Tag : News

2400 ผลลัพธ์
PCL ดัน อินเตอร์เชน บริหาร รร.ภายใต้ชื่อเจ้าของ ตั้งเป้าเติบโตเท่าตัวต่อเนื่อง 5 ปี

PCL ดัน อินเตอร์เชน บริหาร รร.ภายใต้ชื่อเจ้าของ ตั้งเป้าเติบโตเท่าตัวต่อเนื่อง 5 ปี

PCL ประกาศฉลอง 10 ปีความสำเร็จ ขึ้นแท่นผู้นำธุรกิจพัฒนาและบริหารโรงแรมชั้นนำ ผลักดัน อินเตอร์เชน ปักธงบริหารโรงแรมภายใต้ชื่อเจ้าของ ตั้งเป้าเติบโตเท่าตัวต่อเนื่อง 5 ปีซ้อน   PCL ขึ้นแท่นยืนหนึ่งผู้นำธุรกิจพัฒนาและบริหารโรงแรม วางโรดแมป 5 ปี ก้าวสู่ผู้นำธุรกิจโรงแรมระดับภูมิภาคเอเชีย ตั้งเป้าเติบโตปีละ 100% หรือหนึ่งเท่าตัว ขยายพอร์ตโรงแรมภายใต้การบริหารเป็น 5,000 ห้อง ประกาศเตรียมวางแผนลงทุนเอง 5 แห่ง ในหัวเมืองหลัก ชี้ติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูก กุญแจสู่ความสำเร็จของธุรกิจโรงแรมยุคใหม่  ล่าสุดคว้าสิทธิ์บริหาร 2 โรงแรมใหม่ ได้แก่  Nivata Koh Samui, Tapestry Collection by Hilton และ  Hampton by Hilton Phuket Town โรงแรมแห่งแรกของแบรนด์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ในกลุ่มโรงแรมระดับ Upper-Midscale ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง     ปฐม ศิริวัฒนประยูร ประธานกรรมการบริหาร (CEO) บริษัท พีซีแอล ฮอสปิทาลิตี้ จำกัด (PCL  Hospitality) บริษัทผู้ให้บริการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โรงแรมแบบครบวงจร ได้ประกาศวิสัยทัศน์ในการยกระดับมาตรฐานธุรกิจโรงแรมของประเทศไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล ผ่านโมเดลที่แตกต่าง ซึ่งหล่อหลอมจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมากว่า 3 ทศวรรษ     “หัวใจสำคัญที่ทำให้บริษัทฯ โดดเด่นและรักษาความเป็นผู้นำมาโดยตลอด คือรูปแบบธุรกิจที่ให้บริการแบบครบวงจร โดยมุ่งเน้นการวางรากฐานที่ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ การกำหนดรูปแบบและแนวทางของโรงแรมให้เหมาะสม การจัดทำงบประมาณ ตลอดจนการวิเคราะห์ผลตอบแทนจากการลงทุน เพื่อช่วยลดความเสี่ยงทั้งด้านเงินทุนและเวลา และสร้างความมั่นใจว่าทุกการลงทุนจะนำไปสู่ความสำเร็จอย่างมั่นคงและยั่งยืน สำหรับกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักลงทุน บริษัทฯ ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการโครงการช่วงก่อนก่อสร้าง (Pre-Construction Project Management) โดยทำหน้าที่ควบคุมงานออกแบบ ทบทวนแบบเพื่อให้สามารถใช้งานได้จริง และประสานงานระหว่างทีมต่างๆ เพื่อให้โครงการดำเนินไปอย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพสูงสุด และสามารถส่งมอบได้ตามแผนที่วางไว้   บริษัทฯ มีบริการหลายรูปแบบ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ทั้งการบริหารภายใต้ชื่อเจ้าของ (White Label) ที่มอบความยืดหยุ่นและโอกาสในการสร้างแบรนด์ของตนเอง รวมทั้งบริหารภายใต้แบรนด์โรงแรมชั้นนำของเครือโรงแรมระดับโลก (International Chain) ซึ่งเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับโรงแรม ตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป เป็นกลยุทธ์ที่พิสูจน์ถึงความสำเร็จอย่างสูงในตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป บริษัทฯ พร้อมที่จะผลักดันให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกหลักในภูมิภาคนี้”     PCL ได้รับความไว้วางใจจาก International Chain ที่ให้ความเชื่อมั่นเป็น preferred partner ที่มีบทบาทตั้งแต่การวางแผนพัฒนาไปจนถึงการบริหารจัดการอย่างเต็มรูปแบบ ล่าสุด เราภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับ Hilton ในการเปิดตัว Nivata Koh Samui, Tapestry Collection by Hilton ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปีนี้ และ Hampton by Hilton Phuket Town ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของแบรนด์นี้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  นอกจากนี้ยังเนรมิต Wyndham Jomtien Pattaya ให้กลายเป็นที่พักระดับพรีเมียมในพัทยา รวมทั้งโครงการยักษ์ใหญ่อย่าง Vega City Nha Trang เวียดนาม ที่รวบรวมโรงแรมในเครือ Melia, Grand Melia และ New World ไว้ด้วยกัน     ขณะเดียวกัน PCL ยังเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ ภายใต้โมเดลแฟรนไชส์ของเครือโรงแรมระดับโลก อย่าง Renaissance Pattaya โดยพัฒนาตั้งแต่เริ่มต้นจากที่ดินเปล่า บริหารจนกลายเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาวที่ได้รับความนิยมจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ นอกจากนี้ยังได้บริหารโรงแรม Best Western Matter ติวานนท์ ซึ่งเป็นการพลิกโฉมอาคารเดิมให้กลายเป็นโรงแรมคุณภาพระดับสากล สะท้อนถึงความหลากหลายในผลงานของบริษัทฯ และเป็นบทพิสูจน์ถึงความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ในส่วนการบริหารจัดการโรงแรมแบบ White Label ที่พัฒนาขึ้นโดยเจ้าของแบรนด์เอง อาทิ Riva Vibe Hotel Bangkok ที่เราช่วยสร้างสรรค์ตั้งแต่แนวคิดไปจนถึงการบริหาร เพื่อส่งมอบประสบการณ์การเข้าพักที่แตกต่างและมีเอกลักษณ์ รวมถึง Rain Tree Khao Yai Hotel  ที่บริษัทฯ ได้นำความเชี่ยวชาญมาใช้เพื่อยกระดับการบริการและสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า     “ภาพรวมธุรกิจโรงแรมและที่พักในประเทศไทย มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยยังเป็น World-class Destination  ของนักท่องเที่ยว ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งภูมิประเทศ ผู้คน วัฒนธรรม การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยบวกสำคัญ โดยมีแรงหนุนจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวและฟรี วีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่สำคัญคือ การกลับมาของนักท่องเที่ยวกลุ่มกำลังซื้อสูงจากยุโรป ตะวันออกกลาง อินเดีย และจีน ซึ่งส่งผลให้ราคาห้องพักในกรุงเทพฯ และจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญปรับตัวสูงขึ้น และมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ควรเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต”  ปฐม กล่าว     ศรินญา มหาดำรงค์กุล กรรมการบริหาร โรงแรมเรเนซองส์ พัทยา รีสอร์ท แอนด์ สปา เปิดเผยว่า “เรามองเห็นศักยภาพการเติบโตของนาจอมเทียน พัทยา จึงตัดสินใจบุกเบิกพัฒนาโรงแรม เรเนซองส์ พัทยาฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ของเครือ Marriott โดยโครงการประสบความสำเร็จด้วยดีมาตลอด 8 ปี เราร่วมมือกับ PCL ในการพัฒนาโรงแรมตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยความเชี่ยวชาญของ PCL ที่เปรียบเสมือนทางลัดสู่ความสำเร็จ ช่วยลดความเสี่ยงและเสริมสร้างความมั่นใจในการดำเนินงาน เพราะความสำคัญของธุรกิจโรงแรมคือการบริหารประสบการณ์ของแขกและพนักงานให้ดีที่สุด”     เจน จงสถิตย์วัฒนา กรรมการบริหาร โรงแรม เรนทรี เขาใหญ่ กล่าวว่า “โรงแรมส่งเสริมการเรียนรู้ในเครือของบริษัทนานมีบุ๊คส์  โดยออกแบบทุกพื้นที่ให้สร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้เข้าพัก การเข้ามาของ PCL ช่วยยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าได้อย่างชัดเจน คะแนนความพึงพอใจเพิ่มขึ้นต่อเนื่องภายในระยะเวลาอันสั้น ด้วยความเข้าใจในวัตถุประสงค์ และความสามารถในการบริหารต่อยอดเอกลักษณ์ของโรงแรม ทั้งบรรยากาศธรรมชาติและกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับท้องถิ่น ซึ่งกลายเป็นเสน่ห์ที่แขกจดจำและประทับใจ”       มร.คริสเตียน พุชเชอร์ (Mr. Christian Pucher) Managing Director Development – Southeast Asia, Hilton เปิดเผยว่า “PCL และกลุ่มโรงแรมฮิลตัน (Hilton Group) ได้สานต่อความร่วมมืออันแน่นแฟ้นซึ่งดำเนินมาอย่างยาวนาน ด้วยพื้นฐานแห่งความไว้วางใจและความเป็นมืออาชีพ PCL ได้แสดงถึงศักยภาพด้วยผลงานที่ได้รับการยอมรับอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด PCLได้รับการแต่งตั้งให้บริหารโรงแรมใหม่สองแห่ง ได้แก่ Hampton by Hilton Phuket Town และ Nivata Koh Samui, Tapestry Collection by Hilton ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญของกลยุทธ์การขยายแบรนด์ของ Hilton ในภูมิภาค และสะท้อนถึงศักยภาพของ PCL ในการดำเนินงานตามมาตรฐานระดับโลก พร้อมยกระดับประสบการณ์ผู้เข้าพัก และสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย”     ด้วยวิสัยทัศน์ที่เฉียบคมและแผนงานที่แข็งแกร่ง PCL Hospitality กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่นในการสนับสนุนและทำงานอย่างเต็มที่ร่วมกับผู้ประกอบการทุกภาคส่วนเพื่อสร้างปรากฏการณ์แห่งความสำเร็จร่วมกันในธุรกิจโรงแรม ทั้งในไทยและต่างประเทศ   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ ICS ร่วมกับ SIRIRAJ H SOLUTIONS ฉลองครบรอบ 2 ปี โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ 10 ปีแห่งความสำเร็จในการบริหารโรงแรมครบวงจร AWC ร่วมกับ แมริออท เปิดตัว “รร. พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา”    
SECOM เปิดสนง.ใหญ่แห่งใหม่ ยกระดับศูนย์ควบคุมการรักษาความปลอดภัย

SECOM เปิดสนง.ใหญ่แห่งใหม่ ยกระดับศูนย์ควบคุมการรักษาความปลอดภัย

SECOM เปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ในไทย ยกระดับศูนย์ควบคุมหัวใจของการให้บริการรักษาความปลอดภัย ภายใต้ธีม “Real Protection. Real People”   SECOM ผู้นำด้านระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรจากประเทศญี่ปุ่น เปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ในประเทศไทย ในงาน SECOM Open House & Control center ภายใต้แนวคิด "Real Protection. Real People." โดยสำนักงานใหม่นี้ได้รวมศูนย์ควบคุม 24 ชั่วโมง (Control Center) โชว์รูมนวัตกรรม Demo House และ Demo Café ไว้ในพื้นที่เดียวกันอย่างครบครัน เพื่อแสดงศักยภาพการเป็น Smart Security Brand อันดับ 1 ทั้งในไทยและญี่ปุ่น   นายคิโยชิ โมริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รักษาความปลอดภัย ไทยซีคอม จำกัด กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญที่สุดของ SECOM ในภูมิภาคอาเซียน การเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่นี้เป็นมากกว่าการขยายพื้นที่ แต่เป็นการรวมศูนย์กลางสำคัญของบริษัทไว้ในที่เดียว เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือภายในองค์กร และยกระดับคุณภาพการให้บริการแก่ลูกค้า   SECOM มีความมุ่งมั่นในการส่งมอบ 'Peace of Mind' อย่างแท้จริงให้แก่ทุกครอบครัวและทุกองค์กร ผ่านเทคโนโลยีที่เชื่อถือได้ บริการรักษาความปลอดภัยระดับมืออาชีพ และประสบการณ์อันยาวนานกว่า 37 ปี สำนักงานแห่งใหม่นี้ได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับการปฏิบัติงาน มีดีไซน์ที่ทันสมัย และเปิดให้ลูกค้าเข้าชม เพื่อสัมผัสถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพบริการอย่างใกล้ชิด”   ไฮไลต์สำคัญของงานคือการพาชมโชว์รูม Demo House และ Demo Café รวมถึงศูนย์ควบคุม (Control Center) ที่อยู่ภายใต้พื้นที่เดียวกัน ในรูปแบบ “Interactive Security Experience” ให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสประสบการณ์การรักษาความปลอดภัยแบบเรียลไทม์ครบวงจร  ภายใต้แนวคิด "Hybrid Security" โซลูชันใหม่แห่งการรักษาความปลอดภัยที่ผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะกับความชำนาญของมนุษย์ โซลูชันนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ปัญหาต้นทุนที่เพิ่มขึ้นในสายงานรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะค่าแรงเจ้าหน้าที่ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและระบบการจ่ายค่าล่วงเวลา โดย SECOM เสนอแนวทางการผสมผสานระหว่างบุคลากรรักษาความปลอดภัยในสถานที่จริง กับบริการเฝ้าระวังแบบมืออาชีพตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ด้วยระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อให้มั่นใจถึงประสิทธิภาพ ควบคุมต้นทุนและการป้องกันที่ดียิ่งขึ้น โดยระบบนี้ยังคงรักษามูลค่าของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เป็นมนุษย์ไว้ ในขณะเดียวกันก็ขยายขีดความสามารถของพวกเขาผ่านเทคโนโลยีจากศูนย์ควบคุมที่มีบทบาทสำคัญในบริการเฝ้าระวังของ SECOM สำหรับในประเทศไทยมีผู้ให้บริการเพียงไม่กี่ราย ที่สามารถนำเสนอบริการลักษณะนี้ จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ SECOM ได้รับความไว้วางใจจากภาคธุรกิจอย่างกว้างขวาง     นาย เอกรัฐ วิภาณุรัตน์ กรรมการบริษัท รักษาความปลอดภัย ไทยซีคอม จำกัด กล่าวว่า "Hybrid Security" คือคำตอบสำหรับความท้าทายด้านต้นทุนที่สูงในปัจจุบัน โลกสมัยใหม่ต้องการมากกว่าแค่เพียงมนุษย์หรือเครื่องจักร แต่ต้องการการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ SECOM ส่งมอบสิ่งนั้นด้วยการบูรณาการกล้อง AI และระบบแจ้งเตือนอัจฉริยะ เข้ากับทีมเฝ้าระวังมืออาชีพตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันพร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เพื่อให้มั่นใจถึงระดับความปลอดภัยที่ดีขึ้น พร้อมลดต้นทุนการดำเนินงาน”     ภายในงานยังได้รับเกียรติจากองค์กรที่ให้ความไว้วางใจในระบบ Security ของ SECOM มาร่วมพูดคุยในหัวข้อ "Real Protection. Real People." โดยคุณวิทวัต เพชรกระจายแสง ผู้อำนวยการอาวุโส จากธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ทางธนาคารเป็นลูกค้าของ SECOM มานานกว่า 6 ปี โดยมีการติดตั้งระบบครอบคลุมกว่า 140 สาขาทั่วประเทศ ในฐานะองค์กรที่มีหลายสาขา เราต้องการทั้งความน่าเชื่อถือและมีความยืดหยุ่นต่อการใช้งาน SECOM เป็นมากกว่าผู้ให้บริการ—พวกเขาคือพันธมิตรที่แท้จริงที่เข้าใจธุรกิจของเรา โดยให้ทั้งความปลอดภัยและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นของธนาคาร”   SECOM เปิดให้กลุ่มธุรกิจและประชาชนที่สนใจเข้าชม “Interactive Security Experience” ณ โชว์รูมสำนักงานใหญ่ ได้แล้ววันนี้ เพื่อสัมผัสระบบ AI, แอปพลิเคชัน และบริการหลังการขายอย่างใกล้ชิด พร้อมให้คำปรึกษาฟรีในทุกแง่มุมของ การออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับองค์กร ร้านค้า และครัวเรือน ติดต่อเพื่อสัมผัสประสบการณ์การรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร ได้ที่ 02-026-6593 รับชมรายละเอียดการทำงานของ Control center ได้ทาง https://youtu.be/kN5X_Tu-nNw  และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารและนวัตกรรมใหม่ๆ ของ SECOM ได้ที่เว็บไซต์ www.secom.co.th และโซเชียลมีเดีย www.facebook.com/secomthailandofficial  
เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น คว้ารางวัล Mall of the Year – Thailand

เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น คว้ารางวัล Mall of the Year – Thailand

เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น คว้ารางวัล Mall of the Year - Thailand จากเวที Retail Asia Awards 2025 ด้วยวิสัยทัศน์ AWC ร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก   แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ตอกย้ำความสำเร็จบนเวทีระดับภูมิภาคอีกครั้ง ด้วยการนำ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น (Asiatique The Riverfront Destination) คว้ารางวัล Mall of the Year - Thailand (รางวัลศูนย์การค้าแห่งปี – ประเทศไทย) จากงาน Retail Asia Awards 2025 สำหรับโครงการภายใต้ AWC’s Lifestyle Destination โมเดลที่โดดเด่นในฐานะรีเทล-เทนเม้นท์ (Retail-Tainment’) ริมแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดของไทย รวมที่สุดของทุกกิจกรรมการท่องเที่ยวเช้าจรดค่ำสำหรับทุกคนในครอบครัวภายใต้แนวคิด “All Day Everyday Happiness” นำเสนอประสบการณ์ที่หลากหลายทั้งด้านการช้อปปิ้ง มรดกทางวัฒนธรรม และนวัตกรรมด้านอาหาร ผสานประสบการณ์ความบันเทิงระดับโลก เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ พร้อมเตรียมสร้างความตื่นเต้นต่อเนื่องกับการเปิดตัวโครงการ Jurassic World: The Experience อย่างเป็นทางการในวันที่ 8 สิงหาคม 2568 ควบคู่กับ Jurassic World: The Experience Hatch Dome ที่นำเสนอประสบการณ์เรียนรู้ด้านความยั่งยืน “Better World, Better Future” ผ่านเทคโนโลยี 4D เสมือนจริง โดยแหล่งท่องเที่ยวใหม่เหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกรุงเทพฯ ให้ก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางด้านรีเทล-เทนเม้นท์ระดับโลก สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ AWC ในการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนผ่านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก     มร. ไมเคิล ฮาริท หัวหน้าคณะกลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียล แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า “AWC รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับรางวัล ‘Mall of the Year – Thailand’ และขอขอบคุณท่านลูกค้า ผู้เช่าทุกท่าน รวมถึงพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ให้การสนับสนุนทางโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น มาโดยตลอดจนได้รับรางวัลอันทรงเกียรติในวันนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการพัฒนาโครงการในรูปแบบ AWC’s Lifestyle Destination ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างจุดหมายปลายทางอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งขับเคลื่อนด้วยประสบการณ์ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเสริมสร้างภาพลักษณ์ด้านการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านรีเทล-เทนเม้นท์ชั้นนำของประเทศ โดย AWC มุ่งมั่นในการมอบประสบการณ์ระดับโลกแก่ผู้มาเยือนผ่านการสร้างสรรค์ 3 ประสบการณ์สำคัญ ได้แก่ การนำเสนอประสบการณ์ระดับโลกภายใต้แนวคิด Festival Village อาทิ Jurassic World: The Experience และประสบการณ์ 4D ด้านความยั่งยืน‘Better World, Better Future’ รวมถึงการสร้างความโดดเด่นในฐานะจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุด โดยมีไฮไลต์ใหม่ล่าสุดอย่างห้องอาหารภายใต้ธีม Jurassic World แห่งแรกของโลกนอกสวนสนุก รวมถึงการสร้างสรรค์ Lifestyle Market ที่คัดสรรแบรนด์ชั้นนำและร้านค้าท้องถิ่นหลากหลาย ภายใต้พันธกิจของเราที่จะ ‘Building Better Future For All’ เพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้ทุกคน”     รางวัล Retail Asia Awards จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีโดยนิตยสาร Retail Asia ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องมากว่า 20 ปี เพื่อยกย่องความเป็นเลิศขององค์กรชั้นนำในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มีบทบาทโดดเด่นในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมค้าปลีก ทั้งในด้านนวัตกรรม ประสบการณ์ลูกค้า ความยั่งยืน และการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อสังคมและเศรษฐกิจ โดยการคว้ารางวัล Mall of the Year - Thailand สะท้อนถึงความสำเร็จของ AWC ในการพัฒนาโครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ให้เป็นแลนด์มาร์กสำคัญระดับโลก โดยโครงการนี้ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของ AWC River Journey Project ที่เชื่อมโยงแลนด์มาร์กทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวริมสายน้ำเจ้าพระยา โดยตั้งอยู่บนพื้นที่ประวัติศาสตร์ซึ่งเดิมเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าแห่งแรกของประเทศไทยในยุครัชกาลที่ 5 ซึ่ง AWC ได้พลิกโฉมพื้นที่แห่งนี้ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง พร้อมผสานประสบการณ์และการบริการทันสมัย ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวทุกไลฟ์สไตล์ตามคอนเซปต์ “All Day Everyday Happiness” นำเสนอกิจกรรมหลากหลาย ตั้งแต่ร้านอาหารริมแม่น้ำ ประสบการณ์เชิงวัฒนธรรม การช้อปปิ้ง ไปจนถึงความบันเทิงระดับโลก     นอกจากนี้ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ยังสร้างความตื่นเต้นอย่างต่อเนื่องในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลก ด้วยการเตรียมเปิดตัว “Jurassic World: The Experience” ประสบการณ์ความบันเทิงรูปแบบอิมเมอร์ซีฟครั้งยิ่งใหญ่ใหม่ที่สุดในโลกสำหรับครอบครัวและนักท่องเที่ยวทุกวัย เคียงคู่กับ Jurassic World: The Experience Hatch Dome ที่นำเสนอ “Better World, Better Future” ประสบการณ์เรียนรู้ด้านความยั่งยืนของ AWC ผ่านเทคโนโลยี Liminal 4D Experience ผ่านเรื่องราวการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เข้ากับการตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ธรรมชาติในปัจจุบัน นอกจากนี้ AWC ยังได้ขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับหลากหลายพันธมิตร ทั้งหน่วยงานภาครัฐ พันธมิตรระดับโลก และเครือโรงแรมชั้นนำมากมาย เพื่อนำเสนอประสบการณ์ด้านอาหารและการบริการริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผ่านการคัดสรรร้านอาหารคุณภาพเยี่ยมที่หลากหลาย อาทิ Jurassic World: The Experience Fossil & Flame Restaurant ห้องอาหารธีม Jurassic World แห่งแรกของโลกนอกสวนสนุก ที่ผสานเรื่องราวจากภาพยนตร์เข้ากับประสบการณ์การรับประทานอาหารในรูปแบบอิมเมอร์ซีฟ ห้องอาหาร “เอเชียทีค แอนเชี่ยนท์ ที เฮ้าส์”  ร้านติ่มซำที่บอกเล่าเรื่องราวเชื่อมโยงระหว่างราชอาณาจักรสยามและนานาชาติบนพื้นที่ประวัติศาสตร์ ห้องอาหาร “เดอะ คริสตัลล์ กริลล์ เฮาส์” ร้านสเต็กเฮาส์และซีฟู้ดกริลล์สุดพิเศษ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากประวัติศาสตร์การค้าขายของสยามกับนานาประเทศในช่วงรัชกาลที่ 5 เชื่อมโยงกับ “เรือสิริมหรรณพ” ที่สร้างจากต้นแบบเรือใบสามเสาลำสุดท้ายในราชนาวีไทยที่นำพาความรุ่งเรืองจากโพ้นน้ำตะวันตกมาสู่ผืนดินสยาม รวมถึง “โอกุระ ครุซ” เรือไคเซกิและเทปันยากิสุดหรูลำแรกของโลกโดยโอกุระ ที่มอบประสบการณ์ระดับไฟน์ไดนิ่งหรูหราไม่ซ้ำใคร ผสานประเพณีการทำอาหารญี่ปุ่นดั้งเดิมเข้ากับเรื่องราวแบบร่วมสมัย ซึ่งล้วนแต่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ     ด้วยวิสัยทัศน์ในการพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด AWC’s Lifestyle Destination เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ AWC มุ่งมั่นสร้างสรรค์โครงการแลนด์มาร์กที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก ด้วยพันธกิจ Building Better Future For All หรือ สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้ทุกคน   ข่าวที่น่าสนใจ AWC ร่วมกับ แมริออท เปิดตัว “รร. พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา” บนหาดจอมเทียน AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์ AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น
Midea รุกตลาดระบบปรับอากาศสำหรับอาคารพาณิชย์ ตั้งโรงงานใหม่ในระยอง

Midea รุกตลาดระบบปรับอากาศสำหรับอาคารพาณิชย์ ตั้งโรงงานใหม่ในระยอง

Midea รุกตลาดระบบปรับอากาศสำหรับอาคารพาณิชย์ ตั้งโรงงานใหม่ในระยอง Midea (ไมเดีย) ผู้นำด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอัจฉริยะระดับโลก เดินหน้าขยายธุรกิจภายใต้ชื่อ Midea Building Technologies (MBT) ขยายทีมบริการครบวงจร เดินหน้าสร้างพันธมิตรคู่ค้าทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมความพร้อมรุกตลาดระบบปรับอากาศสำหรับอาคาร พร้อมเปิดโรงงานบนพื้นที่ 46 ไร่ในนิคมอุตสาหกรรมซีพีจีซี จังหวัดระยอง ด้วยงบลงทุน 2,260 ล้านบาท ชูนวัตกรรมระบบปรับอากาศสำหรับอาคารเชิงพาณิชย์ที่ประหยัดพลังงาน ลดต้นทุนการติดตั้ง และมีอายุการใช้งานยาวนาน พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมระบบปรับอากาศไทย ขับเคลื่อนแรงงานศักยภาพและเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน   ปัจจุบันความต้องการระบบทำความร้อน ระบายอากาศ และปรับอากาศ (HVAC) ในภาคครัวเรือน เชิงพาณิชย์ และภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นซึ่งแปรผันตามการขยายตัวของเมืองและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศกำลังพัฒนา โดยคาดการณ์ว่า อุตสาหกรรมระบบ HVAC ทั่วโลกจะเติบโตต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ร้อยละ 6.4 ตั้งแต่ปี 2567 ถึงปี 2574 คิดเป็นมูลค่า 218,320 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2567 และเติบโตถึง 338,620 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2574 โดยตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดสำหรับระบบ HVAC เนื่องจากปัจจัยขับเคลื่อนต่าง ๆ อาทิ การเติบโตของประชากร สภาพภูมิอากาศ การขยายตัวของเมืองที่เพิ่มขึ้น และภาคการก่อสร้างเชิงพาณิชย์ที่ขยายตัว[1]     ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตเครื่องปรับอากาศที่สำคัญระดับโลก และส่งออกเครื่องปรับอากาศแบบติดผนังมากกว่า 21 ล้านเครื่องในปี 2567 คิดเป็นมูลค่าการส่งออกถึง 7,044 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปี 2566 ส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้ส่งออกเครื่องปรับอากาศรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจากสาธารณรัฐประชาชนจีนและเม็กซิโก [2]   นายแจ๊ปสัน ไจ๋ ผู้อำนวยการ Midea Building Technologies ประเทศไทย กล่าวว่า “การขยายธุรกิจของไมเดียสู่ตลาดระบบปรับอากาศสำหรับอาคารเชิงพาณิชย์ภายใต้ชื่อ Midea Building Technologiesนับเป็นก้าวสำคัญภายใต้กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของไมเดียเพื่อตอกย้ำการเป็น World’s No. 1 Air Treatment Brand โดยประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพทั้งในเชิงพื้นที่และตลาดเครื่องปรับอากาศที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ไมเดียเชื่อมั่นว่าการเปิดโรงงานผลิตระบบปรับอากาศสำหรับอาคารแห่งนี้จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจระบบปรับอากาศในเมืองไทยให้เติบโตยิ่งขึ้น ผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ตลอดจนส่งเสริมคุณภาพชีวิตของแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดระยองและจังหวัดใกล้เคียง”     “ไมเดียได้เตรียมความพร้อมในการรองรับการขยายธุรกิจสำหรับระบบปรับอากาศสำหรับอาคารเชิงพาณิชย์ในด้านบุคลากรที่จะสนับสนุนการบริการครบวงจร ทั้งทีมขาย ทีมวิศวกรรม และทีมผู้เชี่ยวชาญด้านระบบปรับอากาศสำหรับอาคารเชิงพาณิชย์ รวมถึงมีแผนในการตั้งศูนย์ Training Center ระดับ 5 ดาวอย่างเป็นทางการแห่งแรกในประเทศไทยภายในปลายปีนี้ เพื่อรองรับการพัฒนาศักยภาพแรงงานและส่งเสริมบุคลากรสำหรับตลาดระบบปรับอากาศสำหรับอาคาร  นอกจากนี้ยังมีการขยายและสร้างพันธมิตรทางธุรกิจให้มีความหลากหลายเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด HVAC ในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นตั้งแต่วิศวกรผู้ออกแบบระบบจนถึงเจ้าของโครงการทั้งภาครัฐและเอกชน” นายแจ๊ปสัน กล่าวเสริม     ล่าสุดไมเดียได้เปิดโรงงานแห่งใหม่สำหรับผลิตระบบปรับอากาศโดยเฉพาะบนพื้นที่ 46 ไร่ในนิคมอุตสาหกรรมซีพีจีซี อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง ด้วยงบการลงทุน 2,260 ล้านบาท ซึ่งมีกำลังการผลิต 600,000 ยูนิตต่อปี โดยใช้เทคโนโลยีโลจิสติกส์อัจฉริยะ “1+3+3+N” ประกอบด้วย ศูนย์โลจิสติกส์ 1 แห่ง คลังสินค้าสามมิติ 3 แห่ง สายพานลำเลียงแบบพิเศษ 3 ชุด และรถขนส่งอัตโนมัติ (AGV) จำนวน N ชุด โดยผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในโรงงานแห่งนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เลือกใช้วัสดุในการผลิตที่สามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ใหม่ได้ ทั้งพลาสติกรีไซเคิลและวัสดุทางเลือก รวมถึงการใช้สารทำความเย็นที่มีค่า GWP ต่ำ เช่น R454B และ R290 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างห่วงโซ่อุปทานสีเขียวและสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และนโยบายการดำเนินธุรกิจของไมเดียในการให้ความสำคัญด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมและลดคาร์บอนอย่างต่อเนื่อง อันเป็นรากฐานในการสนับสนุนการดำเนินธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน   สำหรับผลิตภัณฑ์ระบบปรับอากาศสำหรับอาคารที่ผลิตในโรงงานแห่งนี้ ประกอบด้วย Variable Refrigerant Flow (VRF) ระบบปรับอากาศแบบปรับปริมาณน้ำยาอัตโนมัติที่ออกแบบโดยคำนึงถึงนวัตกรรมการประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสำคัญซึ่ง VRF ของ MBT มีนวัตกรรมที่โดดเด่น ดังนี้ เทคโนโลยี HyperLink ชิปบัสการสื่อสารที่ช่วยให้การติดตั้งง่ายขึ้น ลดต้นทุนการติดตั้ง และรองรับการเดินสายแบบยืดหยุ่น ช่วยให้ระบบสามารถใช้ไฟฟ้าได้สม่ำเสมอ เหมาะสำหรับอาคารขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อน เทคโนโลยี Shieldbox ตู้ควบคุมไฟฟ้าแบบปิดมาตรฐาน IP55 ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รับความเสียหายจากปัจจัยภายนอก มาพร้อมกับการระบายความร้อนและพัดลมหมุนเวียนอากาศเพื่อรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสม เทคโนโลยี Midea Evaporating Temperature Alternation (META) 2.0 เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ไฟฟ้าได้มากกว่าร้อยละ 28 ด้วยเซนเซอร์ปรับระดับสารทำความเย็นและปรับอุณหภูมิการระเหยตามสภาพแวดล้อมในห้องเพื่อควบคุมอุณหภูมิได้อย่างแม่นยำ Midea Magnetic Chiller เครื่องทำความเย็นแบบแรงเหวี่ยงแม่เหล็กประสิทธิภาพสูงซึ่งสามารถทำความเย็นได้รวดเร็วและทั่วถึง ช่วยประหยัดพลังงานและมีอายุการใช้งานยาวนาน นับเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการยอมรับจากตลาดอย่างกว้างขวาง       ปัจจุบัน ประเทศไทยมีโรงงานภายใต้ไมเดียกรุ๊ป จำนวน 8 แห่ง ครอบคลุมการผลิตตั้งแต่เครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และระบบปรับอากาศสำหรับอาคารเชิงพาณิชย์ รวมกำลังการผลิตทั้งสิ้น 4 ล้านเครื่องต่อปี ซึ่งการตั้งโรงงานผลิตระบบเครื่องปรับอากาศสำหรับอาคารแห่งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยผ่านการสร้างงานและพัฒนาทักษะวิชาชีพให้ผู้คนในพื้นที่จังหวัดระยองและบริเวณใกล้เคียง รวมไปถึงกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งระบบขนส่งพิเศษและระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างยั่งยืน นอกจากนี้ Midea Building Technologies ประเทศไทยยังมุ่งผลักดันและส่งเสริมอุตสาหกรรม HVAC ด้วยการสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สมาคมวิศวกรรมปรับอากาศแห่งประเทศไทย และสมาคมวิศวกรที่ปรึกษาเครื่องกลและไฟฟ้าไทย การเข้าร่วมและสนับสนุนการจัดงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดังกล่าว รวมถึงการส่งเสริมความรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์แก่นักเรียนนักศึกษา ด้วยความมุ่งหวังในการเป็นฟันเฟืองที่ช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเติบโตอย่างยั่งยืน   “การขยายธุรกิจและการเปิดโรงงานแห่งใหม่ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของไมเดียในการนำเสนอนวัตกรรมที่ครอบคลุมความต้องการและสร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีแก่ผู้บริโภค และความตั้งใจในการเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันอุตสาหกรรมปรับอากาศไทยและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต ควบคู่ไปกับการสร้างโอกาสทางอาชีพและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับแรงงานศักยภาพไทย” นายแจ๊ปสัน กล่าวสรุป   [1] https://www.benchmarkintl.com/insights/2024-construction-spotlight-global-hvac-industry-report/ [2] https://www.aseanbriefing.com/news/thailand-a-global-leader-in-air-conditioner-manufacturing-and-export/    
ICS ร่วมกับ SIRIRAJ H SOLUTIONS ฉลองครบรอบ 2 ปี เปิดเวทีสุขภาพฟรี!

ICS ร่วมกับ SIRIRAJ H SOLUTIONS ฉลองครบรอบ 2 ปี เปิดเวทีสุขภาพฟรี!

ICS ร่วมกับ SIRIRAJ H SOLUTIONS ฉลองครบรอบ 2 ปี เปิดเวทีสุขภาพฟรี! ไอซีเอส ไลฟ์สไตล์ คอมเพล็กซ์ ตรงข้ามไอคอนสยาม จับมือ ศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันและบูรณาการสมดุลชีวิต SIRIRAJ H SOLUTIONS เฉลิมฉลองครบรอบ 2 ปีของการเปิดศูนย์ฯ จัดงาน “ปีที่ 2 แห่งแรงบันดาลใจของการใส่ใจสุขภาพในทุกวินาที : The 2nd Year of Health Inspirations in Every Second” นำเสนอกิจกรรมพิเศษ ทั้งเสวนาด้านสุขภาพในหลากหลายหัวข้อน่าสนใจ บูธนิทรรศการให้ความรู้ การแสดงดนตรีสด และร่วมสนุกลุ้นรับของรางวัลมากมาย ณ Event Space ชั้น M ไอซีเอส ระหว่างวันที่ 7-11 กรกฎาคม 2568 พร้อมมอบโปรโมชันสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ให้สมาชิก ONESIAM ลูกค้า SIRIRAJ H SOLUTIONS แลกรับของรางวัลมูลค่ารวมกว่า 100,000 บาท         ศ.ดร.นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันและบูรณาการสมดุลชีวิต SIRIRAJ H SOLUTIONS ได้เปิดให้บริการ 19 คลินิก ที่ครอบคลุมทุกเพศ ทุกวัย และเข้าถึงง่ายในการดูแลสุขภาพครบวงจร พร้อมให้การดูแลด้านการฉีดวัคซีนตามช่วงอายุ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ วัคซีน HPV วัคซีนไข้เลือดออก วัคซีนงูสวัด และหัตถการที่รองรับการคัดกรองความเสี่ยงทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น การตรวจ CT Low dose การคัดกรองภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง หรือการคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยการตรวจ Mammogram โดยศูนย์ถันยรักษ์ เป็นต้น ซึ่งนับตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2567 มีจำนวนผู้รับบริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งรายบุคคล ตลอดจนในรูปแบบองค์กรภาครัฐและเอกชน รวม 2 ปี มีผู้รับบริการไปแล้วกว่า 48,000 ราย โดยคลินิกที่มีผู้รับบริการมากที่สุด 5 ลำดับ ได้แก่ คลินิกเลเซอร์ผิวหนังและความงาม, ศูนย์ตรวจสุขภาพ, คลินิกอายุรศาสตร์, ศูนย์ถันยรักษ์ และคลินิกสุขภาพหญิง ตามลำดับ นับได้ว่าเป็นความสำเร็จอีกขั้นของการให้บริการด้านการแพทย์โดยทีมแพทย์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ในการให้บริการทางการแพทย์ภายนอกโรงพยาบาลศิริราช     “จากสถิติในปีที่ผ่านมา มีผู้มารับบริการที่ SIRIRAJ H SOLUTIONS ในวันจันทร์-วันศุกร์ เฉลี่ย 250-300 รายต่อวัน และในวันเสาร์-วันอาทิตย์ เฉลี่ย 400-500 รายต่อวัน โดยส่วนใหญ่เป็นชาวไทย 90% ชาวต่างชาติ 10% และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ย 5-10% ต่อเดือน ตามกระแสความต้องการของผู้ใส่ใจสุขภาพที่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น สำหรับปีที่ 3 ที่กำลังมาถึง เราตั้งเป้าที่จะเพิ่มการบริการให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาได้เปิดคลินิกใหม่ 2 คลินิกบริการ คือ คลินิกทันตกรรม ซึ่งมีผู้สนใจเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสุขภาพฟัน การขูดหินปูน การถอนฟัน การผ่าฟันคุด รวมถึงการรักษาโรคเหงือก นับตั้งแต่เปิดให้บริการเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา มียอดผู้รับบริการมากกว่า 500 รายแล้ว และคลินิก Sleep @SIRIRAJ H SOLUTIONS ที่เปิดให้ผู้มีปัญหาด้านการนอนกรนซึ่งส่งผลต่อภาวะสุขภาพ สามารถรับบริการขอคำปรึกษาโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนได้ อีกทั้งยังมีบริการ Sleep Test @Home รับเครื่องตรวจการนอนหลับไปทดสอบการนอนที่บ้าน โดยที่ผู้รับบริการไม่ต้องนอนโรงพยาบาล ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้รับบริการรายใหม่มากขึ้น 20% โดยมีแผนรองรับผู้ใช้บริการประมาณ 500-1,000 รายต่อวัน นอกจากนี้ยังมีแผนการขยายฐานผู้รับบริการในปี 2569 ไปยังผู้รับบริการแบบองค์กรภาครัฐและเอกชนด้วยการเพิ่มบริการตรวจสุขภาพและบริการฉีดวัคซีนนอกสถานที่โดย Mobile Checkup เพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละองค์กรและสถานประกอบการ” ศ.ดร.นพ.ยงยุทธ ศิริวัฒนอักษร กล่าว     ด้าน คุณไพรัช วิเศษศิริลักษณ์ ผู้บริหารสายงานบริการลูกค้า บริษัท ไอซีเอส จำกัดกล่าวว่า “ปัจจุบัน ผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับการใส่ใจสุขภาพมากขึ้น จนเทรนด์การดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตกลายเป็นหนึ่งในไลฟ์สไตล์ของผู้คนยุคใหม่ ซึ่ง SIRIRAJ H SOLUTIONS ถือเป็นหนึ่งในโมเดลที่ตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้อย่างรอบด้าน ด้วยการให้บริการด้านสุขภาพเชิงลึกโดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมองค์ความรู้ที่น่าเชื่อถือของศิริราช โดยความสำเร็จตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า SIRIRAJ H SOLUTIONS ได้กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายที่คนรักสุขภาพทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความไว้วางใจ เป็นศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันและบูรณาการที่เข้าถึงได้สะดวก และมั่นใจได้ในคุณภาพมาตรฐาน ยิ่งไปกว่านั้น SIRIRAJ H SOLUTIONS ยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเทรนด์ Wellness Tourism การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่ตอบรับกับวิถีชีวิตยุคใหม่ ให้เดินหน้าเติบโตอย่างมีศักยภาพ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ไอซีเอส ในการสร้างคอมมูนิตี้ที่ส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างสมดุล มีคุณภาพ และมีความสุขในทุกวัน เราเชื่อว่านับจากนี้ ไอซีเอส และ SIRIRAJ H SOLUTIONS จะจับมือเป็นพันธมิตรที่ร่วมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับสังคมต่อไปอีกในปีที่ 3 และปีต่อ ๆ ไปอย่างมั่นคงและยั่งยืนในอนาคต”   "SIRIRAJ H SOLUTIONS คือภาพของความร่วมมือระหว่างภาคการแพทย์ระดับแนวหน้ากับภาคธุรกิจและชุมชน ที่ร่วมกันคิด ร่วมกันสร้าง และผลักดันนวัตกรรมสุขภาพให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด Co-creation ของ ICS ที่เชื่อว่าทุกภาคส่วนสามารถร่วมกันขับเคลื่อนสังคมคุณภาพได้" คุณไพรัช กล่าวเพิ่มเติม     โดยในโอกาสครบรอบ 2 ปีของการเปิดให้บริการนี้ SIRIRAJ H SOLUTIONS และ ไอซีเอส ได้ร่วมกันจัดงาน “ปีที่ 2 แห่งแรงบันดาลใจของการใส่ใจสุขภาพในทุกวินาที : The 2nd Year of Health Inspirations in Every Second” ขึ้นระหว่างวันที่ 7-11 กรกฎาคม 2568 นำเสนอกิจกรรมพิเศษหลากหลายให้ลูกค้าทุกท่านได้เก็บเกี่ยวสาระความรู้ด้านสุขภาพและการแพทย์ ร่วมถึงกิจกรรมความบันเทิงมากมาย ณ Event Space ชั้น M ไอซีเอส ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น.   วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 เปิดเวทีเสวนาในหัวข้อ การดูแลตนเองด้วยหลักธรรมานามัยตามศาสตราการแพทย์แผนไทย, กิจกรรม Health Talk เรื่อง “HPV” และคำแนะนำปฏิบัติตนภายหลังการรับวัคซีน และบรรยายพิเศษเรื่อง เท้าแบนในเด็ก และการบำบัดด้วยกายอุปกรณ์ วันที่ 8 กรกฎาคม 2568 แนะนำรายการตรวจสุขภาพ และโปรแกรมวัคซีนตามช่วงวัย, เสวนาในหัวข้อ SMART USE, SAFER HEALTH : ใช้ยาอย่างฉลาด และปลอดภัย และให้ความรู้บริหารร่างกาย เพื่อลดการเกิด “Office Syndrome” วันที่ 9 กรกฎาคม 2568 กิจกรรม Sport Performance Center และ ศิลปะเพื่อสุขภาวะ โดย อ. สุชาติ วงษ์ทอง วันที่ 10 กรกฎาคม 2568 กิจกรรม HEALTH TALK เรื่อง “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” ชมการแสดงจากทีมนักร้องประสานเสียง “The Melodies of Triam 38” และร่วมสนุกกับการตอบคำถามรับของรางวัล วันที่ 11 กรกฎาคม 2568 ประชาสัมพันธ์ โปรแกรมวัคซีนตามช่วงวัย และการให้บริการของ SIRIRAJ H SOLUTIONS ก่อนรับชมการแสดงดนตรี   นอกจากนี้ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองให้กับความสำเร็จในปีที่ 2 ก้าวสู่ปีที่ 3 ของ SIRIRAJ H SOLUTIONS ไอซีเอส ยังมอบโปรโมชั่นพิเศษสุดเอ็กคลูซีฟ “The 2nd Anniversary Healthy Verse 2Gether” ให้สมาชิก ONESIAM ที่ซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพหรือหัตถการความงามกับ SIRIRAJ H SOLUTIONS ครบ 5,000 บาทขึ้นไป แลกรับ SIAM GIFT CARD มูลค่า 1,000  บาท ได้ทันที จำนวน 100 สิทธิ์ตลอดรายการ รวมมูลค่า 100,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 7 - 31 กรกฎาคม 2568 ติดตามเงื่อนไขการรับรางวัลได้ที่เฟสบุ๊ก ICS     ขอเชิญคนรักสุขภาพและผู้สนใจ มาร่วมเก็บเกี่ยวความรู้ในการดูแลตัวเอง สนุกกับกิจกรรมสุดพิเศษ เพื่อฉลองให้กับ “ปีที่ 2 แห่งแรงบันดาลใจของการใส่ใจสุขภาพในทุกวินาที : The 2nd Year of Health Inspirations in Every Second” ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 11 กรกฎาคม 2568 ณ Event Space ชั้น M ไอซีเอส และรับโปรโมชันสุดคุ้มจากไอซีเอส และ SIRIRAJ H SOLUTIONS ได้ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 กรกฎาคม 2568   SIRIRAJ H SOLUTIONS เปิดให้บริการแก่ผู้ที่รักสุขภาพทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-22.00 น. บนชั้น 5 ไอซีเอส สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 02-414-1144 หรือติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ Website : https://sirirajhsolutions.com/  หรือ Facebook : SIRIRAJ H SOLUTIONS   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ “JUMBO Seafood” พร้อมเสิร์ฟ 7 เมนูใหม่ให้ลิ้มลองเฉพาะที่ไอคอนสยามเท่านั้น EnergyLIB เปิดตัว “LIB Solar Townhome” เปิดแอร์ชิล 8 ชั่วโมง  
AWC ร่วมกับ แมริออท เปิดตัว “รร. พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา” บนหาดจอมเทียน

AWC ร่วมกับ แมริออท เปิดตัว “รร. พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา” บนหาดจอมเทียน

AWC ร่วมกับ แมริออท เปิดตัว “รร. พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา” บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร และแมริออท อินเตอร์เนชันแนล (Marriott International) ผู้นำเครือโรงแรมชั้นนำระดับโลก เปิดตัว “โรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา” (Pattaya Marriott Resort and Spa) โรงแรมภายใต้แบรนด์แมริออทแห่งแรกบนหาดจอมเทียน เมืองพัทยา ที่จะร่วมสร้างความแข็งแกร่งให้การท่องเที่ยวเมืองพัทยาสู่การเป็นจุดหมายปลายทางระดับโลกอย่างยั่งยืน โดยได้รับเกียรติจาก คุณฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คุณธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี คุณปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา คุณระพีพรรณ รัตนเหลี่ยม นายกเทศมนตรีตำบลนาจอมเทียน เป็นประธานร่วมในพิธีเปิด โดยมี คุณบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานกรรมการ และคุณวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) และ มร. แบรด เอ็ดแมน รองประธานกรรมการประจำประเทศไทย กัมพูชา และเมียนมา แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ให้การต้อนรับ     โรงแรมระดับพรีเมียมแห่งนี้ประกอบไปด้วยอาคารสูง 14 ชั้น ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักท่องเที่ยวกลุ่มครอบครัวและไลฟ์สไตล์ที่มองหาประสบการณ์การพักผ่อนสุดประทับใจ ประกอบด้วยห้องพักทั้งหมด 289 ห้อง รวมถึงห้องสวีทวิวทะเลพร้อมอ่างจากุซซี่ ห้อง Pool Sky Villas และยังเตรียมกิจกรรมและเครื่องเล่น Waterplay สุดพิเศษมากมาย ทั้งสระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้พูลที่มองเห็นวิวพระอาทิตย์ตก สระว่ายน้ำสำหรับครอบครัว และสไลเดอร์ยักษ์ที่เห็นวิวทะเลที่สวยที่สุด เชื่อมต่อพื้นที่หลากหลายความสนุกของเมืองพัทยาตอบโจทย์ความสุขให้กับนักเดินทางทุกเจเนอเรชันและทุกคนในครอบครัว โดดเด่นด้วยการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์จากแรงบันดาลใจภายใต้แนวคิด “Sugar Palm Trees Paradise” ที่ผสานกลิ่นอายวัฒนธรรมท้องถิ่นเข้ากับสไตล์ทรอปิคอลร่วมสมัย สร้างสรรค์ประสบการณ์การเข้าพักที่เชื่อมโยงความยั่งยืน ความสะดวกสบาย และเสน่ห์เฉพาะตัวเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน พร้อมมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารอันหลากหลาย ตั้งแต่อาหาร  อิตาเลียนชั้นเลิศ อาหารญี่ปุ่นพร้อมวิวทะเลแบบพาโนรามา ไปจนถึงมื้อสบายๆ กับบรรยากาศชายทะเล โดยโรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา จะร่วมเป็นพลังสนับสนุนเมืองพัทยาในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพอย่างยั่งยืน     นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า  “AWC และแมริออท อินเตอร์เนชันแนล มีวิสัยทัศน์ร่วมกันในการพัฒนาโครงการคุณภาพภายใต้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมระดับสากล พร้อมมุ่งสร้างคุณค่าองค์รวมให้กับชุมชนและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เราเชื่อมั่นว่าโรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา จะเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางแห่งความสุขที่ตอบโจทย์การท่องเที่ยวสำหรับทุกคนในครอบครัว”   “โครงการนี้พัฒนาตามกลยุทธ์การเติบโตของ AWC ด้วยการเพิ่มสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างกระแสรายได้ที่มั่นคง ด้วยโครงสร้างและวินัยทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยโครงการได้รับการพัฒนาให้เป็นจุดหมายปลายทางริมทะเลที่เติมเต็มความสุขสุดพิเศษสำหรับครอบครัว และมีแผนพัฒนาต่อเนื่องในเฟสที่สองพร้อมอาคารใหม่อีกหนึ่งอาคารที่จะเสริมจำนวนห้องพัก ห้องประชุม และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อรองรับทั้งกลุ่มลูกค้าครอบครัว และกลุ่ม MICE โดยเน้นการสร้างคุณค่าระยะยาวทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการสนับสนุนการเติบโตของเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)”     นายแบรด เอ็ดแมน รองประธานกรรมการประจำประเทศไทย กัมพูชา และเมียนมา แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สานต่อความร่วมมือกับ AWC ผ่านการเปิดตัวโรงแรมพัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการขยายพอร์ตโฟลิโอของแมริออทในประเทศไทย การเปิดตัวในครั้งนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการขับเคลื่อนอนาคตของอุตสาหกรรมการบริการในประเทศไทย ด้วยการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูงในทำเลที่กำลังเติบโตอย่างมีศักยภาพ โรงแรมแห่งนี้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในระยะยาวของแมริออทที่มีต่อประเทศไทย พร้อมถ่ายทอดคำมั่นสัญญาของแบรนด์ในการมอบประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์เพื่อตอบโจทย์นักเดินทางยุคใหม่ได้อย่างลงตัว และด้วยเครือข่ายสมาชิกของ Marriott Bonvoy ที่มีอยู่ทั่วโลก แขกผู้เข้าพักจะได้เพลิดเพลินกับสิทธิประโยชน์มากมาย พร้อมทั้งได้สัมผัสจิตวิญญาณของท้องถิ่นผ่านประสบการณ์ที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน” โรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา เป็นโรงแรมระดับพรีเมียมจากเครือโรงแรมระดับโลกแห่งแรกบนหาดจอมเทียน ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักเดินทางหลากหลายรูปแบบ ทั้งครอบครัว คู่รักที่ต้องการช่วงเวลาสุดโรแมนติก กลุ่มเพื่อนที่ร่วมเดินทางด้วยกัน หรือผู้ที่ต้องการผสมผสานการทำงานและการพักผ่อนไว้ในทริปเดียว ผู้เข้าพักสามารถเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมสำหรับครอบครัวอย่างครบวงจร รวมถึงสไลเดอร์น้ำสุดพิเศษ ที่พร้อมเติมเต็มประสบการณ์การเข้าพักด้วยบรรยากาศริมทะเลอันมีชีวิตชีวาและเสน่ห์เฉพาะตัวของเมืองพัทยา       นอกจากนี้ โรงแรมยังพร้อมตอบโจทย์ผู้เข้าพักในทุกไลฟ์สไตล์ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย ครอบคลุมการพักผ่อน การทำงาน และการดูแลสุขภาพ อาทิ สระว่ายน้ำอินฟินิตี้พูลที่มองเห็นวิวพระอาทิตย์ตก สระว่ายน้ำสำหรับครอบครัว Quan Spa และสวนเพื่อสุขภาพ รวมถึงสวนและบาร์บนชั้นดาดฟ้า พร้อมห้องประชุม 4 ห้อง เอ็กเซ็กคิวทีฟเลานจ์ และฟิตเนสเซ็นเตอร์ที่ทันสมัย เหมาะสำหรับการจัดสัมมนาองค์กรและกิจกรรมกลุ่ม   ด้านการรับประทานอาหาร ทางโรงแรมมีห้องอาหารและบาร์หลากหลายรูปแบบที่ได้รับการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน ไม่ว่าจะเป็น Goji Kitchen Grill & Bar นำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวาตลอดทั้งวัน พร้อมด้วยครัวเปิดและบรรยากาศแสนอบอุ่น ห้องอาหาร La Familiare ที่ให้บริการอาหารอิตาเลียนรสเลิศ ห้องอาหารญี่ปุ่นพร้อมวิวหาดจอมเทียนแบบ 180 องศา ร้าน Siam Bakery ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากร้านเบเกอรีแบบคลาสสิก Siam Pool Bar & Lounge บาร์ริมสระว่ายน้ำพร้อมบริการเครื่องดื่มเติมความสดชื่นตลอดวัน และ Sunbird Bar ในบรรยากาศหรูหราพร้อมวิวทะเลแบบพาโนรามา นอกจากนี้ยังมีเมนูอาหารเพื่อสุขภาพและแผนโภชนาการเฉพาะบุคคลที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์ผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ เพื่อมอบประสบการณ์การพักผ่อนที่สมดุลทั้งกายและใจ     “ด้วยพันธกิจ “Building Better Future For all” ของ AWC โรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา ได้รับการออกแบบตามมาตรฐาน LEED ระดับ Gold สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของ AWC ในการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้สิ่งแวดล้อม สังคมและชุมชนในเมืองพัทยา ซึ่งถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดย AWC ได้พัฒนาโครงการขนาดใหญ่อื่นๆ อีกหลายโครงการในพื้นที่ รวมถึง The Aquatique Destinations Pattaya โครงการระดับแฟลกชิปภายใต้แนวคิด AWC’s Lifestyle Destination ที่สะท้อนความมุ่งมั่นในการร่วมเสริมภูมิทัศน์การท่องเที่ยวของเมืองพัทยา และสนับสนุนประเทศไทยในฐานะผู้นำด้านการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ และการท่องเที่ยวยั่งยืนในระดับโลก” นางวัลลภากล่าวสรุป   ผู้สนใจสามารถสำรองห้องพักได้ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสำรองห้องพักได้ที่อีเมล pattaya.reservations@marriott.com โทร +66 (0) 33 168 542 หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ที่ www.marriottpattaya.com   ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์ AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น
โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ 10 ปีแห่งความสำเร็จในการบริหารโรงแรมครบวงจร ตั้งเป้าไป 10 ประเทศใน 6 ทวีป

โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ 10 ปีแห่งความสำเร็จในการบริหารโรงแรมครบวงจร ตั้งเป้าไป 10 ประเทศใน 6 ทวีป

โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ 10 ปีแห่งความสำเร็จในการบริหารโรงแรมครบวงจร ตั้งเป้าไป 10 ประเทศใน 6 ทวีป บริษัท โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ KGH บริษัทรับบริหารจัดการโรงแรมอย่างมืออาชีพที่ก่อตั้งในประเทศไทยโดยผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่น ที่มุ่งมั่นส่งมอบบริการที่เป็นมิตรและน่าประทับใจของคนไทย ผสานกับระบบการทำงานด้วยมาตรฐานญี่ปุ่นอย่างลงตัว ต่อยอดทศวรรษแห่งความสำเร็จจากการนำโมเดลการจัดการจากส่วนกลาง (Centralized Operation) มาเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายให้กับโรงแรมขนาดกลางภายใต้การบริหารจัดการโดย KGH ทั้ง 41 แห่ง ด้วยการเดินหน้าเปิด 3 บริการใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์เจ้าของโรงแรม ช่วยสร้างผลตอบแทนและขยายฐานลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เล็งสยายปีกการให้บริการไปยังฟิลิปปินส์ พร้อมขับเคลื่อนสู่เป้าหมายระดับโลก ตั้งเป้าร่วมมือพันธมิตรในการบริหารโรงแรม 1,000 แห่งใน 10 ประเทศ จาก 6 ทวีปทั่วโลก นอกจากนี้ ยังมุ่งพัฒนาบุคลากรมืออาชีพที่มีเส้นทางความก้าวหน้าที่ชัดเจนและพัฒนาศักยภาพจนกลายเป็นมืออาชีพตัวจริง   ปรัชญาและกลยุทธ์เบื้องหลังทศวรรษแห่งความสำเร็จในธุรกิจรับบริหารโรงแรมครบวงจรของ KGH   นายเรย์ มัทสึดะ ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “กลยุทธ์ความสำเร็จตลอด 10 ปีของการดำเนินธุรกิจที่เข้ามาพลิกโฉมการบริหารงานโรงแรมในประเทศไทยของ KGH เป็นการนำแนวคิดการทำงานตามปรัชญาไคเซ็น (Kaizen) ของญี่ปุ่นเข้ามาใช้ โดยเน้นระบบการจัดการ ความเที่ยงตรง ความใส่ใจในรายละเอียด และการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยตอบโจทย์ความท้าทายต่าง ๆ ที่เจ้าของโรงแรมขนาดกลางต้องเผชิญตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจเลยทีเดียว โดยโมเดลการบริหารจัดการจากส่วนกลาง (Centralized Operation) ของ KGH ช่วยให้การบริหารมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยใช้บุคลากรหน้างานน้อยลงและต้นทุนลดลง พร้อมทีมสนับสนุนหลังบ้านที่มีประสิทธิภาพจากสำนักงานใหญ่ การสนับสนุนของทีมงานช่วยให้โรงแรมแต่ละแห่ง สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการขายและสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้ ขณะที่มีต้นทุนการบริหารลดลง ตัวอย่างเช่น โรงแรมขนาด 75 ห้อง ที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีพนักงานให้บริการที่โรงแรมเพียง 17 คน สำหรับปฏิบัติงานด้านต่าง ๆ เช่น ผู้จัดการโรงแรม ต้อนรับและบริการลูกค้า แม่บ้าน และวิศวกร สำหรับงานบางตำแหน่ง เช่น เชฟ ฝ่ายบัญชี ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายไอที ฝ่ายขายและการตลาด และฝ่ายทรัพยากรบุคคล อาจไม่จำเป็นต้องประจำที่โรงแรม แต่ดำเนินงานโดยทีมสนับสนุนจากส่วนกลางหรือสำนักงานใหญ่ สำหรับโรงแรมที่มีฝ่ายงานต่าง ๆ คล้ายกันนี้ และมีห้องอาหารด้วย ก็อาจต้องมีพนักงานประจำเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว”   นอกจากนี้ KGH ยังจัดตั้ง KokoHub ศูนย์กลางระบบจัดซื้อและกระจายสินค้าจากส่วนกลาง เพื่อให้บริการแบรนด์โรงแรมในเครือ KGH ทั้งหมด การมีทีมงานมืออาชีพจากส่วนกลางและอำนาจต่อรองจากการสั่งซื้อจำนวนมาก ทำให้พันธมิตรได้ประโยชน์จากราคาที่ถูกลง ลดความถี่ในการจัดส่ง และลดความเสี่ยงที่จะเกิดข้อผิดพลาดได้อีกด้วย KGH กับมาตรฐานการดำเนินงานเหนือระดับและอินไซต์เชิงลึก “บริษัทประสบความสำเร็จในระดับสูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรม โดยมีอัตรากำไรจากการดำเนินการของอสังหาริมทรัพย์ (Profit Margin at Property Level) ที่ 57% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานของโรงแรมระดับกลาง (Industry Average) ที่ 25% - 35% ส่วน ADR(Average Daily Rate) ก็ทำได้สูงขึ้นแบบมีนัยสำคัญกว่าก่อนหน้าที่ KGH จะเข้ามาร่วมบริหาร ตัวอย่างเช่น โคโคเทล แบงค็อก เทวา ทองหล่อ ที่มีอัตราค่าห้องเฉลี่ยต่อวัน (ADR) เพิ่มขึ้น 106% จาก 694 บาท ก่อนที่ KGH จะเริ่มดำเนินการในปี 2563 เป็น 1,434 บาท ในปี 2567 ความสำเร็จเหล่านี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบริหารงานอย่างมืออาชีพของเรา ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้บริษัทสามารถบรรลุข้อตกลงได้ทั้งในประเทศไทย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ซึ่งเรามั่นใจว่าจะสามารถปิดดีลได้ประมาณ 100 แห่งภายในปี 2569”   ทั้งนี้ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ได้ประเมินว่าธุรกิจโรงแรมและที่พักจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2568 จากการที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากทั้งจีน เอเชียใต้ ยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก รวมทั้งการเดินทางท่องเที่ยวของคนไทยไปยังเมืองหลักและเมืองรอง นอกจากนี้ ยังมีการเดินทางท่องเที่ยวแบบหมู่คณะกับครอบครัวและเพื่อนกันมากขึ้น สอดคล้องกับผลการสำรวจผู้เข้าชมงานไทยเที่ยวไทยประจำปี 2567 ที่พบว่า 35% ของนักท่องเที่ยวแบบ Tribe Travel ให้ความสนใจซื้อแพ็คเกจที่พักและจองทัวร์แบบหมู่คณะ   “สำหรับประเทศไทย มีโรงแรมขนาดกลางประมาณ 5,400 แห่ง แต่ละแห่งมีห้องพัก 50-200ห้อง ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ KGH ให้ความสำคัญ โดยหวังจะนำความรู้ความเชี่ยวชาญของบริษัท เข้าไปช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการในการเพิ่มรายได้ ด้วยการลดต้นทุน ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานบริหาร พร้อมสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าและทำให้เกิดความผูกพันกับโรงแรมมากขึ้น” นายเรย์ กล่าว เปิดตัว 3 บริการใหม่ ขับเคลื่อน “วิสัยทัศน์แห่งอนาคต” (Future Vision) เพื่อเติบโตไปด้วยกัน ด้านนายภวัติ เพียรเพ็ญศิริวงศ์ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาธุรกิจ การสร้างสรรค์แบรนด์และการออกแบบโรงแรม บริษัท โคโค โกลบอล ฮอสพิทอลลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะบริษัทบริหารจัดการโรงแรมที่มีแบรนด์ไลฟ์สไตล์หลากหลาย บริการใหม่ที่จะนำเสนอ จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการทำการตลาดและการขายได้ตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ช่วยให้การดำเนินงานของโรงแรมในเครือแข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยทั้ง 3 บริการได้รับการออกแบบมาให้ตอบโจทย์ตรงใจ มั่นใจว่าจะได้รับความสนใจจากทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าเดิม ประกอบด้วย บริการสนับสนุนการขายออนไลน์ ( โดยรับผิดชอบด้านการขายออนไลน์และการจัดการรายได้ ซึ่งรวมถึงการบริหารแพลตฟอร์มการจองที่พักและเดินทาง (OTA) ปรับอัตราค่าห้องพักผ่านระบบให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้ รวมทั้งทำรายงานวิเคราะห์คู่แข่ง บริการสนับสนุนการตลาดออนไลน์ ที่ช่วยวางแผนแพ็คเกจห้องพักและโปรโมชั่นต่าง ๆ พร้อมจัดทำโฆษณาออนไลน์ บริหารเว็บไซต์ และบัญชีโซเชียลมีเดีย (Facebook และ Instagram) สามารถผนวกแพ็คเกจนี้เข้ากับบริการสนับสนุนการขายออนไลน์ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพิ่มโอกาสการจดจำและรับรู้แบรนด์โรงแรม กระตุ้นให้มีการจองมาทางออนไลน์ และเพิ่มอันดับของโรงแรมบนแพลตฟอร์ม OTA ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก บริการด้านการบริหารและให้คำปรึกษา บริการใหม่ล่าสุดที่ KGH จะมอบหมายให้ผู้จัดการทั่วไปที่ผ่านการฝึกอบรมและมีประสบการณ์ เข้าไปทำงานที่โรงแรมนั้น ๆ และดูแลการบริหารงานประจำวันของโรงแรมโดยตรง   “KGH มุ่งมั่นปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบประสบการณ์ “ว้าว” ให้กับแขกผู้มาเยือน เจ้าของกิจการ รวมทั้งพนักงาน การเปิดตัว 3 บริการใหม่นี้ก็เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและการบริการในระดับโลก สะท้อนความมุ่งมั่นของเราที่พร้อมจะร่วมก้าวเดินกับเจ้าของโรงแรมสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จในการบริหารโรงแรมในเครือทั้งในประเทศไทยและระดับโลก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมั่นคงในฐานะบริษัทรับบริหารจัดการโรงแรมมืออาชีพ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายบริหารโรงแรม 100 แห่งภายในปี 2569 และขยายเครือข่ายโรงแรมในเครือให้ได้ถึง 1,000 แห่ง ใน 10 ประเทศภายในปี 2578”    
“Taiwan in Design” ยกขบวน 10 แบรนด์ชั้นนำ ร่วมงาน STYLE Bangkok 2025

“Taiwan in Design” ยกขบวน 10 แบรนด์ชั้นนำ ร่วมงาน STYLE Bangkok 2025

"Taiwan in Design" ยกขบวน 10 แบรนด์ชั้นนำ ร่วมงาน STYLE Bangkok 2025 "Taiwan in Design" งานจัดแสดงสินค้าการออกแบบครั้งใหญ่จากไต้หวัน เปิดตัวแล้ว ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (QSNCC) ในงาน STYLE Bangkok 2025 ระหว่างวันที่ 2-6 เมษายน 2568 โดยงานจัดแสดงนี้จะนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่หลากหลายประเภทจากไต้หวันกว่า 10 แบรนด์ชั้นนำ ครอบคลุมสินค้าไลฟ์สไตล์ เครื่องเขียน โคมไฟ เครื่องประดับแฟชั่น และ IoT ตอกย้ำความเป็นเลิศด้านการออกแบบที่การันตีรางวัลจากระดับโลกของไต้หวัน     งานจัดแสดงสินค้าการออกแบบจัดแสดงโดยหน่วยงานบริหารการค้าระหว่างประเทศ ของไต้หวัน (Taiwan International Trade Administration (TITA) และ สภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) ได้นักออกแบบและตัวแทนแบรนด์ของไต้หวันมาแนะนำนวัตกรรมล่าสุด พร้อมแบ่งปันข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปรัชญาการสร้างสรรค์ ซึ่งงานนี้จะเป็นโอกาสพิเศษสำหรับผู้ซื้อและสื่อมวลชนนานาชาติในการสำรวจเทรนด์ล้ำสมัยด้านการออกแบบที่ยั่งยืน นวัตกรรมที่มีวิสัยทัศน์ และงานฝีมือที่ยอดเยี่ยม   สำหรับ 10 แบรนด์ไต้หวันที่เข้าร่วมงานครั้งนี้ ได้แก่ Dian-Ya Design Studio เครื่องประดับอันประณีตที่ทำจากหยกและเงินโบราณ ผสมผสานความสง่างามเหนือกาลเวลาเข้ากับสุนทรียศาสตร์ร่วมสมัย Pai Pen Pro International Ltd. ผู้เชี่ยวชาญด้านปากกาหมึกซึมสุดหรูที่ประดับด้วยองค์ประกอบเครื่องประดับชั้นดี ผสานงานฝีมือเข้ากับความสวยงามที่เหนือจะบรรยาย     The One Inc. บริษัทที่พัฒนาโซลูชันบ้านอัจฉริยะที่เปิดใช้งาน AIoT ซึ่งผสานรวมเข้ากับ Google Home และ Apple HomeKit ได้อย่างราบรื่น เพิ่มความสะดวกสบายและการเชื่อมต่อ ในขณะเดียวกันมาพร้อมกับLumi Décor Co., Ltd. ผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมไฟ LED ที่ล้ำสมัยพร้อมปรับแต่งตามไลฟ์สไตล์ของคุณ เสริมด้วย Microlite Industrial Co., Ltd. บริษัทผู้จัดจำหน่ายวัสดุสะท้อนแสงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความยั่งยืนในภาคส่วนต่าง ๆ   Rose O’Neill Kewpie International IP Ltd. ผสานความคิดถึงในอดีตกับคาแรกเตอร์ Kewpie ที่คุ้นเคย เข้ากับความสร้างสรรค์ ตีความภาพลักษณ์ Kewpie ขึ้นมาใหม่ให้สดใสขึ้น KenmouEnterprise บริษัทที่นำเสนอโซลูชันบรรจุภัณฑ์สั่งทำพิเศษ ที่หรูหราระดับไฮเอนด์ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความพิเศษเฉพาะตัวของผลิตภัณฑ์และแบรนด์ได้อย่างลงตัว Camaleon Co. ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะกระดาษทิชชู่พิมพ์ลาย และ กระดาษอาร์ตคุณภาพสูง สำหรับงานเดคูพาจ สร้างสรรค์ชิ้นงานตกแต่งอันโดดเด่นที่เปี่ยมเสน่ห์และไม่เหมือนใคร ในโลกแห่งแฟชั่น ForyuDesign Co., Ltd. ผู้สร้างคอลเลกชันกระเป๋า SOAR ONE ที่ได้รับรางวัล Paperworld Middle East Award ประจำปี 2024 อันทรงเกียรติจากการออกแบบและการใช้งานที่หลายหลาย Emjour International Co., Ltd. แสดงงานฝีมือปักผ้าอันประณีตผ่านแบรนด์ EMJOUR อันเป็นเอกลักษณ์ ที่สะท้อนถึงความพิถีพิถันและความเคารพต่อขนบธรรมเนียมดั้งเดิม แม้ว่าภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่อุตสาหกรรมการออกแบบแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ในบ้านยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องในตลาดเอเชีย ส่งผลให้งานจัดแสดงสินค้าและการออกแบบนี้พร้อมที่จะนำเสนอมุมมองใหม่ ๆ และมอบประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นให้กับผู้ร่วมงานจากทั่วโลก "Taiwan in Design" งานจัดแสดงสินค้าและการออกแบบจากไต้หวัน ขอต้อนรับผู้ร่วมงานจากทั่วโลก ตัวแทนสื่อมวลชน และผู้ที่ชื่นชอบการออกแบบ เพื่อสัมผัสกับความคิดสร้างสรรค์และงานฝีมือที่ดีที่สุดจากไต้หวัน มาร่วมค้นพบอนาคตของการออกแบบไต้หวันไปพร้อมกัน       เกี่ยวกับหน่วยงานบริหารการค้าระหว่างประเทศ ของไต้หวัน (TITA) หน่วยงานบริหารการค้าระหว่างประเทศ ของไต้หวัน (Taiwan International Trade Administration : TITA) ก่อตั้งภายใต้กระทรวงเศรษฐกิจ มีหน้าที่รับผิดชอบในการส่งเสริมการค้าโลกและการพัฒนาเศรษฐกิจของไต้หวัน โดย TITA มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายการค้า เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ และสนับสนุนธุรกิจไต้หวันในการขยายการเข้าถึงทั่วโลก โดยการส่งเสริมนวัตกรรม อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงตลาด และยกระดับไต้หวันในการค้าระหว่างประเทศ TITA ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันระดับโลก เว็บไซต์: www.trade.gov.tw   เกี่ยวกับสภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) สภาส่งเสริมการค้าและการส่งออกไต้หวัน (TAITRA) ก่อตั้งขึ้นในปี 1970 เป็นองค์กรส่งเสริมการค้าที่ไม่แสวงหาผลกำไรของไต้หวัน เพื่อช่วยเหลือบริษัทในไต้หวันในการขยายตลาดไปสู่ทั่วโลก โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและสมาคมการค้าต่างๆ ทั้งนี้ TAITRA มีเครือข่ายสำนักงานกว่า 60 แห่งทั่วโลก พร้อมด้วยสาขาภายในประเทศ 5 แห่งในเถาหยวน ซินจู๋ ไถจง ไถหนาน และเกาสง เพื่อให้การสนับสนุนที่ครอบคลุมแก่ธุรกิจไต้หวันทั่วโลก อีกทั้ง TAITRA ยังทำงานร่วมกับ Taiwan Trade Center (TTC), Taipei World Trade Center (TWTC) และ Far East Trade Service (FETS) เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าและส่งเสริมความร่วมมือทางธุรกิจระดับโลก เว็บไซต์: https://www.taitra.org.tw/en/
เอพี ไทยแลนด์ ปี68 พร้อมต่อยอดครองความเป็นหนึ่ง สร้างที่สุด…ให้ชีวิตดีที่สุด

เอพี ไทยแลนด์ ปี68 พร้อมต่อยอดครองความเป็นหนึ่ง สร้างที่สุด…ให้ชีวิตดีที่สุด

เอพี ไทยแลนด์ ปี68 พร้อมต่อยอดครองความเป็นหนึ่ง สร้างที่สุด...ให้ชีวิตดีที่สุด เปิดโครงการใหม่มูลค่า 65,000 ล้านบาท ที่สุดทุกมิติในอุตสาหกรรม    บมจ. เอพี ไทยแลนด์ ตั้งเป้าปี 2568 ขยายพอร์ตสินค้าในเครือเอพีพร้อมขายกระจายทั่วประเทศไทย รวมทั้งสิ้น 226 โครงการ โดยเป็นโครงการพัฒนาใหม่ จำนวน 42 โครงการ มูลค่าประมาณ 65,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 26,500 ล้านบาท ทาวน์โฮม และบ้านแฝด 18 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 20,200 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่า 3,300 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขาย 55,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 52,900 ล้านบาท   ผลการดำเนินงานปีที่ผ่านมา (2567) บริษัทฯ มียอดขายสุทธิสูงสุดในอุตสาหกรรมถึง 46,752 ล้านบาท มีรายได้รวมจากสินค้ากลุ่มแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 47,125 ล้านบาท กำไรสุทธิเท่ากับ 5,020 ล้านบาท และมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.70 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายในการบริหารจัดการสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนในระดับที่ไม่เกิน 1 เท่า ณ 23 กุมภาพันธ์ 2568 บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้มูลค่า 41,621 ล้านบาท     เจาะกลยุทธ์ เอพี “สร้างที่สุด...ให้ชีวิตดีที่สุด”   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า บริษัทฯ​ ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ใหญ่ “ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้” และในปี 2568 นี้ถือเป็นอีกหนึ่งปีของความท้าทายด้วยปัจจัยต่างๆ รอบด้าน แต่อย่างไรก็ตามเพื่อคงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในปีนี้ทุกกลุ่มธุรกิจในเครือเอพี ไทยแลนด์ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจไปด้วยกัน ภายใต้แผนกลยุทธ์ “สร้างที่สุด...ให้ชีวิตดีที่สุด” ด้วยการสร้างที่สุดในทุกๆ มิติ ทั้งผ่านสินค้าหลักอย่างบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม บ้านแฝด และคอนโดมิเนียม หรือผ่านประสบการณ์การอยู่อาศัยด้วยเซอร์วิสต่างๆ ที่บริษัทฯ พัฒนาขึ้น เพื่อส่งมอบชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ให้กับทุกคน   ทั้งนี้ปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายอสังหาริมทรัพย์ไว้ที่ 55,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 52,900 ล้านบาท กับที่สุดแรกด้วยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 42 โครงการ มูลค่า 65,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 15 โครงการ มูลค่า 26,500 ล้านบาท ทาวน์โฮมและบ้านแฝด จำนวน 18 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่า 20,200 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่า 3,300 ล้านบาท และเมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (ongoing projects) จะทำให้ เอพี ไทยแลนด์เป็นที่สุดด้วยจำนวนโครงการมากที่สุดรวม 226 โครงการ ทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑล และทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย   ด้วยเทรนด์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้เอพีเราไม่เคยหยุดนิ่งที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัย ตลอดจนเซอร์วิสต่างๆ ให้สอดรับกับวิถีชีวิตและความต้องการที่เปลี่ยนไป ซึ่งภายใต้กลยุทธ์ “สร้างที่สุด...ให้ชีวิตดีที่สุด” นั้น บริษัทฯ ได้ทำงานร่วมกับทุกกลุ่มธุรกิจในเครือ เพื่อนำพาเอพีครองความเป็นหนึ่ง ตลอดจนสร้างที่สุดให้เกิดขึ้นในทุกๆ Touch Point ของการอยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์เครือเอพี โดยมี 3 DNA สำคัญในการส่งมอบความเป็นที่สุดที่ลูกค้าจะสัมผัสได้จากโครงการใหม่ที่เตรียมเปิดตัวในปีนี้ ได้แก่     Diversity & Desires สร้างที่สุด...ให้ทุกพื้นที่สะท้อนตัวตน บนความเข้าใจในความแตกต่างและความชอบส่วนตัว เพื่อให้สิ่งที่เป็นที่สุดในชีวิต อยู่กับคุณตลอดไป ครอบคลุมทุกมิติของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่การให้ความสำคัญในการพัฒนาแบบบ้านโมเดลใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกพื้นที่รองรับกับไลฟ์สไตล์ที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น รวมถึงการเลือกทำเลศักยภาพ ซึ่งเป็นจุดแข็งของเอพี เพื่อให้บ้านที่คุณเลือก เป็นที่สุดในชีวิตที่อยู่กับคุณตลอดไป   Craft Space & Design สร้างที่สุด...ในทุกรายละเอียดของการออกแบบ ด้วยการออกแบบที่พิถีพิถันในทุกรายละเอียด เพื่อการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ ด้วยการออกแบบที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดด้วยแนวคิด Empathy Design ที่นอกเหนือจากการสร้างพื้นที่ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แล้ว แต่ยังเติมเต็มสุนทรียศาสตร์ในการอยู่อาศัย สร้างเสน่ห์ให้ทุกประสบการณ์พิเศษและแตกต่าง ด้วยดีไซน์ที่งดงามเหนือกาลเวลา   Elevation & Intuitive Living สร้างที่สุด...ให้ทุกสิ่งรอบตัวเป็นเรื่องง่าย เพื่อชีวิตดีๆ ที่ไม่ต้องคิด ด้วย Service ที่ทำให้ทุกเรื่องง่าย ตอบโจทย์ชีวิตอย่างลงตัว ด้วยความตั้งใจในการออกแบบประสบการณ์ที่ทำให้การอยู่อาศัยเป็นเรื่องง่าย สบาย และสมบูรณ์แบบ โดยไม่ต้องคิดหรือจัดการให้ยุ่งยาก เพราะทุกอย่างถูกคิดและเตรียมไว้ให้แล้ว ด้วยบริการต่างๆ ในเครือเอพี ไทยแลนด์ ที่ครอบคลุมทุกเรื่องการอยู่อาศัย   เบอร์ 1 ผู้นำตลาดทาวน์โฮมและบ้านแฝดที่ไม่หยุดนิ่ง  นายเมธา รักธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าทาวน์โฮมและบ้านแฝด บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ในปี 2567 ที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมเอพีมีอัตราการเติบโตด้านยอดขายที่เพิ่มขึ้นกว่า 30% ในปีที่ผ่านมา จนทำให้วันนี้เรายังคงครองอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มสินค้าทาวน์โฮมและบ้านแฝดมากที่สุด สำหรับในปีนี้กลุ่มธุรกิจทาวน์โฮมและบ้านแฝดยังคงเดินหน้าอย่างไม่หยุดนิ่งในทุกมิติ โดยตั้งเป้าสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมสานต่อกลยุทธ์หลักขององค์กร ในการ “สร้างที่สุด...ให้เกิดขึ้นในทุกมิติ เพื่อให้ลูกค้าก้าวไปสู่ที่สุดของชีวิต” โดยในปีนี้เรามีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 18 โครงการ มูลค่า 15,000 ล้านบาท ครอบคลุมครบทั้ง 6 Sub-Brand ตั้งแต่ระดับราคา 1.49 - 25 ล้านบาท   ทั้งนี้ สร้างที่สุดแรกคือ การเป็นอันดับ 1 ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีโครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดครอบคลุมทุกโซนของกรุงเทพฯ มากที่สุด ภายใต้กลยุทธ์ Zoning Expansion Strategy ถือเป็น key สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงการที่ครอบคลุมทั้งในแง่ของจำนวน รูปแบบโครงการ และแพ็กเกจราคาที่หลากหลาย ที่สอดรับกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจมีจำนวนโครงการที่กระจายครอบคลุมพื้นที่มากถึง 11 โซน กับจำนวนโครงการพร้อมอยู่มากที่สุดกว่า 70 โครงการ ซึ่งมั่นใจว่าสินค้าทาวน์โฮมและบ้านแฝดเอพีมีสินค้าที่พร้อมขาย พร้อมโอนมากที่สุดในอุตสาหกรรม   ที่ผ่านมาการพัฒนาโครงการของเอพีประสบความสำเร็จอย่างมาก สร้าง AP Community ให้เกิดขึ้นในหลายทำเลใหญ่ ซึ่งถ้านับ AP Community ที่เอพีลงทุนพัฒนาไปแล้วรวมได้กว่า 1,000 ไร่ ซึ่งในปีนี้มีแผนขยายความสำเร็จในการสร้าง AP Community ไปยังทำเล เมืองเอก วิภาวดี-รังสิต ด้วยขนาดที่ดินรวมกว่า 120 ไร่ ด้วยศักยภาพของทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต เชื่อมต่อทางด่วนบางพูน และ ติดถนน 345 เชื่อมไปยังโซนราชพฤกษ์ เพื่อเข้าสาทร หรือ ถนนกาญจนาภิเษก-วงแหวน ไปยังนนทบุรี พระราม 5 ได้หลากหลายเส้นทาง โดยเตรียมเปิดตัวทาวน์โฮมและบ้านแฝดใหม่ในทำเล เมืองเอก วิภาวดี-รังสิต จำนวน 3 โครงการ ซึ่งพร้อมจะเปิดขายโครงการแรก คือ Grande Pleno วิภาวดี-รังสิต บ้านแฝดไซส์ใหญ่ เริ่มต้น 5.49 ล้านบาท ในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้     สร้างที่สุดในมิติที่ 2 กับที่สุดของแบบบ้านที่มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ตอบทุกไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในทุกเซกเมนต์  ซึ่ง ณ ปัจจุบันเรามีแบบบ้านกว่า 100 โมเดล และในปีนี้มีการพัฒนาแบบบ้านใหม่ เพิ่มขึ้นอีก 13 โมเดล ด้วยทาวน์โฮมและบ้านแฝดในคอนเซ็ปต์ใหม่ เช่น CoLive Model ทาวน์โฮมแรกที่ลูกค้าสามารถปล่อยเช่าแยกชั้นได้ ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่ม Solo Living ที่ชอบใช้ชีวิตคนเดียว Mirth Model ทาวน์โฮม 2 ชั้นที่มาพร้อมกับ Duplex Space พื้นที่พิเศษที่เพิ่มมากขึ้น Xavier Model ทาวน์โฮม 3 ชั้นที่มากับคอนเซ็ปต์บ้านเล่นระดับ หรือ Asher Model บ้านแฝดหน้ากว้างสุด 16.4 เมตร เป็นต้น     สร้างที่สุดที่ 3 กับการสร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่ส่วนกลางที่ดีที่สุดในทาวน์โฮมและบ้านแฝด เพื่อให้พื้นที่ส่วนกลางไม่ได้เป็นเพียงจุดพักผ่อน แต่คือการออกแบบส่วนกลางที่ผสานแนวคิดความยั่งยืน โดยไม่ลดทอนความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน พร้อมยังทำให้สภาพแวดล้อมภายในโครงการร่มรื่นสวยงามน่าอยู่ ด้วยการให้ความสำคัญกับการใช้นวัตกรรมมาช่วยในการประหยัดพลังงาน เช่น 24Fitness ฟิตเนสที่พร้อมเปิด 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่ต่างกันในแต่ละช่วงเวลา และมีการออกแบบระบบเปิด-ปิดไฟแยกตามโซนการใช้งานเพื่อประหยัดพลังงาน การออกแบบ Eco Waste Station สถานีจัดการขยะอย่างเป็นระบบเพื่อความสะอาดและความยั่งยืน โดยในทาวน์โฮมและบ้านแฝดทุกโครงการจะมีการออกแบบตัวอาคารที่เป็นจุดจัดการขยะไว้อย่างเป็นสัดส่วนตามมาตรฐานการแยกขยะที่ทางภาครัฐกำหนดขึ้น พร้อมรณรงค์ผ่านแคมเปญ แยก.เท.ได้ เพื่อเชิญชวนลูกบ้านร่วมกันแยกขยะก่อนทิ้ง โดยในปีนี้มีการตั้งเป้า recycle ขยะให้ได้ที่ 100 ตัน จากทุกโครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝด เทียบเท่าการปลูกต้นไม้กว่า 20,000 ต้น หรือการใช้ระบบ Solar Roof เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลาง โดยจะติดตั้งเพิ่มเติมในส่วนของ Main Gate นอกเหนือจากติดตั้งไปแล้วในส่วนของพื้นที่ Club House     The Greatest Home ที่สุดของบ้านที่เข้าใจชีวิต นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า บ้านเดี่ยวเอพีเรายังคงพัฒนาสินค้าภายใต้จุดยืน FUNCTIONAL IS BEAUTIFUL บ้านที่สวยที่สุด คือบ้านที่เข้าใจชีวิต ที่ที่ทุกตารางนิ้วถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้ใช้งานได้จริง และเข้าใจทุกชีวิตในบ้านมากที่สุด โดยในปีนี้กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวมีแผนเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 15 โครงการ มูลค่า 26,500 ล้านบาท โดยในปีนี้กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวพร้อมจะสร้างที่สุดภายใต้แนวคิด The Greatest Home เพื่อสร้างที่สุดของที่อยู่อาศัย ที่เติมเต็มทุกพื้นที่ชีวิตของทุกเจเนอเรชัน ซึ่งนอกเหนือจากการ Maintain ความสำเร็จในตลาดบ้านเดี่ยวระดับราคา 7-20 ล้านบาท ปีนี้นับเป็นครั้งแรกที่บ้านเดี่ยวเอพีมีการเปิดตัวแบบบ้านใหม่ครบทุกแบรนด์พร้อมกัน การเปิดตัวโปรดักต์ใหม่ทั้งหมดนี้เพื่อให้เติมเต็มความต้องการพื้นที่ชีวิตที่แตกต่าง และครอบคลุมทุกเซกเมนต์ นอกจากนี้เพื่อสร้างการเติบโตที่มากยิ่งขึ้น เราจึงมาพร้อมที่สุดแรกกับการ เปิดตัว ‘Majestic Collection’ คอลเลกชันบ้านเดี่ยวระดับอัลตร้าลักซ์ชัวรี แบรนด์ The Palazzo และบ้านกลางกรุง ในเซกเมนต์ราคาประมาณ 50-100 ล้านบาทขึ้นไป โดย ‘Majestic Collection’ สะท้อนนิยามของความสง่างามเหนือกาลเวลา ด้วยการออกแบบที่งดงามเหนือกาลเวลา ที่ไม่เพียงแต่เป็นบ้าน แต่คือผลงานระดับมาสเตอร์พีซ ที่ผสานความประณีตในทุกรายละเอียดเข้ากับความหรูหราสง่างาม ตอบโจทย์ผู้ที่มองหาที่สุดของการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง     3 ที่สุดของโครงการกับ ‘Majestic Collection’ 1) The Palazzo กรุงเทพกรีฑา ราคา 75-120 ล้านบาท 2) The Palazzo ปิ่นเกล้า-บรมฯ ราคา 50-85 ล้านบาท 2 ที่สุดของบ้านเดี่ยวระดับ Flagship ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมระดับ World-Class ผสานงานดีไซน์ที่พิถีพิถันในทุกรายละเอียด สร้างสรรค์พื้นที่อยู่อาศัยให้เป็นเสมือน ‘Masterpiece’ ที่หลอมรวมทั้งความโอ่อ่าของพื้นที่ ฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ระดับสูง และงานออกแบบที่สะท้อนรสนิยมเหนือระดับ กับจุดเด่นคฤหาสน์หรูที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ขนาดพื้นที่ใช้สอยสูงสุดกว่า 1,000 ตร.ม. พิเศษด้วยการออกแบบพื้นที่พิเศษเฉพาะในแต่ละเจเนอเรชัน และส่วนกลางที่ไม่ได้เป็นเพียง Facilities แต่เป็นแลนด์มาร์กแห่งการใช้ชีวิตระดับ Majestic Living อย่างแท้จริง ซึ่งพร้อมเปิดให้เข้าชมแบบ Private Preview ในวันที่ 29-30 มีนาคมนี้ และ 3) บ้านกลางกรุง สาธุประดิษฐ์ 57 The Rarest of Rarity ที่สุดของดีไซน์และโลเคชันสุดยูนีคใจกลางเมือง กับบ้านแนวคิดใหม่สูง 4-5 ชั้น พร้อมชั้นดาดฟ้า เพียงแค่ 9 หลัง มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท ที่ให้ทั้งความเป็นส่วนตัว ความโอ่อ่า และความสะดวกสบาย ในพื้นที่แนวตั้ง ซึ่งพร้อมเปิดขายในช่วงไตรมาส 2     อีกหนึ่งไฮไลต์ที่น่าสนใจในปีนี้กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยว มีแผนเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ภายใต้ชื่อ BEON [บีร์ออน] เพื่อยกระดับที่อยู่อาศัยให้เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับการใช้ชีวิต กับที่สุดของบ้านเดี่ยวสุดโมเดิร์นสูง 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 614- 814 ตารางเมตร ดีไซน์ใหม่สุด Exclusive พิเศษในเรื่องของการออกแบบสเปซให้มี Ultra Volume เชื่อมต่อพื้นที่ทุกชั้นภายในเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีไลฟ์สไตล์ Unique และมองหาบ้านเดี่ยวในสไตล์โมเดิร์นคลาสสิก โดยมีแผนเปิดตัวโครงการภายใต้แบรนด์ “BEON” ในทำเลแรกแถวนวลจันทร์ ซึ่งพร้อมเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลัง     LIFE Condo ให้ความสำเร็จได้ใช้ชีวิต  นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ในปีนี้กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม พร้อมสร้างที่สุด...เพื่อให้คุณเริ่มชีวิตที่อยากใช้ ไปกับคอนโดใหม่จากเอพี โดยในปีนี้มีแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 6 โครงการ มูลค่า 20,200 ล้านบาท ด้วยการสร้างเมจิกให้เกิดขึ้นผ่านวิธีคิดในการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางและสเปซภายในห้องชุด ทลายข้อจำกัดเดิมๆ ในการใช้ชีวิตแนวตั้ง เพื่อสร้างความรู้สึกใหม่ให้ทุกพื้นที่สะท้อนตัวตน โดยคีย์ไฮไลต์ของปีกับ LIFE CONDO ที่มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Version 2025: Success Like no Others - ให้ความสำเร็จได้ใช้ชีวิต ซึ่ง LIFE CONDO Version 2025 พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่เกิดขึ้นในทุก Moment ของชีวิต ด้วย 5 นวัตกรรมพื้นที่ขอบคุณชีวิต ได้แก่     Modular Flow Design แนวคิดในการออกแบบเพื่อสร้างพื้นที่ใช้สอยใหม่ ค้นหาพื้นที่ที่ซ่อนอยู่ ด้วยวิธีคิดใหม่ในการจัดสรรสเปซ ทั้งในมิติแนวตั้ง (Vertical) และแนวนอน (Horizontal) จนเกิดเป็นสเปซใหม่ที่ให้ความรู้สึกใหม่ ทั้งยังให้ทุกพื้นที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างกลมกลืนและลงตัว ตลอดจนการให้ความสำคัญกับแสงและการไหลเวียนของอากาศ Openness to Biodiversity เชื่อมต่อชีวิตเมืองเข้ากับธรรมชาติ ด้วยการสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อสุขภาพกายและใจ ให้รู้สึกและเข้าถึงความเป็นธรรมชาติได้ในทุกสัมผัส ด้วยแนวคิด Stand-alone facilities พื้นที่ส่วนกลางที่ทำให้ธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งของฟังก์ชันการใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น Botanical Gym ที่ทำให้การออกกำลังกาย แวดล้อมเหมือนอยู่ในสวน หรือ ‘Biodiverse Co-Working Forest’ ที่ช่วยสร้างพื้นที่ทำงานในบรรยากาศของป่าในเมือง New Feel-Safe Design แนวคิดในการออกแบบที่มุ่งสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางอารมณ์ที่เป็นมิตรกับทุกชีวิตที่อยู่อาศัยภายในโครงการ ครอบคลุมไปถึงการออกแบบที่อยู่อาศัยร่วมกันระหว่างมนุษย์และสัตว์เลี้ยง ด้วยความใส่ใจในการออกแบบอาคารอยู่อาศัยที่มี function พิเศษให้ความอุ่นใจเกิดขึ้นทั้งกับเจ้าของสัตว์เลี้ยงและตัวสัตว์เลี้ยงเอง A Building That Gives Back สะท้อนถึงความรับผิดชอบที่เรามีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยไม่เพิ่มภาระหรือค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้า เช่น การเลือกใช้พรรณไม้ช่วยฟอกอากาศ เพื่อร่วมสร้างอากาศที่ดีให้กับลูกค้า และคืนอากาศที่ดีกลับให้ชุมชนข้างเคียง การติดตั้งระบบ EV Charger การติดตั้งหลอดไฟที่มีเซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว หรือการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ ในพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน เป็นต้น Choose the Persona of Your City คอนเซ็ปต์ในการพัฒนา LIFE CONDO ที่มอบทางเลือกให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนเมือง Micro-Village in Inner City Concept เป็น Low-Rise Rare Collection ถึงทำเลจะตั้งอยู่ในเมือง แต่ยังคงบรรยากาศที่สงบและส่วนตัว และ Metropolis-Within City Concept เป็น High-Rise Super Facilities โครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองอย่างแท้จริง ที่ไม่เพียงแต่สะดวกในการเข้าถึงชีวิตเมืองที่เต็มไปด้วยกิจกรรม แต่ยังมาพร้อมกับ ‘Super Facilities’ ที่ครบและจัดเต็มในแบบเอพี     โดย LIFE สาทร-นราธิวาส 22 คือ LIFE CONDO ในคอนเซ็ปต์ใหม่ที่เตรียมเปิดตัวเป็นโครงการแรก ซึ่งมาในรูปแบบ Micro-Village in Inner City Concept สูง 8 ชั้น 2 อาคาร มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท จำนวน 416 ยูนิต ทำเลที่ตั้งอยู่ในซอยนราธิวาส 22 ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการความเงียบสงบในบรรยากาศรีทรีต โดยเตรียมเปิดจองรอบ VVIP Day ในวันที่ 22 - 23 มีนาคมนี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 3.6 ล้านบาท ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมได้ที่ https://apth.ly/oj6r   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ ซีคอน เปิดตัวโครงการบ้าน Your Home: Your Family ซีรีส์ 2 เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68 AWC ลงเสาเอก “เวิ้งนครเกษม เยาวราช” โครงการมิกซ์ยูสใหญ่ที่สุดในไชน่าทาวน์  
ORN ประกาศแผนปี 68 ทุ่ม 2,148 ล้านบาท เปิด 3 โครงการ

ORN ประกาศแผนปี 68 ทุ่ม 2,148 ล้านบาท เปิด 3 โครงการ

ORN ประกาศแผนปี 68 ทุ่ม 2,148 ล้านบาท เปิด 3 โครงการ ตั้งเป้ารายได้โตแรง 60% พร้อมเร่งเครื่อง 2 ธุรกิจใหม่ ORN ประกาศแผนธุรกิจปี 68 เดินหน้าลุยอสังหาฯ เชียงใหม่-ภูเก็ต เตรียมเปิดตัว 3โครงการใหม่ “HABITAT” “THE ASTRA” และคอมมูนิตี้มอลล์ครบวงจร THE BACKYARD มูลค่ารวม 2,148 ล้านบาท โชว์ Backlog แน่น 1,763 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ 68-69 ตั้งเป้ารายได้ปีนี้แตะ 2,218 ล้านบาท โตไม่ต่ำกว่า 60% ขณะที่ Mill Hill International School Thailand พร้อมเปิดการเรียนการสอน ก.ย. 68     นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) (ORN) กล่าวว่า บริษัทฯ เดินหน้าลุยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดเชียงใหม่และภูเก็ตเต็มกำลัง โดยมุ่งมั่นพัฒนาโครงการอสังหาฯ แนวราบ แนวสูง ระดับกลาง-บน ที่มีคุณภาพตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าชาวไทยและต่างชาติได้อย่างครอบคลุม โดยปีนี้บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,148  ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการแนวราบ HABITAT บ้านหรูสไตล์ Neo Classic มูลค่าโครงการ 568 ล้านบาท เปิดตัวภายในไตรมาส 4/2568 โครงการคอนโดมิเนียม THE ASTRA คอนโดฯระดับลักชัวรี บนทำเลศักยภาพ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน มูลค่าโครงการ 1,380 ล้านบาท เปิดตัวภายในไตรมาส 4/2568 โครงการคอมมูนิตี้มอลล์ THE BACKYARD ขนาด 4,000 ตร.ม. มูลค่าโครงการรวม 200 ล้านบาท ศูนย์กลางใหม่แห่งการช้อปปิ้งและการพักผ่อนครบวงจร ภายในโครงการประกอบด้วย ร้านค้า ร้านอาหาร ศูนย์สุขภาพ และ พื้นที่การศึกษา บนอาคาร 2 ชั้น พร้อมให้บริการภายใน ไตรมาส 4/2568     ส่วนงบประมาณลงทุนปีนี้อยู่ที่ 2,595 ล้านบาท แบ่งเป็น ลงทุนซื้อที่ดินในจ.เชียงใหม่ และภูเก็ต จำนวน 500 ล้านบาท งบรองรับการพัฒนาโครงการใหม่จำนวน 1,469 ล้านบาท และงบปรับปรุงการดำเนินงาน การก่อสร้าง ให้สอดรับต่อการดำเนินการด้าน ESG จำนวน 626 ล้านบาท   นายอรรคเดช อุดมศิริธำรง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ORN กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ยังสามารถขยายตัวต่อได้ ปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของเมือง การเติบโตของภาคการท่องเที่ยว และนโยบายภาครัฐกระตุ้นภาคอสังหาฯ เปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติสามารถเช่าอสังหาฯ ในประเทศไทยระยะยาว เป็นกลไกสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนชาวไทยที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุนปล่อยเช่า และ ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่มากขึ้น ORN ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความท้าทาย และสร้างโอกาสในตลาดที่เปลี่ยนแปลง โดยมุ่งเน้นพัฒนาบ้านและคอนโดฯ ให้สอดรับกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ การให้ความสำคัญด้านการออกแบบพื้นที่สอดคล้องกับทุกไลฟ์สไตล์และความปลอดภัยด้านสุขภาพ พัฒนานวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงกลยุทธ์การตลาดส่งเสริมการขายอย่างเข้มข้นและการบริการหลังการขาย อีกทั้งให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน โดยผสานแนวคิดด้าน ESG ในการกำหนดนโยบายแนวทางการดำเนินงาน รวมถึงการพัฒนาโครงการอสังหาฯแนวราบ-แนวสูงทุกโครงการ ช่วยเพิ่มโอกาสทางการขาย ทั้งนี้ โครงการแนวราบ-แนวสูงกลุ่มราคาระดับกลาง-บน ยังคงมีความต้องการจากกลุ่มลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ แม้ตลาดอสังหาฯเชียงใหม่จะเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันที่สูงขึ้น ORN มั่นใจในศักยภาพการแข่งขัน ด้วยคุณภาพของโครงการที่ตอบโจทย์ด้านการออกแบบให้รองรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างลงตัว พิถีพิถันในการเลือกใช้วัสดุคุณภาพสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ก่อสร้างด้วยเทคโนโลยีที่มีมาตรฐาน ควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน การกำหนดราคามี่เหมาะสม-คุ้มค่า เพื่อส่งมอบโครงการคุณภาพบนทำเลศักยภาพแก่ลูกค้า ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการอยู่ระหว่างขายทั้งหมด 27 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 14 โครงการ แนวสูง 13 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,551 ล้านบาท และมียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) อยู่ที่ประมาณ 1,763 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในปี 2568 -69 โดยตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ไว้ที่ประมาณ 2,218 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 60%     สำหรับความคืบหน้าของธุรกิจโรงเรียนนานาชาติ Mill Hill International School Thailand โรงเรียนสัญชาติอังกฤษแห่งแรกในจังหวัดเชียงใหม่ มีเป้าหมายนำปรัชญาและคุณค่าตามมาตรฐานการศึกษาระดับโลก เข้ามาเป็นส่วนสำคัญของการพัฒนาการศึกษาที่มีคุณภาพในจังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ   ปัจจุบันการก่อสร้างเฟสแรกแล้วเสร็จ ประกอบด้วย อาคารอำนวยการ และอาคารเรียนชั้นปฐมวัย โดยอยู่ระหว่างก่อสร้างอีก 4 อาคาร มีนักเรียนให้ความสนใจสมัครแล้วกว่า 130 ราย และอยู่ระหว่างการคัดเลือกคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ โดยจะรองรับนักเรียนตั้งแต่อายุ 3 ถึง 10 ปี มีกำหนดเปิดทำการในเดือนกันยายนปี พ.ศ. 2568 เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล-Year 6 ซึ่งจะสามารถเริ่มทยอยรับรู้รายได้เข้ามาในช่วงไตรมาส 4/2568 เป็นต้นไป พร้อมแผนขยายไปยังระดับYear 13 ในอนาคต  ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ สร้างความมั่นคงของรายได้ในระยะยาว    
เบิร์กลีย์ กรุ๊ป เปิดตัวคอนโดหรู ย่าน Prime Central London

เบิร์กลีย์ กรุ๊ป เปิดตัวคอนโดหรู ย่าน Prime Central London

เบิร์กลีย์ กรุ๊ป เปิดตัวคอนโดหรู ย่าน Prime Central London บริษัท เบิร์กลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (Berkeley Group Holdings plc) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้สร้างบ้านชั้นนำจากประเทศอังกฤษประกาศเปิดตัวโครงการใหม่ “TRILLIUM” London W2, Zone 1 บนทำเลศักยภาพ ย่าน Prime Central London เจาะกลุ่มนักลงทุน ราคาเริ่ม 28.6 ล้านบาท มั่นใจตลาดลอนดอนยังน่าลงทุน และเป็นโอกาสระยะยาวสำหรับนักลงทุน   นางสาวณชนกช์ ปัญญาหิตานนท์  กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลดีเอ็นลักซ์ ลิฟวิ่งส์ จำกัด  เปิดเผยว่าบริษัท เบิร์กลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (Berkeley Group Holdings plc) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้สร้างบ้านชั้นนำจากประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและพื้นที่เชิงพาณิชย์ในลอนดอนและเขต South East ของอังกฤษ ได้เปิดตัวโครงการใหม่ ภายใต้ชื่อ “TRILLIUM” London W2, Zone 1 บนทำเลศักยภาพ ย่าน Prime Central London  รองรับความต้องการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพ ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม และความสะดวกสบาย ย่านใจกลางกรุงลอนดอน เพื่อการลงทุน และ อยู่อาศัย โดยมีราคาเริ่มต้น 675,000 ปอนด์ หรือ 28.6 ล้านบาท   การพัฒนาโครงการดังกล่าว มีความเหมาะสมเพื่อการอยู่อาศัย โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างชุมชนที่ยั่งยืน  และตอบสนองต่อความต้องการของสังคมสมัยใหม่ ซึ่งให้ความสำคัญในการออกแบบและพัฒนาโครงการที่เน้นคุณภาพด้านการก่อสร้างและการออกแบบที่พิถีพิถัน ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีแบรนด์ในเครือหลายแบรนด์ที่เน้นพัฒนาตลาดเฉพาะ เช่น Berkeley Homes, St George, St James, St Edward, St William และ St Joseph ซึ่งแต่ละแบรนด์มีจุดเด่นในการพัฒนาโครงการที่หลากหลาย ตั้งแต่โครงการบ้านพักอาศัยหรูหราไปจนถึงพื้นที่อุตสาหกรรมที่ปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่อยู่อาศัย ที่สำคัญทางบริษัทให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมที่มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  โดยการออกแบบโครงการที่สอดคล้องกับแนวคิดของเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)     นายฌอน บาร์เร็ตต์ กรรมการผู้จัดการ และ ผู้ก่อตั้ง บริษัท ฟายน์ แอนด์ คันทรี กล่าวถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษมองว่าในปี 2568  ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าราคาอสังหาริมทรัพย์อาจปรับตัวขึ้นประมาณ 2-4% หากเศรษฐกิจอังกฤษฟื้นตัวและธนาคารกลางอังกฤษ (Bank of England) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย สถานการณ์ดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้ซื้อและนักลงทุน โดยเฉพาะในย่านใจกลางเมืองและพื้นที่ที่มีการคมนาคมสะดวก เช่น ย่านธุรกิจสำคัญและพื้นที่ใกล้ระบบรถไฟใต้ดิน รวมถึงโครงการ Cross rail ที่ยังคงดึงดูดความสนใจจากผู้ซื้อและนักลงทุน   อย่างไรก็ตาม ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนยังมีความแตกต่างกันในแต่ละโซน โดยเฉพาะย่านใจกลางเมืองและพื้นที่ที่มีโครงสร้างพื้นฐานดียังคงมีดีมานด์สูงและราคามีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ย่านชานเมืองมีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัว หากเศรษฐกิจอังกฤษมีเสถียรภาพและฟื้นตัวจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อ Real Demand กลุ่มคนทำงาน – นักศึกษาต่างชาติ และนักลงทุน (Investor) แถบเอเชียและตะวันออกกลาง ซึ่งยังคงให้ความสนใจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ระดับหรู (luxury property) โดยเฉพาะโครงการเพื่อการลงทุน   ขณะเดียวกัน ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยยังมีข้อจำกัด ทั้งการปรับตัวตามต้นทุนและการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่สูงขึ้น โดยการเติบโตของรายได้จะช่วยให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยได้ในปีนี้ ทั้งนี้มองว่าปัจจัยและโอกาสในการลงทุนเช่าในลอนดอนยังมีแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากลอนดอนมีความต้องการ(Demand) การเช่ามากกว่าซัพพลาย (Property Supply) ที่มีอยู่ในตลาด ขณะที่ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Yield Guarantee) เพิ่มขึ้นทุกปี โดยเฉพาะย่าน Prime Central London  (อ้างอิงจากผลประกอบการของโครงการ West End Gate) ที่ตั้งอยู่ใกล้กับตั้งโครงการ “TRILLIUM” London W2, Zone 1     ด้านนางนาเน็ต ฮวง หัวหน้าฝ่ายขาย เซนต์เอ็ดเวิร์ด โฮม บริษัท เบิร์กลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กล่าวถึงศักยภาพของทำเลที่ตั้งโครงการ “TRILLIUM” LONDON W2 Zone 1 ซึ่งอยู่ในย่าน West End ใจกลางกรุงลอนดอน หรือ ลอนดอน โซน 1 (London Zone 1) ถือเป็นย่านที่คนไทยคุ้นชิน โดยรายล้อมด้วยแลนด์มาร์คที่สำคัญ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ด้วยศักยภาพทำเลที่ตั้งคอนโดมิเนียม TRILLIUM LONDON W2 เป็นย่านที่มีความต้องการสูง ทั้งกลุ่มลูกค้าซื้อเพื่อการลงทุน (Investor) และซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง (Real Demand) เพราะสามารถเดินทางไปยังถนนอ็อกซ์ฟอร์ด (Oxford Street)  ได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็ว ซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ตรงข้ามกับ Edgware Road Station ใกล้กับสถานีแพดดิงตัน (Paddington)ที่เป็นสถานีหลักของกรุงลอนดอน และรายล้อมไปด้วยแหล่งสถานศึกษามหาวิทยาลัยชั้นนำของกรุงลอนดอน เช่น London Business School เป็นต้น   สำหรับรายละเอียดโครงการ TRILLIUM London W2, Zone 1 ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการทั้งหมด 3 ไร่ จำนวน 3 อาคาร รวมทั้งหมด 556 ยูนิต แบ่งออกเป็นแบบ Manhattan, 1-3 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 40 - 109 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น £675,000 หรือ 28.6 ล้านบาท  คาดว่าจะสร้างเสร็จภายในปี 2028     ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการพรั่งพร้อมไปด้วย พื้นที่สวนสาธารณะ ,สระว่ายน้ำ สระไฮโดร และสปาเท้า ห้องเกลือ ห้องอบไอน้ำ และซาวน่าอินฟราเรด ,ห้องอาหารส่วนตัว ห้องสตูดิโอและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า,ห้องทรีตเมนต์สปา รวมถึงซาวน่า นอกจากนี้ยังมีพื้นที่พักผ่อนส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็นน้ำพุน้ำแข็ง,ห้องรับรองสำหรับผู้อยู่อาศัย ห้องฉายภาพยนตร์ และCo working Space พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถเข้าใช้ยิมภายในโครงการ West End Gate ได้เช่นกัน   นางแคเรน เจีย ผู้อำนวยการภูมิภาค เอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท เบิร์กลีย์ กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ กล่าวถึงด้านกลยุทธ์ทางการตลาดว่าทางบริษัทให้ความสำคัญในการทำการตลาดเชิงรุกในต่างประเทศเน้นการขายโครงการให้กับลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะนักลงทุนจากเอเชียตะวันออกกลางผ่านการจัดโรดโชว์และงานนิทรรศการในต่างประเทศและการร่วมมือกับตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทั่วโลก   ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท เบิร์กลีย์ กรุ๊ป Berkeley Homes ก่อตั้งขึ้นในปี 1976 ถือเป็นหนึ่งในบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของสหราชอาณาจักร ซึ่งได้รับรางวัลมากมายจากความมุ่งมั่นในด้านคุณภาพ การออกแบบ และการบริการลูกค้า รวมถึงรางวัล Queen’s Award for Enterprise in Sustainable Development ประจำปี 2014 และรางวัล Britain’s Most Admired Company ในปี 2011คุณภาพเป็นหัวใจสำคัญของทุกกิจกรรมของ Berkeley ไม่เพียงแต่ในด้านการก่อสร้างบ้าน แต่ยังรวมถึงการบริการลูกค้า การส่งเสริมการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการฟื้นฟูพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ (brownfield sites)   โครงการพัฒนาของ Berkeley ทุกโครงการได้รับการออกแบบ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบอย่างยั่งยืน ผ่านความเป็นเลิศในการออกแบบ การจัดภูมิทัศน์ที่สอดคล้องกับธรรมชาติ และการบูรณาการพื้นที่ตามมาตรฐานอย่างเหมาะสมทุกโครงการ  
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยเดินเครื่องธุรกิจฝ่าทุกความผันผวนปี 68 ปักธงกลยุทธ์ “กอด - Secure Core, Embrace Future” มัดใจลูกค้าเดิม-เจาะลูกค้าใหม่ เน้นยืดหยุ่นตามดีมานด์ พร้อมเสิร์ฟสินค้า-บริการที่ตรงใจ   เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย เปิดแผนธุรกิจปี 68 ชูกลยุทธ์ “กอด - Secure Core, Embrace Future” กอดลูกค้าให้มั่น จับมือกันให้แน่น โฟกัสการดำเนินงาน 3 มิติ Flexible-Feeling-Focus ขับเคลื่อนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย-อุตสาหกรรม-พาณิชยกรรมเติบโตมั่นคงท่ามกลางความผันผวนทางเศรษฐกิจ พร้อมดึง AI ยกระดับการทำงานไปอีกขั้น เสริมความแข็งแกร่งเป็นแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ด้วยเป้าหมายเป็น Real Estate as a Service Brand    นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Country Chief Executive Officer) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 เผชิญหน้ากับความท้าทายหลายปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ เช่น ภูมิรัฐศาสตร์โลกจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ การขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งต้องจับตาถึงสงครามการค้าที่จะสะเทือนไปทั่วโลก ด้านสถานการณ์ในประเทศ กำลังซื้อยังคงซบเซา พร้อมหนี้ครัวเรือนและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่    ขณะเดียวกัน หลายสินค้าในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์อยู่ในสภาวะซัพพลายล้นตลาด อย่างบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีที่จำนวน ซัพพลายสะสมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สวนทางกับดีมานด์ที่ลดลง ขณะที่ตลาดอาคารสำนักงานมีการแข่งขันสูงจากอาคารสำนักงานเกิดใหม่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างการก่อสร้างที่เตรียมเปิดตัวในอนาคต รวมถึงคลังสินค้าให้เช่าที่เริ่มมีสัญญาณซัพพลายทะลัก หลังจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายรายกระโดดเข้ามาเล่นในตลาดนี้เพิ่มขึ้น   ท่ามกลางความผันผวนในไทยและต่างประเทศ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยวางแผนอย่างระมัดระวังเพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคง โดยในปีงบการเงิน 2568 (ต.ค. 2567 – ก.ย. 2568) ตั้งเป้ารายได้ 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 11 % เมื่อเทียบกับปีงบการเงิน 2567 (ต.ค. 2566 – ก.ย. 2567) ด้วยกลยุทธ์ “กอด - Secure Core, Embrace Future” ซึ่งจะกอดฐานลูกค้าเดิมให้แน่น พร้อมเดินหน้าหาลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ผ่านการดำเนินงานใน 3 มิติ ประกอบด้วย  Flexible – ปรับตัวให้ยืดหยุ่นตามดีมานด์ของตลาด ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยืดหยุ่น ด้วยจุดแข็งการเป็นแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรที่มีธุรกิจที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม สามารถสร้างรายได้จากการขายและค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ จึงมีกระแสรายได้ต่อเนื่อง อีกทั้งยังปรับรูปแบบของสินค้าและบริการให้ยืดหยุ่นตามความต้องการของลูกค้า เช่น ระยะเวลาการทำสัญญาเช่าที่เลือกได้ การพัฒนาพื้นที่แบบมัลติฟังก์ชันที่สามารถเปลี่ยนได้ตามลักษณะการใช้งาน เป็นต้น Feeling – สร้างประสบการณ์ที่เหนือระดับ ส่งมอบความประทับใจให้กับลูกค้าผ่านการรังสรรค์บรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่ดีในทุกพื้นที่การให้บริการ พร้อมด้วยการให้บริการหลังการขายอย่างจริงใจและเอาใจใส่ ผ่านการออกแบบการดูแลที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ในการมัดใจและรักษาลูกค้าให้อยู่กับบริษัทในระยะยาว Focus – มุ่งพัฒนาสินค้าและบริการที่เชี่ยวชาญ ใช้ Data-driven insights วิเคราะห์แนวโน้มตลาดและความต้องการลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการยึดความต้องการของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) เพื่อนำไปสู่การสร้างโซลูชันใหม่ ๆ ที่สามารถเสริมมูลค่าให้กับสินค้าและบริการ และตอบสนองความต้องการของตลาดได้อย่างทันท่วงที    ทั้งนี้ กลยุทธ์ “กอด - Secure Core, Embrace Future” ได้นำมาปรับใช้ในแต่ละกลุ่มธุรกิจของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ดังนี้ อสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย พลิกโฉมการพัฒนาที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ให้กับลูกค้า ทั้งดีไซน์และฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ เสริมด้วยบริการหลังการขายสุดแกร่งที่ดูแลลูกค้าตั้งแต่วันแรกทั้งก่อนและหลังเข้าอยู่ โดยมีแผนเปิด 6 โครงการใหม่ในกรุงเทพมหานคร นครราชสีมา และขอนแก่น รวมมูลค่า 9,803 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับลักชัวรีและระดับบน 3 โครงการ ภายใต้แบรนด์ The Grand, Grandio และแบรนด์ใหม่ Gramour พร้อมด้วยทาวน์โฮมพรีเมียม 1 โครงการในแบรนด์ใหม่ Goldina และคอนโดมิเนียมแบรนด์ KLOS อีก 1 โครงการ ขณะเดียวกัน เดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้นด้วยการจัดโรดโชว์ที่ประเทศจีน เจาะกลุ่มลูกค้าที่สนใจซื้อโครงการคอนโดมิเนียม   อสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม ปัจจุบันเป็นเบอร์ 1 ของตลาดโรงงาน-คลังสินค้าให้เช่าด้วยพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการ 3.66 ล้านตร.ม. ทั้งในไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ตั้งเป้าขยายพื้นที่เพิ่มอีกกว่า 150,000 ตร.ม. และสร้างอัตราการเช่ารวมของพอร์ตโฟลิโอสูงกว่า 88% เดินหน้าพัฒนาอาคารอุตสาหกรรมทั้งแบบสำเร็จรูป (Ready-Built) แบบสร้างความต้องการของลูกค้า (Built-to-Suit) และแบบสร้างตามฟังก์ชันพร้อมใช้ (Built-to-Function) ที่บริษัทเป็นเจ้าแรกของตลาดในการพัฒนาสินค้ารูปแบบนี้และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สามารถปิดดีลลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน บริษัทจะเข้าไปร่วมพัฒนาโครงการ Industrial Township พื้นที่ 4,600 ไร่ ตั้งอยู่บริเวณ ถ.บางนา -ตราด กม.32 ซึ่งพร้อมเปิดตัวโครงการในเดือนก.พ. 2568      อสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม ยกระดับการให้บริการและคุณภาพอาคารสำนักงานเกรด A อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้อาคารทุกกลุ่ม ผสมผสานการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับผู้เช่า ซึ่งเป็นจุดเด่นของบริษัทที่ทำให้สามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมได้อย่างเหนียวแน่น ยิ่งกว่านั้น มีแผนดึงดูดลูกค้าต่างชาติกลุ่มใหม่ ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาลงทุนในไทยจากการย้ายและขยายฐานการผลิตอีกด้วย ในส่วนของพื้นที่รีเทลจะเพิ่มเติมร้านค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้โภคมากขึ้น ผนวกการจัดกิจกรรมหลากหลายรูปแบบที่สร้างประสบการณ์เหนือระดับ เพื่อปลุกสีสันตลาดและเพิ่มยอดทราฟฟิก โดยมองว่าปีนี้จะสามารถรักษาอัตราการเช่าของพอร์ตโฟลิโออสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรมได้สูงกว่า 90%      นอกจากนี้ บริษัทได้นำ AI (Artificial Intelligence) และ Data Analytics เข้ามาใช้ในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ของธุรกิจ ทั้งการออกแบบและสร้างสรรค์โครงการ วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปพัฒนาสินค้าและบริการที่สร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า รวมถึงส่วนของออฟฟิศด้านการจัดการบัญชีและการเงิน เป็นต้น ซึ่งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่ายและเวลาในกระบวนการต่าง ๆ อีกทั้งยังมีโครงการ Everyday AI ที่ส่งเสริมการเรียนรู้การใช้ AI ให้กับพนักงาน เพื่อนำไปปรับใช้กับการทำงานให้มีศักยภาพมากขึ้น เป็นการสร้างรากฐานองค์กรให้ก้าวสู่อนาคตได้อย่างแข็งแกร่งในยุคที่การแข่งขันสูงและการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว   “ด้วยกลยุทธ์และแผนงานที่ถูกวางอย่างเข้มแข็งและรอบคอบ บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถผลักดันธุรกิจเติบโตมั่นคงท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ยังเป็นการเดินหน้าตามแผนการขับเคลื่อนเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทยสู่ Real Estate as a Service Brand ด้วยการต่อยอดนวัตกรรมการบริการ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการบริการที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ควบคู่กับความมุ่งมั่นในการเป็นองค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2050 (พ.ศ.2593) อันสอดคล้องกับเจตนารมณ์ขององค์กรในการสร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.)” นายธนพลกล่าวสรุป    
มูลนิธิ แอสเสท เวิรด์ จัดงานวิ่งการกุศลใจกลางเมือง “CBD We Run 2025”

มูลนิธิ แอสเสท เวิรด์ จัดงานวิ่งการกุศลใจกลางเมือง “CBD We Run 2025”

มูลนิธิ แอสเสท เวิรด์ เพื่อการกุศล ร่วมกับ กทม. และพันธมิตร จัดงานวิ่งการกุศลใจกลางเมือง “CBD We Run 2025” วิ่งสุขสันต์เมืองยั่งยืน   มูลนิธิ แอสเสท เวิรด์ เพื่อการกุศล หรือ AWFC ซึ่งก่อตั้งโดย บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ร่วมกับ กรุงเทพมหานคร และเครือข่ายพันธมิตร จัดกิจกรรมวิ่งการกุศล “CBD We Run 2025” ภายใต้โครงการ “GIVE GREEN CBD” หนึ่งในงานวิ่ง City Run ประจำปีที่นักวิ่งรอคอยและมีการจัดมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 11 ในคอนเซปต์  “วิ่งสุขสันต์เมืองยั่งยืน” ร่วมสร้างกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองสีเขียวรวมถึงไม่สร้างขยะตลอดการแข่งขัน ผ่านการสนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมของกรุงเทพมหานคร   และนำรายได้ส่วนหนึ่งเข้าสมทบโครงการ “ปันรักษ์” เพื่อสิ่งแวดล้อมของมูลนิธิ AWFC โดยภายในงาน ได้รับเกียรติจากนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในการปล่อยตัวกิจกรรมวิ่งการกุศล “CBD We Run 2025” รวมถึงพันธมิตรกว่า 70 ราย โดยมีผู้เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้จำนวน 2,400 คน ณ จุดปล่อยตัว อาคาร “เอ็มไพร์”       กิจกรรมวิ่งการกุศล “CBD We Run 2025” เป็นงานวิ่งฮาล์ฟมาราธอนการกุศลกลางเมือง เพื่อส่งมอบคุณค่าและประโยชน์องค์รวมทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคม โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็นทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ “Fun Run” ระยะทาง 4.2 กิโลเมตร “Mini Marathon” ระยะทาง 10.5กิโลเมตร และ “Half Marathon” ระยะทาง 21 กิโลเมตร ด้วยเส้นทางวิ่งพิเศษผ่านพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญใจกลางเมือง กับไฮไลท์สำคัญในเส้นทางวิ่ง อาทิ อาคาร ‘เอ็มไพร์’ อาคารสำนักงานแบบไลฟ์สไตล์ระดับแฟลกชิปของ AWC สวนสาธารณะคลองช่องนนทรี ถนนสาทร ลัดเลาะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมด้วยวิวอาทิตย์ขึ้นยามเช้าบริเวณสะพานตากสิน และจุดกลับตัวที่อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (วงเวียนใหญ่)     ทั้งนี้ “CBD We Run 2025” จัดขึ้นภายใต้โครงการ “GIVE GREEN CBD” มุ่งเดินหน้าขับเคลื่อนความยั่งยืน ผ่าน 3 กิจกรรม คือ ตลาดนัดเพื่อการกุศล “AWC's Charity Market Around” กิจกรรมการกุศลใต้ต้นคริสต์มาส "A Charity Christmas Tree" และงานซิตี้รัน วิ่งฮาล์ฟมาราธอนการกุศลกลางกรุง “CBD We Run 2025” ชวนคนไทยรวมพลังกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อส่งต่อคุณค่ากลับคืนสู่สังคม มุ่งรณรงค์ให้ทุกคนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศ พร้อมส่งเสริมการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและไม่สร้างขยะเพิ่มเติม แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยการนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) จากซากเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิดต่างๆ ที่หมดอายุการใช้งาน มาใช้ประโยชน์ต่อด้วยการนำมารีไซเคิลเป็นเหรียญรางวัล เสื้อวิ่งที่ผลิตจากเส้นใยพลาสติก Recycled PET รวมถึงรณรงค์ให้นักวิ่งใช้ขวดน้ำซิลิโคนแบบพกพาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อไม่สร้างขยะตลอดการแข่งขัน     โครงการ “GIVE GREEN CBD” ได้รับการสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมจากพันธมิตรชั้นนำ ประกอบด้วย บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง ประจำกรุงเทพมหานคร, เคพีเอ็มจี ประเทศไทย, บริษัท นวกิจ อลูมินัม แอนด์ กลาส (2009) จำกัด, บริษัท จาร์ดีน ชินด์เล่อร์ (ไทย) จำกัด, บริษัท บางกอก เดค-คอน จำกัด (มหาชน), บริษัท ซี.อี.เอส จำกัด, บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน), บริษัท หลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน), ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน), บริษัท เทอร์มีเดซ จำกัด, บริษัท เอเวอเรสต์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด, บริษัท ฟิวเจอร์ วิชวล ซิสเต็ม จำกัด, กลุ่มบีเจซี บิ๊กซี, บริษัท โอกุระ นิกโก้ โฮเทล แมนเนจเม้นท์ จำกัด, บริษัท อัซบิล (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด, บริษัท เดลล์ คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด และอื่น ๆ รวมกว่า 70ราย   ข่าวอื่นที่น่าสนใจ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ชวนคนรุ่นใหม่ประกวดวงดนตรี ชิงทุนฯ AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น JLLชูเทคโนโลยี AI โซลูชั่น นวัตกรรม บริการอสังหาฯก้าวสู่ยุค‘อุตสาหกรรม5.0’  
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ชวนคนรุ่นใหม่ประกวดวงดนตรี ชิงทุนฯรวมกว่า 400,000 บาท*

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ชวนคนรุ่นใหม่ประกวดวงดนตรี ชิงทุนฯรวมกว่า 400,000 บาท*

เฟรเซอร์ส ชวนคนรุ่นใหม่ประกวดวงดนตรี ชิงทุนฯ รวมกว่า 400,000 บาท* เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ชวนคนรุ่นใหม่ร่วมโชว์ศักยภาพทางดนตรี สร้างประสบการณ์ที่ดีครั้งหนึ่งในชีวิต กับการประกวดวงดนตรี โครงการ Frasers Property presents “We Play Together...ร้องด้วยกัน เล่นด้วยกัน อบอุ่นไปด้วยกัน” เปิดโอกาสให้น้อง ๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย และระดับมหาวิทยาลัย โชว์ความสามารถกับโจทย์เพลง “อบอุ่น” ชิงทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท* และโอกาสในการร่วมประสบการณ์พัฒนาทักษะกับศิลปินชั้นนำของเมืองไทย เปิดรับสมัครแล้ววันนี้ ถึง 15 กุมภาพันธ์ ศกนี้     นายสมบูรณ์ วศินชัชวาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมา เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ได้ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับทุกคนผ่านการสร้างสรรค์เพลง “อบอุ่น” ที่ได้ร่วมกับศิลปินชื่อดังอย่าง ตู่ ภพธร และ แทน ลิปตา ถ่ายทอดความสุขและความอบอุ่นของการอยู่อาศัยในบ้านที่มีฟังก์ชันครบครันจาก เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนทุกเจเนอเรชั่น รวมถึงคนรุ่นใหม่ เพื่อให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดีที่สุด ภายใต้เจตนารมย์ของบริษัทฯ ในการสร้างสรรค์พื้นที่ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.)      “เพื่อเป็นการต่อยอดความสำเร็จจากบทเพลงดังกล่าว และสร้างประสบการณ์ที่ดีผ่านการใช้ “ดนตรี” เป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความหลงใหลในดนตรี และมองหาโอกาสในการแสดงออกถึงความสามารถ ผ่านการร้องและการเล่นดนตรีร่วมกัน ในปีนี้ เราจึงได้จัดการประกวดวงดนตรีสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่ขึ้น ภายใต้โครงการ Frasers Property presents “We Play Together...ร้องด้วยกัน เล่นด้วยกัน อบอุ่นไปด้วยกัน” เพื่อมุ่งหวังในการส่งเสริมศักยภาพทางด้านดนตรีของคนรุ่นใหม่ พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อขยายโอกาสให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้แสดงความสามารถทางด้านดนตรี และเป็น “พื้นที่” ให้น้อง ๆ ที่มีใจรักในเสียงดนตรีได้ปล่อยพลังความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ ผ่านเสียงเพลงในแบบของคุณ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะจากศิลปินชั้นนำ โดยการประกวดฯ นี้ไม่ได้เพียงแค่เป็นเวทีการแข่งขัน แต่เป็นพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้มาสร้างประสบการณ์ และมอบความสุขผ่านการเล่นดนตรีร่วมกันในบรรยากาศที่อบอุ่นและมีความสุข      โครงการ Frasers Property presents “We Play Together...ร้องด้วยกัน เล่นด้วยกัน อบอุ่นไปด้วยกัน” เป็นโครงการประกวดวงดนตรีสำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีใจรักในเสียงดนตรี ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อเปิดโอกาสให้น้อง ๆ ได้ร่วมแสดงความสามารถทางด้านดนตรีผ่านเสียงเพลงในแบบของคุณ พร้อมชิงทุนการศึกษามูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท*และโอกาสในการร่วมประสบการณ์สุดพิเศษกับศิลปินชั้นนำของเมืองไทย โดยจะแบ่งการประกวดออกเป็น 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น High School Class - มัธยมศึกษาตอนปลาย หรือเทียบเท่า  และรุ่น University Class - มหาวิทยาลัย / อุดมศึกษา หรือเทียบเท่า ซึ่งเปิดรับสมัครอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2568 เท่านั้น โดยจะประกาศผลผู้ที่ผ่านเข้ารอบ Audition จำนวน 20 วง (รุ่นละ 10 วง) ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568 เพื่อทำการแสดงต่อหน้าคณะกรรมการผู้คร่ำวอดในแวดวงดนตรีระดับประเทศที่ให้เกียรติมาร่วมตัดสินในโครงการนี้ อาทิ คุณหนึ่ง – จักรวาล เสาธงยุติธรรม,  คุณแมว - จิรศักดิ์ ปานพุ่ม, คุณฮอล - ชัชชนท อาภาสโชคทวี และ ผู้เชี่ยวชาญจากกองดุริยางค์ทหารอากาศ หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน ในวันที่ 8 มีนาคมนี้ และรอบ Final กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 29 มีนาคมนี้ ณ สามย่านมิตรทาวน์ฮอลล์     โดยอีกหนึ่งความพิเศษที่ทางโครงการประกวดฯ เตรียมไว้ในครั้งนี้ คือการนำ 3 ศิลปินชั้นนำของเมืองไทย ได้แก่ คุณคัตโตะ นักร้องนำจากวงลิปตา, คุณมีน มือกีต้าร์จากวงไททศมิตร และ คุณเอก นักร้องนำจากวง Season Five มาร่วมให้คำแนะนำ และเทคนิคต่าง ๆ จากประสบการณ์จริง เพื่อให้น้องๆ สามารถนำไปปรับใช้ในการแสดงดนตรี ทั้งด้านการร้องเพลงและการเล่นเครื่องดนตรี ซึ่งมั่นใจว่าน้อง ๆ ทั้ง 10 ทีมสุดท้าย (รุ่นละ 5 ทีม) ที่ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศจะได้สัมผัสกับประสบการณ์สุดพิเศษ และได้รับความรู้กลับไปอย่างเต็มที่อย่างแน่นอน      “ขอเชิญชวนเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มีใจรักในด้านดนตรี มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการประกวดวงดนตรีฯ ในครั้งนี้กันเยอะๆ เพราะนี่คือโอกาสที่ไม่เพียงแต่จะได้แสดงความสามารถทางด้านดนตรี แต่ยังได้เรียนรู้และพัฒนาทักษะจากศิลปินมืออาชีพที่มีประสบการณ์จริง เพื่อมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ในการทำตามความฝันของทุกคน นอกจากนี้ในอนาคต บริษัทฯ ยังเตรียมเดินหน้าจัดกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดี และสร้างการมีส่วนร่วมในหลากหลายด้านมากยิ่งขึ้น เพื่อตอกย้ำเจตนารมณ์ของบริษัทฯ ในการสร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.) พร้อมทำให้เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย เป็นแบรนด์ที่โดดเด่นและสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกเจเนอเรชั่นได้อย่างครบถ้วนทุกมิติ” นายสมบูรณ์ กล่าว   ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ Frasers Property presents “We Play Together...ร้องด้วยกัน เล่นด้วยกัน อบอุ่นไปด้วยกัน” พร้อมส่งใบสมัครและผลงานได้ที่ weplaytogethermusiccontest@gmail.com ตั้งแต่วันนี้ - 15 กุมภาพันธ์นี้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/FPTFamilyClub     ข่าวอื่นที่น่าสนใจ AWC เปิดตัว ‘Jurassic World: The Experience @ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น JLLชูเทคโนโลยี AI โซลูชั่น นวัตกรรม บริการอสังหาฯก้าวสู่ยุค‘อุตสาหกรรม5.0’    
[PR] เสนา – ฮันคิว ฮันชิน เสริมแกร่งธุรกิจ เปิดตัวบริษัทร่วมทุน เสนา เอชเอชพี ตอกย้ำความเชื่อมั่นระยะยาว

[PR] เสนา – ฮันคิว ฮันชิน เสริมแกร่งธุรกิจ เปิดตัวบริษัทร่วมทุน เสนา เอชเอชพี ตอกย้ำความเชื่อมั่นระยะยาว

เสนา - ฮันคิว ฮันชิน เสริมแกร่งธุรกิจ เปิดตัวบริษัทร่วมทุน เสนา เอชเอชพี ตอกย้ำความเชื่อมั่นระยะยาว พร้อมลุย 66 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 83,000 ล้าน   SENA เสริมแกร่งธุรกิจ จับมือ HHP เปิดบริษัทร่วมทุนใหม่อย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อ “เสนา เอชเอชพี” สะท้อนความมั่นใจจากพาร์ทเนอร์ ที่พร้อมร่วมลงทุนในระยะยาว เดินหน้ารุกทุกเซกเมนต์สู่การยกระดับประสิทธิภาพรอบด้านทั้ง Credibility, Financial และ Efficiency เพิ่มข้อได้เปรียบทั้งความมั่นคงด้านเงินทุน โอกาสทางการเงิน การบริหารต้นทุน และรูปแบบการดำเนินงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ตั้งเป้าสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ตามแผนลงทุนรวม 66 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 83,000 ล้าน โดยยังคงจุดแข็งบ้านประหยัดพลังงาน หรือ Zero Energy House (ZEH) ที่ยังเดินหน้าพัฒนาให้เข้มข้นมากขึ้นด้วยการผสมผสานเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ จากญี่ปุ่น ที่ตอบโจทย์ Decarbonized Lifestyle และสร้างสังคมการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนให้กับครอบครัวเสนาทุกคน   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ (ดร.ยุ้ย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) SENA กล่าวว่า จากการร่วมทุน (Joint Venture) ของ เสนา และ บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ประเทศญี่ปุ่นที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2016 ธุรกิจมีการเติบโต เปิดโครงการใหม่ และประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในสิ่งสำคัญคือการที่ทั้งสองบริษัทมีแนวทางการดำเนินธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน โดยให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นลำดับแรก (Customer comes first) รวมถึงยังมีความตั้งใจที่จะมาร่วมลงทุนระยะยาวในประเทศไทย โดยวันนี้เป็นอีกโอกาสสำคัญของความร่วมมือเพื่อการก้าวไปสู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่และเติบโตแข็งแกร่งกว่าเดิม โดยเสนา และ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป พร้อมยกระดับการร่วมทุนจากความร่วมมือพัฒนาแบบรายโครงการ สู่การเปิดบริษัทร่วมทุนใหม่ที่พร้อมเดินหน้าต่ออย่างมั่นคงมากยิ่งขึ้น ในชื่อ บริษัท เสนา เอชเอชพี จำกัด     “ความร่วมมือครั้งนี้ นับเป็นก้าวที่สำคัญของการเติบโต และยังสะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพของกันและกัน ตอกย้ำถึงการร่วมเดินหน้าธุรกิจ พร้อมเป็นพันธมิตรในระยะยาว แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายจากปัจจัยลบ ที่สำคัญยังช่วยยกระดับประสิทธิภาพใน 3 ด้าน ที่ประกอบด้วย 1. Credibility คือ ความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น ความมั่นใจจากความร่วมมือในระยะยาวกับบริษัทระดับนานาชาติ การผสมผสานความร่วมมือ และการทำงานแบบมืออาชีพ 2. Financial คือความมั่นคงในด้านเงินทุน ความเชื่อมั่นในสถานภาพทางการเงิน การบริหารจัดการต้นทุนที่จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงโอกาสทางการเงิน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และ 3. Efficiency ที่จะช่วยยกระดับการทำงานให้รวดเร็ว และยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ง่ายต่อการบริหารจัดการ รวมถึงการแลกเปลี่ยนนวัตกรรมความรู้ต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพที่อยู่อาศัยให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบัน”   ดร. ยุ้ย กล่าวย้ำว่า สำหรับเป้าหมายการขยายธุรกิจและสร้างโอกาสในการเติบโต ภายใต้บริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้น  ทางเสนา และ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป  ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยเป็นหลัก ทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง และพร้อมพัฒนาโครงการให้ครอบคลุมครบทุกเซกเม้นท์ และกระจายอยู่ในทำเลศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยพัฒนาเบื้องต้นไว้ที่ 66 โครงการ รวมมูลค่ารวมประมาณ 83,000 ล้านบาท โดยทุกโครงการยังคงพัฒนาบนแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ และคอนโด โลว์คาร์บอน ที่จะเดินหน้าพัฒนา และต่อยอดให้ตอบโจทย์คนไทยมากที่สุด พร้อมผสมผสานเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ จากญี่ปุ่นเพื่อร่วมสร้าง Decarbonized Lifestyle ให้กับลูกบ้าน และสร้างสังคมการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนให้กับครอบครัวเสนาทุกคน      ด้าน มร.มาซะฮิโกะ โทดะ กรรมการบริหาร บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป กล่าวว่า “ตั้งแต่ปี 2016 ที่บริษัทฯ เริ่มขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ และได้ตัดสินใจเข้าร่วมทุนกับเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จากความเชื่อมั่นในความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของเสนาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย รวมถึงการมีทิศทางการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกัน ซึ่งสะท้อนถึงความเข้าใจร่วมกันในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ เรายังชื่นชมในความเป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาลแข็งแกร่งของเสนา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพภายใต้การนำของ ดร.เกษรา และทีมผู้บริหาร รวมถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ที่ได้รับแนวคิดจากญี่ปุ่นมาปรับใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย เช่น บ้านประหยัดพลังงาน (ZEH) และ Condo Low-Carbon และในวันนี้เรายังคงมีความเชื่อมั่นในการบริหารที่มีวิสัยทัศน์และเป็นองค์กรที่มีธรรมภิบาลสูงของเสนา จะส่งผลให้การยกระดับการร่วมทุนในครั้งนี้เติบโตอย่างมั่นคง”   ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลางเมือง “สาทรสแควร์” พานาโซนิคผนึก เสนา-เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง-สถาพร เอสเตท ทดลองระบบ Home IoT  
[PR] เอพีเปิดตัว LIFE เจริญนคร-สาทร คอนโดวิวแม่น้ำที่ดีที่สุด กับชีวิตที่เหนือกว่าในทุกมิติ

[PR] เอพีเปิดตัว LIFE เจริญนคร-สาทร คอนโดวิวแม่น้ำที่ดีที่สุด กับชีวิตที่เหนือกว่าในทุกมิติ

เอพีเปิดตัว LIFE เจริญนคร-สาทร คอนโดวิวแม่น้ำที่ดีที่สุด กับชีวิตที่เหนือกว่าในทุกมิติ ห้องชุดดีไซน์ใหม่สูง 3 เมตร เริ่ม 3.59 ล้านบาท   นางสาวนิยมาพร โต๊ะสงวนพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาด และการขายธุรกิจ กลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า “เจริญนคร” ถึงจะเป็นย่านเมืองเก่า แต่ในปัจจุบันมีความหลากหลายของกลุ่มคนในพื้นที่ อีกทั้งการเดินทางที่สะดวกสบาย ทำให้วันนี้ถนนเจริญนครเป็นอีกหนึ่งทำเลที่ดึงดูดสำหรับการอยู่อาศัยและการลงทุนอย่างแท้จริง บริษัทฯ จึงพร้อมเปิดตัวโครงการ “LIFE เจริญนคร-สาทร” คอนโดวิวแม่น้ำที่ดีที่สุด จำนวน 580 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท บนทำเลที่ใช่ เพียง 1 สถานี ถึง CBD โซนสาทร พร้อมจุดขาย 2 วิวแม่น้ำเจ้าพระยาที่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน โดย LIFE เจริญนคร-สาทร พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘BEYOND THE BOUNDARIES – เหนือกว่าทุกข้อจำกัด สู่ความสมดุลของการใช้ชีวิต’ โดยความพิเศษของโครงการนี้นอกจากการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางที่เปิดรับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเต็มที่แล้ว ยังมีผังห้องชุดดีไซน์ใหม่ล่าสุด All New SIMPLEX กับห้องชุด SIMPLE EXTRA HIGH CEILING ห้องชุดเพดานสูง 3 เมตร ที่มาพร้อมฟังก์ชันที่คุ้มค่าในทุกตารางเมตรมากยิ่งขึ้น พร้อมเปิดขายครั้งแรกในวันที่ 29 - 30 มิถุนายนนี้ ราคาขาย 1 ห้องนอนใหญ่ เริ่ม 3.59 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยเริ่ม 114,000 บาท / ตร.ม. ณ สำนักงานขายโครงการ ลงทะเบียนรับส่วนลดเพิ่มเติมสูงสุด 230,000 บาท ได้ตั้งแต่วันนี้ที่ http://apth.ly/Life-CNK-ST   “จาก Consumer Insight ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน เค้ามองหาพื้นที่ที่ช่วย Retreat หรือฟื้นฟูจากความเครียดที่เจอในแต่ละวัน เราจึงเอา Insight นี้ของลูกค้ามาเป็นโจทย์ในการพัฒนาโครงการให้ LIFE เจริญนคร-สาทร พิเศษทั้งในเรื่องของทำเลที่อยู่ในย่าน Heritage และเป็นพื้นที่ที่ RETREAT สำหรับคนเมืองอย่างแท้จริง ซึ่งเราตั้งใจให้ทุกพื้นที่ภายในโครงการนี้เป็นเหมือนบทกวีที่เล่าเรื่องราวความทรงจำเกี่ยวกับเจริญนครได้อย่างสวยงาม ทั้งในงาน Architect งาน Landscape และที่สำคัญมากๆ คือ งาน Interior ที่เรากล้าพูดได้อย่างเต็มปากเลย ว่า Interior ที่นี่จัดเต็มและสวยมากๆ” คุณนิยมาพร กล่าว      คุณแอ-เบญญาภา ศิริโสภณ ผู้ก่อตั้งและดีไซเนอร์ บริษัท VAIR DESIGN จำกัด บริษัทออกแบบอินทีเรียเบอร์ต้นของประเทศไทย Interior Designer ที่ดูแลงานออกแบบตกแต่งภายในโครงการ LIFE เจริญนคร-สาทร กล่าวว่า ความท้าทายในการออกแบบวันนี้ นอกจากการตามเทรนด์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแล้ว คำถามคือ เราจะนำเทรนด์นั้นๆ มา Balance ในการทำงานอย่างไรให้วันที่คอนโดมิเนียมก่อสร้างเสร็จ งาน Interior ที่ออกแบบไว้ไม่ล้าสมัย อีกทั้ง Brand Positioning ในแต่ละแบรนด์ของคอนโด AP มีจุดยืนที่แตกต่างกัน อย่างที่ LIFE เจริญนคร-สาทร เรามีการ Refining คำว่า Heritage ของเจริญนครในมุมมองใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ THE VISUAL JOURNEY OF REFINING CHAROENNAKHON HERITAGE ผ่านการดึงเสน่ห์ความสวยงามของสถาปัตยกรรมบ้านเก่า ท่าเรือ และโกดัง ที่อยู่แวดล้อมในย่านนั้น มาเป็น Inspiration ในงานออกแบบ เพื่อให้ทุกพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการเข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายโครงการ ซึ่งหัวใจสำคัญของงานออกแบบที่เรามองไปในภาพเดียวกับทีมเอพี คือ การออกแบบที่ดีต้องไม่เพียงแต่สวยงามเท่านั้น แต่ต้องใช้งานได้จริง พื้นที่ที่ถูกออกแบบมาอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน จะสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตและสร้างสุนทรีย์ในการอยู่อาศัยของลูกค้าได้ในทุกมิติชีวิต     LIFE เจริญนคร-สาทร กับคอนเซ็ปต์โครงการ ‘BEYOND THE BOUNDARIES – เหนือกว่าทุกข้อจำกัด คืนชีวิตสู่ความสมดุล’ พร้อม 4 จุดขายที่เหนือกว่าในทุกมิติ   1) BEYOND THE SPACE  พื้นที่ที่เป็นมากกว่าแค่ “ที่อยู่” ดื่มด่ำกับสุนทรียภาพเหนือระดับ คอนโด HIGH-RISE สูง 28 ชั้น ที่ออกแบบให้รับวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาแบบเต็มๆ และเอาใจคนเมืองที่ชอบความเป็นส่วนตัว ด้วยจำนวนยูนิตที่น้อยที่สุดเพียง 580 ยูนิต กับขนาดพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่กว่าเคย เหนือกว่าด้วยพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น กับห้องชุดดีไซน์ใหม่ All New SIMPLEX ทั้งโครงการ พร้อมห้องชุดแบบ SIMPLEX EXTRA HIGH CEILING เพดานสูง 3 เมตร เฉพาะในชั้น 25 - 26   ขนาดห้องชุดเริ่มต้นที่ 1 ห้องนอน 29.5 - 35 ตร.ม. ครบทุกพื้นที่การใช้งาน ไฮไลต์พิเศษกับผัง 1 Bedroom Plus ขนาด 35 ตร.ม. ที่มาพร้อมฟังก์ชัน Double Access Bathroom เชื่อมต่อกับ Master Bedroom และ Flexible Room ที่ปรับเป็นพื้นที่ส่วนตัวเพิ่มได้อย่างอิสระ และห้องชุดแบบ 2 Bedroom ขนาดพื้นที่ใช้สอย 42 - 57 ตร.ม. ราคาขาย 1 ห้องนอนใหญ่ เริ่ม 3.59 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยเริ่ม 114,000 บาท / ตร.ม.   2) BEYOND THE LEISURE  มากกว่าการ Relax แต่คือการ Retreat ให้ชีวิต กับพื้นที่ส่วนกลางที่ผสมผสานเสน่ห์ของวัฒนธรรมและสายน้ำเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างสวยงามเหนือกาลเวลา สัมผัสชีวิต ไลฟ์สไตล์ และการพักผ่อนได้มากกว่าที่เคย กับพื้นที่ส่วนกลางที่ออกแบบเพื่อสร้างบรรยากาศและความรู้สึกที่ผ่อนคลาย ทั้งในส่วนของ Lobby ชั้น G สวนชั้น 7 และ Double Roof Top Facilities ในชั้น 27 - 28 ผ่านการเลือกสรรวัสดุในรูปแบบของ Luxury Authentic Material ดีเทลงานคราฟต์ของการตกแต่งอินทีเรียที่สอดแทรกสายน้ำที่กำลังเคลื่อนไหว   ชั้น G กับ Lobby ที่แยกเป็น 2 ส่วน กับ The Parlour Port และ Exclusive Lobby ที่แบ่งแยกโซนเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกัน พร้อมไฮไลต์พิเศษกับ THE THERAPIST ROOM ห้องที่ออกแบบมาเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูจากความเครียด   Double Roof Top Facilities ที่ชั้น 27 - 28 เปิดรับ 2 วิวแม่น้ำเจ้าพระยาไปกับ EXCLUSIVE ARTFUL LOUNGE มุมมองแบบ Panoramic 270 องศา ชมวิวแม่น้ำใน 2 บรรยากาศ ทั้งวิวฝั่งไอคอนสยาม ที่มีสีสัน ครึกครื้น หรือฝั่งของเอเชียทีค ที่นิ่ง สงบ นอกจากนั้น ในส่วนชั้น 27 ก็จะเป็นส่วนของสระว่ายน้ำ ฟิตเนส และพื้นที่สวนพักผ่อน ที่เปิดรับวิวทั้ง river view & city view   3) BEYOND THE LIMITES OF TIME  ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 3-0-55.0 ไร่ ติดถนนเจริญนคร เดินทางสะดวก เพียง 600 เมตร จาก BTS สถานีกรุงธนบุรี เดินทางเข้าเมืองแค่เพียง 1 สถานี ก็ถึง CBD โซนสาทร เชื่อมต่อสาทรเหนือ-พระรามที่ 3-วงเวียนใหญ่ อย่างรวดเร็ว 4) BEYOND THE ORDINARY  ให้ทุกวันคือการใช้ชีวิตที่เหนือกว่าที่เคย กับสิ่งอำนวยความสะดวกที่อยู่แวดล้อมรัศมีโครงการ ใกล้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อย่าง ไอคอนสยาม, เสนา เฟสท์, โรบินสัน บางรัก, เอเชียทีค และ Gump’s Cross ไลฟ์สไตล์คอมมิวนิตีใหม่ รวมถึงคาเฟ่สุดชิคอีกมากมายในย่านเจริญนคร   LIFE เจริญนคร-สาทร คอนโดมิเนียม HIGH–RISE สูง 28 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 580 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท โซนพักอาศัยเริ่มตั้งแต่ชั้น 7 - 26 กับห้องชุด SIMPLEX 3 แบบ 1) 1 Bedroom 29.5 - 35 ตร.ม.  2) 1 Bedroom Plus 35 ตร.ม. และ  3) 2 Bedroom 42 - 57 ตร.ม. ราคาขาย 1 ห้องนอนใหญ่ เริ่ม 3.59 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยเริ่ม 114,000 บาท / ตร.ม. รับโปรโมชันพิเศษจองในวันงาน VVIP Day 29 - 30 มิถุนายนนี้ รับส่วนลดสูงสุด 230,000 บาท ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษได้ที่ http://apth.ly/Life-CNK-ST   ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ [PR] “เมซัน”ประกาศลุยบ้านหรู “แกรนด์ แอสเสทฯ” ดันเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” ข่าวโปรโมชันล่าสุด  
“แกรนด์ แอสเสทฯ” ดันเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” รุกเจาะดีมานด์ไฮเอน

“แกรนด์ แอสเสทฯ” ดันเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” รุกเจาะดีมานด์ไฮเอน

อสังหาฯ อีอีซี โตไม่แผ่ว! “แกรนด์ แอสเสทฯ” ดันเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” รุกเจาะดีมานด์ไฮเอนด์ ดึงพาร์ทเนอร์ระดับโลก ปั้นโครงการมิกซ์ยูสสุดอลังการหนึ่งเดียวในระยอง โครงการอสังหาฯ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ยังคงร้อนแรงไม่มีแผ่ว ล่าสุด แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเมืองไทย ชี้มูลค่าตลาดอสังหาฯ จังหวัดระยอง พุ่งขึ้น 2 เท่า รับอานิสงส์คนไทย-ต่างชาติย้ายมาอยู่ใกล้ที่ทำงาน-ดำเนินธุรกิจในเขตอีอีซี แกรนด์ แอสเสทฯ เห็นโอกาสเจาะกลุ่มไฮเอนด์และนักลงทุน รุกส่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญเขย่าตลาดอสังหาฯ ระยองกับเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” โครงการระดับอัลตราลักชัวรีติดทะเลอ่าวไทยแห่งแรกและแห่งเดียวในระยอง บนพื้นที่กว่า 92 ไร่ ในทำเลศักยภาพใจกลางอีอีซีและห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 180 กม. กางแผนปั้นเป็นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสสุดยิ่งใหญ่ในจังหวัด อันประกอบด้วย ที่อยู่อาศัยแบบพูลวิลล่าระดับอัลตราลักชัวรี โรงแรม ร้านอาหาร บีชคลับ และบริการด้านสุขภาพองค์รวม โดยแกรนด์ แอสเสทฯ เผยกลยุทธ์การดึงพาร์ทเนอร์ผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ทั้ง “อมาธารา เวลเลเชอร์ รีสอร์ต” แบรนด์เวลเนสชื่อดังจากภูเก็ต นำเสนอบริการสุขภาพรองรับเฮลตี้ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่อย่างครบครัน ทั้งยังเป็นโปรเจ็กต์แรกในไทยที่ได้จับมือกับบริษัทดีไซน์ชื่อดังระดับโลก “IBUKU” มาร่วมออกแบบ “Bambu Beach Club” แลนด์มาร์กติดทะเลสุดอลังการที่โอบรับธรรมชาติตระการตา ล่าสุด อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง เผยโฉมพูลวิลล่าเฟส 2 ปักหมุดวิลล่าบนเนินเขาพร้อมวิวทะเลแห่งแรกในระยอง ทุกสเปซในโครงการชูดีไซน์การออกแบบที่งดงามตระการตาพร้อมโอบรับวิวทะเลอ่าวไทย มั่นใจตอบโจทย์เรียลดีมานด์ที่ซื้ออยู่เองและนักลงทุนเพื่อสร้างกำไรอย่างยั่งยืน   คุณวิทวัส วิภากุล กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงศักยภาพของจังหวัดระยอง ว่า “ระยองเป็นจังหวัดศักยภาพสูงที่มี GDP (Gross Domestic Product) ติดหนึ่งในสามของประเทศ มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Gross Provincial Product: GPP) สูงเป็นอันดับสองของประเทศ (รองจากชลบุรี) เฉลี่ยถึง 7.7% ต่อปี (ในช่วงปี 2547- 2562) ขณะที่รายได้ต่อประชากร (GPP per capita) ก็สูงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ถือว่าเนื้อหอมสำหรับทั้งตลาดอสังหาฯ และการท่องเที่ยว ด้วยจุดแข็งทำเลใจกลางเขตอีอีซี ทั้งยังมีพื้นที่ติดทะเลอ่าวไทย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยววิวทะเลใกล้กรุงเทพฯ ของทั้งชาวไทยและต่างชาติ จ.ระยอง ถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ โดยปัจจุบัน มีโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาแหล่งที่อยู่อาศัยคุณภาพมากมายที่เข้ามารองรับดีมานด์ที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งรวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินในอนาคต ทั้งหมดนี้ ทำให้ชาวไทยและต่างชาติกำลังซื้อสูงซึ่งเข้ามาทำงานและทำธุรกิจในพื้นที่ มีความมั่นใจในการย้ายที่อยู่และลงหลักปักฐาน นอกจากนี้ เหล่านักลงทุนก็พร้อมเข้ามาทำธุรกิจที่ได้ผลตอบแทนสูงอย่างต่อเนื่อง คาดว่าอุปทานที่อยู่อาศัยใหม่ในระยองจะเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.1% ต่อปี ขณะที่ยอดขายใหม่จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.2% ต่อปี”   “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของระยอง เพราะโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสในลักษณะนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นที่ระยอง ซึ่งใกล้จากกรุงเทพฯ ล่าสุดเรามีโครงการอสังหาฯ ระดับอัลตราลักชัวรีวิวทะเลอ่าวไทยที่สวยงามและห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น เราตั้งใจปั้นอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยองให้เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของภาคตะวันออกเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์เหนือระดับ แกรนด์ แอสเสทฯ พัฒนาโครงการเพื่อเจาะกลุ่มกำลังซื้อจริง โดยปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าระดับบนมองหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการสร้างเฮลตี้ไลฟ์สไตล์ด้วยตนเอง ลูกค้ากลุ่มนี้จึงต้องการพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง ความเป็นส่วนตัว พื้นที่สีเขียว และการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีผ่านดีไซน์-ฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย เราได้จับมือ ‘อมาธารา เวลเลชเชอร์ รีสอร์ต’ ผู้นำธุรกิจ Holistic Wellness ระดับ 5 ดาวที่มีชื่อเสียงจากภูเก็ตมาช่วยบริหารบริการเวลเนสในโครงการฯ เพื่อร่วมปั้นอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง ให้เป็น ‘เวลเนสแลนด์มาร์กใหม่’ ระดับเวิลด์คลาสของระยอง ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฮับท่องเที่ยวด้านสุขภาพชั้นนำของโลก” คุณวิทวัส อธิบาย   โครงการ อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง ตั้งอยู่บนพื้นที่ 92 - 3 - 12 ไร่ ที่สุดแห่งการอยู่อาศัยหนึ่งเดียวในระยอง นำเสนอพูลวิลล่าระเบียงส่วนตัววิวทะเลอ่าวไทย พร้อมบริการระดับ 5 ดาว ประกอบด้วย พูลวิลล่าริมชายหาด ปัจจุบันแล้วเสร็จและพร้อมเข้าอยู่ทั้งสิ้น 9 หลัง 18 ยูนิต (อาคารชุด 2 ชั้น) แบบ 2, 3 และ 4 ห้องนอน สไตล์คลาสสิกที่มีกลิ่นอายความเป็นไทยอันเรียบหรู ในราคาเริ่มต้น 50 – 135 ล้านบาท โดยได้รับการตอบรับอย่างยอดเยี่ยมจากลูกค้าและนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ พูลวิลล่าบนเนินเขาวิวทะเลหนึ่งเดียวในระยอง มาพร้อมดีไซน์ทันสมัยในคอนเซ็ปต์ “Sea to Sand” พร้อมกลมกลืนกับธรรมชาติ โดยวิลล่าแต่ละหลังไล่ระดับลงมาจากเนินเขาจนถึงชายหาด มองวิวทะเลแบบพาโนรามาทุกยูนิต ตอบโจทย์ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มองหาบ้านไว้รีชาร์จแบบที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทั้งสิ้น 9 หลัง 18 ยูนิต (อาคารชุด 2 ชั้น) ในราคาเริ่มต้น 39 - 50 ล้านบาท   “ล่าสุดเราได้เผยภาพดีไซน์พูลวิลล่าบนเนินเขาวิวทะเลคอนเซ็ปต์ Sea to Sand ให้ทุกคนได้ชมกันแล้ว ความพิเศษแบบ One and Only ของวิลล่าเฟสนี้คือดีไซน์ที่ทันสมัยกับวิวทะเลพาโนรามาและบ้านที่ลดหลั่นลงมาตามเขาอย่างงดงาม คาดว่า บ้านเฟสนี้เหมาะจะเป็น Hideaway Home ของผู้บริหารรุ่นใหม่กับพูลวิลล่าที่ตอบโจทย์การพักผ่อน อีกหนึ่งโปรเจ็กต์สำคัญที่เข้ามาเติมเต็มการเป็นที่สุดแห่งไลฟ์สไตล์เดสติเนชันของอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง ได้อย่างลงตัว คือ “Bambu Beach Club” แลนด์มาร์กติดทะเลแห่งแรกของเมืองไทยซึ่งเปิดให้บริการแล้ว ผลงานดีไซน์โดยบริษัทชื่อดังระดับโลก IBUKU Design Studio โด่งดังจากผลงานการออกแบบสถานที่จากโครงสร้างธรรมชาติและไม้ไผ่มากกว่า 60 แห่งในบาหลี อินโดนีเซีย รวมถึงผลงานสุดอลังการในลาสเวกัส, ดูไบ, มัลดีฟส์, ฮ่องกง, แอฟริกาใต้ และอีกหลายประเทศ เน้นการผสมผสานความงามของธรรมชาติเข้ากับสเปซและฟังก์ชัน “Bambu Beach Club” นับเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่จะได้ยลโฉมผลงานของ IBUKU โดยไม่ต้องบินไปชมที่ต่างประเทศ คาดว่าแลนด์มาร์กบีชคลับแห่งใหม่นี้ที่เปิดให้บุคลลทั่วไปเข้าไปเช็กอิน จะเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวห้ามพลาดของจังหวัด ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวระยองให้คึกคักกว่าเคย” คุณวิทวัส กล่าวเน้นย้ำ   คุณกนกณัฐ  อรรถญาณสกุล กรรมการบริหาร อมาธารา เวลเลย์เชอร์ รีสอร์ท กล่าวว่า “ปัจจุบัน ลูกค้าระดับบนมองหาคุณภาพชีวิต ให้ความสำคัญกับการหาเวลาดูแลสุขภาพในเชิงป้องกันทั้งร่างกายและจิตใจAmatara WelleisureTM Resort จึงมุ่งสร้างสรรค์สุขภาวะที่ดีแก่ผู้อยู่อาศัย เลือกที่อยู่อาศัยที่มีสภาพแวดล้อมบริสุทธิ์ ส่งเสริมสุขภาพ มีบริการสุขภาพเชิงป้องกัน เพื่อรองรับการใช้ชีวิตของคนทุกเจเนอเรชัน ตลาดอสังหาลักชูรีมาแรงก็จริง แต่เวลเนสก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ไดร์ฟการตัดสินใจของกลุ่ม Wealth ลู สำหรับบริการเวลเนสที่นำเสนอที่อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง เราเน้นเรื่องการผสมผสานของกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกันกับไลฟ์สไตล์ที่มีรูปแบบเข้าถึงง่าย เพลิดเพลิน ผสมผสานภูมิปัญญาของตะวันออกที่เจริญด้วยการเข้าลึกถึงการดูแลสุขภาพจิตใจเข้ากับวิทยาศาสตร์ของตะวันตกซึ่งมุ่งเน้นการดูแลสุขภาพกายที่สัมพันธ์ถึงจิตใจที่นำสมัย  มอบการอยู่อาศัยแบบตามหลัก “WISE” ซึ่งมี 4 องค์ประกอบด้วยกัน ได้แก่ Well-Being การออกแบบประสบการณ์อยู่อาศัยที่ซัพพอร์ตชีวิตและสุขภาพที่ดี, Individualised สร้างสรรค์โครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ให้เหมาะสำหรับแต่ละบุคคล, Small Steps การปรับสมดุลไลฟ์สไตล์ค่อยเป็นค่อยไปแบบยั่งยืนและ Enjoyable ครีเอตการอยู่อาศัยที่ผ่อนคลายสำหรับทั้งครอบครัว ทุกองค์ประกอบช่วยรังสรรค์ให้ที่นี่เป็นที่สุดแห่งที่อยู่อาศัยเหนือระดับเพื่อ Sustainable Well-Being ซึ่ง Bambu Beach Club นี้เป็นสัญลักษณ์ของการสร้างสรรค์กลมกลืนกับธรรมชาติ การสะท้อนถึงความเป็นอยู่ที่เป็นแบบ Sustainable Well-being อย่างแท้จริง” นอกจากโครงการพูลวิลล่าที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากและบีชคลับสุดอลังการที่เปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อย แกรนด์ แอสเสท เผยเร่งพัฒนาอีกหลากหลายโปรเจ็กต์ในอนาคตอันใกล้ ที่จะมาเติมเต็มความสมบูรณ์แบบและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เหนือระดับ ทั้ง Sky Bar ร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งในคอนเซ็ปต์ Sail to Sea และโปรแกรมการดูแลสุขภาพ ทั้งการปรับสมดุลร่างกายและจิตใจ ทรีตเมนต์ การดูแลโภชนาการ การออกกำลังกายและทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยมีผู้เชี่ยวชาญและเทรนเนอร์คอยดูแล อาทิ โยคะ พิลาทิส กีฬาทางน้ำ โดยการบริหารงานของอมาธารา เวลเลชเชอร์ รีสอร์ต     คุณอาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย บริษัท ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เปิดเผยข้อมูล “ปัจจุบันโครงการที่พักอาศัยตากอากาศลักชัวรีในต่างจังหวัดได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ติดชายทะเล ส่วนใหญ่ซื้อไว้สำหรับอยู่อาศัยเองเป็นบ้านพักตากอากาศหลังที่สองและสำหรับลงทุนในระยะยาว ซึ่งตัวโปรดักต์ต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาวได้ โดยโครงการที่อยู่ในมิกซ์ยูสและมีบริการจากเครือโรงแรม (Branded Residence) จะได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากกว่าโครงการทั่วไป  ซึ่งจังหวัดระยองเองยังไม่เคยเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูสที่มีที่พักอาศัยตากอากาศในรูปแบบพูลวิลล่ามาก่อน ทำให้โครงการมีความแตกต่างและคาดว่าจะได้รับความสนใจที่ดีจากกลุ่มลูกค้าระดับบน นอกจากนี้ ความสะดวกสบายจากสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ บริการที่เสมือนอยู่ในโรงแรมที่มีบริการ อาทิ Concierge Service ตลอด 24 ชั่วโมง Wellness Program ที่มาสร้างสุขภาวะที่ดีในการอยู่อาศัย รวมถึงความหลากหลายของตัวโครงการไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม ลักชัวรีพูลวิลล่า พร้อมร้านอาหาร ซึ่งถือว่าตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแบบครบจบในที่เดียว ด้วยองค์ประกอบต่างๆ ที่กล่าวมา ซีบีอาร์อีเชื่อว่าโครงการมิกซ์ยูสและที่พักอาศัยตากอากาศในรูปแบบ Branded Residence Pool Villa จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าและสร้างมูลค่าให้กับโครงการในอนาคตได้” ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง facebook.com/AmataraResidencesRayong และ https://www.grandeasset.com/ หรือ โทร. 0955759999 เพื่อนัดหมายเพื่อเข้าเยี่ยมชมโครงการ   บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ วางเป้า 5 ปีทำรายได้หมื่นล้าน ESTAR ลุยทำเลทอง บ้านฉาง – ระยอง  
พฤกษา กางแผน ปี67  “อยู่ดี มีสุข” บ้านแบบครบวงจร ตั้งเป้ารายได้ 28,000 ล้านบาท

พฤกษา กางแผน ปี67 “อยู่ดี มีสุข” บ้านแบบครบวงจร ตั้งเป้ารายได้ 28,000 ล้านบาท

นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานในปี 2566 ว่า พฤกษา โฮลดิ้ง มีรายได้ 26,132 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,205 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ มีการพัฒนาแบรนด์สินค้าใหม่ “บ้านกรีนเฮ้าส์” เพื่อตอบรับกับกำลังซื้อที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการนำเทคโนโลยีและการออกแบบการก่อสร้างแบบใหม่มาใช้ ให้ลูกค้าสามารถผ่อนกับธนาคารได้ เพื่อให้สอดคล้องกับดีมานด์ในสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน   สำหรับทิศทางในปีนี้ มุ่งเพิ่มสัดส่วนในสินค้าในกลุ่มเซกเมนต์กลาง-บน ให้สูงขึ้นมากกว่า 50% โดยคาดว่าจากปี 2562 ที่มีสัดส่วนสินค้ากลุ่มราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ราว 70% ในปีนี้วางแผนปรับลดให้เหลือราว 40% เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันมากขึ้น ในช่วงปีที่ผ่านมาทางกลุ่มก็ได้มีการปรับโครงสร้าง และโมเดลธุรกิจหลายอย่าง ได้นำบริการด้านสุขภาพจากเครือวิมุต ผนวกกับเทคโนโลยีระบบ Smart Home จากแอปพลิเคชัน MyHuas นำเข้ามาปรับใช้ในการออกแบบโครงการ เพื่อเสริมความแข่งแกร่งของธุรกิจหลัก ด้วยการแยกกลุ่มธุรกิจ ออกมาอีก  4 แกน ได้แก่       ธุรกิจเฮลท์แคร์ ครอบคลุมบริการทางสุขภาพตั้งแต่โรงพยาบาลวิมุต และโรงพยาบาลเทพธารินทร์ มีการสร้างความร่วมมือ และการลงทุนใหม่ ๆ เช่น การลงทุน เข้าถือหุ้น 25% ในบริษัท เค.พี.เอ็น ซีเนียร์ ฮอสปิตัล กรุ๊ป เตรียมขยายการบริการเนอร์สซิ่งโฮม ตั้งเป้าขยาย 600 เตียงภายใน 3 ปี กลุ่มยังมีแผนลงทุน 3,500 ล้านบาท ขยายโรงพยาบาลเฉพาะทางที่สุขุมวิท ขยายเตียงที่โรงพยาบาลวิมุตเป็น 150 เตียง พร้อมเติบโตสู่เป้า 2,300 ล้านบาทในปี 2567   ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ภายใต้การดำเนินงานของ  บริษัท ซินเนอร์จี โกรท จำกัด ในเครือพฤกษา ตั้งเป้าโต 5x ในปี 2567 และหวังสร้างรายได้กว่า 1,000 ล้านบาทใน 3 ปี จะนำเสนอสินค้าและบริการเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ โดยได้พัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีแอปพลิเคชัน MyHaus เพื่อเป็นศูนย์กลางที่จะดูแลทั้งเรื่องความปลอดภัยภายในบ้าน และอำนวยความสะดวกสบายให้ลูกบ้านและนิติบุคคล ด้วยระบบ IOT (Security & Smart Home) ควบคุมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ดูแลได้ทั้งบ้านด้วยแอปพลิเคชันเดียว, Visitor Management ระบบคัดครองผู้มาเยือน, Facility Booking ระบบจองสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในโครงการ, Repair Management ระบบแจ้งซ่อมแซมบ้าน เพื่อให้สำนักงานนิติบุคคลติดต่อนัดเวลาช่างเข้าซ่อมอย่างมีระเบียบ รวมไปถึงระบบ Community ที่จะสร้างพื้นที่ให้ลูกบ้านสื่อสารกันได้ ซึ่งได้เตรียมพร้อมที่จะรองรับ การให้บริการแก่ลูกค้าจากกลุ่มเรียลเอสตทของพฤกษา ไปจนถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Clickzy.com (คลิกซิ) ที่รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ให้เลือกช้อปสินค้าที่เกี่ยวกับบ้าน บริการตกแต่งภายในจาก Zdecor และสินค้าเพื่อการดูแลสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์   กลุ่มหน่วยธุรกิจใหม่ ที่แยกออกมาเพื่อรองรับการเติบโต เปิดโอกาสการสร้างรายได้เพิ่มเติม เช่น ธุรกิจพรีคาสท์ จากความประสบความสำเร็จจากการแลกหุ้น ร่วมกับ บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GEL เพื่อเข้าลงทุนในหุ้นสามัญของ “อินโน พรีคาสท์” เพิ่มโอกาสในการจำหน่ายแผ่นพรีคาสท์คาร์บอนต่ำ ทำยอดคำสั่งซื้อและติดตั้ง (Backlog) ทั้งจากพฤกษาและลูกค้ารายอื่น ๆ สูงขึ้นทะลุเป้าหมายอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท สู่ผู้นำที่ใหญ่ที่สุดในไทย ตั้งเป้ารายได้โต 50% สู่ 3,500 ล้านบาท   ในปี 2567 และกลุ่มก็ได้มีการแยกหน่วยงาน ธุรกิจรับก่อสร้าง สำหรับอาคารที่พักอาศัย ออกมาเป็นบริษัทใหม่ “อินโน โฮม คอนสตรัคชั่น” ซึ่งเป็นการปรับองค์กรครั้งใหญ่เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้นและสามารถรองรับการขยายโอกาสในการเติบโตและสร้างรายได้จากการรับก่อสร้าง ตั้งเป้าปี 2567 จะสร้างรายได้ 5,600 ล้านบาท จากพฤกษาและลูกค้ารายอื่นนอกจากกลุ่ม มุ่งสู่ความเป็นบริษัทรับก่อสร้างบ้านแนวราบที่ใหญ่ที่สุดในไทย   การลงทุนเพื่อรองรับการขยายห่วงโซ่ธุรกิจ ขยายการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์  และ อสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นด้านการดูแลสุขภาพ   จากประกาศความร่วมมือกับ 2 องค์กรชั้นนำจากสิงคโปร์และไต้หวัน  จัดตั้งกองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” มูลค่าทรัพย์สินเป้าหมาย 25,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการคลังจัดเก็บและกระจายสินค้าให้บริการครอบคลุมทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และการลงทุนในกองทุน CapitalLand Wellness Fund ( C-Well) มูลค่าทรัพย์สินเป้าหมาย 72,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นด้านการดูแลสุขภาพ ด้วยการรีโมเดลธุรกิจ และโครงสร้างองค์กรในปีที่ผ่านมา ทำให้ในปี 2567 นี้ เราเชื่อว่าพฤกษา โฮลดิ้งพร้อมด้วยกลุ่มบริษัทในเครือทั้งหมด  มีความพร้อมทั้งด้านการปฏิบัติการ และ ความพร้อมทางการเงิน ที่จะเดินหน้าสู่ทิศทางแห่งการเติบโตอย่างก้าวไกลไปอีกขั้น ตามกลยุทธ์ Ready To Thrive  ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับจากการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ในครั้งนี้ได้แก่ (1) ประโยชน์จากการจัดซื้อจ้างในครั้งละจำนวนมาก การขนส่ง และการเพิ่มคุณค่าสินค้าให้โครงการ (2) เพิ่มโอกาสในการขายข้ามกลุ่มสินค้า (Cross-Selling) รองรับความต้องการของลูกค้าในทุกช่วงชีวิต (3) สร้างรายได้เพิ่มเติม จากสินค้าและบริการต่างๆ ที่หลากหลาย ตั้งเป้าในอนาคต เพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำเป็น 25%  โดยผสานประโยชน์จากทุกแพล็ตฟอร์มเพื่อรังสรรค์การอยู่อาศัยที่ “อยู่ดี มีสุข” ตามวิสัยทัศน์ที่ตั้งไว้  ทั้งนี้ในปี 2567 ตั้งเป้ารายได้ทั้งกลุ่มรวม 28,000 ล้านบาท เปิดโครงการใหม่มูลค่าราว 29,000 ล้าน ในขณะที่สถานะทางการเงินของพฤกษายังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อหุ้นทุนสุทธิ (Net Gearing Ratio) อยู่ในระดับต่ำที่ 0.27 เท่า และจากผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการบริษัทฯ ก็ได้อนุมัติจะนำเสนอผู้ถือหุ้นที่จะจ่ายเงินปันผลเท่ากับ 65 สตางค์ รวมเงินปันระหว่างกาลแล้วจ่ายทั้งสิ้นเท่ากับ 96 สตางค์ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 1 มี.ค. โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 26 เมษายน 2567 มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเท่ากับ 7.5% และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 24 พ.ค.นี้ ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2566 พฤกษาทำรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ราว 22,357 ล้านบาท มียอดขาย 18,540 ล้านบาท  เปิดโครงการใหม่รวม 13 โครงการ มูลค่า 14,200 ล้านบาท  ส่วนในปี 2567 ตั้งเป้ายอดขายที่ 27,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอนที่  25,500 ล้านบาท วางแผนเปิดโครงการใหม่ 30 โครงการ แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 10 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 17 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 3 โครงการ  รวมมูลค่าทั้งหมดราว 29,000 ล้านบาท โดยมีที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ ที่จะแปลงเป็นรายได้ รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท  โดยวางแผนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอ (Portfolio) ด้วยการเพิ่มสินค้าสำหรับกลุ่มลูกค้าในเซ็กเม้นต์ระดับกลาง - สูง  พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มของแบรนด์ The Palm สู่ราคามากกว่า 30 ล้านบาท ที่นำความร่วมมือ (Synergy) จากธุรกิจเฮลท์แคร์ในเครือเข้ามาผสานใช้ ให้เป็นภาพใหญ่ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น   พร้อมมุ่งบริหารสินทรัพย์ที่มีในมือ  โดยในปี 2567 ตั้งเป้าในการ Re-Stock Landbank ด้วยงบ 10,500 ล้านบาท เพื่อมาต่อยอดการขยาย มุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อจะคงสัดส่วนการพัฒนาตามกลุ่มลูกค้าราคาบ้านต่ำกว่า 3 ล้านบาทให้ไม่เกิน 40% และมากกว่า 7 ล้านบาทให้มากกว่า 30% สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยที่จะเปิดใหม่ในปี 2567 จะยังคงมุ่งพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิด “อยู่ดี มีสุข” โดยผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจในเครือพฤกษาทั้งธุรกิจด้านสุขภาพ และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพื่อสร้างสรรค์การอยู่อาศัยที่ดี ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เลือกใช้วัสดุอุปกรณ์เพื่อการประหยัดพลังงาน อาทิ โซล่าเซลล์ พัฒนาดีไซน์บ้านเพื่อสุขภาพดี และประหยัดพลังงาน (Healthy living home & Passive design home) ให้ดูแลรักษาง่าย เหมาะกับทุกเพศทุกวัย (Universal design) และช่วยลดค่าใช้จ่ายสำหรับผู้อาศัย พร้อมด้วยการตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เพื่อให้ชีวิตสะดวกสบายมากขึ้น โดยนำแพลตฟอร์ม MyHuas  ซึ่งป็นเทคโนโลยี Smart Home ควบคุมการทำงานในบ้านได้ที่ปลายนิ้ว มาใช้  พร้อมด้วยมอบบริการเพื่อสุขภาพที่ดีจากโรงพยาบาลวิมุตพันธมิตรในเครือ   ด้านธุรกิจเฮลท์แคร์ นายแพทย์พิชิต กังวลกิจ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต จำกัด   เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2566 ว่า กลุ่มวิมุตมีการเติบโตขึ้นในทุกมิติ มีรายได้รวม 1,820 ล้านบาท เติบโต 50% จากปีก่อน มีจำนวนผู้ป่วย Non-COVID ที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาลวิมุตเพิ่มขึ้น 49%  ในปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลวิมุตประสบความสำเร็จในการเปิดศูนย์ส่องกล้องและหน่วยเฉพาะทางการเคลื่อนไหวระบบทางเดินอาหาร (ENDOSCOPY & GI MOTILITY UNIT)  ผลักดันการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคยากและซับซ้อนที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ เราได้เปิดตัวโปรแกรมการทำเลสิก (LASIK) และ โปรแกรมตรวจสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้เฉพาะบุคคล (Gut Microbiome Test) ร่วมกับแอมิลิ (AMILI) บริษัทเฮลท์เทคชั้นนำจากสิงคโปร์   มุ่งช่วยคนไทยเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยและการรักษาอย่างตรงจุด และยังช่วยให้แพทย์สามารถแนะนำการปรับสมดุลจุลินทรีย์ให้เหมาะกับคนไข้แต่ละคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการรักษาสมดุลของไมโครไบโอมในลำไส้ เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันเพื่อป้องกันโรคร้าย รวมถึงสร้างสุขภาพกายและใจที่ดีในระยะยาว   นอกจากนี้โรงพยาบาลวิมุตยังคงต่อยอดความร่วมมือกับโรงพยาบาลรามาธิบดี  เพิ่มทางเลือกและการเข้าถึงบริการทางสุขภาพ 17 แพ็คเกจ อาทิ แพ็คเกจผ่าตัดถุงน้ำดี ผ่าตัดมดลูก เต้านม ก้อนเนื้อที่รังไข่ ซ่อมแซมไส้เลื่อน ผ่าตัดริดสีดวงทวาร เปลี่ยนข้อเข่าเทียม ผ่าตัดก้อนหรือผิวหนัง เป็นต้น พร้อมกับได้มีการขยายบริการไปยังกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มประเทศในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำหรับปี 2567 กลุ่มวิมุตตั้งเป้ารายได้ที่ 2,300 ล้านบาท มีแผนการรีแบรนด์โรงพยาบาลเทพธารินทร์ ให้เป็น “โรงพยาบาลวิมุต เทพธารินทร์” พร้อมเปิดตัวในช่วงเดือนเมษายนนี้ นอกจากนี้จากความร่วมมือกับ เค.พี.เอ็น ซีเนียร์ ฮอสปิตัล กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุและเป็นโซลูชั่นในการดูแลผู้สูงอายุครบทุกมิติเพื่อขยายการรองรับสู่สังคมอายุยืน เข้าบริหารเนอร์สซิงโฮมของกลุ่มวิมุตในย่านบางนา แบริ่ง และวัชรพล ซึ่งมีจำนวนรวม 240 เตียง พร้อมโอกาสในการบริหารเนิร์สซิงโฮมอีก 5 แห่ง โดยตั้งเป้าขยายจำนวนเตียงที่ให้บริการรวม 600 เตียง ภายใน 3 ปี พร้อมทั้งยังคงดำเนินการก่อสร้างโรงพยาบาลวิมุต แห่งใหม่ บริเวณถนนสุขุมวิทและย่านฝั่งธนฯ อย่างต่อเนื่อง     “สำหรับการดำเนินงานในก้าวต่อไปพฤกษายังคงมุ่งมั่นสู่การสร้างความยั่งยืน โดยให้ความสำคัญต่อการดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม ในปี 2566 กลุ่มได้ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ลงได้ 10,000 ตัน จากการติดตั้งโซลาร์, การออกแบบบ้านประหยัดพลังงาน (Passive Home),  การใช้เทคโนโลยี Smart Home, โครงการร่วมปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศน์, การใช้คอนกรีตสำเร็จรูปชนิดมีรูกลวง (Hollow Core) ลดการใช้ซีเมนต์,  การใช้เทคโนโลยีสีเขียว  “คาร์บอนเคียว”  (CarbonCure)  และยังคงเดินตามแผนที่ตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 30% ภายในปี 2573 และเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ในปี 2593 ในปี 2566 กลุ่มได้นำการทำอาคารสำนักงานแบบ Smart Office และ Smart Hospital โรงพยาบาลที่ใช้พลังงานน้อย โดยล่าสุดโรงพยาบาลวิมุตได้รับรางวัล MEA Energy Award  จากการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ในโครงการส่งเสริมการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารอีกด้วย” นายอุเทนกล่าวทิ้งท้าย   บทความน่าสนใจ แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว SC ASSET ตั้งเป้า5ปี 150,000 ล้าน ภายใต้แนวคิด “มหาศาล มั่นคง สมดุล“    
CHEWA เปิดแผนปี พร้อมลุยจุดแข็ง เสริมแกร่งด้วยพันธมิตร

CHEWA เปิดแผนปี พร้อมลุยจุดแข็ง เสริมแกร่งด้วยพันธมิตร

นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยว่า ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 ยังเผชิญปัจจัยลบมากมาย ทั้ง GDP ของประเทศไทยที่คาดว่าจะโตเพียง 3.2% ในปี 2567 ,ระดับหนี้ครัวเรือนสูง แตะ 90% , ระดับความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำในทุกภาคส่วน ,อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูง ,นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไม่เพียงพอ ประกอบกับการเติบโตหยุดชะงักจากสงครามยูเครนและตะวันออกกลางที่กำลังดำเนินอยู่ ปัจจัยทั้งหมดทำให้ความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยกู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น   ชีวาทัย ปัจจัยเหล่านี้ยังส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพราะเกณฑ์การจัดหาเงินทุนเพื่อลงทุนในโครงการใหม่มีความเข้มงวดมากขึ้น รวมถึงปัจจัยอื่นๆของตลาดที่อยู่อาศัย ในภาพรวมสะท้อนว่า กำลังซื้อตามไม่ทันปริมาณสินค้าใหม่ที่เกิดขึ้น ตลาดในกลุ่มทาวน์โฮมมีสินค้าเข้าสู่ตลาดมากกว่าความต้องการ จนทำให้เกิดสงครามราคาต่อเนื่องเพื่อลดสต๊อกสินค้าลง ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่กระทบกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งสิ้น แต่บริษัทยังเห็นโอกาสการเติบโตของตลาดบ้านในช่วงราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท และตลาดของคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ในทำเลคุณภาพที่ราคาไม่แพงซึ่งเป็นจุดแข็งที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเสมอมา บริษัทยังคงค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และเปิดรับการร่วมลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯมีแผนการลงทุนและเปิดโครงการใหม่ เริ่มจากการเปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ชีวารมย์ โครงการ ชีวารมย์ นิว ราชพฤกษ์ อยู่บริเวณถนนราชพฤกษ์ตัดใหม่ (ถนนหมายเลข 346) มูลค่าโครงการประมาณ 687 ล้านบาท  ซึ่งเริ่มรับรู้รายได้แล้วในช่วงไตรมาสที่4 /2566 โครงการคอนโดมิเนียม “ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค เอกมัย-รามอินทรา” อยู่บริเวณถนนนวลจันทร์ ส่วนเชื่อมต่อถนนรัชดา-รามอินทรา มูลค่าโครงการ 1,014 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2025 นอกจากนี้ บริษัทฯยังวางแผนหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการเพิ่มเติม ตามเป้าหมาย 4 โครงการ ภายในปี 2567 มูลค่าโครงการรวม 3,700 ล้านบาท วงเงินค่าที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ประมาณ  600 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ แบรนด์ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ทั้ง 3 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวแบรนด์ชีวารมย์ 1 โครงการ มูลค่า 700 ล้านบาท โดยในปี 2567 บริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้ 2, 000 ล้านบาท จากโครงการเดิมที่ยังมี Backlog ทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง   บริษัทยังคงค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ บริษัททำการร่วมทุนในโรงงานให้เช่า โดยได้พันธมิตรที่สร้างโครงการให้ชีวาทัยมามากมายอย่างบริษัท ยูเวิร์ค 999 จำกัด หรือ U work มาเป็นหุ้นส่วนร่วมกัน ด้วยแนวคิดที่ตรงกันว่า ธุรกิจโรงงานให้เช่ามีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง   โดยทางชีวาทัย จะทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบงานด้านการจัดหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ,การตลาด, การขาย, การให้เช่า และดูแลการบริหารจัดการให้กับบริษัทร่วมทุน ส่วนทางยูเวิร์ค จะเป็นผู้รับผิดชอบพัฒนาโครงการ ในการก่อสร้าง ให้คำปรึกษา และ ให้บริการวิศวกรรมโครงสร้าง ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม วิศวกรรมเครื่องกล วิศวกรรมไฟฟ้า วิศวกรรมประปา วิศวกรรมโยธา และนักตกแต่งภายใน ซึ่งเป็นการใช้จุดแข็งของทั้งสองบริษัทมาต่อยอดธุรกิจร่วมกัน โครงการมีการเริ่มต้นก่อสร้างแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายในโครงการนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ระยอง จำนวน 4 โรงงาน มูลค่าโครงการ 210 ล้านบาท คาดจะรับรู้รายได้ในไตรมาสที่3 ของปี 2567 พร้อมมีผู้เช่าเต็มจำนวนในปี 2568   นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ตกลงทำความร่วมมือขยายธุรกิจเพื่อต่อยอดแผนการลงทุน ภายใต้การร่วมทุนกับบริษัทนิปปอน สตีล โควะ เรียล เอสเตท จำกัด (NIPPON STEEL KOWA REAL ESTATE) หรือ NSKRE ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์และที่อยู่อาศัยรวมถึงอาคารสำนักงานชั้นนำของญี่ปุ่น ที่มีประวัติยาวนานถึง 70 ปี เป็นการรวมตัวของโควะ เรียล เอสเตท หน่วยงานด้านอสังหาริมทรัพย์ของมิซูโฮ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป หนึ่งในกลุ่มธุรกิจการเงินที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น และ นิปปอน สตีล ผู้นำด้านธุรกิจเหล็กของโลก โดยบริษัทฯ ถือหุ้น 51% และนิปปอน สตีล โควะ เรียล เอสเตท ถือหุ้น 49% เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน โดยโครงการแรกเป็นคอนโดมิเนียม “ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค เอกมัย-รามอินทรา” เป็นห้องพักจำนวน 413 ยูนิต และอาคารพาณิชย์ 2 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,014 ล้านบาท คาดว่าจะรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2025 และนอกจากโปรเจคนี้ ทางNSKRE ยังทำการศึกษาถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับการร่วมทุนในโครงการทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวต้องการที่จะต่อยอดไปไกลกว่าการพัฒนาที่อยู่อาศัย และมีส่วนร่วมในการพัฒนาในด้านอื่นๆอีกในอนาคต ด้านบริการหลังการขายและการดูแลลูกค้า ยังคงยึดมั่นด้านคุณภาพและบริการหลังการขาย จาก “ ชีวาแคร์ ” ยึดมั่นเป้าหมายขึ้นที่ 1 ในใจลูกค้าด้านคุณภาพและบริการ สำหรับกลุ่มบริษัทอสังหาฯ ช่วงรายได้ไม่เกิน 5 พันล้านบาท และยังคงเดินหน้ารักษาคุณภาพสินค้าให้ลูกค้าตรวจ Zero Defect ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ลูกค้าที่มาซื้อโครงการกับชีวาทัย ได้สิ่งที่ดีและมีคุณภาพสูงสุด ตั้งแต่บริการก่อนการขายตลอดจนถึงบริการหลังการขาย ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดสู่ลูกค้าทุกคน ” นายบุญ ชุน เกียรติ กล่าว   บทความน่าสนใ ORI รวมพลังกลุ่มธุรกิจคอนโดสู่ “ORIGIN VERTICAL” กางแผนเปิด 14 โครงการใหม่มูลค่า 20,000 ล้าน ซีคอน มั่นใจปี 67 โต พร้อมขยายโรงงานผลิตโครงสร้างแห่งที่ 2  
ORI รวมพลังกลุ่มธุรกิจคอนโดสู่ “ORIGIN VERTICAL”  กางแผนเปิด 14 โครงการใหม่มูลค่า 20,000 ล้าน

ORI รวมพลังกลุ่มธุรกิจคอนโดสู่ “ORIGIN VERTICAL” กางแผนเปิด 14 โครงการใหม่มูลค่า 20,000 ล้าน

ออริจิ้น ปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจคอนโด รวมพลังและทีมงานมืออาชีพจากออริจิ้นคอนโดมิเนียม-พาร์ค ลักชัวรี-ออริจิ้น เนชั่นวายด์ สู่แบรนด์ “ORIGIN VERTICAL” กางแผนเปิด 14 คอนโดใหม่ทั่วประเทศ 20,000 ล้าน ส่งมอบ Creative Living for Allกระจายบุก3 เซ็กเมนท์หลัก ครอบคลุมตลาด Gen Y-Gen Z-เมืองท่องเที่ยวภูเก็ต พร้อมเดินหน้าคอนโดตอบโจทย์ Pet Family ต่อเนื่อง มุ่งมั่นรังสรรค์งานบริการผ่าน 4 แกน ตั้งเป้ายอดขายทั้งปี 36,000 ล้าน คุณเกรียงไกร กรีบงการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม ถือเป็นกลุ่มธุรกิจแรกและกลุ่มธุรกิจหลักของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ แต่เมื่อออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ มีกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอย่างหลากหลาย จึงได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมให้ชัดเจนมากขึ้น รวมทีมงานจากทั้ง 3 บริษัทในเครือเข้าด้วยกัน และรวมศูนย์การสื่อสารภายใต้แบรนด์และชื่อบริษัทเดียว คือ บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL เพื่อยกระดับการบริหารการออกแบบ การก่อสร้าง และนวัตกรรมต่างๆ ตอบสนองความต้องการที่หลากหลาย สร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า และเพื่อให้ง่ายต่อการสื่อสารและการจดจำของผู้บริโภค โดยโครงการใหม่ๆ ที่จะพัฒนาต่อจากนี้ จะพัฒนาภายใต้ ORIGIN VERTICAL เท่านั้น ทิศทางการดำเนินงานของ ORIGIN VERTICAL จะขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด “Creative Living for All” หรือ สร้างสรรค์ชีวิต คิดเพื่อคุณ พัฒนาคอนโดมิเนียมที่คำนึงถึงทุกมิติของการใช้ชีวิต อาทิ ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย การปรับสมดุลชีวิต การพักผ่อน ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ นำมาสร้างสรรค์และถ่ายทอดผ่านการคัดเลือกทำเลพัฒนาโครงการ การออกแบบ ฟังก์ชัน นวัตกรรมภายในห้องพัก สิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลาง ตลอดจนบริการที่เกี่ยวข้อง เช่น ตู้เก็บเสื้อผ้าอัจฉริยะ หรือ Smart Closet ห้องครัวอัจฉริยะ หรือ Smart Kitchen รวมถึงออกแบบให้ห้องเพดานสูง 4.2 เมตร   โดยกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปี 2567 จะให้ความสำคัญกับ 3 เรื่อง ได้แก่ Insight วิจัยและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าด้านต่างๆ อาทิ ทำเล การใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ การลงทุน อย่างจริงจัง เพื่อออกแบบสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าโดยเฉพาะในทำเลนั้นๆ Initiative นำ Insight มาพัฒนาต่อยอด ริเริ่มฟังก์ชันใหม่ โปรดักต์ใหม่อย่างสร้างสรรค์ ตอบสนองทุกมิติของการใช้ชีวิต ตอกย้ำสถานะผู้นำตลาดคอนโดมิเนียม Implementation นำเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ มาช่วยยกระดับคุณภาพมาตรฐานของโครงการ ตลาดจนบริการต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับคุณภาพชีวิตของผู้คน จากกลยุทธ์ดังกล่าว กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมภายใต้ ORIGIN VERTICAL มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 2567 ทั้งสิ้น 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท นำร่องในครึ่งปีแรกจำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 9,680 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯและปริมณฑล 3 โครงการ ได้แก่ ออริจิ้น เพลส แจ้งวัฒนะ (Origin Place Chaengwattana) ออริจิ้น เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ (Origin Place Taopoon Interchange) ดิ ออริจิ้น เศรษฐบุตร สเตชั่น (The Origin Setthabut Station) โดยทั้ง 3 โครงการเป็นคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ ภายใต้แนวคิด Origin Pet Family Condo ตอบสนองความต้องการและคุณภาพชีวิตของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง ขณะเดียวกัน มีโครงการในภูเก็ตอีก 2 โครงการ ได้แก่ โซ ออริจิ้น บางเทา บีช (So Origin Bangtao Beach) ออริจิ้น เพลส เซ็นเตอร์ ภูเก็ต (Origin Place Centre Phuket) การบุกตลาดในปีนี้ จะเน้นบุกผ่าน 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ ออริจิ้น เพลส (Origin Place) แบรนด์คอนโดมิเนียมที่ผสมผสานการตกแต่งแบบคลาสสิกและร่วมสมัยเข้าด้วยกัน มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นเยี่ยม ตอบสนองการพักผ่อนและการทำกิจกรรม ดิ ออริจิ้น (The Origin) แบรนด์คอนโดมิเนียมที่มาพร้อมกับหลากฟังก์ชัน เพื่อการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ในราคาที่จับต้องได้ โซ ออริจิ้น (So Origin) แบรนด์คอนโดมิเนียมสไตล์บูทีค ที่ออกแบบให้ทุกพื้นที่ เติมเต็มทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ด้วยบริการระดับโรงแรม พาร์ค ออริจิ้น (Park Origin) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี พร้อมอยู่ ใจกลางทำเลย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ   เรื่องความยั่งยืน  บริษัทยังใส่ใจองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน อาทิ การติด Solar Panel ใน Sales Gallery โครงการใหม่ การเตรียมจุดชาร์จสำหรับติดตั้ง EV Charger การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้แก่ทั้งสังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ผ่าน Origin Give คาดว่าทั้ง 4 แบรนด์จะเข้าถึงตลาดทั้ง Gen Z, Gen Y ลูกค้าที่ซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว ตลอดจนลูกค้าชาวต่างชาติ จากแผนงานดำเนินธุรกิจดังกล่าว ORIGIN VERTICAL ตั้งเป้าหมายยอดขายทั้งปี 2567 ไว้ที่ 36,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ทั้งโครงการ JV และ Non-JV รวมกันไว้ที่ 18,000 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1/2567 เตรียมจัดแคมเปญ Happiness Caravan ประกอบด้วย ดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี, ฟรี แต่งห้องสูงสุด 2 แสนบาทจาก Wyde Interior, ฟรี เครื่องใช้ไฟฟ้า, ฟรี ค่าใช้จ่ายวันโอน, ฟรี ค่าส่วนกลาง 1 ปี, ฟรี ค่ากองทุนแรกเข้า, ฟรี ขยายเวลารับประกันห้องอีก 1 ปี, ฟรี ทำความสะอาด 1 ปี, ส่วนลด Top Up สูงสุด 100,000 บาท เฉพาะผู้ซื้อโครงการในวันอังคารและวันอาทิตย์, พร้อมพบห้องยูนิตราคาพิเศษ ถึงวันที่ 31 มี.ค.67 นี้ โดยเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด     บทความน่าสนใจ “ออริจิ้น” เปิดเมกะโปรเจกต์ “Origin Resort World” ภูเก็ต เขาใหญ่ มูลค่ารวม 11,000 ล้าน  
ซีคอน มั่นใจปี 67 โต พร้อมขยายโรงงานผลิตโครงสร้างแห่งที่ 2

ซีคอน มั่นใจปี 67 โต พร้อมขยายโรงงานผลิตโครงสร้างแห่งที่ 2

ซีคอน  ดึงแนวคิด ESG เข้ามาใช้สร้างสรรค์แผนธุรกิจในปี 2567 เพื่อปูทางสู่ความยั่งยืน  ประกาศพลิกโฉมธุรกิจด้วยกลยุทธ์ SEACON FAST FORWARD ให้เป็นได้ยิ่งกว่าธุรกิจรับสร้างบ้านแบบ Beyond Thinking ติดปีกต่อยอดเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจให้เติบโตกว่าตลาดอย่างมั่นคงและยั่งยืน         นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด เปิดเผยว่า กลยุทธ์ SEACON FAST FORWARD ที่ซีคอนจะให้เป็นแกนหลักในการดำเนินธุรกิจในปีนี้นั้นฟ ผสานไปด้วยมิติต่างๆ ที่จะนำสู่ความสำเร็จ ได้แก่ มิติการขับเคลื่อยองค์กรสู่ความยั่งยืนด้วยแนวคิด E-S-G  มิติการนำความเชี่ยวชาญในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้านของไทยมาต่อยอดสู่การพัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อเติมเต็มความต้องการของตลาด และมิติในการพัฒนาศักยภาพทีมซีคอนให้พร้อมสู่การขับเคลื่อนองค์กรที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ให้พร้อมส่งมอบบริการอันเป็นเลิศแก่ลูกค้า ซึ่งทุกมิติจะถูกดำเนินการไปพร้อมๆ กัน เพื่อสร้างให้ซีคอนเป็นได้มากกว่าบริษัทรับสร้างบ้าน สอดรับกับบริบทของสังคมและความต้องการของผู้บริโภคทั้งกลุ่ม B2C และ B2B ที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน   ยังคงสานต่อ 3 กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจจากปี 2566 สู่ปี 2567 ซีคอนยังคงยึด 3 กลยุทธ์หลักเพื่อใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจในปี 2567 ประกอบด้วย กลยุทธ์ด้านความยั่งยืน (Sustainability) ภายใต้แนวคิด E-S-G, กลยุทธ์การแสวงหาฐานลูกค้ากลุ่มใหม่รวมทั้งพัฒนาโปรดักส์ใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และกลยุทธ์ด้านการตลาดยุคใหม่ที่ผสานความสมดุลระหว่างออนไลน์และออฟไลน์อย่างลงตัว เพื่อคงฐานลูกค้ากลุ่มเก่าไว้ในขณะเดียวกับก็สามารถเจาะเข้าถึงฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ในเวลาเดียวกัน โดยทั้ง 3 กลยุทธ์ดังกล่าวนี้ ซีคอนได้เริ่มใช้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าสามารถสร้างความแข็งแกร่งให้แก่องค์กรได้อย่างแท้จริง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจที่หลายฝ่ายเชื่อว่าอยู่ในช่วงขาลง แต่ซีคอนก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างดี โดยสร้างยอดขายได้ประมาณ 2,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา   ในปี 2567 ซีคอน ตั้งเป้าอัตราการเติบโตไว้ประมาณ 10-15% ซึ่งปัจจัยแรกที่ทำให้เติบโตคือการเพิ่มความเข้มข้นในเรื่องการพัฒนาเพื่อให้เกิดความยั่งยืนของธุรกิจ (Business Sustainability) ด้วยกลยุทธ์ ESG ที่องค์กรต้องคำนึงถึงการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม (E-Environment) และสังคม (S-Social)  รวมถึงการวางระบบ กำกับกิจการที่ดี (G-Governance)    ตลอดจนการนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)  โดยคำนึงถึงการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล ผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และพร้อมที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ แบบองค์รวม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ความไว้ใจ และความสามารถในการประกอบการกิจการในฐานะที่เป็นบริษัทผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้านรายแรกของประเทศไทย พร้อมกับประสบการณ์ที่มีมากกว่า 63 ปี สร้างบ้านมากกว่า 25,000 หลัง ทั้งยังเป็นบริษัทรับสร้างบ้านรายเดียวที่ยืน 1 ในเรื่องของการสร้างบ้านที่มีคุณภาพมาโดยตลอด อีกทั้งยังสร้างบ้านจากความฝันของลูกค้าให้กลายมาเป็นบ้านจริงที่สมบูรณ์แบบได้ ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลจึงเป็นการสร้างความมั่นใจในเรื่องของ branding ได้เป็นอย่างดี   การผสานการตลาดแบบออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างสมดุล ปัจจุบันฐานลูกค้าในออนไลน์ของ  ซีคอนมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในทุกปีและสามารถแปลงมาเป็นยอดขายได้เป็นอย่างน่าพอใจ สอดคล้องกับการเติบโตของยอดขายในกลุ่มตลาดออฟไลน์ ที่ซีคอนได้จัดกิจกรรมการตลาดและส่งเสริมการขายเพื่อเจาะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพโดยตรง ซึ่งในไตรมาสแรกของปี 2567ซีคอนจะร่วมออกบูธใน 2 งานใหญ่ ประกอบด้วย  งานรับสร้างบ้าน และวัสดุ Focus 2024 จัดขึ้นในวันที่ 17 – 25 กุมภาพันธ์ 2567 ที่อิมแพ็ค ฮออล์ 8 เมืองทองธานี  และงานบ้านและสวน Select 2024 จัดขึ้นในวันที่ 23 – 31 มีนาคม 2567 ที่ไบเทค บางนา   การนำความเชี่ยวชาญในฐานะผู้บุกเบิกธุรกิจรับสร้างบ้านของไทยมาต่อยอดสู่การพัฒนาธุรกิจใหม่เพื่อเติมเต็มความต้องการของตลาด นำร่องในปี 2567 ด้วยการประกาศสร้างโรงงานผลิตโครงสร้างชิ้นส่วนกึ่งสำเร็จรูปแห่งที่ 2 ที่ลำลูกกา คลอง 12 บนเนื้อที่กว่า 26 ไร่ ยังเป็นธงสำคัญในการขยายตัว และขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว และก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องแบบ Fast Forward มีกำลังการผลิตได้สูงถึง 120,000 ชิ้นต่อปี  นอกจากโรงงานแห่งที่ 2 จะสามารถรองรับลูกค้าที่จองสร้างบ้านกับซีคอน และซีคอน ไอดีแล้ว โรงงานดังกล่าวยังสามารถรองรับลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ ลูกค้าบ้านเดี่ยว ลูกค้ากลุ่มธุรกิจรีสอร์ทหรืออพาร์ทเม้นท์ ฯลฯ ได้อีกด้วย       ตามมาด้วยการประกาศร่วมทุน (Joint Venture) กับบริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด ด้วยการนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจรับสร้างบ้านมาสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า และสุดท้ายกับการเปิดตัว 6 แบบบ้านใหม่ที่พัฒนาแบบภายใต้แนวคิด Greenery SEACON ด้วยหัวใจหลักของการพัฒนาที่เน้นการนำธรรมชาติมาเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่ปัจจุบันมีพื้นที่จำกัดท่ามกลางมลภาวะรอบด้านของเมืองในปัจจุบัน ผ่านทาง courtyard หรือลานกลางบ้านที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมของชาวเอเชีย ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์และ         จินตนาการของเจ้าของบ้านเองปิดกั้นจากความวุ่นวายภายนอก นอกจากจะให้ความสงบบริเวณใจกลางบ้านแล้ว ลานดังกล่าวยังทำหน้าที่เป็นพื้นที่ถ่ายเทอากาศและรับแสงธรรมชาติ ทั้งยังเป็นจุด view point ของห้องสำคัญทุกห้องภายในบ้านอีกด้วย   บทความที่น่าสนใจ “ซีคอน” รีแบรนด์ครั้งที่ 4 จับตลาดคนรุ่นใหม่ สร้างยอดขาย 1,480 ล้าน  
“แอสเซทไวส์” ลุยศึกอสังหา ปี 2567   เปิด 12 โครงการใหม่ และธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์  

“แอสเซทไวส์” ลุยศึกอสังหา ปี 2567  เปิด 12 โครงการใหม่ และธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์  

แอสเซทไวส์ หรือ ASW  เผยแผนธุรกิจชู 3 กลยุทธ์หลัก “Execute / Expand / Explore” มุ่งนำธุรกิจเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งและมั่นคง ด้วยแนวคิด “THE NEW FRONTIERS” ลุยเปิด 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 25,920 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 17,800 ล้านบาท และรุกแผนเปิดโครงการแนวราบ รวมถึงขยายทำเลครอบคลุมกรุงเทพฯ EEC และภูเก็ต เสริมแกร่งด้วยธุรกิจใหม่เพิ่มรายได้ต่อเนื่อง ทั้งคอมมูนิตี้มอลล์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์  และธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพ พร้อมปรับทัพผู้บริหารขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตแข็งแกร่งรับทุกสถานการณ์ นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ “ASW” เปิดเผยว่า ปี 2566 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ดีของแอสเซทไวส์ โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็น คอนโดมิเนียม, บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และบ้านระดับลักชัวรี เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าในหลากหลายเซ็กเมนต์ บนทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเฉพาะ จ.ภูเก็ต  ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมรวม 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 30,260 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้เดิม 12 โครงการ และสามารถทำยอดขายปี 2566 ได้ถึง 16,486 ล้านบาท สูงทะลุเป้าที่วางไว้ ซึ่งเติบโตกว่า 16% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา   “สำหรับทิศทางอสังหาฯ ในปี 2567 นี้ แอสเซทไวส์ยังคงเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง โดยปี 2567 ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 12 โครงการ มูลค่า 25,920 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียม 9 โครงการ และ แนวราบ 3 โครงการ พร้อมตั้งเป้าหมายยอดขายอยู่ที่ 17,800 ล้านบาท เติบโตประมาณ 8% จากปี 2566  และเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 8,700 ล้านบาท  ซึ่งจะขับเคลื่อนด้วยแนวคิด “THE NEW FRONTIERS” กับการพัฒนาแอสเซทไวส์ให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นคงในทุกมิติ โดยบูรณาการ 3 กลยุทธ์หลักซึ่งประกอบไปด้วย สำหรับพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ที่ภูเก็ต  THE TITLE ภายใต้บริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ “TITLE” ในเครือแอสเซทไวส์ ซึ่งล่าสุดได้เปิดขายโครงการ เดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา ในช่วงปลายปี 2566 ที่ผ่านมา มียอดขายรวมแล้วกว่า 80%  เพื่อต่อยอดความสำเร็จ  ในปี 2567 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัว 3 โครงการใหม่ ได้แก่ โครงการเดอะ ไทเทิล เฮอริเทจ บางเทา มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท  โครงการเดอะ ไทเทิล เซเรนิตี้ ในยาง มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท  และ โครงการเดอะ ไทเทิล ราไวย์  มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังได้ร่วมลงทุนพัฒนาโครงการ โบทานิก้า แกรนด์ อเวนิว (BOTANICA Grand Avenue) ลักชัวรี่พูลวิลล่าที่เป็นเมกะโปรเจ็คต์ มูลค่าสูงถึง 13,000 ล้านบาท ในสัดส่วน 30% ทำให้พอร์ตอสังหาฯ ในภูเก็ตของแอสเซทไวส์มีความครบเครื่องมากยิ่งขึ้น มีโปรดักต์ครอบคลุมทั้ง Leisure คอนโดมิเนียม และวิลล่าระดับลักชัวรี สำหรับการหารายได้ประจำสมำเสมอต่อเนื่อง ทางธุรกิจและการลงทุนใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดนิ่ง เพื่อเป็นการสร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income)  ประกอบด้วยธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ ภายใต้โครงการ Mingle Mall ที่ประกอบไปด้วยร้านค้า ร้านอาหารต่าง ๆ , Well Aesthetic & Wellness Center  พื้นที่เช่าสำหรับผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจประเภทศูนย์สุขภาพและคลินิกด้านความงาม บนใจกลางย่านรัชดาภิเษก ล่าสุดกับ มิงเกิ้ล สปอร์ต วิลเลจ (Mingle Sport Village at Rangsit) ศูนย์กีฬาในร่มเอาใจสายรักสุขภาพ รวมถึง Rocket Fitness  บริหารงานของ “บริษัท เทรเชอร์ เอ็ม จำกัด” ในเครือแอสเซทไวส์ รวมถึง ZAAP World ธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอนเสิร์ตและอีเวนท์ต่าง ๆ  ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญที่จะเข้ามาเติมเต็ม และเสริมความแข็งแกร่งด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของแอสเซทไวส์อีกด้วย พร้อมกันนี้ แอสเซทไวส์ยังมีโครงการที่สร้างเสร็จใหม่พร้อมโอนในปี 2567 อีกจำนวน 9 โครงการ ซึ่งแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม จำนวน 7  โครงการ มูลค่ารวมกว่า 9,557 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 2 โครงการ และปัจจุบัน บริษัทฯ มียอด Backlog อยู่ ถึง 19,500 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนโครงการในกรุงเทพและปริมณฑล จำนวน13,700 ล้านบาท โครงการในทำเล EEC จำนวน 1,800 ล้านบาท และโครงการในภูเก็ตอีกกว่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2567 ต่อเนื่องไปถึงปี 2569 บทความน่าสนใจ AssetWise เข้าถือหุ้น 57% TITLE “รุกตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต” สร้างรายได้ 10,000 ล้านบาทใน 3 ปี แอสเซทไวส์  กวาดยอดขายไตรมาสแรกเกือบ  3,500 ล้าน ลุยต่อเปิด 3 โครงการใหม่  
SC ASSET ตั้งเป้า5ปี 150,000 ล้าน ภายใต้แนวคิด “มหาศาล มั่นคง สมดุล“

SC ASSET ตั้งเป้า5ปี 150,000 ล้าน ภายใต้แนวคิด “มหาศาล มั่นคง สมดุล“

นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา SC ทำยอดขายนิวไฮ 4 ปีต่อเนื่อง ต่อไปทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทในระยะเวลา 5 ปี จากนี้ (2567-2571)  คาดว่าจะสร้างรายได้รวมกว่า 150,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากหลากหลายธุรกิจทั้งในส่วนของ อสังหาฯที่อยู่อาศัย โรงแรม และคลังสินค้า ภายใต้แนวคิด “มหาศาล  มั่นคง สมดุล”   SC ASSET ธุรกิจบนความหลากหลายเริ่มจาก  มหาศาล การสร้างรายได้รวม (portfolio revenue) รวม 5 ปี (2567-2571) จากหลากหลายธุรกิจที่คาดว่าจะทำรายได้มากกว่า 150,000 ลบ. สำหรับเป้าหมายและแผนธุรกิจในปี 2567 คาดการณ์จะทำยอดขายนิวไฮ 28,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็น โครงการแนวราบ 65% และโครงการแนวสูง 35% โครงการเพื่อขายทั้งสิ้น 86 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 91,000 ล้านบาท เป็นการเปิดโครงการใหม่รวม 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 30,000ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบ15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 25,000 ล้านบาท โดยมีไฮไลท์เป็นแบรนด์ใหม่ชื่อ “คอนนาเซอร์” (Connoisseur) ราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท และบ้านไลฟ์สไตล์เฉพาะ และโครงการใหม่แนวสูง 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “เรฟเฟอเรนซ์” (Reference) มั่นคง : ลงทุนอย่างเหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน D/E น้อยกว่า 1.5 สมดุล : ส่วนผสมกำไร จากธุรกิจที่หลากหลาย โดยมีกำไรจากธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ (engine 2) มากกว่า 25%ในส่วนธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ มาจาก 4 ธุรกิจหลัก แบ่งเป็น 1.อาคารสำนักงานให้เช่า มีพื้นที่เช่ารวม 120,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) จากอาคารสำนักงานรวม 6 อาคาร 2.โรงแรม มีจำนวนห้องพักรวม 545 ห้อง จากโรงแรม 3 โครงการ โดยเปิดแล้วที่ “YANH ราชวัตร” ขนาด 78 ห้องและกำลังจะเปิดปลายปี 2567 นี้ “ครอโม” (Kromo) ทำเลสุขุมวิท 29 บริหารโดย CurioCollection by Hilton จำนวน 306 ห้อง และเปิดต้นปี 2568 ในทำเลพัทยา จำนวน 161 ห้อง 3.คลังสินค้า มีพื้นที่เช่ารวม 160,000 ตร.ม. จากคลังสินค้ารวม4 โครงการ ดำเนินการแล้วที่ทำเลนครสววรค์พื้นที่ 16,000 ตร.ม. กำลังจะเปิดในปี 2567 นี้และปี 2568 อีก 144,000 ตร.ม. ใน 3 ทำเลคือ บางนา กม.20, บางนา กม.22 และแหลมฉบัง และยังมีการร่วมลงทุนกับสตอเรจเอเชีย บุกตลาด Self Storageภายใต้แบรนด์ “i-Store” 4.อสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าในสหรัฐอเมริกา มีห้องพักรวม78 ห้อง ใน 4 ทำเลใจกลางเมืองบอสตัน   ในส่วนของภารกิจ SCeroMission ดำเนินธุรกิจอย่างใส่ใจสิ่งแวดล้อม ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการออกแบบ สร้าง ใช้ ทิ้ง จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก 25% ในปี 2573 ที่ผ่านมาองค์กรได้มีการติดตั้ง Solar Roof บริเวณอาคารสำนักงาน และโครงการบ้าน ติดตั้ง EV Charger ณ อาคารสำนักงาน และคอนโดมิเนียม เปลี่ยนหลอดไฟ LED เปลี่ยนระบบทำความเย็น ในอาคารสำนักงาน ช่วยลด GHG ได้กว่า 1,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ในปี 2565-2566 และตั้งเป้าหมายว่าจะลดก๊าซเรือนกระจก 15% จากการดำเนินงานตามปกติ ในปี 2567 นายณัฐพงศ์ กล่าวสรุปอย่างมั่นใจว่า “SC พร้อมและมุ่งมั่นสำหรับการเติบโตในทศวรรษที่ 3 ตามวิสัยทัศน์ SC the Evolution เติบโตด้วยการปรับตัวตามบริบท เติบโตด้วยการสร้างคุณค่าสู่คนและโลก เติบโตด้วยธุรกิจที่หลากหลาย ทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม คลังสินค้า ออฟฟิศ”   บทความน่าสนใจ SC เปิดบ้านหรูซีรีส์ใหม่ “อยู่แบบใหม่ แบบสับ” bangkok boulevard signature westgate Grand Bangkok Boulevard พระราม 9 กรุงเทพกรีฑา โครงการ Modern Luxury เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น  
สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล  เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต”

สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต”

สแตนดาร์ด อินเตอร์เนชั่นแนล  จับมือ 2 ดีเวปลอปเปอร์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  อสังหาริมทรัพย์ลักซ์ชัวรี่และซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของไทยและ บริษัท ซีจี แคปปิตอล จำกัด  บริษัทบริหารการลงทุนจากตระกูลจิราธิวัฒน์ในรูปแบบกองทุน Private Equity ที่เจาะกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์เปิดตัวโครงการ “THE STANDARD RESIDENCES”   ที่พักอาศัยรูปแบบbranded residences บนทำเลสุดฮอตกับ 2 เมืองท่องเที่ยวระดับโลก ได้แก่เดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์หัวหิน โครงการbranded residences แห่งแรกในเอเชีย กับทำเลบีชฟร้อนท์และเดอะสแตนดาร์ดเรสซิเดนซ์ภูเก็ตบางเทา ย่านที่ฮอตที่สุดในภูเก็ต ตอบโจทย์ทั้งการใช้ชีวิตอยู่อาศัยเองและซื้อไว้เป็นฮอลิเดย์โฮมด้วยดีไซน์ทันสมัย แปลกใหม่ และมาตรฐานที่ไม่เหมือนใครในแบบฉบับของ เดอะ สแตนดาร์ด มูลค่าทั้ง 2 โครงการรวมกว่า 8,500 ล้านบาท คุณอมาร์ ลัลวานี่ ประธานกรรมการบริหาร Standard International กล่าวว่า Standard International บริษัทเครือไลฟ์สไตล์โฮเทลระดับโลกและเป็นบริษัทแม่ของเครือโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด  ซึ่งก่อตั้งมากว่า 25 ปีด้วยเอกลักษณ์ ตัวตน เปิดตัวโรงแรมแห่งแรกในฮอลลีวูด รวมทั้งปักหมุดเปิดให้บริการในทำเลสำคัญทั่วโลกได้แก่ นิวยอร์ก, ไมอามี่, ลอนดอน, อิบิซา, มัลดีฟส์, หัวหิน และกรุงเทพมหานครที่เป็นแฟล็กชิพของเอเชีย อย่าง The Standard, Bangkok Mahanakhon   โดยโครงการ The Standard Residences จะหยิบยกเอาจุดเด่นด้านดีไซน์ของโรงแรม The Standard ไม่ว่าจะเป็น ห้องนั่งเล่นที่ดูสนุกสนาน การผสมผสานโทนสี การเลือกสรรวัสดุ และเตียงนอนที่นุ่มสบาย มาต่อยอดกับบริการอันเป็นเอกลักษณ์  และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสร้างประสบการณ์พักผ่อนที่แตกต่าง ตลาด branded residences ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีอัตราการเติบโตถึง 216% ด้วยโลเคชั่นที่มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น The Standard Residences จึงไม่จำกัดเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวหลักแต่ยังเล็งการขยายตัวไปยังเมืองที่มีศักยภาพในการเติบโตและมีเอกลักษณ์โดดเด่น ยกตัวอย่างเช่น บาหลี สิงคโปร์หรือ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น   ทั้งนี้คุณอมาร์ มีความเชื่อมั่นว่า ทั้ง 2 โครงการใหม่ อย่าง The Standard Residences, Hua Hin โดย แสนสิริ และ The Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่ได้ ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity  จะเพิ่มมูลค่าของ branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard มั่นใจว่า 2โครงการนี้จะสามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับโครงการอื่นๆ   คุณอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  แสนสิริ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 40ในฐานะบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์พัฒนามาแล้วรวมกว่า 500 โครงการ ทั้งนี้แสนสิริพัฒนาโครงการรีสอร์ทคอนโดมิเนียม(รวม The Standard Residences, Hua-Hin) ในหัวหินมาแล้วจำนวนรวม 25 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 31,000 ล้านบาท โดย 22 โครงการ Sold out (ปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว)   คุณอุทัยกล่าวว่า หัวหินเป็นตลาดที่มีโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจสูง เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ในปี 66 มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในหัวหิน 9 ล้านคนและคาดว่าในปี 67จะมีมากขึ้นกว่าเดิมด้วยมาตรการผ่อนปรนต่างๆ ส่งผลให้ดีมานด์ที่อยู่อาศัย Resort home เป็นบ้านหลังที่ 2 มากขึ้น ทั้งซื้อเพื่ออยู่เองเพื่อการลงทุนของชาวไทยและต่างชาติรวมทั้งปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานจากโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่กำลังพัฒนา ด้านระบบคมนาคม รวมถึงการผลักดันของภาครัฐให้หัวหินเป็น World Class City of Relaxation ศูนย์กลางของด้าน Wellness และ Medical Tourism Hub การขยายสนามบินเพื่อรองรับไพรเวทเจ็ทของนักท่องเที่ยวกลุ่มลักซ์ซัวรี่และการตั้งเป้าให้หัวหินเป็นสมาร์ทซิตี้ที่มีความทันสมัยและปลอดภัยและที่สำคัญ The Standard Residences, Hua Hin นับเป็นโปรเจกท์ไฮไลท์ของแสนสิริในปีนี้โดยมีมูลค่าโครงการรวม 4,500 ล้านบาทและเป็น Beachfront branded residences ภายใต้แบรนด์ The Standard แห่งแรกในเอเชีย และมีกำหนดเปิดตัวเป็นแห่งที่ 3 ของโลก โครงการตั้งอยู่บนไพร์มโลเคชั่นบนที่ดินหายากติดหาดหัวหิน ที่สามารถพัฒนาโครงการใหญ่แบบฟรีโฮลด์ได้มาพร้อมกับไฮไลท์ Beachfront Pool Villa สุด Rare ราคาแตะ 100 ล้านบาท เพียง 2 ยูนิตเท่านั้น โดดเด่นด้วย programming experience ที่ยกระดับประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาสไปกับ experience facilities ที่มีให้เฉพาะลูกบ้านของเรสซิเดนซ์เท่านั้นเพื่อสุดยอดประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ที่ฉีกกรอบทุกการพักผ่อนอาทิ pickle ball court, the mud lounge, salt sauna และ experience shower จำนวน 245 ยูนิตบนพื้นที่ขนาด9 ไร่เริ่มตั้งแต่ 1 ห้องนอน ขนาด 40-65 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด77-120 ตารางเมตร, 3 ห้องนอน ขนาด107-153 ตารางเมตรและBeachfront Pool Villa สุด Rare ขนาด 220 ตารางเมตร ทั้งนี้โครงการพร้อมเปิดให้ชม sales gallery ครั้งแรกวันที่ 23-24 มีนาคม 2567 นี้และพร้อมเข้าอยู่ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2569 คุณภูมิ จิราธิวัฒน์กรรมการผู้จัดการบริษัท ซีจี แคปปิตอลจำกัด กล่าวว่า ซีจี แคปปิตอล ผู้บริหารกองทุน Private Equity ในเครือเซ็นทรัล ได้จัดตั้ง กองทุนแรกในมูลค่า 10,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการท่องเที่ยวลงทุนหลักได้แก่ 1. ครอบครัวจิราธิวัฒน์ 2. ธนาคารชั้นนำ 3. นักลงทุนสถาบันระดับโลกซึ่งมีแผนที่จะลงทุนทั้งในส่วนโรงแรม คอนโดมิเนียม สวนสนุกสวนน้ำ และโครงการมิกซ์ยูส ที่เกี่ยวข้อง โดยมุ่งเน้นในเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศได้แก่ กรุงเทพมหานครภูเก็ต สมุย และพัทยา โดยคาดว่าจะลงทุนปีละ 3-5 โครงการ   ยิ่งสำคัญ ภูเก็ต เมืองท่องเที่ยวอันโด่งดังติดอันดับ1 ใน 10 ของโลก และยังได้รับการโหวตให้เป็นเมืองที่ดีที่สุดสำหรับ Workation อันดับ 10 ของโลก หลังช่วงโควิดในปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าภูเก็ตแล้วกว่า 11 ล้านคน ทำให้มีการเล็งเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภทจากหลายผู้ประกอบการมากที่สุดในเมืองไทยประกอบกับโดยมีโรงเรียนนานาชาติถึง 13 แห่ง และโรงพยาบาลระดับไฮเอ็นด์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของคอนโดมิเนียมในภูเก็ตเพิ่มขึ้นถึง 113% โครงการ The Standard Residences Phuket Bang Tao ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดในย่านที่เป็นไลฟ์สไตล์เซ็นเตอร์ของภูเก็ต อย่างย่านบางเทา การเดินทางจากกรุงเทพฯเพียง 3 ชั่วโมงโดยเครื่องบิน โครงการเดินทางจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตเพียง 25 นาที   พื้นที่ของโครงการทั้งหมดมีขนาด 19 ไร่โดยแบ่งเป็น 3 โปรเจค เริ่มจากThe Standard Residences, Phuket Bang Tao ที่มีขนาด 12 ไร่ และ โรงแรมเดอะ เภรี โฮเต็ล ภูเก็ต บางเทา(The Peri Hotel Phuket Bang Tao) รวมถึง F&B Concept ใหม่ล่าสุดจากThe Standard ที่อยู่ในพื้นที่เดียวกันอีก 7 ไร่   ทั้งนี้ตัวโครงการ branded residences ประกอบด้วยอาคาร7 ชั้นรวมแล้ว6 อาคารมีจำนวนห้องทั้งหมด 188 ยูนิตโดยออกแบบให้เป็นห้องตกแต่งพร้อมเฟอร์นิเจอร์เริ่มตั้งแต่1 ห้องนอนขนาด 75 ตารางเมตร, 2 ห้องนอน ขนาด 100-120 ตารางเมตร, 3 ห้องนอนขนาด167-172 ตารางเมตร และห้องดูเพล็กซ์สุดหรู ขนาด 301–313 ตารางเมตร โครงการให้บริการพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่หลาดหลายอาทิ โคเวิร์คกิ้งสเปซ, โซนเกมส์, ฟิตเนส, สระว่ายน้ำความยาว25 เมตร, สระว่ายน้ำเด็ก และสปา เป็นต้นพร้อมบริการอื่น ๆ ตามมาตรฐานโรงแรมเดอะ สแตนดาร์ดรวมถึงมีพนักงานดูแลอำนวยความสะดวกตลอด24 ชั่วโมง และบริการรถรับ-ส่งไปยังชายหาดบางเทา ทั้งนี้ The Standard Residences, Phuket Bang Tao เตรียมเปิดตัวด้วยราคาเริ่มต้นที่ 11.9 ล้านบาท รวมถึงเปิดsales gallery ครั้งแรกในเดือนเมษายนปี 2567 และพร้อมเข้าอยู่ช่วงไตรมาส 4 ของปี 2569   บทความน่าสนใจ เปิดตัว CG Capital บริษัทบริหารกองทุน โดยตระกูลจิราธิวัฒน์ เจาะตลาดอสังหาฯ โรงแรม ในเมืองท่องเที่ยว แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว