภา - บ้านฉาง อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ดำเนินการแล้วกว่า 60% โดยคาดว่า แล้วจะเสร็จพร้อมเปิดตัวในช่วงต้นปีหน้า ไตรมาส 1/2024     อย่างไรก็ตาม ภาพรวมสำหรับโครงการอีสตาร์ในพื้นที่ระยอง ปีนี้คาดว่าจะทำนิวไฮของบริษัทฯ กว่า 700 ล้านบาท นอกจากนี้ในปีหน้าบริษัทฯ ยังมีการลงทุนเพิ่มสำหรับขยายโครงการ เพื่อตอบรับผู้อยู่อาศัย ในทุกเซกเมนท์โดยมีจะการออกโปรดักส์ในราคาเริ่มตั้งแต่ 2 ล้านบาทต้นๆ ไปจนถึง 12 ล้านบาท ซึ่งตามคาดการณ์ จะสามารถรับรู้รายได้ อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านบาท นายไพโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย   บทความน่าสนใจ ESTAR  เปิดชม ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39  ยอดนิยมในย่าน ขายแล้วกว่า 70% ESTAR เปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ ไพโรจน์ วัฒนวโรดม ปรับใหญ่รุกตลาดบ้าน
ทอสเท็ม เปิดโรงงาน 400 ไร่ โชว์ศักยภาพการผลิต และชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ (TOSTEM Innovation Center)

ทอสเท็ม เปิดโรงงาน 400 ไร่ โชว์ศักยภาพการผลิต และชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ (TOSTEM Innovation Center)

TOSTEM เปิดให้ชมศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม (TOSTEM Innovation Center) ที่โชว์จุดเด่นของการดีไซน์ ออกแบบ ประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ พร้อมเปิดโรงงานโชว์นวัตกรรมและแทคโนโลยีในการผลิต นวัตกรรมที่ทันสมัยของผลิตภัณฑ์ ที่มีศักยภาพการผลิตประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมครบวงจร ตั้งแต่การขึ้นรูปอะลูมิเนียม ไปจนถึงการชุบเคลือบผิวด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ที่เป็นหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมการชุบสีอะลูมิเนียมด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD   TOSTEM Innovation Center นายวิชา วรสายัณห์ ลีดเดอร์ กลุ่มธุรกิจเฮาส์ซิ่งเทคโนโลยี บริษัท แอล เอช ที เอเซีย เซลส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมแบรนด์ ทอสเท็ม (TOSTEM) เปิดเผยว่า ศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม (TOSTEM Innovation Center) เป็นศูนย์นวัตกรรมที่จัดสร้างขึ้นเพื่อแสดงผลิตภัณฑ์ของ TOSTEM โดยมีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอจุดเด่นของการออกแบบ ประสิทธิภาพและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการติดตั้งบานประตู-หน้าต่างของ TOSTEM ไว้ภายใน TOSTEM Innovation Center แห่งนี้   โดยผลิตภัณฑ์ที่จัดแสดงภายใน มีทั้งประตู หน้าต่าง รั้ว ประตูรั้วที่ผลิตจากอะลูมิเนียมภายใต้แบรนด์ TOSTEM ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในตลาดอาเซียน นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และสินค้าจากประเทศญี่ปุ่นให้ลูกค้าโครงการ สถาปนิก ได้สัมผัสก่อนใคร เพื่อให้ผู้รับชมมีความเข้าใจ พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ให้พนักงานทุกคนของ TOSTEM และตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม สามารถเข้ามาเรียนรู้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้อีกด้วย   ภายใน Innovation Center แบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1.Material Board (Disassemble) เป็นบอร์ดสำหรับอธิบายคุณสมบัติ และส่วนประกอบต่างๆ ของประตูและหน้าต่างจากทอสเท็มแต่ละซีรีส์ ทำให้ลูกค้าสามารถเห็นรายละเอียดแต่ละชิ้นได้อย่างชัดเจน นำไปสู่การเลือกบานประตูและหน้าต่างที่เหมาะสมกับโครงการ และเลือกประตู-หน้าต่างที่เหมาะสมกับผู้อยู่อาศัย     2.ส่วนตรงกลางโชว์รูม ซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น โดย TOSTEM ภูมิใจนำเสนอ Panoramic Door ที่ได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงโปร่งสบาย สามารถมองเห็นวิวด้านนอกได้ในมุมกว้าง มาพร้อมกับฟังก์ชันมือจับที่สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย     นอกจากนี้ภายใน TOSTEM Innovation Center ยังมีผลิตภัณฑ์ประตูหน้าต่างรุ่นต่างๆ ที่วางจำหน่ายในตลาดอาเซียน และยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของประเทศญี่ปุ่นที่จัดแสดงอยู่ภายในเพื่อให้เข้าถึงนวัตกรรมและเป็นไอเดียให้กับผู้เข้าชม เช่น GIESTA Door Smart Lock ซึ่งเป็นประตูที่มีความพิเศษกว่ารุ่นที่วางจำหน่ายในตลาดอาเซียน โดยสามารถปิด – เปิดผ่านสมาร์ทโฟน หรือ รีโมทได้ และบานเกล็ดอัตโนมัติที่ควบคุมการปิด-เปิดได้ด้วยรีโมทคอนโทรล และภายใน ยังมีห้องฝึกอบรมการติดตั้งผลิตภัณฑ์ TOSTEM สำหรับอบรมตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ TOSTEM ให้สามารถติดตั้งผลิตภัณฑ์ของทอสเท็มได้อย่างถูกต้อง และเกิดประสิทธิภาพในการใช้งานสูงสุด โดยผู้อบรมเป็นทีมงานผู้เชี่ยวชาญจากทอสเท็ม   สำหรับ ศูนย์นวัตกรรมและแสดงผลิตภัณฑ์ทอสเท็ม  ตั้งอยู่ภายในพื้นที่โรงงานของบริษัท ทอสเท็ม ไทย จำกัด (TOSTEM THAI CO., LTD.) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม และผลิตภัณฑ์สำหรับอาคารที่อยู่อาศัยและบานประตูหน้าต่างชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ด้วยกระบวนการผลิตแบบครบวงจรตั้งแต่การรีดขึ้นรูปอะลูมิเนียมผ่านแม่พิมพ์ หรือที่เรียกว่า ALUMINIUM EXTRUSION ไปจนถึงการชุบเคลือบผิวด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD   อีกทั้งยังมีระบบ PRE ENGINEERED การผลิตผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปพร้อมประกอบจากโรงงานโดยตรง ซึ่งทำให้ประตูหน้าต่างของทอสเท็มมีคุณภาพสม่ำเสมอกันทุกชุด สามารถผลิตได้ตามขนาดที่ลูกค้าต้องการ และศูนย์ปฎิบัติการทดสอบประสิทธิภาพทอสเท็มไทย หรือ Quality Performance Test Center (QPTC) ในการทดสอบวัสดุอะลูมิเนียมสำหรับอุตสาหกรรม โดยให้ความใส่ใจในเรื่องของมาตรฐาน รวมถึงความปลอดภัยต่อทุกชิ้นงาน และส่วนสำคัญของการส่งต่อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ที่มาจากการใส่ใจตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต จนถึงทุกกระบวนการจนกว่าจะส่งมอบให้ลูกค้า     ทอสเท็ม ไทย โรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมนวนคร จังหวัดปทุมธานี บนพื้นที่กว่า  539,000 ตารางเมตร หรือราว 400 ไร่ มีพนักงานกว่า 6,000 คน นับว่าเป็นโรงงานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของทอสเท็มจากทั่วโลกและมีกำลังการผลิตสูงที่สุด  7,000 ตันต่อเดือน มีการผลิตงานตลอด 24 ชั่วโมง มีสินค้าว่างจำหน่ายในประเทศไทย 52% และส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น 48%   สำหรับประเทศไทยว่างจำหน่ายผ่านตัวแทนที่ผ่านการอบรมจากผู้เชี่ยวชาญจาก ทอสเท็ม เท่านั้น ปัจจุบันมี 150 ตัวแทนอยู่ทุกจังหวัดทั่วประเทศ และพัฒนาต่อเนื่องเพื่อก้าวสู่ผู้นำธุรกิจผู้ผลิตประตูหน้าต่างอะลูมิเนียม ที่ทันสมัยด้วยศักกยภาพของเครื่องจักรและกำลังคน พร้อมมาตรฐานที่ดีก่อนสินค้าถึงมือผู้บริโภค บทความน่าสนใจ ทอสเท็มเปิดตัว “ATIS” นวัตกรรมประตูหน้าต่างรวม 2 ฟังก์ชั่นในหนึ่งบาน ‘ทอสเท็ม’ นำเสนอ ‘บานประตูและประตูรั้วอะลูมิเนียมสำเร็จรูป’ รุ่นใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการหลากหลายของผู้อยู่อาศัย วินด์เซอร์ เปิดตัวระบบประตูหน้าต่างรุ่น “Smart Series”
เซ็นทรัลพัฒนา เผยธุรกิจ Central Pattana Residence เติบโตต่อเนื่อง เดินหน้าตลาดลักซูรี

เซ็นทรัลพัฒนา เผยธุรกิจ Central Pattana Residence เติบโตต่อเนื่อง เดินหน้าตลาดลักซูรี

Central Pattana Residence บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาธุรกิจ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล, ที่พักอาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ เผยแผนธุรกิจ Central Pattana Residence ช่วง Q3-Q4/2566 ขยายพอร์ตลักซูรี เดินหน้ารุกโครงการแนวราบ เปิดตัวบ้าน แบรนด์ใหม่ล่าสุด “BAAN NIRADA” (บ้านนิรดา) ราคาเริ่มต้นประมาณ 20-30 ล้านบาท   Central Pattana Residence ปักหมุดทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ ได้แก่ พระราม 2 , รวมถึงอุทยาน-อักษะ และเอกชัย- วงแหวน  เชื่อมั่นดีมานด์กลุ่มลูกค้าระดับบนที่ยังคงมีกำลังซื้อต่อเนื่อง โดยคาดว่าปลายปี 66 จะสามารถปิดยอดขายรวมกันทั้งปีได้ 6,000 ล้านบาท  พบกับงานใหญ่แห่งปี ‘Imagining Better Living’ วันที่ 14-17 ก.ย. 66 นี้ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 1 รวบรวมบ้าน, คอนโดฯ และทาวน์โฮมทั้งหมด 18 โครงการ หลากหลายทำเลคุณภาพทั่วไทย พร้อมโปรโมชั่นดีที่สุดแห่งปี และข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองภายในงานเท่านั้น ลดสูงสุด 6,000,000 ล้านบาท* ฟรี ทุกค่าใช้จ่ายวันโอนฯ รับคะแนน The 1 สูงสุด 100,000 คะแนน     คุณวัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “Central Pattana Residence เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง เราลงทุนทั้งเมืองหลัก และเมืองรองขยายโครงการที่อยู่อาศัยครอบคลุมกว่า 18 จังหวัด ซึ่งมีส่วนช่วยส่งเสริมการกระจายความเจริญ สร้างย่าน เมือง ชุมชน สังคม รวมไปถึงสร้างประเทศอีกด้วย โดยโครงการของเรามีจุดแข็งในด้านทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุดในทุกย่านและเมือง อีกทั้งยังเชื่อมต่อและ Synergy กับส่วนอื่นๆ ใน The Ecosystem for All ของเรา ทั้งส่วน Retail ที่เป็นหัวใจสำคัญ และในบางทำเลยังเชื่อมกับส่วนของโรงแรม และอาคารสำนักงาน รวมกันเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่มีศักยภาพสูง ดังนั้น เราจึงสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยได้อย่างครอบคลุมทั้ง 360 องศา ไม่ว่าจะเป็นการ Shop-Eat-Work-Play-Stay-Live ตลอด 24 ชม.”   “เรามุ่งมั่นสร้างโครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในฐานะผู้นำอสังหาริมทรัพย์ของเรา และการออกแบบพื้นที่ Place Making เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน เชื่อมโยงไปถึง People และ Planet ดูแลผู้คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ทุกโครงการจึงเน้นการสร้างสังคมคุณภาพและสภาพแวดล้อมที่ดี สร้างประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในทุกมิติ พร้อมส่งมอบบ้านและคอนโดมิเนียมที่มีคุณภาพ ด้วยฟังก์ชั่นที่ครบครันและได้มาตรฐาน มีความปลอดภัย เอื้อต่อการใช้ชีวิตของทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย” คุณวัลยากล่าว คุณกรี เดชชัย President, Residential Business บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “สำหรับแผนปี 2566 นี้เราเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 7 โครงการ ได้แก่ คอนโดฯ 3 โครงการทั้ง ESCENT ที่เพชรบุรี, บุรีรัมย์ และบางนา รวมทั้งโครงการบ้าน 4 โครงการ ทั้งบ้านนิรติ นครศรีฯ, และบ้านนิรดา แบรนด์ล่าสุดใน  3 ทำเลคือ พระราม 2, อุทยาน-อักษะ, เอกชัย-วงแหวน โดยคาดว่าปลายปีนี้จะปิดยอดขายรวมกันทั้งปี 6,000 ล้านบาท ทั้งนี้มองว่าแนวโน้มไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ตลาดอสังหาฯ ยังคงมีทิศทางที่ดี โดยมีปัจจัยบวกจากความต้องการด้านที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่ยังคงมีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง”   เตรียมพบกับ “บ้านนิรดา พระราม 2” เปิดตัวในวันที่ 7-8 ตุลาคม 2566 นี้ บ้านเดี่ยวหรูสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน ติดถนนพระราม 2 ทำเลศักยภาพ เชื่อมต่อย่านเศรษฐกิจ พระราม 3-ยานนาวา-สาทร ได้อย่างสะดวก และยังสามารถเชื่อมต่อระหว่างจังหวัดปริมณฑลทั้งจังหวัดนครปฐม ผ่าน ถ.พุทธสาคร รวมถึงเป็น South Gate ที่จะเดินทางไปยังภาคใต้ ตอบโจทย์ทุก ไลฟ์สไตล์การใช้ชิวิตทุกรูปแบบ รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทั้ง ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 2, Tops Club, เซ็นทรัล มหาชัย รวมถึงแหล่งไลฟ์สไตล์ โรงเรียนนานาชาติ และสถานพยาบาลชั้นนำ เปิดโมเดลธุรกิจและกลยุทธ์แข็งแกร่ง Central Pattana Residence จากจุดเริ่มต้นของ RESIDENCE ด้วยโครงการภายใต้แบรนด์ ESCENT คอนโดฯ ติดศูนย์การค้า ที่ได้รับการตอบรับดีทั่วประเทศ พัฒนาสู่แบรนด์ Phyll คอนโดฯ ระดับพรีเมี่ยม การผนึกกำลังกับทั้งศูนย์การค้าเซ็นทรัล และศูนย์การค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เรียกได้ว่ามี Insight มองเห็น Behavior และ Domestic Demand จริง ทั่วประเทศ มีความพร้อมในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ทุกระดับราคา ภายใต้ Brand และ Product ที่หลากหลายทั้งแนวราบและแนวสูง โดยพัฒนาตั้งแต่โครงการแรกจนถึงสิ้นปี 66 นี้ มีจำนวนโครงการรวมทั้งหมด 35 โครงการ ครอบคลุม 18 จังหวัด โดยมีโครงการที่ขายเสร็จสิ้นไปแล้วกว่า 12 โครงการ ทั้งนี้ในด้าน Sustainability “บ้านและคอนโดฯ เซ็นทรัล” ยังคำนึงถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตที่ดี บ้านทุกหลังเตรียมจุดรองรับ EV CHARGER สำหรับรถยนตร์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทุกรุ่น การใช้เฟอร์นิเจอร์ในพื้นที่ส่วนกลางจากวัสดุรีไซเคิล รวมถึงมีการร่วมมือกับ SCG เลือกใช้วัสดุก่อสร้าง และผลิตภัณฑ์ที่มีฉลาก SCG Green Choice มาใช้ในโครงการ ผนวกกับนวัตกรรม SCG Active AIR Quality ที่ช่วยสร้างอากาศดี ด้วยการกรองฝุ่น PM 2.5 ลดเชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัสเข้าสู่บ้าน และติดตั้งแผง Solar Cell บนหลังคาอาคารสโมสร และไฟ Solar Cell ทางเดินในพื้นที่ส่วนกลาง   บทความน่าสนใจ เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050 เซ็นทรัลพัฒนา ลงทุน 13,900 ล้าน ปั้นแลนด์มาร์ก 3 บิ๊กมิกซ์ยูส
AWC จับมือ 2C2P แพลตฟอร์มชำระเงินระดับโลก ปักหมุดที่เอ็มไพร์ทาวเวอร์

AWC จับมือ 2C2P แพลตฟอร์มชำระเงินระดับโลก ปักหมุดที่เอ็มไพร์ทาวเวอร์

         บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดบ้านเอ็มไพร์ทาวเวอร์ต้อนรับบริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด (2C2P) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการชำระเงินระดับโลก เปิดสำนักงานแห่งใหม่ที่อาคาร ‘เอ็มไพร์’ อาคารสำนักงานไลฟ์สไตล์สเปซ และทำความร่วมมือของทั้งสององค์กรที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับดิจิทัลอีโคซิสเต็ม ตอบโจทย์บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก สร้างพื้นที่สนับสนุนให้เกิดการเชื่อมต่อองค์กร ผู้คน และชุมชน ผ่านคอนเซ็ปต์ ‘Co-Living Collective: Empower Future’ ที่เป็นเอกลักษณ์ของอาคาร ‘เอ็มไพร์’ พร้อมนำเสนอ AWC Infinite Lifestyle (AWI) โปรแกรมสิทธิประโยชน์สำหรับผู้เช่า ตอบโจทย์ทั้งด้านการทำงานและการพักผ่อนได้อย่างลงตัว โดยอาคาร ‘เอ็มไพร์’ จะสร้างพื้นที่ Co-Living ให้เกิดการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้เช่า ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย รวมถึงการส่งเสริมการแบ่งปันความรู้ผ่านการจัดกิจกรรม เวิร์คช็อป สัมมนา และการสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกัน AWC จับมือ 2C2P AWC จับมือ 2C2P           นายปิยชาติ รัตน์ประสาทพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด (2C2P) กล่าวว่า “วิสัยทัศน์ของ 2c2p คือพัฒนาและให้บริการระบบชำระเงินแบบครบวงจร โดยสร้างโครงสร้างพื้นฐานของการชำระเงินผ่านเครือข่ายการชำระเงินที่เป็นพันธมิตรกับเรา เพื่อให้ผู้ใช้มีทางเลือกที่หลากหลายในการชำระเงิน เพราะการชำระเงินถือเป็นส่วนหลักเพื่อสนับสนุนระบบนิเวศแบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่ 2C2P เราเชื่อว่าบุคลากรคือรากฐานของความสำเร็จของเรา เราดูแลพนักงานของเราและพยายามหาวิธีการเพื่อให้เกิดความสมดุลที่ดีระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว ดังนั้นเราจึงเลือก อาคาร 'เอ็มไพร์' เป็นที่ตั้งสำนักงานแห่งใหม่ของเราเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัท การตัดสินใจของเรามีรากฐานมาจากความเชื่อมั่นของเราที่มีต่ออาคาร 'เอ็มไพร์' ที่มีการจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางเพื่อให้ผู้เช่าได้ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น พื้นที่ทำงานแบบไม่เป็นทางการ ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเราในการผสมผสานงานและชีวิตของพนักงานของเราเข้าด้วยกัน และให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน”   “อาคาร ‘เอ็มไพร์’ ยังมีพื้นที่ส่วนกลางที่สามารถใช้ทำงานร่วมกันแบบเอ็กซ์คลูซีฟ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย บวกกับอยู่บนทำเลที่ตั้งใจกลางเมือง และเพียบพร้อมด้วยสิทธิพิเศษมากมายที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการทำงานของพนักงาน 2C2P ด้วยข้อเสนอสิทธิพิเศษของ AWI (AWC Infinite Lifestyle) ที่นอกจากสามารถใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกของ อาคาร 'เอ็มไพร์’ ร่วมกันอันเป็นอภิสิทธิเฉพาะผู้เช่าเท่านั้น ทางผุ้บริหาร พนักงานของ 2C2P ยังได้สิทธิในการรับบริการพิเศษจากเครือข่ายแบรนด์และพันธมิตรของ AWC ในส่วนของโรงแรม ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงานด้วยเช่นกัน จึงทำให้ทีม 2C2P ลงตัวสำหรับการเลือกที่จะขยับขยายมาที่อาคาร 'เอ็มไพร์”                                ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “AWC และ 2C2P มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการมุ่งสร้างสถานที่ทำงานแห่งความสุขให้กับพนักงาน เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ 2C2P สู่อาคาร ‘เอ็มไพร์’ และเชื่อมั่นว่าความแข็งแกร่งด้านนวัตกรรมการชำระเงินดิจิทัลของ 2C2P ผสานกับคอนเซ็ปต์ ‘Co-Living Collective: Empower Future’ ของอาคาร ‘เอ็มไพร์’ ที่ออกแบบเพื่อรองรับเทรนด์ที่ผสานการทำงานและไลฟ์สไตล์อย่างลงตัว จะตอบโจทย์ความต้องการของคนทำงานและองค์กรรุ่นใหม่ได้อย่างดี และเป็นพื้นที่เสริมความแข็งแกร่งและการเติบโตให้ดิจิทัลอีโคซิสเต็มอย่างไม่มีขีดจำกัด นอกจากนี้ภายใต้แนวคิด Co-Living ยังสร้างพื้นที่สำหรับกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์และความคิดสร้างสรรค์เหมือนกัน มารวมตัวเพื่อสร้างคุณค่าและเติบโตไปด้วยกัน โดยผู้เช่าและพนักงานจะมีโอกาสในการทำความรู้จักและสร้างการเชื่อมต่อเพื่อสร้างการเติบโตและพัฒนาโอกาสทางธุรกิจร่วมกันกับองค์กรอื่นภายในอาคารผ่านแพลตฟอร์มทั้งออฟไลน์-ออนไลน์ รวมถึงการแบ่งปันทักษะ ความรู้ร่วมกัน ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่จัดโดย AWC อาทิ เวิร์คช็อป การสัมมนา โดยความร่วมมือระหว่าง AWC และ 2C2P ครั้งนี้ ยังตอบสนองความต้องการของพนักงานในอีโคซิสเต็มได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการเติบโตอย่างไร้ขอบเขต พร้อมร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้กับพนักงานร่วมกัน”   ทั้งนี้ สำนักงานแห่งใหม่ของ 2C2P จะเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคมปี 2567 มีพื้นที่รวมกว่า 3,000 ตารางเมตร รองรับพนักงานได้กว่า 300 คน โดยอาคาร ‘เอ็มไพร์’ เป็นสำนักงานระดับเกรดเอ ตั้งอยู่ใจกลาง CBD ย่านสาทร ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีใน Co-Living และ Collaborative Spaces ที่ใหญ่ที่สุด พร้อมด้วยการออกแบบตกแต่งที่ผสานพื้นที่ทำงานและพื้นที่ด้านไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว เชื่อมต่อผู้เช่าและพนักงานของบริษัทชั้นนำเข้าในอีโคซิสเต็ม นอกจากนี้ AWC ยังตอบสนองไลฟ์สไตล์การทำงานของผู้เช่าอาคาร ‘เอ็มไพร์’ พร้อมไลฟ์สไตล์สุดพิเศษ ผ่าน AWC Infinite Lifestyle ลอยัลตี้โปรแกรมที่มอบสิทธิประโยชน์ สินค้าและบริการในโครงการคุณภาพของ AWC ทั้งโรงแรม อาคารสำนักงานและคอมมูนิตี้ชอปปิ้งมอลล์ เพื่อส่งเสริมดิจิทัลอีโคซิสเต็มในอาคาร ‘เอ็มไพร์’ แบบครบวงจร “AWC ยังได้ร่วมมือกับ 2C2P ในการพัฒนา Pikul แอปพลิเคชันอสังหาริมทรัพย์เพื่อไลฟ์สไตล์ตัวใหม่ของเรา ซึ่งจะเป็นแพลตฟอร์มบูรณาการแบบ Omnichannel ที่ไม่เหมือนใคร โดยจะรวมประสบการณ์ออนไลน์และออฟไลน์สุดพิเศษต่าง ๆ ที่ดีที่สุดเข้าด้วยกัน ทั้งการขาย (Sales) การส่งของขวัญ (Gifting) และเกมมิฟิเคชั่นเพื่อแลกรางวัล (Gamification) ในแอปพลิเคชัน โดย Pikul ยังทำงานร่วมกับ 2C2P ในการพัฒนาช่องทางการชำระเงิน e-wallet และ prepaid-card แพลตฟอร์มการชำระเงินที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับ Pikul โดยเฉพาะ เพื่อเสริมศักยภาพและประสบการณ์การใช้ AWC Infinite Lifestyle”   “AWC มุ่งพัฒนาอาคาร ‘เอ็มไพร์’ เป็นอาคารสำนักงานระดับสากลที่รวมบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมาย พร้อมด้วยเครือข่ายดิจิทัลที่เป็นแกนหลักของทุกอุตสาหกรรมธุรกิจ เพื่อสร้างอีโคซิสเต็มที่รวมพลังตอบโจทย์การเติบโตทางธุรกิจ รวมถึงความสุขและไลฟ์สไตล์ของทุกคน ผ่านโมเดลรูปแบบใหม่ Co-Living ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดย AWC เชิญชวนบริษัทชั้นนำระดับโลกมาร่วมส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน ขยายเครือข่าย และสร้างความแข็งแกร่งทางด้านโซลูชั่นระหว่างอุตสาหกรรมด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของอีโคซิส สร้างประโยชน์และคุณค่าให้กับทุกคน” นางวัลลภา กล่าวสรุป   บทความน่าสนใจ [PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ
อรสิรินโฮลดิ้ง เตรียมขาย IPO 406.5 ล้านหุ้นใน SET หลังก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง

อรสิรินโฮลดิ้ง เตรียมขาย IPO 406.5 ล้านหุ้นใน SET หลังก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง

ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง อรสิริน โฮลดิ้ง ดีเวลลอปเปอร์จากเชียงใหม่ เตรียมขายไอพีโอ 406.5 ล้านหุ้น เข้า SET ผนึก APM ที่ปรึกษาการเงิน เดินสายโรดโชว์นำเสนอข้อมูลแก่กองทุน นักลงทุนสถาบันต่างประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง พร้อมพบนักลงทุนรายย่อย 15 จังหวัดทั่วประเทศ มั่นใจพื้นฐานแกร่ง นักลงทุนตอบรับดี   ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ ORN เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ได้เริ่มนับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ หรือ ไฟลิ่ง เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) ของ ORN ในวันที่ 23 สิงหาคม 2566  เป็นที่เรียบร้อยแล้ว   โดยบริษัทจะเดินหน้านำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้กับกองทุน นักลงทุนสถาบัน ต่างประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ เขตบริหารพิเศษฮ่องกง ในวันที่ 23-25 สิงหาคม 2566 สำหรับการนำเสนอข้อมูลในครั้งนี้คาดว่าจะได้รับความสนใจจากกองทุนต่างประเทศเป็นอย่างดี  เนื่องจาก ORN เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบและแนวสูงในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่มายาวนานกว่า 17 ปี และมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมั่นคง ด้านนายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร APM กล่าวว่า ปัจจุบัน อรสิริน  หรือ ORN มีทุนจดทะเบียน 1,500 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 1,500 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาทและมีทุนที่เรียกชำระแล้ว 1,093.50 ล้านบาท โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 406.50 ล้านหุ้น หรือ 27.10% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)   โดยหลังจากนี้ เตรียมเดินหน้านำเสนอข้อมูลธุรกิจของบริษัท พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนกลุ่มต่างๆ และผู้ที่สนใจ โดยจะทำการโรดโชว์ในประเทศทั้งหมด 15 จังหวัดในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2566  รวมถึงนำเสนอข้อมูลรายละเอียดหลักทรัพย์ แก่เจ้าหน้าที่นักวิเคราะห์ เจ้าหน้าที่การตลาด ณ ห้องค้าบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายในปีนี้   ขณะที่นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) หรือ ORN กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจของบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง เสริมสร้างศักยภาพทางการเงิน เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคต   ปัจจุบัน ORN ประกอบธุรกิจการลงทุนถือหุ้นบริษัทอื่น (Holding Company) มีกลุ่มธุรกิจหลักคือ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบ แนวสูง ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย บนทำเลคุณภาพจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและการพัฒนา ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566 จำนวนรวม 18 โครงการ ภายใต้แบรนด์สินค้า ได้แก่ THE ESCAPE , HABITAT , BELIVE , ORNSIRIN , ORNSIRIN VILLE , URBAN MYX , THE ASTRA , ARISE และ THE NEXT มูลค่าขายโครงการรวมประมาณ 15,533 ล้านบาท มีมูลค่าคงเหลือขายรวมประมาณ 2,329 ล้านบาท เป็นที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จแล้วหรือที่อยู่ระหว่างก่อสร้างที่เปิดขายแล้ว แบ่งเป็นมูลค่าคงเหลือขายโครงการแนวราบประมาณ 712 ล้านบาท และโครงการแนวสูงประมาณ 1,617 ล้านบาท รวมถึงมีที่ดินรอการพัฒนาหรืออยู่ระหว่างก่อสร้างที่ยังไม่เปิดขายรวมประมาณ 3,850 ล้านบาท บริษัทยังคงมุ่งเน้นเดินหน้าสร้างการเติบโตต่อเนื่อง เตรียมแผนขยายโครงการบนทำเลคุณภาพ ชูกลยุทธ์พัฒนาที่อยู่อาศัย ด้วยการออกแบบฟังก์ชันและนวัตกรรมการอยู่อาศัยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ลูกบ้านทุกโครงการ ตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำ ผู้พัฒนาอสังหาฯภูมิภาคอย่างแข็งแกร่ง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อรสิริน ดีเวลลอปเปอร์รายแรกของภาคเหนือ เตรียม IPO ใน SET  ปี 66
[PR News] “ณ วีรา รามอินทรา” พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างจริงครั้งแรก แถมโปรส่วนลด 200,000 บาท

[PR News] “ณ วีรา รามอินทรา” พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างจริงครั้งแรก แถมโปรส่วนลด 200,000 บาท

ณวรางค์ แอสเซท ได้ฤกษ์เปิดตัวโครงการ ณ วีรา รามอินทรา มูลค่า 550 ล้าน ภายใต้แนวคิด “ให้คุณเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ใช่ได้ทุกวัน ..CRAFT YOUR EVERYDAY” คอนโดฯ ใหม่ให้ครบเกินคุ้ม ย่านลาดปลาเค้าใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู แค่ 3 นาที พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างครั้งแรก ด้วยราคาเริ่มต้น 1.49 ล้าน แถมส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท ชูจุดเด่นทำเลทองเพื่อการอยู่อาศัย ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยจริง และลงทุนปล่อยเช่า   นายอภิภู พรหมโยธี  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด  เปิดเผยว่า ได้เตรียมเปิดตัวโครงการ ณ วีรา รามอินทรา คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ล่าสุดของบริษัทพร้อมให้ชมห้องตัวอย่างครั้งแรกในวันที่ 26 -27 ส.ค.นี้ โดยเปิดขายห้องชุดในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท และยังจัดโปรโมชั่นต้อนรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ด้วยส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท สำหรับผู้ลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์​ https://navarangasset.com/projects/naveera-ramintra/   สำหรับโครงการ  ณ วีรา รามอินทรา ตั้งอยู่บริเวณซอยลาดปลาเค้า 72 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีลาดปลาเค้า เพียง 3 นาที บนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ มูลค่า 550 ล้านบาท มีจำนวน 218 ยูนิต พัฒนาภายใต้แนวคิด “ให้คุณเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ใช่ได้ทุกวัน ..CRAFT YOUR EVERYDAY” คอนโดฯ ใหม่ให้ครบเกินคุ้ม ด้วยการดีไซน์ห้องที่ลงตัวเพื่อการอยู่อาศัยอย่างมีความสุข พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุคใหม่ อาทิ คลับเฮ้าส์สองชั้นที่มี Co-working space ฟิตเนสวิวธรรมชาติ รูฟท้อป สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ลานบาร์บีคิว   นายอภิภู กล่าวว่า โครงการ ณ วีรา รามอินทรา ตั้งอยู่บนทำเลทองย่านลาดปลาเค้า เพราะนอกจากจะอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีลาดปลาเค้า ซึ่งสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อมุ่งสู่ทุกจุดหมายในกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกสบายแล้ว ยังใกล้กับแหล่งการศึกษาชั้นนำ อาทิ มหาวิทยาลัยศรีปทุมและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียงแปดถึงสิบห้านาทีเท่านั้น ใกล้แหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ ทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ที่ใช้ระยะเวลาเดินทางเพียงไม่กี่นาที ใกล้กับสถานีราชการและแหล่งงานต่าง ๆ มากมายด้วย ความต้องการอยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน ยังคงคำนึงถึงเรื่องทำเลที่ตั้ง ซึ่งต้องเดินทางสะดวก สามารถเชื่อมต่อกับบริการรถสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน    สำหรับโครงการ  ณ วีรา รามอินทรา นับว่าเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว เพราะใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือรถไฟฟ้าบีทีเอส ในอนาคตยังจะเชื่อมต่อสายสีน้ำตาลและสีม่วงด้วย ซึ่งบริษัทตั้งใจพัฒนาดังกล่าวเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการอยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นผู้เริ่มต้นชีวิตใหม่ นักศึกษา ผู้ที่อยู่ย่านลาดปลาเค้าและต้องการขยับขยายจากบ้านเดิมแต่ยังรักในทำเลที่คุ้นเคย รวมทั้งกลุ่มนักลงทุนที่มองหาความคุ้มค่าสมราคา เพราะสามารถซื้อและปล่อยเช่าให้กับกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา หรือกลุ่มคนทำงานในบริเวณใกล้เคียงได้ด้วย โครงการมีห้องทั้งหมด 218 ห้อง โดยมีห้องทั้งหมด 5 แบบ ได้แก่ TYPE A  :  1 BEDROOM              22.07 -22.87 SQ.M. TYPE B  :  1 BEDROOM              26.42-27.34  SQ.M. TYPE C  :  1 BEDROOM PLUS   35.13-35.74   SQ.M. TYPE D1  :  2 BEDROOM            41.04            SQ.M. TYPE D2  :  2 BEDROOM            41.72            SQ.M.   โดยทุกห้องจะออกแบบในสไตล์โมเดิร์นมาพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์แบบครบครัน ภายในวันงานโครงการมีโปรโมชั่น จองพร้อมทำสัญญาในงานรับ Voucher Central มูลค่า 5,000 – 10,000 บาท พิเศษเฉพาะในงานวันที่ 26 -27 ส.ค.นี้ เท่านั้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ณวรางค์ แอสเซท ได้แรงหนุนสายสีชมพูสร้างใกล้เสร็จ ส่ง “ณ รีวา รามอินทรา” รับลูกค้าย่านลาดปลาเค้า -“ณวรางค์ แอสเซท” กางแผน 3 ปี ผุดโปรเจ็คต์ใหม่กว่า 5,000 ล้าน พร้อมเปิดตัว “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” คอนโดฯ เพื่อคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน
[PR News] นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป พร้อมเปิดตัว “หลับดี” 3 แห่งในญี่ปุ่นและไทย

[PR News] นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป พร้อมเปิดตัว “หลับดี” 3 แห่งในญี่ปุ่นและไทย

นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เตรียมเปิด 3 ที่พักใหม่ “หลับดี” ในโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เกาะเต่าและย่านไชน่าทาวน์ (สามยอด) ใจกลางกรุงเทพฯ ประเทศไทย   นายนที นิธิวาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เปิดเผยว่า นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ผู้พัฒนาและประกอบธุรกิจที่พักแบรนด์หลับดีและโรงแรมเครือมาราสก้า ประกาศความพร้อมเปิดตัวที่พักแบรนด์หลับดี (Lub d) เพิ่มอีก 3 แห่งในปี 2566 และ 2567 ได้แก่ หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ หลับดี เกาะเต่าและหลับดี ไชน่าทาวน์  กรุงเทพฯ โดยทั้ง 3 แห่งได้ออกแบบให้มีเอกลักษณ์ รวมถึงประสบการณ์การต้อนรับอันโดดเด่นของแบรนด์หลับดี ถือเป็นที่พักแนวไลฟ์สไตล์ ดีไซน์ทันสมัย เพื่อนักเดินทางรุ่นใหม่ที่มีเป้าหมายชัดเจน และเน้นความคุ้มค่า การเปิดตัวที่พักแบรนด์หลับดีเพิ่มเติมอีก 3 แห่งถือเป็นการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ เสริมสร้างและสะท้อนความแข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทที่กำลังขยายสาขาในเอเชีย หลังจากที่บริษัทได้ดำเนินธุรกิจโรงแรมและบริการในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ โรงแรมหลับดีได้ขยายกิจการไปยังจุดหมายปลายทางยอดนิยมทั้งในไทยและประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันโรงแรมหลับดีได้เปิดให้บริการแล้วถึง 5 แห่ง ได้แก่ หลับดีในไทย 3 แห่ง เสียมราฐ กัมพูชา 1 แห่ง และกรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ อีก 1 แห่ง   สำหรับในปีนี้ หลับดีมีแผนเปิดให้บริการโรงแรมเพิ่มเติมอีก 1 แห่ง คือ หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ในช่วงเดือนกันยายน และนอกจากนี้ยังมีแผนเปิดให้บริการเพิ่มเติมในปี 2567 อีก 2 แห่ง คือ หลับดี เกาะเต่า  ในไตรมาสที่ 1 และหลับดี ไชน่าทาวน์  กรุงเทพฯ ในไตรมาสที่ 3   โดยหลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฮอนมาจิ เมืองโอซาก้า หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ถือเป็นก้าวสำคัญของแบรนด์ เนื่องจากเป็นการเปิดตัว หลับดีที่แรกในญี่ปุ่น แขกผู้เข้าพักจะได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศของเมืองที่มีสีสัน แถมยังเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก ที่สำคัญที่พักแห่งนี้ยังมอบโอกาสให้นักเดินทางจากทั่วโลกมาพบปะทำความรู้จักกันท่ามกลางกลิ่นอายวัฒนธรรมญี่ปุ่น และการต้อนรับอย่างอบอุ่นในรูปแบบเฉพาะตัวของหลับดี ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกสุดทันสมัยไว้คอยให้บริการ หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ยังเต็มไปด้วยการตกแต่งที่ทันสมัยพร้อมด้วยผลงานศิลปะจากศิลปินท้องถิ่น ที่จะทำให้บรรยากาศไม่น่าเบื่อและสนุกสนาน พร้อมเปิดให้บริการ ในเดือนกันยายน 2566 ส่วนหลับดี เกาะเต่า ตั้งอยู่ที่อ่าวโตนด ซึ่งติดอันดับ 1 ใน 20 แหล่งดำน้ำที่ดีที่สุดของโลก มีหาดหน้าที่พักอันเงียบสงบ ทรายขาวละเอียดและน้ำใสสวยงาม เนื่องจากเกาะเต่าเป็นจุดหมายปลายทางในดวงใจของนักดำน้ำลึก หลับดี เกาะเต่า จึงเปิดโรงเรียนสอนดำน้ำไว้คอยให้บริการด้วยเช่นกัน ใครที่พร้อมออกผจญภัย ทริปดำน้ำอันแสนเร้าใจอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นที่พักในฝันของผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยอย่างแท้จริง โดยหลับดี เกาะเต่ามีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาสแรกของปี 2567   ขณะที่หลับดี ไชน่าทาวน์ กรุงเทพฯ เตรียมจะเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสามยอด ที่รายล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิ เยาวราช ชุมชนชาวจีนที่เก่าแก่ วัดวาอาราม ถนนคนเดินริมคลองโอ่งอ่าง และย่านการค้าพาหุรัด ชุมชนชาวอินเดียอันมีเสน่ห์  ใครได้มาสัมผัสบรรยากาศจะได้รับประสบการณ์ดี ๆ ที่ไม่มีวันลืมเลือนอย่างแน่นอน   ด้านนางสาวนิธิดา นิธิวาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแบรนด์หลับดี กล่าวว่า หลับดีกำลังเติบโตทั่วเอเชียเพราะเราปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของนักเดินทางรุ่นใหม่ซึ่งอยากให้ที่พักที่เป็นมากกว่าที่พัก   ที่พักของเราเป็นพื้นที่สำหรับการเข้าสังคมและทำกิจกรรมเพื่อสัมพันธภาพและประสบการณ์ที่มีความหมายของนักเดินทางหนุ่มสาว หลับดีเป็นเหมือนแหล่งเติมพลังสำหรับการเดินทางสำรวจที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ของนักเดินทางเหล่านี้   นางสาวนิธิดา อธิบายด้วยว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นในปี 2551 หลับดีตั้งเป้าที่จะเปิดที่พักทั้งในเมืองและเกาะต่าง ๆ ทั่วเอเชียมาโดยตลอด เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่อยากได้ที่พักที่สะดวกสบาย ราคาจับต้องได้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สำรวจสิ่งแปลกใหม่และของแท้ดั้งเดิมอย่างเต็มที่   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ประกาศรายได้การให้บริการ-โรงแรมโตรับท่องเที่ยวฟื้นตัว ชูดิจิทัล-กลยุทธ์บริหาร RevPar สู่เป้ากว่า 10,000 ล้าน -AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ
เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โปรเจ็กต์ร่วมทุน เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโด กับ มิตซูบิชิ เอสเตท

เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โปรเจ็กต์ร่วมทุน เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโด กับ มิตซูบิชิ เอสเตท

เอพี ไทยแลนด์ พร้อมเผยโฉม THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโดมิหนึ่งเดียว ภายใต้การร่วมทุนกับ มิตซูบิชิ เอสเตท ชูจุดเด่น เพียง 150 เมตร จากสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี กับคอนเซ็ปต์ Create Your Own Etiquette - วิถีแห่งที่สุดของชีวิตสุนทรียะในแบบคุณ กับ 3 วิธีคิดในการออกแบบที่รังสรรค์จากความเข้าใจชีวิตเหนือระดับใจกลางเมือง   นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” เพรสทีจ-ลักซ์ ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ THE ADDRESS โครงการเดียวที่พัฒนา ภายใต้การร่วมทุนกับทางบริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) (บริษัทในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป)  มูลค่าโครงการ 8,600 ล้านบาท  อยู่ห่างเพียง 150 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี ถือเป็นคอนโดมิเนียมที่อยู่ในพอร์ตสินค้าระดับเพรสทีจ–ลักซ์ที่บริษัทฯ ไม่ได้เปิดตัวมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งการเฟ้นหาที่ดินใจกลางเมือง ที่ตอบโจทย์ทั้งคุณค่าและมูลค่าถือเป็นคีย์สำคัญในการพัฒนาคอนโดมิเนียมแบรนด์ THE ADDRESS โดยโครงการ THE ADDRESS สยาม–ราชเทวี พัฒนาขึ้นจากความเข้าใจถึงการใช้ชีวิตคุณภาพทุกองค์ประกอบ พร้อมส่งมอบการพักอาศัยที่สมบูรณ์ หนึ่งเดียวบนทำเลมากมูลค่า ในย่านสยามเชื่อมต่อราชเทวี ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Create Your Own Etiquette - วิถีแห่งที่สุดของชีวิตสุนทรียะในแบบคุณ” กับ 3 วิธีคิดในการออกแบบที่รังสรรค์จากความเข้าใจชีวิตเหนือระดับใจกลางเมือง ได้แก่ 3 วิธีคิดปั้น “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” 1.SOPHISTICATION DESIGN ตั้งใจออกแบบตั้งแต่ภายนอก จนถึงพื้นที่ภายในทุกมิติ ด้วยการออกแบบพื้นที่ภายในห้องพักแบบพิเศษให้มีส่วน Cantilever ที่ยื่นออกมาเพื่อเปิดมุมมองได้กว้างกว่าเดิม รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 4 ไร่ สู่การรับวิวสวยของทัศนียภาพใจกลางทำเลราชเทวีได้ถึง 360 องศาจาก The Sky Facilities ชั้น 50 เพิ่มสุนทรียะแห่งการใช้ชีวิตในอาคารที่สูงที่สุดในราชเทวี ที่ให้ความรู้สึกที่พิเศษ 2.BEST QUALITY & FINEST MATERIALS วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในโครงการ ได้รับการเลือกเฟ้นจากผู้ผลิต และแหล่งที่ดีที่สุดจากทั่วโลก สะท้อนความประณีตในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็น หินอ่อน Palissandro Bluette และ หินอ่อน Venice Grey ที่มีลวดลายสวยงามหรูหรา เพิ่มความพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ในพื้นที่ส่วนกลางแต่ละแห่ง  รวมถึงหิน Limestone  หินสีขาวที่มีความพิเศษ โดยนำมากรุส่วน Façade ด้านหน้าของตึก   นอกจากนี้ ยังมีหินอ่อน Statuario (สตาตูอาริโอ้) เนื้อหินสีขาวแทรกด้วยเส้นแร่หนาบางสีเทาอ่อน ซึ่งเป็นหินที่โปรดปรานของเหล่าประติมากร ที่ถูกนำมาต่อเป็นลวดลายบุ๊คแมกซ์ขนาดใหญ่ในส่วนของ The Grande Chamber ล็อบบี้ต้อนรับ การเลือกใช้ผ้าบุจากแบรนด์ระดับโลก Hermès Furnishing Fabrics and Wallpapers สะท้อนความลักชัวรีที่มีเอกลักษณ์ นำมาใช้ในงานตกแต่งพื้นที่ส่วนกลางในส่วน The Sky Chamber อาทิ ชุดเฟอร์นิเจอร์ Signature Arm Chair และผนังหลักของห้อง ที่พร้อมเติมเต็มไลฟ์สไตล์ที่หรูหราเฉพาะตัวของผู้เป็นเจ้าของได้อย่างชัดเจน 3.PRECIOUS LOCATION ตั้งอยู่ในโลเคชันมากคุณค่าและมูลค่าใจกลางเมือง บนตำแหน่งที่ดินที่ดีที่สุดในย่านสยามเชื่อมต่อราชเทวี เพียง 150 เมตร จากสถานีรถไฟฟ้า BTS ราชเทวี และไม่ไกลจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ สถานีพญาไท ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจสำคัญ ใจกลางย่านชอปปิง ไลฟ์สไตล์ และศูนย์กลางย่านสถานศึกษา โดยโครงการพร้อมเปิดให้ชมทุกพื้นที่อย่างเป็นทางการในวันที่ 26 - 27 สิงหาคมนี้  ดีไซน์เพื่อชีวิตระดับเพรสทีจ - ลักซ์ ลงทะเบียนนัดหมายล่วงหน้า รับส่วนลดสูงสุด 1,000,000 บาท 1 ห้องนอน 35 ตารางเมตร พร้อมพาโนรามิควิว ราคาเริ่มต้น 8.29 ล้านบาท   สำหรับข้อมูลโครงการ THE ADDRESS สยาม–ราชเทวี ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 3-1-55 ไร่  มูลค่าโครงการ 8,600 ล้านบาท ที่พักอาศัยสูง 50 ชั้น จำนวนเรสซิเดนส์ทั้งสิ้น 880 ยูนิต ประกอบด้วยห้องทั้งหมด 5 รูปแบบ ได้แก่ 1.ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 31 - 35 ตารางเมตร 2.ห้องชุด 1 ห้องนอน (ดูเพล็กซ์) ขนาด 50 ตารางเมตร 3.ห้องชุด 2 ห้องนอน ขนาด 51.5 - 69.5 ตารางเมตร 4.ห้องชุด 2 ห้องนอน (ดูเพล็กซ์) ขนาด 65 ตารางเมตร 5.ห้องชุด 3 ห้องนอน ขนาด 86 ตารางเมตร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตท 10 ปีกับผลงานชิ้นโบว์แดง 24 โครงการร่วมทุน มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท
เสนา นำร่องแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เปิดตัว “เสนา เวล่า สุขุมวิท – บางปู”

เสนา นำร่องแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เปิดตัว “เสนา เวล่า สุขุมวิท – บางปู”

เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ชูแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เตรียมส่ง “เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู” ทาวน์โฮม ฟังก์ชันใหม่ ติดตั้งโซลาร์เซลล์ ช่วยประหยัดค่าไฟสูงสุด 25 ปี พร้อมแนวคิด geo fit+ จากญี่ปุ่นที่นำมาปรับใช้ให้เหมาะกับการอยู่อาศัยของคนไทย และนวัตกรรมประหยัดพลังงาน มุ่งสู่การสร้างบ้านพลังงานเป็นศูนย์ ลดค่าไฟ ลดคาร์บอน     ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวคิดบ้านพลังงานเป็น 0 รายแรกของประเทศไทย เปิดเผยว่า เสนามุ่งมั่นในการนำพัฒนาที่อยู่อาศัยตามแนวคิด “The Essential Lifelong Trusted Partner” เพื่อสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีให้ลูกค้าในทุกช่วงชีวิต ควบคู่ไปกับการดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ส่วนหนึ่งของแนวคิดนี้สะท้อนผ่านการเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง ที่จะมุ่งสู่การสร้างสังคมแบบ Decarbonized Lifestyle   โดยในส่วนโครงการแนบราบ เสนาพัฒนาบนแนวคิด “บ้านพลังงานเป็น 0” ที่คิดละเอียดและใส่ใจทุกขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ การเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง และสุขภัณฑ์ต่างๆ รวมถึงการติดตั้งโซลาร์รูฟ เพื่อผลิตพลังงานสะอาดใช้เอง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่ผ่านมามีงานวิจัยร่วมกับ Chula Unisearch เพื่อทำการศึกษาทดลองบ้านพลังงานเป็น 0 ที่เหมาะสำหรับประเทศไทย และผลการวิจัยพบว่าบ้านขนาดใหญ่ของเสนา สามารถลดการใช้พลังงานได้สูงสุดถึง 38% ล่าสุดเตรียมเปิดโครงการ “เสนา เวล่า สุขุมวิท - บางปู” พัฒนาบนแนวคิด “บ้านพลังงานเป็น 0” พร้อมนำแนวคิด “SMART CITY” ไม่ว่าจะเป็น Smart Energy, Smart Mobility, Smart Living ,Smart Environment เป็นต้น มาปรับใช้ในโครงการเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงไลฟ์สไตล์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ง่าย ๆ ผ่านการอยู่อาศัยภายในบ้าน   โครงการประกอบด้วย ทาวน์โฮมอิสระ 2 ชั้น และบ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 170 ยูนิต แบ่งเป็น ทาวน์โฮมอิสระ จำนวน 156 ยูนิต ที่ดินเริ่มต้น 27 ตร.วา 4 ห้องนอน 1 ห้องอเนกประสงค์ 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ และบ้านแฝด จำนวน 14 ยูนิต ที่ดินเริ่มต้น 36 ตร.วา 4 ห้องนอน 1 ห้องครัว 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ออกแบบพื้นที่ใช้สอยให้กว้างเทียบเท่าบ้านเดี่ยว และมีพื้นที่สีเขียว  พร้อมด้วยนวัตกรรมโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้าน ช่วยประหยัดค่าไฟสูงสุดตลอดอายุการใช้งาน 25 ปี พื้นที่ส่วนกลาง สระว่ายน้ำระบบเกลือ คลับเฮ้าส์บริเวณกลางโครงการ ฟิสเนต สวนย่อมส่วนกลาง ระบบกล้อง CCTV พร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ราคาเริ่มต้นที่ 4.59 ล้านบาท   นอกจากนี้ โครงการยังถูก​ออกแบบด้วยแนวคิด geo fit+ (จีโอฟิต พลัส) จากพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่น เน้นการออกแบบและตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัย 3 ด้าน ได้แก่ geo fit+ itsumo เปลี่ยนช่วงเวลาธรรมดาให้แสนพิเศษ geo fit+ tsunagu การสร้างความยั่งยืนในอนาคต และ geo fit+ mamoru ใส่ใจคนที่คุณรักในทุกมิติของการใช้ชีวิต ที่มุ่งเน้นการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด #ที่เยอะจะทำอะไรก็ได้ ใส่ใจต่อผู้อยู่อาศัย สะท้อนความคิดเห็นของผู้อยู่อาศัย เพื่อนำมาปรับปรุง ออกแบบพัฒนาในทุกมิติ รองรับครอบครัวใหญ่ ครอบครัวขยาย ด้วยราคาที่คุ้มค่า โครงการตั้งอยู่บนทำเล ต.บางปูใหม่ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ เดินทางสะดวก มีรถสาธารณะผ่าน ติดถนนสุขุมวิท-บางปู อยู่ใกล้แหล่งชุมชนและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล และห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกสบาย และความปลอดภัยให้กับคุณและทุกคนในครอบครัว ซึ่งบริษัทได้เตรียมจัดงานพรีเซลล์ครั้งแรก วันที่ 26 – 27 กรกฎาคม 2566  นี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาฯ เปิดโมเดล​ บ้านพลังงานเป็นศูนย์ เดินหน้าสู่บริษัท ด้านความยั่งยืน
เพอร์เฟค สรุปผลงานครึ่งปีแรกปรับตัวดีทุกพอร์ต ลุยเปิด 9 โครงการใหม่ ดันรายปีกลุ่มบริษัท​ 13,000 ล้าน​   

เพอร์เฟค สรุปผลงานครึ่งปีแรกปรับตัวดีทุกพอร์ต ลุยเปิด 9 โครงการใหม่ ดันรายปีกลุ่มบริษัท​ 13,000 ล้าน​  

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค สรุปผลงานครึ่งปีแรก ปรับตัวดีขึ้นทุกพอร์ต รายได้เติบโต 17.2% กำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 35.7% ครึ่งปีหลังแนวโน้มเติบโตกว่าครึ่งปีแรก ลุยเปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่า 13,250 ล้านบาท หนุนรายได้รวมทั้งปีให้อยู่ที่ 13,000 ล้านบาท ด้านธุรกิจโรงแรมยอดจองคึกคักจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพ ช่วง 6 เดือนแรกมีอัตราเข้าพักสูง 70%   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในครึ่งปี 2566 ปรับตัวดีขึ้น มีการฟื้นตัวในทุกหมวดธุรกิจ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้จากการดำเนินงาน 4,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  โดยเป็นผลจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโต 0.3% ธุรกิจโรงแรมซึ่งเติบโต 125.2%  จากธุรกิจให้เช่าและบริการอีก 56.0% ในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้น ปรับตัวแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 35.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 25.5% โดยครึ่งปีแรกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีกำไรขั้นต้น 33.3% เทียบกับปีก่อนที่ 29.4%  ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวอย่างชัดเจนที่ระดับ 48.2% เทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อนที่ 6.3% และธุรกิจให้เช่าและบริการ ทำได้ 9.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ติดลบ 1.1% อีกทั้งยังมีส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมทุนเข้ามาอย่างมีนัยยะ เป็นจำนวน 116 ล้านบาท เป็นบวกเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปี 2565 ที่มีผลขาดทุนที่ 42 ล้านบาท   สำหรับรายได้จากการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 13,000 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 9,600 ล้านบาท ธุรกิจโรงแรม 2,850 ล้านบาท และธุรกิจเช่าและบริการ 550 ล้านบาท นอกจากนี้ยังจะมีรายได้จากโครงการร่วมทุนอีก 5,000 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังมีความพร้อมในการเปิดโครงการใหม่ได้อย่างเต็มที่ โดยจะเดินหน้าเปิด 9 โครงการ มูลค่ารวม 13,250 ล้านบาท ซึ่งยังคงเน้นตลาดแนวราบและกระจายในทุกเซกเม้นต์ ขณะเดียวกัน ยังเน้นทำการตลาดสินค้ากลุ่มลักซ์ชัวรี่ที่อยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ ซึ่งบริษัทมีโครงการบ้านหรู 6 โครงการในแบรนด์ “เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ” และ “เลค เลเจนด์” ที่สามารถรองรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลใกล้โรงเรียนนานาชาติ ซึ่งมีดีมานด์เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน  พร้อมกันนี้ยังมีการพัฒนาแบบบ้านรุ่นใหม่ในโครงการเดิม รวมทั้งมีแผนการตลาดและส่งเสริมการขายอย่างเข้มข้น   สำหรับธุรกิจโรงแรมของกลุ่มบริษัทมีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพ ซึ่งมีอัตราเข้าพักเพิ่มสูงขึ้น โดย 6 เดือนแรกของปีนี้อัตราเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 70% เทียบกับปีก่อนที่อยู่ในระดับ 35% ขณะที่โรงแรมในต่างจังหวัดยังคงได้รับความนิยมจากคนไทยที่ท่องเที่ยวในประเทศ โดยอัตราเข้าพักเฉลี่ย 6 เดือนแรกของปีอยู่ที่ 50% อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่ารายได้จากธุรกิจโรงแรมทั้งปีนี้ จะมากกว่าปีก่อนถึง 57% โดยเป็นผลพวงมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในครึ่งปีหลังซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ส่วนหนึ่งของโครงการใหม่ ที่กำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในครึ่งปีหลัง     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟคลุยพัฒนา 6 โครงการบ้านหรู จับตลาดใกล้โรงเรียนนานาชาติ
[PR News] กลุ่มบริษัทรีโว่ เปิด “ไอเจ้นท์ พระราม 9” พรีเมียมทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น

[PR News] กลุ่มบริษัทรีโว่ เปิด “ไอเจ้นท์ พระราม 9” พรีเมียมทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น

กลุ่มบริษัทรีโว่ เปิด “ไอเจ้นท์ พระราม 9” พรีเมียมทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น  เริ่ม 4.99 ล้าน ต่อยอดความสำเร็จ โครงการ ไอเจ้นท์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม พัฒนาการ   นางสาวสุทธิสินี อยู่สวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รีโว ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กลุ่มบริษัท รีโว  ที่ร่วมทุนระหว่าง รีโวกรุ๊ป, บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ PREB และ เค.อาร์.ซี. เอ็นจิเนียริ่ง เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทประสบความสำเร็จอย่างดี จากการพัฒนาโครงการ ไอเจ้นท์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม พัฒนาการ จึงได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ “ไอเจ้นท์ พรีเมียมทาวน์โฮม พระราม 9” ทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น จำนวน 72 ยูนิต เรามีนโยบายที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจมากที่สุด จึงมีความมุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยให้ความสำคัญในเรื่องของนวัตกรรม และสิ่งแวดล้อมของที่อยู่อาศัยสำหรับชีวิตเมืองในปัจจุบัน นอกจากนี้ จากความต้องการของตลาดบ้านแนวราบ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง เป็นกลุ่มลูกค้าในตลาดระดับกลางถึงระดับบนที่มีกำลังซื้อ ประกอบกับพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนไปหลังเกิดการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อาทิ การทำงานที่บ้าน (Work from home) ทำให้มีความต้องการบ้านแนวราบมากกว่า บริษัทจึงเล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ เพราะมีพื้นที่ใช้สอยที่มา และมีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต   สำหรับโครงการ ไอเจ้นท์ พรีเมียมทาวน์โฮม พระราม 9  พรีเมียมทาวน์โฮม 3 ชั้น โครงการใหม่ บนทำเลใหม่ ย่านพระรามเก้า กับแบบบ้านที่ขายดีที่สุดเพียง 72 หลัง โดยมีจุดเด่นห้อง Master Bedroom ขนาดใหญ่ 3 ห้อง พร้อมห้องน้ำในตัวทุกห้อง และห้องอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย ด้วยฟังก์ชันและดีไซน์ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี มีความเป็นส่วนทุกพื้นที่ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ส่วนกลางที่ออกแบบในสไตล์ Mid Century ที่มีทั้งคลับเฮ้าส์, ลานนวดเท้าเพื่อสุขภาพ, ฟิตเนส, Co-Working Hall พร้อม Library Room และพื้นที่สีเขียว รองรับกิจกรรมการอยู่อาศัย นอกจากนี้ ทางโครงการยังมีระบบ Smart Life Security สร้างความอุ่นใจด้วยระบบแจ้งเตือน Triple Active Alert เพื่อความสุขและอุ่นใจของทุกคนในครอบครัว โครงการตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ใกล้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์สถานีบ้านทับช้าง ใกล้รถไฟฟ้า MRT สายสีเหลืองสถานีหัวหมาก อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อถนนหลักได้หลายเส้นทาง ทั้งถนนอ่อนนุช ถนนพัฒนาการ ถนนมอเตอร์เวย์ เชื่อมเข้าถนนพระราม 9 และทางด่วนศรีรัช   โครงการ​ไอเจ้นท์ พระราม 9 พร้อมเปิดจองทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น รอบพิเศษสำหรับคนพิเศษ VIPday วันที่ 19-20 สิงหาคมนี้  ด้วยบ้านโซนพิเศษในราคาเริ่มต้นที่ 4.99 ล้านบาท จองวันนี้ กู้ 100% พร้อมรับโปรโมชั่นฟรี เฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน เครื่องปรับอากาศ  Smart Home Gadget ค่าใช้จ่าย ณ วันโอน และพิเศษยิ่งขึ้น เมื่อลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลด 50,000 บาท อีกด้วย ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์พร้อมส่วนลดพิเศษได้ที่ https://www.eigen-rama9.com/ (เงื่อนไขต่าง ๆ เป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พรีบิลท์ ปั้นแบรนด์ “พรรณนา” ลุยตลาดบ้านลักชัวรี่ราคา 15 ล้านอัพ !!
บริทาเนีย ใช้กลยุทธ์การร่วมทุนพันธมิตร ปั้นโปรเจ็กต์ 5 จังหวัด กว่า 8,700 ล้าน

บริทาเนีย ใช้กลยุทธ์การร่วมทุนพันธมิตร ปั้นโปรเจ็กต์ 5 จังหวัด กว่า 8,700 ล้าน

บริทาเนีย เสริมแกร่งธุรกิจเดินหน้ากลยุทธ์ร่วมทุนพันธมิตร ทั้งด้านการเงินและเจ้าของที่ดิน  พัฒนาบ้านจัดสรร 10 โครงการ กระจายตัวใน 5 จังหวัด มูลค่ากว่า 8,700 ล้าน ในไตรมาส 2 ทำรายได้ 1,554 ล้าน พร้อมกำไรสุทธิ 348 ล้าน ขณะที่บอร์ดเคาะจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.115 บาท  ส่วนครึ่งปีหลังโหมเปิด 16 โครงการใหม่ รวม 17,500 ล้าน  ช่วยหนุนยอดขาย-ยอดโอนกรรมสิทธิ์ต่อเนื่อง   นายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ผู้พัฒนาบ้านจัดสรรภายใต้แนวคิด “CRAFT a life you love” ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2/2566 ที่ผ่านมาบริษัทได้เดินหน้าร่วมทุน (Joint Venture หรือ JV) กับพันธมิตรด้านการเงินการลงทุน (Financial Partner) และพันธมิตรเจ้าของที่ดิน (Landlord) เพื่อพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม จำนวน 10 โครงการ กระจายตัวใน 5 จังหวัด อาทิ นนทบุรี นครปฐม ชลบุรี นครราชสีมา และอุบลราชธานี คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 8,700 ล้านบาท ครึ่งปีแรกของปี 2566 เป็นช่วงเวลาที่เราให้ความสำคัญกับการสร้างรากฐานเพื่อการเติบโตสู่อนาคต การจับมือกับเหล่าพันธมิตรหลากหลายกลุ่มพัฒนาโครงการ จะเป็นบันไดก้าวสำคัญให้เรามีที่ดินแปลงศักยภาพเข้ามาอยู่ในพอร์ตฟอลิโออย่างรวดเร็ว พร้อมที่จะเปิดตัวโครงการใหม่อย่างก้าวกระโดดในช่วงหลังจากนี้ สำหรับช่วงไตรมาส 2/2566 บริษัทมีรายได้อยู่ที่ 1,554 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 348 ล้านบาท มีอัตรากำไรสุทธิ​ (Net Profit Margin หรือ NPM) อยู่ที่ราว 22% โดยโครงการสำคัญที่มีส่วนหนุนยอดโอนกรรมสิทธิ์ รายได้ และกำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าว ได้แก่ แกรนด์บริทาเนีย ราชพฤกษ์-พระราม 5 (Grand Britania Ratchaphruek-Rama 5) เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ พูลวิลล่า บางนา-พระราม 9 (Belgravia Exclusive Pool Villa Bangna-Rama 9) แกรนด์บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา (Grand Britania Wongwaen Ramintra) แกรนด์บริทาเนีย พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา (Grand Britania Rama 9-Krungthep Kreetha) และบริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ (Britania Bangna-Suvarnabhumi) ขณะเดียวกัน สามารถปิดการขาย (Sold Out) โครงการบริทาเนีย คูคต สเตชั่น (Britania Khukhot Station) ได้ ซึ่งถือเป็นอีกเครื่องตอกย้ำการได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง จนสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว   นายสุรินทร์ กล่าวอีกว่า จากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญจ่ายปันผลสำหรับกำไรสะสมและผลการดำเนินงานของบริษัทงวด 1 ม.ค.-30 มิ.ย.66 ในอัตรา 0.115 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินปันผลจ่ายเป็นเงินสดทั้งสิ้นไม่เกิน 98.1 ล้านบาท โดยขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่  25 สิงหาคม 2566 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 11 กันยายน 2566   สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 16 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 17,500 ล้านบาท กระจายตัวอยู่ใน 5 จังหวัด ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม 4 แบรนด์ แบ่งเป็น เบลกราเวีย (Belgravia) 2 โครงการ แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) 4 โครงการบริทาเนีย (Britania) 8 โครงการ และไบรตัน (Brighton) 2 โครงการ โดยถือเป็นการเปิดโครงการเพิ่มอย่างก้าวกระโดดในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกที่เปิดตัวเพียง 4 โครงการ   นอกจากนี้ เป็นเพราะช่วงครึ่งปีหลังถือเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และปัจจัยภายนอกด้านการเมืองและเศรษฐกิจน่าจะมีความชัดเจนขึ้น ซึ่งจะช่วยส่งผลผลักดันทั้งยอดขาย ยอดโอนกรรมสิทธิ์ และรายได้รวมของบริษัทให้สูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยจะนำร่องเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3/2566 ก่อนจำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 5,900 ล้านบาท ได้แก่ แกรนด์บริทาเนีย วงแหวน – ประชาอุทิศ (Grand Britania Wongwaen-Parchauthit) แกรนด์บริทาเนีย ทวีวัฒนา (Grand Britania Thawi Watthana) บริทาเนีย บางนา-เทพารักษ์ (Britania Bangna Thepharak)   ทั้งนี้ บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 2,260 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2566 นี้ เมื่อประกอบกับการเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง และแผนการตลาด การจัดแคมเปญเจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพิ่มเติม เชื่อว่าจะช่วยสร้างยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ใหม่ และรักษาระดับการเติบโตของบริษัทอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนได้ สำหรับ BRI เป็นผู้พัฒนาบ้านจัดสรรภายใต้คอนเซปต์ CRAFT a life you love ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก พัฒนาทั้งบ้านเดี่ยว บ้านซีรีส์ใหม่ ทาวน์โฮม ครอบคลุมผู้บริโภคทุกเซ็กเมนท์ ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1.เบลกราเวีย (Belgravia) บ้านเดี่ยวลักชัวรี ระดับราคา 20-50 ล้านบาท 2.แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับ High-End ราคา 8-20 ล้านบาท 3.บริทาเนีย (Britania) บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับ Mid-end ราคา 4-8 ล้านบาท และ 4.ไบรตัน (Brighton) บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับเริ่มต้น (Entry) ราคา 2.5-4 ล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 พัฒนาโครงการมาแล้วทั้งสิ้น 34 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการสะสม 41,456 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -บริทาเนีย ผนึกเจ้าของ ม.เกษมบัณฑิต ปั้นโปรเจ็กต์ 34 ไร่ บนถนนร่มเกล้า -บริทาเนีย วางเป้า 3 ปี ติดTop 5 ตลาดบ้าน พร้อมลุยต่างจังหวัดจับคนระดับท็อป
แสนสิริ โชว์กำไรครึ่งปี 66 โตก้าวกระโดด 162%  ครึ่งปีหลัง เปิดโครงการใหม่ กว่า 56,700 ล้าน

แสนสิริ โชว์กำไรครึ่งปี 66 โตก้าวกระโดด 162% ครึ่งปีหลัง เปิดโครงการใหม่ กว่า 56,700 ล้าน

แสนสิริ ย้ำความแข็งแกร่งผู้นำอสังหาฯ โชว์ผลประกอบการครึ่งปีแรก 66 ด้วยกำไรสุทธิ 3,203 ล้าน โตก้าวกระโดดถึง 162% ขณะที่กวาดรายได้รวมครึ่งปี 18,493 ล้านบาท โต 42% และรายได้รวมไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 9,988 ล้านบาท โต 27% เผยผลงานมาจากแนวราบเติบโตทุกเซกเมนต์ และคอนโดพร้อมอยู่ได้รับการตอบรับดีและ นับเป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีของตลาดคอนโด รุกต่อครึ่งปีหลัง เปิด 39 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 56,700 ล้าน     นายวิชาญ วิริยะภูษิต ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ผลประกอบการรอบ 6 เดือน ปี 2566 แสนสิริมีกำไรสุทธิ 3,203 ล้านบาท เติบโต 162% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ เฉพาะไตรมาสที่ 2/2566 อยู่ที่ 1,621 ล้านบาท เติบโตขึ้น 77% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา อัตรากำไรสุทธิรอบ 6 เดือนสูงถึง 17.3% ของรายได้รวม ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากจากอัตรากำไรสุทธิ 9.3% ของรายได้รวมจากช่วงเดียวกันของปีก่อน   ขณะที่รายได้รวมรอบ 6 เดือน อยู่ที่ 18,493 ล้านบาท เติบโต 42% จากรอบ 6 เดือนของปีก่อน แบ่งเป็นรายได้รวมในช่วงไตรมาสแรก 8,505 ล้านบาท และรายได้รวมไตรมาสที่ 2 อยู่ที่ 9,988 ล้านบาท เติบโต 27% เป็นผลมาจากรายได้จากการขายโครงการที่เติบโตในทุกกลุ่มที่อยู่อาศัย อาทิ นาราสิริ พหล – วัชรพล บ้านเดี่ยวระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี และ เศรษฐสิริ ดอนเมือง โดยแบรนด์ “เศรษฐสิริ” ในปีนี้มีการพัฒนา 10 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 21,900 ล้านบาท  รวมถึงแบรนด์สราญสิริ โครงการสราญสิริ ราชพฤกษ์ – 345 ระดับราคา 5 – 10 ล้านบาท ที่กลุ่มลูกค้าให้การตอบรับที่ดีเช่นกัน นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในรอบครึ่งปี ยังมาจากโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ที่ได้รับการตอบรับที่ดี และเป็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีของตลาดคอนโด โดยคอนโดพร้อมอยู่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในทุกเซกเมนต์เช่นเดียวกัน อาทิ โครงการเอ็กซ์ที พญาไท, เอ็กซ์ที ห้วยขวาง, โอกะ เฮาส์, เดอะ เบส เพชรบุรี – ทองหล่อ, ดีคอนโด พนา และ เดอะ มูฟ บางนา เป็นต้น   แสนสิริยังสร้างยอดขายรวมไปได้ถึง 27,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 50% จากเป้าหมายยอดขาย 55,000 ล้านบาท โดยในครึ่งปีหลัง แสนสิริยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 39 โครงการ มูลค่ารวม 56,700 ล้านบาท ไฮไลท์โครงการที่เตรียมเปิดตัวในไตรมาส 3 อาทิ “บูก้าน พัฒนาการ” บ้านเดี่ยวรูปแบบ Luxury Private Villa จำนวน 17 ยูนิต ราคา 65 - 115 ล้านบาท* เตรียมเปิดตัวในช่วงปลายเดือนกันยายน และการเปิดตัว New Luxury Condominium หนึ่งในโครงการไฮไลท์ของแสนสิริในปีนี้ ทำเล “ราชเทวี” เตรียมเปิดตัวเดือนสิงหาคมนี้ แสนสิริยังมุ่งเดินหน้าสร้างรายได้และผลกำไร เพื่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกส่วนรวมถึงผู้ถือหุ้น โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล (Interim dividend) จากผลการดำเนินงานงวดวันที่ 1 มกราคม – 30 มิถุนายน 2566 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 สิงหาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 12 กันยายน 2566 นี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แสนสิริ ตุนยอดโอน 4 เดือนแรก โต 28% กวาดรายได้แล้ว 9,200 ล้าน  -แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด
เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ประกาศรายได้การให้บริการ-โรงแรมโตรับท่องเที่ยวฟื้นตัว ชูดิจิทัล-กลยุทธ์บริหาร RevPar สู่เป้ากว่า 10,000 ล้าน

เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ประกาศรายได้การให้บริการ-โรงแรมโตรับท่องเที่ยวฟื้นตัว ชูดิจิทัล-กลยุทธ์บริหาร RevPar สู่เป้ากว่า 10,000 ล้าน

เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ประกาศผลประกอบการครึ่งปีแรกปี 2566 รายได้จากการให้บริการโต 28%  ที่ 4,821 ล้าน ขณะที่ธุรกิจโรงแรมฟื้นตัว รับทั่วโลกเปิดประเทศ เฉพาะตลาดไทยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่ม 76% ส่วน ADR เพิ่มขึ้นถึง 72% เฉลี่ยอยู่ที่ 8,431 บาท พร้อมเดินหน้าใช้เทคโนโลยีดิจิทัลรองรับพฤติกรรมลูกค้า ดันเป้าหมาย 10,000 ล้าน   นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR  บริษัทในเครือสิงห์ เอสเตท เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 บริษัทมีรายงานรายได้จากการให้บริการที่ 4,821 ล้านบาท เติบโตขึ้น 28% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมรายงานกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำจากการดำเนินงานปกติ (Adjusted EBITDA) ที่ 1,112 ล้านบาทพุ่งขึ้น 74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน   ผลประกอบการที่เติบโตขึ้น เกิดจากอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (Occupancy Rate) ของทั้งพอร์ตโฟลิโอ ที่สูงขึ้นจาก 54% ในครึ่งปีแรกของปี 2565 เป็น 69% ในครึ่งปีแรกของปีนี้ และอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ที่ปรับตัวขึ้นถึง 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน ธุรกิจรร.ฟื้นตัว รับทั่วโลกเปิดประเทศ ส่วนผลประกอบการของกลุ่มโรงแรมในประเทศไทย ฟื้นตัวเข้าใกล้สภาวะปกติของการท่องเที่ยว ภายหลังทั่วโลกเปิดประเทศเต็มรูปแบบได้อย่างชัดเจน สะท้อนจากอัตราการเข้าพักเฉลี่ย ระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายนที่ระดับ 76% ซึ่งสูงกว่าของปี 2565 ที่ 48% จากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเพิ่มขึ้น ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่เลือกจุดหมายปลายทางเป็นชายหาดในประเทศไทย ขณะที่ในครึ่งปีแรกของปี 2566 ADR เฉลี่ยอยู่ที่ 8,431 บาท เพิ่มขึ้นถึง 72% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน การทำการตลาดที่มุ่งเป้าเจาะจงในแต่ละพื้นที่ ประกอบกับช่องทางการขายที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้โรงแรมของ SHR เป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ ของนักเดินทางหลายคน นับเป็นปัจจัยที่หนุนขีดความสามารถในการผลักดัน ADR ให้เติบโตได้อีกด้วย ปัจจัยท้าทายทางเศรษฐกิจของภูมิภาคยุโรปในปัจจุบัน ส่งผลต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเห็นได้จากการที่ชาวยุโรป เลือกที่จะท่องเที่ยวภายในประเทศหรือภูมิภาคมากขึ้น ปัจจัยดังกล่าว ทำให้โรงแรมของ SHR ในสหราชอาณาจักร ยังรักษาโมเมนตัมเชิงบวกไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากฐานลูกค้าหลักประมาณ 90% เป็นนักท่องเที่ยวจากในประเทศ ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มสูงถึง 70% ในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายนของปี 2566 เมื่อเทียบกับ 54% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อุปสงค์ของโรงแรมในสหราชอาณาจักรยังเป็นที่น่าพอใจ   ทั้งนี้ เกิดจากการปรับตัวให้สอดรับกับความต้องการในตลาด และการปรับปรุงห้องพักอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น ADR เฉลี่ยในครึ่งปีแรกของปี 2566 ปรับตัวสูงขึ้น 10% โดยอยู่ที่ 83 ปอนด์ท่ามกลางความระมัดระวังในการใช้จ่ายสำหรับสินค้าฟุ่มเพือยของลูกค้าที่เป็นผลมาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นพอร์ตโฟลิโอของสหราชอาณาจักรยังมีอัตรากำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA margin) ทั้งในไตรมาส 2 และรอบครึ่งปีแรกของปีนี้เติบโตขึ้นจากงวดเดียวกันในปีก่อนจากการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพขึ้น   อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าทั้งอัตราการเข้าพักเฉลี่ยและ ADR จะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 3 สอดคล้องกับปริมาณการจองล่วงหน้าในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว สะท้อนความเชื่อมั่นในการเดินทางทั้งในและต่างประเทศของภาคธุรกิจและภาคการท่องเที่ยว ปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อเนื่องมายังผลประกอบการของโรงแรมในโครงการครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ (CROSSROADS Maldives) ซึ่งมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย ในไตรมาส 1 ปีนี้ ที่ไต่ระดับสูงถึงกว่า 87% สำหรับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอ่อนตัวลงในไตรมาส 2 ของปีนี้เมื่อเข้าสู่ช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวซึ่งเป็นผลมาจากนักท่องเที่ยวชาวยุโรปที่เดินทางระหว่างภูมิภาคน้อยลง ผนวกกับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีนที่ช้ากว่าคาด ส่งผลให้ภาพรวมของอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในครึ่งปีแรกไม่แตกต่างจากช่วงเดียวกันในปีก่อนมากนัก ทั้งนี้ SHR มองภาพครึ่งปีหลังของมัลดีฟส์ว่าจะค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 2565 และอัตราการเข้าพักเฉลี่ยยังมีความอ่อนไหวจากการเปิดประเทศในหลายพื้นที่ทั่วโลกซึ่งกระตุ้นการกระจายตัวไปสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ของนักท่องเที่ยว   โรงแรมในมอริเชียสได้ปิดตัวชั่วคราวเพื่อปรับปรุงระบบบริหารน้ำอย่างเต็มรูปแบบและจะกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในไตรมาส 4 ปีนี้ ทั้งนี้จะส่งผลกระทบอย่างจำกัดต่อผลการดำเนินงานโดยรวมของ SHR ในปีนี้เนื่องจากรายได้จากการให้บริการของโรงแรมในมอริเชียสคิดเป็นเพียง 3% ของรายได้ทั้งหมด ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลขทางสถิติที่โดดเด่นของกลุ่มโรงแรมในประเทศไทยและสหราชอาณาจักร แสดงถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โรงแรมในภูมิภาคอื่น ๆ ทั้งในมัลดีฟส์และฟิจิก็มีแนวโน้มสดใส โดยฐานลูกค้าในฟิจินอกเหนือจากกลุ่มนักท่องเที่ยวหลักจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์แล้ว เราเห็นตลาดใหม่ที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวจากทวีปอเมริกาเหนือโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวแคนาดา ทำให้มั่นใจได้ว่าภาคการท่องเที่ยวจะแข็งแกร่งได้ต่อเนื่องโดยได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ ๆ โรงแรม แคสอะเวย์ ไอส์แลนด์ที่ฟิจิมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเกินกว่า 93% ในไตรมาส 2   ในขณะที่โรงแรมในโครงการครอสโร้ดส์ มัลดีฟส์ มีผลการดำเนินงานที่มั่นคงอย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว แนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังส่งสัญญาณบวกในเกือบทุกพื้นที่ที่โรงแรมของบริษัทฯ ตั้งอยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ธุรกิจการบินฟื้นตัวได้ดีด้วยการประกาศเพิ่มเที่ยวบินพร้อมการเปิดเส้นทางบินใหม่ในครึ่งปีหลัง ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสารได้มากยิ่งขึ้นหนุนการเติบโตของภาคการให้บริการเพิ่มอีกทางหนึ่ง SHR ใช้ดิจิทัลดันเป้า 10,000 ล้าน​​ SHR เดินหน้าพัฒนาและนำเทคโนโลยีดิจิทัลบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ มาใช้เพื่อให้สอดรับกับความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในตลาด สิ่งเหล่านี้ประกอบกับความมุ่งมั่นในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารพอร์ตโฟลิโอโดยใช้กลยุทธ์บริหาร RevPar ที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากการปรับปรุงห้องพักในหลายโรงแรมทั้งในประเทศไทย ฟิจิ และสหราชอาณาจักร โดยพร้อมเปิดให้บริการห้องพักรูปแบบใหม่ในปลายปี 2566 ผนวกกับมาตราการคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการบรรลุเป้าหมายรายได้ที่เกินกว่า 10,000 ล้านบาทให้ได้สำเร็จ เราจะพยายามให้ถึงที่สุดเพื่อผลักดันผลการดำเนินงานให้ถึงเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความมั่งคั่งให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกคนของบริษัทฯ ในปี 2566 นี้   SHR มีความพร้อมในการเผชิญต่อความท้าทายต่าง ๆ โดยมีสถานะทางการเงินอันแข็งแกร่งด้วยการรักษาระดับหนี้สินให้ต่ำอยู่เสมอและการจัดการด้านเงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ บริษัท ทริสเรทติ้งได้ประเมินระดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ของ SHR ที่ระดับ BBB+ ระดับความน่าเชื่อถือนี้จะเพิ่มขีดความสามารถของ SHR ในการลดต้นทุนทางการเงินโดยรวม ในปัจจุบันการออกหุ้นกู้กำลังดำเนินไปตามแผนที่วางไว้ และ SHR พร้อมขับเคลื่อนสู่การเติบโตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น   ท้ายที่สุด SHR มุ่งเน้นที่การเติบโตแบบยั่งยืนเป็นหัวใจหลักในการดำเนินงาน โดยโรงแรม 5 แห่ง และ เดอะ มารีน่า แอท ครอสโร้ดส์ ได้รับมาตรฐาน Green Globe สะท้อนถึงการสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และแขกที่มาพักว่า การดำเนินงานในโรงแรมของ SHR ได้มาตรฐานตามหลักสากลและสามารถตอบรับต่อความคาดหวังของผู้ที่มาเข้าพักได้ โดยในปี 2566 SHR ได้เริ่มวางแผนเพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon neutral company) ภายในปี 2573  เพิ่มกิจกรรมต่างๆที่ให้ความสำคัญต่อการรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อลดผลกระทบที่เกิดจากสภาวะโลกร้อน พร้อมอนุรักษ์ธรรมชาติอันสวยงามส่งต่อให้กับนักท่องเที่ยวรุ่นต่อไป กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่าง SHR และชุมชน แต่ยังเป็นการสร้างสถานะที่แตกต่างโดยเป็นโรงแรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์จากที่ต่าง ๆ ทั่วโลกอีกด้วย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -สิงห์ เอสเตท รุกตลาดบ้าน Ultra Luxury ปักหมุด SMYTH’S Ramintra เริ่ม 120 ล้าน -เอสโฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กางแผนธุรกิจปี 66 ชู 3 กลยุทธ์สู่รายได้หมื่นล้าน
แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ทำผลงาน Q2/66 รายได้-กำไรโตก้าวกระโดด​ ครึ่งปีหลังเดินหน้า​เพิ่มห้องพักและกระแสเงินสด

แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ทำผลงาน Q2/66 รายได้-กำไรโตก้าวกระโดด​ ครึ่งปีหลังเดินหน้า​เพิ่มห้องพักและกระแสเงินสด

แอสเสท เวิรด์ คอร์ป ประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2566 รายได้รวม 4,518 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด กำไรสุทธิ 1,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 32% ทำรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก 3,356 บาท สูงขึ้น 82.1% เดินหน้าเพิ่มโครงการ เพิ่มจำนวนห้องพัก เพิ่มกระแสเงินสดพร้อมเติบโตก้าวกระโดด   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2566 ตามงบการเงินรวมมูลค่ายุติธรรมว่า มีรายได้รวมกว่า 4,518 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 1,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 32% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตแบบก้าวกระโดดมากกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 อีกด้วย   ทั้งนี้ AWC ยังคงมุ่งพัฒนาโครงการในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ เปลี่ยนทรัพย์สินกำลังพัฒนา (Developing Asset) เป็นทรัพย์สินดำเนินงาน (Operating Asset) ควบคู่การยกระดับโครงการในพอร์ตโฟลิโอ (Assets Enhancement) ของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) สอดคล้องกลยุทธ์ GROWTH-LED เพื่อสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไตรมาส 2 นี้ บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงานรวม 120,307 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้น 36,996 ล้านบาท คิดเป็น 44.4% เทียบกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 ผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2566 ของ AWC มีการเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) อยู่ที่ 2,472 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการกลับมาของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และภาพรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยที่เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น   รวมถึงเทศกาลสงกรานต์ในช่วงเดือนเมษายนที่มีการกลับมาจัดอย่างยิ่งใหญ่เป็นปีแรกหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย โดยเฉพาะโรงแรมในกรุงเทพฯ และโรงแรมกลุ่มประชุมสัมมนา (MICE) ซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้าพักโรงแรมในเครือ AWC เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ส่งผลให้อัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักในภาพรวม (RevPAR) สูงถึง 3,356 บาท เพิ่มขึ้น  82.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 อยู่ที่ประมาณ 10% รวมถึงมีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate: ADR) เท่ากับ 5,367 บาทต่อคืน เติบโต 25.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังสูงกว่าปี 2562 ด้วยเช่นกัน   สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) AWC ยังคงมุ่งเพิ่มศักยภาพในการสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดในระยะยาว โดยบริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ด้านไลฟ์สไตล์ ตอบรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าและนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน ธุรกิจโรงแรม AWC ทำกำไรเพิ่ม 200% ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการมีกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) อยู่ที่ 660 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 200.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะโรงแรมในกลุ่มประชุมสัมมนา และกลุ่มโรงแรมในกรุงเทพฯ ซึ่งมีค่า Revenue Generation Index (RGI) ในภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ โรงแรมแบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ มีค่า RGI เท่ากับ 218 เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งพัฒนาทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการพัฒนาให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) อย่างต่อเนื่อง พร้อมเสริมความแข็งแกร่งพอร์ตโฟลิโอของกลุ่มโรงแรมที่ตั้งอยู่ในทําเลยุทธศาสตร์ เพื่อรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ การเปิดตัวโรงแรม 'INNSiDE by Meliá Bangkok Sukhumvit' แห่งแรกในประเทศไทยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เพื่อมอบประสบการณ์โมเดิร์นไลฟ์สไตล์ให้กับกลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่ และเป็นโรงแรมที่ได้มีการออกแบบและก่อสร้างตามกรอบการรับรองของมาตรฐานอาคาร Excellence in Design for Greater Efficiency (EDGE)   รวมถึงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟกับ Nobu Hospitality ร่วมสร้างโรงแรมระดับอัลตร้า ลักชูรี่ 2 แห่งภายใต้แบรนด์ Plaza Athenee ได้แก่ โรงแรม พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา นิวยอร์ก (Plaza Athenee Nobu Hotel and Spa New York) และโรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก (The Plaza Athenee Nobu Hotel and Spa Bangkok) เชื่อม 2 มหานคร นิวยอร์กและกรุงเทพฯ ภายใต้แนวคิด River Journey Project พร้อมเชื่อมต่อหลากหลายโครงการริมแม่น้ำเจ้าพระยาของ AWC สร้างประสบการณ์การท่องเที่ยวทางสายน้ำให้แก่นักเดินทาง   ปัจจุบัน AWC มีจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้นจำนวน 22 โรงแรม รวมจำนวนห้องพักรวม 5,794 ห้อง และจะเพิ่มขึ้นเป็น 23 โรงแรม ภายในสิ้นปี 2566 รวม 6,034 ห้อง คิดเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 76 เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ที่จำนวน 3,432 ห้อง ประกอบกับอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ที่สูงขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าปีก่อนและก่อนสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้มีรายได้ 2,287 ล้านบาท เติบโตขึ้น 76.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทั้งนี้ บริษัทมุ่งเพิ่มศักยภาพในการสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งให้กับบริษัท พร้อมตอบสนองความต้องการนักท่องเที่ยวคุณภาพและจำนวนกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย High-to-Luxury ที่เพิ่มมากขึ้น เอเชียทีค ผู้ใช้บริการเพิ่ม 47% กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานยังคงสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการยกระดับอาคารให้เป็นไลฟ์สไตล์สเปซแห่งใหม่ที่ตอบโจทย์การทำงานและไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ อาทิ การเปิดตัว “Co-Living Collective: Empower Future” ของอาคารเอ็มไพร์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ผสานรูปแบบการใช้ชีวิตในบ้านมาเชื่อมต่อกับการทำงานอย่างลงตัว สร้างความแตกต่างจากอาคารสำนักงานรูปแบบเดิม ซึ่งช่วยรักษาฐานผู้เช่าเก่า พร้อมดึงดูดผู้เช่าใหม่ที่มองหาอาคารสำนักงานคุณภาพ ที่มีพื้นที่ตอบรับเทรนด์การทำงานในรูปแบบไฮบริดที่เพิ่มสูงขึ้น AWC ได้ร่วมมือกับพันธมิตรผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลก เพื่อสร้างดิจิทัลอีโคซิสเต็มที่อาคารเอ็มไพร์ให้เป็นคอมมูนิตี้ดิจิทัลรูปแบบใหม่ เชื่อมต่อผู้เช่าในอุตสาหกรรมดิจิทัลเข้าด้วยกันอีกด้วย ในขณะที่กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการค้า (Retail and Wholesale) สามารถเติบโตได้ดี ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวเติบโตของดัชนียอดขายของร้านค้า และบริษัทได้พัฒนาพื้นที่เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวและกลุ่มลูกค้าอยู่เสมอ โดยโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น มีจำนวนผู้มาใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นถึง 47% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มาจากกิจกรรม Disney100 Village at Asiatique พร้อมเสริมความแข็งแกร่งในการเป็นจุดหมายปลายด้านการท่องเที่ยวและด้านอาหารเครื่องดื่มระดับโลกที่ช่วยดึงดูดจำนวนผู้เช่าและจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ   รวมถึงการเปิดตัวโครงการ THE PANTIP LIFESTYLE HUB ที่เชียงใหม่ ภายใต้แนวคิด “EVERY HAPPINESS FOR EVERYONE” มุ่งสร้างแลนด์มาร์คไลฟ์สไตล์สำหรับครอบครัวใจกลางเมืองเชียงใหม่ และโครงการ THE PANTIP AT NGAMWONGWAN โฉมใหม่ภายใต้แนวคิด “TREASURE HUNT” สู่การเป็นศูนย์พระเครื่อง และศูนย์รวมอาหารและไลฟ์สไตล์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุด สำหรับธุรกิจค้าส่ง AWC ได้ร่วมรวมพลังผู้นำธุรกิจอาหารทั้งภาครัฐและเอกชน ขับเคลื่อนประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” ที่ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM ตอบโจทย์การค้าส่งอาหารครบวงจร พร้อมเชื่อมผู้ค้าส่งอาหารทั่วโลกกับผู้ซื้อในเขตเศรษฐกิจอาเซียน   AWC มุ่งมั่นสร้างการเติบโตต่อเนื่องและยั่งยืน โดยบริษัทได้ลงนามสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) รวมถึงสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จำนวน 20,000 ล้านบาท กับ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เพื่อรองรับแผนการพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์เสริมความแข็งแกร่งของพอร์ตโฟลิโอที่มุ่งเน้นการลดการใช้ทรัพยากร และส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในทุกมิติ ร่วมสร้างให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวยั่งยืน โดย AWC ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อระยะยาวซึ่งเป็นสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนและสินเชื่อสีเขียวเป็น 100% เพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับสังคมองค์รวม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน   AWC มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยล่าสุดบริษัทได้รับรางวัลที่สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมาตรฐานสากลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในปีนี้ AWC ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประเมินองค์กรด้านความยั่งยืน ในกลุ่มดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) พร้อมได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P Global ESG Score 2022” รวมถึงยังคงรักษาการประเมินจาก MSCI ESG Rating ในระดับ "AA" เป็นต้น สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณค่าให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน และสร้างมิติใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวยั่งยืนของไทยตามพันธกิจ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” (Building a Better Future)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม
DRT โชว์ผลงานไตรมาส 2/66 สูงกว่าเป้า  มีรายได้รวม 1,519.43 ล้าน โต 10.78%

DRT โชว์ผลงานไตรมาส 2/66 สูงกว่าเป้า มีรายได้รวม 1,519.43 ล้าน โต 10.78%

DRT เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 ทำรายได้รวม 1,519.43 ล้าน เติบโต 10.78% สูงกว่าเป้าหมาย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 166.87 ล้าน​ ตอกย้ำขีดความสามารถการแข่งขัน ภายใต้แบรนด์ “ตราเพชร” ที่แข็งแกร่ง พร้อมบริหารจัดการความเสี่ยงด้านต้นทุน ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หนุนอัตราการทำกำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ครึ่งปีแรกทำกำไรสุทธิ 344.22 ล้าน​ พร้อมเร่งเครื่องครึ่งปีหลัง วางแผนเชิงรุกดันยอดขายเติบโตตามแผน   นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2566 ว่า  บริษัททำรายได้รวม 1,519.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.78% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีกำไรสุทธิ 166.87 ล้านบาท ซึ่งมาจากขีดความสามารถการแข่งขันของบริษัท ที่มีความแข็งแกร่งของแบรนด์สินค้า และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ “ตราเพชร” รวมถึงช่องทางจัดจำหน่าย ที่ครอบคลุมความต้องการลูกค้าได้ดี ทั้งร้านค้าตัวแทนจำหน่ายรายย่อย ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ ลูกค้าโครงการผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และการส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ รวมถึงการบริหารจัดการ ด้านการผลิตที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ย 80-90% สามารถบริหารจัดการความเสี่ยง จากปัจจัยต้นทุนวัตถุดิบได้ดีขึ้น เป็นผลให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นในไตรมาส 2 เพิ่มเป็น 25.16% ดีขึ้นจากไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 24.70% ตอกย้ำถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัท​ ที่แข็งแกร่งเอาชนะความท้าทาย และความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงาน ในช่วงครึ่งปีแรก (มกราคม-มิถุนายน) ของปีนี้ มีรายได้รวม 3,071.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 344.22 ล้านบาท ผลงานในไตรมาส 2 สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินงานของบริษัท และการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เป็นผลให้มีอัตราการทำกำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้ปรับตัวดีขึ้น และขับเคลื่อนการเติบโตของผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้เช่นกัน   สำหรับแผนงานครึ่งปีหลัง บริษัทจะมุ่งทำงานเชิงรุกโดยมีแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อส่งเสริมขีดความสามารถการแข่งขัน การทำตลาดภายใต้แบรนด์ "ตราเพชร"​ และตอกย้ำจุดแข็งด้านความหลากหลายผลิตภัณฑ์ ที่สามารถนำไปก่อสร้างบ้านได้ทั้งหลัง รองรับความต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างของลูกค้าในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย ควบคู่กับการบริหารจัดการด้านการผลิต ให้มีประสิทธิภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันเป้ายอดขายเติบโต 5% และรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 25-27% ได้ตามแผน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -DRTโชว์ผลงาน Q1 ยังทำกำไร แม้รายได้ลดลงกว่า 7%
[PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม

[PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม

AWC จับมือกับ Ant Group AWC จับมือกับ Ant Group มุ่งยกระดับเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม สําหรับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ของไทย สร้างโอกาสการทำตลาดร่วมกัน ส่งเสริมการเติบโตอย่างไร้ขีดจํากัด ในการสร้างนวัตกรรมและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้วย omnichannel ช่องทางการตลาดที่เชื่อมออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ เพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงช่องทางการชําระเงินดิจิทัลระดับโลกสําหรับผู้ซื้อและผู้ขาย   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า ได้เซ็นสัญญาความร่วมมือกับ Ant Group ผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลก ร่วมสร้างความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม (Digital Technology Ecosystem) ในกลุ่มธุรกิจของ AWC พร้อมยกระดับโซลูชันการชําระเงินดิจิทัลในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยความร่วมมือกับ Ant Group นี้ จะสร้างประสบการณ์การทําธุรกรรมที่สะดวกสบายอย่างไร้รอยต่อแก่ผู้ซื้อและผู้ขายทั่วโลก นับเป็นก้าวสําคัญในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย ความร่วมมือในครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นของ AWC ในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีดิจิทัลในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นไลฟ์สไตล์ของไทย พร้อมพัฒนาอีโคซิสเต็มทางธุรกิจที่ยั่งยืนให้กับกลุ่มธุรกิจค้าส่ง กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน และกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ โดยโซลูชันนี้ จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงการบริการชําระเงินดิจิทัล และสร้างประสบการณ์ Omnichannel ให้กับผู้ซื้อและผู้ขายทั่วโลก ได้แก่ โซลูชันทางการเงินดิจิทัล (Payment Solution) สําหรับกลุ่มธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ และบริการของ AWC รวมถึง 'PhenixBox' ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Omnichannel ที่เชื่อมโยงการซื้อขายจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ และ Pikul แพลตฟอร์มดิจิทัลอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ของ AWC ซี่งการร่วมมือกันนี้ยังส่งเสริมให้ AWC สามารถขยายอีโคซิสเต็มสำหรับกลุ่มธุรกิจค้าส่งด้วยระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ (Cross-Border Payment Solution) เพื่อสร้างโซลูชันการชําระเงินแบบครบวงจรสําหรับศูนย์กลางการค้าส่งของ AWC และแพลตฟอร์ม PhenixBox ที่จะช่วยให้การชําระเงินระหว่างผู้ค้าส่งและผู้ซื้อทั่วโลกในสกุลเงินต่าง ๆ เป็นไปได้อย่างราบรื่น”Thai translation. นอกจากนี้ AWC มุ่งพัฒนาอาคาร เอ็มไพร์ ให้มี ดิจิทัลอีโคซิสเต็ม (Digital Eco-System) ที่ครอบคลุม ส่งเสริมให้เป็นพื้นที่สำนักงานไลฟ์สไตล์สําหรับบริษัทเทคโนโลยีและดิจิทัล เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจด้านเทคโนโลยี ซึ่งความร่วมมือกับ Ant Group นี้ จะส่งเสริมการทำตลาดร่วมกัน (Cross-Marketing) กระตุ้นการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยาว พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้และความเชี่ยวชาญ เปิดโอกาสทางธุรกิจ และขยายฐานลูกค้า ด้วยจุดแข็งที่แข็งแกร่งของ AWC ในการเป็นเจ้าของพอร์ตโฟลิโอที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการไลฟ์สไตล์ และเครือข่ายสํานักงานที่มีผู้เช่าเป็นบริษัทเทคโนโลยีและดิจิทัล สนับสนุนให้ความร่วมมือกับ Ant Group นี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  ผลักดันการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็มสําหรับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ในระยะยาว   นางวัลลภา กล่าวอีกว่า AWC เดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างโอกาสในการยกระดับประสบการณ์การทําธุรกรรมที่ราบรื่นให้แก่ลูกค้าและผู้ประกอบการทั่วโลก พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจในวงกว้างด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลของ Ant Group ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ตรงกันเพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า เพื่อร่วมกันส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนในธุรกิจด้วยการนําเสนอโซลูชันเทคโนโลยีดิจิทัลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย   นางสาวคลารา ชิ รองประธาน Ant Group และ Head of WorldFirst กล่าวว่า การเป็นพันธมิตรกับ AWC ตอกย้ำถึงความสำคัญของระบบการชำระเงินที่มีความคล่องตัวที่ช่วยสนับสนุนการทำธุรกรรมทั่วโลก และเป็นกลไกสู่ความสำเร็จในโลกปัจจุบันที่เชื่อมต่อถึงกันด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทาง ​​Ant Group ได้พัฒนาโซลูชันการชำระเงินข้ามพรมแดนอย่างครอบคลุมเพื่อเพิ่มความคล่องตัวของระบบการทำธุรกรรมข้ามประเทศ Ant Group มุ่งมั่นในการส่งเสริมธุรกิจต่างๆ ให้สามารถเข้าถึงและมอบประสบการณ์ที่ดีกับทั้งพันธมิตร ผู้ขาย และลูกค้าในแต่ละประเทศผ่านช่องทางการชำระเงินแบบ Omnichannel และการบริการทางการเงินต่างๆ ขององค์กรมากมาย 4 กลุ่มธุรกิจภายใตความร่วมมือ การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่าง AWC และ Ant Group นี้ จะสร้างความร่วมมือในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ได้แก่: กลุ่มธุรกิจค้าส่ง ได้ร่วมมือกับ 'WorldFirst' แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการชำระเงินและบริการทางการเงินแบบครบวงจรสำหรับ SME ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระดับโลกหรือการค้าข้ามพรมแดน ภายใต้ Ant Group มีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจค้าส่งโดยนําเสนอบริการชําระเงินข้ามประเทศ อํานวยความสะดวกสำหรับทุกขั้นตอนการใช้จ่ายจากทางออนไลน์สู่ออฟไลน์ (O2O) พร้อมขยายเครือข่ายผู้ซื้อและผู้ขายในการเป็นแพลตฟอร์ม Business-to-Business (B2B) ที่ทำให้การเข้าถึงบริการทางการเงินของซัพพลายเชนง่ายขึ้น อีกทั้ง AWC วางแผนที่จะเปิดใช้งานโซลูชันการชําระเงินข้ามประเทศในแพลตฟอร์ม  PhenixBox ที่ช่วยส่งเสริมช่องทางการชําระเงินของผู้ซื้อ การค้าขาย และการตลาด ภายในปี 2566 กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และกลุ่มธุรกิจศูนย์การค้า ความร่วมมือกับ 2C2P ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการชำระเงินเต็มรูปแบบและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ Ant Group มีเป้าหมายที่จะยกระดับช่องทางการชําระเงิน วิธีการ และประสบการณ์ของผู้ใช้ให้มีประสิทธิภาพสําหรับนักเดินทางและผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน ด้วยจุดแข็งของ Ant Group ในเทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยสร้างการเชื่อมต่อระหว่างองค์กร ผู้คน และสังคม เพื่อสร้างอีโคซิสเต็มในอาคาร ‘เอ็มไพร์’ ให้เป็นคอมมูนิตี้ดิจิทัลรูปแบบใหม่ เชื่อมต่อผู้เช่าในอุตสาหกรรมดิจิทัลเข้าด้วยกัน กลุ่มธุรกิจในด้านดิจิทัล (Digitalization Business) การทำงานร่วมกับ 2C2P เพื่อเสริมศักยภาพของช่องทางการชําระเงินและโซลูชัน e-wallet บัตรเติมเงิน และโปรแกรมระบบสมาชิกที่ปรับเพื่อการใช้งานอย่างลงตัวใน  Pikul แพลตฟอร์มดิจิทัลอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ของ AWC ที่กําลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC
เอพี ไทยแลนด์ ประกาศรายได้ครึ่งปีแรก 23,856 ล้าน เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ทั่วไทย

เอพี ไทยแลนด์ ประกาศรายได้ครึ่งปีแรก 23,856 ล้าน เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ทั่วไทย

เอพี ไทยแลนด์ เผยผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 66 เติบโตอย่างแข็งแกร่งด้วยแรงส่งจากสินค้าทุกเซกเมนต์ในเครือ ดันครึ่งปีแรกรายได้รวมมากถึง 23,856 ล้าน กำไรสุทธิ 3,023 ล้าน ผลจากสินค้าแนวราบที่ยังคงรักษาสถานะการเติบโตได้อย่างคงที่ ประกอบกับรายได้จากสินค้ากลุ่มคอนโดที่ปรับตัวกลับคืน ครึ่งปีหลังเตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 55,940 ล้าน  ​   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยมีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 23,856 ล้านบาท กำไรสุทธิเท่ากับ 3,023 ล้านบาท   ทั้งนี้ ณ ไตรมาส 2 ที่ผ่านมาบริษัทฯ สามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 12,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้รวมเท่ากับ 11,805 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิ 1,544 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 1,478 ล้านบาท เท่ากับ 4.5% โดยในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา สินค้ากลุ่มแนวราบอย่างทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยวยังถือเป็นคีย์ไดรฟ์สำคัญในการเติบโตทางรายได้และกำไรอย่างแข็งแกร่ง โดยรายได้ที่เกิดขึ้นมาจากสินค้าแนวราบคิดเป็นมูลค่า 17,358 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73% ของสัดส่วนรายได้รวมทั้งหมด ซึ่งมีบ้านเดี่ยวแบรนด์ THE CITY, CENTRO และบ้านกลางเมือง เป็นกำลังหลักหนุนสร้างรายได้รวมในกลุ่มแนวราบ   สำหรับสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม ภาพรวมธุรกิจเริ่มมีแนวโน้มเป็นบวก ประกอบกับสัญญาณการโอนกรรมสิทธิ์เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ รับรู้รายได้จาก ASPIRE รัตนาธิเบศร์ เวสต์ตัน, ASPIRE เอราวัณ ไพร์ม และคอนโดมิเนียมร่วมทุนอย่าง RHYTHM เจริญกรุง พาวิลเลี่ยน ที่ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องในไตรมาสที่ผ่านมา ณ 31 กรกฎาคม บริษัทฯ มียอดขายรวมกว่า 46,819 ล้านบาท และในครึ่งปีหลังบริษัทฯ เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 55,940 ล้านบาท โดยเป็นทาวน์โฮม 19 โครงการ มูลค่า 19,550 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 14 โครงการ มูลค่า 24,750 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 8,300 ล้านบาท และต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่า 3,340 ล้านบาท ส่งผลให้ตลอดครึ่งปีหลังเอพีจะมีโครงการพร้อมขายทั้ง กทม. และต่างจังหวัดมากกว่า 179 โครงการ มูลค่ากว่า 143,367 ล้านบาท   ทั้งนี้ ในกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ DIVE DEEPER IN PROPERTY BUSINESS ด้วยการทำงานแบบเจาะลึก เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย ผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียม กลุ่มธุรกิจพัฒนาบ้านเดี่ยว และกลุ่มธุรกิจพัฒนาทาวน์โฮม   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ จบครึ่งปีแรกทำยอดกว่า 39,500 ล้าน เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ครึ่งหลังอีก 40 โครงการ -เอพี ไทยแลนด์ 4 เดือนแรก ตุนยอดกว่า 14,264 ล้าน เปิด 16 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2
ศุภาลัย โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 14,346 ล้าน  ลุยเปิดใหม่ครึ่งปีหลัง 27 โครงการ

ศุภาลัย โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 14,346 ล้าน ลุยเปิดใหม่ครึ่งปีหลัง 27 โครงการ

ศุภาลัย เผยผลประกอบการครึ่งปีแรก ​สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง โกยรายได้รวม 14,346 ล้าน​ กำไรสุทธิ 2,781 ล้าน​ เดินหน้าลุยตลาดอสังหาฯ เต็มกำลัง ครึ่งปีหลังเปิดโครงการใหม่อีก 27 โครงการ มูลค่ารวม 28,610 ล้าน ขยายโปรดักส์ใหม่ทุกเซกเมนต์ มุ่งสู่เป้าหมายรายได้ 36,000 ล้าน   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2566 บริษัทฯ ยังคงรักษาการเติบโตที่มั่นคงต่อเนื่องและอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยสามารถสร้างรายได้รวม 14,346 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค โดยแบ่งเป็นรายได้กลุ่มสินค้าแนวราบ 65% ซึ่งถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับบริษัทฯ และรายได้กลุ่มคอนโดมิเนียม 35% โดยตลาดคอนโดเริ่มกลับมามีส่วนแบ่งในตลาดมากขึ้น และลูกค้าให้ความสนใจซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยครึ่งปีแรกมีโครงการศุภาลัย ลอฟท์ สาทร - ราชพฤกษ์ มูลค่า 1,465  ล้านบาท ซึ่งเป็นคอนโดที่สร้างเสร็จส่งมอบโครงการให้ลูกค้าไปเรียบร้อยแล้ว ขณะที่บริษัทฯ สามารถทำยอดขายรวม 6 เดือน อยู่ที่ 17,285 ล้านบาท มาจากการตอบรับที่ดีของลูกค้าในทุกทำเลโครงการที่มีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ รวมถึงเปิดตัวโครงการใหม่แล้ว 10 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค   สำหรับด้านกำไรสุทธิเท่ากับ 2,781 ล้านบาท และอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 50% ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 2.30% ต่อปี ณ วันที่ 30 มิ.ย. 66 โดยมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 19,804 ล้านบาท  ณ วันที่ 30 มิ.ย. 66 โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าและรับรู้เป็นรายได้ในปี 2566 อีกจำนวน 11,606  ล้านบาท พร้อมกันนี้บริษัทฯ ยังเดินหน้าสรรหาที่ดินในทุกทำเล สำหรับรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และยังเตรียมส่งมอบคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าสามารถทำผลงานถึงเป้ายอดขายและรายได้ที่ตั้งไว้เช่นเดิม   ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิเงินปันผล (XD) 22 ส.ค. 66 และจ่ายเงินปันผล วันที่  6 ก.ย. 66   อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มั่นใจครึ่งปีหลัง 2566 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มเริ่มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยบวกโดยเฉพาะการเติบโตของสภาพเศรษฐกิจและการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้บริษัทฯ เตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ รวม 27 โครงการ มูลค่ารวม 28,610 ล้านบาท เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้า พร้อมนำเสนอสินค้าสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมในทุกทำเล ด้วยการบริหารจัดการอย่างครบวงจร เพื่อให้ลูกค้าได้รับสินค้าที่ดีมีคุณภาพ ทำเลที่ดีที่สุด ในราคาที่เหมาะสม และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากที่สุด สามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคง ยั่งยืนในระยะยาว เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส ปรับธุรกิจและเตรียมพร้อมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศุภาลัย กวาดยอดขายครึ่งปี 17,285 ล้าน ลุยเปิด 27 โครงการใหม่
PROUD  โชว์งบครึ่งปีแรก โต 984%  กวาดยอดขาย 1,192 ล้าน

PROUD โชว์งบครึ่งปีแรก โต 984% กวาดยอดขาย 1,192 ล้าน

PROUD โชว์ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้ 1,192 ล้าน โต 984% กำไรสุทธิ 147 ล้าน  แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง เร่งโอนกรรมสิทธิ์ เตรียมปิดโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน อัดโปรฯ กระตุ้นยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมเวหา หัวหิน โครงการรมย์คอนแวนต์ คาดยอดขายทั้งปีตามเป้าหมาย 1,705 ล้าน เล็งขยายธุรกิจต่อ เตรียมลงทุนที่ดินเพิ่ม   นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ PROUD เปิดเผยว่า ผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้รวม 1,192 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,082 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 110  ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 984% และมีกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 58 ล้านบาท ขณะที่ ผลประกอบการไตรมาส 2/66 มีรายได้รวม 288 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 178 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 110  ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 162% และมีกำไรสุทธิ 9 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 20  ล้านบาท   ทั้งนี้ ผลประกอบการในส่วนของรายได้และกำไรปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการขายและทยอยส่งมอบโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน อีกทั้ง บริษัทฯ เร่งโอนกรรมสิทธิ์เตรียมปิด (Sold Out) โครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน มูลค่า 3.84 พันล้านบาท จำนวน 238 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 92% หรือมูลค่ารวม 3,515 ล้านบาท มียอดขายรอโอน (Backlog) 229 ล้านบาท  คาดการโอนเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 3/2566   อีกทั้ง บริษัทเดินหน้าจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย โครงการคอนโดมิเนียม ‘เวหา หัวหิน’(VEHHA)  คอนโดมิเนียมลักชัวรี่ที่สูงที่สุดบนทำเลศักยภาพในหัวหิน มูลค่าโครงการ 2,290 พันล้านบาท จำนวน 364 ยูนิต ปัจจุบัน มียอดขาย (Pre-Sale) แล้ว 33% โครงการ ‘รมย์ คอนแวนต์’ (ROMM Convent) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ใจกลางเมือง บนทำเลศักยภาพที่หาได้ยากที่สุดแห่งหนึ่งบนถนนคอนแวนต์ -สาทร มูลค่าโครงการรวม 4,150 ล้านบาท  ปัจจุบัน มียอดขาย (Pre-Sale) แล้ว 32%  ภาพรวมยอดขายของบริษัทฯ ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากการเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนการดำเนินงานที่วางไว้ คาดยอดขายทั้งปีเป็นไปตามเป้าหมาย 1,705 ล้านบาท สำหรับ ทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2566 มีทิศทางที่ดี บริษัทฯ มองหาโอกาสในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายฐานการสร้างรายได้ให้กว้างขึ้น วางแผนซื้อที่ดินแปลงใหม่เพิ่ม รวมถึง มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย สามารถตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุม   ทั้งนี้ การเข้าซื้อ 2 โครงการจาก บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จํากัด (มหาชน) หรือ NOBLE และ บริษัท ทีเอ็นแอล อัลไลแอนซ์ จำกัด ได้แก่ นิว ดิสทริค อาร์ 9 (NUE District R9 ) มูลค่าโครงการ 6,519 ล้านบาท และ "นิว ครอส คูคต สเตชัน (NUE Cross Khu Khot)" มูลค่าโครงการ 2,104 ล้านบาท ซึ่งมียอดขายแล้ว 100% คาดว่าเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดได้ในต้นปี 2567 เป็นต้นไป ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 9,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ตอนนี้จนถึงปี 2569   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -VI ARI บ้านเดี่ยวระดับ Ultra Luxury เริ่ม 82 ล้าน หนึ่งเดียวในย่านอารีย์      -บอร์ด โนเบิล ขาย 2 เงินลงทุนใน 2 โครงการ 867.57 ล้าน ให้ พราว เรียล เอสเตท  
ณวรางค์ แอสเซท ได้แรงหนุนสายสีชมพูสร้างใกล้เสร็จ  ส่ง “ณ รีวา รามอินทรา” รับลูกค้าย่านลาดปลาเค้า

ณวรางค์ แอสเซท ได้แรงหนุนสายสีชมพูสร้างใกล้เสร็จ ส่ง “ณ รีวา รามอินทรา” รับลูกค้าย่านลาดปลาเค้า

ณวรางค์ แอสเซท ชี้โซนลาดปลาเค้า กลายเป็นทำเลทองการอยู่อาศัย ดีมานด์พุ่งทั้งกลุ่มคนทำงาน-นักเรียนนักศึกษา รับอานิสงส์แผนเปิดใช้รถไฟฟ้า สายสีชมพู สายแคราย-มีนบุรี หลังการก่อสร้างคืบหน้ากว่า 97% เตรียมส่งโครงการ ณ รีวา รามอินทรา รองรับเทรนด์การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยคนยุคปัจจุบัน เลือก “ทำเล” มาเป็นอันดับ 1 ชูจุดเด่นโครงการ เพียง 10 นาทีถึง ม.ศรีปทุม 18 นาทีถึง ม.เกษตรศาสตร์   นายอภิภู พรหมโยธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ออกแบบโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัย เปิดเผยว่า ปัจจัยสำคัญของการเลือกที่อยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นคนเจเนอเรชั่นไหน ยังคงให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้งมาเป็นอันดับแรก เพราะต้องการใช้ชีวิตอยู่ในโครงการที่สามารถเดินทางไปยังจุดต่าง ๆ ได้สะดวก ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปทำงาน  เรียนหนังสือ การจับจ่ายใช้สอย หรือการพักผ่อน ซึ่งปัจจัยการเลือกอยู่อาศัยดังกล่าว ทำให้ผู้บริโภคจะเลือกโครงการที่อยู่ใกล้กับระบบการคมนาคมขนส่งที่สะดวกสบายมากที่สุด โดยเฉพาะอยู่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้า ทั้งเส้นทางรถไฟฟ้าเดิมที่เปิดให้บริการแล้ว เส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และมีแผนการเปิดให้บริการในเร็ว ๆ นี้   สำหรับรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง มีความคืบหน้าไปมาก และพร้อมจะเปิดให้บริการในเร็ว ๆ นี้ คือ รถไฟฟ้า สายสีชมพู เส้นทางแคราย-มีนบุรี ซึ่งเป็นระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว หรือโมโนเรล ที่มีระยะทางยาว 34.5 กิโลเมตร จำนวน 30 สถานีหลัก โดยความคืบหน้าล่าสุดในเดือนมิถุนายน 2566 มีการก่อสร้างงานโยธา อยู่ที่ 96.97% งานระบบไฟฟ้า อยู่ที่ 97.34% มีความก้าวหน้าโดยรวมอยู่ที่ 97.15% มีการวางแผนเตรียมทดสอบเดินรถเสมือนจริงช่วงปลายปี 2566 และมีแผนเปิดให้บริการเป็นระยะ ๆ รวมถึงการเปิดให้บริการเต็มรูปแบบเชิงพาณิชย์ภายในเดือนมิถุนายน 2567 นายอภิภู กล่าวว่า จากแผนการพัฒนาและเปิดใช้บริการ เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่มีความคืบหน้าและชัดเจน ส่งผลให้ตลอดเส้นทางรถไฟฟ้ากลายเป็นทำเลทองสำคัญของการอยู่อาศัย เกิดความต้องการเข้ามาอยู่อาศัยตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลลาดปลาเค้า เนื่องจากเป็นถนนที่สามารถเชื่อมต่อไปยังจุดสำคัญ ๆ ของกรุงเทพมหานคร และพื้นที่ใกล้เคียงได้สะดวก เป็นทำเลที่ตั้งของสถานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม สถานที่ราชการทางทหาร การเชื่อมต่อไปยังถนนสำคัญ อาทิ ถนนลาดพร้าว ถนนรามอินทรา ถนนเลียบทางด่วน-รามอินทรา ถนนเกษตร-นวมินทร์ และถนนพหลโยธิน   "ย่านลาดปลาเค้า เป็นจุดศูนย์กลางสำคัญแห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลซีจีเอช สถานศึกษา หน่วยงานราชการมากมาย ศูนย์กีฬาต่าง ๆ ของกองทัพบก แหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหาร การใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์กลางคืน เพื่อการกิน ดื่ม หรือแม้แต่การทำบุญหรือปฏิบัติธรรม อาทิ วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร เรียกได้ว่ามีครบทุกความต้องการ และทุกไลฟ์สไตล์ของคนกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้​"  จากเทรนด์การเลือกที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่มุ่งเน้นในเรื่องทำเลที่ตั้งมาเป็นอันดับแรก บริษัทจึงวางนโยบายการดำเนินธุรกิจ ด้วยการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ให้ความสำคัญกับเรื่องทำเลที่ตั้ง และออกแบบโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยในทุกเจเนอเรชั่น ซึ่งที่ผ่านมามีโครงการต่าง ๆ มากมายที่พัฒนาออกมาและได้รับการยอมรับด้วยดีจากกลุ่มลูกค้า อาทิ โครงการคอนโดมิเนียมหรูบนถนนหลังสวน ใกล้เซ็นทรัลชิดลม และคอนโดมิเนียมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ณ รีวา เจริญนคร ซึ่งเป็นโครงการที่มีคุณภาพ ที่สำคัญตอบโจทย์ความต้องการอยู่อาศัยของลูกค้าที่ต้องการในทำเลนั้น ๆ ด้วย   นายอภิภู กล่าวอีกว่า จากการศึกษาและวิจัยตลาด ประกอบกับศักยภาพทำเลลาดปลาเค้า ที่ตั้งอยู่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู จึงได้เตรียมเปิดตัวโครงการ ณ วีรา รามอินทรา เป็นโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อการอยู่อาศัย ที่จับกลุ่มเป้าหมายทั้งกลุ่มผู้เริ่มต้นวัยทำงาน กลุ่มนักเรียนนักศึกษา และกลุ่มนักลงทุน ที่ต้องการซื้อเพื่อปล่อยเช่า ด้วยจุดเด่นของทำเลที่ตั้งอยู่ในซอยลาดปลาเค้า 72 ถนนลาดปลาเค้า ใช้เวลาเดินทางเพียง 3 นาทีถึงรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีลาดปลาเค้า ใช้เวลาเพียง 10 นาทีถึงมหาวิทยาลัยศรีปทุม และ 18 นาทีถึงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นอกจากนี้ ยังใกล้ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลรามอินทรา The Jas รามอินทรา โดยบริษัทกำหนดเปิดการขายโครงการ ณ วีรา รามอินทรา ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้   โครงการ ณ วีรา รามอินทรา มีแนวคิดการออกแบบในสไตล์ Modern Minimal ห้องสไตล์โมเดิร์น กว้าง โปร่งสบาย แบ่งสัดส่วนอย่างลงตัวระหว่างห้องนอนกับ Living Area ภายในโครงการยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อการอยู่อาศัย อาทิ คลับเฮ้าส์ส่วนกลาง 2 ชั้น Co-working space เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ Work from home สระว่ายน้ำ และห้องฟิตเนสที่มาพร้อมกับวิวธรรมชาติ ทำให้การออกกำลังกายได้อย่างเต็มที่ Rooftop เพื่อการชมบรรยากาศที่สวยงามของวิวกรุงเทพฯ ซึ่งชมวิวได้ทั้งช่วงเวลากลางวันและกลางคืน เพิ่มความอุ่นใจในการอยู่อาศัย ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งระบบ CCTV & Security Guard   นายอภิภู กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทตั้งใจและมุ่งมั่นในการพัฒนา โครงการ ณ วีรา รามอินทรา เพื่อให้การอยู่อาศัยของลูกค้าสะดวกสบาย มีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงเลือกทำเลลาดปลาเค้า เพราะมีศักยภาพการเติบโตทั้งในปัจจุบัน และอนาคต เนื่องจากกรุงเทพฯ มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และอนาคตอันใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพูจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ จะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพให้ทำเลลาดปลาเค้าน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งโครงการ ณ วีรา รามอินทราเหมาะสำหรับผู้ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือกลุ่มนักลงทุนที่มองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนด้วยการปล่อยเช่า เพราะเป็นทำเลที่เดินทางไปยังสถานศึกษา และแหล่งงานสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย สามารถปล่อยเช่าให้กับนักเรียน นักศึกษา และกลุ่มคนทำงานได้มหาศาล   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] ณวรางค์ แอสเซท ปั้น “ณ รีวา เจริญนคร” รับเทรนด์ Well-being -ณวรางค์ แอสเซท เปิดคอนโด “ณ วรา พหลโยธิน 8” 300 ล้าน ลุยตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย
ตลาดอสังหาฯ  ปี 66 เจอปัจจัยลบรอบด้าน  แอล ดับเบิลยู เอส ปรับลดคาดการณ์โตไม่เกิน 5%

ตลาดอสังหาฯ  ปี 66 เจอปัจจัยลบรอบด้าน แอล ดับเบิลยู เอส ปรับลดคาดการณ์โตไม่เกิน 5%

แอล ดับเบิลยู เอส ปรับลดการคาดการณ์ตลาดอสังหาฯ กรุงเทพ-ปริมณฑล ปี 2566 ลงมาอยู่ที่ 0-5% จากเดิม 10-15% เป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำกว่าที่คิด ภาระหนี้ครัวเรือน และอัตราดอกเบี้ยสูง รวมทั้งการยกเลิก LTV ที่กระทบโดยตรงต่อกำลังซื้อ   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ว่า ถึงแม้เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 2565 ที่ผ่านมา แต่อัตราการเติบโตมีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากเป็นการเติบโตกระจุกอยู่ในภาคธุรกิจบริการและการท่องเที่ยว ในขณะที่ภาคการส่งออกติดลบต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ผนวกกับภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นมาแตะระดับ 90.6% อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง   คาดว่าสิ้นปี 2566 อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ไม่น้อยกว่า 2.25-2.5% ประกอบกับธนาคารแห่งประเทศไทยได้ยกเลิกมาตรการผ่อนคลายอัตราส่วนการอนุมัติสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน(Loan-to-Value: LTV) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ผนวกกับความไม่แน่นอนทางการเมืองภายหลังการเลือกตั้ง ส่งผลให้กำลังซื้อที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2566   โดย “แอล ดับเบิลยู เอส” คาดว่าตลาดอสังหาฯ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลปี 2566 จะใกล้เคียงกับปี 2566 หรือเติบโตไม่เกิน 5% โดยคาดว่าจะมีจำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่ 105,000-108,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 474,000-488,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีจำนวนการเปิดตัว 103,000 หน่วยคิดเป็นมูลค่า 457,000 ล้านบาท 6 เดือนแรกปี 66 เปิดตัว 179 โครงการ   ขณะที่จากการสำรวจการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ของ “แอล ดับเบิลยู เอส” พบว่า  ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์การเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ทั้งสิ้น 179 โครงการ เพิ่มขึ้น 9.81% จากระยะเดียวกันของปี 2565 คิดเป็นจำนวนหน่วยเปิดตัวรวมทั้งสิ้น 45,162 หน่วยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ลดลงจาก 13% จากจำนวนหน่วยเปิดตัวรวมที่ 51,946 หน่วย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ในขณะที่มูลค่าการเปิดตัวโครงการรวมในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 อยู่ที่ 203,016 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากมูลค่าการเปิดตัวที่ 188,373 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 โดยมีอัตราการขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวโครงการอยู่ที่ 18% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ลดลงจาก 25% ในระยะเดียวกันของปี 2565   จำนวนโครงการที่เปิดตัวเพิ่มขึ้นแต่จำนวนหน่วยเปิดตัวลดลงส่วนมูลค่าสูงขึ้น สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มีการเปิดตัวโครงการเพิ่มขึ้นโดยที่แต่ละโครงการมีจำนวนหน่วยการเปิดตัวลดลงและมีราคาขายที่สูงขึ้น โดยเฉพาะการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยที่เน้นตลาดบ้านราคาสูงมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อ ในขณะที่การเปิดตัวอาคารชุดพักอาศัยมีการเปิดตัวจำนวนโครงการ หน่วยเปิดตัว และราคาลดลง จากการสำรวจของ “แอล ดับเบิลยู เอส” พบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จากจำนวนการเปิดตัวโครงการทั้งหมด 179 โครงการ แบ่งเป็น 1.โครงการอาคารชุดพักอาศัย (คอนโดมิเนียม) มีโครงการเปิดตัวจำนวน 45 โครงการ ลดลง 6.2% (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่เปิดตัวจำนวน 48 โครงการ มีจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 24,167 หน่วย ลดลง 21%(YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 30,579 หน่วย มีมูลค่าเปิดตัว 68,561 ล้านบาท ลดลง 12% (YoY) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าเปิดตัว 78,078 ล้านบาท   โดยที่เดือนมิถุนายน 2566 มีจำนวนและมูลค่าการเปิดตัวโครงการสูงสุด มีจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 6,372 หน่วย เพิ่มขึ้น 58.9% คิดเป็นมูลค่า 18,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.77% เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2566  ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีอัตราการขาย ณ วันเปิดตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 28% ลดลงจาก 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่   3 ทำเลที่มีการเปิดตัวโครงการมากที่สุด ได้แก่ บางขันใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ รัชดา-ห้วยขวาง พัฒนาการ โดยราคาขายที่ได้รับความสนใจเป็นอาคารชุดที่ระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ที่ผู้ซื้อมีทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุน 2.โครงการบ้านพักอาศัย -มีการเปิดตัวทั้งสิ้น 134 โครงการ แบ่งเป็น โครงการบ้านพักอาศัยที่ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท มีจำนวน 92 โครงการ เพิ่มขึ้น 2.22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565 ที่มีจำนวนการเปิดตัว 90 โครงการ มีจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 18,467 หน่วย ลดลง 4.52% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 19,343 หน่วย มีมูลค่า 75,203 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.18% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2565 ที่มีมูลค่าการเปิดตัวอยู่ที่ 73,597 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีราคาบ้านขายเฉลี่ยอยู่ที่ 4.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% จากราคาเฉลี่ยที่ 3.8 ล้านบาทต่อหน่วยในช่วงครึ่งแรกของปี 2565   3 ทำเลที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท สูงสุด  ได้แก่ รังสิต-นครนายก ประชาอุทิศ-พุทธบูชา นวนคร โดยมีราคาขายเฉลี่ยไม่เกิน 5 ล้านบาท โครงการบ้านพักอาศัยระดับราคาเกิน 10 ล้านบาท มีการเปิดตัวจำนวน 42 โครงการ เพิ่มขึ้น 68% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวน 25 โครงการ จำนวน 2,528 หน่วย เพิ่มขึ้น 24.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 2,024 หน่วย มูลค่ารวม 59,252 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีมูลค่ารวม 36,698 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 มีอัตราการขายเฉลี่ย ณ วันเปิดตัวที่ 12% ลดลง15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  ราคาขายเฉลี่ยของบ้านพักอาศัยระดับราคาเกิน 10 ล้านบาทอยู่ที่ 23.43 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 29.23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 18.13 ล้านบาทต่อหน่วย เนื่องจากจำนวนและมูลค่าโครงการที่เพิ่มขึ้น 3 ทำเลที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านราคาเกิน 10 ล้านบาทสูงสุดได้แก่ สรงประภา-ดอนเมือง พหลโยธิน-รังสิต และ วัชรพล โดย มีอัตราการขายเฉลี่ยสูงสุดที่ 19% นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า จากข้อมูลการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้มีการปรับกลยุทธ์เปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยที่มีระดับราคาสูงเพิ่มขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของกำลังซื้อที่มีอยู่ในตลาดนี้ ในขณะเดียวกันตลาดที่อยู่อาศัยราคาเกิน 10 ล้านบาทเป็นตลาดที่มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ หรือ Rejection Rate ต่ำสุดเมื่อเทียบกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่ระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท   ทั้งนี้ จากสถานการณ์ในช่วงครึ่งแรกของปีที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารชุดพักอาศัย ทำให้ แอล ดับเบิลยู เอส คาดการณ์ว่าการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จะยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากครึ่งแรกของปี โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 ที่ทิศทางการเมืองยังมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ น่าที่จะชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 3 โดยเฉพาะโครงการอาคารชุดพักอาศัย แต่จะไปเร่งเปิดตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ถ้าทิศทางการเมืองมีความแน่นอนมากยิ่งขึ้น จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้เราคาดการณ์ว่าตลาดอสังหาฯ ในปี 2566 ทั้งปีจะมีอัตราการเติบโตใกล้เคียงกับปี 2565 หรือไม่ก็เติบโตไม่เกิน 5% ซึ่งปรับลดจากที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าว่าจะเติบโตที่ 10-15% อย่างไรก็ตาม  ผู้ประกอบการอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีแนวโน้มที่จะขยายการเปิดตัวโครงการไปในทำเลต่างจังหวัดมากขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขาย หลังจากที่เผชิญกับสถานการณ์ที่กำลังซื้อในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลชะลตัว เราจะเห็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาด มีการเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัด ที่ไกลกว่าทำเลปริมณฑลมากขึ้น ทั้งพื้นที่ EEC และพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างภูเก็ต เพื่อสร้างยอดขายและสร้างฐานรายได้ใหม่     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -LWS วิสดอม ชี้ “ราชพฤกษ์” แหล่งบ้านขายดีราคา 5.5-6 ล้าน ได้ระบบคมนาคมหนุน ทั้งถนน-รถไฟฟ้า-ทางด่วน -5 ธุรกิจบริการ เสริมนวัตกรรมดิจิทัล ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ หลังโควิด-19
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้  โชว์ผลงานรายได้-กำไร Q3/66  พร้อมรายได้ 9 เดือนกว่า 11,598 ล้าน

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ผลงานรายได้-กำไร Q3/66 พร้อมรายได้ 9 เดือนกว่า 11,598 ล้าน

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ผลงานไตรมาส 3 ทำรายได้ 4,468 ล้าน พร้อมกำไรสุทธิ 396 ล้าน​ หลังธุรกิจที่อยู่อาศัยได้รับแรงตอบรับดี ได้บ้านเดี่ยวเซกเมนต์ระดับบนหนุน ขณะที่ธุรกิจอุตสาหกรรม – พาณิชยกรรมสร้างรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการเติบโตสูง รับอานิสงส์การย้ายและขยายฐานการลงทุนมาไทย รวมถึงการท่องเที่ยวที่ขยายตัวเต็มที่ ส่วนผลประกอบการ 9 เดือนตุนรายได้ 11,598 ล้านบาท     นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ช่วงไตรมาส 3 ปีงบประมาณ 2566 (เมษายน – มิถุนายน 2566) บริษัทสามารถสร้างรายได้รายได้รวม 4,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2566 (มกราคม – มีนาคม 2566) มี จาก 3,424 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 396 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากไตรมาสก่อนหน้าที่มีกำไร 318 ล้านบาท   บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนธุรกิจอย่างรอบคอบ โดยให้ความสำคัญในการบริหารจัดการเงินทุน เพื่อรักษาเสถียรภาพและคงสภาพคล่องทางการเงิน รองรับโอกาสการฟื้นตัวของตลาด ภายใต้กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นในการรับมือสภาวะเศรษฐกิจ รวมถึงเสริมความพร้อมเข้าลงทุนธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกิจการควบคู่กับการบริหารจัดการองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานตามเป้าหมาย สำหรับไตรมาส 3 กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยสร้างรายได้ 2,708 ล้านบาท เป็นผลมาจากการออกแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่อง และสามารถสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงสามารถกวาดยอดขายได้ 6,134 ล้านบาท โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปได้รับการตอบรับดี ซึ่งไตรมาส 3 ได้เปิดโครงการอัลพีน่า พระราม 2 บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ราคา 20 – 35 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท   ขณะที่สิ้นไตรมาสบริษัทมีโครงการดำเนินการอยู่ 78 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 108,700 ล้านบาท  ส่วนในไตรมาส 4 ของปีงบประมาณ 2566 (กรกฎาคม - กันยายน 2566) บริษัทเตรียมเปิดตัวบ้านและทาวน์โฮมเพิ่มอีก 2 โครงการ รวมมูลค่า 2,830 ล้านบาท  ปัจจุบันบริษัทมีแบ็กล็อกอีกกว่า 1,000 ล้านบาทที่จะช่วยผลักดันผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง   ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมสามารถทำรายได้จากค่าเช่าและค่าบริการได้ถึง 710 ล้านบาท แรงหนุนมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมที่ได้รับอานิสงส์จากยุทธศาสตร์ China Plus One และภูมิศาสตร์การเมืองโลกที่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติย้ายฐานและขยายการลงทุนมายังประเทศไทย ซึ่งมีที่ตั้งบนทำเลยุทธศาสตร์พร้อมด้วยศักยภาพที่เหมาะกับการเป็นฐานการผลิต ทำให้โรงงานและคลังสินค้าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้เช่า โดยบริษัทได้ส่งมอบอาคารคลังสินค้าแบบสร้างตามความต้องการ (Built-to-Suit) ให้กับผู้ให้บริการโลจิสติกส์รายใหญ่อันดับต้นของเอเชียแปซิฟิก มีพื้นที่ใช้สอยรวม 20,000 ตร.ม. ในโครงการเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (บางพลี 7) เฟส 2 จังหวัดสมุทรปราการ และสามารถรักษาอัตราการเช่าของพอร์ตโฟลิโอได้สูงถึง 86%   ด้านกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม พอร์ตโฟลิโอของอาคารสำนักงานให้เช่าเกรดเอในพื้นที่ CBD และโครงการมิกซ์ยูสมีอัตราการเช่าสูงถึง 93% ด้วยความสามารถในการบริหารจัดการที่รองรับการใช้งานของผู้เช่า ผู้ใช้อาคาร และลูกค้าได้อย่างครอบคลุม   ล่าสุด อาคารที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการทั้งปาร์คเวนเชอร์ เอฟวายไอ เซนเตอร์ และสามย่านมิตรทาวน์ผ่านการรับรองจาก WiredScore มาตรฐานระดับโลกการันตีความสามารถด้านการเชื่อมต่อและโครงสร้างด้านสาธารณูปโภคดิจิทัลของอาคารเทียบเท่าในระดับสากล ส่วนศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์และสีลมเอจมีทราฟฟิกสูงต่อเนื่อง เป็นผลจากการฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศ และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาในไทยมากขึ้น ซึ่งจากการขยายตัวของภาคท่องเที่ยวได้ส่งผลบวกต่อธุรกิจโรงแรมด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ จากรายได้ของธุรกิจโรงแรมที่เติบโตขึ้น รวมถึงรายได้ค่าบริหารจัดการ การขายที่ดิน และการจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท ย่อยที่ดำเนินธุรกิจด้านดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของ FPT ที่ปรับการใช้เงินลงทุนในอนาคตเพื่อมุ่งเน้นการลงทุนในกลุ่มธุรกิจหลัก ส่งผลให้ในไตรมาสนี้ บริษัทรับรู้รายได้อื่น ๆ รวม 1,050 ล้านบาท สำหรับโครงการในอนาคต FPT มีแผนพัฒนาสินทรัพย์โครงการเมย์แฟร์ แมริออท เอ็กเซกคิวทีฟ อพาร์ตเมนต์ (Mayfair Marriott Executive Apartment)  เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ เพื่อเป็นการต่อยอดทางธุรกิจ และเพิ่มผลตอบแทนให้กับบริษัทในระยะยาว   สำหรับผลประกอบการรอบระยะเวลา 9 เดือนของปีงบประมาณ 2566 (ตุลาคม 2565 – มิถุนายน 2566) FPT มีรายได้รวม 11,598 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 7,691 ล้านบาท รายได้ค่าเช่าและค่าบริการ 2,061 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ 1,846 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,031 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ปรับแผนธุรกิจปี 65 เพิ่มพอร์ต บ้านหรู ปูทางโตอย่างยั่งยืน เล็งรายได้คอนโด 20% -เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ​โชว์กำไร 6 เดือน เฉียดพันล้าน หลังใช้ธุรกิจเชิงรุก -ผลดีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ