Tag : PR

144 ผลลัพธ์
“แกรนด์ แอสเสทฯ” ดันเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” รุกเจาะดีมานด์ไฮเอน

“แกรนด์ แอสเสทฯ” ดันเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” รุกเจาะดีมานด์ไฮเอน

อสังหาฯ อีอีซี โตไม่แผ่ว! “แกรนด์ แอสเสทฯ” ดันเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” รุกเจาะดีมานด์ไฮเอนด์ ดึงพาร์ทเนอร์ระดับโลก ปั้นโครงการมิกซ์ยูสสุดอลังการหนึ่งเดียวในระยอง โครงการอสังหาฯ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ยังคงร้อนแรงไม่มีแผ่ว ล่าสุด แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเมืองไทย ชี้มูลค่าตลาดอสังหาฯ จังหวัดระยอง พุ่งขึ้น 2 เท่า รับอานิสงส์คนไทย-ต่างชาติย้ายมาอยู่ใกล้ที่ทำงาน-ดำเนินธุรกิจในเขตอีอีซี แกรนด์ แอสเสทฯ เห็นโอกาสเจาะกลุ่มไฮเอนด์และนักลงทุน รุกส่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญเขย่าตลาดอสังหาฯ ระยองกับเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” โครงการระดับอัลตราลักชัวรีติดทะเลอ่าวไทยแห่งแรกและแห่งเดียวในระยอง บนพื้นที่กว่า 92 ไร่ ในทำเลศักยภาพใจกลางอีอีซีและห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 180 กม. กางแผนปั้นเป็นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสสุดยิ่งใหญ่ในจังหวัด อันประกอบด้วย ที่อยู่อาศัยแบบพูลวิลล่าระดับอัลตราลักชัวรี โรงแรม ร้านอาหาร บีชคลับ และบริการด้านสุขภาพองค์รวม โดยแกรนด์ แอสเสทฯ เผยกลยุทธ์การดึงพาร์ทเนอร์ผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ทั้ง “อมาธารา เวลเลเชอร์ รีสอร์ต” แบรนด์เวลเนสชื่อดังจากภูเก็ต นำเสนอบริการสุขภาพรองรับเฮลตี้ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่อย่างครบครัน ทั้งยังเป็นโปรเจ็กต์แรกในไทยที่ได้จับมือกับบริษัทดีไซน์ชื่อดังระดับโลก “IBUKU” มาร่วมออกแบบ “Bambu Beach Club” แลนด์มาร์กติดทะเลสุดอลังการที่โอบรับธรรมชาติตระการตา ล่าสุด อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง เผยโฉมพูลวิลล่าเฟส 2 ปักหมุดวิลล่าบนเนินเขาพร้อมวิวทะเลแห่งแรกในระยอง ทุกสเปซในโครงการชูดีไซน์การออกแบบที่งดงามตระการตาพร้อมโอบรับวิวทะเลอ่าวไทย มั่นใจตอบโจทย์เรียลดีมานด์ที่ซื้ออยู่เองและนักลงทุนเพื่อสร้างกำไรอย่างยั่งยืน   คุณวิทวัส วิภากุล กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงศักยภาพของจังหวัดระยอง ว่า “ระยองเป็นจังหวัดศักยภาพสูงที่มี GDP (Gross Domestic Product) ติดหนึ่งในสามของประเทศ มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Gross Provincial Product: GPP) สูงเป็นอันดับสองของประเทศ (รองจากชลบุรี) เฉลี่ยถึง 7.7% ต่อปี (ในช่วงปี 2547- 2562) ขณะที่รายได้ต่อประชากร (GPP per capita) ก็สูงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ถือว่าเนื้อหอมสำหรับทั้งตลาดอสังหาฯ และการท่องเที่ยว ด้วยจุดแข็งทำเลใจกลางเขตอีอีซี ทั้งยังมีพื้นที่ติดทะเลอ่าวไทย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยววิวทะเลใกล้กรุงเทพฯ ของทั้งชาวไทยและต่างชาติ จ.ระยอง ถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ โดยปัจจุบัน มีโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาแหล่งที่อยู่อาศัยคุณภาพมากมายที่เข้ามารองรับดีมานด์ที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งรวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินในอนาคต ทั้งหมดนี้ ทำให้ชาวไทยและต่างชาติกำลังซื้อสูงซึ่งเข้ามาทำงานและทำธุรกิจในพื้นที่ มีความมั่นใจในการย้ายที่อยู่และลงหลักปักฐาน นอกจากนี้ เหล่านักลงทุนก็พร้อมเข้ามาทำธุรกิจที่ได้ผลตอบแทนสูงอย่างต่อเนื่อง คาดว่าอุปทานที่อยู่อาศัยใหม่ในระยองจะเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.1% ต่อปี ขณะที่ยอดขายใหม่จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.2% ต่อปี”   “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของระยอง เพราะโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสในลักษณะนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นที่ระยอง ซึ่งใกล้จากกรุงเทพฯ ล่าสุดเรามีโครงการอสังหาฯ ระดับอัลตราลักชัวรีวิวทะเลอ่าวไทยที่สวยงามและห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น เราตั้งใจปั้นอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยองให้เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของภาคตะวันออกเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์เหนือระดับ แกรนด์ แอสเสทฯ พัฒนาโครงการเพื่อเจาะกลุ่มกำลังซื้อจริง โดยปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าระดับบนมองหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการสร้างเฮลตี้ไลฟ์สไตล์ด้วยตนเอง ลูกค้ากลุ่มนี้จึงต้องการพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง ความเป็นส่วนตัว พื้นที่สีเขียว และการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีผ่านดีไซน์-ฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย เราได้จับมือ ‘อมาธารา เวลเลชเชอร์ รีสอร์ต’ ผู้นำธุรกิจ Holistic Wellness ระดับ 5 ดาวที่มีชื่อเสียงจากภูเก็ตมาช่วยบริหารบริการเวลเนสในโครงการฯ เพื่อร่วมปั้นอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง ให้เป็น ‘เวลเนสแลนด์มาร์กใหม่’ ระดับเวิลด์คลาสของระยอง ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฮับท่องเที่ยวด้านสุขภาพชั้นนำของโลก” คุณวิทวัส อธิบาย   โครงการ อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง ตั้งอยู่บนพื้นที่ 92 - 3 - 12 ไร่ ที่สุดแห่งการอยู่อาศัยหนึ่งเดียวในระยอง นำเสนอพูลวิลล่าระเบียงส่วนตัววิวทะเลอ่าวไทย พร้อมบริการระดับ 5 ดาว ประกอบด้วย พูลวิลล่าริมชายหาด ปัจจุบันแล้วเสร็จและพร้อมเข้าอยู่ทั้งสิ้น 9 หลัง 18 ยูนิต (อาคารชุด 2 ชั้น) แบบ 2, 3 และ 4 ห้องนอน สไตล์คลาสสิกที่มีกลิ่นอายความเป็นไทยอันเรียบหรู ในราคาเริ่มต้น 50 – 135 ล้านบาท โดยได้รับการตอบรับอย่างยอดเยี่ยมจากลูกค้าและนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ พูลวิลล่าบนเนินเขาวิวทะเลหนึ่งเดียวในระยอง มาพร้อมดีไซน์ทันสมัยในคอนเซ็ปต์ “Sea to Sand” พร้อมกลมกลืนกับธรรมชาติ โดยวิลล่าแต่ละหลังไล่ระดับลงมาจากเนินเขาจนถึงชายหาด มองวิวทะเลแบบพาโนรามาทุกยูนิต ตอบโจทย์ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มองหาบ้านไว้รีชาร์จแบบที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทั้งสิ้น 9 หลัง 18 ยูนิต (อาคารชุด 2 ชั้น) ในราคาเริ่มต้น 39 - 50 ล้านบาท   “ล่าสุดเราได้เผยภาพดีไซน์พูลวิลล่าบนเนินเขาวิวทะเลคอนเซ็ปต์ Sea to Sand ให้ทุกคนได้ชมกันแล้ว ความพิเศษแบบ One and Only ของวิลล่าเฟสนี้คือดีไซน์ที่ทันสมัยกับวิวทะเลพาโนรามาและบ้านที่ลดหลั่นลงมาตามเขาอย่างงดงาม คาดว่า บ้านเฟสนี้เหมาะจะเป็น Hideaway Home ของผู้บริหารรุ่นใหม่กับพูลวิลล่าที่ตอบโจทย์การพักผ่อน อีกหนึ่งโปรเจ็กต์สำคัญที่เข้ามาเติมเต็มการเป็นที่สุดแห่งไลฟ์สไตล์เดสติเนชันของอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง ได้อย่างลงตัว คือ “Bambu Beach Club” แลนด์มาร์กติดทะเลแห่งแรกของเมืองไทยซึ่งเปิดให้บริการแล้ว ผลงานดีไซน์โดยบริษัทชื่อดังระดับโลก IBUKU Design Studio โด่งดังจากผลงานการออกแบบสถานที่จากโครงสร้างธรรมชาติและไม้ไผ่มากกว่า 60 แห่งในบาหลี อินโดนีเซีย รวมถึงผลงานสุดอลังการในลาสเวกัส, ดูไบ, มัลดีฟส์, ฮ่องกง, แอฟริกาใต้ และอีกหลายประเทศ เน้นการผสมผสานความงามของธรรมชาติเข้ากับสเปซและฟังก์ชัน “Bambu Beach Club” นับเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่จะได้ยลโฉมผลงานของ IBUKU โดยไม่ต้องบินไปชมที่ต่างประเทศ คาดว่าแลนด์มาร์กบีชคลับแห่งใหม่นี้ที่เปิดให้บุคลลทั่วไปเข้าไปเช็กอิน จะเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวห้ามพลาดของจังหวัด ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวระยองให้คึกคักกว่าเคย” คุณวิทวัส กล่าวเน้นย้ำ   คุณกนกณัฐ  อรรถญาณสกุล กรรมการบริหาร อมาธารา เวลเลย์เชอร์ รีสอร์ท กล่าวว่า “ปัจจุบัน ลูกค้าระดับบนมองหาคุณภาพชีวิต ให้ความสำคัญกับการหาเวลาดูแลสุขภาพในเชิงป้องกันทั้งร่างกายและจิตใจAmatara WelleisureTM Resort จึงมุ่งสร้างสรรค์สุขภาวะที่ดีแก่ผู้อยู่อาศัย เลือกที่อยู่อาศัยที่มีสภาพแวดล้อมบริสุทธิ์ ส่งเสริมสุขภาพ มีบริการสุขภาพเชิงป้องกัน เพื่อรองรับการใช้ชีวิตของคนทุกเจเนอเรชัน ตลาดอสังหาลักชูรีมาแรงก็จริง แต่เวลเนสก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ไดร์ฟการตัดสินใจของกลุ่ม Wealth ลู สำหรับบริการเวลเนสที่นำเสนอที่อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง เราเน้นเรื่องการผสมผสานของกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกันกับไลฟ์สไตล์ที่มีรูปแบบเข้าถึงง่าย เพลิดเพลิน ผสมผสานภูมิปัญญาของตะวันออกที่เจริญด้วยการเข้าลึกถึงการดูแลสุขภาพจิตใจเข้ากับวิทยาศาสตร์ของตะวันตกซึ่งมุ่งเน้นการดูแลสุขภาพกายที่สัมพันธ์ถึงจิตใจที่นำสมัย  มอบการอยู่อาศัยแบบตามหลัก “WISE” ซึ่งมี 4 องค์ประกอบด้วยกัน ได้แก่ Well-Being การออกแบบประสบการณ์อยู่อาศัยที่ซัพพอร์ตชีวิตและสุขภาพที่ดี, Individualised สร้างสรรค์โครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ให้เหมาะสำหรับแต่ละบุคคล, Small Steps การปรับสมดุลไลฟ์สไตล์ค่อยเป็นค่อยไปแบบยั่งยืนและ Enjoyable ครีเอตการอยู่อาศัยที่ผ่อนคลายสำหรับทั้งครอบครัว ทุกองค์ประกอบช่วยรังสรรค์ให้ที่นี่เป็นที่สุดแห่งที่อยู่อาศัยเหนือระดับเพื่อ Sustainable Well-Being ซึ่ง Bambu Beach Club นี้เป็นสัญลักษณ์ของการสร้างสรรค์กลมกลืนกับธรรมชาติ การสะท้อนถึงความเป็นอยู่ที่เป็นแบบ Sustainable Well-being อย่างแท้จริง” นอกจากโครงการพูลวิลล่าที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากและบีชคลับสุดอลังการที่เปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อย แกรนด์ แอสเสท เผยเร่งพัฒนาอีกหลากหลายโปรเจ็กต์ในอนาคตอันใกล้ ที่จะมาเติมเต็มความสมบูรณ์แบบและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เหนือระดับ ทั้ง Sky Bar ร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งในคอนเซ็ปต์ Sail to Sea และโปรแกรมการดูแลสุขภาพ ทั้งการปรับสมดุลร่างกายและจิตใจ ทรีตเมนต์ การดูแลโภชนาการ การออกกำลังกายและทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยมีผู้เชี่ยวชาญและเทรนเนอร์คอยดูแล อาทิ โยคะ พิลาทิส กีฬาทางน้ำ โดยการบริหารงานของอมาธารา เวลเลชเชอร์ รีสอร์ต     คุณอาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย บริษัท ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เปิดเผยข้อมูล “ปัจจุบันโครงการที่พักอาศัยตากอากาศลักชัวรีในต่างจังหวัดได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ติดชายทะเล ส่วนใหญ่ซื้อไว้สำหรับอยู่อาศัยเองเป็นบ้านพักตากอากาศหลังที่สองและสำหรับลงทุนในระยะยาว ซึ่งตัวโปรดักต์ต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาวได้ โดยโครงการที่อยู่ในมิกซ์ยูสและมีบริการจากเครือโรงแรม (Branded Residence) จะได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากกว่าโครงการทั่วไป  ซึ่งจังหวัดระยองเองยังไม่เคยเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูสที่มีที่พักอาศัยตากอากาศในรูปแบบพูลวิลล่ามาก่อน ทำให้โครงการมีความแตกต่างและคาดว่าจะได้รับความสนใจที่ดีจากกลุ่มลูกค้าระดับบน นอกจากนี้ ความสะดวกสบายจากสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ บริการที่เสมือนอยู่ในโรงแรมที่มีบริการ อาทิ Concierge Service ตลอด 24 ชั่วโมง Wellness Program ที่มาสร้างสุขภาวะที่ดีในการอยู่อาศัย รวมถึงความหลากหลายของตัวโครงการไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม ลักชัวรีพูลวิลล่า พร้อมร้านอาหาร ซึ่งถือว่าตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแบบครบจบในที่เดียว ด้วยองค์ประกอบต่างๆ ที่กล่าวมา ซีบีอาร์อีเชื่อว่าโครงการมิกซ์ยูสและที่พักอาศัยตากอากาศในรูปแบบ Branded Residence Pool Villa จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าและสร้างมูลค่าให้กับโครงการในอนาคตได้” ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง facebook.com/AmataraResidencesRayong และ https://www.grandeasset.com/ หรือ โทร. 0955759999 เพื่อนัดหมายเพื่อเข้าเยี่ยมชมโครงการ   บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ วางเป้า 5 ปีทำรายได้หมื่นล้าน ESTAR ลุยทำเลทอง บ้านฉาง – ระยอง  
THE KLINIQUE เบอร์ 1 ธุรกิจการแพทย์ความงาม ตั้งเป้ารายได้ 3,000 ลบ. ในปี 67 ด้วยกลยุทธ์มัลติแบรนด์

THE KLINIQUE เบอร์ 1 ธุรกิจการแพทย์ความงาม ตั้งเป้ารายได้ 3,000 ลบ. ในปี 67 ด้วยกลยุทธ์มัลติแบรนด์

THE KLINIQUE ประกาศความเป็นเบอร์ 1 ในธุรกิจการแพทย์ความงาม ภายใต้กลยุทธ์มัลติแบรนด์ ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 ทะยาน 3,000 ล้านบาท บริษัท เดอะคลีนิกค์คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ ผู้นำในธุรกิจการแพทย์ความงามครบวงจร ประกาศความสำเร็จในปี 2566 ที่ผ่านมา ด้วยรายได้รวม 2,285 ล้านบาท เติบโต 39% พร้อมเผยแผนกลยุทธ์ปี 2567 มุ่งเน้นการขยายสาขา พัฒนาผลิตภัณฑ์ เสริมกลยุทธ์การตลาด และยกระดับบริการ มุ่งสู่เป้าหมายรายได้ 3,000 ล้านบาท   นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เดอะคลีนิกด์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 ด้วยวิสัยทัศน์ในการเป็นคลินิกความงามที่มอบบริการด้วยความเชี่ยวชาญ ปลอดภัย และได้มาตรฐานสากล      ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา เดอะคลีนิกค์ได้ขยายสาขาภายใต้กลยุทธ์มัลติแบรนด์ (Multi Brand) กระจายตัวอยู่ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำรวมทั้งหมด 60 กว่าสาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็น 5 แบรนด์หลัก ได้แก่ THE KLINIQUE: เน้นกลุ่มลูกค้า Gen X หรือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงในระดับ Luxury และ Hi-End A.B.X: เน้นลูกค้ากลุ่มพรีเมื่ยม L'Clinic: จับกลุ่มลูกค้าอายุน้อยในระดับพรีเมี่ยมแมส THE KLINIQUE SURGERY CENTER: ให้บริการด้านศัลยกรรมเฉพาะทาง มีศูนย์ศัลยกรรมที่ใหญ่ที่สุคใจกลางสยามสแควร์ KLINIQ Wellness Spa: ให้บริการด้านเวลเนส ซึ่งถือเป็น Mega Trend สำคัญตอบโจทย์กลุ่มสังคมผู้สูงอายุ ที่ต้องการมีชีวิตยืนยาว อย่างมีสุขภาพดี   “ในปี 2566 เดอะคลีนิกค์มีรายได้รวม 2,285 ล้านบาท เติบโต 39% โดยเราพบว่าธุรกิจศัลยกรรมเติบโตขึ้นกว่า 361% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งปีที่ผ่านมาเราก็โตสูงมากแต่จะเห็นได้ว่าตลาดโตมาก นั่นหมายถึงว่าเรายังโตได้อีก โดยเราใช้กลยุทธ์ Multi Brand ในการขยายรายได้บริษัทให้สามารถจับกลุ่มลูกค้าได้ตามความต้องการที่แตกต่างกัน ทั้งนี้การที่เราอยู่ในตลาดนี้มานานมีความเข้าใจลูกค้า รวมถึงการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรทางเครื่องมือ เทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งหมดนี้คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯเดินหน้าสู่ความเป็นที่หนึ่งในตลาดนี้ ”     ในปี 2567 เดอะคลีนิกค์ได้วางงบลงทุนไว้ 500 ล้านบาท เพื่อปั้นรายได้ทะยานสู่ 3,000 ล้านบาทภายใต้ 4 กลยุทธ์หลักประกอบไปด้วย   ขยายสาขา: เดอะคลีนิกค์มีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 15-20 สาขา เลือกทำเลที่มีศักยภาพ ภายใต้งบลงทุน 300 ล้านบาท หรือลงทุนเฉลี่ย 25-30 ล้านบาทต่อสาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด พัฒนาผลิตภัณฑ์: เน้นนวัตกรรม เทคโนโลยี และความปลอดภัย วางงบลงทุน 200 ล้านบาทสำหรับซื้อเครื่องมือใหม่ๆ การตลาดและการสื่อสาร: มุ่งเน้นกลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้าแบบ Omnichannel สร้างการรับรู้แบรนด์และ Engagement กับลูกค้า จนเป็นที่รู้จักทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนลูกค้าคนไทยประมาณ 90% ต่างชาติ 10% ทั้งจากประเทศจีนและประเทศเพื่อบ้านทั้งหมดล้วนเป็นลูกค้าในระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง บริการ: พัฒนาด้านบริการให้ Personalized ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และใส่ใจผ่านทีมแพทย์ในเครือนับเครือนับ 100 คน พร้อมพยาบาล 200 กว่าคน รวมถึงพนักงานให้บริการอีกเกือบ 1,000 คน ที่ได้เทรนนิ่งทุกฝ่ายพร้อมรองรับลูกค้าอย่างครบวงจร   นายแพทย์อภิรุจ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีการเสริมความงามมากที่สุดในปี 2563 โดยภาพรวมของอุตสาหกรรมเสริมความงามในประเทศนั้นพบว่ามีการเติบโตขึ้นทุกปี ซึ่งมาจากการที่ผู้บริโภคจะเปิดกว้างมากขึ้นต่อการทำศัลยกรรมและเสริมความงาม จากการศึกษาของ Grand View Research พบว่า ระหว่างปี 2565-2573 จะมีการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ร้อยละ 9.70% โดยในปี 2566 มีมูลค่า 6.4 หมื่นล้านบาท และปี 2567 จะมีมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท และคาดการณ์จนถึงปี 2573 จะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 1.2 แสนล้านบาท   “หากมองภาพรวมของตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท เดอะคลีนิกค์ ยังมีส่วนแบ่งการตลาดไม่ถึง 5% แต่ในแง่การดูแลรักษาเรื่องผิวหนังความงามถือว่าเป็นเบอร์ 1 ของไทยที่มีบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้เพื่อแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้ลงทุนเรื่องนวัตกรรมความงามจนได้รับรางวัลชนะเกาหลีและไต้หวันมาแล้ว และยังคงมุ่งมั่นพัฒนานเรื่องนวัตกรรมอีกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มเรทการใช้ห้องศัลยกรรมให้คุ้มค่ามากขึ้น พัฒนาบริการระดับ 5 ดาว รวมทั้งหาพาทเนอร์ในตลาดเวลเนส ที่จะเติบโตเป็น Inorganic Growth ในอนาคต” นายแพทย์อภิรุจกล่าวทิ้งท้าย    
[PR News] ชญาดา บิซ เพลส ศรีนครินทร์-อ่อนนุช  ทาวน์โฮมสไตล์ออฟฟิศ  เริ่มต้น 14 ล้านบาท

[PR News] ชญาดา บิซ เพลส ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ทาวน์โฮมสไตล์ออฟฟิศ เริ่มต้น 14 ล้านบาท

“สวอน เอสเตท” เปิดตัวโครงการทาวน์โฮมสไตล์ออฟฟิศ “ชญาดา บิซ เพลส”ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ทาวน์โฮม 3.5 ชั้น 44 ยูนิต แบบ 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ บนทำเลที่มีศักยภาพมากที่สุดพร้อมความโดดเด่นรอบด้าน รองรับความสมดุลที่ลงตัวของการใช้ชีวิตและการทำงาน ด้วยดีไซน์ฟังก์ชันการปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างธุรกิจของตัวเอง บนแนวคิดทำให้ลูกค้าพึงพอใจในยามซื้อ มีความสุขในยามอยู่อาศัย และมีความสบายใจในยามที่ต้องขาย ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองหาการลงทุนที่อยู่อาศัยที่คุ้มค่าระยะยาว เพื่อเป็นรางวัลความสำเร็จในชีวิต เปิดตัวเริ่มต้น 14 ล้านบาท   สวอน เอสเตท   นายเทธดา อุชุปาละนันท์ กรรมการผู้บริหาร บริษัท สวอน เอสเตท จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มการซื้อที่อยู่อาศัยว่า ผู้บริโภครุ่นใหม่ไม่ได้มองการซื้อบ้านเป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต แต่มองเป็นปัจจัยเพื่อการออมเงินและการลงทุนมากกว่า ดังนั้น เทรนด์การซื้อบ้านในปัจจุบันและอนาคตภาพรวม คือ ‘การซื้อที่อยู่อาศัยที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย และมีความคล่องตัวในการซื้อขาย’ จึงมีความสำคัญมากที่โครงการจะต้องเข้าใจในสิ่งที่ผู้บริโภครุ่นใหม่ต้องการ นั่นคือตอบโจทย์ความสมดุลของชีวิตที่ทำงานหนักแต่ก็ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน กลุ่มนี้จึงไม่ลังเลที่จะให้รางวัลเรื่องบ้านกับตัวเอง แต่ต้องเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แม้ราคาสูง-แต่หากทำให้เกิดผลสำเร็จในแผนการดำเนินชีวิตระยะยาวก็พร้อมจะตัดสินใจทันที                ชญาดา บิซ เพลส’(Chayada Biz Place) เจอะกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุ 35-53 ปี บริหารธุรกิจได้ด้วยตัวเอง พร้อมมีความฝันที่จะเป็นเจ้านายตัวเอง ผ่านที่อยู่อาศัยที่มีรูปแบบและทำเลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการเริ่มต้นธุรกิจ เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าให้ไปได้ไกลถึงเป้าหมาย โครงการดังกล่าวจึงมีจุดเริ่มต้นพัฒนาขึ้น ‘ในทำเลที่มีศักยภาพมากที่สุด’ บนโซน ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ซึ่งมีทำเลอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครฯ และติดกับถนนเส้นหลัก ทั้งยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับพื้นทีสมุทรปราการซึ่งเป็นทำเลรอง ทำให้มีราคาที่ตอบโจทย์ต่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย และยังรองรับต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้แบบครอบคลุม             ‘พึงพอใจในยามซื้อ มีความสุขในยามอยู่อาศัย และมีความสบายใจในยามต้องขาย’ เป้าหมายเราจึงเป็นการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดและต้องไม่เป็นภาระให้กับลูกค้าในอนาคต นั่นเพราะเราเข้าใจในวัฏจักรของตลาดบ้านเป็นอย่างดี เพราะหากลูกค้ามีความจำเป็นต้องขายบ้าน เราก็อยากให้ลูกค้าสามารถขายได้รวดเร็วและได้ราคา ซึ่ง ชญาดา บิซ เพลส มีศักยภาพมากพอที่จะตอบโจทย์แนวคิดนี้ทุกด้าน” คุณเทธดา กล่าว             สำหรับ ชญาดา บิซ เพลส (Chayada Biz Place) เป็นทาวน์โฮม 3.5 ชั้น สไตล์โฮมออฟฟิศ เน้นรูปแบบความหรูหราอินเทรนด์ที่สามารถปรับใช้งานได้หลากหลาย มีทั้งหมด 44 ยูนิต แบบ 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ พื้นที่ใช้สอย 248 ตร.ม. บนเนื้อที่เริ่มต้น 24.8 ตร.ว. ที่ตัวบ้านและผังโครงการถูกออกแบบเป็น Private Luxuryโดยเมื่อผ่านเข้ามาทางซุ้มประตูสีขาวขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมสวนและต้นไม้ใหญ่ไว้ จะเห็นตัวอาคารที่ออกแบบไว้อย่างสวยงามล้อมวงหันหน้าเข้าหากัน ต้อนรับผู้มาเยือนด้วยบรรยากาศที่ร่มรื่นน่าอยู่ อีกทั้งในโครงการยังมีอาคารพิเศษ 14 ยูนิตที่สามารถเปิดเข้า-ออกได้ 2 ทาง เพราะมีด้านหลังติดถนนนอกโครงการ เหมาะกับการปรับใช้ประโยชน์เปิดร้านทำธุรกิจ พร้อมจุดเด่นที่ช่วยเติมเต็มความดุลทั้งการพักอาศัย การทำงาน การเดินทาง ได้ครบทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็น จุดเด่นที่ตัวโครงการ เพราะเป็นการผสานกันระหว่าง ทาวน์โฮม กับ โฮมออฟฟิศ จึงเป็นที่มาของคำว่า ‘ทาวน์โฮมสไตล์โฮมออฟฟิศ’ บนทำเลที่ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยและทำธุรกิจ ข้อดีทาวน์โฮมที่ไม่ใช่อาคารพาณิชย์คือลูกค้าสามารถขอสินเชื่อจากธนาคารในเงื่อนไขเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งจะได้ดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า กู้ได้มากกว่าและนานกว่าการกู้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น จุดเด่นที่ทำเลที่ตั้ง ตัวโครงการตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ ปากซอยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 67 เดินทางได้สะดวก ใกล้กับเส้นทางคมนาคมและสถานที่สำคัญหลายเส้นทาง อาทิ ถนนบางนา-ตราด, ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลบางนา, เมกะบางนา, อิเกีย บางนา, รพ.สินแพทย์ ศรีนครินทร์, รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์, สนามบินสุวรรณภูมิ และยังได้เปรียบในแง่ทำเลการขาย-ทำธุรกิจที่เข้าถึงง่าย จดจำง่ายอีกด้วย   จุดเด่นที่เป็นโครงการใหม่ มีบรรยากาศรายล้อมด้วยภูมิทัศน์ธรรมชาติ Panoramic Gaden View ที่กว้างสุดสายตา และพื้นที่ Clubhouse สไตล์โมเดิร์น รองรับการผ่อนคลายจากช่วงเวลาการทำงาน ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยที่ต้องการสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การทำธุรกิจที่ช่วยสร้างภาพจำดีเป็นที่ชื่นชอบของผู้มาเยือน จุดเด่นเรื่องที่จอดรถ ภายในโครงการมี Convenient Parking Lot ที่จอดรถรวมกว่า 200 คัน เป็นที่จอดในแต่ละยูนิตรวม 88 คัน และที่จอดนอกยูนิตอีกกว่าร้อยคัน รวมไปถึงที่จอดนอกโครงการ ซึ่งสามารถรองรับกับลูกบ้านและแขกคนสำคัญที่เข้ามาร่วมทำกิจกรรมหรือการสันทนาการ เพื่อสร้างช่วงเวลาดี ๆ ได้เป็นอย่างดี จุดเด่นเรื่องฟังก์ชัน ตัวบ้านได้รับการออกแบบให้ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย จากรูปแบบ 3.5 ชั้น ที่นำครึ่งชั้นนี้ไปมอบให้กับห้องมาสเตอร์ แบบ Double Volume จนกลายเป็นห้องที่โอ่โถงและกว้างขวางสมเป็นห้องของเจ้าของบ้านอย่างแท้จริง รวมถึงมีฟังก์ชันเพื่อความปลอดภัยแบบ 2 ชั้น Smart Security หรือ Double-gated Security ที่คอยปกป้องดูแลและสอดส่องเฝ้าระวังอันตรายตลอด 24 ชั่วโมง   จุดเด่นเรื่องวัสดุก่อสร้างและคุณภาพ กำแพงก่อด้วยอิฐมวลเบา 2 ชั้น วัสดุเกรด A ตั้งแต่พื้น ประตูหน้าต่าง สุขภัณฑ์ห้องน้ำ ตกแต่งหรูหราเหมือนกับบ้านเดี่ยว พร้อมแนวทางที่จะไม่ลดทอนคุณภาพจากราคาวัสดุเพื่อชดเชยค่าที่ดินที่สูงขึ้นกว่าโครงการอื่นๆ นอกจากนี้ ชญาดา บิซ เพลส ยังมีแนวทางสำคัญที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์กับเทรนด์ความต้องการประสบความสำเร็จบนวิถีแห่งความสมดุลของชีวิต หรือ Work Life Balance & Success ซึ่งเป็นแนวทางคนรุ่นใหม่ที่ทำงานหนักเพื่อความสำเร็จอย่างชาญฉลาด และให้รางวัลกับชีวิตอย่างเต็มที่ โดยด้วยความสามารถในการปรับรวมที่อยู่อาศัยกับที่ทำงานให้เป็นสถานที่เดียวกัน เพื่อช่วยให้ได้ทุ่มเทกับงานและครอบครัวได้อย่างเต็มที่ไปพร้อม ๆ กัน   บทความน่าสนใจ โฮมโปร ประกาศยุทธศาสตร์ 5 ปี สู่ธุรกิจแสนล้าน ปั้นธุรกิจเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน
[PR News]Sansiri Community จัดงาน Sansiri Woof Fun Run สี่ขาพาวิ่งที่เวสต์เกต

[PR News]Sansiri Community จัดงาน Sansiri Woof Fun Run สี่ขาพาวิ่งที่เวสต์เกต

นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การสานต่อโมเดล Sansiri Community สังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ โดยในทุกแผนการปั้น Sansiri Community จะประกอบไปด้วยแผนพัฒนาโครงการและไลน์อัพกิจกรรมไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง แสนสิริส่งมอบคุณภาพการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนให้กับลูกบ้าน ที่เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย และในช่วงต้นปีนี้ เราพร้อมต่อยอดการปั้น “เวสต์เกต คอมมูนิตี้” ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดได้จัดงาน Sansiri Woof Fun Run สี่ขาพาวิ่งที่เวสต์เกต ที่เต็มไปด้วยความสนุก กับกิจกรรมวิ่งของเจ้าของกับน้องหมา รวมกว่า 100 คู่ และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น การตรวจสุขภาพเบื้องต้นของน้องหมา, โซนดนตรีสด, โซนอาหาร-เครื่องดื่ม และโซนร้านค้าสำหรับคนและสัตว์เลี้ยง โดยกิจกรรมได้รับการตอบรับดีเยี่ยม มีผู้เข้าร่วมงานคับคั่ง” Sansiri Community เวสต์เกต คอมมูนิตี้ (Westgate Community) คอมมูนิตี้แห่งใหม่จากแสนสิริ ตั้งอยู่บนพื้นที่รวมประมาณ 215 ไร่ ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพ ที่เข้าสู่การเป็นศูนย์กลางความเจริญทางฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ บริเวณเลียบคลองถนน และ ถนนเลียบคลองบางไผ่ เชื่อมไปถนนกาญจนาภิเษก รัตนาธิเบศร์ ราชพฤกษ์และชัยพฤกษ์ ทำให้เดินทางง่ายทั้งขนส่งสาธารณะและรถยนต์ส่วนตัว ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีคลองบางไผ่ 1.9 กิโลเมตร และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศร์ 4.3 กิโลเมตร ใกล้เซ็นทรัล พลาซ่า เวสต์เกตและอิเกีย บางใหญ่ 4.7 กิโลเมตร   โดยเวสต์เกต คอมมูนิตี้ ได้รับการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ The Seasonal Valley ที่มี 3 ฤดู ได้แก่ Winter Zone, Rainy Zoneและ Spring Zone พร้อมทั้งตกแต่งพื้นที่ในแต่ละโซนด้วยต้นไม้ตามฤดูกาล เพื่อสร้างบรรยากาศร่มรื่นให้กับผู้อยู่อาศัยตลอดโครงการ ให้พื้นที่ทุกตารางเมตร รองรับการใช้ชีวิตของครอบครัวทุกเจเนอเรชั่น ปัจจุบัน ภายในเวสต์เกต คอมมูนิตี้แห่งนี้ประกอบด้วย 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท ได้แก่ ‘อณาสิริ เวสต์เกต’ บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดพร้อมอยู่ สไตล์ Mediterranean และ ‘สราญสิริ เวสต์เกต’ บ้านเดี่ยวสไตล์ Modern Farmhouse     ปัจจุบัน แสนสิริพัฒนา Sansiri Community แล้วทั้งหมดรวม 8 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพกรีฑา, บางนา-เลค 26, รังสิต-บางพูน, ราชพฤกษ์-346, กรุงเทพ-ปทุมธานี, เวสต์เกต, พระราม 2-วงแหวน และประชาอุทิศ 90 และเตรียมเปิดใหม่อีก 4 แห่งในปีนี้ ได้แก่ ศรีนครินทร์-แพรกษา, บางนา กม. 10, ศรีวารี และวงแหวน – ลำลูกกา     บทความน่าสนใจ แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต” แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด
[PR News]โฮมโปร ประกาศยุทธศาสตร์ 5 ปี สู่ธุรกิจแสนล้าน  ปั้นธุรกิจเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน

[PR News]โฮมโปร ประกาศยุทธศาสตร์ 5 ปี สู่ธุรกิจแสนล้าน ปั้นธุรกิจเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน

“โฮมโปร (HomePro)” ปรับตัวนำเทรนด์ ตอกย้ำความเป็นเบอร์หนึ่งผู้นำธุรกิจด้าน Home Solution and Living Experience ในประเทศไทย ด้วยการประกาศทิศทางและแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ขยายธุรกิจสู่แสนล้านบาท ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดเติบโตต่อเนื่อง พร้อมขับเคลื่อนโมเดลธุรกิจด้วยแผน Sustainability เติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน สู่เป้าหมายองค์กร Net Zero ระดับโลก ภายในปี ค.ศ.2050 และผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน รับเทรนด์โลกอนาคตมุ่งเน้นพลังงานสะอาดครบวงจร พร้อมเปิดตัวครั้งแรก! "First Closed Loop Circular Appliances" ในงาน HOMEPRO NEXT CHAPTER ก้าวไปสู่ความสำเร็จ ภายใต้แนวคิด "MAKE EVERY CHANGE A BETTER LIFE" สร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในทุกความเปลี่ยนแปลงของช่วงชีวิต นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร (HomePro) เปิดเผยว่า “เป็นการพลิกบทบาทธุรกิจครั้งใหญ่ของโฮมโปร บนความท้าทายใหม่ๆ โฮมโปรพร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า คู่ค้า รวมถึงพันธมิตร ตอกย้ำแบรนด์เบอร์หนึ่งผู้นำเรื่องบ้าน ด้วยยุทธศาสตร์ 5 ปี เพื่อก้าวสู่ธุรกิจแสนล้าน ภายใต้แผนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น ขยายสาขาครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ กว่า 170 สาขา ช่องทางการขายออนไลน์ที่ครอบคลุม และเชื่อมถึงกันแบบไร้รอยต่อ รองรับลูกค้า B2C และขยายฐานลูกค้าไป B2B มากขึ้น พร้อมพัฒนา 3 แอปฯ ช้อปได้ไม่มีสะดุด (HomePro Online, Home Service, Home Card) พัฒนาด้านระบบขนส่งและโลจิสติกส์ ขยายพื้นที่เพิ่มกว่า 100,000 ตร.ม. รองรับทุกความต้องการทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพศูนย์กระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย รับและส่งออกสินค้ามากกว่า 400,000 ชิ้นต่อวัน, ระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ-จัดการคลังได้มีประสิทธิภาพ แม่นยำ ลดความผิดพลาด, บริการให้เช่าคลังสินค้า, บริการขนส่งกลับ ด้วยต้นทุนต่ำ ตลอดจนส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ รวดเร็ว ถึงมือลูกค้า ยกระดับประสบการณ์การซื้อสินค้าและบริการสุดพิเศษให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด Lifetime Eco-System โฮมโปร พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแผน Sustainability สร้างองค์กรเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืนในทุกๆ มิติ อาทิ มุ่งสู่เป้าหมายองค์กร Net Zero ระดับโลก ภายในปี ค.ศ.2050 ผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน รับเทรนด์โลกอนาคตมุ่งเน้น ‘พลังงานสะอาดครบวงจร’ เปิดตัวครั้งแรก! "First Closed Loop Circular Appliances" ผู้ค้าปลีกรายแรกที่ดำเนินโครงการ รีไซเคิล Waste of Electrical and Electrical Equipment (WEEE) พัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหมุนเวียนแบบครบกระบวนการ ตั้งแต่การเก็บของที่ใช้งานแล้ว จากบ้านลูกค้า (HomePro Consumers) เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่มีมาตรฐาน GRS รองรับ เพื่อให้ได้เม็ดพลาสติก PCR (Post Consumer Recycled) ที่มีคุณภาพ ในการนำกลับมาผลิตใหม่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ Haier, Toshiba, Venz และ SCG เพื่อเป้าหมายคือ ลดปริมาณขยะให้กับโลก อีกทั้ง ผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน รับเทรนด์โลกอนาคต มุ่งเน้นพลังงานสะอาดครบวงจร ด้านขนส่ง เปลี่ยนเป็นรถขนส่งพลังงานไฟฟ้า (EV Truck) ที่เร่งดำเนินการให้ได้ราว 50% ภายในปี ค.ศ.2030 ติดตั้งโซล่าเซลล์ ไปแล้วกว่า 80 สาขา คิดเป็นกำลังการผลิตไฟมากกว่า 60 MWh และมีแผนที่จะขยายเพิ่มเติมต่อเนื่อง EV Car สนับสนุนและส่งเสริมพนักงานใช้รถพลังงานสะอาด “เชื่อมั่นว่าครั้งนี้ จะเป็นก้าวใหม่ที่นำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนของธุรกิจโฮมโปร สร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ว่าจะเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน” นายวีรพันธ์ กล่าว   โฮมโปรได้รับรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการได้รับคัดเลือกอยู่ใน Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI 2017-2023, MSCI Global Sustainability Index และ MSCI ESG Ratings Index 2015-2023, FTSE4Good Index 2015-2023, Thailand Sustainability Investment (THSI) 2015-2023 รวมถึงได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 บริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยสถาบันไทยพัฒน์ 2015-2023, บริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน SET Awards 2016-2022 และ Thailand’s Top Corporate Brands 2022-2023 ซึ่งรางวัลเหล่านี้ถือเป็นการการันตีว่าโฮมโปรนั้นได้ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการเติบโตที่ยั่งยืนของบริษัทฯ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อีกด้วย   บทความน่าสนใจ ใครท็อปฟอร์มสุด ในธุรกิจ ร้านวัสดุ-เฟอร์นิเจอร์ Q3/65 เช็คให้ชัวร์ !! ซื้อบ้านใหม่ vs สร้างบ้านเอง แบบไหนเหมาะกับคุณ?    
[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศแผนธุรกิจปี 2567  เปิดโครงการใหม่ 8 – 12 โครงการ มูลค่า  8,000 ล้านบาท เป้ายอดขาย 6,550 ล้านบาท 

[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศแผนธุรกิจปี 2567  เปิดโครงการใหม่ 8 – 12 โครงการ มูลค่า  8,000 ล้านบาท เป้ายอดขาย 6,550 ล้านบาท 

ลลิลฯ ประกาศแผนธุรกิจปี 2567  เดินหน้าขยายธุรกิจ สู่การเป็น National Property Company มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยมีแผนเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องอีก 8 – 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 7,000 – 8,000 ล้านบาท  เพื่อทดแทนโครงการเดิมที่ใกล้จบ ตลอดจนขยายไปยังทำเลที่มีศักยภาพใหม่ๆ   พร้อมตั้งเป้ายอดขายและยอดรับรู้รายได้เติบโตจากปีก่อนหน้า  โดยตั้งยอดขายที่ 6,550 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 5,250 ล้านบาท  งบการจัดซื้อที่ดิน 1,500 ล้านบาท   นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) (Mr.Chaiyan Chakarakul, Chairman of Executive Board, Lalin Property Plc.) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปี กล่าวถึงภาพรวมของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ที่ผ่านมาว่า โลกยังคงต้องเผชิญความเสี่ยงที่ต่อเนื่องมาจากปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์  ประเด็นขัดแย้งที่ก่อเกิดขึ้นเป็นระยะในหลายภูมิภาค   การพยายามควบคุมเงินเฟ้อ โดยการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ยุโรป  โดยเฉพาะเฟดมีการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ระดับ 5.25% - 5.50% ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบกว่า 20 ปี  ส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงต่อเนื่องจากปี 2565   ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ในส่วนของเศรษฐกิจไทย ซึ่งเศรษฐกิจมีการพึ่งพิงต่างประเทศอย่างมาก ทั้งจากการส่งออก การท่องเที่ยว รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)  ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว  ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ  ยุโรป  ตลอดจนประเทศจีน  ส่งผลให้การส่งออกของไทยทั้งปีน่าจะหดตัวที่ราว 1.5%    ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยว แม้จะสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปี 2565  แต่ก็เป็นการขยายตัวได้ต่ำกว่าเป้าหมาย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมา   ในส่วนของการบริโภคและการลงทุนภาครัฐ ก็หดตัวลงจากจัดตั้งรัฐบาล และการจัดทำงบประมาณที่ล่าช้า  ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ขยายตัวได้ต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้มาก สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2567 นี้ คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ราว 2.5% – 3.5%  อย่างไรก็ตามยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง ทั้งปัจจัยจากต่างประเทศและในประเทศ  ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์   การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในหลายประเทศสำคัญทั่วโลก  มาตรการกระตุ้นและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน  ในขณะที่ภายในประเทศ ภาระหนี้สาธารณะ และภาระหนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูง ยังคงเป็นความท้าทายสำหรับในปี 2567 นี้    อย่างไรก็ดีมองว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 นี้ ยังคงมีปัจจัยบวก  ไม่ว่าจะเป็นการที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มนิ่ง และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปี จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย   การต่ออายุมาตรการภาครัฐ ลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ไปถึงสิ้นปี 2567    การส่งออก และการท่องเที่ยวที่ น่าจะดีขึ้น  รวมถึงการเข้ามาลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น  จะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ยังคงเชื่อมั่นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์  โดยเฉพาะตลาด Real Demand  ยังคงไปได้   โดยบริษัทฯ จะเน้นการดำเนินธุรกิจ และการขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน  ในตลาดที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ  และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างดี  โดยในปี 2567 นี้บริษัทวางงบในการซื้อที่ดินไว้ที่ 1,500 ล้านบาท  โดยมีแผนเปิดโครงการเพิ่มเติมที่ 8 – 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท  และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 6,550 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 5,250 ล้านบาท   นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) (Mr. Churat Chakarakul, Managing Director, Lalin Plc.) กล่าวว่า ในปีนี้ ลลิลฯ ยังคงเน้นย้ำแนวคิดในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการดำเนินธุรกิจตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG)   นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงปัจจัยการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการประหยัดพลังงานไฟฟ้าและน้ำ การลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการให้ลูกค้าได้รับคุณภาพวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และสังคมที่ดี  ซึ่งเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของทางบริษัท สำหรับแผนการตลาด ในปี 2567 นี้  ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าโดยยึดหลัก Customer Centric ผ่านกลยุทธ์ทั้ง Lifestyle Marketing และ Experience Marketing เสริมประสิทธิภาพด้วยการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ โดยการทำ Brand collaboration เพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ อีกทั้งสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกกลุ่มเป้าหมายด้วย นอกจากนี้ ยังเน้นการทำการตลาดผ่านช่องทาง Digital ในช่องทางใหม่ให้หลากหลายมากขึ้น  เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ทั้งยังส่งเสริมให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นด้วย การนำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์หา Customer Insights   ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งสู่การเป็นองค์กรพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บริหารงานภายใต้แนวคิด Agile Principles โดยใช้กลยุทธ์ด้านดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลง (Digital transformation) นอกจากนี้ บริษัทฯให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่เป็น Real Demand โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในส่วนของ Design Innovation และ Smart & Flexible Function ของตัวบ้าน และยังคงนำรูปแบบความงดงามของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสที่เรียบหรู มาออกแบบบ้านสไตล์ฝรั่งเศสแบบ French Colonial Style ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญของบริษัทฯที่เป็นรายแรกในการนำมาพัฒนาออกแบบบ้านในสไตล์ดังกล่าว บนทำเลศักยภาพ ในราคาที่คุ้มค่า และจับต้องได้ เพื่อให้สินค้าและบริการสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อยู่เสมอ ในส่วนของสถานะทางการเงิน บริษัทฯ ดำรงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.76 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 1.45 เท่า ค่อนข้างมาก   โดยบริษัทมีการใช้แหล่งเงินทุนที่หลากหลาย และการบริหารความเสี่ยงทางการเงินอย่างรัดกุมมาโดยตลอด จึงได้รับความเชื่อมั่นจากสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ต่างๆ  จึงไม่ประสบปัญหาในเรื่องของแหล่งเงินทุน   โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการออกขายหุ้นกู้อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.80%  ซึ่งได้รับการตอบรับจากสถาบันเข้าลงทุนเต็มจำนวนที่ 500 ล้านบาท   บทความน่าสนใจ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางเป้าขาย 8,600 ล้าน โต 10% เน้นธุรกิจทำกำไร-รักษาสภาพคล่อง
[PR News] Maison เปิดตัวบ้านใหม่ล่าสุด ทำเลดี ติด ม.เกษตร ศรีราชา

[PR News] Maison เปิดตัวบ้านใหม่ล่าสุด ทำเลดี ติด ม.เกษตร ศรีราชา

"ไมซัน ฮิลล์ สุขุมวิท-ศรีราชา" บ้าน French Colonial พร้อมคลับเฮาส์ที่โอบล้อมด้วยเขาและทะเล   บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด บนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองศรีราชา ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และนิคมฯ แหลมฉบัง เดินทางสะดวกทุกรูปแบบ เพียง 1 นาที ก็ถึงมหาลัยเกษตรศาสตร์ และ 5 นาที ถึงนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง   โครงการ "ไมซัน ฮิลล์ สุขุมวิท-ศรีราชา" เป็นโครงการบ้านและทาวน์โฮมหรูในแบบบ้านสไตล์ เฟรนช์โคโลเนียล (French Colonial) พร้อมคลับเฮาส์ที่มีวิว Sunset โอบล้อมด้วยทะเลและภูเขา ในบรรยากาศสบายเหมาะกับการอยู่อาศัย ในราคาเริ่มต้น 2-4 ล้านบาท* พร้อมเปิดตัวภายใน 17-18 กุมภาพันธ์ 2567   ชื่อโครงการ  :  Maison hill (สุขุมวิท- ศรีราชา) เจ้าของโครงการ   : บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด ที่ตั้งโครงการ      : ซ.เขาน้ำซับ ตำบล ทุ่งสุขรา  อ.ศรีราชา ลักษณะโครงการ  : ทาวน์โฮม ทาวน์โฮมอิสระ บ้านแฝด บ้านเดียว พื้นที่โครงการ  : 22-3-20.1 ไร่ จำนวนยูนิต  : 176 ยูนิต ที่จอดรถ  : 2  คัน สิ่งอำนวยความสะดวก : สวนสวยขนาดใหญ่, สระว่ายน้ำระบบเกลือ , เข้า-ออกโครงการด้วยระบบสแกนทะเบียน  Auto Access, กล้องวงจรปิดรปภ. 24 ชม. (Smart home) รองรับ EV Ready ราคา  :  เริ่มต้น 2-4 ลบ. เปิดจอง  : 17-18 ก.พ. 67  
[PR News] “อยู่ดี มีสุข” มอบสุขภาพดีรับปีใหม่ผ่านกิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’

[PR News] “อยู่ดี มีสุข” มอบสุขภาพดีรับปีใหม่ผ่านกิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’

พฤกษา ร่วมกับ โรงพยาบาลวิมุตและโรงพยาบาลเทพธารินทร์ เดินหน้าส่งมอบสุขภาพดีอย่างยั่งยืนให้แก่ลูกบ้านพฤกษาด้วยกิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’ ที่ให้ความรู้ด้านสุขภาพเพื่อการป้องกันด้วยคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทางและทีมสหสาขา พร้อมให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้นด้วยการวัดความดันและทดสอบความยืดหยุ่นของร่างกาย ซึ่งสอดคล้องตามกรอบแนวคิด “Live well Stay well อยู่ดี มีสุข” นำโดยนางสาวปุณณ์รัตน์ เบี้ยวไม กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยว บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลวิมุตและโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ณ คลับเฮ้าส์ โครงการเดอะปาล์ม บางนา วงแหวน   นางสาวปุณณ์รัตน์ เบี้ยวไม กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยว บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดกิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’ เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของกลุ่มพฤกษาด้วยกรอบแนวคิด ใส่ใจเพื่อทั้งชีวิต “อยู่ดี มีสุข” (Live well Stay well) ที่สร้างปัจจัยสุขทั้ง 3 ด้านด้วยการส่งมอบความเป็นอยู่ที่ดี สุขภาพที่ดี และสร้างสรรค์สังคมชุมชนที่ดี ซึ่งที่ผ่านมาพฤกษาได้ส่งมอบความเป็นอยู่ที่ดีด้วยที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ทุกความต้องการมาโดยตลอด และครั้งนี้เรามีความตั้งใจที่จะมอบสุขภาพที่ดีให้แก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการและชุมชนใกล้เคียงด้วยเช่นกัน จึงได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลวิมุตและโรงพยาบาลเทพธารินทร์ซึ่งเป็นธุรกิจเฮลท์แคร์ในเครือพฤกษา โฮลดิ้ง เข้ามาช่วยสนับสนุนการจัดกิจกรรม โดยให้ความรู้เรื่องการส่งเสริมสุขภาพในเชิงป้องกันเพื่อสร้างการตระหนักรู้และสนับสนุนให้ทุกคนสามารถนำมาปรับใช้ในการดูแลสุขภาพของตนเอง     “กิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’ เกิดขึ้นจากการที่พฤกษาอยากสนับสนุนให้ทุกคนมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน โดยเริ่มต้นจากการมีความรู้เพื่อการป้องกันก่อนเกิดโรค ภายในงานจึงเปิดให้บริการ Fit Check เพื่อตรวจสุขภาพเบื้องต้นและทดสอบความยืดหยุ่นของร่างกาย พร้อมรับฟังสาระความรู้ในหัวข้อ ‘Fitness Do and Don’t ออกกำลังกายอย่างไรให้คุ้มค่าไม่พาป่วย’ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลเทพธารินทร์ และสาระความรู้เพื่อเตรียมรับมืออาการเจ็บป่วยในหัวข้อ ‘รู้ทัน 8 สัญญาณความเสื่อมเพื่อการป้องกัน’ โดยแพทย์หญิงกอบกาญจน์ ชุณหสวัสดิกุล แพทย์เวชศาสตร์ป้องกันและผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด และนายแพทย์เก่งพงศ์ ตั้งอรุณสันติ ผู้อำนวยการ Chersery Home โรงพยาบาลผู้สูงอายุและศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู นอกจากนี้ ผู้ร่วมงานทุกท่านยังได้รับคำแนะนำด้านการปรับสมดุลร่างกายและจิตใจโดยผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีบำบัดและพลังงานบำบัด โดยกิจกรรมในครั้งนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมอย่างคับคั่งและได้รับการตอบรับจากลูกบ้านและชุมชนใกล้เคียงเป็นอย่างดี เพราะสามารถนำไปปรับใช้เพื่อดูแลตัวเองรวมไปถึงคนในครอบครัว ซึ่งจากผลตอบรับที่ดีของกิจกรรมนี้ ทำให้พฤกษาวางแผนเดินหน้าที่จะจัดกิจกรรมด้านสุขภาพในโครงการอื่น ๆ ต่อไป” นางสาวปุณณ์รัตน์ กล่าว  
[PR News] “คริสตัล โฮม” ยกระดับความร่วมมือ “Villeroy & Boch” เปิด Flagship Store แห่งแรกในไทย

[PR News] “คริสตัล โฮม” ยกระดับความร่วมมือ “Villeroy & Boch” เปิด Flagship Store แห่งแรกในไทย

คริสตัล โฮม (Crystal Home) ธุรกิจจัดจําหน่ายสินค้าตกแต่งห้องน้ำหรูและบริการครบวงจร เดินหน้าผนึกความร่วมมือครั้งสำคัญกับแบรนด์เซรามิกชั้นนำจากเยอรมนี “Villeroy & Boch” เปิดตัว Flagship Store แห่งแรกในประเทศไทย จัดแสดงสินค้าห้องน้ำตัวอย่างหลากสไตล์ สร้างสรรค์แรงบันดาลใจเติมเต็มชีวิตชีวาให้ห้องน้ำครบครันในทุกความต้องการ พร้อมเปิดตัวคอลเลกชันพิเศษสำหรับโอกาสครบรอบ 275 ปี ‘Hommage to Hommage’ รวมถึงการเปิดตัว ‘Antao’ คอลเลกชันที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติอันน่าหลงใหล ตอกย้ำแนวทางการคัดสรรแบรนด์ผู้ร่วมสร้างประสบการณ์ นำพาคุณภาพ นวัตกรรม และการออกแบบที่ยอดเยี่ยมไปสู่บ้าน โครงการ และทุกแง่มุมชีวิตของลูกค้าอย่างยั่งยืน คริสตัล โฮม (Crystal Home) คริสตัล โฮม (Crystal Home) นางสุทธิภา สวัสดิ์-ชูโต กรรมการบริษัท ลักซ์เซอรี แอท ลีฟวิง จำกัด เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นของแบรนด์ ‘คริสตัล โฮม (Crystal Home)’ เกิดจากความต้องการสร้างจุดศูนย์กลางให้บริการด้านการตกแต่งห้องน้ำหรูที่ครบวงจร ประกอบกับประสบการณ์กว่า 14 ปี ในการบริหารจัดการพัฒนาโครงการหรู ทำให้เราสามารถวางจุดแข็งที่ตอบโจทย์ต่อลูกค้าในแบบที่ครอบคลุม ตั้งแต่เป็นที่ปรึกษาที่เข้าใจในข้อกำหนดและรูปแบบของโครงการเป็นอย่างดี เป็นผู้จัดหาวัสดุที่มีคุณภาพมากที่สุดและเหมาะสมทั้งแง่การออกแบบและงบประมาณ จนถึงเป็นคนกลางที่สามารถบริหารจัดการงานให้ลูกค้าได้ทุกภาคส่วน ทั้งความร่วมมือกับผู้รับเหมา ผู้ออกแบบ รวมถึงกลุ่มผู้ผลิต ช่วยให้ลูกค้าสามารถไว้วางใจได้ว่าการตกแต่งห้องน้ำหรูเป็นเรื่อง “ง่ายและคุ้มค่า” เมื่อมาที่คริสตัล โฮม   นอกเหนือจากนี้ คริสตัล โฮม ยังทำงานภายใต้ความมุ่งมั่นในการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ตามคอนเซปต์ ‘Leading Luxury Bathroom Company’ ทำให้แบรนด์มีการคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ รวมถึงความเป็นนวัตกรรมที่สะท้อนความหรูหราและความเหนือระดับรวมไว้อย่างครบครัน อาทิ Kohler, TOTO, AXOR, Hansgrohe รวมถึง ‘Villeroy & Boch’ แบรนด์ที่สื่อถึงความหรูหราและเป็นเลิศด้านเซรามิก โดยมี คริสตัล โฮม เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ อีกทั้งสองแบรนด์ยังได้ผนึกความร่วมมือครั้งสำคัญ ในการผสมผสานค่านิยม ความเชื่อ และแง่มุมที่โดดเด่นด้านนวัตกรรม การออกแบบ และคุณภาพที่เหนือระดับที่ทั้งคู่มี ร่วมกันเปิด Flagship Store Villeroy & Boch แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการขึ้นที่ Crystal Design Center, CDC   นางสุทธิภา เสริมต่อว่า Flagship Store แห่งแรกในไทยของ Villeroy & Boch จะให้บริการโดยคริสตัล โฮม ณ CDC ศูนย์รวมของตกแต่งบ้านที่สมบูรณ์แบบที่สุดในเอเซีย โดยภายในโชว์รูมจะเน้นที่การจัดแสดงห้องน้ำตัวอย่างในสไตล์ต่าง ๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มดีไซน์เนอร์ เจ้าของงานโครงการ หรือกลุ่มลูกค้าบ้านระดับไฮเอนด์ เพื่อตอบรับทุกความต้องการในการสร้างสรรค์ห้องน้ำใหม่ หรือแม้แต่กับการปรับปรุงห้องน้ำเดิมให้มีชีวิตชีวา ด้วยการเลือกใช้สุขภัณฑ์และเครื่องใช้ในห้องน้ำที่มีมาตรฐาน เป็นไปตามคอนเซปต์ ‘A House Becomes A Home’ ของแบรนด์ Villeroy & Boch หรือช่วยปรับเปลี่ยนที่อยู่อาศัยให้กลายเป็นบ้านแสนสุข เพราะบ้านไม่ใช่เพียงที่พักอาศัย แต่เป็นพื้นที่ให้เราได้เป็นตัวของตัวเอง ได้แสดงออกถึงสไตล์และรสนิยมตัวเองได้อย่างเต็มที่  Mr. Georg Lörz (เกออร์ค เลอร์ซ) CEO of Bathroom & Wellness Division, Villeroy & Boch กล่าวว่า Villeroy & Boch เป็นแบรนด์จากประเทศเยอรมนีที่ได้รับการยอมรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้ใช้งานทั่วยุโรปมายาวนานกว่า 275 ปี ซึ่งหัวใจหลักที่แบรนด์ให้ความสำคัญ คือคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่แบรนด์รักษาได้ดีมาอย่างต่อเนื่อง ด้านนวัตกรรมที่เราได้มีการพัฒนาวัสดุที่มีคุณภาพอย่าง Quaryl หรือ TitanCeram หรือแม้แต่กระบวนการผลิตที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน, ด้านการออกแบบ ที่ได้มุ่งสร้างความหลายหลากสไตล์และความแตกต่างมีเอกลักษณ์ และยังรวมถึงด้านการตรวจสอบคุณภาพของสินค้าก่อนส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดมาถึงมือผู้บริโภค สะท้อนถึงภาพการเป็นมากกว่าสุขภัณฑ์หรือเครื่องใช้ในห้องน้ำ แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างจากความพิถีพิถันอย่างที่สุด จึงทำให้ความร่วมมือของคริสตัล โฮม และ Villeroy & Boch ในการเปิด Flagship Store นี้ นับเป็นเกียรติครั้งสำคัญในการได้ส่งต่อความเชื่อมั่นที่ชาวยุโรปมีมาสู่ผู้ใช้งานชาวไทย ทั้งนี้ Villeroy & Boch Flagship Store ยังเป็นพื้นที่สำหรับช่วยเติมเต็มประสบการณ์ตกแต่งห้องน้ำที่ลงตัวทั้งทันสมัยและมีระดับ จากการจัดแสดงคอลเลกชันที่บ่งบอกถึงทุกแง่มุมความหรูหราของห้องน้ำ อาทิ ‘Artis’ ผลงานโดยดีไซน์เนอร์ Gesa Hansen พร้อมการออกแบบที่เลือกสรรโทนสีได้ตามใจทั้งอ่างล้างหน้าและอ่างอาบน้ำ, ‘ViConnect’ โซลูชั่นสำหรับการติดตั้งสุขภัณฑ์แบบแขวนผนังและโถสุขภัณฑ์ ที่รวดเร็วและได้มาตรฐาน   และไฮไลต์การเปิดตัวคอลเลกชันพิเศษสำหรับโอกาสครบรอบ 275 ปี ของ ‘Hommage to Hommage’ ชุดสุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำที่แฝงด้วยกลิ่นอายของความคลาสสิคผสานความโดดเด่นในโทนสีพิเศษอย่าง Pure Black รวมถึงการเปิดตัว ‘Antao’ ที่ถอดแบบองค์ประกอบของธรรมชาติมาอยู่ในรูปทรงหยดน้ำและโทนสีอันน่าหลงใหล ไม่ว่าจะเป็น สีเขียว (Morning Green), สีน้ำตาล (Almond), สีดำ (Pure Black) และสองโทนสีพื้นฐานอย่าง สีขาว (White Alpin) และสีขาวด้าน (Stone White) ที่มีให้เลือกทั้ง ชุดสุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ “คริสตัล โฮม ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทางการคัดสรรแบรนด์ที่มีความสอดคล้องกับหลักการที่เรายึดถือ ทั้งด้านนวัตกรรม การออกแบบ และคุณภาพ ที่ได้รวมอยู่ในรากฐานของแบรนด์ที่เราให้บริการ เช่นเดียวกับ Villeroy & Boch ที่เราทั้งคู่ต่างมีความมุ่งมั่นทิศทางเดียวกันในการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การขายอ่างล้างหน้า ฝักบัว อ่างอาบน้ำ หรือโถสุขภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องถึงการสร้างประสบการณ์ เพื่อนำพาคุณภาพและงานดีไซน์ ที่ยอดเยี่ยมนี้ไปสู่บ้าน โครงการ รวมไปถึงทุกแง่มุมชีวิตของลูกค้าให้ได้อย่างยั่งยืน” นางสุทธิภา กล่าวสรุป   บทความน่าสนใจ อิเกีย x STEPS ออกแบบออฟฟิศสำหรับทุกคน ด้วย 5 เทคนิครองรับความแตกต่าง สกาย กรุ๊ป ส่ง “เมทเธียร์” ลุยภารกิจใหญ่ Smart Facility Management  
[PR News] อาณาจักร ORIGIN PET FAMILY คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ 16 โครงการ 26,000 ล้าน

[PR News] อาณาจักร ORIGIN PET FAMILY คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ 16 โครงการ 26,000 ล้าน

Origin Pet Family ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โชว์พอร์ตพัฒนาคอนโดตอบโจทย์ Pet Lover สะสม 16 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 26,000 ล้าน ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ตลาด หลังกระจายบุกทำเลใหม่ๆ ครองใจผู้บริโภค-ทาสหมา-ทาสแมวทั่วกรุงเทพฯปริมณฑลต่อเนื่อง รองรับเทรนด์ Pet Humanization พุ่ง ชูจุดแกร่งตั้ง “ทีม RED” วิจัย Insight ของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง คัดสรรสเปกวัสดุอย่างเข้าใจ สร้างสรรค์ดีไซน์และฟังก์ชันทั้งในพื้นที่ส่วนกลางและห้องพักเพื่อการอยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีความสุข เนรมิตผลิตภัณฑ์เฉพาะเพื่อน้องหมาน้องแมว เดินหน้าขยายอาณาจักร Origin Pet Family ต่อเนื่อง จับมือหลากพันธมิตร สร้างอีโคซิสเท็ม เชื่อมโยงหลากบริการที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงตอบโจทย์เจ้าของถึงที่พักอาศัย     Origin Pet Family นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ผู้พัฒนาโครงการกลุ่มสมาร์ทคอนโดมิเนียมในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปี 2564 บริษัทได้เดินหน้าบุกตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่ม Pet Lover อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่นิยมเลี้ยงสัตว์ในที่อยู่อาศัยมากขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2566 จะมีโครงการภายใต้แผนพัฒนาสะสมทั้งสิ้น 16 โครงการ  คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 26,000 ล้านบาท ครอบคลุมหลากหลาย แบรนด์ อาทิ บรอมพ์ตัน (Brompton) บริกซ์ตัน (Brixton) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์​ เพลย์ (Origin Plug & Play) ออริจิ้น เพลส (Origin Place) ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทก้าวขึ้นมาเป็นผู้พัฒนาคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้สะสมในตลาดมากที่สุดอันดับ 1  ทั้งนี้ บริษัทได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากผู้บริโภคด้วยหลากหลายปัจจัย ได้แก่ 1.การเติบโตของเทรนด์ Pet Humanization ที่คนหันมาเลี้ยงสัตว์เสมือนลูกมากขึ้น อัตราการเติบโตของสุนัขและแมวที่มีเจ้าของ จากปี 2562 ถึง 2565 เพิ่มขึ้นถึง 64% สวนทางกับอัตราการเกิดใหม่ของเด็กที่มีอัตราลดลงถึง 20% ขณะเดียวกัน การเติบโตของ เทรนด์ดังกล่าว ยังสะท้อนผ่านมูลค่าตลาดสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมีมูลค่าสูงถึง 5.6 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 10-12% 2.ความสนใจเลี้ยงสัตว์ในคอนโด จากเดิมที่ผู้บริโภคนิยมเลี้ยงสัตว์ตามบ้านจัดสรรเป็นหลัก ก็เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม ต้องการเลี้ยงสัตว์ในคอนโดมิเนียมมากขึ้น สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมเมือง 3.การกระจายบุกหลากทำเลทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล จากเดิมที่คอนโดสำหรับ Pet Lover มักกระจุกตัวอยู่เฉพาะในเขตเมือง บริษัทได้กระจายบุกไปทั่วทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑล ครอบคลุมทั้งรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สายสีส้ม สายสีเหลือง ซึ่งเป็นทำเลที่ยังไม่มีคู่แข่ง แต่มีความต้องการสูง 4.ความใส่ใจคัดสรรวัสดุและการออกแบบที่เข้าใจทั้งคนและสัตว์เลี้ยง ผ่านการวิจัยและความร่วมมือกับพันธมิตร 5.การเลือกพัฒนาโครงการแบบมิกซ์โปรดักท์ กรณีพัฒนาคอนโดมิเนียม Low-rise ที่มีหลายอาคาร จะมีแบ่งบางอาคารเป็นคอนโดสำหรับ Pet Lover และบางอาคารเป็นคอนโดมิเนียมปกติ เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคทั้งที่ต้องการเลี้ยงสัตว์และไม่ต้องการเลี้ยงสัตว์สามารถอยู่อาศัยในโครงการทำเลเดียวกันได้ ผ่านการแบ่งอาคารที่ชัดเจน โดยหากนับเฉพาะยูนิตที่เลี้ยงสัตว์ได้ จะมีสะสมแล้วถึง 3,550 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าเฉพาะยูนิตเลี้ยงสัตว์ได้สะสมกว่า 8,700 ล้านบาท  สำหรับปี 2566 เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับ Pet Lover ทั้งสิ้น 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 13,025 ล้านบาท นายสมสกุล แสงสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานออกแบบผลิตภัณฑ์ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับ Pet Lover นั้น ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องข้อมูลเชิงลึก หรือ Insight ของทั้งเจ้าของและสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมา บริษัทจึงได้จัดตั้ง “RED Team By Origin” หรือ Research for Excellent Development Team (ทีมวิจัยเพื่อการพัฒนาที่เป็นเลิศ) ขึ้น รวบรวมบุคคลที่เชี่ยวชาญจากหลากหลายฝ่าย ทั้งทีมวิจัยการตลาด ทีมออกแบบ ทีมพัฒนาความยั่งยืน เป็นต้น มาร่วมกันดำเนินงาน 4 ด้านหลัก ได้แก่   1.Customer Experience Design รับผิดชอบด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้เกิดการออกแบบและการบริการที่รองรับกับพฤติกรรมลูกค้าได้อย่างตรงจุด 2.Product Development พัฒนาออกแบบสินค้าออกไปให้มีคุณภาพและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและการบริการที่ครอบคลุม ด้วยการออกแบบที่มีฐานการวิจัยรองรับ 3.Marketing Intelligence วิจัยด้านการตลาด เพื่อหาเทรนด์ใหม่ๆ และอัปเดตความต้องการให้เข้ากับยุคสมัยอย่างต่อเนื่อง 4.Sustainability Development ร่วมพัฒนาเพื่อสังคมและสภาพแวดล้อม ให้ผู้คนได้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี บนความเป็นอยู่ที่ดีและยั่งยืน สำหรับโปรเจกต์แรกของทีม RED คือการวิจัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสัตว์เลี้ยงและคนรักสัตว์เลี้ยงอย่างสร้างสรรค์ สู่การพัฒนาคอมมูนิตี้ที่ทุกชีวิตอยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีความสุข กลายเป็นอาณาจักร Origin Pet Family โดยมีหัวข้อที่ได้ศึกษาและเผยแพร่แล้ว ได้แก่ 1.พฤติกรรมสัตว์เลี้ยง (Pet Behavior) 2.วัสดุ การออกแบบภายใน และพื้นที่ส่วนกลาง (Design) 3.ภูมิทัศน์ของโครงการ (Landscape) และ 4.บริการและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์เลี้ยง (Pet Wellness and Service)   ทั้งหมดนำไปสู่การเลือกใช้วัสดุ สิ่งอำนวยความสะดวก และการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสัตว์เลี้ยงและผู้เลี้ยง เช่น การเลือกใช้วัสดุพื้นที่ทำความสะอาดได้ง่าย ป้องกันรอยขีดข่วน รองรับกับข้อต่อน้อง ๆ การออกแบบความถี่ของราวระเบียงเพื่อความปลอดภัย การเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลาง อาทิ ประตูกั้นพื้นที่ จุดล้างตัว พื้นที่เล่นแบบเนินโค้ง ลู่วิ่งพื้นยางรองรับข้อต่อ เครื่องเล่นฝึกทักษะ ตลอดจนพันธุ์ไม้ที่เหมาะกับสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้ ออริจิ้น ได้มีการออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับน้องแมวที่เรียกว่า “CATSULE” และการออกแบบสำหรับน้องหมาเป็นพื้นที่โล่งกว้างภายนอก จัดตั้งตามส่วนกลางของคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ เพื่อให้เจ้าของได้ใช้ส่วนกลางอย่างไร้ความกังวล อีกทั้งยังช่วยให้สัตว์เลี้ยงได้มีพื้นที่ส่วนตัวระหว่างรอเจ้าของอีกด้วย   นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมมือกับหลากหลายพันธมิตร เพื่อร่วมกันสร้างระบบนิเวศที่ตอบโจทย์ทุกมิติการใช้ชีวิตของ Origin Pet Family อาทิ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษาโดยคุณหมอและผู้เชี่ยวชาญ ร่วมทำเวิร์คช็อปจัดคอร์สอบรมให้แก่พนักงานนิติบุคคล ยกระดับงานบริการให้สามารถดูแลสัตว์เลี้ยงในโครงการได้อย่างเข้าใจ PETTO CARE (เพ็ตโตะ แคร์) ในเครือ ออริจิ้น เฮลท์แคร์  ให้บริการอาบน้ำ ตัดขน ตัดเล็บ รวมถึงบริการรับฝากเลี้ยง โซนจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง และของเล่นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสัตว์ รวมถึงประกันภัยสัตว์เลี้ยงจาก PRIM ตลอดจนมอบสิทธิพิเศษจากผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์อาหารแมว เบลลอตต้า (Bellotta)  อาหารสุนัข มาร์โว่ (Marvo) และอาหารสัตว์เลี้ยงสูตรเป็นมิตรต่อไต เชนจเตอร์ (ChangeTer) และแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยง มองชู โดยหลังจากนี้ บริษัทยังคงมีแผนเดินหน้าพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่ม Pet Lover อย่างต่อเนื่อง รายชื่อโครงการคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ทั้ง 16 โครงการในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ประกอบด้วย บริกซ์ตัน เพ็ท แอนด์ เพลย์ สุขุมวิท 107 ซี (Brixton Pet & Play Sukhumvit 107 C) บริกซ์ตัน เพ็ท แอนด์ เพลย์ สุขุมวิท 107 บี(Brixton Pet & Play Sukhumvit 107 B) บรอมป์ตัน เพ็ท เฟรนด์ลี่ สำโรง สเตชั่น (Brompton Pet Friendly Samrong Station ) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ รามอินทรา (Origin Plug&Play Ramintra) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น (Origin Plug & Play Sirindhorn Station) บริกซ์ตัน พหล 50 สเตชั่น (Brixton Phahol 50 Station) ออริจิ้น เพลย์ ศรีอุดม สเตชั่น (Origin Play Sri Udom Station) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี 22 สเตชั่น (Origin Plug & Play E22 Station) ออริจิ้น เพลส พหลฯ 59 สเตชั่น (Origin Place Phahol 59 Station) ดิ ออริจิ้น บางแค (The Origin Bangkae) ออริจิ้น เพลส รามคำแหง 153 (Origin Place Ramkhamhaeng 153) ดิ ออริจิ้น พหล 57 (The Origin Phahol 57) ออริจิ้น เพลส เพชรเกษม (Origin place Phetkasem) ออริจิ้น เพลย์ บางขุนนนท์ ทริปเปิ้ล สเตชั่น (Origin Play Bangkhunnon Triple Station) ดิ ออริจิ้น เตรียมน้อม สเตชั่น (The Origin Triam Nom Station) ออริจิ้น เพลย์ ศรีลาซาล สเตชั่น (Origin Play Sri Lasalle Station)   บทความน่าสนใจ “ออริจิ้น” จับมือ “สมิติเวช” ให้ลูกบ้านพบแพทย์ออนไลน์ได้ 24 ชั่วโมงผ่านแอป “Origin Connect” รีวิวคอนโดย่านสะพานใหม่ THE ORIGIN Phahol-Saphanmai ใกล้รถไฟฟ้า ราคาล้านกว่า
[PR News] โครงการ “Arom Jomtien” จัดงาน “Jomtien Mood by Arom” ขอบคุณลูกค้า พร้อมฉลองความสำเร็จยอดขาย 70%

[PR News] โครงการ “Arom Jomtien” จัดงาน “Jomtien Mood by Arom” ขอบคุณลูกค้า พร้อมฉลองความสำเร็จยอดขาย 70%

Jomtien Mood by Arom โครงการ “Arom Jomtien”จัดงาน “Jomtien Mood by Arom” ภายใต้แนวคิด “The great escape an emotive discovery of home” ให้ช่วงเวลาของการพักผ่อนเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุด รังสรรค์บรรยากาศเฉลิมฉลองสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจเป็นเจ้าของโครงการอารมณ์ จอมเทียน อีกหนึ่งความภาคภูมิใจใน “AROM COLLECTION ” (อารมณ์ คอลเลคชั่น) ร่วมฉลองยอดขายทะลุ 70%   นายเฉลิมพล โขนแจ่ม กรรมการผู้จัดการ และผู้พัฒนาโครงการอารมณ์ จอมเทียน กล่าวว่า งาน “Jomtien Mood by Arom” จัดเพื่อร่วมกันฉลองยอดขายโครงการ อารมณ์ จอมเทียน ทะลุ 70% งานได้รับการจัดขึ้นอย่างพิถีพิถันและใส่ใจเพื่อขอบคุณลูกค้าที่ไว้วางใจเลือกซื้อโครงการอารมณ์ จอมเทียน และเพื่อนำเสนอความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ AROM COLLECTION ให้กับลูกค้าสัมผัสถึงการความเหนือกว่าในทุกมิติของการเป็นลูกค้าภายใต้คอลเลคชั่นนี้ มีกิจกรรมมากมายให้ได้สัมผัสกับช่วงเวลาที่แสนพิเศษอย่างสุนทรีย์ตลอดทั้งวันด้วย Arom Jomtien SOUL CLUB เพลิดเพลินกับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินของหาดจอมเทียนพร้อมความเป็นส่วนตัวกับอาหารท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพัทยา ให้ลูกค้าคนสำคัญได้สัมผัสถึงความสนุก กับแสง เสียงของหาดจอมเทียนที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงกิจกกรรมทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็น เจ็ตสกี บานานาโบ๊ต บีชปิกนิก และกิจกรรม Therapist นวดผ่อนคลายริมชายหาด ลิ้มลองไวน์และคราฟต์เบียร์ที่ดีที่สุดของพัทยา รับสิทธิพิเศษและประสบการณ์มากมายตลอดทั้งงานที่จัดเตรียมไว้เพื่อลูกค้าคนสำคัญของ “AROM JOMTIEN” เหนือระดับด้วย Butler ดูแลส่วนตัวตลอดการร่วมงาน และ Exclusive Privilege Offer สำหรับลูกค้าจองซื้อโครงการ ด้วยที่พักสไตล์วิลล่าที่ดีที่สุดในพัทยา 2วัน 1 คืน ที่ Andaz Pattaya Jomtien Beach – a Concept by Hyatt สร้างความบันเทิง และสนุกสนานไปด้วยกันกับดนตรีฟังสบาย บรรยากาศผ่อนคลาย และเสียงเพลงเพราะๆจากนักร้องและนักดนตรีชื่อดัง คุณบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์   โครงการคอนโดมิเนียม “AROM JOMTIEN” คือความงดงามของการออกแบบที่ได้รวบรวมจิตวิญญาณและพลังของหาดจอมเทียนเอาไว้ในที่เดียวภายใต้ AROM COLLECTION แนวคิดการออกแบบ SENSE THE SOULFULNESS ที่ได้ผสมผสานสีสันของหาดจอมเทียนและสีสันของธรรมชาติเข้าด้วยกัน สุดพิเศษด้วย Private living เพียง 314 ยูนิต รูปแบบ Direct sea view ผสมผสานอย่างลงตัวกับ POOL VILLA UNITเพื่อมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยสุดเอ็กซ์คลูซีฟ บนพื้นที่หาดจอมเทียน ความสมบูรณ์แบบที่จะช่วยให้ทุกชีวิตที่นี่ได้พักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางบรรยากาศสวนหน้าบ้าน และเติมเต็มช่วงเวลาพิเศษกับทะเล สายลม แสงแดด ทุกกิจกรรมสุดพิเศษ ริมชายหาดภายใต้บรรยากาศรื่นรมย์ริมหาดจอมเทียนที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกใฝ่ฝัน AROM COLLECTION (อารมณ์ คอลเลคชั่น) เปิดตัวด้วยโครงการ “AROM WONGAMAT” คอนโดมิเนียม Hi-Rise 55 ชั้น 319 ยูนิต บนทำเลที่ดีทีสุดบนพื้นที่หาดวงศ์อมาตย์ มนต์เสน่ห์แห่งความเงียบสงบ และความเรียบง่ายบนหาดส่วนตัว ภายใต้แนวคิด SENSE THE MASTERPIECE จุดเริ่มต้นของปรัชญาการใช้ชีวิตในแบบของ AROM เพื่อให้คุณได้สัมผัสทุกอารมณ์ความรู้สึก ทุกช่วงขณะของชีวิต และล่าสุดกับโครงการ “AROM JOMTIEN” โครงการคอนโดมิเนียมแนบชิดหาดจอมเทียน สูง 45 ชั้น พร้อม Direct sea view ทุกยูนิต ที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน และใส่ใจ ทำให้ทั้งนี้ 2 โครงการภายใต้ AROM COLLECTION ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งแง่ยอดขาย และความพึงพอใจของลูกค้า พบกับประสบการณ์ความรู้สึกที่เหนือกว่าการได้พักอาศัยในพื้นที่แห่งสุนทรียะแห่งการพักผ่อนได้ที่ AROM COLLECTION    สนใจสัมผัส ทุกอารมณ์ความรู้สึกกับ สามารถลงทะเบียนเพื่อนัดหมายเข้าชมได้ที่ AROM COLLECTION    บทความน่าสนใจ “พัทยา” ทางเลือกเพื่อการลงทุนอสังหาฯ  กับโปรเจ็กต์ Lifestyle Mix Use  แห่งใหม่ “ONCE PATTAYA” คุ้มค่าทั้งการอยู่อาศัยและปล่อยเช่า : รีวิวคอนโด พัทยา ฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้ สนับสนุนบัตรห้องพักโรงแรมในเครือฯ ในงานพัทยามาราธอน 2566
[PR News] 14 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวฯ สนับสนุน นโยบายเร่งด่วนขับเคลื่อน Soft Power

[PR News] 14 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวฯ สนับสนุน นโยบายเร่งด่วนขับเคลื่อน Soft Power

14 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวฯ ยื่นหนังสือหนุนรัฐบาลคลอดนโยบายเร่งด่วนขับเคลื่อน Soft Power กระตุ้นท่องเที่ยวไทยทุกมิติ มั่นใจช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจส่งท้ายปี ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคนเที่ยวไทยเข้าไทยปีหน้า สร้างเงินสะพัด 3.3 ล้านล้านบาท หนุนจ้างงานสร้างรายได้กว่า 4.56 ล้านคน วอนเร่งแก้ไขปลดล็อกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงนักร้องและนักแสดง รวม 14 กลุ่มองค์กร นำโดย นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย และนางสาวเขมิกา รัตนกุล นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลร่วมกันยื่นหนังสือถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เรื่อง “ข้อเสนอเพื่อส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน ขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เติบโตครอบคลุมในทุกมิติอย่างสมดุลและยั่งยืน” โดยมีนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองเป็นผู้รับหนังสือ   Soft Power นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจ ถนนข้าวสาร กล่าวว่ากลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว บริการ โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร และการบันเทิง 14 องค์กร และ 258 ร้านค้าสถานประกอบการมีความยินดีและพร้อมให้การสนับสนุนรัฐบาลที่มีนโยบายเร่งด่วนที่จะผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเพื่อการกระตุ้นการฟื้นฟูการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน โดยตั้งเป้าหมายด้านรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2567 ไว้ที่ 3.3 ล้านล้านบาทจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคน และนักท่องเที่ยวชาวไทย 200 ล้านคน/ครั้งนั้น โดยจะมีการบูรณาการการขับเคลื่อนการฟื้นฟูและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งระบบและครอบคลุมในทุกมิติเพื่อการเติบโตเป็นฮับการท่องเที่ยวของโลกอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงความสอดคล้องต่อบริบทที่หลากหลายของการท่องเที่ยวทั้งภาคกลางวันและภาคกลางคืน ตลอดจนธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องรวมถึงอาหารและเครื่องดื่ม อย่างไรก็ตาม ในการนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภาครัฐจำเป็นต้องทบทวนการดำเนินงานเพื่อให้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ ในทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน เร่งเพิ่มขีดความสามารถและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจแก่ผู้ประกอบการ ปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค พร้อมกำหนดยุทธศาสตร์ แผนงาน และขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ประเทศไทย ซึ่งมีการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในสิบเอ็ดสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้ความร่วมมือกับภาคเอกชน นายสง่า กล่าวว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นกลไกที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการขับเคลื่อนการฟื้นฟูและการเจริญเติบโตเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน ดังนั้นจึงต้องเร่งผลักดันการขับเคลื่อน Soft Power ด้านการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้น เพื่อนำประเทศไทยสู่การเป็นประเทศจุดหมายปลายด้านการท่องเที่ยวของโลกที่ได้รับความเชื่อมั่นด้านคุณภาพ ความปลอดภัย ความหลากหลาย ความสะดวกสบาย ความคุ้มค่า สามารถตอบสนองและสร้างความพึงพอใจให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่และกลุ่มที่มีคุณภาพและมีระดับการจับจ่ายใช้สอยสูง ทั้งที่มาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจและกลุ่มไมซ์ให้กลับมาเยี่ยมเยือน อันจะส่งผลให้เกิดการฟื้นตัวและการเติบโตไม่เฉพาะในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ แต่ยังครอบคลุมถึงภาคการผลิตและบริการต้นน้ำและปลายน้ำ ตลอดจนเศรษฐกิจและการจ้างงานของประเทศโดยรวม ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวกีฬา การจ้างงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีกว่า 4.56 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 11.50 ของการจ้างงานรวมของประเทศ เมื่อพิจารณารายได้จากการท่องเที่ยวปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด 19 มีมูลค่าสูงถึง 3 ล้านล้านบาท หรือกว่าร้อยละ 18 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) นั้น พบว่าเป็นรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.91 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยว 39.9 ล้านคน โดย 5 ลำดับแรกของรายรับหรือค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายด้านโรงแรมและที่พัก จำนวน 5.44 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28.5 ค่าใช้จ่ายด้านการซื้อสินค้าและของที่ระลึก จำนวน 4.64 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.3 ค่าใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 4.04 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21.2 ค่าใช้จ่ายในการเดินทางภายในประเทศ จำนวน 1.86 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.8 และค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิง จำนวน 1.73 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.0 ซึ่งค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงยามค่ำคืนในสถานบันเทิง ผับ บาร์ (Night Entertainment) มีสัดส่วนถึงร้อยละ 30 ของค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงทั้งหมด หรือคิดเป็นรายรับจำนวน 51.8 พันล้านบาท จะเห็นได้นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงความบันเทิงยามค่ำคืนสูงถึงกว่าหนึ่งในสี่ของค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย   “ในนามกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงนักร้องและนักแสดง ดังมีรายนามที่ปรากฏในหนังสือฉบับนี้ ใคร่ขอชื่นชมรัฐบาลที่มีความเข้าใจในความต้องการและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป และได้จัดทำแคมเปญ Amazing Thailand, Amazing New Chapters ซึ่งนำเสนอภาพลักษณ์ใหม่ด้านการท่องเที่ยววิถีปกติใหม่ ซึ่งมีความหลากหลาย ครอบคลุมในทุกมิติด้านการท่องเที่ยวและการบริการ ทั้งภาคกลางวันและยามค่ำคืนสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าประทับใจ สะดวกสบาย และปลอดภัย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มใหม่ กลุ่มที่มีศักยภาพและกำลังซื้อสูงให้เข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นและมีระยะเวลาการพำนักนานขึ้น” นางสาวเขมิกา รัตนกุล นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทยกล่าว นางสาวเขมิกา กล่าวเสนอด้วยว่าขอให้รัฐบาลกำหนดพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวยามค่ำคืนเพื่อเป็น “Soft Power” ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการสังสรรค์และความบันเทิงยามค่ำคืนและเป็นชาติผู้นำด้านการท่องเที่ยวที่ครบวงจรและปลอดภัยในระดับโลก ได้แก่   กรุงเทพมหานคร พื้นที่ถนนข้าวสาร ถนนสีลม (ซอยพัฒน์พงษ์ และซอยธนิยะ) ถนนรัชดาภิเษก ถนนสุขุมวิท (ซอยสุขุมวิท 11 ซอยคาวบอย ซอยนานา) จังหวัดภูเก็ตพื้นที่ซอยบางลา เมืองพัทยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีพื้นที่หาดเฉวง เกาะสมุย และหาดริ้น เกาะพะงัน พังงาพื้นที่เขาหลัก กระบี่พื้นที่อ่าวนาง ประจวบคีรีขันธ์พื้นที่เมืองหัวหิน จังหวัดสงขลาพื้นที่เมืองหาดใหญ่ เมืองสะเดา จังหวัดเชียงใหม่พื้นที่ถนนนิมมานเหมินทร์   พร้อมปรับปรุงแก้ไขมาตรการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจสำหรับพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวยามค่ำคืน ได้แก่ 1.อนุญาตให้สถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษสามารถเปิดดำเนินการจนถึงเวลา 4.00 น. 2.กำหนดเวลาจำหน่ายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่พิเศษตั้งแต่เวลา 11.00 – 4.00 น. 3.พิจารณายกเลิกคำสั่งห้ามมิให้มีสถานที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษาหรือหอพักในบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษา 4.กำหนดมาตรการอำนวยความสะดวก และเฝ้าระวังความปลอดภัยเชิงรุก 5.บังคับใช้กฎหมายการห้ามมิให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่ผู้ที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์หรือผู้ที่ครองสติไม่อยู่ รวมถึงการห้ามการเมาแล้วขับอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันการดื่มสุราในกลุ่มเด็กและเยาวชนและปัญหาอุบัติเหตุจราจรจากการเมาแล้วขับ 6.ตรวจสอบมาตรฐานการให้บริการและมาตรฐานความปลอดภัยของสถานประกอบการ มาตรฐานความปลอดภัยรอบพื้นที่พิเศษ รวมถึงการเป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติดและอาวุธอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้กลุ่มตัวแทนดังกล่าวได้แนบเอกสารสำคัญ 3 เรื่องด้วยเพื่อประกอบการพิจารณา คือ 1. หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร 0913/320 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2564 2. บันทึกคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สร้างสมดุลกับนโยบายอื่นของภาครัฐ (เรื่องเสร็จที่ 1673/2564) 3.รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) โครงการศึกษาวิเคราะห์ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบข้อบังคับและกระบวนงานที่เกี่ยวกับการอนุญาต เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการและการอนุญาตที่ไม่จำเป็นหรือเป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน เล่มที่ 2 “เรื่อง ผลการทบทวน: ใบขออนุญาตขายสุรา ประเภทที่ 1 และใบขออนุญาตขายสุรา ประเภทที่ 2 และผลการทบทวน: การกำหนดวันและเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงนักร้องและนักแสดง 14 องค์กรดังกล่าว ประกอบด้วย กลุ่มผู้ประกอบการสถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ, ชมรมสถานบันเทิงหาดป่าตอง, ไร่องุ่นมอนซูนแวลลีย์และมอนซูนแวลลีย์ ไวน์บาร์, สมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหาร, สมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหารกลางคืน, สมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่, สมาคมบาร์เทนเดอร์ไทย, สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย, สมาคมผู้ประกอบการร้านอาหาร, สมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสารสมาคมโรงแรมไทย, สมาคมสุราท้องถิ่นไทย, สมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา และสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงอาชีพแห่งประเทศไทย   บทความน่าสนใจ AWC จับมือ ททท. มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จับมือร่วมสร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เปิดตัวโครงการ “AWC Stay to Sustain”   ส่องกำลังซื้อ ต่างชาติใน 5 เมืองท่องเที่ยว ช่วงครึ่งแรกปี 66 ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวแค่ไหน?
[PR News] เสนาฯ และ ฮันคิว ฮันชิน ร่วมสนับสนุนวิจัย “สภาวะน่าสบาย”

[PR News] เสนาฯ และ ฮันคิว ฮันชิน ร่วมสนับสนุนวิจัย “สภาวะน่าสบาย”

เสนาดีเวลลอปเม้นท์  พร้อมด้วย ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ลงนามความร่วมมือสนับสนุนการนำนวัตกรรม “สภาวะน่าสบาย” ผลงานวิจัยของพานาโซนิค และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เข้าทดลองภายในบ้านที่พักอาศัยจริงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่โครงการเสนา แกรนด์ โฮม บางนา กม.29 เพื่อค้นหาสภาวะน่าสบายสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์  83078     สภาวะน่าสบาย ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า เพื่อร่วมกันพัฒนาบ้านเพื่อการพักอาศัยที่ยั่งยืน โดยได้เริ่มต้นนำคอนเซปท์บ้าน Zero Energy House ของ ฮันคิว พัฒนาเป็นต้นแบบ “แนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์” ในแบบที่เหมาะกับคนไทย เพื่อให้ลูกบ้านมีบ้านที่อยู่ได้อย่างสะดวกสบาย ช่วยประหยัดเงิน ประหยัดพลังงาน และยังรักษ์โลกไปได้ด้วยพร้อมๆ กัน     “ล่าสุดทางเรา คือ เสนาฯ และฮันคิว ฮันชิน ได้รับทราบถึงการทดลองนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย สภาวะน่าสบาย ที่ได้ริเริ่มทำการวิจัยโดยพานาโซนิค ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้เกิดความสนใจ เนื่องจากมีแนวคิดในการพัฒนาการอยู่อาศัยเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงได้เกิดความร่วมมือในการสนับสนุนการทดลองนี้ จากการวิจัยในแบบบ้านจำลอง ให้มาทดลองในบ้านจริงของเรา เพื่อให้ได้ผลการวิจัยที่ตรงกับการใช้ชีวิตจริงมากที่สุด และสามารถนำไปต่อยอดนวัตกรรม หรือพัฒนาเป็นเทคโนลียีเพื่อการอยู่อาศัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทางเสนาฯ และฮันคิว ฮันชินเอง ต้องขอบคุณทางพานาโซนิค และจุฬาลงกรณ์ที่เล็งเห็นถึงความตั้งใจและแนวทางของบริษัทฯ ที่ต้องการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ลูกค้าอย่างยั่งยืน  ทำให้ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนานวัตกรรมดีๆ แบบนี้  และอาจมีโอกาสในการต่อยอดสู่ความร่วมมือด้านอื่นๆ ต่อไปในอนาคต” ดร.เกษรา กล่าว   นายมิสึฮิโระ นากาซาว่า ผู้จัดการทั่วไป บ. ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ในฐานะพาร์ทเนอร์ของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า ทุกวันนี้ เราอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องพิจารณามาตรการป้องกันภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง ฮันคิว ฮันชิน ในฐานะหนึ่งในนักพัฒนา เราตระหนักอย่างยิ่งถึงความจำเป็นในการเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยฮันคิว ฮันชิน ในประเทศญี่ปุ่นได้ ได้เร่งดำเนินการติดตั้งบ้านพลังงานเป็นศูนย์ (Zero Energy House -  ZEH) สำหรับที่พักอาศัยและยังคงเร่งดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อรับมือกับลดภาวะโลกร้อนอย่างเต็มที่   “เราเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คือการพัฒนาที่อยู่อาศัยบนพื้นฐานของความเข้าใจ ดูแล และสร้างความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตของลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งการศึกษา“สภาวะน่าสบาย” ผ่านบ้านแบบจำลองโดยพานาโซนิค และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะศึกษาเพื่อค้นหาโซลูชั่นและนวัตกรรมใหม่ๆที่ให้ความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตของผู้พักอาศัย รวมถึงเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของวิศวกรรมระบบ สอดคล้องกับแนวคิดในการพัฒนาที่พักอาศัยของเราเช่นกัน โดยคาดหวังว่าการร่วมมือในการสนับสนุนงานวิจัยในครั้งนี้ จะสามารถตอบโจทย์ ได้ทั้งในด้านประหยัดพลังงาน และความสะดวกสบายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัย”   มร.ฮิเดคาสึ อิโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พานาโซนิค โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวว่าตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี ที่พานาโซนิคได้เข้ามามีส่วนร่วมในประเทศไทย ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ในขณะเดียวกันเรายังได้มีการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในหลากหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยมุ่งเน้นเพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืน  อันเป็นที่มาในการวิจัยร่วมกับสถาบันการศึกษาอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืนและประหยัดพลังงานในประเทศไทย (Sustainable and Energy-Efficient Housing Technologies in Thailand) รวมไปถึง การค้นคว้าเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการใหม่ๆ อย่าง “สภาวะน่าสบายภายในบ้าน” สำหรับคนไทยโดยเฉพาะ     โดยได้เริ่มการวิจัย ผ่านการทดลองภายในแบบบ้านจำลอง ZEN Model ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อค้นคว้าระบบปรับอากาศที่ประหยัดพลังงาน และสร้างสภาวะน่าสบายภายในบ้าน และเพื่อขยายผลการทดลองในบ้านจำลอง จึงนำมาสู่การทำการค้นคว้าและ วิจัยร่วมกันระหว่างสี่องค์กรในครั้งนี้โดย เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ได้สนับสนุนบ้านจริงเพื่อการอยู่อาศัยใน การทดลองประสิทธิภาพการทำงานของระบบโดยหวังผลให้ระบบนี้เป็นหนึ่งในแนวทางการอยู่อาศัยที่ยั่งยืนสำหรับคนไทย ภายใต้ภาวะน่าสบาย (Comfort Zone) ปราศจากความเครียด (Stress-free) ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ (Carbon-free)  และลดการใช้พลังงาน (Energy Efficiency) เกิดเป็นเทคโนโลยีที่อยู่อาศัยในอนาคตที่เหมาะกับบริบทของประเทศไทยต่อไป”     ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สรายุทธ ทรัพย์สุข คณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือในการจัดทำการวิจัยกับพานาโซนิคในประเทศไทยครั้งนี้ เราได้นำความเชี่ยวชาญของจุฬาฯ ทั้งจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มาผนวกกับความรู้ความชำนาญทางเทคโนโลยีของพานาโซนิค ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการวิจัยไปข้างหน้าและมีส่วนช่วยในการพัฒนาโซลูชั่นและนวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยในประเทศไทยในอนาคตได้ โดยปัจจุบันความร่วมมือนี้ได้ถูกพัฒนาเป็นโมเดลที่อยู่อาศัยแบบจำลอง โดยการนำเทคโนโลยี BIM หรือ Building Information Modelling และ Digital Twin เข้ามาช่วยในการออกแบบและก่อสร้างบ้านโมดูลาร์ในชื่อ ZEN Model ขนาดพื้นที่ 36 ตารางเมตร ภายในพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจำลองบรรยากาศที่อยู่อาศัยในสภาวะน่าสบาย และร่วมทำการเก็บข้อมูลจากการให้กลุ่มตัวอย่างได้เข้ามาทดลองใช้ชีวิตในพื้นที่บ้านทดลอง ซึ่งจะขยายผลสู่การทดลองกับบ้านเดี่ยวในโครงการของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ เพื่อให้ได้ผลที่ใกล้เคียงจริงยิ่งขึ้น และสามารถนำไปต่อยอดการยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัยของผู้คนทุกระดับในเขตร้อนชื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีข้อมูลทางวิชาการรองรับ   บทความน่าสนใจ เสนา นำร่องแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เปิดตัว “เสนา เวล่า สุขุมวิท – บางปู”  เสนาเจ จับมือ NEC พลิกโฉม “Smart Living Community”    
[PR News] OPPLE Lighting ประกาศส่งสมาร์ทไลท์ติ้ง บุกตลาดไทย ตั้งเป้า 5 ปี ขึ้นแท่น 1 ใน 3 ผู้นำตลาดหลอดไฟ

[PR News] OPPLE Lighting ประกาศส่งสมาร์ทไลท์ติ้ง บุกตลาดไทย ตั้งเป้า 5 ปี ขึ้นแท่น 1 ใน 3 ผู้นำตลาดหลอดไฟ

นายหาน ซิ่งจ้าย ผู้จัดการทั่วไปของสาขาต่างประเทศ บริษัท ออปเปิ้ล ไลท์ติ้ง จำกัด กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของเราไม่เพียงแค่เน้นการเติบโตทางธุรกิจเท่านั้น ที่ออปเปิ้ล ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างศักยภาพให้กับพันธมิตรของเรา ด้วยการจัดสรรเครื่องมือ ทรัพยากร และการสนับสนุนที่จำเป็น เราไม่หยุดยั้งที่จะหาโอกาสในการขยายการสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรม การตลาด หรือการร่วมมือทางเทคโนโลยี เพื่อให้เราเติบโตและประสบความสำเร็จร่วมกัน OPPLE Lighting OPPLE Lighting นับตั้งแต่การก่อตั้ง OPPLE ในปี 2539 การเดินทางของ OPPLE เกิดจากการเติบโตและการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทและพันธมิตร รากฐานของบริษัทถูกสร้างขึ้นบนหลักการในการช่วยเหลือผู้อื่น และหลักปฏิบัตินี้มีส่วนสำคัญในวิวัฒนาการของบริษัททั้งในระดับโลก โดยปัจจุบันออปเปิ้ลเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งในประเทศจีน ความสำเร็จของออปเปิ้ลมาจากการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ให้บริการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมสำหรับลูกค้า และเป็นผู้บุกเบิกสินค้านวัตกรรมและนำเทรนด์ตลาด ปัจจุบันมีสินค้าจำหน่ายในมากกว่า 70 ประเทศ โดยตลาดหลักยังคงเน้นที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศตะวันออกกลาง   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยเราได้เข้ามาทำตลาดมาประมาณ 10 ปีแล้ว ซึ่งบริษัทจะทำงานคู่กับผู้แทนจำหน่าย และให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างศักยภาพให้กับพันธมิตรของบริษัท โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันยาวนานของ OPPLE สู่ความเป็นเลิศและความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น ความสัมพันธ์ของบริษัทกับตัวแทนในตลาดประเทศไทยถือเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จ OPPLE ความร่วมมือเหล่านี้สร้างขึ้นจากความไว้วางใจ การเคารพซึ่งกันและกัน และวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันช่วยให้ OPPLE สามารถขยายฐานลูกค้า และปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น ตัวแทนของบริษัทซึ่งมีข้อมูลเชิงลึกในตลาดท้องถิ่นและความเข้าใจถึงความแตกต่างในท้องถิ่นถือเป็นปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญในการช่วย OPPLE ปรับข้อเสนอแนะ เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทไม่เพียงตอบสนองได้ แต่ยังเกินความคาดหวังของลูกค้า การทำงานร่วมกันนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนผลการดำเนินงานเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำชื่อเสียงของ OPPLE อีกด้วย     ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทมีแผนจะนำสินค้าให้กลุ่มสมาร์ทไลท์ติ้งหรือหลอดไฟอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ โดยแต่งตั้งให้บริษัท เกาอาน จำกัด ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายระบบไฟฟ้าในไทยมากว่า 70 ปีเป็นตัวแทนจำหน่ายในร้านขายอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าของพันธมิตรที่มี 700 รายทั่วประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดหลอดไฟในประเทศไทย ที่ปัจจุบันมูลค่า 20,000 ล้านบาท เติบโตปีละ 3-5% และเทรนด์การใช้งานหลังจากนี้กำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากหลอดแอลอีดีไปสู่สมาร์ทไลท์ติ้ง พร้อมตั้งเป้าหมายใน 5 ปี เป็น 1 ใน 3 ของผู้นำตลาดหลอดไฟในไทย   อุตสาหกรรมแสงสว่างของประเทศไทย: ภูมิภาคที่มีการเติบโตสูง อุตสาหกรรมแสงสว่างของไทยมีความโดดเด่นด้วย •ศักยภาพตลาดที่สูง •การพัฒนาการค้าที่รวดเร็ว •โอกาสมากมาย โดยเฉพาะในงานโครงการที่เฉพาะเจาะจง การเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศไทย นโยบายของ OPPLE ในประเทศไทยประกอบด้วย: •การส่งเสริมการขายส่ง ,การปรับปรุงการแสดงสินค้าในร้าน,และแนะนำร้านค้าต้นแบบของ OPPLE (OPPLE Model Shop) •การเน้นการพัฒนางานโครงการ •การขยายช่องทางการจัดจำหน่าย     นางสาวดวงสมร ตะล่อมสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกาอาน จำกัด กล่าวว่า เกาอาน ดำเนินธุรกิจเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าประเภทอุปกรณ์ด้านไฟฟ้า ได้แก่ สายไฟ สายเคเบิ้ล ปลั๊กไฟฟ้า อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อย่างครบวงจรมาตั้งแต่ปี 2490 ซึ่งมากกว่า 70 ปี เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย กลุ่มผลิตภัณฑ์หลอดไฟและอุปกรณ์แสงสว่างของออปเปิ้ลไลท์ติ้งรายเดียวในประเทศไทย เพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าหลอดไฟและอุปกรณ์แสงสว่าง OPPLE LIGHTING ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ   ทั้งนี้ สินค้าของ OPPLE  LIGHTING เกาอานได้เลือกหลอด LED BULB OPPLE มาทำการตลาด เพราะมั่นใจในสินค้า และคุณภาพ เนื่องจาก OPPLE มีโรงงานเป็นของตัวเอง มีการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ของตัวเอง จึงได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ แสงสวย ถนอมสายตา ปลอดภัยต่อการใช้งาน มีค่าแสงสว่าง ตรงตามความต้องการของลูกค้า มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานเดียวกันกับที่ส่งออกไปต่างประเทศ ด้วยความเป็นบริษัทหลอดไฟ อันดับ 1 ของจีน เกาอานจึงเลือกที่จะเป็นพาร์ทเนอร์กับทาง OPPLE “ถ้าเรื่องของ Lighting หรือแสงสว่าง ต้องนึกถึงเกาอาน เพราะเกาอาน มีทีมขาย ทีมขนส่ง ครอบคลุม ทั่วประเทศ มีความเชี่ยวชาญ และเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี มีบริการหลังการขาย สามารถส่งของได้ตรงเวลา มีการพัฒนาบุคลากรอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่เป็นดีลเลอร์ของเกาอาน สามารถจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ทำส่วนลดรายเดือน-รายปี สามารถสะสมยอดขายได้ และที่สำคัญจะไม่เกิดการแข่งขันกันเองระหว่างดีลเลอร์ แต่มีการเติบโตต่อไปในอนาคตร่วมกันกับเกาอาน” นางสาวดวงสมร กล่าว   บทความน่าสนใจ RUARK AUDIO รุกตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ส่งความบันเทิงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รับเทรนด์ตลาดบ้านหรู เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia
[PR News] AWC จับมือ ททท. มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จับมือร่วมสร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เปิดตัวโครงการ “AWC Stay to Sustain”  

[PR News] AWC จับมือ ททท. มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จับมือร่วมสร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เปิดตัวโครงการ “AWC Stay to Sustain”  

AWC Stay to Sustain ตั้งเป้าร่วมอนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม้ในแต่ละปีประมาณ 500,000 ต้น กว่า 5,000 ไร่ ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 2,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี เพื่อฟื้นฟูพื้นที่สีเขียวและความหลากหลายทางระบบนิเวศ มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573 ควบคู่การสร้างรายได้ให้กับชุมชนที่ดูแลรักษาป่าอย่างยั่งยืนเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม     บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC  ร่วมมือกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พร้อมผนึกกำลังกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมขับเคลื่อนการท่องเที่ยวยั่งยืน (Sustainable Tourism) ชวนนักท่องเที่ยวร่วมโครงการ “AWC Stay to Sustain” เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม้ในป่าชุมชน เพิ่มความหลากลายทางชีวภาพในระบบนิเวศ พร้อมดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และเพิ่มการผลิตก๊าซออกซิเจนให้กับอากาศบนโลกใบนี้  ควบคู่การสร้างรายได้ในชุมชนเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจประเทศในระยะยาว ตอกย้ำความมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามกลยุทธ์กรอบการดำเนินงานการพัฒนาที่ยั่งยืน 3BETTERS ของ AWC ทั้ง BETTER Planet BETTER PEOPLE และ BETTER Prosperity ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของ ททท. ที่มุ่งสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) พร้อมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นหนึ่งในผู้นำการสร้างการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก ร่วมส่งต่อคุณค่ากับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก     นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า “ททท. รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ AWC ซึ่งมีพอร์ตโรงแรมที่หลากหลายทั้งในกรุงเทพฯ และเมืองหลักทั่วประเทศที่ได้ริเริ่มโครงการเพื่อความยั่งยืนให้เป็นต้นแบบกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ผ่านโครงการ “AWC Stay to Sustain” รวมถึงกิจกรรมต่างๆ ที่มอบประสบการณ์สุดพิเศษให้นักท่องเที่ยวที่นอกจากจะได้รับความประทับใจจากการท่องเที่ยวประเทศไทยแล้ว ยังได้ร่วมสร้างความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและสังคมให้ประเทศไทยอีกด้วย โดย ททท. สนับสนุนผู้ประกอบการให้ก้าวสู่การท่องเที่ยวที่เป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ตามแผนพัฒนา BCG Model และยังสนับสนุนให้ผู้ประกอบการกำหนดมาตรวัดผลลัพธ์การดำเนินการที่ชัดเจนและเป็นมาตรฐานระดับสากล ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของ ททท. ที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยสู่จุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนระดับโลก เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของภาคท่องเที่ยวไทย และดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวยั่งยืนจากทั่วโลกที่มีเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน”   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า  โรงแรมทั้ง 22 แห่งของ AWC ทั่วประเทศ ร่วมกันที่จะอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดปัญหาภาวะโลกร้อน และร่วมสร้างการท่องเที่ยวยั่งยืนให้ประเทศไทย ช่วยเหลือชุมชนในพื้นที่ที่เข้าไปท่องเที่ยว เราจึงริเริ่มโครงการ “AWC Stay to Sustain” ในวันที่ 10 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นวันครบรอบการเข้าตลาดหลักทรัพย์ครบ 4 ปี ของ AWC เปิดโอกาสให้แขกผู้เข้าพักโรงแรมในเครือได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชนในประเทศไทย โดยทุกการเข้าพัก 1 คืน ภายในโรงแรมเครือ AWC จะร่วมดูแลต้นไม้ 1 ต้น อนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชุมชน เพื่อสนับสนุนโครงการของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และรักษาผืนป่าในระยะยาว พร้อมส่งเสริมรายได้ให้ชุมชนที่จะเป็นผู้ดูแลป่า สอดคล้องกับแนวทางของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในการส่งเสริมการท่องเที่ยวยั่งยืนที่ครอบคลุมมิติของสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคมองค์รวม”   หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้สืบสานพระราชปณิธาน “ปลูกป่า ปลูกคน” มาเป็นเวลาเกือบสี่ทศวรรษ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ผนึกกำลังกับ AWC ร่วมสืบสานเจตนารมณ์การฟื้นฟูระบบนิเวศและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ จึงนำประสบการณ์มาขยายผลเพื่อร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชนในป่า พร้อมร่วมแก้ปัญหาสภาพแวดล้อมของไทยและโลกไปในคราวเดียวกัน ซึ่งการสร้างผืนป่าและอนุรักษ์ป่าไม้เป็นปัจจัยสำคัญในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในระดับองค์กร และในระดับประเทศ รวมถึงการลดภาวะโลกร้อนและลดอัตราการเกิดไฟป่า โดยทางมูลนิธิฯ จะนำรายได้สนับสนุนจากโครงการ “AWC Stay to Sustain” ไปใช้ในการพัฒนาระบบประเมินคาร์บอนเครดิต และจัดตั้งกองทุนเพื่อชุมชนสองประเภท คือ กองทุนดูแลป่า และกองทุนเพื่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน ในขณะเดียวกันปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพของประเทศ” “AWC Stay to Sustain” เป็นหนึ่งในโครงการตามกรอบการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ AWC (3BETTERs) ผ่านความร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เพื่อร่วมฟื้นฟูดูแลผืนป่าในระยะยาว โดย AWC ตั้งเป้าสนับสนุนการอนุรักษ์และฟื้นฟูต้นไม้ในแต่ละปีประมาณ 500,000 ต้น รวมกว่า 5,000 ไร่ สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 2,500 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี หรือเท่ากับการเข้าพัก 1 คืน ร่วมดูแลต้นไม้ 1 ต้น จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 5 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี สอดรับกับเป้าหมายระยะยาวของ AWC ในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573   นอกจากนี้ AWC จะร่วมกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ สนับสนุนการสร้างรายได้ชุมชนด้วยการสรรหาผลิตภัณฑ์งานฝีมือจากชุมชนทั่วประเทศมาตกแต่งในโรงแรมแบรนด์พันธมิตรชั้นนำระดับโลกเครือ AWC รวมถึงการนำผลผลิตทางการเกษตรคุณภาพจากชุมชนมาปรุงอาหารและเสิร์ฟให้นักท่องเที่ยวที่เข้าพักในโรงแรมได้ลิ้มรส เปิดโอกาสให้คนไทยได้มีโอกาสแสดงผลงานสู่สายตาของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ควบคู่การสนับสนุนความยั่งยืนเพื่อสังคมที่มั่นคงรุ่งเรืองด้วยการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียม “AWC ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก สร้างสรรค์กิจกรรมภายใต้แนวคิด ‘AWC Be Better’ เพื่อมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวยั่งยืนให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความยั่งยืนแก่โลกใบนี้ร่วมกัน อาทิ    BETTER Planet โรงแรม บันยันทรี สมุย และโรงแรม บันยันทรี กระบี่ จัดโครงการชวนนักท่องเที่ยวเก็บขยะริมชายหาด สามารถเก็บขยะได้ปริมาณกว่า 7 ตัน และโรงแรมในเครือ AWC 9 โรงแรม ได้ร่วมโครงการส่งต่ออาหารส่วนเกินคุณภาพดีให้แก่ชุมชน จำนวน 186,880 มื้อ ช่วยลดปริมาณขยะจากการดำเนินงานสู่บ่อฝังกลบ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 112 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เพื่อปกป้องระบบนิเวศทางธรรมชาติ (Safeguarding Natural System)    BETTER PEOPLE โรงแรม มีเลีย เชียงใหม่ จัดโปรแกรมครัว 360 องศา เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เลือกรับประทานอาหารที่ใช้ผลผลิตจากฟาร์มออร์แกนิคของโรงแรมมาปรุงอาหาร และเยี่ยมชมฟาร์มเพื่อเรียนรู้วิธีการเกษตรแบบยั่งยืนและสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น โดยเศษอาหารที่เหลือจากการรับประทานอาหารยังถูกส่งกลับไปที่ฟาร์มเพื่อทำเป็นปุ๋ยหมัก ช่วยลดปริมาณขยะของโรงแรมและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และโครงการวิสาหกิจเพื่อสังคม ‘เดอะ GALLERY’ ศูนย์กลางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากชุมชนท้องถิ่นภายในเครือโรงแรมของ AWC รวมถึง BETTER PROSPErity ที่ร่วมมือกับพันธมิตรแบรนด์โรงแรมสร้างสรรค์กิจกรรมวัดผลความยั่งยืนที่ช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม พร้อมส่งเสริมการบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน (Sustainable Consumption and Production) ตลอดจนพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่ทุกภาคส่วนจะได้รับประโยชน์และคุณค่าร่วมกัน (Sustainable and Resilience Supply Chain) ทั้งนี้ AWC เชื่อมั่นว่าการรวมพลังความร่วมมือจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและชุมชน จะช่วยสร้างพลังขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก พร้อม “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” ให้กับทุกภาคส่วนไปพร้อมกัน” นางวัลลภา กล่าวสรุป AWC ยังตั้งเป้าให้ทุกโรงแรมและศูนย์การค้าในเครือได้รับประกาศนียบัตร โครงการ STAR “ดาวแห่งความยั่งยืน” ของ ‘การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย’ ตามเป้าหมาย STGs (Sustainable Tourism Goals) ของ ททท. สะท้อนความมุ่งมั่นของ AWC ที่ดำเนินงานตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติของธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการมีธรรมาภิบาลที่ดีของสถานประกอบการ ควบคู่การสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนในระยะยาวให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่คุณค่า และร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก   บทความน่าสนใจ AWC จับมือ 2C2P แพลตฟอร์มชำระเงินระดับโลก ปักหมุดที่เอ็มไพร์ทาวเวอร์ AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC
RUARK AUDIO รุกตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ส่งความบันเทิงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รับเทรนด์ตลาดบ้านหรู

RUARK AUDIO รุกตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ส่งความบันเทิงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รับเทรนด์ตลาดบ้านหรู

RUARK AUDIO แบรนด์ดังจากอังกฤษ เปิดตัวลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะอัจฉริยะ 5 รุ่นใหม่ R1S, R2, R3S, MR1 และ R410 รุกตลาดเครื่องเสียงระดับลักซ์ชัวรี่เมืองไทย รับเทรนด์ตลาดบ้านหรูโตแรง เตรียมส่งนวัตกรรมแห่งพลังเสียง พร้อมสัมผัสประสบการณ์ความบันเทิงเหนือระดับ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ครอบครัวยุคใหม่     RUARK AUDIO นายลักษณ์วัตร์ เหรียญเจริญสุข ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและพัฒนาธรุกิจ บริษัท โคแอน จำกัด เปิดเผยว่า เทรนด์การเลือกที่อยู่อาศัยของครอบครัวยุคใหม่เน้นมองหาบ้านที่สะท้อนความสำเร็จของชีวิต และใส่ใจในการออกแบบที่หรูหรา เรียบง่าย และโดดเด่นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ส่งผลให้ดีมานด์ในตลาดบ้านหรูเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน โดยการขยายตัวดังกล่าวมา สะท้อนจากตัวเลขการเติบโตของตลาดบ้านหรู   RUARK AUDIO แบรนด์ลำโพงและเครื่องเสียงชั้นนำระดับโลกจากประเทศอังกฤษ ผู้นำนวัตกรรมและความบันเทิงภายในบ้านในครั้งนี้ นำโดยลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะอัจฉริยะรุ่นใหม่ R1S, R2,R3S, MR1 และ R410 ที่มาพร้อมสโลแกน Ruark Audio - A passion for sound ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ชูจุดเด่นด้วยความมินิมอล คลาสสิก เน้นโทนสีเรียบง่าย เรียบหรู ดูทันสมัย เหมาะกับทุกการออกแบบภายในบ้าน ให้ความรู้สึกลักซ์ชัวรีเป็นเสมือนเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเด่นรับกับเทรนด์ตลาดบ้านหรูที่เติบโตอย่างมากในประเทศไทย   โดยในปีนี้ เราจะเน้นสื่อสารการตลาดให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจสินค้า และเห็นความโดดเด่นของสินค้า อีกทั้งยังจะพัฒนาระบบการซื้อขายหรือบริการหลังการขายให้ดีขึ้น เพื่อให้ผู้บริโภครักที่ในเสียงเพลงได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่และเกิดความพึงพอใจมากที่สุด” นายลักษณ์วัตร์ กล่าว   สำหรับความพิเศษของ Ruark Audio แบรนด์ลำโพงชั้นนำจากประเทศอังกฤษ ที่เดินทางมายาวนานถึง 38 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1985 โดยแบรนด์เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของครอบครัว O’Rourke ที่มีใจรักต่อเสียงดนตรี จากนั้นในปี 2006 ได้เปิดตัว “the R1” ที่ถือได้ว่าเป็นลำโพงตั้งโต๊ะตัวแรก ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ที่ชื่นชอบการฟังเพลง และต่อมาได้มีการวิจัยและพัฒนาออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุด   นายริชาร์ด แมคคินนีย์ Ruark Audio Sale Director กล่าวว่า แผนการตลาด RUARK AUDIO ในประเทศไทย ตั้งเป้าสร้างการรับรู้แบรนด์และภาพลักษณ์ผ่านการประชาสัมพันธ์ โดยชูจุดขายด้วยลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะรุ่นใหม่ R1S, R2, R3S, MR1 และ R410 ที่ได้รับการอัปเกรดฟังก์ชันการทำงานให้ตอบโจทย์การใช้งาน พร้อมกำหนดมาตรฐานคุณภาพของเสียงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังมีแผนที่จะทำคอนเทนต์และถ่ายทอดประสบการณ์การใช้งานสินค้าจริงผ่านทาง Social Media พร้อมชูกลยุทธ์ทำการตลาดทั้งออฟไลน์และออนไลน์   โดยร่วมกับพันธมิตรแบรนด์ชั้นนำมากมาย อาทิ dotlife, iStudio, Asavasopon, Central Department Store, Power Buy, Power Mall, Munkong Gadget และร้านค้าอื่น ๆ เพื่อทำให้แบรนด์ขยายตลาดสู่กลุ่มผู้บริโภคได้รวดเร็วขึ้น ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างและลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าของ Ruark Audio ได้มากขึ้น  สำหรับไฮไลต์ผลิตภัณฑ์จาก Ruark Audio ที่เปิดตัวภายในงาน เป็นลำโพงและวิทยุตั้งโต๊ะอัจฉริยะ 5 รุ่นใหม่ ดังนี้   รุ่น R1S มาพร้อมการดีไซน์สุดคลาสสิก ออกแบบด้วยโทนสีไม้และเฉดสีเทาแบบใหม่เพื่อให้ความรู้สึกหรูหรา จึงทำให้กลมกลืนเข้ากับการตกแต่งของบ้านในทุกสไตล์ ผสานกับพลังเสียงสมจริงเหนือระดับ พร้อมรองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth ยังมีฟังก์ชันจดจำอุปกรณ์ได้สูงสุด 6 เครื่อง และอีกหนึ่งคุณสมบัติเด่นของ R1S คือจอแสดงผล TFT สีเต็มรูปแบบ ที่แสดงเวลา การเตือน และข้อมูลรายการอย่างชัดเจน พร้อมมีเซ็นเซอร์วัดแสงที่ช่วยปรับหน้าจอให้เหมาะกับระดับแสงแบบอัตโนมัติ ทำให้สามารถวางไว้ข้างเตียงได้โดยไม่รบกวนการพักผ่อน    รุ่น R2 มาพร้อมระบบเสียงสเตอริโอที่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย ไม่ยุ่งยาก สามารถใช้งานผ่านตัวควบคุม RotoDial และหน้าจอ LCD รองรับการสตรีมเพลงผ่านแอปพลิเคชัน Spotify, Deezer และ Amazon Music พร้อมสามารถเชื่อมต่อ Bluetooth กับเครื่องรับวิทยุ DAB, FM และอินเทอร์เน็ตได้ ส่วนด้านการดีไซน์รุ่นนี้มีรูปทรงเพรียวบางหรูหรา ทำให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีเพื่อใช้สำหรับการตกแต่งพื้นที่ภายในบ้านของทุกคน    รุ่น R3S ด้านการดีไซน์ยังคงรักษามาตรฐานและเอกลักษณ์เฉพาะแบบดังเดิมไว้ เน้นความเรียบหรู ทันสมัย พร้อมมีการปรับปรุงคุณภาพของเสียงให้ดีขึ้น และยังเพิ่มการประมวลผลเสียง STEREO+  ซึ่งจะทำให้การถ่ายทอดทุกรายละเอียดเสียงมีความคมชัด นุ่มลึก และสมจริง นอกจากนี้ R3S ยังมีตัวรับสัญญาณ Bluetooth 5 รุ่นใหม่ที่ใช้เฟิร์มแวร์ 5.2 ล่าสุด ที่ช่วยให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตลอดจนฟังก์ชัน Bluetooth ยังสามารถทำงานร่วมกับการควบคุมระดับเสียงบนสมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตได้อย่างราบรื่นอีกด้วย    รุ่น MR1 เป็นรุ่นที่เปิดตัวในปี 2013 โดยระบบลำโพงสเตอริโอ Bluetooth MR1 ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นระบบที่ดีที่สุด พร้อมชูจุดขายด้วยดีไซน์ที่กะทัดรัด ทำให้ดึงดูดลูกค้าที่ใส่ใจในการออกแบบมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสี Rich Walnut สุดคลาสสิกหรือสีเทา Soft Grey ที่ได้รับการออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์ร่วมสมัยและเสียงที่ยอดเยี่ยมในการใช้งาน พร้อมเหมาะจะตั้งไว้ในหลากหลายสถานที่   รุ่น R410 มีหัวใจหลักเป็นโปรเซสเซอร์ที่ทรงพลัง สามารถรองรับไฟล์เสียงที่มีความละเอียดสูง รวมถึงการสตรีมมิ่งในตัวผ่าน Spotify, Tidal Connect, Apple Airplay 2 และ Chromecast สามารถเชื่อมต่อ aptX HD Bluetooth กับเครื่องรับวิทยุ DAB, DAB+, FM และอินเทอร์เน็ต ด้านการดีไซน์เน้นความมินิมอลเรียบง่าย ด้วยโทนสีสบายตา ทำให้รู้สึกถึงความผ่อนคลาย พร้อมออกแบบจัดวางหน้าจอแสดงผลในแนวตั้ง เพื่อเลียนแบบวิธีการดูรายการเพลงบนสมาร์ตโฟน จึงทำให้ใช้งานง่ายและสะดวกสบาย ผู้ที่สนใจสามารถเป็นเจ้าของลำโพงและเครื่องเสียงคุณภาพระดับพรีเมียมจาก RUARK AUDIO ได้แล้ววันนี้ โดยราคาเริ่มต้นที่รุ่น R1S ราคา 16,990 บาท, รุ่น R2 และ MR1 ราคา 20,990 บาท, รุ่น R3S ราคา 39,990 บาท และ รุ่น R410 ราคา 67,900 บาท (ยังไม่มีวางจำหน่าย) โดยทุกรุ่นจะมีการรับประกันทุกชิ้นส่วน นานสูงสุด 2 ปีเต็ม* มีจัดจำหน่ายที่ร้าน dotlife จำนวน 5 สาขา ได้แก่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, สยามพารากอน, ไอคอนสยาม, เมกาบางนา และเซ็นทรัล ภูเก็ต และที่ Showroom Asavasopon จำนวน 4 สาขา ได้แก่ สยามพารากอน, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า, เซ็นทรัลอีสต์วิลล์ และรามคำแหง หรือสามารถสั่งซื้อได้ผ่านช่องทางออนไลน์ ได้ที่ www.dotlife.store หรือ www.asavasopon.co.th   บทความน่าสนใจ KEF เผยโฉม LS50 Meta และ LS50 Wireless II ลำโพงสองรุ่นแรกที่พ่วงเทคโนโลยีดูดซับเสียงสะท้อนแบบใหม่ล่าสุด เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia  
บางกอกแลนด์ ฉลองครบรอบ 50 ปี สร้างประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ

บางกอกแลนด์ ฉลองครบรอบ 50 ปี สร้างประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ

นายปีเตอร์ กาญจนพาสน์  ประธานกรรมการ บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงโครงการจัดตั้งประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ประดิษฐาน ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี มีวัตถุประสงค์จัดสร้างขึ้นในโอกาสฉลองครบรอบ 50 ปี บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) และเพื่อรำลึกถึง คุณมงคล กาญจนพาสน์ และ คุณอนันต์ กาญจนพาสน์  ผู้ร่วมก่อตั้งโครงการเมืองทองธานี ซึ่งปัจจุบันถือเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีความพร้อมสรรพ ทั้งอาคารสถานที่ บริการสิ่งอำนวยความสะดวก รองรับการอยู่อาศัย การดำเนินธุรกิจ และการท่องเที่ยวพักผ่อนอย่างครบวงจร บางกอกแลนด์ คือหนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2516 และในปี พ.ศ.2535 ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี ดำเนินธุรกิจมุ่งเน้นการพัฒนาส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดี ผ่านการบริหารโครงการเมืองทองธานี การพัฒนาโครงการที่พักอาศัย โครงการบริหารจัดการดูแลอาคาร โครงการศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อีกทั้งการบริหารธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจร้านอาหาร ธุรกิจสถานบริการเพื่อการท่องเที่ยวและกีฬา การบริหารสถาบันสอนประกอบอาหาร ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของชุมชน รวมไปถึงเศรษฐกิจของประเทศไทยให้มีการเติบโตต่อเนื่อง “เป็นที่ทราบกัน บางกอกแลนด์ ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมายาวนานและบริษัทฯ ใช้สัญลักษณ์ช้างเอราวัญหรือช้างสามเศียรมาตลอด ในโอกาสครบรอบ 50 ปี เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลยิ่งขึ้น จึงได้อัญเชิญพระอินทร์ซึ่งเป็นเทพองค์เดียวที่ทรงช้างเอราวัณมาประดิษฐาน โดยจัดตั้งโครงการประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ซึ่งได้ปรึกษาผู้ชำนาญงาน ทั้งประติมากร ทีมช่างศิลปะ ช่างสิบหมู่ รับเชิญมาร่วมงานจนสำเร็จลุล่วงด้วยดี ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่จะนำพาความเป็นสิริมงคล มาให้ทั้งกับผู้บริหาร พนักงาน เป็นขวัญกำลังใจในการทำงานนำพาองค์กรเติบโตอย่างมั่นคงตลอดไป” สำหรับประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ ถือเป็นงานประติมากรรมโลหะผสมที่มีความสง่างาม สะท้อนคุณค่าแห่งความดี ความเปี่ยมสุข อันเกิดจากศรัทธาและความเลื่อมใส องค์เทวรูปมีขนาดความสูงรวม 265 เซนติเมตร ตั้งอยู่บนฐานรองรับขนาดความยาว 205 เซนติเมตร ความกว้าง 96 เซนติเมตร ความสูง 15 เซนติเมตร รูปลักษณะของพระอินทร์ ทรงเครื่องแต่งกายสมัยศรีวิชัย ประทับนั่งบนคอช้าง มือขวาถือวชิระเป็นอาวุธคู่กาย มือซ้ายถือขอช้างพาดอยู่บนตัก โดยมีพาหนะเป็นช้างเอราวัณสามเศียร ในลักษณะท่าทางเคลื่อนไหวไปข้างหน้าอย่างทรงพลัง แต่ใบหน้าเปี่ยมด้วยความเมตตาสมเป็นช้างของทวยเทพแห่งคุณงามความดีและความอุดมสมบูรณ์ งานประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณนี้ ถือเป็นศิลปะแห่งทวยเทพ  ใช้เวลาในการดำเนินงานในทุกขั้นตอนประมาณ 16 เดือน โดยมีประติมากร พันโท นภดล สุวรรณสมบัติ และ อาจารย์ธนิตย์ แก้วนิยม พร้อมคณะ ร่วมดูแลและควบคุมงานประติมากรรมจนสำเร็จลุล่วง เป็นผลงานสำคัญอันโดดเด่นไม่เหมือนที่ใด พร้อมเปิดให้ประชาชนนักท่องเที่ยวได้เข้าเยี่ยมชมทุกวัน นายพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ประติมากรรมพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ จะเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของเมืองทองธานี กลายเป็นจุดเช็คอินของนักท่องเที่ยว รวมถึงลูกค้าผู้จัดงาน ผู้มาชมงาน ที่จะได้สักการะบูชาและขอพรตามความศรัทธา ณ ที่ประดิษฐานบริเวณลานด้านหน้าอาคาร อิมแพ็ค อารีน่า ในทุกวัน นอกจากนี้ ยังได้จัดทำหน้าเว็บไซต์เฉพาะเพื่อให้ข้อมูลและรวบรวมภาพ-วีดีโอให้ได้เยี่ยมชมกันทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์บางกอกแลนด์ www.bangkokland.co.th ด้วย ในโอกาสนี้จึงอยากเชิญชวนทุกคนมาเที่ยวชมความสง่างามทั้งในช่วงกลางวันและความสวยงามยิ่งขึ้นในช่วงกลางคืนที่มีการประดับไฟแสงสีตระการตา เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีบางกอกแลนด์ไปด้วยกัน สำหรับการดำเนินธุรกิจขององค์กรปัจจุบัน แบ่งเป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.) อสังหาริมทรัพย์ เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาโครงการเพื่อขายและเช่า ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารชุด อาคารพาณิชย์ อาคารสํานักงาน ศูนย์การค้า และร้านค้าต่างๆ โครงการเหล่านี้มีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ อยู่ในทำเลที่มีความพร้อมภายใต้การดําเนินงานของบริษัท บางกอกแลนด์ จํากัด (มหาชน), บริษัท บางกอก แอร์พอร์ท อินดัสทรี จํากัด และ บริษัท สินพรชัย จํากัด 2.) ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม ธุรกิจให้บริการเช่าพื้นที่ สิ่งอํานวยความสะดวก รองรับการจัดงานและกิจกรรมไมซ์ (MICE) อีกทั้งยังมีบริการสนับสนุน เช่น โรงแรมที่พัก 2 แห่ง ร้านอาหาร 15 แบรนด์  30 ร้านสาขา สถานที่ท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งดําเนินงานโดย บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จํากัด, บริษัท อาร์เอ็มไอ จํากัด 3.) ธุรกิจค้าปลีก ดําเนินกิจการเกี่ยวกับการบริหารศูนย์การค้า ร้านค้าปลีก ศูนย์อาหาร ตลาดสด เอาท์เล็ต ที่จอดรถ ฯลฯ กิจการเหล่านี้ดําเนินงานโดย บริษัท บางกอก แลนด์ เอเจนซี่ จํากัด 4.) สาธารณูปโภคและการบริหารอาคาร ธุรกิจเกี่ยวเนื่องการบริการหลังการขาย โดยมี บริษัท เมืองทอง เซอร์วิสเซส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จํากัด และ บริษัท เมืองทอง บิลดิ้ง เซอร์วิสเซส จํากัด จัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลจัดการบริหารอาคารและบํารุงรักษาในส่วนของสาธารณูปโภค ภูมิทัศน์ และการกําจัดของเสียในชุมชนเมืองทองธานีและพื้นที่อื่นๆ และสุดท้าย 5.) บริหารจัดการโรงเรียนสอนประกอบอาหาร เลอโนท ไทยแลนด์ ถือเป็นโรงเรียนสอนประกอบอาหารแห่งแรกนอกประเทศฝรั่งเศส และได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเป็นโรงเรียนนอกระบบ ประเภทวิชาชีพ จากกระทรวงศึกษาธิการ อย่างไรก็ตาม โครงการเมืองทองธานี คาดว่าจะยังเติบโตต่อเนื่องตอบรับกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่วนต่อขยายเข้าสู่เมืองทองธานี 2 สถานี ได้แก่ สถานี อิมแพ็ค เมืองทองธานี และ สถานีทะเลสาบเมืองทองธานี ปัจจุบันความคืบหน้าในงานก่อสร้างภาพรวมประมาณ 28% โดยยังเป็นไปตามกำหนดการที่จะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการราวต้นปี 2568 ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ การคมนาคมที่สะดวก ตลอดจนเพิ่มมูลค่าราคาอสังหาริมทรัพย์ในเมืองทองธานีได้เพิ่มขึ้นอีกด้วย  
เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia

เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia

บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (Euro Creations) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์   แบรนด์ดังระดับโลกสัญชาติยุโรป จัดงาน “An Infinite Comfortness” by Natuzzi Italia เปิดตัวนาทุซซี่  อิตาเลีย (Natuzzi Italia) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังจากประเทศอิตาลี ที่โดดเด่นในเรื่องความพิถีพิถันแห่งดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้งาน สีและวัสดุที่คัดสรรมาเป็นพิเศษเพื่อส่งมอบสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อน ผ่านการให้ความสำคัญเรื่องคอมฟอร์ต (comfort) กับโซฟาทุกชิ้น Natuzzi Italia พร้อมการจับมือร่วมกับบริษัท มิวสิคพลัส ซีนีม่า จำกัด ในเครือโซนิค วิชั่น กรุ๊ป ผู้นำเครื่องเสียงนำเข้าระดับไฮเอนด์มากว่า 26 ปี เผยโฉม The New 801 D4 Signature ลำโพงไฮเอนด์ในตระกูล 800 ซีรีย์ กับการปรับโฉมดีไซน์ที่ให้ความละเมียดละไมมากขึ้น คุณภาพในการถ่ายทอดพลังเสียงสู่ความสมจริงมากขึ้น การผสมผสานระหว่าง 2 แบรนด์สู่สัมผัสแห่งการใช้ชีวิตที่ลงตัวระหว่างสุนทรียแห่งการพักผ่อนที่สบายบนโซฟา นาทุซซี่ อิตาเลีย และสุนทรียจากการฟังเพลงระดับไฮเอนด์ซาวน์จาก Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature     คุณเควิน กัมบีร์ (Kevin Gambir) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ดังระดับโลกสัญชาติยุโรป กล่าวว่า “ยูโร ครีเอชั่นส์ เราพิถีพิถันในการคัดสรรผลิตภัณฑ์และแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ด้วยความตั้งใจ จากความเชื่อที่ว่า ‘Life is better in a beautiful space’ การใช้ชีวิตที่ดีเริ่มต้นจากการอยู่ในพื้นที่ที่สวยงาม ซึ่งความสวยงามในที่นี้หมายความว่า การได้อยู่ในพื้นที่ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์และรสนิยมของผู้อยู่อาศัย ซึ่งยูโร ครีเอชั่นส์ เป็นดั่งปลายทางที่ตอบรับกับทุกไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของลูกค้า ซึ่งในปีนี้เราขอนำเสนอ นาทุซซี่ อิตาเลีย (Natuzzi Italia) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังจากประเทศอิตาลี ที่ให้ความพิถีพิถันในเรื่องดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้งาน สีและวัสดุที่คัดสรรมาเป็นพิเศษ เพื่อส่งมอบสุนทรียภาพแห่งการพักผ่อน ที่โซฟาทุกชิ้นของนาทุซซี่ อิตาเลีย จะถ่ายทอดความสบายด้วยวัสดุ พรีเมียมที่มีให้เลือกทั้งหนังวัวแท้ และผ้า เพื่อตอบรับความชอบและรสนิยมการตกแต่งที่แตกต่างกันโดยนาทุซซี่ อิตาเลีย มีคาเรคเตอร์งานดีไซน์แบบโมเดิร์นที่ทั้งเรียบหรู ผสานกับฟังก์ชั่นการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการปรับเอน การปรับพนักวางศีรษะและที่วางขาให้เหมาะสมกับท่านั่งพักผ่อนได้อย่างง่ายดายด้วยระบบไฟฟ้า เป็นการเติมเต็มความสุนทรียการพักผ่อน และการใช้ชีวิตในบ้านอย่างแท้จริง” และถือเป็นโอกาสพิเศษสุดที่ ยูโร ครีเอชั่นส์ ได้ร่วมกับบริษัท มิวสิคพลัส ซีนีม่า จำกัด ในการร่วมกันถ่ายทอดสัมผัสแห่งไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตผ่านสุนทรียภาพการพักผ่อนที่ครบทุกมิติทั้งความสบายจากโซฟานาทุซซี่ อิตาเลีย และการเติมเต็มด้วยบรรยากาศแห่งเสียงเพลงคุณภาพผ่าน Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature ลำโพงไฮเอนด์สัญชาติอังกฤษกับคุณภาพระดับออดิโอไฟล์ ที่เผยโฉมครั้งแรกในไทย เป็นการจับคู่ความลงตัวระหว่างสุนทรียแห่งการฟังระดับพรีเมียมกับเฟอร์นิเจอร์หรูภายใต้คอนเซปต์ “Senses of living” สัมผัสสุนทรียแห่งการพักผ่อนผ่านการมองเห็นดีไซน์ที่งดงาม และการได้ยินเสียงที่ไพเราะ ที่เราตั้งใจเนรมิตขึ้นเป็นพิเศษผ่าน living space ที่จะจำลองบรรยากาศในการอยู่บ้านผ่านสัมผัสแห่งสุนทรียความสบายของโซฟา นาทุซซี่ อิตาเลีย และสุนทรียแห่งเสียงเพลงระดับไฮเอนด์ ภายในโชว์รูม ยูโร ครีเอชั่นส์ ซีอีโอ ยูโร ครีเอชั่นส์ กล่าว   คุณเถกิงลาภ กอวัฒนา กรรมการบริหาร บริษัท มิวสิคพลัส ซีนีม่า จำกัด ในเครือโซนิค วิชั่น กรุ๊ป ผู้นำเครื่องเสียงนำเข้าระดับไฮเอนด์มากว่า 26 ปี เปิดเผยว่า “มิวสิค พลัสซีนีม่า ในฐานะผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายลำโพงไฮเอนด์แบรนด์ Bowers & Wilkins จากประเทศอังกฤษอย่างเป็นทางการ รู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับ บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ครั้งนี้ ในการนำเสนอแรงบันดาลใจสุนทรียแห่งการพักผ่อนผ่านการสัมผัสความสบาย ความสุขผ่านดีไซน์ที่สวยงาม และสัมผัสสุนทรียการพักผ่อนกับการฟังเพลงผ่านเครื่องเสียงคุณภาพ ที่ตอบโจทย์นิยามแห่งความสุขในการพักผ่อนที่บ้านได้ครบทุกมิติ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ในปี 2023 นี้ มิวสิค พลัส ซีนีม่า ได้นำเข้าลำโพงรุ่นเรือธง The New 801 D4 Signature ที่ถือเป็นงานฝีมือแห่งปีที่ Bowers & Wilkins ได้รังสรรค์ให้เป็นรุ่นที่มีความพิเศษตั้งแต่กลไกภายในที่ต่อยอดความสำเร็จจากลำโพงในตระกูล 801 D4 ที่ได้รับความนิยมสูงสุดกับ 800 Series Diamond™ ที่ใช้เพชรในโดมทวีตเตอร์เป็นตัวขับเสียงให้สะอาดใส ทุ่มนุ่มลึก จนได้รับความไว้วางใจและการันตีคุณภาพจากสตูดิโอบันทึกเสียงระดับโลก Abbey Road Studio ให้เป็นลำโพงอ้างอิง โดยความพิเศษของรุ่น The New 801 D4 Signature นี้ คือการพัฒนาปรับเปลี่ยนนวัตกรรม เทคโนโลยีขั้นสูงสุด ที่แบรนด์ Bowers & Wilkins ไม่ได้ใช้คำว่า Signature กับทุกรุ่นที่ปรับปรุงใหม่ จะแต่ใช้คำนี้ให้กับรุ่นที่มีการอัพเกรดขั้นสูงสุดแห่งเทคโนโลยีจริงๆ ซึ่งนับตั้งแต่แบรนด์ก่อตั้งขึ้นในปี 1966 มีลำโพงเพียง 7 รุ่นเท่านั้นที่มีชื่อรุ่นต่อท้ายด้วย Signature ดังนั้นการนำเข้าลำโพงตระกูล 801 D4 ในโมเดลใหม่รุ่น 801 D4 Signature จึงเป็นที่สุดแห่งความเอ็กซ์คลูซีฟที่แฟน B&W และนักฟังเพลง จะได้ยลโฉมความโดดเด่นแห่งดีไซน์ที่บ่งบอกถึงรสนิยมการฟังและความพิถีพิถันในการเลือกลำโพงไฮเอนด์ที่ได้รับการออกแบบประหนึ่งเป็นงานศิลป์ที่มอบทั้งสุนทรียแห่งการฟังที่สมบูรณ์แบบ และความสุขจากดีไซน์ที่ไม่ว่าจะวางมุมไหนในบ้านก็สวยงามลงตัวบ่งบอกรสนิยมเหนือระดับในการตกแต่งกับดีไซน์สีพิเศษ Midnight Blue Metallic ที่ใช้เวลาผลิตด้วยมือจากช่างฝีมือถึง 18 ชั่วโมง ต่อลำโพง 1 คู่ จึงเปรียบเสมือนเป็นงานศิลปะที่ควรค่าแก่การเป็นเจ้าของ” โดยโซฟาแบรนด์ นาทุซซี่ อิตาเลีย (Natuzzi Italia) และลำโพง Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature เปิดตัวให้คนรักการแต่งบ้าน และแฟนเครื่องเสียงไฮเอนด์ชาวไทยได้ชมความงามและสัมผัสพลังเสียงครั้งแรกผ่าน Living space ในการจำลองพื้นที่การตกแต่งภายในบ้านให้ผู้สนใจได้ทดลองพักผ่อนบนโซฟา และสัมผัสคุณภาพเสียงจาก Bowers & Wilkins The New 801 D4 Signature ณ โชว์รูมยูโร ครีเอชั่นส์ ทองหล่อ ซอย 5 สามารถมาเยี่ยมชมและสัมผัสความงามแห่งเสียงและดีไซน์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2566 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 0-2712-9555        
ศุภาลัยเปิดตัว พรีเซ้นเตอร์คนแรก เคลียร์ชัดศุภาลัยบ้านไม่แคบ!

ศุภาลัยเปิดตัว พรีเซ้นเตอร์คนแรก เคลียร์ชัดศุภาลัยบ้านไม่แคบ!

ศุภาลัย เรียกได้ว่าฮอตสุดๆ กับ “โบว์ - เมลดา สุศรี” เจ้าของฉายาเจ้าแม่พรีเซ็นเตอร์ ที่ล่าสุดมงลงได้ตำแหน่ง พรีเซ็นเตอร์คนแรกของแบรนด์ “ศุภาลัย” ผู้นำวงการอสังหาฯ เป็นที่เรียบร้อย พร้อมเคลียร์ชัดตำนาน “อ้วนแล้วบ้านแคบลงไหม”     ล่าสุดโบว์ตอบแล้วจากตัวจริง เสียงจริงว่าบ้านศุภาลัยไม่แคบแน่นอน กับภาพยนตร์โฆษณาตัวใหม่ “บ้านศุภาลัย #StandardดีQualityเดียวกัน” ที่พาขึ้นเหนือล่องใต้เปิดบ้านศุภาลัยที่ไม่ว่าภาคไหนก็ไม่ธรรมดากับมาตรฐานบ้านดีทุกหลังทั่วไทย พร้อมโชว์สกิลแอคติ้งยืนหนึ่งกับภาษาถิ่นทั้งภาคเหนือ กลาง อีสาน ใต้ กับความน่ารักเกินต้านที่ไม่เหมือนใคร แจกความสดใสคว้าใจแฟนๆ ทั่วประเทศ     “โบว์ต้องขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติมากๆ ที่ได้รับความไว้วางใจจากศุภาลัยให้โบว์ได้เป็นพรีเซ็นเตอร์คนแรกของแบรนด์ โดยต้องบอกเลยว่าจากการที่ได้ร่วมงานกัน โบว์มองว่าแต่ละโครงการของศุภาลัยได้ใส่ใจในการออกแบบตอบโจทย์การใช้ชีวิตจริงของทุกคนจริงๆ รวมไปถึงเหมาะกับการใช้ชีวิตของโบว์มาก และงานนี้โบว์ก็ได้ร่วมถ่ายทำโฆษณากับทางศุภาลัยที่อยากให้ทุกคนได้ไปติดตามดู ซึ่งโบว์บอกได้เลยว่าบ้านศุภาลัย ไม่แคบแน่นอนค่ะ” โบว์ - เมลดา สุศรี กล่าว     งานนี้ ซุปตาร์สาวเสียงใส พรีเซ็นเตอร์คนแรกและคนเดียวของศุภาลัยได้การันตีพร้อมเอ่ยปากเองเลยว่าดีจริงทุกหลัง! โดยไม่ต้องกังวลเลยว่าจะหุ่นไซส์ไหน หรือมีตัวตนแบบใด ก็ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านศุภาลัยสุดแฮปปี้ได้เหมือนกันทุกคนแบบ ‘Standard ดี Quality เดียวกัน’ พร้อมแอบกระซิบว่าความน่ารักของโบว์ยังคงไม่จบแค่นี้ แฟนๆ สามารถติดตามกิจกรรมสุดฟินกับโบว์-เมลดาและศุภาลัยได้ที่  https://www.facebook.com/supalaiplc แล้วมาดูกันว่าบ้านศุภาลัยหลังไหนกันนะที่โบว์-เมลดาจะพาไปเปิดประตูบานต่อไป!   เชิญชมภาพยนตร์โฆษณา “บ้านศุภาลัย #StandardดีQualityเดียวกัน” คลิก https://youtu.be/My5fjOop_Mo   บทความน่าสนใจ ศุภาลัย วิลล์ วงแหวน-ลำลูกกา คลอง 7 แบบบ้านใหม่ เอาใจทาสแมว ศุภาลัย เอสเซ้นส์  โครงการพรีเมี่ยมแห่งแรกในอ่างศิลา  ศุภาลัย โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 14,346 ล้าน ลุยเปิดใหม่ครึ่งปีหลัง 27 โครงการ
ESTAR  เปิดชม ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39  ยอดนิยมในย่าน ขายแล้วกว่า 70%

ESTAR  เปิดชม ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39  ยอดนิยมในย่าน ขายแล้วกว่า 70%

บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดชมโครงการ “ควินทารา ภูม สุขุมวิท 39” หนึ่งในโครงการที่อยู่อาศัยของ ESTAR ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มั่นใจทำเลสุขุมวิทที่ตอบโจทย์ทั้งอยู่เองหรือลงทุน ลุยตลาดคอนโดต่อเนื่องด้วยโครงการ ควินทารา มาย'เซน พร้อมพงษ์     นายไพโรจน์ วัฒนวโรดม กรรมการผู้จัดการ  บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ESTAR ได้พัฒนาโครงการแนวสูงบนเส้นทำเลสุขุมวิท ได้แก่ โครงการควินทารา ทรีเฮาส์ สุขุมวิท 42, โครงการควินทารา อาเท่ สุขุมวิท 52 และโครงการควินทารา ภูม สุขุมวิท 39 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอย่างมาก โดยเห็นได้จากเป้ายอดขายของทั้ง 3 โครงการนี้ ไม่ว่าจะเป็น   โครงการควินทารา ทรีเฮาส์ สุขุมวิท 42 ที่บริษัทสามารถปิดยอดขายไปได้ 100% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เ โครงการควินทารา อาเท่ สุขุมวิท 52 ที่ตอนนี้ยอดขายไต่ระดับมาแตะถึง 98% โดยคาดว่าจะปิดการขายและพร้อมโอนภายในปีนี้ โครงการควินทารา ภูม สุขุมวิท 39 ตอนนี้ยอดขายเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก อยู่ที่ 70%   ซึ่งจากความนิยมในโปรดักส์จะสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายที่อยู่บนทำเลเศรษฐกิจใจกลางเมือง จึงทำให้ ESTAR มั่นใจในทำเลพร้อมกับเดินหน้าขยายโครงการมูลค่า 1,000 ล้านบาท โครงการควินทารา มาย'เซน พร้อมพงษ์ ไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา     “จากการวิเคราะห์ในศักยภาพทำเล พร้อมพงษ์ จัดอยู่หนึ่งใน 3 ของทำเลที่มีศักยภาพมากบนเส้นถนนสุขุมวิท  เป็นทำเลโซนชั้นในของเมือง อีกทั้งเส้นพร้อมพงษ์ยังเป็นย่านที่อยู่อาศัยชั้นดี เต็มไปด้วยบ้านหลังใหญ่และต้นไม้ขนาดใหญ่ จึงมีสภาพแวดล้อมที่ดี เงียบ สงบ และนับวันที่ดินจะหายาก จึงคุ้มค่าทั้งการซื้ออยู่อาศัยเองและซื้อไว้ลงทุนปล่อยเช่า ซึ่ง ณ ปัจจุบันราคาที่อยู่อาศัยย่านพร้อมพงษ์อยู่ที่ 220,000 บาท/ตร.ม.และจากความเป็นทำเลชั้นดี บริษัทจึงได้นำพื้นที่กว่า 2 ไร่ ที่ตั้งอยู่ในซอยพร้อมพงษ์ หรือซอยสุขุมวิท 39 มาพัฒนาเป็นโครงการควินทารา ภูม สุขุมวิท 39 คอนโดมิเนียมประเภท Low Rise สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 323 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โดยออกแบบให้เป็นห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน พื้นที่ตั้งแต่ 28-38 ตร.ม. และแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ตั้งแต่ 58-64 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.99 ล้านบาท หากเมื่อคำนวณแล้วราคาขายเฉลี่ยของโครงการอยู่ที่ ประมาณ 100,000 บาท/ตร.ม. ซึ่งถือว่าราคาดีและคุ้มที่สุดในทำเลนี้ เนื่องจากพร้อมพงษ์เป็นทำเลยอดนิยมของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงประชากรแฝงที่เข้ามาทำงานในย่านดังกล่าว” นายไพโรจน์ กล่าวถึงกลุ่มลูกค้าในย่านพร้อมพงษ์ หลักๆ แบ่งสัดส่วนเป็น 51% ส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัทเอกชน ย่านพร้อมพงษ์-อโศก พนักงงานโรงแรม รวมถึงบุคลากรจากโรงพยาบาลชั้นนำ และ 21% คือกลุ่มเจ้าของกิจการในรัศมีรอบโครงการ รวมถึงกลุ่มผู้ปกครอง นักศึกษามหาวิทยาลัยในย่านนั้น นอกจากนี้อีก 8% จะเป็นพนักงานใน หน่วยงานภาครัฐต่างๆ และอื่นๆ อีก 20% จะเป็นลูกค้าที่ตั้งใจเข้ามาซื้อเพื่อการลงทุน โครงการควินทารา ภูม สุขุมวิท 39 ถูกวางคอนเซปต์และการออกแบบที่ให้สอดคล้องกับพื้นที่ทำเล โดยหยิบยกเอกลักษณ์ของบ้านเรือนไทย “เรือนไทยหมู่” มาสร้างเสน่ห์ความงดงามให้กับการอยู่อาศัย เชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้านด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่ชั้น 4 ที่ออกแบบให้ เสมือนชานพักผ่อนของทุกคนครอบครัว พร้อมสวนสวยที่ทอดยาวต่อเนื่องตลอดแนวอาคาร สร้างทัศนียภาพที่สวยงามและสอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ขณะที่การเดินทางสัญจรเข้า-ออก โครงการนั้น แม้จะอยู่ในซอย แต่ก็ถือว่าอยู่ในทำเลที่เชื่อมต่อ เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS สถานีพร้อมพงษ์ รถยนต์ และสามารถเข้าออกได้หลากหลายเส้นทางทั้งทางอโศก สุขุมวิท ทองหล่อ และเพชรบุรี นอกจากนี้ยังรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นนำบนย่านลักชัวรี สไตล์ ได้แก่ ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียเอ็มโพเรียม อาหาร คาเฟ่ จำนวนมาก นอกจากนี้ยังใกล้กับสถาบันการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาศรีนครินทวิโรฒ ประสานมิตร โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย โรงเรียนนานาชาติเอกมัย รวมไปถึงโรงพยาบาลชั้นนำ อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ และโรงพยาบาลคามิลเลียน เป็นต้น นายไพโรจน์ กล่าวเพิ่มเติมสำหรับการลงทุนพัฒนาล่าสุดที่อยู่ในทำเลพร้อมพงษ์ในจุดเดียวกันและจะพัฒนาใกล้เคียงในลักษณะเดียวกัน ซึ่งจะอยู่ในโปรดักส์ควินทารา มาย’ ซีรีย์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Creator of Life’s Pleasures” คือโครงการควินทารา มาย'เซน พร้อมพงษ์ มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 276 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่ 2 ไร่ ราคาเริ่มต้นที่คุ้มค่า เพียง 2.49 ล้านบาท มีจุดเด่น ดีไซน์สไตล์วิถีความเป็นเซน คือเรียบง่าย สบาย และลงตัว การออกแบบห้องพักที่ทั้งแบบสตูดิโอ 1 ห้องนอน และมีขนาดแบบ 1 ห้องนอนใหญ่ อีกทั้งยังมีแบบ 2 ห้องนอน ขนาดเริ่มต้น 21-65 ตร.ม. ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและพร้อมเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4/2024 อย่างไรก็ตาม ตอนนี้โครงการควินทารา มาย'เซน พร้อมพงษ์ มียอดพรีเซลแล้วกว่า 50% ทั้งนี้บริษัทฯ คาดการณ์สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งหลังต่อจากนี้ อันเนื่องจากปัญหา อันได้แก่ ภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้น ขณะที่ประชากรในประเทศไทยเป็นสังคมสูงวัยมากขึ้น สำหรับในประชากรกลุ่ม Gen Z ก็จะมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป คือนิยมเช่าบ้านมากกว่าซื้อ อีกทั้งในส่วนของราคาที่ดินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างสูง ที่อยู่ อาศัยจึงปรับขึ้นสูงตาม จึงทำให้ผู้บริโภคหันไปอยู่ทำเลนอกเมืองมากขึ้น แต่ก็จะมีต้นทุนค่าครองชีพและเดินทางที่ตามมา ซึ่งภายใต้ข้อจำกัดเบื้องต้นจากปัจจัยดังกล่าว จึงทำให้ ESTAR มุ่งมั่นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยบนความคุ้มค่า คุ้มราคา และมีไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคให้มากที่สุด และหากทางภาครัฐมีส่วนช่วยในการสนับสนุนหรือเพิ่มนโยบายการซื้อบ้านหลังแรกอย่างอีกครั้ง พร้อมปรับเกณฑ์มาตรการ LTV ใหม่ เอื้อต่อการกู้ซื้อบ้านและคอนโดหลังแรก ก็จะเอื้อประโยชน์ให้กับลูกค้าและสร้างความคล่องตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น นายไพโรจน์ กล่าวสรุป   บทความน่าสนใจ ESTAR เปิดตัวผู้บริหารคนใหม่ ไพโรจน์ วัฒนวโรดม ปรับใหญ่รุกตลาดบ้าน    
[PR News]เอพี ไทยแลนด์ คว้ารางวัลสำคัญ CEO และ CFO

[PR News]เอพี ไทยแลนด์ คว้ารางวัลสำคัญ CEO และ CFO

IAA Awards for Listed Companies 2022 – 2023 บมจ. เอพี ไทยแลนด์  คว้า 2 รางวัลคุณภาพในหมวดอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง  จาก IAA Awards for Listed Companies 2022 – 2023 จัดโดยสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ได้แก่ รางวัล Outstanding CEO ที่มอบให้กับ นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ รางวัล Outstanding CFO ที่มอบให้กับนางสาวกรองทอง ปลูกผลงาม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี IAA Awards for Listed Companies 2022 – 2023 สองรางวัลทรงคุณค่าดังกล่าวมาจากผลโหวตของนักวิเคราะห์ และผู้จัดการกองทุน ที่มอบให้กับผู้นำในอุตสาหกรรมที่ร่วมขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งนับว่าเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ตลาดทุนและประเทศไทยโดยรวม สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของเอพี ไทยแลนด์ที่ทำงานแบบเจาะลึก เข้มข้น  เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ให้ทุกคนมีชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้   “เอพี ไทยแลนด์” คว้ารางวัลสำคัญ CEO และ CFO โดดเด่น จาก IAA Awards for Listed Companies สะท้อนความเป็นผู้นำธุรกิจ และความเชื่อมั่นจากนักลงทุน IAA Awards for Listed Companies 2022 – 2023 นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า “เอพี ไทยแลนด์ ขอขอบพระคุณนักวิเคราะห์ นักลงทุนไทย และสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน ที่ให้ความไว้วางใจและเชื่อมั่นต่อกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัท เป็นรางวัลแห่งความภูมิใจและเป็นกำลังใจสำคัญให้ทีมงานเอพีทุกคนไม่หยุดที่จะพัฒนาเพื่อเอ็มพาวเวอร์ให้ทุกคนในสังคมไทย มี “ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้” ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสูงสุดของเอพีเรา” เอพี ไทยแลนด์ ได้รับการประเมินเครดิตองค์กรจากทริสเรทติ้ง ที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยปี 2566 บริษัทฯ ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่มากถึง 58 โครงการ มูลค่าประมาณ 77,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 57,500 ล้านบาท และในครึ่งปีหลังบริษัทฯ เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 55,940 ล้านบาท       บทความน่าสนใจ THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี “Create Your Own Etiquette วิถีแห่งที่สุดของชีวิตสุนทรียะในแบบของคุณ” 10 ปี AP Thailand – Mitsubishi Estate ผ่าแนวคิด Inclusive Living การออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อทุกคน เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัว “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โปรเจ็กต์ร่วมทุน เพรสทีจ-ลักซ์ คอนโด กับ มิตซูบิชิ เอสเตท
[PR] CI มอบแคมเปญ Heart Deal Feel Good ลดครั้งใหญ่ 10 โครงการ ทุกยูนิตจ่ายเพียง 70%

[PR] CI มอบแคมเปญ Heart Deal Feel Good ลดครั้งใหญ่ 10 โครงการ ทุกยูนิตจ่ายเพียง 70%

CI มอบแคมเปญ Heart Deal Feel Good ลดครั้งใหญ่ 10 โครงการ ทุกยูนิตจ่ายเพียง 70% ชาญอิสสระ นำ 10 โครงการในเครือ ร่วมแคมเปญใหญ่ “Heart Deal Feel Good” กระตุ้นยอดปลายปี อัดโปรโมชั่นแรงทุกยูนิตจ่ายเพียง 70% พร้อม On Top สูงสุด 700,000 บาท ครั้งเดียวในรอบปี ทั้งบ้านเดี่ยวสุดหรู บ้านพักตากอากาศ คอนโดมิเนียม และโรงแรม ตั้งแต่วันนี้ – 31 ต.ค. 66   นายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสร้างสรรค์สื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังยังมีปัจจัยสนับสนุนการเติบโต มีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะยังไม่มีการปรับขึ้น ล่าสุดบริษัทฯ เตรียมจัดแคมเปญลดครั้งใหญ่กระตุ้นการตลาด “Heart Deal Feel Good” ลดครั้งใหญ่ในรอบปี ผนึก 10 โครงการในเครือจัดโปรโมชั่นทุกยูนิตจ่ายเพียง 70% พร้อมให้On Top สูงสุดถึง 700,000 บาท ทั้งบ้านเดี่ยวสุดหรู บ้านพักตากอากาศ คอนโดมิเนียม และโรงแรม เพื่อเป็นการคืนกำไรให้กับลูกค้าได้มีโอกาสเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์ในราคาสุดพิเศษ รวมถึงเข้าพักโรงแรมสุดหรู 3 โรงแรมในเครือ ในแพคเกจราคาสุดคุ้ม สำหรับโครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ “Heart Deal Feel Good” ประกอบด้วย โครงการ ดิ อิสสระ สาทร ลักชัวรี่ คอนโดมิเนียม บนทำเลถนนจันทน์-สาทร ที่เชื่อมต่อการอยู่อาศัยของความเป็นเมืองและธรรมชาติเข้าไว้ด้วยกัน  ซึ่งแล้วเสร็จพร้อมโอนตั้งแต่ ตุลาคม นี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 5.59 ล้านบาท “โครงการดิ อิสสระ สาทร เป็นคอนโดมิเนี่ยมพร้อมเข้าอยู่ โลเคชั่นรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิการเดินทางที่สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนสีลม-สาทร จุดขึ้น ลง ทางด่วน สถานศึกษา และโรงพยาบาลชั้นนำ คอมมูนิตี้มอลล์ โดยโครงการให้ความสำคัญด้านงานออกแบบที่มีความเป็นส่วนตัว และเชื่อมโยงมนต์เสน่ห์ของความเป็นเมืองเข้ากับธรรมชาติที่ลงตัวเพียง 270 ยูนิต พร้อมกับพื้นที่ส่วนกลางที่โอ่โถงให้การใช้ชีวิตทุกวันได้พักผ่อนอย่างแท้จริง” นายดิฐวัฒน์ กล่าว นอกจากนี้ยังมี โครงการ บ้านอิสสระ บางนา โครงการบ้านเดี่ยวสุดหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ บนทำเลย่านบางนา บ้านพร้อมเข้าอยู่ ที่ให้ความสำคัญด้านการออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทสถาปนิก A49  ด้วยราคาเริ่มต้น 55 ล้านบาท* ลงทะเบียนรับส่วนลดเพิ่มเติมสูงสุด 700,000 บาท* ขณะที่โครงการศศรา หัวหิน (SASARA HUA HIN) ลักชัวรี่ บีชฟร้อนท์ เรสซิเดนซ์ บนทำเลย่านเขาตะเกียบ หัวหิน ประกอบด้วย อาคารชุดพักอาศัย 4 ชั้น 5 อาคาร จำนวน 110 ยูนิต ด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด “The Art Of Escape” นำศิลปะเข้ามาผสมผสานการออกแบบ สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวโครงการ สะท้อนถึงการใช้ชีวิตที่หลีกหนีจากความวุ่นวาย ในราคาเริ่มต้นที่ 5.99 ล้านบาท มาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายอาทิ สระว่ายน้ำ 5 แบบ 5 สไตล์ Lagoon Pool , Lap Pool, Step waterfall and Hidden Jacuzzi, Kid’s Pool และ Entertainment Pool พร้อมด้วยกิจกรรมมากมายทั้งภายในและภายนอกโครงการ ซึ่งคอนโดจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนภายในปีนี้ ขอมอบโปรโมชั่นพิเศษฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธ์, ฟรีค่าส่วนกลาง 1 ปี, ฟรี ค่ากองทุนส่วนกลาง และฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอนกรรมสิทธิ์ ด้าน Baba Beach Club Luxury Pool Villa Hua Hin พูลวิลล่าสุดหรู “ความสุข ลงทุนได้” บริหารและพัฒนาโดยโรงแรมศรีพันวา ตั้งอยู่บนทำเลใกล้หน้าหาดประมาณ 200เมตร มีการออกแบบให้มีความ “เรียบหรู” ผสานกลิ่นอายของบ้านตากอากาศสไตล์โคโลเนียลเน้นโถงกลางบ้านและระเบียงที่สูงโล่ง ซึ่งแต่ละหลังของ วิลล่า มีความเป็นส่วนตัว ประกอบด้วยสวนสีเขียว และ สระว่ายน้ำส่วนตัวด้านหลังของบ้าน พร้อมห้องนอนที่สามารถลงสู่สระว่ายน้ำได้โดยตรง (Access Pool) รวมไปถึงสวนส่วนตัวในห้องน้ำเพื่อเน้นถึงความเป็นบรรยากาศของความเป็นรีสอร์ท ในราคาเริ่มต้น 31.9 ล้านบาท พร้อมรับโปรโมชั่น Fully Furnished ฟรีเฟอร์ฯ เครื่องใช้ไฟฟ้าครบ พร้อมอยู่, ฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอน, ฟรีค่าธรรมเนียมโอน 1%, ฟรีค่าสมาชิกแรกเข้า, ฟรีค่าสมาชิกรายปี และฟรีค่า Caring Package “โครงการทิวทะเลเวิลด์ ชะอำ – หัวหิน (Thew Talay World Cha Am – Hua Hin) ถือเป็นโครงการ มิกซ์ยูส ที่ผสมผสานทั้งอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย เพื่อการพักผ่อน และเพื่อการพาณิชย์ ที่ประกอบไปด้วย พูลวิลล่าตากอากาศ คอนโดมิเนียม โรงแรม Baba Beach Club ซึ่งมีทั้งโซนบีชฟร้อนท์ และโซน Habita Seaview ร้านกาแฟ ร้านอาหารและพื้นที่จัดงานในทำเลติดชายหาด ซึ่งปัจจุบันทำเลดังกล่าวยังมีอยู่น้อยมาก ทุกโครงการสามารถตอบโจทย์การพักอาศัยให้กับทุกๆ ไลฟ์สไตล์ ที่มาพร้อมกับการให้บริการเต็มรูปแบบ” นายดิฐวัฒน์ กล่าว ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมอย่าง โครงการบ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ (Blue Sapphire) โลว์ไรส์ และไฮไรส์ คอนโดมิเนียม 4 ชั้น 2 อาคาร และ 15 ชั้น 1 อาคาร พร้อมทั้ง Clubhouse อยู่หน้าหาด จำนวน 421 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.89 ล้านบาท ขณะที่ในส่วนของ โครงการบลู ไดมอนด์ (Blu Diamond) ไฮไรส์ คอนโดมิเนียม วิวทะเล สูง 21 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 491 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท โดยจะมีการจัดกิจกรรมในระหว่างวันที่ 13-15 ต.ค. 66  พบกับ Workshop สุดน่ารัก อาหารถิ่นเมืองเพชรบุรี เเละเครื่องดื่มให้บริการลูกค้า ตั้งแต่เวลา09.00 - 18.00 น. ที่สำนักงานขายทิวทะเลเวิลด์ ชะอำ-หัวหิน ขณะที่ โครงการบ้านสีตวัน ปากช่อง-เขาใหญ่  โครงการบ้านพักตากอากาศ  "Discover Tranquility In Your Own Retreat” นิยามของการพักผ่อนที่เป็นตัวคุณ ในทำเลปากช่อง มีความโดดเด่นด้านการออกแบบที่คำนึงถึง Eco-Living โดยนำเทคโนโลยีการก่อสร้างบ้าน Modular จาก SCG HEIM มาผสมผสานดีไซน์จากบริษัทสถาปนิก แฮบบิตา เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และสาธารณูประโภคที่ครบครัน ด้วยราคาบ้านพร้อมอยู่ และแปลงที่ดินเปล่า เริ่มต้น 4.99 -29.99 ล้าน พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษ ฟรีค่าส่วนกลาง 24 เดือน, ฟรีค่ากองทุนสำรอง, ฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอนกรรมสิทธิ์ ลงทะเบียนรับส่วนลด 100,000 บาท ในส่วนของโรงแรมในเครืออย่าง Sri Panwa Phuket ชูแพคเกจโปรโมชั่นห้องพัก 3 วัน 2 คืน ราคาเริ่มต้นเพียง 21,000 บาท* จอง: วันนี้ - 31 ต.ค. 66 เข้าพัก : วันนี้ - 31 ต.ค.67 ด้านโรงแรม Baba Beach Club Natai ชูโปรโมชั่นแพคเกจราคาห้องพัก 3 วัน2 คืน เริ่มต้นเพียง 13,000 บาท จอง: วันนี้ - 31 ต.ค. 66 เข้าพัก: วันนี้ - 16 เม.ย. 67 ขณะที่โรงแรม Baba Beach Club Hua Hin จัดดีลสุดคุ้ม โปรโมชั่นห้องพักคืนละ 5,500 บาท เข้าพัก 2 คืนขึ้นไป เหลือราคาคืนละ 5,115 บาท จอง: วันนี้ - 31 ต.ค. 66 เข้าพัก: วันนี้ - 31 มี.ค.67 สำหรับงานแคมเปญ Heart Deal Feel Good ถือเป็นแคมเปญใหญ่ที่จัดขึ้นครั้งเดียวในรอบปี โดยจะเริ่มตั้งแต่ วันนี้ - 31 ตุลาคม 2566 โปรโมชั่นต่างๆ ของแต่ละโครงการเป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.02 308 2222 หรือ www.charnissara.com, Line:@Charnissara   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง Baan Issara Bangna เปิดแบบบ้านใหม่ พร้อมโปรซื้อบ้านแถมรถ Bentley เปิดตัว Issara Easy Connect  ดูโครงการ-ซื้อขายผ่านออนไลน์ รีวิวคอนโดย่านสาทร วิวคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยา THE ISSARA SATHORN  
[PR News] สกาย กรุ๊ป ส่ง “เมทเธียร์” ลุยภารกิจใหญ่ Smart Facility Management

[PR News] สกาย กรุ๊ป ส่ง “เมทเธียร์” ลุยภารกิจใหญ่ Smart Facility Management

สกาย กรุ๊ป เปิดตัว “เมทเธียร์” รุกธุรกิจใหม่สร้าง New S-Curve ต่อยอดนวัตกรรมแห่งอนาคตสู่ธุรกิจการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อัจฉริยะ ผสานการพัฒนาโซลูชันจากขุมพลัง AI เดินหน้าเจาะโครงการอสังหาฯขนาดใหญ่ 5 กลุ่ม โครงการมิกซ์ยูส-ศูนย์การค้า-ออฟฟิศ-โครงการบ้านและคอนโด-โรงงานอุตสาหกรรม เตรียมระดมเทคโนโลยีสุดล้ำพลิกโฉมธุรกิจ Smart Facility Management       นายขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมทเธียร์ จำกัด (Metthier) ในเครือบริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ สกาย กรุ๊ป (SKY Group) เปิดเผยว่า สกาย กรุ๊ป ได้ต่อยอดความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ (Smart Security) สู่ธุรกิจใหม่ โดยเปิดตัวบริษัทย่อยภายใต้ชื่อ บริษัท เมทเธียร์ จำกัด หรือ “Metthier” เพื่อดำเนินธุรกิจการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์อัจฉริยะ (Smart Facility Management) แบบครบวงจร หลังจากสกาย กรุ๊ป ได้เข้าซื้อกิจการของบริษัท รักษาความปลอดภัยและบริหารธุรการ สยาม จำกัด (รักข์สยาม) หรือ SAMCO ผู้ให้บริการครอบคลุมทั้งด้านการรักษาความปลอดภัย งานธุรการ และงานดูแลความเรียบร้อยของอาคารและสถานที่ ซึ่งมีบุคลากรกว่า 6,000 คน และดูแลกลุ่มลูกค้าองค์กรภาคเอกชนชั้นนำมากกว่า 400 รายในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ อาทิ สถาบันการเงิน ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ อาคารสำนักงาน โรงงาน ผู้ให้บริการพลังงาน เมื่อ ก.ค. ที่ผ่านมา การผสานรวมจุดแข็ง (Synergy) จากทั้ง 2 บริษัท คือ ความเชี่ยวชาญของ Metthier ในด้านการพัฒนาโซลูชันจากขุมพลัง AI (AI-Empowered Solutions) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยอัจฉริยะ มารวมเข้ากับความเป็นมืออาชีพด้านงานรักษาความปลอดภัยและดูแลความเรียบร้อยของอาคาร พร้อมเครือข่ายบุคลากรขนาดใหญ่ของ SAMCO นั้น จะช่วยให้ Metthier สามารถเดินหน้าธุรกิจ Smart Facility Management ได้อย่างแข็งแกร่ง และเป็น New S-Curve ที่ช่วยสร้างการเติบโตให้กับสกาย กรุ๊ป   สกาย กรุ๊ป ส่ง “เมทเธียร์” ลุยภารกิจใหญ่ Smart Facility Management ระดมสุดยอดเทคโนโลยีขั้นสูงให้บริการเมกะโปรเจกต์อสังหา   ทั้งนี้ Metthier ให้บริการครอบคลุมทั้งด้านระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ การบริหารจัดการอาคารสถานที่ รวมถึงโซลูชันที่พัฒนาขึ้นจากเทคโนโลยี AI  พร้อมศูนย์ปฏิบัติการอัจฉริยะเต็มรูปแบบ โดยมุ่งขยายฐานลูกค้าภาคเอกชนที่เป็นเจ้าของหรือผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ที่มีความต้องการด้านการบริหารจัดการอาคารและเทคโนโลยีความปลอดภัยระดับสูงใน 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.โครงการมิกซ์ยูส (Mixed-Use) โครงการอสังหาริมทรัพย์แบบผสมผสาน 2.ศูนย์การค้า 3.อาคารสำนักงาน 4.โครงการบ้านและคอนโด และ 5.โรงงานอุตสาหกรรม     “Metthier มุ่งมั่นที่จะพลิกโฉมธุรกิจ Smart Facility Management ให้แตกต่างจากที่เคยเป็นมา ด้วยการนำเทคโนโลยีแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็น AI CCTV, Smart Incident Management, Digital Twin, 3D Visualization, Indoor Mapping, AIoT and Robotics เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรและระบบภายในอาคาร ทำให้ปัจจุบันเรามีบริการที่พร้อมรองรับโครงการอสังหาริมทรัพย์หลากหลายรูปแบบ ซึ่งเราจะเปิดเผยรายละเอียดภายใน ต.ค. นี้” นายขยล กล่าว   บทความน่าสนใจ HBA เร่งฟื้นกำลังซื้อครึ่งปีหลัง จัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023   
[PR News] การเคหะฯ จับมือพันธมิตรฉลองครบรอบ 50 ปี จัดงานใหญ่ “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023”

[PR News] การเคหะฯ จับมือพันธมิตรฉลองครบรอบ 50 ปี จัดงานใหญ่ “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023”

การเคหะแห่งชาติ จับมือพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ฉลองครบรอบ 50 ปี จัดงานใหญ่ “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023” ภายใต้แนวคิด “คิดถึงบ้าน คิดถึงการเคหะ” ในวันที่ 1-3 กันยายนนี้ พร้อมยกทัพโครงการที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและระหว่างก่อสร้างในทำเลศักยภาพทั่วประเทศจำนวน 11,492 หน่วย ให้ประชาชนร่วมจับจองเป็นเจ้าของ ในราคาจองเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท    นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานภายใต้กำกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุมชนและเมือง ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและครัวเรือนเปราะบางมาตลอดระยะเวลา 50 ปี สามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยไปแล้วกว่า 7 แสนหน่วย ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการเคหะชุมชน โครงการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด โครงการเคหะข้าราชการ โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง โครงการอาคารเช่า เป็นต้น และในวาระครบรอบ 50 ปี ของการเคหะฯ จึงได้จับมือร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนจัดงาน “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023” ภายใต้แนวคิด “คิดถึงบ้าน คิดถึงการเคหะ” ในระหว่างวันที่ 1-3 กันยายน 2566 ตั้งแต่เวลา 08.30-18.00 น. ณ สำนักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ และสำนักงานเคหะนครหลวง สำนักงานเคหะจังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.   “งานมหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023 ถือเป็นอีกหนึ่งงานสำคัญแห่งปีที่ประชาชนจะได้มีโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัยระดับคุณภาพ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดี ในราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ โดยการเคหะแห่งชาติได้จับมือร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ เครือข่ายพันธมิตรและสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อมอบโปรโมชั่นสุดพิเศษให้กับประชาชนที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็น อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เฟอร์นิเจอร์และสินค้าแต่งบ้าน ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับบ้านในราคาสุดพิเศษ เพื่อมอบเป็นของขวัญช่วงปลายปีให้กับประชาชน ตามวิสัยทัศน์ของหน่วยงานที่ว่า “สร้างบ้าน สร้างสุข เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี”นายทวีพงษ์ กล่าว   สำหรับ งาน “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023” การเคหะแห่งชาตินำโครงการที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและระหว่างก่อสร้างทั่วประเทศ จำนวน 11,492 หน่วย ประกอบไปด้วย โครงการเคหะชุมชน โครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามโครงข่ายคมนาคมโครงสร้างพื้นฐาน (TOD) และโครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ แบ่งเป็น กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 4,824 หน่วย ภาคกลาง 1,008 หน่วย ภาคเหนือ 505 หน่วย ภาคตะวันออก 2,339 หน่วย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,329 หน่วย และภาคใต้ 1,487 หน่วย ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารชุด บนทำเลศักยภาพที่มีความโดดเด่นไม่แพ้กันในแต่ละภาค มาให้ประชาชนที่สนใจได้ร่วมจับจองเป็นเจ้าของ โดยจองเริ่มต้นพียง 1,000 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ยังมอบโปรโมชั่นส่วนลดสุดพิเศษถึง 3 ต่อ ต่อที่ 1 ส่วนลดสูงสุด 10% จากมาตรการสนับสนุนการเข้าถึงที่อยู่อาศัยฯ หรือเลือกเช่าเพื่อซื้อ (Rent to buy) บ้านพร้อมที่ดิน 1,500 บาทต่อเดือน ห้องชุดขนาด 33 ตร.ม. 1,200-1,500 บาทต่อเดือน ห้องชุดขนาด 24 ตร.ม. 1,000-1,200 บาทต่อเดือน   ต่อที่ 2 เช่าซื้ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ จากโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยฯ (คบส.) กรณีไม่ผ่านสินเชื่อธนาคาร  สำหรับบุคคลทั่วไป ปีที่ 1-4 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.50% สำหรับกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือบุตรที่ซื้อบ้านในโครงการที่พ่อแม่อาศัยอยู่) ปีที่ 1-5 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.50% ผ่อนต่อเดือนเริ่มต้น 1,000 บาท หรือเช่าซื้อ กคช. อัตราดอกเบี้ยพิเศษ สำหรับบุคคลทั่วไป ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4% สำหรับกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือบุตรที่ซื้อบ้านในโครงการที่พ่อแม่อาศัยอยู่) ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4% ผ่อนต่อเดือนเริ่มต้น 1,200 บาท และส่วนลดปิดโครงการสูงสุด 10,000 บาท สำหรับโครงการที่มีอาคารคงเหลือไม่เกิน 10 หน่วย   ต่อที่ 3 จองภายในวันงานรับส่วนลดเพิ่มทันที 15,000-40,000 บาท แบ่งเป็น โครงการเชิงสังคม 15,000 บาท โครงการเชิงพาณิชย์ ราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาทต่อหน่วย ลด 20,000 บาท ราคามากกว่า 2.5 ล้านบาทต่อหน่วย ลด 40,000 บาท รวมส่วนลดสำหรับโครงการที่เข้าร่วมทุกโปรโมชั่นสูงสุด 80,000 บาท รายละเอียดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และโครงการที่เข้าร่วมเป็นไปตามที่การเคหะแห่งชาติกำหนด พร้อมพบกับกิจกรรมให้ความรู้ กิจกรรมการทำน้ำหมักจุลินทรีย์ ตรวจสอบเครดิตบูโรฟรี รับสมัครงาน สินค้าชุมชน สินค้าตกแต่งบ้าน สินค้าอุปโภคบริโภคราคาประหยัดจากโครงการธงฟ้า และบูธสถาบันการเงินต่าง ๆ อาทิ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารทีเอ็มบีธนชาติที่จะมาให้คำแนะนำและให้บริการเรื่องการยื่นขอสินเชื่อสำหรับลูกค้าภายในงานฯ   การเคหะแห่งชาติ รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีภารกิจหลักในการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ทั้งด้านกายภาพ เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม สอดรับแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) ภายใต้วิสัยทัศน์ “คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579” โดยมุ่งเน้นส่งเสริมและพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชน สนับสนุนให้มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ปัจจุบันได้พัฒนาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศแล้วกว่า 7 แสนหน่วย พร้อมขับเคลื่อนโครงการสำคัญตอบสนองนโยบายรัฐบาล และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยังดำเนินโครงการ “บ้านเคหะสุขประชา” บ้านเช่าพร้อมอาชีพ ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง และ “บ้านเคหะสุขเกษม” สร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กับคนวัยเกษียณ   บทความน่าสนใจ การเคหะฯ ออก 3 มาตรการช่วยลูกค้าเก่า-ใหม่ จัดโปรฯ ลดดอกเบี้ย-ค่างวด ปรับโครงสร้างหนี้