Tag : PR

144 ผลลัพธ์
[PR News] การเคหะฯ จับมือพันธมิตรฉลองครบรอบ 50 ปี จัดงานใหญ่ “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023”

[PR News] การเคหะฯ จับมือพันธมิตรฉลองครบรอบ 50 ปี จัดงานใหญ่ “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023”

การเคหะแห่งชาติ จับมือพันธมิตรภาครัฐและเอกชน ฉลองครบรอบ 50 ปี จัดงานใหญ่ “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023” ภายใต้แนวคิด “คิดถึงบ้าน คิดถึงการเคหะ” ในวันที่ 1-3 กันยายนนี้ พร้อมยกทัพโครงการที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและระหว่างก่อสร้างในทำเลศักยภาพทั่วประเทศจำนวน 11,492 หน่วย ให้ประชาชนร่วมจับจองเป็นเจ้าของ ในราคาจองเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท    นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า ในฐานะหน่วยงานภายใต้กำกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุมชนและเมือง ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและครัวเรือนเปราะบางมาตลอดระยะเวลา 50 ปี สามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยไปแล้วกว่า 7 แสนหน่วย ผ่านโครงการต่างๆ อาทิ โครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการเคหะชุมชน โครงการแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด โครงการเคหะข้าราชการ โครงการฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดง โครงการอาคารเช่า เป็นต้น และในวาระครบรอบ 50 ปี ของการเคหะฯ จึงได้จับมือร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชนจัดงาน “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023” ภายใต้แนวคิด “คิดถึงบ้าน คิดถึงการเคหะ” ในระหว่างวันที่ 1-3 กันยายน 2566 ตั้งแต่เวลา 08.30-18.00 น. ณ สำนักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ และสำนักงานเคหะนครหลวง สำนักงานเคหะจังหวัดทั่วประเทศ ตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น.   “งานมหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023 ถือเป็นอีกหนึ่งงานสำคัญแห่งปีที่ประชาชนจะได้มีโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัยระดับคุณภาพ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ดี ในราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้ โดยการเคหะแห่งชาติได้จับมือร่วมกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน อาทิ เครือข่ายพันธมิตรและสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อมอบโปรโมชั่นสุดพิเศษให้กับประชาชนที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็น อัตราดอกเบี้ยพิเศษ เฟอร์นิเจอร์และสินค้าแต่งบ้าน ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์เกี่ยวกับบ้านในราคาสุดพิเศษ เพื่อมอบเป็นของขวัญช่วงปลายปีให้กับประชาชน ตามวิสัยทัศน์ของหน่วยงานที่ว่า “สร้างบ้าน สร้างสุข เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี”นายทวีพงษ์ กล่าว   สำหรับ งาน “มหกรรมบ้านการเคหะแห่งชาติ 2023” การเคหะแห่งชาตินำโครงการที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและระหว่างก่อสร้างทั่วประเทศ จำนวน 11,492 หน่วย ประกอบไปด้วย โครงการเคหะชุมชน โครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการเคหะชุมชนและบริการชุมชน โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามโครงข่ายคมนาคมโครงสร้างพื้นฐาน (TOD) และโครงการบ้านสวัสดิการข้าราชการ แบ่งเป็น กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 4,824 หน่วย ภาคกลาง 1,008 หน่วย ภาคเหนือ 505 หน่วย ภาคตะวันออก 2,339 หน่วย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1,329 หน่วย และภาคใต้ 1,487 หน่วย ในหลากหลายรูปแบบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ และอาคารชุด บนทำเลศักยภาพที่มีความโดดเด่นไม่แพ้กันในแต่ละภาค มาให้ประชาชนที่สนใจได้ร่วมจับจองเป็นเจ้าของ โดยจองเริ่มต้นพียง 1,000 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ยังมอบโปรโมชั่นส่วนลดสุดพิเศษถึง 3 ต่อ ต่อที่ 1 ส่วนลดสูงสุด 10% จากมาตรการสนับสนุนการเข้าถึงที่อยู่อาศัยฯ หรือเลือกเช่าเพื่อซื้อ (Rent to buy) บ้านพร้อมที่ดิน 1,500 บาทต่อเดือน ห้องชุดขนาด 33 ตร.ม. 1,200-1,500 บาทต่อเดือน ห้องชุดขนาด 24 ตร.ม. 1,000-1,200 บาทต่อเดือน   ต่อที่ 2 เช่าซื้ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ จากโครงการสินเชื่อเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยฯ (คบส.) กรณีไม่ผ่านสินเชื่อธนาคาร  สำหรับบุคคลทั่วไป ปีที่ 1-4 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.50% สำหรับกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือบุตรที่ซื้อบ้านในโครงการที่พ่อแม่อาศัยอยู่) ปีที่ 1-5 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.50% ผ่อนต่อเดือนเริ่มต้น 1,000 บาท หรือเช่าซื้อ กคช. อัตราดอกเบี้ยพิเศษ สำหรับบุคคลทั่วไป ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4% สำหรับกลุ่มเปราะบาง (ผู้สูงอายุ ผู้พิการ พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือบุตรที่ซื้อบ้านในโครงการที่พ่อแม่อาศัยอยู่) ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4% ผ่อนต่อเดือนเริ่มต้น 1,200 บาท และส่วนลดปิดโครงการสูงสุด 10,000 บาท สำหรับโครงการที่มีอาคารคงเหลือไม่เกิน 10 หน่วย   ต่อที่ 3 จองภายในวันงานรับส่วนลดเพิ่มทันที 15,000-40,000 บาท แบ่งเป็น โครงการเชิงสังคม 15,000 บาท โครงการเชิงพาณิชย์ ราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาทต่อหน่วย ลด 20,000 บาท ราคามากกว่า 2.5 ล้านบาทต่อหน่วย ลด 40,000 บาท รวมส่วนลดสำหรับโครงการที่เข้าร่วมทุกโปรโมชั่นสูงสุด 80,000 บาท รายละเอียดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และโครงการที่เข้าร่วมเป็นไปตามที่การเคหะแห่งชาติกำหนด พร้อมพบกับกิจกรรมให้ความรู้ กิจกรรมการทำน้ำหมักจุลินทรีย์ ตรวจสอบเครดิตบูโรฟรี รับสมัครงาน สินค้าชุมชน สินค้าตกแต่งบ้าน สินค้าอุปโภคบริโภคราคาประหยัดจากโครงการธงฟ้า และบูธสถาบันการเงินต่าง ๆ อาทิ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารทีเอ็มบีธนชาติที่จะมาให้คำแนะนำและให้บริการเรื่องการยื่นขอสินเชื่อสำหรับลูกค้าภายในงานฯ   การเคหะแห่งชาติ รัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีภารกิจหลักในการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ทั้งด้านกายภาพ เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม สอดรับแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) ภายใต้วิสัยทัศน์ “คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579” โดยมุ่งเน้นส่งเสริมและพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชน สนับสนุนให้มีที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐาน ปัจจุบันได้พัฒนาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศแล้วกว่า 7 แสนหน่วย พร้อมขับเคลื่อนโครงการสำคัญตอบสนองนโยบายรัฐบาล และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยังดำเนินโครงการ “บ้านเคหะสุขประชา” บ้านเช่าพร้อมอาชีพ ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบาง และ “บ้านเคหะสุขเกษม” สร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กับคนวัยเกษียณ   บทความน่าสนใจ การเคหะฯ ออก 3 มาตรการช่วยลูกค้าเก่า-ใหม่ จัดโปรฯ ลดดอกเบี้ย-ค่างวด ปรับโครงสร้างหนี้
[PR News]HBA เร่งฟื้นกำลังซื้อครึ่งปีหลัง จัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023   

[PR News]HBA เร่งฟื้นกำลังซื้อครึ่งปีหลัง จัดงานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023  

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA) จัดเต็มกลยุทธ์เร่งฟื้นกำลังซื้อสู้ภาวะเศรษฐกิจครึ่งหลังปี 66 จับตา 2 วาระใหญ่ของประเทศ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจรัฐบาลใหม่cและภาวะดอกเบี้ยพุ่ง 2.25% ส่งสัญญาณความเชื่อมั่นผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย เร่งสยายปีกเครือข่ายสมาชิกตลาดรับสร้างบ้านในแต่ละภูมิภาค เสริมทัพตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑล พร้อมจัดใหญ่งานมหกรรมแห่งปี “รับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023” เริ่ม 20 – 24 ก.ย. 2566 เพื่อเพิ่มโอกาสให้คนอยากมีบ้านเข้าถึงบริการคุณภาพ ในคอนเซ็ปต์ “ครบเครื่องเรื่องสร้างบ้าน” สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน                                   นายโอฬาร จันทร์ภู่ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA : Home Builder Association) เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2566 ยังต้องจับตา 2 วาระใหญ่ของประเทศ ก็คือ นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ จะส่งผลทางบวกต่อภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจรับสร้างบ้านมากน้อยแค่ไหน ท่ามกลางข้อจำกัดของการทำธุรกิจที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนค่าแรงและค่าวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น และการปรับตัวของดอกเบี้ยนโยบาย อีก 0.25% ต่อปี เป็น 2.25% จากเดิม 2.00% ต่อปี ซึ่งมีผลทำให้ผู้บริโภคอาจจะชะลอการตัดสินใจสร้างบ้านออกไปเรื่อย ๆ   “ความท้าทายจากหลายปัจจัยที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมตลาดบ้านปลูกสร้างเองที่มีมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านบาท อาจเติบโตได้ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ดี ทางสมาคมฯ ได้เตรียมกลยุทธ์และแนวทางรับมือ เพื่อปลดล็อคข้อจำกัดที่มีและเพิ่มโอกาสให้ทั้งธุรกิจรับสร้างบ้าน รวมถึงผู้บริโภคที่กำลังวางแผนสร้างบ้าน สามารถตัดสินใจได้เร็วและง่ายขึ้น” นายโอฬาร กล่าว   ในส่วนของการเพิ่มโอกาสใหม่ ๆ ให้กับธุรกิจรับสร้างบ้านนั้น นายโอฬาร กล่าวว่า ปัจจุบันยอดสั่งสร้างบ้านมากกว่า 60% มาจากพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมูลค่าบ้านเฉลี่ยอยู่ที่ 5-10 ล้านบาท ขณะที่ตลาดในภูมิภาคแม้จะยังมีสัดส่วนที่น้อยกว่า แต่นับว่าเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยโอกาสทางธุรกิจ และสามารถสร้างการเติบโตได้อีกมากในอนาคต   ปัจจุบันสมาคมฯ มีสมาชิก 132 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทรับสร้างบ้าน 75 บริษัท และวัสดุก่อสร้าง 57 บริษัท โดยเตรียมขยายจำนวนสมาชิกใหม่ในส่วนภูมิภาคมากขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้และการเข้าถึงตลาดความต้องการของผู้บริโภคในภูมิภาค รวมทั้งยกระดับคุณภาพงานสร้างบ้านให้มีมาตรฐานเดียวกัน   “พื้นที่ต่างจังหวัด ส่วนใหญ่ใช้บริการบุคคลธรรมดาที่ไม่เป็นรูปแบบบริษัทมาสร้างบ้าน ซึ่งผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยประสบกับปัญหาเรื่องคุณภาพงานที่ไม่ได้มาตรฐานและรับเงินไปแล้วทิ้งงาน ดังนั้นการเข้าไปให้ความรู้ในมาตรฐานงานก่อสร้างและการตลาด จะส่งผลดีทั้งกับบริษัทรับสร้างบ้านในภูมิภาค รวมทั้งผู้บริโภคที่จะเข้าถึงบริการที่ได้คุณภาพและไว้วางใจได้ว่าจะไม่เกิดปัญหาในภายหลัง” นายโอฬาร กล่าว   นอกจากนี้ ทางสมาคมฯ เตรียมกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งเป็นงานใหญ่ของปี “รับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 19 นับเป็นงานเดียวที่รวบรวมความครบเครื่องเรื่องบ้านไว้มากที่สุด พร้อมจัดเต็มสิทธิประโยชน์ ส่วนลด และของแถม จากบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “ครบเครื่องเรื่องสร้างบ้าน”     ความพิเศษของงานในปีนี้ อัดแน่นไปด้วยกองทัพแบบบ้านให้เลือกกว่า 1,000 แบบ ราคาตั้งแต่ 1 – 100 ล้านบาท สิทธิพิเศษสำหรับการจองปลูกบ้านภายในงาน ลุ้นรับทองคำแท่ง 15 บาท มูลค่ารวมกว่า 500,000 บาท** รวมทั้งบริการขอสินเชื่อสร้างบ้านภายในงานกู้ได้ 100% แบบไม่มีเงินก็สร้างบ้านได้ โดยมีสถาบันการเงินเข้ามาร่วมให้บริการสินเชื่อถึง 4 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และพบกับทรัพย์พร้อมอยู่ ราคาสุดพิเศษ จาก JAM และผู้เชี่ยวชาญเรื่องสร้างบ้านที่คอยให้คำปรึกษาสำหรับคนที่กำลังวางแผนสร้างบ้านบนที่ดินของตัวเอง   “ด้วยข้อเสนอที่พิเศษสุด พร้อมด้วยบริการที่ครบวงจรรวมไว้ในงานเดียว และในปีนี้ นอกจากจะมีบริษัทสมาชิกจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก มาร่วมออกงานแล้ว ยังมีบริษัทสมาชิกจากภาคใต้มาร่วมออกงานอีกด้วย นับว่าเป็นงานรับสร้างบ้านระดับประเทศอย่างแท้จริง โดยสมาคมฯ คาดหวังว่างานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023 จะสามารถดึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้กลับมา และกระตุ้นการตัดสินใจสร้างบ้านให้เร็วขึ้น ซึ่งจะส่งสัญญาณที่ดีต่อภาพรวมของตลาดรับสร้างบ้านให้ขยายตัวภายในสิ้นปีนี้” นายโอฬาร กล่าวทิ้งท้าย   พบกับงานรับสร้างบ้านที่ครอบคลุมสำหรับทุกความต้องการ เรียกได้ว่ามางานนี้ที่เดียวจบ ครบเครื่องเรื่องสร้างบ้านจริง ๆ ในงานรับสร้างบ้านและวัสดุ EXPO 2023 ระหว่างวันที่ 20 - 24 กันยายน 2566 ณ อิมแพ็ค ฮอลล์ 6 เมืองทองธานี  จัดโดยสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน   บทความนาสนใจ ไวด์เฮ้าส์ลุยตลาดรับสร้างบ้าน 2 แสนล้านประเดิมปีแรกทำรายได้ 60 ล้าน
[PR News] “ณ วีรา รามอินทรา” พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างจริงครั้งแรก แถมโปรส่วนลด 200,000 บาท

[PR News] “ณ วีรา รามอินทรา” พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างจริงครั้งแรก แถมโปรส่วนลด 200,000 บาท

ณวรางค์ แอสเซท ได้ฤกษ์เปิดตัวโครงการ ณ วีรา รามอินทรา มูลค่า 550 ล้าน ภายใต้แนวคิด “ให้คุณเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ใช่ได้ทุกวัน ..CRAFT YOUR EVERYDAY” คอนโดฯ ใหม่ให้ครบเกินคุ้ม ย่านลาดปลาเค้าใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู แค่ 3 นาที พร้อมเปิดชมห้องตัวอย่างครั้งแรก ด้วยราคาเริ่มต้น 1.49 ล้าน แถมส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท ชูจุดเด่นทำเลทองเพื่อการอยู่อาศัย ตอบโจทย์ทั้งการอยู่อาศัยจริง และลงทุนปล่อยเช่า   นายอภิภู พรหมโยธี  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด  เปิดเผยว่า ได้เตรียมเปิดตัวโครงการ ณ วีรา รามอินทรา คอนโดมิเนียมโครงการใหม่ล่าสุดของบริษัทพร้อมให้ชมห้องตัวอย่างครั้งแรกในวันที่ 26 -27 ส.ค.นี้ โดยเปิดขายห้องชุดในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท และยังจัดโปรโมชั่นต้อนรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ด้วยส่วนลดสูงสุด 200,000 บาท สำหรับผู้ลงทะเบียนผ่านทางเว็บไซต์​ https://navarangasset.com/projects/naveera-ramintra/   สำหรับโครงการ  ณ วีรา รามอินทรา ตั้งอยู่บริเวณซอยลาดปลาเค้า 72 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีลาดปลาเค้า เพียง 3 นาที บนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ มูลค่า 550 ล้านบาท มีจำนวน 218 ยูนิต พัฒนาภายใต้แนวคิด “ให้คุณเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ใช่ได้ทุกวัน ..CRAFT YOUR EVERYDAY” คอนโดฯ ใหม่ให้ครบเกินคุ้ม ด้วยการดีไซน์ห้องที่ลงตัวเพื่อการอยู่อาศัยอย่างมีความสุข พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยยุคใหม่ อาทิ คลับเฮ้าส์สองชั้นที่มี Co-working space ฟิตเนสวิวธรรมชาติ รูฟท้อป สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ลานบาร์บีคิว   นายอภิภู กล่าวว่า โครงการ ณ วีรา รามอินทรา ตั้งอยู่บนทำเลทองย่านลาดปลาเค้า เพราะนอกจากจะอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีลาดปลาเค้า ซึ่งสามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อมุ่งสู่ทุกจุดหมายในกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกสบายแล้ว ยังใกล้กับแหล่งการศึกษาชั้นนำ อาทิ มหาวิทยาลัยศรีปทุมและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ซึ่งใช้เวลาเดินทางเพียงแปดถึงสิบห้านาทีเท่านั้น ใกล้แหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ ทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ ที่ใช้ระยะเวลาเดินทางเพียงไม่กี่นาที ใกล้กับสถานีราชการและแหล่งงานต่าง ๆ มากมายด้วย ความต้องการอยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน ยังคงคำนึงถึงเรื่องทำเลที่ตั้ง ซึ่งต้องเดินทางสะดวก สามารถเชื่อมต่อกับบริการรถสาธารณะอย่างรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน    สำหรับโครงการ  ณ วีรา รามอินทรา นับว่าเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว เพราะใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือรถไฟฟ้าบีทีเอส ในอนาคตยังจะเชื่อมต่อสายสีน้ำตาลและสีม่วงด้วย ซึ่งบริษัทตั้งใจพัฒนาดังกล่าวเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการอยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นผู้เริ่มต้นชีวิตใหม่ นักศึกษา ผู้ที่อยู่ย่านลาดปลาเค้าและต้องการขยับขยายจากบ้านเดิมแต่ยังรักในทำเลที่คุ้นเคย รวมทั้งกลุ่มนักลงทุนที่มองหาความคุ้มค่าสมราคา เพราะสามารถซื้อและปล่อยเช่าให้กับกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา หรือกลุ่มคนทำงานในบริเวณใกล้เคียงได้ด้วย โครงการมีห้องทั้งหมด 218 ห้อง โดยมีห้องทั้งหมด 5 แบบ ได้แก่ TYPE A  :  1 BEDROOM              22.07 -22.87 SQ.M. TYPE B  :  1 BEDROOM              26.42-27.34  SQ.M. TYPE C  :  1 BEDROOM PLUS   35.13-35.74   SQ.M. TYPE D1  :  2 BEDROOM            41.04            SQ.M. TYPE D2  :  2 BEDROOM            41.72            SQ.M.   โดยทุกห้องจะออกแบบในสไตล์โมเดิร์นมาพร้อมกับเฟอร์นิเจอร์แบบครบครัน ภายในวันงานโครงการมีโปรโมชั่น จองพร้อมทำสัญญาในงานรับ Voucher Central มูลค่า 5,000 – 10,000 บาท พิเศษเฉพาะในงานวันที่ 26 -27 ส.ค.นี้ เท่านั้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ณวรางค์ แอสเซท ได้แรงหนุนสายสีชมพูสร้างใกล้เสร็จ ส่ง “ณ รีวา รามอินทรา” รับลูกค้าย่านลาดปลาเค้า -“ณวรางค์ แอสเซท” กางแผน 3 ปี ผุดโปรเจ็คต์ใหม่กว่า 5,000 ล้าน พร้อมเปิดตัว “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” คอนโดฯ เพื่อคนรุ่นใหม่ วัยทำงาน
[PR News] นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป พร้อมเปิดตัว “หลับดี” 3 แห่งในญี่ปุ่นและไทย

[PR News] นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป พร้อมเปิดตัว “หลับดี” 3 แห่งในญี่ปุ่นและไทย

นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เตรียมเปิด 3 ที่พักใหม่ “หลับดี” ในโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น เกาะเต่าและย่านไชน่าทาวน์ (สามยอด) ใจกลางกรุงเทพฯ ประเทศไทย   นายนที นิธิวาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของนารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป เปิดเผยว่า นารายณ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป ผู้พัฒนาและประกอบธุรกิจที่พักแบรนด์หลับดีและโรงแรมเครือมาราสก้า ประกาศความพร้อมเปิดตัวที่พักแบรนด์หลับดี (Lub d) เพิ่มอีก 3 แห่งในปี 2566 และ 2567 ได้แก่ หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ หลับดี เกาะเต่าและหลับดี ไชน่าทาวน์  กรุงเทพฯ โดยทั้ง 3 แห่งได้ออกแบบให้มีเอกลักษณ์ รวมถึงประสบการณ์การต้อนรับอันโดดเด่นของแบรนด์หลับดี ถือเป็นที่พักแนวไลฟ์สไตล์ ดีไซน์ทันสมัย เพื่อนักเดินทางรุ่นใหม่ที่มีเป้าหมายชัดเจน และเน้นความคุ้มค่า การเปิดตัวที่พักแบรนด์หลับดีเพิ่มเติมอีก 3 แห่งถือเป็นการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ เสริมสร้างและสะท้อนความแข็งแกร่งของกลุ่มบริษัทที่กำลังขยายสาขาในเอเชีย หลังจากที่บริษัทได้ดำเนินธุรกิจโรงแรมและบริการในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ โรงแรมหลับดีได้ขยายกิจการไปยังจุดหมายปลายทางยอดนิยมทั้งในไทยและประเทศต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันโรงแรมหลับดีได้เปิดให้บริการแล้วถึง 5 แห่ง ได้แก่ หลับดีในไทย 3 แห่ง เสียมราฐ กัมพูชา 1 แห่ง และกรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ อีก 1 แห่ง   สำหรับในปีนี้ หลับดีมีแผนเปิดให้บริการโรงแรมเพิ่มเติมอีก 1 แห่ง คือ หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ในช่วงเดือนกันยายน และนอกจากนี้ยังมีแผนเปิดให้บริการเพิ่มเติมในปี 2567 อีก 2 แห่ง คือ หลับดี เกาะเต่า  ในไตรมาสที่ 1 และหลับดี ไชน่าทาวน์  กรุงเทพฯ ในไตรมาสที่ 3   โดยหลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฮอนมาจิ เมืองโอซาก้า หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ถือเป็นก้าวสำคัญของแบรนด์ เนื่องจากเป็นการเปิดตัว หลับดีที่แรกในญี่ปุ่น แขกผู้เข้าพักจะได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศของเมืองที่มีสีสัน แถมยังเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก ที่สำคัญที่พักแห่งนี้ยังมอบโอกาสให้นักเดินทางจากทั่วโลกมาพบปะทำความรู้จักกันท่ามกลางกลิ่นอายวัฒนธรรมญี่ปุ่น และการต้อนรับอย่างอบอุ่นในรูปแบบเฉพาะตัวของหลับดี ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกสุดทันสมัยไว้คอยให้บริการ หลับดี โอซาก้า ฮอนมาจิ ยังเต็มไปด้วยการตกแต่งที่ทันสมัยพร้อมด้วยผลงานศิลปะจากศิลปินท้องถิ่น ที่จะทำให้บรรยากาศไม่น่าเบื่อและสนุกสนาน พร้อมเปิดให้บริการ ในเดือนกันยายน 2566 ส่วนหลับดี เกาะเต่า ตั้งอยู่ที่อ่าวโตนด ซึ่งติดอันดับ 1 ใน 20 แหล่งดำน้ำที่ดีที่สุดของโลก มีหาดหน้าที่พักอันเงียบสงบ ทรายขาวละเอียดและน้ำใสสวยงาม เนื่องจากเกาะเต่าเป็นจุดหมายปลายทางในดวงใจของนักดำน้ำลึก หลับดี เกาะเต่า จึงเปิดโรงเรียนสอนดำน้ำไว้คอยให้บริการด้วยเช่นกัน ใครที่พร้อมออกผจญภัย ทริปดำน้ำอันแสนเร้าใจอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นที่พักในฝันของผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยอย่างแท้จริง โดยหลับดี เกาะเต่ามีกำหนดเปิดให้บริการในไตรมาสแรกของปี 2567   ขณะที่หลับดี ไชน่าทาวน์ กรุงเทพฯ เตรียมจะเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 ทำเลที่ตั้งอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีสามยอด ที่รายล้อมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิ เยาวราช ชุมชนชาวจีนที่เก่าแก่ วัดวาอาราม ถนนคนเดินริมคลองโอ่งอ่าง และย่านการค้าพาหุรัด ชุมชนชาวอินเดียอันมีเสน่ห์  ใครได้มาสัมผัสบรรยากาศจะได้รับประสบการณ์ดี ๆ ที่ไม่มีวันลืมเลือนอย่างแน่นอน   ด้านนางสาวนิธิดา นิธิวาสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแบรนด์หลับดี กล่าวว่า หลับดีกำลังเติบโตทั่วเอเชียเพราะเราปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของนักเดินทางรุ่นใหม่ซึ่งอยากให้ที่พักที่เป็นมากกว่าที่พัก   ที่พักของเราเป็นพื้นที่สำหรับการเข้าสังคมและทำกิจกรรมเพื่อสัมพันธภาพและประสบการณ์ที่มีความหมายของนักเดินทางหนุ่มสาว หลับดีเป็นเหมือนแหล่งเติมพลังสำหรับการเดินทางสำรวจที่ท่องเที่ยวใหม่ ๆ ของนักเดินทางเหล่านี้   นางสาวนิธิดา อธิบายด้วยว่า นับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นในปี 2551 หลับดีตั้งเป้าที่จะเปิดที่พักทั้งในเมืองและเกาะต่าง ๆ ทั่วเอเชียมาโดยตลอด เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวที่อยากได้ที่พักที่สะดวกสบาย ราคาจับต้องได้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้สำรวจสิ่งแปลกใหม่และของแท้ดั้งเดิมอย่างเต็มที่   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ประกาศรายได้การให้บริการ-โรงแรมโตรับท่องเที่ยวฟื้นตัว ชูดิจิทัล-กลยุทธ์บริหาร RevPar สู่เป้ากว่า 10,000 ล้าน -AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ
[PR News] กลุ่มบริษัทรีโว่ เปิด “ไอเจ้นท์ พระราม 9” พรีเมียมทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น

[PR News] กลุ่มบริษัทรีโว่ เปิด “ไอเจ้นท์ พระราม 9” พรีเมียมทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น

กลุ่มบริษัทรีโว่ เปิด “ไอเจ้นท์ พระราม 9” พรีเมียมทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น  เริ่ม 4.99 ล้าน ต่อยอดความสำเร็จ โครงการ ไอเจ้นท์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม พัฒนาการ   นางสาวสุทธิสินี อยู่สวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รีโว ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กลุ่มบริษัท รีโว  ที่ร่วมทุนระหว่าง รีโวกรุ๊ป, บริษัท พรีบิลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ PREB และ เค.อาร์.ซี. เอ็นจิเนียริ่ง เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทประสบความสำเร็จอย่างดี จากการพัฒนาโครงการ ไอเจ้นท์ พรีเมี่ยมทาวน์โฮม พัฒนาการ จึงได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ “ไอเจ้นท์ พรีเมียมทาวน์โฮม พระราม 9” ทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น 3 ชั้น จำนวน 72 ยูนิต เรามีนโยบายที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจมากที่สุด จึงมีความมุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยให้ความสำคัญในเรื่องของนวัตกรรม และสิ่งแวดล้อมของที่อยู่อาศัยสำหรับชีวิตเมืองในปัจจุบัน นอกจากนี้ จากความต้องการของตลาดบ้านแนวราบ มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง เป็นกลุ่มลูกค้าในตลาดระดับกลางถึงระดับบนที่มีกำลังซื้อ ประกอบกับพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนไปหลังเกิดการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 อาทิ การทำงานที่บ้าน (Work from home) ทำให้มีความต้องการบ้านแนวราบมากกว่า บริษัทจึงเล็งเห็นถึงโอกาสในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ เพราะมีพื้นที่ใช้สอยที่มา และมีฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต   สำหรับโครงการ ไอเจ้นท์ พรีเมียมทาวน์โฮม พระราม 9  พรีเมียมทาวน์โฮม 3 ชั้น โครงการใหม่ บนทำเลใหม่ ย่านพระรามเก้า กับแบบบ้านที่ขายดีที่สุดเพียง 72 หลัง โดยมีจุดเด่นห้อง Master Bedroom ขนาดใหญ่ 3 ห้อง พร้อมห้องน้ำในตัวทุกห้อง และห้องอเนกประสงค์ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย ด้วยฟังก์ชันและดีไซน์ที่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี มีความเป็นส่วนทุกพื้นที่ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ส่วนกลางที่ออกแบบในสไตล์ Mid Century ที่มีทั้งคลับเฮ้าส์, ลานนวดเท้าเพื่อสุขภาพ, ฟิตเนส, Co-Working Hall พร้อม Library Room และพื้นที่สีเขียว รองรับกิจกรรมการอยู่อาศัย นอกจากนี้ ทางโครงการยังมีระบบ Smart Life Security สร้างความอุ่นใจด้วยระบบแจ้งเตือน Triple Active Alert เพื่อความสุขและอุ่นใจของทุกคนในครอบครัว โครงการตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ใกล้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์สถานีบ้านทับช้าง ใกล้รถไฟฟ้า MRT สายสีเหลืองสถานีหัวหมาก อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อถนนหลักได้หลายเส้นทาง ทั้งถนนอ่อนนุช ถนนพัฒนาการ ถนนมอเตอร์เวย์ เชื่อมเข้าถนนพระราม 9 และทางด่วนศรีรัช   โครงการ​ไอเจ้นท์ พระราม 9 พร้อมเปิดจองทาวน์โฮมสมาร์ทฟังก์ชั่น รอบพิเศษสำหรับคนพิเศษ VIPday วันที่ 19-20 สิงหาคมนี้  ด้วยบ้านโซนพิเศษในราคาเริ่มต้นที่ 4.99 ล้านบาท จองวันนี้ กู้ 100% พร้อมรับโปรโมชั่นฟรี เฟอร์นิเจอร์บิ้วอิน เครื่องปรับอากาศ  Smart Home Gadget ค่าใช้จ่าย ณ วันโอน และพิเศษยิ่งขึ้น เมื่อลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลด 50,000 บาท อีกด้วย ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์พร้อมส่วนลดพิเศษได้ที่ https://www.eigen-rama9.com/ (เงื่อนไขต่าง ๆ เป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พรีบิลท์ ปั้นแบรนด์ “พรรณนา” ลุยตลาดบ้านลักชัวรี่ราคา 15 ล้านอัพ !!
เอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตท 10 ปีกับผลงานชิ้นโบว์แดง 24 โครงการร่วมทุน มูลค่ากว่า  1 แสนล้านบาท

เอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตท 10 ปีกับผลงานชิ้นโบว์แดง 24 โครงการร่วมทุน มูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท

เอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตท เอพี ไทยแลนด์ และ มิตซูบิชิ เอสเตท แถลงความสำเร็จ  ของ 2 บริษัทชั้นนำผู้พัฒนาอสังหาฯ ในประเทศไทย และบริษัทพัฒนาอสังหาฯ เบอร์ต้นที่มากด้วยประสบการณ์ในอุตสาหกรรมยาวนานกว่า 130 ปีจากประเทศญี่ปุ่น เดินหน้าความร่วมมือในโอกาสครบรอบ 10 ปี ประกาศแผนโรดแมป “FROM STRENGTH TO STRENGTH” ขับเคลื่อนการร่วมทุนที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น สู่การเติบโตที่ไม่สิ้นสุด ด้วยเม็ดเงินลงทุนผ่านทุนจดทะเบียนบริษัทร่วมทุนที่มากถึง 12,619,408,010 บาท ขยายการลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทย รับการฟื้นตัวของตลาดคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าใจกลางเมืองที่ยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง พร้อมผลักดันภารกิจเชื่อมต่อความเชี่ยวชาญและองค์ความรู้ มุ่งยกระดับคุณภาพการพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับกลาง - บน ในไทย   นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ในวาระครบรอบ 10 ปี ความสำเร็จการร่วมมือทางธุรกิจ ระหว่างมิตซูบิชิ เอสเตท และเอพี ไทยแลนด์ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับเอพี ไทยแลนด์ ตลอดจนยังถือเป็น Milestone สำคัญที่สะท้อนได้ถึงความเชื่อมั่นของพันธมิตร ต่อการทำงานของเอพี ไทยแลนด์ ความแข็งแกร่งทั้งนัยยะความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยของประเทศไทย ที่เทียบเคียงนานาประเทศ   ทั้งนี้ มิตซูบิชิ เอสเตท และเอพี ไทยแลนด์ ถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจรายแรกและรายเดียวที่มีโมเดลร่วมทุนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในไทย ภายใต้ชื่อ “บริษัท พรีเมี่ยม เรสซิเดนท์ จำกัด” สัดส่วนถือหุ้น 51:49  เพื่อทำหน้าที่เป็นบริษัทหลักในการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นระยะยาว ด้วยทุนจดทะเบียนมูลค่า ณ ปัจจุบันที่ 12,619,408,010 บาท (หนึ่งหมื่นสองพันหกร้อยสิบเก้าล้าน สี่แสนแปดพันสิบบาท)   เหนือสิ่งอื่นใด ความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้ยังได้มีส่วนร่วมสร้างคุณูปการให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ทั้งในมิติ ด้านเม็ดเงินลงทุน ที่ร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ก่อให้เกิดการจ้างงานกับคู่ค้ามากกว่า 100 บริษัท ที่อยู่ในระบบ Ecosystem ของอุตสาหกรรม การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งในมุมมองการดำเนินธุรกิจและคืนกลับสู่สังคม ซึ่งถือเป็นเรื่องยากมากที่บริษัทร่วมทุนแบบระยะสั้นจะดำเนินการสร้างคุณูปการเช่นนี้มอบคืนให้กับสังคม     “มิตซูบิชิ เอสเตท มีความพิเศษไม่เพียงแต่ในแง่ของขนาดบริษัท และประสบการณ์ระดับโลกเท่านั้น แต่ยังมีผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกล ที่พร้อมสนับสนุนความก้าวหน้าของภาคอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยไปด้วยกัน อีกทั้งยังมีส่วนสำคัญในการให้แรงบันดาลใจกับทีมเอพี ไทยแลนด์ สู่การสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัย ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อยกระดับให้สินค้าและบริการตอบโจทย์ชีวิตดีๆ ที่ลูกค้าเลือกเองได้” นายอนุพงษ์ กล่าวเสริม   นายอะซึชิ นากาจิมะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจในต่างประเทศของมิตซูบิชิ เอสเตทเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว จากการพัฒนาอสังหาฯ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ถึงวันนี้มิตซูบิชิ เอสเตทมีธุรกิจอสังหาฯ อยู่ในหลายประเทศและหลายภูมิภาค ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกาและเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศเอเชีย ซึ่งประเทศไทยนับเป็นฐานการลงทุนที่สำคัญ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีตลาดอสังหาฯ เติบโตอย่างมีศักยภาพ และเอื้ออำนวยต่อการลงทุนทำธุรกิจ รวมถึงการได้ร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งและยอดเยี่ยมอย่างเอพี ไทยแลนด์ ตลอดระยะเวลา 10 ปีความร่วมมือทางธุรกิจกับเอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตทได้พัฒนาความเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรและปรัชญาองค์กรซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง ช่วยให้มิตซูบิชิ เอสเตทสามารถแลกเปลี่ยน องค์ความรู้ และแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจผ่านมุมมองระยะยาว ซึ่งคงไม่สามารถเป็นไปได้ หากความร่วมมือของทั้งสองบริษัทเป็นความร่วมมือระยะสั้นจบเป็นรายโครงการ     ทั้งนี้ ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการทำงานร่วมกับเอพี ไทยแลนด์ ตลอดจน “ความเชื่อมั่น” ที่มิตซูบิชิ เอสเตทมีต่อเอพี ไทยแลนด์ ทั้งองค์ความรู้ที่ลึกซึ้งถึงแก่นในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ความใส่ใจในทุกกระบวนการทำงาน การวางแผนงานต่างๆ ของเอพี การได้ทำงานกับเอพี ไทยแลนด์ในฐานะบริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่เชี่ยวชาญเช่นเดียวกัน ทำให้มิตซูบิชิ เอสเตทได้เรียนรู้เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เราทั้งสองบริษัทฯ ยังมีความมุ่งหมายตั้งใจที่จะสร้างคุณูปการให้กับธุรกิจร่วมทุนของเราและต่อสังคมไทย ด้วยการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญของเราในประเทศญี่ปุ่น ผ่านกิจกรรมต่างๆ ของเอพี ไทยแลนด์  และขณะนี้ ทั้งสองบริษัทฯ กำลังทำงานอย่างทุ่มเทในด้านการนำแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคนมาใช้เป็นหลักในการพัฒนาโครงการ   “มิตซูบิชิ เอสเตท มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่สามารถร่วมสร้างคุณูปการให้กับสังคมไทย ผ่านธุรกิจร่วมทุนกับพันธมิตรที่ดีและแข็งแกร่งอย่างเอพี ไทยแลนด์ และจะยังคงจับมือเดินหน้าร่วมกันไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบคุณค่าในฐานะบริษัทญี่ปุ่นให้กับสังคมไทยต่อไปในอนาคตข้างหน้าต่อจากนี้” ครบรอบหนึ่งทศวรรษความร่วมมือ เอพี ไทยแลนด์ - มิตซูบิชิ เอสเตท ได้พัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมทุน เจาะที่ดินแนวรถไฟฟ้าใจกลางกรุงเทพฯ ทั้งสิ้น 24 โปรเจกต์ มูลค่ารวมกว่า 116,300 ล้านบาท ทุกโครงการ มีผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทั้งมิติด้านการขายและโอนกรรมสิทธิ์ โดยสร้างผลงานปิดการขาย (Sold Out) ไปแล้วทั้งสิ้น 13 โครงการ คงเหลือโปรเจกต์ร่วมทุนที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและเปิดขาย 11 โครงการ (มูลค่ารวม 55,650 ล้านบาท) มียอดขายเฉลี่ยทุกโครงการรวมกันประมาณ 60% หรือคิดเป็นมูลค่าสินค้าพร้อมขายที่ 20,375 ล้านบาท    บทความน่าสนใจ เอพี ไทยแลนด์ ประกาศรายได้ครึ่งปีแรก 23,856 ล้าน เตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ทั่วไทย เอพี ไทยแลนด์ เผยผลงานปี 65 ทำรายได้ 49,388 ล้าน พร้อมกวาดกำไรเติบโตกว่า 23% เอพี ไทยแลนด์ ขนบ้าน-คอนโด ขายกว่า 1.65 แสนล้าน ลุยตลาดด้วยแผน INCLUSIVE GROWTH
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ MAJOR Pet Family Residences ผู้นำที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้ 100% ทุกโครงการ

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ MAJOR Pet Family Residences ผู้นำที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้ 100% ทุกโครงการ

บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  ผู้นำคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ ต่อยอดแนวคิด Major Petscape สู่การยกระดับมาตรฐานการพัฒนาที่อยู่อาศัย เพื่อการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ร่วมกันของคนและสัตว์เลี้ยง ผนึกพันธมิตรและผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 60 แบรนด์ ดีไซน์พื้นที่ทั้งภายในและภายนอกโครงการให้เป็นมิตรต่อคนและสัตว์เลี้ยง เน้นย้ำเรื่อง Non-Toxic และ Zero VOCs พร้อมมอบ สิทธิพิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยง ควบคู่กับการให้ความสำคัญกับการสร้างชุมชนคนรักสัตว์ พร้อมบัญญัติคำนิยามใหม่ “MAJOR Pet Family Residences” ครั้งแรกและแบรนด์แรกที่ให้คุณและสัตว์เลี้ยงได้ใช้ชีวิตและเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยร่วมกันอย่างเท่าเทียม ภายใต้พันธสัญญา “สัญญา ว่าจะดูแลกันตลอดไป” คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในมิติของแบรนด์ที่มุ่งมั่นสู่การเป็น LifeScape Developer ที่ไม่ใช่แค่การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพัฒนารูปแบบการใช้ชีวิตที่เข้าใจและครอบคลุมในทุกบริบท เพื่อสร้างคุณค่าในการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน พร้อมได้เชื่อมโยงความใส่ใจทุกรายละเอียดของมาตรฐานของที่อยู่อาศัยแบบ MAJOR Craft & Quality สู่ไลฟ์สไตล์อย่าง Pet Humanization กับจุดยืนของแบรนด์ที่แตกต่างในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทุกโครงการ ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมระดับคุณภาพ เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยร่วมกับสัตว์เลี้ยงได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยมุมมองที่เท่าเทียม เพราะ “สัตว์เลี้ยง คือ สมาชิกสำคัญในครอบครัวที่ไม่ควรถูกแบ่งแยก” ทั้งนี้ เมเจอร์ฯ ถือเป็นผู้บุกเบิก และผู้นำที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้โดยลงมือทำอย่างจริงจังมานานกว่า 20 ปี จากจุดเริ่มต้นสู่การสร้างสรรค์ Major Petscape แนวคิดที่ออกแบบเพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการอาศัยร่วมกันของคนและสัตว์เลี้ยง บน 4 มิติหลัก ได้แก่ Petscape Guide ข้อปฏิบัติในการอยู่อาศัยร่วมกัน Petscape Design ความมุ่งมั่นในการออกแบบ และเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง Petscape Privilege สิทธิพิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยง รวมถึงการสร้างชุมชนคนรักสัตว์ Petscape Community”   “ข้อมูลการศึกษาวิจัยจาก Euromonitor และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ตลาดธุรกิจสัตว์เลี้ยงโต สวนกระแส Covid-19 โดยคาดว่าในปี 2569 ตลาดสัตว์เลี้ยงของโลกเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.2% (CARG - Compound Annual Growth Rate) โดยเฉพาะตลาดภาคพื้นเอเชีย เช่นเดียวกับมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยจะเติบโตจากปี พ.ศ. 2564 ปีละ 8.4% (CARG) มาอยู่ที่ 66,748 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2569 นอกจากนี้ข้อมูลการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณของวิทยาลัยการจัดการมหาวิทยาลัยมหิดล หรือ CMMU จากกลุ่มตัวอย่าง 1,046 คน พบว่า 80.7% ของผู้ที่เลี้ยงสัตว์ มีสถานะโสด ขณะที่ 19.3 มีสถานะสมรสแล้ว โดย 18% ของกลุ่มตัวอย่างบอกว่าเลี้ยงสัตว์เพื่อช่วยเหลือ และช่วยบำบัดรักษา (Pet Healing) เนื่องจากสัตว์เลี้ยงบำบัดมีประโยชน์ อาทิ เพิ่มความสุข เพราะช่วยเพิ่มระดับสาร Oxytocin ได้ 20% และทำให้สภาพจิตดี ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดความดันโลหิต รวมถึงช่วยเยียวยาจิตใจหรือร่างกาย”   คุณเพชรลดา กล่าวต่อไปว่า “คำจำกัดความของ ‘MAJOR Pet Family Residences’ จะถูกสะท้อนให้เห็นเป็นรูปธรรมในทุกมิติตั้งแต่การวางรูปแบบการดีไซน์ Petscape Design เพื่อที่จะขยายพื้นที่ความสุขร่วมกันของคนและสัตว์เลี้ยงในแต่ละโครงการ ยกตัวอย่าง โครงการ เมทริส ดิสทริค ลาดพร้าว คอนโดมิเนียม (Metris District Ladprao Condominium) ที่ได้รับการออกแบบดีไซน์เน้นเรื่อง Craft & Quality ควบคู่กับ Pet-Friendly และด้วยความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันที่มีความชื่นชอบที่หลากหลาย และทลายข้อจำกัดของประเภทสัตว์เลี้ยงตามความชื่นชอบที่แตกต่างจึงดีไซน์พื้นที่ส่วนกลางใหม่ๆ อาทิ Multi-Pet Playroom พื้นที่พิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยงทางเลือกอย่าง กระต่าย ชินชิลล่า เม่นแคระ เป็นต้น Cat Haus พื้นที่สำหรับน้องแมวโดยเฉพาะ และ Pet Park พื้นที่ออกกำลังกายขนาดใหญ่ที่ให้น้องหมาได้ทำกิจกรรมกลางแจ้งกับเจ้าของ อีกทั้งยังมีการวางมาตรการเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างและตกแต่งภายใต้มาตรฐาน เรื่อง Non-Toxic และ Zero VOCs ที่เป็นมิตรต่อคนและสัตว์เลี้ยง การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อช่วยให้บ้านเย็นและยับยั้งเชื้อโรคต่างๆทั้ง Solar Attic, Organic Care, Duraclean A+, Nanoe™ X air & odor purifier, UV Care254 Airflow เป็นต้น   นอกจากนี้ ยังมีการจัดเตรียมสิทธิพิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยง หรือ Petscape Privilege ตั้งแต่แรกเริ่มเข้ามาเยี่ยมชมโครงการฯ กับ PET-kit และ Petscape Welcome Package ต้อนรับสู่การร่วมเป็นครอบครัวเมเจอร์ฯ ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์มากมาย รวมถึง การเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสัตว์เลี้ยงได้ตลอดทั้งปี อาทิ กิจกรรมเวิร์กช้อปสำหรับสัตว์เลี้ยง กิจกรรมคอนเสิร์ต รวมถึงงานแฟร์ หรืองานอีเว้นต์พิเศษนอกสถานที่ เป็นต้น โดยปัจจุบัน มีพาร์ทเนอร์สำหรับสัตว์เลี้ยงมากกว่า 60 แบรนด์ อาทิ โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ โรงพยาบาลสัตว์คชาเว็ท LION Pet Care Royal Canin PETClub Bake n Bone Doquabistro Mellow Pet Shop PAWxPAW MEWRE เป็นต้น   โดยในปี 2566 นี้ เมเจอร์ฯ ได้รวบรวมประสบการณ์และความประทับใจจากลูกบ้านกลุ่ม Pet lover ตัวจริงมาสร้างสรรค์เป็นแคมเปญสื่อสารการตลาด เพื่อถ่ายทอดมุมมองเกี่ยวกับ ‘MAJOR Pet Family Residences’ ผ่านภาพยนตร์โฆษณา “สัญญา ว่าจะดูแลกันตลอดไป” PetFamilyResidences เพื่อสร้างการรับรู้ถึงความมุ่งมั่นของแบรนด์และย้ำภาพผู้นำตัวจริงที่สร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยเลี้ยงสัตว์ได้ ‘ทุกโครงการ’ ‘MAJOR Pet Family Residences’ จะเป็นมาตรฐานสำคัญครั้งใหม่ของวงการอสังหาฯ กับการจับจุดยืน ทางการตลาดที่แตกต่าง แต่จับใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง และความเป็นตัวจริงคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ของเมเจอร์ฯ ที่ทำด้วยหัวใจของคนรักสัตว์ ทุกโครงการของเมเจอร์ฯ สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ 100% พร้อมเดินหน้าพัฒนาฟังก์ชั่นเพื่อการอยู่อาศัยร่วมกับสัตว์เลี้ยงเต็มรูปแบบ ยกระดับความสุขในการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ร่วมกัน จนเกิดเป็นคอมมูนิตี้เพื่อคนรักสัตว์คุณภาพเพื่อความสุขในการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน   บทความน่าสนใจ เมเจอร์ รุกเปิดแบรนด์ใหม่ “10 & Only” ครั้งแรกของบ้านหรู 100 ล้าน กับที่จอดรถหรูกลางบ้าน เมเจอร์ฯ ปั้นฐานลูกค้า Pet Lovers โต 30% รับไลฟ์สไตล์ “คนโสด-ไม่มีลูก” เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ลุยจัด “MEET & MINGLE” งานสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยงครั้งยิ่งใหญ่
[PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม

[PR News] AWC จับมือกับ Ant Group ร่วมสร้างความแข็งแกร่งเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม

AWC จับมือกับ Ant Group AWC จับมือกับ Ant Group มุ่งยกระดับเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม สําหรับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ของไทย สร้างโอกาสการทำตลาดร่วมกัน ส่งเสริมการเติบโตอย่างไร้ขีดจํากัด ในการสร้างนวัตกรรมและดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้วย omnichannel ช่องทางการตลาดที่เชื่อมออนไลน์และออฟไลน์เข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ เพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงช่องทางการชําระเงินดิจิทัลระดับโลกสําหรับผู้ซื้อและผู้ขาย   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า ได้เซ็นสัญญาความร่วมมือกับ Ant Group ผู้ให้บริการเทคโนโลยีดิจิทัลระดับโลก ร่วมสร้างความแข็งแกร่งด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็ม (Digital Technology Ecosystem) ในกลุ่มธุรกิจของ AWC พร้อมยกระดับโซลูชันการชําระเงินดิจิทัลในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยความร่วมมือกับ Ant Group นี้ จะสร้างประสบการณ์การทําธุรกรรมที่สะดวกสบายอย่างไร้รอยต่อแก่ผู้ซื้อและผู้ขายทั่วโลก นับเป็นก้าวสําคัญในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลของอุตสาหกรรมเพื่อส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศไทย ความร่วมมือในครั้งนี้ แสดงถึงความมุ่งมั่นของ AWC ในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีดิจิทัลในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นไลฟ์สไตล์ของไทย พร้อมพัฒนาอีโคซิสเต็มทางธุรกิจที่ยั่งยืนให้กับกลุ่มธุรกิจค้าส่ง กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน และกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ โดยโซลูชันนี้ จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงการบริการชําระเงินดิจิทัล และสร้างประสบการณ์ Omnichannel ให้กับผู้ซื้อและผู้ขายทั่วโลก ได้แก่ โซลูชันทางการเงินดิจิทัล (Payment Solution) สําหรับกลุ่มธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ และบริการของ AWC รวมถึง 'PhenixBox' ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Omnichannel ที่เชื่อมโยงการซื้อขายจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ และ Pikul แพลตฟอร์มดิจิทัลอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ของ AWC ซี่งการร่วมมือกันนี้ยังส่งเสริมให้ AWC สามารถขยายอีโคซิสเต็มสำหรับกลุ่มธุรกิจค้าส่งด้วยระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ (Cross-Border Payment Solution) เพื่อสร้างโซลูชันการชําระเงินแบบครบวงจรสําหรับศูนย์กลางการค้าส่งของ AWC และแพลตฟอร์ม PhenixBox ที่จะช่วยให้การชําระเงินระหว่างผู้ค้าส่งและผู้ซื้อทั่วโลกในสกุลเงินต่าง ๆ เป็นไปได้อย่างราบรื่น”Thai translation. นอกจากนี้ AWC มุ่งพัฒนาอาคาร เอ็มไพร์ ให้มี ดิจิทัลอีโคซิสเต็ม (Digital Eco-System) ที่ครอบคลุม ส่งเสริมให้เป็นพื้นที่สำนักงานไลฟ์สไตล์สําหรับบริษัทเทคโนโลยีและดิจิทัล เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจด้านเทคโนโลยี ซึ่งความร่วมมือกับ Ant Group นี้ จะส่งเสริมการทำตลาดร่วมกัน (Cross-Marketing) กระตุ้นการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยาว พร้อมแลกเปลี่ยนความรู้และความเชี่ยวชาญ เปิดโอกาสทางธุรกิจ และขยายฐานลูกค้า ด้วยจุดแข็งที่แข็งแกร่งของ AWC ในการเป็นเจ้าของพอร์ตโฟลิโอที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการไลฟ์สไตล์ และเครือข่ายสํานักงานที่มีผู้เช่าเป็นบริษัทเทคโนโลยีและดิจิทัล สนับสนุนให้ความร่วมมือกับ Ant Group นี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  ผลักดันการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัลอีโคซิสเต็มสําหรับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ในระยะยาว   นางวัลลภา กล่าวอีกว่า AWC เดินหน้าอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างโอกาสในการยกระดับประสบการณ์การทําธุรกรรมที่ราบรื่นให้แก่ลูกค้าและผู้ประกอบการทั่วโลก พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจในวงกว้างด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลของ Ant Group ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีวิสัยทัศน์ตรงกันเพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า เพื่อร่วมกันส่งมอบคุณค่าที่ยั่งยืนในธุรกิจด้วยการนําเสนอโซลูชันเทคโนโลยีดิจิทัลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตทางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย   นางสาวคลารา ชิ รองประธาน Ant Group และ Head of WorldFirst กล่าวว่า การเป็นพันธมิตรกับ AWC ตอกย้ำถึงความสำคัญของระบบการชำระเงินที่มีความคล่องตัวที่ช่วยสนับสนุนการทำธุรกรรมทั่วโลก และเป็นกลไกสู่ความสำเร็จในโลกปัจจุบันที่เชื่อมต่อถึงกันด้วยการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทาง ​​Ant Group ได้พัฒนาโซลูชันการชำระเงินข้ามพรมแดนอย่างครอบคลุมเพื่อเพิ่มความคล่องตัวของระบบการทำธุรกรรมข้ามประเทศ Ant Group มุ่งมั่นในการส่งเสริมธุรกิจต่างๆ ให้สามารถเข้าถึงและมอบประสบการณ์ที่ดีกับทั้งพันธมิตร ผู้ขาย และลูกค้าในแต่ละประเทศผ่านช่องทางการชำระเงินแบบ Omnichannel และการบริการทางการเงินต่างๆ ขององค์กรมากมาย 4 กลุ่มธุรกิจภายใตความร่วมมือ การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่าง AWC และ Ant Group นี้ จะสร้างความร่วมมือในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ได้แก่: กลุ่มธุรกิจค้าส่ง ได้ร่วมมือกับ 'WorldFirst' แพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับการชำระเงินและบริการทางการเงินแบบครบวงจรสำหรับ SME ที่เกี่ยวข้องกับการค้าระดับโลกหรือการค้าข้ามพรมแดน ภายใต้ Ant Group มีเป้าหมายที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจค้าส่งโดยนําเสนอบริการชําระเงินข้ามประเทศ อํานวยความสะดวกสำหรับทุกขั้นตอนการใช้จ่ายจากทางออนไลน์สู่ออฟไลน์ (O2O) พร้อมขยายเครือข่ายผู้ซื้อและผู้ขายในการเป็นแพลตฟอร์ม Business-to-Business (B2B) ที่ทำให้การเข้าถึงบริการทางการเงินของซัพพลายเชนง่ายขึ้น อีกทั้ง AWC วางแผนที่จะเปิดใช้งานโซลูชันการชําระเงินข้ามประเทศในแพลตฟอร์ม  PhenixBox ที่ช่วยส่งเสริมช่องทางการชําระเงินของผู้ซื้อ การค้าขาย และการตลาด ภายในปี 2566 กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ และกลุ่มธุรกิจศูนย์การค้า ความร่วมมือกับ 2C2P ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการชำระเงินเต็มรูปแบบและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของ Ant Group มีเป้าหมายที่จะยกระดับช่องทางการชําระเงิน วิธีการ และประสบการณ์ของผู้ใช้ให้มีประสิทธิภาพสําหรับนักเดินทางและผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน ด้วยจุดแข็งของ Ant Group ในเทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยสร้างการเชื่อมต่อระหว่างองค์กร ผู้คน และสังคม เพื่อสร้างอีโคซิสเต็มในอาคาร ‘เอ็มไพร์’ ให้เป็นคอมมูนิตี้ดิจิทัลรูปแบบใหม่ เชื่อมต่อผู้เช่าในอุตสาหกรรมดิจิทัลเข้าด้วยกัน กลุ่มธุรกิจในด้านดิจิทัล (Digitalization Business) การทำงานร่วมกับ 2C2P เพื่อเสริมศักยภาพของช่องทางการชําระเงินและโซลูชัน e-wallet บัตรเติมเงิน และโปรแกรมระบบสมาชิกที่ปรับเพื่อการใช้งานอย่างลงตัวใน  Pikul แพลตฟอร์มดิจิทัลอสังหาริมทรัพย์ไลฟ์สไตล์ของ AWC ที่กําลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC
[PR News] อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ หนุนโครงการ “DIPROM PATHFINDER”

[PR News] อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ หนุนโครงการ “DIPROM PATHFINDER”

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรเพื่อพิชิตพันธกิจ ในการร่วมสานฝันและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ที่รักงานออกแบบ ผ่านโครงการ “DIPROM PATHFINDER” กับการประกวด CRAFT INNOVATION AWARDS เพื่อเฟ้นหาดีไซน์เฟอร์นิเจอร์แนวใหม่ จากนักออกแบบบุคคลทั่วไปที่มีไฟและความฝัน มาร่วมประลองไอเดียงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ผสานงานหัตถศิลป์เข้ากับนวัตกรรมแห่งอนาคต ในคอนเซ็ปต์ “โต๊ะ WORK TO DINE” Work hard, Eat harder     นางสาวพิชพิมพ์ ปัทมสัตยาสนธิ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท  อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM ​ เปิดเผยว่า  ได้ร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรกับ “กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม” โดย ดร.วรวิทย์ จิรัฐิติเจริญ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่ และนางสาวฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ กรรมการผู้จัดการ  บริษัท โซเชียลแล็บ จำกัด ในโครงการ “DIPROM PATHFINDER” การประกวด ‘CRAFT INNOVATION AWARDS’ เพื่อสนับสนุนไอเดียผู้ที่รักงานดีไซน์สู่การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ผสานนวัตกรรมแห่งอนาคต  และต่อยอดการสร้างโอกาสทางธุรกิจด้วย DESIGN THINKING โดยการผลิตจริงและจำหน่ายจริงที่ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์   ทั้งนี้ เพื่อตอกย้ำพันธกิจด้านความยั่งยืน (ESG) ในฐานะผู้ส่งต่อโอกาสให้แก่สังคมอย่างยั่งยืน ในขณะเดียวกันก็สามารถนำเฟอร์นิเจอร์แนวใหม่มาเพิ่มประสบการณ์ช้อปให้กับผู้บริโภค อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ตอบโจทย์ เทรนด์การใช้ชีวิตยุคใหม่อย่างลงตัว  ซึ่งการประกวดภายใต้โครงการ “DIPROM PATHFINDER” ถือเป็นเวทีที่เปิดโอกาสให้นักออกแบบบุคคลทั่วไปที่  แม้ไม่ได้เป็นดีไซน์เนอร์ก็สามารถร่วมส่งผลงานเข้าประกวดได้อย่างเท่าเทียม โดยโจทย์การออกแบบภายใต้ คอนเซ็ปต์ “โต๊ะ WORK TO DINE” Work hard, Eat harder (โต๊ะอาหารที่ทำงานได้สะดวก - โต๊ะทำงานที่กินข้าวได้สบาย) เป็นการผสานไอเดียหัตถศิลป์เข้ากับนวัตกรรมหรือเทคโนโลยี เช่น แสง, เสียง ฯลฯ เพื่อให้ได้โต๊ะที่โดดเด่นด้านดีไซน์ควบคู่ฟังก์ชันการใช้งานแบบมัลติฟังก์ชั่น รวมทั้งต้องเลือกวัสดุที่ให้ความปลอดภัยกับการใช้งาน  มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า และราคาที่ลูกค้าสามารถเข้าถึงได้   โดยการเฟ้นหานักออกแบบและเวิร์คช้อปได้ดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 6 เดือน โดยมีคณะกรรมการ 7 ท่านจากแวดวงการออกแบบและอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ ดร.วรวิทย์ จิรัฐิติเจริญ จาก กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, นางสาวพิชพิมพ์ ปัทมสัตยาสนธิ รองกรรมการผู้จัดการสายการค้า และทีม Index Design Center จาก อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์, นายกิตติรัตน์ ปิติพานิช รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้และผู้อำนวยการสถาบันอุทยานการเรียนรู้ (TK Park), ผศ.ดร.สุภชัย วงศ์บุณย์ยง  รองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม (FIBO) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี, นางสาวฉัตรปวีณ์ ตรีชัชวาลวงศ์ ผู้ก่อตั้งเพจ Ceemeagain และนายสาธิต กาลวันตสานิช ผู้ก่อตั้งบริษัท Phenomena และ Propagenda เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการตั้งแต่การคัดเลือกนักออกแบบผู้เข้ารอบ พร้อมให้คำแนะนำ-เสริมแนวคิด และองค์ความรู้เพื่อพัฒนาดีไซน์และเลือกวัสดุเพื่อผลิตผลงานจริง   ล่าสุดได้คัดเลือกผู้ชนะเลิศในโครงการ “DIPROM  PATHFINDER” ร่วม 3 ทีม ดังนี้ ผู้ชนะเลิศอันดับ 1 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “LAYER WORKING SPACE KHANOM CHAN” ใช้ไอเดียการเล่นเลเยอร์ไม้แบบขนมชั้น พร้อมฟังก์ชันจัดเก็บและปลั๊กไฟ เหมาะกับบ้านยุคใหม่ ในสไตล์มินิมอลโทนไม้สบายตา เรียบง่าย สะดวกทั้งกินข้าวและทำงาน  ผลงานโดย  ปรีชา แตงเล็ก ผู้ชนะเลิศอันดับ 2 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “การเพิ่ม-ปรับ-ขยับ-เปลี่ยน” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและฟังก์ชันการใช้งานของทุกคนได้อย่างลงตัว โดยทีม Big : Bear : Book Theteam ประกอบด้วย นางสาวปรียศรี พรหมจินดา, นางสาวสันทิตา พยุงพงศ์ และนายพงษ์พันธ์ สุริยภัทร ผู้ชนะเลิศอันดับ 3 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Ma” การออกแบบโต๊ะตอบโจทย์ฟังก์ชันจัดเก็บการใช้งานรูปแบบโต๊ะอาหารและทำงาน โดยซ่อนจุดจัดเก็บอเนกประสงค์ส่วนขาโต๊ะ ทั้งเครื่องครัว-ช้อนส้อม, เครื่องเขียน โดย Ma Team ประกอบด้วย นางสาวนิรินธนา คุมมณี, นายสุชนม์ พรหมปัญญา และนางสาวสิชล พรหมปัญญา ในขณะนี้ทีม Index Design Center จาก Index Living Mall  ได้ร่วมกับทีมผู้ชนะ เพื่อพัฒนาแบบ&ดีไซน์ผลงาน ให้ลงตัวกับภาคการผลิตก่อนทำ Prototype  นอกจากผลงานของผู้ชนะการประกวดจะเข้าสู่กระบวนการผลิตจริงแล้ว ผู้ชนะเลิศอันดับ 1  ยังจะได้ส่วนแบ่งจากการจำหน่ายสินค้า 5% โดยมีระยะเวลาจำหน่าย 1 ปี ที่ ILM  (วางจำหน่ายราวปลาย Q4 / 2566)  สำหรับผลงานของผู้ชนะเลิศอันดับ 2 และอันดับ 3 สามารถพรีออเดอร์ได้ผ่านทาง www.goodgeek.com ก่อนดำเนินการผลิตและจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ต่อไป อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เชื่อมั่นในพลังความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย  พร้อมเข้าร่วมสนับสนุน และมอบโอกาสเพื่อต่อยอดการสร้างรายได้ให้สังคมอย่างรอบด้าน  ตามนโยบายการขับเคลื่อนธุรกิจหลักควบคู่พัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน       อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อินเด็กซ์ฯ ปรับตัวสู้โควิด ลุยออนไลน์ สร้างยอดโต 150% เดินหน้าปรับโฉมสาขาจับลูกค้าไฮเอนด์
[PR News] ฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้ สนับสนุนบัตรห้องพักโรงแรมในเครือฯ ในงานพัทยามาราธอน 2566

[PR News] ฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้ สนับสนุนบัตรห้องพักโรงแรมในเครือฯ ในงานพัทยามาราธอน 2566

บริษัท ฮาบิแทท ฮอสพิทัลลิตี้ จำกัด บริษัทในเครือ ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ร่วมสนับสนุนรางวัลบัตรห้องพักโรงแรมในเครือ 2 วัน 1 คืน จำนวน 6 รางวัล   ในงาน “ การแข่งขันวิ่งพัทยา มาราธอน 30  (พัทยา มาราธอน 2023) ”  อาทิ บัตรห้องพัก โรงแรม เบย์เฟียร์ โฮเทล พัทยา (Bayphere Hotel Pattaya) 4 รางวัล, บัตรห้องพัก โรงแรม ครอส ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ (Cross Vibe Pattaya Seaphere) 2 รางวัล สำหรับผู้ชนะการแข่งขันวิ่ง   โดยมี นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เป็นผู้มอบรางวัล พร้อมด้วย นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา ให้เกียรติร่วมมอบรางวัลครั้งนี้ ที่ เทอร์มินอล 21 พัทยา เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2566 ที่ผ่านมา   ซึ่งภายในงานยังมีทีมพนักงานจากโรงแรมในเครือบริษัทฯ ไม่ว่าจะเป็น โรงแรม เบย์เฟียร์ โฮเทล พัทยา (Bayphere Hotel Pattaya), โรงแรม ครอส พัทยา โอเชียนเฟียร์ (Cross Pattaya Oceanphere) และโรงแรม ครอส ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ (Cross Vibe Pattaya Seaphere) ร่วมเป็นกำลังใจให้กับเหล่านักวิ่ง และผู้ร่วมแข่งขันทุกท่าน โดยการมอบของที่ระลึกภายในงาน ด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานครึกครื้น   บทความ ฮาบิแทท ร่วมสนับสนุนงาน PATTAYA INTERNATIONAL BIKINI BEACH RACE 2022 7 เหตุผล “ฮาบิแทท กรุ๊ป” ฝาก “เฮนตระกูล” ปั้นไฮแลนด์ลงทุนพูลโฮสเทล 1,700 ล้าน
[PR News] ธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า บ้านแฝดที่ครบเครื่องทุกฟังก์ชัน

[PR News] ธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า บ้านแฝดที่ครบเครื่องทุกฟังก์ชัน

ธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า ใครที่ยังคิดไม่ตกว่าจะซื้อบ้านแบบไหนดี ?  "บ้านเดี่ยว" ไปเลยดีไหม ? ... แล้ว "บ้านแฝด" ล่ะ ... ก็น่าสนนะ ? ทั้งยังเป็นตัวเลือกใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่สิ่งสำคัญ นอกจากตอบโจทย์ความต้องการของเราแล้ว ยังต้องตอบโจทย์เงินในกระเป๋าสตางค์ด้วย   ธนาสิริ (THANA) เปิดตัวโครงการธนาวิลเลจ วงแหวน - ปิ่นเกล้า พร้อมกับนิยามบ้านแฝดที่มีพื้นที่เกือบเท่าบ้านเดี่ยวในราคาจับต้องได้ เสมือนเป็นตัวเลือก "ตรงกลาง" ที่มีพื้นที่ไม่น้อยเกินไป แต่จ่ายในราคาไม่เกินตัว ไปกับแนวคิดโครงการที่ว่า “ใช้ชีวิตกับความสุขที่ใช่ ... ในพื้นที่ส่วนตัวของคุณ” “ธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า” บ้านแฝดหลังใหญ่ 2 ชั้น จำนวน 114 ยูนิต บนเนื้อที่ 18-2-5.15 ไร่ มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น (โปรโมชั่น) 4.69 ล้านบาท ก่อสร้างแล้วเสร็จ ประมาณ 30 % โดยมีหน้ากว้าง 11 เมตร ส่งให้ทุกฟังก์ชันสัมผัสกับธรรมชาติบริเวณหน้าบ้านโดยรอบ เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่เริ่มสร้างชีวิตในสไตล์ที่บ่งบอกความเป็นตัวตน ใส่ใจกับทุกรายละเอียดของการใช้ชีวิต ด้วยการออกแบบสไตล์ Modern Craft จำนวน 3 แบบบ้าน ได้แก่ Levie (เลวี่) (28 ยูนิต) พื้นที่ใช้สอย 164.30 ตร.ม. , Vejle (ไวเล่) (60 ยูนิต)  พื้นที่ใช้สอย 155.47 ตร.ม. , Dalarna (ดอลลาน่า) (26 ยูนิต) พื้นที่ใช้สอย 151.08 ตร.ม. โดยการออกแบบ Modern Craft เน้นที่ความทันสมัย แต่ไม่หมุนเปลี่ยนตามกระแส สอดรับกับการใช้ชีวิตในวิถีการรู้คุณค่าทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม สำหรับตัวบ้านก่อสร้างด้วยผนังก่ออิฐมวลเบาที่แข็งแรง ทนทานกับความร้อน และเก็บเสียงได้มากกว่าผนังทั่วไป ทั้งยังจัดวางพื้นที่ภายในบ้านให้มีความเป็นส่วนตัว ขณะเดียวกันแบ่งพื้นที่ใช้สอยได้อย่างเป็นสัดส่วน ลงตัวทุกอิริยาบถ เหมาะกับการใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ของคนทุกวัย สร้างความรู้สึกผ่อนคลายทุกครั้งที่เข้ามาในบ้าน และเมื่อคุณรู้สึกเหนื่อยล้า ที่นี่จะกลายเป็นที่สำหรับเติมพลังเก็บเกี่ยวความสดชื่นให้สามารถสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาที่เกิดขึ้นที่ “ธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า”   สลับบรรยากาศมาที่สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ เริ่มจาก Clubhouse ที่เน้นการออกแบบให้เป็นพื้นที่โปร่งโล่ง และประหยัดพลังงาน โดยการนำหลักการธรรมชาติมาปรับภูมิทัศน์ให้กลมกลืนกับการออกแบบให้สามารถใช้ทุกพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใน Clubhouse ประกอบด้วย สระว่ายน้ำระบบเกลือ และห้องออกกำลังกาย โดยรอบนอกอาคารล้อมรอบด้วยพื้นที่สวนสีเขียว เติมเต็มทุกพื้นที่โล่งภายในโครงการ พร้อมสรรพด้วยเครื่องออกกำลังกายกลางแจ้ง สนามเด็กเล่น เลนสำหรับวิ่งกลางแจ้ง และเดินออกกำลังกายตามแนวสวน ตลอดจนลานหินนวดเท้าคลายเส้น จุดเด่นของ “ธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า” ตั้งอยู่ในย่านถนนกาญจนาภิเษกที่สามารถเชื่อมต่อได้หลากหลายเส้นทาง เป็นหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้อยากมีบ้านที่ต้องการใช้ชีวิตแบบคนเมืองที่มีความเป็นส่วนตัวสูง กับทำเลที่มากด้วยศักยภาพ ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกสบาย ทั้งห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์  ตลาดสด โรงพยาบาล สถานศึกษา และหน่วยงานราชการต่างๆ   “ใช้ชีวิตกับความสุขที่ใช่ ... ในพื้นที่ส่วนตัวของคุณ” กับโครงการธนาวิลเลจ วงแหวน – ปิ่นเกล้า ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นพื้นที่ที่ให้เราได้ใช้ชีวิต สร้างแรงบันดาลใจ และรู้สึกผ่อนคลายไปในทุกๆ วัน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ธนาสิริ จับมือ อนาบูกิ โคซัน บุกโซนกรุงเทพฯ​ ตะวันออก ปั้น “ธนาวิลเลจ บางนา-บางบ่อ” มูลค่ากว่า 1,000 ล้าน -ธนาสิริ เดินแผนปี 66 เปิดขายบ้าน 2-20 ล้าน พร้อมรับร่วมทุนปั้นที่ดิน100ไร่ในภูเก็ต
[PR News] ERA ชู CHAT GPT สุดล้ำ หนุนสร้าง ตัวแทนขาย คุณภาพ

[PR News] ERA ชู CHAT GPT สุดล้ำ หนุนสร้าง ตัวแทนขาย คุณภาพ

นักขายอสังหา ERA (THAILAND) ประกาศแผนกลยุทธ์ต่อยอดการเติบโตหลังดำเนินธุรกิจมาครบ 30 ปี วางธีม “Enrich lives, Embrace Tech” เติมเต็มชีวิต นักขายอสังหาฯ ด้วยเทคโนโลยีโลกอนาคต ชูจุดแข็งเป็นรายแรกที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ OPEN AI ‘CHAT GPT’ เข้ามาเสริมศักยภาพตัวแทนขายให้ก้าวข้ามทุกขีดจำกัด ควบคู่กับเครื่องมือสุดสมาร์ท ‘VR PRO’ เพิ่มโอกาสปิดทุกดีลการขายได้ง่ายดั่งใจ พร้อมเดินหน้าเต็มสูบขยายสาขา แฟรนไชส์ครอบคลุมทั่วไทย และมีตัวแทนคุณภาพแตะระดับ 3,000 ราย ในสิ้นปี 2566 นี้ นายวรเดช ศิวเตชานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีอาร์เอ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ERA Holding (ประเทศไทย)เปิดเผยว่า บริษัทดำเนินธุรกิจตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 ปัจจุบันจะก้าวขึ้นสู่ปีที่ 31 บริษัทจึงประกาศทรานฟอร์มธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ วางธีมประจำปี “Enrich lives, Embrace Tech” เติมเต็มชีวิตนักขายอสังหาฯ ด้วยเทคโนโลยีโลกอนาคต” ชูจุดเด่นเป็นบริษัทแรกของวงการธุรกิจซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ที่นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ โดยจะนำ Chat GPT หรือ Chatbot Generative Pre-trained Transformerมาใช้ และด้วยการสนับสนุนจาก ERA Asia Pacificทำให้ Chat GPT โมเดลนี้ ได้ถูกออกแบบและพัฒนาขึ้นภายใต้การดูแลของทีม AI LAB เพื่อให้ตอบสนองต่อธุรกิจของ ERA โดยเฉพาะ จึงมีความชาญฉลาดในด้านการขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะช่วยให้ตัวแทนขายและบริษัทสมาชิกของ ERA สามารถนำไปใช้งานได้ง่ายขึ้นเพียงปลายนิ้ว ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2566 เป็นต้นมา ERA Asia Pacific ได้นำ Chat GPT มาใช้เป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจซื้อขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับสำนักงานภูมิภาคในประเทศต่างๆ ได้แก่ ประเทศจีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย เกาหลีใต้ ไต้หวัน เวียดนาม กัมพูชา สปป.ลาว และประเทศไทย โดยจะมีการฝึกสอนการใช้งานและสนับสนุนในทุกด้าน เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบริษัทสมาชิกและตัวแทนขายจะสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทยังนำโปรแกรม“VR PRO” มาใช้ ซึ่งจะสามารถแสดงภาพเสมือนจริงของทรัพย์แต่ละประเภทได้อย่างละเอียดทุกพื้นที่ ทำให้ลูกค้าในทุกมุมโลกสามารถเข้าดูทรัพย์และสภาพแวดล้อมโดยรอบ ผ่านทางระบบได้ทุกที่ทุกเวลาตามต้องการ โดยไม่ต้องเดินทางไปยังสถานที่ตั้งจริง ช่วยเพิ่มความสะดวกและประหยัดเวลา ทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสในการปิดดีลซื้อหรือเช่าขายอสังหาริมทรัพย์ได้ง่ายขึ้นอย่างมาก เรามั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการมีตัวแทนขายแตะระดับ 3,000 คน และขยายสาขาได้ครบ 50 สาขาภายในปี 2566 นี้ ได้อย่างแน่นอน ด้าน นางสาวรณิดา พูลเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ  บริษัท อีอาร์เอ โฮลดิ้ง (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 นี้ บริษัทมั่นใจว่าด้วย เทคโนโลยี Chat GPT ที่ถูกจัดทำขึ้นโดยเฉพาะสำหรับ ERA จะเป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาเสริมศักยภาพของตัวแทนขาย ให้สามารถทำการขายทรัพย์ได้เพิ่มขึ้นและให้ Agentทำงานได้ง่ายขึ้น   บริษัทเชื่อว่าภาพความสำเร็จของตัวแทนขายและบริษัทสมาชิกที่เกิดขึ้นทั้งก่อนหน้าและต่อจากนี้ จะเป็นเครื่องการันตีความเชื่อมั่นให้กับแฟรนไชส์และตัวแทนใหม่ ให้ก้าวเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ ERA และสนับสนุนให้บริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายการขยายสาขาแฟรนไชส์ให้ครอบคลุมทั่วประเทศภายในสิ้นปี 2566 นี้  ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาในระยะเวลา 6 เดือน ERA สามารถขยายการให้บริการได้ถึง 15 สาขา ในพื้นที่ดังนี้ สาขาอยุธยา,สาขานครปฐม,สาขากาญจนบุรี,สาขาชิดลม,สาขาสาทร,สาขาภูเก็ต,สาขาพานทอง(ชลบุรี),สาขาสมุทรปราการ,สาขาเชียงใหม่1,สาขาสุพรรณบุรี, สาขารามอินทรา, สาขาปทุมธานี, สาขาเชียงใหม่2, สาขาพิษณุโลก และสาขาหัวหิน และในขณะนี้มีผู้ที่สนใจเข้ามาเป็นบริษัทสมาชิก ERA อยู่อีกหลายรายซึ่งยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ จึงมั่นใจว่าจะสามารถขยายสาขาได้ตรงตามเป้าหมายอย่างแน่นอน   สำหรับ ERA THAILAND มีระบบการทำงานที่แข็งแรง มีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแกร่งและมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีตลอดเวลา มีการซัพพอร์ตตัวแทนขายและบริษัทสมาชิกในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดอบรม การดูแลวางแผนงาน และอื่นๆ ที่เอื้อประโยชน์ให้สามารถทำงานได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังมีการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะเป็นจุดแข็งสำคัญ ที่ทำให้บริษัทเติบโตไปพร้อมกับสมาชิกตามเป้าหมายที่วางไว้ในทุกด้าน​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พร็อพฟิต เปิดแพลตฟอร์มออนไลน์ Propfit ดึง 900 รายสร้างยอดขายอสังหาฯ​ 3,200 ล้าน
[PR News] SENA ส่งคอนโดของคนช่างคิด  เสนา คิทท์ ครองใจมวลชน

[PR News] SENA ส่งคอนโดของคนช่างคิด เสนา คิทท์ ครองใจมวลชน

เสนา คิทท์ แบรนด์เสนา คิทท์ (SENA Kith) คอนโดมิเนียม จาก SENA เรียกได้ว่าเป็นแบรนด์คอนโดที่ได้รับการยอมรับและมีการเติบโตอย่างรวดเร็วใช้เวลาเพียง 4 ปี (ตั้งแต่ปี 2562 - ปัจจุบัน) ส่วนใหญ่พัฒนาใกล้นิคมฯ แหล่งงาน แหล่งทำมาหากิน และใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ทำให้คุณสะดวกกว่าที่คิดในทุกมิติชีวิตคุณ SENA Kith “คอนโดของคนช่างคิด” ปัจจุบันมีทั้งหมด 21 โครงการ มากกว่า 10,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 11,000 กว่าล้านบาท   กลยุทธ์สำคัญ คือ การวางโพสิชันคอนโดแบรนด์ SENA Kith ภายใต้แนวคิด SENA Kith “คอนโดของคนช่างคิด” เนรมิตที่อยู่อาศัยให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยจากข้อมูลอินไซด์ของแบรนด์เสนาคิทท์ จะเน้นการเลือกทำเลใกล้แหล่งงาน การออกแบบต่างๆ ฟังก์ชันการใช้สอยครบและลงตัว โดยแต่ละโครงการจะมีแบบห้องขนาด      1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยเฉลี่ย 26 ตร.ม. ราคาเริ่ม  999,000 บาท ทำให้ลูกค้าเอื้อมถึงและสามารถผ่อนจ่ายได้อย่างสบายใจไร้ความกังวล   SENA Kith “คอนโดของคนช่างคิด” พร้อมเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทุกคน ดังนั้นจุดเริ่มต้นมาจากการหาอินไซต์ผู้บริโภค ผู้ซื้อที่ต้องการคอนโดฯ ราคาต่ำล้านไปจนถึง 1.5 ล้านบาทเป็นกลุ่มเพิ่งเริ่มทำงาน ที่มีรายได้ตั้งแต่ 15,000 – 20,000 บาท ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใกล้แหล่งงานอยู่แล้ว และเช่าหอพักหรืออพาร์ทเมนท์ คอนโดเสนา คิทท์ จึงเปรียบเสมือนคอนโดที่ตอบโจทย์กับลูกค้าที่ต้องการเปลี่ยนจากผู้เช่าเป็นผู้ซื้อเมื่อต้องการบ้านหลังแรก ครึ่งปีหลัง 2566 ของ SENA Kith เตรียมเปิดคอนโดใหม่ครอบคลุมทำเลศักยภาพ 6 โครงการ ประกอบด้วย โครงการเสนาคิทท์ บางนา กม.29, เสนาคิทท์ สาทร – กัลปพฤกษ์, เสนาคิทท์ รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง, เสนาคิทท์ สำโรง,เสนาคิทท์  พหลโยธิน นวนคร และเสนาคิทท์ เพชรเกษม 48 เป็นต้น   SENA Kith เตรียมจัด 2 อีเว้นต์ใหญ่ 22 – 23 ก.ค.กระตุ้นยอดขาย เร็วๆ นี้ ทางเสนาเตรียมจัดงาน 2 อีเว้นต์ เปิดขายโครงการเสนาคิทท์ รัตนาธิเบศร์ - บางบัวทอง ภายใต้คอนเซ็ปต์คอนโดที่ให้ “คุ้มกว่าที่คิด"  เตรียมจัดงานพรีเซลล์ครั้งแรกในวันที่ 22- 23 กรกฏาคม 2566 โปรโมชั่น 1 ห้องนอน ฟรีเฟอร์ฯ ราคาเดียว 999,000 บาท ซื้อถูกกว่าเช่าล้านละ 4,100 บาท/เดือน* หรือลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษก่อนใครผ่านลิ้งค์ bit.ly/3FVU2KG  สอบถามเพิ่มเติมโทร.1775 #61 อีก 1 โครงการ เสนาคิทท์ สาทร – กัลปพฤกษ์ คอนโดที่พร้อมคอนเซ็ปต์ “คอนโดโลว์คาร์บอน” ใช้พลังงานสะอาด เตรียมเปิดให้ยลโฉมห้องตัวอย่างเป็นครั้งแรกเช่นกัน วันที่ 22 กรกฏาคม 2566 พบโปรโมชั่น 1 ห้องนอน เฟอร์ฯ ครบ เริ่ม 990,000 บาท* ผ่อนเพียง 1,500 บาท/เดือน* ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ https://bit.ly/3NFcNae หรือ สอบถามเพิ่มเติมโทร.1775 #71   สำหรับใครที่สนใจโครงการแบรนด์เสนาคิทท์ ราคาเริ่มไม่ถึงล้านบาท บนโลเคชั่นที่มีศักยภาพให้เลือกใกล้แหล่งงาน ใกล้สิ่งความสะดวก ทั้งการเดินทาง แหล่งกิน แหล่งช้อป ที่มีให้เลือกถึง 21โครงการคุณภาพ หรือสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.sena.co.th/brands/sena-kith   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] “เสนาคิทท์ เวสต์เกต – บางบัวทอง” เนรมิตคลับเฮ้าส์ใหม่รองรับลูกบ้าน -เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2 หนุนเป้ายอดขายกว่า 1.8 หมื่นล.
[PR News] ไทวัสดุ เดินหน้าดันสินค้ารักษ์โลก จัดโปรสี “JBP Good Paint Re-Acrylic”

[PR News] ไทวัสดุ เดินหน้าดันสินค้ารักษ์โลก จัดโปรสี “JBP Good Paint Re-Acrylic”

สีทาอาคาร ไทวัสดุ เดินหน้าผลักดันกลุ่มสินค้ารักษ์โลก กับผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ “JBP Good Paint Re-Acrylic” ครั้งแรกของสีทาอาคารรีไซเคิลในประเทศไทย พร้อมส่งดีลสุดคุ้มเอาใจคนรักบ้านสายกรีน เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ JBP Good Paint Re-Acrylic ขนาด 2.5 แกลลอน รับส่วนลดพิเศษท้ายบิล 100 บาท/ถัง ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม นี้ ที่ไทวัสดุทุกสาขา   นางสาวชุติพร คงเจริญสุข ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายการตลาด บริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด ในเครือเซ็นทรัล รีเทล เปิดเผยว่า จากความร่วมมือกับ บริษัท เจ.บี.พี อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์ จำกัด ภายใต้โครงการ “One World : One Future Together” ที่ตั้งเป้าการลดใช้พลังงาน เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่มีความยั่งยืนให้กับประเทศไทย ไทวัสดุจึงพร้อมสนับสนุนคู่ค้าที่มีแนวทางดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมร่วมกัน เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันหันมาให้ความสำคัญและตระหนักถึงเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น อ้างอิงจากผลสำรวจ Global Consumer Insights Pulse Survey จาก PwC ที่พบว่าปัจจัยดังกล่าวเป็นอานิสงส์ของการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภค และเป็นไลฟ์สไตล์ที่ถูกปรับเปลี่ยนในชีวิตประจำวันเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ไทวัสดุ  จึงเดินหน้าจัดหาสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเข้ามาจัดจำหน่ายในทุกสาขาทั่วประเทศ ล่าสุดกับผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ สี JBP Good Paint Re-Acrylic ซึ่งเป็นสีทาอาคารที่ผ่านกรรมวิธีรีไซเคิล ลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติสำหรับกระบวนการผลิตสี และลดการเกิดของเสียที่เป็นต้นเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อม เข้ามาวางจำหน่ายที่ไทวัสดุเป็นที่แรกและที่เดียวในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะมีเป้าหมายกระตุ้นให้เกิดมูลค่าในสินค้ารักษ์โลกแล้ว ยังมุ่งที่จะเป็นช่องทางให้คนในทุกภูมิภาคได้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ก่อสร้างและตกแต่งบ้านที่ยั่งยืนผ่านไทวัสดุกันได้อย่างสะดวก   นางสาวชุติพร กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการเปิดตัวสีทาอาคาร JBP Good Paint Re-Acrylic สุดยอดนวัตกรรมสีรีไซเคิล และส่งเสริมให้คนไทยได้ร่วมส่งต่อความยั่งยืนสู่สิ่งแวดล้อม ไทวัสดุขอส่งโปรโมชันสุดเอกซ์คลูซีฟ เมื่อซื้อสี JBP Good Paint Re-Acrylic ขนาด 2.5 แกลลอน สูตรใดก็ได้ รับไปเลยส่วนลดพิเศษท้ายบิล 100 บาทต่อถัง ตั้งแต่วันนี้ – 31 สิงหาคม ที่ไทวัสดุเท่านั้น ทุกสาขาทั่วประเทศ และทางช่องทางออนไลน์ การจับมือกับบริษัท เจ.บี.พี.อินเตอร์เนชั่นแนล เพ็นท์ จำกัด ถือเป็นอีกก้าวของความตั้งใจที่จะส่งเสริมและผลักดันให้สินค้าในกลุ่มรักษ์โลกให้เป็นที่นิยมในวงกว้าง ซึ่งเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสินค้าเหล่านี้จะสามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ให้เข้ามาสัมผัสกับความครบครันเรื่องบ้านที่ไทวัสดุเพิ่มมากขึ้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News]ไทวัสดุ ส่งแคมเปญ “ใช่เลย ถูกจริง” -[PR News]ซีอาร์ซี ไทวัสดุ ตั้งเป้าแท่นเบอร์ 1 วงการค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง อัดฉีดงบ 7,000 ลบ. ปี 65
[PR News] ผลิตภัณฑ์ตราเพชร เดินหน้าต่อยอด DIAMOND CAFE สู่บ้านผู้สูงอายุและโฮมออฟฟิศ

[PR News] ผลิตภัณฑ์ตราเพชร เดินหน้าต่อยอด DIAMOND CAFE สู่บ้านผู้สูงอายุและโฮมออฟฟิศ

ผลิตภัณฑ์ตราเพชร ผลิตภัณฑ์ตราเพชร มองตลาดวัสดุก่อสร้างครึ่งปีหลังขยายตัวต่อเนื่อง เดินเกมขยายฐานลูกค้ากลุ่ม SME ต่อเนื่อง มุ่งต่อยอดผลิตภัณฑ์ DIAMOND CAFE สู่ LIVING SPACE อาคารสำเร็จรูปสำหรับพักอาศัยและประกอบธุรกิจ เจาะโฮมออฟฟิศขนาดเล็กและกลุ่มบ้านผู้สูงอายุ          ดร.พิชญานันท์ ล้อวรลักษณ์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการขายและการตลาด บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT  เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดวัสดุก่อสร้างในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ยังมีสัญญาณการเติบโตต่อเนื่อง แม้ในไตรมาส 3/2566 จะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของตลาด เนื่องจากก้าวเข้าสู่ฤดูฝนทำให้งานก่อสร้างชะลอตัวลงไป อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่และกลุ่มลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ยังเดินหน้าลงทุนขยายสาขาและพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทฯ จะมุ่งตอกย้ำด้านความหลากหลายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ตราเพชร เพื่อต่อยอดขยายฐานลูกค้ากลุ่มผู้ประกอบการ SME ผ่านผลิตภัณฑ์ DIAMOND CAFE ช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายและระยะเวลาการก่อสร้าง รองรับความต้องการกลุ่มผู้ประกอบการที่ลงทุนเริ่มต้นทำธุรกิจร้านกาแฟ รวมถึงต่อยอดผลิตภัณฑ์ไปสู่ กลุ่มอาคารสำเร็จรูปสำหรับพักอาศัย และประกอบธุรกิจ (LIVING SPACE) โดยมีการออกแบบอาคารสำนักงานขนาดเล็ก หรือโฮมออฟฟิศและบ้านสำเร็จรูปสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ   โดยสินค้ากลุ่ม LIVING SPACE ได้มีการนำไปจัดแสดงโชว์ภายในงาน Thailand Coffee Fest 2023: Good Coffee For Everyone ที่อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 5-8 เมืองทองธานี ในวันที่ 13-16 กรกฎาคมนี้ เพื่อนำเสนอแพ็กเกจงานก่อสร้าง และรูปแบบร้าน DIAMOND CAFE  & LIVING SPACE ดีไซน์ใหม่ในราคาพิเศษ โดยอาคารสำเร็จรูปสำหรับร้านกาแฟเพียง 529,990 บาท จากปกติ 570,300 บาท และอาคารสำเร็จรูปสำหรับพักอาศัย และประกอบธุรกิจ เริ่มต้นที่ 429,990 บาท จากปกติ 450,300 บาท   สำหรับผู้สนใจหากวางเงินจองสิทธิในการก่อสร้างภายในงาน รับส่วนลดพิเศษเพิ่มอีก 1 เท่าจากยอดเงินจอง หรือรับส่วนลดสูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท หรือหากซื้อ DIAMOND CAFE ตัวโชว์ภายในงาน รับส่วนลดทันที 50% ทั้งนี้ บริษัทฯ มั่นใจว่าการออกบูทในงานครั้งนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และเป็นโอกาสของ ตราเพชร ตอกย้ำความแข็งแกร่งด้านผลิตภัณฑ์เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้นอีกด้วย   สำหรับบริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชรฯ ผู้ผลิตและจำหน่ายระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ และบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์ บอร์ดตกแต่งผนัง อิฐมวลเบา คานทับหลัง เคาน์เตอร์มวลเบาสำเร็จรูป ร้านกาแฟสำเร็จรูป (DIAMOND Cafe) และบริการติดตั้งโครงหลังคา และกระเบื้องหลังคา ภายใต้เครื่องหมายการค้า “ตราเพชร” มีประสบการณ์ยาวนานในธุรกิจกว่า 38 ปี มีเทคโนโลยีการผลิตทันสมัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และได้รับการรับรองระบบมาตรฐาน ISO9001:2015, ISO14001:2015 และ ISO45001:2018 จากสถาบัน Lloyd's Register Quality Assurance Limited (LRQA) รวมถึงได้รับเครื่องหมายมาตรฐานอุตสาหกรรม (มอก.) จากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งยืนยันถึงคุณภาพสินค้า ตลอดจนมีการบริหารจัดการภายในโรงงานที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นทางเลือกที่ดีกว่าด้านวัสดุก่อสร้างและบริการ”   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ตราเพชรเปิดตัวบ้านน็อกดาวน์ 1.2 ล้าน ตอบโจทย์มีสินค้าครบทั้งหลัง
[PR News] สิงห์ เอสเตท เปิดตัว JUMP&SYNC สำนักงานพร้อมใช้ ที่ S-OASIS

[PR News] สิงห์ เอสเตท เปิดตัว JUMP&SYNC สำนักงานพร้อมใช้ ที่ S-OASIS

สำนักงาน สิงห์ เอสเตท  เปิดตัวโซลูชันอาคารสำนักงานใหม่ JUMP&SYNC  สำนักงานแบบ Ready to Move Office Space ที่รวม 3 ความพร้อม  Space Ready-Design Ready-Business Ready  ภายในพื้นที่โครงการ S-OASIS อาคารสำนักงานที่มุ่งเน้นอนุรักษ์พลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานระดับสากล LEED Gold V4     นางอรณีย์ พูลขวัญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายพัฒนาธุรกิจค้าปลีกและการพาณิชย์ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า อาคารสำนักงาน S-OASIS ของสิงห์ เอสเตท เปิดตัวเมื่อปลายปี 2022 ได้รับการออกแบบให้รองรับการทำงานแบบHybrid Workplace ตอบโจทย์วัฒนธรรมการทำงานยุคใหม่ที่มีการจัดพื้นที่ใช้สอยภายในสำนักงานอย่างยืดหยุ่นและสะดวกสบาย (Workplace Strategy) ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้พื้นที่สำนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยในปีนี้ ภาคธุรกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว ทุกบริษัทกลับมาดำเนินงานเต็มรูปแบบ ซึ่งส่งผลให้การขยายตัวทางธุรกิจมีแนวโน้มกลับมาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบรับกำลังการขยายตัวของกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะการมองหาอาคารสำนักงานใหม่ อาคาร S-OASIS  จึงได้เพิ่มทางเลือกด้วยการปรับพื้นที่อาคารให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันด้วยโซลูชัน JUMP&SYNC ที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานแบบ Ready to Move Office Space เน้นความสะดวกสบายให้กับการขยาย และดำเนินธุรกิจได้แบบไร้รอยต่อ (Seamless Work Anywhere) ไม่ต้องกังวลเรื่องระยะเวลาในการก่อสร้างหรือตกแต่งสำนักงาน ภายใต้แนวคิด 3 ความพร้อม Space Ready, Design Ready, และ Business Ready Space Ready: ขนาดพื้นที่ที่รองรับธุรกิจได้หลากหลาย จัดสรรพื้นที่โดยคำนึงถึงความจำเป็นต่อการใช้งาน และความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับแต่ละธุรกิจ มีพื้นที่ให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ Type S กับ Type S+ ที่มีขนาดกว้างสูงสุดถึง 150 ตรม. และ Type M ที่มีขนาดตั้งแต่ 150  - 450 ตรม. โดยใน Type S+ และ Type M มาพร้อมพื้นที่ Open Pantry เพื่อความสะดวกในการเตรียมอาหารและเครื่องดื่มของพนักงาน   นอกจากนี้พื้นที่ในแต่ละขนาดยังสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนได้แก่ Fix Area ที่จัดวางตามโครงสร้างของสำนักงาน และ Float Area ที่เปิดโล่งรองรับการปรับเปลี่ยนรูปแบบทำงานได้อย่างยืดหยุ่น ทั้งเฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์สำนักงาน สามารถปรับแต่งการจัดวางในบริเวณนี้ได้ตามความต้องการ ทั้ง Workstation, Private Workspace, Communal Workspace และ Meeting Booth หรือ Brainstorm ในกลุ่มที่ต้องการการสื่อสาร และความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน Design Ready: การออกแบบที่พร้อมใช้งานสำหรับธุรกิจ ในสไตล์ Modern Minimal ภายใต้แนวคิด Functional, Neutral, และ Adaptable มีการเลือกใช้โทนสีที่สบายตาผ่าน 3 แพ็คเกจ ได้แก่ Economy, Standard, และ Premium ออกแบบ Mood & Tone ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกให้สามารถปรับแต่งรายละเอียดพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมกับธุรกิจและภาพลักษณ์ขององค์กรอย่างง่ายดาย และยังช่วยในการจัดลดงบประมาณไม่ให้สิ้นเปลืองในระยะยาว Business Ready: ให้คุณพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างไร้ขอบเขต อาคาร S-OASIS มีโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย มีระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ช่วยตอบสนองการทำงานแบบ Hybrid Working Model ได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งแบบไร้รอยต่อ (Seamless Work Anywhere) ซึ่งช่วยให้พนักงานได้ทำงานในสภาพแวดล้อมของสำนักงานที่ดี ช่วยให้ธุรกิจไม่ต้องกังวลกับเรื่องการบริหารสำนักงาน การก่อสร้างและจัดวางระบบสาธารณูปโภค นอกจากนี้ยังตั้งอยู่ในจุดยุทธศาตร์ ใจกลางย่านธุรกิจที่เชื่อมโยงด้วยโครงข่ายคมนาคมที่ครอบคลุมทันสมัย เสริมภาพลักษณ์ความมั่นคงและเป็นมืออาชีพ สามารถติดต่อประสานงานกับธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งกำลังมองหาโอกาสในแบบเดียวกัน ช่วยให้ธุรกิจสามารถ พัฒนาและเติบโตได้อย่างเต็มที่   ทั้งนี้ อาคาร สำนักงาน S-OASIS ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของอาคารประหยัดพลังงานและ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานโลก LEED Gold V4 ภายในสำนักงานมีการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและเต็มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นกระจก 3 ชั้นสะท้อนรังสี UV รวมถึงรองรับการติดตั้งระบบไฟ LED ที่สามารถสั่งการได้บนมือถือ ระบบหมุนเวียนอากาศ และสวนสวยรอบนอกอาคารที่รดด้วยน้ำจากกระบวนการบำบัด และการใช้เทคโนโลยีลดการสัมผัสในพื้นที่ส่วนกลางของอาคารเพื่อสุขอนามัยที่ดีของพนักงานทุกคน
[PR News] SEN X ชู “Elite Service” อัพสกิลบริหารจัดการครบวงจร

[PR News] SEN X ชู “Elite Service” อัพสกิลบริหารจัดการครบวงจร

SEN X ยกขบวนทีมงานเสริมทักษะการบริหารจัดการ ศึกษาดูงานและฝึกปฏิบัติการให้บริการลูกบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจากฮันคิว ฮันชิน โฮเทล เจ้าของโรงแรมยักษ์ใหญ่ในโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น พร้อมเสิร์ฟ “Elite Service” บริการมาตรฐานโรงแรมระดับ World class ประเดิมนำร่องคอนโดพรีเมี่ยมบนถนนสุขุมวิทที่แรก “ปีติ สุขุมวิท 101” ตอบโจทย์การใช้ชีวิตสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่เหนือระดับให้แก่ลูกบ้าน   นางสุพินท์ มีชูชีพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็น เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SEN X  เปิดเผยว่า ทางบริษัทมีความพร้อมและมีความมั่นใจในการขับเคลื่อนธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ด้วยโซลูชัน  บริการแบบครบวงจรด้านอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Integrated Service Solution) โดยมีวิสัยทัศน์เพื่อการสร้างสรรค์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการบริการอย่างครอบคลุม เพื่อการอยู่อาศัยในทุกมิติตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตยุคใหม่ตามมาตรฐานระดับโลก พร้อมทั้งเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักของบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)   โดยในส่วนของธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Property Management) และกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ทางบริษัทได้ส่งทีมงานบริหารและบริการไปเพิ่มศักยภาพด้วยการเข้ารับการอบรมเสริมทักษะบริหารจัดการแบบครบวงจรตามมาตรฐานโรงแรมระดับโลกจาก ฮันคิว ฮันชิน โฮเทล เจ้าของโรงแรมยักษ์ใหญ่ในโอซาก้า อีกหนึ่งธุรกิจในกลุ่มของพาร์ทเนอร์ญี่ปุ่นอย่างฮันคิว ฮันชิน โฮลดิ้ง กรุ๊ป ซึ่งมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการธุรกิจโรงแรมอันดับต้นของประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นการยืนยันให้เห็นว่าบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพด้านการบริการเพื่อตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจของลูกค้าอย่างสูงสุด ทางบริษัทฯ พร้อมเป็นอย่างยิ่งที่จะให้บริการในรูปแบบ “Elite Service” บริการมาตรฐานโรงแรมระดับ World class แก่ลูกบ้านสังคมระดับพรีเมี่ยม โดย “Elite Service” คือการบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัยที่ต้องการความสะดวกสบายและการบริการคุณภาพระดับโรงแรม 5 ดาว พร้อมด้วยการดูแลพิเศษที่จะช่วยรังสรรค์ให้การใช้ชีวิตเหนือระดับ ประกอบไปด้วย บริการพนักงานต้อนรับ (Reception), Doorman, Bellboy , Concierge Service บริการผู้ช่วยส่วนตัว เจ้าหน้าที่จองตั๋วเครื่องบิน,ร้านอาหาร,ที่พักโรงแรม, จองรถเช่า, บริการเรียก Taxi, นัดพบแพทย์, บริการแจ้งซ่อมฉุกเฉิน บริการ Shuttle Service บริการรถรับส่งนอกโครงการ เป็นต้น พร้อมให้บริการด้วยคุณภาพตลอด 24 ชั่วโมง เรามุ่งมั่นในการสร้างมาตรฐานการบริการอย่างมืออาชีพของบุคลากรเพื่อยกระดับองค์กรสู่การบริการที่เป็นมาตรฐาน เน้นการพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ในทุกมิติของลูกบ้านผู้พักอาศัยในโครงการ/อาคารให้ได้รับประโยชน์สูงสุด    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] เสนา ตั้ง “สุพินท์ มีชูชีพ” ขึ้นแท่นซีอีโอบริษัท SEN X คนใหม่ -เสนาดีเวลลอปเม้นท์ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ Q2 หนุนเป้ายอดขายกว่า 1.8 หมื่นล.
[PR News] ณวรางค์ แอสเซท ปั้น “ณ รีวา เจริญนคร” รับเทรนด์ Well-being

[PR News] ณวรางค์ แอสเซท ปั้น “ณ รีวา เจริญนคร” รับเทรนด์ Well-being

ณวรางค์ แอสเซท ตอกย้ำเทรนด์ Well-being และแนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยืน ตอบรับไลฟ์สไตล์คนยุคปัจจุบัน ล่าสุดจับมือคู่รัก “พีเค-ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร” และ “โยเกิร์ต-ณัฐฐชาช์ บุญประชม” จัดเสิร์ฟเมนูสุขภาพด้วยสมุนไพรที่ปลูกในโครงการ ณ รีวา เจริญนคร โครงการที่เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงโค้งที่กว้างที่สุด พร้อมอัดโปรเด็ด จองเพียง 4,999 บาท ผ่อนสัญญา 0% นาน 6 เดือน เฉพาะในวันที่ 8 กรกฎาคม 2566 นี้เท่านั้น   นายอภิภู พรหมโยธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ออกแบบโครงการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัย เปิดเผยว่า เทรนด์การอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน ได้ให้ความสำคัญกับการมีสุขภาวะที่ดี (Well-being) ทั้งร่างกายและจิตใจ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับปัญหาด้านมลพิษ อาทิ ปัญหาฝุ่น PM 2.5 การเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ขณะเดียวกันการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันต้องยึดหลักการเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้หลักการ ESG ได้แก่ การคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social)และธรรมาภิบาล (Governance) จากแนวคิดดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ มีนโยบายในการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ด้วยหลักการของ Well-being และ ESG มาโดยตลอด อย่างเช่นโครงการ ณ รีวา เจริญนคร โครงการร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ กับบริษัท พาราเม้าท์ คอร์ปอเรชั่น เบอร์ฮาด บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของ ประเทศมาเลเซีย พัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรซ์ (High Rise) สูง 29 ชั้น ประกอบไปด้วยห้องพักอาศัยจำนวน 253 ยูนิต ที่ให้ความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตเพียง 13 ยูนิต/ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 1-2-80.9 ไร่ มูลค่ารวมประมาณ 1,300 ล้านบาท ปัจจุบันการก่อสร้างมีความคืบหน้าไปมาก คาดว่าแล้วเสร็จภายในช่วงปลายปีนี้ และพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ได้ในช่วงต้นปี 2567   สำหรับจุดเด่นของโครงการ ณ รีวา เจริญนคร คือ ตั้งอยู่ในทำเลไพร์มโลเกชั่นของฝั่งเจริญนคร ที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงโค้งที่กว้างที่สุด โครงการมีห้องชุดให้เลือกถึง 5 แบบ ได้แก่ แบบ 1-Bedroom, 1-Bedroom Loft, 1-Bedroom Executive, 1-Bedroom Plus และแบบ 2-Bedroom ซึ่งห้องชุดที่เป็นไฮไลท์ คือ ห้องแบบสองชั้นหรือลอฟท์ที่ออกแบบมาอย่างสวยงาม ลงตัวกับการอยู่อาศัยและเอกเซกคิวทีฟฟลอร์ที่มอบบริการแบบโรงแรมด้วย   นอกจากนี้ โครงการ ณ รีวา เจริญนคร ยังมีพื้นที่ส่วนกลางครบครัน อาทิ Co-working Space, สวนส้มที่สะท้อนความเป็นเมืองแห่งผลไม้ซึ่งลูกบ้านสามารถนำไปบริโภคได้ สวนสมุนไพรเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์รักสุขภาพของผู้อยู่อาศัย ฟิตเนสที่มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและสนามเด็กเล่นทั้งอินดอร์และกลางแจ้งเพื่อให้ เด็กๆ ได้สนุกสนานเพลิดเพลินและมีชีวิตที่เต็มเปี่ยมในโครงการ ขณะที่ทำเลที่ตั้งของโครงการยังอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก ทั้งการเข้าสู่ใจกลางเมืองย่าน CBD อย่างสาทรหรือสีลม ใกล้โรงเรียนนานาชาติชั้นนำและห้างสรรพสินค้าไอคอน สยามอีกด้วย นายอภิภู กล่าวอีกว่า จากความต้องการของคนยุคปัจจุบันที่ใส่ใจเรื่องการมีสุขภาวะที่ดี ทำให้โครงการจัดทำสวนสมุนไพรสำหรับลูกบ้านซึ่งปลูกสมุนไพรที่มีประโยชน์มากมาย อาทิ โรสแมรี่ เตยหอม ตะไคร้หอม พยับเมฆ ไว้ภายในโครงการบริเวณชั้นล่าง เพื่อตอบสนองผู้อยู่อาศัยที่รักสุขภาพ สามารถนำเอาผลผลิตไปบริโภคหรือใช้ประโยชน์ตามความต้องการได้ รวมถึงการจัดทำสวนส้มที่ถือเป็นผลไม้ประจำพื้นที่ตั้งแต่อดีต แต่ปัจจุบันพื้นที่สวนส้มถูกพัฒนาใช้ประโยชน์อย่างอื่นหมดแล้ว มาไว้ภายในโครงการ เพื่อให้ลูกบ้านได้บริโภคผลไม้ที่มีประโยชน์และไม่มีสารพิษ ซึ่งพื้นที่ส่วนกลางในรูปแบบนี้หาได้ยากในโครงการคอนโดมิเนียมในปัจจุบัน ภายในโครงการยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อสร้างเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีอีกหลายอย่าง อาทิ  ชั้น 7 เป็นยิมและบริเวณออกกำลังกายกลางแจ้ง มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา Kid’s Play Room มีทั้ง ส่วนในห้องแอร์และส่วนกลางแจ้ง ชั้น 29 Rooftop มีสระว่ายน้ำ Infinity Edge Pool ความยาว 22 เมตร เลาจน์ที่สามารถ ดื่มด่ำกับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาแบบเต็มตาอีกด้วย ล่าสุด “พีเค-ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร” และภรรยานางแบบสาว “โยเกิร์ต-ณัฐฐชาช์ บุญประชม” ได้เข้าเยี่ยมชม โครงการ ณ รีวา เจริญนคร พร้อมกับร่วมทำเมนูสุขภาพ เพื่อสะท้อนถึงความตั้งใจของโครงการ ที่จะมอบความเป็นอยู่ที่ดี มีสุขภาพ ให้กับลูกบ้านด้วย ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้สนใจและลูกบ้านในการเข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้จำนวนมาก นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังต้องการให้ผู้ที่สนใจโครงการที่ตอบโจทย์คนรักสุขภาพ และการอยู่อาศัยที่ดี และกระตุ้นยอดขายในโอกาสที่โครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จ ด้วยการจัดโปรโมชั่นพิเศษสุดสำหรับผู้ จองในวันนั้นคือรับบัตรกำนัลช้อปปิ้งมูลค่า 300,000 บาทที่ไอคอนสยาม โดยสามารถ จองได้เพียง 4,999 บาท ผ่อนสัญญา 0% ได้นานถึง 6 เดือน เฉพาะในวันที่ 8 กรกฎาคม 2566 นี้เท่านั้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ณวรางค์ แอสเซท เปิดคอนโด “ณ วรา พหลโยธิน 8” 300 ล้าน ลุยตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย -5 เหตุผล “ณวรางค์ แอสเซท” พัฒนาโครงการย่านเจริญนคร
เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดให้ชมห้องตัวอย่าง ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ตอบโจทย์ผู้ต้องการคอนโดพื้นที่ขนาดใหญ่

เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดให้ชมห้องตัวอย่าง ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ตอบโจทย์ผู้ต้องการคอนโดพื้นที่ขนาดใหญ่

เดอะ ฟอเรสเทียส์ เปิดให้ชมห้องตัวอย่าง ที่อยู่อาศัยใหม่ล่าสุด ‘ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’ ตอบโจทย์ผู้ต้องการคอนโดพื้นที่ขนาดใหญ่ โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC หรือ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย ประกาศเปิดให้ชมห้องตัวอย่างโครงการ ‘เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์’อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป โดยจะจัดกิจกรรมสุดพิเศษในวันเสาร์ที่ 8 และวันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม 2566 ณ ห้องตัวอย่างโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดหรือนัดเข้าชมโครงการได้ที่ Call Center 1265 หรือ https://mqdc.com/th/discover-project/signature-series/theforestias     นายยุทธนา ตันติยานนท์ ประธานผู้อำนวยการ กลุ่มงานการจัดการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ MQDC เปิดเผยว่า “หลังการประกาศเปิดตัวโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ไปเมื่อช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับการตอบรับ และได้รับความสนใจเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ที่ต้องการคอนโดมิเนียมพื้นที่ขนาดใหญ่กว่าทั่วๆ ไป มีความเป็นส่วนตัว อยู่ในเมืองแต่ก็มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติ โดยหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ มีความพิเศษที่แตกต่างอย่างโดดเด่นก็คือ การตั้งอยู่ในพื้นที่ 398 ไร่ของเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซึ่งเป็นโครงการเมืองที่ได้รับการออกแบบทุกมิติ โดยเน้นเรื่องคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผสานกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน และการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันของคนจากหลากหลายเจเนอเรชั่น เติมเต็มให้การใช้ชีวิตมีสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้น”     การออกแบบของเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากป่า และมีการนำเอาธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดีไซน์ ตลอดจนออกแบบให้ทุกยูนิตสามารถมองเห็นวิวป่า 30 ไร่ ของเดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้ในมุมมองที่เห็นวิวป่าแบบทอดยาวที่สุด ซึ่งนอกจากวิวป่าแล้ว ยังจะมีทิวทัศน์ความมหัศจรรย์ของงานเฟสติวัลต่างๆ ที่จะจัดขึ้นเป็นประจำ ทั้งในผืนป่า และเหนือผืนป่าอีกด้วย อีกหนึ่งจุดเด่นของเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ คือการมุ่งเน้นมอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดให้กับผู้อยู่อาศัย โดยคอนโดมิเนียมความสูง 44 ชั้นแห่งนี้ มีเพียง 122  ยูนิต และ 1 ชั้นมีเพียง 4 ยูนิตเท่านั้น พร้อมกับ Private Lift Lobby   นายยุทธนา กล่าวว่า “ตัวอาคารของเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ออกแบบโดย Foster + Partners คำนึงถึง ผู้อยู่อาศัยมากที่สุดในเรื่องของความเป็นส่วนตัว ออกแบบทางเดิน และบันไดสำหรับงานบำรุงรักษาไว้ในจุดต่างๆ ที่จะช่วยให้ช่างสามารถเข้าบริการ หรือดูแลรักษางานระบบอาคาร โดยเฉพาะงานท่อหลัก ได้โดยไม่ต้องเข้าไปในห้องพักอาศัย อีกทั้งยังสามารถบำรุงรักษาอาคารให้มีอายุยาวนาน โดยที่ไม่รบกวนการอยู่อาศัยของลูกบ้าน นอกจากนั้น พื้นที่ภายในที่พักอาศัยแต่ละยูนิตยังออกแบบให้มีความเป็นสัดส่วน ที่ลงตัวทั้ง ครัวฝรั่ง, ครัวไทย, ห้องซักรีด รวมถึงมีการแยกห้องนอน ผู้ช่วยดูแลบ้าน โดยไม่รบกวนความเป็นส่วนตัวของผู้อยู่อาศัย     เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ประกอบไปด้วยห้องพักอาศัยที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่เป็นพิเศษ โดยเริ่มตั้งแต่ 140 ตารางเมตรไปจนถึง 350 ตารางเมตร และมีห้องแบบเพนท์เฮาส์ขนาดพื้นที่ใช้สอย 917 ตารางเมตร อยู่บนชั้น 43  และมียูนิตพิเศษพร้อม Private Plunge Poolโดยในส่วนของจำนวนห้องนอนก็มีเลือกหลากหลาย ตั้งแต่ 2 ห้องนอนไปจนถึง 5 ห้องนอน ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 37 ล้านบาทสำหรับยูนิตขนาด 2 ห้องนอน และราคาเริ่มต้น 49 ล้านบาทสำหรับยูนิตขนาด 3 ห้องนอน เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น The Garden, Forest Trail, The Enchanted Lounge, Evergreen Dining Room, Immersia Theater, Thermal Pool, Moonwake Club   “ที่พักอาศัยเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ ตั้งอยู่ใกล้กับโฮเต็ล อินดิโก้ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซึ่งอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ครบครันทุกฟังก์ชัน ทั้ง Neighborhood Café, Residents Lounge, ห้องจัดเลี้ยง พื้นที่จัดประชุม และการบริการต่างๆ เพื่อเติมเต็มคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน โดยจะมีทางเดินเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างอาคารที่พักอาศัย และอาคารโรงแรม ซึ่งการเชื่อมถึงกันอย่างสะดวกสบายกับโรงแรม และภัตตาคาร รวมทั้งบริการ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ถือว่าเป็นสิทธิประโยชน์พิเศษเพิ่มเติมที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับเจ้าของที่พักอาศัยโครงการซิกเนเจอร์ ซีรีส์” นายยุทธนา กล่าว   ล่าสุด เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ เปิดให้เข้าชมห้องตัวอย่างได้แล้วตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2566 นี้เป็นต้นไป โดยวันเสาร์ที่ 8 และวันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคมนี้ เวลา 10.00 – 17.00 น. ณ ห้องตัวอย่างโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ จัดให้มีกิจกรรมพิเศษต้อนรับผู้สนใจที่เข้าชมโครงการ สนุกและเพลิดเพลินไปกับกิจกรรม DIY จัดป่าในขวดแก้ว พร้อมอาหารว่าง และเครื่องดื่มเพิ่มความสุขสดชื่น พร้อมกับสิทธิพิเศษพรีเซลล์ต่างๆ โดยผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียด หรือนัดเข้าชมโครงการได้ที่ Call Center 1265 หรือ https://mqdc.com/th/discover-project/signature-series/theforestias   โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซิกเนเจอร์ ซีรีส์ อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง โดยตั้งอยู่ติดกับป่าขนาด 30 ไร่ ใจกลางของเดอะ ฟอเรสเทียส์   เดอะ ฟอเรสเทียส์ คือต้นแบบแห่งใหม่ของโลกในการพัฒนาเมืองที่มุ่งเน้นส่งเสริมเรื่องสุขภาพที่ดีขึ้น และมีความสุขมากขึ้น ประกอบไปด้วยพื้นที่ธรรมชาติขนาดใหญ่ โครงการที่พักอาศัยภายใต้แบรนด์ต่างๆ ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ และกลุ่มอายุที่แตกต่างหลากหลาย อาทิ ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ เดอะ ฟอเรสเทียส์, มัลเบอร์รี่ โกรฟ วิลล่า, มัลเบอร์รี่ โกรฟ คอนโดมิเนียม, คอนโดมิเนียมแบรนด์ วิสซ์ดอม, คอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ แอสเพน ทรี และสกายวิลล่า ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่การมอบบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการดูแลผู้พักอาศัยอย่างครบวงจรตลอดชีวิต นอกจากนั้น ยังมีพื้นที่กิจกรรมชุมชน และกิจกรรมอื่นๆ พื้นที่สำนักงาน สปอร์ตคอมเพล็กซ์ ศูนย์สำหรับกิจกรรมไลฟ์สไตล์ และการพักผ่อนของครอบครัว ร้านค้าปลีก ร้านอาหาร และเครื่องดื่ม พื้นที่ Town Center พื้นที่ Family Center และมาร์เก็ตต่างๆ รวมถึงองค์ประกอบสำคัญที่โดดเด่นเป็นพิเศษ คือป่าขนาดใหญ่พื้นที่ 30 ไร่บริเวณใจกลางโครงการ พร้อมทางเดินยกระดับที่ทอดยาวเหนือผืนป่า ความยาว 1.6 กิโลเมตร   ข่าวที่เกี่ยวข้อง เผยโฉม ‘แฮปปี้แทท’ จุดหมายแห่งใหม่ของความสุขเหนือจินตนาการ คืบหน้า ‘ทาวน์ เซ็นเตอร์’ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งเป้าเปิดส่วนแรกปลายปี พ.ศ. 2566 Mulberry Grove The Forestias Villas บ้านคลัสเตอร์ แนวคิดใหม่เพื่อความสุขที่เพิ่มขึ้นของทุกเจเนอเรชั่นในครอบครัว  
[PR News] PROUD จัดพิธีลงเสาเอก โครงการรมย์คอนแวนต์

[PR News] PROUD จัดพิธีลงเสาเอก โครงการรมย์คอนแวนต์

โครงการรมย์คอนแวนต์ PROUD ได้ฤกษ์มงคล จัดพิธีลงเสาเอก โครงการรมย์คอนแวนต์ คอนโดระดับลักชัวรีใจกลางเมือง มูลค่า 4,150 ล้าน เดินหน้าเปิดไซต์ก่อสร้าง มั่นใจแล้วเสร็จไตรมาส 4/2569 เร่งการขายชูจุดเด่นทำเลศักยภาพใจกลางสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมพื้นที่ส่วนกลางกว่า 1,200 ตร.ม. จัดเต็มบริการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม พร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษ MIDYEAR RETREAT เฉพาะกรกฎาคมนี้ รับฟรีที่พัก InterContinental Phuket Resort 3 วัน 2 คืน มูลค่ากว่า 58,000 บาท   บริษัท พราว เรียล เอสเตท หรือ PROUD ได้ฤกษ์มงคล จัดพิธีลงเสาเอก โครงการ รมย์ คอนแวนต์ (ROMM Convent) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ใจกลางเมือง บนทำเลศักยภาพที่หาได้ยากที่สุดแห่งหนึ่งบนถนนคอนแวนต์ -สาทร   ทั้งนี้ หลังเปิดตัวปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2566 มีกระแสตอบรับที่ดี กวาดยอดพรีเซลไปกว่า 40% ถือเป็นความสำเร็จอย่างสูง ขณะนี้ บริษัทได้เดินหน้าเปิดไซต์ก่อสร้างตามแผนงาน มั่นใจก่อสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2569 เตรียมจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ร่วมสัมผัสประสบการณ์การอยู่อาศัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและยืนยาวในทุกมิติ LIVE. WELL. LIFE. เดือนสิงหาคมนี้   โครงการรมย์คอนแวนต์ คอนโดระดับลักชัวรี มูลค่าโครงการรวม 4,150 ล้านบาท  ด้วยการออกแบบภายใต้คอนเซปต์  CBD Retreat Residences ลักชัวรี่คอนโดที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้อยู่อาศัยที่ต้องการพื้นที่ห้องขนาดใหญ่พิเศษ เพดานสูง โปร่งให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านใจกลางเมือง โครงการมีความตั้งใจขยายไซส์ให้ห้องของทุก Type กว้างกว่าปกติ เพื่อให้อยู่ได้จริงและยาวนานสำหรับอนาคต รูปแบบห้องเริ่มต้นตั้งแต่ 1 ห้องนอนจนถึง Junior Penthouse และ Penthouse โดยห้องแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 85 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 19 ล้านบาท การออกแบบ Unit Lay out ยังเน้นฟังก์ชั่นการใช้งานได้หลากหลาย และให้ผู้อยู่อาศัยสัมผัสความงดงามของชีวิตผ่านความเชื่อมโยงของพื้นที่ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมรอบโครงการ ให้ความรู้สึกเหมือนได้อยู่บ้านใจกลางเมือง แต่ยังคงความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนเพียง 180 ยูนิต และจำนวนห้องต่อชั้นไม่เกิน 8 ห้อง พร้อม The Sky Retreat ส่วนกลางลอยฟ้าวิวสวนลุมพินี 4 ชั้น และ Facilities ครบครันที่ทำให้คุณได้พักผ่อนได้อย่างเต็มที่เหนือคำบรรยาย   โครงการรมย์ คอนแวนต์ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพที่มีการเติบโตมากที่สุดอีกแห่งของกรุงเทพฯ ที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดดในอีก 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางครบทุกรูปแบบได้อย่างสะดวกสบาย รายล้อมด้วยสถานที่ต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สำหรับทุกวัยได้ในระยะเดินถึง ทั้งสถานศึกษา ออฟฟิศขนาดใหญ่ ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล และสวนสาธารณะ รวมถึง ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์ โปรเจกต์ยักษ์ใหญ่แลนด์มาร์คระดับโลกอาทิ One Bangkok, Dusit Central Park, Silom Park นอกจากนี้ ยังมีบริการพิเศษ โดยลูกบ้านจะได้รับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม Holistic Wellness Solution ที่ดำเนินการโดยพันธมิตรผู้ให้บริการด้านสุขภาพแนวหน้าของไทย “แอปพลิเคชัน BeDee by BDMS และ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช” ซึ่งลูกบ้านสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ตลอด 24 ชม. ทั้งแบบออนไลน์ ,จุดให้บริการบริเวณพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการ, โรงพยาบาลบีเอ็นเอช และโรงพยาบาลในเครือ ถือเป็นแนวคิดใหม่ของการอยู่อาศัยที่ช่วยในการดูแลสุขภาพทั้งของตัวเองและทุกคนในครอบครัว โดยมีจุดเชื่อมสำคัญในการบริการที่เป็นมากกว่า เจ้าหน้าที่ทั่วไป คือ Proud Health Butler และ Proud Application คอยช่วยเหลือลูกบ้านเรื่องสุขภาพ พร้อมสิทธิพิเศษในการเป็นสมาชิกระดับ VVIP ของ BNH Loyal Heritage Member รับการดูแลเป็นพิเศษจากทีมแพทย์ระดับ A-List พร้อมส่วนลดสูงสุด 20% พร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมายจากทางโรงพยาบาล     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดเหตุผล พราว เรียลเอสเตท บุกตลาดกทม. กับวิธีทางสร้างรายได้ 15,000 ล้าน -พราว เรียลเอสเตท ปั้นโปรเจ็กต์ “เวหา” 2,290 ล้าน ชู 6 ไฮไลท์คอนโดลักชัวรี่สูงสุดในหัวหิน -รีวิว The Lofts สีลม คอนโดพร้อมอยู่บนถนนสีลม ใกล้ BTS พร้อมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา
[PR News] RML เปิดตัว 4 ห้องตกแต่งครบพร้อมอยู่ใหม่ ภายใต้ธีม ‘Your Season, Your Style’

[PR News] RML เปิดตัว 4 ห้องตกแต่งครบพร้อมอยู่ใหม่ ภายใต้ธีม ‘Your Season, Your Style’

RML (บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด มหาชน)  เปิดห้องตัวอย่างใหม่ตกแต่งสุดหรู ขนาด 1-2 ห้องนอน ล็อตสุดท้ายของโครงการ คอนโดมิเนียมระดับอัลตร้าลักชัวรี่พร้อมเข้าอยู่ เลี้ยงสัตว์ได้ (Pet-Friendly) ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ (The Estelle Phrom Phong) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก 4 ฤดูกาล  4 สไตล์ ราคาเริ่มต้น 18 ล้านบาท โดยมีเซเลบริตี้ชื่อดัง ได้แก่ แพม-อณิชา อรรถสกุลชัย, ภัทร-ณภัทร ณรงค์เดชและพิม-พิมพ์พิศา ณรงค์เดช, ยุ้ย-อรวรรณ อิงคสิทธิ์ รวมถึงเจย์ สเปนเซอร์  มาร่วมถ่ายทอดไอเดียการตกแต่งคอนโดฯ และการใช้ชีวิตแบบคนเมือง RML RML นายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร RML กล่าวว่า “เราใส่ใจในทุกรายละเอียด ให้ทุกโครงการมีอัตลักษณ์เฉพาะ สะท้อนถึงตัวตนและไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยในแบบที่แตกต่างกันไป ซึ่งล่าสุดโครงการคอนโดฯ อัลตร้าลักชัวรี่ พร้อมเข้าอยู่ใจกลางสุขุมวิท ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ บนทำเลศักยภาพ เพียง 2 นาที ถึง BTS พร้อมพงษ์ และ ดิ เอ็มดิสทริค (The Em District) จัด ‘Your Season, Your Style’ รังสรรค์ 4 ห้องตัวอย่างใหม่สุดหรู ตกแต่งครบ (Fully-furnished) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากฤดูกาลทั้งสี่ โดยแต่ละห้องจะมีการใช้โทนสีที่แตกต่างกัน เพื่อสื่อถึงหลากหลายอารมณ์ความรู้สึก ที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาดั่งเช่นฤดูกาลต่างๆ โดยการตกแต่งห้องตัวอย่างใหม่นี้ก็เพื่อสร้างแรงบันดาลใจใหม่ๆ และเป็นไอเดียให้กับทุกคนที่กำลังจะตกแต่งห้องที่เป็นสไตล์ในแบบของตัวเองที่ไม่ซ้ำใคร” ‘Your Season, Your Style’ ประกอบด้วยห้องทั้งหมด 4 ห้อง 4 สไตล์ ได้แก่ Spring, Summer, Autumn และ Winter ขนาด 1-2 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 18 ล้านบาท โดยแต่ละห้องได้ถูกถ่ายทอดผ่านมุมมองของเซเลบริตี้ ชื่อดังที่มีไลฟ์สไตล์คนเมือง   RML เริ่มต้นที่ แพม-อณิชา อรรถสกุลชัย เซเลบริตี้สาวสวยมากความสามารถ กล่าวถึงการเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจในการตกแต่งห้องตัวอย่าง ‘Spring’ ว่า “ห้องตัวอย่างนี้ตกแต่งด้วยโทนสีขาวและสีเขียวใบไม้ สร้างบรรยากาศภายในห้องให้มีความเป็นธรรมชาติผสมลงไปอย่างลงตัว มอบความรู้สึกสบายตาจากสีเขียว แล้วยังทำให้ห้องดูสว่างและกว้างมากขึ้นจากสีขาว  ทำให้ภาพรวมการออกแบบตกแต่งดูสงบ มองไปทางไหนก็สดชื่น ผ่อนคลาย เหมาะกับคนไลฟ์สไตล์แบบแพมที่ถึงแม้จะใช้ชีวิตในเมืองเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ชอบความผ่อนคลาย เรียบง่าย เป็นส่วนตัวค่ะ”     ภัทร-ณภัทร ณรงค์เดช และพิม-พิมพ์พิศา ณรงค์เดช เซเลบริตี้รุ่นใหม่ไฟแรง กล่าวถึงห้อง ‘Summer’ ว่า “ห้องนี้ตกแต่งโทนสีอบอุ่น เน้นสีอ่อน ให้ความรู้สึกสบายตา โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ผนังหินอ่อนพาลิสซานโดร ทิกราโต้ (Palissandro Tigrato) โทนสีน้ำตาล  เสริมให้ห้องดูสง่างามเหนือกาลเวลา และมีการเลือกใช้วัสดุเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไม้ และรูปร่างของเฟอร์นิเจอร์ที่มีความโค้งมน ทำให้ภาพรวมของห้องดูนุ่มสบาย รวมทั้งการจัดวางเฟอร์นิเจอร์ก็เน้นการเปิดพื้นที่ เพื่อให้ห้องดูกว้าง โปร่ง จัดแบ่งพื้นที่ใช้สอยอย่างเป็นสัดส่วนอีกด้วย”   ยุ้ย-อรวรรณ อิงคสิทธิ์ ผู้บริหารและเจ้าของร้านจิวเวลรี่ชื่อดัง กล่าวถึงห้อง ‘Autumn’ ว่า “ห้องนี้ตกแต่งเน้นความเท่ห์  มีชีวิตชีวา มีอิสระ และไร้ขีดจำกัด ด้วยรูปแบบเส้นสายจากงานอาร์ตประดับผนังเฟอร์นิเจอร์ พร้อมดีเทลของพร็อพที่ประดับตกแต่งในสไตล์เมทัลลิคสีเงิน (Metallic Silver) ช่วยสร้างความโฉบเฉี่ยว ดูหรูหราทันสมัย เหมาะกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรง” และ เจย์ สเปนเซอร์ คุณพ่อสุดอบอุ่น นักธุรกิจหนุ่มผู้หลงใหลในศิลปะ  กล่าวถึงห้อง ‘Winter’ ว่า “ดีไซน์คอนเซปต์ในการออกแบบห้องนี้ เน้นการใช้โทนสีเข้มตัดโทนสีที่ชัดเจนด้วยสีขาว-เทา-ดำ และแทรกด้วยโทนสีทองเหลืองรมดำ เพิ่มสเน่ห์ทำให้ห้องดูหรูหรา และยังคงความหนักแน่น อีกทั้งฟังก์ชั่นใช้สอยก็เป็นสัดเป็นส่วน แบ่งพื้นที่ครัวและพื้นที่ทานข้าวได้อย่างลงตัว” ‘ดิ เอสเทลล์ พร้อมพงษ์’ ซอยสุขุมวิท 26 พร้อมเปิดให้ทุกท่านได้สัมผัสความหรูหราอย่างมีระดับได้ทุกวัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ โทร. 02-029-1888, Line Official @raimonland หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.raimonland.com   บทความน่าสนใจ 10 เรื่องอินไซต์อาคาร OCC ตึกสูงสุดในไทย 317.95 เมตรของ RML
[PR News] ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC

[PR News] ไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน-สินเชื่อสีเขียว 20,000 ล้าน ให้ AWC

สินเชื่อสีเขียว ธนาคารไทยพาณิชย์ ปล่อยสินเชื่อความยั่งยืน และสินเชื่อสีเขียว จำนวน 20,000 ล้าน ให้ แอสเสท เวิรด์ คอร์ป เพื่อพัฒนาโครงการเมกะโปรเจกต์ สานต่อเจตนารมณ์ด้านความยั่งยืนของทั้งสององค์กร   นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้สนับสนุนสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability Linked Loan) และสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) จำนวน 20,000 ล้านบาท ให้แก่ AWC เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ และการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของ AWC อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนพันธกิจด้านสิ่งแวดล้อมของธนาคาร และธุรกิจภายใต้กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ โดยมีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จากการดำเนินงานภายในปี 2030 และจากการให้สินเชื่อและการลงทุนภายในปี 2050 ธนาคารมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของ AWC และเชื่อมั่นว่าการสนับสนุนทางการเงินจำนวน 20,000 ล้านในครั้งนี้ จะช่วยเสริมศักยภาพทางธุรกิจผ่านการพัฒนาโครงการคุณภาพมากมาย ที่จะสร้างความน่าตื่นเต้นให้แก่วงการอสังหาริมทรัพย์ และเพื่อสนับสนุนประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวที่ยั่งยืนระดับโลก ด้านนางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า AWC มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืน 3 เสาหลัก 9 มิติ หรือ 3 BETTERs ประกอบไปด้วย 1.การสร้างคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อม (BETTER PLANET) เพื่อโลกที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น 2.การสร้างคุณค่าด้านสังคม (BETTER PEOPLE) เพื่อผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และ 3.การสร้างคุณค่าด้านเศรษฐกิจ (BETTER PROSPERITY) เพื่อเศรษฐกิจของประเทศที่ดีขึ้น   โดยที่ผ่านมา AWC ได้ดำเนินโครงการเพื่อสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง อาทิ โรงแรม เชอราตัน สมุย ดำเนินโครงการธนาคารปู เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และโรงแรมบันยันทรี กระบี่ ที่ได้ร่วมมือกับมูลนิธิอันดามัน เพื่อนำร่องโครงการท่องเที่ยวชุมชนอย่างยั่งยืน รวมถึงการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านแนวคิดธุรกิจ reConcept ที่ส่งเสริมการนำเฟอร์นิเจอร์และวัสดุเก่า รวมถึงอุปกรณ์ตกแต่งของโรงแรมที่ไม่ได้ใช้งาน กลับมารีไซเคิลและใช้ซ้ำ เพื่อลดปริมาณขยะฝังกลบ ตลอดจนการลงทุนพัฒนาบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ที่ส่งเสริมการสร้างงานและสร้างรายได้สู่ชุมชนรอบโครงการ และสนับสนุนผู้ประกอบการไทยท้องถิ่นเพื่อสร้างโอกาสรายได้ที่ยั่งยืนผ่านโครงการ เดอะ GALLERY เป็นต้น   AWC ยังคงดำเนินงานตามแผนแม่บทอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan: EEP) สอดคล้องกับกรอบสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและสินเชื่อสีเขียว เพื่อมุ่งเน้นการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านโครงการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคาหรือชั้นดาดฟ้าของอาคาร การเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพระบบทำความเย็นและเครื่องปรับอากาศ ครอบคลุมโรงแรมในเครือที่มีการดำเนินงานมาตั้งแต่ปี 2019   นอกจากนี้ AWC จะพัฒนาโครงการในเครือตามกรอบเพื่อขอรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียวสากล อาทิ มาตรฐาน EDGE LEED หรือ WELL เพื่อผลักดันให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและคํานึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด   โดย AWC มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการคุณภาพระดับเมกะโปรเจกต์ให้เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก (Mega sustainable destination) อาทิ โครงการเอเชียทีค ที่จะสร้างเป็นแลนด์มาร์คความยั่งยืนริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้กับกรุงเทพฯ โครงการอควอทีค กลางเมืองพัทยา และโครงการเวิ้ง นาครเกษม ศูนย์กลางคุณค่าประวัติศาสตร์วัฒนธรรมกลางไชน่า ทาวน์ รวมถึงโครงการลานนาทีค ที่มีคุณค่าของเสน่ห์ศิลปวัฒนธรรมล้านนากลางเมืองเชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่ง AWC เชื่อมั่นว่าการพัฒนาโครงการต่างๆ ให้เป็นจุดหมายปลายทางด้านความยั่งยืนระดับโลกนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสานต่อนโยบายและกลยุทธ์หลักของประเทศสู่การเป็นผู้นำการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก   AWC ยังมุ่งพัฒนาอาคารตามมาตรฐานอาคารสีเขียวในระดับสากล อาทิ โรงแรมอินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท ซึ่งได้รับการรับรองมาตรฐาน EDGE (Excellence in Design for Greater Efficiencies) และโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ได้รับการรับรอง LEED & WELL PRECERTIFIED รวมถึงอีกหลากหลายโครงการ โดยใช้สินเชื่อยั่งยืนแรกที่ได้รับการสนับสนุนจาก SCB เมื่อปีที่แล้ว   โดยปัจจุบัน AWC ได้ร่วมมือกับพันธมิตรสถาบันการเงินชั้นนำจัดวงเงินสินเชื่อระยะยาวที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนกว่า 75% และตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนวงเงินสินเชื่อระยะยาวเชื่อมโยงความยั่งยืนเป็นร้อยละ 100% เพื่อมุ่งสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับประเทศ การลงนามสัญญาในครั้งนี้เป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ร่วมกันในการดำเนินธุรกิจ โดย AWC จะยังคงดำเนินการตามกลยุทธ์ความยั่งยืนอย่างต่อเนื่องผ่านโครงการริเริ่มต่างๆ เพื่อร่วมสร้างคุณค่าในระยะยาวให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ภายใต้พันธกิจ สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า  พร้อมเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก AWC ดำเนินงานภายใต้กรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อเนื่อง และได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมาตรฐานสากลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อาทิ การได้รับการประเมินจาก MSCI ESG Rating ในระดับ "AA" ได้รับการคัดเลือกเข้าสู่รายชื่อหุ้นยั่งยืน Thailand Sustainability Investment (THSI) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ติดอันดับรายงานความยั่งยืน S&P CSA Yearbook 2023 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งได้รับคัดเลือกเป็น “Top 1% S&P Global ESG Score 2022” ได้รับรางวัล “Industry Mover” ในฐานะบริษัทที่มีความยั่งยืนของกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ ได้รับการจัดอันดับรายงานการกำกับดูแลกิจการ ในระดับ “ดีเลิศ” (Excellence CG Scoring) ได้รับการรับรองให้เป็นแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (CAC) และได้รับการจัดอันดับในฐานะองค์กรที่มีการกำกับกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในอาเซียนของปี 2564 (ASEAN CG Scorecard)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -AWC จับมือ โนบุ ผุดโรงแรม Plaza Athenee สร้างแลนด์มาร์กในนิวยอร์ก-กรุงเทพฯ -AWC ประกาศ Q1/2566  กำไร 1,422 ล้าน ผลการใช้กลยุทธ์ GROWTH-LED
[PR News] “บันยัน หัวหิน” เปิด Villa Suasana ที่อยู่สไตล์ทันสมัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

[PR News] “บันยัน หัวหิน” เปิด Villa Suasana ที่อยู่สไตล์ทันสมัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน

บันยัน หัวหิน ชุมชนใหม่สำหรับคนแอคทีฟสุขภาพดีใกล้ชายหาดหัวหิน แหล่งพักผ่อนยอดนิยมของไทย เชิญคนมีสไตล์ร่วมสัมผัสโครงการที่อยู่อาศัยในคอนเซ็ปต์ใหม่ “Villa Suasana” ในการเปิดตัววิลล่าตัวอย่างที่จะสะท้อนให้เห็นการใช้ชีวิตที่ใกล้ชิดธรรมชาติและความยั่งยืนแบบมีสไตล์   Villa Suasana ออกแบบมาเพื่อคนรุ่นใหม่ คู่รัก และครอบครัวที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างอิสระ ชื่อของโครงการมาจากภาษาบาหลีที่แปลว่า “บรรยากาศ” ตัวโครงการเป็นพูลวิลล่า มีทั้งแบบ 2 ห้องนอน และ 3 ห้องนอน มีพื้นที่ใช้สอยระหว่าง 137-227 ตารางเมตร โปร่ง สว่าง ด้วยแสงธรรมชาติ บริเวณบ้านมีพื้นที่กว้างขวางระหว่าง 435-816 ตารางเมตร   บันยัน หัวหิน ชีวิตทันสมัย ใส่ใจความยั่งยืน วิลล่าแต่ละหลังมีดีไซน์ทันสมัย สื่ออารมณ์สนุกสนาน มีความสมดุลอย่างลงตัวระหว่างความเป็นส่วนตัวและความอบอุ่นผ่อนคลาย ห้องนอนแต่ละห้องอยู่แยกจากกันและมีความเป็นส่วนตัวสูง แต่ทุกห้องเชื่อมต่อกับพื้นที่ส่วนกลางได้อย่างสะดวกสบาย มีเทอเรซกว้างขวางใกล้สระว่ายน้ำส่วนตัว ครัวบนพื้นเล่นระดับ การตกแต่งภายในที่กว้างขวางและสว่าง เพดานสูงช่วยให้รู้สึกโล่งสบาย คอนเซ็ปต์การออกแบบของโครงการ ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนเป็นอย่างมาก มีการใช้งานที่เน้นความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม วิลล่าแต่ละหลังของ Villa Suasana ติดตั้งแผงวงจรพลังงานแสงอาทิตย์ ผนังกันความร้อน สระว่ายน้ำที่เป็นน้ำเกลือ น้ำประปากรอง และระบบออโตเมชั่นอัจฉริยะภายในบ้านสำหรับควบคุมระบบไฟส่องสว่าง นอกจากจะเป็นการออกแบบที่เน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ขณะเดียวกันก็เพิ่มมูลค่าสำหรับผู้ที่ต้องการปล่อยเช่า หรือ ขายต่ออีกด้วย วัสดุคุณภาพพรีเมียม Villa Suasana ให้ความสบายใจแก่ผู้เป็นเจ้าของอย่างเต็มที่ ทั้งตัวบ้านที่สร้างด้วยวัสดุก่อสร้างที่คัดสรรมาอย่างดี ตัวบ้านที่แข็งแรงทนทาน และบริการดูแลรักษาหลังการขาย นอกจากนี้ ในการก่อสร้างยังได้ผู้อำนวยการโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ จากประเทศเนเธอแลนด์ที่มากด้วยประสบการณ์เป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด บันยัน เรสซิเดนซ์ ได้รับรางวัล “โครงการบ้านที่อยู่อาศัยยอดเยี่ยมในหัวหิน” จาก PropertyGuru Thailand Property Awards 2022 ซึ่งตอกย้ำคุณภาพอันโดดเด่นของโครงการฯ คณะกรรมการผู้ตัดสินรางวัลเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยพิจารณาจากการออกแบบที่ทันสมัยของตัววิลล่า ความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อมที่ดี ชุมชนคนแอคทีฟสุขภาพดี Villa Suasana เป็นส่วนหนึ่งของโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ ที่กว้างขวาง และปลอดภัยด้วยรั้วรอบขอบชิด และมีการดูแลความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง วิลล่าแต่ละหลังแฝงตัวอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เน้นความเป็นธรรมชาติ มองเห็นทิวเขาสวยงามทั้งสองด้าน สามารถขับรถไปถึงชายหาดสวยงามได้ในไม่กี่นาที และอยู่ไม่ไกลจากบันยัน กอล์ฟ คลับ สนามกอล์ฟระดับโลก ศูนย์กีฬาทรู อารีนา สปอร์ต เซ็นเตอร์ และใจกลางเมืองหัวหิน รวมทั้งยังอยู่ใกล้ศูนย์สุขภาพนานาชาติสำหรับครอบครัวในโครงการบันยัน หัวหินด้วย เทียส ควั๊น ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มบันยัน ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดกว่า 15 ปีที่ผ่านมา บันยันได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ทำให้ทุกคนได้มีบ้านในฝัน บ้านพักตากอากาศ หรือ การลงทุนเพื่ออนาคต เพราะสำหรับเราแล้ว เจ้าของบ้านทุกท่านจะต้องมี “ชีวิตที่ดี” ในชุมชนที่มีคุณภาพ โครงการ Villa Suasana เป็นที่อยู่อาศัยในคอนเซ็ปต์ที่เน้นธรรมชาติ และการใช้ชีวิตแบบยั่งยืน แนวคิดนี้จะผลักดันให้หัวหินเป็นสถานที่สำหรับคนเมืองที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนผู้บริหารและนักธุรกิจนักลงทุน” เจ้าของบ้านในโครงการยังจะได้รับสิทธิพิเศษในการออกรอบที่บันยัน กอล์ฟ คลับ และเป็นสมาชิก บันยัน พริวิเลจ คลับ ในราคาพิเศษ รวมทั้งส่วนลดที่ร้านอาหารชั้นนำกว่า 60 แห่ง บีชคลับ ศูนย์กีฬา ศูนย์สุขภาพ และอื่น ๆ อีกมากมายทั่วหัวหิน เทรนด์ใหม่ของการใช้ชีวิต โครงการ Villa Suasana เป็นอีกก้าวหนึ่งที่นำบันยันเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้สร้างเทรนด์ให้กับครอบครัวคนกรุงเทพที่ต้องการใช้เวลาว่างใกล้ชิดธรรมชาติ และผ่อนคลายที่ชายหาดมากขึ้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนในปัจจุบันให้เปลี่ยนไปใช้ชีวิตที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำงานที่บ้านกันให้เป็นเรื่องปกติ และผู้บริหารต่างก็เลือกที่จะเลี่ยงการจราจรวุ่นวาย ซึ่งทำให้เสียเวลามากไปกับการเดินทางในแต่ละวัน โครงการ Villa Suasana อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ขับรถเพียงแค่ 2.5 ชั่วโมง หัวหินเป็นเมืองตากอากาศยอดนิยมของคนกรุงเทพฯ และได้รับความนิยมสูงจากชาวต่างชาติที่ย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่ รวมทั้งยังเป็นเมืองที่น่ารัก มีเสน่ห์แบบไทย ทำให้เป็นที่นิยมมากสำหรับคนไทย โดยเฉพาะหลังจากการระบาดของโควิด เนื่องจากเป็นเมืองที่น่าอยู่ มีคนที่มีไลฟ์สไตล์แบบแอคทีฟและมีสุขภาพดี มีการพัฒนาสาธารณูปโภคต่าง ๆ มากมาย เช่น ทางยกระดับใหม่ รถไฟรางคู่ และสนามบินหัวหิน   โปรโมชั่นฉลองเปิดตัว เพื่อฉลองการเปิดตัวห้องโชว์ของ Villa Suasana บันยันได้เตรียมข้อเสนอพิเศษเฉพาะช่วงเปิดตัวจนถึงวันที่ 31 สิงหาคมนี้ เท่านั้น โดยลูกค้าใหม่จะได้รับสกูตเตอร์ไฟฟ้า Segway Ninebot จำนวน 2 คัน เพื่อการเดินทางรอบโครงการได้อย่างสะดวก โดยใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเตาบาร์บีคิว Ziegler & Brown จากออสเตรเลีย ลูกค้าสามารถเลือกที่จะตกแต่งบ้านได้ตามความต้องการ วิลล่าแบบสแตนดาร์ด มีให้เลือกทั้งแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 137 ตารางเมตร แบบ 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 189 ตารางเมตร โดยทั้งสองแบบมีเทอเรซนอกอาคาร และสระว่ายน้ำส่วนตัว วิลล่าแบบดีลักซ์ ซึ่งมีแบบ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 150 ตารางเมตร และแบบ 3 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 227 ตารางเมตร โดยทั้งสองแบบมีพื้นที่ทั้งภายในและภายนอกอาคารกว้างขวาง และมีสระว่ายน้ำส่วนตัว Villa Suasana เปิดตัวในราคาเริ่มต้น 9.9 ล้านบาท – 16.9 ล้านบาท ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  www.banyanthailand.com/residences/villa-suasana หรือ โทร. 032 538 888   บทความน่าสนใจ Viranya บางนา-สุวรรณภูมิ บ้านหรูเพื่อการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ
[PR News] อัปเดต ยอดขาย ดุสิต เรสซิเดนเซส ทำได้แล้วกว่า 60%

[PR News] อัปเดต ยอดขาย ดุสิต เรสซิเดนเซส ทำได้แล้วกว่า 60%

ดุสิต เรสซิเดนเซส อัปเดต ยอดขาย ดุสิต เรสซิเดนเซส ทำได้กว่า 60% คาดสิ้นปีทะลุ 70-75% หวังต่างชาติซื้อ 35% รับเทรนด์การอยู่อาศัยคำนึงถึงสุขภาวะและสภาพแวดล้อมที่ดีอย่างยั่งยืน   นางสาวละเอียด โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการว่า ปัจจุบันมียอดขายเกินกว่า 60% และคาดการณ์ว่าภายในสิ้นปี 2566 จะมียอดขายราว 70-75% จากลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยยอดขายล่าสุด แบ่งเป็นสัดส่วนลูกค้าชาวไทย 85% ต่างชาติ 15% ซึ่งคาดว่าสัดส่วนลูกค้าต่างชาติจะขยับเพิ่มขึ้นตามคาดการณ์เดิมที่ 35% เมื่อทุกประเทศเปิดให้ท่องเที่ยวได้อย่างเต็มรูปแบบ   ทั้งนี้ กลุ่มดุสิตธานี ได้จับมือกับพาร์ทเนอร์และเอเจนท์ในหลายประเทศ รวมถึงได้มีการทำโรดโชว์สำหรับกลุ่มลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธในหลายประเทศ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ซื้อเป็นอย่างมาก โดยดุสิตฯ ยังวางแผนที่จะไปเจาะตลาดสิงคโปร์ ฮ่องกง จีน ไต้หวัน รวมถึงสหรัฐอเมริกาและยุโรป ภายในปีนี้อีกด้วย   สำหรับโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส ประกอบด้วยสองลิฟวิ่งคอนเซ็ปต์ (living concept) ได้แก่ ดุสิต เรสซิเดนเซส และ ดุสิต พาร์คไซด์ ซึ่งแนวคิดการริเริ่มโครงการนี้ เริ่มต้นมาจากการที่บริษัทให้คุณค่ากับชุมชน ต้องการสร้างที่อยู่อาศัยที่เอื้อต่อไลฟ์สไตล์ในทุกรูปแบบ เพื่อบาลานซ์การใช้ชีวิตของคนเมืองที่มีทุกอย่างใกล้มือ ตัวใกล้ชิดธรรมชาติ รวมถึงมีที่อยู่อาศัยที่พร้อมด้วยการบริการแบบครบวงจร  ซึ่งเป็นโครงการแบรนด์เด็ดเรสซิเดนส์ (branded residence)   นางสาวละเอียด กล่าวถึงตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยว่า ยังเป็นที่ดึงดูดทั้งคนในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งดูจากสถิติแล้วแนวโน้มพฤติกรรมของต่างชาติเปลี่ยนไป จากแค่การลงทุนทำธุรกิจ มาเป็นการอยู่อาศัยระยะยาว ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมหลายด้าน อาทิ ด้านการศึกษาที่มีโรงเรียนนานาชาติหลากหลาย มีเทคโนโลยีการแพทย์ที่ก้าวหน้า บุคลากรทางการแพทย์ที่มีฝีมือ และสาธารณสุขอยู่ในลำดับแนวหน้าของเอเชีย อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพถูกกว่าหลายเท่าหากเทียบกับประเทศอื่น ๆ ทั้งหมดนี้จึงเป็นปัจจัยหลักที่สามารถโน้มน้าวให้ต่างชาติสนใจและเข้ามาอยู่อาศัย หลังจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยค่อนข้างให้ความสำคัญถึงการอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดีต่อกายและใจ จนเกิดเป็นเทรนด์การพัฒนาที่อยู่อาศัยโดยคำนึงถึงสุขภาวะและสภาพแวดล้อมที่ดีในการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน  สำหรับโครงการมีโซน รูฟพาร์ค (Roof Park) ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่สีเขียวกว่า 7 ไร่ ที่สามารถตอบรับไลฟ์สไตล์ของการอยู่ในเมืองที่ห้อมล้อมด้วยธรรมชาติได้พร้อม ๆ กัน ยิ่งไปกว่านั้นในส่วนของที่พักอาศัยออกแบบที่อยู่อาศัยด้วยการคำนึงถึงสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ตั้งแต่ช่วงการออกแบบก่อนการก่อสร้าง ที่ประกอบด้วยวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น การใช้คอนกรีตรีไซเคิล การใช้ปูนฉาบที่เป็นปูนขาว ที่จะช่วยเรื่องการดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในห้อง รวมถึงการทำระบบรีไซเคิลน้ำที่ใช้แล้วมารดน้ำต้นไม้และส่งต่อถึงสวนลุม เป็นต้น   ในส่วนโรงแรมดุสิตธานีโฉมใหม่ ระดับ 6 ดาว จะพร้อมเปิดให้บริการเป็นเฟสแรกในเดือนมิถุนายน ปี 2567 บนตึกความสูง 39 ชั้น ด้วยจำนวน 257 ห้องพัก ที่ออกแบบให้ทันสมัยและใหญ่ขึ้น แต่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายของความเป็น “ดุสิตธานี” แบบดั้งเดิม อย่างไรก็ดีการทำโรงแรมอย่างเดียวนั้นอาจไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายและผันเปลี่ยนของคนเมืองในปัจจุบัน จึงเป็นที่มาของการจับมือกับกลุ่มเซ็นทรัลพัฒนาร่วมพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสแห่งนี้ให้ครบครันยิ่งขึ้น โดยส่วนของออฟฟิศและศูนย์การค้าที่อาศัยความเชี่ยวชาญจากเซ็นทรัลพัฒนา จะเปิดให้บริการเป็นเฟสที่สองในช่วงปลายปี 2567 และโครงการที่พักอาศัยจะทยอยเริ่มโอนในช่วงปลายปี 2568 โครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ร่วมทุนระหว่างบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และบริมจษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) มูลค่าโครงการรวม 46,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการบนพื้นที่ 23 ไร่ บริเวณหัวมุมถนนสีลม ตรงข้ามสวนลุมพินี สุดยอดทำเลดีที่สุด ใจกลางย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพมหานคร  ในโครงการประกอบด้วย โรงแรม อาคารที่พักอาศัย อาคารสำนักงานและศูนย์การค้า โดยมีรูฟพาร์ค – สวนสาธารณะบนชั้นดาดฟ้าเป็นพื้นที่สีเขียวพิเศษขนาดใหญ่ 7 ไร่ใช้เป็นพื้นที่สาธารณะ ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโดยคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการประมาณปี 2568   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -4 ประโยชน์อยู่บ้านใกล้ธรรมชาติ ลดโรค-ลดเครียด-เสริมพัฒนาการ-เพิ่มมูลค่า