Tag : PR

192 ผลลัพธ์
[PR] didacta asia 2024 เปิดเวทีการศึกษาครั้งใหญ่ ดึงเหล่ากูรูไทย-เทศ ถกมุมมองนำเสนอนวัตกรรมการศึกษาแห่งอนาคต

[PR] didacta asia 2024 เปิดเวทีการศึกษาครั้งใหญ่ ดึงเหล่ากูรูไทย-เทศ ถกมุมมองนำเสนอนวัตกรรมการศึกษาแห่งอนาคต

didacta asia 2024 พร้อมเปิดฉากงานมหกรรมการศึกษาครั้งยิ่งใหญ่ ระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร่วมพลิกโฉมอนาคตการศึกษาไทยสู่สากล ระดมนักวิชาการ-ผู้ทรงคุณวุฒิ ชั้นนำทั้งไทย และต่างประเทศ ขึ้นเวทีเสวนาแลกเปลี่บนมุมมอง นโยบายการศึกษา เดินหน้าพัฒนาครู บุคลากรทางการศึกษา ชูนวัตกรรมการเรียนรู้ใหม่ๆ ผ่านการจัดงานแสดงสินค้า พร้อมรองรับวิวัฒนาการการเปลี่ยนแปลงของโลกการศึกษาแห่งอนาคต   นายฮันส์ สโตเตอร์ กรรมการผู้จัดการประจำเอเชียและจีน ของ Messe Stuttgart – ผู้จัดงาน didacta asia กล่าวว่า ในยุคปัจจุบันการศึกษามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การมีความเข้าใจมุมมองใหม่ รู้จักปรับความรู้ ทักษะ ให้เท่าทันความก้าวหน้า และความเปลี่ยนแปลงของโลก จะเป็นการช่วยเปิดโอกาสให้ผู้คน สังคม รวมไปถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจมีความก้าวหน้าจากนวัตกรรมความเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาที่เกิดขึ้น และเพื่อเป็นการยกระดับแลกเปลี่ยนความรู้และนวัตกรรมทางการศึกษาให้แก่สถาบันการศึกษา  ครู อาจารย์ ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้ให้บริการเทคโนโลยีด้านการเรียนการสอน สมาคมการศึกษาและผู้นำด้านการจัดงานแสดงสินค้าจากประเทศเยอรมันนำโดย Didacta Association, Koelnmesse Thailand / Expolink Global Network Ltd. และ Messe Stuttgart ได้เตรียมจัดงาน didacta asia 2024 ครั้งใหญ่ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้าง พร้อมผลักดันระบบการศึกษาทุกระดับให้มีประสิทธิภาพสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างมีคุณภาพทั้งในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชีย     สำหรับงาน didacta asia 2024 จะจัดขึ้นหว่างวันที่ 16 - 18 ตุลาคม 2567 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ภายใต้แนวคิด Shaping the Future Skills มุ่งเน้นแนวคิด สร้างทักษะเพื่ออนาคต ด้วยการเน้นใช้เทคโนโลยีมายกระดับการเรียนการสอน และพัฒนาการเรียนรู้ในทุกระดับการศึกษา ผสานกับการเรียนการสอนยุคใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และคุณภาพของการศึกษาในภูมิภาค โดยร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานการศึกษาในประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ในรูปแบบการจัดประชุมระดับนานาชาติ (didacta asia congress), การเปิดเวทีให้บุคลากรทางการศึกษา และผู้มีส่วนร่วม เข้ามาแบ่งปันประสบการณ์ ร่วมพัฒนาการศึกษาแห่งอนาคต จากผู้นำในวงการการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ (didacta asia Forum), การจัดมหกรรมแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา นำเสนอนวัตกรรม โซลูชัน ใหม่ๆ ให้ทดลองใช้ พร้อมจำหน่ายในราคาพิเศษ บนพื้นที่จัดแสดงกว่า 1,500 ตารางเมตร รวมถึงพาวิลเลียนพิเศษจากประเทศเยอรมนี ฮ่องกง จีน และเกาหลีใต้ เป็นต้น (didacta Trade Fair & International Pavilions) และการจัดแข่งขันการควบคุมหุ่นยนต์ ด้วยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 ครั้งที่ 3 ชิงถ้วยพระราชทานฯ ในระดับอุดมศึกษา และ อาชีวศึกษา (Skill Competition)     “didacta asia 2024 นับว่าเป็นการจัดขึ้นมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ และเป็นการจัดครั้งแรก ภายใต้ชื่อ didacta asia ในประเทศไทย ที่มีการรวมบุคลากรด้านการศึกษามากมายมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมอง แนวคิด พร้อมยกระดับการศึกษาทั้งในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในทุกๆ ระดับการศึกษา ได้นำไปปรับใช้ให้ทันต่อโลกของการเปลี่ยนแปลง” นายฮันส์ กล่าว   ทั้งนี้ภายในงานยังมีหัวข้อการสัมมนามากมายที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเวทีระดับรัฐมนตรี ในหัวข้อ นโยบายการศึกษาเท่าเทียมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บรรยายโดย ผู้อำนวยการสำนักงานเลขาธิการองค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีมีโอ) และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เยาวชน และกีฬา กัมพูชา, เวทีเสวนา European-Asian-Pacific Dialogue Forum โดย ภาคีหน่วยงานอาชีวศึกษาจากเยอรมนี ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ ใน หัวข้อหลัก ความท้าทายในการพัฒนาการศึกษา และการฝึกอบรมวิชาชีพให้มีความยืดหยุ่น ครอบคลุม และมีประสิทธิภาพ โดยถอดบทเรียนจากการเข้าไปช่วยฝึกสอนจริงในหลายประเทศ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บัลกาเรีย และเซอร์เบีย นอกจากนี้ยังมีการเสวนาในเรื่อง AI หรือครู ใครเก่งกว่ากัน จากผู้ทรงคุณวุฒิของประเทศไทย อาทิ เลาขาธิการคุรุสภา ผู้อำนวยการศูนย์ภูมิภาคว่าด้วยสะเต็มศึกษาขององค์การรัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสเคิร์ฟ จำกัด และ นายกสมาคมเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา และเสวนาปั้นอนาคตด้วย AI: เพิ่มหลักสูตรพลิกเกมในการศึกษาระบบ K-12 โดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) โดยปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่กำลังจะกลายเป็นหลักสูตรใหม่ที่จะเตรียมความพร้อมให้เด็กๆ ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ถึงระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้เรียนรู้พื้นฐานและการประยุกต์ใช้ AI ในชีวิตจริงอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้ก้าวทันเข้าสู่โลกเทคโนโลยีอย่างมั่นใจ ทั้งยังได้ฝึกเป็นนักคิด นักพัฒนา และผู้ใช้เทคโนโลยีที่รับผิดชอบต่อสังคม     อย่างไรก็ตามจากความร่วมมือของทุกหน่วยงานที่ร่วมกันจัดงาน didacta asia 2024 ในครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาและบริษัทเทคโนโลยี รวมถึงการเพิ่มความรู้และทักษะให้กับผู้เข้าร่วมในด้านการนำเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ในการศึกษา พร้อมการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาและการนำไปใช้ในวงการศึกษาในภูมิภาคเอเชีย และสร้างการรับรู้และขยายตลาดทางการศึกษาสำหรับผู้ประกอบการ ในอนาคตได้อย่างยั่งยืนต่อไป    
AWC เปิดตัว “EA” (เอ-ญ่า) แลนด์มาร์กใหม่ให้ประเทศไทย-ไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ ณ “เอ็มไพร์”

AWC เปิดตัว “EA” (เอ-ญ่า) แลนด์มาร์กใหม่ให้ประเทศไทย-ไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ ณ “เอ็มไพร์”

AWC เปิดตัว “EA” (เอ-ญ่า) เป็นแลนด์มาร์กใหม่ให้ประเทศไทยแล้ว สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกบนไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ ณ “เอ็มไพร์” ต้อนรับทุกคนร่วมสัมผัสไลฟ์สไตล์เดสติเนชั่นสุดพิเศษ   บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร สร้างปรากฎการณ์ระดับโลกเปิดตัว “EA” Rooftop at The Empire (เอ-ญ่า รูฟทอป แอท ดิ เอ็มไพร์) อย่างยิ่งใหญ่แล้ววันนี้ กับแลนด์มาร์กด้านการท่องเที่ยวแห่งใหม่ของประเทศไทย (Landmark Destination of Thailand) ที่รวม Top Cuisine ชั้นนำระดับเวิล์ดคลาสมาสู่รูฟทอปที่วิวสวยที่สุดในกรุงเทพฯ ทั้ง “Nobu Bangkok” (โนบุ แบงค๊อก) กับเชฟระดับตำนาน เชฟโนบุ มัตสึฮิสะ เปิดห้องอาหาร Nobu สูงที่สุดในโลก รวมถึง “EA CHEF'S TABLE” (เอ-ญ่า เชฟ เทเบิล) สัมผัสประสบการณ์เชฟเทเบิลจาก 3 เชฟระดับมิชลินสตาร์ กับห้องอาหารไทยบนรูฟทอปแห่งแรกของโลกโดยเชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร ห้องอาหารในต่างประเทศแห่งแรกของเชฟวิคกี้ เชง และห้องอาหารอิตาเลียนคลาสสิกร่วมสมัยโดยเชฟเปาโล อายราวโด และ “EA Gallery” (เอ-ญ่า แกลลอรี) แหล่งรวมไลฟ์สไตล์ร้านอาหารและคาเฟ่ชั้นนำ พร้อมเชิญชวนคนไทย นักท่องเที่ยว นักชิม ร่วมสัมผัสประสบการณ์ระดับโลกกับจุดหมายปลายทางแห่งไลฟ์สไตล์เหนือระดับ และอีกหนึ่งจุดเช็คอินห้ามพลาดบนไลฟ์สไตล์รูฟทอปที่ใหญ่และสูงที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมดื่มด่ำไปกับทัศนียภาพของเส้นขอบฟ้าและคุ้งน้ำเจ้าพระยาอันงดงามทั้งกลางวันและกลางคืนแบบ 360 องศา ณ “เอ็มไพร์” อาคารสำนักงานแบบไลฟ์สไตล์ระดับแฟลกชิปของ AWC บนพื้นที่ยุทธศาสตร์ใจกลางพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญย่านสาทร ภายใต้แนวคิด “Celebrating The World’s Newest Horizon” ร่วมสร้างมิติใหม่ให้กับวงการอาหารและการท่องเที่ยวของไทย พร้อมสนับสนุนกรุงเทพฯ ในฐานะศูนย์กลางด้านอาหารและการท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก     นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “AWC มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เปิดตัว ‘EA’ Rooftop at The Empire ไลฟ์สไตล์เดสติเนชั่นบนรูฟทอปของ ‘เอ็มไพร์’ โครงการระดับแฟลกชิปของ AWC อย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ครอบคลุมพื้นที่รวมกว่า 10,000 ตร.ม. เพื่อเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของประเทศไทย นำประสบการณ์ด้านอาหารและไลฟ์สไตล์ระดับโลกแห่งใหม่มาสู่นครหลวงด้านการท่องเที่ยวอย่างกรุงเทพฯ โดยได้ร่วมมือกับคาเฟ่ ห้องอาหาร เชฟระดับตำนาน และเชฟระดับมิชลินสตาร์ มาร่วมสร้างสรรค์ประสบการณ์ของการรับประทานอาหารเหนือระดับผ่านสุนทรียรส การตกแต่งอันหรูหรา และวิวพาโนรามาของกรุงเทพฯ จากมุมสูงที่ไม่มีใครเหมือน AWC มั่นใจว่า ‘EA’ จะสร้างปรากฎการณ์ใหม่ด้านอาหารและเครื่องดื่มบนรูฟทอป (F&B Rooftop Destination) ที่โดดเด่นและควรค่าแก่การมาเยือนให้กับกรุงเทพฯที่ทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ไม่ควรพลาด เพื่อร่วมสนับสนุนการท่องเที่ยวของประเทศในภาพรวม รวมถึงสร้างมิติใหม่ให้กับแวดวงอาหารและเครื่องดื่มของไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก สอดคล้องกับพันธกิจของบริษัทฯ ที่ต้องการสร้างมาตรฐานและสร้างโอกาสใหม่ให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยอย่างยั่งยืน รวมถึงขอขอบคุณโรงแรม แบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค พันธมิตรหลักที่มาร่วมสร้างสรรค์โครงการนี้ รวมถึงดูแลระบบการจัดการและการให้บริการของห้องอาหารต่างๆ ภายในโครงการ ‘EA’ อีกด้วย” สัมผัสประสบการณ์เหนือระดับที่ “Nobu Bangkok” ห้องอาหาร Nobu ที่สูงที่สุดในโลก “Nobu Bangkok” ห้องอาหาร Nobu ที่สูงที่สุดในโลก ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 3 ชั้น รวมถึงชั้นดาดฟ้าของ “เอ็มไพร์” นำเสนอประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ผสานศิลปะการทำอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมเข้ากับอิทธิพลด้านอาหารจากเปรู โดยเชฟระดับตำนานอย่างเชฟโนบุ มัตสึฮิสะ พร้อมด้วยวิวพาโนรามาอันงดงามของกรุงเทพฯ ทั้งกลางวันและกลางคืน ที่จะมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารอันน่าประทับใจเหนือระดับให้กับผู้มาเยือน ด้วยการบริการชั้นเลิศและเมนูอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ ที่เชฟโนบุได้รังสรรค์เมนูอันโดดเด่นผ่านทักษะความเป็นเลิศด้านการทำอาหาร พร้อมได้รับการออกแบบอย่างงดงามโดยบริษัทออกแบบระดับโลก Rockwell Group ด้วยแรงบันดาลใจจากสุนทรียะศิลปะแบบไทยและญี่ปุ่นที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว เพื่อช่วยสร้างสรรค์ช่วงเวลาอันน่าจดจำให้กับมื้อสำคัญ หรือค่ำคืนอันน่าประทับใจ กับประสบการณ์สุดพิเศษที่จะยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้มาเยือนไปอีกยาวนาน   “EA CHEF’S TABLE” รวมห้องอาหารโดยเชฟมิชลินสตาร์ “EA CHEF’S TABLE” ตั้งอยู่บนชั้น 56 ของ “เอ็มไพร์” รวม 3 ห้องอาหาร 3 สัญชาติ จาก 3 เชฟระดับมิชลินสตาร์ นับเป็นเชฟเทเบิลที่สูงที่สุดในประเทศไทย นำเสนอไลฟ์สไตล์การกินดื่มเหนือระดับอย่างมีเอกลักษณ์ ท่ามกลางวิวพาโนรามาของกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ประกอบด้วย   “Le Du Kaan” การเดินทางผ่านหลากหลายฤดูกาลของวัฒนธรรมและอาหารไทย  ห้องอาหาร “Le Du Kaan” (ฤดูกาล) โดยเชฟระดับมิชลินสตาร์ เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร ถือเป็นห้องอาหารไทยโดยเชฟมิชลินสตาร์บนรูฟทอปแห่งแรกของโลก นำเสนอเมนูอาหารที่ผสมผสานอาหารไทยร่วมสมัยเข้ากับศิลปะการเล่าเรื่องอย่างมีเอกลักษณ์ เพื่อทำให้ทุกๆ จานเป็นเสมือนการเฉลิมฉลองวัฒนธรรมอันรุ่มรวย และวัตถุดิบคุณภาพในท้องถิ่นอันโดดเด่นที่คัดสรรมาจากชาวนาและชาวประมงไทยโดยตรง พร้อมการตกแต่งอย่างหรูหราราวกับงานศิลปะบนจานอาหาร ภายในร้านประกอบไปด้วยโซนรับประทานอาหารหลากหลายสไตล์รวมถึง บาร์เลานจ์ในร่มสุดชิค บาร์กลางแจ้งสีสันสดใส และพื้นที่ระเบียงกลางแจ้งขนาดใหญ่ เพื่อเป็นพื้นที่อันสมบูรณ์แบบในการชมพระอาทิตย์ตกดินเหนือกรุงเทพมหานคร  เชฟต้น ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร กล่าวว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ‘EA’ ในฐานะห้องอาหารไทยบนรูฟทอปแห่งแรกของโลก การร่วมงานในครั้งนี้ถือเป็นการเดินทางสู่ฤดูกาลใหม่ในจุดหมายปลายทางแห่งใหม่อันเป็นเอกลักษณ์ ร่วมกับเชฟระดับมิชลินสตาร์ที่มีชื่อเสียงจากหลากหลายสัญชาติที่ได้มาร่วมกันอย่างยิ่งใหญ่ ณ EA CHEF’S TABLE ซึ่งจะช่วยสร้างสรรค์ประสบการณ์การรับประทานอาหารที่สุดพิเศษให้กับผู้ที่มาเยือน โดยเฉพาะเมนู ‘กะเพราเนื้อหม้อไฟ’ ที่ได้รับการรังสรรค์มาโดยเฉพาะสำหรับห้องอาหาร ‘Le Du Kaan’ เพื่อมอบความประทับใจและประสบการณ์สุดพิเศษที่ไม่เหมือนใคร”         “K by Vicky Cheng” ผลงานชิ้นเอกของอาหารจีนร่วมสมัย และห้องอาหารจีนสาขาแรกในต่างแดนของเชฟวิคกี้ ลิ้มรสอาหารจีนร่วมสมัยจากเชฟระดับมิชลินสตาร์ เชฟวิคกี้ เชง ได้ง่ายยิ่งขึ้นที่ ห้องอาหาร “K by Vicky Cheng” (เคย์ บาย วิคกี้ เชง) ห้องอาหารในต่างประเทศแห่งแรกของเชฟวิคกี้ ที่จะมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารจีนร่วมสมัยที่ไม่มีใครเหมือนผ่านการผสมผสานรสชาติแบบดั้งเดิม ผนวกกับแนวคิดด้านอาหารที่มีเอกลักษณ์จากแรงบันดาลใจของภูมิปัญญาโบราณของ 24 ภาวะตามปฏิทินจีนเข้ากับการเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล เพื่อดึงความโดดเด่นของวัตถุดิบที่ดีที่สุดในแต่ฤดู ภายในห้องอาหารได้รับการออกแบบอย่างโดดเด่นด้วยโทนสีแดงเบอร์กันดีเข้มและศิลปะแบบจีน สะท้อนถึงความเคารพต่อมรดกแห่งอดีตและการโอบรับความทันสมัยของปัจจุบัน รวมถึงลวดลายกิเลนซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอายุที่ยืนยาวและความมั่งคั่ง เชฟวิคกี้ เชง กล่าวว่า “ผมรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่งที่วันนี้ได้เปิดห้องอาหารในต่างประเทศแห่งแรกของผมที่ ‘EA’ ด้วยความเชื่อมั่นในวิถีแห่งการรับประทานอาหารของคนไทยที่มีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมอาหารจีนในชีวิตประจำวัน ผมหวังว่าเมนูอาหารที่ผมได้สร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่นี้ จะมอบความสุขและความเพลิดเพลินให้กับทุกคน และช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างอาหารจีนและวัตถุดิบชั้นเยี่ยมของไทยผ่านมุมองใหม่ ผมมั่นใจว่า ‘K by Vicky Cheng’ จะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เติมเต็มประสบการณ์การรับประทานอาหารที่ไม่เหมือนใครให้กับทุกท่าน”       “Sartoria by Paulo Airaudo” อิตาเลียนไฟน์ไดนิ่งอันน่าหลงใหล ห้องอาหาร “Sartoria by Paulo Airaudo” (ซาโตเรียอาร์ บาย เปาโล อายราวโด) นำเสนอนิยามใหม่ของเมนูอาหารอิตาเลียนคลาสสิกร่วมสมัยที่ได้รับการรังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถันโดยเชฟระดับมิชลินสตาร์ เชฟเปาโล อายราวโด (Paulo Airaudo) กลั่นกรองจากประสบการณ์การทำอาหารมายาวนาน จากหลายประเทศ หลากวัฒนธรรม เพื่อนำเสนอความหรูหราเหนือระดับด้วยอาหารอิตาเลียนไฟน์ไดนิ่งชั้นสูงจากวัตถุดิบที่ดีที่สุดตามฤดูกาลในแต่ละช่วง คัดสรรจากผู้ผลิตท้องถิ่นที่ดีที่สุดในประเทศไทย พร้อมเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนได้ชมศิลปะการทำอาหารอย่างใกล้ชิดผ่านครัวแบบเปิด โดยมีทัศนียภาพอันงดงามยามค่ำของกรุงเทพมหานครเป็นฉากหลัง เติมเต็มความสมบูรณ์แบบแห่งช่วงเวลาสุดพิเศษของการรับประทานอาหาร โดยจะพร้อมเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 เชฟเปาโล อายราวโด กล่าวว่า “ผมรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสนำเสนออาหารอิตาเลียนแบบไฟน์ไดนิ่งที่ห้องอาหารของผมในกรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นการเปิดห้องอาหารแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของผม ด้วยความตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์สุดพิเศษอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความประทับใจให้กับทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ด้วยเมนูรสเลิศที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นจากมรดกทางวัฒนธรรมของอาหารยุโรป เพื่อมาร่วมเติมเต็มสีสันให้กับจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มแห่งใหม่ที่โครงการระดับโลกอย่าง ‘EA’ ในประเทศไทย”   “EA Gallery” จุดหมายปลายทางด้านไลฟ์สไตล์พร้อมด้วยวิวสุดพิเศษ “EA Gallery” ตั้งอยู่บนชั้น 55 ของ “เอ็มไพร์” ที่ได้เปิดให้บริการตั้งแต่ต้นปี 2567 ที่ผ่านมาและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากมาย นำเสนอความหลากหลายของอาหาร เครื่องดื่ม และความบันเทิงจากร้านอาหาร คาเฟ่ และบาร์ที่มีวิวมุมสูงของกรุงเทพฯ  ประกอบไปด้วย ร้าน % Arabica สาขาที่สูงที่สุดในโลก เพลิดเพลินกับกาแฟหอมกรุ่นพลางดื่มด่ำกับวิวของมหานครเเบบพาโนร่ามาได้ในเวลาเดียวกัน 手qraft (คราฟท์) บริการอาหารเช้าปราณีตสไตล์ตะวันออกร่วมสมัยในคอนเซ็ปต์ ‘oriental brunch’ โดย Peace 和 Oriental Teahouse และ Onggi ร้านอาหารเกาหลีที่คุณสามารถเพลิดเพลินกับ Hanjeongsik ประสบการณ์การทานอาหารแบบเซทต้นตำรับของเกาหลีจากวัตถุดิบไทยกับการหมักแบบเกาหลีดั้งเดิมรวมถึง Invitation Only บาร์ลับบนรูฟทอปที่ให้คุณได้ตื่นตาไปกับวิวกรุงเทพมหานครและเพลิดเพลินไปกับดนตรีสากลย้อนยุค 80s 90s และ 2000 โดยทีมงานจาก The Cassette Music Bar ร่วมชื่นชมแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของประเทศไทย และสัมผัสประสบการณ์การรับประทานอาหารที่สุดพิเศษท่ามกลางทัศนียภาพอันงดงามของกรุงเทพฯ และสายน้ำเจ้าพระยา ณ “EA” ที่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ติดตามข้อมูลของ “EA” ได้ที่ www.empirebuilding.co/th/ea สนใจสำรองที่นั่งห้องอาหาร “Nobu Bangkok” ล่วงหน้าได้ที่ www.noburestaurants.com/bangkok รวมถึง “EA CHEF'S TABLE” สำรองที่นั่งล่วงหน้าสำหรับห้องอาหาร “Le Du Kaan” ได้ที่ www.ledukaan.com และห้องอาหาร “K by Vicky Cheng” ได้ที่ www.kbyvickycheng.com   ข่าวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง มีอะไรใหม่ใน เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ หลังทุ่มพันล้านสู่ Co-Living Space เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลาง  
[PR] กลุ่มชาญอิสสระ ดึง KOL ร่วมสร้างคอนเทนต์โปรโมทแคมเปญใหญ่แห่งปี

[PR] กลุ่มชาญอิสสระ ดึง KOL ร่วมสร้างคอนเทนต์โปรโมทแคมเปญใหญ่แห่งปี

กลุ่มชาญอิสสระ นำโดย นางธีราภรณ์ ศรีเจริญวงศ์ กรรมการผู้จัดการ, นายดิฐวัฒน์ อิสสระกรรมการ และผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ พร้อมคณะผู้บริหาร ร่วมจัดงาน ISSARA DAY POWER UP by CHARN ISSARA ชวนเหล่า KOL ร่วมสร้างสรรค์คอนเทนต์ โปรโมทแคมเปญใหญ่แห่งปี CHARN ISSARA POWER UP ซุปเปอร์โปร ซุปเปอร์ดีล แจกรถไฟฟ้าทุกยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.9 ล้านบาท กับ 6 โครงการคุณภาพในเครือ ทั้งในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด ประกอบด้วย โครงการบ้านอิสสระ บางนา, โครงการ ดิ อิสสระ สาทร,โครงการบ้านสีตวัน ปากช่อง-เขาใหญ่, โครงการศศรา หัวหิน, โครงการซาซ่าส์ หัวหิน และ โครงการบลูไดมอนด์ ชะอำ-หัวหิน  โดยเนรมิตโครงการบ้านอิสสระ บางนา ให้เป็นศูนย์กลางในการรวม 6 โครงการคุณภาพที่เข้าร่วมแคมเปญ มาให้ได้สัมผัสถึงบรรยากาศโครงการ และบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของกลุ่มชาญอิสสระ ผ่านโซนกิจกรรมต่างๆ ณ โครงการ บ้านอิสสระ บางนา เมื่อเร็วๆ นี้
CPN ทุ่ม 1.5 หมื่นล้าน พลิกโฉม 4 มิกซ์ยูส และปักหมุดใหม่ “เซ็นทรัล กระบี่”

CPN ทุ่ม 1.5 หมื่นล้าน พลิกโฉม 4 มิกซ์ยูส และปักหมุดใหม่ “เซ็นทรัล กระบี่”

CPN ทุ่ม 1.5 หมื่นล้าน พลิกโฉม 4 มิกซ์ยูส และปักหมุดใหม่ “เซ็นทรัล กระบี่” เซ็นทรัลพัฒนา ผู้นำอสังหาฯไทย ชูกลยุทธ์ ‘The Future-Fluent Transformation’ เดินหน้ามิกซ์ยูสใหม่ภาคใต้และพลิกโฉมมิกซ์ยูสในย่านสำคัญครั้งยิ่งใหญ่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 15,000 ล้านบาท ดันเศรษฐกิจและท่องเที่ยวของประเทศ     ทรานส์ฟอร์มสู่อนาคต ตอกย้ำเป็น Centre of District ของทุกที่สำหรับทุกเจนเนเรชั่น  ปักหมุดมิกซ์ยูสใหม่ยิ่งใหญ่ “เซ็นทรัล กระบี่” ส่งเสริมศักยภาพเมืองท่องเที่ยวระดับโลกที่มีรายได้ท่องเที่ยวมหาศาล, ผู้คนที่มีเอกลักษณ์และหลากหลาย ด้วยไลฟ์สไตล์กำลังซื้อสูง Area of Growth & Area of Affluence พลิกโฉมมิกซ์ยูสแบบ Total Transformation & New Masterplanning ได้แก่ เซ็นทรัล บางนา, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ เพื่อตอบโจทย์กลุ่ม Upper Class และกำลังซื้อสูงแบบย่าน Bangkok CBD พร้อมปั้น เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต เดสติเนชั่นที่ทุกคนต้องมา ตอบรับกำลังซื้อ 3 จังหวัดภาคเหนือ รับนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นอย่างล้นหลามจากการขยายสนามบิน / Mega Projects     บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อความยั่งยืน ตอกย้ำความสำเร็จโมเดลธุรกิจ ‘The Ecosystem for All’ เชื่อมโยงทุกธุรกิจทั้ง Retail-Residence-Hotel-Office ประกาศสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ทรานส์ฟอร์มสู่อนาคตด้วยกลยุทธ์ The Future-Fluent Transformation เพื่อพัฒนาย่าน เมือง และประเทศ โดยพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสใหม่และพลิกโฉมโครงการในโลเคชั่นสำคัญต่างๆ รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 15,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการมิกซ์ยูสแห่งใหม่ “เซ็นทรัล กระบี่” มูลค่า 4,500 ล้านบาท เตรียมเปิด Q3/68 และโครงการ Total Transformation & New Masterplanning ของอีก 4 มิกซ์ยูสสำคัญ มูลค่าโครงการมากกว่า 10,000 ล้านบาท ได้แก่ ‘เซ็นทรัล บางนา’ โฉมใหม่ Q1/69, ‘เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า’ โฉมใหม่ Q2/68, ‘เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ’ โฉมใหม่ Q2/68, และ ‘เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต’ โฉมใหม่ Q1/69 ทั้งหมดนี้เพื่อรองรับการขยายตัวของย่านและเมือง ตอบโจทย์ Sophisticated Lifestyle ของลูกค้าที่มีกำลังซื้อและความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ รับชมวิดีโอ คลิก: https://www.youtube.com/watch?v=DYnncAJ4Ra8    นายชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล Chief Development and Commercial Officer บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “เซ็นทรัลพัฒนา พร้อมที่จะทรานส์ฟอร์มสู่อนาคตและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในย่านสำคัญต่างๆ ของกรุงเทพฯ และจังหวัดสำคัญของประเทศ เพื่อตอบโจทย์ Future Consumers โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราเป็นนักพัฒนาที่สร้างสรรค์ Future-Fluent Development ให้กับผู้คน ชุมชน และใส่ใจสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำแนวคิด ‘Centre of Life’ พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิต และกระจายความเจริญทั่วประเทศ โดยมีโครงการ Retail-Led Mixed-Use ทั้งหมด 5 โครงการสำคัญที่จะประกาศในวันนี้ ซึ่งมีมูลค่าโครงการรวมทุกองค์ประกอบทั้งศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย โรงแรม และ Convention Hall รวมกันกว่า 15,000 ล้านบาท นำโดย ‘เซ็นทรัล กระบี่’ โครงการมิกซ์ยูสที่ยิ่งใหญ่แห่งแรกใจกลางกระบี่ และ ยังมีการพลิกโฉมสู่โครงการมิกซ์ยูสแห่งอนาคตครั้งยิ่งใหญ่ในย่านสำคัญต่างๆ แบบ Total Transformation ได้แก่ ‘เซ็นทรัล บางนา’, ‘เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า’, ‘เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ’, และ ‘เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต’ อีกด้วย”   โดยภายในงานแถลงข่าวได้รับเกียรติจากผู้บริหารของเซ็นทรัลพัฒนาร่วมให้วิสัยทัศน์และกลยุทธ นำโดย นายชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล Chief Development and Commercial Officer, ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา Chief Marketing Officer, นายชาตรี โกวิทานุพงศ์ Executive Project Director Regional Development 1 และนายคุณายุธ เดชอุดม Head of Business Development Strategy     เซ็นทรัล กระบี่ มิกซ์ยูสแห่งอนาคต โครงการใหม่ ยิ่งใหญ่แห่งแรกใจกลาง “กระบี่” “เซ็นทรัล กระบี่” (Central Krabi) ด้วยคอนเซ็ปต์ New Haven of Life (Destination | Nature Lifestyle) โครงการมิกซ์ยูสมูลค่าโครงการรวม 4,500 ล้านบาท บนพื้นที่ 114 ไร่ ประกอบด้วย ศูนย์การค้า (GBA: 47,500 sq.m.) เตรียมเปิดให้บริการ Q3/68 และในอนาคต มีแผนที่จะพัฒนาทั้งบ้านระดับพรีเมียม, คอนโดมิเนียม และโรงแรม “กระบี่” จังหวัดท่องเที่ยวศักยภาพสูงของไทยที่มีชื่อเสียงระดับโลก และมีกำลังซื้อที่แข็งแกร่ง   รายได้การท่องเที่ยวลำดับที่ 6 ของประเทศ และลำดับที่ 3 ของภาคใต้ มีการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยวที่ชัดเจน ในปี 2566 ทำรายได้ 52,500 ล้านบาท และมีจำนวนนักท่องเที่ยวกลับมาแล้วกว่า 4 ล้านคน อีกทั้งมีแผนขยายสนามบินนานาชาติที่จะสามารถรองรับนักท่องเที่ยว 8 ล้านคนต่อปี จังหวัดกำลังซื้อสูงมี GPP per capita ที่ 190,573 บาทต่อปี คิดเป็นอันดับที่ 4 ของภาคใต้ และการใช้จ่ายต่อครัวเรือนที่สูงติด Top 5 ของประเทศ   High-Quality Catchment Area ประมาณ 480,000 คน จากในเมืองกระบี่และผู้อยู่อาศัยในโครงการบ้านและคอนโดราคาสูงตั้งแต่ 2-10 ล้านบาท ที่มีรวมกว่า 1,000 ยูนิต Extensive Range of Unmet Needs จากความหลากหลายของผู้คน เป็นสังคม ‘Biocultural Harmony’ มีความหลากหลายทั้งเชื้อชาติและศาสนา แต่มีวิถีชีวิตที่อยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน จึงทำให้เกิดความต้องการพื้นที่ในการใช้ชีวิตที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์หลายรูปแบบ โครงการเซ็นทรัล กระบี่จึงคัดสรรไม่ว่าจะเป็น Premium Lifestyle Brands, Food Destination ทั้งอาหารไทย, นานาชาติ และอาหารฮาลาล, Recreation Space พื้นที่สำหรับเด็กและครอบครัว รวมถึง Retail Magnet จากกลุ่มเซ็นทรัลทั้ง Tops, Supersports, Powerbuy, B2S และ Auto1         “เซ็นทรัล กระบี่” ปักหมุดเป็นแลนด์มาร์กที่จะเติมเต็มไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของชาวกระบี่ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ครบตอบโจทย์ทุกกลุ่ม โลเคชั่นที่ดีที่สุด พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วย Tourist Hub ที่ครบวงจร      โดยได้รับการออกแบบ Fully-Integration with Nature แบบ Semi-outdoor สะท้อนธรรมชาติของหมู่เกาะและภูเขาอันเป็นเอกลักษณ์ของกระบี่ และอัตลักษณ์วิถีชุมชน โดดเด่นด้วยกลุ่มอาคารที่นำเอารูปฟอร์มของหมู่เกาะมาออกแบบเป็น Floating Jewel of Krabi พร้อมจุดชมวิวภูเขาแบบพาโนรามิกที่ทุกคนต้องมาเช็คอิน และยังมีโซน Authentic Culture & Product ของกระบี่ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ      นอกจากนี้ ในด้านความยั่งยืนโครงการตั้งเป้าลด Carbon Footprint ตั้งแต่กระบวนการก่อสร้างเพื่อให้ได้ ‘EDGE Certification’ เป็นโครงการแรก นับเป็นอีกระดับของมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมโลก รวมถึงใส่ใจด้าน Energy Savings, Low-Carbon Materials และจับมือกับชุมชนในการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง พร้อมนำขยะจากทะเลและครัวเรือนมา Upcycling อีกด้วย   The District of the Future พลิกโฉมมิกซ์ยูสสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่แห่งอนาคต  ในฐานะผู้นำที่บุกเบิกย่านและเมืองเป็นรายแรก “ศูนย์การค้าเซ็นทรัล” ได้กลายเป็น Centre of District ในปัจจุบัน Affluent Demographic มีความเปลี่ยนแปลง ย่านต่างๆ ขยายเติบโตขึ้น ประชากรมี Sophisticated Lifestyle และกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น จึงมีการพลิกโฉมการพัฒนาโครงการแบบ Total Transformation & New Masterplanning 4 โครงการ ได้แก่ “เซ็นทรัล บางนา” และ “เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า” เป็น 2 ย่านที่ประชากรมีกำลังซื้อสูง แวดล้อมด้วยโครงการที่อยู่อาศัย Luxury โดยเราเห็นกำลังซื้อที่ชัดเจน จากการวิเคราะห์ด้วย AI Data-Driven Insights ของ The1 ว่า 2 สาขานี้ติดอันดับ Top 10 Best Performance ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล โดยมีจำนวนการมาใช้บริการของสมาชิก The 1 ในระดับสูง และมี Affluents Members มากกว่าพื้นที่อื่นถึง 1.5 เท่า และในด้านยอด spending นั้น ติดอันดับท็อปๆ ของเรา รวมไปถึง “เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ” ที่โครงสร้างเมืองขยายรองรับการเติบโตเทียบเท่าย่าน New CBD และ “เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต”  ที่เมืองเติบโตด้วย Mega Projects และ Tourist Influx  โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในครั้งนี้ เป็นการยกระดับทั้ง Brand Mix, Central Group ปรับโฉมคอนเซ็ปต์ใหม่ทั้งหมด, ออกแบบ Customer Journey & Experience ใหม่, และ Total Redesign ใหม่ทั้งหมด   1) เซ็นทรัล บางนา (Central Bangna) – Live Life Xponentially (Luxe | Lush | Lifestyle) ‘Always the Place’ ของคนในย่าน มีความเติบโตชัดเจนเป็น ‘High Quality Catchment Area’ แวดล้อมด้วยโครงการที่อยู่อาศัยกว่า 9 แสนยูนิต และเป็น Luxury Residence กว่า 5,000 ยูนิต มีโรงเรียนนานาชาติระดับ top-tier กว่า 20 แห่ง ประชากรมีรายได้สูงกว่า Bangkok CBD บางย่าน จากศักยภาพจึงได้ทรานส์ฟอร์มสู่ New masterplanning ขยายเป็นโครงการมิกซ์ยูสยิ่งใหญ่ของย่านบนพื้นที่ 55 ไร่ โดยเฟสแรกจะโฟกัสในส่วนศูนย์การค้า ภายใต้คอนเซ็ปต์ Urban Luxe & Lush Lifestyle เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า Upper Class มากขึ้น ยกระดับย่านบางนาไปอีกขั้นหนึ่ง ด้วยการ Curated Merchandising Mix ใหม่: เติมเต็ม Accessible Luxury Brands และมี Upper Lifestyle Brands, Brand Anchors บนพื้นที่ 10,000 ตร.ม. พร้อมด้วยการปรับคอนเซ็ปต์ใหม่ระดับ flagship standard ของห้างเซ็นทรัล และการปรับโฉมใหม่ทั้งหมดของธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัล Space Revolution: สร้างสรรค์พื้นที่ใหม่ตั้งแต่ Tops Food Hall ที่มียอดขายติดอันดับ 1 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัล, ‘Food Play Yard’ รวมร้านอาหารหลากหลายมากกว่า 100 แบรนด์, ‘Fashion Galleria’ รวมกว่า 100 Modern Luxury Brands และรองรับ 20 Accessible Luxury Fashion Houses, ‘Holistic Wellness’ บนพื้นที่ 3,800 ตร.ม.,‘Multi-Generation Entertainment’ พบกับสวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดของย่าน รวมถึงพื้นที่ Happening Event, Pop-Up Market, Art Exhibition     2) เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า (Central Pinklao) – New Soul of the District (Creative | Moment | Magnetic)   แลนด์มาร์กและเมืองหลวงของฝั่งธนบุรี และ Meeting Point ของฐานลูกค้ากลุ่มครอบครัวมีกำลังซื้อ นักเรียน นักศึกษา และบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลชั้นนำ ปัจจุบันใน Catchment Area มีประชากรหนาแน่นถึง 3,000,000 คน, ราคาที่ดินเติบโตสูง และใกล้โครงข่าย Skytrain Major Interchange ที่ทำให้การเดินทางเชื่อมต่อไปย่านสำคัญอื่นๆ อย่างสีลม, สาทร และเยาวราชได้ง่าย การพัฒนาคอนเซ็ปต์ใหม่จึงยกระดับสู่การสร้างสรรค์ Complete Destination ที่ดีที่สุดในย่าน อาทิ Gastronomy Hub – ครบที่สุดในย่านกรุงเทพฯ ตะวันตก ร้านอาหารกว่า 200 แบรนด์ อาทิ  Tops Food Hall และ New Variety ตั้งแต่ Premium, Casual Lifestyle, Grab & Go, Street Food, Family Food Destination พร้อมด้วยพื้นที่แฮงก์เอาท์ Uplifted Shopping Experience: มี Key Anchor ที่แข็งแรงหลายแบรนด์ทั้ง Fashion & Sport พร้อมเพิ่ม Affordable Luxury Brands  พบกับโฉมใหม่ของธุรกิจในเครือกลุ่มเซ็นทรัล นำโดยห้างเซ็นทรัล ระดับ Flagship Standard โรงภาพยนตร์คอนเซ็ปต์ใหม่ Education and Family Destination ศูนย์กลางการเรียนรู้ และพัฒนา Multi-Intelligence Skills มากกว่า 50 สถาบัน สำหรับเด็กและเยาวชนครบทุกด้าน ดีที่สุดในย่านธนบุรี ซึ่งมีทราฟฟิกกลุ่มครอบครัวที่แข็งแกร่งมาก            3) เซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ (Central Chaengwattana) - The Life Extraordinaire (Affluent | Vibrant | Art)   ย่านที่เติบโตและเปลี่ยนผ่านจากย่านชานเมืองสู่ New CBD จำนวนประชากรเติบโตเทียบเท่าย่านพระราม 9 และเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูงกว่าย่านอื่นๆ ในนนทบุรี โดยเป็นครอบครัวกำลังซื้อสูง และหมู่บ้านชาวต่างชาติ Expat ที่มีจำนวนมาก โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นกว่า 300% แวดล้อมด้วยออฟฟิศของภาครัฐและเอกชนซึ่งคาดว่าในอีก 5-10 ปีข้างหน้าจะมีจำนวน Office Workers เพิ่มขึ้น 300,000 คนรวมถึงมี New Connectivity ของรถไฟฟ้าสายสีชมพู    การพัฒนาคอนเซ็ปต์ใหม่จึงต้องการ Uplift ประสบการณ์เหนือระดับในทุกด้าน โดยจะเป็นที่ที่มีทราฟฟิกดีทุกวันทั้งวันธรรมดาและวันหยุด จากกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย ในวัน Weekday จะมีกลุ่มพนักงานออฟฟิศจากบริษัทเอกชนและหน่วยงานรัฐ กลุ่มนักเรียน นักศึกษาถือเป็น High Frequency Shoppers และในช่วง Weekend จะเป็น Quality Shoppers ทั้งกลุ่มครอบครัวและ Expat ซึ่งเป็น The 1 Exclusive หรือกลุ่ม Wealth กว่า 10,000 คน และมียอด Spending มากกว่าที่อื่นถึง 25 เท่า   Complete & Sophisticated Lifestyle: ทั้งห้างเซ็นทรัล ดีไซน์โมเดิร์น, Tops Food Hall กับสินค้าระดับท็อป และ Variety of Fashion Brands ตั้งแต่ International Brands to Street & Sport Fashion และเตรียมพบกับ New Anchor ต่างชาติที่มีแบรนด์ครบทุกไลฟ์สไตล์ ทั้ง Beauty, Food, Fresh Market New Family Magnet: Bounce, HarbourLand, JOYLIDAY รวมพื้นที่กว่า 3,000 ตร.ม. Food Destination: Food Patio เปิดใหม่ที่มียอดขายดี, และร้านอาหารสำหรับครอบครัวอีกมากมาย เช่น MOMO Paradise และ AKA เป็นต้น   Common Space: พื้นที่ Art & Happening ร่วมมือกับศิลปินและสตูดิโอชื่อดัง        4) เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต (Central Chiangmai Airport) – Reimagining Lanna (Authentic | Attraction | Culture)   ปักหมุดใจกลางเมือง ใกล้สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ เมืองขยายตัวอย่างรวดเร็วด้วย Mega Projects ของภาครัฐและแผนเตรียมรับนโยบายเมืองแห่ง Creative Economy Hub ปี 2571 อีกทั้งมี Emerging Demand เพิ่มขึ้นจาก Catchment Area ที่ขยายครอบคลุมประชากรกว่า 2,000,000 คน ในจังหวัดเชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง โครงการที่อยู่อาศัยโตขึ้นกว่า 34%, Luxury Hotels ที่เพิ่มมากขึ้น แวดล้อมด้วยโรงเรียนนานาชาติและมหาวิทยาลัย และมี Tourist Influx ล้นหลาม โตขึ้น 300% จากปี 2562  การพัฒนาคอนเซ็ปต์ใหม่ นำเสนอ Local Essence in Modern Twist เพื่อสร้างเดสติเนชั่นที่ผู้คนต้องมาเยือนและตอบโจทย์ชาวเชียงใหม่ได้ครบวงจร  The Most Complete Mixed-Use Project of the North: เป็น New Masterplanning กว่า 100 ไร่ ทั้งศูนย์การค้า, Convention Hall, Tourist Hub และ Multi-Generation Space รวมถึง Go Wholesale แห่งแรกในภาคเหนือที่เปิดให้บริการแล้ว เติมเต็มแบรนด์ใหม่อีกมากกว่า 50% พร้อมด้วยแบรนด์ดังที่ประสบความสำเร็จแล้ว อาทิ Uniqlo, Nike, Adidas, Puma และ MUJI Flagship Store แห่งแรกของภาคเหนือและใหญ่ที่สุดในไทย สินค้ากว่า 3,000 รายการและมีกระแสตอบรับดีมาก Tourist & Family Destinations บนพื้นที่ 17,000 ตร.ม. โดยขยายพื้นที่ “กาดหลวง แอร์พอร์ต” ถึง 9,000 ตร.ม. ที่ประสบความสำเร็จมากในปัจจุบัน และ Local Food Market ที่ใหญ่ที่สุด มีแบรนด์ Local Michelin Brands ที่ชาวเชียงใหม่ชื่นชอบ รวมถึงสินค้า Hug Craft และ Local Craftmanship      บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เดินหน้าสู่อนาคตภายใต้เจตจำนงค์ของแบรนด์ Imagining better futures for all ด้วยการสร้างและพัฒนาพื้นที่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อม พร้อมดำเนินกลยุทธ์ The Ecosystem for All เป็นระบบที่แข็งแกร่งและยั่งยืน เพื่อเติบโตไปกับทุกฝ่ายควบคู่ไปกับการเป็นพลังขับเคลื่อนหลักที่ช่วยผลักดันเศรษฐกิจและประเทศ   ในปี 2566 เซ็นทรัลพัฒนาก้าวสู่อันดับ 1 องค์กรยั่งยืนระดับโลก โดยได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Top 1% S&P Global Score) จากจำนวนทั้งหมด 299 บริษัททั่วโลก อีกทั้งยังได้รับการจัดอันดับเป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใน 2024 Fortune Southeast Asia 500 โดยขึ้นแท่นอันดับหนึ่งในกลุ่มบริษัท Real Estate ไทยทั้งหมดที่ได้รับการคัดเลือกในครั้งนี้ด้วย ติดตามความเคลื่อนไหวเซ็นทรัลพัฒนา คลิก https://www.centralpattana.co.th/th/shopping/shopping-update/lifestyle-activities ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ เซ็นทรัลพัฒนา เผยธุรกิจ Central Pattana Residence เติบโตต่อเนื่อง “เซ็นทรัลพัฒนา” ย้ำเบอร์หนึ่งผู้นำอสังหาฯ ไทย
[PR] เสนา – ฮันคิว ฮันชิน เสริมแกร่งธุรกิจ เปิดตัวบริษัทร่วมทุน เสนา เอชเอชพี ตอกย้ำความเชื่อมั่นระยะยาว

[PR] เสนา – ฮันคิว ฮันชิน เสริมแกร่งธุรกิจ เปิดตัวบริษัทร่วมทุน เสนา เอชเอชพี ตอกย้ำความเชื่อมั่นระยะยาว

เสนา - ฮันคิว ฮันชิน เสริมแกร่งธุรกิจ เปิดตัวบริษัทร่วมทุน เสนา เอชเอชพี ตอกย้ำความเชื่อมั่นระยะยาว พร้อมลุย 66 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 83,000 ล้าน   SENA เสริมแกร่งธุรกิจ จับมือ HHP เปิดบริษัทร่วมทุนใหม่อย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อ “เสนา เอชเอชพี” สะท้อนความมั่นใจจากพาร์ทเนอร์ ที่พร้อมร่วมลงทุนในระยะยาว เดินหน้ารุกทุกเซกเมนต์สู่การยกระดับประสิทธิภาพรอบด้านทั้ง Credibility, Financial และ Efficiency เพิ่มข้อได้เปรียบทั้งความมั่นคงด้านเงินทุน โอกาสทางการเงิน การบริหารต้นทุน และรูปแบบการดำเนินงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น ตั้งเป้าสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ตามแผนลงทุนรวม 66 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 83,000 ล้าน โดยยังคงจุดแข็งบ้านประหยัดพลังงาน หรือ Zero Energy House (ZEH) ที่ยังเดินหน้าพัฒนาให้เข้มข้นมากขึ้นด้วยการผสมผสานเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ จากญี่ปุ่น ที่ตอบโจทย์ Decarbonized Lifestyle และสร้างสังคมการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนให้กับครอบครัวเสนาทุกคน   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ (ดร.ยุ้ย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) SENA กล่าวว่า จากการร่วมทุน (Joint Venture) ของ เสนา และ บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ประเทศญี่ปุ่นที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2016 ธุรกิจมีการเติบโต เปิดโครงการใหม่ และประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในสิ่งสำคัญคือการที่ทั้งสองบริษัทมีแนวทางการดำเนินธุรกิจไปในทิศทางเดียวกัน โดยให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นลำดับแรก (Customer comes first) รวมถึงยังมีความตั้งใจที่จะมาร่วมลงทุนระยะยาวในประเทศไทย โดยวันนี้เป็นอีกโอกาสสำคัญของความร่วมมือเพื่อการก้าวไปสู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่และเติบโตแข็งแกร่งกว่าเดิม โดยเสนา และ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป พร้อมยกระดับการร่วมทุนจากความร่วมมือพัฒนาแบบรายโครงการ สู่การเปิดบริษัทร่วมทุนใหม่ที่พร้อมเดินหน้าต่ออย่างมั่นคงมากยิ่งขึ้น ในชื่อ บริษัท เสนา เอชเอชพี จำกัด     “ความร่วมมือครั้งนี้ นับเป็นก้าวที่สำคัญของการเติบโต และยังสะท้อนถึงความมั่นใจในศักยภาพของกันและกัน ตอกย้ำถึงการร่วมเดินหน้าธุรกิจ พร้อมเป็นพันธมิตรในระยะยาว แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายจากปัจจัยลบ ที่สำคัญยังช่วยยกระดับประสิทธิภาพใน 3 ด้าน ที่ประกอบด้วย 1. Credibility คือ ความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น ความมั่นใจจากความร่วมมือในระยะยาวกับบริษัทระดับนานาชาติ การผสมผสานความร่วมมือ และการทำงานแบบมืออาชีพ 2. Financial คือความมั่นคงในด้านเงินทุน ความเชื่อมั่นในสถานภาพทางการเงิน การบริหารจัดการต้นทุนที่จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึงโอกาสทางการเงิน และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และ 3. Efficiency ที่จะช่วยยกระดับการทำงานให้รวดเร็ว และยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ง่ายต่อการบริหารจัดการ รวมถึงการแลกเปลี่ยนนวัตกรรมความรู้ต่างๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพที่อยู่อาศัยให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบัน”   ดร. ยุ้ย กล่าวย้ำว่า สำหรับเป้าหมายการขยายธุรกิจและสร้างโอกาสในการเติบโต ภายใต้บริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งขึ้น  ทางเสนา และ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป  ยังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยเป็นหลัก ทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง และพร้อมพัฒนาโครงการให้ครอบคลุมครบทุกเซกเม้นท์ และกระจายอยู่ในทำเลศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยพัฒนาเบื้องต้นไว้ที่ 66 โครงการ รวมมูลค่ารวมประมาณ 83,000 ล้านบาท โดยทุกโครงการยังคงพัฒนาบนแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ และคอนโด โลว์คาร์บอน ที่จะเดินหน้าพัฒนา และต่อยอดให้ตอบโจทย์คนไทยมากที่สุด พร้อมผสมผสานเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ จากญี่ปุ่นเพื่อร่วมสร้าง Decarbonized Lifestyle ให้กับลูกบ้าน และสร้างสังคมการใช้ชีวิตที่ยั่งยืนให้กับครอบครัวเสนาทุกคน      ด้าน มร.มาซะฮิโกะ โทดะ กรรมการบริหาร บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป กล่าวว่า “ตั้งแต่ปี 2016 ที่บริษัทฯ เริ่มขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ และได้ตัดสินใจเข้าร่วมทุนกับเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จากความเชื่อมั่นในความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของเสนาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย รวมถึงการมีทิศทางการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกัน ซึ่งสะท้อนถึงความเข้าใจร่วมกันในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ เรายังชื่นชมในความเป็นบริษัทที่มีธรรมาภิบาลแข็งแกร่งของเสนา ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพภายใต้การนำของ ดร.เกษรา และทีมผู้บริหาร รวมถึงความมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ที่ได้รับแนวคิดจากญี่ปุ่นมาปรับใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไทย เช่น บ้านประหยัดพลังงาน (ZEH) และ Condo Low-Carbon และในวันนี้เรายังคงมีความเชื่อมั่นในการบริหารที่มีวิสัยทัศน์และเป็นองค์กรที่มีธรรมภิบาลสูงของเสนา จะส่งผลให้การยกระดับการร่วมทุนในครั้งนี้เติบโตอย่างมั่นคง”   ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลางเมือง “สาทรสแควร์” พานาโซนิคผนึก เสนา-เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง-สถาพร เอสเตท ทดลองระบบ Home IoT  
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลางเมือง เปิดโฉมใหม่ “สาทรสแควร์”

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลางเมือง เปิดโฉมใหม่ “สาทรสแควร์”

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พลิกโฉมออฟฟิศกลางเมือง เปิดโฉมใหม่ “สาทรสแควร์”   เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ผู้นำตลาดอาคารสำนักงานเกรดเอและพื้นที่พาณิชยกรรม 2.4 แสนตร.ม.  ชู 5 มิติ    กลยุทธ์ Asset Enhancement Initiative (AEI) ปรับโฉม 2 อาคารสำนักงานใจกลางเมืองทั้งสาทรสแควร์และปาร์คเวนเชอร์ ยกระดับนวัตกรรมการให้บริการ รับศึกอาคารสำนักงานเกิดใหม่ล้นตลาด พร้อมเผยโฉมใหม่ “สาทรสแควร์” ส่งมอบประสบการณ์และบริการที่ดีให้แก่ผู้เช่าและผู้ใช้อาคาร     นายวิทวัส คุตตะเทพ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายโครงการเชิงพาณิชยกรรม กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT เปิดเผยว่า บริษัทฯ ในฐานะผู้นำธุรกิจอาคารสำนักงานเกรดเอและพื้นที่พาณิชยกรรมรวม 2.4 แสนตร.ม. มองเห็นทิศทางตลาดอาคารสำนักงานมีแนวโน้มการแข่งขันสูงขึ้นต่อเนื่องจากอาคารสำนักงานเกิดใหม่ทั้งที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกมากถึง 1.6 ล้านตร.ม.ที่มีกำหนดแล้วเสร็จใน 3 ปีข้างหน้า ขณะที่ความต้องการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานในแต่ละปีขยายตัวไม่มากนัก รวมถึงลูกค้าในปัจจุบันไม่ได้ให้ความสำคัญเฉพาะเรื่องทำเลที่ตั้งที่สะดวกสบายเท่านั้น แต่ยังมองหาอาคารที่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตพนักงานและผู้ใช้อาคารอีกด้วย บริษัทฯ จึงเร่งดำเนินการโครงการยกระดับคุณภาพอาคาร (Asset Enhancement Initiative: AEI) ของสาทรสแควร์ และปาร์คเวนเชอร์ ซึ่งอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์ (GVREIT) ตั้งแต่เมื่อต้นปี 2567 ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันสาทรสแควร์ดำเนินการแล้วเสร็จพร้อมเผยโฉมใหม่แล้ว ส่วนปาร์คเวนเชอร์จะแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2567 นี้     เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่ลูกค้าและผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม อีกทั้งสนับสนุนการดำเนินงานตามแนวทางด้านความยั่งยืน โดยได้นำแนวคิดนี้ถ่ายทอดกับการยกระดับนวัตกรรมการให้บริการและคุณภาพอาคารของสาทรสแควร์ ด้วยกลยุทธ์ 5 มิติ สำหรับ Asset Enhancement Initiative (AEI) ในการรักษามาตรฐานอาคารเกรดเอ เพื่อสามารถแข่งขันท่ามกลางอาคารสำนักงานเกิดใหม่เพิ่มขึ้น ได้แก่   1. Smart Technology: ยกระดับความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกด้วยเทคโนโลยีอาคารอัจฉริยะระบบควบคุมการเข้า-ออกอาคารและการจัดการผู้มาติดต่อสามารถแสดงตนด้วยการสแกนใบหน้า (Face Recognition) หรือสแกน QR Code ผ่านแอปพลิเคชันมือถือ เพิ่มระบบจัดการการเข้า-ออกรถยนต์ภายในอาคารจอดรถที่สามารถตรวจและอ่านป้ายทะเบียนแบบอัตโนมัติ (License Plate Recognition) ชำระค่าจอดรถผ่านระบบออนไลน์ (e-Payment) พร้อมติดตั้งจุดให้บริการ EV Charger สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ อาคารยังรองรับบริการพื้นฐานด้านการเชื่อมต่อดิจิทัล โดยได้รับการรับรองมาตรฐานระดับ Platinum ด้านการเชื่อมต่อดิจิทัล (Digital Connectivity) ซึ่งเป็นมาตรฐานระดับสูงสุดจาก WiredScore     2. Sustainability Excellence: ยกระดับการจัดการอาคารส่งเสริมความเป็นเลิศด้านความยั่งยืน เน้นการประหยัดพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร โดยนำระบบบริหารจัดการอาคาร (Building Management System:BMS) มาเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมงานวิศกรรมอาคารและการจัดการพลังงานภายในอาคาร มี Motion Censor จับความเคลื่อนไหวสำหรับเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติในพื้นที่ใช้งานน้อย และปรับกระบวนการบริหารอาคารโดยจัดการทรัพยากรตามแนวทางอนุรักษ์พลังงาน สานต่อเจตนารมณ์ด้านความยั่งยืนของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ทั่วโลก ซึ่งตอกย้ำจุดเด่นของสาทรสแควร์ตามที่ได้รับการรับรองด้านการประหยัดพลังงานและการอนุรักษ์พลังงานมาตั้งแต่เปิดใช้อาคาร ทั้งมาตรฐานอาคารเขียวระดับโลก LEED ระดับ Gold 2013 (พ.ศ. 2556) รางวัล Thailand Energy Awards 2014 และ ASEAN Energy Awards 2014 (พ.ศ. 2557) รวมถึงรางวัล MEA Energy Awards 2019 (พ.ศ 2562)     3. Superb Well-being: ส่งเสริมสุขภาพและสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้อาคาร โดยมีระบบเครื่องปรับอากาศพร้อมกรองอากาศที่สามารถกรองฝุ่น PM 2.5 และติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศภายในอาคาร (Indoor Air Quality: IAQ) แสดงสภาพอากาศภายในอาคารเทียบกับอากาศภายนอกอาคาร เพื่อเสริมความมั่นใจ รวมถึงใส่ใจในคุณภาพการใช้ชีวิตด้านต่าง ๆ ของพนักงานออฟฟิศ โดยสาทรสแควร์มีพื้นที่สีเขียวอย่างต้นไม้และน้ำรอบอาคารเพื่อสร้างความผ่อนคลาย และพื้นที่รีเทลที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นฟิตเนส คาเฟ่ ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารเพื่อสุขภาพ ร้านอาหารนานาชาติ คลินิคสุขภาพความงาม ที่พบปะสังสรรค์ (Hangout) สำหรับสานสัมพันธ์นอกเวลางาน เติมเต็มการใช้ชีวิตให้ครบครันมากขึ้น     4. Support Tenant Centricity: สร้างความประทับใจให้ผู้เช่าและผู้ใช้อาคารด้วยการมุ่งเน้นส่งมอบประสบการณ์ที่ดีเป็นสำคัญ ผ่านการสื่อสาร รับฟังความต้องการ และความพึงพอใจ เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจุดเด่นด้านการบริหารอาคารของบริษัทฯ ที่ดำเนินการมาตลอดคือ การจัดกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ในเทศกาลและโอกาสพิเศษต่าง ๆ โดยชักชวนผู้เช่าและผู้ใช้อาคารมีส่วนร่วมในการสร้างสังคมน่าอยู่ในสาทรสแควร์สำหรับทุกคน   5. Spectacular Design: สวยงามและโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมทั้งภายนอกและภายในอาคาร สะท้อนแนวคิดการออกแบบอาคารอย่างมีเอกลักษณ์ การปรับโฉมล็อบบี้ในครั้งนี้ ผู้ออกแบบได้นำคำว่า “สแควร์” หรือ “รูปทรงสี่เหลี่ยม” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชื่ออาคารมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ ผสมผสานผนังใหม่สีเงินเมทัลลิคที่สะท้อนความทันสมัยและมีพลัง เพิ่มเติมด้วยการติดตั้งจอ LED ขนาดใหญ่ สร้าง “สีสันมิติใหม่” (Neo-vibrant) ที่เป็นตัวตนจุดเด่นสำคัญของอาคาร เพื่อบรรยากาศที่เคลื่อนไหวตลอดเวลา สร้างความสดใสและแรงบันดาลใจ เติมพลังงานและความกระฉับกระเฉงให้กับผู้ใช้อาคาร สอดรับแนวคิดของสาทรสแควร์กับการเป็น The Neo-vibrant Business Complex     “เราเชื่อมั่นว่าการยกระดับคุณภาพสาทรสแควร์ครั้งนี้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า ดึงดูดบริษัทชั้นนำและรักษามาตรฐานคุณภาพอาคารสำนักงานเกรด A ที่สามารถแข่งขันในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ดีในการใช้อาคารและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกค้าและผู้ใช้อาคารทุกกลุ่ม มุ่งสู่เป้าหมายขับเคลื่อนธุรกิจสู่ Real Estate as a Service Brand ครอบคลุมทั้ง Space, Communityและ Sustainability สอดรับกับเจตนารมณ์ของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ในการสร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.) ” นายวิทวัส กล่าวปิดท้าย   ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ พานาโซนิคผนึก เสนา-เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง-สถาพร เอสเตท ทดลองระบบ Home IoT ‘BenQ W5800’ สุดยอดประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในบ้านระดับ 4K “เอ็นริช” ลุยตลาดบ้านลักซ์ชัวรี เปิดตัว “ดิ อาร์ทิเคิล นอร์ธ ราชพฤกษ์”  
พานาโซนิค ผนึก เสนา – เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง – สถาพร เอสเตท ทดลองระบบ Home IoT ค้นหาสภาวะน่าสบาย

พานาโซนิค ผนึก เสนา – เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง – สถาพร เอสเตท ทดลองระบบ Home IoT ค้นหาสภาวะน่าสบาย

พานาโซนิค ผนึก เสนา - เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง - สถาพร เอสเตท ทดลองระบบ Home IoT ค้นหาสภาวะน่าสบายและประหยัดพลังงานในโครงการที่อยู่อาศัย    พานาโซนิค และ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยกระดับงานวิจัย “การทดลองระบบ Home IoT เพื่อทดสอบ ‘สภาวะน่าสบายและการประหยัดพลังงาน’ ในโครงการที่อยู่อาศัย” ผนึก 3 ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ เสนา - เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง – สถาพร เอสเตท ร่วมสร้างนวัตกรรมที่อยู่อาศัยแบบยั่งยืน ทดลองติดตั้งระบบ Home IoT ในบ้านตัวอย่างเพื่อค้นหาสภาวะอยู่สบายลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสำหรับคนไทย ด้านรัฐบาลไทยโดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงานและภาครัฐญี่ปุ่นโดยองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (NEDO) ประเทศญี่ปุ่น ร่วมแสดงเจตจำนงสร้างความมั่นคงทางพลังงาน พร้อมให้การสนับสนุนเพื่อขยายผลนำไปสู่ต้นแบบการออกแบบบ้านประหยัดพลังงานในประเทศไทยในอนาคต   พานาโซนิคพัฒนาโซลูชั่นส์ Home IoT เร่งวิจัยค้นหาสภาวะน่าสบาย ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน จากวิสัยทัศน์ "Panasonic GREEN IMPACT" ซึ่งเป็นภารกิจด้านสิ่งแวดล้อมแบบระยะยาวของพานาโซนิคทั่วโลก ที่มีเป้าหมายเพื่อให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืน พานาโซนิคจึงพยายามคิดค้นนวัตกรรมที่สามารถเข้าถึงผู้ใช้งานได้ง่ายด้วยการสร้างโซลูชั่นส์ใหม่ต่อยอดจากผลิตภัณฑ์ของพานาโซนิคที่มีอยู่แล้ว ให้สอดคล้องกับการแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตในที่อยู่อาศัย โดยโซลูชั่นส์แรกที่พานาโซนิคคิดค้นเพื่อมาตอบโจทย์แนวคิดข้างต้น ด้วยการให้เทคโนโลยีอย่าง Home IoT และ algorithm มาช่วยควบคุม โดยคาดหวังว่าผลของการวิจัยจะทำให้สามารถค้นพบ “สภาวะน่าสบายภายในบ้าน” สำหรับคนไทยโดยเฉพาะ ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่อยู่อาศัยในอนาคตที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในประเทศไทย     โครงการวิจัยเกี่ยวกับสภาวะน่าสบายของคนไทยร่วมกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โครงการนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2022 โดยมีการสร้างโมเดลที่อยู่อาศัยแบบจำลอง Zen Model ขึ้นที่ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจำลองบรรยากาศที่อยู่อาศัยในสภาวะน่าสบาย และทำการเก็บข้อมูล ก่อนจะนำไปสู่การทดลองกับบ้านจริงหลังแรกภายในบ้านตัวอย่างของโครงการเสนา แกรนด์โฮม บางนา กม. 29 โดยร่วมกับ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป เมื่อปลายปี 2023 ที่ผ่านมา   ในปีนี้ พานาโซนิคจะเร่งเดินหน้าพิสูจน์การทำงานของระบบว่าสามารถเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนการลดการใช้พลังงานภายในบ้าน โดยจะมีการทดสอบระบบในที่อยู่อาศัยจริง จำนวน 12 หลังจากผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ  3 ราย ได้แก่ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) รวมถึง บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด ที่เป็นลูกค้าที่สำคัญกับพานาโซนิคมาอย่างยาวนาน ซึ่งแต่ละหลังมีการออกแบบอาคารที่โดดเด่นเฉพาะตัว ในบริบทที่ต่างกันไป นับเป็นโจทย์ที่น่าสนใจเพื่อใช้ในการทดสอบ พร้อมกันนี้ยังได้รับความร่วมมือจาก สำนักส่งเสริมโครงการระหว่างประเทศ องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (NEDO) ประเทศญี่ปุ่น ที่ให้การสนับสนุนด้านงบประมาณเพื่อช่วยผลักดันการศึกษาวิจัยให้บรรลุผลสำเร็จโดยเร็ว รวมถึงความร่วมมือจาก กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน ของประเทศไทย ในการสนับสนุนด้านข้อมูลพร้อมทั้งเตรียมผลักดันแนวคิดดังกล่าวนี้สู่นโยบายบ้านประหยัดพลังงานในอนาคต   เสนา - เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง – สถาพร เอสเตท สนับสนุนบ้าน 12 หลัง เพื่อการวิจัยร่วมค้นหา ‘สภาวะน่าสบายและการประหยัดงาน’ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  ได้ให้การสนับสนุนการดำเนินงานวิจัยเพื่อค้นหาสภาวะน่าสบายมาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยการให้พานาโซนิคได้ทำการทดสอบระบบในบ้านตัวอย่างของโครงการเสนา แกรนด์ โฮม บางนา กม.29 เมื่อช่วงปลายปี 2023 ที่ผ่านมา เนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นโปรเจคที่ให้คุณค่าต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างยั่งยืน ตรงกับแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์พลังงานของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ “SENA Low Carbon” ที่สนับสนุนการใช้ชีวิตแบบ Decarbonized Lifestyle ให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดของการใช้ชีวิต สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ได้ให้การสนับสนุนบ้านตัวอย่าง โครงการเสนา วิลเลจ บางนา กม. 29 จำนวน 4 หลัง แบ่งออกเป็น บ้านแฝด THANN+ จำนวน 2 หลัง ขนาดประมาณ 35 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 165 ตร.ม. และบ้านทาวน์โฮม THEE+ จำนวน 2 หลัง ขนาดประมาณ 27 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 140 ตร.ม. สำหรับใช้ในการทดลอง ซึ่งบริษัทฯ  หวังว่าจะสามารถนำไปพัฒนาเป็นเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ     บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) ได้ให้การสนับสนุนบ้านตัวอย่างในโครงการ บ้านฟ้ากรีนเนอรี่ NEOLA รังสิต คลอง 2 เพื่อใช้ในการศึกษาวิจัย จำนวน 4 หลัง แบ่งออกเป็น บ้านแฝด Modish จำนวน 2 หลัง ขนาดพื้นที่ 39 ตารางวา  พื้นที่ใช้สอย 140  ตารางเมตร และบ้านเดี่ยว Louis จำนวน 2 หลัง ขนาด  57 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 155 ตารางเมตร  ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ An Environment Designed for Better Living ที่เน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม Active Green การเชื่อมโยงสู่ความเป็นบ้านสภาวะน่าสบาย     บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด มอบบ้านที่สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน 4 หลัง จากโครงการ ดิ อิเธอร์นิตี้ กรีนวู้ด รังสิต- วงแหวน (THE ETERNITY GREENWOOD Rangsit - Wongwaen) บ้านเดี่ยวแบบ Companion จำนวน 1 หลัง ขนาด 53.7 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 220 ตารางเมตร และบ้านเดี่ยวแบบ Beloved จำนวน 3 หลัง ขนาด 50.6 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 185 ตารางเมตร ให้ Panasonic ได้ทำการวิจัยอย่างอิสระ     ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ ‘BenQ W5800’ สุดยอดประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในบ้านระดับ 4K “เมซัน”ประกาศลุยบ้านหรู “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2”  
‘BenQ W5800’ สุดยอดประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในบ้านระดับ 4K ที่สมบูรณ์แบบ

‘BenQ W5800’ สุดยอดประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในบ้านระดับ 4K ที่สมบูรณ์แบบ

BenQ เปิดตัวโปรเจคเตอร์ Home Cinema ระดับเรือธง ‘BenQ W5800’ สุดยอดประสบการณ์การชมภาพยนตร์ในบ้านระดับ 4K ที่สมบูรณ์แบบ - สัมผัสประสบการณ์ภาพขนาด 200 นิ้วที่คมชัดระดับเลเซอร์ - ปรับตั้งค่าสีแม่นยำ ความครอบคลุมของสี DCI-P3 100% รวมถึงความแม่นยำของสีถึง Delta E <2 พร้อมความสว่างสูงสุด 2600 ANSI Lumens BenQ เปิดตัวโปรเจคเตอร์รุ่นใหม่ ‘BenQ W5800 Home Cinema Projector’ โปรเจคเตอร์แบบ 4K Laser DLP ที่มุ่งเป้าตอบโจทย์ผู้ชื่นชอบดูภาพยนตร์ที่บ้านโดยเฉพาะ โดยปรับปรุงและพัฒนาเพื่อเปลี่ยนประสบการณ์ Audio Visual ในบ้านให้กลายเป็นโรงภาพยนตร์ขนาดย่อม มอบความคมชัดระดับ True 4K UHD และความเที่ยงตรงของสีไม่ต่างจากการดูภาพยนตร์ในโรง BenQ W5800 Home Cinema Projector เป็นโปรเจคเตอร์รุ่นใหม่ล่าสุดของ BenQ ที่รวมเอาเทคโนโลยี CinematicColour และ HDR-Pro เอกสิทธิ์เฉพาะของ BenQ ไว้ด้วยกัน ปรับโทนภาพอันชาญฉลาดด้วยการจับคู่โทนสีที่ได้รับการปรับแต่งสีถึงสองขั้นตอน สร้างสมดุลรายละเอียดระหว่างฉากสว่างและมืด ช่วยให้โปรเจคเตอร์ฉายภาพได้เสมือนจริง เก็บรายละเอียดของภาพได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบที่สุดตั้งแต่เคยมีมา สามารถใช้ได้ตั้งแต่ห้องโฮมเธียเตอร์ที่มืดสนิทไปจนถึงห้องนั่งเล่นในเวลากลางวันที่มีแสงส่องเข้ามา “BenQ W5800 เป็นโปรเจคเตอร์โฮมซีเนม่าที่ดีที่สุดตั้งแต่ที่เราเคยมีมา ทีมวิศกรของเราใช้เวลาพัฒนาและออกแบบอย่างพิถีพิถันเพื่อตอบสนองความคาดหวังของลูกค้า และมอบประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์แบบโฮมเธียเตอร์ที่ไม่มีใครเทียบ เราเชื่อว่าโปรเจคเตอร์รุ่นนี้จะกลายเป็นแลนด์มาร์คสำคัญ และสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่อุตสาหกรรม ช่วยตอบสนองนักดูหนังในบ้าน นำพาความมหัศจรรย์ของโรงภาพยนตร์มาสู่บ้านของคุณโดยตรง” นายโรเจอร์ เฉิน ผู้อำนวยการ บริษัท เบ็นคิว (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว BenQ ได้พัฒนา HDR-PRO เทคโนโลยีเหนือระดับซึ่งเป็นเอกสิทธิ์แท้ของตนเอง เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเพลิดเพลินกับประสบการณ์ภาพยนตร์ได้อย่างถูกต้องและคุณภาพที่ดีที่สุด โดย HDR-PRO ช่วยเพิ่มไดนามิกเรนจ์โดยรวมของโปรเจคเตอร์ด้วย Local Contrast Enhancement และ HDR Tone Mapping ที่เหมาะสม ได้รายละเอียดสมบูรณ์แบบแม้ในเงามืด Local Contrast Enhancer (LCE) ยังเป็นอัลกอริธึมชั้นนำของอุตสาหกรรม ทำหน้าที่แบ่งภาพออกเป็น 1,000+ โซน และปรับแกมม่าของแต่ละโซนให้เหมาะสมอย่างอิสระ โดย Local Contrast Enhancer จะเก็บรายละเอียดปลีกย่อยทั้งในบริเวณที่สว่างและพื้นที่มืดสนิทของหน้าจอ   Local Contrast Enhancer (LCE) อัลกอริธึมชั้นนำ ทำหน้าที่แบ่งภาพออกเป็น 1,000+ โซน และปรับแกมม่าของแต่ละโซนให้เหมาะสมอย่างอิสระ  เลนส์กระจกทั้งหมด 14 ชิ้น 7 กลุ่ม เคลือบด้วยวัสดุการกระจายตัวต่ำ ภาพคมชัดที่ไม่มีใครเทียบ โปรเจคเตอร์รุ่น W5800 มีแหล่งกำเนิดแสงแบบ Laser Array ที่ล้ำสมัย มาพร้อมความสว่าง 2600 ANSI Lumens และเลนส์กระจกทั้งหมดที่มีองค์ประกอบ 14 ชิ้น 7 กลุ่ม เคลือบด้วยวัสดุการกระจายตัวต่ำ ให้ภาพสีสดใสและโดดเด่น ถือเป็นโปรเจคเตอร์เลเซอร์เครื่องแรกของโลกที่มีตัวเลขความสว่างดังกล่าว นอกจากนี้ยังสามารถฉายภาพได้สูงถึง 200 นิ้ว ด้วยฟังก์ชันซูม 1.6 เท่า ซึ่งช่วยให้สามารถฉายภาพขนาด 150 นิ้วที่สมจริงจากระยะเพียง 16.6 ฟุต และยังมีคุณสมบัติการเลื่อนเลนส์ 2D (±50% แนวตั้งและ ±21% แนวนอน) ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถจัดศูนย์กลางของภาพได้ แม้ว่าพื้นที่การวางตำแหน่งจะถูกจำกัดก็ตาม แน่นอนว่า โปรเจคเตอร์โฮมเธียเตอร์ BenQ แต่ละรุ่นยังมาพร้อมระบบ Android TV ที่ผ่านการรับรองจาก Google และ Netflix ที่สามารถโหลดไว้ล่วงหน้าเพื่อการสตรีมมิ่งและการรับชมภาพยนตร์ได้อย่างเพลิดเพลินได้ไม่รู้จบ เสริมด้วยพอร์ตเชื่อมต่อ AV ที่ครบครันและคุณสมบัติด้านการเชื่อมต่อไร้สาย รองรับระบบเสียง 7.1-channel และระบบเสียง Dolby Atmos เติมเต็มทุกความต้องการด้านโฮมเธียเตอร์ให้สมบูรณ์ นอกเหนืออื่นใด W5800 ยังได้รับการออกแบบมาให้มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าหลอดโปรเจคเตอร์ทั่วไป โดยให้คุณภาพของภาพ ความสว่าง และประสิทธิภาพที่เหนือกว่า ซึ่งใช้งานได้ยาวนานถึง 25,000 ชั่วโมง BenQ W5800 Home Cinema Projector เปิดตัวที่ราคา 179,000 บาท ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรเจคเตอร์ BenQ W5800 คลิกไปเลยที่ https://bit.ly/3VRqK9i  หรือ Line Official: @BenQCare
[PR] เอพีเปิดตัว LIFE เจริญนคร-สาทร คอนโดวิวแม่น้ำที่ดีที่สุด กับชีวิตที่เหนือกว่าในทุกมิติ

[PR] เอพีเปิดตัว LIFE เจริญนคร-สาทร คอนโดวิวแม่น้ำที่ดีที่สุด กับชีวิตที่เหนือกว่าในทุกมิติ

เอพีเปิดตัว LIFE เจริญนคร-สาทร คอนโดวิวแม่น้ำที่ดีที่สุด กับชีวิตที่เหนือกว่าในทุกมิติ ห้องชุดดีไซน์ใหม่สูง 3 เมตร เริ่ม 3.59 ล้านบาท   นางสาวนิยมาพร โต๊ะสงวนพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานการตลาด และการขายธุรกิจ กลุ่มสินค้าคอนโดมิเนียม บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า “เจริญนคร” ถึงจะเป็นย่านเมืองเก่า แต่ในปัจจุบันมีความหลากหลายของกลุ่มคนในพื้นที่ อีกทั้งการเดินทางที่สะดวกสบาย ทำให้วันนี้ถนนเจริญนครเป็นอีกหนึ่งทำเลที่ดึงดูดสำหรับการอยู่อาศัยและการลงทุนอย่างแท้จริง บริษัทฯ จึงพร้อมเปิดตัวโครงการ “LIFE เจริญนคร-สาทร” คอนโดวิวแม่น้ำที่ดีที่สุด จำนวน 580 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท บนทำเลที่ใช่ เพียง 1 สถานี ถึง CBD โซนสาทร พร้อมจุดขาย 2 วิวแม่น้ำเจ้าพระยาที่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน โดย LIFE เจริญนคร-สาทร พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘BEYOND THE BOUNDARIES – เหนือกว่าทุกข้อจำกัด สู่ความสมดุลของการใช้ชีวิต’ โดยความพิเศษของโครงการนี้นอกจากการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางที่เปิดรับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างเต็มที่แล้ว ยังมีผังห้องชุดดีไซน์ใหม่ล่าสุด All New SIMPLEX กับห้องชุด SIMPLE EXTRA HIGH CEILING ห้องชุดเพดานสูง 3 เมตร ที่มาพร้อมฟังก์ชันที่คุ้มค่าในทุกตารางเมตรมากยิ่งขึ้น พร้อมเปิดขายครั้งแรกในวันที่ 29 - 30 มิถุนายนนี้ ราคาขาย 1 ห้องนอนใหญ่ เริ่ม 3.59 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยเริ่ม 114,000 บาท / ตร.ม. ณ สำนักงานขายโครงการ ลงทะเบียนรับส่วนลดเพิ่มเติมสูงสุด 230,000 บาท ได้ตั้งแต่วันนี้ที่ http://apth.ly/Life-CNK-ST   “จาก Consumer Insight ของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงาน เค้ามองหาพื้นที่ที่ช่วย Retreat หรือฟื้นฟูจากความเครียดที่เจอในแต่ละวัน เราจึงเอา Insight นี้ของลูกค้ามาเป็นโจทย์ในการพัฒนาโครงการให้ LIFE เจริญนคร-สาทร พิเศษทั้งในเรื่องของทำเลที่อยู่ในย่าน Heritage และเป็นพื้นที่ที่ RETREAT สำหรับคนเมืองอย่างแท้จริง ซึ่งเราตั้งใจให้ทุกพื้นที่ภายในโครงการนี้เป็นเหมือนบทกวีที่เล่าเรื่องราวความทรงจำเกี่ยวกับเจริญนครได้อย่างสวยงาม ทั้งในงาน Architect งาน Landscape และที่สำคัญมากๆ คือ งาน Interior ที่เรากล้าพูดได้อย่างเต็มปากเลย ว่า Interior ที่นี่จัดเต็มและสวยมากๆ” คุณนิยมาพร กล่าว      คุณแอ-เบญญาภา ศิริโสภณ ผู้ก่อตั้งและดีไซเนอร์ บริษัท VAIR DESIGN จำกัด บริษัทออกแบบอินทีเรียเบอร์ต้นของประเทศไทย Interior Designer ที่ดูแลงานออกแบบตกแต่งภายในโครงการ LIFE เจริญนคร-สาทร กล่าวว่า ความท้าทายในการออกแบบวันนี้ นอกจากการตามเทรนด์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแล้ว คำถามคือ เราจะนำเทรนด์นั้นๆ มา Balance ในการทำงานอย่างไรให้วันที่คอนโดมิเนียมก่อสร้างเสร็จ งาน Interior ที่ออกแบบไว้ไม่ล้าสมัย อีกทั้ง Brand Positioning ในแต่ละแบรนด์ของคอนโด AP มีจุดยืนที่แตกต่างกัน อย่างที่ LIFE เจริญนคร-สาทร เรามีการ Refining คำว่า Heritage ของเจริญนครในมุมมองใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ THE VISUAL JOURNEY OF REFINING CHAROENNAKHON HERITAGE ผ่านการดึงเสน่ห์ความสวยงามของสถาปัตยกรรมบ้านเก่า ท่าเรือ และโกดัง ที่อยู่แวดล้อมในย่านนั้น มาเป็น Inspiration ในงานออกแบบ เพื่อให้ทุกพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการเข้ากับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายโครงการ ซึ่งหัวใจสำคัญของงานออกแบบที่เรามองไปในภาพเดียวกับทีมเอพี คือ การออกแบบที่ดีต้องไม่เพียงแต่สวยงามเท่านั้น แต่ต้องใช้งานได้จริง พื้นที่ที่ถูกออกแบบมาอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน จะสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตและสร้างสุนทรีย์ในการอยู่อาศัยของลูกค้าได้ในทุกมิติชีวิต     LIFE เจริญนคร-สาทร กับคอนเซ็ปต์โครงการ ‘BEYOND THE BOUNDARIES – เหนือกว่าทุกข้อจำกัด คืนชีวิตสู่ความสมดุล’ พร้อม 4 จุดขายที่เหนือกว่าในทุกมิติ   1) BEYOND THE SPACE  พื้นที่ที่เป็นมากกว่าแค่ “ที่อยู่” ดื่มด่ำกับสุนทรียภาพเหนือระดับ คอนโด HIGH-RISE สูง 28 ชั้น ที่ออกแบบให้รับวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาแบบเต็มๆ และเอาใจคนเมืองที่ชอบความเป็นส่วนตัว ด้วยจำนวนยูนิตที่น้อยที่สุดเพียง 580 ยูนิต กับขนาดพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่กว่าเคย เหนือกว่าด้วยพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น กับห้องชุดดีไซน์ใหม่ All New SIMPLEX ทั้งโครงการ พร้อมห้องชุดแบบ SIMPLEX EXTRA HIGH CEILING เพดานสูง 3 เมตร เฉพาะในชั้น 25 - 26   ขนาดห้องชุดเริ่มต้นที่ 1 ห้องนอน 29.5 - 35 ตร.ม. ครบทุกพื้นที่การใช้งาน ไฮไลต์พิเศษกับผัง 1 Bedroom Plus ขนาด 35 ตร.ม. ที่มาพร้อมฟังก์ชัน Double Access Bathroom เชื่อมต่อกับ Master Bedroom และ Flexible Room ที่ปรับเป็นพื้นที่ส่วนตัวเพิ่มได้อย่างอิสระ และห้องชุดแบบ 2 Bedroom ขนาดพื้นที่ใช้สอย 42 - 57 ตร.ม. ราคาขาย 1 ห้องนอนใหญ่ เริ่ม 3.59 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยเริ่ม 114,000 บาท / ตร.ม.   2) BEYOND THE LEISURE  มากกว่าการ Relax แต่คือการ Retreat ให้ชีวิต กับพื้นที่ส่วนกลางที่ผสมผสานเสน่ห์ของวัฒนธรรมและสายน้ำเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างสวยงามเหนือกาลเวลา สัมผัสชีวิต ไลฟ์สไตล์ และการพักผ่อนได้มากกว่าที่เคย กับพื้นที่ส่วนกลางที่ออกแบบเพื่อสร้างบรรยากาศและความรู้สึกที่ผ่อนคลาย ทั้งในส่วนของ Lobby ชั้น G สวนชั้น 7 และ Double Roof Top Facilities ในชั้น 27 - 28 ผ่านการเลือกสรรวัสดุในรูปแบบของ Luxury Authentic Material ดีเทลงานคราฟต์ของการตกแต่งอินทีเรียที่สอดแทรกสายน้ำที่กำลังเคลื่อนไหว   ชั้น G กับ Lobby ที่แยกเป็น 2 ส่วน กับ The Parlour Port และ Exclusive Lobby ที่แบ่งแยกโซนเพื่อการใช้งานที่แตกต่างกัน พร้อมไฮไลต์พิเศษกับ THE THERAPIST ROOM ห้องที่ออกแบบมาเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูจากความเครียด   Double Roof Top Facilities ที่ชั้น 27 - 28 เปิดรับ 2 วิวแม่น้ำเจ้าพระยาไปกับ EXCLUSIVE ARTFUL LOUNGE มุมมองแบบ Panoramic 270 องศา ชมวิวแม่น้ำใน 2 บรรยากาศ ทั้งวิวฝั่งไอคอนสยาม ที่มีสีสัน ครึกครื้น หรือฝั่งของเอเชียทีค ที่นิ่ง สงบ นอกจากนั้น ในส่วนชั้น 27 ก็จะเป็นส่วนของสระว่ายน้ำ ฟิตเนส และพื้นที่สวนพักผ่อน ที่เปิดรับวิวทั้ง river view & city view   3) BEYOND THE LIMITES OF TIME  ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 3-0-55.0 ไร่ ติดถนนเจริญนคร เดินทางสะดวก เพียง 600 เมตร จาก BTS สถานีกรุงธนบุรี เดินทางเข้าเมืองแค่เพียง 1 สถานี ก็ถึง CBD โซนสาทร เชื่อมต่อสาทรเหนือ-พระรามที่ 3-วงเวียนใหญ่ อย่างรวดเร็ว 4) BEYOND THE ORDINARY  ให้ทุกวันคือการใช้ชีวิตที่เหนือกว่าที่เคย กับสิ่งอำนวยความสะดวกที่อยู่แวดล้อมรัศมีโครงการ ใกล้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อย่าง ไอคอนสยาม, เสนา เฟสท์, โรบินสัน บางรัก, เอเชียทีค และ Gump’s Cross ไลฟ์สไตล์คอมมิวนิตีใหม่ รวมถึงคาเฟ่สุดชิคอีกมากมายในย่านเจริญนคร   LIFE เจริญนคร-สาทร คอนโดมิเนียม HIGH–RISE สูง 28 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 580 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท โซนพักอาศัยเริ่มตั้งแต่ชั้น 7 - 26 กับห้องชุด SIMPLEX 3 แบบ 1) 1 Bedroom 29.5 - 35 ตร.ม.  2) 1 Bedroom Plus 35 ตร.ม. และ  3) 2 Bedroom 42 - 57 ตร.ม. ราคาขาย 1 ห้องนอนใหญ่ เริ่ม 3.59 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยเริ่ม 114,000 บาท / ตร.ม. รับโปรโมชันพิเศษจองในวันงาน VVIP Day 29 - 30 มิถุนายนนี้ รับส่วนลดสูงสุด 230,000 บาท ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษได้ที่ http://apth.ly/Life-CNK-ST   ข่าวอื่นๆ ที่น่าสนใจ [PR] “เมซัน”ประกาศลุยบ้านหรู “แกรนด์ แอสเสทฯ” ดันเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” ข่าวโปรโมชันล่าสุด  
[PR] “เมซัน”ประกาศลุยบ้านหรู “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2” รับไตรมาส 2/67

[PR] “เมซัน”ประกาศลุยบ้านหรู “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2” รับไตรมาส 2/67

“เมซัน”ประกาศลุยบ้านหรู “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2” รับไตรมาส 2/67 มั่นใจสินค้าตอบโจทย์ดีมานด์ย่านฝั่งธนฯ-พื้นที่ใกล้เคียง เมซัน ดีเวลลอปเม้นท์ฯ เผยศักยภาพทำเลพระราม 2 ดีมานด์ยังมีความต้องการบ้านแนวราบระดับลักชัวรี ประกาศเดินหน้ารับไตรมาส 2/67 ผุดบ้านหรู โครงการ “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2”ราคาเริ่มต้นที่ 7-14 ล้านบาท มูลค่า 1,   060 ล้านบาท พร้อมเปิดพรีเซลวันที่ 25-26 พ.ค.67 มั่นใจสินค้าตอบโจทย์ดีมานด์ย่านฝั่งธนฯและพื้นที่ใกล้เคียง   นายพงศ์ศักดิ์ สวาทยานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯแนวราบภายใต้แบรนด์ “Maison Development”(เมซัน ดีเวลลอปเม้นท์) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในย่านพระราม 2 ว่า ถือว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพ ดีมานด์ส่วนใหญ่มีความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบในระดับลักชัวรีสูง เนื่องจากอยู่ไม่ไกลจากย่านเศรษฐกิจใจกลางเมือง การคมนาคมเดินทางสะดวกสบาย เมื่อเทียบกับทำเลชานเมืองในโซนอื่นๆของกรุงเทพฯ   ส่งผลให้แผนการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส 2/2567 เปิดตัวโครงการ “มอร์เกน บางขุนเทียน-พระราม2” (Morgen Bangkhunthian-Rama2) พัฒนาโดยบริษัท เมซัน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือเพลินพัฒน์ แอสเสทฯ ตั้งอยู่บริเวณย่านบางขุนเทียน บนพื้นที่ 30 ไร่เศษ พัฒนาในรูปแบบบ้านเดี่ยว 2 ชั้น สไตล์เฟรสช์โคโลเนียล (French Colonial) ภายใต้คอนเซ็ปต์ "MAGNIFICENT MORNINGS, FINEST URBAN LIVING IN FRENCH COLONIAL"ขนาด 501-74.6 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 216-350 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 7-14 ล้านบาท จำนวน 103 ยูนิต มูลค่า 1,060 ล้านบาท โดยกำหนดเปิดพรีเซลในวันที่ 25-26 พฤษภาคม 2567 ซึ่งมั่นใจสินค้าจะตอบโจทย์ดีมานด์ย่านฝั่งธนฯและพื้นที่ใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี     โดยโครงการดังกล่าวมีบ้านให้เลือก 3 แบบ คือ 1.แบบซาโลเม่ (Salomé) จำนวน 46 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้น 51 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 216.1 ตารางเมตร ฟังก์ชั่นบ้าน 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องรับแขก+รับประทานอาหาร 1 นั่งเล่น 2 จอดรถ 2.แบบบ้านมาเอล(Maël) จำนวน 40 ยูนิต  ขนาดที่ดินเริ่มต้น 60.8 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 275.7 ตารางเมตร ฟังก์ชั่นบ้าน 4 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 แม่บ้าน 1 ห้องรับแขก+รับประทานอาหาร 1 นั่งเล่น 3 จอดรถ 3.แบบบ้านเลออน (Léon) จำนวน 17 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้น 74.6 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 335.2 ตารางเมตร ฟังก์ชั่นบ้าน 5 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องแม่บ้าน 1 ห้องรับแขก+รับประทานอาหาร 1 นั่งเล่น 1 ซักรีด 4 ที่จอดรถ     ภายในโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ -สวนสาธารณะโครงการขนาดใหญ่ 1-0-05.6 ไร่ ( 405.6 ตารางวา ) -สวนหย่อม จำนวน 7 แห่ง พื้นที่ 461.8 ตารางวา -ClubHouse ประกอบด้วย  ห้องโถงพักผ่อนส่วนกลาง Double Space สระว่ายน้ำระบบเกลือ Jacuzzi และ ห้องออกกำลังกาย -ควบคุมการเข้าออกด้วยระบบ LPR ระบบอ่านป้ายทะเบียนรถอัตโนมัติ -กล้องวงจรปิดรปภ. 24 ชั่วโมง (Smart home)   สำหรับจุดเด่นโครงการ  เป็นโครงการบ้านใกล้เมือง บนทำเลศักยภาพใจกลางพระราม 2 เชื่อมต่อทุกการเดินทาง ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วน, 5 นาทีถึงเซ็นทรัลพระราม  2, 15 นาทีถึง พระราม3-สาทร , แบบบ้าน สโมสร สระว่ายน้ำสไตล์ เฟรนช์โคโลเนียล (French Colonial) อีกทั้งอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้ามากมาย อาทิ เซ็นทรัล พลาซา พระราม 2, โลตัส พระราม 2,บิ๊กซี พระราม2,เดอะไบรท์ พระราม 2 รวมไปถึงใกล้สถานศึกษา อาทิ โรงเรียนรุ่งอรุณ ,รร.สวนกุหลาบวิทยาลัย ธนบุรี,โรงเรียนนานาชาติ เบซิส กรุงเทพฯ ,โรงเรียนทวีธาภิเศก บางขุนเทียน  ,โรงเรียนเลิศหล้า กาญจนาภิเษ ,มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้ โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน,โรงพยาบาลนครธน และ โรงพยาบาล บางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล  เป็นต้น   บทความที่เกี่ยวข้อง Maison Hill สุขุมวิท-ศรีราชา บ้าน French Colonial สิวารมณ์ ปาร์ค วงแหวน – ประชาอุทิศ 7 บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่สไตล์นอร์ดิก M Life สุขุมวิท–บางปู 87 บ้านแฝดหรูดีไซน์ใหม่
“แกรนด์ แอสเสทฯ” ดันเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” รุกเจาะดีมานด์ไฮเอน

“แกรนด์ แอสเสทฯ” ดันเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” รุกเจาะดีมานด์ไฮเอน

อสังหาฯ อีอีซี โตไม่แผ่ว! “แกรนด์ แอสเสทฯ” ดันเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” รุกเจาะดีมานด์ไฮเอนด์ ดึงพาร์ทเนอร์ระดับโลก ปั้นโครงการมิกซ์ยูสสุดอลังการหนึ่งเดียวในระยอง โครงการอสังหาฯ ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ยังคงร้อนแรงไม่มีแผ่ว ล่าสุด แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของเมืองไทย ชี้มูลค่าตลาดอสังหาฯ จังหวัดระยอง พุ่งขึ้น 2 เท่า รับอานิสงส์คนไทย-ต่างชาติย้ายมาอยู่ใกล้ที่ทำงาน-ดำเนินธุรกิจในเขตอีอีซี แกรนด์ แอสเสทฯ เห็นโอกาสเจาะกลุ่มไฮเอนด์และนักลงทุน รุกส่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญเขย่าตลาดอสังหาฯ ระยองกับเมกะโปรเจ็กต์ “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง” โครงการระดับอัลตราลักชัวรีติดทะเลอ่าวไทยแห่งแรกและแห่งเดียวในระยอง บนพื้นที่กว่า 92 ไร่ ในทำเลศักยภาพใจกลางอีอีซีและห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 180 กม. กางแผนปั้นเป็นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสสุดยิ่งใหญ่ในจังหวัด อันประกอบด้วย ที่อยู่อาศัยแบบพูลวิลล่าระดับอัลตราลักชัวรี โรงแรม ร้านอาหาร บีชคลับ และบริการด้านสุขภาพองค์รวม โดยแกรนด์ แอสเสทฯ เผยกลยุทธ์การดึงพาร์ทเนอร์ผู้เชี่ยวชาญระดับโลก ทั้ง “อมาธารา เวลเลเชอร์ รีสอร์ต” แบรนด์เวลเนสชื่อดังจากภูเก็ต นำเสนอบริการสุขภาพรองรับเฮลตี้ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่อย่างครบครัน ทั้งยังเป็นโปรเจ็กต์แรกในไทยที่ได้จับมือกับบริษัทดีไซน์ชื่อดังระดับโลก “IBUKU” มาร่วมออกแบบ “Bambu Beach Club” แลนด์มาร์กติดทะเลสุดอลังการที่โอบรับธรรมชาติตระการตา ล่าสุด อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง เผยโฉมพูลวิลล่าเฟส 2 ปักหมุดวิลล่าบนเนินเขาพร้อมวิวทะเลแห่งแรกในระยอง ทุกสเปซในโครงการชูดีไซน์การออกแบบที่งดงามตระการตาพร้อมโอบรับวิวทะเลอ่าวไทย มั่นใจตอบโจทย์เรียลดีมานด์ที่ซื้ออยู่เองและนักลงทุนเพื่อสร้างกำไรอย่างยั่งยืน   คุณวิทวัส วิภากุล กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงศักยภาพของจังหวัดระยอง ว่า “ระยองเป็นจังหวัดศักยภาพสูงที่มี GDP (Gross Domestic Product) ติดหนึ่งในสามของประเทศ มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Gross Provincial Product: GPP) สูงเป็นอันดับสองของประเทศ (รองจากชลบุรี) เฉลี่ยถึง 7.7% ต่อปี (ในช่วงปี 2547- 2562) ขณะที่รายได้ต่อประชากร (GPP per capita) ก็สูงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ถือว่าเนื้อหอมสำหรับทั้งตลาดอสังหาฯ และการท่องเที่ยว ด้วยจุดแข็งทำเลใจกลางเขตอีอีซี ทั้งยังมีพื้นที่ติดทะเลอ่าวไทย ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยววิวทะเลใกล้กรุงเทพฯ ของทั้งชาวไทยและต่างชาติ จ.ระยอง ถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมชั้นนำของประเทศ โดยปัจจุบัน มีโครงการโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาแหล่งที่อยู่อาศัยคุณภาพมากมายที่เข้ามารองรับดีมานด์ที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งรวมถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินในอนาคต ทั้งหมดนี้ ทำให้ชาวไทยและต่างชาติกำลังซื้อสูงซึ่งเข้ามาทำงานและทำธุรกิจในพื้นที่ มีความมั่นใจในการย้ายที่อยู่และลงหลักปักฐาน นอกจากนี้ เหล่านักลงทุนก็พร้อมเข้ามาทำธุรกิจที่ได้ผลตอบแทนสูงอย่างต่อเนื่อง คาดว่าอุปทานที่อยู่อาศัยใหม่ในระยองจะเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.1% ต่อปี ขณะที่ยอดขายใหม่จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4.2% ต่อปี”   “อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของระยอง เพราะโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสในลักษณะนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นที่ระยอง ซึ่งใกล้จากกรุงเทพฯ ล่าสุดเรามีโครงการอสังหาฯ ระดับอัลตราลักชัวรีวิวทะเลอ่าวไทยที่สวยงามและห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น เราตั้งใจปั้นอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยองให้เป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของภาคตะวันออกเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์เหนือระดับ แกรนด์ แอสเสทฯ พัฒนาโครงการเพื่อเจาะกลุ่มกำลังซื้อจริง โดยปัจจุบัน กลุ่มลูกค้าระดับบนมองหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการสร้างเฮลตี้ไลฟ์สไตล์ด้วยตนเอง ลูกค้ากลุ่มนี้จึงต้องการพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง ความเป็นส่วนตัว พื้นที่สีเขียว และการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีผ่านดีไซน์-ฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย เราได้จับมือ ‘อมาธารา เวลเลชเชอร์ รีสอร์ต’ ผู้นำธุรกิจ Holistic Wellness ระดับ 5 ดาวที่มีชื่อเสียงจากภูเก็ตมาช่วยบริหารบริการเวลเนสในโครงการฯ เพื่อร่วมปั้นอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง ให้เป็น ‘เวลเนสแลนด์มาร์กใหม่’ ระดับเวิลด์คลาสของระยอง ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฮับท่องเที่ยวด้านสุขภาพชั้นนำของโลก” คุณวิทวัส อธิบาย   โครงการ อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง ตั้งอยู่บนพื้นที่ 92 - 3 - 12 ไร่ ที่สุดแห่งการอยู่อาศัยหนึ่งเดียวในระยอง นำเสนอพูลวิลล่าระเบียงส่วนตัววิวทะเลอ่าวไทย พร้อมบริการระดับ 5 ดาว ประกอบด้วย พูลวิลล่าริมชายหาด ปัจจุบันแล้วเสร็จและพร้อมเข้าอยู่ทั้งสิ้น 9 หลัง 18 ยูนิต (อาคารชุด 2 ชั้น) แบบ 2, 3 และ 4 ห้องนอน สไตล์คลาสสิกที่มีกลิ่นอายความเป็นไทยอันเรียบหรู ในราคาเริ่มต้น 50 – 135 ล้านบาท โดยได้รับการตอบรับอย่างยอดเยี่ยมจากลูกค้าและนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติ พูลวิลล่าบนเนินเขาวิวทะเลหนึ่งเดียวในระยอง มาพร้อมดีไซน์ทันสมัยในคอนเซ็ปต์ “Sea to Sand” พร้อมกลมกลืนกับธรรมชาติ โดยวิลล่าแต่ละหลังไล่ระดับลงมาจากเนินเขาจนถึงชายหาด มองวิวทะเลแบบพาโนรามาทุกยูนิต ตอบโจทย์ผู้บริหารรุ่นใหม่ที่มองหาบ้านไว้รีชาร์จแบบที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทั้งสิ้น 9 หลัง 18 ยูนิต (อาคารชุด 2 ชั้น) ในราคาเริ่มต้น 39 - 50 ล้านบาท   “ล่าสุดเราได้เผยภาพดีไซน์พูลวิลล่าบนเนินเขาวิวทะเลคอนเซ็ปต์ Sea to Sand ให้ทุกคนได้ชมกันแล้ว ความพิเศษแบบ One and Only ของวิลล่าเฟสนี้คือดีไซน์ที่ทันสมัยกับวิวทะเลพาโนรามาและบ้านที่ลดหลั่นลงมาตามเขาอย่างงดงาม คาดว่า บ้านเฟสนี้เหมาะจะเป็น Hideaway Home ของผู้บริหารรุ่นใหม่กับพูลวิลล่าที่ตอบโจทย์การพักผ่อน อีกหนึ่งโปรเจ็กต์สำคัญที่เข้ามาเติมเต็มการเป็นที่สุดแห่งไลฟ์สไตล์เดสติเนชันของอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง ได้อย่างลงตัว คือ “Bambu Beach Club” แลนด์มาร์กติดทะเลแห่งแรกของเมืองไทยซึ่งเปิดให้บริการแล้ว ผลงานดีไซน์โดยบริษัทชื่อดังระดับโลก IBUKU Design Studio โด่งดังจากผลงานการออกแบบสถานที่จากโครงสร้างธรรมชาติและไม้ไผ่มากกว่า 60 แห่งในบาหลี อินโดนีเซีย รวมถึงผลงานสุดอลังการในลาสเวกัส, ดูไบ, มัลดีฟส์, ฮ่องกง, แอฟริกาใต้ และอีกหลายประเทศ เน้นการผสมผสานความงามของธรรมชาติเข้ากับสเปซและฟังก์ชัน “Bambu Beach Club” นับเป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่จะได้ยลโฉมผลงานของ IBUKU โดยไม่ต้องบินไปชมที่ต่างประเทศ คาดว่าแลนด์มาร์กบีชคลับแห่งใหม่นี้ที่เปิดให้บุคลลทั่วไปเข้าไปเช็กอิน จะเป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวห้ามพลาดของจังหวัด ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวระยองให้คึกคักกว่าเคย” คุณวิทวัส กล่าวเน้นย้ำ   คุณกนกณัฐ  อรรถญาณสกุล กรรมการบริหาร อมาธารา เวลเลย์เชอร์ รีสอร์ท กล่าวว่า “ปัจจุบัน ลูกค้าระดับบนมองหาคุณภาพชีวิต ให้ความสำคัญกับการหาเวลาดูแลสุขภาพในเชิงป้องกันทั้งร่างกายและจิตใจAmatara WelleisureTM Resort จึงมุ่งสร้างสรรค์สุขภาวะที่ดีแก่ผู้อยู่อาศัย เลือกที่อยู่อาศัยที่มีสภาพแวดล้อมบริสุทธิ์ ส่งเสริมสุขภาพ มีบริการสุขภาพเชิงป้องกัน เพื่อรองรับการใช้ชีวิตของคนทุกเจเนอเรชัน ตลาดอสังหาลักชูรีมาแรงก็จริง แต่เวลเนสก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ไดร์ฟการตัดสินใจของกลุ่ม Wealth ลู สำหรับบริการเวลเนสที่นำเสนอที่อมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง เราเน้นเรื่องการผสมผสานของกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพเชิงป้องกันกับไลฟ์สไตล์ที่มีรูปแบบเข้าถึงง่าย เพลิดเพลิน ผสมผสานภูมิปัญญาของตะวันออกที่เจริญด้วยการเข้าลึกถึงการดูแลสุขภาพจิตใจเข้ากับวิทยาศาสตร์ของตะวันตกซึ่งมุ่งเน้นการดูแลสุขภาพกายที่สัมพันธ์ถึงจิตใจที่นำสมัย  มอบการอยู่อาศัยแบบตามหลัก “WISE” ซึ่งมี 4 องค์ประกอบด้วยกัน ได้แก่ Well-Being การออกแบบประสบการณ์อยู่อาศัยที่ซัพพอร์ตชีวิตและสุขภาพที่ดี, Individualised สร้างสรรค์โครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ให้เหมาะสำหรับแต่ละบุคคล, Small Steps การปรับสมดุลไลฟ์สไตล์ค่อยเป็นค่อยไปแบบยั่งยืนและ Enjoyable ครีเอตการอยู่อาศัยที่ผ่อนคลายสำหรับทั้งครอบครัว ทุกองค์ประกอบช่วยรังสรรค์ให้ที่นี่เป็นที่สุดแห่งที่อยู่อาศัยเหนือระดับเพื่อ Sustainable Well-Being ซึ่ง Bambu Beach Club นี้เป็นสัญลักษณ์ของการสร้างสรรค์กลมกลืนกับธรรมชาติ การสะท้อนถึงความเป็นอยู่ที่เป็นแบบ Sustainable Well-being อย่างแท้จริง” นอกจากโครงการพูลวิลล่าที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากและบีชคลับสุดอลังการที่เปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อย แกรนด์ แอสเสท เผยเร่งพัฒนาอีกหลากหลายโปรเจ็กต์ในอนาคตอันใกล้ ที่จะมาเติมเต็มความสมบูรณ์แบบและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์เหนือระดับ ทั้ง Sky Bar ร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งในคอนเซ็ปต์ Sail to Sea และโปรแกรมการดูแลสุขภาพ ทั้งการปรับสมดุลร่างกายและจิตใจ ทรีตเมนต์ การดูแลโภชนาการ การออกกำลังกายและทำกิจกรรมกลางแจ้ง โดยมีผู้เชี่ยวชาญและเทรนเนอร์คอยดูแล อาทิ โยคะ พิลาทิส กีฬาทางน้ำ โดยการบริหารงานของอมาธารา เวลเลชเชอร์ รีสอร์ต     คุณอาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย บริษัท ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เปิดเผยข้อมูล “ปัจจุบันโครงการที่พักอาศัยตากอากาศลักชัวรีในต่างจังหวัดได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้ากลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ติดชายทะเล ส่วนใหญ่ซื้อไว้สำหรับอยู่อาศัยเองเป็นบ้านพักตากอากาศหลังที่สองและสำหรับลงทุนในระยะยาว ซึ่งตัวโปรดักต์ต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าในระยะยาวได้ โดยโครงการที่อยู่ในมิกซ์ยูสและมีบริการจากเครือโรงแรม (Branded Residence) จะได้รับกระแสตอบรับที่ดีมากกว่าโครงการทั่วไป  ซึ่งจังหวัดระยองเองยังไม่เคยเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูสที่มีที่พักอาศัยตากอากาศในรูปแบบพูลวิลล่ามาก่อน ทำให้โครงการมีความแตกต่างและคาดว่าจะได้รับความสนใจที่ดีจากกลุ่มลูกค้าระดับบน นอกจากนี้ ความสะดวกสบายจากสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ บริการที่เสมือนอยู่ในโรงแรมที่มีบริการ อาทิ Concierge Service ตลอด 24 ชั่วโมง Wellness Program ที่มาสร้างสุขภาวะที่ดีในการอยู่อาศัย รวมถึงความหลากหลายของตัวโครงการไม่ว่าจะเป็นคอนโดมิเนียม ลักชัวรีพูลวิลล่า พร้อมร้านอาหาร ซึ่งถือว่าตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแบบครบจบในที่เดียว ด้วยองค์ประกอบต่างๆ ที่กล่าวมา ซีบีอาร์อีเชื่อว่าโครงการมิกซ์ยูสและที่พักอาศัยตากอากาศในรูปแบบ Branded Residence Pool Villa จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าและสร้างมูลค่าให้กับโครงการในอนาคตได้” ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง facebook.com/AmataraResidencesRayong และ https://www.grandeasset.com/ หรือ โทร. 0955759999 เพื่อนัดหมายเพื่อเข้าเยี่ยมชมโครงการ   บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ วางเป้า 5 ปีทำรายได้หมื่นล้าน ESTAR ลุยทำเลทอง บ้านฉาง – ระยอง  
THE KLINIQUE เบอร์ 1 ธุรกิจการแพทย์ความงาม ตั้งเป้ารายได้ 3,000 ลบ. ในปี 67 ด้วยกลยุทธ์มัลติแบรนด์

THE KLINIQUE เบอร์ 1 ธุรกิจการแพทย์ความงาม ตั้งเป้ารายได้ 3,000 ลบ. ในปี 67 ด้วยกลยุทธ์มัลติแบรนด์

THE KLINIQUE ประกาศความเป็นเบอร์ 1 ในธุรกิจการแพทย์ความงาม ภายใต้กลยุทธ์มัลติแบรนด์ ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 ทะยาน 3,000 ล้านบาท บริษัท เดอะคลีนิกค์คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ KLINIQ ผู้นำในธุรกิจการแพทย์ความงามครบวงจร ประกาศความสำเร็จในปี 2566 ที่ผ่านมา ด้วยรายได้รวม 2,285 ล้านบาท เติบโต 39% พร้อมเผยแผนกลยุทธ์ปี 2567 มุ่งเน้นการขยายสาขา พัฒนาผลิตภัณฑ์ เสริมกลยุทธ์การตลาด และยกระดับบริการ มุ่งสู่เป้าหมายรายได้ 3,000 ล้านบาท   นายแพทย์อภิรุจ ทองวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดอะคลีนิกค์ คลินิกเวชกรรม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เดอะคลีนิกด์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2552 ด้วยวิสัยทัศน์ในการเป็นคลินิกความงามที่มอบบริการด้วยความเชี่ยวชาญ ปลอดภัย และได้มาตรฐานสากล      ตลอด 14 ปีที่ผ่านมา เดอะคลีนิกค์ได้ขยายสาขาภายใต้กลยุทธ์มัลติแบรนด์ (Multi Brand) กระจายตัวอยู่ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำรวมทั้งหมด 60 กว่าสาขาทั่วประเทศ แบ่งเป็น 5 แบรนด์หลัก ได้แก่ THE KLINIQUE: เน้นกลุ่มลูกค้า Gen X หรือกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงในระดับ Luxury และ Hi-End A.B.X: เน้นลูกค้ากลุ่มพรีเมื่ยม L'Clinic: จับกลุ่มลูกค้าอายุน้อยในระดับพรีเมี่ยมแมส THE KLINIQUE SURGERY CENTER: ให้บริการด้านศัลยกรรมเฉพาะทาง มีศูนย์ศัลยกรรมที่ใหญ่ที่สุคใจกลางสยามสแควร์ KLINIQ Wellness Spa: ให้บริการด้านเวลเนส ซึ่งถือเป็น Mega Trend สำคัญตอบโจทย์กลุ่มสังคมผู้สูงอายุ ที่ต้องการมีชีวิตยืนยาว อย่างมีสุขภาพดี   “ในปี 2566 เดอะคลีนิกค์มีรายได้รวม 2,285 ล้านบาท เติบโต 39% โดยเราพบว่าธุรกิจศัลยกรรมเติบโตขึ้นกว่า 361% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งปีที่ผ่านมาเราก็โตสูงมากแต่จะเห็นได้ว่าตลาดโตมาก นั่นหมายถึงว่าเรายังโตได้อีก โดยเราใช้กลยุทธ์ Multi Brand ในการขยายรายได้บริษัทให้สามารถจับกลุ่มลูกค้าได้ตามความต้องการที่แตกต่างกัน ทั้งนี้การที่เราอยู่ในตลาดนี้มานานมีความเข้าใจลูกค้า รวมถึงการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และความสัมพันธ์ที่ดีกับพันธมิตรทางเครื่องมือ เทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งหมดนี้คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้บริษัทฯเดินหน้าสู่ความเป็นที่หนึ่งในตลาดนี้ ”     ในปี 2567 เดอะคลีนิกค์ได้วางงบลงทุนไว้ 500 ล้านบาท เพื่อปั้นรายได้ทะยานสู่ 3,000 ล้านบาทภายใต้ 4 กลยุทธ์หลักประกอบไปด้วย   ขยายสาขา: เดอะคลีนิกค์มีแผนเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 15-20 สาขา เลือกทำเลที่มีศักยภาพ ภายใต้งบลงทุน 300 ล้านบาท หรือลงทุนเฉลี่ย 25-30 ล้านบาทต่อสาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด พัฒนาผลิตภัณฑ์: เน้นนวัตกรรม เทคโนโลยี และความปลอดภัย วางงบลงทุน 200 ล้านบาทสำหรับซื้อเครื่องมือใหม่ๆ การตลาดและการสื่อสาร: มุ่งเน้นกลยุทธ์การเข้าถึงลูกค้าแบบ Omnichannel สร้างการรับรู้แบรนด์และ Engagement กับลูกค้า จนเป็นที่รู้จักทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนลูกค้าคนไทยประมาณ 90% ต่างชาติ 10% ทั้งจากประเทศจีนและประเทศเพื่อบ้านทั้งหมดล้วนเป็นลูกค้าในระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง บริการ: พัฒนาด้านบริการให้ Personalized ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และใส่ใจผ่านทีมแพทย์ในเครือนับเครือนับ 100 คน พร้อมพยาบาล 200 กว่าคน รวมถึงพนักงานให้บริการอีกเกือบ 1,000 คน ที่ได้เทรนนิ่งทุกฝ่ายพร้อมรองรับลูกค้าอย่างครบวงจร   นายแพทย์อภิรุจ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยเป็น 1 ในประเทศที่มีการเสริมความงามมากที่สุดในปี 2563 โดยภาพรวมของอุตสาหกรรมเสริมความงามในประเทศนั้นพบว่ามีการเติบโตขึ้นทุกปี ซึ่งมาจากการที่ผู้บริโภคจะเปิดกว้างมากขึ้นต่อการทำศัลยกรรมและเสริมความงาม จากการศึกษาของ Grand View Research พบว่า ระหว่างปี 2565-2573 จะมีการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ร้อยละ 9.70% โดยในปี 2566 มีมูลค่า 6.4 หมื่นล้านบาท และปี 2567 จะมีมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท และคาดการณ์จนถึงปี 2573 จะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 1.2 แสนล้านบาท   “หากมองภาพรวมของตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท เดอะคลีนิกค์ ยังมีส่วนแบ่งการตลาดไม่ถึง 5% แต่ในแง่การดูแลรักษาเรื่องผิวหนังความงามถือว่าเป็นเบอร์ 1 ของไทยที่มีบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนี้เพื่อแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้ลงทุนเรื่องนวัตกรรมความงามจนได้รับรางวัลชนะเกาหลีและไต้หวันมาแล้ว และยังคงมุ่งมั่นพัฒนานเรื่องนวัตกรรมอีกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มเรทการใช้ห้องศัลยกรรมให้คุ้มค่ามากขึ้น พัฒนาบริการระดับ 5 ดาว รวมทั้งหาพาทเนอร์ในตลาดเวลเนส ที่จะเติบโตเป็น Inorganic Growth ในอนาคต” นายแพทย์อภิรุจกล่าวทิ้งท้าย    
[PR News] ชญาดา บิซ เพลส ศรีนครินทร์-อ่อนนุช  ทาวน์โฮมสไตล์ออฟฟิศ  เริ่มต้น 14 ล้านบาท

[PR News] ชญาดา บิซ เพลส ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ทาวน์โฮมสไตล์ออฟฟิศ เริ่มต้น 14 ล้านบาท

“สวอน เอสเตท” เปิดตัวโครงการทาวน์โฮมสไตล์ออฟฟิศ “ชญาดา บิซ เพลส”ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ทาวน์โฮม 3.5 ชั้น 44 ยูนิต แบบ 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ บนทำเลที่มีศักยภาพมากที่สุดพร้อมความโดดเด่นรอบด้าน รองรับความสมดุลที่ลงตัวของการใช้ชีวิตและการทำงาน ด้วยดีไซน์ฟังก์ชันการปรับเปลี่ยนเพื่อสร้างธุรกิจของตัวเอง บนแนวคิดทำให้ลูกค้าพึงพอใจในยามซื้อ มีความสุขในยามอยู่อาศัย และมีความสบายใจในยามที่ต้องขาย ตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองหาการลงทุนที่อยู่อาศัยที่คุ้มค่าระยะยาว เพื่อเป็นรางวัลความสำเร็จในชีวิต เปิดตัวเริ่มต้น 14 ล้านบาท   สวอน เอสเตท   นายเทธดา อุชุปาละนันท์ กรรมการผู้บริหาร บริษัท สวอน เอสเตท จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มการซื้อที่อยู่อาศัยว่า ผู้บริโภครุ่นใหม่ไม่ได้มองการซื้อบ้านเป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต แต่มองเป็นปัจจัยเพื่อการออมเงินและการลงทุนมากกว่า ดังนั้น เทรนด์การซื้อบ้านในปัจจุบันและอนาคตภาพรวม คือ ‘การซื้อที่อยู่อาศัยที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย และมีความคล่องตัวในการซื้อขาย’ จึงมีความสำคัญมากที่โครงการจะต้องเข้าใจในสิ่งที่ผู้บริโภครุ่นใหม่ต้องการ นั่นคือตอบโจทย์ความสมดุลของชีวิตที่ทำงานหนักแต่ก็ให้ความสำคัญกับการพักผ่อน กลุ่มนี้จึงไม่ลังเลที่จะให้รางวัลเรื่องบ้านกับตัวเอง แต่ต้องเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แม้ราคาสูง-แต่หากทำให้เกิดผลสำเร็จในแผนการดำเนินชีวิตระยะยาวก็พร้อมจะตัดสินใจทันที                ชญาดา บิซ เพลส’(Chayada Biz Place) เจอะกลุ่มคนรุ่นใหม่ อายุ 35-53 ปี บริหารธุรกิจได้ด้วยตัวเอง พร้อมมีความฝันที่จะเป็นเจ้านายตัวเอง ผ่านที่อยู่อาศัยที่มีรูปแบบและทำเลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการเริ่มต้นธุรกิจ เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าให้ไปได้ไกลถึงเป้าหมาย โครงการดังกล่าวจึงมีจุดเริ่มต้นพัฒนาขึ้น ‘ในทำเลที่มีศักยภาพมากที่สุด’ บนโซน ศรีนครินทร์-อ่อนนุช ซึ่งมีทำเลอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครฯ และติดกับถนนเส้นหลัก ทั้งยังเป็นจุดเชื่อมต่อกับพื้นทีสมุทรปราการซึ่งเป็นทำเลรอง ทำให้มีราคาที่ตอบโจทย์ต่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย และยังรองรับต่อความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจได้แบบครอบคลุม             ‘พึงพอใจในยามซื้อ มีความสุขในยามอยู่อาศัย และมีความสบายใจในยามต้องขาย’ เป้าหมายเราจึงเป็นการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดและต้องไม่เป็นภาระให้กับลูกค้าในอนาคต นั่นเพราะเราเข้าใจในวัฏจักรของตลาดบ้านเป็นอย่างดี เพราะหากลูกค้ามีความจำเป็นต้องขายบ้าน เราก็อยากให้ลูกค้าสามารถขายได้รวดเร็วและได้ราคา ซึ่ง ชญาดา บิซ เพลส มีศักยภาพมากพอที่จะตอบโจทย์แนวคิดนี้ทุกด้าน” คุณเทธดา กล่าว             สำหรับ ชญาดา บิซ เพลส (Chayada Biz Place) เป็นทาวน์โฮม 3.5 ชั้น สไตล์โฮมออฟฟิศ เน้นรูปแบบความหรูหราอินเทรนด์ที่สามารถปรับใช้งานได้หลากหลาย มีทั้งหมด 44 ยูนิต แบบ 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ พื้นที่ใช้สอย 248 ตร.ม. บนเนื้อที่เริ่มต้น 24.8 ตร.ว. ที่ตัวบ้านและผังโครงการถูกออกแบบเป็น Private Luxuryโดยเมื่อผ่านเข้ามาทางซุ้มประตูสีขาวขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมสวนและต้นไม้ใหญ่ไว้ จะเห็นตัวอาคารที่ออกแบบไว้อย่างสวยงามล้อมวงหันหน้าเข้าหากัน ต้อนรับผู้มาเยือนด้วยบรรยากาศที่ร่มรื่นน่าอยู่ อีกทั้งในโครงการยังมีอาคารพิเศษ 14 ยูนิตที่สามารถเปิดเข้า-ออกได้ 2 ทาง เพราะมีด้านหลังติดถนนนอกโครงการ เหมาะกับการปรับใช้ประโยชน์เปิดร้านทำธุรกิจ พร้อมจุดเด่นที่ช่วยเติมเต็มความดุลทั้งการพักอาศัย การทำงาน การเดินทาง ได้ครบทุกความต้องการ ไม่ว่าจะเป็น จุดเด่นที่ตัวโครงการ เพราะเป็นการผสานกันระหว่าง ทาวน์โฮม กับ โฮมออฟฟิศ จึงเป็นที่มาของคำว่า ‘ทาวน์โฮมสไตล์โฮมออฟฟิศ’ บนทำเลที่ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยและทำธุรกิจ ข้อดีทาวน์โฮมที่ไม่ใช่อาคารพาณิชย์คือลูกค้าสามารถขอสินเชื่อจากธนาคารในเงื่อนไขเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งจะได้ดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า กู้ได้มากกว่าและนานกว่าการกู้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น จุดเด่นที่ทำเลที่ตั้ง ตัวโครงการตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ ปากซอยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 67 เดินทางได้สะดวก ใกล้กับเส้นทางคมนาคมและสถานที่สำคัญหลายเส้นทาง อาทิ ถนนบางนา-ตราด, ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลบางนา, เมกะบางนา, อิเกีย บางนา, รพ.สินแพทย์ ศรีนครินทร์, รพ.สมิติเวช ศรีนครินทร์, สนามบินสุวรรณภูมิ และยังได้เปรียบในแง่ทำเลการขาย-ทำธุรกิจที่เข้าถึงง่าย จดจำง่ายอีกด้วย   จุดเด่นที่เป็นโครงการใหม่ มีบรรยากาศรายล้อมด้วยภูมิทัศน์ธรรมชาติ Panoramic Gaden View ที่กว้างสุดสายตา และพื้นที่ Clubhouse สไตล์โมเดิร์น รองรับการผ่อนคลายจากช่วงเวลาการทำงาน ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยที่ต้องการสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์การทำธุรกิจที่ช่วยสร้างภาพจำดีเป็นที่ชื่นชอบของผู้มาเยือน จุดเด่นเรื่องที่จอดรถ ภายในโครงการมี Convenient Parking Lot ที่จอดรถรวมกว่า 200 คัน เป็นที่จอดในแต่ละยูนิตรวม 88 คัน และที่จอดนอกยูนิตอีกกว่าร้อยคัน รวมไปถึงที่จอดนอกโครงการ ซึ่งสามารถรองรับกับลูกบ้านและแขกคนสำคัญที่เข้ามาร่วมทำกิจกรรมหรือการสันทนาการ เพื่อสร้างช่วงเวลาดี ๆ ได้เป็นอย่างดี จุดเด่นเรื่องฟังก์ชัน ตัวบ้านได้รับการออกแบบให้ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย จากรูปแบบ 3.5 ชั้น ที่นำครึ่งชั้นนี้ไปมอบให้กับห้องมาสเตอร์ แบบ Double Volume จนกลายเป็นห้องที่โอ่โถงและกว้างขวางสมเป็นห้องของเจ้าของบ้านอย่างแท้จริง รวมถึงมีฟังก์ชันเพื่อความปลอดภัยแบบ 2 ชั้น Smart Security หรือ Double-gated Security ที่คอยปกป้องดูแลและสอดส่องเฝ้าระวังอันตรายตลอด 24 ชั่วโมง   จุดเด่นเรื่องวัสดุก่อสร้างและคุณภาพ กำแพงก่อด้วยอิฐมวลเบา 2 ชั้น วัสดุเกรด A ตั้งแต่พื้น ประตูหน้าต่าง สุขภัณฑ์ห้องน้ำ ตกแต่งหรูหราเหมือนกับบ้านเดี่ยว พร้อมแนวทางที่จะไม่ลดทอนคุณภาพจากราคาวัสดุเพื่อชดเชยค่าที่ดินที่สูงขึ้นกว่าโครงการอื่นๆ นอกจากนี้ ชญาดา บิซ เพลส ยังมีแนวทางสำคัญที่ออกแบบมาให้ตอบโจทย์กับเทรนด์ความต้องการประสบความสำเร็จบนวิถีแห่งความสมดุลของชีวิต หรือ Work Life Balance & Success ซึ่งเป็นแนวทางคนรุ่นใหม่ที่ทำงานหนักเพื่อความสำเร็จอย่างชาญฉลาด และให้รางวัลกับชีวิตอย่างเต็มที่ โดยด้วยความสามารถในการปรับรวมที่อยู่อาศัยกับที่ทำงานให้เป็นสถานที่เดียวกัน เพื่อช่วยให้ได้ทุ่มเทกับงานและครอบครัวได้อย่างเต็มที่ไปพร้อม ๆ กัน   บทความน่าสนใจ โฮมโปร ประกาศยุทธศาสตร์ 5 ปี สู่ธุรกิจแสนล้าน ปั้นธุรกิจเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน
[PR News]Sansiri Community จัดงาน Sansiri Woof Fun Run สี่ขาพาวิ่งที่เวสต์เกต

[PR News]Sansiri Community จัดงาน Sansiri Woof Fun Run สี่ขาพาวิ่งที่เวสต์เกต

นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การสานต่อโมเดล Sansiri Community สังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ โดยในทุกแผนการปั้น Sansiri Community จะประกอบไปด้วยแผนพัฒนาโครงการและไลน์อัพกิจกรรมไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง แสนสิริส่งมอบคุณภาพการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนให้กับลูกบ้าน ที่เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย และในช่วงต้นปีนี้ เราพร้อมต่อยอดการปั้น “เวสต์เกต คอมมูนิตี้” ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยล่าสุดได้จัดงาน Sansiri Woof Fun Run สี่ขาพาวิ่งที่เวสต์เกต ที่เต็มไปด้วยความสนุก กับกิจกรรมวิ่งของเจ้าของกับน้องหมา รวมกว่า 100 คู่ และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น การตรวจสุขภาพเบื้องต้นของน้องหมา, โซนดนตรีสด, โซนอาหาร-เครื่องดื่ม และโซนร้านค้าสำหรับคนและสัตว์เลี้ยง โดยกิจกรรมได้รับการตอบรับดีเยี่ยม มีผู้เข้าร่วมงานคับคั่ง” Sansiri Community เวสต์เกต คอมมูนิตี้ (Westgate Community) คอมมูนิตี้แห่งใหม่จากแสนสิริ ตั้งอยู่บนพื้นที่รวมประมาณ 215 ไร่ ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพ ที่เข้าสู่การเป็นศูนย์กลางความเจริญทางฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ บริเวณเลียบคลองถนน และ ถนนเลียบคลองบางไผ่ เชื่อมไปถนนกาญจนาภิเษก รัตนาธิเบศร์ ราชพฤกษ์และชัยพฤกษ์ ทำให้เดินทางง่ายทั้งขนส่งสาธารณะและรถยนต์ส่วนตัว ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีคลองบางไผ่ 1.9 กิโลเมตร และโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล รัตนาธิเบศร์ 4.3 กิโลเมตร ใกล้เซ็นทรัล พลาซ่า เวสต์เกตและอิเกีย บางใหญ่ 4.7 กิโลเมตร   โดยเวสต์เกต คอมมูนิตี้ ได้รับการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ The Seasonal Valley ที่มี 3 ฤดู ได้แก่ Winter Zone, Rainy Zoneและ Spring Zone พร้อมทั้งตกแต่งพื้นที่ในแต่ละโซนด้วยต้นไม้ตามฤดูกาล เพื่อสร้างบรรยากาศร่มรื่นให้กับผู้อยู่อาศัยตลอดโครงการ ให้พื้นที่ทุกตารางเมตร รองรับการใช้ชีวิตของครอบครัวทุกเจเนอเรชั่น ปัจจุบัน ภายในเวสต์เกต คอมมูนิตี้แห่งนี้ประกอบด้วย 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท ได้แก่ ‘อณาสิริ เวสต์เกต’ บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดพร้อมอยู่ สไตล์ Mediterranean และ ‘สราญสิริ เวสต์เกต’ บ้านเดี่ยวสไตล์ Modern Farmhouse     ปัจจุบัน แสนสิริพัฒนา Sansiri Community แล้วทั้งหมดรวม 8 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพกรีฑา, บางนา-เลค 26, รังสิต-บางพูน, ราชพฤกษ์-346, กรุงเทพ-ปทุมธานี, เวสต์เกต, พระราม 2-วงแหวน และประชาอุทิศ 90 และเตรียมเปิดใหม่อีก 4 แห่งในปีนี้ ได้แก่ ศรีนครินทร์-แพรกษา, บางนา กม. 10, ศรีวารี และวงแหวน – ลำลูกกา     บทความน่าสนใจ แสนสิริกางแผนปี 67 เปิดตัว 46 โครงการใหม่มูลค่า 6.1หมื่นล้านบุก 4 เมืองท่องเที่ยว สแตนดาร์ดจับมือ แสนสิริ และซีจี แคปปิตอล เปิดเรสซิเดนซ์แห่งแรกในเอเชีย“หัวหิน-ภูเก็ต” แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด
[PR News]โฮมโปร ประกาศยุทธศาสตร์ 5 ปี สู่ธุรกิจแสนล้าน  ปั้นธุรกิจเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน

[PR News]โฮมโปร ประกาศยุทธศาสตร์ 5 ปี สู่ธุรกิจแสนล้าน ปั้นธุรกิจเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน

“โฮมโปร (HomePro)” ปรับตัวนำเทรนด์ ตอกย้ำความเป็นเบอร์หนึ่งผู้นำธุรกิจด้าน Home Solution and Living Experience ในประเทศไทย ด้วยการประกาศทิศทางและแผนยุทธศาสตร์ 5 ปี ขยายธุรกิจสู่แสนล้านบาท ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดเติบโตต่อเนื่อง พร้อมขับเคลื่อนโมเดลธุรกิจด้วยแผน Sustainability เติบโตสมดุลอย่างยั่งยืน สู่เป้าหมายองค์กร Net Zero ระดับโลก ภายในปี ค.ศ.2050 และผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน รับเทรนด์โลกอนาคตมุ่งเน้นพลังงานสะอาดครบวงจร พร้อมเปิดตัวครั้งแรก! "First Closed Loop Circular Appliances" ในงาน HOMEPRO NEXT CHAPTER ก้าวไปสู่ความสำเร็จ ภายใต้แนวคิด "MAKE EVERY CHANGE A BETTER LIFE" สร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในทุกความเปลี่ยนแปลงของช่วงชีวิต นายวีรพันธ์ อังสุมาลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ โฮมโปร (HomePro) เปิดเผยว่า “เป็นการพลิกบทบาทธุรกิจครั้งใหญ่ของโฮมโปร บนความท้าทายใหม่ๆ โฮมโปรพร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า คู่ค้า รวมถึงพันธมิตร ตอกย้ำแบรนด์เบอร์หนึ่งผู้นำเรื่องบ้าน ด้วยยุทธศาสตร์ 5 ปี เพื่อก้าวสู่ธุรกิจแสนล้าน ภายใต้แผนการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็น ขยายสาขาครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ กว่า 170 สาขา ช่องทางการขายออนไลน์ที่ครอบคลุม และเชื่อมถึงกันแบบไร้รอยต่อ รองรับลูกค้า B2C และขยายฐานลูกค้าไป B2B มากขึ้น พร้อมพัฒนา 3 แอปฯ ช้อปได้ไม่มีสะดุด (HomePro Online, Home Service, Home Card) พัฒนาด้านระบบขนส่งและโลจิสติกส์ ขยายพื้นที่เพิ่มกว่า 100,000 ตร.ม. รองรับทุกความต้องการทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพศูนย์กระจายสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย รับและส่งออกสินค้ามากกว่า 400,000 ชิ้นต่อวัน, ระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ-จัดการคลังได้มีประสิทธิภาพ แม่นยำ ลดความผิดพลาด, บริการให้เช่าคลังสินค้า, บริการขนส่งกลับ ด้วยต้นทุนต่ำ ตลอดจนส่งมอบสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ รวดเร็ว ถึงมือลูกค้า ยกระดับประสบการณ์การซื้อสินค้าและบริการสุดพิเศษให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิด Lifetime Eco-System โฮมโปร พร้อมขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแผน Sustainability สร้างองค์กรเติบโตสมดุลอย่างยั่งยืนในทุกๆ มิติ อาทิ มุ่งสู่เป้าหมายองค์กร Net Zero ระดับโลก ภายในปี ค.ศ.2050 ผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน รับเทรนด์โลกอนาคตมุ่งเน้น ‘พลังงานสะอาดครบวงจร’ เปิดตัวครั้งแรก! "First Closed Loop Circular Appliances" ผู้ค้าปลีกรายแรกที่ดำเนินโครงการ รีไซเคิล Waste of Electrical and Electrical Equipment (WEEE) พัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าหมุนเวียนแบบครบกระบวนการ ตั้งแต่การเก็บของที่ใช้งานแล้ว จากบ้านลูกค้า (HomePro Consumers) เพื่อเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลที่มีมาตรฐาน GRS รองรับ เพื่อให้ได้เม็ดพลาสติก PCR (Post Consumer Recycled) ที่มีคุณภาพ ในการนำกลับมาผลิตใหม่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าร่วมกับพันธมิตร ได้แก่ Haier, Toshiba, Venz และ SCG เพื่อเป้าหมายคือ ลดปริมาณขยะให้กับโลก อีกทั้ง ผนึกกำลังพันธมิตรทุกภาคส่วน รับเทรนด์โลกอนาคต มุ่งเน้นพลังงานสะอาดครบวงจร ด้านขนส่ง เปลี่ยนเป็นรถขนส่งพลังงานไฟฟ้า (EV Truck) ที่เร่งดำเนินการให้ได้ราว 50% ภายในปี ค.ศ.2030 ติดตั้งโซล่าเซลล์ ไปแล้วกว่า 80 สาขา คิดเป็นกำลังการผลิตไฟมากกว่า 60 MWh และมีแผนที่จะขยายเพิ่มเติมต่อเนื่อง EV Car สนับสนุนและส่งเสริมพนักงานใช้รถพลังงานสะอาด “เชื่อมั่นว่าครั้งนี้ จะเป็นก้าวใหม่ที่นำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนของธุรกิจโฮมโปร สร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ว่าจะเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมๆ กัน” นายวีรพันธ์ กล่าว   โฮมโปรได้รับรางวัลแห่งความภาคภูมิใจ ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการได้รับคัดเลือกอยู่ใน Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI 2017-2023, MSCI Global Sustainability Index และ MSCI ESG Ratings Index 2015-2023, FTSE4Good Index 2015-2023, Thailand Sustainability Investment (THSI) 2015-2023 รวมถึงได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 บริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยสถาบันไทยพัฒน์ 2015-2023, บริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน SET Awards 2016-2022 และ Thailand’s Top Corporate Brands 2022-2023 ซึ่งรางวัลเหล่านี้ถือเป็นการการันตีว่าโฮมโปรนั้นได้ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการเติบโตที่ยั่งยืนของบริษัทฯ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต อีกด้วย   บทความน่าสนใจ ใครท็อปฟอร์มสุด ในธุรกิจ ร้านวัสดุ-เฟอร์นิเจอร์ Q3/65 เช็คให้ชัวร์ !! ซื้อบ้านใหม่ vs สร้างบ้านเอง แบบไหนเหมาะกับคุณ?    
[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศแผนธุรกิจปี 2567  เปิดโครงการใหม่ 8 – 12 โครงการ มูลค่า  8,000 ล้านบาท เป้ายอดขาย 6,550 ล้านบาท 

[PR News] ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ประกาศแผนธุรกิจปี 2567  เปิดโครงการใหม่ 8 – 12 โครงการ มูลค่า  8,000 ล้านบาท เป้ายอดขาย 6,550 ล้านบาท 

ลลิลฯ ประกาศแผนธุรกิจปี 2567  เดินหน้าขยายธุรกิจ สู่การเป็น National Property Company มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยมีแผนเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องอีก 8 – 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 7,000 – 8,000 ล้านบาท  เพื่อทดแทนโครงการเดิมที่ใกล้จบ ตลอดจนขยายไปยังทำเลที่มีศักยภาพใหม่ๆ   พร้อมตั้งเป้ายอดขายและยอดรับรู้รายได้เติบโตจากปีก่อนหน้า  โดยตั้งยอดขายที่ 6,550 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 5,250 ล้านบาท  งบการจัดซื้อที่ดิน 1,500 ล้านบาท   นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) (Mr.Chaiyan Chakarakul, Chairman of Executive Board, Lalin Property Plc.) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปี กล่าวถึงภาพรวมของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ที่ผ่านมาว่า โลกยังคงต้องเผชิญความเสี่ยงที่ต่อเนื่องมาจากปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์  ประเด็นขัดแย้งที่ก่อเกิดขึ้นเป็นระยะในหลายภูมิภาค   การพยายามควบคุมเงินเฟ้อ โดยการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ ยุโรป  โดยเฉพาะเฟดมีการขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ระดับ 5.25% - 5.50% ซึ่งเป็นระดับที่สูงสุดในรอบกว่า 20 ปี  ส่งผลให้ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงต่อเนื่องจากปี 2565   ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ในส่วนของเศรษฐกิจไทย ซึ่งเศรษฐกิจมีการพึ่งพิงต่างประเทศอย่างมาก ทั้งจากการส่งออก การท่องเที่ยว รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)  ซึ่งในปี 2566 ที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว  ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ  ยุโรป  ตลอดจนประเทศจีน  ส่งผลให้การส่งออกของไทยทั้งปีน่าจะหดตัวที่ราว 1.5%    ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยว แม้จะสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปี 2565  แต่ก็เป็นการขยายตัวได้ต่ำกว่าเป้าหมาย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมา   ในส่วนของการบริโภคและการลงทุนภาครัฐ ก็หดตัวลงจากจัดตั้งรัฐบาล และการจัดทำงบประมาณที่ล่าช้า  ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ขยายตัวได้ต่ำกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้มาก สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2567 นี้ คาดว่าจะสามารถขยายตัวได้ราว 2.5% – 3.5%  อย่างไรก็ตามยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง ทั้งปัจจัยจากต่างประเทศและในประเทศ  ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์   การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในหลายประเทศสำคัญทั่วโลก  มาตรการกระตุ้นและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน  ในขณะที่ภายในประเทศ ภาระหนี้สาธารณะ และภาระหนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูง ยังคงเป็นความท้าทายสำหรับในปี 2567 นี้    อย่างไรก็ดีมองว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 นี้ ยังคงมีปัจจัยบวก  ไม่ว่าจะเป็นการที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มนิ่ง และมีแนวโน้มที่จะปรับลดลงได้ในช่วงครึ่งหลังของปี จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย   การต่ออายุมาตรการภาครัฐ ลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ไปถึงสิ้นปี 2567    การส่งออก และการท่องเที่ยวที่ น่าจะดีขึ้น  รวมถึงการเข้ามาลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น  จะช่วยให้เกิดการจ้างงาน และเกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ทั้งนี้ยังคงเชื่อมั่นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์  โดยเฉพาะตลาด Real Demand  ยังคงไปได้   โดยบริษัทฯ จะเน้นการดำเนินธุรกิจ และการขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน  ในตลาดที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ  และเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคเป็นอย่างดี  โดยในปี 2567 นี้บริษัทวางงบในการซื้อที่ดินไว้ที่ 1,500 ล้านบาท  โดยมีแผนเปิดโครงการเพิ่มเติมที่ 8 – 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้านบาท  และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 6,550 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 5,250 ล้านบาท   นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) (Mr. Churat Chakarakul, Managing Director, Lalin Plc.) กล่าวว่า ในปีนี้ ลลิลฯ ยังคงเน้นย้ำแนวคิดในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และการดำเนินธุรกิจตามหลักบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG)   นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงปัจจัยการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการประหยัดพลังงานไฟฟ้าและน้ำ การลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการให้ลูกค้าได้รับคุณภาพวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ และสังคมที่ดี  ซึ่งเป็นไปตามวิสัยทัศน์ของทางบริษัท สำหรับแผนการตลาด ในปี 2567 นี้  ยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์ที่ให้ความสำคัญกับลูกค้าโดยยึดหลัก Customer Centric ผ่านกลยุทธ์ทั้ง Lifestyle Marketing และ Experience Marketing เสริมประสิทธิภาพด้วยการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ โดยการทำ Brand collaboration เพื่อเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ อีกทั้งสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกกลุ่มเป้าหมายด้วย นอกจากนี้ ยังเน้นการทำการตลาดผ่านช่องทาง Digital ในช่องทางใหม่ให้หลากหลายมากขึ้น  เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ทั้งยังส่งเสริมให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นด้วย การนำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์หา Customer Insights   ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งสู่การเป็นองค์กรพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บริหารงานภายใต้แนวคิด Agile Principles โดยใช้กลยุทธ์ด้านดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนแปลง (Digital transformation) นอกจากนี้ บริษัทฯให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่เป็น Real Demand โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในส่วนของ Design Innovation และ Smart & Flexible Function ของตัวบ้าน และยังคงนำรูปแบบความงดงามของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสที่เรียบหรู มาออกแบบบ้านสไตล์ฝรั่งเศสแบบ French Colonial Style ซึ่งเป็นจุดเด่นสำคัญของบริษัทฯที่เป็นรายแรกในการนำมาพัฒนาออกแบบบ้านในสไตล์ดังกล่าว บนทำเลศักยภาพ ในราคาที่คุ้มค่า และจับต้องได้ เพื่อให้สินค้าและบริการสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อยู่เสมอ ในส่วนของสถานะทางการเงิน บริษัทฯ ดำรงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.76 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 1.45 เท่า ค่อนข้างมาก   โดยบริษัทมีการใช้แหล่งเงินทุนที่หลากหลาย และการบริหารความเสี่ยงทางการเงินอย่างรัดกุมมาโดยตลอด จึงได้รับความเชื่อมั่นจากสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ต่างๆ  จึงไม่ประสบปัญหาในเรื่องของแหล่งเงินทุน   โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการออกขายหุ้นกู้อายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ย 3.80%  ซึ่งได้รับการตอบรับจากสถาบันเข้าลงทุนเต็มจำนวนที่ 500 ล้านบาท   บทความน่าสนใจ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางเป้าขาย 8,600 ล้าน โต 10% เน้นธุรกิจทำกำไร-รักษาสภาพคล่อง
[PR News] Maison เปิดตัวบ้านใหม่ล่าสุด ทำเลดี ติด ม.เกษตร ศรีราชา

[PR News] Maison เปิดตัวบ้านใหม่ล่าสุด ทำเลดี ติด ม.เกษตร ศรีราชา

"ไมซัน ฮิลล์ สุขุมวิท-ศรีราชา" บ้าน French Colonial พร้อมคลับเฮาส์ที่โอบล้อมด้วยเขาและทะเล   บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุด บนทำเลศักยภาพใจกลางเมืองศรีราชา ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา และนิคมฯ แหลมฉบัง เดินทางสะดวกทุกรูปแบบ เพียง 1 นาที ก็ถึงมหาลัยเกษตรศาสตร์ และ 5 นาที ถึงนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง   โครงการ "ไมซัน ฮิลล์ สุขุมวิท-ศรีราชา" เป็นโครงการบ้านและทาวน์โฮมหรูในแบบบ้านสไตล์ เฟรนช์โคโลเนียล (French Colonial) พร้อมคลับเฮาส์ที่มีวิว Sunset โอบล้อมด้วยทะเลและภูเขา ในบรรยากาศสบายเหมาะกับการอยู่อาศัย ในราคาเริ่มต้น 2-4 ล้านบาท* พร้อมเปิดตัวภายใน 17-18 กุมภาพันธ์ 2567   ชื่อโครงการ  :  Maison hill (สุขุมวิท- ศรีราชา) เจ้าของโครงการ   : บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด ที่ตั้งโครงการ      : ซ.เขาน้ำซับ ตำบล ทุ่งสุขรา  อ.ศรีราชา ลักษณะโครงการ  : ทาวน์โฮม ทาวน์โฮมอิสระ บ้านแฝด บ้านเดียว พื้นที่โครงการ  : 22-3-20.1 ไร่ จำนวนยูนิต  : 176 ยูนิต ที่จอดรถ  : 2  คัน สิ่งอำนวยความสะดวก : สวนสวยขนาดใหญ่, สระว่ายน้ำระบบเกลือ , เข้า-ออกโครงการด้วยระบบสแกนทะเบียน  Auto Access, กล้องวงจรปิดรปภ. 24 ชม. (Smart home) รองรับ EV Ready ราคา  :  เริ่มต้น 2-4 ลบ. เปิดจอง  : 17-18 ก.พ. 67  
[PR News] “อยู่ดี มีสุข” มอบสุขภาพดีรับปีใหม่ผ่านกิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’

[PR News] “อยู่ดี มีสุข” มอบสุขภาพดีรับปีใหม่ผ่านกิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’

พฤกษา ร่วมกับ โรงพยาบาลวิมุตและโรงพยาบาลเทพธารินทร์ เดินหน้าส่งมอบสุขภาพดีอย่างยั่งยืนให้แก่ลูกบ้านพฤกษาด้วยกิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’ ที่ให้ความรู้ด้านสุขภาพเพื่อการป้องกันด้วยคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทางและทีมสหสาขา พร้อมให้บริการตรวจสุขภาพเบื้องต้นด้วยการวัดความดันและทดสอบความยืดหยุ่นของร่างกาย ซึ่งสอดคล้องตามกรอบแนวคิด “Live well Stay well อยู่ดี มีสุข” นำโดยนางสาวปุณณ์รัตน์ เบี้ยวไม กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยว บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลวิมุตและโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ณ คลับเฮ้าส์ โครงการเดอะปาล์ม บางนา วงแหวน   นางสาวปุณณ์รัตน์ เบี้ยวไม กรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยว บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การจัดกิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’ เป็นไปตามวิสัยทัศน์ของกลุ่มพฤกษาด้วยกรอบแนวคิด ใส่ใจเพื่อทั้งชีวิต “อยู่ดี มีสุข” (Live well Stay well) ที่สร้างปัจจัยสุขทั้ง 3 ด้านด้วยการส่งมอบความเป็นอยู่ที่ดี สุขภาพที่ดี และสร้างสรรค์สังคมชุมชนที่ดี ซึ่งที่ผ่านมาพฤกษาได้ส่งมอบความเป็นอยู่ที่ดีด้วยที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ทุกความต้องการมาโดยตลอด และครั้งนี้เรามีความตั้งใจที่จะมอบสุขภาพที่ดีให้แก่ผู้อยู่อาศัยในโครงการและชุมชนใกล้เคียงด้วยเช่นกัน จึงได้ร่วมมือกับโรงพยาบาลวิมุตและโรงพยาบาลเทพธารินทร์ซึ่งเป็นธุรกิจเฮลท์แคร์ในเครือพฤกษา โฮลดิ้ง เข้ามาช่วยสนับสนุนการจัดกิจกรรม โดยให้ความรู้เรื่องการส่งเสริมสุขภาพในเชิงป้องกันเพื่อสร้างการตระหนักรู้และสนับสนุนให้ทุกคนสามารถนำมาปรับใช้ในการดูแลสุขภาพของตนเอง     “กิจกรรม ‘KNOW YOURSELF, HELP YOUR MIND’ เกิดขึ้นจากการที่พฤกษาอยากสนับสนุนให้ทุกคนมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน โดยเริ่มต้นจากการมีความรู้เพื่อการป้องกันก่อนเกิดโรค ภายในงานจึงเปิดให้บริการ Fit Check เพื่อตรวจสุขภาพเบื้องต้นและทดสอบความยืดหยุ่นของร่างกาย พร้อมรับฟังสาระความรู้ในหัวข้อ ‘Fitness Do and Don’t ออกกำลังกายอย่างไรให้คุ้มค่าไม่พาป่วย’ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลเทพธารินทร์ และสาระความรู้เพื่อเตรียมรับมืออาการเจ็บป่วยในหัวข้อ ‘รู้ทัน 8 สัญญาณความเสื่อมเพื่อการป้องกัน’ โดยแพทย์หญิงกอบกาญจน์ ชุณหสวัสดิกุล แพทย์เวชศาสตร์ป้องกันและผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด และนายแพทย์เก่งพงศ์ ตั้งอรุณสันติ ผู้อำนวยการ Chersery Home โรงพยาบาลผู้สูงอายุและศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู นอกจากนี้ ผู้ร่วมงานทุกท่านยังได้รับคำแนะนำด้านการปรับสมดุลร่างกายและจิตใจโดยผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีบำบัดและพลังงานบำบัด โดยกิจกรรมในครั้งนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมอย่างคับคั่งและได้รับการตอบรับจากลูกบ้านและชุมชนใกล้เคียงเป็นอย่างดี เพราะสามารถนำไปปรับใช้เพื่อดูแลตัวเองรวมไปถึงคนในครอบครัว ซึ่งจากผลตอบรับที่ดีของกิจกรรมนี้ ทำให้พฤกษาวางแผนเดินหน้าที่จะจัดกิจกรรมด้านสุขภาพในโครงการอื่น ๆ ต่อไป” นางสาวปุณณ์รัตน์ กล่าว  
[PR News] “คริสตัล โฮม” ยกระดับความร่วมมือ “Villeroy & Boch” เปิด Flagship Store แห่งแรกในไทย

[PR News] “คริสตัล โฮม” ยกระดับความร่วมมือ “Villeroy & Boch” เปิด Flagship Store แห่งแรกในไทย

คริสตัล โฮม (Crystal Home) ธุรกิจจัดจําหน่ายสินค้าตกแต่งห้องน้ำหรูและบริการครบวงจร เดินหน้าผนึกความร่วมมือครั้งสำคัญกับแบรนด์เซรามิกชั้นนำจากเยอรมนี “Villeroy & Boch” เปิดตัว Flagship Store แห่งแรกในประเทศไทย จัดแสดงสินค้าห้องน้ำตัวอย่างหลากสไตล์ สร้างสรรค์แรงบันดาลใจเติมเต็มชีวิตชีวาให้ห้องน้ำครบครันในทุกความต้องการ พร้อมเปิดตัวคอลเลกชันพิเศษสำหรับโอกาสครบรอบ 275 ปี ‘Hommage to Hommage’ รวมถึงการเปิดตัว ‘Antao’ คอลเลกชันที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติอันน่าหลงใหล ตอกย้ำแนวทางการคัดสรรแบรนด์ผู้ร่วมสร้างประสบการณ์ นำพาคุณภาพ นวัตกรรม และการออกแบบที่ยอดเยี่ยมไปสู่บ้าน โครงการ และทุกแง่มุมชีวิตของลูกค้าอย่างยั่งยืน คริสตัล โฮม (Crystal Home) คริสตัล โฮม (Crystal Home) นางสุทธิภา สวัสดิ์-ชูโต กรรมการบริษัท ลักซ์เซอรี แอท ลีฟวิง จำกัด เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นของแบรนด์ ‘คริสตัล โฮม (Crystal Home)’ เกิดจากความต้องการสร้างจุดศูนย์กลางให้บริการด้านการตกแต่งห้องน้ำหรูที่ครบวงจร ประกอบกับประสบการณ์กว่า 14 ปี ในการบริหารจัดการพัฒนาโครงการหรู ทำให้เราสามารถวางจุดแข็งที่ตอบโจทย์ต่อลูกค้าในแบบที่ครอบคลุม ตั้งแต่เป็นที่ปรึกษาที่เข้าใจในข้อกำหนดและรูปแบบของโครงการเป็นอย่างดี เป็นผู้จัดหาวัสดุที่มีคุณภาพมากที่สุดและเหมาะสมทั้งแง่การออกแบบและงบประมาณ จนถึงเป็นคนกลางที่สามารถบริหารจัดการงานให้ลูกค้าได้ทุกภาคส่วน ทั้งความร่วมมือกับผู้รับเหมา ผู้ออกแบบ รวมถึงกลุ่มผู้ผลิต ช่วยให้ลูกค้าสามารถไว้วางใจได้ว่าการตกแต่งห้องน้ำหรูเป็นเรื่อง “ง่ายและคุ้มค่า” เมื่อมาที่คริสตัล โฮม   นอกเหนือจากนี้ คริสตัล โฮม ยังทำงานภายใต้ความมุ่งมั่นในการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ตามคอนเซปต์ ‘Leading Luxury Bathroom Company’ ทำให้แบรนด์มีการคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ รวมถึงความเป็นนวัตกรรมที่สะท้อนความหรูหราและความเหนือระดับรวมไว้อย่างครบครัน อาทิ Kohler, TOTO, AXOR, Hansgrohe รวมถึง ‘Villeroy & Boch’ แบรนด์ที่สื่อถึงความหรูหราและเป็นเลิศด้านเซรามิก โดยมี คริสตัล โฮม เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ อีกทั้งสองแบรนด์ยังได้ผนึกความร่วมมือครั้งสำคัญ ในการผสมผสานค่านิยม ความเชื่อ และแง่มุมที่โดดเด่นด้านนวัตกรรม การออกแบบ และคุณภาพที่เหนือระดับที่ทั้งคู่มี ร่วมกันเปิด Flagship Store Villeroy & Boch แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการขึ้นที่ Crystal Design Center, CDC   นางสุทธิภา เสริมต่อว่า Flagship Store แห่งแรกในไทยของ Villeroy & Boch จะให้บริการโดยคริสตัล โฮม ณ CDC ศูนย์รวมของตกแต่งบ้านที่สมบูรณ์แบบที่สุดในเอเซีย โดยภายในโชว์รูมจะเน้นที่การจัดแสดงห้องน้ำตัวอย่างในสไตล์ต่าง ๆ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มดีไซน์เนอร์ เจ้าของงานโครงการ หรือกลุ่มลูกค้าบ้านระดับไฮเอนด์ เพื่อตอบรับทุกความต้องการในการสร้างสรรค์ห้องน้ำใหม่ หรือแม้แต่กับการปรับปรุงห้องน้ำเดิมให้มีชีวิตชีวา ด้วยการเลือกใช้สุขภัณฑ์และเครื่องใช้ในห้องน้ำที่มีมาตรฐาน เป็นไปตามคอนเซปต์ ‘A House Becomes A Home’ ของแบรนด์ Villeroy & Boch หรือช่วยปรับเปลี่ยนที่อยู่อาศัยให้กลายเป็นบ้านแสนสุข เพราะบ้านไม่ใช่เพียงที่พักอาศัย แต่เป็นพื้นที่ให้เราได้เป็นตัวของตัวเอง ได้แสดงออกถึงสไตล์และรสนิยมตัวเองได้อย่างเต็มที่  Mr. Georg Lörz (เกออร์ค เลอร์ซ) CEO of Bathroom & Wellness Division, Villeroy & Boch กล่าวว่า Villeroy & Boch เป็นแบรนด์จากประเทศเยอรมนีที่ได้รับการยอมรับอย่างดีเยี่ยมจากผู้ใช้งานทั่วยุโรปมายาวนานกว่า 275 ปี ซึ่งหัวใจหลักที่แบรนด์ให้ความสำคัญ คือคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่แบรนด์รักษาได้ดีมาอย่างต่อเนื่อง ด้านนวัตกรรมที่เราได้มีการพัฒนาวัสดุที่มีคุณภาพอย่าง Quaryl หรือ TitanCeram หรือแม้แต่กระบวนการผลิตที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน, ด้านการออกแบบ ที่ได้มุ่งสร้างความหลายหลากสไตล์และความแตกต่างมีเอกลักษณ์ และยังรวมถึงด้านการตรวจสอบคุณภาพของสินค้าก่อนส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดมาถึงมือผู้บริโภค สะท้อนถึงภาพการเป็นมากกว่าสุขภัณฑ์หรือเครื่องใช้ในห้องน้ำ แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างจากความพิถีพิถันอย่างที่สุด จึงทำให้ความร่วมมือของคริสตัล โฮม และ Villeroy & Boch ในการเปิด Flagship Store นี้ นับเป็นเกียรติครั้งสำคัญในการได้ส่งต่อความเชื่อมั่นที่ชาวยุโรปมีมาสู่ผู้ใช้งานชาวไทย ทั้งนี้ Villeroy & Boch Flagship Store ยังเป็นพื้นที่สำหรับช่วยเติมเต็มประสบการณ์ตกแต่งห้องน้ำที่ลงตัวทั้งทันสมัยและมีระดับ จากการจัดแสดงคอลเลกชันที่บ่งบอกถึงทุกแง่มุมความหรูหราของห้องน้ำ อาทิ ‘Artis’ ผลงานโดยดีไซน์เนอร์ Gesa Hansen พร้อมการออกแบบที่เลือกสรรโทนสีได้ตามใจทั้งอ่างล้างหน้าและอ่างอาบน้ำ, ‘ViConnect’ โซลูชั่นสำหรับการติดตั้งสุขภัณฑ์แบบแขวนผนังและโถสุขภัณฑ์ ที่รวดเร็วและได้มาตรฐาน   และไฮไลต์การเปิดตัวคอลเลกชันพิเศษสำหรับโอกาสครบรอบ 275 ปี ของ ‘Hommage to Hommage’ ชุดสุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำที่แฝงด้วยกลิ่นอายของความคลาสสิคผสานความโดดเด่นในโทนสีพิเศษอย่าง Pure Black รวมถึงการเปิดตัว ‘Antao’ ที่ถอดแบบองค์ประกอบของธรรมชาติมาอยู่ในรูปทรงหยดน้ำและโทนสีอันน่าหลงใหล ไม่ว่าจะเป็น สีเขียว (Morning Green), สีน้ำตาล (Almond), สีดำ (Pure Black) และสองโทนสีพื้นฐานอย่าง สีขาว (White Alpin) และสีขาวด้าน (Stone White) ที่มีให้เลือกทั้ง ชุดสุขภัณฑ์ อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ “คริสตัล โฮม ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทางการคัดสรรแบรนด์ที่มีความสอดคล้องกับหลักการที่เรายึดถือ ทั้งด้านนวัตกรรม การออกแบบ และคุณภาพ ที่ได้รวมอยู่ในรากฐานของแบรนด์ที่เราให้บริการ เช่นเดียวกับ Villeroy & Boch ที่เราทั้งคู่ต่างมีความมุ่งมั่นทิศทางเดียวกันในการส่งมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้า ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การขายอ่างล้างหน้า ฝักบัว อ่างอาบน้ำ หรือโถสุขภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องถึงการสร้างประสบการณ์ เพื่อนำพาคุณภาพและงานดีไซน์ ที่ยอดเยี่ยมนี้ไปสู่บ้าน โครงการ รวมไปถึงทุกแง่มุมชีวิตของลูกค้าให้ได้อย่างยั่งยืน” นางสุทธิภา กล่าวสรุป   บทความน่าสนใจ อิเกีย x STEPS ออกแบบออฟฟิศสำหรับทุกคน ด้วย 5 เทคนิครองรับความแตกต่าง สกาย กรุ๊ป ส่ง “เมทเธียร์” ลุยภารกิจใหญ่ Smart Facility Management  
[PR News] อาณาจักร ORIGIN PET FAMILY คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ 16 โครงการ 26,000 ล้าน

[PR News] อาณาจักร ORIGIN PET FAMILY คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ 16 โครงการ 26,000 ล้าน

Origin Pet Family ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โชว์พอร์ตพัฒนาคอนโดตอบโจทย์ Pet Lover สะสม 16 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 26,000 ล้าน ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ตลาด หลังกระจายบุกทำเลใหม่ๆ ครองใจผู้บริโภค-ทาสหมา-ทาสแมวทั่วกรุงเทพฯปริมณฑลต่อเนื่อง รองรับเทรนด์ Pet Humanization พุ่ง ชูจุดแกร่งตั้ง “ทีม RED” วิจัย Insight ของทั้งคนและสัตว์เลี้ยง คัดสรรสเปกวัสดุอย่างเข้าใจ สร้างสรรค์ดีไซน์และฟังก์ชันทั้งในพื้นที่ส่วนกลางและห้องพักเพื่อการอยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีความสุข เนรมิตผลิตภัณฑ์เฉพาะเพื่อน้องหมาน้องแมว เดินหน้าขยายอาณาจักร Origin Pet Family ต่อเนื่อง จับมือหลากพันธมิตร สร้างอีโคซิสเท็ม เชื่อมโยงหลากบริการที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงตอบโจทย์เจ้าของถึงที่พักอาศัย     Origin Pet Family นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ผู้พัฒนาโครงการกลุ่มสมาร์ทคอนโดมิเนียมในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ปี 2564 บริษัทได้เดินหน้าบุกตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่ม Pet Lover อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่นิยมเลี้ยงสัตว์ในที่อยู่อาศัยมากขึ้น โดย ณ สิ้นปี 2566 จะมีโครงการภายใต้แผนพัฒนาสะสมทั้งสิ้น 16 โครงการ  คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมประมาณ 26,000 ล้านบาท ครอบคลุมหลากหลาย แบรนด์ อาทิ บรอมพ์ตัน (Brompton) บริกซ์ตัน (Brixton) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ออริจิ้น เพลย์ (Origin Play) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์​ เพลย์ (Origin Plug & Play) ออริจิ้น เพลส (Origin Place) ส่งผลให้ปัจจุบัน บริษัทก้าวขึ้นมาเป็นผู้พัฒนาคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้สะสมในตลาดมากที่สุดอันดับ 1  ทั้งนี้ บริษัทได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากผู้บริโภคด้วยหลากหลายปัจจัย ได้แก่ 1.การเติบโตของเทรนด์ Pet Humanization ที่คนหันมาเลี้ยงสัตว์เสมือนลูกมากขึ้น อัตราการเติบโตของสุนัขและแมวที่มีเจ้าของ จากปี 2562 ถึง 2565 เพิ่มขึ้นถึง 64% สวนทางกับอัตราการเกิดใหม่ของเด็กที่มีอัตราลดลงถึง 20% ขณะเดียวกัน การเติบโตของ เทรนด์ดังกล่าว ยังสะท้อนผ่านมูลค่าตลาดสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง ซึ่งคาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมีมูลค่าสูงถึง 5.6 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาประมาณ 10-12% 2.ความสนใจเลี้ยงสัตว์ในคอนโด จากเดิมที่ผู้บริโภคนิยมเลี้ยงสัตว์ตามบ้านจัดสรรเป็นหลัก ก็เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม ต้องการเลี้ยงสัตว์ในคอนโดมิเนียมมากขึ้น สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพสังคมเมือง 3.การกระจายบุกหลากทำเลทั่วกรุงเทพฯและปริมณฑล จากเดิมที่คอนโดสำหรับ Pet Lover มักกระจุกตัวอยู่เฉพาะในเขตเมือง บริษัทได้กระจายบุกไปทั่วทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑล ครอบคลุมทั้งรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีน้ำเงิน สายสีส้ม สายสีเหลือง ซึ่งเป็นทำเลที่ยังไม่มีคู่แข่ง แต่มีความต้องการสูง 4.ความใส่ใจคัดสรรวัสดุและการออกแบบที่เข้าใจทั้งคนและสัตว์เลี้ยง ผ่านการวิจัยและความร่วมมือกับพันธมิตร 5.การเลือกพัฒนาโครงการแบบมิกซ์โปรดักท์ กรณีพัฒนาคอนโดมิเนียม Low-rise ที่มีหลายอาคาร จะมีแบ่งบางอาคารเป็นคอนโดสำหรับ Pet Lover และบางอาคารเป็นคอนโดมิเนียมปกติ เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคทั้งที่ต้องการเลี้ยงสัตว์และไม่ต้องการเลี้ยงสัตว์สามารถอยู่อาศัยในโครงการทำเลเดียวกันได้ ผ่านการแบ่งอาคารที่ชัดเจน โดยหากนับเฉพาะยูนิตที่เลี้ยงสัตว์ได้ จะมีสะสมแล้วถึง 3,550 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าเฉพาะยูนิตเลี้ยงสัตว์ได้สะสมกว่า 8,700 ล้านบาท  สำหรับปี 2566 เครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับ Pet Lover ทั้งสิ้น 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 13,025 ล้านบาท นายสมสกุล แสงสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานออกแบบผลิตภัณฑ์ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI กล่าวว่า การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับ Pet Lover นั้น ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องข้อมูลเชิงลึก หรือ Insight ของทั้งเจ้าของและสัตว์เลี้ยงเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมา บริษัทจึงได้จัดตั้ง “RED Team By Origin” หรือ Research for Excellent Development Team (ทีมวิจัยเพื่อการพัฒนาที่เป็นเลิศ) ขึ้น รวบรวมบุคคลที่เชี่ยวชาญจากหลากหลายฝ่าย ทั้งทีมวิจัยการตลาด ทีมออกแบบ ทีมพัฒนาความยั่งยืน เป็นต้น มาร่วมกันดำเนินงาน 4 ด้านหลัก ได้แก่   1.Customer Experience Design รับผิดชอบด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อให้เกิดการออกแบบและการบริการที่รองรับกับพฤติกรรมลูกค้าได้อย่างตรงจุด 2.Product Development พัฒนาออกแบบสินค้าออกไปให้มีคุณภาพและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและการบริการที่ครอบคลุม ด้วยการออกแบบที่มีฐานการวิจัยรองรับ 3.Marketing Intelligence วิจัยด้านการตลาด เพื่อหาเทรนด์ใหม่ๆ และอัปเดตความต้องการให้เข้ากับยุคสมัยอย่างต่อเนื่อง 4.Sustainability Development ร่วมพัฒนาเพื่อสังคมและสภาพแวดล้อม ให้ผู้คนได้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี บนความเป็นอยู่ที่ดีและยั่งยืน สำหรับโปรเจกต์แรกของทีม RED คือการวิจัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของสัตว์เลี้ยงและคนรักสัตว์เลี้ยงอย่างสร้างสรรค์ สู่การพัฒนาคอมมูนิตี้ที่ทุกชีวิตอยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีความสุข กลายเป็นอาณาจักร Origin Pet Family โดยมีหัวข้อที่ได้ศึกษาและเผยแพร่แล้ว ได้แก่ 1.พฤติกรรมสัตว์เลี้ยง (Pet Behavior) 2.วัสดุ การออกแบบภายใน และพื้นที่ส่วนกลาง (Design) 3.ภูมิทัศน์ของโครงการ (Landscape) และ 4.บริการและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์เลี้ยง (Pet Wellness and Service)   ทั้งหมดนำไปสู่การเลือกใช้วัสดุ สิ่งอำนวยความสะดวก และการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสัตว์เลี้ยงและผู้เลี้ยง เช่น การเลือกใช้วัสดุพื้นที่ทำความสะอาดได้ง่าย ป้องกันรอยขีดข่วน รองรับกับข้อต่อน้อง ๆ การออกแบบความถี่ของราวระเบียงเพื่อความปลอดภัย การเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลาง อาทิ ประตูกั้นพื้นที่ จุดล้างตัว พื้นที่เล่นแบบเนินโค้ง ลู่วิ่งพื้นยางรองรับข้อต่อ เครื่องเล่นฝึกทักษะ ตลอดจนพันธุ์ไม้ที่เหมาะกับสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้ ออริจิ้น ได้มีการออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับน้องแมวที่เรียกว่า “CATSULE” และการออกแบบสำหรับน้องหมาเป็นพื้นที่โล่งกว้างภายนอก จัดตั้งตามส่วนกลางของคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ เพื่อให้เจ้าของได้ใช้ส่วนกลางอย่างไร้ความกังวล อีกทั้งยังช่วยให้สัตว์เลี้ยงได้มีพื้นที่ส่วนตัวระหว่างรอเจ้าของอีกด้วย   นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมมือกับหลากหลายพันธมิตร เพื่อร่วมกันสร้างระบบนิเวศที่ตอบโจทย์ทุกมิติการใช้ชีวิตของ Origin Pet Family อาทิ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ ให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษาโดยคุณหมอและผู้เชี่ยวชาญ ร่วมทำเวิร์คช็อปจัดคอร์สอบรมให้แก่พนักงานนิติบุคคล ยกระดับงานบริการให้สามารถดูแลสัตว์เลี้ยงในโครงการได้อย่างเข้าใจ PETTO CARE (เพ็ตโตะ แคร์) ในเครือ ออริจิ้น เฮลท์แคร์  ให้บริการอาบน้ำ ตัดขน ตัดเล็บ รวมถึงบริการรับฝากเลี้ยง โซนจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยง และของเล่นตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรักสัตว์ รวมถึงประกันภัยสัตว์เลี้ยงจาก PRIM ตลอดจนมอบสิทธิพิเศษจากผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงภายใต้แบรนด์อาหารแมว เบลลอตต้า (Bellotta)  อาหารสุนัข มาร์โว่ (Marvo) และอาหารสัตว์เลี้ยงสูตรเป็นมิตรต่อไต เชนจเตอร์ (ChangeTer) และแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยง มองชู โดยหลังจากนี้ บริษัทยังคงมีแผนเดินหน้าพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่ม Pet Lover อย่างต่อเนื่อง รายชื่อโครงการคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ทั้ง 16 โครงการในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ประกอบด้วย บริกซ์ตัน เพ็ท แอนด์ เพลย์ สุขุมวิท 107 ซี (Brixton Pet & Play Sukhumvit 107 C) บริกซ์ตัน เพ็ท แอนด์ เพลย์ สุขุมวิท 107 บี(Brixton Pet & Play Sukhumvit 107 B) บรอมป์ตัน เพ็ท เฟรนด์ลี่ สำโรง สเตชั่น (Brompton Pet Friendly Samrong Station ) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ รามอินทรา (Origin Plug&Play Ramintra) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น (Origin Plug & Play Sirindhorn Station) บริกซ์ตัน พหล 50 สเตชั่น (Brixton Phahol 50 Station) ออริจิ้น เพลย์ ศรีอุดม สเตชั่น (Origin Play Sri Udom Station) ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี 22 สเตชั่น (Origin Plug & Play E22 Station) ออริจิ้น เพลส พหลฯ 59 สเตชั่น (Origin Place Phahol 59 Station) ดิ ออริจิ้น บางแค (The Origin Bangkae) ออริจิ้น เพลส รามคำแหง 153 (Origin Place Ramkhamhaeng 153) ดิ ออริจิ้น พหล 57 (The Origin Phahol 57) ออริจิ้น เพลส เพชรเกษม (Origin place Phetkasem) ออริจิ้น เพลย์ บางขุนนนท์ ทริปเปิ้ล สเตชั่น (Origin Play Bangkhunnon Triple Station) ดิ ออริจิ้น เตรียมน้อม สเตชั่น (The Origin Triam Nom Station) ออริจิ้น เพลย์ ศรีลาซาล สเตชั่น (Origin Play Sri Lasalle Station)   บทความน่าสนใจ “ออริจิ้น” จับมือ “สมิติเวช” ให้ลูกบ้านพบแพทย์ออนไลน์ได้ 24 ชั่วโมงผ่านแอป “Origin Connect” รีวิวคอนโดย่านสะพานใหม่ THE ORIGIN Phahol-Saphanmai ใกล้รถไฟฟ้า ราคาล้านกว่า
[PR News] โครงการ “Arom Jomtien” จัดงาน “Jomtien Mood by Arom” ขอบคุณลูกค้า พร้อมฉลองความสำเร็จยอดขาย 70%

[PR News] โครงการ “Arom Jomtien” จัดงาน “Jomtien Mood by Arom” ขอบคุณลูกค้า พร้อมฉลองความสำเร็จยอดขาย 70%

Jomtien Mood by Arom โครงการ “Arom Jomtien”จัดงาน “Jomtien Mood by Arom” ภายใต้แนวคิด “The great escape an emotive discovery of home” ให้ช่วงเวลาของการพักผ่อนเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุด รังสรรค์บรรยากาศเฉลิมฉลองสุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าที่ให้ความไว้วางใจเป็นเจ้าของโครงการอารมณ์ จอมเทียน อีกหนึ่งความภาคภูมิใจใน “AROM COLLECTION ” (อารมณ์ คอลเลคชั่น) ร่วมฉลองยอดขายทะลุ 70%   นายเฉลิมพล โขนแจ่ม กรรมการผู้จัดการ และผู้พัฒนาโครงการอารมณ์ จอมเทียน กล่าวว่า งาน “Jomtien Mood by Arom” จัดเพื่อร่วมกันฉลองยอดขายโครงการ อารมณ์ จอมเทียน ทะลุ 70% งานได้รับการจัดขึ้นอย่างพิถีพิถันและใส่ใจเพื่อขอบคุณลูกค้าที่ไว้วางใจเลือกซื้อโครงการอารมณ์ จอมเทียน และเพื่อนำเสนอความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ AROM COLLECTION ให้กับลูกค้าสัมผัสถึงการความเหนือกว่าในทุกมิติของการเป็นลูกค้าภายใต้คอลเลคชั่นนี้ มีกิจกรรมมากมายให้ได้สัมผัสกับช่วงเวลาที่แสนพิเศษอย่างสุนทรีย์ตลอดทั้งวันด้วย Arom Jomtien SOUL CLUB เพลิดเพลินกับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินของหาดจอมเทียนพร้อมความเป็นส่วนตัวกับอาหารท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพัทยา ให้ลูกค้าคนสำคัญได้สัมผัสถึงความสนุก กับแสง เสียงของหาดจอมเทียนที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงกิจกกรรมทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็น เจ็ตสกี บานานาโบ๊ต บีชปิกนิก และกิจกรรม Therapist นวดผ่อนคลายริมชายหาด ลิ้มลองไวน์และคราฟต์เบียร์ที่ดีที่สุดของพัทยา รับสิทธิพิเศษและประสบการณ์มากมายตลอดทั้งงานที่จัดเตรียมไว้เพื่อลูกค้าคนสำคัญของ “AROM JOMTIEN” เหนือระดับด้วย Butler ดูแลส่วนตัวตลอดการร่วมงาน และ Exclusive Privilege Offer สำหรับลูกค้าจองซื้อโครงการ ด้วยที่พักสไตล์วิลล่าที่ดีที่สุดในพัทยา 2วัน 1 คืน ที่ Andaz Pattaya Jomtien Beach – a Concept by Hyatt สร้างความบันเทิง และสนุกสนานไปด้วยกันกับดนตรีฟังสบาย บรรยากาศผ่อนคลาย และเสียงเพลงเพราะๆจากนักร้องและนักดนตรีชื่อดัง คุณบุรินทร์ บุญวิสุทธิ์   โครงการคอนโดมิเนียม “AROM JOMTIEN” คือความงดงามของการออกแบบที่ได้รวบรวมจิตวิญญาณและพลังของหาดจอมเทียนเอาไว้ในที่เดียวภายใต้ AROM COLLECTION แนวคิดการออกแบบ SENSE THE SOULFULNESS ที่ได้ผสมผสานสีสันของหาดจอมเทียนและสีสันของธรรมชาติเข้าด้วยกัน สุดพิเศษด้วย Private living เพียง 314 ยูนิต รูปแบบ Direct sea view ผสมผสานอย่างลงตัวกับ POOL VILLA UNITเพื่อมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยสุดเอ็กซ์คลูซีฟ บนพื้นที่หาดจอมเทียน ความสมบูรณ์แบบที่จะช่วยให้ทุกชีวิตที่นี่ได้พักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางบรรยากาศสวนหน้าบ้าน และเติมเต็มช่วงเวลาพิเศษกับทะเล สายลม แสงแดด ทุกกิจกรรมสุดพิเศษ ริมชายหาดภายใต้บรรยากาศรื่นรมย์ริมหาดจอมเทียนที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกใฝ่ฝัน AROM COLLECTION (อารมณ์ คอลเลคชั่น) เปิดตัวด้วยโครงการ “AROM WONGAMAT” คอนโดมิเนียม Hi-Rise 55 ชั้น 319 ยูนิต บนทำเลที่ดีทีสุดบนพื้นที่หาดวงศ์อมาตย์ มนต์เสน่ห์แห่งความเงียบสงบ และความเรียบง่ายบนหาดส่วนตัว ภายใต้แนวคิด SENSE THE MASTERPIECE จุดเริ่มต้นของปรัชญาการใช้ชีวิตในแบบของ AROM เพื่อให้คุณได้สัมผัสทุกอารมณ์ความรู้สึก ทุกช่วงขณะของชีวิต และล่าสุดกับโครงการ “AROM JOMTIEN” โครงการคอนโดมิเนียมแนบชิดหาดจอมเทียน สูง 45 ชั้น พร้อม Direct sea view ทุกยูนิต ที่ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน และใส่ใจ ทำให้ทั้งนี้ 2 โครงการภายใต้ AROM COLLECTION ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งแง่ยอดขาย และความพึงพอใจของลูกค้า พบกับประสบการณ์ความรู้สึกที่เหนือกว่าการได้พักอาศัยในพื้นที่แห่งสุนทรียะแห่งการพักผ่อนได้ที่ AROM COLLECTION    สนใจสัมผัส ทุกอารมณ์ความรู้สึกกับ สามารถลงทะเบียนเพื่อนัดหมายเข้าชมได้ที่ AROM COLLECTION    บทความน่าสนใจ “พัทยา” ทางเลือกเพื่อการลงทุนอสังหาฯ  กับโปรเจ็กต์ Lifestyle Mix Use  แห่งใหม่ “ONCE PATTAYA” คุ้มค่าทั้งการอยู่อาศัยและปล่อยเช่า : รีวิวคอนโด พัทยา ฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้ สนับสนุนบัตรห้องพักโรงแรมในเครือฯ ในงานพัทยามาราธอน 2566
[PR News] 14 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวฯ สนับสนุน นโยบายเร่งด่วนขับเคลื่อน Soft Power

[PR News] 14 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวฯ สนับสนุน นโยบายเร่งด่วนขับเคลื่อน Soft Power

14 กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวฯ ยื่นหนังสือหนุนรัฐบาลคลอดนโยบายเร่งด่วนขับเคลื่อน Soft Power กระตุ้นท่องเที่ยวไทยทุกมิติ มั่นใจช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจส่งท้ายปี ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคนเที่ยวไทยเข้าไทยปีหน้า สร้างเงินสะพัด 3.3 ล้านล้านบาท หนุนจ้างงานสร้างรายได้กว่า 4.56 ล้านคน วอนเร่งแก้ไขปลดล็อกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจท่องเที่ยว กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงนักร้องและนักแสดง รวม 14 กลุ่มองค์กร นำโดย นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย และนางสาวเขมิกา รัตนกุล นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาลร่วมกันยื่นหนังสือถึง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เรื่อง “ข้อเสนอเพื่อส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน ขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เติบโตครอบคลุมในทุกมิติอย่างสมดุลและยั่งยืน” โดยมีนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองเป็นผู้รับหนังสือ   Soft Power นายสง่า เรืองวัฒนกุล นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจ ถนนข้าวสาร กล่าวว่ากลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว บริการ โรงแรมที่พัก ร้านอาหาร และการบันเทิง 14 องค์กร และ 258 ร้านค้าสถานประกอบการมีความยินดีและพร้อมให้การสนับสนุนรัฐบาลที่มีนโยบายเร่งด่วนที่จะผลักดันการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเพื่อการกระตุ้นการฟื้นฟูการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน โดยตั้งเป้าหมายด้านรายได้จากการท่องเที่ยวในปี 2567 ไว้ที่ 3.3 ล้านล้านบาทจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้านคน และนักท่องเที่ยวชาวไทย 200 ล้านคน/ครั้งนั้น โดยจะมีการบูรณาการการขับเคลื่อนการฟื้นฟูและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งระบบและครอบคลุมในทุกมิติเพื่อการเติบโตเป็นฮับการท่องเที่ยวของโลกอย่างยั่งยืน โดยคำนึงถึงความสอดคล้องต่อบริบทที่หลากหลายของการท่องเที่ยวทั้งภาคกลางวันและภาคกลางคืน ตลอดจนธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่องรวมถึงอาหารและเครื่องดื่ม อย่างไรก็ตาม ในการนี้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของภาครัฐจำเป็นต้องทบทวนการดำเนินงานเพื่อให้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ ในทิศทางและเป้าหมายเดียวกัน เร่งเพิ่มขีดความสามารถและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจแก่ผู้ประกอบการ ปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค พร้อมกำหนดยุทธศาสตร์ แผนงาน และขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ประเทศไทย ซึ่งมีการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในสิบเอ็ดสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้ความร่วมมือกับภาคเอกชน นายสง่า กล่าวว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นกลไกที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการขับเคลื่อนการฟื้นฟูและการเจริญเติบโตเศรษฐกิจของประเทศไทยในปัจจุบัน ดังนั้นจึงต้องเร่งผลักดันการขับเคลื่อน Soft Power ด้านการท่องเที่ยวอย่างเข้มข้น เพื่อนำประเทศไทยสู่การเป็นประเทศจุดหมายปลายด้านการท่องเที่ยวของโลกที่ได้รับความเชื่อมั่นด้านคุณภาพ ความปลอดภัย ความหลากหลาย ความสะดวกสบาย ความคุ้มค่า สามารถตอบสนองและสร้างความพึงพอใจให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก ดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่และกลุ่มที่มีคุณภาพและมีระดับการจับจ่ายใช้สอยสูง ทั้งที่มาเพื่อพักผ่อนหย่อนใจและกลุ่มไมซ์ให้กลับมาเยี่ยมเยือน อันจะส่งผลให้เกิดการฟื้นตัวและการเติบโตไม่เฉพาะในภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและบริการ แต่ยังครอบคลุมถึงภาคการผลิตและบริการต้นน้ำและปลายน้ำ ตลอดจนเศรษฐกิจและการจ้างงานของประเทศโดยรวม ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมเศรษฐกิจการท่องเที่ยวกีฬา การจ้างงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีกว่า 4.56 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 11.50 ของการจ้างงานรวมของประเทศ เมื่อพิจารณารายได้จากการท่องเที่ยวปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤตโควิด 19 มีมูลค่าสูงถึง 3 ล้านล้านบาท หรือกว่าร้อยละ 18 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) นั้น พบว่าเป็นรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ 1.91 ล้านล้านบาท จากจำนวนนักท่องเที่ยว 39.9 ล้านคน โดย 5 ลำดับแรกของรายรับหรือค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายด้านโรงแรมและที่พัก จำนวน 5.44 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28.5 ค่าใช้จ่ายด้านการซื้อสินค้าและของที่ระลึก จำนวน 4.64 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 24.3 ค่าใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 4.04 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 21.2 ค่าใช้จ่ายในการเดินทางภายในประเทศ จำนวน 1.86 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.8 และค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิง จำนวน 1.73 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9.0 ซึ่งค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงยามค่ำคืนในสถานบันเทิง ผับ บาร์ (Night Entertainment) มีสัดส่วนถึงร้อยละ 30 ของค่าใช้จ่ายเพื่อความบันเทิงทั้งหมด หรือคิดเป็นรายรับจำนวน 51.8 พันล้านบาท จะเห็นได้นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงความบันเทิงยามค่ำคืนสูงถึงกว่าหนึ่งในสี่ของค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย   “ในนามกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงนักร้องและนักแสดง ดังมีรายนามที่ปรากฏในหนังสือฉบับนี้ ใคร่ขอชื่นชมรัฐบาลที่มีความเข้าใจในความต้องการและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป และได้จัดทำแคมเปญ Amazing Thailand, Amazing New Chapters ซึ่งนำเสนอภาพลักษณ์ใหม่ด้านการท่องเที่ยววิถีปกติใหม่ ซึ่งมีความหลากหลาย ครอบคลุมในทุกมิติด้านการท่องเที่ยวและการบริการ ทั้งภาคกลางวันและยามค่ำคืนสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าประทับใจ สะดวกสบาย และปลอดภัย เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะกลุ่มใหม่ กลุ่มที่มีศักยภาพและกำลังซื้อสูงให้เข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นและมีระยะเวลาการพำนักนานขึ้น” นางสาวเขมิกา รัตนกุล นายกสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทยกล่าว นางสาวเขมิกา กล่าวเสนอด้วยว่าขอให้รัฐบาลกำหนดพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวยามค่ำคืนเพื่อเป็น “Soft Power” ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการสังสรรค์และความบันเทิงยามค่ำคืนและเป็นชาติผู้นำด้านการท่องเที่ยวที่ครบวงจรและปลอดภัยในระดับโลก ได้แก่   กรุงเทพมหานคร พื้นที่ถนนข้าวสาร ถนนสีลม (ซอยพัฒน์พงษ์ และซอยธนิยะ) ถนนรัชดาภิเษก ถนนสุขุมวิท (ซอยสุขุมวิท 11 ซอยคาวบอย ซอยนานา) จังหวัดภูเก็ตพื้นที่ซอยบางลา เมืองพัทยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีพื้นที่หาดเฉวง เกาะสมุย และหาดริ้น เกาะพะงัน พังงาพื้นที่เขาหลัก กระบี่พื้นที่อ่าวนาง ประจวบคีรีขันธ์พื้นที่เมืองหัวหิน จังหวัดสงขลาพื้นที่เมืองหาดใหญ่ เมืองสะเดา จังหวัดเชียงใหม่พื้นที่ถนนนิมมานเหมินทร์   พร้อมปรับปรุงแก้ไขมาตรการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจสำหรับพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวยามค่ำคืน ได้แก่ 1.อนุญาตให้สถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่พิเศษสามารถเปิดดำเนินการจนถึงเวลา 4.00 น. 2.กำหนดเวลาจำหน่ายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่พิเศษตั้งแต่เวลา 11.00 – 4.00 น. 3.พิจารณายกเลิกคำสั่งห้ามมิให้มีสถานที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษาหรือหอพักในบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษา 4.กำหนดมาตรการอำนวยความสะดวก และเฝ้าระวังความปลอดภัยเชิงรุก 5.บังคับใช้กฎหมายการห้ามมิให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่ผู้ที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์หรือผู้ที่ครองสติไม่อยู่ รวมถึงการห้ามการเมาแล้วขับอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นเครื่องมือในการป้องกันการดื่มสุราในกลุ่มเด็กและเยาวชนและปัญหาอุบัติเหตุจราจรจากการเมาแล้วขับ 6.ตรวจสอบมาตรฐานการให้บริการและมาตรฐานความปลอดภัยของสถานประกอบการ มาตรฐานความปลอดภัยรอบพื้นที่พิเศษ รวมถึงการเป็นพื้นที่ปลอดยาเสพติดและอาวุธอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้กลุ่มตัวแทนดังกล่าวได้แนบเอกสารสำคัญ 3 เรื่องด้วยเพื่อประกอบการพิจารณา คือ 1. หนังสือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร 0913/320 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2564 2. บันทึกคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย เรื่อง ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สร้างสมดุลกับนโยบายอื่นของภาครัฐ (เรื่องเสร็จที่ 1673/2564) 3.รายงานฉบับสมบูรณ์ (Final Report) โครงการศึกษาวิเคราะห์ทบทวนกฎหมาย กฎ ระเบียบข้อบังคับและกระบวนงานที่เกี่ยวกับการอนุญาต เพื่อลดขั้นตอนการดำเนินการและการอนุญาตที่ไม่จำเป็นหรือเป็นอุปสรรคต่อการประกอบอาชีพและการดำเนินธุรกิจของประชาชน เล่มที่ 2 “เรื่อง ผลการทบทวน: ใบขออนุญาตขายสุรา ประเภทที่ 1 และใบขออนุญาตขายสุรา ประเภทที่ 2 และผลการทบทวน: การกำหนดวันและเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงนักร้องและนักแสดง 14 องค์กรดังกล่าว ประกอบด้วย กลุ่มผู้ประกอบการสถานบริการ ผับ บาร์ คาราโอเกะ, ชมรมสถานบันเทิงหาดป่าตอง, ไร่องุ่นมอนซูนแวลลีย์และมอนซูนแวลลีย์ ไวน์บาร์, สมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหาร, สมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหารกลางคืน, สมาคมการท่องเที่ยวเขาใหญ่, สมาคมบาร์เทนเดอร์ไทย, สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย, สมาคมผู้ประกอบการร้านอาหาร, สมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสารสมาคมโรงแรมไทย, สมาคมสุราท้องถิ่นไทย, สมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา และสมาพันธ์เครือข่ายคนบันเทิงอาชีพแห่งประเทศไทย   บทความน่าสนใจ AWC จับมือ ททท. มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จับมือร่วมสร้างการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เปิดตัวโครงการ “AWC Stay to Sustain”   ส่องกำลังซื้อ ต่างชาติใน 5 เมืองท่องเที่ยว ช่วงครึ่งแรกปี 66 ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวแค่ไหน?
[PR News] เสนาฯ และ ฮันคิว ฮันชิน ร่วมสนับสนุนวิจัย “สภาวะน่าสบาย”

[PR News] เสนาฯ และ ฮันคิว ฮันชิน ร่วมสนับสนุนวิจัย “สภาวะน่าสบาย”

เสนาดีเวลลอปเม้นท์  พร้อมด้วย ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ลงนามความร่วมมือสนับสนุนการนำนวัตกรรม “สภาวะน่าสบาย” ผลงานวิจัยของพานาโซนิค และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เข้าทดลองภายในบ้านที่พักอาศัยจริงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่โครงการเสนา แกรนด์ โฮม บางนา กม.29 เพื่อค้นหาสภาวะน่าสบายสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ ซึ่งสอดคล้องกับการพัฒนาแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์  83078     สภาวะน่าสบาย ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า เพื่อร่วมกันพัฒนาบ้านเพื่อการพักอาศัยที่ยั่งยืน โดยได้เริ่มต้นนำคอนเซปท์บ้าน Zero Energy House ของ ฮันคิว พัฒนาเป็นต้นแบบ “แนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์” ในแบบที่เหมาะกับคนไทย เพื่อให้ลูกบ้านมีบ้านที่อยู่ได้อย่างสะดวกสบาย ช่วยประหยัดเงิน ประหยัดพลังงาน และยังรักษ์โลกไปได้ด้วยพร้อมๆ กัน     “ล่าสุดทางเรา คือ เสนาฯ และฮันคิว ฮันชิน ได้รับทราบถึงการทดลองนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย สภาวะน่าสบาย ที่ได้ริเริ่มทำการวิจัยโดยพานาโซนิค ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้เกิดความสนใจ เนื่องจากมีแนวคิดในการพัฒนาการอยู่อาศัยเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงได้เกิดความร่วมมือในการสนับสนุนการทดลองนี้ จากการวิจัยในแบบบ้านจำลอง ให้มาทดลองในบ้านจริงของเรา เพื่อให้ได้ผลการวิจัยที่ตรงกับการใช้ชีวิตจริงมากที่สุด และสามารถนำไปต่อยอดนวัตกรรม หรือพัฒนาเป็นเทคโนลียีเพื่อการอยู่อาศัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทางเสนาฯ และฮันคิว ฮันชินเอง ต้องขอบคุณทางพานาโซนิค และจุฬาลงกรณ์ที่เล็งเห็นถึงความตั้งใจและแนวทางของบริษัทฯ ที่ต้องการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ลูกค้าอย่างยั่งยืน  ทำให้ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนานวัตกรรมดีๆ แบบนี้  และอาจมีโอกาสในการต่อยอดสู่ความร่วมมือด้านอื่นๆ ต่อไปในอนาคต” ดร.เกษรา กล่าว   นายมิสึฮิโระ นากาซาว่า ผู้จัดการทั่วไป บ. ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ในฐานะพาร์ทเนอร์ของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า ทุกวันนี้ เราอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องพิจารณามาตรการป้องกันภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง ฮันคิว ฮันชิน ในฐานะหนึ่งในนักพัฒนา เราตระหนักอย่างยิ่งถึงความจำเป็นในการเผชิญกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยฮันคิว ฮันชิน ในประเทศญี่ปุ่นได้ ได้เร่งดำเนินการติดตั้งบ้านพลังงานเป็นศูนย์ (Zero Energy House -  ZEH) สำหรับที่พักอาศัยและยังคงเร่งดำเนินมาตรการเชิงรุกเพื่อรับมือกับลดภาวะโลกร้อนอย่างเต็มที่   “เราเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของที่อยู่อาศัยที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม คือการพัฒนาที่อยู่อาศัยบนพื้นฐานของความเข้าใจ ดูแล และสร้างความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตของลูกค้าอย่างดีที่สุด ซึ่งการศึกษา“สภาวะน่าสบาย” ผ่านบ้านแบบจำลองโดยพานาโซนิค และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะศึกษาเพื่อค้นหาโซลูชั่นและนวัตกรรมใหม่ๆที่ให้ความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตของผู้พักอาศัย รวมถึงเพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของวิศวกรรมระบบ สอดคล้องกับแนวคิดในการพัฒนาที่พักอาศัยของเราเช่นกัน โดยคาดหวังว่าการร่วมมือในการสนับสนุนงานวิจัยในครั้งนี้ จะสามารถตอบโจทย์ ได้ทั้งในด้านประหยัดพลังงาน และความสะดวกสบายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัย”   มร.ฮิเดคาสึ อิโตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พานาโซนิค โซลูชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด  กล่าวว่าตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี ที่พานาโซนิคได้เข้ามามีส่วนร่วมในประเทศไทย ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ในขณะเดียวกันเรายังได้มีการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ในหลากหลายพื้นที่ทั่วโลก โดยมุ่งเน้นเพื่อสร้างสังคมที่ยั่งยืน  อันเป็นที่มาในการวิจัยร่วมกับสถาบันการศึกษาอย่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่อยู่อาศัยที่ยั่งยืนและประหยัดพลังงานในประเทศไทย (Sustainable and Energy-Efficient Housing Technologies in Thailand) รวมไปถึง การค้นคว้าเทคโนโลยีที่ตอบสนองความต้องการใหม่ๆ อย่าง “สภาวะน่าสบายภายในบ้าน” สำหรับคนไทยโดยเฉพาะ     โดยได้เริ่มการวิจัย ผ่านการทดลองภายในแบบบ้านจำลอง ZEN Model ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อค้นคว้าระบบปรับอากาศที่ประหยัดพลังงาน และสร้างสภาวะน่าสบายภายในบ้าน และเพื่อขยายผลการทดลองในบ้านจำลอง จึงนำมาสู่การทำการค้นคว้าและ วิจัยร่วมกันระหว่างสี่องค์กรในครั้งนี้โดย เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ได้สนับสนุนบ้านจริงเพื่อการอยู่อาศัยใน การทดลองประสิทธิภาพการทำงานของระบบโดยหวังผลให้ระบบนี้เป็นหนึ่งในแนวทางการอยู่อาศัยที่ยั่งยืนสำหรับคนไทย ภายใต้ภาวะน่าสบาย (Comfort Zone) ปราศจากความเครียด (Stress-free) ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ (Carbon-free)  และลดการใช้พลังงาน (Energy Efficiency) เกิดเป็นเทคโนโลยีที่อยู่อาศัยในอนาคตที่เหมาะกับบริบทของประเทศไทยต่อไป”     ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สรายุทธ ทรัพย์สุข คณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือในการจัดทำการวิจัยกับพานาโซนิคในประเทศไทยครั้งนี้ เราได้นำความเชี่ยวชาญของจุฬาฯ ทั้งจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และคณะวิศวกรรมศาสตร์ มาผนวกกับความรู้ความชำนาญทางเทคโนโลยีของพานาโซนิค ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการวิจัยไปข้างหน้าและมีส่วนช่วยในการพัฒนาโซลูชั่นและนวัตกรรมสำหรับอุตสาหกรรมที่อยู่อาศัยในประเทศไทยในอนาคตได้ โดยปัจจุบันความร่วมมือนี้ได้ถูกพัฒนาเป็นโมเดลที่อยู่อาศัยแบบจำลอง โดยการนำเทคโนโลยี BIM หรือ Building Information Modelling และ Digital Twin เข้ามาช่วยในการออกแบบและก่อสร้างบ้านโมดูลาร์ในชื่อ ZEN Model ขนาดพื้นที่ 36 ตารางเมตร ภายในพื้นที่ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการจำลองบรรยากาศที่อยู่อาศัยในสภาวะน่าสบาย และร่วมทำการเก็บข้อมูลจากการให้กลุ่มตัวอย่างได้เข้ามาทดลองใช้ชีวิตในพื้นที่บ้านทดลอง ซึ่งจะขยายผลสู่การทดลองกับบ้านเดี่ยวในโครงการของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ เพื่อให้ได้ผลที่ใกล้เคียงจริงยิ่งขึ้น และสามารถนำไปต่อยอดการยกระดับมาตรฐานการอยู่อาศัยของผู้คนทุกระดับในเขตร้อนชื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีข้อมูลทางวิชาการรองรับ   บทความน่าสนใจ เสนา นำร่องแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์ เปิดตัว “เสนา เวล่า สุขุมวิท – บางปู”  เสนาเจ จับมือ NEC พลิกโฉม “Smart Living Community”    
[PR News] OPPLE Lighting ประกาศส่งสมาร์ทไลท์ติ้ง บุกตลาดไทย ตั้งเป้า 5 ปี ขึ้นแท่น 1 ใน 3 ผู้นำตลาดหลอดไฟ

[PR News] OPPLE Lighting ประกาศส่งสมาร์ทไลท์ติ้ง บุกตลาดไทย ตั้งเป้า 5 ปี ขึ้นแท่น 1 ใน 3 ผู้นำตลาดหลอดไฟ

นายหาน ซิ่งจ้าย ผู้จัดการทั่วไปของสาขาต่างประเทศ บริษัท ออปเปิ้ล ไลท์ติ้ง จำกัด กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของเราไม่เพียงแค่เน้นการเติบโตทางธุรกิจเท่านั้น ที่ออปเปิ้ล ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างศักยภาพให้กับพันธมิตรของเรา ด้วยการจัดสรรเครื่องมือ ทรัพยากร และการสนับสนุนที่จำเป็น เราไม่หยุดยั้งที่จะหาโอกาสในการขยายการสนับสนุนไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรม การตลาด หรือการร่วมมือทางเทคโนโลยี เพื่อให้เราเติบโตและประสบความสำเร็จร่วมกัน OPPLE Lighting OPPLE Lighting นับตั้งแต่การก่อตั้ง OPPLE ในปี 2539 การเดินทางของ OPPLE เกิดจากการเติบโตและการทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทและพันธมิตร รากฐานของบริษัทถูกสร้างขึ้นบนหลักการในการช่วยเหลือผู้อื่น และหลักปฏิบัตินี้มีส่วนสำคัญในวิวัฒนาการของบริษัททั้งในระดับโลก โดยปัจจุบันออปเปิ้ลเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งในประเทศจีน ความสำเร็จของออปเปิ้ลมาจากการส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ให้บริการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมสำหรับลูกค้า และเป็นผู้บุกเบิกสินค้านวัตกรรมและนำเทรนด์ตลาด ปัจจุบันมีสินค้าจำหน่ายในมากกว่า 70 ประเทศ โดยตลาดหลักยังคงเน้นที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศตะวันออกกลาง   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยเราได้เข้ามาทำตลาดมาประมาณ 10 ปีแล้ว ซึ่งบริษัทจะทำงานคู่กับผู้แทนจำหน่าย และให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างศักยภาพให้กับพันธมิตรของบริษัท โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันยาวนานของ OPPLE สู่ความเป็นเลิศและความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น ความสัมพันธ์ของบริษัทกับตัวแทนในตลาดประเทศไทยถือเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จ OPPLE ความร่วมมือเหล่านี้สร้างขึ้นจากความไว้วางใจ การเคารพซึ่งกันและกัน และวิสัยทัศน์ที่มีร่วมกันช่วยให้ OPPLE สามารถขยายฐานลูกค้า และปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น ตัวแทนของบริษัทซึ่งมีข้อมูลเชิงลึกในตลาดท้องถิ่นและความเข้าใจถึงความแตกต่างในท้องถิ่นถือเป็นปัจจัยที่มีบทบาทสำคัญในการช่วย OPPLE ปรับข้อเสนอแนะ เพื่อให้มั่นใจว่าบริษัทไม่เพียงตอบสนองได้ แต่ยังเกินความคาดหวังของลูกค้า การทำงานร่วมกันนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนผลการดำเนินงานเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำชื่อเสียงของ OPPLE อีกด้วย     ทั้งนี้ ในปี 2567 บริษัทมีแผนจะนำสินค้าให้กลุ่มสมาร์ทไลท์ติ้งหรือหลอดไฟอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ โดยแต่งตั้งให้บริษัท เกาอาน จำกัด ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายระบบไฟฟ้าในไทยมากว่า 70 ปีเป็นตัวแทนจำหน่ายในร้านขายอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าของพันธมิตรที่มี 700 รายทั่วประเทศ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดหลอดไฟในประเทศไทย ที่ปัจจุบันมูลค่า 20,000 ล้านบาท เติบโตปีละ 3-5% และเทรนด์การใช้งานหลังจากนี้กำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากหลอดแอลอีดีไปสู่สมาร์ทไลท์ติ้ง พร้อมตั้งเป้าหมายใน 5 ปี เป็น 1 ใน 3 ของผู้นำตลาดหลอดไฟในไทย   อุตสาหกรรมแสงสว่างของประเทศไทย: ภูมิภาคที่มีการเติบโตสูง อุตสาหกรรมแสงสว่างของไทยมีความโดดเด่นด้วย •ศักยภาพตลาดที่สูง •การพัฒนาการค้าที่รวดเร็ว •โอกาสมากมาย โดยเฉพาะในงานโครงการที่เฉพาะเจาะจง การเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศไทย นโยบายของ OPPLE ในประเทศไทยประกอบด้วย: •การส่งเสริมการขายส่ง ,การปรับปรุงการแสดงสินค้าในร้าน,และแนะนำร้านค้าต้นแบบของ OPPLE (OPPLE Model Shop) •การเน้นการพัฒนางานโครงการ •การขยายช่องทางการจัดจำหน่าย     นางสาวดวงสมร ตะล่อมสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท เกาอาน จำกัด กล่าวว่า เกาอาน ดำเนินธุรกิจเป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้าประเภทอุปกรณ์ด้านไฟฟ้า ได้แก่ สายไฟ สายเคเบิ้ล ปลั๊กไฟฟ้า อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อย่างครบวงจรมาตั้งแต่ปี 2490 ซึ่งมากกว่า 70 ปี เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย กลุ่มผลิตภัณฑ์หลอดไฟและอุปกรณ์แสงสว่างของออปเปิ้ลไลท์ติ้งรายเดียวในประเทศไทย เพื่อเป็นศูนย์กระจายสินค้าหลอดไฟและอุปกรณ์แสงสว่าง OPPLE LIGHTING ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ   ทั้งนี้ สินค้าของ OPPLE  LIGHTING เกาอานได้เลือกหลอด LED BULB OPPLE มาทำการตลาด เพราะมั่นใจในสินค้า และคุณภาพ เนื่องจาก OPPLE มีโรงงานเป็นของตัวเอง มีการทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ของตัวเอง จึงได้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ แสงสวย ถนอมสายตา ปลอดภัยต่อการใช้งาน มีค่าแสงสว่าง ตรงตามความต้องการของลูกค้า มีอายุการใช้งานยาวนานกว่า และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานเดียวกันกับที่ส่งออกไปต่างประเทศ ด้วยความเป็นบริษัทหลอดไฟ อันดับ 1 ของจีน เกาอานจึงเลือกที่จะเป็นพาร์ทเนอร์กับทาง OPPLE “ถ้าเรื่องของ Lighting หรือแสงสว่าง ต้องนึกถึงเกาอาน เพราะเกาอาน มีทีมขาย ทีมขนส่ง ครอบคลุม ทั่วประเทศ มีความเชี่ยวชาญ และเข้าใจความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี มีบริการหลังการขาย สามารถส่งของได้ตรงเวลา มีการพัฒนาบุคลากรอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่เป็นดีลเลอร์ของเกาอาน สามารถจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย ทำส่วนลดรายเดือน-รายปี สามารถสะสมยอดขายได้ และที่สำคัญจะไม่เกิดการแข่งขันกันเองระหว่างดีลเลอร์ แต่มีการเติบโตต่อไปในอนาคตร่วมกันกับเกาอาน” นางสาวดวงสมร กล่าว   บทความน่าสนใจ RUARK AUDIO รุกตลาดซูเปอร์ลักซ์ชัวรี ส่งความบันเทิงสุดเอ็กซ์คลูซีฟ รับเทรนด์ตลาดบ้านหรู เปิดตัวเฟอร์นิเจอร์หรูจากอิตาลีแบรนด์ Natuzzi Italia